Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_05

tripitaka_05

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:32

Description: tripitaka_05

Search

Read the Text Version

พระวนิ ัยปฎก ภกิ ขุนวี ภิ งั ค เลม ๓ - หนา ท่ี 277 ทรงสอบถาม พระผมู ีพระภาคเจา ทรงสอบถามภกิ ษทุ ้งั หลายวา ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลายขาววาภิกษณุ ถี ลุ ลนนั ทาไดยงั สมัยจีวรกาลใหลวงไป ดว ยหวังวา จะไดจ วี รอนัไมแ นน อนจริงหรือ. ภกิ ษทุ ง้ั หลายกราบทลู วา จรงิ พระพุทธเจาขา . ทรงตเิ ตยี นแลว บญั ญัตสิ ิกขาบท พระผมู พี ระภาคพทุ ธเจา ทรงติเตยี นวา ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย ไฉนภิกษุณถี ลุ ลนนั ทาจงึ ไดย ังสมัยจวี รกาลใหล ว งไป ดวยหวงั วา จะไดจ ีวรอันไมแนน อนเลา การกระทําของนางนัน่ ไมเ ปน ไปเพื่อความเลอื่ มใสของชุมชนท่ียังไมเ ล่ือมใส. . . ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย กแ็ ลภิกษุณที ั้งหลายจงยกสิกขาบทนขี้ ้นึ แสดงอยา งนี้ วา ดังน้ี :- พระบัญญตั ิ ๘๔.๙. อนง่ึ ภิกษุณใี ด ยงั สมยั จวี รกาลใหลวงไป ดว ยหวังวา จะไดจวี รอนั ไมแ นน อน เปนปาจติ ตยี . สิกขาบทวิภังค [๒๕๐] บทวา อนงึ่ . . .ใด ความวา ผูใด คอื ผูเ ชน ใด. . . บทวา ภิกษณุ ี ความวา ท่ชี ่อื วา ภิกษณุ ี เพราะอรรถวาเปนผูขอ. . .นี้ ช่อื วา ภกิ ษณุ ี ทที่ รงประสงคในอรรถน้ี.

พระวนิ ยั ปฎ ก ภิกขนุ วี ิภงั ค เลม ๓ - หนาที่ 278 ทช่ี ือ่ วา หวังวา จะไดจวี รอันไมแ นนอน ไดแ ก วาจาทีเ่ ขาเปลงออกมาวา ถา พวกขาพเจา สามารถ กจ็ ักถวาย จกั ทํา. ทีช่ ื่อวา สมยั จีวรกาล คอื เมอ่ื กฐินยังไมไดกราน มีกําหนดเดือนหนึง่ ทา ยฤดูฝน เมอื่ ไดกรานกฐินแลว มีกําหนด ๕ เดือน. บทวา ยงั สมัยจวี รกาลใหลวงไป ความวา เมอ่ื ไมไดก รานกฐนิยังวันที่กฐินเดาะใหล ว งไป ตอ งอาบัติปาจติ ตีย. บทภาชนยี  [๒๕๑] จวี รไมแนนอน ภกิ ษุณสี าํ คัญวา จีวรไมแ นนอน ยังสมัยจีวรกาลใหล วงไป ตองอาบัติปาจิตตยี . จีวรไมแนนอน ภิกษุณสี งสยั ยังสมยั จวี รกาลใหลว งไป ตอ งอาบัติทกุ กฏ. จวี รไมแนน อน ภิกษุณสี ําคัญวา แนนอน ยงั สมัยจวี รกาลใหล ว งไปไมตอ งอาบัติ. จวี รแนนอน ภิกษสุ าํ คัญวา จีวรไมแ นน อน ตอ งอาบตั ทิ ุกกฏ. จวี รแนนอน ภกิ ษณุ สี งสยั ตองอาบตั ทิ กุ กฏ. จีวรแนน อน ภกิ ษุณสี าํ คัญวาจวี รแนน อน ไมต องอาบัต.ิ อนาปต ติวาร [๒๕๒] แสดงอานสิ งสแลว หาม ๑ วกิ ลจรติ ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไมตอ งอาบตั แิ ล. นคั ควรรค สกิ ขาบทท่ี ๙ จบ

พระวินัยปฎก ภิกขุนวี ิภังค เลม ๓ - หนาท่ี 279 อรรถกถานัคควรรค สิกขาบทที่ ๙ วนิ ิจฉัยในสิกขาบทที่ ๙ พึงทราบดังน:้ี - บทวา ทพุ ฺพลจีวรปจจฺ าสาย คอื ดว ยความหวงั จะไดจ วี รอนั ไมแนน อน. บทวา อานสิ  ส มคี วามวา ถงึ แมพ วกชาวบา นกลาววา แมเ จาพวกขา พเจา ยงั ไมอาจ ดังนี้ ก็จรงิ เมอ่ื ภกิ ษุณแี สดงอานิสงสห า มอยา งน้วี าเวลาน้ี ฝายจักมาถึงแกช าวบา นนั้น บุรุษผมู ีศรทั ธาเลอ่ื มใส จักมา จกั ถวายแนนอน ไมเ ปนอาบตั .ิ คําทเี่ หลอื งา ยทั้งนน้ั . สิขาบทน้ี มสี มฏุ ฐาน ๓ เปน กริ ิยา สญั ญาวโิ มกข สจติ ตกะ โลก-วัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจติ มเี วทนา ๓ แล. อรรถกถานคั ควรรค สกิ ขาบทที่ ๙ จบ

พระวินัยปฎก ภิกขุนวี ภิ ังค เลม ๓ - หนา ท่ี 280 นัคควรรค สกิ ขาบทที่ ๑๐ เร่ืองอุบาสกคนหนึง่ [๒๕๓] โดยสมยั น้นั พระผูมีพระภาคพทุ ธเจาประทบั อยู ณ พระ-เชตวัน อารามของอนาถบณิ ฑกิ คหบดี เขตพระนครสาวตั ถี คร้ังนน้ั อบุ าสกคนหน่งึ ใหช างสรา งวิหารหลังหน่ึงอุทิศสงฆ ในงานฉลองวหิ ารนน้ั เขามีความประสงคจะถวายอกาลจวี รแกสงฆทงั้ สองฝา ย แตส มยั นน้ั สงฆท้งั สองฝายกรานกฐินแลวอุบาสกจึงเขาไปหาสงฆแ ลวขอการเดาะกฐิน ภกิ ษุทง้ั หลายกราบทูลเร่ืองนน้ั แดพ ระผมู พี ระภาคเจา. ลาํ ดบั นน้ั แล พระผมู ีพระภาคเจา ทรงกระทาํ ธรรมกี ถา ในเพราะเหตุเปนเคา มลู นน้ั แลว รับส่งั กะภกิ ษทุ ั้งหลายวา ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย เราอนุญาตเพ่อื เดาะกฐิน แตพงึ เดาะอยางน้.ี อันภิกษผุ ฉู ลาด ผสู ามารถ พงึ ประกาศใหส งฆทราบดว ยญัตติทตุ ิย-กรรมวาจา วาดงั นี้ :- กรรมวาจา ทา นเจา ขา ขอสงฆจงฟงขา พเจา ถาความพรอ มพร่งั ของสงฆถ งึ ทแ่ี ลว สงฆพ ึงเดาะกฐิน นเ่ี ปนญตั ติ. ทา นเจาขา ขอสงฆจงฟง ขาพเจา สงฆยอ มเดาะกฐนิ การเดาะกฐิน ชอบแกท านผใู ด ทา นผูน้นั พึงเปน ผูนง่ิ ไมชอบแกท านผใู ด ทา นผูน ัน้ พึงพดู . กฐนิ อนั สงฆเ ดาะแลว ชอบแกส งฆ เหตุน้นั จึงนิง่ ขาพเจาทรงความนีไ้ วด ว ยอยา งน.ี้

พระวินัยปฎก ภกิ ขุนวี ิภังค เลม ๓ - หนาท่ี 281 [๒๕๔] ครนั้ แลว อบุ าสกนั้นเขาไปหาภกิ ษณุ ีสงฆขอเดาะกฐนิภกิ ษุณีถลุ ลนนั ทาหา มการเดาะกฐนิ วา จีวรจกั มแี กพวกขา พเจา อุบาสกนั้นจงึ เพง โทษ ตเิ ตียน โพนทะนาวา ไฉนภกิ ษุณีทัง้ หลายจึงไมใหก ารเดาะกฐนิแกพวกเราเลา. ภกิ ษณุ ที ั้งหลายไดย ินอุบาสกน้ันเพงโทษ ตเิ ตียน โพนทะนาอยูบรรดาทีเ่ ปน ผมู ักนอ ย . . . ตางกเ็ พงโทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาวา ไฉนแมเจาถุลลนนั ทา จงึ ไดห า มการเดาะกฐนิ อันเปนไปแลวโดยธรรมเลา . ทรงสอบถาม พระผูม ีพระภาคพุทธเจา ทรงสอบถามภิกษทุ งั้ หลายวา ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ขาววา ภิกษุณีถุลลนันทาหา มการเดาะกฐินอันเปน ไปแลว โดยธรรมจรงิ หรือ. ภิกษทุ ั้งหลายกราบทูลวา จรงิ พระพุทธเจาขา. ทรงติเตียนแลว บญั ญตั สิ กิ ขาบท พระผมู พี ระภาคพุทธเจา ทรงติเตียนวา ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ไฉนภกิ ษุณถี ลุ ลนนั ทาจึงไดห า มการเดาะกฐนิ อนั เปน ไปแลว โดยธรรมเลา การกระทําของนางนน่ั ไมเ ปนไปเพอ่ื ความเลอ่ื มใสของชมุ ชนที่ยงั ไมเลือ่ มใส. . . ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย ก็แลภิกษุณที ง้ั หลายจงยกสกิ ขาบทนีข้ น้ึ แสดงอยางนี้ วาดงั นี:้ - พระบัญญตั ิ ๘๕ . ๑๐. อน่งึ ภิกษณุ ีใด หามการเดาะกฐนิ อนั เปน ไปแลวโดยธรรมเปนปาจิตตยี . เรอื่ งอบุ าสกคนหนึง่ จบ

พระวนิ ัยปฎ ก ภกิ ขนุ วี ิภงั ค เลม ๓ - หนาที่ 282 สิกขาบทวิภงั ค [๒๕๕] บทวา อน่ึง. . .ใด ความวา ผูใด คอื ผูเ ชนใด. . . บทวา ภิกษณุ ี ความวา ทชี่ ือ่ วา ภกิ ษณุ ี เพราะอรรถวา เปน ผขู อ. . .น้ีชอื่ วา ภิกษุณี ที่ทรงประสงคในอรรถน้ี. การเดาะกฐนิ ที่ชือ่ วา เปน ไปแลวโดยธรรม คอื ภิกษณุ ีสงฆพ รอมเพรยี งประชุมกันเดาะ. บทวา หาม คือ หามวา กฐินนจ้ี ะเดาะไดดวยวิธีไร ดังนี้ ตองอาบัติปาจติ ตีย. บทภาชนยี  [๒๕๖] การเดาะเปนธรรม ภกิ ษุณีสาํ คญั วาเปน ธรรม หาม ตอ งอาบตั ิปาจติ ตยี . การเดาะเปน ธรรม ภิกษณุ ีสงสัย ตองอาบัตทิ ุกกฏ. การเดาะเปนธรรม ภิกษุณีสาํ คัญวาไมเ ปนธรรม ไมต องอาบัติ. การเดาะไมเปน ธรรม ภิกษุณีสําคญั วาเปนธรรม ตอ งอาบตั ิทุกกฏ. การเดาะไมเปน ธรรม ภกิ ษุณีสงสยั ตอ งอาบัตทิ ุกกฏ. การเดาะไมเปน ธรรม ภกิ ษณุ สี าํ คญั วาไมเปน ธรรม ไมต องอาบัติ. อนาปตตวิ าร [๒๕๗] แสดงอานสิ งสแลวหาม ๑ วกิ ลจรติ ๑ อาทกิ มั มิกา ๑ ไมตอ งอาบัตแิ ล. นัคควรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ นคั ควรรคที่ ๓ จบ

พระวนิ ัยปฎ ก ภิกขนุ วี ิภังค เลม ๓ - หนา ที่ 283 อรรถกถานคั ควรรค สิกขาบทที่ ๑๐ วินิจฉัยในสกิ ขาบทท่ี ๑๐ พงึ ทราบดังนี:้ - ในคําวา กนิ ทุ ธฺ าร น ทสสฺ นตฺ ิ น้ี มีวนิ ิจฉัยดงั น:้ี - การเดาะกฐินเชนไรสงฆควรให เชน ไรไมค วรให คือ การเดาะกฐนิ เชนอยางท่ีมีอานิสงสมาก มีการกรานเปน มลู มีอานิสงสนอ ย มีการเดาะเปนมูล ไมค วรให. แตก ารเดาะกฐินเชน อยา งท่มี ีอานสิ งสน อย มีการกรานเปนมูล มอี าน-ิสงสมาก มีการเดาะเปนมูล ควรให. การเดาะกฐนิ แมมีอานิสงสเทา ๆ กนั .สงฆก็ควรใหท ีเดยี ว เพื่อรักษาศรัทธาไว. บทวา อานสิ  ส มคี วามวา ภกิ ษุณีแสดงอานสิ งสเหน็ ปานนี้วาภิกษณุ สี งฆมจี วี รเกา มลี าภมาก ซึง่ มอี านสิ งสแ หงกฐินเปน มลู แลวหามเสียไมเปน อาบัติ. คําทเี่ หลอื ต้ืนท้ังน้ัน. สิกขาบทนี้ มสี มุฏฐาน ๓ เปน กิริยา สญั ญาวิโมกข สจติ ตกะ โลกวชั ชะ กายกรรม วจกี รรม อกศุ ลจิต มเี วทนา ๓ แล. อรรถกถานัคควรรค สกิ ขาบทท่ี ๑๐ จบ อรรถกถานัคควรรคท่ี ๓ จบ

พระวนิ ยั ปฎ ก ภกิ ขุนีวิภังค เลม ๓ - หนาที่ 284 ตวุ ัฏฏวรรคท่ี ๔ สิกขาบทที่ ๑ เรอื่ งภิกษุณีหลายรูป [๒๕๘] โดยสมัยนัน้ พระผูม ีพระภาคพุทธเจาประทบั อยู ณ พระ-เชตวัน อารามของอนาถบณิ ฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครัง้ นั้น ภกิ ษณุ ีสองรปู จาํ วัดรวมเตยี งกัน คนทั้งหลายเทยี่ วเดนิ ชมวหิ าร พบเห็นแลวพากนัเพง โทษ ตเิ ตียน โพนทะนาวา ไฉนภกิ ษณุ ีท้ังหลายจงึ ไดน อนรวมเตียงกันสองรปู เหมอื นหญงิ ชาวบา นเลา. ภกิ ษณุ ีทั้งหลายไดย ินคนเหลาน้นั เพงโทษ ติเตียน โพนทะนาอยูบรรดาท่ีเปนผมู กั นอย. . .ตา งกเ็ พงโทษ ตเิ ตียน โพนทะนาวา ไฉนภิกษุณีทงั้ หลาย จงึ ไดจําวัดบนเตียงเดยี วกันสองรปู เลา . . . ทรงสอบถาม พระผมู ีพระภาคเจา ทรงสอบถามภกิ ษุท้งั หลายวา ดกู อนภิกษุทัง้ หลายขาววา พวกภกิ ษณุ ีจาํ วัดรว มเตยี งกันสองรูป จริงหรอื . ภิกษทุ ั้งหลายกราบทูลวา จรงิ พระพุทธเจาขา . ทรงตเิ ตยี นแลวบญั ญตั ิสิกขาบท พระผมู ีพระภาคพุทธเจาทรงติเตยี นวา ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ไฉนพวกภกิ ษุณีจึงไดจ ําวดั รว มเตยี งเดียวกนั สองรปู เลา การกระทาํ ของพวกนางนนั่ ไมเปน ไปเพ่ือความเลอื่ มใสย่ิงของชมุ ชนท่ียงั ไมเลอื่ มใส. . .

พระวินัยปฎก ภิกขุนีวิภังค เลม ๓ - หนา ที่ 285 ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ก็แลภิกษณุ ีทัง้ หลายจงยกสิกขาบทน้ขี ึ้น แสดงอยา งน้ี วา ดังน้:ี - พระบญั ญัติ ๘๖. ๑. อนึง่ เหลา ภกิ ษุณใี ด สองรปู นอนในเตยี งเดยี วกันเปนปาจิตตีย . เรอื่ งภกิ ษุณหี ลายรูป จบ สกิ ขาบทวภิ ังค [๒๕๙] บทวา อนงึ่ . . .ใด ความวา ผใู ด คือ ผเู ชน ใด. . . ทีช่ อื่ วา เหลาภิกษณุ ี ไดแ ก เหลาสตรีทเี รยี กกันวา ภกิ ษณุ ีอปุ -สมั บนั . พากยวา สองรูปนอนในเตียงเดียวกนั คือ เม่ือรปู หนงึ่ นอนแลวอีกรปู หนง่ึ จงึ นอน ตองอาบตั ิปาจติ ตีย หรอื นอนทั้งสองรูป ตอ งอาบัติปาจติ ตยี ลุกข้ึนแลว นอนตอ อกี ก็ตอ งอาบัติปาจติ ตีย. อนาปตตวิ าร [๒๖๐] รปู หน่ึงนอน อกี รปู หนงึ่ นงั่ หรอื น่งั ทง้ั คู ๑ วกิ ลจริตทั้งคู ๑อาทกิ มั มกิ าทง้ั คู ๑ ไมตองอาบตั ิแล. ตุวัฏฏวรรค สิกขาบทท่ี ๑ จบ

พระวนิ ยั ปฎ ก ภิกขุนวี ภิ งั ค เลม ๓ - หนา ที่ 286 ตุวฏั ฏวรรคที่ ๔ อรรถกถาตวุ ฏั ฏวรรค สกิ ขาบทที่ ๑ วินิจฉัยในสิกขาบทท่ี ๑ แหง ตุวฏั ฏวรรค พงึ ทราบดงั นี้:- บทวา ตุวฏเ ฎยยฺ แปลวา พึงนอน. คาํ ทีเ่ หลือ ตืน้ ทง้ั น้ัน. สกิ ขาบทนี้ มีสมุฏฐานเหมือนเอฬกโลมสิกขาบท เปนกิริยา โนสญั ญา-วิโมกข อจติ ตกะ ปณ ณตั ตวิ ัชชะ กายกรรม มีจติ ๓ มเี วทนา ๓ แล. ตวุ ฏั ฏวรรค สิกขาบทท่ี ๑ จบ

พระวินยั ปฎ ก ภกิ ขนุ วี ิภังค เลม ๓ - หนา ท่ี 287 ตวุ ัฏฏวรรค สิกขาบทที่ ๒ เร่อื งภกิ ษณุ ี ๒ รูป [๒๖๑] โดยสมัยนน้ั พระผมู ีพระภาคพุทธเจา ประทับอยู ณ พระ-เชตวนั อารามของอนาถบิณฑกิ คหบดี เขตพระนครสาวตั ถี ครั้งนัน้ ภกิ ษุณีสองรูปจําวัดมีผาลาดและผาหม ผืนเดียวกนั คนทัง้ หลายเท่ยี วชมวหิ ารพบเห็นแลว พากนั เพง โทษ ตเิ ตียน โพนทะนาวา ไฉนภิกษณุ ีสองรปู จงึ ไดจ ําวัดมีผาลาดและผา หมผนื เดียวกันดุจหญิงชาวบานเลา . ภิกษณุ ีทั้งหลายไดยนิ คนพวกน้นั เพง โทษ ตเิ ตียน โพนทะนาอยูบรรดาที่เปน ผูมักนอย. . .ตา งกเ็ พง โทษ ติเตยี น โพนทะนาวา ไฉนภกิ ษณุ ีสองรปู จงึ ไดจ าํ วดั มีผา ลาดและผาหมผืนเดียวกันเลา . . . ทรงสอบถาม พระผูมีพระภาคพทุ ธเจาทรงสอบถามภิกษทุ ้ังหลายวา ดกู อนภิกษุทั้งหลาย ขา ววา ภกิ ษณุ สี องรูปนอนมผี าลาดและผา หมผืนเดียวกัน จรงิ หรือ. ภกิ ษุท้งั หลายกราบทูลวา จรงิ พระพุทธเจา ขา . ทรงติเตยี นแลวบัญญตั สิ ิกขาบท พระผมู ีพระภาคพุทธเจา ทรงตเิ ตียนวา ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ไฉนภกิ ษณุ ีสองรปู จึงไดน อนมีผาลาดและผา หม ผนื เดียวกันเลา การกระทําของพวกนางนน่ั ไมเ ปน ไปเพ่อื ความเล่อื มใสของชมุ ชนท่ียงั ไมเ ลื่อมใส. . . ดกู อ นภิกษทุ ัง้ หลาย กแ็ ลภิกษทุ ัง้ หลายจงยกสกิ ขาบทนขี้ ้ึนแสดงอยา งนี้ วา ดังน:้ี -

พระวินัยปฎ ก ภกิ ขุนวี ภิ งั ค เลม ๓ - หนาที่ 288 พระบญั ญัติ ๘๗. ๒. อนง่ึ เหลาภกิ ษณุ ีใด สองรปู มีผา ลาดและผา หมผืนเดยี วกนั นอน เปน ปาจติ ตยี . เรอ่ื งภิกษุณี ๒ รปู จบ สิกขาบทวิภงั ค [๒๖๒] บทวา อน่งึ . . .ใด ความวา ผใู ด คอื ผูเชน ใด. . . ทช่ี อ่ื วา เหลาภกิ ษุณี ไดแ ก เหลา ภกิ ษณุ ที ่เี รยี กกันวาภกิ ษุณีอปุ -สมั บนั . พากยว า สองรูปมีผาลาดและผา หมผินเดยี วกนั นอน น้ัน คอืลาดกผ็ นื นนั้ หม กผ็ นื นั้น ตองอาบตั ิปาจติ ตีย. บทภาชนีย ติกะปาจิตตยี  [๒๖๓] ผา ลาดและผาหม ผนื เดียวกนั ภกิ ษุณีสําคัญวา ผา ลาดและผา หม ผนื เดยี วกนั นอน ตอ งอาบัติปาจติ ตีย. ผาลาดและผา หม ผืนเดยี วกัน ภิกษุณสี งสยั นอน ตองอาบัตปิ าจิตตยี  ผา ลาดและผาหมผนื เดยี วกนั ภิกษณุ สี ําคัญวา ผา ลาดและผา หม ตา งผืนกนั ตองอาบัติปาจิตตีย. จตกุ กะทุกกฏ ผาลาดผืนเดยี วกัน ผา หม ตา งผืน๑ ตองอาบตั ทิ ุกกฏ. ผาลาดตา งผืน ผาหม ผืนเดียวกัน๒ ตองอาบัตทิ กุ กฏ.๑. ยุ ม. ผาลาดผนื เดียวกัน สําคัญวาเปนผา หมตา งผนื กนั ๒. ยุ ม. ผาลาดตางผืน สําคัญวาเปน ผาหม ผืนเดยี วกัน.

พระวินยั ปฎ ก ภกิ ขุนีวิภงั ค เลม ๓ - หนาท่ี 289 ผา ลาดและผาหมตา งผนื กนั สําคญั วา ผาลาดและผา หมผืนเดยี วกนัตองอาบัติทุกกฏ. ผาลาดและผาหม ตางผืนกนั สงสัย ตอ งอาบตั ทิ กุ กฏ. ผา ลาดและผา หมตา งผืนกนั สําคัญวา ผา ลาดและผา หม ตา งผืนกนั ไมตอ งอาบัติ. อนาปต ติวาร [๒๖๔] ดูผาแลวนอน๑ ๑ วกิ ลจรติ ๑ อาทิกมั มกิ า ๑ ไมต อ งอาบตั ิแล. ตุวฏั ฏวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ อรรถกถาตวุ ัฏฏวรรค สิกขาบทท่ี ๒ วินิจฉยั ในสกิ ขาบทท่ี ๒ พงึ ทราบดงั น:ี้ - ผาปทู นี่ อนและผาหมของภกิ ษณุ ี ๒ รูปนี้ ผนื เดียวกัน; เพราะฉะนัน้เธอทั้ง ๒ จึงชือ่ วา ผูมีผาปนู อนและผา หม ผนื เดยี วกัน. คาํ วา เอกตฺถรณ-ปาปรุ ณา น้ี เปน ชือ่ แหงภิกษณุ ีทง้ั ๒ ผูปูชายขา งหนง่ึ แหงผา ปาวารผา ปูนอนและเสอ่ื ลําแพนเปนตน อันเคล่ือนท่ไี ด แลว นอนหมชายขางหน่ึง. สองบทวา ววฏฐาน ทสฺเสตฺวา มีความวา ไมเ ปนอาบัติแกภกิ ษุณีท้งั ๒ รปู ผูนอนวางผา กาสายะ หรอื ไมเ ทา คนแก ชน้ั ทส่ี ดุ แมประคดเอวไวในทามกลาง. คําท่เี หลือ ต้นื ทง้ั นั้น . สิกขาบทน้ี มีสมฏุ ฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เปน กริ ยิ า สัญญาวิโมกขอจติ ตกะ ปณ ณัตตวิ ชั ชะ กายกรรม มจี ิต ๓ มีเวทนา ๓ แล. อรรถกถาตวุ ฏั ฏวรรค สกิ ขาบทที่ ๒ จบ๑. ยุ วตั ถุอันเปนเคร่ืองกาํ หนด.

พระวินัยปฎก ภิกขนุ วี ิภงั ค เลม ๓ - หนา ท่ี 290 ตวุ ัฏฏวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ เร่อื งภกิ ษุณีถุลลนนั ทา [๒๖๕] โดยสมัยนัน้ พระผมู พี ระภาคพทุ ธเจา ประทับอยู ณ พระเชต-วัน อารามของอนาถบณิ ฑกิ คหบดี เขตพระนครสาวตั ถี ครงั้ นน้ั ภกิ ษณุ ีถุลลนันทาเปน คนคงแกเรยี น เปน คนชางพดู เปน คนองอาจ สามารถกลา วถอ ยคาํ มหี ลกั ฐาน แมภ ิกษณุ ีภทั ทากาปลานีก็เปนคนคงแกเรยี น เปน คนชางพดูเปนคนองอาจสามารถกลา วถอ ยคํามีหลกั ฐาน เปน ผูไดร บั การสรรเสริญวา เปนเยย่ี มกวา จึงพากนั เขาไปหาภิกษุณีภัททากาปลานีกอ น แลวจงึ เขาไปหาภกิ ษุณีถลุ ลนนั ทาตอภายหลงั ภิกษณุ ถี ุลลนันทาเปน คนมักริษยา รไู ดด วี า ธรรมดาภกิ ษุณผี ูสาละวนอยดู ว ยการอภปิ รายที่จะใหคนอน่ื รูเขา ใจเน้อื ความแจม แจงยอ มเปน ผูม ักนอย สนั โดษ ชอบสงัด ไมค ลุกคลดี วยหมู ดังนน้ั จึงจงกรมบา ง ยืนบา ง น่ังบาง สําเรจ็ การนอนบา ง บรรยายเองบา ง ใหผูอนื่ บรรยายบาง ทอ งบนบาง เบ้อื งหนาภิกษณุ ีภทั ทากาปล าน.ี บรรดาภิกษณุ ีท่ีเปนผูมักนอ ย. . . ตางพากันเพงโทษ ตเิ ตยี น โพน-นาทะวา ไฉนแมเ จา ถลุ ลนันทาจงึ ไดแ กลงกอความไมสาํ ราญใหแ กแมเ จา ภทั ทากาปล านเี ลา. ทรงสอบถาม พระผูมพี ระภาคเจา ทรงสอบถามภิกษทุ ้ังหลายวา ดกู อนภกิ ษุท้งั หลายขาววา ภกิ ษณุ ีถลุ ลนนั ทาแกลงกอความไมส ําราญใหแ กภ กิ ษุณภี ทั ทากาปลานีจริงหรือ. ภิกษทุ งั้ หลายกราบทูลวา จรงิ พระพทุ ธเจาขา .

พระวนิ ัยปฎ ก ภกิ ขุนีวภิ งั ค เลม ๓ - หนาที่ 291 ทรงตเิ ตียนแลว บญั ญัตสิ ิกขาบท พระผูมพี ระภาคพุทธเจา ทรงตเิ ตียนวา ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย ไฉนภิกษณุ -ีถุลลนนั ทาจงึ ไดแกลงกอความไมส ําราญใหแกภ กิ ษณุ ภี ัททากาปลานีเลา การกระทําของนางนัน่ ไมเปนไปเพือ่ ความเลื่อมใสของชุมชนที่ยงั ไมเลอ่ื มใส. . . ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย กแ็ ลภิกษุณีท้ังหลาย จงยกสิกขาบทนขี้ ้ึนแสดงอยางน้ี วาดงั นี้:- พระบัญญัติ ๘๘. ๓. อน่งึ ภิกษุณีใด แกลงกอความไมส าํ ราญใหแ กภิกษุณี เปนปาจิตตยี  . เรื่องภิกษุณถี ุลลนนั ทา จบ สกิ ขาบทวิภงั ค [๒๖๖] บทวา อนงึ่ . . .ใด ความวา ผูใด คือ ผเู ชนใด . . . บทวา ภกิ ษณุ ี ความวา ทช่ี ือ่ วา ภกิ ษณุ ี เพราะอรรถวา เปนผูขอ. . . นี้ช่ือวา ภกิ ษุณี ทีท่ รงประสงคในอรรถน.้ี บทวา แกภ ิกษุณี คอื แกภกิ ษณุ รี ปู อ่ืน. บทวา แกลง คือ รู รดู ี จงใจ ตงั้ ใจละเมิด. บทวา กอความไมส ําราญให คือ คิดวา ดว ยวิธีนีค้ วามไมผ าสุกจักมีแกภ ิกษณุ ีรูปนี้ แลว ไมขอโอกาส จงกรมก็ดี ยืนกด็ ี นัง่ ก็ดี สาํ เร็จการนอนกด็ ี บรรยายเองกด็ ี ใหผอู ื่นบรรยายกด็ ี ทอ งบนก็ดี ในเบ้อื งหนา ตอ งอาบตั ิปาจติ ตยี .

พระวนิ ัยปฎ ก ภิกขุนวี ภิ งั ค เลม ๓ - หนาที่ 292 บทภาชนยี  ติกะปาจิตตยี  [๒๖๗] อปุ สมั บันภิกษณุ ี ภกิ ษณุ สี าํ คญั วาอุปสมั บันภิกษณุ ีแกลงกอความไมส าํ ราญให ตองอาบัตปิ าจติ ตีย. อุปสัมบนั ภิกษณุ ี ภิกษุณสี งสัย แกลง กอความไมสาํ ราญให ตองอาบัติปาจิตตีย. อุปสมั บนั ภกิ ษุณี ภกิ ษุณีสําคญั วา อุปสัมบันภกิ ษณุ ี แกลง กอ ความไมสําราญให ตองอาบตั ิปาจิตตีย. ติกะทุกกฏ อนุปสัมบนั ภกิ ษุณี ภิกษณุ สี าํ คญั วาอปุ สัมบันภิกษณุ ี ตอ งอาบตั ิทุกกฏ. อนปุ สัมบนั ภิกษณุ ี ภิกษณุ สี งสัย ตองอาบตั ิทุกกฏ. อนุปสมั บันภิกษณุ ี ภิกษุณสี าํ คัญวา อนปุ สมั บันภกิ ษณุ ี ตอ งอาบัติทกุ กฏ. อนาปตติวาร [๒๖๘] ไมประสงคจะกอ ความไมส ําราญให ขอโอกาสแลว จงึ จงกรมก็ดี ยนื กด็ ี นงั่ กด็ ี สําเรจ็ การนอนก็ดี บรรยายเองก็ดี ใหผูอนื่ บรรยายกด็ ีทอ งบนก็ดี ในเบอื้ งหนา ๑ วิกลจริต ๑ อาทกิ ัมมกิ า ๑ ไมตองอาบัตแิ ล. ตวุ ัฏฏวรรค สิกขาบทท่ี ๓ จบ

พระวนิ ยั ปฎ ก ภิกขนุ วี ิภงั ค เลม ๓ - หนาท่ี 293 อรรถกถาตุวัฏฏวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ วินิจฉยั ในสกิ ขาบทที่ ๓ พงึ ทราบดังนี:้ - บทวา อุฬารสมภฺ าวติ า มคี วามวา อันคนทง้ั หลายยกยอ งวา เปนผเู ยีย่ มกวา เพราะเปน ผบู วชจากตระกูลสูง และเพราะเปน ผูเ ยี่ยมกวา โดยคุณทั้งหลาย. บทวา อสิ ฺสาปกตา มคี วามวา ผถู กู ความริษยาย่ํายี คือครอบงาํ แลว. ภกิ ษณุ ีเหลานี้ มีการอภปิ รายมากมาย เพราะฉะนัน้ จงึ ชอื่ วา ผูสาละวนอยูดว ยการอภปิ รายใหคนอื่นเขา ใจ. อธบิ ายวา ชแ้ี จงใหม หาชนเขาใจตลอดท้งั วนั . ภกิ ษุณีเหลา น้ี มีการชแ้ี จงอรรถใหแ จมแจง มากมาย เพราะฉะนนั้จึงช่อื วา ผูส าละวนอยูดว ยการช้แี จงอรรถใหแจม แจง. พงึ ทราบวา วิฺติ ติ ไดแ ก การชแ้ี จงอรรถใหแจม แจง โดยนัยตา ง ๆ มีเหตุและอทุ าหรณเปนตน . ไมพงึ เขาใจวา การออกปากขอ. พงึ ทราบวา เปนอาบตั มิ ากตวั โดยนบั การเดินกลบั ไปมา ในการจงกรม ในคําวา ติฏติ วา เปน ตน พึงทราบวา เปนอาบัตมิ ากตัว โดยนับประโยค. ในคาํ วา อทุ ฺทสิ ติ วา เปนตน พึงทราบวา เปนอาบตั มิ ากตวั โดยการนบั บทเปนตน คาํ ทเี่ หลือ ต้นื ทั้งน้ัน. สิกขาบทน้ี มสี มฏุ ฐาน ๓ เปนทัง้ กิริยาทั้งอกิรยิ า สญั ญาวิโมกขสจิตตกะ โลกวชั ชะ กายกรรม วจกี รรม อกศุ ลจิต เปนทกุ ขเวทนา แล. อรรถกถาตวุ ฏี ฏวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ

พระวนิ ัยปฎ ก ภกิ ขนุ ีวภิ ังค เลม ๓ - หนา ที่ 294 ตวุ ฏั ฏวรรค สิกขาบทที่ ๔ เร่อื งภิกษณุ ถี ลุ ลนันทา [๒๖๙] โดยสมยั นนั้ พระผูมีพระภาคพทุ ธเจาประทับอยู ณ พระ-เชตวัน อารามของอนาถบิณฑกิ คหบดี เขตพระนครสาวตั ถี ครง้ั นั้น ภิกษณุ ีถุลลนนั ทาไมชว ยเหลอื สหชีวนิ ผี ไู ดรบั ความลําบาก ทัง้ ไมขวนขวายใหผอู ่ืนชว ยเหลือ. บรรดาภกิ ษณุ ีท่เี ปน ผูมักนอ ย. . . ตา งก็เพง โทษ ติเตียน โพนทะนาวา ไฉนแมเ จา ถุลลนันทาจึงไมช วยเหลือสหชีวนิ ผี ูไ ดร ับความลาํ บาก ทัง้ ไมข วนขวายใหผูอ นื่ ชว ยเหลอื เลา . . . ทรงสอบถาม พระผมู พี ระภาคเจา ทรงสอบถามภกิ ษุท้งั หลายวา ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลายขา ววาภิกษุณีถลุ ลนนั ทาไมช วยเหลอื สหชีวนิ ีผูไดร บั ความลําบาก ทัง้ ไมขวน-ขวายใหผอู ่นื ชว ยเหลอื จรงิ หรือ. ภกิ ษุท้ังหลายกราบทลู วา จรงิ พระพทุ ธเจา ขา. ทรงตเิ ตยี นแลว บญั ญตั สิ ิกขาบท พระผมู ีพระภาคพทุ ธเจาทรงตเิ ตียนวา ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย ไฉนภิกษณุ ีถุลลนันทา จึงไดไ มช ว ยเหลอื สหชวี นิ ีผูไดร ับความลําบาก ทง้ั ไมข วนขวายใหผูอ่นื ชว ยเหลือเลา การกระทาํ ของนางนัน่ ไมเ ปนไปเพอื่ ความเล่อื มใสของชุมชนที่ยงั ไมเ ลื่อมใส. . . ดกู อนภิกษุทั้งหลาย กแ็ ลภิกษณุ ีทงั้ หลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอยา งน้ี วาดงั นี้:-

พระวนิ ยั ปฎก ภิกขุนวี ภิ งั ค เลม ๓ - หนาที่ 295 พระบญั ญัติ ๘๙. ๔. อนงึ่ ภกิ ษณุ ใี ด ไมช วยเหลือ ไมข วนขวายเพ่อื ใหผูอ่ืนชว ยเหลือ ซ่งึ สหชีวินผี ไู ดร ับความลาํ บาก เปน ปาจติ ตยี . เร่อื งภิกษุณถี ุลลนันทา จบ สกิ ขาบทวภิ ังค [๒๗๐] บทวา อน่งึ . . .ใด ความวา ผูใด คอื ผูเ ชน ใด. . . บทวา ภิกษณุ ี ความวา ที่ช่ือวา ภิกษณุ ี เพราะอรรถวา เปนผูขอ. . . น้ีชือ่ วา ภกิ ษณุ ี ท่ีทรงประสงคในอรรถน.้ี ทช่ี อ่ื วา ผไู ดรบั ความลาํ บาก ไดแก ที่เรยี กกันวาผปู วยใข. ทชี่ ่ือวา สหชวี นิ ี ไดแ ก ภิกษุณีทเ่ี รียกกนั วา สัทธวิ หิ ารนิ .ี บทวา ไมชว ยเหลอื คือ ไมดแู ลดว ยตนเอง. บทวา ไมขวนขวายเพ่อื ใหผ ูอ ่นื ชว ยเหลือ คือ ไมใ ชผ ูอ่ืน. พอทอดธรุ ะวาจักไมช วยเหลือ จกั ไมข วนขวายเพอ่ื ใหผ อู ื่นชวยเหลือดงั นี้ ตอ งอาบัติปาจติ ตยี . ไมช ว ยเหลือ ไมข วนขวายเพือ่ ใหผ ูอนื่ ชวยเหลอื ซึง่ อนั เตวาสินีกด็ ีอนปุ สมั บันกด็ ี ตองอาบตั ิทุกกฏ. อนาปต ติวาร [๒๗๑] ในเม่ืออันตรายมี ๑ แสวงหาแลว ไมไ ด ๑ อาพาธ ๑ มีเหตุขัดขอ ง ๑ วกิ ลจริต ๑ อาทกิ มั มกิ า ๑ ไมต อ งอาบตั ิแล. ตวุ ัฏฏวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ

พระวินัยปฎ ก ภิกขุนีวิภงั ค เลม ๓ - หนาท่ี 296 อรรถกถาตุวัฏฏวรรค สกิ ขาบทท่ี ๔ วนิ ิจฉยั ในสิกขาบทที่ ๔ พึงทราบดังน้:ี - สองบทวา สติ อนฺตราเย คอื เม่อื มีอันตราย ๑๐ อยาง. สองบทวา ปริเยสิตวฺ า น ลภติ คือ ไมไ ดภ ิกษุณอี น่ื ผูช วยเหลอื . บทวา คิลานาย คอื อาพาธเสียเอง. บทวา อาปทาสุ ไดแ ก เมื่อมีอนั ตรายเหน็ ปานน้นั ไมเปนอาบัต.ิคําที่เหลอื งา ยทั้งนัน้ . สิกขาบทน้ี มกี ารทอดธรุ ะเปนสมุฏฐาน เปนอกริ ิยา สัญญาวิโมกขสจิตตกะ โลกวชั ชะ กายกรรม วจกี รรม อกุศลจิต เปน ทุกขเวทนา แล. อรรถกถาตุวัฏฏวรรค สกิ ขาบทที่ ๔ จบ

พระวนิ ัยปฎ ก ภกิ ขนุ ีวภิ งั ค เลม ๓ - หนาท่ี 297 ตุวัฏฏวรรค สกิ ขาบทท่ี ๕ เรอ่ื งภิกษณุ ถี ุลลนันทา [๒๗๒] โดยสมยั นั้น พระผมู ีพระภาคพทุ ธเจา ประทับอยู ณ พระ-เชตวนั อารามของอนาถบณิ ฑิกคหบดี เขตพระนครสาวตั ถี คร้งั นน้ั ภกิ ษุณีภทั ทากาปล านจี าํ พรรษาอยู ณ เมอื งสาเกต เธอมีกิจจําเปน บางอยา ง จึงสื่อสารไปในสํานกั ภกิ ษณุ ถี ุลลนันทาวา ถาแมเ จา ถลุ ลนนั ทาใหห องพกั แกดิฉนั ๆ จะไปกรุงสาวตั ถ.ี ภกิ ษุณีถุลลนันทาตอบไปอยางนี้วา มาเถิด ดิฉนั จักให. ดงั น้ันภิกษณุ ีภัททากาปลานจี ึงเดนิ ทางจากเมอื งสาเกต ไปถงึ กรุงสาวัตถี ภกิ ษุณถี ุลลนันทา ก็ไดใ หห อ งพกั แกน าง. กส็ มัยนน้ั แล ภกิ ษุณถี ลุ ลนนั ทาเปน พหูสตู เปนคนชางพดู เปน คนองอาจ สามารถเจรจาถอยคํามหี ลักฐาน แมภกิ ษณุ ภี ทั ทากาปลานกี เ็ ปน พหสู ตูเปน คนชางพูด เปน คนองอาจ สามารถเจรจาถอยคาํ มีหลกั ฐาน ทัง้ ไดรับการสรรเสรญิ ย่ิงกวา คนทงั้ หลายลงความเหน็ กนั วา แมเจา ภทั ทากาปล านีเปนพหูสตู เปน คนชางพูด องอาจ สามารถเจรจาถอยคาํ มีหลกั ฐาน มคี นนยิ มยิ่งกวา จึงพากนั เขาไปหาเธอกอ น แลวจึงพากนั ไปหาภกิ ษณุ ถี ุลลนนั ทาภายหลัง ภกิ ษุณีถลุ ลนนั ทาเปน คนมักรษิ ยา รูไ ดด ีวา ธรรมดาภกิ ษุณีผสู าละวนอยดู ว ยการอภิปรายท่จี ะใหคนอนื่ รู เขา ใจเนอ้ื ความแจม แจงเหลา น้ัน ยอมเปนผูม ักนอ ย สนั โดษ ชอบสงัด ไมคลุกคลดี ว ยหมู ดังนี้ จึงโกรธ ขดั ใจฉดุ คราภิกษุณภี ัททากาปลานอี อกจากหอ งพัก.

พระวนิ ยั ปฎ ก ภกิ ขนุ ีวิภังค เลม ๓ - หนาท่ี 298 บรรดาภิกษุณีทเ่ี ปน ผูมกั นอย. . .ตางกเ็ พงโทษ ตเิ ตียน โพนทะนาวาไฉนแมเจาถลุ ลนันทาใหท พ่ี กั แกแ มเ จาภทั ทากาปล านีแลว จงึ ไดโ กรธ ขัดใจฉดุ คราเธอออกไปเลา . . . ทรงสอบถาม พระผมู ีพระภาคเจา ทรงสอบถามภิกษทุ ั้งหลายวา ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลายขา ววา ภกิ ษณุ ีถลุ ลนนั ทาใหที่พักแกภกิ ษุณภี ทั ทากาปล านีแลว โกรธ ขัดใจฉดุ ครา เธอออกไป จรงิ หรอื . ภกิ ษุทง้ั หลายกราบทูลวา จรงิ พระพทุ ธเจา ขา. ทรงติเตยี นแลว บญั ญัติสิกขาบท พระผูมีพระภาคพุทธเจา ทรงตเิ ตยี นวา ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ไฉนภิกษุณีถลุ ลนันทาใหท พี่ กั แกภ ิกษุณีภทั ทากาปลานแี ลว จงึ ไดโ กรธ ขดั ใจฉุดคราเธอออกไปเลา การกระทําของนางน่ัน ไมเ ปน ไปเพือ่ ความเลอื่ มใสของชมุ ชนทย่ี งั ไมเ ลอื่ มใส . . . ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ก็แลภกิ ษุณที งั้ หลายจงยกสิกขาบทน้ขี น้ึ แสดงอยางน้ี วาดังนี้ :- พระบัญญตั ิ ๙๐. ๕. อนง่ึ ภิกษุณีใด ใหห องพกั แกภกิ ษุณแี ลว โกรธขดั ใจ ฉดุ ครา กด็ ี ใหฉ ุดครากด็ ี เปนปาจติ ตยี . เร่อื งภิกษณุ ีถลุ ลนนั ทา จบ

พระวนิ ยั ปฎก ภกิ ขุนวี ภิ ังค เลม ๓ - หนาท่ี 299 สกิ ขาบทวภิ งั ค [๒๗๓] บทวา อนึ่ง. . .ใด ความวา ผใู ด คือ ผูเชนใด. . . บทวา ภกิ ษณุ ี ความวา ทชี่ ่อื วา ภิกษุณี เพราะอรรถวาเปนผูขอ. . . นช้ี ื่อวา ภิกษณุ ี ท่ที รงประสงคในอรรถน้ี. บทวา แกภกิ ษุณี คอื ภกิ ษณุ ีรูปอนื่ . ที่ช่ือวา หอ งพกั ไดแ ก อาคารทเ่ี รียกวา ติดบานประต.ู บทวา ให คอื ใหดว ยตนเอง. บทวา โกรธ ขัดใจ คือ ไมพอใจ แคน ใจ เจ็บใจ. บทวา ฉุดครา เอง ความวา จบั ในหองแลว ครา ออกมาหนา มุข ตอ งอาบัติปาจติ ตยี  จบั ทห่ี นา มุขแลวคราออกมาขางนอก ตอ งอาบัติปาจิตตีย จับฉุดมาครง้ั เดยี วใหก าวพน ประตูแมมาก ก็ตอ งอาบตั ิปาจิตตยี . บทวา ใหฉุดครา คอื สงั่ ผอู ืน่ ตอ งอาบัตทิ ุกกฏ สงั่ ครง้ั เดียวผูรบั สัง่ ใหก าวพนประตแู มมาก ก็ตองอาบัติปาจิตตีย. บทภาชนีย ตกิ ะปาจติ ตีย [๒๗๔] อุปสัมบนั ภิกษุณสี าํ คัญวา อุปสัมบนั ใหห องพัก แลวโกรธ ขัดใจ ฉดุ ครา เองก็ดี ใหฉ ุดครา กด็ ี ตอ งอาบัติปาจติ ตยี . อปุ สมั บนั ภิกษุณีสงสยั ใหหองพกั แลว โกรธ ขัดใจ ฉุดคราเองก็ดี ใหฉดุ คราก็ดี ตองอาบัตปิ าจติ ตยี . อุปสัมบัน ภิกษุณีสาํ คญั วาอนุปสัมบัน ใหหอ งพักแลว โกรธ ขดั ใจฉดุ คราเองกด็ ี ใหฉ ดุ ครา ก็ดี ตอ งอาบัติปาจติ ตีย.

พระวินัยปฎ ก ภกิ ขุนวี ภิ ังค เลม ๓ - หนาท่ี 300 อฏั ฐกะทุกกฏ ขนเองกด็ ี ใหข นกด็ ี ซ่งึ บริขารของเขา ตอ งอาบตั ิทุกกฏ. ฉุดคราเองกด็ ี ใหฉดุ ครา ก็ดี จากสถานทไ่ี มมีบานประตู ตอ งอาบัติทุกกฏ. ขนเองก็ดี ใหข นก็ดี ซ่ึงบริขารของเขา ตอ งอาบตั ิทุกกฏ. ฉุดครา เองก็ดี ใหฉ ุดคราก็ดี ซึ่งอนุปสมั บัน จากสถานทมี่ ีบานประตูหรอื จากสถานทไ่ี มม ีบานประตู ตองอาบตั ิทุกกฏ. ขนเองก็ดี ใหข นกด็ ี ซง่ึ บรขิ ารของเขา ตองอาบัติทุกกฏ. อนปุ สัมบัน ภกิ ษณุ ีสาํ คัญวา อปุ สัมบัน ตองอาบัตทิ กุ กฏ. อนุปสมั บนั ภิกษณุ สี งสัย ตอ งอาบัตทิ กุ กฏ. อนุปสมั บนั ภกิ ษณุ สี ําคญั วาอนุปสัมบนั ตองอาบัตทิ ุกกฏ. อนาปต ตวิ าร [๒๗๕] ฉุดครา เองหรอื ใชผ อู ื่นฉดุ ครา ซงึ่ ภกิ ษุณีอลชั ชี ขนเองหรือใชผูอ่ืนขนซึ่งบรขิ ารของเขา ๑ ฉดุ ครา เองหรือใชผอู ่นื ฉุดครา ซง่ึ ภกิ ษุณวี กิ ล-จริต ขนเองหรอื ใชผ ูอ่ืนขนซงึ่ บรขิ ารของเขา ๑. . . ซึ่งภิกษุณีผูกอ ความบาดหมาง. . . ๑. . . ซงึ่ ภิกษุณผี ูกอการทะเลาะ.. . ๑ . . . ซึง่ ภิกษุณีผูกอการวิวาท. . .๑. . . ซงึ่ ภิกษณุ ผี ูก อ การอ้อื ฉาว. . . ๑. . . ซึ่งภิกษุณผี กู ออธกิ รณในสงฆ. . .๑ . . . ซึ่งอนั เตวาสินีหรือสัทธวิ ิหารินีผปู ระพฤติไมช อบ. . . ๑วกิ ลจริต ๑ อาทกิ มั มิกา ๑ ไมต อ งอาบตั แิ ล. ตวุ ฏั ฏวรรค สกิ ขาบทท่ี ๕ จบ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook