Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_30

tripitaka_30

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:36

Description: tripitaka_30

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 1 พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวาราวรรค เลม ท่ี ๕ ภาคท่ี ๑ ขอนอบนอมแดพระผูม ีพระภาคอรหันตสมั มาสมั พุทธเจา พระองคนั้น มคั คสงั ยุต อวชิ ชาวรรคที่ ๑ ๑. อวิชชาสตู ร วา ดว ยอวิชชา และวชิ ชาเปน หวั หนา แหงอกศุ ลและกศุ ล [๑] ขา พเจาไดส ดบั มาแลว อยางนี้ :- สมัยหน่งึ พระผมู ีพระภาคเจา ประทับอยู ณ พระวิหารเชตวนัอารามของทานอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี กรงุ สาวตั ถี ณ ทน่ี ้นั แล พระผมู ีพระภาคเจาตรสั เรยี กภกิ ษทุ ง้ั หลายวา ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย. ภกิ ษุเหลานน้ั ทลูรบั พระดํารสั พระผมู พี ระภาคเจา วา พระพทุ ธเจาขา . พระผูมีพระภาคเจา ไดตรสั พระพุทธพจนน วี้ า [๒] ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย อวชิ ชาเปน หัวหนาในการยงั อกุศลธรรมใหถ ึงพรอม เกดิ รว มกบั ความไมล ะอายบาป ความไมส ะดุง กลวั บาป ความเห็นผิด ยอมเกิดมีแกผ ูไ มรแู จง ประกอบดว ยอวิชชา ความดําริผิดยอ มเกิด

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 2มแี กผูมคี วามเห็นผดิ เจรจาผดิ ยอ มเกดิ มีแกผมู ีความดํารผิ ดิ การงานผิดยอ มเกิดมีแกผ เู จรจาผิด การเล้ยี งชพี ผิดยอมเกิดมีแกผูท าํ การงานผิด พยายามผดิ ยอมเกิดมีแกผูเลย้ี งชพี ผิด ระลึกผิดยอมเกดิ มีแกผ พู ยายามผิด ตั้งใจผดิยอมเกิดมีแกผรู ะลึกผิด. [๓] ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย สว นวิชชา เปน หวั หนาในการยังกุศล-ธรรมใหถ ึงพรอ ม เกดิ รว มกบั ความละอายบาป ความสะดุงกลวั บาป ความเหน็ ชอบ ยอมเกิดมแี กผ ูร ูแจง ประกอบดวยวชิ ชา ความดาํ รชิ อบยอ มเกดิมแี กผ ูมคี วามเห็นชอบ เจรจาชอบยอ มเกดิ มีแกผ มู คี วามดาํ รชิ อบ การงานชอบยอ มเกดิ มแี กผเู จรจาชอบ การเลย้ี งชพี ชอบยอ มเกดิ มีแกผ ูทาํ การงานชอบพยายามชอบยอมเกดิ มแี กผูเลย้ี งชพี ชอบ ระลึกชอบยอ มเกดิ มแี กผูพ ยายามชอบตั้งใจชอบยอ มบงั เกดิ มีแกผ มู ีระลกึ ชอบ. จบอวชิ ชาสตู รท่ี ๑

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 3 อรรถกถามคั คสงั ยุต ในมหาวารวรรค อวชิ ชาวรรคท่ี ๑ อรรถกถาอวชิ ชาสูตร พงึ ทราบวินจิ ฉัยในอวชิ ชาสตู รที่ ๑ แหง มหาวรรค.* บทวา ปพุ ฺพงฺคมา ไดแก เปนหวั หนา ดวยอาการ ๒ อยาง คอืดว ยอาํ นาจสหชาตปจ จยั ๑ ดว ยอาํ นาจอุปนสิ สยปจ จัย ๑. บทวา สมาปตตฺ ิยาความวา เพ่อื การเขาถงึ เพอ่ื การไดสภาพ เพ่อื ความเกิดขนึ้ . บทวาอนวฺ เทว อหริ กิ  อโนตตฺ ปปฺ  ความวา ก็อหิรกิ ะ ตงั้ อยดู ว ยอาการแหง ความไมละอาย และอโนตตปั ปะ ต้งั อยูด วยอาการแหง ความไมกลวั น่นั ใดอวิชชานี้นัน้ ยอมเกดิ ขนึ้ รว มกับอหิริกะและอโนตตปั ปะน้นั เวน อหริ กิ ะและอโนตตปั ปะน้ันเสยี หาเกดิ ขนึ้ ไดไม. บทวา อวชิ ชฺ าคตสสฺ ความวามจิ ฉาทิฏฐยิ อมเกดิ มีแกผูเขาถึง คือประกอบดว ยอวชิ ชา. บทวา มิจฺฉาทฏิ  ิไดแกค วามไมเห็นตามเปนจรงิ คือความไมเ ห็นธรรมเครอื่ งนาํ สัตวใ หพ นทุกข.บทวา ปโหติ คอื ยอ มมี ไดแ กยอมเกดิ ขึ้น. แมในมิจฉาสังกปั ปะเปน ตน พงึทราบความเปน มจิ ฉาดวยสามารถความไมจริง และไมนาํ สตั วใหพนทกุ ขน ่นั แล.ชอื่ วา องคแ หงความเปนมิจฉาเหลานี้ ยอมมี เพือ่ ความเกิดขึน้ แหง อกุศลธรรม ๘ ดวยประการฉะน.้ี สวนองคแ หง มจิ ฉัตตะทง้ั หลายเหลา นัน้ ท้งั หมดยอ มไมเ กิดในขณะเดยี วกนั ยอมเกดิ ในขณะตา ง ๆ กัน. ถามวา อยางไร.ตอบวา เม่ือใด จติ ประกอบดว ยทิฏฐิ เม่อื ยังกายวญิ ญตั ใิ หต ง้ั ขึ้นยอ มเกิดเม่อื นั้น กย็ อ มมีองค ๖ คือ มจิ ฉาทฏิ ฐิ (ความเหน็ ผิด) มิจฉาสงั กัปปะ* บาลีเปน มหาวารวรรค

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 4(ความดําริผิด) มจิ ฉาวายามะ (ความพยายามผดิ ) มจิ ฉาสติ (ความระลกึ ผดิ )มจิ ฉาสมาธิ (ความต้ังใจผิด) มิจฉากัมมนั ตะ (การงานผิด). เมื่อใด จิตไมป ระกอบดว ยทิฏฐิ เมือ่ น้นั มอี งค ๕ เวน มจิ ฉาทฏิ ฐิ. เม่ือใดสององคเหลา น้นั แล ยอมยังวจวี ิญญัตใิ หตั้งข้นึ เมือ่ นนั้ ยอ มมอี งค ๖ หรือองค ๕ต้ังอยูในมจิ ฉาวาจา ในฐานะมจิ ฉากัมมันตะ ช่ือวา อาชีวะน้ี เมือ่ กาํ เริบยอมกําเริบในกายทวารและวจีทวารในทวารใดทวารหนง่ึ เทา นน้ั หากาํ เรบิ ในมโนทวารไม. เพราะฉะนัน้ องค ๖ หรือองค ๕ เหลา น้ันแล ยอ มมดี วยอํานาจ มจิ ฉาชวี ะวา เม่ือใด จติ เหลาน้ันแล ยอ มยังกายวิญญตั แิ ละวจวี ิญญัติใหต้ังขึน้ โดยมุงถึงอาชวี ะ เม่อื น้ัน กายกรรม จงึ ชอ่ื วา มจิ ฉาชีวะ วจีกรรมก็อยางนั้น. ก็เมื่อใดจิตเหลานน้ั ยอมเกดิ ขึน้ เพราะไมย ังวิญญตใิ หต ั้งขึน้เมื่อนัน้ ยอมมีองค ๕ ดว ยสามารถแหง มิจฉาทฏิ ฐิ มจิ ฉาสงั กปั ปะ มิจฉา-วายามะ มจิ ฉาสติ และมิจฉาสมาธิ หรือองค ๔ ดว ยสามารถแหงมจิ ฉาสังกปั ปะเปน ตน ดงั นนั้ องคท้งั หลายเหลานน้ั ยอ มไมเ กิดในขณะเดียวกนัทัง้ หมด ยอ มเกดิ ในขณะตาง ๆ กันอยางน้ี ดว ยประการฉะนี้แล. ในสกุ กปก ข บทวา วชิ ชฺ า ไดแ ก รคู วามท่สี ตั วมีกรรมเปนของ ๆตน. แมใ นวิชชานี้ พึงทราบความทวี่ ิชชาเปน หวั หนา โดยอาการ ๒ คอืดว ยอํานาจสหชาตปจจัย ๑ ดว ยอํานาจอุปนสิ สยปจจัย ๑. บทวา หโิ รตตฺ ปฺปไดแก ความละอายบาป และความกลัวบาป. ในธรรม ๒ อยา งน้นั หิริตัง้ อยูดวยอาการแหงความละอาย โอตตัปปะ ตั้งอยูด ว ยอาการแหง ความกลัว.นี้เปนความสังเขปในขอ นี้. สว นความพสิ ดาร ทานกลา วในวิสุทธิมรรคแลวแล. บทวา วิชชฺ าคตสสฺ ไดแ ก สมั มาทิฏฐิ ยอ มเกดิ มีแกผูเ ขา ถงึ คอืประกอบดวยวิชชา. บทวา วทิ ทฺ สุโน ไดแ ก ผูรแู จง คือบณั ฑิต. บทวาสมฺมาทิฏิ ไดแกค วามเหน็ ตามเปน จรงิ คอื ความเหน็ นาํ สัตวใ หพ นทุกข.

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 5แมใ นสัมมากมั มนั ตะเปนตน ก็มีนยั นีเ้ หมอื นกัน. องค ๘ เหลาน้ยี อมมีเพื่อความเกดิ แหง กุศลธรรมดว ยประการฉะน้ี. องคแม ๘ เหลา นน้ั ยอมไมเ กดิพรอมกนั ในขณะแหง โลกิยมรรค แตย อ มเกดิ พรอ มกนั ในขณะแหง โลกตุ ร-มรรค. กแ็ ลองค ๘ เหลานนั้ ยอมมใี นมรรคอนั ประกอบดว ยปฐมฌาน สวนในมรรคอันประกอบดว ยทุติยฌานเปน ตน ยอมมีองค ๗ เทานน้ั เวน สมั มาสงั กัปปะ. ในองค ๗ เหลานัน้ ผูใดพงึ กลาวอยา งนี้วา เพราะในมหาสฬายตนสูตร ในมชั ฌิมนิกาย ทา นกลา ววา ความเหน็ ของผูเ ปน อยา งน้ัน อันใดความเหน็ อันนน้ั ยอมเปนสมั มาทฏิ ฐิของผูนัน้ ความดาํ รขิ องผูเปนอยางนัน้อนั ใด ความเห็นอนั น้ัน ยอมเปน สมั มาสังกปั ปะของผนู ้นั ความพยายามของผูเปนอยา งนัน้ อนั ใด ความเห็นอนั น้นั ยอ มเปน สมั มาวายามะของผูนัน้ความระลึกของผเู ปน อยา งนั้น อนั ใด ความเหน็ อนั น้ัน ยอ มเปนสัมมาสติของผูนั้น. ความตัง้ ใจมน่ั ของผูเ ปนอยางนัน้ อนั ใด ความเหน็ อันนัน้ ยอ มเปนสมั มาสมาธขิ องผนู ั้น. ก็แล ในเบ้อื งตน กายกรรม วจีกรรม และอาชีวะของผนู ้ัน กย็ อ มบรสิ ทุ ธิ์ดวยดี ดงั นี.้ ฉะนั้น โลกตุ รมรรค กย็ อมประกอบดวยองค ๕ เทา นนั้ ดังน้.ี ผูนั้นพึงถูกเขาตอ วา ในสตู รนั้นแลวา เพราะเหตุไรทานจงึ ไมเหน็ คาํ นวี้ า อรยิ มรรค อันประกอบดวยองค ๘ น้ี ยอมถงึ ความเจรญิ เต็มที่แกภิกษนุ นั้ อยา งนี้ ดังน้.ี สว นขอทที่ า นกลาววา ปพุ ฺเพว โขปนสฺส นั้น ทา นกลาวแลวเพอื่ แสดงความบริสุทธิ์ จําเดมิ แตวนั ทบี่ วชแลวในขอ นท้ี า นแสดงความหมายไวดงั นีว้ า กจ็ าํ เดมิ แตวันทบี่ วชแลว กายกรรมเปนตน อันบรสิ ทุ ธ์ิ ยอ มบริสุทธิ์ ยงิ่ นัก ในขณะแหงโลกุตรมรรคดงั น้ี.

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 6 แมคาํ ใด อนั ทา นกลาวในอภิธรรมวา กใ็ นสมัยนนั้ แล มรรคยอ มประกอบดวยองค ๕ คาํ นัน้ ทานกลาวเพือ่ แสดงในระหวา งกจิ อยา งหนงึ่ . ก็ในกาลใด บคุ คลละการงานผดิ แลว ยอมยังการงานที่ชอบใหบ รบิ รู ณในกาลนั้น. มจิ ฉาวาจา หรอื มิจฉาชวี ะ ยอ มไมม ี สัมมากมั มันตะ ยอ มใหบรบิ รู ณใ นองคทีเ่ ปน ตวั การท้งั หลาย ๕ เหลา นีค้ อื ทิฏฐิ ๑ สังกปั ปะ ๑วายามะ ๑ สติ ๑ สมาธิ ๑. กส็ มั มากัมมนั ตะ ชือ่ วา ยอมใหบริบรู ณไ ดดวยสามารถแหงวิรตั ิ แมในสัมมาวาจาและสัมมาอาชีวะ กม็ ีนยั นแ้ี ล. คาํ อนัทา นกลา วแลวอยา งนี้ เพอ่ื แสดงในระหวางกิจน.้ี สว นในขณะแหงโลกยิ มรรคยอ มมีองค ๕ แน. แตว ิรัตไิ มแน เพราะฉะน้ัน ทา นไมก ลา ววา องค ๖แตก ลา ววา มีองค ๕ เทาน้ัน ดวยประการฉะน.้ี กบ็ ัณฑติ พึงทราบวาโลกตุ รมรรค ยอ มมอี งค ๘ เพราะความสาํ เร็จแหงสัมมากัมมนั ตะเปนตนเปน องคแหงโลกตุ รมรรค ในสตู รหลายสูตรมมี หาจตั ตทาฬีสกสูตรเปนตนอยางนว้ี า กด็ กู อนภิกษทุ ัง้ หลาย เม่ือภกิ ษุมจี ติ เปน อริยะ หาอาสวะมไิ ดพร่งั พรอมดว ยอรยิ มรรค เจริญอริยมรรคอยู การงด การเวน การเวนขาดจากกายทุจรติ ๓ คอื เจตนาเครือ่ งงดเวนไมกระทาํ การไมทําอนั ใด ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย สมั มากัมมันตะน้ี ยอ มเปน โลกุตรมรรค เปนอริยะหาอาสวะมิได ดงั นี.้ ในพระสตู รน้ี พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสมรรคมีองค ๘ นี้ เจือดวยโลกิยและโลกุตระ. จบอรรคกถาอวิชชาสตู รท่ี ๑

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 7 ๒. อุปฑ ฒสูตร ความเปน ผมู ีมติ รดี เปน พรหมจรรย [๔] ขาพเจา ไดสดบั มาแลวอยางน้ี :- สมัยหนง่ึ พระผูมพี ระภาคเจาประทับอยู ณ นคิ มของชาวสกั ยะ ชื่อสักกระ ในแควนสกั กะของชาวศากยะท้ังหลาย ครง้ั นั้น ทา นพระอานนทเ ขาไปเฝา พระผมู พี ระภาคเจา ถงึ ทีป่ ระทับ ถวายบังคมพระผมู ีพระภาคเจา แลว นงั่ณ ทีค่ วรสวนขา งหนง่ึ คร้นั แลว ไดกราบทลู พระผูมีพระภาคเจา วา ขาแตพระองคผูเจริญ ความเปน ผมู ีมิตรดี มสี หายดี มเี พ่ือนดี นเ้ี ปน ก่ึงหนง่ึ แหงพรหมจรรยเ ทียวนะ พระเจาขา . [๕] พระผูม พี ระภาคเจา ตรัสวา ดูกอ นอานนท เธออยาไดก ลา วอยา งนน้ั เธออยาไดกลา วอยา งน้ัน ก็ความเปนผูมมี ติ รดี มีสหายดี มีเพื่อนดีนีเ้ ปน พรหมจรรยทง้ั สิ้นทเี ดยี ว ดกู อนอานนท อนั ภกิ ษุผมู ีมิตรดี มสี หายดีมเี พอื่ นดี พึงหวงั ขอ นี้ไดว า จักเจริญอรยิ มรรคประกอบดวยองค ๘ จักกระทาํ ใหม ากซ่ึงอรยิ มรรคประกอบดวยองค ๘. [๖] ดูกอ นอานนท ก็ภกิ ษุผมู มี ติ รดี มสี หายดี มเี พอ่ื นดี ยอมเจริญอรยิ มรรคประกอบดว ยองค ๘ ยอมกระทําใหมากซึ่งอริยมรรคประกอบดวยองค ๘ อยางไรเลา ดกู อนอานนท ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั น้ียอมเจริญสัมมาทิฏฐิอนั อาศัยวเิ วก อาศยั วริ าคะ อาศัยนโิ รธ นอมไปในการสละ ยอมเจริญสัมมาสังกปั ปะ. . . สมั มาวาจา. . . สัมมากมั มันตะ. . . สมั มาอาชวี ะ. . .สมั มาวายามะ . . . สัมมาสติ. . . สมั มาสมาธิ อันอาศัยวเิ วก อาศัยวิราคะอาศัยนิโรธ นอ มไปในการสละ ดูกอนอานนท ภิกษุผูมมี ิตรดี มสี หายดี

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 8มีเพื่อนดี ยอ มเจรญิ อริยมรรคประกอบดวยองค ๘ ยอ มกระทาํ ไดม ากซง่ึ อรยิ -มรรคประกอบดวยองค ๘ อยา งนี้แล. [๗] ดูกอ นอานนท ขอ วา ความเปนผมู ีมติ รดี มสี หายดี มีเพอื่ นดี เปนพรหมจรรยท ้งั ส้นิ ทเี ดยี วน้นั พงึ ทราบโดยปริยายแมน้ี ดว ยวา เหลาสัตวผ ูม ชี าติเปน ธรรมดา ยอมพน ไปจากชาติ ผูม ชี ราเปนธรรมดา ยอมพนไปจากชรา ผมู มี รณะเปน ธรรมดา ยอมพนไปจากมรณะ ผมู ีโสกะ ปรเิ ทวะทกุ ข โทมนสั และอุปายาส เปนธรรมดา ยอ มพน ไปจากโสกะ ปริเทวะทุกข โทมนัสและอปุ ายาส เพราะอาศัยเราผูเปน กัลยาณมิตร ดูกอนอานนทขอวา ความเปน ผมู ีมติ รดี มีสหายดี มเี พอ่ื นดี เปน พรหมจรรยทั้งส้ินทีเดยี วนัน้ พงึ ทราบโดยปรยิ ายน้แี ล. จบอุปฑฒสูตรท่ี ๒ อรรถกถาอปุ ฑฒสตู ร อปุ ฑฒสูตรท่ี ๒ กลาวไวแลวในโกสลสงั ยุตนนั่ แล.

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 9 ๓. สารปี ตุ ตสูตร ความเปนผมู ีมิตรดี [๘] สาวัตถนี ทิ าน. ครั้งนนั้ ทา นพระสารบี ุตรเขาไปเฝา พระผูมีพระภาคเจาถงึ ท่ปี ระทบั ถวายบงั คมพระผมู พี ระภาคเจาแลว น่งั ณ ทค่ี วรสวนขา งหนึง่ ครัน้ แลวไดก ราบทลู พระผูมีพระภาคเจาวา ขาแตพระองคผ ูเจรญิความเปนผูมีมิตรดี มสี หายดี มีเพอ่ื นดี นีเ้ ปนพรหมจรรยทงั้ สน้ิ เทยี วนะพระเจา ขา. [๙] พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสวา ถกู ละ ถูกละ สารบี ตุ ร ความเปนผมู ีมติ รดี มีสหายดี มเี พอื่ นดี นี้เปน พรหมจรรยท งั้ ส้นิ ดูกอนสารีบุตรภกิ ษผุ มู ีมิตรดี มสี หายดี มเี พอ่ื นดี พึงหวังขอน้ีไดว า จกั เจริญอรยิ มรรคประกอบดวยองค ๘ จักกระทําใหม ากซ่งึ อริยมรรคประกอบดว ยองค ๘. [๑๐] ดูกอ นสารบี ตุ ร ก็ภกิ ษุผูม มี ิตรดี มีสหายดี มีเพือ่ นดี ยอ มเจรญิ อรยิ มรรคประกอบดวยองค ๘ ยอมกระทาํ ใหมากซึง่ อริยมรรคประกอบดวยองค ๘ อยา งไรเลา ดกู อ นสารบี ตุ ร ภกิ ษใุ นธรรมวินัยนี้ ยอ มเจรญิสมั มาทฏิ ฐิ อันอาศยั วเิ วก อาศัยวริ าคะ อาศยั นิโรธ นอมไปในการสละ ฯลฯยอ มเจรญิ สมั มาสมาธิ อนั อาศัยวิเวก อันอาศยั วริ าคะ อาศัยนโิ รธ นอ มไปในการสละ ดกู อ นสารีบุตร ภิกษผุ ูมีมติ รดี มสี หายดี มีเพ่ือนดี ยอมเจรญิอริยมรรคประกอบดว ยองค ๘ ยอ มกระทาํ ใหม ากซึง่ อริยมรรคประกอบดว ยองค ๘ อยางนแ้ี ล. [๑๑] ดกู อนสารีบตุ ร ขอวา ความเปนผูม ีมิตรดี มสี หายดี มีเพือ่ นดี นเี้ ปนพรหมจรรยทง้ั สนิ้ นน้ั พงึ ทราบโดยปริยายแมน ี้ ดวยวา เหลา สัตวผู

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 10มีชาติเปน ธรรมดา ยอ มพนไปจากชาติ ผมู ชี ราเปน ธรรมดา ยอมพน ไปจากชรา ผมู ีมรณะเปนธรรมดา ยอ มพนไปจากมรณะ ผมู โี สกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขโทมนัส อุปายาสเปนธรรมดา ยอ มพนไปจากโสกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนสัอุปายาส เพราะอาศัยเราผเู ปน กลั ยาณมติ ร ดกู อ นสารีบตุ ร ขอวา ความเปนผูมมี ติ รดี มีสหายดี มีเพ่ือนดี เปนพรหมจรรยทง้ั สนิ้ นัน้ พงึ ทราบโดยปริยายนี้แล. จบสารีปุตตสูตรที่ ๓ อรรถกถาสารปี ุตตสตู ร พึงทราบวินิจฉัยในสารปี ุตตสตู รท่ี ๓. บทวา สกลมิท ภนฺเต ความวา พระอานนทเถระ ไมรูวา มรรคพรหมจรรยแมทง้ั สน้ิ อันตนไดเ พราะอาศัยกลั ยาณมิตรดังนี้ เพราะยงั ไมถ งึ ที่สุดแหงสาวกบารมีญาณ. สวนพระธรรมเสนาบดไี ดร เู เลว เพราะดํารงอยูในท่สี ุดแหง สาวกบารมีญาณ. เพราะฉะนน้ั ทานจงึ กราบทลู อยางน.้ี เพราะเหตุน้ันแล พระผมู ีพระภาคเจา จึงไดป ระทานสาธุการแกพ ระเถระนนั้ วา สาธุสาธุ ดงั น้.ี จบอรรถกถาสารีปตุ ตสูตรที่ ๓

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 11 ๔. พราหมณสตู ร อริยมรรคเรียกช่ือได ๓ อยาง [๑๒] สาวัตถนี ิทาน. คร้งั นน้ั เวลาเชา ทา นพระอานนทน งุ แลวถือบาตรและจีวรเขา ไปบิณฑบาตยังกรุงสาวตั ถี ไดเหน็ ชาณสุ โสณพี ราหมณออกจากกรงุ สาวัตถี ดว ยรถเทยี มมา ขาวลว น ไดยนิ วา มาท่ีเทยี มเปน มาขาวเครือ่ งประดับขาว ตวั รถขาว ประทุนรถขาว เชอื กขาว ดา มปฏกั ขาว รมขาว ผา โพกขาว ผานงุ ขาว รองเทา ขาว พดั วาลวชั นที ีด่ ามพัดกข็ าว ชนเหน็ ทานผนู ีแ้ ลว พดู อยา งนวี้ า ทานผเู จรญิ ทั้งหลาย ยานประเสรฐิ หนอรูปของยานประเสรฐิ หนอ ดงั น.ี้ [๑๓] คร้งั นั้น ทานพระอานนทเท่ียวบณิ ฑบาตในกรุงสาวตั ถแี ลวเวลาปจ ฉาภัต กลบั จากบิณฑบาต เขาไปเฝา พระผูมพี ระภาคเจาถงึ ทป่ี ระทบัถวายบงั คมพระผมู ีพระภาคเจา แลว นงั่ ณ ท่คี วรสวนขางหนึ่ง ครน้ั แลวไดกราบทลู พระผูมีพระภาคเจา วา ขา แตพระองคผ ูเจรญิ ขอประทานพระวโรกาสเวลาเชา ขาพระองคนุงแลว ถือบาตรและจวี รเขาไปบณิ ฑบาตยงั กรงุ สาวตั ถีขาพระองคเหน็ ชาณุสโสณพี ราหมณอ อกจากกรุงสาวัตถี ดว ยรถมา ขาวลวนไดยินวา มาทเ่ี ทยี มเปนมา ขาว เครือ่ งประดบั ขาว ตัวรถขาว ประทนุ รถขาว เชือกขาว ดา มปฏักขาว รม ขาว ผาโพกขาว ผานุงขาว รองเทาขาว พดั วาลวชั นีท่ดี ามก็ขาว ชนเหน็ ทา นผนู ีแ้ ลวพดู อยางนี้วา ทา นผเู จริญทง้ั หลาย ยานประเสรฐิ หนอ รูปของยานประเสรฐิ หนอ ขาแตพระองคผ เู จรญิพระองคอาจทรงบญั ญัตยิ านอนั ประเสรฐิ ในธรรมวินยั นีไ้ ดไหมหนอ.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 12 [๑๔] พระผูม ีพระภาคเจา ตรัสวา ดกู อนอานนท อาจบญั ญัตไิ ดคาํ วา ยานอนั ประเสริฐ เปน ช่ือของอริยมรรคประกอบดว ยองค ๘ นเ้ี อง เรยี กกนั วา พรหมยานบา ง ธรรมยานบาง รถพิชัยสงความอันยอดเยยี่ มบา ง. [๑๕] ดูกอ นอานนท สมั มาทฏิ ฐทิ บ่ี ุคคลเจรญิ แลว กระทาํ ใหม ากแลว มีการกําจัดราคะเปน ท่ีสุด มีการกาํ จดั โทสะเปนทสี่ ดุ มกี ารกําจัดโมหะเปนที่สุด. [๑๖] ดูกอนอานนท สมั มาสงั กัปปะทบ่ี คุ คลเจริญแลว กระทาํ ใหมากแลว มกี ารกําจัดราคะเปน ทีส่ ุด. มีการกาํ จัดโทสะเปน ท่ีสดุ มีการกาํ จัดโมหะเปน สดุ . [๑๗] ดกู อ นอานนท สมั มาวาจาท่ีบคุ คลเจริญแลว กระทําใหมากแลว มีการกาํ จัดราคะเปน ท่ีสุด มกี ารกําจัดโทสะเปนทีส่ ดุ มกี ารกาํ จัดโมหะเปนทส่ี ดุ . [๑๘] ดกู อ นอานนท สัมมากัมมนั ตะทีบ่ ุคคลเจริญแลว กระทาํ ใหมากแลว มีการกําจดั ราคะเปน ทส่ี ดุ มีการกาํ จดั โทสะเปน ท่สี ดุ มีการกําจดัโมหะเปน ทสี่ ุด. [๑๙] ดูกอนอานนท สัมมาอาชีวะที่บคุ คลเจริญแลว กระทาํ ใหม ากแลว มีการกาํ จัดราคะเปน ทีส่ ดุ มีการกาํ จดั โทสะเปนทสี่ ุด มีการกาํ จดั โมหะเปนทสี่ ดุ . [๒๐] ดกู อ นอานนท สมั มาวายามะทีบ่ ุคคลเจรญิ แลว กระทําใหมากแลว มกี ารกาํ จัดราคะเปน ทส่ี ุด มกี ารกําจัดโทสะเปน ทสี่ ุด มีการกาํ จัดโมหะเปนทีส่ ดุ . [๒๑] ดูกอ นอานนทสมั มาสติทบี่ คุ คลเจรญิ แลว กระทําใหมากแลวมกี ารกาํ จดั ราคะเปนท่ีสดุ มีการกาํ จดั โทสะเปน ทีส่ ดุ มีการกําจดั โมหะเปน ท่ีสุด.

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 13 [๒๒] ดกู อนอานนท สมั มาสมาธิท่บี ุคคลเจริญแลว กระทาํ ใหม ากแลว มีการกาํ จัดราคะเปนทส่ี ดุ มกี ารกาํ จัดโทสะเปนทส่ี ดุ มีการกาํ จัดโมหะเปนทีส่ ุด. [๒๓] ดูกอ นอานนท ขอ วา ยานอนั ประเสรฐิ เปน ชอ่ื ของอรยิ -มรรคประกอบดวยองค ๘ นเี้ อง เรียกกนั วา พรหมยานบา ง ธรรมยานบา งรถพิชยั สงครามอนั ยอดเย่ยี มบาง น้นั พึงทราบโดยปริยายนแ้ี ล. พระผูมพี ระภาคเจา ผสู ุคตศาสดา ครนั้ ไดตรัสไวยากรณภาษติ นจ้ี บลงแลว จึงตรสั คาถาประพันธตอ ไปอีกวา [๒๔] อริยมรรคญาณนั้นมีธรรม คือ ศรทั ธา กับปญ ญาเปน แอก มศี รัทธาเปนทูบ มีหริ ิ เปน งอน มใี จเปนเชือกชัก มีสตเิ ปนสารถี ผคู วบคุม รถนม้ี ีศลี เปนเครอ่ื งประดับ มี ฌานเปนเพลา มีความเพียรเปน ลอ มี อเุ บกขากับสมาธเิ ปนทูบ ความไมอยากได เปน ประทุน กลุ บตุ รใดมีความไมพยาบาท ความไมเบยี ดเบียน และวิเวกเปน อาวุธ มี ความอดทนเปนเกราะหนัง กุลบตุ รน้ัน ยอมเปนไปเพ่อื ความเกษมจากโยคะ พรหม ยานอันยอดเย่ยี มน้ี เกดิ แลวในตนของ บุคคลเหลา ใด บุคคลเหลานนั้ เปน นัก- ปราชญ ยอมออกไปจากโลกโดยความแน ใจวา มชี ยั ชนะโดยแท. จบพราหมณสูตรท่ี ๔

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 14 อรรถกถาพราหมณสตู ร พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ในพราหมณสูตรท่ี ๔. บทวา สพฺพเสเตน วฬวาภริ เถน ความวา ดว ยรถเทยี มดว ยมา๔ ตัวอันขาวลวน. ไดย นิ วา รถมีลอ และซกี่ งท้งั หมดไดห ุมดว ยเงิน.ก็ชอื่ วา รถมี ๒ อยา ง คอื รถรบ ๑ รถเครอ่ื งประดับ ๑ ในรถน้นั รถรบมสี ัณฐานสี่เหลยี่ มไมใ หญนัก สามารถบรรทกุ คนได ๒ คน หรือ ๓ คนรถเคร่อื งประดับเปน รถใหญ คอื โดยยาวกย็ าว โดยกวางกก็ วา ง. คนถอื รมถอื วาลวัชนี ถือพัดใบตาล ยอ มอยใู นรถนั้น ดงั นัน้ คน ๘ คน หรือ ๑๐ คนสามารถเพื่อจะยืนกไ็ ด น่ังก็ได นอนก็ได ตามสบายอยา งน้ีนนั่ แล แมร ถนี้จัดเปนรถเครื่องประดบั . บทวา เสตา สุท อสฺสา ความวา มาขาวคือมีสีขาวตามปกติ.บทวา เสตาลงฺการา ความวา เคร่อื งประดบั ของมาเหลา นั้น ไดเปนของสาํ เรจ็ ดวยเงนิ . บทวา สโต รโถ ความวา รถช่ือวาขาว เพราะหมุ ดวยเงินและเพราะประดับดว ยงาในท่นี ้นั ๆ โดยนัยอนั กลา วแลวแล. บทวา เสตปร-ิวาโร ความวา รถเหลาอนื่ หมุ ดวยหนังราชสหี บาง หมุ ดวยหนังเสอื บา งหุมดว ยผากัมพลเหลอื งบาง ฉนั ใด รถน้หี าเปน ฉนั น้นั ไม. สว นรถน้ี ไดหมุดวยผาอยา งด.ี บทวา เสตา รสฺมิโย ความวา เชือกอนั หุม ดวยเงินและแกวประพาฬ. บทวา เสตา ปโตทลฏิ ความวา แมด า มปฏกั กห็ มุดว ยเงนิ . บทวา เสต ฉตตฺ  ความวา แมรม อนั เขาใหย กขึน้ ในทามกลางรถกข็ าว. บทวา เสต อุณฺหสี  ความวา ผา โพกทาํ ดว ยเงินกวาง ๗ น้ิวก็ขาว.

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 15บทวา เสตานิ วตถฺ านิ ความวา ผานงุ ขาว คือมีสดี ังกอนฟองน้าํ . ในผาเหลานัน้ ผา นงุ มรี าคาหารอ ย ผาหม มรี าคาพันหนง่ึ . บทวา เสตา อุปาหนาความวา ธรรมดาวา รองเทายอมมีได สาํ หรบั คนผเู ดินทาง หรอื สําหรับคนผเู ขาสูดง. สว นรองเทา นี้ สําหรบั ขน้ึ รถ. ดวยเหตุนั้น พึงทราบวา นน่ั ช่อื วาเครื่องประดับเทาของเขา ผสมเงิน อันสมควรแกรองเทา นัน้ ทา นกลา วไวอยางน้ี. บทวา เสตาย สทุ  วาลวชี นยิ า ความวา จามรและพดั วาลวชั นีมสี ขี าว มดี ามทาํ ดว ยแกวผลึก. กเ็ ครื่องประดับเฉพาะเทา นขี้ าว ไดม ีแลวแกพราหมณน้ันอยา งเดยี วเทา น้ันหามไิ ด. แมเ คร่ืองประดบั ของพราหมณน ้นัไดทําดว ยเงนิ มีเปนตน อยางนี้วา กพ็ ราหมณน้นั ลูบไลด ว ยเครื่องลูบไลข าวประดบั ดอกไมขาว ท่นี ้ิวทง้ั ๑๐ สวมแหวน ท่ีหูทงั้ สองใสตางหดู งั นี.้ แมพวกพราหมณผเู ปน บรวิ ารของเขาไดม ปี ระมาณหนง่ึ หมื่น ผาเคร่อื งลบู ไลดอกไมและเคร่ืองประดบั ขาว ไดมีแลว ประมาณเทานน้ั เหมอื นกนั . สวนขอน้ันอนั ใดอนั ทา นกลา ววา สาวตถฺ ิยา นยิ ยฺ ายนตฺ  ดังนี้ ความแจม แจงแหงการออกไปในขอ น้นั ดงั ตอ ไปนี.้ วา โดยกจิ พราหมณน ้ัน ยอ มกระทําประทักษิณนคร ๖ เดอื นครง้ัหนง่ึ คนประกาศไปลว งหนาวา แตนไ้ี ปพราหมณจกั กระทําประทกั ษิณนครโดยวนั ทงั้ หลายประมาณเทาน้ี ชนเหลาใดฟง การประกาศน้นั แลว กําลงั ออกไปจากนคร ชนเหลา น้นั จะยังไมห ลีกไป. แมช นเหลา ใด หลีกไปแลว แมช นเหลานั้นยอ มกลบั ดวยคดิ วา พวกเราจกั ไดเหน็ สริ สิ มบัตขิ องทานผูมบี ุญ.พราหมณย อ มเท่ียวไปสนู ครตลอดวนั ใด ชาวเมอื งทงั้ หลาย กวาดถนนในนครในกาลนน้ั แตเชา ตรู เกลย่ี ทรายลง โปรยดวยดอกไมทง้ั หลาย อันมขี าวตอกเปน ท่ีหา ทง้ั หมอนํา้ ใหชวยกนั ยกตนกลวยท้ังหลาย และธงทงั้ หลายขนึ้ แลวยอ มทาํ นครท้งั สนิ้ ใหอ บอวลดว ยกล่นิ ธปู .

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 16 พราหมณส นานศรี ษะแตเ ชาตรู บรโิ ภคอาหารเชา แลว ก็แตง ตัวดวยเครือ่ งอาภรณมผี านงุ ขาวเปนตน โดยนัยอนั กลา วแลว แล ลงจากปราสาทขนึ้ รถ ลําดับนัน้ พราหมณเหลา นนั้ ก็ตกแตง ดวยผาเคร่ืองลบู ไลแ ละดอกไม-ขาวท้ังหมด ถือรมขาวแวดลอ มพราหมณน ัน้ อยู. แตนั้น ชนทั้งหลายยอมโปรยผลาผลแกพ วกเดก็ หนมุ กอ น เพอ่ื การประชมุ ของมหาชน ตอ แตน้นัยอ มโปรยเงินมาสก ตอแตน้นั จงึ โปรยกหาปณะทัง้ หลาย. มหาชนยอ มประชุมกัน การโหรองและการโยนผากย็ อมเปน ไป ครงั้ นน้ั พราหมณยอมเทีย่ วไปสูนครเพอ่ื มหาสมบัติ เมอื่ ชนทัง้ หลายผมู ีความตอ งการดวยมงคลและตอ งการสวสั ดเี ปน ตน กระทํามงคลและสวสั ดอี ย.ู มนษุ ยทงั้ หลายผูมบี ุญขึน้ไปบนปราสาทมชี ้ันเดยี วเปนตน เปด ชอ งหนา ตางเชน กับปก นกแกว แลดอู ยูแมพ ราหมณยอ มมุงตรงไปทางประตทู ิศใต คลา ยจะครอบครองนครดว ยยศและสริ สิ มบัติของตน ขอนี้ทานหมายถงึ ขอนน้ั แลว จงึ กลา ว. บทวา ตเมน ชโน ทสิ ฺวา ความวา มหาชนเหน็ รถน้ัน. บทวาพฺรหฺม ไดแ ก เปน ช่ือของผปู ระเสรฐิ . บทวา พรฺ หฺม วต โภ ยานในขอน้ีมอี ธิบายดงั นี้วา ทา นผเู จริญท้ังหลาย ยานเชน ยานอันประเสรฐิ หนอ.บทวา อมิ สเฺ สว โข เอต ความวา ดูกอนอานนท ธรรมดาวา มนุษยทัง้ หลายใหทรัพยแกผ ูกลา วสรรเสริญแลว ยอมใหข ับรองเพลงขับสรรเสริญทารกิ าทง้ั หลายของตนวา เปน ผูนา รกั นาดู มีทรพั ยม าก มีโภคะมากดังน้ีแตก ห็ าเปน ผนู ารกั หรือมีโภคะมาก ดว ยเพียงการกลา วสรรเสรญิ น้ันไมมหาชนเห็นรถของพราหมณอ ยางนแ้ี ลว จึงกลา วสรรเสริญอยา งน้ีวา ทานผเู จรญิ ท้ังหลาย ยานประเสริฐหนอ แมก จ็ รงิ ถงึ อยา งนัน้ ยานน้นั จะชื่อวาเปน ยานประเสริฐดว ยเพยี งการกลา วสรรเสรญิ ก็หามิได ทจ่ี รงิ ยานน้นั จะช่ือวาลามกเลว. ดกู อ นอานนท แตโดยปรมัตถ ยานนนั้ เปน ชื่อของอริยมรรคมี

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 17องค ๘ น้เี ทาน้ันแล. กอ็ ริยมรรคน้ปี ระเสรฐิ เพราะปราศจากโทษทั้งปวงดว ยวา พระอรยิ ะทัง้ หลาย ยอมไปสนู ิพพานดวยอริยมรรคน้ี ดังนน้ั จงึ ควรกลา ววา พรหมยานบาง วา ธรรมยานบาง เพราะเปน ธรรมและเปน ยานวารถพิชยั สงครามอันยอดเยย่ี มบาง เพราะไมมสี ิง่ อนั ย่งิ กวา และเพราะชนะสงครามคอื กิเลสแลว. บัดน้ี พระผูม พี ระภาคเจา เมอื่ ทรงแสดงความทอี่ รยิ มรรคนน้ั ไมม ีโทษ และเปน พชิ ัยสงคราม จึงตรสั คาํ เปนอาทวิ า ราควนิ ยปรโิ ยสานาดังน้ี . ในบทนน้ั สัมมาทิฏฐิ เมือ่ กําจดั ราคะยอมใหห มด คอื ยอ มถึงไดแ กยอมสําเรจ็ เปน ท่สี ุด เพราะเหตนุ น้ั จึงช่อื วา มกี ารกําจัดราคะเปนท่สี ุด. ในบททงั้ ปวงก็นัยนแ้ี ล. บทวา ยสสฺ สทฺธา จ ปฺ า จ ความวา สาํ หรบั ยานคอื อริย-มรรค มีธรรม ๒ เหลานคี้ อื ศรทั ธา ดวยสามารถแหงสทั ธานุสารี และปญญาดวยสามารถแหง ธัมมานุสารี เปน แอกมศี รทั ธาเปนทูบ อธิบายวา ประกอบในแอกมีตนเปนทามกลางในอริยมรรคนน้ั . บทวา หริ ิ อีสา ความวา หิริอนั เกิดขึ้นภายในพรอมดวยโอตตปั ปะอนั เกิดขึ้นในภายนอกประกอบกบั ดว ยตนเปนงอนของรถคอื มรรค. บทวา มโน โยตตฺ  ความวา วปิ สสนาจติ และมรรคจติ เปน เชือกชกั . เหมือนเชือกที่ทําดว ยปอเปนตนของรถ ยอมกระทําโคทงั้ หลายใหเน่ืองเปน อนั เดียวกัน คือใหร วมกันไดฉ นั ใด วิปสสนาจิตอันเปน โลกยิ ะของรถคอื มรรคมี ๕๐ กวา วิปส สนาจิตอันเปนโลกุตระ ยอ มทาํกุศลธรรม ๖๐ กวา ใหเน่อื งกันคือใหร วมกันไดฉันนั้นเหมอื นกันแล.เพราะเหตุน้นั พระผมู ีพระภาคเจาจึงตรสั วา มโน โยตฺต ดงั น.ี้ บทวาสติ อารกฺขสารถิ ความวา สตสิ มั ปยตุ ดว ยมรรค ชอื่ วา สารถีผคู วบคมุ .ผใู ดยอมประกอบในการจัดทบู หยอดเพลา สง รถไป ยอมกระทาํ มาเทยี มรถ

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 18ใหหมดพยศ ผนู ัน้ ชือ่ วา สารถีผรู ักษาสามารถฉันใด สตขิ องรถคือมรรคกฉ็ ันนน้ั . ทานกลา ววา สตนิ ีม้ ีการรักษาเปนเหตปุ รากฏและยอ มพจิ ารณาคติแหงธรรมท้ังหลายทัง้ กศุ ลและอกศุ ล ดังนี.้ บทวา รโถ ไดแก รถคอื อรยิ มรรคอันประกอบดวยองค ๘. บทวาสลี ปรกิ ขฺ าโร ความวา รถมีจาตปุ าริสทุ ธิศีลเปนเคร่ืองประดับ. บทวาฌานกฺโข ความวา มเี พลาทาํ ดว ยฌาน ดวยสามารถแหง องคฌ าน ๕สัมปยุตดว ยวิปสสนา. บทวา จกฺกวรี ิโย คือมคี วามเพยี รเปนลอ อธบิ ายวาความเพียร ๒ กลาวคอื ทางกายและทางจติ เปนลอของความเพยี ร. บทวาอเุ ปกขฺ า ธรุ สมาธิ ความวา สมาธิของทบู ชือ่ วา ธรุ สมาธิ อธิบายวาความท่สี วนของแอกแมทง้ั สองสม่ําเสมอ เพราะไมมีอาการข้ึน ๆ ลง ๆ. ฝายตตั รมชั ฌตั ตเุ ปกขาน้ี ยอมนําความท่ีจิตตุปบาทหดหแู ละฟงุ ซานไปเสียแลวจึงดํารงจติ ในทา มกลางแหง การประกอบความเพยี ร เพราะฉะนั้น พระองคจึงตรสั วา เปนธรุ สมาธิของรถคอื มรรคน้.ี บทวา อนิจฉฺ า ปรวิ ารณความวา ความไมอ ยากได กลาวคืออโลภะของรถคอื อริยมรรคแมน้ี ชือ่ วาเปน ประทนุ เหมือนหนังราชสหี เปนตน เปน เคร่ืองหุมภายนอกรถฉะน้ัน. บทวา อพยฺ าปาโท ไดแก เมตตาและสว นเบอ้ื งตน แหงเมตตา.บทวา อวหิ ึสา ไดแ ก กรุณาและสวนเบอื้ งตนแหงกรณุ า. บทวา วเิ วโกไดแ ก วิเวก ๓ อยางมีกายวเิ วกเปนตน . บทวา ยสฺส อาวุธ ความวาอาวธุ ๕ อยาง อยา งน้ี ยอ มมีแกก ลุ บุตรผดู ํารงอยูใ นรถคืออริยมรรค คนยืนอยใู นรถ ยอมแทงสตั วท ัง้ หลายดว ยอาวุธ ๕ ไคฉนั ใด แมโ ยคาวจร ยืนอยูในรถแหงโลกยิ มรรค และโลกตุ รมรรคน้ี ยอ มแทงซ่งึ โทสะดวยเมตตา แทงความเบยี ดเบยี นดว ยกรุณา แทงความคลกุ คลีคณะดวยกายวิเวก แทงคลกุ คลีกิเลสดวยจติ วิเวก และแทงอกุศลทงั้ ปวงดวยอุปธวิ ิเวก ฉนั น้นั ดว ยเหตุนน้ั

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 19ทา นจึงกลาวอาวธุ ๕ อยางนัน้ ยอมเปนของกลุ บตุ รน้ัน. บทวา ตตี กิ ขฺ าความวา ความอดทนดว ยความอดกลนั้ คําของคนพูดชว่ั เลวทราม. บทวาจมมฺ สนฺนาโห ไดแ ก มหี นังเปน เกราะ เหมอื นคนรถสวมเกราะหนังยืนอยูบนรถยอ มอดทนตอลกู ศรท้ังหลายอันมาแลว และมาแลว ลูกศรท้งั หลายยอมแทงบุคคลน้ันไมได ฉนั ใด ภกิ ษุผปู ระกอบดว ยอธวิ าสนขนั ติ ยอ มอดทนถอยคาํ อนั มาแลวและมาแลว ได ถอยคาํ เหลา นัน้ ยอ มแทงภกิ ษุผูประกอบดวยอธิวาสนขนั ตไิ มได ฉนั นั้น. เพราะเหตนุ ้นั ทา นจึงกลาววา ความอดทนเปนเกราะหนัง. บทวา โยคกเฺ ขมาย วตฺตติ ความวา ยอมเปน ไปเพอ่ื ความเกษมจากโยคะ ๔ คอื เพื่อนิพพาน กลุ บตุ รผูมุงนพิ พานยอ มดาํ เนนิ ไปอยางเดยี วอธิบายวา ยอมไมหยุด ยอมไมท าํ ลาย ดังน.้ี บทวา เอตทตตฺ นิ สมฺภูต ความวา ยานคือมรรคน่ัน ยอ มชอื่ วาเกิดในตน เพราะความทตี่ นอาศยั การทาํ เยีย่ งบุรุษจงได. บทวา พรฺ หฺมยานอนุตฺตร ไดแก ยานอันประเสริฐ ไมม ยี านอ่นื เหมอื น. บทวา นยิ ฺยนตฺ ิธีรา โลกมฺหา ความวา ยานนั่น ยอ มมีแกชนเหลาใด ชนเหลาน้ันเปนนกั ปราชญ คอื คนพวกบณั ฑติ ยอมออก คอื ยอมไปจากโลก. บทวาอฺทตถฺ ุ ไดแ ก โดยสวนเดยี ว. บทวา ชย ชย ความวา ชัยชนะอยูซึง่ ขา ศกึ ทั้งหลายมรี าคะเปน ตน. จบอรรถกถาพราหมณสตู รท่ี ๔

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 20 ๕. กมิ ตั ถิยสตู ร ประพฤติพรหมจรรยเพอ่ื กาํ หนดรูทกุ ข [๒๕] สาวัตถีนิทาน. ครงั้ นั้นแล ภกิ ษุมากรูปเขาไปเฝาพระผมู ีพระภาคเจา ถงึ ทปี่ ระทบั ถวายบงั คมพระผูมีพระภาคเจา แลว นั่ง ณ ทคี่ วรสว นขางหนง่ึ ครั้นแลว ไดท ลู ถามพระผมู พี ระภาคเจา วา ขา แตพระองคผ เู จรญิ ขอประทานพระวโรกาส พวกอญั ญเดยี รถียป ริพาชก ถามพวกขาพระองคอยางนี้วา ดกู อนผูมอี ายุท้งั หลาย พวกทานอยปู ระพฤตพิ รหมจรรยใ นพระสมณโคดมเพื่อประโยชนอะไร พวกขาพระองคถ ูกถามอยา งน้ีแลว จึงพยากรณแ กพวกอัญญเดียรถียปริพาชกเหลานั้นอยางนี้วา ดูกอ นผูม อี ายทุ ้ังหลาย พวกเราอยปู ระพฤติพรหมจรรยใ นพระผมู พี ระภาคเจา เพอื่ กาํ หนดรูทุกข พวกขาพระองคถกู ถามอยางนีแ้ ลวพยากรณอ ยา งนี้ ชอ่ื วา กลาวตามพระดาํ รัสทพ่ี ระผูมพี ระภาคเจาตรัสไวแลว ไมก ลาวตพู ระผูมพี ระภาคเจา ดวยคาํ ไมจ ริงพยากรณธ รรมสมควรแกธ รรม ทงั้ การคลอยตามวาทะทถ่ี ูกไร ๆ จะไมพงึ ถึงฐานะอันวญิ ชู นพึงตเิ ตียนไดล ะหรอื . [๒๖] พระผูมีพระภาคเจา ตรัสวา ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ชางเถิดพวกเธอถกู ถามอยางนนั้ แลว พยากรณอ ยา งนนั้ ชอื่ วากลา วตามคาํ ท่เี รากลา วไวแลว ไมก ลา วตเู ราดว ยคาํ ไมจ ริง พยากรณธ รรมสมควรแกธรรม ทัง้ การคลอ ยตามวาทะทถ่ี กู ไร ๆ จะไมถึงฐานะอันวิญชู นพึงตเิ ตยี นได เพราะพวกเธออยูประพฤติพรหมจรรยในเรา เพื่อกําหนดรูทกุ ข. [๒๗] ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ถาพวกอัญญเดยี รถยี ป ริพาชก พึงถามพวกเธออยางน้ีวา ดูกอนผมู อี ายุทั้งหลาย ก็หนทางมอี ยหู รอื ปฏิปทาเพ่ือ

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 21กาํ หนดรูท กุ ขน ้นั มอี ยูห รือ พวกเธอถกู ถามอยา งนี้แลว พงึ พยากรณแ กพวกอญั ญเดียรถยี  ปริพาชกเหลานัน้ อยา งน้ีวา ดูกอนผูม อี ายทุ งั้ หลาย หนทางมีอยูปฏิปทาเพือ่ กาํ หนดรูทุกขน ัน้ มีอย.ู [๒๘] ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย ก็หนทางเปนไฉน ปฏิปทาเพ่ือกําหนดรทู กุ ขเปนไฉน อริยมรรคประกอบดวยองค ๘ น้แี ล คอื สัมมาทิฏฐิ ฯลฯสัมมาสมาธิ นีเ้ ปน หนทาง นเ้ี ปนปฏิปทาเพ่อื กําหนดรูทุกขน ั้น ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย พวกเธอถูกถามอยา งนนั้ แลว พึงพยากรณแ กพ วกอญั ญเดียรถีย-ปรพิ าชกเหลาน้นั อยางน้.ี จบกิมัตถิยสตู รท่ี ๕ อรรถกถากมิ ัตถยิ สตู ร พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในกิมัตถิยสตู รท่ี ๕. เอว ศพั ทใ นบทวา อยเมว มอี รรถแนนอน. ยอ มหามมรรคอืน่ดว ย เอว ศพั ทน ้นั . ในพระสูตรน้ี พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั ทกุ ขในวัฏฏะและมรรคเจือปนกนั . จบอรรถกถากิมัตถิยสูตรท่ี ๕

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 22 ๖. ปฐมภกิ ขุสูตร๑ มรรค ๘ เรียกวาพรหมจรรย [๒๙] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนน้ั แล ภกิ ษุรูปหนง่ึ เขา ไปเฝาพระผูมีพระภาคเจา ถงึ ทป่ี ระทับ ถวายบังคมพระผมู ีพระภาคเจา แลว นง่ั ณ ทค่ี วรสวนขา งหนึง่ ครัน้ แลวไดท ูลถามพระผมู ีพระภาคเจาวา ขาแตพระองคผูเจรญิที่เรยี กวาพรหมจรรย ๆ ดงั น้ี ก็พรหมจรรยเปนไฉน ทีส่ ดุ แหง พรหมจรรยเปนไฉน. [๓๐] พระผูม พี ระภาคเจาตรัสวา ดูกอนภิกษุ อรยิ มรรคประกอบดวยองค ๘ คอื สมั มาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นแ้ี ลเปนพรหมจรรย ความส้ินราคะ ความส้ินโทสะ ความสิ้นโมหะ น้ี เปน ที่สุดแหงพรหมจรรย. จบปฐมภิกขสุ ูตรท่ี ๖ ๗. ทุตยิ ภิกขุสูตร ความกาํ จดั ราคะ เปน ชื่อนิพพานธาตุ [๓๑] สาวัตถีนิทาน. ครงั้ นน้ั แล ภกิ ษุรปู หนึ่งเขาไปเฝา พระผมู ีพระภาคเจา ถึงท่ีประทับ ถวายบงั คมพระผมู ีพระภาคเจา แลว นงั่ ณ ท่คี วรสวนขางหนึง่ ครนั้ แลวไดท ูลถามพระผมู ีพระภาคเจาวา ขา แตพระองคผ ูเจรญิท่ีเรยี กวา ความกําจัดราคะ ความกําจดั โทสะ ความกําจดั โมหะ ดังนี้ คาํ วา๑. สตู รที่ ๖ ไมม อี รรถกถาแก

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 23ความกําจัดราคะ ความกาํ จดั โทสะ ความกําจัดโมหะ นเี้ ปนชื่อแหง อะไรหนอ พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ตอบวา ดกู อ นภิกษุ คาํ วา ความกําจดั ราคะความกาํ จัดโทสะ ความกาํ จดั โมหะ น้เี ปนชอ่ื แหง นิพพานธาตุ เพราะเหตุน้ัน จงึ เรียกวา ธรรมเปนทสี่ ้นิ อาสวะ. ความส้นิ ราคะ ชอ่ื วา อมตะ [๓๒] เมื่อพระผมู ีพระภาคเจาตรสั อยา งนแ้ี ลว ภกิ ษุนน้ั ไดท ลู ถามพระผมู พี ระภาคเจาวา ขา แตพระองคผเู จรญิ ทเ่ี รยี กวา อมตะ ๆ ดงั น้ี อมตะเปน ไฉน ทางทจ่ี ะใหถ ึงอมตะเปน ไฉน. พระผูมีพระภาคเจาตรสั วา ดกู อนภิกษุ ความสิน้ ราคะ ความสน้ิ โทสะความสนิ้ โมหะ น้ีเรยี กวาอมตะ อริยมรรคอนั ประกอบดว ย องค ๘ คอื สัมมา-ทฏิ ฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นแี้ ลเรียกวาทางที่จะใหถ ึงอมตะ. จบทตุ ยิ ภกิ ขสุ ูตรที่ ๗ อรรถกถาทุตยิ ภิกขสุ ตู ร พึงทราบวินจิ ฉัยในทุติยภกิ ขุสตู รท่ี ๗. บทวา นพิ ฺพานธาตยุ า โข เอต ภกิ เฺ ข อธิวจน ความวา นน่ัเปน ช่อื แหง นพิ พานธาตอุ ันปจจัยปรุงแตงไมได เปนอมตะ. บทวา อาสวานขโย เตน วจุ ฺจติ ทานแสดงวา อกี อยางหน่งึ เรยี กวา ธรรมเปน ทส่ี ิ้นอาสวะเพราะความกําจัดราคะเปนตน นน้ั เสยี ได. พระอรหัต ช่ือวา ความสนิ้ อาสวะ.บทวา ราควนิ โย เปน อาทิน่ัน เปนชอื่ แมข องพระอรหตั เทานั้น. บทวา

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 24เอตทโวจ ความวา เพราะภกิ ษนุ ัน้ เปนผูฉลาดในอนสุ นธิ เม่ือทลู ถามจึงไดก ราบทูลอยางนีว้ า พระศาสดาเม่อื ตรสั วา ธาตุ ก็ตรัสนพิ พานแกเราแลวสว นทางแหงนพิ พานนัน้ พระองคย งั ไมตรัส เราจกั ทูลใหพระองคตรัสทางแหงนพิ พานนัน้ จึงทูลถามดังน้ี . จบอรรถกถาทตุ ิยภกิ ขสุ ตู รท่ี ๗ ๘. วิภงั คสูตร อริยมรรค ๘ [๓๓] สาวัตถนี ิทาน. พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั กะภกิ ษุท้งั หลายวา ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย เราจกั แสดง จักจําแนกอริยมรรคอนั ประกอบดวยองค ๘แกเธอทงั้ หลาย เธอทง้ั หลายจงพงึ อรยิ มรรคน้ัน จงใสใ จใหด ี เราจักกลา วภกิ ษุพวกนัน้ ทูลรับพระดาํ รัสของพระผูมีพระภาคเจาแลว พระผูม พี ระภาคเจาตรสั วา ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย กอ็ รยิ มรรคอันประกอบดว ยองค ๘ เปน ไฉนคือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธ.ิ [๓๔] ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย กส็ มั มาทฏิ ฐิเปนไฉน ความรใู นทุกข ในทกุ ขสมทุ ยั ในทกุ ขนโิ รธ ในทกุ ขนิโรธคามินีปฏปิ ทา น้เี รียกวา สมั มาทิฏฐิ. [๓๕] ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย กส็ ัมมาสังกปั ปะเปน ไฉน ความดาํ รใิ นการออกจากกาม ความดําริในอันไมพยาบาท ความดําริในอันไมเบียดเบยี นนี้เรยี กวา สัมมาสังกัปปะ. [๓๖] ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย ก็สัมมาวาจาเปนไหน เจตนาเครือ่ งงา.เวน จากพูดเท็จ พดู สอ เสียด พดู คําหยาบ พดู เพอเจอ นี้เรยี กวา สัมมาวาจา.

พระสุตตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 25 [๓๗] ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย ก็สมั มากัมมันตะเปน ไฉน เจตนาเครือ่ งงดเวนจากปาณาตบิ าต อทินนาทาน จากอพรหมจรรย นเี้ รียกวา สัมมา-กมั มนั ตะ. [๓๘] ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย กส็ ัมมาอาชีวะเปนไฉน อรยิ สาวกในธรรมวินยั นี้ ละการเล้ยี งชีพที่ผดิ เสยี สาํ เรจ็ ชีวติ อยดู ว ยการเลีย้ งชีพทีช่ อบ น้ีเรียกวาสมั มาอาชวี ะ. [๓๙] ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย สัมมาวายามะเปน ไฉน ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นย้ี ังฉนั ทะใหเกดิ พยายาม ปรารภความเพยี ร ประคองจิตไว ต้ังจติ ไวเพ่อื มใิ หอกุศลธรรมอันลามกทยี่ งั ไมเกดิ บงั เกิดข้นึ เพ่ือละอกศุ ลธรรมอันลามกทีบ่ งั เกิดข้นึ แลว เพอ่ื ใหก ุศลธรรมทีย่ งั ไมเกิดบังเกดิ ขึน้ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจติ ไว เพ่อื ความตง้ั ม่ัน ไมฟ น เฟอน เพมิ่ พูน ไพบลู ย เจริญบริบูรณ แหงกุศลธรรมที่บงั เกิดข้ึนแลว นเี้ รียกวา สัมมาวายามะ. [๔๐] ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย กส็ ัมมาสตเิ ปนไฉน ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยันี้ยอ มพจิ ารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู มคี วามเพยี ร มสี ัมปชญั ญะ มสี ติพึงกาํ จัดอภชิ ฌาและโทมนัสในโลกเสีย ยอ มพจิ ารณาเหน็ เวทนาในเวทนาเนือง ๆ อยู มีความเพยี ร มีสมั ปชัญญะ มีสติ พึงกําจดั อภิชฌาและโทมนสัในโลกเสยี ยอ มพิจารณาเหน็ จิตในจติ เนอื ง ๆ อยู มคี วามเพยี ร มีสมั ปชัญญะมีสติ พงึ กาํ จัดอภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกเสยี ยอ มพจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมเนือง ๆ อยู มีความเพียร มีสมั ปชัญญะ มสี ติ พึงกาํ จัดอภชิ ฌาและโทมนัสในโลกเสีย นีเ้ รียกวา สัมมาสติ. [๔๑] ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลาย ก็สมั มาสมาธเิ ปน ไฉน ภกิ ษใุ นธรรมวินัยนี้สงดั จากกาม สงดั จากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวจิ าร มปี ติและสุขเกิดแตวเิ วกอยู เธอบรรลุทุตยิ ฌาน มีความผองใสแหง จิตในภายใน

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 26เปนธรรมเอกผดุ ข้นึ ไมม ีวติ ก ไมมีวิจาร เพราะวติ กวจิ ารสงบไป มปี ต ิและสุขเกิดแตส มาธอิ ยู เธอมีอเุ บกขา มีสติ มีสมั ปชญั ญะ เสวยสุขดว ยนามกาย เพราะปตสิ ้ินไป บรรลตุ ติยฌานทีพ่ ระอรยิ เจาทง้ั หลายสรรเสรญิ วา ผูไดฌ านน้ีเปน ผูมอี เุ บกขา มีสติ อยูเปนสขุ เธอบรรลุจตุตถฌาน ไมมที ุกขไมมสี ุข เพราะละสขุ ละทกุ ข และดบั โสมนัสกอน ๆ ได มอี เุ บกขาเปน เหตุใหส ติบรสิ ุทธอ์ิ ยู นี้เรียกวา สมั มาสมาธิ. จบวิภงั คสูตรที่ ๘ อรรถกถาวิภังคสตู ร พึงทราบวนิ ิจฉยั ในวิภงั คสตู รท่ี ๘. บทวา กตมา จ ภกิ ฺขเว สมฺมาทิฏิ ความวา พระผูมีพระ-ภาคเจา ทรงจาํ แนกมรรคอันประกอบดวยองค ๘ โดยปริยายนัน้ แลว ทรงเรม่ิ เทศนานี้ เหมอื นทรงประสงคจะจําแนกโดยปริยายอื่นอีก. ในบทเหลา นั้น บทวา ทุกฺเข าณ ความวา ญาณอืน่ เกิดขน้ึดว ยอาการ ๔ ดวยสามารถการฟง ๑ การพจิ ารณารอบคอบ ๑ การแทงตลอด ๑การพิจารณา ๑. แมในสมุทัยก็มีนัยนเ้ี หมือนกัน. สวนในสองบททเี่ หลือ(นโิ รธและมรรค) ญาณ ๓ อยา งเทาน้ัน ยอมควรเพราะการพจิ ารณาไมม ีกัมมัฏฐานในสัจจะ ๔ นี้ พระองคทรงแสดงแลว ดวยบทวา ทกุ เฺ ข าณเปน ตนดว ยอาการอยางน้.ี ในบทเหลานน้ั สจั จะ ๒ ขางตน เปน วฏั ฏะ ๒ ขางปลายเปนวิวัฏฏะ ในวัฏฏะและววิ ัฏฏะเหลานัน้ ความยดึ มั่นในกัมมัฏฐานของภกิ ษุมใี น

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 27วัฏฏะ ในววิ ฏั ฏะความยดึ มน่ั ไมมี. กโ็ ยคาวจรเมือ่ เรียนซึง่ สจั จะ ๒ ขา งตนในสาํ นักของอาจารย ทองดวยวาจาบอ ย ๆ โดยสังเขปอยา งนี้ ปฺจกขฺ นฺธาทกุ ขฺ  ตณฺหาสมุทโย และโดยพสิ ดารมนี ยั เปน อาทิวา กตเม ปจฺ กฺขนฺธารปู กฺขนฺโธ แลวจงึ ทาํ กรรม. สวนในสจั จะ ๒ นอกน้ี เธอยอ มทํากรรมดว ยการฟงอยา งน้ีวา นิโรธสจั จะ นาปรารถนา นา ใคร นาพอใจ มรรคสัจจะนา ปรารถนา นาใคร นาพอใจ เธอเม่ือทําอยางนี้ ยอ มแทงตลอดซงึ่ สจั จะ ๔ดวยปฏิเวธอยา งหนึ่ง ยอ มตรัสรดู ว ยการตรัสรูอยา งหนึง่ ยอ มแทงตลอดทกุ ขไ ดด ว ยการกําหนดรู ซ่ึงสมุทัยไดดว ยการละ ซง่ึ นิโรธไดดว ยการทาํ ใหแจง ยอมแทงตลอดมรรคไดดวยการเจริญ. ยอมตรสั รทู ุกขได ดวยการกาํ หนดรู ฯลฯ ยอมตรสั รมู รรคไดด ว ยการเจรญิ . การเรียน การไตถาม การฟง การทรงไว การพิจารณาและการแทงตลอด ยอ มมีในสจั จะ ๒ (ทุกข สมุทยั ) ในสวนเบอื้ งตนแหงสจั จะ ๔ ดว ยประการอยา งน้ี. การฟงและการแทงตลอดเทา นนั้ ยอ มมใี นสัจจะ ๒ (นโิ รธ มรรค) ในกาลตอ มา วาโดยกจิ ปฏเิ วธธรรมยอ มมีในสจั จะ ๓ (ทกุ ข สมทุ ยั มรรค). ในนโิ รธ มปี ฏเิ วธเปน อารมณ. สว นปฏเิ วธ ยอมมีแกสจั จะ ๔ ดวยการพจิ ารณา. แตการกําหนดในเบ้อื งตนยอมไมม ี. ความหว งใย การรวบรวม การทาํ ไวใ นใจ และการพจิ ารณายอ มไมมแี กภ ิกษุนี้ผูก ําหนดอยูในเบอ้ื งตนวา เรายอ มกําหนดรทู ุกข ยอ มละสมุทัย ยอมทําใหแจง ซึง่ นิโรธ เรายอมยังมรรคใหเกิด. ความหวงใยเปนตนยอ มมจี ําเดมิ แตก ารกาํ หนด. แตในกาลตอมา ทกุ ข ยอมเปนอันเธอกําหนดรูแลว แล ฯลฯ มรรค ยอ มเปน อันเธอทําใหเ กดิ แลว . ในสัจจะ ๔ เหลานนั้ สจั จะ ๒ ช่ือวา เปนธรรมลุมลกึ เพราะเห็นไดยาก. สัจจะ ๒ ช่ือวา เห็นไดยาก เพราะเปนธรรมลมุ ลึก. จริงอยู

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 28ทุกขสัจจะ ก็ปรากฏได เพราะความเกดิ ขึ้น ยอ มถึงแมซ่ึงอันตนพงึ กลา ววาทกุ ขห นอ ในการกระทบดวยตอและหนามเปน ตน . แมส มทุ ยั กป็ รากฏไดเพราะความเกิดขึน้ ดว ยสามารถมีความเปนผใู ครเ พอื่ จะเคย้ี วกินและจะบริโภคเปน ตน . แตว า โดยการแทงตลอดถึงลักษณะ ทกุ ขและสมทุ ยั สจั แมท้งั สองก็เปนธรรมลมุ ลกึ . สัจจะเหลานน้ั ช่อื วา เปนธรรมอันลมุ ลกึ . เพราะเห็นไดย าก ดวยประการดงั น้.ี ความพยายามเพื่อตองการเห็นสัจจะทงั้ สองนอกน้ี(นิโรธ มรรค) ยอมเปน เหมอื นการเหยียดมือไปเพ่ือจับภวคั คพรหมเหมือนการเหยียดเทา ไปเพอื่ ถูกตองอเวจี และเหมอื นการยงั ปลายแหง ขนหาง-สตั วซ งึ่ แยกแลวโดย ๗ สวน ใหต กสปู ลาย. สจั จะเหลานั้น ชือ่ วา เปนธรรมลุมลึก เพราะเห็นไดยากดว ยประการดังนี.้ บทเปน อาทวิ า ทกุ ฺเข าณ น้ีพระผูม ีพระภาคเจาตรัสแลว ดว ยสามารถการเรยี นเปนตน ในสจั จะ ๔ ชือ่ วาเปนธรรมลมุ ลึก เพราะเหน็ ไดยาก และชอื่ วา เปนธรรมเห็นไดย ากเพราะเปนธรรมลมุ ลึก ดว ยประการดงั นี.้ สว นญาณนน้ั ยอมมีอยางนแ้ี ลในลกั ษณะแหง ปฏิเวธ. พึงทราบในบท เนกขัมมสงั กัปปะเปนอาทิ ความดาํ ริในการออกจากกามวา เกดิ ขึ้นแลว โดยภาวะท่ีออกไปจากกาม เพราะอรรถวา เปน ขา ศกึตอ กามบาง เกดิ ขึน้ แลวแกผพู จิ ารณากามอยดู งั นบี้ า งวา เมอ่ื ทาํ การกําจดั กามใหก ามสงบกเ็ กิดขนึ้ ดงั นี้บาง วา เมอื่ สงดั จากกามก็เกิดขน้ึ ดังนบี้ า ง. แมใ นสองบททีเ่ หลอื กม็ นี ัยน้ีเหมอื นกนั . สว นธรรมมีเนกขัมมสงั กปั ปะเปนตนเหลาน้ันแมท ้ังหมด ช่ือวา ตา งกันในสว นเบอ้ื งตน เพราะความหมายในการงดเวน จากกาม จากพยาบาท และจากวิหงิ สามสี ภาวะตา งกัน. สวนในขณะแหง มรรค ความดาํ รใิ นกุศลอยางเดยี วเทานนั้ ยอ มเกดิ ขน้ึ ยังองคแ หงมรรคใหบริบรู ณอ ยู ดวยสามารถใหสาํ เร็จความไมเกดิ ขึน้

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 29เพราะขาดกับบทแหง ความดาํ ริในอกศุ ลอันเกดิ นน้ั ในฐานะทง้ั ๓ เหลา น้ีนี้ช่อื วา สมั มาสงั กปั ปะ. ธรรมแมม ีเจตนาเคร่อื งงดเวน จากพูดเทจ็ เปนตน ช่อื วา ตางกันในสว นเบ้ืองตน เพราะความหมายในการงดเวน จากพดู เทจ็ เปนตน มีภาวะตา งกัน.สวนในขณะแหง มรรค เจตนาเครื่องงดเวน เปน กศุ ลอยางเดยี วเทาน้นั ยอ มเกิดข้นึ ยังองคมรรคใหบรบิ ูรณอยดู ว ยสามารถใหสําเรจ็ ความไมเ กดิ ข้ึนเพราะขาดกบั บทเจตนาเครอื่ งทศุ ีล อันเปนอกุศล ซ่งึ เกดิ ขน้ึ ในฐานะทั้ง ๔เหลา น้ี น้ีช่อื วา สมั มาวาจา. ธรรมแมม เี จตนาเครอ่ื งงดเวน จากปาณาติบาตเปน ตน ช่ือวา ตา งกันในสว นเบอื้ งตน เพราะความหมายในการงดเวนจากปาณาติบาตเปนตนมภี าวะตา งกัน. สวนในขณะแหงมรรค เจตนาเครอื่ งงดเวน อนั เปนกศุ ลอยา งเดยี วยอมเกิดขึ้น ยังองคแ หง มรรคใหบ ริบูรณอยู ดว ยสามารถใหส ําเรจ็ ความไมเกิดขึน้ เพราะขาดกบั บทโดยไมท ําเจตนาเครือ่ งทศุ ลี อนั เปนอกุศลซึ่งเกิดขน้ึในฐานะทั้ง ๓ เหลานี้ น้ีช่อื วา สมั มากมั มนั ตะ. บทวา มิจฺฉาอาชีว ไดแ ก ทุจรติ ทางกายและทางวาจา อนั ตนใหเปน ไปแลว เพ่ือตองการของควรเคี้ยวและของควรบริโภคเปนตน. บทวาปหาย คอื เวน . บทวา สมฺมาอาชเี วน ไดแ ก ดวยการเล้ียงชพี อนัพระพุทธเจาสรรเสรญิ แลว . บทวา ชวี ิต กปฺเปติ ความวา ยอมยงั ความเปน ไปแหง ชวี ิตใหเ ปน ไป แมสมั มาอาชีวะ ชอ่ื วา ตา งกันในเบื้องตน เพราะความหมายในการงดเวนจากการหลอกลวงเปนตนมภี าวะตา งกัน. สว นในขณะแหงมรรค เจตนาเคร่อื งงดเวน เปน กศุ ลอยางเดียวเทานน้ั ยอ มเกิดข้ึนยังองคแหงมรรคใหบ รบิ รู ณอ ยูด วยสามารถใหสาํ เร็จความไมเ กิดข้นึ เพราะ

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 30ขาดกบั บทเจตนาเครอ่ื งทศุ ลี อันเปนมิจฉาชพี ซงึ่ เกดิ ขนึ้ ในฐานะทัง้ ๗เหลานี้แล น้ีชื่อวา สมั มาอาชวี ะ. บทวา อนุปฺปนฺนาน ความวา เหน็ อารมณท ั้งหลายเห็นปานนั้นในเรือนแหง หน่ึง ยอ มยังฉนั ทะใหเกดิ เพอื่ ความไมเกดิ ขนึ้ แหงอกุศลธรรมอันเปน บาปซงึ่ ยังไมเ กิดขึ้นแกต น หรอื วาเห็นอารมณท งั้ หลาย ทกี่ ําลงั เกิดขนึ้แกผูอนื่ ยอมยังฉันทะใหเ กดิ เพ่ือความไมเ กดิ ขน้ึ แหงอกุศลธรรมอนั เปนบาป ซงึ่ ยงั ไมเ กดิ ขึน้ อยางนี้วา โอหนอ ธรรมอันเปน บาปเหน็ ปานนี้ไมพึงเกิดข้นึ แกเรา ดังน.ี้ บทวา ฉนฺท ความวา ยอมยังวิรยิ ฉนั ทะเปนเหตุใหส ําเร็จแหง การปฏิบัติมใิ หอ กุศลธรรมเหลาน้นั เกิดขนึ้ ใหเกิดข้นึ .บทวา วายมติ ไดแ ก ยอ มทําความพยายาม. บทวา วริ ยิ  อารภติไดแก ยอมยงั ความเพยี รใหเปน ไป. บทวา จิตตฺ  ปคฺคณฺหาติ ความวายอ มทําจติ อนั ความเพียรประคองไวแลว. บทวา ปทหติ ความวา ยอมยงัความเพยี รไหเปนไปวา หนัง เอน็ และกระคะจงเหอื ดแหงไปกท็ ามเถิด. บทวาอปุ ฺปนฺนาน ความวา เคยเกดิ ขึ้นแลว แกตน ดว ยสามารถความฟงุ ซานยอมยงั ฉนั ทะใหเ กดิ เพ่ือละอกุศลธรรมเหลา นัน้ ดว ยคดิ วา บดั นี้ เราจักไมใหอกุศลธรรมทงั้ หลายเชน น้นั เกิดข้นึ . บทวา อนปุ ฺปนฺนาน กุสลาน ความวา กุศลธรรมมีปฐมฌานเปนตน ทย่ี ังไมไ ด. บทวา อปุ ปฺ นฺนาน ไดแ ก กศุ ลธรรมเหลาน้นั นนั่ แลท่ตี นไดแ ลว . บทวา ติ ยิ า ความวา เพอ่ื ความตั้งมนั่ ดว ยสามารถความเกดิ ขน้ึ ติดกันบอย ๆ. บทวา อสมฺโมสาย ไดแก เพอื่ ความไมส ญู หาย.บทวา ภิยโฺ ย ภาวาย ไดแ ก เพือ่ สงู ข้นึ ไป. บทวา เวปุลฺลาย ไดแกเพ่ือความไพบูลย. บทวา ปารปิ รู ิยา ไดแก เพือ่ ใหภาวนาบริบรู ณ.สมั มาวายามะ แมนชี้ ่อื วา ตา งกันในสวนเบ้อื งตน เพราะอกศุ ลธรรมทยี่ ัง

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 31ไมเกดิ คิดมิใหเ กดิ เปน ตน มภี าวะตา งกนั . สว นในขณะแหง มรรคความเพยี รเปนกุศลอยา งเดยี วเทา นนั้ ยอ มเกิดขึน้ ยงั องคม รรคใหบ รบิ ูรณอ ยู ดวยสามารถใหส าํ เรจ็ กิจ ในฐานะ ๔ เหลา นแ้ี ล น้ชี อ่ื วา สมั มาวายามะ. แมส มั มาสติ ชอ่ื วา ตา งกันในสวนเบ้อื งตน เพราะความตางกันแหง จติ กาํ หนดกายเปน ตน . สวนในขณะแหงมรรค สติอยางเดยี ว ยอมเกดิ ข้ึนยังองคแ หง มรรคใหบรบิ ูรณอ ยู ดว ยสามารถใหส ําเรจ็ กจิ ในฐานะ ๔ เหลา น้ีนี้ชอื่ วา สมั มาสติ. พึงทราบในฌานเปนตน ในสวนเบ้อื งตน สัมมาสมาธิ ตา งกันดว ยสามารถสมาบัติ ในขณะแหงมรรค ดว ยสามารถมรรคที่ตา งกนั . จรงิ อยูปฐมมรรคของฌานอยา งหน่งึ ยอ มมปี ฐมฌาน แมทตุ ิยมรรคเปน ตน มีปฐมฌาน หรือมีฌานอยา งใด อยางหนึ่ง ในทุตยิ ฌานเปน ตน ปฐมมรรคของฌานอยา งหน่ึง ยอ มมีฌานอยา งใด อยา งหนึ่ง แหง ทุติยฌานเปนตน .แมท ตุ ยิ มรรคเปน ตน มฌี านอยางใด อยางหนงึ่ แหงทุติยฌานเปนตนหรือมปี ฐมฌาน. มรรคแม ๔ จะเหมือนกนั ไมเ หมอื นกนั หรือเหมือนกันบางอยา ง ยอ มมดี ว ยสามารถแหง ฌาน อยางนี้แล. สวนความตา งกนั แหง มรรคนี้ ยอ มมีดวยการกาํ หนดฌานทีเ่ ปนบาท.จริงอยู มรรคที่เกดิ ขนึ้ แกผ ูไดป ฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแลว เหน็ แจง อยูยอมมปี ฐมฌานดว ยการกําหนดฌานท่เี ปนบาท. สวนในฌานน้ี ยอมมอี งคแหงมรรคโพชฌงคและฌานบรบิ รู ณแ ลวแล. มรรคทเ่ี กดิ ข้ึนแกผูออกจากทตุ ยิ ฌานแลว เหน็ แจงอยู ยอ มมที ตุ ยิ ฌาน. สวนในฌานนี้ องคม รรคมี ๗ มรรคทเ่ี กิดขึ้นแกผูออกจากตตยิ ฌานเหน็ แจง อยู ยอมมตี ติยฌานก็ในฌานนีม้ ีองคม รรค ๗โพชฌงคมี ๖. ตั้งแตจ ตุตถฌานจนถึงเนวสญั ญานาสญั ญายตนะกม็ ีนัยน้.ี จตกุ กฌานและปญ จมกฌานในอรูปฌานยอ มเกิดขนึ้ และฌานนั้นทานกลาววา เปน โลกตุ ระหาเปน โลกยิ ะไม ดังน.้ี

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 32 แมใ นบทวา กถ นี้ในบทน้นั มรรคนนั้ เกิดข้ึนแลว ในอรูปฌานเพราะออกจากปฐมฌานเปน ตน ไดโสดาปตตมิ รรคเจริญอรูปสมาบัต.ิมรรค ๓ แมมฌี านนน้ั ยอ มเกิดข้นึ ในอรปู ฌานนน้ั ของฌานน้นั . ฌานทเ่ี ปนบาท ยอ มกําหนดอยางนี้แล. สว นพระเถระบางพวกยอมกลาววา ขันธเ ปนอารมณของวิปส สนา ยอมกาํ หนด. บางพวกกลาววาอธั ยาศยั ของบคุ คลยอมกาํ หนด. บางพวกยอ มกลาววา วฏุ ฐานคามนิ วี ปิ ส สนายอ มกาํ หนด. การวนิ ิจฉยั ในวาทะของพระเถระเหลา นน้ั พงึ ทราบโดยนัยอนั กลาวไวแลว ในอธิการวา ดว ยวุฏฐานคามินวี ิปสสนา ในวสิ ุทธิมรรค.บทวา อย วจุ จฺ ติ ภิกฺขเว สมมฺ าสมาธิ ดงั น้ี นเี้ ปนโลกยิ ะในสว นเบ้อื งตน ในสว นเบอ้ื งปลายเปนโลกตุ ระ ทา นเรยี กวา สมาธิ. จบอรรถกถาวภิ ังคสูตรที่ ๘ ๙. สกุ สูตร มรรคภาวนาที่ตั้งไวผิด [๔๒] สาวตั ถนี ทิ าน. ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย เปรยี บเหมือนเดอื ยขา วสาลี หรอื เดือยขา วยวะทบ่ี คุ คลตง้ั ไวผ ิด มือหรือเทา ย่าํ เหยยี บแลว จักทาํ ลายมอื หรอื เทา หรือวาจกั ใหห อเลอื ด ขอนี้มใิ ชฐานะที่จะมไี ด ขอ นนั้ เพราะเหตไุ ร เพราะเดอื ยบคุ คลตั้งไวผดิ ฉนั ใด ภิกษุน้นั แล กฉ็ นั น้ันเหมือนกันจกั ทาํ ลายอวิชชา จกั ยังวชิ ชาใหเ กิด จักทํานิพพานใหแ จง ดว ยความเหน็ ท่ี

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 33ตงั้ ไวผิด ดวยการเจรญิ มรรคท่ีต้ังไวผ ิด ขอ น้ีมใิ ชฐานะที่จะมีได ขอนน้ัเพราะเหตไุ ร เพราะความเห็นตั้งไวผ ิด. มรรคภาวนาทต่ี ั้งไวถูก [๔๓] ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย เปรียบเหมอื นเดือยขา วสาลี หรอื เดอื ยขาวยวะทบ่ี คุ คลตง้ั ไว ถูกมอื หรอื เทา ยํา่ เหยียบแลว จกั ทําลายมอื หรอื เทาหรอื วาจักใหหอ เลอื ด ขอนเ้ี ปนฐานะท่ีมีได ขอนั้นเพราะเหตไุ ร เพราะเดือยบคุ คลตัง้ ไวถูก ฉนั ใด ภิกษนุ น้ั แล กฉ็ ันนนั้ เหมอื นกัน จักทาํ ลายอวชิ ชาจักยังวชิ ชาใหเกิด จักทาํ นพิ พานใหแจง ดว ยความเห็นทตี่ ้งั ไวถ กู ดวยการเจรญิ มรรคทต่ี ้งั ไวถูก ขอ น้เี ปนฐานะทมี่ ไี ด ขอ น้นั เพราะเหตุไร เพราะความเหน็ ต้ังไวถ ูก. [๔๔] ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย กภ็ ิกษุจกั ทําลายอวชิ ชา จักยงั วิชชาใหเ กิด จักทาํ นพิ พานใหแ จง ดวยความเหน็ ทีต่ ัง้ ไวถ กู ดวยการเจรญิ มรรคทตี่ ้งั ไวถูกอยางไรเลา. ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ ยอมเจรญิ สัมมาทิฏฐิอันอาศยั วิเวกอาศยั วริ าคะ อาศยั นโิ รธ นอ มไปในการสละ ฯลฯ ยอ มเจรญิ สัมมาสมาธิอันอาศยั วเิ วก อาศยั วริ าคะ อาศยั นโิ รธ นอมไปในการสละ ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย ภิกษจุ กั ทําลายอวิชชา จักยังวชิ ชาใหเกดิ จกั ทํานพิ พานใหแจงดวยความเห็นทีต่ งั้ ไวถ กู ดวยการเจรญิ มรรคทีต่ ัง้ ไวถูก อยา งน้แี ล. จบสกุ สูตรท่ี ๙

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 34 อรรถกถาสกุ สูตร พึงทราบวินิจฉยั ในสุกสูตรท่ี ๙ บทวา มจิ ฺฉาปณหิ ติ  ความวา ชื่อวา เดือยเขาตัง้ ไวในทีส่ ูง ยอมทําลายมอื หรือเทา แตไมตงั้ ไวอ ยา งนนั้ ชอื่ วา ตัง้ ไวผ ดิ . บทวา มิจฉฺ า-ปณหิ ิตาย ทิฏ ิย ไดแ ก ดวยกมั มัสสกตปญ ญาที่ตัง้ ไวผ ิด. บทวา อวชิ ชฺ เฉจฉฺ ติ ความวา จักทาํ ลายอวิชชาอันปด บังสัจจะ ๔. บทวา วชิ ฺชอุปฺปาเทสสฺ ติ ความวา จักยังวิชชาคืออรหัตมรรคใหเ กดิ ขน้ึ . บทวามจิ ฺฉาปณิหติ ตตฺ า ภิกฺขเว ทิฏ ิยา ความวา เพราะกัมมัสสกตปญ ญาและมรรคภาวนาตง้ั ไวผ ดิ คอื เพราะไมป ระพฤตติ ามกมั มัสสกตญาณใหมรรคภาวนา. ในพระสตู รน้ี พระผูมีพระภาคเจา ทรงทาํ กมั มสั สกตญาณใหอาศยั มรรคแลว จงึ ตรสั มรรคคลกุ เคลากนั . จบอรรถกถาสกสุ ูตรท่ี ๙ ๑๐. นนั ทิยสูตร ธรรม ๘ เปนเหตใุ หถ ึงพระนพิ พาน [๔๕] สาวตั ถนี ิทาน. ครง้ั น้นั แล นันทิยปรพิ าชกเขาไปเฝาพระ-ผมู ีพระภาคเจาถงึ ทีป่ ระทับ ไดป ราศรัยกับพระผูม ีพระภาคเจา ครนั้ ผานการปราศรยั พอใหร ะลกึ ถงึ กันไปแลว จงึ นั่ง ณ ทค่ี วรสวนขา งหนึ่ง คร้นั แลวไดท ูลถามพระผูม พี ระภาคเจา วา ขา แตพ ระโคดมผเู จริญ ธรรมเทา ไรหนอแล

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 35ทบ่ี คุ คลเจริญแลว กระทาํ ใหม ากแลว เปน เหตใุ หถ ึงนพิ พาน มีนพิ พานเปนเบือ้ งหนา มีนพิ พานเปน ทส่ี ดุ . พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสวา ดูกอนนนั ทยิ ะ ธรรม ๘ ประการน้ี ที่บคุ คลเจริญแลว กระทาํ ใหม ากแลว เปน เหตใุ หถ งึ นิพพาน มนี พิ พานเปนเบือ้ งหนา มนี ิพพานเปนทสี่ ดุ ธรรม ๘ ประการเปนไฉน คือ สัมมาทฏิ ฐิ ฯลฯสัมมาสมาธิ ดกู อ นนนั ทยิ ะ ธรรม ๘ ประการนี้ ท่ีบคุ คลเจริญแลว กระทาํใหม ากแลว เปน เหตใุ หถงึ นิพพาน มนี พิ พานเปน เบ้อื งหนา มนี พิ พานเปนที่สุด. [๔๖] เมือ่ พระผูมีพระภาคเจา ตรสั อยา งนี้แลว นนั ทิยปรพิ าชกไดกราบทูลพระผมู พี ระภาคเจา วา ขา แตท านพระโคดม ภาษติ ของพระองคแจมแจง นัก ขาแตท า นพระโคดม ภาษิตของพระองคแจมแจง นกั ขาแตทานพระโคดม ทานพระโคดมทรงประกาศธรรมโคยอเนกปรยิ าย เปรยี บเหมือนบุคคลหงายของท่ีควาํ่ เปด ของทีป่ ด บอกทางแกคนหลงทาง หรอืตามประทีปไวในทม่ี ดื ดว ยหวังวาผูม จี กั ษจุ กั เหน็ รปู ฉะน้ัน ขาพระองคขอถึงทานพระโคดม กับทง้ั พระธรรมและพระภิกษุสงฆว าเปนสรณะ ขอทา นพระโคดมโปรดทรงจําขา พระองควา เปน อบุ าสกถงึ สรณะจนตลอดชีวิต จาํ เดิมแตว นั นเ้ี ปน ตนไป. จบนันทยิ สตู รท่ี ๑๐ จบอวชิ ชาวรรคที่ ๑

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 36 อรรถกถานันทยิ สตู ร พึงทราบวินิจฉยั ในนนั ทยิ สูตรท่ี ๑๐. บทวา ปริพฺพาชโก ไดแ ก ปริพาชกผนู ุงผา . คําทเ่ี หลอื ในนนั ทยิ สตู รนี้งายทง้ั น้ันแล. จบอรรถกถานันทิยสตู รท่ี ๑๐ จบอวชิ ชาวรรคที่ ๑ รวมพระสูตรที่มใี นวรรคน้ี คือ ๑. อวชิ ชาสตู ร ๒. อุปฑ ฒสตู ร ๓. สารปี ุตตสตู ร ๔. พราหมณสตู ร ๕. กิมตั ถยิ สตู ร ๖. ปฐมภิกขุสตู ร ๗. ทุติยภิกขุสูตร ๘. วิภังคสตู ร๙. สุกสตู ร ๑๐. นนั ทยิ สูตร พรอมทงั้ อรรถกถา.

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 37 วิหารวรรคที่ ๒ ๑. ปฐมวิหารสูตร เวทนามี เพราะความเหน็ ผิดเปนปจ จยั [๔๗] สาวัตถีนิทาน. พระผูม พี ระภาคเจา ตรสั กะภกิ ษุทงั้ หลายวาดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย เราปรารถนาจะหลกี เรน อยูต ลอดกึง่ เดอื น ใคร ๆ ไมพงึ เขาไปหาเรา นอกจากภกิ ษุผนู ําบิณฑบาตไปใหรปู เดยี ว ภิกษทุ ้ังหลายรบัพระดํารสั ของพระผูมีพระภาคเจา แลว ในก่งึ เดือนนี้ไมมใี ครเขา ไปเฝาพระผมู ีพระภาคเจา นอกจากภกิ ษุผูนาํ บิณฑบาตไปถวายรูปเดยี ว. [๔๘] ครงั้ นน้ั พระผูม ีพระภาคเจาทรงออกจากท่หี ลกี เรนโดยลวงไปกงึ่ เดือนนน้ั แลว ตรสั เรยี กภิกษทุ ัง้ หลายมาแลวตรสั วา ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลายเราแรกตรสั รู ยอ มอยูดวยวิหารธรรมอนั ใด เราอยแู ลว โดยสว นแหง วหิ ารธรรมอันนั้น เรารชู ดั อยางนว้ี า เวทนายอ มมี เพราะความเหน็ ผิดเปน ปจ จยับาง เพราะความเหน็ ชอบเปน ปจ จัยบาง เพราะความดํารผิ ิดเปน ปจ จยั บางเพราะความดาํ รชิ อบเปนปจจัยบาง เพราะเจรจาผิดเปน ปจจยั บา ง เพราะเจรจาชอบเปน ปจ จยั บาง เพราะการงานผิดเปนปจ จัยบาง เพราะการงานชอบเปน ปจ จยั บา ง เพราะเลยี้ งชพี ผดิ เปน ปจ จยั บา ง เพราะเลย้ี งชพี ชอบเปนปจจัยบาง เพราะพยายามผิดเปน ปจ จยั บาง เพราะพยายามชอบเปนปจ จยั บา งเพราะความระลึกผิดเปน ปจ จยั บาง เพราะความระลกึ ชอบเปนปจจยั บางเพราะความตั้งใจผิดเปนปจ จัยบาง เพราะความต้งั ใจชอบเปนปจ จัยบา ง


























Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook