Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_46

tripitaka_46

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:41

Description: tripitaka_46

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 1 พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ที่ ๑ ภาคท่ี ๕ ขอนอบนอมแดพระผมู ีพระภาคอรหันตสัมมาสมั พทุ ธเจา พระองคน น้ั อุรควรรคท่ี ๑ สุตตนบิ าต อรุ คสูตรท่ี ๑ วาดว ยการกําจดั ความช่วั เหมือนพษิ งู [๒๙๔] ภกิ ษใุ ดแล ยอมกําจดั ความโกรธทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว เหมือนหมอกาํ จัดพษิ งูท่ี ซานไปแลวดว ยโอสถ ฉะนน้ั ภิกษุน้นั ชือ่ วา ยอมละซ่งึ ฝง ในและฝง นอกเสยี ได เหมอื น งูละคราบเกาทค่ี ร่ําคราแลวฉะน้นั . ภกิ ษุใดตดั ราคะไดข าด พรอ มท้งัอนุสยั ไมม ีสวนเหลอื เหมอื นบุคคลลงไป ตัดดอกปทุมซง่ึ งอกขน้ึ ในสระฉะนน้ั ภิกษุน้นั ชือ่ วายอมละฝง ในและฝง นอกเสียไดเหมอื นงลู ะคราบเกาทค่ี รํ่าคราแลวฉะนน้ั .

พระสุตตันตปฎก ขุททกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 2 ภิกษุใดยงั ตณั หาใหเหอื ดแหง ไปทีละนอย ๆ แลว ตดั เสยี ใหข าดโดยไมเ หลือ ภกิ ษุน้นั ช่ือวายอ มละซ่ึงฝง ในและฝง นอกเสียไดเหมอื นงลู ะคราบเกาทค่ี รา่ํ ครา แลวฉะนน้ั . ภิกษใุ ดถอนมานะพรอ มทัง้ อนสุ ยัไมมีสวนเหลอื เหมอื นหว งน้าํ ใหญถอน-สะพานไมออท่ที รุ พลฉะนัน้ ภิกษุน้ันชอ่ื วายอมละฝงในและฝงนอกเสียได เหมอื นงูละคราบเกา ที่ครา่ํ คราแลว ฉะนนั้ . ภิกษใุ ดคน ควาอยู (ดวยปญญา) ไมประสบอัตภาพอันเปน สาระในภพทั้งหลายเหมอื นพราหมณค น ควาอยู ไมประสบดอกท่ีตนมะเดอ่ื ฉะนัน้ ภิกษุนัน้ ชอ่ื วา ยอ มละซึ่งฝง ในและฝงนอกเสียได เหมอื นงูละคราบเกาท่คี รา่ํ ครา แลว ฉะน้นั . กเิ ลสเปน เครื่องใหกาํ เรบิ ยอมไมมีภายในจิตของภิกษุใด และภกิ ษใุ ดลวงเสียไดแลว ซ่ึงความเจรญิ และความเสอ่ื มอยางน้ีภิกษนุ ้ันชื่อวา ยอ มละซึง่ ฝง ในและฝง นอกเสียได เหมือนงลู ะคราบเกาท่คี รา่ํ ครา แลวฉะนนั้ .

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 3 ภิกษใุ ดกาํ จดั วิตกไดแลว ปราบปรามดแี ลว ในภายใน ไมมสี วนเหลือ ภกิ ษนุ น้ัช่อื วายอ มละฝง ในและฝง นอกเสียไดเหมอื นงลู ะคราบเกา ทคี่ รํ่าคราแลว ฉะนน้ั . ภิกษุใดไมแ ลน เลยไป ไมล า อยูลว งกเิ ลสเปนเครือ่ งใหเ น่ินชามไิ ดห มดแลวภิกษุนน้ั ชือ่ วายอมละฝงในและฝงนอกเสียไดเหมือนงลู ะคราบเกาท่คี รา่ํ ครา แลว ฉะนน้ั . ภิกษใุ ดรวู า ธรรมชาติมขี นั ธเ ปน ตนท้งั หมด นเ้ี ปน ของแปรผนั ไมแ ลนเลยไปไมลา อยูใ นโลก ภิกษนุ ั้นช่อื วายอมละซง่ึฝงในและฝง นอกเสยี ได เหมือนงูละคราบเกาท่คี รํา่ คราแลวฉะน้นั . ภิกษใุ ดรูวา ธรรมชาติมขี ันธเ ปนตนท้งั หมด นเี้ ปน ของแปรผัน ปราศจากความโลภ ไมแ ลนเลยไป ไมลาอยูในโลกภิกษนุ นั้ ช่อื วา ยอ มละซึ่งฝงในและฝง นอกเสยี ได เหมอื นงลู ะคราบเกาท่ีคร่าํ ครา แลวฉะนน้ั . ภิกษใุ ดรวู า ธรรมชาติมีขนั ธเปนตนท้ังหมดน้เี ปนของแปรผนั ปราศจากราคะไมแลน เลยไป ไมลา อยูในโลก ภิกษุนัน้

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 4ชอ่ื วายอมละซ่งึ ฝง ในและฝง นอกเสียไดเหมอื นงลู ะคราบเกา ทีค่ รํา่ คราแลวฉะน้ัน. ภกิ ษใุ ดรูวา ธรรมชาตมิ ีขันธเปน ตนทงั้ หมดนีเ้ ปนของแปรผนั ปราศจากโทสะไมแลนเลยไป ไมลาอยใู นโลก ภกิ ษุนั้นช่ือวายอมละซ่งึ ฝง ในและฝงนอกเสียไดเหมือนงลู ะคราบเกา ทคี่ ร่ําครา แลวฉะนัน้ . ภกิ ษใุ ดรวู า ธรรมชาติมีขนั ธเปนตนทงั้ หมดนีเ้ ปนของแปรผัน ปราศจากโมหะไมแ ลนเลยไป ไมล า อยใู นโลก ภิกษนุ นั้ชอ่ื วายอ มละซงึ่ ฝง ในและฝงนอกเสียไดเหมอื นงูละคราบเกา ทค่ี รํา่ ครา แลวฉะนน้ั . ภกิ ษุใดไมม ีอนุสยั อะไร ๆ ถอนอกศุ ลมลู ไดแ ลว ภิกษนุ น้ั ชื่อวา ยอมละฝง ในและฝง นอกเสียได เหมือนงูละคราบเกาที่คร่ําครา แลวฉะนนั้ . ภิกษุใดไมม ีกเิ ลสอันเกดิ แตค วามกระวนกระวายอะไร ๆ อันเปน ปจจัยเพ่ือมาสูฝง ใน ภิกษุน้ันชอ่ื วา ยอ มละฝงในและฝงนอกเสยี ได เหมอื นงลู ะคราบเกาทีค่ รํา่ คราแลวฉะน้ัน.

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 5 ภิกษุใดไมมีกเิ ลสอนั เกดิ แตตัณหาดจุ ปาอะไร ๆ อันเปนเหตุเพอ่ื ความผูกพันเพ่ือความเกดิ ภกิ ษนุ ้ันชือ่ วา ยอมละฝง ในและฝง นอกเสียได เหมือนงูละคราบเกา ที่ครํา่ ครา แลวฉะนั้น. ภิกษใุ ดละนวิ รณ ๕ ไดแ ลว ไมมีทุกข ขามความสงสยั ไดแลว มลี ูกศรปราศไปแลว ภกิ ษุนน้ั ชอื่ วา ยอมละฝง ในและฝงนอกเสียได เหมือนงูละคราบเกาที่คร่ําคราแลว ฉะนนั้ . จบอุรคสตู รที่ ๑

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 6 อรรถกถาขุททกนกิ าย ชือ่ ปรมตั ถโชติกา (ปฐมภาค) อรรถกถาอรุ ควรรค สตุ ตนิบาต อรรถกถาอุรคสูตร ขา พเจาขอนอบนอม แดพ ระผูม ี- พระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจาพระองค นน้ั . ขา พเจา (พระพุทธโฆษาจารย) ขอถวายอภวิ าทแดพระรัตนตรัย อันสงู สดุ กวา ส่งิ ทค่ี วรไหวท ัง้ หลาย แลวจักอธบิ ายความ แหงสตุ ตนิบาต ท่ีพระโลกนาถเจา ผูทรง แสวงหาทางแหงการหลดุ พนจากโลก ผูท รง มปี กติละเสียซง่ึ ความเสียหาย (แม) เล็กนอ ย ไดท รงแสดงไวแ ลวในคัมภรี ขุททกนิกาย. ก็สุตตนบิ าตน้ี ไดหย่งั ลง (มอี ยู) ในคมั ภรี ข ทุ ทกนิกายน่นั เอง เพราะฉะนนั้ ขาพเจาจกั ไดอ ธิบายความแหงสุตตนิบาต แมน .้ี

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 7 หากจะมคี าํ ถามวา เพราะเหตุไร คัมภีรนีซ้ ง่ึ เกลื่อนกลน ไปดว ยคาถานับรอย ประกอบดวยเคยยะและเวยยากรณะ จึงได ชอ่ื วา สุตตนิบาต เลา ? ตอบวา ท่เี รยี กวาสตู ร เพราะพระ- พทุ ธเจา ตรสั ไวดแี ลว เพราะไหลออกซึง่ ประโยชนทัง้ หลาย เพราะเปน เครื่องตา นทาน ไว เพราะไข และเพราะแสดงออกซ่ึงอรรถ ท้งั หลายดวยดี นิบาตน้ี อนั พระธรรมสังคาห- กาจารยเจา ทง้ั หลาย รวบรวมพระสูตร ท้ังหลายเหน็ ปานน้นั แลว ยอ ลงไวโ ดย ประการน้ันๆ ฉะน้ัน จึงไดช่อื วา สตุ ตนบิ าต. อน่ึง พระสูตรแมทั้งหมด โดย กําหนดแลวกเ็ ปน พระดํารสั ของพระพทุ ธเจา ผูค งที่ และคมั ภรี น เี้ ปนการรวบรวม พระสูตรเหลา นน้ั เพราะฉะนั้น จึงไดช อ่ื วา สตุ ตนิบาต เพราะไมม ีลักษณะพิเศษทเี่ ปน เคร่อื งหมายใหเ รยี กชือ่ เปนอยางอืน่ ไปได. กส็ ตุ ตนบิ าตนี้ ซ่ึงไดร ับการต้งั ช่อื อยางน.้ี เม่อื วา โดยวรรคแลวกม็ ี๕ วรรค คือ

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 8 ๑. อุรควรรค ๒. จฬู วรรค ๓ มหาวรรค ๔. อฏั ฐกวรรค ๕. ปารายนวรรค. บรรดาวรรคทงั้ หานนั้ อุรควรรค เปน วรรคแรก เมอ่ื วาโดยสตู รแลวในอรุ ควรรคมี ๑๒ สูตร ในจฬู วรรคมี ๑๔ สตู ร ในมหาวรรคมี ๑๒ สูตรในอัฏฐกวรรคมี ๑๖ สตู ร ในปารายนวรรคมี ๑๖ สูตร จึงรวมเปน ๗๐ สูตร. บรรดาพระสูตรเหลา น้ัน อุรคสูตรเปน สูตรแรก เมือ่ วา โดยประมาณแหง ปรยิ ัตแิ ลว ก็มี ๘ ภาณวาร แตเ มอื่ วา โดยปรมิ าณแหงวรรค สูตรและปรยิ ัติอยางนี้ อรุ คสตู รนี้กม็ ีคาถาแรก น้ีวา โย จ อปุ ฺปติต วเิ นติ โกธ วิสฏ สมฺปวิส ว โอสเถภิ โส ภกิ ฺขุ ชหาติ โอรปาร อรุ โค ชิณณฺ มวิ ตจ ปุราณ ภิกษุใดแล ยอ มกาํ จัดความโกรธท่ี เกิดขึน้ แลว เหมือนหมอกาํ จัดพิษงทู ีซ่ านไป แลวดว ยโอสถฉะนั้น ภกิ ษนุ ้นั ชอื่ วายอ มละ ซึง่ ฝง ในและฝงนอกเสียได เหมือนงูละ คราบเกา ทคี่ รา่ํ ครา แลวฉะนน้ั .

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 9 เพราะฉะนัน้ ตอ ไปน้ี เพือ่ จะไดอ ธิบายความแหง คาถานนั้ ทา นจงึไดก ลาวปญ หากรรมนีว้ า คาถานี้ ใครกลาว ? กลาวทไ่ี หน ? กลาวเม่อื ใด ? กลาวเพราะเหตุไร ? ขา พเจา จักประกาศวธิ นี ี้ แลวอธิบายความแหง คาถา นน้ั . ถามวา กค็ าถานีใ้ ครกลาว ? กลาวท่ไี หน ? กลา วเมอื่ ใด ? และกลา วเพราะเหตุใด ? ตอบวา พระผูมพี ระภาคเจาพระองคน นั้ ทรงไดรบั พยากรณใ นสํานกั พระพทุ ธเจา ๒๔ พระองค ทรงบําเพ็ญบารมีตราบเทา เสวยพระชาตเิ ปนพระเวสสนั ดร แลวทรงอุปบัตใิ นดุสิตภพ. พระองคทรงจตุ ิแมจ ากดสุ ิตภพนน้ั แลว กท็ รงอุบตั ใิ นศากยตระกลู ไดเ สดจ็ ออกมหาภเิ นษกรมณ ทรงบรรลุสมั มาสัมโพธญิ าณ ณ ควงไมโ พธิ แลว ทรงแสดงธรรมจักร ทรงแสดงธรรมเพอ่ื ประโยชนแกเทวดาและมนษุ ยโ ดยลาํ ดับ. คาถานี้ อันพระผูม พี ระภาคเจาพระองคนนั้ ผเู ปน สยมั ภู ไมมอี าจารย ตรสั รไู ดด ว ยพระองคเอง ตรสั ไวแลวกค็ าถานนั้ พระผูมีพระภาคเจา ตรสั ไวแลว เพ่ือทรงแสดงพระธรรมเทศนาแกภ กิ ษทุ ั้งหลาย ผอู ยูใ นเมอื งอาฬวี ในกาลท่ีพระองคทรงบญั ญัตภิ ตู คาม-สกิ ขาบท (สกิ ขาบททห่ี ามพรากของเขียว เชน ตดั ตนไมเ ปน ตน) ในเมอื งอาฬวีนนั้ การวสิ ัชนา โดยสังเขปในคาถาที่หนง่ึ น้ี มเี พยี งเทา น้ี สวนการวสิ ชั นาโดยพสิ ดาร ผูศ กึ ษาพงึ ทราบได ดวยสามารถแหงทเู รนทิ าน อวทิ เู รนทิ านและสันติเกนิทาน ดงั ตอไปนี้ :-

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 10 ในนิทาน (เหตุเกดิ ) ทั้ง ๓ อยางนัน้ ทีช่ ่ือวา ทเู รนิทาน ไดแกกถาทีก่ ลา วถึงเรอ่ื งของพระผมู พี ระภาคเจา ตั้งแตพ ระพุทธเจาทรงพระนามวาทปี งกรจนถงึ ปจ จบุ นั ท่ชี ือ่ วา อวิทูเรนิทาน ไดแ ก กถาทีก่ ลาวถงึ เรอื่ งของพระผมู ีพระ-ภาคเจาตงั้ แตดสุ ติ ภพจนถึงปจ จบุ นั ทีช่ ่ือวา สนั ติเกนทิ าน ไดแก กถาท่ปี รารภเร่อื งของพระผมู ี-พระภาคเจาต้ังแตโพธมิ ณฑลจนถงึ ปจจุบัน เพราะในนทิ านทง้ั สามน้ัน อวทิ เู รนิทานและสนั ติเกนิทาน จัดเขา ในทูเรนิทานนนั่ เอง ฉะน้นั ผูศ กึ ษาพงึ ทราบวิสชั นาในทีน่ โี้ ดยพสิ ดาร ดว ยสามารถแหง ทเู รนิทานเทานัน้ กก็ ารวิสชั นาน้นี ้นั ขาพเจา (พระพุทธโฆษาจารย) ไดก ลา วไวแลวในอรรถกถาชาดก เพราะฉะนน้ั ในทน่ี ้จี ึงไมต อ งกลาวใหพ สิ ดารอกี . เพราะผศู กึ ษาพงึ ทราบโดยนัยพสิ ดารทขี่ าพเจา กลา วไวแลวในอรรถกถาชาดกน่ันเอง สว นความแปลกกันมีดังตอไปน้ี :- ในคาถาท่ีหนึ่ง (ในอรรถกถาชาดก) เรื่องบงั เกดิ ข้นึ ในเมอื งสาวตั ถี.ในพระสูตรนเี้ รือ่ งบังเกดิ ขนึ้ ในเมอื งอาฬวี ดงั ที่พระธรรมสงั คาหกาจารยก ลา วไวว า สมัยน้ัน พระผมู ีพระภาคพุทธเจาประทบั อยูท่ีอัคคาฬวเจดียเ มืองอาฬวี.ก็สมัยน้ันแล พวกภิกษชุ าวเมืองอาฬวี พากันทํานวกรรมอยู ตดั ตนไมเองบางใหคนอืน่ ตัดบาง แมภ กิ ษุชาวเมืองอาฬวี รปู หนึ่งกต็ ัดตน ไม เทวดาทส่ี งิ อยูท่ตี นไมน ้นั ไดกลาวคาํ น้ีกะภิกษนุ ั้นวา \" ขาแตท านผูเจรญิ ทานตอ งการทาํทอ่ี ยขู องตน จงอยาทําลาย (ตัด) ท่อี ยขู องขา พเจา ภกิ ษุนน้ั ไมส นใจยังตัดอยูน ั้นเอง และไดส ับเอาแขนลูกของเทวดาน้นั เขา

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 11 คร้ังน้ันแล เทวดานั้น มคี วามดํารดิ ังน้วี า ไฉนหนอ เราพึงฆาภิกษนุ ี้เสยี ในทนี่ ี้ทีเดยี ว คร้ังน้นั แล เทวดานั้นไดมีความคิดอีกวา ก็การที่เราพึงฆาพระภกิ ษรุ ปู นเ้ี สยี ในทนี่ ีน้ ั่นเองไมควรเลย ไฉนหนอเราพงึ กราบทลูเร่อื งน้ีแดพ ระผมู ีพระภาคเจา ครง้ั น้นั แล เทวดานน้ั เขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจาถงึ ที่ประทบั แลวไดก ราบทูลเรื่องน้ใี หทรงทราบ พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสวา สาธุ ๆ เทพดา เธอดีนกั แล เทพดาทเี่ ธอไมปลงชวี ิตภกิ ษุน้ันเสยี ดูกอนเทพดา ถาหากวา เธอจะพงึ ปลงชวี ิตพระภกิ ษนุ ้แี ลว ไซร เธอจะประสบบาปมาก จงไปเถิด เทพดา ตนไมในโอกาสโนนวางอยู เธอจงเขา สงิ สถติ อยูท ี่ตนไมนนั้ กแ็ ล พระผมู ีพระภาคเจา ครนั้ ตรัสอยางนแี้ ลว เพอ่ื จะกําจดั ความโกรธที่บังเกดิ ขน้ึ แลว แกเ ทวดาน้ัน จงึ ตรัสคาถาน้วี า ผใู ดแลพึงยบั ยง้ั ความโกรธท่บี ังเกดิ - ขน้ึ ไวไ ด ผูนน้ั กด็ ุจบุคคลหยดุ รถที่ไปอยา ง รวดเร็วไวได ฉะนั้น*. ตอแตน้นั เมื่อภิกษทุ ง้ั หลายกราบทลู (พระผูมพี ระภาคเจา) เพราะเหตุที่ไดฟ งพวกมนษุ ยกลาวโทษอยา งนีว้ า อยางไรกันนะ พวกสมณศากยบตุ รจกั ตดั ตนไมเองบา ง จกั ใหบ ุคคลอน่ื ตัดบา ง พวกสมณศากยบุตร ยอ มเบียด-เบียนส่งิ ทมี่ ชี วี ิต ซง่ึ มีอินทรียอนั เดยี ว พระผูม ีพระภาคเจาจงึ ทรงบญั ญตั ิสิกขาบทนวี้ า เปนปาจติ ตีย เพราะพรากภตู คาม ดงั นแ้ี ลว เพอ่ื จะทรงแสดงธรรมแกภกิ ษุทั้งหลายท่มี าในที่นั้นจึงไดตรสั คาถาน้ีวา๑. ขุ. ธ. ๓๗.

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 12 ภกิ ษุใดแลกาํ จดั ความโกรธท่ีบงั เกดิ ขึ้นแลว เหมือนหมองูกําจดั พษิ งทู ่ซี า นไป แลว ดวยโอสถฉะน้ัน ดังนี้. เรอื่ งเดียวกนั น้ีเอง ถงึ การสงเคราะห (ปรากฏวามอี ย)ู ในท่มี าแหง คือ ในวินยั ในธรรมบท (และ) ในสตุ ตนบิ าต ดวยประการฉะนี้ ก็ดว ยคําเพียงเทานี้ มาตกิ านน้ั ใด ทา นตง้ั ไวแ ลว วา คาถานี้ ใครกลาว ? กลาวทไี่ หน ? กลาวเมือ่ ใด ? กลา วเพราะเหตไุ ร ? ขา พเจา จักประกาศวธิ ีนี้ แลว อธิบายความแหงคํานัน้มาตกิ านั้น เปน อันขาพเจาประกาศแลว ท้งั โดยยอ ทัง้ โดยพิสดาร ยกเวนการอธิบายความ (เทาน้นั ) ก็ในคาถาทห่ี นงึ่ น้ี มอี รรถาธบิ ายดังตอ ไป :- บทวา โย ไดแ ก ภิกษุใด คือเชนไร คือบวชจากขตั ตยิ สกลุ กต็ ามบวชจากพราหมณสกลุ ก็ตาม จะเปนผบู วชใหมกต็ าม จะเปน พระมชั ฌมิ ะก็ตามจะเปนพระเถระกต็ าม. บทวา อปุ ฺปตติ  ไดแก ทต่ี กไปแลว ที่ไปแลว ท่เี ปนไปแลวเบ้ืองบน ๆ มีคาํ อธบิ ายวา ท่บี งั เกดิ ขน้ึ แลว. ธรรมดาวา ความโกรธทีบ่ ังเกิดขึน้ น้ี มีหลายประเภท คอืวตั ตมานะ ๑ ภตุ วาปคตะ ๑ โอกาสกตะ ๑ ภูมลิ ทั ธะ ๑. บรรดาความโกรธทง้ั ๔ ประเภทนั้น ความพรอมเพรยี งแหงการบงั เกดิ ขน้ึ เปนตน ทีถ่ ูกปจ จยั ปรุงแตง แมท งั้ หมด ชอ่ื วา วตั ตมานปุ ปนนะ

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 13ซึ่งทานกลา วหมายเอาวา ธรรมท้งั หลายท่เี กิดขน้ึ แลว ธรรมท้ังหลายทไ่ี มเกิดขน้ึ ธรรมท้งั หลายทมี่ ปี กติเกดิ ข้นึ .๑ กศุ ลและอกุศล กลา วคอื ภุตวาปคตะ ที่เสวยรสแหง อารมณแ ลว ดบั ไปและสงั ขาตะทีเ่ หลอื กลาวคือภุตวาปคตะท่ไี มถึงขณะทงั้ ๓ มอี ุปปาทขณะเปนตนแลวดบั ไป ช่อื วา ภตุ วาปคตปุ น นะ. ภุตวาปคตุปปนนะนี้นนั้พึงเหน็ ได ในคําวา \" ทฏิ ฐิทีเ่ ปนบาปเหน็ ปานนบี้ ังเกดิ ขนึ้ แลว๒ \" และในสูตรทัง้ หลาย มอี าทิอยา งน้ี \" เม่อื สตสิ ัมโพชฌงคเกดิ ข้นึ แลว การบาํ เพญ็ ภาวนาใหบรบิ รู ณก็ยอ มมไี ด ฉนั ใด๓ \" กรรมทที่ า นกลา วแลว โดยนัยมอี าทิอยางน้วี า \" กรรมท้ังหลาย ท่ีทาํแลว ในกาลกอ นของเขาเหลา นั้นใด \" ดังน้ี แมเปน กรรมท่ลี ว งแลว ก็ช่ือวาโอกาสกตุปปนนะ เพราะหา มวิบากของกรรมอ่นื แลว ใหโ อกาสแกวิบากของตนตงั้ อยู และเพราะวิบากที่ไดโอกาสแลวอยางน้นั แมยงั ไมบ งั เกดิ ขึ้นกบ็ ังเกดิ ขึน้ ไดอ ยา งแนนอน ในเมอื่ ไดทําโอกาสอยา งนีแ้ ลว . อกุศลที่ยังไมไ ดถ อนขึน้ ในภมู ิท้ังหลายเหลานั้น ช่อื วา ภูมลิ ัทธปุ -ปน นะ ผูศ ึกษาพึงทราบ ความตางกนั แหงภูมิน้ีและภมู ิทไ่ี ดแลว คอื ขนั ธ ๕ทีเ่ ปนไปในภูมิ ๓ อนั เปน อารมณของวปิ ส สนา ช่ือวา ภมู .ิ กิเลสชาตท่ีสมควรบังเกดิ ขึน้ ในขันธ ๕ ชือ่ วา ภูมิลทั ธะ. เพราะเหตนุ ้นั แล ภมู ิน้ันจึงชื่อวาเปนภมู ิอันไดแ ลว ฉะน้นั ทานจึงเรยี กวา ภมู ลิ ัทธะ. กภ็ ูมลิ ัทธะนนั้ จะพึงไดก ด็ วยสามารถแหง อารมณ จรงิ อยู กิเลสแมท ัง้ หมด ยอ มบังเกิดขึน้ ปรารภขันธท ั้งหลาย ของพระขณี าสพทั้งหลาย๑. อภ.ิ ส ๒. ๒. ส . ขนฺธวารวคคฺ ๙๗. ๓. ที. ม. มหาสตปิ ฏ านสูตฺต ๓๕๕.

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 14แมท ที่ า นกําหนดแลว อนั ตา งดว ยขันธใ นอดตี เปนตน ก็ดว ยอาํ นาจแหงอารมณดจุ กเิ ลสที่บงั เกิดขึ้นแกน ันทมาณพ และบตุ รเศรษฐีชอ่ื วา โสเรยยกะ เปนตนเพราะปรารภขนั ธท ั้งหลายของพระมหากจั จายนะ และของนางอุบลวรรณาเถรีเปน ตน . ก็ถาหากวา อารมณน้ี จะพงึ ชือ่ วา ภูมิลัทธะแลว ไซร ใคร ๆ ก็ไมพ ึงละมูลแหงภพได เพราะเหตทุ ่อี ารมณน ัน้ อันใคร ๆ ไมพ งึ ละได แตพ งึ ทราบวาทช่ี อ่ื วา ภมู ลิ ทั ธะ กด็ วยสามารถแหง วตั ถ.ุ ดว ยวา ขนั ธท ้งั หลายทมี่ ไิ ดกาํ หนดแลวดวยวิปส สนา ยอ มบังเกิดขนึ้ ในวัตถุใด ๆ กเิ ลสชาตท่มี วี ฏั ฏะเปน มูล กย็ อ มนอนเน่ืองในขันธเ หลานั้นนบั ตั้งแตไ ดบ ังเกดิ ขึน้ ในวตั ถุนัน้ ๆ. กิเลสชาตน้ัน พึงทราบวา ภูมิลทั ธุป-ปนนะ เพราะอรรถวา ยังละไมไ ด ก็กิเลสทง้ั หลายทย่ี ังละไมได และที่ยังนอนเนือ่ งอยใู นขนั ธเ หลาใด (ยอมบังเกิดขึ้น) แกบ คุ คลใดในวัตถนุ ้นั ขันธเหลานนั้ น่นั เอง ของบคุ คลนน้ั เปน ทตี่ งั้ ของกิเลสเหลา น้ัน หาใชข นั ธข องบุคคลเหลาอ่นื ไม. ก็ขนั ธท ีเ่ ปน อดตี เทา น้นั เปนที่ตงั้ แหงกิเลสทง้ั หลาย ที่บุคคลนน้ั ยังละไมไ ด และท่นี อนเนื่องอยูใ นอดีตขนั ธท ง้ั หลาย หาใชขนั ธนอกจากนีไ้ ม ในขนั ธท ี่เปน อนาคตเปนตนก็มีนยั น้ี (เหมือนกนั ) อนงึ่ขนั ธท ีเ่ ปน กามาวจรเทา นน้ั เปน ทีต่ งั้ แหงกิเลสท้ังหลายทีส่ ัตวย งั ละไมไ ด และทีน่ อนเนอ่ื งอยใู นกามาวจรขันธทง้ั หลาย หาใชข นั ธนอกนไี้ ม ในขนั ธทเี่ ปนรปู าวจรและอรปู าวจรก็นยั น้ี (เหมือนกนั ). ก็กเิ ลสชาตอนั มวี ฏั ฏะเปน มลู น้นั ๆ มอี ยูในขันธท ง้ั หลาย ของพระ-อรยิ บุคคลใด ๆ ในบรรดาพระโสดาบันเปน ตน อันพระอริยบุคคลนั้น ๆ ยอ มละไดด วยมรรคน้นั ๆ ขนั ธเ หลา นน้ั ๆ ของพระอริยบุคคลนน้ั ๆ จะนบั วา

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 15เปน ภมู ไิ มได เพราะไมเปนทตี่ ั้งแหงกิเลสอันมวี ฎั ฏะเปนมลู เหลานน้ั ๆ ทพ่ี ระ-อริยบุคคลนั้น ๆ ละไดแ ลว . แตว ากรรมท่ที ําไวอยา งใดอยางหนึง่ จะเปนกศุ ลก็ตาม เปน อกุศลกต็ าม ยอมมีแกป ุถุชนได เพราะกิเลสท่ีมีวฏั ฏะเปนมูลอนั ปถุ ชุ นยังละไมไดโดยประการทัง้ ปวง เพราะเหตุนั้น วัฏฏะของปุถุชนนั้นจงึ เปน ไปเพราะกเิ ลสเปนปจจยั . กิเลสชาตมีวัฏฏะเปน มูลน้ัน ของบคุ คลนนั้ ไมค วรกลาววา มีในรูปขนั ธเทา นนั้ ไมม ีในขันธท้ังหลาย มีภาวนาขันธเ ปน ตน ฯลฯ หรือไมค วรกลาววา มีในวิญญาณขนั ธเ ทา นนั้ ไมมใี นขนั ธท ง้ั หลายมรี ปู ขันธเ ปนตน .เพราะเหตุไร ? เพราะเหตทุ ี่วา กเิ ลสชาตนั้นนอนเนือ่ งอยใู นขนั ธท้งั ๕ โดยไมพิเศษกวากนั (โดยไมแ ปลกกนั ) คืออยา งไร คอื กิเลสชาตทนี่ อนเนื่องอยใู นขันธ ๕ น้นั เปรยี บเหมือนรสแหงพื้นดนิ เปน ตน ซ่งึ ตดิ อยูท่ีตน ไมฉ ะนน้ัเหมอื นอยางวา เมือ่ ตนไมใ หญขึน้ อยูที่พื้นดนิ อาศัยรสแหงดินและรสแหง นาํ้เจริญงอกงามขึน้ ดวยราก ลาํ ตน กง่ิ ใบออ น ใบแก ดอก และผลเพราะไดอ าศัยรสแหงดนิ และรสแหง นา้ํ นัน้ เปน ปจ จัย ทาํ ทอ งฟา ใหเ ต็ม มีการสืบตอเช้อื สายของตน ไมไ ว ก็เพราะพชื ท่สี ืบตอ กันมา ดาํ รงอยูไดจ นถงึ กลั ปาว-สาน รสแหงแผน ดินเปนตนน้ัน ไมควรจะกลา ววา มอี ยทู ่รี ากเทานั้น หาไดม อี ยทู ี่ลาํ ตน เปนตนไม ฯลฯ หรือไมควรจะกลา ววา มีอยทู ผ่ี ลเทานัน้ หาไดมีอยูท่ีรากเปน ตน ไม เพราะเหตุไร เพราะรสแหงแผน ดินเปนตน ซานไปในรากเปน ตน (ของตนไมน ้นั ) ทง้ั หมดทีเดยี ว โดยไมพิเศษกวากนั ฉันใดกเิ ลสชาตก็ฉันนน้ั .

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 16 อกี อยางหนึง่ เหมอื นอยางวา บรุ ุษบางคนเบื่อในดอกและผลเปน ตนของตน ไมน น้ั นั่นแหละ จะพงึ ใสยาพษิ ชือ่ มัณฑกุ กณั ฑกะ ลงทีต่ นไมในทศิท้งั สี่ เม่อื เปน เชนนนั้ ตน ไมน นั้ ไดร บั สมั ผสั ทเี่ ปนพิษนั้นถูกตองเขาแลว ก็ไมพงึ สามารถเพื่อจะใหการสบื ตอ เกิดขน้ึ อกี ได เพราะมีนํ้าออกนอยเปนธรรมดาเน่อื งจากรสแหงแผน ดนิ และรสแหงนาํ้ ถูกยาพิษครอบงาํ แลว ฉนั ใด กลุ บุตรผูเบ่อื หนา ยในความเปนไปของขนั ธ กฉ็ นั น้นั เหมือนกัน ปรารภการเจรญิ มรรค๔ ในสันดานของตน ดจุ การทบี่ รุ ษุ น้นั ประกอบยาพษิ ในทศิ ทงั้ ๔ เม่อื เปนเชนน้นั ขันธสนั ดานน้นั ของกลุ บตุ รนัน้ ทแี่ ตกตางกันโดยกรรมทง้ั ปวง มีกายกรรมที่เขาถึงสักวาความเปนกริ ิยาเปน ตน เพราะกเิ ลสมวี ฏั ฏะเปน มูลถกูสัมผสั คอื ยาพิษในมรรคทงั้ ๔ นนั้ ครอบงาํ แลวโดยประการท้งั ปวง จึงไมสามารถท่ีจะทําสนั ดานคอื ภพใหมใหบ ังเกดิ ข้นึ ได เพราะถึงความไมเกดิ ข้ึนในภพใหมเปนธรรมดา แตวา อนุปาทานยอมดบั ไปอยางเดียว เพราะความดับไปแหง ปุรมิ วิญญาณ ดจุ ไฟปาบังเกิดข้นึ แลวดบั ไปเพราะหมดเชือ้ ฉะนัน้ ผศู กึ ษาพงึ ทราบความตางกนั แหงภมู ิ และภมู ิลทั ธะ ดังพรรณนามาฉะนี้ อกี อยา ง อุปปนนะแมอ นื่ อกี ๔ อยาง คือ ๑. สมุทาจารุปปน นะ ๒. อารัมมณาธคิ คหิตุปปน นะ ๓. อวกิ ขัมภิตปุ ปนนะ ๔. อสมุหตปุ ปน นะ. ในอปุ ปน นะท้งั ๔ นัน้ ธรรมชาติที่เกดิ ขึ้นในปจ จบุ ัน ชอื่ วา สมุ-ทาจารปุ ปนนะ

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 17 กก็ ิเลสชาต แมย งั ไมเ กิดขึ้นในสวนเบื้องตน ในอารมณท มี่ าสคู รองแหง จกั ขทุ วารเปนตน ทานเรียกวา อารมั มณาธิคคหิตุปปนนะ เพราะตองบงั เกดิ ขึน้ อยา งแนนอนในสว นอนื่ เพราะเหตุท่ตี นไดรบั อารมณไ ดแ ลวน่ันเอง ในขอนี้มีกิเลสชาตทีบ่ งั เกิดขึน้ แกพระมหาติสสเถระ ผูเทีย่ วไปบิณฑ-บาตในกลั ยาณคาม เพราะการเห็นรูปทีเ่ ปนวิสภาคกนั เปน ตวั อยา ง พงึ ทราบประโยคในคําท้งั หลายมีคาํ วา กามวติ กบงั เกดิ ข้นึ แลว แกบ ุคคลนน้ั ดงั นี้เปน ตน. กเิ ลสชาตทขี่ มไมไดดว ยอาํ นาจของสมถะ และวปิ ส สนาอยางใดอยา งหนึ่ง แมไมมาสกู ารสืบตอ แหงจิตแลว ก็ชือ่ วา อวกิ ขัมภิตุปปนนะ เพราะไมม ีเหตทุ ่จี ะหามการบงั เกดิ ข้นึ ได อวิกขมั ภิตปุ ปนนะน้นั พึงเหน็ ในอาคตสถานทัง้ หลาย เปนตนวา ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย อานาปานสั สติสมาธิแมนีแ้ ลทบี่ ุคคลอบรมแลว ทาํ ใหมากแลว เปนธรรมชาติสงบระงบั , ประณีต, ไมตอ งรดน้ํากเ็ ยน็ เปน ธรรมเครอ่ื งอยเู ปนสขุ และยอ มทาํ ใหอกศุ ลบาปธรรม ท่ีเกิดข้ึนแลว ๆ ใหอันตรธานไปโดยฐานะ ดงั น.้ี สวนกเิ ลสชาต แมท ข่ี มไดแลว ดวยสมถะและวปิ ส สนา ทานเรยี กวาอสมหตุปปนนะ เพราะอธิบายวา ไมลวงการบงั เกดิ ขึน้ เปน ธรรมดา เพราะเหตทุ ีก่ เิ ลสชาตนั้น ยังถอนไมไดด วยอริยมรรค กใ็ นขอนีม้ ีกเิ ลสชาตทบ่ี ังเกดิข้ึนแกพ ระเถระ ผูไดส มาบัตแิ ปด ซ่ึงกําลงั เหาะไปในอากาศไดฟ ง เสยี งเพลงขบั ของสตรีผูกาํ ลงั เกบ็ ดอกไมทัง้ หลาย ทตี่ นไมม ีดอกอยู ณ ชายปา ซึง่ ขับรองอยดู วยเสยี งอันไพเราะเปนตวั อยาง.

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 18 ผศู ึกษาพงึ ทราบการประกอบประโยคแหง อุปปนนะน้ัน ในคําทงั้ หลายเปน ตนวา พระอรยิ บุคคล ผูทําใหม ากซึ่งมรรคอันประกอบดว ยองคแ ปดอนั ประเสริฐ พงึ ยังธรรมทเี่ ปนบาปอกศุ ลท่ีเกิดขึ้นแลว ๆ ใหอ ันตรธานไปในระหวางทีเดียว ก็อารัมมณาธคิ คหิตปุ ปน นะ อวกิ ขัมภติ ุปปน นะ และอสมูห-ตปุ ปนนะ แมท ้งั ๓ อยา งน้ี พึงทราบวา ยอ มถงึ การสงเคราะหดวยภมู ิลทั ธะน้ันแล. เม่ือกิเลสชาตมปี ระเภทตามท่ีกลา วแลวนนั้ เกิดข้ึนแลว อยางนีน้ ่นั เองความโกรธนก้ี ็พึงทราบวา บังเกิดข้นึ แลว ดวยอาํ นาจแหง ภมู ิลัทธปุ ปนนะอารัมมณาธคิ คตปุ ปนนะ อวิกขัมภิตปุ ปนนะ และอสมูหตปุ ปน นะ. ถามวา เพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะวา บุคคลพงึ กําจดั ความโกรธนนั้ ดวยวิธอี ยางน้ีดวยวา บคุ คลยอมสามารถจะกาํ จัดความโกรธท่บี ังเกดิ ขึ้นแลว ซง่ึ มีประเภทตามท่กี ลา วมาอยางน้ี ดวยวนิ ัยอยางใดอยา งหน่ึงได กก็ เิ ลสชาตน้ใี ด กลาวคือวัตตมานะ ภตุ วาปคตะ โอกาสคตะ และสมทุ าจาระ บงั เกดิ ขนึ้ แลว ความพยายามในกิเลสชาตน้นี นั้ ยอมไมม ีผล และไมส ามารถจะบงั เกดิ ขน้ึ ๆ ดว ยวาความพยายามในกเิ ลสชาต (คอื ความโกรธ) ทเ่ี ปน ภตุ วาปคตะ ชือ่ วา ไมมผี ลเพราะกิเลสนั้นดับไปแลว ในระหวา งแหง ความพยายาม แมใ นความโกรธทเ่ี ปนโอกาสคตะกเ็ หมือนกนั ความพยายามในกิเลสชาตท่ีเปนวัตตมานุปปนนะ และสมุทาจารุปปน นก็ไมส ามารถทจ่ี ะทําได เพราะความเศราหมองและความผองแผวไมบงั เกิดขน้ึ พรอ มกัน. กใ็ นบทวา วเิ นติ น้ี พงึ ทราบวินิจฉัย ดงั ตอไปน้ี

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 19 ชอื่ วา วินัย มี ๒ อยา ง ใน ๒ อยา งนี้ อยา งหน่ึง ๆ แบง เปน ๕ อยา ง ใน ๕ อยาง นัน้ วินยั น้ี ทา นเรียกวา วเิ นติ กด็ วยวิธี ๘ อยาง. ดว ยวา วนิ ัยนมี้ ี ๒ อยาง คือ สงั วรวนิ ัย ๑ อสงั วรวนิ ัย ๑ กใ็ นวนิ ัย ๒ อยา งนี้ วินัยหนง่ึ ๆ แบง เปน ๕ อยาง กแ็ มสงั วรวนิ ัยนี้ก็มี ๕ อยางคอื ๑. ศีลสงั วร ๒. สตสิ ังวร ๓. ญาณสงั วร ๔. ขนั ติสังวร ๕. วิริยสงั วร. แมป หานวนิ ัย ก็มี ๕ อยาง คือ ๑. ตทงั คปหาน ๒. วิกขมั ภนปหาน ๓. สมจุ เฉทปหาน ๔. ปฏิปส สัทธิปหาน ๕. นิสสรณปหาน. ในสังวรวนิ ยั ทง้ั ๕ อยางนนั้ ความสํารวมซ่งึ มาแลว ในคําท้งั หลายเปน ตน วา ภกิ ษเุ ปนผเู ขา ถึง เปน ผเู ขาถงึ พรอ มแลว ดว ยปาฏิโมกขสังวรนี้ชื่อวา ศีลสงั วร.

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 20 ความสาํ รวมซง่ึ มาแลว ในคาํ ท้ังหลายเปนตนวา ภกิ ษุยอ มรักษาจกั ขนุ ทรีย ยอมถงึ ความสาํ รวมในจกั ขนุ ทรยี  ช่ือวา สตสิ งั วร. ความสํารวมซง่ึ มาแลว ในคาํ ท้งั หลายเปนตนวา พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสวา ดกู อ น อชติ ะ กระแส (กิเลส) เหลาใดมอี ยใู นโลก สติเปน เครื่องก้นั กระแสเหลา นั้น เราเรียก เครื่องกั้นกระแสท้ังหลายวา สงั วร กระแส เหลา นน้ั อนั บคุ คลยอ มก้นั เสียไดดวยปญ ญา ดงั นี้ ชอ่ื วา ญาณสังวร. ความสาํ รวมซ่ึงมาแลว ในคาํ ท้งั หลายเปน ตนวา ภกิ ษยุ อ มอดทนตอความหนาว ตอความรอน ดงั น้ี ชอื่ วา ขันตสิ ังวร. ความสํารวมซ่งึ มาแลว ในคําท้ังหลายเปนตน วา ภิกษยุ อมยับยั้ง คอื วายอ มละ ยอ มบรรเทากามวติ กที่บงั เกดิ ขึ้นแลว ดงั นี้ พงึ ทราบวา วริ ิยสงั วร. กค็ วามสํารวมนแี้ มท ้ังหมด ทา นเรียกวา สงั วร กเ็ พราะสาํ รวมระวงักายทุจรติ และวจีทุจริต เปนตน ท่ีจะพงึ สํารวมระวงั เรียกวา วนิ ยัเพราะกาํ จดั กายทุจรติ และวจที จุ รติ เปนตน ท่จี ะพึงกาํ จดั ตามความเปนจริง.สังวรวนิ ยั พึงทราบวา แบงเปน ๕ อยา ง อยา งนี้กอ น. อีกอยางหนึง่ การสบื ตอ สันดานทไี่ มม ปี ระโยชนอ ันใด เปนไปอยูในองคแ หง วิปส สนาทัง้ หลาย มีนามรปู ปรเิ ฉท (การกําหนดรูนามรูป) เปนตนดว ยอาํ นาจที่ยังละตนไมไ ดอ ยูเพยี งใด การละสนั ดานทีไ่ มม ีประโยชนน น้ั ๆดวยญาณน้นั ๆ ก็ยอมมีอยูเพียงนัน้ .

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 21 คอื อยางไร ? คอื การละสกั กายทฏิ ฐิ ดวยการกาํ หนดนามรูป ละอเหตุกทฏิ ฐิ และวิสมเหตุกทฏิ ฐิ ดวยการกําหนดปจ จยั ละความสงสยั ดวยการขา มพน ความสงสยั อนั เปน สว นอ่ืนแหง การกําหนดปจจยั นนั้ น่ันเอง ละการยึดถอื วาเรา วา ของเรา ดว ยการพจิ ารณากลาปะ ละความสําคัญวา มรรคในธรรมทีไ่ มใชม รรค ดว ยการกาํ หนดมรรคและธรรมที่ไมใ ชม รรค ละอจุ เฉท-ทิฏฐดิ ว ยการเห็นความเกดิ ขน้ึ ละสัสสตทิฏฐิ ดว ยการเห็นความเส่ือม ละความสาํ คัญวา สิง่ ทไ่ี มมีภัย ในสิ่งท่มี ีภยั ดวยการเหน็ ภัย, ละความสําคญั วาความยินดีดวยการเห็นโทษ ละความสาํ คัญวา ความยนิ ดียง่ิ ดวยการตามเห็นความเบอ่ื หนา ย มคี วามเปนผูไมใ ครเ พ่ือจะพน ดวยมญุ จิตกุ ัมยตาญาณ ละความไมวางเฉย ดวยอุเบกขาญาณ ละธัมมทิฏฐิ ดว ยอนโุ ลมญาณ และละการกาํ หนดสังขารนมิ ิต อนั ตรงกนั ขา มกับพระนพิ พาน ดวยโคตรภญู าณน้ี ชื่อวาตทังคปหาน. กก็ ารละนวิ รณท ง้ั หลาย ทสี่ มาธอิ นั ตางดว ยอุปจารสมาธิ และอปั ปนาสมาธกิ ําจัดเสียได จนกระทงั่ ตนไมเ สอ่ื ม (จากสมาธิน้ัน) และยังเปนไปอยูและการละกลาวคือการไมบ ังเกิดขึ้นแหง ปจจนิกธรรมมวี ิตกเปนตน ตามสมควรแกต น ชื่อวา วิกขมั ภนปหาน. ก็การละกลา วคอื การตัดขาด ซ่งึ กองแหง กิเลสอันเปนฝา ยของสมทุ ยัทท่ี านกลาวไวแ ลวโดยนัยเปนตน วา เพ่ือละทิฏฐิตามหนา ท่ขี องตน ในสันดานของตน โดยประกอบดวยองคม รรคน้ัน ๆ เพราะไดเจรญิ อริยมรรค ๔ แลวโดยความไมเปนไปโดยสว นเดียวอีก นี้ชือ่ วา สมุจเฉทปหาน.

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 22 ก็การท่ีกิเลสทงั้ หลายสงบระงับไปในขณะแหงผล ช่อื วา ปฏปิ สสัทธิปหาน. สวนพระนพิ พาน ทล่ี ะสังขตธรรมท้งั ปวงเสียได เพราะสลดั สงั ขตธรรมท้งั ปวงออกไปได ช่อื วา นิสสรณปหาน. กเ็ พราะเหตทุ กี่ ารละแมท ั้งหมดน้ี ช่ือวา ปหาน เพราะอรรถวา สละช่อื วาวินัย เพราะอรรถวา เปนเครื่องกําจัด ฉะนั้น ทา นจงึ เรียกวา ปหานวินยั . อกี อยา งหน่ึง การละนท้ี า นเรียกวา ปหานวนิ ัย ก็เพราะความมีอยูแหง วินัยนน้ั ๆ โดยการละความประพฤตลิ วงละเมิดขอน้ัน ๆ เสียได แมปหานวินัยน้ี พึงทราบวา แบงเปน ๕ อยา ง ดงั พรรณนามาฉะน.้ี วินัยเหลาน้ี จัดเปน ๑๐ อยา ง เพราะวินัยขอหน่ึง แบงเปน ๕ดว ยประการฉะนี้. ในวนิ ยั ทั้ง ๑๐ อยางน้ี เวน ปฏิปส สทั ธวิ นิ ัย และนสิ สรณวินัยเสยี แลววินัยนี้ ทานเรียกวา วิเนติ (ยอ มกาํ จดั ) ดว ยปริยายนนั้ ๆ ดว ยวินยั ๘ อยา งท่เี หลือ ยอ มกําจัดอยา งไร ? คอื ดวยวา บุคคลเมอื่ กาํ จัดกายทจุ รติ และวจที ุจริต ดวยศลี สังวร ชือ่ วา ยอ มกาํ จดั ความโกรธที่ประกอบดวยกายทุจริตและวจที จุ รติ นัน้ แมกําจดั อยู ซง่ึ อภชิ ฌาและโทมนสั เปนตน ดวยสตสิ ังวรและปญญาสงั วร ชอื่ วายอ มกาํ จัดความโกรธทป่ี ระกอบดวยโทมนัส แมเมอ่ือดทนความหนาว เปน ตน ดวยขันติสงั วรอยู ช่อื วา ยอ มกําจัดความโกรธอันเกดิ แตอ าฆาตวตั ถนุ ้นั ๆได แมกําจดั พยาบาทวติ ก ดว ยวิรยิ สังวรอยู ช่ือวายอมกําจัดความโกรธ ที่ประกอบดว ยพยาบาทวิตกนน้ั ได

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 23 ตทงั คปหาน วิกขัมภนปหาน และสมจุ เฉทปหาน ยอ มมีได (ยอ มเกิดได) ดว ยธรรมเหลา ใด บุคคลแมละอยซู งึ่ ธรรม (อกศุ ลธรรม) เหลา น้นั ๆ ดว ยไมใ หธ รรมเหลานั้นเปนไปในตน ก็ชอื่ วา ยอ มกําจัดความโกรธทีม่ ีฐานอันเดียวกับธรรมท่ีจะพึงประหาณเสียดว ยองคนัน้ ๆ อนั ตนจะพึงขม และอนั ตนจะพึงละเสยี . ก็ในทนี่ ี้ แมว นิ ยั จะเกิดมขี ึน้ ไมไ ดเพราะปหานวนิ ยั ก็จริง แตการละยอมมไี ดดวยธรรมเหลา ใด บุคคลแมกําจัดอยูดวยธรรมเหลา นัน้ ทานกเ็ รยี กวายอมกาํ จดั ดว ยปหานวินยั โดยปริยาย. สวนในกาลแหง ปฏปิ ส สทั ธิปหาน บคุ คลน้ันทานเรยี กวา ยอ มหากําจดั อะไร ดว ยธรรมทั้งหลายเหลานน้ั ไดไม กเ็ พราะเหตทุ นี่ ิสสรณปหานเปนสภาพธรรมอนั ผูป ฏิบัตไิ มพึงใหเกดิ ข้ึนได เพราะเหตทุ ีไ่ มม ีสิง่ ที่จะพึงกาํ จดั . ก็ในวินัย ๑๐ อยางนี้ เวนปฎิปส สทั ธวิ ินัยและนิสสรณวินัยเสียแลววินยั นท้ี านเรยี กวา ยอมกาํ จดั ไดโดยปริยายนน้ั ๆ ดวยวินัย ๘ อยา งท่เี หลอื . พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสการกําจัดอาฆาตไว ๕ อยาง อยางนี้วาดกู อนภิกษุท้ังหลาย อาฆาตซงึ่ เกิดข้นึ แลว แกภกิ ษุ อนั เธอจะพงึ กาํ จัดเสียไดโดยประการทง้ั ปวง ในเพราะการกาํ จดั เสยี ไดซึง่ อาฆาตใด ก็การกําจัดซง่ึอาฆาตเหลาน้ีมี ๕ อยา ง ๕ อยางอะไรบาง ? คอื ภิกษุท้ังหลาย อาฆาตพึงบงั เกดิ ข้ึนในบคุ คลใด ภิกษุพึงเจรญิ เมตตาในบคุ คลนน้ั ...พงึ เจรญิ กรุณา...พงึ เจริญมุทติ า....พงึ เจรญิ อเุ บกขาในบคุ คลนน้ั พึงทาํ อมนสกิ าร (ความไมใสใจ) ในบุคคลน้นั ตอไป อาฆาตในบุคคลน้นั อันภิกษพุ งึ กําจดั อยางนี้

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 24หรือวาภกิ ษุพึงต้ัง (พจิ ารณา) ความทส่ี ตั วท ัง้ หลายมกี รรมเปนของของตนนัน่ เอง ในบุคคลน้นั ไวใหม ัน่ คงวา ทา นผูมอี ายุนี้ มีกรรมเปนของของตนมกี รรมเปน ทายาท มีกรรมเปนกาํ เนดิ มกี รรมเปน เผาพันธ มีกรรมเปนทีพ่ ึ่งอาศยั จกั ทาํ กรรมอนั ใดไวด หี รอื ชั่ว ก็จกั เปน ผูร บั ผลของกรรมนัน้ และทา นกลา วการกําจดั อาฆาต ๕ อยา ง โดยนยั แมม ีอาทอิ ยางนวี้ า ดูกอนทา นผมู ีอายุ อาฆาตบังเกิดขน้ึ แลวแกภิกษุ อันทานพึงกาํ จัดเสียไดโ ดยประการทั้งปวงในเพราะการกาํ จดั อาฆาตใด การกําจดั อาฆาตเหลา น้ีมี ๕ อยา ง ๕ อยา งอะไรบาง ? คือ ดูกอนทานผมู ีอายุ บุคคลบางคนในโลกนี้ มกี ายสมาจารไมบ รสิ ทุ ธิ์ มวี จีสมาจารไมบ รสิ ุทธ์ิ มีกายและวจีสมาจารไมบรสิ ุทธิ์ บคุ คลพงึ กาํ จดั อาฆาตในบุคคลเห็นปานน้แี ล บคุ คลนีแ้ มก าํ จดั อาฆาตอยา งใดอยางหน่งึ ในบรรดาอาฆาต ๕ อยา งนัน้ ทานเรยี กวา วเิ นติ (ยอ มกาํ จดั ). อีกอยา งหน่ึง เพราะเมอื่ ภิกษุระลึกถงึ โอวาทของพระศาสดาอยา งนีว้ าดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย แมห ากวา พวกโจรทีม่ ีใจตํ่าชา พงึ เอาเลื่อยมคี มสองขางตัดอวยั วะนอ ยใหญ ผใู ดพึงยังใจใหประทษุ รายแมใ นโจรนนั้ เธอน้นั ไมชื่อวาทาํ ตามคําสอนของเรา เพราะทําใจใหป ระทุษรา ยในโจรน้นั ดงั นี้ เมื่อระลกึถึงโอวาทของพระศาสดาทีต่ รสั ไวอ กี วา ผใู ดยอมโกรธตอบตอผโู กรธแลว ผูนั้นแลเลวเสียกวา ผูโกรธทแี รกน้ันอกี เพราะเหตทุ ีโ่ กรธตอบเขานัน้ ผูท ไ่ี มโกรธ ตอบตอ ผูที่โกรธตนแลว ชือ่ วายอมชนะสง- ครามซง่ึ ชนะไดแ สนยาก ผทู ี่รวู าคนอ่นื โกรธ

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 25 แลว เปนผูมีสตสิ งบเสงย่ี ม ชื่อวา ประพฤติ ประโยชนท ั้งสองฝา ย คอื ทัง้ ฝา ยตน และ ผูอ นื่ . ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย ธรรม ๗ ประการเหลา น้ี เปนธรรมอนั บุคคลผูเปนขาศกึ มงุ แลว เปน ธรรมอันบุคคลผเู ปน ศัตรูพึงทาํ แกกนั ยอ มมาถึงหญงิหรอื ชายผูเปนคนขี้โกรธ ธรรม ๗ ประการอะไรบา ง ? คือ (๑) ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย คนที่เปนศตั รูกนั ในโลกน้ี ยอมปรารถนาตอ คนท่ีเปน ศตั รู (ของตน) อยางนวี้ า โอหนอ ! ขอใหเ จา คนนี้ พงึ เปนผูม ผี ิวพรรณทราม ขอนนั้ เพราะเหตุอะไร ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย เพราะวาคนท่ีเปนศตั รูกนั ยอ มไมยนิ ดีในการทคี่ นที่เปน ศัตรขู องตนมีผิวพรรณเปลง-ปลัง่ ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย บุรษุ บคุ คลขโ้ี กรธน้ถี ูกความโกรธครอบงาํ มีความโกรธออกหนา แมเ ขาจะอาบน้ําแลว อยา งสะอาด ลบู ไลอ ยา งดี ตดั ผมและหนวดแลว นุง ผา สะอาดก็จรงิ ถึงกระน้นั เขามคี วามโกรธครอบงาํ แลวยอมมีผิวพรรณทรามแท ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย ธรรมขอทห่ี นึ่งน้ี ทีบ่ ุคคลผเู ปนศัตรูกนั ชอบใจ ท่บี คุ คลผูเปนศตั รกู ันพึงทําแกก นั ยอมมาถงึ หญงิ หรอืชายผขู ้ีโกรธ (๒) ภกิ ษุทั้งหลาย ขออ่ืนยงั มีอีก ศัตรูยอมหวงั ตอศตั รู (ของตน)อยางนี้วา ขอใหบุคคลน้ีพงึ นอนเปน ทุกข ฯลฯ (๓) ฯลฯ ขออยา ใหม ันมีทรพั ยพอใชจ า ย ฯลฯ (๔) ฯลฯ ขออยา ใหมันมีโภคทรัพย ฯลฯ

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 26 (๕) ฯลฯ ขออยาใหม ันมียศ ฯลฯ (๖) ฯลฯ ขออยา ใหม นั มเี พื่อน ฯลฯ (๗) ฯลฯ เพราะกายแตกเบอื้ งหนาแตตาย ขอใหมนั เขา ถงึ อบายทุคติ วนิ ิบาต นรก ขอ นั้นเปนเพราะเหตไุ ร ? ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย ศัตรูยอ มไมยนิ ดดี ว ยการไปสุคติของศตั รู (ของตน) ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย บุรษุบคุ คลขโี้ กรธน้ี ถูกความโกรธครอบงาํ แลว มีความโกรธออกหนา ยอ มประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา และทางใจ เขาคร้ันประพฤตทิ จุ ริตทางกายทางวาจาและทางใจแลว เบื้องหนา แตการตายเพราะกายแตก เปน ผูถกู ความโกรธครอบงําแลว กย็ อ มเขา ถึงอบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก ดงั นี้ และแมเมอ่ื พจิ ารณาโทษในความโกรธ โดยนยั มอี าทอิ ยางน้ีวา คนโกรธยอ มไมรอู รรถ คนโกรธ ยอมไมเห็นกรรม ความโกรธยอมครอบงํา นรชนใด ความมดื บอดก็ยอ มมแี กนรชนน้ัน ในกาลนน้ั สตั วท ้ังหลายโกรธเพราะความ โกรธใดแล ยอมเขาถึงทคุ ติ ทานผมู ปี ญญา เห็นแจง ทง้ั หลาย รดู ีแลว จึงละความโกรธ นั้นเสีย. บคุ คลพงึ ละความโกรธ พึงสละมานะ พงึ กาวลว งสังโยชนท ้งั ปวงเสยี . ความโกรธกอใหเ กิดเสื่อมเสยี ความ โกรธทําจิตใหกาํ เรบิ คนยอ มไมรูจ กั ความ โกรธท่เี กดิ ข้นึ แลว แตจ ติ วา เปนภยั .

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 27 ดกู อนทานผูมปี ญญาเพยี งดงั แผน ดนิ ทา นจงขม ความผดิ พลาดครง้ั หนึง่ เสีย บณั ฑติ ทั้งหลาย ยอ มไมมีความโกรธเปน พลัง ดงั นี.้ ความโกรธก็ยอ มถึงความกาํ จดั ไป ฉะนน้ั บคุ คลนี้ แมพ จิ ารณาอยางน้ีแลว กาํ จัดความโกรธอยู ทานเรยี กวา วเิ นติ (ยอ มกาํ จดั ). บทวา โกธ ไดแ ก ความอาฆาตที่เกิดขน้ึ แตอ าฆาตวัตถอุ ยางใดอยางหน่ึง ในบรรดาอาฆาตวตั ถุ ๑๘ คอื อาฆาตวตั ถุ ๙ อยา ง ท่พี ระผมู -ีพระภาคเจา ตรัสไวใ นพระสูตร โดยนยั วา \" ยอมบังเกิดอาฆาตข้นึ วา เขาไดประพฤตคิ วามฉบิ หายใหแ กเรา เปนตน \" และอาฆาตวตั ถุ ๙ อยาง ซึง่สําเรจ็ แลวโดยนัยตรงกนั ขามกบั อาฆาตวัตถุ ๙ อยา งแรกนั้นน่ันแลวา เขาไมไ ดประพฤติส่ิงทเี่ ปน ประโยชนแ กเรา เปนตน จึงรวมเปนอาฆาตวัตถุ ๑๙พรอ มกบั อฏั ฐานะ มตี อและหนามตําเปน ตน . บทวา วสิ ฏ ไดแก ซานไป. บทวา สปปฺ วสิ  ไดแ ก พิษงู. คําวา อิว เปนคาํ อุปมา. ทานกลาวไวอ ยา งน้วี า สปปฺ วิส วก็เพราะลบออิ กั ษรออกเสยี . บทวา โอสเถภิ ไดแ ก ดว ยยาทัง้ หลาย ทานอธิบายไวว า \" ผูใดยอมกาํ จดั คือ ยอมอดกลน้ั ไดแก ยอมละ ยอ มบรรเทา ยอมทาํ ใหถึงทส่ี ุด ซึง่ ความโกรธทเี่ กดิ ขนึ้ แลวตามอรรถท่กี ลาวแลว คือ ท่ซี ึมซาบไปท่ัว

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 28จิตสนั ดานแลวตัง้ อยดู ว ยอุบายอยางใดอยางหน่งึ ในบรรดาอุบายเครอื่ งกาํ จัดทงั้ หลาย ตามท่กี ลา วแลว เหมอื นหมอท่ีกาํ จดั พษิ ซ่ึงถูกงูกัด พงึ กาํ จดั พิษงูทแ่ี ผซ านไปท่ัวรางกายแลว คงอยดู ว ยยานานาชนิด บรรดายาที่ทาํ ดวยรากไมตนไม เปลือกไม ใบ และดอก เปนตน อยางใดอยางหนงึ่ หรอื ดว ยโอสถทจ่ี ัดปรุงขึ้น ไดฉบั พลนั ทเี ดียวฉะนั้น. บาทพระคาถาวา โส ภกิ ฺขุ ชหาติ โอรปาร ความวา ภกิ ษุนั้นกาํ จัดความโกรธอยอู ยางนี้ เพราะเหตุทีค่ วามโกรธทานละเสยี ไดสิน้ เชิงดว ยมรรคทีส่ าม (อนาคามมิ รรค) ฉะนนั้ ภิกษนุ น้ั พึงทราบวา ยอ มละโอรมั ภาคิยสงั โยชน ๕ ประการท่เี รียกกันวา โอปาระฝงในเสยี ได แตเ มื่อกลาวโดยไมแ ปลกกันแลว คาํ วา ปาร เปน ชือ่ ของฝง ฉะนน้ั ทา นจึงเรยี กวา โอรปาร กเ็ พราะอธิบายวาฝง ในดว ยเปนฝง แหงทะเล คือสงั สารวฏัเหลาน้ันดว ย. อีกอยา งหนึ่ง ภิกษุใดกําจัดความโกรธทบ่ี ังเกิดขึน้ เสยี ได เหมือนหมอกําจัดพิษงทู ี่ซา นไปดวยโอสถ ฉะนั้น ภิกษุนนั้ กําจัดความโกรธไดส นิ้ เชิงดวยมรรคที่สาม แลวตง้ั อยใู นอนาคามิผล ชอื่ วายอ มละฝงในและฝงนอกเสียได. ในคาํ วา โอรปาร นั้น อตั ภาพของตน ช่อื วา โอร ฝง ใน.อัตภาพของคนอ่นื ชื่อวา ปาร ฝง นอก. อกี อยางหนึง่ อายตนะภายใน ๖ ชื่อวา ฝง ใน อาตยนะภายนอก ๖ชอื่ วา ฝงนอก.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 29 อน่ึง มนษุ ยโลกชอื่ วา ฝงใน เทวโลกชื่อวาฝงนอก กามธาตุช่ือวาฝงใน รปู ธาตแุ ละอรปู ธาตุชอื่ วาฝง นอก กามและรูปภพ ช่อื วา ฝงใน อรูปภพชอื่ วา ฝง นอก. อตั ภาพชื่อวาฝง ใน อปุ กรณแ หงความสขุ ของอัตภาพช่ือวาฝง นอก. ภกิ ษลุ ะอยซู งึ่ ฉันทราคะ ในฝงในและฝงนอกน้ี ดว ยมรรคทส่ี ี่อยางนี้ทา นเรียกวา ยอมละฝง ในและฝง นอกเสยี ได ก็ในฝง ในและฝง นอกนี้ พระ-อนาคามีไมมฉี นั ทราคะเลยในอตั ภาพนี้เปนตน เพราะเหตุท่ที านละกามราคะไดแลว แมก ็จรงิ แตถึงกระนัน้ ทา นก็ยงั กลาววา ยอ มละฝง ในและฝงนอกไดดว ยการละฉันทราคะ ในพระคาถาน้นั เพราะสงเคราะหฝ งในและฝง นอกท้ังหมดน้ีเขา ดว ยกัน ก็เพ่ือจะประกาศคณุ แหงมรรคที่ ๔ น้ัน เหมอื นมรรคที่๓ เปน ตน. บดั นี้ เพอ่ื จะประกอบเนื้อความนั้น พระผมู พี ระภาคเจา จงึ ตรัสอุปมาวา เหมอื นกบั งลู ะคราบเกา ที่คร่าํ ครา ไปฉะนน้ั . ในพระคาถานัน้ มวี ินจิ ฉยั ดังตอไปน้ี สัตวท่ีชื่อวา งู เพราะอรรถวิเคราะหวา ไปดวยอก. คําวา อุรโค เปน ชอื่ ของงู งูนัน้ มี ๒ ชนิด คืองทู ่ีมีกามเปนรูป ๑ งทู ี่มอี กามเปน รูป ๑ แมง ูท่ีมกี ามเปนรปู กม็ ี ๒ ชนิด คืองูทเ่ี กดิ ในนา้ํ ๑ งทู ่เี กดิ บนบก ๑ งูทีเ่ กิดในนาํ้ ยอ มไดก ามรูปในนาํ้ เทา น้ันหาไดกามรูปบนบกไม ดจุ สงั ขปาลนาคราช ในสงั ขปาลชาดก. งูทีเ่ กดิ บนบกยอมไดก ามรปู บนบกเทานน้ั หาไดก ามรปู ในนํ้าไม งูนนั้ ยอมลอกหนังท่ีเรียกกันวา ครา่ํ ครา เพราะเปน ของแก และวาเกา เพราะดํารงอยูส้นิ กาลนานจึงลอกคราบไปดว ยวธิ ี ๔ อยางคือ ๑. ดาํ รงอยูในชาติกาํ เนิดของตน๒. เกลยี ดอยู ๓. เพราะอาศยั ๔. ดวยกําลัง.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 30 ชาตกิ ําเนดิ ของงชู ื่อวา สชาติ ไดแ ก การมีตัวยาว ดว ยวางทู ั้งหลายยอ มไมล ว งชาตกิ ําเนดิ ของตน ในฐานะทัง้ ๕ คอื ๑. ในกาลอุบตั ิ ๒. ในกาลจตุ ิ ๓. ในกาลลว งความหลับทต่ี นปลอ ยแลว ๔. ในกาลเสพเมถุนกบันางนาคท่มี ชี าติกําเนดิ เสมอกัน ๕. ในกาลลอกคราบ เพราะเมอ่ื ใดก็ตามทง่ี ูลอกคราบ เม่ือนน้ั งนู ้นั ทงั้ ๆ ทีย่ งั ดาํ รงอยใู นชาติกาํ เนดิ ของตนนน่ั เอง ก็ยอ มลอกคราบ แมด ํารงอยใู นชาติกาํ เนดิ ของตน รงั เกยี จอยู (อึดอัดอยู) ก็ยอ มลอกคราบ. งทู ช่ี อื่ วา เกลยี ดคราบอยู คือ เมอ่ื ใดกต็ ามทตี่ นเปนผูพนจากคราบในฐานะกง่ึ หน่ึง ไมพ นจากคราบไปในฐานะก่งึ หนงึ่ หอ ยอยู เมอื่ น้ัน งนู ัน้อดึ อัดอยู ยอมลอกคราบน้ันไป. กง็ นู นั้ แมรงั เกียจอยอู ยา งน้ี อาศยั ระหวางทอ นไมบาง ระหวางรากไมบาง ระหวางแผน หนิ บาง ยอ มลอกคราบนนั้ ไป. ก็งนู ั้นไดอ าศยั ระหวา งทอนไมเปนตน แมเ มือ่ จะลอกคราบไป ทาํกาํ ลงั ใหเ กิดแลว กระทาํ ความอุตสาหะ กระทาํ หางใหค ดดว ยความเพียร ก าลงัเหน็ อยนู ่นั เอง แผพังพานกย็ อ มลอกคราบไปได งนู ้ันครัน้ ลอกคราบอยา งนี้แลวก็ยอ มหลกี ไปไดต ามปรารถนา ฉนั ใด ภกิ ษุแมน ี้ก็ฉนั นั้นเหมือนกนั ปรารถนาจะละฝง ในและฝง นอก ยอ มละไปไดดว ยอาการ ๔ คือ ๑. แมด าํ รงอยแู ลวในชาติกาํ เนดิ ของตน ๒. เกลยี ดอยลู อกคราบไป ๓. ยอ มลอกคราบไปเพราะอาศยั ๔. ยอ มลอกคราบไปดว ยกาํ ลงั .








































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook