Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_16

tripitaka_16

Published by sadudees, 2017-01-10 01:16:29

Description: tripitaka_16

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 151นครหน่ึงชื่อ นาฏปริยาย นครหนงึ่ ชอื่ ปรกสุ ฏิ นาฏา. บทวา ทางทศิอุดรมกี ปอันตนคร ความวา ตรงทิศอดุ รมนี ครอ่ืนช่อื กปว นั ตนครตัง้ อยใู นทศิ อดุ รน้นั . บทวา อกี นครหนงึ่ ช่ือ ชโนฆะ ความวา ในภาคอื่นของทิศอดุ รนัน้ มนี ครอื่นชอื่ ชโนฆะ. บทวา นวนวติยนครความวา อกี นครหน่งึ ชื่อ นวนวตยิ ะ. อกี นครหน่ึงช่อื อมั พรอัมพรวตยิ ะ.บทวา อาฬกมันทา ความวา มรี าชธานีอ่ืนอกี ช่ือ อาฬกมนั ทา. บทวา เพราะฉะนัน้ มหาชนจึงเรียกทาวกุเวรมหาราชวา ทา วเวสวัณ ดังนี้ มีเรอื่ งเลาวา เมอื่ พระพุทธเจา ยงั ไมอ บุ ตั ิ ทา วมหาราชนี้เปน พราหมณ ช่อื กุเวร ไดสรางโรงหีบออย ประกอบเครอื่ งยนต ๗ เคร่อื งกุเวรพราหมณไ ดใ หผ ลกาํ ไรซ่ึงเกิดขน้ึ ท่ีโรงเครื่องยนตแ หง หนึ่ง แกมหาชนทม่ี าแลว มาแลวไดกระทาํ บญุ . ผลกาํ ไรทม่ี ากกวา ไดต ัง้ ข้นึ ในทน่ี ้ันจากโรงทีเ่ หลือ กเุ วรพราหมณเลื่อมใสดว ยบุญน้นั จงึ ถือเอาผลกาํ ไรทเี่ กดิข้นึ แมใ นโรงที่เหลอื ใหท านตลอดสองหมื่นป. เขาไดถึงแกกรรมไปเถิดเปน เทพบุตรชอ่ื กุเวร ในสวรรคชนั้ จาตมุ มหาราชิกา. ตอ มาไดค รองราชสมบัตใิ นราชธานีชอ่ื วสิ าณะ. ตัง้ แตน ั้น จงึ เรียกวา ทาวเวสวัณ. บทวา ยอ มปรากฏมีหนาทค่ี นละแผนก ความวา ยกั ษผ ูดแู ลแวนแควน ๑๒ ตนเหลา อ่นื ผเู ขา ไปพิจารณา พร่าํ สอนประโยชนท ง้ั หลายยอมปรากฏมีหนา ทีค่ นละแผนก. ไดย ินวา ยักษผ ดู ูแลแวนแควนเหลานัน้ถือขา วไปประกาศแกย ักษผ รู กั ษาประกาศ ๑๒ ตน. ยักษผูร กั ษาประตทู ้ังหลายประกาศขาวนน้ั แกท าวมหาราช. บดั นีท้ า วมหาราช เม่ือจะแสดงชอื่ ของยกั ษผูด ูแลแวนแควน เหลา นนั้ จงึ กลาวคํามอี าทวิ า ตโตละ ดงั น้.ี ไดยินวาบรรดายักษเหลา นน้ั ยักษตนหนง่ึ ชือ่ ตโตลา ตนหนงึ่ ช่ือ ตตั ตลา ตนหนึ่ง

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 152ชื่อ ตโตตลา ตนหนงึ่ ชอื่ โอชลี ตนหนึ่งชื่อ เตชลี ตนหนงึ่ ชอื่ ตโตชล.ีบทวา สุโรราชม ความวา ตนหนง่ึ ชอ่ื สโุ ร ตนหนึ่งชื่อ ราชา ตนหน่งึ ชอื่สโุ รราชา. บทวา อรฏิ โ เนมิ ความวา ตนหนง่ึ ชอ่ื อริฏฐะ ตนหนึ่งช่ือเนมิ ตนหนึ่งช่ือ อริฏเนม.ิ บทวา ในวสิ าณาราชธานีนน้ั มหี วงน้าํ ช่อื ธรณี ความวา กใ็ นวิสาณาราชธานนี นั้ มหี วงนา้ํ หวงหน่งึ ชือ่ ธรณี โดยช่ือ. ทา นกลาววามสี ระโบกขรณีใหญก วาง ๕๐ โยชน. บทวา เปน แดนทเ่ี กิดเมฆ ความวาเมฆทง้ั หลายรับนาํ้ จากสระโบกขรณี แลวตกลงมา. บทวา เกิดฝนตกความวา ฝนตกทว ม. ไดย นิ วา เมอ่ื เมฆต้งั เคา นา้ํ เกายอมไหลออกจากสระโบกขรณีนนั้ . เมฆตัง้ เคาเบ้อื งบนยังสระโบกขรณนี ั้นใหเ ตม็ ดว ยนํา้ ใหม.น้าํ เกา เปนน้ํามีในเบือ้ งตํา่ ยอมไหลออกไป. เม่ือสระโบกขรณนี ํ้าเต็ม เมฆยอมเคล่อื นไป. บทวา สภา คอื สถานทีป่ ระชุม ณ ฝง โบกขรณนี ั้นมมี ณฑปแกว ประมาณ ๑๒ โยชนล อ มดวยเถาวลั ย ช่ือ ภคลวด.ี นท้ี า นกลาวหมายถงึ มณฑปนั้น. บทวา ปยริ ปุ าสนฺติ ความวา นัง่ อยู บทวาตน ไมม ีผลมาก ความวา มณฑปแกว ยอ มแสดงถึงวา ตน ไมมีมะมว งและหวา เปนตน ลอมมณฑปน้ัน ในท่ีน้นั แผไ ปทกุ เวลา และดอกไมมีดอกจําปาเปนตน บานอยเู ปน นจิ . บทวา ประกอบดวยหมูนกนานาชนดิ คือ ดารดาษไปดว ยหมนู กตา ง ๆ. บทวา มีนกยูง นกกะเรยี นเสยี งหวาน ความวา นกยงู นกกะเรียนมีเสยี งหวาน ประสานเสียง.บทวา ณ ทน่ี ม้ี เี สียงนกรอ งวา ชวี ะ ชีวะ ความวา ณ ทีน่ ี้ มีเสยี งนกชื่อ ชีว ชีวกะ รอ งอยา งนว้ี า ชีวะ ชวี ะ ดงั น.ี้ บทวา มีเสยี งปลกุ ใจความวา แมนกมีเสียงปลกุ ใจ กร็ องอยอู ยางน้ี ลกุ ขนึ้ เถดิ จิตตะ ลุกขนึ้ เถิด

พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 153จิตตะ ดังน้ี ยอ มเที่ยวไป ณ ท่นี ัน้ . บทวา ไก คือ ไกป า. บทวา ปูคอื ปูทอง. บทวา ในปา คือ ในสระประทมุ . บทวา โปกขฺ รสาตกาไดแก พวกนกชื่อ โปกขฺ รสาตกา. บทวา สกุ สาลิกสทเฺ ทตถฺ ความวาในสระนนั้ มเี สียงนกสกุ ะ และนกสาลกิ า. บทวา หมนู กทณั ฑมาณวกคือนกมหี นาเหมือนคน. ไดย นิ วา นกเหลา นั้น เอาเทาสองจบั ไมท องคาํแลว เหยียบใบบวั ใบหนึ่ง วางไมทองคาํ ลองในบัวอนั ไมมีระหวา ง เทีย่ วไป.บทวา สพพฺ กาล สา ความวา สระโบกขรณนี น้ั งามตลอดกาล. บทวาสระนพนิ ีของทาวกเุ วร ความวา สระนพนิ ขี องทาวกุเวรเปนสระปทุมสระนน้ั ชือ่ ธรณี งามอยูต ลอดเวลาทุกเมื่อ. ทาวเวสวณั ยงั อาฏานาฏิยรักษใหสาํ เร็จลงแลว เมือ่ จะแสดงการบรกิ รรม พระปริตนนั้ จึงกลาวบทน้ีวา คนใดคนหนงึ่ . ในบทเหลา น้นับทวา เรยี นดแี ลว ความวา อาฏานาฏิยรักษ อันผูใดผหู น่งึ ชําระอรรถและพยัญชนะ และเรยี นดวยดี. บทวา เลา เรยี นครบถวน ความวา ไมใหบ ทและพยญั ชนะ เสอ่ื มแลว เลา เรียนครบถวน. ทา นแสดงไววา จรงิ อยูพระปรติ ยอมไมเปน เดช แกผูก ลาวผดิ อรรถบา ง บาลีบา ง หรือวาไมทาํใหค ลอ งแคลว. พระปริตยอ ม เปนเดชแกผูทาํ ใหค ลองแคลว ดวยประการท้ังปวง แลวกลา วแนแท. แมเมือ่ เรียนเพราะลาภเปน เหตุ แลว กลา วอยูก็ไมสําเรจ็ ประโยชน. พระปรติ ยอ มมปี ระโยชนแกผตู ง้ั อยใู นฝายแหงการออกไปจากทุกข แลวกระทาํ เมตตาใหเปน ปเุ รจาริก กลาวอยูน ่ันแล.บทวา ยักขปจาระ คือผรู บั ใชยกั ษ. บทวา วตั ถุ ไดแก วตั ถคุ ือ เรอื น.บทวา ทอ่ี ยูไ ดแกการอยเู ปน นิจในเรอื นน้ัน. บทวา สมิตึ คือ การสมาคม.

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 154บทวา อนฺวยฺห ความวา ไมค วรทําการอาวาหะ. บทวา อววิ ยหฺ  ความวา .ไมค วรววิ าหะกับเขา. ความวา ไมพ งึ กระทาํ การอาวาหะ หรอื วิวาหะกับเขา.บทวา ดว ยคาํ บริภาษอนั บรบิ ูรณดงั กลาวแลว ความวา อมนษุ ยท้งั หลายพึงนอมเขาไป ซ่ึงอตั ภาพของยักษเ หลาน้ันอยา งนว้ี า ผูมตี าสคี ลํา้ ผูมีฟนเหลืองดังน้ี แลว บริภาษดวยคาํ บรภิ าษอนั มีพยัญชนะบริบรู ณดงั ท่กี ลา วแลว. อธบิ ายวา พึงดา ถอยคาํ ของยกั ษ. บทวา บาตรแมเ ปลา ความวาบาตรโลหะเชนเดียวกบั บาตรของภิกษนุ ้นั แหละ. ครอบบาตรนน้ั บนศรี ษะตลอดถึงกานคอ. เอาเสาเหลก็ ทบุ บาตรนนั้ ในทา มกลาง. บทวา จณฑฺ าคือ โกรธ รุทธฺ า ไดแก ผิดพลาด. บทวา รภสา คือ กระทําเกินเหต.ุบทวา ไมเชื่อทา วมหาราช คอื ไมถือเอาคาํ พดู ไมกระทาํ ตามขอ บังคบั .บทวา เสนาบดี ของทา วมหาราช คือ เสนาบดยี ักษ ๒๘ ตน. บทวาปรุ ิสกาน ปรุ สิ กาน คือ อนุศาสนข องยักษเ สนาบดี. บทวา อวรุทฺธานาน ความวา ปจ จามติ ร คอื มีเวร. บทวา พึงประกาศใหรู ความวาผไู มส ามารถจะกลา วพระปรติ ใหพ วกอมนษุ ยห ลีกไปได ควรประกาศใหยักษท ั้งหลายรู ความวาใหย ักษเ หลา น้ันรู. กแ็ ตวาพึงยนื อยู ณ ท่ีน้แี ลวกลา วบริกรรมพระปรติ . อนั ที่จรงิ ไมค วรสวด อาฏานาฏยิ สูตร กอ นทเี ดยี ว. ควรสวดพระสตู รเหลา น้ีคือ เมตตาสูตร ธชัคคสูตร รตนสูตร ตลอด ๗ วัน. หากวาพน ไปได เปน การดี. หากไมพ น ควรสวด อาฏานาฏิยสูตร. ภกิ ษุผสู วดอาฏานาฏิยสูตรน้ัน ไมควรเค้ียวแปงหรือเน้ือ ไมค วรอยใู นปาชา. ถามวาเพราะเหตไุ ร. ตอบวา พวกอมนุษยจะไดโอกาส ทีท่ าํ พระปรติ ควรทําใหมหี ญาเขียวชะอมุ ปอู าสนะใหเรยี บรอ ย ณ ทีน่ ั้น แลวพงึ นงั่ . ภิกษุ

พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 155ผูก ระทําพระปรติ อันชนท้ังหลายนาํ ออกจากวิหารไปสูเรอื น ควรลอมดว ยเครอ่ื งปองกนั คือกระดาน แลว พงึ นาํ ไป. ไมควรน่ังนวดในทีแ่ จง . ภกิ ษุควรปดประตูและหนาตางแลว จึงน่งั แวดลอมดว ยมือเปน อาวธุ กระทาํเมตตาจิต ในเบ้ืองหนา แลว สวด. ควรใหรบั สิกขาบทกอ น แลวสวดพระปริตแกผูตัง้ อยูในศลี . แมอยา งนี้ กไ็ มสามารถจะพนได ควรนาํ ไปสูวหิ ารใหน อนบนลานเจดียใ หท าํ อาสนบูชา ตามประทปี ปด กวาดลานเจดียแลวสวดมงคลกถา. ควรประกาศใหประชมุ ท้ังหมด. ใกลว ิหาร มดี านไมใหญท่สี ดุ อยู ควรสงขาวไป ณ ทนี่ นั้ วา หมูภ กิ ษุยอมรอการมาของพวกทาน.ชอ่ื วาการไมม าในทีป่ ระชุมท้ังหมด จะไมไ ดร บั แตน นั้ ควรถามผทู ่ถี กูอมนุษยส ิงวา ทานชอื่ ไร. เมือ่ เขาบอกช่อื แลว ควรเรียก ช่อื ทีเดยี ว. ทานควรปลอยบคุ คลชอื่ น้ี เพราะสว นบุญในการบูชาดวยวัตถุมัดเอาไว และของหอมเปน ตน สวนบญุ ในการบูชาอาสนะ สว นบญุ ในการถวายบณิ ฑบาตของทา น หมภู ิกษุสวดมหามงคลกถาเพอื่ ประโยชนแกบรรณาการของทา นดว ยความเคารพในหมภู กิ ษุ ขอทา นจงปลอยเขาเถดิ ดงั นี้ หากอมนษุ ยไ มปลอ ย ควรบอกแกเทวดาทง้ั หลาย วา พวกทา นจงรูไวเถดิ อมนษุ ยน ี้ไมท ําคําของพวกเรา เราจกั กระทําพุทธอาชญาดังน้ี ควรสวดพระปรติ น้เี ปนบริกรรมของคฤหสั ถกอน กถ็ า ภกิ ษถุ กูอมนษุ ยสงิ ควรลางอาสนะ แลวประกาศใหป ระชมุ กันทั้งหมด ใหสว นบุญในการบูชามขี องหอมและดอกไมเปน ตน แลวพึงสวดพระปรติ นี้เปนบริกรรมของภิกษทุ งั้ หลาย. บทวา พึงประชุมกัน ความวา พงึ ประกาศใหเ สนาบดยี กั ษ ๒๘ ตน ประชมุ กนั ท้งั หมด. บทวา พงึ บอกกลาว

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 156ความวา พึงบอกกลาวกับเทวดาท้ังหลาย เหลา นัน้ วา ยักษนส้ี ิงดงั นี้เปน ตน . บทวา ติดตาม เปนไวพจนของบทวา สงิ อีกอยา งหนงึ่ ทา นกลาววา ตดิ คอื ไมออกไป. บทวา เบยี ดเบียน ความวา เบยี ดเบยี นทาํ ใหโรคกําเรบิ บอย ๆ. บทวา ทําใหเกดิ ทกุ ข คือ ทําใหม ีเน้ือและเลอื ดนอ ย ใหเกดิ ทุกข. บทวา ไมป ลอย คือเปน ผถู ูกจระเขค าบ ไมปรารถนาจะปลอ ย พึงบอกกลาวเทวดาเหลา น้ัน ดวยประการฉะนี้ บัดน้เี พ่อื แสดงถึงยกั ษที่ควรบอกกลาว จึงกลาวคําเปน ตนวา แหงยักษท ั้งหลายเหลา ไหนดงั นี้ ในบทเหลาน้ัน บทเปนตนวา อนิ ทะ โสมะ เปน ชือ่ ของยักษท้ังหลาย เหลานนั้ ในยักษทง้ั หลายเหลาน้นั ยกั ษตนหนึ่งอาศัยอยูที่ภเู ขาชอ่ื วา เวสสามติ ตะ ชือ่ ยักษเ วสสามติ ตะ ยกั ษท่อี าศยั อยูท ีภ่ ูเขา ยุคนธระชื่อยักษ ยุคนธระ ยักษช อื่ หิรเิ นตติ มณั ฑยิ ะ มณิ มณิวระ ฑฆี ะ และเสรสี กะ กบั ยักษเหลาน้นั . บทวา ควรประกาศใหย ักษน อ ยยกั ษใ หญเสนาบดี มหาเสนาบดรี ู ความวา พงึ บอกแกยักษเสนาบดที งั้ หลายเหลา นนั้ อยางนน้ั วา ยักษน เ้ี บยี ดเบยี นผนู ้ี ทาํ ใหผูน้ีเดอื ดรอ น ไมปลอ ยผูนด้ี งั นี้ แตน นั้ ยกั ษเสนาบดที ้ังหลายเหลา น้ัน จักกระทาํ ความขวนขวายวาหมภู ิกษยุ อมกระทําธรรมอาชญาของตน แมเ รากจ็ ะทําอาชญาของพระยายักษของเราท้งั หลาย. ทาวเวสวณั มหาราชเมื่อจะแสดงวา โอกาสของพวกอมนษุ ยจ ักไมมี ดว ยอาการอยา งน้ี พุทธสาวกทัง้ หลาย กจ็ กั อยสู บาย จงึกราบทูลคาํ เปน อาทวิ า ขา แตทา นผูน ิรทุกข อาฏานาฏยิ รักษ นี้น้ันแลดังน.้ี บททัง้ หมดน้นั และบทอนื่ จากน้ัน มีความงา ยอยูแ ลว แล. จบอรรถกถาอาฏานาฏยิ สูตรที่ ๙

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 157 ๑๐. สงั คีตสิ ตู ร เรอ่ื ง การสงั คายนาหลักธรรม [๒๒๑] ขา พเจา ไดส ดับมาแลว อยางนี้ :- ในสมยั หนึง่ พระผูมีพระภาคเจา เสด็จจาริกในแควน มัลละ. พรอมดวยพระภิกษสุ งฆ หมใู หญประมาณ ๕๐๐ รูปไดเสดจ็ ถึงนครของพวกมลั ล-กษตั รยิ อ นั มนี ามวา ปาวา. ไดยนิ วาพระผมู พี ระภาคเจาประทบั อยู ณ สวนมะมว งของนายจนุ ทกมั มารบตุ รใกลน ครปาวานัน้ . [๒๒๒] ก็โดยสมยั นน้ั แล ทอ งพระโรงหลังใหม อนั มีนามวาอุพภตกะ ของพวกเจา มัลละแหง นครปาวา สรางสาํ เรจ็ แลว ไมนาน อนัสมณพราหมณ หรือใคร ๆ ทเี่ ปน มนษุ ยยงั ไมทันเขา อยูอาศัย. พวกเจามัลละแหงนครปาวาไดสดับขาววา พระผูมีพระภาคเจากาํ ลงั เสด็จจารกิ ในแควนมลั ละ พรอ มดวยพระภกิ ษุสงฆหมูใหญป ระมาณ ๕๐๐ รูป เสดจ็ ถึงนครปาวาโดยลําดบั ประทับอยู ณ สวนมะมว งของจุนทกมั มารบตุ ร ใกลนครปาวา. คร้งั น้ันแล พวกเจามัลละแหงนครปาวาไดพ ากนั เขาไปเฝา พระผูมพี ระภาคเจาถึงทป่ี ระทบั ครั้นแลวถวายบงั คม พระผูมีพระภาคเจานงั่ ณท่ีควรสว นขางหนึ่ง. พวกเจามลั ละแหงนครปาวาน่งั ณ ท่ีควรสวนขา งหน่งึแลว ไดก ราบทลู พระผมู ีพระภาคเจา วา ขาแตพระองคผ ูเ จรญิ ทอ งพระ-โรงหลังใหมอนั มนี ามวา อพุ ภตกะ ของพวกเจา มลั ละแหง นครปาวา สรา งสําเร็จแลวไมนาน อนั สมณพราหมณ หรอื ใคร ๆ ที่เปนมนษุ ยยังไมทนั จะเขา อยูอาศัย ขาแตพ ระองคผูเจริญ ขอพระผมู ีพระภาคเจา จงเสด็จใชสอย

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 158ทองพระโรงนั้นกอนเถดิ ภายหลงั พวกเจามลั ละแหงนครปาวาจงึ จกั ใชส อยทอ งพระโรงที่พระผมู พี ระภาคเจา ทรงใชส อยกอนแลว การเสดจ็ ใชสอยกอ นของพระผูมีพระภาคเจานัน้ พงึ เปน ไปเพอื่ ประโยชนเ ก้ือกูล เพอ่ื ความสขุ แกพวกเจา มลั ละแหงนครปาวา สน้ิ กาลนาน. พระผมู ีพระภาคเจาทรงรับดว ยดษุ ณภี าพแลวแล. ลําดบั นนั้ พวกเจา มัลละแหงนครปาวา ไดทราบการทรงรับของพระผมู พี ระภาคเจา แลว จงึ ลกุ จากอาสนะ ถวายบังคมพระผมู ีพระภาคเจา ทาํ ประทกั ษิณแลว พาไปยงั ทอ งพระโรง ครั้นแลว จึงปลู าดทอ งพระโรงใหพ รอมสรรพ แตงต้งั อาสนะ ใหตง้ั หมอ น้ํา ตามประทีปน้าํ มนัแลว พากันไปเขาเฝาพระผูม พี ระภาคเจา ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผูมีพระภาคเจา ไดยินอยู ณ ท่คี วรสวนขางหนงึ่ ไดก ราบทูลพระผูมพี ระภาคเจาวา ขา แตพระองคผ เู จริญ ทอ งพระโรงอนั พวกขาพระองคป ลู าดพรอ มสรรพแลว อาสนะกแ็ ตงตัง้ แลว หมอ นํ้ากใ็ หต ั้งไวแ ลว ประทปีนา้ํ มนั ก็ตามไวแ ลว พระเจาขา ขอพระผมู ีพระภาคเจาทรงทราบกาลอนัสมควรในบัดนีเ้ ถดิ . [๒๒๓] ลําดับนนั้ แล พระผมู ีพระภาคเจาทรงครองอนั ตรวาสกแลว ทรงถอื บาตรจีวรเสดจ็ ไปยงั ทองพระโรงพรอมดว ยพระภกิ ษุสงฆ ทรงลางพระบาทแลว เสด็จเขาไปยงั ทองพระโรงประทบั นงั่ พิงเสากลาง ผนิพระพกั ตรไ ปทางทศิ บรู พา. ฝายพระภกิ ษุสงฆกล็ า งเทา แลวเขา ไปยังทอ งพระโรงนง่ั พิงฝาดานหลัง ผินหนา ไปทางทิศบรู พาแวดลอ มพระผมู พี ระภาคเจาเเมพ วกเจามัลละแหงนครปาวาก็ลางเทา แลวเขาไปยงั ทอ งพระโรง นั่งพิงฝาทางดา นบูรพา ผินหนา ไปทางทศิ ปจฉมิ แวดลอ มพระผูมพี ระภาคเจา. คร้ังน้นั แล พระผมู พี ระภาคเจา ทรงยงั พวกเจา มลั ละแหงนครปาวา ใหเห็นแจง

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 159ใหส มาทาน ใหอ าจหาญ ใหรนื่ เริง ดวยธรรมีกถาตลอดราตรีเปนอันมากแลวทรงสง ไปดว ยพระดํารัสวา ดกู อนวาเสฏฐะท้งั หลาย ราตรีลวงมากแลวบัดน้ี พวกทานจงสําคญั กาลอันสมควรเถดิ . พวกเจามลั ละแหง นครปาวาไดพรอ มกนั รบั พระดํารัสของพระผมู ีพระภาคเจาวา อยางน้ัน พระเจาขาแลว พากันลกุ ขึน้ จากอาสนะ ถวายบงั คมพระผูม พี ระภาคเจา พระทําประทกั ษณิ แลว หลกี ไป. [๒๒๔] ลาํ ดับน้ันแล พระผมู พี ระภาคเจา คร้นั พวกเจามัลละแหงนครปาวาหลีกไปแลว ไมนาน ทรงเหลยี วดูหมพู ระภกิ ษผุ ูน่งั น่ิงแลวทรงสัง่ กะทา นพระสารบี ตุ รวา ดกู อนสารบี ตุ ร ภกิ ษสุ งฆปราศจากถีนะและมิทธะ. สารีบุตรจงแสดงธรรมกถาแกภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราเมื่อยแลว ฉะนั้นเราพงึ พักผอ น. ทานพระสารีบุตรไดร ับสนองพระดาํ รัสของพระผูมีพระ-ภาคเจาวา อยางนั้น พระเจาขา ดงั น้.ี ครัง้ น้นั แล พระผูมีพระภาคเจาทรงส่งั ใหปูผาสงั ฆาฏเิ ปนส่ีชั้น แลว ทรงสาํ เร็จสหี ไสยาสนโดยพระปรศั วเบ้อื งขวา ทรงเหลอื่ มพระบาทดวยพระบาท มพี ระสติสัมปชัญญะ ทรงกระทําในพระทยั ถงึ สัญญาในอนั ทจี่ ะเสด็จลุกขึน้ . [๒๒๕] ก็โดยสมัยน้ันแล นคิ รนถน าฏบุตรทํากาละแลวไมนานที่นครปาวา. เพราะกาลกิริยาของนิครนถน าฏบตุ รน้นั พวกนิครนถจึงแตกกัน เกดิ แยกกันเปนสองพวก เกิดบาดหมางกนั เกดิ การทะเลาะวิวาทกนั ข้ึน เสยี ดแทงกันและกัน ดว ยหอกคอื ปากอยวู า ทา นไมรทู ่ัวถึงธรรมวนิ ัยนี้ ทา นจกั รูท ่ัวถึงธรรมวินยั น้ีไดอยา งไร ทา นปฏบิ ตั ิผิด ขา พเจาปฏิบัติถูก ถอ ยคําของขาพเจาเปนประโยชน ถอยคาํ ของทา นไมเปน

พระสุตตันตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 160ประโยชน คาํ ทีค่ วรจะกลา วกอน ทานกลับกลาวภายหลงั คําทคี่ วรจะกลา วภายหลัง ทานกลับกลาวกอ น ขอท่ีทา นชาํ่ ชองมาผนั แปรไปแลว ขาพเจาจับผดิ วาทะของทานไดแ ลว ขา พเจา ขม ทานไดแ ลว ทา นจงถอนวาทะเสยีมฉิ ะนั้น จงแกไ ขเสยี ถา ทา นสามารถดังนี้. เห็นจะมแี ตความตายอยา งเดียวเทานั้น จะเปนไปในพวกนคิ รนถผูเปน สาวกของนาฏบุตร. แมพวกสาวกของนคิ รนถน าฏบตุ รทีเ่ ปน คฤหสั ถผ ูนงุ ขาวหม ขาว ก็มีอาการเบ่ือหนา ยคลายความรักรสู กึ ทอถอยในพวกนิครนถผูเ ปน สาวกของนาฏบตุ ร ทั้งนี้เพราะธรรมวนิ ัยอนั นคิ รนถน าฏบุตรกลาวไวไ มด ี ประกาศไวไมด ี ไมเปนธรรมเคร่อื งนาํ ออกจากทกุ ขได ไมเปนไปเพอ่ื ความสงบระงบั มิใชธ รรมที่ทา นผเู ปนพระสมั มาสมั พทุ ธเจา ประกาศไว เปน ธรรมวนิ ัยมที ่ีพาํ นกั อันทําลายเสยี แลว เปนธรรมวนิ ัยไมเ ปน ท่ีพึ่งอาศัย. ครั้งน้ันแล ทา นพระสาร-ีบุตรไดเรียกภิกษทุ ัง้ หลาย เลา วา ดกู อนผูมีอายุทัง้ หลาย นิครนถน าฏบตุ รทํากาลแลวไมนานที่นครปาวา เพราะกาลกิริยาของนคิ รนถนาฏบตุ รน้ันพวกนคิ รนถจ ึงแตกกนั เกดิ แยกกนั เปน สองพวก ฯลฯ เปนธรรมวนิ ัยมีที่พาํนักอันทาํ ลายเสียแลว เปน ธรรมวนิ ัยไมมที พ่ี ่งึ อาศัย ดูกอนผมู ีอายทุ ั้งหลายขอ นย้ี อมเปน เชนนั้น ในธรรมวินยั ทีก่ ลา วไวไมดี ประกาศไวไ มดีไมเปน ธรรมเครื่องนาํ ออกจากทกุ ข ไมเ ปน ไปเพ่ือความสงบระงับ ไมใ ชธรรมท่ีทา นผเู ปนพระสัมมาสัมพทุ ธเจาประกาศไว. ดกู อ นผมู ีอายทุ ั้งหลายสวนธรรมน้ีแล อันพระผูมีพระภาคเจา ของเราทั้งหลายตรัสไวด ีแลวประกาศไวด แี ลว เปนธรรมเครื่องนาํ ออกจากทกุ ขได เปนไปเพอื่ ความสงบระงบั อันพระสมั มาสมั พทุ ธเจา ประกาศไว พวกเราทง้ั หมดดว ยกนั

พระสุตตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 161ถึงสังคายนา ไมพ ึงกลาวแกง แยง กันในธรรมน้ัน การทพี่ รหมจรรยน ้จี ะพงึ ยง่ั ยืนตง้ั อยูนานนั้น พึงเปน ไปเพ่ือประโยชนแกช นมาก เพื่อความสุขแกช นมาก เพ่อื ความอนเุ คราะหแ กโลก เพ่ือประโยชน เพอ่ื เก้อื กลูเพอ่ื ความสขุ แกเทวดาและมนุษยท้งั หลายดกู อนผมู ีอายุทั้งหลาย ก็ธรรมอะไรเลา ที่พระผูมีพระภาคเจาของเราท้ังหลายตรสั ไวดีแลว ประกาศไวด ีแลว เปนธรรมเคร่ืองนําออกจากทุกขไ ด เปนไปเพื่อความสงบระงบัอันพระสมั มาสมั พทุ ธเจาประกาศไวแ ลว พวกเราทัง้ หมดดวยกนั พงึ สัง-คายนา ไมพงึ กลาวแกง แยงกันในธรรมนน้ั การท่ีพรหมจรรยนี้จะพงึ ยั่งยนืตั้งอยนู านนนั้ พึงเปนไปเพือ่ ประโยชนแ กชนมาก เพื่อความสุขแกช นมากเพือ่ ความอนเุ คราะหแ กโ ลก เพ่อื ประโยชน เพ่ือเกื้อกูล เพ่ือความสุขแกเทวดาและมนษุ ยท งั้ หลาย. วาดวยสงั คีตหิ มวด ๑ [๒๒๖] ดูกรผมู ีอายุท้งั หลาย ธรรม ๑ อนั พระผูมพี ระภาคเจาทรงรู ทรงเหน็ เปนพระอรหนั ตสัมมาสมั พทุ ธเจา พระองคน ้ัน ตรสั ไวโดยชอบแลวมอี ยแู ล พวกเราทงั้ หมดดว ยกนั พงึ สังคายนา ไมพ งึ กลา วแกงแยง กนั ในธรรมน้ัน การทพ่ี รหมจรรยน ี้ จะพึงยั่งยนื ตัง้ อยูนานน้นั พงึเปนไปเพ่อื ประโยชนแ กช นมาก เพ่ือความสุขแกชนมาก เพื่อความอนเุ คราะหแกโ ลก เพอื่ ประโยชน เพื่อเกอ้ื กลู เพอ่ื ความสขุ แกเทวดาและมนุษยท งั้ หลาย. ธรรม ๑ เปนไฉน. คอื สพฺเพ สตตฺ า อาหารฏติ ิกา สัตวทง้ั หลายทั้งปวง ดํารงอยดู ว ยอาหาร

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 162 สพเฺ พ สตตฺ า สงขฺ ารฏ ติ ิกา สตั วทัง้ หลายทั้งปวง ดาํ รงอยูด ว ยสังขารดูกอนผมู ีอายุทง้ั หลาย ธรรมหน่งึ นแ้ี ล อันพระผูม พี ระภาคเจาทรงรูทรงเห็น เปน พระอรหนั ตสัมมาสมั พทุ ธเจาพระองคนั้น ตรัสไวโ ดยชอบแลว พวกเราท้งั หมดดว ยกนั พึงสงั คายนา ไมพ งึ กลา วแกง แยงกนั ในธรรมนน้ั การท่ีพรหมจรรยนจี้ ะพงึ ยง่ั ยนื ตัง้ อยนู านน้ัน พงึ เปน ไปเพื่อประโยชนแกช นมาก เพ่อื ความสุขแกช นมาก เพื่อความอนเุ คราะหแ กโลก เพอ่ืประโยชน เพอื่ เกอื้ กูล เพอ่ื ความสขุ แกเทวดาและมนษุ ยท งั้ หลาย. จบสังคตี ิหมวด ๑ วา ดว ยสงั คีตหิ มวด ๒ [๒๒๗] ดกู รผมู ีอายทุ ้งั หลาย ธรรม ๒ อนั พระผูมพี ระภาคเจาทรงรู ทรงเหน็ เปน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา พระองคนน้ั ตรัสไวโดยชอบแลว มีอยแู ล พวกเราทง้ั หมดดว ยกนั พึงสังคายนา ไมพงึ กลา วแกงแยง กันในธรรมนนั้ ฯลฯ เพือ่ ประโยชน เพอ่ื เกอื้ กลู เพือ่ ความสขุ แกเทวดาและมนุษยทั้งหลาย. ธรรม ๒ เปน ไฉน. คือ นาม และ รูป ๑.อวชิ ชา และ ภวตณั หา ๑. ภวทิฏฐิ และ วิภวทิฏฐิ ๑. อหิริกะ ความไมละอาย และ อโนตตปั ปะ ความไมเกรงกลัว ๑. หริ ิ ความละอาย และโอตตปั ปะ ความเกรงกลัว ๑. โทวจสั สตา ความเปนผูว ายาก และปาปมติ ตตา ความเปนผมู มี ติ รช่วั ๑. โสวจัสสตา ความเปน ผูวา งาย และกัลยาณมิตตตา ความเปนผมู มี ิตรดี ๑. อาปต ตกิ ุสลตา ความเปนผฉู ลาดในอาบตั ิ และ อาปตติวฏุ ฐานกุสลตา ความเปน ผฉู ลาดในการออกจาก

พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 163อาบตั ิ ๑. สมาปต ตกิ สุ ลตา ความเปนผูฉลาดในสมาบตั ิ และ สมาปต ต-ิวฏุ ฐานกุสลดา ความเปน ผฉู ลาดในการออกจากสมาบัติ ๑. ธาตกุ ุสลตาความเปน ผูฉ ลาดในธาตุ และ มนสิการกุสลตา ความเปนผฉู ลาดในมนสิการ ๑. อายตนกสุ ลตา ความเปนผูฉ ลาดในอายตนะ และ ปฎิจจ-สมุปปาทกุสลตา ความเปนผฉู ลาดในปฏจิ จสมุปบาท ๑. ฐานกสุ ลตา ความเปนผูฉลาดในฐานะ และ อฏั ฐานกุสลตา ความเปนผูฉลาดในอัฏฐานะ ๑.อาชชวะ ความซ่อื ตรง และ มทั ทวะ ความออ นนอ ม ๑. ขนั ติ ความอดทน และ โสรจั จะ ความเสงย่ี ม ๑. สาขลั ยะ การกลาววาจาออนหวานและ ปฏิสนั ถาร การตอนรับ ๑. อวิหิงสา ความไมเบยี ดเบยี น และโสเจยยะ ควานสะอาด ๑. มฏุ ฐสัจจะ ความเปนผมู ีสติหลงลมื และอสัมปชัญญะ ความเปนผูไมร ตู ัว ๑. สติ ความระลึกได และ สมั ปชญั ญะความรตู วั ๑. อินทรเิ ยสุ อคุตตทวารตา ความเปน ผไู มคุมครองทวารในอนิ ทรยี ทั้งหลาย และ โภชเนอมตั ตัญุตา ความเปน ผูไมรูจ กั ประมาณในโภชนะ ๑. อินทริเยสุ อคตุ ตทวารตา ความเปน ผูคุมครองทวารในอนิ ทรียทั้งหลาย และ โภชเนอมตั ตญั ตุ า ความเปนผรู จู กั ประมาณในโภชนะ ๑.ปฏสิ งั ขานพล กําลังการพิจารณา และ ภาวนาพล กาํ ลงั การอบรม ๑.สตพิ ล กําลังคอื สติ และ สมาธพิ ล กาํ ลงั คือสมาธิ ๑. สมถะ และวปิ ส นา ๑. สมถนิมิต นิมติ ที่เกิดเพราะสมถะ และ ปคคหนิมติ นมิ ิตที่เกดิ เพราะความเพียร ๑. ปค คหะ ความเพยี ร และ อวิกเขปะ ความไมฟงุ ซา น ๑. สีลวิบัติ ความวิบัติแหงศีล และ ทิฏฐวิ บิ ัติ ความวบิ ตั แิ หงทฐิ ิ ๑.สลี สมั ปทา ความถงึ พรอ มแหง ศลี และ ทฏิ ฐิสัมปทา ความถงึ พรอมแหงทิฐิ ๑. สลี วสิ ุทธิ ความหมดจดแหงศีล และ ทิฏฐวิ ิสุทธฺ ความหมดจดแหงทฐิ ิ ๑. ทิฏฐิวิสทุ ธิ ความหมดจดแหง ทฐิ ิ และ ทฏิ ฐปิ ธาน ความเพยี ร

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 164ของผูมีทิฐิ ๑. ส เวโค จ ส เวชนีเยสุ ฐาเนสุ ความสลดใจในสถานท่ีควรสลด และ ส วคิ ฺคสสฺ จ โยนิโส ปธาน ความเพียรโดยแยบคายของผูสลดใจ ๑. อสนฺตฏุ ติ า จ กุ เลสุ ธมเฺ มสุ ความเปน ผูไมสันโดษในกุศลธรรมทัง้ หลาย และ อปฺปฏิวานิตา จ ปธานสฺมึ ความเปน ผูไมทอถอยในความเพยี ร ๑. วิชชา และ วมิ ุตตฺ ิ ๑. ขยญาณ ความรูในความสนิ้ ไปและ อนุปปฺ าทญาณ ความรูในความไมเกิด ๑. ดกู อนผูมีอายุทง้ั หลายธรรม ๒ น้ีแล อนั พระผูม ีพระภาคเจาทรงรู ทรงเห็น เปนพระอรหันต-สัมมาสัมพทุ ธเจาพระองคนน้ั ตรสั ไวโ ดยชอบแลว พวกเราทงั้ หมดดว ยกนัพงึ สงั คายนาไมพ งึ กลา วแกง แยง กนั ในธรรมนั้น ฯ ล ฯ เพือ่ ความสขุ แกเทวดาและมนุษยทงั้ หลาย ดงั น้.ี จบสงั คตี ิหมวด ๒ วา ดวยสงั คตี หิ มวด ๓ [๒๒๘] ดูกอ นผมู อี ายุท้งั หลาย ธรรม ๓ อันพระผมู พี ระภาคเจาทรงรู ทรงเหน็ เปน พระอรหันตสมั มาสัมพทุ ธเจา พระองคนน้ั ตรสั ไวโดยชอบมีอยแู ล พวกเราทง้ั หมดดวยกนั พึงสังคายนาในธรรมน้นั ฯลฯเพ่ือประโยชน เพือ่ เก้ือกูล เพ่อื ความสขุ แกเ ทวดาและมนุษยท ้ังหลาย.ธรรม ๓ เปน ไฉน. คือ อกศุ ลมลู ๑. โลภะ ความโลภ ๒. โทสะ ความโกรธ

พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 165 ๓. โมหะ ความหลง กุศลมลู ๓ ๑. อโลภะ ความไมโลภ ๒. อโทสะ ความไมโ กรธ๓. อโมหะ ความไมหลง. ทุจริต ๓๑. กายทุจรติ ความประพฤตชิ ่ัวทางกาย๒. วจีทจุ รติ ความประพฤติชว่ั ทางวาจา๓. มโนทจุ ริต ความประพฤตชิ ั่วทางใจ. สุจรติ ๓๑. กายสุจริต ความประพฤติชอบทางกาย๒. วจีสจุ ริต ความประพฤติชอบทางวาจา ๓. มโนสจุ ริต ความประพฤตชิ อบทางใจ. อกุศลวติ ก ๓๑. กามวติ ก ความตรใิ นกาม๒. พยาบาทวติ ก ความตรใิ นพยาบาท๓. วหิ งิ สาวติ ก ความตรใิ นการเบียดเบียน กศุ ลวิตก ๓๑. เนกขัมมวิตก ความตรใิ นทางออกจากกาม๒. อัพยาบาทวติ ก ความตรใิ นทางไมพยาบาท๓. อวหิ งิ สาวติ ก ความตริในทางไมเ บยี ดเบียน.

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 166อกศุ ลกังกัปปะ ๓๑. กามสงั กปั ปะ ความดาํ ริในกาม๒. พยาบาทสงั กปั ปะ ความดําริในพยาบาท๓. วหิ ิงสาสงั กปั ปะ ความดาํ รใิ นการเบยี ดเบียน. กุศลสงั กัปปะ ๓๑. เนกขัมมสังกัปปะ ความดําริในทางออกจากกาม๒. อพั พยาบาทสังกปั ปะ ความดาํ ริในทางไมพยาบาท๓. อวิหิงสาสงั กปั ปะ ความดํารใิ นทางไมเ บยี นเบยี น.อกศุ ลสัญญา ๓๑. กามสัญญา ความจาํ ไดในทางกาม๒. พยาบาทสญั ญา ความจําไดใ นทางพยาบาท๓. วิหิงสาสญั ญา ความจาํ ไดใ นทางเบยี ดเบยี น.กศุ ลสญั ญา ๓๑. เนกขมั มสญั ญา ความจําไดใ นทางออกกาม๒. อพั พาบาทสญั ญา ความจาํ ไดในทางไมพ ยาบาท๓. อวิหิงสาสัญญา ความจําไดใ นทางไมเ บยี นเบยี น. อกศุ ลธาตุ ๓๑. กามธาตุ ธาตุคอื กาม๒. พยาบาทธาตุ ธาตคุ ือความพยาบาท๓. วิหงิ สาธาตุ ธาตุคอื ความเบียดเบยี น.





























พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 181ทาํ ใหม ากแลว ยอ มเปน ไปเพอ่ื ความอยูเปน สขุ ในทฏิ ฐธรรม. ดกู อ นผูมีอายุทง้ั หลาย กส็ มาธภิ าวนาที่ภกิ ษอุ บรมแลว ทําใหม ากแลว ยอมเปนไปเพ่ือความไดเ ฉพาะซึง่ ญาณทสั สนะ เปน ไฉน. ภิกษุในพระธรรมวินยั นี้ มนสกิ ารอาโลกสญั ญา ตง้ั สัญญาวาเปน เวลากลางวนั ไวกลางวันอยางใด กลางคนื อยา งนั้น กลางคืนอยางใด กลางวันอยางน้นั .มีใจเปด เผย ไมม อี ะไรหุมหอ อบรมจติ ใหม ีแสงสวา งดว ยประการฉะนี้สมาธภิ าวนานี้ อันภกิ ษุอบรมแลว ทาํ ใหม ากแลว ยอ มเปนไปเพอื่ ความไดเฉพาะซ่ึงญาณทัสสนะ. ดูกอนผูม อี ายทุ ัง้ หลาย กส็ มาธภิ าวนาทภ่ี กิ ษอุ บรมแลว ทาํ ใหมากแลว ยอ มเปนไปเพ่ือสติสัมปชญั ญะเปนไฉน. เวทนาทง้ั หลายอนภกิ ษใุ นพระรรรมวินยั นรี้ ูแ ลว ยอมเกิดขนึ้ ยอมตัง้ อยยู อมถงึ ความดับสัญญาทง้ั หลายอนั ภิกษุรแู ลว ยอมเกดิ ขึน้ ยอมตง้ั อยู ยอมถึงความดับ วิตกทง้ั หลาย อันภิกษุรแู ลว ยอมเกดิ ข้นึ ยอมต้งั อยู ยอมถงึ ความดับ สมาธิภาวนานอี้ นัภกิ ษุอบรมแลว ทําใหมากแลว ยอมเปนไปเพอ่ื สตสิ มั ปชญั ญะ. ดูกอ นผมู อี ายทุ งั้ หลาย ก็สมาธภิ าวนาท่ภี ิกษุอบรมแลว ทําใหม ากแลว ยอมเปนไปเพ่ือ ความส้ินไปแหง อาสวะทง้ั หลาย เปน ไฉน. ภิกษใุ นพระธรรมวินยั น้ี มปี กตพิ จิ ารณาเห็นความเกิดข้ึนและความเสอื่ มไปในอปุ า-ทานขนั ธหา วา ดงั น้รี ูป ดังนี้ความเกดิ ขึ้นแหง รปู ดังนคี้ วามดับแหง รูป.ดังนี้เวทนา... ดงั นี้สัญญา. . . ดงั นีส้ งั ขาร. . . ดงั นีว้ ิญญาณ. ดังนี้ ความเกิดข้ึนแหง วิญญาณ ดงั นค้ี วามดบั แหง วญิ ญาณ สมาธภิ าวนานอ้ี นั ภกิ ษุอบรมแลว ต่าํ ใหม ากแลว ยอมเปน ไปเพ่ือความในรปู แหง อาสวะทัง้ หลาย.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 182 [๒๓๔] อัปปมัญญา ๔ ๑. ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย ภิกษุในพระธรรมวนิ ยั น้ี มีใจประกอบดว ยเมตตา แผไปตลอดทศิ หนึ่งอยู ทศิ ท่สี อง ทศิ ที่สาม ทิศทส่ี ี่ ก็เหมือนกนัตามนยั นี้ ทั้งเบ้ืองบน เบ้อื งลา ง เบ้ืองขวาง แผไ ปตลอดโลก ทัว่ สัตวทกุ เหลา ในที่ทกุ สถาน โดยความเปนตนในสตั วท ั้งปวง ดวยใจประกอบดวยเมตตาอนั ไพบูลย ถึงความเปน ใหญ หาประมาณมิได ไมมเี วรไมมคี วามเบยี ดเบยี นอย.ู ๒. มใี จประกอบดวยกรุณา ... ๓. มใี จประกอบดวยมทุ ติ า... ๔. มใี จประกอบดวยอุเบกขา แผไปตลอดทิศหนึ่งอยู ทศิ ท่ีสองทศิ ทส่ี าม ทิศที่ส่ี กเ็ หมือนกนั ตามนยั นี้ ทั้งเบอื้ งตน เบอ้ื งลา ง เบอ้ื งขวาแผไปตลอดโลก ทัว่ สัตวท ุกเหลา ในทท่ี ุกสถานโดยความเปนคนในสัตวทัง้ ปวง ดวยใจอันประกอบดวยอุเบกขาอันไพบลู ยถึงความเปนใหญ หาประมาณมไิ ด ไมมเี วร ไมมคี วามเบยี ดเบยี นอย.ู [๒๓๕] อรูป ๔ ๑. ดูกอ นผูมอี ายทุ ้ังหลาย ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ัยน้เี พราะลวงเสียซ่ึงรูปสญั ญาโดยประการทง้ั ปวง เพราะดับซ่ึงปฏฆิ สญั ญา เพราะไมใสใ จซึง่ นานัตตสัญญา จึงเขา ถึงอากาสานญั จายตนะ ดวยมนสกิ ารวา อากาศหาทส่ี ดุมิได ดังนีอ้ ยู ๒. เพราะลว งเสยี ซึ่งอากาสานญั จายตนะโดยประการทงั้ ปวง จึงเขาถงึ วิญญาณญั จายตนะ ดวยมนสิการวา วิญญาณหาทส่ี น้ิ สดุ มิได ดังน้อี ยู

พระสุตตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 183 ๓. เพราะลวงเสยี ซึง่ วญิ ญาณญั จายตนะโดยประการทงั้ ปวง จงึ เขาถงึ อากิญจญั ญายตนะ ดว ยมนสกิ ารวา นอ ยหนึ่งไมมี ดังน้ีอยู ๔. เพราะลวงเสียซงึ่ อากญิ จญั ญายตนะโดยประการทั้งปวง จงึ เขาถึงเนวสญั ญานาสัญญายตนะอย.ู [๒๓๖] อปส เสนะ ๔ ๑. ดูกอนผูมีอายุท้ังหลาย ภกิ ษุในพระธรรมวินัยน้ี พจิ ารณาแลว เสพของอยา งหนง่ึ ๒. พจิ ารณาแลว อดกล้นั ของอยางหนง่ึ ๓. พิจารณาแลว เวน ของอยา งหนึ่ง ๔. พิจารณาแลว บรรเทาของอยางหน่งึ . [๒๓๗] อริยวงศ ๑. ดูกอ นผมู ีอายทุ งั้ หลาย ภิกษุในพระธรรมวนิ ัยนี้ ยอ มเปน ผูสนั โดษดว ยจวี รตามมีตามไดแ ละมปี กตกิ ลาวสรรเสริญความสนั โดษดวยจีวรตามมีตามได และยอ มไมถ ึงการแสวงหาท่ไี มควร ไมเหมาะ เพราะเหตุแหง จีวรและไมไดจวี รก็ไมเ ดือดรอน และไดจ วี รแลว ก็ไมเ กี่ยวเกาะ ไมหมกหมุนไมติดแนน มปี กติ เห็นโทษ มปี ญญาเปนเคร่อื งสลัดออก บรโิ ภคอยูกบั ทั้งไมยกตน ไมข ม ผอู ื่น ดว ยความสันโดษดวยจีวรตามมตี ามไดน ัน้ ก็ภกิ ษุใดเปนผขู ยนั ไมเกียจครา น มีสัมปชัญญะ มีสติมัน่ ในสันโดษดว ยจวี รนนั้ ภิกษุน้เี รยี กวา ผตู ้ังอยูในอรยิ วงศของเกา อันยอดเยยี่ ม. ๒. ดูกอนผูมอี ายทุ ั้งหลายภิกษุยอมเปนผสู นั โดษดวยบิณฑบาตตามมตี ามได และมีปกตกิ ลาวสรรเสริญความสันโดษดว ยบิณฑบาตตามมตี ามไดและยอ มไมถงึ การแสวงหาทไ่ี มค วรไมเหมาะ เพราะเหตุแหง บิณฑบาตและไมไดบณิ ฑบาตก็ไมเ ดอื ดรอ น และไดบ ิณฑบาตแลว กไ็ มเ กยี่ วเกาะ

พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 184ไมห มกหมนุ ไมตดิ แนน มีปกติเหน็ โทษ มปี ญญาเปน เครือ่ งสลดั ออกบรโิ ภคอยู กบั ทง้ั ไมยกตน ไมข มผูอนื่ ดวยความสนั โดษ ดวยบิณฑบาตตามมตี ามไดนั้น กภ็ ิกษุใดเปนผขู ยัน ไมเ กยี จคราน มสี ัมปชัญญะ มสี ติมนั่ในสันโดษดว ยบิณฑบาตน้ัน ภิกษุนีเ้ รียกวา ผตู งั้ อยใู นอริยวงศของเกาอันยอดเย่ยี ม. ๓. ดูกอนผูม อี ายทุ งั้ หลาย ภิกษยุ อมเปนผูสนั โดษดว ยเสนาสนะตามมีตามได และมีสตกิ ลา วสรรเสริญความสันโดษดว ยเสนาสนะตามมีตามได ยอมไมถึงการแสวงหาท่ไี มควรไมเหมาะ เพราะเหตุแหงเสนาสนะและไมไ ดเสนาสนะกไ็ มเดือดรอ น และไดเสนาสนะ แลวกไ็ มเ ก่ียวเกาะ ไมหมกหมุน ไมตดิ แนน มีปกติเห็นโทษ มปี ญ ญาเปนเครือ่ งสลัดออก บรโิ ภคอยู กับทงั้ ไมยกตน ไมขม ผอู ่นื ดว ยความสนั โดษดวยเสนาสนะตามมีตามไดนั้น กภ็ ิกษใุ ดเปน ผูข ยนั ไมเ กยี จครา น มสี ัมปชญั ญะ มสี ตมิ ่นั ในสันโดษดวยเสนาสนะนั้น ภิกษนุ ี้เรยี กวา ผูตั้งอยใู นอริยวงศของเกาอนั ยอดเย่ียม. ๔. ดูกอนผูมอี ายทุ ้ังหลาย ภิกษยุ อ มเปนผูมีปหานะเปน ทมี่ ายนิ ดียนิ ดแี ลวในปหานะ ยอมเปน ผูมภี าวนาเปนทีม่ ายนิ ดี ยินดแี ลวในภาวนากับท้งั ไมยกตน ไมข ม ผูอนื่ เพราะความเปน ผูมีปหานะเปนทม่ี ายินดี เพราะความยนิ ดใี นปหานะ เพราะความเปนผมู ีภาวนาเปนทม่ี ายนิ ดี เพราะความยนิ ดใี นภาวนาน้ัน กภ็ ิกษุใดเปนผขู ยนั ไมเ กียจคราน มสี ัมปชญั ญะมีสตมิ ั่นในปหานะและภาวนานน้ั ภิกษุนเ้ี รียกวา ผตู ้ังอยใู นอรยิ วงศข องเกาอันยอดเยีย่ ม.

พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 185 [๒๓๘] ปธาน ๔ ๑. สงั วรปธาน เพยี รระวัง ๒. ปหานปธาน เพียรละ ๓. ภาวนาปธาน เพียรเจรญิ ๔. อนุรกั ขนาปธาน เพียรรกั ษา. ดกู อนผูม อี ายุท้งั หลาย ก็สงั วรปธานเปนไฉน. ภกิ ษุในพระธรรมวนิ ยั นี้ เหน็ รปู ดวยจกั ษแุ ลว ไมถือนิมติ ไมถ ืออนุพยัญชนะ ยอ มปฏบิ ตั ิเพอ่ื สาํ รวมจกั ขุนทรียท ่ีเมอ่ื ไมสาํ รวมแลว จะเปน เหตใุ หอ กศุ ลธรรมอันลามก คอื อภิชฌาและโทมนสั ครอบงํานน้ั ชอ่ื วา รักษาจกั ขุนทรยี  ชอ่ื วาถงึ ความสาํ รวมในจักขนุ ทรยี . ฟงเสยี งดว ยโสตแลว . ดมกล่ินดว ยฆานะแลว .ลม้ิ รสดวยชิวหาแลว . ถกู ตอ งโผฏฐัพพะดว ยกายแลว . รแู จงธรรมดว ยใจแลว ไมถอื นิมิต ไมถ อื อนุพยญั ชนะ ยอ มปฏิบตั เิ พอื่ สํารวมมนินทรยี  ท่ีเมอื่ ไมส าํ รวมแลว จะเปนเหตใุ หอ กุศลธรรมอันลามกคอื อภชิ ฌาและโทมนัสครอบงาํ นัน้ ชื่อวา รกั ษามนนิ ทรยี  ชื่อวา ถึงความสาํ รวมในมนนิ ทรียน้เี รยี กวา สังวรปธาน. ดูกอ นผมู ีอายทุ ้ังหลาย กป็ หานปธานเปนไฉน. ภกิ ษใุ นพระธรรมวนิ ัยน้ี ยอ มไมร ับ ยอมละเสยี ยอ มบรรเทา ยอมใหสน้ิ ไป ยอมใหถงึความไมม ซี งึ่ กามวิตกท่เี กดิ ขน้ึ แลว ยอ มไมรับ ยอ มละเสยี ฯลฯ ซงึ่พยาบาทวิตกทเ่ี กิดขึน้ แลว ยอ มไมรับ ยอ มละเสีย ฯลฯ ซง่ึ วหิ ิงสาวติ กท่ีเกิดข้นึ แลว ยอ มไมร ับ ยอมละเสีย ยอ มบรรเทา ยอ มทาํ ใหส้ินไปยอมใหถ ึงความ ไมมซี ่ึงอกศุ ลธรรมอนั ลามกทเี่ กดิ ข้นึ แลว ๆ นี้เรียกวาปหานปธาน.

พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 186ดกู อ นผูมีอายุทง้ั หลาย กภ็ าวนาปธานเปนไฉน. ภกิ ษใุ นพระธรรมวินยั นี้ ยอ มเจริญสตสิ มั โพชฌงค อันอาศัยความสงดั อาศยั ความคลายกาํ หนัด อาศัยความดบั นอมไปเพือ่ ความสละลง. ยอมเจริญธมั มวจิ ย-สัมโพชฌงค. ยอ มเจริญปติสัมโพชฌงค. ยอ มเจริญปส สัทธิสัมโพชฌงค.ยอมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค. ยอ มเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค อนั อาศยัความสงดั อาศัยความคลายกําหนดั อาศยั ความดับ อนั นอ มไปเพือ่ ความสละลงน้เี รยี กวา ภาวนาปธาน.ดกู อ นผมู อี ายุทั้งหลาย ก็อนุรกั ขนาปธานเปน ไฉน ภิกษใุ นพระธรรมวนิ ัยนี้ ยอ มตามรกั ษาสมาธินมิ ิต อนั เจริญทเ่ี กิดข้นึ แลว คอื อัฏฐิกสญั ญาปุฬวกสญั ญา วินีลกสญั ญา วิจฉิททกสญั ญา อทุ ธุมาตกสญั ญา น้เี รยี กวาอนุรกั ขนาปธาน.[๒๓๙] ญาณ ๔๑. ธัมมญาณ ความรใู นธรรม๒. อนั วยญาณ ความรูใ นการคลอ ยตาม๓. ปรจิ เฉทญาณ ความรใู นการกําหนด๔. สัมมตญิ าณ ความรูในสมมต.ิญาณอกี ๔๑. ทกุ ขญาณ ความรใู นทุกข๒. ทุกขสมุทยญาณ ความรูในเหตุใหเกดิ ทกุ ข๓. ทุกขนิโรธญาณ ความรูในการดับทกุ ข๔. ทุกขนิโรธคามนิ ีปฏิปทาญาณ ความรูในการปฏบิ ตั ิใหถึงความ ดบั ทกุ ข

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 187 [๒๔๐] องคแหงการบรรลโุ สดาบนั ๔ ๑. สัปปุรสิ สงั เสวะ การคบสตั บุรษุ ๒. สทั ธมั มัสสวนะ การฟงพระสัทธรรม ๓. โยนโิ สมนสกิ การ การกระทาํ ไวใ นใจโดยแยบคาย ๔. ธมั มานธุ มั มปฏิปตติ การปฏบิ ัตธิ รรมสมควรแกธ รรม [๒๔๑] องคแ หงพระโสดาบัน ๔ ๑. กอนผูมอี ายุทง้ั หลาย พระอรยิ สาวกในพระธรรมวินัยน้ี เปนผูประกอบดว ยความเลื่อมใสอยางแนนแฟน ในพระพุทธเจาวา แมเพราะเหตุนี้ พระผูมีพระภาคพระองคนนั้ เปนพระอรหนั ต ตรัสรเู องโดยชอบถึงพรอมดวยวชิ ชาและจรณะ เสด็จไปดีแลว ทรงรโู ลก เปนนายสารถีฝกบุรษุ ท่คี วรฝก ไมมีผอู นื่ ยิ่งกวา เปน ศาสดาของเทวดาและมนษุ ยท ง้ั หลายเปน ผตู นื่ แลว เปน ผจู ําแนกพระธรรม ๒. เปนผูประกอบดว ยความเลอื่ มใสอยา งแนน แฟน ในพระธรรมวา พระธรรมอนั พระผมู ีพระภาคเจาตรัสดีแลว อันผไู ดบ รรลพุ ึงเหน็ เองไมประกอบดวยกาล ควรเรียกใหม าดู ควรนอ มเขา มาในตน อันวญิ ูชนพึงรเู ฉพาะตน ๓. เปนผปู ระกอบดวยความเล่ือมใสอยางแนนแฟน ในพระสงฆว าพระสงฆส าวกของพระผูมีพระภาคเจาเปน ผปู ฏบิ ัติดแี ลว ปฏบิ ัติตรง ปฏบิ ัติเปนธรรม ปฏบิ ัติชอบ คอื คบู ุรษุ ๔ บรุ ษุ บุคคล ๘ น่นั คอื พระสงฆสาวกของพระผมู ีพระภาคเจา เปนผูควรรบั ของบชู า เปน ผูควรรับของตอ นรบั เปน ผูควรรบั ของทาํ บญุ เปนผคู วรทาํ อญั ชลี เปนบุญเขตของชาวโลกไมมบี ุญเขตอ่นื ย่งิ กวา

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 188๔. เปนผูประกอบดวยศลี ท่ีพระอริยเจาใครแลว อันไมขาดไมทะลุไมด าง ไมพรอย เปนไทย อันวญิ ชู นสรรเสรญิ อันตณั หาและทฏิ ฐิไมล บู คลําแลว เปนไปเพอ่ื สมาธ.ิ[๒๔๒] สามัญญผล ๔๑. โสดาปต ตผิ ล๒. สกทาคามผิ ล๓. อนาคามิผล๔. อรหัตผล.[๒๔๓] ธาตุ ๔๑. ปฐวธี าตุ ธาตุดนิ๒. อาโปธาตุ ธาตุนํา้๓. เตโชธาตุ ธาตุไฟ๔. วาโยธาตุ ธาตุลม.[๒๔๔] อาหาร ๔๑. กวฬงิ การาหาร อาหารคือ คาํ ขา วทั้งหยาบและละเอยี ด๒. ผสั สาหาร อาหารคอื ผัสสะ๓. มโนสัญเจตนาหาร อาหารคอื มโนสญั เจตนา๔. วญิ ญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ.[๒๔๕] วิญญาณฐิติ ๔๑. ดูกอ นผมู อี ายุทั้งหลาย วิญญาณท่เี ขาถงึ ซึ่งรปู เม่อื ตั้งอยู ยอ มตัง้ อยู วญิ ญาณนน้ั มรี ูปเปน อารมณ มรี ูปเปนทพ่ี ํานกั เขา ไปเสพซง่ึ

พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 189ความยนิ ดี ยอ มถงึ ความเจรญิ งอกงามไพบลู ย ๒. วิญญาณทเี่ ขาถึงซงึ่ เวทนา... ๓. วญิ ญาณท่เี ขา ถึงซง่ึ สัญญา... ๔. วิญญาณทเี่ ขาถงึ ซง่ึ สงั ขาร เมื่อต้งั อยู ยอมต้งั อยู วญิ ญาณนน้ัมีสังขารเปนอารมณ มสี ังขารเปน ที่พํานกั เขา ไปเสพซ่งึ ความยนิ ดี ยอมถงึ ความเจริญ งอกงาม ไพบลู ย. [๒๔๖] การถึงอคติ ๔ ๑. ฉันทาคติ ถงึ ความลาํ เอียงเพราะความรกั ใคร ๒. โทสาคติ ถึงความลาํ เอยี งเพราะความโกรธ ๓. โมหาคติ ถงึ ความลําเอยี งเพราะความหลง ๔. ภยาคติ ถงึ ความลําเอียงเพราะความกลวั . [๒๔๗] เหตุเกดิ ขนึ้ แหงตณั หา ๑. ตัณหาเมอ่ื เกิดแกภิกษุ ยอมเกดิ เพราะเหตแุ หง จวี ร ๒. ตณั หาเมอ่ื เกดิ แกภกิ ษุ ยอ มเกดิ เพราะเหตแุ หง บิณฑบาต ๓. ตณั หาเมื่อเกิดแกภ ิกษุ ยอมเกดิ เพราะเหตุแหง เสนาสนะ ๔. ตณั หาเมื่อเกดิ แกภ กิ ษุ ยอ มเกดิ เพราะเหตแุ หงความตอ งการ ย่งิ ๆ ขน้ึ ไป [๒๔๘] ปฏิปทา ๔ ๑. ทกุ ขปฏปิ ทา ทนั ธาภิญญา ปฏบิ ตั ลิ าํ บาก ทัง้ รไู ดช า ๒. ทุกขปฏปิ ทา ขิปปาภญิ ญา ปฏบิ ัติลําบาก แตร ูไดเ ร็ว

พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 190 ๓. สุขาปฏปิ ทา ทนั ธาภญิ ญา ปฏบิ ตั สิ ะดวก แตร ไู ดชา ๔. สขุ าปฏปิ ทา ขิปปาภญิ ญา ปฏบิ ัติสะดวก แตรไู ดเร็ว [๒๔๙] ปฏปิ ทาอีก ๔ ๑. อักขมา ปฏิปทา ปฏิบตั ไิ มอดทน ๒. ขมา ปฏปิ ทา ปฏิบัตอิ ดทน ๓. ทมา ปฏปิ ทา ปฏบิ ตั ฝิ ก ๔. สมา ปฏปิ ทา ปฏบิ ัตริ ะงบั [๒๕๐] ธรรมบท ๔ ๑. อนภิชฌา ความไมเ พงเล็ง ๒. อพยาบาท ความไมพ ยาบาท ๓. สัมมาสติ ความระลกึ ชอบ ๔. สัมมาสมาธิ ความตงั้ ใจชอบ. [๒๕๑] ธรรมสมาทาน ๔ ๑. ดกู อนผมู อี ายุทง้ั หลาย ธรรมสมาทานทีใ่ หท ุกขในปจ จุบนั และมีทกุ ขเ ปนวิบากตอไปมีอยู ๒. ดูกอ นผูมีอายทุ งั้ หลาย ธรรมสมาทานทใี่ หท ุกขใ นปจจุบัน แตมสี ขุ เปน วิบากตอไปมอี ยู ๓. ดูกอนผมู อี ายทุ ้ังหลาย ธรรมสมาทานทีใ่ หส ุขในปจ จุบนั แตม ีทกุ ขเปน วบิ ากตอไปมอี ยู

พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 191 ๔. ดูกอนผูม ีอายทุ ้งั หลาย ธรรมสมาทานท่ใี หสุขในปจ จุบนั แตมีสุขเปน วบิ ากตอไปมีอยู. [๒๕๒] ธรรมขนั ธ ๔ ๑. ศลี ขนั ธ หมวดศีล ๒. สมาธิขันธ หมวดสมาธิ ๓. ปญญาขันธ หมวดปญ ญา ๔. วมิ ุตติขันธ หมวดวิมุตติ [๒๕๓] พละ ๔ ๑. วิริยะพละ กาํ ลงั คือ ความเพยี ร ๒. สติพละ กําลงั คอื สติ ๓. สมาธพิ ละ กําลงั คอื สมาธิ ๔. ปญ ญาพละ กําลังคอื ปญญา. [๒๕๔] อธฏิ ฐาน ๔ ๑. ปญญาธิฏฐาน อธิฐานคอื ปญญา ๒. สัจจาธิฏฐาน อธิฐานคือ สัจจะ ๓. จาคาธิฏฐาน อธฐิ านคอื จาคะ ๔. อปุ สมาธิฏฐาน อธิฐานคือ อปุ สมะ [๒๕๕] ปญหาพยากรณ ๔ ๑. เอกงั สพยากรณยี ปญ หา ปญ หาที่จะตองแกโ ดยสวนเดยี ว ๒. ปฏปิ ุจฉาพยากรณยี ปญ หา ปญ หาที่จะตองยอ นถามแลว จึงแก ๓. วิภชั ชพยากรณียปญ หา ปญ หาทจี่ ะตองจําแนกแลวจึงแก

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 192 ๔. ฐปนยี ปญหา ปญหาทคี่ วรงดเสยี [๒๕๖] กรรม ๔ ๑. ดูกอนผูมีอายุทั้งหลาย กรรมเปน ฝายดาํ มีวิบากเปน ฝา ยดาํ มีอยู ๒. ดกู อ นผมู อี ายุทั้งหลาย กรรมเปน ฝา ยขาว มีวิบากเปนฝา ยขาวมอี ยู ๓. ดูกอนผูมอี ายุทัง้ หลาย กรรมเปน ทงั้ ฝายดาํ และฝายขาว มวี ิบากทัง้ ฝา ยดาํ และฝา ยขาวมีอยู ๔. ดูกอนผูมอี ายุทงั้ หลาย กรรมทไ่ี มดาํ ไมข าว มีวบิ ากไมดําไมขาวยอมเปนไปเพ่ือความสน้ิ กรรมมีอย.ู [๒๕๗ ] สัจฉกิ รณียธรรม ๔ ๑. บุพเพนิวาส พงึ ทําใหแจง ดวยสติ ๒. การจุติและอบุ ัตขิ องสัตวท ั้งหลาย พงึ ทาํ ใหแ จงดว ยจักษุ ๓. วโิ มกขแ ปด พงึ ทําใหแ จงดว ยกาย๔. ความสิ้นไปแหงอาสวะท้งั หลาย พึงทาํ ใหแ จงดวยปญ ญา. [๒๕๘] โอฆะ ๔ ๑. กาโมฆะ โอฆะคือกาม ๒. ภโวฆะ โอฆะคอื ภพ ๓. ทิฏโฐฆะ โอฆะคอื ทิฐิ ๔. อวชิ โชฆะ โอฆะคือวิชชา.

พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 193[๒๕๙] โยคะ ๔๑. กามโยคะ โยคะคอื กาม๒. ภวโยคะ โยคะคอื ภพ๓. ทิฏฐโิ ยคะ โยคะคือทฐิ ิ๔. อวชิ ชาโยคะ โยคะคอื อวชิ ชา.[๒๖๐] วสิ งั โยคะ ๔๑. กามโยควิสงั โยคะ ความพรากจากกามโยคะ๒. ภวโยควสิ ังโยคะ ความพรากจากภวโยคะ๓. ทิฏฐิโยควสิ งั โยคะ ความพรากจากทิฏฐิโยคะ๔. อวชิ ชาโยควิสงั โยคะ ความพรากจากอวิชชาโยคะ.[๒๖๑] คันถะ ๔๑. อภชิ ฌากายคนั ถะ เครื่องรดั กายคอื อภิชฌา๒. พยาบาทกายคนั ถะ เครอ่ื งรัดกายคอื พยาบาท๓. สีลัพพตปรามาสกายคันถะ เคร่ืองรดั กายคือสีลพั พตปรามาส๔. อทิ ังสัจจาภินิเวสกายคันถะ เครื่องรดั กายคือความเชอื่ แนว าสิง่ น้เี ปนจริง.[๒๖๒] อปุ าทาน ๔๑. กามุปาทาน ถือม่ันกาม๒. ทฏิ ปุ าทาน ถอื ม่ันทิฐิ๓. สีลัพพตปุ าทาน ถอื มั่นศีลและพรต๔. อตั ตวาทปุ าทาน ถือม่นั วาทะวา ตน.[๒๖๓] โยนิ ๔๑. อัณฑชโยนิ กําเนดิ ของสัตวทเ่ี กดิ ในไข

พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 194 ๒. ชลาพุชโยนิ กาํ เนดิ ของสตั วทีเ่ กดิ ในครรภ ๓. สงั เสทชโยนิ กําเนดิ ของสัตวท ี่เกิดในเหง่อื ไคล ๔. โอปปาติกโยนิ กําเนดิ ของสตั วท ีเ่ กิดผุดขึน้ . [๒๖๔] การกาวลงสูครรภ ๔ สัตวบ างชนดิ ในโลกนี้ เปน ผูไมร ูสึกตัวกาวลงสูครรภมารดาเปน ผไู มร ูสึกตวั อยูในครรภม ารดา เปนผูไมรสู ึกตวั คลอดจากครรภม ารดานี้การกาวลงสูครรภข อทีห่ นงึ่ . ๒. สัตวบ างชนดิ ในโลกน้ี เปนผรู ูสกึ ตวั กา วลงสคู รรภมารดาแตเ ปนผูไมรสู ึกตวั อยใู นครรภม ารดา เปนผไู มรสู กึ ตวั คลอดจากครรภมารดา นกี้ ารกาวลงสูค รรภมารดาขอท่สี อง. ๓. สตั วบางชนดิ ในโลกน้ี เปน ผรู สู กึ ตัวกา วลงสูค รรภม ารดา เปนผรู สู กึ ตวั อยูในครรภมารดา แตเ ปนผไู มรูสกึ ตวั คลอดจากครรภมารดา น้ีการกาวลงสูครรภข อ ทสี่ าม. ๔. สัตวบางชนิดในโลกนี้ เปนผรู สู กึ ตัวกา วลงสูค รรภมารดา เปนผูรสู ึกตัวอยูในครรภม ารดา เปนผรู ูสกึ ตวั คลอดจากครรภม ารดา นก้ี ารกา วลงสคู รรภขอ ทส่ี ่ี. [๒๖๕] การไดอัตภาพ ๔ ๑. การไดอ ัตภาพที่ตรงกบั ความจงใจของตนอยา งเดยี ว ไมตรงกับความจงใจของผูอน่ื มอี ยู.

พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 195๒. การไดอัตภาพที่ตรงกบั ความจงใจผอู นื่ เทา นน้ั ไมตรงกบัความจงใจของตนมีอย.ู๓. การไดอตั ภาพท่ตี รงกบั ความจงใจของตนดวย ตรงกบั ความจงใจของผอู น่ื ดวยมอี ย.ู๔. การไดอ ัตภาพที่ไมต รงกบั ความจงใจของตนท้งั ไมตรงกบัความจงใจของผอู ืน่ มีอย.ู[๒๖๖] ทกั ขณิ าวสิ ทุ ธี ๔๑. ทักขิณาบริสทุ ธฝ์ิ ายทายก ไมบริสทุ ธิ์ฝา ยปฏคิ าหก๒. ทักขณิ าบรสิ ุทธ์ิฝายปฏคิ าหก ไมบริสทุ ธฝ์ิ า ยทายก๓. ทักขิณาไมบ ริสทุ ธท์ิ ั้งฝา ยทายก ทงั้ ฝา ยปฏคิ าหก๔. ทกั ขิณาทบ่ี ริสุทธ์ทิ ั้งฝายทายก ท้งั ฝา ยปฏคิ าหก.[๒๖๗] สังคหวตั ถุ ๔๑. ทาน การใหเปน๒. ปยวชั ชะ เจรจาวาจาทอ่ี อนหวาน๓. อัตถจริยา ประพฤตสิ ิ่งทีเ่ ปน ประโยชน๔. สมานตั ตตา ความเปน ผมู ตี นเสมอตนเสมอปลาย[๒๖๘] อนริยโวหาร ๔๑. มสุ าวาท พดู เทจ็๒. ปสุณาวาจา พูดสอ เสียด๓. ผรสุ วาจา พดู คาํ หยาบ๔. สมั ผปั ปลาปา พดู เพอเจอ.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 196[๒๖๙] อริยโวหาร ๔๑. มุสาวาทา เวรมณี เวนจากพดู เทจ็๒. ปสณุ าย วาจาย เวรมณี เวนจากพดู สอเสยี ด๓. ผรุสาย วาจา เวรมณี เวนจากพดู คําหยาบ๔. สมั ผปั ปลาปา เวรมณี เวนจากการพดู เพอ เจอ.[๒๗๐] อนริยโวหารอีก ๔๑. อทิฏเ ทฏิ  วาทิตา เมือ่ ไมไ ดเห็นพูดวา ไดเห็น๒. อสฺสุเต สุตวาทติ า เมื่อไมไ ดย ินพดู วา ไดยนิ๓. อมุเต มตุ วาทิตา เมือ่ ไมไ ดท ราบพดู วา ไดทราบ๔. อวิ ฺาเต วิ ฺาตวาทิตาเม่ือไมไ ดร ูพูดวา ไดร ู[๒๗๑] อริยโวหาร อีก ๔๑. อทิฏเ ทฏิ  วาทติ า เมื่อไมไ ดเ ห็นพูดวา ไดเห็น๒. อสสฺ ุเต สตุ วาทติ า เมื่อไมไดยนิ พูดวาไดย นิ๓. อมเุ ต มุตวาทติ า เม่อื ไมไดท ราบพดู วาไดทราบ๔. อวิ ฺ าเต วิฺ าตวาทติ า เมื่อไมไดรพู ดู วาไดรู[๒๗๒] อนรยิ โวหารอกี ๔๑. ทิฏเ อทฏิ วาทิตา เมือ่ ไดเ หน็ พูดวา ไมไ ดเ หน็๒. สุเต อสสฺ ุตวาทติ า เมื่อไดย นิ พดู วาไมไดย ิน๓. มุเต อมตุ วาทติ า เมื่อไดทราบพูดวา ไมไ ดทราบ๔. วิฺาเต วิฺ าตวาทติ า เมื่อรพู ดู วา ไมร.ู

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 197[๒๗๓] อริยโวหารอกี ๔๑. ทฏิ เ ทิฏ าวาทิตา เม่อื ไดเ ห็นพดู วาไดเห็น๒. สเุ ต สุตวาทติ า เมื่อไดย นิ พูดวาไดยนิ๓. มเุ ต มตุ วาทติ า เม่อื ไดท ราบพูดวาไดทราบ๔. วิฺาเต วิ ฺ าตวาทิตา เมอ่ื รพู ูดวา ร.ู[๒๗๔ ] บุคคล ๔๑. บุคคลบางคนในโลกน้ี เปน ผูท าํ ตนใหเ ดอื ดรอน เปน ผขู วนขวายในการประกอบเหตเุ ปนเครอ่ื งทําตนใหเ ดือดรอน.๒. บุคคลบางคนในโลกนี้ เปน ผูทําใหผ อู นื่ เดอื ดรอน เปน ผูขวนขวายในการประกอบเหตเุ ปนเครอ่ื งทาํ ใหผ อู น่ื เดอื ดรอ น.๓. บคุ คลบางคนในโลกนี้ เปนผูทําตนใหเ ดอื ดรอ น เปน ผูขวนขวายในการประกอบเหตเุ ปน เครอื่ งทําตนใหเดอื นรอนดวย เปน ผทู ําใหผอู นื่ เดอื นรอ น เปนผขู วนขวายในการประกอบเหตุ เปนเครือ่ งทําใหผ อู น่ืเดือดรอนดวย.๔. บคุ คลบางคนในโลกนี้ ไมเ ปนผูท าํ ตนใหเ ดือดรอ น ไมเ ปนผูขวนขวายในการประกอบเหตุ เปนเคร่ืองทาํ ตนใหเดอื ดรอนดว ย เปน ผูไมทาํ ผูอ ่นื ใหเ ดือดรอน ไมเ ปนผขู วนขวายในการประกอบเหตุเปนเครอ่ื งทาํ ใหผอู น่ื เดอื ดรอนดว ย เขาไมท ําตนใหเ ดอื ดรอ น ไมท าํ ผอู นื่ ใหเดือดรอนเปนผหู ายหวิ ดบั สนิท เยือกเยน็ เสวยความสขุ มีตนเปนเสมือนพรหมอยูใ นปจจุบนั .

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 198 [๒๗๕] บุคคลอีก ๔ ๑. บคุ คลบางคนในโลกน้ี ยอ มปฏิบตั เิ พอื่ ประโยชนต น ไมป ฏบิ ัติ เพือ่ ประโยชนผอู ื่น. ๒. บคุ คลบางคนในโลกนี้ ยอ มปฏิบตั ิเพื่อประโยชนผูอนื่ ไมป ฏบิ ตั ิ เพอ่ื ประโยชนตน. ๓. บคุ คลบางคนในโลกนี้ ยอมไมป ฏิบตั ิเพอื่ ประโยชนตน ไมปฏิบตั ิ เพ่อื ประโยชนผอู ื่น. ๔. บุคคลบางคนในโลกน้ี ยอมปฏบิ ตั ิเพือ่ ประโยชนต นดวย เพ่อื ประโยชนผูอ่นื ดวย. [๒๗๖] บุคคลอกี ๔ ๑. ตโม ตมปรายโน ผูมืดมา มืดไป ๒. ตโม โชตปิ รายโน ผมู ดื มา สวา งไป ๓. โชติ ตมปรายโน ผสู วา งมา มืดไป ๔. โชติ โชติปรายโน ผสู วา งมา สวา งไป [๒๗๗] บคุ คลอีก ๔ ๑. สมณอจละ เปน สมณะ ผูไ มห วน่ั ไหว ๒. สมณปทมุ ะ เปน สมณะ เปรียบดวยดอกบวั หลวง ๓. สมณปุณฑริกะ เปน สมณะ เปรียบดวยดอกบวั ขาว ๔. สมเณสุ สมณสขุ ุมาละ เปน สมณะ ผลู ะเอยี ดออ น ในสมณะทง้ั หลาย ดูกอ นผูมอี ายทุ ง้ั หลาย ธรรม ๔ เหลานี้แล อนั พระผมู พี ระภาคเจาทรงรู ทรงเหน็ เปน พระอรหันตสมั มาสมั พทุ ธเจา พระองคน ้ัน ตรัสไวโดยชอบแลว พวกเราทั้งหมดดวยกนั พงึ สังคายนา ไมพ งึ แกง แยง กนั ใน

พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 199ธรรมนน้ั การที่พรหมจรรยน้ี พึงยัง่ ยนื ต้งั อยนู าน น้ันพงึ เปน ไปเพอ่ืประโยชนแ กช นมาก เพอ่ื ความสขุ แกช นมาก เพอ่ื ความอนเุ คราะหแ กโ ลกเพือ่ ประโยชน เพ่ือเก้อื กูล เพือ่ ความสุขแกเ ทวดาและมนษุ ยท ้ังหลาย. จบสังคีติหมวด ๔ วา ดวยสังคีตหิ มวด ๕ [๒๗๘] ดูกอนผูม อี ายุทั้งหลาย ธรรม ๕ อนั พระผมู พี ระภาคเจาทรงรู ทรงเหน็ เปน พระอรหนั ตสมั มาสัมพทุ ธเจา พระองคนั้น ตรสั ไวโ ดยชอบแลว มอี ยแู ล พวกเราทงั้ หมดดวยกัน พึงสงั คายนาในธรรมนน้ั ฯลฯเพอ่ื ประโยชน เพื่อเกื้อกลู เพื่อความสุขแกเ ทวดา และมนุษยทงั้ หลาย ฯธรรม ๕ เปน ไฉน. คอื ขนั ธ ๕ ๑. รูปขันธ กองรูป ๒. เวทนาขันธ กองเวทนา ๓. สัญญาขนั ธ กองสัญญา ๔. สังขารขันธ กองสงั ขาร ๕. วิญญาณขนั ธ กองวญิ ญาณ. [๒๗๙] อปุ าทานขันธ ๕ ๑. รูปปู าทานขนั ธ กองยึดถือรปู ๒. เวทนปู าทานขนั ธ กองยดึ ถือเวทนา ๓. สัญูปาทานขันธ กองยึดถือสัญญา ๔. สังขารปู าทานขันธ กองยดึ ถอื สังขาร ๕. วญิ ญาณปู าทานขนั ธ กองยดึ ถือวญิ ญาณ.

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 200[๒๘๐] กามคณุ ๕๑. รูปทจ่ี ะพึงรแู จง ไดดวยจักษุ ซ่ึงนาปรารถนา นาใคร นา ชอบใจ นา รัก ประกอบดวยกาม เปนที่ตั้งแหงความกําหนัด.๒. เสียงทจ่ี ะพงึ รแู จง ไดด วยหู.๓. กล่ินท่จี ะพึงรแู จงไดดว ยจมกู .๔. โผฏฐัพพะที่จะพงึ รแู จง ไดดว ยกาย ซง่ึ นา ปรารถนา นา ใครนาชอบใจ นา รัก ประกอบดว ยกาม เปนท่ีตง้ั แหง ความกําหนดั .[๒๘๑] คติ ๕๑. นิรยะ นรก๒. ติรัจฉายโยนิ กําเนิดเดยี รฉาน๓. เปตตวิ ิสัย ภมู ิแหงเปรต๔. มนสุ สะ มนุษย๕. เทวะ เทวดา.[๒๘๒] มัจฉริยะ ๕๑. อาวาสมัจฉรยิ ะ ตระหนที่ อ่ี ยู๒. กุลมจั ฉริยะ ตระหนีส่ กลุ๓. ลาภมจั ฉรยิ ะ ตระหนี่ลาภ๔. วณั ณมจั ฉรยิ ะ ตระหน่วี รรณะ๕. ธมั มมจั ฉรยิ ะ ตระหนธี่ รรม.[๒๘๓] นิวรณ ๕๑. กามฉนั ทะ ความพอใจ๒. พยาบาท ความพยาบาท


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook