Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_13

tripitaka_13

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:39

Description: tripitaka_13

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 211ผอู ่ืน ชอ่ื ทณฺฑาทาน การถือมดี มีคมขางเดยี วเปนตน ชื่อ สตฺถาทาน . บทวากลโห คือทะเลาะทางกายบาง ทะเลาะทางวาจาบาง ความพิโรธมีมากอน ๆชื่อวา วิคคหะ (ความทะเลาะกนั ) มีมาตอนหลัง ๆ ชอ่ื ววิ าท (การโตเถียงกนั ). บทวา ตุว ตวุ  เปนคําไมเคารพ คอื พดู มงึ มึง. บัดน้ี พระผมู ีพระภาคเจา เพื่อทรงแสดงตัณหาอันเปน ความฟงุ เฟอ น้ันแมโ ดยนยั ปฏิโลมจงึ ทรงปรารภ บทวา อารกขฺ าธกิ รณ (เหตุแหงการปองกนั ) ทรงกลบั การแสดง. ในบทเหลาน้ัน บทวา กามตณฺหา ไดแ กค วามอยากในรปู เปน ตน อันเกิดขน้ึ แลวดว ยสามารถราคะอนั ประกอบดว ยกามคณุ ๕.บทวา ภวตณหฺ า คือราคะสหรคต ดว ยสัสสตทฐิ ิ (ความเหน็ วาเที่ยง). บทวาวภิ วตณหฺ า คือราคะสหรคตดวยอจุ เฉททิฐิ (ความเหน็ วา สูญ). บทวา อเิ ม เทฺว ธมมฺ า คอื ธรรม ๒ อยา งเหลา นี้ คือ ตัณหามวี ัฏฏะเปน ราก และตัณหาอันฟงุ เฟอ. บทวา ทวฺ เยน ความวา ธรรม ๒ อยางเหลา น้ีแมถ ึงความเปนอันเดียวกันโดยลักษณะของตัณหา ก็ยอมเปน การรวมเปนอนั เดียวกนั กับเวทนา โดยสวน ๒ ดว ยสามารถตัณหามีวฏั ฏะเปน ราก และตณั หาอนั ฟงุ เฟอ อธบิ ายวา ธรรมทงั้ หลายเหลา นีม้ ีปจ จยั รวมกนั โดยมเี วทนาเปน ปจ จยั จรงิ อยู การรวมกนั มี ๓ อยา งคอื การประชมุ รวมกัน การรวมสหชาตการรวมปจ จัย ในบทเหลาน้นั บทนีว้ า ครงั้ นั้นแล การรวมชาวบานเหลานัน้ท้ังหมดยอ มมขี ึ้นดงั นี้ ช่อื วา การประชุมรวมกนั ถอยคําน้ีวา ทา นผมู ีอายทุ ั้งหลายธรรมเหลา น้ี มีฉนั ทะเปน ราก มผี สั สะเปนทเ่ี กิด มเี วทนาเปนทรี่ วม ชือ่ รวมสหชาต กพ็ งึ ทราบบทนวี้ า การรวมเปน อันเดียวกันกับเวทนาโดย ๒ สว น ช่ือวา รวมปจจยั .

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 212 ผสั สะทั้งหมดมจี ักขสุ มั ผัสเปนตน เปน ผสั สะอันเปนผลอยา งเดียวในผสั สะเหลานนั้ เวน ผัสสะอันเปนผลแหงโลกตุ ตระ ๔ ท่ีเหลือยอ มเปนผัสสะ๓๒ กใ็ นบทวา ยททิ  ผสฺโส น้ี โดยมากผสั สะยอมเปนปจ จัยแหง เวทนา. ทา นกลาวอาการท้งั หลาย ในบทวา เยหิ อานนฺท อากาเรหิ เปนตน เปนสภาพไมใชเ ชนเดียวกนั และกนั แหงเวทนาเปน ตน ทานแสดงอาการเหลา นัน้ ไวดวยดี ชอื่ วา ลิงค (เพศ) เพราะถึงความเสื่อมโทรม ชอ่ื วานิมิตเพราะเหตุคอื รเู รือ่ งนน้ั ๆ ชอื่ อทุ เทส เพราะควรแสดงอยางนนั้ ๆ เพราะฉะนั้นในบทนี้มีอธิบายดงั ตอไปน้ี ดูกอ นอานนท การบัญญัตนิ ามกาย อันเปนท่ีประชมุของนามยอ มมีไดดวยอาการเพศ นมิ ติ อุเทศ เม่อื มอี ุเทศแหงเวทนาวา เวทนาในอาการรูสกึ ในเพศรูส ึก ในนมิ ติ รูส กึ เม่อื มอี เุ ทศแหงสัญญาวา สญั ญาในอาการรูพรอม ในเพศรูพ รอ ม ในนมิ ติ รูพรอม เมือ่ มอี เุ ทศแหง สงั ขารทั้งหลายวา เจตนาแหง สงั ขารทงั้ หลาย ในอาการแหงเจตนา ในเพศแหงเจตนาในนมิ ติ แหง เจตนา เมอ่ื มอี เุ ทศแหง วิญญาณวา วิญญาณในอาการรแู จง ในเพศรูแจง ในนมิ ติ รแู จงดังนี้ ยอ มเปน การบญั ญัตินามกายวา นเ้ี ปนนามกายเม่อื ไมม ีอาการเปน ตน ในเวทนาเปนตน อันเปน เหตุใหบญั ญตั ินามกาย การสมั ผัสเพียงแตชอ่ื ในรปู กาย จึงพึงปรากฏไดบ างไหม มโนสัมผสั อันใดทเี่ ปนไวพจนข องการสมั ผสั เพียงแตช อ่ื ในมโนทวาร กระทาํ ขนั ธ ๔ ใหเปนวัตถแุ ลวจึงเกดิ ขนึ้ มโนสมั ผสั นน้ั จะพึงปรากฏในรูปกาย พึงกระทาํ ประสาทท้ัง ๕ ใหเปน วัตถุแลว พงึ เกดิ ขนึ้ ไดบ า งไหมดังนี้ ลาํ ดับนนั้ ทานพระอานนทเ มือ่ ไมยอมรับการเกิดขนึ้ แหง สัมผัสนน้ั จากรปู กาย ดุจเมื่อไมม ีตน มะมวงก็ไมร ับการเกิดขึ้นของผลมะมว งสกุ จากตน ชมพู ฉะนั้น จึงกราบทูลวา โน เหต ภนเฺ ต ดังนี้. ในปญหาที่ ๒ พงึ ทราบความแหง อาการเปนตน ดวยสามารถอาการแหงความสลาย เพศแหง ความสลาย นมิ ติ แหงความสลาย และดว ยสามารถ

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 213แหง การยกขนึ้ วารปู ดังน้.ี บทวา ปฏฆิ สมฺผสโฺ ส คือ การสมั ผสั การทํารปูขนั ธอ ันเปนไปกบั ดวยความกระทบใหเ ปน วัตถแุ ลวเกดิ ข้ึน แมใ นบทนี้พระเถระเม่อื ไมรบั การเกิดข้นึ แหงสมั ผัสนั้นจากนามกาย ดุจเม่อื ไมมีตน ชมพูก็ไมร ับการเกดิ ข้นึ แหงผลชมพุสกุ จากตนมะมวง ฉะนนั้ จงึ กราบทลู วา โน เหต ภนเฺ ตดังนี.้ ในปญ หาท่ี ๓ ทานกลาวไวเ หมือนปญหาท้งั สองน่ันแล ในปญหาที่๓ นั้น พระเถระเมื่อจะไมรับความเกดิ ขึ้นแหงผัสสะแมท้งั สอง ในความไมมีแหงนามรปู ดุจไมรบั การเกิดขึน้ ของผลมะมวงสกุ และผลชมพูสุกบนอากาศฉะนั้น จงึ กราบทูลวา โน เหต ภนเฺ ต ดงั นี้ พระผมู พี ระภาคทรงแสดงปจจัยแตล ะอยา ง ๆ แหงผสั สะทง้ั สองอยางน้ี บดั น้ี เพื่อทรงแสดงความทผ่ี สั สะแมท้ังสองเหลา นนั้ เปน ปจ จัยแหงนามรปู โดยไมต างกัน จึงทรงปรารภปญหาที่ ๔วา เยหิ อานนทฺ อากาเรหิ (ดกู อ นอานนทด ว ยอาการเหลาใด) ดงั น.ี้ บทวา ยทิท นามรูป คือ นามรูปน้ใี ด อธบิ ายวา นามรปู ในทวารแมท้งั ๖ น้ใี ด น้ีแล เปนเหตุ นแี้ ล เปนปจจยั ดงั น้ี จริงอยู จักษเุ ปนตนและรูปารมณเปน ตน ในจกั ขุทวารเปนตน เปนรูป ธรรมทปี่ ระกอบกนั เปนนาม ผัสสะนัน้ แม ๕ อยาง อยางนดี้ วยประการดงั น้ี เพราะนามรปู เปนปจจยัจึงมีผัสสะ แมใ นมโนทวาร หทยวัตถุและรูปยอ มเปนอารมณเปนรูป สัมป-ยตุ ธรรม และสิง่ ไมม รี ปู ยอ มเปนอารมณเ ปนนาม ดวยประการฉะนอ้ี ยางน้ีแมมโนสัมผัสก็พงึ ทราบวา เพราะมีนามรูปเปน ปจ จัย จึงเกิดสัมผัส กแ็ ตวานามรปู โดยมากยอ มเปน ปจจัยแหงผสั สะนน้ั . บทวา น โอกกฺ มสิ สฺ ถ ความวา วิญญาณจกั ไมเ ปนไปดว ยสามารถแหง ปฏสิ นธิ ดจุ เขา ไปแลว เปน ไปอย.ู บทวา สมุจฺฉิสฺสถ ความวา เมอื่ปฏิสนธิวญิ ญาณไมมี นามรูปสว นทเี่ หลอื บริสทุ ธเิ์ ปน นามรูปท่ีตัดขาดเจือปน

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 214จักเปน ไปดว ยความเปนกลละเปน ตน ภายในทอ งของมารดาไดบางไหม. บทวาโอกกฺ มิตฺวา โอกกฺ มสิ สฺ ถ ความวา วิญญาณจักหย่งั ลงดวยสามารถปฏิสนธิแลว ลว งเลยไปคือดบั ไปดว ยสามารถจตุ ิ. กค็ วามดบั แหง วิญญาณน้นั ยอมไมม ีดวยความดบั แหง จิตน่ันแล จากน้นั วิญญาณยอมไมมดี วยความดบั แหงจิตดวงที่ ๒ และที่ ๓. จรงิ อยู กรรมชรูป ครบ ๓๐ อันต้ังขึน้ พรอมกับปฏสิ นธิจิตยอ มเกิด เมอ่ื กรรมชรูปเหลานั้นตง้ั อยนู ั่นเอง ภวงั คจติ ๑๖ เกดิ ข้ึนแลว ยอมดบั ไป.ไมมอี ันตรายแกท ารกผถู ือปฏสิ นธิในระหวางนัน้ หรอื แกม ารดาของทารกนน้ัเพราะอนั ตรายนีช้ ื่อวายงั ไมมโี อกาส. ก็หากวา รปู ที่ปรากฏข้ึนพรอมกบั ปฏสิ นธิจิตสามารถเพอื่ ใหปจจยั แกภ วงั คจิตดวงที่ ๑๗ ได ความเปนไปยอมดําเนนิ ตอไปประเวณยี อ มสืบตอ . ก็หากวาไมส ามารถ ความเปนไปยอ มไมด าํ เนินตอ ไปประเวณยี อ มไมสบื ตอ ช่ือวาลวงเลยไป. ทา นหมายถงึ การลวงเลยไปนนั้ จงึกลา ววา โอกฺกมิตฺวา โอกกฺ มิสสฺ ถ (หยัง่ ลงแลว ลว งเลยไป) ดงั นี.้ บทวาอิตถฺ ตฺตาย คือเพ่อื ความเปนอยา งนี้ อธบิ ายวา เมอื่ ความเปน ขนั ธ ๕บรบิ รู ณแ ลว อยา งน.ี้ บทวา ทหรสเฺ สว สโต คอื ยังออนนน่ั เอง. บทวา โวจฺฉิชชฺ สิ ฺสติคอื ขาดความสืบตอ. บทวา วุฑฒฺ ึ วิรุฬหฺ ึ เวปุลฺล (ความเจรญิ งอกงามไพบลู ย) ความวา เม่ือวิญญาณขาดความสบื ตอ นามรูปบริสุทธ์ิจักต้ังขน้ึแลว ถึงความเจริญในปฐมวัย ความงอกงามในมัชฌิมวยั ความไพบลู ยใ นปจฉมิ วยั บา งไดไหม อธบิ ายวา นามรปู จักถงึ ความเจริญ ความงอกงาม ความไพบูลย โดยมอี ายุถงึ ๑๐ ป ๒๐ ป ฯลฯ ๑,๐๐๐ ป ไดบ างไหม. บทวา ตสมฺ าติหานนฺท ความวา เพราะวญิ ญาณน้ันแลเปนปจจัยแหง นามรูปนน้ั ในการถือปฏสิ นธิในทองมารดาบาง ในขณะอยใู นทองบางในขณะออกจากทองบาง ในเวลามอี ายุ ๑๐ ป ในการเปน ไปบา ง ฉะนนั้

พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 215นี้เปน เหตุ. น้เี ปนปจ จยั แหงนามรปู คอื วญิ ญาณ วิญญาณยอมเปนปจ จยัแหง นามรปู ดุจบุคคลกลาวถึงนามรปู อยา งนโี้ ดยความวา ทา นชื่อนาม ทานชอื่รูป ทา นช่อื นามรูปดงั นี้ ใครทํานามรปู นัน้ เราทาํ มิใชห รอื กห็ ากวา เมื่อเราเปน ปุเรจาริกไมถอื ปฏิสนธิในทอ งของมารดา ทา นพงึ เปนนาม พงึ เปนรปูหรอื พึงเปน นามรูป พวกเราพึงรกู าํ ลงั ของทา นเหมือนอยางวา พระราชาเม่อืจะทรงขม ขูบรษิ ทั ของพระองค พงึ ตรสั วา เจาเปน อุปราช เจาเปน เสนาบดีดงั น้ี ใครต้ังเจา เราตงั้ เจา มิใชห รือ กห็ ากวาเมือ่ เราไมต ัง้ เจา เจา จะพงึ เปนอุปราชหรอื พงึ เปน เสนาบดี ตามธรรมดาของตน เราพึงรูก ําลงั ของเจา ฉะนั้นกว็ ิญญาณนนี้ ้นั โดยมากยอ มเปนปจ จัยแหงนามรปู . บทวา ทกุ ฺขสมทุ ยสมภฺ โว คือความเกิดขนึ้ แหง กองทกุ ข. บทวายททิ  นามรูป ความวา นามรปู นีใ้ ด น้เี ปน เหตุ นี้เปน ปจ จัย แมนามรูปก็ดุจบคุ คลกลาวถงึ วญิ ญาณอยา งน้โี ดยความวา ทานเปน ปฏิสนธวิ ญิ ญาณ ใครทําปฏิสนธิวิญญาณ เราทาํ มใิ ชห รอื ก็หากทา นไมอ าศยั ขันธ ๓ และหทยวตั ถุจะพึงช่ือวา ปฏสิ นธิวิญญาณ เราพงึ เหน็ ความท่ที านเปน ปฏิสนธิวิญญาณ ดงั น้ีเหมอื นอยางวา ราชบุรษุ ทั้งหลายพึงทูลกะพระราชาผูทรงขมขวู า พระองคเ ปนพระราชา ใครตงั้ พระองค พวกขา พระพทุ ธเจาพระองคม ใิ ชหรอื กห็ ากวาเมือ่ ขาพระพทุ ธเจาไมด าํ รงอยใู นตาํ แหนง อุปราช ในตาํ แหนงเสนาบดีพระองคพงึ เปน พระราชาพระองคเ ดียวเทา นนั้ พวกขา พระพุทธเจา พึงเหน็ ความเปนพระราชาของพระองค ดงั น้ี ฉะนนั้ กแ็ ละนามรปู นีน้ ัน้ โดยมากยอมเปนปจ จัยแหง วญิ ญาณ. บทวา เอตฺตาวตา โข ความวา เมื่อวญิ ญาณเปนปจ จยั แหงนามรูป เมื่อนามรูปเปนปจ จัยแหงวิญญาณ เม่อื ทง้ั สองเปนไปดวยสามารถแหงความเปน ปจจัยของกันและกนั ดวยเหตุเพยี งเทาน้ี วญิ ญาณและ

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 216นามรปู จงึ ยงั เกดิ แต ตาย จตุ หิ รืออบุ ัติ ชาติเปนตน หรอื จตุ ิปฏสิ นธิอื่นๆพึงปรากฏ. บทวา อธวิ จนปโถ (ทางแหง ชอื่ ) ความวา ทางแหง โวหาร ซ่งึ ไมเหน็ ความของคําเปน ตน วา สริ วิ ฑั ฒกะ ธนวัฑฒกะ ต้ังขนึ้ ไวเพียงเรียกชือ่ เทานัน้ . บทวา นริ ตุ ฺติปโถ (ทางแหงนริ ตุ ิ) ความวา เปน ทางแหงโวหารซงึ่ เปนไปดวยสามารถการอา งเหตุแหง คาํ เปน ตนวา ผูมสี ตเิ พราะระลกึ ไดผูมสี มั ปชญั ญะเพราะรตู ัว. บทวา ปฺ ตตฺ ปิ โถ (ทางแหงบัญญัต)ิ ความวาทางแหง โวหารซ่ึงเปนไปดว ยสามารถแหง การใหร ูโดยประการตาง ๆ ของคาํ เปนอาทวิ า ผรู ู ผฉู ลาด ผมู ีปญญา ผชู ํานาญ ผคู ัดคา น แมข นั ธท งั้ หลายอันเปน วัตถุแหง ช่ือเปนตน ทานก็กลา วดวยบททัง้ ๓ ดวยประการฉะน้ี. บทวาปฺาวจร (การคาดคะเนดว ยปญญา) ความวา พึงคาดคะเนคอื พึงร.ู บทวาปญ ญา. บทวา วฏฏ วฏฏติ คือ สงั สารวฏั ยอมเปน ไป. บทวา อติ ฺถตฺตคอื ความเปนอยา งนี้ คํานเี้ ปนช่อื ของขนั ธบญั จก (หมวด ๕ แหง ขนั ธ). บทวาปฺ าปนาย คือเพื่อบัญญัติ ชื่อ อธิบายวา แมขันธปญจกก็ยอมปรากฏดวยเหตุเพยี งเทาน้ี เพอื่ ตอ งการบญั ญัตินาม ดวยบทวา เวทนา สฺาเปนตน. บทวา ยทิท นามรปู  สหวิ ฺ าเณน ความวา น้คี อื นามรูปกบัวญิ ญาณยอ มเปน ไป เพราะเปนปจจัยของกนั และกนั ทา นอธบิ ายวา ดว ยเหตุเพยี งเทา น้ดี งั น้ี นีเ้ ปน คาํ ท่ีถูกนาํ ออกไปในบทน.้ี ดว ยประการดังนี้ พระผูม พี ระภาคเจา คร้ันทรงแสดงอนุสนธิแหงบทวาดูกอ นอานนท ก็ปฏิจจสมุปบาทน้ีเปน ของลกึ ซงึ้ และปรากฏเปนของลึกซ้ึง ดงั นี้แลว บัดนี้เมอ่ื จะทรงแสดงอนสุ นธแิ หง บทวา ตนฺตากุลกชาตา (ยุง ดุจดายของชางหกู ) ดงั น้ี ทรงปรารภเทศนามีอาทิวา กติ ตฺ าวตา จ (ดว ยเหตุมีประมาณเทา ใด) ดงั นี้ ในบทเหลา น้นั ในบทวา รปู  วา หิ อานนฺท ปรติ ตฺ 

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 217อตตฺ าน ดังนี้ ความวา ผูท่ีบัญญัติอัตตามรี ปู นิดหนอ ย ยอ มถอื วา กสณิ นิมิตทย่ี งั ไมเจรญิ เปนอตั ตา ดังนี้ อน่ึง ผทู บี่ ัญญัตอิ ตั ตานัน้ วา บางคราวเขียวบางคราวเหลอื ง ดงั น้ี ยอ มเปนผูมปี กตไิ ดกสณิ ตาง ๆ ผทู ี่บญั ญัตอิ ัตตามีรูปหาทีส่ ดุ มิได ยอมถอื วา กสณิ นมิ ติ ทเี่ จริญแลวเปนอัตตา ดังน้ี กห็ รือผทู บ่ี ัญญัติอตั ตาไมมีรูปนิดหนว ย เพิกถอนกสิณนมิ ติ ที่ยงั ไมเ จริญแลวถอื โอกาสทน่ี มิ ิตสัมผัสแลว หรือขนั ธ ๔ อนั เปน ไปในนมิ ิตนั้น หรือเพยี งวิญญาณในขันธ ๔ เหลานั้นเทา นั้นวา เปน อัตตาดังนี้ ผูท่ีบญั ญัติอัตตาไมมีรูปไมม ีทสี่ ดุเพิกถอนกสิณนมิ ิตทีเ่ จริญแลว ยอ มถอื โอกาสที่นิมิตสมั ผสั แลว หรอื ขันธอนัเปน ไปในนมิ ติ น้ัน หรอื เพยี งวญิ ญาณในขนั ธ ๔ เหลานัน้ เทานั้น วา เปนอัตตาดังนี้. บทวา ตตรฺ ในบทวา ตตฺรานนทฺ นี้ คือในทฏิ ฐิ ๔ อยา งนน้ั . บทวา เอตรหิวา คือ ในบัดนม้ี ใิ ชอ ่ืนจากนี้ ทานกลา วคํานี้ดว ยสามารถอจุ เฉททฏิ ฐ.ิ บทวา ตถาภาวึ วา คอื สภาพที่เปนอยใู นโลกท่ีอยอู ยางน้ัน ทานกลาวคาํ นดี้ ว ยสามารถสัสสตทฏิ ฐ.ิ บทวา อตถ วา ปน สนตฺ  คือ หรอื สภาวะอนัไมเทยี่ งแท มอี ยู มีอย.ู บทวา ตถตตฺ าย คือเพ่อื ความเที่ยงแท. บทวา อปุ -กปฺเปสฺสามิ คือเราจักใหถงึ พรอ ม พระผมู พี ระภาคเจา ทรงแสดงการแยงแมด ว ยบทนี้ เพราะผูมวี าทะวา สญู คดิ แลววา เราจักยังอตั ตาที่ไมเท่ียงแทแมค วามจริงไมส ญู ของผูม วี าทะวาเทย่ี งใหส าํ เร็จ เพ่ือเปน สภาพที่เท่ียงแท คือมีสภาพสูญ เเละเราจกั ใหผ มู ีวาทะวาเทีย่ งรแู ลว จักใหเ ขาถือวาทะวาสูญอยา งเดียว แมผ มู ีวาทะวา เทยี่ งก็คดิ แลววา เราจกั ยังอตั ตาอันไมเ ที่ยงแท แมค วามจรงิ ไมเ ทีย่ งใหสําเร็จเพื่อเปนสภาพท่ีแท คือเพือ่ ความเปน สภาพทเี่ ทย่ี ง และจกั ยงั ผูม ีวาทะวาสญู ใหร แู ลว ใหเ ขาถือวาทะวา เทีย่ งอยา งเดียวดังนี้. บทวา เอว -สนตฺ  โข ความวา ใหบ ญั ญตั ิอัตตาอนั มีรปู นิดหนอยมีอยอู ยา งน.้ี บทวา รูป

พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 218คือมปี กติ ไดรปู เปนกสิณ. บทวา ปรติ ฺตตฺตานุทฏิ ิ อนุเสติ ความวาความเหน็ นวี้ า อัตตานิดหนอ ย ยอ มนอนเน่อื งในสนั ดาน ก็พงึ ทราบความเหน็น้นั วา ความเห็นน้ันยอ มไมนอนเนอ่ื งดุจเถาวลั ยและลดา คือชื่อวายอมนอนเนอื่ งในสนั ดานโดยอรรถวาละไมได. บทวา อจิ ฺจาล วจนาย ความวา ควรเพอ่ื จะกลาววาความเหน็ เหน็ ปานนี้ ยอมนอนเนอื่ งในบุคคลนัน้ ในบททงั้ หมดมนี ยั นี้ ก็ในบทวา อรูป นี้ คือมปี กติ ไดอรูปเปน กสิณ พึงทราบความอยา งนี้วา หรอื มีอรูปขนั ธเปนโคจร. ดว ยเหตเุ พยี งเทาน้ี เปนอนั ทา นแสดงพวกถอื ทิฐิ ๑๖ จําพวกโดยเนอ้ืความวา พวกมลี าภ ๔ พวกลูกศิษยของผูมลี าภ ๔ พวกมีความเหน็ ผิด ๔ ลกูศิษยข องพวกมคี วามเหน็ ผดิ ๔ พระผมู ีพระภาคเจา ครน้ั ทรงแสดงถงึ ผูท่ีบญั ญตั อิ ัตตาอยา งนแี้ ลว บดั นเ้ี พ่ือทรงแสดงถึงผูทไี่ มบัญญัติอตั ตาจึงตรัสคาํเปนอาทิวา กิตฺตาวตา จ อานนทฺ ดงั น้ี ถามวา ก็พวกไหนไมบญั ญัติ ตอบวาโดยท่แี ทพระอริยบุคคลทง้ั หมดเทา นัน้ ไมบญั ญตั ิ อนง่ึ พระอรยิ บคุ คลผทู ี่เปนพหสู ตู ทรง ๓ ปฎก ๒ ปฎ ก ๑ ปฎ ก โดยทสี่ ุดวนิ ิจฉัยแมนกิ ายเดยี วดวยดี บคุ คลผแู สดงธรรมตามทไี่ ดเรียนบาง ผปู รารภวิปส สนาบา ง ยอมไมบญั ญตั ิ เพราะทา นเหลา นั้นมีสัญญาอยูวา กสณิ ท่ีมสี วนเปรยี บเทียบในกสิณท่ีมีสวนเปรียบเทียบดงั นี้ อธิบายวา อรปู ขันธในอรปู ขนั ธน ั้นแล พระผมู ีพระภาคเจา ทรงแสดงถึงผทู ีไ่ มบัญญัตอิ ยา งน้ีแลวบดั นี้ เพราะผูท่พี จิ ารณาเหน็ ดว ยอาํ นาจทิฐยิ อ มบญั ญตั ิ ก็การพจิ ารณาเหน็ นีน้ ั้นยอมมไี ด เพราะยงั ไมล ะสักกายทฐิ ิมวี ตั ถุ ๒๐ ฉะนน้ั เพื่อทรงแสดงถึงสักกายทฐิ มิ วี ตั ถุ ๒๐ น้ัน จึงตรสั อีกวากตฺตาวตา จ อานนทฺ ดงั น้ีเปนตน . ในบทเหลานน้ั ทานกลา วสักกายทิฐิอนั มเี วทนาขันธเปน วตั ถุ ดวยบทวาวา เวทน วา หิ ดังน้ี.

พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 219 ทา นกลาวสักกายทิฐิอันมีรปู ขันธเ ปน วัตถุดวยบทนี้วา อปฺปฏสิ  เวท-โน เม อตฺตา อตั ตาของเราไมต อ งเสวยเวทนา ๆ ดังนี้ ทา นกลาวสกั กายทฐิ อิ ันมี สญั ญาสงั ขารวญิ ญาณเปนวัตถุดวยบทนี้วา อตั ตาของเรายังเสวยเวทนาอยูเพราะอัตตาของเรามีเวทนาเปนธรรมดาดังนี้ ก็ขันธท งั้ ๓ หมวดนย้ี งั เสวยเวทนาอยเู พราะสัมปยุตดวยเวทนา อน่งึ อัตตามเี วทนาเปน ธรรมดาคือ ไมมีการประกอบเปน สภาวะยอ มมแี กขนั ธทัง้ ๓ นัน้ บัดนี้ พระผมู ีพระภาคเจาเมอ่ืจะทรงแสดงโทษ ในความเห็นเหลาน้นั จงึ ตรสั ดาํ เปนอาทิวา ตตรฺ านนฺทดงั น้ี. บทวา ตตฺถ ตตรฺ คอื ในทิฐิ ๓๐ เหลา นั้น ทานกลา วบทเปนตนวายสฺมึ อานนทฺ สมเย ดังนี้ เพอ่ื ชี้โทษเปน ตน อยา งน้ีวา บางคร้งั มี บางครั้งไมม ี แหง อตั ตาของผูท่ีพจิ ารณาเห็นวา เวทนาเปนอตั ตา. ในบทวา อนิจฺจา เปนตน ความวา เวทนาชื่อวาเปนของไมเ ทย่ี งเพราะมีแลว ไมม ี ช่อื วาอันปจ จัยปรุงแตง เพราะปรุงแตงข้นึ ดวยเหตนุ นั้ ๆ ชอ่ืวาอาศัยกนั เกิดขนึ้ เพราะอาศัยปจ จยั นัน้ ๆ แลว เกิดขน้ึ ดว ยเหตุอนั ชอบ บททัง้ หมดมีอาทิวา ขโย เปนไวพจนข องการทาํ ลาย จริงอยสู ่งิ ใดยอ มแตก ส่ิงน้ันยอมสน้ิ ไปบา ง เสื่อมไปบาง คลายไปบา ง ดับไปบาง เพราะฉะนัน้ ทา นจึงกลา วคาํ เปน อาทิวา ขยธมมฺ า ดงั นี้. บทวา พยฺ คา เม อธบิ ายวา อัตตาของเราถงึ ความเสือ่ มโทรม คอื ปราศจากไปดบั ไปดงั น้.ี พุทธพจนว า นน่ั ตนของเรายอมมีแกคนคนเดียวเทานัน้ ในกาลแมทง้ั ๓ หรือ จักไมมีแกค นทีม่ ที ฐิ หิ รอื เพราะธรรมดาเถาวัลยยอมไมมีเปนนิจแกตอไมท ่ีเขาเก็บไวในกองแกลบ ดุจลิงปายอ มถอื เอาสง่ิ อืน่ ยอมปลอ ยสง่ิอืน่ . บทวา อนิจฺจ สขุ  ทุกฺข โวกิณณฺ  ความวา บคุ คลเมือ่ พจิ ารณาเห็นเวทนานน้ั ๆ โดยวิเศษวาเปนอตั ตา ยอ มพิจารณาเหน็ อตั ตาไมเ ท่ยี งเปน สุข

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 220และเปนทุกข เมอ่ื พจิ ารณาเหน็ เวทนาโดยไมวเิ ศษวา เปน อตั ตายอมพิจารณาเห็นอตั ตาเกลื่อนกลน มเี กดิ ข้นึ และเส่อื มไปเปนธรรมดา จริงอยู เวทนามี ๓อยา งและมีเกดิ ขึน้ มีเส่อื มไปเปน ธรรมดา ก็เขายอมพจิ ารณาเหน็ เวทนานน้ั วาเปน อัตตา ดว ยประการฉะน้ี อตั ตาของเขาจงึ ไมเท่ยี ง และความเกดิ ขน้ึ แหงเวทนาทั้งหลายมากยอมถงึ ในขณะเดยี วกนั แตเขายอมรตู ามอตั ตานน้ั แลวาไมเที่ยง ไมมีเวทนาเปน อนั มากเกดิ ขน้ึ ในขณะเดยี วกัน พระผูมีพระภาคเจาทรงหมายถงึ ความนจ้ี ึงตรสั วา เพราะเหตุนนั้ แหละ ขอ น้ีจงึ ยงั ไมควรท่จี ะพจิ ารณาเห็นวา เวทนาเปนอัตตาของเราแมดวยคําดังกลา วแลว น้ดี ังน้.ี บทวา ยตถฺ ปนาวุโส ความวา ในรปู ขันธลวนก็ยงั ไมมกี ารเสวยอารมณดวยประการทั้งปวง. บทวา อปนุ โขตตฺถ ความวา ในรปู ขนั ธน ้ันคอืในตนตาล หรอื ในหนาตางอนั เวนเวทนาแลว ยงั จะพงึ เกดิ อหงั การวา เปนเราอยางนอ้ี กี หรอื . บทวา ตสมฺ าตหิ านนทฺ ความวา เพราะรูปขนั ธลว นตง้ั ขนึ้แลว ยงั ไมกลา ววา เปนเรา ฉะน้นั ขอนจี้ งึ ไมค วรที่จะพิจารณาเหน็ วาเวทนาเปน อตั ตาของเรา แมด วยคาํ ดงั กลาวแลว นี้ ในรปู ขนั ธยงั จะเกิดอหงั การวา น้ีเปนเราไดห รอื เพราะฉะนั้น ในเวทนาเหลา นัน้ ในขันธ ๓ เเมข ันธเ ดยี วควรจะกลาวอยางนวี้ า ช่ือนเ้ี ปนเราดังนไี้ ดห รือ อีกอยา งหนง่ึ อธิบายวา เม่ือขนั ธ ๓ เหลาน้นั ดับ พรอมกับเวทนาเพราะเวทนาดบั จะพงึ เกดิ อหังการวานเี้ ปน เราหรอื เราเปน น้ี ดังน้ไี ดห รือ ลําดบั น้นั ทานพระอานนทเ ม่อื จะไมยอมรบั ขอ น้นั ดจุ บคุ คลไมย อมรับความคมกรบิ ของเขากระตา ย ฉะนั้นจึงกราบทูลวา โนเหต ภนเฺ ต ดงั น้ี. ดว ยเหตุเพยี งเทา น้ี พระผูมพี ระภาคเจาตรัสถึงอะไร ตรสั ถงึ วัฏฏะจรงิ อยู พระผมู ีพระภาคเจาเม่ือจะตรสั ถงึ เรื่องวัฏฏะ ในบางแหง ตรสั หวั ขออวิชชา บางแหงตรสั หัวขอ ตัณหา บางแหงตรสั หัวขอทิฐิ ในหวั ขอ เหลา นน้ั

พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 221ตรสั หวั ขออวิชชาอยา งนว้ี า ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย ทีส่ ุดของอวิชชาไมปรากฏมากอน กอ นจากนอ้ี วิชชามไิ ดมี แตว า ไดเกิดมแี ลวในภายหลงั เพราะเหตุนนั้ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย ตถาคตกลา วถึงหวั ขอ อวชิ ชาน้ีอยา งน้ี คร้ันแลวอวิชชายอมปรากฏ เพราะส่งิ นี้เปน ปจจยั จึงมอี วชิ ชา. ตรัสหวั ขอตณั หาอยางนี้วาดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย ทีส่ ุดของภวตณั หายอ มไมปรากฏมากอน กอ นจากนี้ภวตณั หามไิ ดมี แตว าไดเ กดิ มีแลวในภายหลัง เพราะเหตนุ ้ัน ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย ตถาคตกลา วถึงหวั ขอตัณหานี้ไวอ ยา งน้ี ครัน้ แลวตณั หายอมปรากฏเพราะสงิ่ น้ีเปนปจจัย จึงมตี ัณหา ตรสั หวั ขอ ทิฐิไวอยา งนว้ี า ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย ที่สดุ แหงภวทิฐไิ มป รากฏมากอน กอ นจากนี้ภวทฐิ มิ ิไดม ี แตวาไดเ กิดมแี ลว ในภายหลงั เพราะเหตุน้นั ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลายตถาคต กลา วถงึ ภวทฐิ นิ ี้อยางนี้ คร้ันแลว ภวทฐิ ิยอ มปรากฏ เพราะสงิ่ นีเ้ ปนปจ จยั จงึ มภี วทฐิ ิ ดังนี้แมในภวทิฐนิ ี้กเ็ ปน อนั ตรสั ดวยหัวขอทิฐิเหมือนกัน จริงอยู ผมู ที ิฐิถือวา เวทนามสี ขุ เวทนาเปนตน เปน อตั ตา คร้ันจุตจิ ากภพนนั้ ๆ ในภพ กาํ เนดิ คติวญิ ญาณฎั ฐิติ และสัตตาวาสท้งั ปวง ดว ยสามารถการยดึ ถือวาเรา วา ของเราแลวไปเกิดในภพน้ันๆ ยอ มหมุนไปสภู ูมิเนอื งๆ ดจุ เรือถกู ลมซัดในมหาสมทุ รไมสามารถยกศีรษะขน้ึ จากวฏั ฏะไดเลย. ดวยประการฉะน้ี พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสถึงวฏั ฏะดวยกถามรรคเพียงเทาน้แี กผ ูม ีทิฐิหลงในปจจยาการแลว บัดนี้ เม่ือจะตรสั ถึงพระนพิ พาน จงึ ตรัสคํามีอาทวิ า ยโต โข อานนฺท ภกิ ขฺ ุ ดงั น้ี. กแ็ ละพระผมู ีพระภาคเจา เพราะพระองคเ ปน ผฉู ลาดในเทศนา ไมทรงแตะตองววิ ฏั ฏกถา (เรือ่ งนพิ พาน) กะบุคคลผูฟงุ ซา นดวยสามารถนวกรรมเปนตน ผทู อดท้งิ กรรมฐาน แลว เมือ่ จะทรงปรารภดวยสามารถบคุ คลผูมี

พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 222ปกตอิ ยูดว ยสติปฏฐาน ผเู ปน การกบุคคล จึงตรสั คาํ เปน อาทิวา ภกิ ษยุ อ มไมพิจารณาเหน็ เวทนาวา เปนอตั ตา ดังน.้ี จรงิ อยู ภิกษุเห็นปานน้ียอ มไมพิจารณาเหน็ เวทนาวา เปนอตั ตา ยอมไมพิจารณาเหน็ ธรรมเหลาอนื่ เพราะความทเ่ี ปนไปในธรรมท้งั ปวง ดวยสามารถแหง สมั มสนญาณทพี่ ระผูมีพระภาคเจา ตรัสไวแลว โดยนัยมอี าทวิ า รปู อยา งใดอยา งหนง่ึ ท่ีเปน อดีต อนาคต และปจ จบุ ัน ในภายในหรอื ในภายนอก หยาบหรอื ละเอียด เลวหรอื ประณีต ไกลหรอื ใกล ภกิ ษุยอมกาํ หนดรูปท้งั ปวงโดยความเปนของไมเ ท่ียง พิจารณาคร้ัง ๑ ยอมกาํ หนดโดยความเปน ทกุ ขพิจารณาครั้ง ๑ ยอมกําหนดโดยความเปน อนตั ตา พจิ ารณาครง้ั ๑ ดังน้ี ภกิ ษุนน้ั เมื่อไมพ ิจารณาอยูเสมออยา งนี้ วา อะไรๆ ในโลกไมนา ยึดม่ันดงั น้ี อะไร ๆแมธ รรมขอ หนงึ่ ในธรรมทัง้ หลายมีรูปเปน ตน ในโลก อันตา งดว ยขันธโลกเปน ตน ไมนา ยดึ มั่นวา เปน อตั ตาหรอื เกดิ ในอตั ตา ดังน.ี้ บทวา อนปุ าทิยจ น ปริตสสฺ ต ความวา ภิกษุเมอื่ ไมยดึ ม่ัน ยอ มไมสะดุง แมดว ยความสะดุง คือ ตณั หา ทฐิ ิและมานะ. บทวา อปริตสสฺ  คือ เมื่อไมสะดงุ . บทวาปจฺจตฺตฺเว ปรนิ พิ พฺ ายติ ความวา ยอ มปรนิ พิ พานดว ยการดบั กเิ ลสดว ยตนเอง. พระผมู ีพระภาคเจาตรัสวา ขณี า ชาติ ดงั นเี้ ปนตน เพือ่ ทรงแสดงถงึ ความเปน ไปแหงปจจเวกขณะของผูปรินิพพานแลว อยา งนี้. บทวา อิติ สา ทิฏิ ความวา ทฐิ ิของพระอรหันตผ ูหลดุ พน แลวอยา งน้ันช่อื วาทิฏฐอิ ยางน้ี บาลวี า อติ สิ สฺ ทฏิ ิ ดังนี้บา ง. อธบิ ายวา ผูนั้นเปนผไู กลจากกเิ ลสเปน ผูหลุดพนแลวอยางนนั่ พึงมีทิฐิอยางนี้. บทวา ตทกลฺลคอื ขอ นน้ั ไมส มควร. เพราะเหตุไร. เพราะเมอ่ื เปน อยางนนั้ ควรกลา ววาพระอรหนั ตยอ มไมรูอะไร ๆ ครั้นรอู ยา งน้ีแลว ไมค วรกลาวกะพระอรหันต

พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 223ผูหลดุ พน แลววาไมร ูอะไร ๆ. ดวยเหตุนนั้ แล ในทสี่ ดุ แหง นยั แม ๘ อยา งพระผูมพี ระภาคเจา จงึ ตรสั วา ต กสิ สฺ เหตุ ดงั น้ี. บทวา ยาวตานนฺท อธวิ จน ความวา มโี วหาร กลา วคอื ช่อืตราบใด. บทวา ยาวตา อธิวจนปโถ คอื เปนทางแหง ช่อื เปนไปอยูต ราบใด.ขันธ อายตนะ หรอื ธาตุ ยงั มีอยู. ในทีท่ ั้งหมดมนี ยั น.้ี บทวา ปฺญาวจรคือขนั ธบัญจกท่กี ําหนดรดู วยปญญา. บทวา ตทภิฺา คือเพราะรยู ่ิงวัฏฏะนน้ั . ดวยเหตเุ พยี งเทา นีพ้ ระผูม พี ระภาคเจาทรงแสดงอะไร. ทรงแสดงอนสุ นธิของบทวาดว ยความยุงดุจดายของชา งหกู . บัดน้ี ผทู ที่ านกลาววา ไมบ ัญญัติ เพราะไปอยู ๆชอ่ื วาหลดุ พนจากสว นทง้ั สอง อนึ่ง ผทู ่ีทานกลา ววาไมพิจารณาเหน็ เพราะไปอยู ๆ ชื่อวา พนดวยปญญา ฉะนั้น เพอ่ื ทรงแสดงบทสรุปและชื่อของภิกษทุ งั้ ๒ พวกทก่ี ลาวแลวเหลาน้นั จึงตรัสคาํ เปน อาทิวา ดกู อ นอานนท วิญญาณฐติ ิเหลา นี้ ๗ อยา ง. ในบทเหลานน้ั บทวา สตฺตา ทานกลา วดวยสามารถปฏสิ นธ.ิวิญญาณฐติ ิ ๔ ทา นกลา วไวดว ยสามารถแหงอารมณ จักมาในสงั คตี สิ ตู ร.ชอื่ วา วญิ ญาณฐติ ิ เพราะมีวิญญาณตง้ั อย.ู บทวา วิ ฺ าณติ ิ นี้เปนชอ่ื ของที่ตัง้ อยแู หง วญิ ญาณ. บทวา เทฺว อายตนานิ คอื ที่อยูอาศัยและที่ต้ัง ๒.ก็บทวา อายตนะ ในท่ีน้ีทานประสงคเอาท่ีอยูอาศัย. ดวยเหตุนนั้ แล ทา นจกั กลา วถึงอายตนะ ๒ คอื อสญั ญสี ัตตายตนะ ท่อี ยขู องสัตวผ ูไ มมสี ญั ญาเนวสัญญานาสญั ายตนะ ท่อี ยขู องสัตวม ีสญั ญากไ็ มใ ชไ มมสี ัญญากไ็ มใช.ถามวา ก็เพราะเหตไุ รทา นจึงถือเอาอายตนะนีท้ ัง้ หมด. ตอบวา เพอื่ ควบคุมวัฏฏะ. จริงอยวู ัฏฏะยอ มไมถึงการควบคมุ ดวยสามารถวิญญาณฐิติอันบรสิ ุทธิ์หรอื ดว ยสามารถอายตนะบรสิ ทุ ธิ์ แตย อมถงึ การควบคมุ ดว ยสามารถภพกาํ เนดิคติและสตั ตาวาส เพราะฉะน้นั ทา นจึงถือเอาอายตนะน้ีทัง้ หมด. บัดนี้ พระ

พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 224ศาสดาเมอ่ื จะทรงจําแนกความนั้นโดยลําดบั จงึ ตรัสคาํ เปน อาทวิ า กตมา สตตฺดงั นเ้ี ปน ตน. ในบทวา น้ัน บทวา เสยยฺ ถาป เปนนิบาตในอรรถวาตวั อยาง.อธบิ ายวา เหมือนอยา งมนษุ ยดงั นี้. จรงิ อยูใ นจกั รวาลอนั หาประมาณมิไดเชนกับหน่ึงไมมสี อง ดวยสามารถแหง วรรณและสณั ฐานเปน ตนของมนุษยอนั หาประมาณมไิ ด. ความแปลกกนั ดว ยอาการเปน ตนวา การมองดู การเหลียวดู การพูด การหัวเราะ การเดินและการยืน ยอ มมีแคน ้ี นองฝาแฝดในทไ่ี หน ๆยอ มเปน เชนเดยี วกนั โดยวรรณะหรือโดยทรวดทรง เพราะฉะนน้ั ทานจึงกลาววา นานตฺตกายา. แตปฏสิ นธิวญิ ญาณของสตั วเ หลา นัน้ มี ๓ เหตุบา ง มี ๒เหตุบา ง ไมม เี หตุบา ง เพราะฉะนั้น ทานจึงกลาววา มสี ญั ญาตา งกนั . บทวา เอกจเฺ จ จ เทวา คอื เทวดาชนั้ ฉกามาพจร. ก็ในเทวดาเหลา นั้นบางพวกมีตวั เขียว บางพวกมีวรรณะเหลอื งเปนตน . แตสัญญาของเทวดาเหลา น้นั มี ๒ เหตุบา ง มี ๓ เหตุบา ง ไมม เี หตบุ าง. บทวา เอกจเฺ จ จ วนิ ิปาตกิ า ความวา เวมานกิ เปรต มีอาทอิ ยา งน้ีวา ยกั ษณิ ี ชื่อ อุตตรมาตา ปยงั กรมาตา ปุสสมติ ตา ธรรมคุตตา ผจู มอยูในอบาย ๔ กก็ ายของเปรตเหลา นั้นมีตาง ๆ กนั ดวยสามารถสีมสี ีเหลอื ง สีขาวสีดํา สที อง สคี รํา่ เปนตน และดว ยสามารถ ความผอม ความอวน สงู และต่าํ .แมสัญญาก็มดี วยสามารถ ทวิเหตกุ ะ ติเหตุกะ และอเหตกุ ะ เหมือนของมนุษยท้งั หลาย. กเ็ ปรตเหลา นั้นไมม ีศกั ดใิ์ หญเหมอื นเทวดา มีศักด์นิ อ ยเหมอื นคนกําพรา ของกิน เสื้อผาหาไดย าก ถกู ทกุ ขบ ีบคน้ั อยู. บางพวกไดรับทกุ ขในขา งแรมไดร บั สุขในขา งขน้ึ เพราะฉะนน้ั ทา นจงึ กลา ววา วนิ ิปาตกิ ะ เพราะความเปน ผูตกไปจาการสะสมความสุข. กใ็ นเปรตเหลาน้ี แมการตรสั รธู รรมก็ยอ มมไี ดแ กเ ปรตจาํ พวกติเหตุกะ. กย็ กั ษณิ ชี อ่ื ปยังกรมาตาไดส ดบั พระอนุรทุ ธเถระผูส าธยายธรรมอยใู นเวลาใกลรงุ ตักเตอื นบุตรนอยอยางน้ีวา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 225 เจาปยังกรอยาเอด็ ไป ภกิ ษุกําลงั กลาว บทธรรม อกี อยาง เรารบู ทธรรมแลว จะปฏิบัติ เพ่อื ประโยชนข องเรา ขอนนั้ พงึ มี เราพึง สํารวมในสตั วทั้งหลายไมพึงกลาวเท็จ ท้ัง ๆ รู พึงศกึ ษาความเปน ผูมีศลี ของตน เรากจ็ ะพน จากกําเนดิ ปศ าจ ดังนี้แลวไดบรรลโุ สดาปต ติผลในวันน้ันเอง. บทวา พรฺ หฺมกายกิ า ไดแ ก พรหมปารสิ ชั ชะ พรหมปโุ รหติมหาพรหม. บทวา ปมาภินิพฺพตฺตา ไดแกพ วกเทพทง้ั หมดเหลา นั้นเกดิ ดว ยปฐมฌาน. กใ็ นบรรดาเทพเหลานน้ั เทพพรหมปารสิ ชั ชะ เกดิ แลวดว ยคุณเล็กนอ ย. เทพพรหมปารสิ ชั ชะเหลานั้น อายุประมาณ ๓ สวนของกปัเทพพรหมปุโรหติ เกิดแลว ดว ยคณุ ปานกลาง. อายุประมาณกงึ่ กัปและกายของพราหมปโุ รหิตนน้ั ผึง่ ผายกวา . เทพมหาพรหมเกดิ ดว ยคณุ อันประณีต. อายุประมาณ ๑ กปั . กายของเทพเหลา นัน้ ผึ่งผายยิง่ นกั . ดวยประการดงั นี้พงึ ทราบวา เทพเหลา น้ันมกี ายตา งกันมสี ัญญาอยา งเดียวกัน เพราะกายตา งกนัเพราะสัญญาอยา งเดียวกนั ดว ยสามารถปฐมฌาณ. สตั วทงั้ หลายในอบาย ๔ ก็เหมอื นเทพเหลาน้ัน. ก็ในนรกอตั ภาพของสัตวบ างพวก คาวตุ หน่ึง บางพวกก่ึงโยชน บางพวกโยชนหน่ึง. แตของพระเทวทัต ๑๐๐ โยชน. แมใ นเดียรัจฉานท้งั หลายบางพวกกเ็ ลก็ บางพวกก็ใหญ. ในเปรตวสิ ัย บางพวก ๖๐ ศอก บางพวก๗๐ ศอก บางพวก ๘๐ ศอก บางพวกผิวงาม บางพวกผิวไมง าม. กาลัญ-ชกิ าสรู ก็เหมือนอยางนนั้ . อกี อยางหน่งึ ในบรรดาเปรตเหลานี้ ทฆี ปฏ ฐกิเปรตสงู ถงึ ๖๐ โยชน. แตส ญั ญาของเปรตแมท ง้ั หมดเปนอเหตุกะฝายอกศุ ล-

พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 226วบิ าก. ดวยประการดังน้ี แมสัตวในอบายยอมนบั ไดว า มีกายตางกันมีสญั ญาอยางเดียวกันดงั น้.ี บทวา อาภสสฺ รา ความวา รศั มีจากสรรี ะของเทพเหลานนั้ ดุจเปลวคบเพลิงเปน ลาํ สรา นออกดจุ ขาด ๆ แลว ตก เพราะเหตุน้ัน จงึ ช่ือวาอาภัสสรา. ในเทพเหลา นัน้ เทพผเู จรญิ คณุ นดิ หนอ ย ม๒ี ฌานคือ ทุติยฌานและตติยฌานในจตุกนัย และปญ จกนยั เกิดข้นึ แลว ชอื่ วา เทพปริตตาภา.ประมาณอายขุ องเทพปรติ ตาภา เหลา นั้น ๒ กัป. เทพผเู จรญิ คุณปานกลางเกดิ ข้ึนแลว ชื่อวา เทพอัปปมาณาภา. ประมาณอายุของเทพอัปปมาณาภาเหลา นัน้๔ กปั . เทพผเู จรญิ คุณประณตี แทเ กดิ ข้นึ แลว ชอ่ื เทพอาภัสสรา. ประมาณอายขุ องเทพอาภัสสราเหลานัน้ ๘ กัป. กใ็ นทน่ี ี้ทา นกําหนดเอาเทพเหลา นั้นทัง้ หมด ดว ยสามารถการกาํ หนดอยา งอกุ กฤษฏ. กายของเทพเหลา นั้น แมทง้ั หมดมคี วามผงึ่ ผายเปน อยางเดยี วกันแท. แตสัญญาเพยี งไมมีวติ ก แตมวี ิจารหรอื ไมม ีทงั้ วิตก ไมมีทัง้ วิจาร เพราะเหตุนั้น จึงตา งกนั . บทวา สุภกิณหฺ า คือ กระจัดกระจายเกลอ่ื นกลนไปดว ยความงาม.อธิบายวา มคี วามแนนหนาเปน อนั เดียวดว ยแสงแหงรัศมีในสรีระอันงาม ก็แตวา รศั มแี หง เทพสุภกณิ หาเหลา นน้ั ไมขาด ๆ แลวพงุ ไปเหมอื นรศั มีของเทพอาภสั สรา. แตในปญจกนัย เทพบังเกดิ เปนเทพปริตตสุภา. เทพอปั ปมาณสุภา. เทพสภุ กณิ หา มอี ายุ ๑๖ กปั ๓๒ กัป ๖๐ กัป ดว ยสามารถ จตตุ ถ-ฌานนิดหนอย ทามกลางและประณีต. ดว ยประการดังน้ี เทพเหลา นน้ั แมท้ังหมด พึงทราบวา มกี ายอยางเดียวกนั และมีสัญญาอยา งเดยี วกันดวยสญั ญาแหง จตตุ ถฌาน ดังนี.้ อนงึ่ แมเทพเวหัปผลาก็รวมเขากับวิญญาณฐิติท่ี ๔ เหมอื นกนั . สตั วไมมีสญั ญา เพราะไมม ีวิญญาณ ไมส งเคราะหเ ขาในวญิ ญาณฐติ นิ ี้ แตส งเคราะหเขา ในสัตตาวาส. แมเทพสทุ ธาวาส ดํารงอยใู น

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 227ฝายววิ ฏั ฏะ ไมก าํ หนดกาลทงั้ ปวงก็ไมเกิดในโลกทีว่ างพระพุทธเจาแสนกปั บางหน่ึงอสงไขยบา ง เมอื่ พระพทุ ธเจาทรงอุบตั ใิ นระหวา ง ๑๖,๐๐๐ กัปนั้นแลจึงเกดิ ยอมเปน เชนเดยี วกับทีต่ ้งั คายของพระผมู พี ระภาคเจา ผยู ังธรรมจักรใหเปน ไปแลว เพราะฉะน้ัน เทพสุทธาวาสจงึ ไมรวมเขา กบั วิญญาณฐิติ ไมรวมเขา กบั สัตตาวาส. แตพระมหาสิวเถระกลา ววา แมเ ทพสทุ ธาวาสก็ยังรวมเขากับวิญญาณฐติ ทิ ี่ ๔ สตั ตาวาสท่ี ๔ นัน้ แล ดว ยพระสตู รน้วี า ขาแตพ ระสารีบตุ รสัตตาวาสทก่ี ระผมไมเ คยอยดู วยกาลยาวนานนีเ้ วนเทพสุทธาวาส ไมเปนสงิ่ ท่ีหาไดงายดังน.ี้ เห็นดว ยกบั พระสตู รน้นั เพราะพระสตู รทา นไมห า มไว. ความแหง บทเปน อาทวิ า สพฺพโส รปู สฺ าณ ทานกลาวไวแ ลวในวสิ ทุ ธิมรรค. กเ็ นวสญั ญานาสญั ญายตนะ มีวิญญาณก็ไมใช ไมมวี ญิ ญาณกไ็ มใช เพราะแมว ญิ ญาณละเอียดเหมือนความละเอียดของสญั ญา เพราะฉะนนั้ทา นจึงไมกลาวในวญิ ญาณฐิติแลวกลา วไวใ น อายตนะ. บทวา ตตฺร คอื ในวญิ ญาณฐิตเิ หลานั้น. บทวา ตฺจ ปชานาติคือยอมรูว ญิ ญาณฐติ นิ ั้น. บทวา ตสฺสา จ สมุทย ความวา ยอมรูความเกิดขน้ึ แหง วิญญาณฐิตนิ นั้ โดยนยั เปน อาทิวา เพราะอวิชชาเกดิ รปู จึงเกิดดงั น.้ีบทวา ตสฺสา จ อตฺถงคฺ ม ความวา ยอมรูความดับแหงวญิ ญาณฐิตนิ น้ั โดยนัยเปนอาทิวา เพราะอวชิ ชาดับรูปจึงดบั ดังน.ี้ บทวา อสสฺ าท ความวายอมรูความพอใจของวิญญาณฐติ ินน้ั อยา งนีว้ า ความสุข ความโสมนสั ยอมเกิดขน้ึ เพราะอาศยั รปู เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณใด นค้ี ือความพอใจแหงวญิ ญาณ. บทวา อาทีนว ความวา ยอ มรูโทษแหงวิญญาณฐิตินน้ั อยางนวี้ ารูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณใดไมเ ทยี่ ง เปน ทุกข มคี วามแปรปรวนไปเปนธรรมดานี้ คอื โทษแหง วญิ ญาณ. บทวา นสิ สฺ รณ ความวา การนําออกซ่งึ ฉนั ทราคะการละฉนั ทราคะ ในรปู เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณใด

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 228น้คี ืออุบายเปนเครอ่ื งนําออกไปแหง วิญญาณดังน้นั ยอมรวู ิญญาณฐติ นิ ้นั อยา งนี้. บทวา กลฺล น เตน ความวา ภิกษนุ น้ั ยงั ควรเพื่อเพลิดเพลิน วญิ ญาณฐิตินั้นวาเราวาของเรา ดวยอํานาจแหงตณั หามานะและทิฐอิ กี หรือ. พงึ ทราบความในท่ที ัง้ ปวงโดยอบุ ายน้.ี กแ็ ตว าพึงประกอบสมทุ ยั เปนตน ดวยสามารถแหงขันธทั้งหลาย ๔ ในท่ที ไี่ มม รี ูป ดว ยสามารถแหงขันธห นึ่งในที่ท่ไี มม ีวิญญาณ. ในที่นี้ อนงึ่ ไมพงึ ประกอบบทนีว้ า เพราะอาหารเกิด เพราะอาหารดบั ดงั น.้ี บทวา ยโต โข อานนทฺ ภกิ ขฺ ุ ความวา ดูกอนอานนท เม่อื ใดแลภิกษุ. บทวา อนุปาทา วิมุตฺโต ความวา เปนผูห ลุดพนเพราะไมยดึ มน่ัดว ยอุปาทาน ๔. บทวา ปฺ าวมิ ตุ โฺ ต ความวา เปน ผูหลุดพน ดว ยปญ ญา.อธบิ ายวา ไมทําใหแ จงซึง่ วิโมกข ๘ แลว ทาํ นามกายและรปู กายใหเปน ไปไมไดด วยกาํ ลงั ปญ ญาน้ันแล ชอ่ื วา เปน ผูห ลุดพนแลว . ภิกษุผูหลดุ พนแลว นั้นมี๕ อยา งคอื เปนสุกขวปิ สสกและตั้งอยูในปฐมฌานเปน ตน อยา งใดอยางหนึ่งแลวบรรลุพระอรหตั ดงั ทที่ านกลาวขอ นีไ้ ววา กบ็ คุ คลพวกไหนเปนปญ ญา-วิมุตติ บุคคลบางคนในโลกนไี้ มสัมผัสวิโมกข ๘ ดวยกายอยู อาสวะทัง้ หลายของเขาเปนอันสิน้ ไป เพราะเหน็ ดวยปญญา บคุ คลนท้ี า นกลา ววาเปนปญ ญา-วิมตุ ตดิ งั น.้ี พระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงบทสรปุ และนามของภิกษรุ ูปหน่ึงอยางนี้แลว เพอื่ ทรงแสดงแกภกิ ษุนอกนี้จงึ ตรัสวา อฏ โข อเิ ม ดงั นเี้ ปนตน. ในบทเหลา นัน้ บทวา วิโมกโฺ ข ถามวา ชอ่ื วา วโิ มกขด วยอรรถวากระไร ตอบวา ดวยอรรถวาพน ถามวา วโิ มกขนมี้ ีอรรถวาพน เปนอยา งไรตอบวา มอี รรถวา พนดวยดจี ากธรรมเปนขาศกึ และพนดวยดดี วยอาํ นาจความยนิ ดีในอารมณ. ทานอธิบายวา วโิ มกขยอมเปน ไปในอารมณ เพราะหมดความสงสัยดว ยความไมยึดถือ ดุจทารกผูป ลอ ยอวยั วะนอยใหญน อนบนตกั ของบิดา. กค็ วามนี้มไิ ดม ใี นวิโมกขตอนหลงั แตมใี นตอนตนทงั้ หมด.

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 229 ในบทวา รูป รูปานิ ปสฺสติ นีม้ ีความวา รปู เปน รปู ฌานทท่ี ําใหเกิดขึน้ ดว ยอํานาจนลี กสณิ เปน ตน ในผมเปนตน ในภายในชอื่ วารปู . เพราะมีรปู ฌานดว ยบทน้ี ทา นแสดงรปู าวจรฌาน ๔ แกบ คุ คลผทู ที่ ําฌานใหเกดิ ในกสิณทัง้ หลายอันมวี ัตถใุ นภายใน. บทวา อชฺฌตตฺ  อรปู สฺ คือ ไมมีความสาํ คัญในรปู ในภายใน.ความวา ไมทํารูปาวจรฌานใหเ กิดในอาการ ๓๒ มีผมเปน ตน ของตน. บทวาพหทิ ฺธา รปู านิ ปสฺสติ ความวา ยอ มเห็นรปู มีนลิ กสณิ เปนตน แมใ นภายนอกดวยญาณจกั ษุ. ดวยบทน้ที า นกระทาํ บรกิ รรมในภายนอกแลวแสดงรปู าว-จรฌาน ๔ แหงฌานท่ที าํ ใหเกิดแลว ในภายนอก. ทา นแสดงฌานในวัณณกสิณมสี เี ขยี วเปนตน อันบรสิ ุทธ์ิดีแลว ดว ยบทนวี้ า สุภนเฺ ตว อธมิ ุตโฺ ตโหติ ดังนี้. ในบทน้นั ไมมคี วามผูกใจวา งามในอปั ปนาในภายในก็จรงิ . แตถ ึงดังนนั้ เพราะผูท ี่กระทาํ กสณิ อนั งามบรสิ ทุ ธด์ิ ีแลวอยู ยอ มถึงความเปน ผคู วรกลา วไดว า ผทู ีน่ อ มใจเชื่อวา กสณิ เปน ของงามดงั น้ี ฉะน้ันทา นจงึ แสดงอยางน้ี. แตใ นปฏิสมั ภิทามรรคทา นกลาววา วิโมกขในบทวาผทู น่ี อมใจเช่อื วา กสิณงามเปน อยา งไร ภิกษุในธรรมวนิ ัยนี้มีจิตสหรคตดว ยเมตตาแผไ ปยังทิศหน่ึงอยู ฯลฯ เพราะเปน ผูเ จรญิ เมตตาสัตวท ง้ั หลายจงึไมเปนผนู า เกลยี ดมจี ิตสหรคตดวยกรุณามุทิตาอุเบกขา แผไ ปยังทิศหนงึ่ อยูฯลฯ เพราะเปนผเู จริญอเุ บกขาสัตวท้ังหลายจึงเปนผูไมนา เกลียด วิโมกขในบทวา ผูทีน่ อ มใจเชือ่ วากสณิ เปนของงามเปน อยางนดี้ ังน้.ี ในบทวา สพฺพโส รปู สฺาน เปน ตน บททง้ั หมดทีค่ วรกลาวทานกลาวไวแ ลวในวสิ ทุ ธมิ รรคนน้ั แล. บทวา อย อฏ โม วโิ มกฺโข ความวา นชี้ ่อื วิโมกขอ นั สูงสุดขอท่ี ๘ เพราะความที่ขนั ธ ๔ บรสิ ุทธ์ิโดยประการทัง้ ปวง เพราะความทพ่ี น แลว . บทวา อนโุ ลม คือตั้งแตบทตน จนถึงบท

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 230สุดทา ย. บทวา ปฏโิ ลม คือตั้งแตบทสุดทา ยจนถงึ บทตน. บทวา อนโุ ลมปฏโิ ลม น้ี ทานกลา วดว ยสามารถแหง การทส่ี มาบัติไมต ้ังม่นั เพราะคลอ งเกนิ ไปวนไปทางโนน วนไปทางนี้. บทวา ยตถฺ จิ ฺฉก คือแสดงถึงโอกาส.ความวา ปรารถนาในโอกาสใด ๆ. บทุ วา ยทิจฺฉก คอื แสดงถึงสมาบัติไดแกปรารถนาสมาบตั ิใดๆ. บทวา ยาวติจฺฉก คือแสดงถงึ กําหนดทางไกล. ไดแกปรารถนาทางไกลประมาณเพยี งใด. บทวา สมาปชฺชติ คือเขาสูสมาบตั ิน้ัน ๆ. บทวา วุฏาติ คืออออกจากสมาบตั นิ น้ั แลวตัง้ อยู. บทวา อุภโตภาควมิ ตุ โฺ ต ความวา พน โดยสว นสอง คอื พนจากรูปกายดวยอรปู สมาบตั ิ พน จากนามกายดว ยมรรค. ดังที่ทานกลาวไววา พระผมู ีพระภาคเจาตรัสวา ดูกอ นอุปสีวะ มุนีพนแลวจากนามกาย ยอมถึงซ่ึงการต้ังอยู ไมได ยอ มไมเขาถึงซ่ึงการนับ เหมือนเปลวไฟ ถูกกําลงั ลมพดั ไป ยอมถงึ ซ่งึ การตง้ั อยูไมได ยอ มไมเ ขาถึงซึง่ การนบั ดงั นี้. ก็ภิกษนุ ้นี ัน้ พนแลว โดยสวนสองออกจากอากาสานัญจายตนะเปน ตนอยา งใดอยางหนง่ึ แลว บรรลพุ ระอรหัต และเปนอนาคามอี อกจากนิโรธแลวบรรลพุ ระอรหัต รวมเปน ๕ อยาง. แตอ าจารยบางพวกกลาววา เพราะแมรปู าวจรจตตุ ถฌาน กส็ หรคตดว ยอุเบกขามีองคสอง แมอรปู าวจรฌานกเ็ ปนเชน นนั้ เหมือนกัน ฉะนัน้ ภกิ ษุออกจากรูปาวจรจตุตถฌาน แมบ รรลพุ ระอรหตั กช็ อ่ื วา อุภโตภาควิมตุ ดงั น้ี. กป็ ญหาอุภโตภาควิมตุ นตี้ ั้งขึน้ แมใ นภายใตโลหปราสาทอาศัยการพรรณนาของพระจลุ ลสมุ นเถระ ผูทรงพระไตรปฎกใชเวลานาน จงึ ถึงการช้ีขาด.

พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 231 มเี ร่ืองวาในคริ วิ หิ ารอันเตวาสกิ ของพระเถระสดบั ปญ หานั้น จากปากของภกิ ษุผถู ือปณ ฑปาตกิ วัตรรปู หนงึ่ แลวกลาววา ดูกอ นอาวโุ ส เม่อื อาจารยของเราอธิบายธรรม ณ ภายใตโ ลหปราสาทอันใคร ๆ ไมเ คยฟง แลว พวกภิกษจุ งึถามวา ทา นผเู จรญิ กพ็ ระเถระไดกลา วอยางไร อนั เตวาสกิ ตอบวา ดูกอ นอาวุโสพระเถระไดกลาววา รูปาวจรจตุตถฌานสหรคตดวยอเุ บกขามอี งคสองยอ มขมกิเลสไดกจ็ ริง แตถงึ อยา งน้นั รูปาวจรจตุตถฌานยอมกาํ เรบิ ในฐานะแหงรูปารมณ แมเปนฝา ยใกลแ หงกิเลสทง้ั หลาย เพราะธรรมดากิเลสเหลา นเ้ี ขาไปอาศยั อารมณใ นนลี กสณิ เปนตนอยา งใดอยา งหนึ่ง ในภพชั้นตา่ํ ทั้ง ๕ ยอ มกําเริบ อน่ึง รูปาวจรฌานยอมไมกาวไปสอู ารมณน ั้น เพราะฉะน้ัน ภิกษเุ ปลย่ี นรปู โดยประการทั้งปวง แลว ขม กเิ ลสดว ยอํานาจอรปู ฌานแลว จงึ บรรลพุ ระอรหัตเปนอุภโตภาควมิ ุตติดังนี้ กแ็ ละพระเถระครั้นกลาวคาํ นีแ้ ลว จงึ นาํ สูตรนี้มาวาก็บคุ คลพวกไหนเปนอุภโตภาควิมตุ ติ บุคคลบางคนในโลกนส้ี มั ผสั วิโมกข ๘ดวยกายแลวอยู และอาสวะของบคุ คลน้ันเปน อนั สนิ้ ไป เพราะเหน็ ดวยปญ ญาบคุ คลนี้ ทา นกลา ววา เปนอภุ โตภาควมิ ุตตดิ ังน.้ี บทวา อานนทฺ อมิ าย จอุภโตภาควิมุตตฺ ยิ า ความวา ดูกอนอานนท อุภโตภาควมิ ตุ ตอิ ื่นจากอุภโต-ภาควิมตุ ติน.้ี บทท่เี หลอื มีความงา ยในทีท่ ง้ั ปวง.ิ จบอรรถกถามหานิทานสูตร ท่ี ๒

พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 232

พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 233 ๓. มหาปรินิพพานสูตร เร่อื ง พระเจาอชาตศตั รูประสงคป ราบแควน วัชชี [๖๗] ขา พเจา ไดส ดับมาแลว อยางน:้ี - สมยั หนึ่ง พระผูมพี ระภาคเจา เสด็จอยบู นภเู ขาคชิ ฌกูฏ ใกลก รงุ -ราชคฤห. ก็สมัยน้ันแล พระราชาอชาตศัตรู ผเู ปนใหญใ นแควนมคธ พระโอรสของพระนางเวเทหี มีพระราชประสงคจ ะเสด็จไปปราบปรามแควนวชั ช๑ีพระองคต รัสอยา งนวี้ า เพราะพวกเจาวัชชที ั้งหลายเหลา นี้ มีฤทธม์ิ ากอยา งนัน้มอี านุภาพมากอยางนนั้ เราจักถอนทาํ ลายแควน วชั ชเี สยี จกั ทําแควน วชั ชใี หพินาศ จกั ทําแควน วัชชีใหถงึ ความยอ ยยบั . ครงั้ นน้ั แล พระราชาอชาตศตั รู ผูเปน ใหญในแควน มคธ พระโอรสของพระนางเวเทหี ตรสั กะวสั สการพราหมณ ผเู ปน มหาอาํ มาตยของแควน มคธวา ขอเชิญทา นพราหมณจงเขา ไปเฝาพระผมู พี ระภาคเจา แลว ถวายบังคมพระยุคลบาทพระผมู พี ระภาคเจา ดวยเศยี รเกลา กราบทลู ถามถึงความไรพ ระโรคาพาธ ความคลองพระองค พระกาํ ลงั การทรงพระสําราญตามคาํ ของเราวา ขา แตพ ระองคผ เู จรญิ พระราชาอชาตศัตรผู ูเปนใหญใ นแควน มคธพระโอรสของพระนางเวเทหี ถวายบงั คมพระยคุ ลบาทพระผมู พี ระภาคเจา ดว ยเศียรเกลา ทลู ถามถึงความไรพ ระโรคาพาธ ความคลอ งพระองค พระกาํ ลงัการทรงพระสําราญ และทา นจงกราบทูลอยา งนี้ดวยวา พระราชาอชาตศัตรูผเู ปน ใหญในแควน มคธ พระโอรสพระนางเวเทหี มีพระราชประสงคจะเสด็จ๑. ด-ู อ สตตฺ ก. ๒๓/๑๗ - ๒๕

พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 234ไปปราบปรามแควนวัชชี พระองคมีพระดาํ รัสอยา งนว้ี า เพราะพวกเจา วชั ชีท้ังหลายเหลานี้ มฤี ทธิม์ ากอยา งนั้น มีอานุภาพมากอยางนั้น เราจกั ถอนทาํลายแควน วชั ชีเสีย จกั ทําแควน วชั ชใี หพ นิ าศ จกั ทาํ แควนวัชชีใหถ งึ ความยอ ยยับ และพระผมู ีพระภาคเจาทรงพยากรณแ กท านอยา งใด ทานจงจําเอาคําพยากรณน นั้ ใหด ี แลว มาบอกแกเรา เพราะวา พระตถาคตเจาทั้งหลาย หาตรสัสง่ิ ทป่ี ราศจากความจรงิ ไม วสั สการพราหมณ มหาอํามาตยของแควนมคธกราบทลู รบั พระดํารัสพระราชาอชาตศัตรู ผเู ปน ใหญใ นแควน มคธ พระโอรสพระนางเวเทหีวา อยางนั้นพระเจา ขา แลว เทยี มยานทง้ั หลายที่ใหญ ๆ แลวข้ึนยานใหญ ๆ๑ (คันหนงึ่ ) ออกจากกรงุ ราชคฤห ดวยยานทง้ั หลายทใี่ หญๆไปถึงภูเขาคิชฌกูฏ ไปดว ยยานตลอดพน้ื ทยี่ านไปได แลว ลงจากยาน เดินเทาข้นึ ไปเฝาพระผมู พี ระภาคเจา ครัน้ ชน่ื ชมกบั พระผูมีพระภาคเจา กลาวถอยคํานา ชื่นชมควรรําลึกถงึ กนั แลว จึงนงั่ อยู ณ ดา นหนงึ่ วสั สการพราหมณ มหาอาํ มาตยของแควนมคธ ผูน ่ังแลว ณ ดานหนง่ึ ไดกราบทลู คาํ ตอไปนก้ี ะพระผูม ีพระภาคเจา วา ขา แตพระโคดมผเู จรญิ พระราชาอชาตศัตรู ผูเปน ใหญในแควน มคธ พระโอรสของพระนางเวเทหี ถวายบังคมพระยคุ ลบาทพระโคดมผูเ จริญดวยพระเศียรเกลา ทลู ถามถึงความไรพระโรคาพาธ ความคลองพระองค พระกําลงั การทรงพระสาํ ราญ ขา แตพ ระโคดมผเู จริญ พระราชาอชาตศัตรู ผูเปน ใหญในแควน มคธ พระโอรสของพระนางเวเทหี มีพระราชประสงคจ ะเสดจ็ ไปปราบปรามแควนวัชชี พระองคตรสั อยา งนีว้ า เพราะพวกเจา วชั ชีทง้ั หลายเหลา นี้ มีฤทธิ์มากอยางนน้ั มีอานุภาพมากอยา งนนั้ เราจัก๑. ยาน หมายถงึ รถ มี ๒ ชนิด คอื โยธรถ- รถศกึ สัณฐาน ๔ เหลี่ยม ไมใหญม ากจุคนได ๒ หรอื ๓ คน ชนดิ ๑. อลงั การรถ - รถประดับ ใหญ ยาวและกวาง จุคน ๘-๑๐ คนสามารถยืนหรอื นง่ั หรือนอนไปบนรถไดส บาย ชนดิ ๑. ทวี่ า ยานใหญ ๆ คงหมายถึงอลงั การรถ (ปปญจสทู นี ทุตยิ ๒๖๑)

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 235ถอนทําลายแควนวัชชเี สยี จกั ทาํ แควนวชั ชใี หพินาศ จักทาํ แควน วชั ชีใหถึงความยอ ยยับ ดงั น.้ี กถาวา ดวยอปริหานยิ ธรรมของเจาวัชชี ๗ [๖๘] สมยั นัน้ แล ทา นพระอานนท ยนื ถวายงานพดั อยูเบอ้ื งพระปฤษฏางคข องพระผูมพี ระภาคเจา ครั้งน้ันแล พระผูม ีพระภาคเจา ตรัสกะทา นพระอานนทว า (๑) ดกู อ นอานนท เธอไดยนิ วาอยา งไร เจา วัชชีท้งั หลายยงั ประชุมกันเนือง ๆ ยงั ประชุมกนั มากอยหู รอื อา. ขอ น้ีขา พระองคไ ดยนิ วา เจาวัชชีทงั้ หลาย ประชุมกันเนือง ๆประชมุ กนั มาก พระเจาขา พ. ดกู อนอานนท กเ็ จาวัชชีท้งั หลาย ยงั จกั ประชุมกันเนอื ง ๆ ยังจกั ประชุมกนั อยมู ากตลอดกาลเพยี งไร ดกู อ นอานนท เจาวชั ชีท้ังหลายพงึ หวงัความเจรญิ อยา งเดียว หาความเสอ่ื มมิได พ. (๒) ดูกอ นอานนท เธอไดย ินวา อยา งไร เจาวชั ชที ้งั หลายยังพรอมเพียงกันประชมุ พรอ มเพรียงกนั เลิกประชมุ พรอมเพรียงกันทาํ กิจท่ีพวกเจาวัชชพี งึ ทาํ อยหู รือ. อา. ขอ น้ี ขาพระองคไ ดย นิ วา เจา วัชชที ้งั หลาย ยังพรอมเพรียงกันประชุม พรอ มเพรียงกันเลกิ ประชมุ พรอมเพรยี งกนั ทาํ กจิ ทพ่ี วกเจาวชั ชีพงึทํา พระเจา ขา . พ. ดกู อนอานนท กเ็ จาวชั ชที ัง้ หลาย ยงั จกั พรอ มเพรียงกนั ประชุมพรอมเพรียงกนั เลกิ ประชมุ พรอมเพรยี งกนั ทาํ กจิ ทพ่ี วกเจา วัชชพี ึงทําอยูตลอดกาลเพียงไร ดกู อนอานนท เจาวชั ชที ัง้ หลายพงึ หวงั ความเจรญิ อยา งเดียว หาความเส่อื มมิได.

พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 236 พ. (๓) ดูกอนอานนท เธอไดยนิ วา อยางไร เจาวัชชที ้งั หลายยังไมบญั ญัตขิ อ ทไี่ มเ คยบญั ญตั ิไว ไมเ พิกถอนขอท่ีบัญญัติไวแ ลว ยงั สมาทานวชั ชธี รรมแบบโบราณ ตามท่บี ัญญตั ิไวแลว ประพฤติกนั อยูห รอื . อา. ขอ น้ี ขาพระองคไ ดยนิ วา เจาวชั ชีทัง้ หลายยังไมบ ัญญัติขอ ท่ีไมเคยบญั ญัตไิ ว ไมเ พกิ ถอนขอทบี่ ญั ญตั ิไวแลว ยังสมาทานวชั ชีธรรมแบบโบราณตามท่ีบญั ญตั ิไวแลว ประพฤติกนั อยู พระเจาขา . พ. ดกู อนอานนท ก็เจา วชั ชที ง้ั หลาย ยงจกั ไมบัญญัติขอทไี่ มเคยบญั ญัติไว ไมเ พิกถอนขอ ทบ่ี ญั ญตั ไิ วแลว ยงั จกั สมาทานวชั ชธี รรมแบบโบราณตามที่บัญญัตไิ วแลว ประพฤติกันอยู ตลอดกาลเพยี งไร ดกู อนอานนท เจาวชั ชที งั้ หลายพงึ หวงั ความเจรญิ อยา งเดยี ว หาความเส่อื มมไิ ด. พ. (๔) ดกู อนอานนท เธอไดย นิ วา อยางไร เจา วัชชที งั้ หลาย ยงัสักการะ เคารพนับถอื บชู า เจา วชั ชผี ใู หญผเู ฒาของเจาวัชชีทง้ั หลายและยังเชือ่ ถือถอ ยคําท่คี วรฟงของเจา วัชชผี ใู หญผ ูเ ฒา ทั้งหลายเหลานนั้ อยูห รือ. อา. ขอน้ี ขาพระองคไ ดยินวา เจา วัชชที งั้ หลาย ยังสกั การะ เคารพนบั ถอื บูชา เจา วชั ชผี ูใหญผ เู ฒา ของเจาวชั ชที งั้ หลายและยงั เชอื่ ถอยคาํ ทค่ี วรฟงของเจา วัชชผี ูใหญ ผเู ฒา ท้งั หลายเหลา น้ันอยู พระเจา ขา. พ. ดกู อ นอานนท กเ็ จาวัชชที ้ังหลาย ยังสักการะ เคารพนับถือบูชา เจา วัชชผี ใู หญผเู ฒาของเจาวชั ชีท้ังหลาย และยงั เชือ่ ถอื ถอ ยคําทค่ี วรฟงของเจาวัชชผี ใู หญ ผูเ ฒา ทง้ั หลายเหลาน้ันอยู ตลอดกาลเพยี งไร ดูกอ นอานนทเจาวชั ชที ัง้ หลายพงึ หวังความเจรญิ อยา งเดียว หาความเสอ่ื มมิได. พ. (๕) ดูกอนอานนท เธอไดยินอยางไร เจาวัชชที ง้ั หลาย ไมฉ ุดครา ขม เหง กักขังกลุ สตรที ง้ั หลาย (และ) กุมารขี องสกุลทั้งหลายอยูห รอื .

พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 237 อา. ขอน้ี ขา พระองคไ ดย ินวา เจาวชั ชีท้งั หลายไมฉ ุดครา ขม เหงกกั ขังกลุ สตรที ง้ั หลาย (และ) กุมารีของสกลุ ทั้งหลาย พระเจาขา . พ. ดูกอ นอานนท เจาวัชชีท้ังหลาย ไมฉุดครา ขมเหงกักขงั กลุ สตรีทงั้ หลาย (และ) กมุ ารีของสกุลท้ังหลาย ตลอดกาลเพียงไร ดูกอนอานนทเจา วชั ชีท้ังหลายพงึ หวังความเจรญิ อยางเดยี ว หาความเสอื่ มมไิ ด. พ. (๖) ดกู อ นอานนท เธอไดย ินวา อยา งไร เจาวัชชที ั้งหลายยงัสกั การะ เคารพนับถือบชู าเจดยี  วชั ชที ้งั หลายท้งั ภายในและภายนอก(พระนคร)ของเจา วชั ชที ั้งหลาย และยงั ไมลดพลปี ระกอบดวยธรรมทีเ่ คยถวายแลว เคยทําแลวแกเ จดยี วัชชีทง้ั หลายทั้งภายในและภายนอกเหลา น้นั อยูหรือ. อา. ขอ น้ี ขาพระองคไ ดย ินวา เจาวัชชที ง้ั หลายยังสักการะ เคารพนับถอื บชู าเจดีย วัชชี ท้งั หลายทงั้ ภายในและภายนอกของเจาวชั ชีท้ังหลายและยังไมมลี ดหยอ นพลีประกอบดวยธรรมที่เคยถวายแลว เคยทําแลว แกเจดียวชั ชีท้งั หลายภายในและภายนอกเหลานนั้ พระเจา ขา . พ. ดูกอ นอานนท ก็เจาวัชชที ั้งหลายยงั จักสักการะ เคารพนบั ถอืบชู าเจดียวชั ชีทงั้ หลายทัง้ ภายในและภายนอกของเจา วชั ชีท้ังหลายและจักยังไมลดหยอ นพลปี ระกอบดว ยธรรมที่เคยถวายแลว เคยทําแลว แกเจดยี วัชชที ง้ัหลายทงั้ ภายในและภายนอกเหลา นั้น ตลอดกาลเพยี งไร ดูกอนอานนท เจาวัชชีท้ังหลายพึงหวังความเจริญอยา งเดียว หาความเส่ือมมไิ ด. พ. (๗) ดูกอ นอานนท เธอไดย นิ วา อยางไร เจา วชั ชีทัง้ หลายยงัจัดอารักขา ปองกนั และคมุ ครองประกอบดวยธรรมดว ยดใี นพระอรหันตท้ัง-หลาย ดวยต้ังใจวาทําอยางไร พระอรหันตท ้ังหลายที่ยงั ไมม า พึงมาสแู ควนและพระอรหันตท งั้ หลายท่มี าแลว ขอใหอ ยสู บายในแควน ดงั น้ี หรือ.

พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 238 อา. ขอ นี้ ขาพระองคไ ดยินวา เจา วชั ชีทั้งหลายยงั จัดอารักขา ปอ งกันและคมุ ครองประกอบดวยธรรมดวยดีในพระอรหนั ตทง้ั หลาย ดว ยตง้ั ใจวาทาํ อยา งไร. พระอรหนั ตทัง้ หลายท่ยี งั ไมม า พงึ มาสูแ ควน และพระอรหนั ตท้งั หลายทม่ี าแลว ขอใหอ ยสู บายในแควนดงั นี้ พระเจาขา . พ. ดกู อ นอานนท กเ็ จาวชั ชีทัง้ หลายยงั จักเปน ผจู ัดอารกั ชา ปองกันและคมุ ครองประกอบดว ยธรรมดว ยดีในพระอรหนั ตทงั้ หลาย ดว ยตัง้ ใจวาทําอยา งไร พระอรหนั ตท ัง้ หลายทีย่ ังไมมา พึงมาสูแควน และพระอรหนั ตทั้งหลายทม่ี าแลว ขอใหอยูสบายในแควน ดงั น้ี ตลอดกาลเพยี งไร ดูกอนอานนท เจา วชั ชที ้ังหลายพงึ หวังความเจริญอยางเดียว หาความเสือ่ มมไิ ดฉะนแ้ี ล. [๖๙] ครัง้ นั้นแล พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั กะวัสสการพรหมณมหาอาํ มาตยของแควนมคธวา ดกู อ นทานพราหมณ สมัยหนึ่ง ตถาคตอยู ณวหิ ารสารนั ททะเจดียในนครเวสาลี ณ ท่ีน้ัน ตถาคตไดแสดงอปริหานยิ ธรรม๗ ประการเหลานี้แกเจา วชั ชีท้ังหลาย ดูกอ นทานพราหมณ ก็อปริหานยิ ธรรม๗ ประการเหลานยี้ ังจักตัง้ อยูในเจา วชั ชที งั้ หลายและเจาวชั ชีทั้งหลายยงั จกั เห็นดีรวมกนั ในอปริหานิยธรรม ๗ ประการเหลา น้ี ตลอดกาลเพยี งไร ดกู อนพราหมณ เจา วัชชที ้งั หลายพึงหวงั ความเจรญิ อยางเดยี ว หาความเส่อื มมไิ ด. ๑ ครัน้ พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั อยางนีแ้ ลว วัสสการพราหมณ มหาอาํ มาตยข องแควน มคธไดกราบทูลคาํ นี้ กะพระผูมีพระภาคเจาวา ขา แตพ ระโคดมผเู จริญ เจาวชั ชที ัง้ หลายประกอบดวยอปริหานิยธรรมแมเพยี งขอหน่งึ ขอเดยี วก็พงึ หวังความเจรญิ ไดโดยแท หาความเสื่อมมไิ ด แตว า จะกลา วอะไร ถึงเจาวชั ชที ัง้ หลายประกอบดว ยอปรหิ านยิ ธรรม ๗ ประการ ขา แตพ ระโคดมผเู จริญ๑. ทรงหมายถงึ สารนั ททสูตร วชั ชีวัคค, ดู - อ สตตฺ ก. ๒๓/๑๕-๑๗

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 239และพระราชาอชาตศัตรู ผเู ปน ใหญใ นแควนมคธ พระโอรสพระนางเวเทหีไมควรทาํ กะเจา วชั ชที ัง้ หลายดวยการรบ นอกจากเจรจาปรองดอง นอกจากทําใหแตกกันและกัน ขาแตพระโคดมผเู จรญิ สมควรแลว ขาพระองคจ ะไปบดั นี้ ขาพระองคมีกิจมาก มเี รื่องจะพึงทาํ มาก. (พระผูม ีพระภาคเจา ) ดูกอ นทา นพราหมณ บดั น้ี ทา นจงพจิ ารณาเห็นเปนกาลสมควรเถดิ . ครง้ั น้ันแล วัสสการพราหมณ มหาอํามาตยข องแควน มคธชืน่ ชมอนุ-โมทนาพระดาํ รสั ของพระผูมพี ระภาคเจา แลวลกุ จากอาสนะกลับไป. ภิกขอุ ปริหานยิ ธรรม ๗ [๗๐] ครัง้ นน้ั แล เมื่อวัสสการพราหมณ มหาอํามาตยของแควนมคธกลับไปแลวไมนาน พระผูม ีพระภาคเจา ตรัสกะทา นพระอานนทวา ดกู อ นอานนท เธอจงไป ภกิ ษทุ ้ังหลายมีจํานวนเทาใดอยูอาศยั กรงุ ราชคฤห เธอจงใหภ ิกษเุ หลา นน้ั ท้ังหมดประชุมกันในอปุ ฏฐานศาลา ทา นพระอานนทก ราบทูลรับแดพ ระผมู ีพระภาคเจา วา อยางนนั้ พระเจา ขา แลว ใหพ ระภิกษุตามจํานวนที่อาศยั กรงุ ราชคฤหอยูทงั้ หมดประชุมกนั ในอุปฏ ฐานศาลา แลวเขา ไปเฝา พระผูมีพระภาคเจา ถวายบังคมแลว ยืนอยู ณ ดานหนึง่ ทานพระอานนทผยู ืนอยูแลว ณ ดา นหนงึ่ แล ไดกราบทูลพระผูมีพระภาคเจาวา ขา แตพ ระองคผเู จรญิ พระภกิ ษสุ งฆป ระชมุ กนั แลว บดั นี้ เปน เวลาซ่งึ ทรงเหน็ เปน กาลสมควร พระเจาขา. ครน้ั นั้นแล พระผมู พี ระภาคเจา ทรงลุกจากอาสนะเสดจ็ดาํ เนนิ เขา อปุ ฏฐานศาลา ประทบั นัง่ บนอาสนะทป่ี ไู วแ ลว ครั้นประทบั น่ังแลวพระผูมพี ระภาคเจาตรัสกะภกิ ษุทงั้ หลายวา ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย ตถาคตจกั

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 240แสดงอปรหิ านยิ ธรรม ๗ ประการแกเ ธอทง้ั หลาย เธอท้ังหลายจงฟง จงทาํ ไวในใจใหด ี ตถาคตจักกลาวดงั นี้ ภิกษทุ ้งั หลายเหลา นัน้ กราบทลู แดพ ระผูมีพระภาคเจา วา พรอ มแลว พระเจาขา. พระผมู ีพระภาคเจา ไดทรงพระดาํ รสัตอ ไปน.้ี (๑) ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย กภ็ ิกษทุ ง้ั หลายยงั จกั ประชมุ กนั เนอื ง ๆ จักประชมุ กนั อยูมาก ตลอดกาลเพียงไร ภกิ ษุท้ังหลายพึงหวังความเจริญอยางเดยี วหาความเสือ่ มมไิ ด. (๒) ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย และภิกษุทงั้ หลาย ยงั จกั พรอมเพรยี งกันประชมุ จกั พรอ มเพรยี งกนั เลิกประชุม จักพรอ มเพรียงกันทาํ กจิ ทสี่ งฆพ ึงทําตลอดกาลเพยี งไร ภิกษุทง้ั หลายพงึ หวังความเจรญิ อยา งเดยี ว หาความเส่อื มมิได. (๓) ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย และภิกษทุ ้งั หลาย ยังจักไมบัญญตั ิส่งิ ท่ีตถาคตมิไดบ ญั ญตั ไิ ว จกั ไมเพิกถอนสงิ่ ท่ตี ถาคตบญั ญัติไวแ ลว ยงั จักสมาทานประพฤติอยใู นสิกขาบท้งั หลายตามท่ตี ถาคตบญั ญตั ิไวแลว ตลอดกาลเพียงไรภิกษทุ ง้ั หลายพงึ หวังความเจรญิ อยา งเดียว หาความเส่อื มมไิ ด. (๔) ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย และภิกษุทง้ั หลาย ยงั จกั สักการะและเคารพนับถอื บูชา พระภิกษทุ ง้ั หลายผเู ปนพระเถระผูรกู าลนาน ผูบวชมาแลวนานผูเ ปน บิดาของสงฆ เปนปริณายกของสงฆ และยังจกั เช่อื ถอื โอวาทที่พงึ ฟงของทานดวย ตลอดกาลเพียงไร ภกิ ษุท้งั หลายพึงหวังความเจริญอยางเดยี ว หาความเสอื่ มมไิ ด. (๕) ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย และภกิ ษุทั้งหลาย ยงั จักไมลอุ ํานาจของตณั หา อนั มีปกตใิ หเกิดในภพใหม ทีเ่ กดิ ขึ้นตลอดกาลเพยี รไร ภิกษทุ ้ังหลายพึงหวงั ความเจริญอยางเดียว หาความเส่ือมมิได.

พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 241 (๖) ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย และภิกษทุ ัง้ หลาย ยงั เปนผูมีความหวงใยในเสนาสนะตามราวปา ตลอดกาลเพียงไร ภิกษทุ ั้งหลายพงึ หวังความเจริญอยา งเดยี ว หาความเสื่อมมไิ ด. (๗) ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย และภกิ ษุทั้งหลายยงั จกั เขาไปตัง้ สติไวเฉพาะตนวา ทาํ อยางไร เพ่ือนพรหมจารีทง้ั หลาย ผูมีศีลเปนทีร่ กั ที่ยงั ไมมาขอใหมาและเพอื่ นพรหมจารีทั้งหลายผมู ศี ีลเปน ที่รัก ทม่ี าแลว ขอใหอ ยูสบาย ดังน้ี ตลอดกาลเพียงไร ภกิ ษทุ ้งั หลายพึงหวงั ความเจรญิ อยา งเดียวหาความเส่อื มมิได. ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย กอ็ ปริหานิยธรรม ๗ ประการเหลานี้ ยังจกั ตั้งอยูในภิกษทุ ัง้ หลาย และภกิ ษทุ ั้งหลายยงั จักเหน็ ดีรว มกันในอปรหิ านิยธรรม ๗ประการเหลานี้ ตลอดกาลเพียงไร ภกิ ษุท้งั หลายพงึ หวงั ความเจรญิ อยา งเดยี วหาความเสอื่ มมิได. อปริหานยิ ธรรมอีก ๗ ประการ [๗๑] ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย ตถาคตจกั แสดงอปรหิ านิยธรรม ๗ประการ อกี หมวดหนง่ึ แกเ ธอทงั้ หลาย เธอทัง้ หลายจงฟง จงทําในใจใหดีตถาคตจกั กลา ว. ภกิ ษทุ ง้ั หลายเหลาน้นั กราบทูลรับวา พรอมแลว พระเจา ขาพระผมู พี ระภาคเจาทรงมีพระดํารัสตอ ไปน้ี .- (๑) ดกู อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภกิ ษุทั้งหลายยงั จกั ไมเปนผูมีการงานเปนท่ีมายินดี จกั ไมย นิ ดีในการงาน ไมป ระกอบเนือง ๆ ซึง่ ความมกี ารงานเปนที่มายนิ ดี ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทงั้ หลายพึงหวงั ความเจรญิ อยางเดยี ว หาความเส่ือมมิได.

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 242 (๒) ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย และภกิ ษุทงั้ หลาย ยงั จักไมมีการพดู คยุกนั เปนทมี่ ายินดี จักไมย ินดีในการพูดคยุ กนั ไมประกอบเนือง ๆ ซึง่ การพูดคยุ กนั ตลอดกาลเพียงไร ภกิ ษุทง้ั หลายพึงหวังความเจรญิ อยางเดยี ว หาความเสอ่ื มมิได. (๓) ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย และภกิ ษุทัง้ หลาย ยังจกั ไมม กี ารหลับเปนทม่ี ายินดี จักไมย นิ ดใี นการหลับ จกั ไมป ระกอบเนอื ง ๆ ซ่ึงความหลับตลอดการเพยี งไร ภกิ ษทุ ัง้ หลายพึงหวงั ความเจรญิ อยา งเดยี ว หาความเสอื่ มมิได. (๔) ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย และภกิ ษุท้งั หลายยังจกั ไมม กี ารคลุกคลีดวยหมูคณะเปน ทม่ี ายินดี จักไมยนิ ดใี นการคลุกคลดี ว ยหมคู ณะ จกั ไมป ระกอบเนอื ง ๆ ในความคลกุ คลดี ว ยหมูค ณะ ตลอดกาลเพยี งไร ภกิ ษุท้งั หลายพึงหวงัความเจริญอยา งเดยี ว หาความเสอื่ มมไิ ด. (๕) ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย และภิกษุทง้ั หลายยงั จกั ไมเ ปน ผูมีความปรารถนาลามก จกั ไมลอุ ํานาจของความปรารถนาลามก ตลอดกาลเพยี งไรภิกษทุ ้งั หลายพงึ หวงั ความเจรญิ อยา งเดยี ว หาความเส่อื มมไิ ด. (๖) ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย และภิกษทุ ัง้ หลายยังจักไมมีคนชั่วเปน มิตรจักไมม ีคนชัว่ เปน สหาย จกั ไมมคี นชว่ั เปน เพือ่ น ตลอดกาลเพียงไร ภกิ ษุทง้ั หลายพงึ หวังความเจรญิ อยา งเดยี ว หาความเสื่อมมิได. (๗) ดกู อนภิกษุท้ังหลาย และภิกษทุ ้งั หลายยงั จกั ไมหยดุ เสียในระหวางดว ยการบรรลธุ รรมวเิ ศษเพยี งขั้นตํา่ ตลอดกาลเพยี งไร ภิกษุทงั้ หลายพึงหวงัความเจรญิ อยางเดยี ว หาความเสื่อมมิได. ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย ก็อปริหานยิ ธรรม ๗ ประการเหลา นี้ ยังจักตง้ั อยใู นภิกษทุ ้งั หลาย และภกิ ษทุ ้งั หลายจกั เห็นดรี ว มกนั ในอปรหิ านยิ ธรรม ๗ ประการเหลา นี้ ตลอดกาลเพยี งไร ภกิ ษุทง้ั หลายพึงหวงั ความเจริญอยางเดียว หาความเสอื่ มมิได.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 243 อปริหานยิ ธรรมอกี ๗ ประการ [๗๒] ดกู อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจักแสดงอปริหานยิ ธรรม ๗ประการอกี หมวดหน่ึง แกเ ธอทัง้ หลาย เธอทง้ั หลายจงฟง จงทําในใจใหด ีตถาคตจักกลา วดงั น้ี. ภกิ ษทุ งั้ หลายเหลา น้ันกราบทูลรบั วา พรอ มแลว พระเจาขา . พระผูม ีพระภาคเจา ทรงมีพระดํารสั ตอ ไปน้ี (๑) ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย กภ็ ิกษทุ ้งั หลายยงั จักเปน ผูมศี รัทธา ตลอดกาลเพียงไร ภกิ ษุทง้ั หลายพงึ หวงั ความเจริญอยา งเดียว หาความเสื่อมมไิ ด. (๒) ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเปน ผมู ใี จมหี ิริ. . .(๑) (๓) ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย. . . ยงั จักเปน ผมู โี อตตัปปะ. . . (๔) ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย. . .ยังจักเปนผูเ ปนพหูสูตร. . . (๕) ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย. . . ยังจักเปนผปู รารภความเพยี ร. . . (๖) ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย. . .ยงั จักเปนผมู สี ตเิ ขา ไปตัง้ ไว. . . (๗) ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย. . .ยังจักเปน ผมู ปี ญญา ตลอดกาลเพยี งไรภกิ ษุทงั้ หลายพึงหวังความเจริญอยา งเดียว หาความเสือ่ มมไิ ด. ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย กอ็ ปรหิ านิยธรรม ๗ ประการเหลานี้ ยังจกั ตั้งอยใู นภกิ ษุท้ังหลาย และภิกษทุ ัง้ หลายจกั เห็นดรี ว มกนั ในอปริหานยิ ธรรม ๗ประการเหลานน้ั ตลอดกาลเพียงไร ภิกษทุ ้งั หลายพึงหวังความเจรญิ อยางเดยี วหาความเสอ่ื มมไิ ด. อปรหิ านิยธรรมอีก ๗ ประการ [๗๓] ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย ตถาคตจกั แสดงอปรหิ านยิ ธรรม ๗ประการอกี หมวดหนง่ึ แกเ ธอท้ังหลาย เธอท้ังหลายจงฟง จงทาํ ในใจใหดี๑. ในพระสตู รน้ี บาลวี า \"หริ ิมนา\" แตในทอี่ ื่นวา \" หิริมนโฺ ต-ผมู ีหีริ\" อ . สตตฺ ก ๒๓/๒๓.

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 244ตถาคตจักกลา วดงั นี้. ภิกษุท้ังหลายเหลา น้นั กราบทลู รบั วา พรอมแลวพระเจาขา. พระผูมีพระภาคเจาทรงมพี ระดํารสั ตอไปนี้ .- (๑) ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย กภ็ กิ ษทุ ง้ั หลายยังจกั เจรญิ สตสิ ัมโพชฌงคตลอดกาลเพียงไร ภิกษทุ งั้ หลายพงึ หวงั ความเจริญอยางเดยี ว หาความเส่อื มมไิ ด. (๒) ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย และภิกษุท้งั หลายยังจักเจริญธรรมวิจยสมั -โพชฌงค..... (๓) ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย. . .ยังจักเจริญวิริยสัมโพชฌงค. . . (๔) ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย. . .ยังจักเจริญปติสัมโพชฌงค. . . (๕) ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย. . .ยังจักเจรญิ ปสสัทธิสมั โพชฌงค. . . (๖) ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย. . .ยังจกั เจรญิ สมาธิสมั โพชฌงค. . . (๗) ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเจรญิ อเุ บกขาสมั โพชฌงค ตลอดกาลเพยี งไร ภกิ ษุทง้ั หลายพึงหวังความเจริญอยางเดยี วหาความเสอื่ มมไิ ด. ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย ก็อปรหิ านิยธรรม ๗ ประการเหลาน้ี ยงั จักตัง้อยูในภิกษทุ ้ังหลาย และภกิ ษทุ ั้งหลายยังจักเหน็ ดรี วมกันในอปริหานิยธรรม ๗ประการเหลา นี้ ตลอดกาลเพียงไร ภกิ ษุท้ังหลายพึงหวังความเจริญอยา งเดียวหาความเส่ือมมิได. อปรหิ านิยมธรรมอกี ๗ ประการ [๗๔] ดูกอนภิกษุท้งั หลาย ตถาคตจกั แสดงอปรหิ านยิ ธรรม ๗ประการอกี หมวดหนึง่ แกเ ธอทงั้ หลาย เธอทง้ั หลายจงฟง จงทาํ ไวในใจใหดีตถาคตจักกลาวดังนี.้ ภกิ ษทุ งั้ หลายเหลานน้ั กราบทูลรบั วา พรอมแลวพระเจา ขา. พระผมู พี ระภาคเจา ทรงมพี ระดํารัสตอไปน้ี .-

พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 245 (๑) ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย กภ็ กิ ษุทง้ั หลายยงั จกั เจริญอนจิ จสญั ญา(ความหมายรสู งั ขารไมเทยี่ ง) ตลอดกาลเพียงไร ภกิ ษุท้งั หลายพึงหวังความเจรญิ อยา งเดยี ว หาความเส่อื มมไิ ด. (๒) ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย และภกิ ษทุ ง้ั หลายยังจกั เจริญอนตั ตสัญญา. . . (๓) ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย. . .ยังจักเจริญอสภุ สญั ญา. . . (๔) ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย. . .ยังจกั เจริญอาทนี วสญั ญา. . . (๕) ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย. . .ยังจกั เจริญปหานสญั ญา. . . (๖) ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย . . .ยังจกั เจริญวิราคสญั ญา. . . (๗) ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย และภิกษทุ ั้งหลายยังจักเจรญิ นิโรธสญั ญา(ความหมายรวู า นิพพานเปนท่ีดบั ) ตลอดกาลเพยี งไร ภกิ ษทุ งั้ หลายพงึ หวงัความเจริญอยา งเดยี ว หาความเสอื่ มมไิ ด. ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย กอ็ ปริหานิยธรรม ๗ ประการเหลานี้ ยังจกั ตั้งอยูในภกิ ษทุ ้งั หลาย และภิกษทุ ง้ั หลายยังจักเหน็ ดรี วมกันในอปรหิ านิยธรรม ๗ประการเหลา น้ี ตลอดกาลเพยี งไร ภิกษทุ ้งั หลายพงึ หวังความเจรญิ อยา งเดยี วหาความเสือ่ มมไิ ด. อปรหิ านยิ ธรรมอกี ๖ ประการ [๗๕] ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย ตถาคตจักแสดงอปรหิ านิยธรรม ๖ประการอีกหมวดหน่ึง* แกเธอท้ังหลาย เธอทั้งหลายจงฟง จงทําไวใ นใจใหดี ตถาคตจกั กลา วดงั นี้. ภกิ ษทุ ัง้ หลายเหลา น้นั กราบทูลรับวา พรอ มแลวพระเจา ขา . พระผมู พี ระภาคเจา ทรงมพี ระดํารัสตอ ไปน้.ี -๑. ดู- สารณียธรรม ๖ ใน อ . ฉกกฺ . ๒๒/๓๒๒

พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 246 (๑) ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย กภ็ ิกษทุ ้งั หลายยังจักเขา ไปทั้งกายกรรมมีเมตตาในเพื่อนพรหมจารที ้งั หลาย ทงั้ ในท่ีแจงและในทีล่ บั ตลอดกาลเพียงไรภิกษุทั้งหลายพงึ หวังความเจริญอยางเดยี ว หาความเสอ่ื มมไิ ด. (๒) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย และภกิ ษุทั้งหลายยงั จักเขาไปต้งั วจีกรรมมีเมตตาในเพื่อนพรหมจารที ั้งหลาย ทั้งในที่แจงและในท่ลี ับ ตลอดกาลเพยี งไรภกิ ษทุ ง้ั หลายพึงหวังความเจรญิ อยา งเดียว หาความเสือ่ มมไิ ด. (๓) ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย และภกิ ษุทงั้ หลายยังจกั เขาไปตั้งมโนกรรมมเี มตตาในเพ่ือนพรหมจารีทัง้ หลาย ทั้งในที่แจง และในท่ีลับ ตลอดกาลเพียงไรภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอยางเดียว หาความเส่อื มมไิ ด. (๔) ดกู อนภิกษุท้งั หลาย และภิกษทุ ้ังหลายยงั จักเปนผูบรโิ ภคปจจยั ท่ีแบง ปนกันโดยลาภทง้ั หลายทเ่ี กดิ ข้นึ โดยชอบธรรม(๑) ไดมาโดยชอบธรรมโดยทส่ี ุดแมเ พียงภิกษานับเนอ่ื งในบาตร เปน ผบู ริโภครวมกนั กับเพื่อนพรหมจารที ง้ั หลายผมู ีศลี ตลอดกาลเพียงไร ภิกษทุ ้งั หลายพงึ หวังความเจรญิ อยา งเดยี ว หาความเสื่อมมิได. (๕) ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย และศีลทง้ั หลาย ทไี่ มขาด ไมท ะลุ ไมด างไมพรอ ย เปน ไทย ทานผรู สู รรเสริญ ตัณหาและทิฏฐไิ มแปดเปอน นําไปสูสมาธิ ภิกษทุ ง้ั หลายยงั จกั ถึงความเปนผเู สมอกนั กับเพ่อื นพรหมจารที ง้ั หลายอยใู นศีลเหน็ ปานนั้น ทง้ั ในท่ีแจงและในทล่ี บั ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุท้งัหลายพึงหวงั ความเจริญอยา งเดยี ว หาความเสอ่ื มมิได. (๖) ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย และทฏิ ฐิที่เปนอริยะเปน เคร่อื งนาํ ออกจากทุกข ภิกษุท้ังหลายยงั จักถงึ ความเปน ผูเสมอกันกบั เพื่อนพรหมจารที ้งั หลายดวยทิฏฐเิ หน็ ปานนัน้ ท้ังในท่แี จง และในท่ลี ับเพอ่ื ความสิ้นไปแหง ทุกขทั้งปวง ๑. บาลีในพระสตู รนี้ \"....น อปฺปฏวิ ภิ ตฺตโภค.ี ...\" แตใน อ . ฉกฺก. ๒๒/๓๒๒ ไมม ี \"น\".








Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook