พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 251สมั มาสมั พทุ ธเจา เสด็จอบุ ัติในโลก และธรรมทพี่ ระองคท รงแสดง ก็เปนไปเพื่อความสงบ เปน ไปเพ่ือความดับ ใหถ ึงความตรสั รู เปนธรรมอันพระสุคตประกาศแลว. แตบคุ คลนี้เขา ถงึ พวกเทพทม่ี ีอายยุ นื พวกใดพวกหนง่ึ เสีย ฯลฯ ขอ ท่หี า. ๖. ดกู อ นทา นผมู อี ายุท้งั หลาย ขอ อนื่ อีก พระตถาคตอรหนั ต-สัมมาสมั พทุ ธเจา เสด็จอบุ ตั ใิ นโลก และธรรมทพี่ ระองคทรงแสดง กเ็ ปนไปเพ่ือความสงบ เปนไปเพื่อความดบั ใหถงึ ความตรัสรู เปน ธรรมอนัพระสคุ ตประกาศแลว แตบ ุคคลน้ี เกดิ เสยี ในปจจันตมิ ชนบท ในพวกชนชาติมิลักขะ ผูโ งเขลา ไมมีคติของภิกษุ ภกิ ษุณีอุบาสก อุบาสิกา ฯลฯขอ ท่ีหก. ๗. ดูกอ นทานผมู ีอายทุ งั้ หลาย ขออื่นอีก พระตถาคตอรหนั ต-สัมมาสัมพทุ ธเจา เสด็จอบุ ตั ใิ นโลก และธรรมที่พระองคท รงแสดง กเ็ ปนไปเพื่อความสงบ เปน ไปเพอ่ื ความดับ ใหถ ึงความตรสั รู เปน ธรรมอนัพระสุคตประกาศแลว . บคุ คลนี้ เกดิ ในมชั ฌิมชนบท แตเ ขาเปนคนมิจฉา-ฑิฏฐิ มีความเหน็ วปิ ริตวา ทานท่บี คุ คลใหไ มม ผี ล การบูชาไมม ผี ลยัญที่บชู าแลว ไมม ีผล ผลวิบากของธรรมท่ีบคุ คลทําดที าํ ชว่ั ไมม ีโลกนไี้ มม ี โลกหนาไมมี มารดาไมม ี บดิ าไมม ี โอปปาติกสัตวไ มมีในโลกไมมีสมณพราหมณ ผูดําเนนิ ไปดี ผูป ฏิบัติโดยชอบ กระทําใหแ จงซ่งึ โลกน้ีและโลกหนา ดวยปญ ญาอนั ยิง่ ดว ยตนเองแลวยังผูอ่ืนใหรู ฯลฯ ขอทเ่ี จ็ด. ๘. ดกู อ นทา นผูม อี ายทุ ้ังหลาย ขออน่ื อกี พระตถาคตอรหนั ต-สมั มาสัมพทุ ธเจา เสด็จอุบตั ิในโลก และธรรมทพ่ี ระองคท รงแสดง กเ็ ปน
พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 252ไปเพ่อื ความสงบ เปน ไปเพ่อื ความดับ ใหถงึ ความตรสั รู เปนธรรมอันพระสุคตประกาศแลว บุคคลนเ้ี กิดในมัชฌิมชนบท แตเ ปนคนโง เซอะซะเปนคนใบ ไมสามารถทีจ่ ะรอู รรถแหง สภุ าษติ และทุพภาษติ ได ฯลฯ ขอ ที่แปด. ๙. ดูกอ นทา นผมู อี ายุทั้งหลาย อึกขอ หนงึ่ พระตถาคตอรหันต-สมั มาสัมพุทธเจา มไิ ดเ สด็จอบุ ัตใิ นโลก และธรรมท่ีเปนไปเพือ่ ความสงบเปน ไปเพื่อความดับ ใหถึงความตรสั รู เปน ธรรมอันพระสคุ ตประกาศไวไมมผี ูใดแสดง ถึงบุคคลนเ้ี กดิ ในมัชฌิมชนบท เปน คนมีปญญา ไมเซอะซะไมเปนคนใบ สามารถทจ่ี ะรอู รรถแหง สภุ าษติ และทพุ ภาษติ ได น้ี กม็ ใิ ชขณะ มใิ ชสมัย เพอื่ การอยปู ระพฤตพิ รหมจรรยขอทเ่ี กา [๓๕๕] อนปุ พุ พวิหาร ๙ ๑. ดกู อนทา นผมู ีอายุทงั้ หลาย ภิกษุในพระธรรมวนิ ยั น้ี สงดั จากกามท้ังหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทง้ั หลาย เขา ถงึ ปฐมฌาน มวี ิตก มวี ิจารมปี ต แิ ละสุขอันเกดิ แตวิเวกอย.ู ๒. ภกิ ษใุ นพระธรรมวนิ ัยนี้ เขาถึงทุติยฌาน มีความผอ งใสแหง จติ ในภายใน เปน ธรรมเอกผุดขึน้ เพราะวติ กวจิ ารสงบ ไมมวี ติ กไมมวี ิจาร มีปติและสุขเกดิ แตส มาธอิ ยู. ๓. ภิกษุในพระธรรมวินยั น้ี มีอเุ บกขา มสี ติ มีสมั ปชัญญะ เสวยสขุ ดว ยนามกาย เพราะปต ปิ ราศจากไป เขา ถึงตติยฌาน ท่ีพระอริยเจาท้งั หลาย กลาวสรรเสริญวา ผไู ดฌานนี้ เปน ผมู อี ุเบกขา มสี ติ อยเู ปนสุขดงั น้ี. ๔. ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เขา ถงึ จตตุ ถฌาน ไมมีทุกขแ ละสขุ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 253เพราะละทุกขแ ละสขุ ลาํ ดับโสมนัสโทมนัสในกาลกอ น มีอุเบกขา เปนเหตุใหส ติบรสิ ุทธิอ์ ย.ู ๕. ภิกษใุ นพระธรรมวนิ ยั นี้ เพราะกา วลว งรปู สญั ญาไดโ ดยประการท้งั ปวง เพราะปฏิฆสญั ญาดับไป เพราะไมใสใ จซ่ึงนานัตตสญั ญาเขา ถงึ อากาสานัญจายตนะ ดว ยมนสิการวา อากาศหาท่ีสดุ มไิ ด ดังนอี้ ย.ู ๖. ภกิ ษุในพระธรรมวินยั น้ี เพราะกาวลวงซ่งึ อากาสานญั จายตนะโดยประการท้ังปวง แลวเขา ถึงวิญญาณัญจายตนะ ดวยมนสิการวา วิญญาณหาทส่ี ุดมิได ดงั นอี้ ย.ู ๗. ภกิ ษุในพระธรรมวินยั น้ี เพราะกา วลวงวญิ ญาณัญจายตนะโดยประการทงั้ ปวง แลวเขาถึงอากญิ จัญญายตนะ ดวยมนสิการวา ไมมีอะไร ดังน้ีอย.ู ๘. ภกิ ษุในพระธรรมวินยั นี้ เพราะกาวลวงอากญิ จญั ญายตนะโดยประการทั้งปวง แลวเขาถึงเนวสญั ญานาสญั ญายตนะอยู. ๙. ภิกษใุ นพระธรรมวนิ ัยนี้ เพราะกา วลว งเนวสัญญานาสญั ญาย-ตนะโดยประการท้ังปวง แลวเขาถงึ สัญญาเวทยิตนโิ รธอยู. [๓๕๖ ] อนปุ ุพพนโิ รธ ๙ ๑. กามสญั ญา ของทา นผเู ขาปฐมฌาน ยอ มดบั ไป ๒. วติ ก วจิ าร ของทา นผูเขาทตุ ิยฌาน ยอมดับไป ๓. ปติ ของทา นผเู ขาตตยิ ฌาน ยอมดับไป
พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 254 ๔. ลมอัสสาสะและปสสาสะของทานผูเขา จตุตถฌาน ยอมดบั ไป ๕. รปู สัญญาของทานผเู ขาอากาสานญั จายตนะ ยอมดับไป ๖. อากาสานัญจายตนสัญญาของทานผเู ขาวญิ ญาณญั จายตนะ ยอม ดับไป ๗. วญิ ญาณญั จายตนสญั ญาของทา นผเู ขาอากญิ จญั ญายตนะ ยอ ม ดบั ไป ๘. อากิญจัญญายตนสัญญาของทา นผเู ขาเนวสญั ญานาสัญญายตนะ ดบั ไป ๙. สัญญาและเวทนาของทา นผเู ขา สัญญาเวทยิตนโิ รธ ยอมดบั ไป ดกู รทานผูมอี ายุทง้ั หลาย ธรรมทั้งหลาย ๙ เหลานี้แล อนั พระผูม-ีพระภาคเจาผทู รงรู ทรงเห็น เปนพระอรหนั ตสัมมาสมั พุทธเจา พระองคนัน้ตรสั ไวโดยชอบแลว พวกเราทัง้ หมดดวยกัน พงึ สงั คายนา ไมพ ึงโตแ ยง กนัในธรรมน้ัน ฯลฯ เพ่อื ประโยชน เพ่อื เก้อื กูล เพอ่ื ความสขุ แกเ ทวดาและมนษุ ยท ั้งหลาย. จบสงั คตี หิ มวด ๙
พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 255 วา ดว ยสังคตี หิ มวด ๑๐ [๓๕๗] ดกู อนทา นผมู ีอายุท้งั หลาย ธรรมทงั้ หลาย ๑๐ ท่พี ระผูมพี ระภาคเจาผูท รงรู ทรงเห็น เปน พระอรหนั ตสมั มาสัมพทุ ธเจา พระองคน้ัน ตรสั ไวโ ดยชอบมอี ยู พวกเราทั้งหมดดวยกัน พงึ สังคายนา ไมพ งึโตแยงกันในธรรมนั้น ฯลฯ เพือ่ ประโยชน เพอื่ เกื้อกูลแกเ ทวดาและมนษุ ยท งั้ หลาย. ธรรม ๑๐ เหลานนั้ เปนไฉน. นาถกรณธรรม ๑๐ ๑. ดูกอนทานผ้ี มู อี ายุท้งั หลาย ภกิ ษุในพระธรรมวนิ ยั นี้ เปนผมู ีศลี เปน ผูสํารวมในปาติโมกขสงั วร ถงึ พรอมดวยมรรยาทและโคจรอยู มีปรกติเห็นภยั ในโทษเพียงเล็กนอย สมาทานศกึ ษาอยูในสกิ ขาบททงั้ หลาย.แมขอ ทภี่ กิ ษุเปนผมู ีศีลสาํ รวมในพระปาตโิ มกขสงั วร ถึงพรอ มดวยมารยาทและโคจรอยู มปี กตเิ ห็นภยั ในโทษเพียงเล็กนอ ย มาทานศึกษาอยูในสิกขาบททั้งหลาย น้กี เ็ ปน นาถกรณธรรม. ๒. ดกู อนทา นผูมอี ายุท้ังหลาย ขอ อ่ืนอีก ภิกษเุ ปน ผูมธี รรมอนั สดบั แลวมาก ทรงธรรมท่ีไดสดบั แลว สะสมธรรมทีไ่ ดสดับแลว. ธรรมทัง้ หลายท่งี ามในเบ้ืองตน งามในทามกลาง งามในทสี่ ุด ประกาศพรหมจรรยพรอมทงั้ อรรถ พรอ มทง้ั พยญั ชนะ บริสทุ ธ์ิ บริบูรณส ิ้นเชิง เห็นปานนน้ัอันเธอไดส ดับแลวมาก ทรงไวมาก คลอ งปาก ตามเพง ดวยใจ แทงตลอดดีแลว ดวยทฏิ ฐิ. ดูกอนทา นผูมีอายทุ ้งั หลาย แมขอทีภ่ ิกษุเปนผูมีธรรมอันสดับแลวมาก ทรงธรรมท่ีไดส ดบั แลว สะสมธรรมทไ่ี ดส ดบั แลว ธรรมทัง้ หลายทงี่ ามในเบอ้ื งตน งามในทา มกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย
พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 256พรอ มทั้งอรรถ พรอมทัง้ พยญั ชนะ. บริสทุ ธิ์ บริบูรณส้นิ เชงิ เหน็ ปานนั้นอนั เธอไดส ดับแลวมาก ทรงไวม าก คลอ งปาก ตามเพง ดว ยใจ แทงตลอดแลว ดว ยทิฏฐิ น้ีก็เปน นาถกรณธรรม. ๓. ดูกอ นทา นผูมีอายทุ ง้ั หลาย อีกขอหนึ่ง ภิกษเุ ปนผมู ีมิตรดีมีสหายดี มเี พอ่ื นด.ี ดูกอนทานผูมอี ายทุ ง้ั หลาย แมขอทภ่ี ิกษุเปน ผมู ีมิตรดีมีสหายดี มีเพ่ือนดี นกี้ เ็ ปน นาถกรณธรรม. ๔. ดกู อนทานผูมีอายุท้งั หลาย อกี ขอหนึ่ง ภิกษเุ ปน ผูว า งา ยประกอบดว ยธรรมที่กระทาํ ใหเปน ผูว า งา ย เปน ผูอดทน เปนผูรบั อนุศาสนีโดยเคารพ. ดูกอ นทา นผมู อี ายุทั้งหลาย แมข อ ที่ภิกษเุ ปน ผูว างา ย ประกอบดวยธรรมทก่ี ระทําใหเ ปนผูวางา ย เปน ผอู ดทน เปน ผูร บั อนศุ าสนโี ดยเคารพ น้ีกเ็ ปน นาถกรณธรรม. ๕. ดกู อนทา นผูมอี ายุท้ังหลาย ขออน่ื อีก ภกิ ษเุ ปนผขู ยัน ไมเกยี จครา น ประกอบดว ยปญ ญาเปน เคร่อื งพิจารณาอุบาย ในกรณยี กิจนนั้ ๆ สามารถทาํ สามารถวิจารณในกรณียกจิ ใหญนอยของเพ่อื นสพรหมจารีทั้งหลาย. แมขอทภี่ กิ ษุเปน ผขู ยัน ไมเ กยี จคราน ประกอบดว ยปญญาเปนเครือ่ งพจิ ารณาอบุ าย ในกรณียกจิ นน้ั ๆ สามารถทาํ สามารถวจิ ารณในกรณียกจิ ใหญน อยของเพ่อื นพรหมจารที งั้ หลาย นก้ี เ็ ปน นาถกรณธรรม. ๖. ดูกอนทานผูมีอายทุ ั้งหลาย ขออนื่ อีก ภิกษเุ ปน ผใู ครในธรรมเจรจานารกั มีความปราโมชยิ่งในพระอภิธรรม ในพระอภิวินัย. แมขอทีภ่ กิ ษเุ ปน ผใู ครใ นธรรม เจรจานา รกั มีความปราโมชยิ่งในพระอภธิ รรม
พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 257ในพระอภิวินัย นี้ก็เปน นาถกรณธรรม. ๗. ดูกอ นทานผมู ีอายทุ ง้ั หลาย ขอ อืน่ อกี ภกิ ษเุ ปน ผสู ันโดษดวยจวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสชั บรขิ าร อันเปนปจ จยั แกค นไขตามมีตามได. ดกู อ นทานผมู ีอายทุ ั้งหลาย แมข อ ท่ภี กิ ษุเปนผสู นั โดษดวยจีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสชั บรขิ าร อันเปน ปจ จัยแกคนไขตามมตี ามได น้กี ็เปน นาถกรณธรรม ๘. ดกู อ นทานผมู อี ายทุ ง้ั หลาย ขอ อนื่ อกี ภิกษุเปนผปู รารภความเพยี ร เพือ่ ละอกุศลธรรม เพอื่ ยังกุศลธรรมใหถงึ พรอ มอยู เปน ผูมีเรย่ี วแรง มคี วามบากบ่นั มัน่ คง ไมทอดธรุ ะในธรรมทเี่ ปนกุศล. ดูกอ นทา นผูมอี ายทุ ้ังหลาย แมขอ ที่ภิกษปุ รารภความเพยี ร เพือ่ ละอกศุ ลธรรมเพื่อยังกุศลธรรมใหถงึ พรอมเปนผมู ีเรีย่ วแรง มคี วามบากบน่ั มั่นคง ไมท อดธรุ ะในธรรมทเี่ ปน กศุ ล น้กี เ็ ปน นาถกรณธรรม. ๙. ดูกอนทานผูม ีอายุทงั้ หลาย ขอ อื่นอกี ภิกษเุ ปน ผมู ีสติประกอบดว ยสตแิ ละปญญาเครอื่ งรกั ษาตนอยางยอดเยี่ยม แมสงิ่ ทที่ าํ แลวนาน แมคาํ ที่พูดแลวนาน กน็ ึกได ระลกึ ได. ดกู อนทา นผูมีอายุท้งั หลายแมข อทภ่ี กิ ษุเปน ผูมีสติ ประกอบดว ยสติและปญญาเครอื่ งรกั ษาตนอยางยอดเยย่ี ม แมส ิง่ ที่ทาํ แลว นาน แมค าํ ท่พี ดู แลว นาน กน็ ึกได ระลึกไดนีก่ เ็ ปน นาถกรณธรรม. ๑๐. ดกู อ นทานผูมีอายทุ ั้งหลาย อกี ขอ หนึง่ ภกิ ษเุ ปน ผมู ีปญญาประกอบดว ยปญ ญาทเี่ ห็นความเกดิ และความดบั อันประเสรฐิ ชําแรกกเิ ลสใหถึงความส้นิ ทกุ ขโ ดยชอบ. ดกู อนทา นผมู ีอายทุ งั้ หลาย แมขอ ทภี่ กิ ษุเปน
พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 258ผูมีปญ ญา ประกอบดวยปญ ญาท่เี ห็นความเกิดและความดบั อนั ประเสรฐิชําแรกกิเลส ใหถ งึ ความสนิ้ ทุกขโ ดยชอบ. น้ีก็เปน นาลกรณธรรม.[๓๕๘] กสิณายตนะ คอื แดนกสณิ ๑๐๑. ผูหน่ึง ยอ มจาํ ปฐวีกสณิ ได ทั้งเบ้อื งบน เบือ้ งลา ง เบ้อื งขวางคลอ งแคลว ประมาณมิได๒. ผหู นง่ึ ยอ มจาํ อาโปกสิณได . ..๓. ผูหนง่ึ ยอมจําเตโชกสณิ ได...๔. ผูหนึ่ง ยอ มจําอาโปกสณิ ได. ..๕. ผูหนึ่ง ยอ มจาํ นลี กสิณได. ..๖. ผูหนึง่ ยอ มจําปต กสิณได...๗. ผูหนงึ่ ยอ มจาํ โลหติ กสิณได...๘. ผูหนง่ึ ยอมจําโอทาตกสณิ ได ...๙. ผูห นึง่ ยอ มจาํ อากาสกสณิ ได . . .๑๐. ผหู น่ึง ยอ มจําวิญญาณกสิณได ท้งั เบื้องบน เบอื้ งลา ง เบ้อื งขวาง คลองเเคลว ประมาณมิได.[๓๕๙] อกศุ ลกรรมบถ ๑๐๑. ปาณาตบิ าต ๒. อทนิ นาทาน๓. กาเมสุมิจฉาจาร ๔. มิสาวาท๕. ปสณุ าวาจา ๖. ผรสุ าวาจา๗. สมั ผปั ปลาปะ ๘. อภิชฌา๙. พยาบาท ๑๐. มิจฉาทิฏฐ.ิ
พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 259 [๓๖๐] กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๑. ปาณาตปิ าตา เวรมณี เจตนาเครอ่ื งเวน จากการยงั สัตวม ชี ีวิตใหต กลว งไป ๒. อทนิ นาทานา เวรมณี เจตนาเครื่องเวน จากการถือเอาส่งิ ของท่เี จาของมิไดให ๓. กาเมสุ มจิ ฉาจารา เวรมณี เจตนาเครื่องเวน จากการประพฤตผิ ิดในกาม ๔. มสุ าวาท เวรมณี เจตนาเครือ่ งเวน จากการพดู เทจ็ ๕. ปสุณาย วาจาย เวรมณี เจตนาเคร่อื งเวน จากการพดู สอ เสียด ๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เจตนาเคร่อื งเวน จากการพดู คําหยาบ ๗. สัมผปั ปลาปา เวรมณี เจตนาเคร่ืองเวน จากการพดู เพอ เจอ ๘. อนภชิ ฌา ความโลภอยากไดข องเขา ๙. อพั ยาบาท ความไมปองรา ยเขา ๑๐. สมั มาทฏิ ฐิ ความเห็นชอบ. [๓๖๑] อริยวาส ๑๐ ดูกอนทา นผูมอี ายุท้งั หลาย ภกิ ษุในพระธรรมวินัยนี้ ๑. เปนผูมีองคหาละขาดแลว ๒. เปนผูประกอบดว ยองคห ก ๓. เปน ผมู ีอารักขาอยา งหนงึ่ ๔. เปน ผมู ที ่ีพึง่ สี่ ๕. เปน ผมู สี ัจจะเฉพาะอยา งอนั บรรเทาเสยี แลว ๖. เปน ผูมกี ารแสวงหาอนั สละไดแลว โดยชอบ
พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 260 ๗. เปนผมู คี วามดํารไิ มข นุ มัว ๘. เปน ผมู ีกายสงั ขารอนั สงบ ๙. เปน ผูม ีจติ หลดุ พนดแี ลว ๑๐. เปน ผูมีปญ ญาหลดุ พนดแี ลว. ดูกอนทา นผมู อี ายุทง้ั หลาย กอ็ ยา งไรเลา ภกิ ษุชอื่ วา เปนผมู ีองคห า ละขาดแลว . ดกู อ นทา นผมู ีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวนิ ัยน้ีเปน ผูมีกามฉันทะละไดข าดแลว มีความพยาบาทละไดข าดแลว มถี นิ่ มทิ ธะละไดขาดแลว มอี ุทธัจจกกุ กุจจะละไดข าดแลว มวี ิจกิ ิจฉาละไดขาดแลว.ดูกอนทานผูม อี ายทุ ง้ั หลาย อยางนแี้ ล ภกิ ษชุ ื่อวา เปนผูมอี งคหาอนั ละไดขาดแลว. ดกู อนทานผมู ีอายุทั้งหลาย กอ็ ยางไร ภกิ ษชุ ือ่ วา เปน ผูป ระกอบดวยองคห ก. ดกู อนทานผมู ีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินยั น้ี เห็นรูปดว ยตาแลว เปนผไู มดใี จ ไมเ สยี ใจ เปนผวู างเฉย มสี ติสัมปชญั ญะอยู.ฟงเสียงดว ยหแู ลว . . ดมกล่นิ ดว ยจมูกแลว . . ล้มิ รสดว ยลนิ้ แลว ...ถกู ตอ งโผฏฐพั พะดวยกายแลว . . รูแ จง ธรรมดว ยใจแลว เปนผูไมดใี จ ไมเ สียใจเปนผูว างเฉย มสี ติสมั ปชัญญะอย.ู ดูกอนทา นผมู ีอายทุ ั้งหลาย อยา งน้แี ลภิกษชุ ่อื วา เปนผูประกอบดวยองคห ก ดูกอ นทา นผมู อี ายุทง้ั หลาย กอ็ ยา งไร ภิกษุช่ือวา เปนผูมอี ารกั ขาอยา งหนึ่ง ดูกอนทานผูมอี ายทุ งั้ หลาย ภกิ ษุในพระธรรมวินัยน้ี ยอ มประกอบดว ยใจอันมสี ตเิ ปนเครื่องคุมครอง. ดูกอ นทานผมู ีอายุทั้งหลายอยา งน้ีแล ภิกษุช่อื วา เปนผูมีอารักขาอยา งหนึง่ . ดูกอ นทานผูมีอายุทงั้ หลาย ก็อยางไร ภิกษชุ อื่ วา เปน ผูม ที ีพ่ ึง่ สี.่
พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 261ดูกอ นทานผมู ีอายทุ ั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินยั น้ี พิจารณาแลวเสพของอยางหน่ึง พจิ ารณาแลวอดกลน้ั ของอยา งหน่ึง พจิ ารณาแลว เวนของอยางหน่งึ พิจารณาแลวบรรเทาของอยา งหน่งึ . ดูกอ นทา นผมู อี ายทุ ้ังหลายอยางนี้แล ภิกษุชอื่ วา เปน ผมู ีทพ่ี ึ่งสี่ ดกู อ นทานผมู อี ายทุ ้งั หลาย ก็อยา งไร ภกิ ษุชื่อวา เปนผูม สี ัจจุเฉพาะอยางอนั บรรเทาเสยี แลว. ดูกอนทา นผมู อี ายุท้งั หลาย สัจจะเฉพาะอยา งเปนอนั มาก ของสมณพราหมณเปน อันมาก ยอมเปนธรรมอนั ภกิ ษุในพระธรรมวินัยนี้ ทาํ ใหเ บาแลว บรรเทาแลว สละ คลาย ปลอ ย ละสละคืนเสยี หมดส้นิ แลว . ดกู อนทา นผูมีอายทุ ั้งหลาย อยางนี้แล ภิกษุช่อื วาเปน ผูมีสจั จะเฉพาะอยางอันบรรเทาเสยี แลว . ดกู อ นทานผมู อี ายทุ ง้ั หลาย ก็อยางไร ภกิ ษชุ ่ือวา เปนผูมกี ารแสวงหาอนั สละไดโดยชอบ. ดกู อ นทานผมู อี ายุทง้ั หลาย ภกิ ษใุ นพระธรรมวนิ ยั น้ี เปน ผมู กี ารแสวงหากามอันละไดแลว มีการแสวงหาภพอันละไดแ ลวมกี ารแสวงหาพรหมจรรยอ นั สละคนื แลว . ดูกอ นทานผูมีอายุทง้ั หลายอยางนแ้ี ล ภิกษุชอื่ วา เปน ผูม กี ารแสวงหาอันสละไดโ ดยชอบ ดกู อนทานผูมอี ายุท้งั หลาย ก็อยางไร ภิกษชุ ่อื วา เปนผมู คี วามไมข นุ มัว ดกู อนทานผูมีอายุทง้ั หลาย ภกิ ษใุ นพระธรรมวินัยนี้ เปน ผูละความดํารใิ นกามไดขาดแลว เปน ผูละความดําริในพยาบาทไดข าดแลว เปนผลู ะความดาํ ริในการเบียดเบียนไดขาดแลว ดูกอ นทานผมู อี ายทุ ง้ั หลายอยางนแ้ี ล ภิกษุชื่อวา เปน ผมู คี วามดาํ ริไมข ุนมวั . ดูกอ นทานผูม อี ายุทงั้ หลาย ก็อยา งไร ภิกษชุ ่อื วา เปนผมู ีกายสังขารอันสงบ ดูกอนทานผูมีอายุท้งั หลาย ภกิ ษใุ นพระธรรมวินยั นี้ เขา
พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 262ถงึ จตุตถฌาน อนั ไมมีทกุ ขแ ละสขุ เพราะละสขุ และทกุ ข และดับโสมนัสโทมนสั กอ นๆได มอี เุ บกขาเปน เหตใุ หส ติบริสทุ ธ.ิ์ ดูกอ นทา นผมู อี ายุทงั้ หลาย อยา งนีแ้ ล ภกิ ษชุ อื่ วา เปนผมู กี ายสงั ขารอันสงบแลว . ดูกอ นทานผูมอี ายุทั้งหลาย ก็อยา งไร ภกิ ษชุ ่อื วา เปนผูม ีจิตหลดุ พนดแี ลว . ดกู อนทานผมู อี ายุท้งั หลาย ภิกษใุ นพระธรรมวินยั นี้ มจี ิตพนแลวจากราคะ มจี ติ พนแลว จากโทสะ มีจิตพน แลว จากโมหะ. ดกู อ นทานผูม ีอายทุ ้ังหลาย อยา งนี้แล ภกิ ษชุ ือ่ วา เปน ผมู ีจติ หลดุ พนดีแลว. ดกู อ นทานผูม ีอายทุ ้ังหลาย กอ็ ยา งไร ภกิ ษชุ อื่ วา เปนผูม ปี ญ ญาหลุดพน ดีแลว . ดกู อนทานผมู อี ายทุ ้ังหลาย ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั น้ี ยอ มรูชัดวา ราคะอันเราละไดแ ลว ถอนรากข้นึ เสยี ไดแ ลว กระทาํ ใหเปน ดุจตาลยอดดวนแลว ทาํ ใหเปนของไมมีแลว มีอนั ไมเ กดิ ข้นึ ตอ ไปอีกเปนธรรมดา โทสะอนั เราละไดแ ลว ถอนรากขน้ึ เสียไดแลว กระทาํ ใหเปนดจุ ตนตาลยอดดว นแลว ทาํ ใหเ ปนของไมมีแลว มอี ันไมเกิดขึ้นตอไปเปนธรรมดา โทสะอนั เราละไดแ ลว ถอนรากข้ึนไดแลว กระทําใหเปน ดุจตน ตาลยอดดวน ทาํ ใหเปน ของไมม ีแลว มอี นั ไมเ กดิ ขนึ้ ตอ ไปเปน ธรรมดา.ดูกอนทานผมู อี ายุท้งั หลาย อยางนแ้ี ล ภกิ ษุจงึ ชอ่ื วา เปนผูมปี ญ ญาหลดุ พนดแี ลว. [๓๖๒] อเสขธรรม ๑๐ ๑. สมั มาทฏิ ฐิที่เปนของพระอเสขะ ๒. สัมมาสังกปั ปะท่ีเปนของพระอเสขะ ๓. สัมมาวาจาท่ีเปนของพระอเสขะ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 263 ๔. สัมมากัมมนั ตะท่ีเปนของพระอเสขะ ๕. สมั มาอาชีวะท่ีเปนของพระอเสขะ ๖. สมั มาวายามะทีเ่ ปนของพระอเสขะ ๗. สมั มาสติทเี่ ปน ของพระอเสขะ ๘. สัมมาสมาธทิ ี่เปน ของพระอเสขะ ๙. สมั มาญาณะทเ่ี ปนของพระอเสขะ ๑๐. สมั มาวิมตุ ตทิ ีเ่ ปน ของพระอเสขะ. ดูกอ นทานผมู ีอายทุ ง้ั หลาย ธรรมทง้ั หลาย ๑๐ เหลา นีแ้ ล พระผมู ีพระภาคผูทรงรูทรงเหน็ เปน พระอรหันตสัมมาสัมพทุ ธเจา พระองคน ัน้ตรสั ไวชอบแลว พวกเราทงั้ หมดดวยกนั พึงสงั คายนา ไมพึงโตแ ยง กนัการทพี่ รหมจรรยน้ี ยั่งยนื ต้งั อยนู านแลว ก็พงึ เปนไปเพอ่ื ประโยชนแ กชนเปนอนั มาก เพือ่ ความสุขแกช นเปนอนั มาก เพอ่ื อนเุ คราะหแกชาวโลกเพื่อประโยชน เพ่อื เก้ือกลู เพอื่ ความสุขแกเ ทวดาและมนุษยทง้ั หลาย จบสงั คตี ิธรรมหมวด ๑๐ [๓๖๓] ลาํ ดับน้นั แล พระผูม พี ระภาคเจา เสด็จลุกขึน้ แลว ตรัสกะทา นพระสารบี ตุ รวา ดกู อ นสารบี ุตร ดลี ะ ดลี ะ สารบี ุตร เธอไดภาษติ สงั คตี ิปริยายแกภกิ ษทุ ั้งหลาย เปน การดีแลว ดังน้.ี ทานพระสารีบุตรไดก ลาวสงั คตี ปิ รยิ ายนแ้ี ลว พระศาสดาทรงพอพระทยั และภกิ ษุเหลา น้ันตางกด็ ใี จ ช่นื ชมภาษติ ของทา นพระสารีบตุ รแลว ดังนีแ้ ล. จบสังคตี สิ ตู รที่ ๑๐
พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 264 อรรถกถาสงั คีติสูตร วาดวยธรรมหมวด ๑ สงั คตี ิสูตร มคี าํ เร่มิ ตนวา เอวมฺเม สตุ เปน ตน ในสงั คีตสิ ตู รน้ัน มคี าํ อธิบายไปตามลาํ ดบั บที่ ดงั ตอ ไปนี.้ คาํ วาจาริกฺจรมาโน หมายถึงเสด็จเท่ียวไปอยางนิพทั ธจารกิ . ไดย ินวาในคร้งันน้ั พระศาสดาทรงแผขา ย คือพระญาณไปในหมืน่ จกั รวาล ตรวจดสู ัตวโลกอยู ไดท รงเลง็ เห็นเหลา มัลลราช ชาวเมอื งปาวา จึงทรงคํานึงวา\" ราชาเหลานม้ี าปรากฏในขา ยคือสัพพัญุตญาณของเรา. จะมีอะไรหรือหนอ? \" ก็ไดท รงเหน็ ความขอ นีว้ า \" ราชาท้ังหลายใหสรา งสัณฐาคารข้ึนแหงหนึง่ เม่อื เราไป ก็จักใหเ รากลาวมงคล. เรากลา วมงคลแกราชา เหลานั้นแลว สง ( กลบั ) ไปแลว จักบอกสารบี ุตรวา \" เธอจงกลาวธรรมกถาแกห มภู กิ ษุ สารีบตุ รพจิ ารณาโดยพระไตรปฏ กแลว จกั กลาวสงั คตี สิ ูตรแกห มูภ ิกษุ ประดบั ไปดว ยปญ หา ๑,๐๑๔ ขอ , ภกิ ษุ ๕๐๐รูป ราํ ลึกถึงพระสูตร ( นี้ ) แลว จักบรรลุพระอรหตั พรอ มดวยปฏิสมั ภิทา \" ดงั น้ี จงึ ไดเสดจ็ จารกิ ไป. ดว ยเหตนุ ้ัน ทานจงึ กลาววา มลฺเลสุ จาริกจฺ รมาโนคําวา อพุ ภฺ ตก เปน ช่ือของ สัณฐาคารแหงนนั้ . อีกนัยหนงึ่ ทานเรียกวา(อุพภฺ ตก ) อยา งนัน้ เพราะเปน อาคารสูง. คาํ วา สณฺ าคาร หมายถึงศาลาทีป่ ระชมุ กลางเมือง. ในคาํ วา สมเณน วา นเ้ี พราะเหตทุ เ่ี ทวดาท้งั
พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 265หลาย ยอ มถือเอาทอี่ ยขู องตนในเวลาที่กาํ หนดพ้นื ที่ ( ปลกู ) เรือนน่นั เองฉะนน้ั ทานจงึ ไมก ลาววา เทเวน วา แตกลา ววา สมเณน วา พรฺ าหฺมเณน วา เ กนจิ วา มนุสฺสภเู ตน สมณพราหมณหรอื ใคร ๆ ทีเ่ ปนมนษุ ย คําวา เยน ภควา เตนปุ สงกฺ มึสุ ความวา พวกเจามลั ละไดสดับ ( ขา ววา ) พระผูม พี ระภาคเสดจ็ มา จงึ ดํารวิ า \" แมพวกเราจะมไิ ดไปทลู เชิญพระผมู พี ระภาคมา ทั้งมิไดสงทตู ไปกราบทูลใหเ สดจ็ มา แตพระองคก็เสด็จมาท่อี ยขู องพวกเราเอง มีภิกษุหมูใหญเ ปนบรวิ าร. แลพวกเราก็ไดส รา งสัณฐาคารศาลาขน้ึ แลว . เราจกั เชิญเสด็จพระทศพลมาใหท รงกลาวมงคล ณ สัณฐาคารศาลาน้ี \" ดังน้ี จึงไดเขาไปเฝา. คําวา เยนสณฺ าคาร เตนปุ สงกฺ มึสุ ความวาพวกเจา มัลละเหลา น้นั คิดวา \"ไดทราบวา ชางทาํ จิตรกรรมในสณั ฐาคารเสรจ็ แลว แต พวกปอมยาม ( หอคอย )เพิ่งจะเสร็จในวนั นนั้ และธรรมดาพระพุทธเจา ท้ังหลาย ทรงมพี ระอธั ยาศยั(ชอบ ) ปา ยินดีในปา พงึ ทรง ( พอพระทยั ) ประทบั อยภู ายในบา นหรือไม ( กไ็ มอ าจทราบได ) เพราะฉะนั้น เราทราบถึงพระทัย ของพระผมู ีพระภาคกอนแลว จงึ จกั เตรียมการ\" ดงั นี้แลว เขา ไปเฝาพระผูม พี ระภาค.แตบ ดั นี้ พวกเจา มลั ละประสงคจะเตรยี มการใหตอ งพระทยั พระผมู พี ระภาคจงึ เขาไปยงั สณั ฐาคาร. คําวา สพพฺ สนฺถรึ หมายความวา ปูลาดอยา งพรอ มสรรพ. อนงึ่ ในคาํ วา เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ น้ีมคี วามวา พวกเจามัลละเหลาน้นั จัดแจงสัณฐาคารเสรจ็ แลว จึงใหแผว ถางถนนในเมืองใหย กธงขน้ึ แลวตง้ั หมอ นาํ้ เตม็ เปยม ท้ังตนกลวย ณ ประตูบา นทงั้ หลาย
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 266ทาํ เมอื งท้ังสิ้นใหเ กล่อื นกลน ไปดว ยระเบียบแหง โคมไฟ ประหน่ึงวา ดวงดาว แลวใหป าวประกาศวา \" พวกทารกทยี่ งั ไมอ ดนม จงใหดืม่ นมเสยี ,พวกเด็กรนุ ๆ จงรีบใหบ รโิ ภค ( ขา วปลาอาหาร ) แลว ใหนอนเสีย อยาไดส ง เสยี งอึกทกึ ครึกโครม, วันนพ้ี ระศาสดาจกั ประทับภายในหมบู า นคืนหนงึ่ , อนั พระพทุ ธเจา ทัง้ หลาย ยอมทรงพอพระทัยในความสงบเงยี บ\" ดังน้ีแลว พากนั ถือคบเพลงิ ดว ยตวั เอง เขา ไปเฝา พระผูมีพระภาคถึงทป่ี ระทบั . คําวา ภควนฺต เยว ปุรกขฺ ิตฺวา แปลวา กระทาํ พระผูม พี ระภาคไวเ บ้อื งหนา . พระผมู พี ระภาคประทบั น่ังในทามกลางภิกษแุ ละอุบาสกทง้ั หลาย ในสัณฐาคารนน้ั ยอมไพโรจนยง่ิ นัก เปน ทตี่ ัง้ แหง ความเลื่อมใสโดยรอบ มีพระฉววี รรณเพียงทอง งดงาม นาชม. พระรศั มีมีพรรณเพยี งดังทองพวยพุงจากพระกายเบื้องหนา แผไปถึง ๘๐ ศอก. พระรศั มีมีพรรณเพียงดงั ทองพวยพงุ จากพระกายทามกลาง จากพระหตั ถเ บอ้ื งขวาจากพระหัตถเ บ้อื งซา ย ก็แผไปไดข า งละ ๘๐ ศอก ( ดจุ กนั ). พระรัศมีมีพรรณเพยี งสรอ ยคอมยรุ า พวยพุง จากกลมุ พระเกษาทงั้ หมด ต้ังแตร ิมพระเกษาเบอื้ งบนแผไ ปในพ้นื นภากาศถึง ๘๐ ศอก. พระรัศมี มพี รรณเพยี งแกว ประพาฬ พวยพุงจากฝาพระบาทเบอ้ื งใต แผไ ปในแผน ดนิ ทบึไดถึง ๘๐ ศอก. พระพุทธรศั มี มพี รรณ ๖ ประการ พวยพุง รุงเรอื งพรา งพรายตลอดทป่ี ระมาณ ๘๐ ศอก โดยรอบ ดวยประการดงั น้ี. สรรพทิศาภาคกก็ ระจางแจง ดังวาโปรยปรายไปดวยดอกจาํ ปาทอง ประหนึ่งวาโรยรดดวยสุวรรณรสอันไหลจากหมอทอง ปานวาดาดาดลาดไปดวยแผนทอง และประดจุ วาเกลอื่ นกลนไปดวยผงดอกทองกวาว และกรรณิการอ ัน
พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 267ฟุงตลบดวยเวรมั ภวาต. แมพระวรกายแหงพระผมู พี ระภาคอันรงุ เรื่องดวยอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ พระรศั มี ( โดยปรกติ) ประมาณวาหน่ึง และวรลักษณ ๓๒ ประการ กไ็ พโรจนเ พียงพน้ื อัมพรอันพรางพราว ดว ยดวงดาว ประหนงึ่ ดอกประทมุ อนั บานสะพรงั่ ดจุ ดังปาริฉัตรประมาณ ๑๐๐โยชน ผลบิ านเตม็ ดน ราวกบั จะเผยพระสิริ ครอบงําเสยี ซง่ึ สริ แิ หงพระอาทติ ย พระจนั ทร พระเจา จักรพรรดิ ทา วเทวราช ( และ ) มหาพรหมอยา งละ ๓๒ อนั ต้ังไวโ ดยลาํ ดบั กนั (ใหอับรัศมไี ป ) ฉะนั้น. แมภ กิ ษุท้ังสิน้ อันน่ังแวดลอ มอยูน ้นั ก็ลว นเปนผมู กั นอย สันโดษ สงบไมพลุกพลา น ทําความเพยี ร เปนผูบอก ทนตอคาํ บอก เปน ผูเ ตือน ตเิ ตยี นบาปสมบรู ณดว ยศีล สมาธิ ปญ ญา วมิ ตุ ติ วิมตุ ติญาณทศั นะ. พระผูมพี ระภาคอันภิกษเุ หลา นั้น แวดลอมแลว ไพโรจนป ระหน่งึ ทอนทองอันหอ หมุดว ยผากมั พลแดง ประดุจเรอื นทองอันลอยลาํ อยใู นทามกลางดงประทุมแดงเสมือนปราสาททอง อันลอมรอบไปดวยเวทแี กวประพาฬ. ฝายพระอสตี ิมหาเถระทรงผาบังสุกลุ สปี านเมฆ เปน มหานาค ปานวา จอมปลวกแกว มณีคลายราคะแลว ทาํ ลายกิเลสสิน้ แลว ถางชัฏออกหมดแลว ตดั เครอ่ื งผูกไดแลว ไมต ดิ ของในตระกูล หรอื ในหมูค ณะ ก็นั่งแวดลอมพระผูม ีพระภาค.ดวยประการดงั น้ี พระผมู ีพระภาคผูทรงบําราศจากราคะดว ยพระองคเ องอันทานผูบาํ ราศจากราคะแวดลอ มแลว ผทู รงบําราศจากโทสะ ดวยพระองคเอง อนั ทา นผูบําราศจากโทสะแวดลอมแลว ผทู รงบําราศจากโมหะดวยพระองคเ อง อันทานผบู ําราศจากโมหะแวดลอมแลว ผทู รงไรต ณั หาดว ยพระองคเอง อนั ทา นผูไรตัณหาแวดลอมแลว ผทู รงไรกเิ ลสดวยพระองคเอง อนั ทา นผไู รกเิ ลสแวดลอมแลว ผูทรงเปน พุทธะดว ยพระองคเ อง อัน
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 268ทา นผเู ปน พทุ ธะ ผูพหูสตู แวดลอ มแลว ประหน่ึงเกสรอนั แวดลอมไปดว ยกลบี ประดุจกรรณิกา อันแวดลอมไปดวยเกสร เสมอื นพญาชางฉัท-ทันตอ ันแวดลอมไปดว ยชา งบรวิ ารท้งั แปดพัน ปานวา จอมหงสธ ตรฐั อนัแวดลอมไปดวยหงสบรวิ ารเกาแสน ดงั วา พระเจาจักรพรรดอิ นั แวดลอมไปดว ยเหลาเสนางคนิกร ประดุจทาวสกั กเทวราชอันแวดลอมไปดว ยเหลาทวยเทพ ปานวา หาริตมหาพรหมอนั แวดลอมไปดว ยคณะพรหม ไดประทับน่ังในทา มกลางบริษัทเหลา นนั้ ดว ยพทุ ธเพศอนั หาที่เสมอเหมอื นมไิ ด ดว ยพทุ ธวลิ าศอันหาประมาณมไิ ด ทรงยังพวกเจามัลละแหง นครปาวาใหเห็น ฯ ล ฯ ดวยธรรมกี ถาตลอดราตรเี ปน อนั มาก แลว ทรงสง ไป.และในท่ีนพี้ ึงทราบวา ปกณิ กกถา อนั ประกอบไปดวยคําอนโุ มทนาในสณั ฐาคาร ชือ่ วา ธรรมกถา. แทจรงิ ในคราวนนั้ พระผมู พี ระภาคไดตรสั ปกิณกกถาอนั นาํ มาซึ่งประโยชน และความสุขแกเ จามลั ละ แหงนครปาวา ประหนึง่ วา ยังอากาศคงคาใหหลั่งลงอยู เสมือนวา ทรงรวบรวมมาซ่ึงโอชะแหงปฐพี ปานวาทรงจบั ยอดตนมหาชมพู แลว ส่ันใหหวั่นไหวอยูและประดจุ วา ทรงคั้นรวงผึง้ อันควรแกก ารคนั้ ดวยเคร่อื งจักร แลว ยงับคุ คลใหด ูดดม่ื เอาซ่งึ น้ําหวาน ฉะนัน้ . คาํ วา ตุณฺหีภตู ตุณหีภตู ความวา ทรงเหลียวดทู ศิ ใด ๆ หมูภิกษใุ นทิศน้ัน ๆ นิง่ สงบทีเดียว. คําวา อนุวิโลเกตฺวา ความวา เหลยี วดูโดยทิศนนั้ ๆ ดวยจกั ษุ ๒ อยาง คือ มงั สจกั ษุ และทพิ ยจักษุ. จริงอยูทรงกาํ หนดอิริยาบถภายนอกของภกิ ษุเหลานนั้ ดวยมงั สจกั ษ.ุ ในหมภู กิ ษุเหลา นัน้ มิไดมภี ิกษุผคู ะนองมอื คะนองเทา แมสกั รูปเดียว ไมม ีรูปไหน.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 269ยนื ศีรษะพดู จา หรอื นั่งหลับ. ภกิ ษทุ ัง้ ปวงน้นั เปน ผศู กึ ษาอบรมมาแลว ดวยไตรสกิ ขา นั่งสงบนิง่ เสมอื นหนึง่ เปลวประทปี ในทีอ่ ันสงดั ลม ฉะนน้ัทรงกาํ หนดอริ ิยาบถนขี้ องภิกษุเหลา นนั้ ดวยมงั สจักษุ ดวยประการดงั นี้อน่ึง ทรงเจริญอาโลก ( แสงสวา ง ) จนเหน็ หทยั รูปของภิกษุเหลา น้นั แลวทรงตรวจดศู ลี ภายใน ดว ยทิพยจกั ษ.ุ พระองคไดท รงเหน็ ศลี อันเขา ถึงพระอรหตั ของภิกษุหลายรอย ประดุจวา ประทีปอันสวา งโพลงอยภู ายในหมอ. แทจ รงิ ภิกษุเหลา นนั้ เปนผปู รารภวิปสสนา ไดท รงเห็นศีลของภกิ ษเุ หลานน้ั ดวยประการดงั นี\"้ แลว ทรงดํารวิ า \" ภิกษุเหลานีค้ คู วรแกเ รา ท้งั เราก็คคู วรแกภกิ ษุเหลาน้\"ี แลวทรงต้งั นิมติ ไวใ นพื้นจกั ษุ ตรวจดูหมูสงฆ แลว ตรสั เรียกทานพระสารบี ุตรวา \"เราเมื่อยหลัง\". เพราะเหตุไรจึงทรงเมือ่ ยหลงั ?. เพราะเม่อื พระผูม พี ระภาคเจาทรงบาํ เพญ็ ความเพยี รอยางแรงกลา อยูถงึ ๖ ป ไดเกดิ ความลาํ บากพระวรกายเปนอันมาก ครน้ักาลตอ มาถงึ คราวทรงพระชรา ลมเสยี ดหลงั ยอ มเกิดข้ึนแกพระองคไ ด(เปน ธรรมดา ). คาํ วา สงฺฆาฏึ ปฺ เปตฺวา ความวา ไดย นิ วา เจา มลั ละ.เหลา นน้ั ใหป ูลาดเตียงอนั เปน กัปปย ะไวท่ขี า งดานหนง่ึ ของสัณฐาคารดวยความมุง หมายวา บางทีพระศาสดาจะพึงบรรทมบาง. ฝายพระศาสดาทรงดาํ รวิ า \"เตียงทเ่ี ราใชสอยดวยอริ ิยาบถท้งั ๔ จกั มีผลานิสงสม ากแกเจามัลละเหลา น้\"ี จึงรับส่งั ใหปูลาดผา สงั ฆาฏิบนเตียงน้นั แลวบรรทม.คาํ ทคี่ วรกลาว ในคาํ วา ตสสฺ กาลกริ ยิ าย เปน ตน ไดก ลาวไวแ ลว ทัง้ หมดในหนหลงั . คําวา อามนเฺ ตสิ ความวา ทรงประสงคจะแสดงสวากขาตธรรม
พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 270อนั กระทาํ ความสงบระงบั เหตุมกี ารบาดหมางกันเปน ตน จึงไดตรสั เรยี ก.คาํ วา ตตถฺ แปลวา ในธรรมนัน้ . คาํ วา สงคฺ ายิตพพฺ ความวาสงฆผูพรอมเพรยี งกันพึงสงั คายนา คือสงฆผ มู ีถอ ยคาํ เปน อันเดยี วกัน มีถอ ยคาํ ไมแ ยงกัน พึงสวด. คําวา น วิวทิตพฺพ ความวา ไมควรกลา วแยง กนั ในอรรถะกต็ าม ในพยัญชนะก็ตาม. คาํ วา เอโก ธมโฺ ม ความวาพระเถระมีความประสงคจ ะแสดงสามัคคีรสมาก ๆ อยาง เชน หมวดหนง่ึหมวดสอง หมวดสาม เปนตน จึงกลา ววา เอโก ธมฺโม ( ธรรมหนึ่ง)ดงั น้เี ปนอนั ดบั แรก. คําวา สพฺเพ สตฺตา หมายถงึ สัตวท ้งั ปวงในภพท้ังปวง เชนในกามภพเปน ตน ในสญั ญีภพเปนตนั และในเอกโวการภพเปนน้นั .คําวา อาหารฏ ติ กิ า มีบทนยิ ามวา สตั วเ หลา นัน้ ดํารงอยไู ดเพราะอาหารดงั นน้ั จงึ ชือ่ วา อาหารฏ ิตกิ า ผูดาํ รงอยูไดเพราะอาหาร. อาหารยอ มเปนเหตุแหงการดาํ รงอยไู ดแหงสรรพสตั ว ดวยประการดงั นี้. พระเถระแสดงความหมายวา \"ทานท้งั หลาย ธรรมหน่ึง คือ สตั วทั้งหลายดาํ รงอยูไดเพราะอาหารน้ี พระศาสดาของเราทั้งหลาย ทรงทราบตามความเปน จรงิแลว ไดต รสั ไดเ ปนอนั ถกู ตอง\". ก็เมื่อเปนอยางนี้ คาํ ทีต่ รัสไววา \"เทพจําพวกอสัญญสตั ตะ เปน อเหตุกะ ไมมอี าหาร ไมมผี ัสสะ\" ดงั นี้เปน ตนจะมเิ ปน อนั คลาดเคลื่อนไปละหรอื . ไมคลาดเคล่อื น ทง้ั นเ้ี พราะเทพพวกนั้นก็มีฌานเปน อาหาร. ถงึ อยางนั้นก็เถอะ, แมคําทตี่ รัสไววา ดูกอนภิกษุท้งั หลาย อันวา อาหารเพ่อื ความดาํ รงอยูของสตั วท ้ังหลายทเ่ี กิดมาแลว หรือเพอื่ การตามประคบั ประคองพวกสมั ภเวสที ง้ั หลาย มอี ยู ๔ อยา ง ๔ อยาง
พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 271อะไรขา ง ๑. กพฬิงการาหาร จะหยาบก็ตาม ละเอยี ดก็ตาม ๒. ผัสสาหาร๓. มโนสัญเจตนาหาร ๔. วิญญาณาหาร\" ดังน้ี ก็คลาดเคลอ่ื น.แมค ําน้ีก็ไมค ลาดเคลอ่ื น. เพราะวา ในพระสูตรน้ัน ตรัสธรรมทง้ั หลายท่ีมลี ักษณะเปน อาหารโดยตรงนน่ั แลวา \"อาหาร\". แตในที่นีต้ รสั เรียกปจจัยโดยออมวา \"อาหาร\" จรงิ อยู ปจจัยควรจะไดแกธรรมท้ังปวง. และปจ จยั นัน้ ยงั ผลใด ๆ ใหเกิด ก็ยอ มช่ือวา นํามาซ่งึ ผลนั้น ๆ เพราะฉะน้นัจงึ เรยี กไดว า อาหาร. ดว ยเหตุนัน้ แล จึงตรสั ไวว า \"ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลายแมอวิชชา เราก็กลาววา มีอาหาร มใิ ชไ มมีอาหาร, ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลายกอ็ ะไรเลา เปน อาหารของอวชิ ชา, ควรจะกลาว นิวรณ ๕ เปน อาหารของอวชิ ชา, ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย แมนวิ รณ ๕ เราก็กลา ววา มีอาหาร มิใชไมม ีอาหาร, ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลาย อะไรเลา เปน อาหารของนวิ รณ ๕, ควรจะกลาววา อโยนโิ สมนสกิ าร เปน อาหารของนวิ รณ ๕\" ดงั นี้, อาหารคือปจจัยน้ปี ระสงคเ อาในพระสตู รน้ี. ก็เม่ือถอื เอาปจจัยเปน อาหารอยา งหน่ึงแลว ก็ยอมเปนอันถือเอาทัง้ หมด ท้งั อาหารโดยออ ม ท้ังอาหารโดยตรง.ในอสัญญภพนั้น ยอ มไดป จ จัยอาหาร. เมอื่ พระพทุ ธเจา ยงั มิไดอ บุ ัตขิ ึน้ พวกนักบวชในลัทธิเดียรถีย ทาํบริกรรมในวาโยกสิณแลว ยงั ฌานท่ี ๔ ใหเ กดิ ข้ึนไดแลว ออกจากฌานนนั้ แลว ใหเกดิ ความยนิ ดี ชอบใจวา \"นาตเิ ตยี นจติ จิตนน้ี า ตเิ ตยี นแท,ชอ่ื วา การไมมจี ติ นั่นแล เปน ความด,ี เพราะอาศยั จติ จงึ เกิดทกุ ขอันมกี ารฆา และการจองจาํ เปน ตน เปนปจ จยั , เมอ่ื ไมมจี ิต ทกุ ขน ้นั ก็ยอมไมม ี\"ดงั น้ี ไมเสอื่ มฌาน สิน้ ชวี ติ แลว ไปเกดิ ในอสญั ญภพ. ผูใดต้ังมนั่ อิรยิ าบถใด ในมนษุ ยโลก, ผนู ้ันก็เกดิ โดยอิริยาบถนน้ั เปนผูยืนบา ง นั่งบา ง
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 272นอนบาง ตลอด ๕๐๐ กปั . เปนประดุจวานอนอยตู ลอดกาลนานถึงเพียงน้ีแมส ตั วท ้ังหลาย ท่มี ีรูปอยา งน้ี ก็ยอมไดปจจยั อาหาร. แทจริง สัตวเ หลาน้ันเจริญฌานใด แลว ไปเกดิ , ฌานน้ันแหละยอมเปนปจจัยของสตั วเหลานั้น.ปจจยั คอื ฌาน ยังมีอยูตราบใด กย็ อ มดาํ รงอยไู ดต ราบน้ัน อุปมาเหมือนลกู ศรท่ียงิ ไปดวยแรงสงแหงสาย, แรงสง แหง สายยงั มเิ พียงใด ก็พุงไปไดเพียงนน้ั ฉะนั้น. เมื่อปจจัยคือฌานนน้ั หมดลง สตั วเ หลา นนั้ ก็ยอ มตกไป ดจุ ลกู ศรท่ีสน้ิ แรงสงแหง สายฉะน้นั . สวนพวกสตั วน รกที่ทา นกลา วไววา มไิ ดเปน อยดู วยผลแหงความหม่ัน ทั้งมิไดเ ปน อยูด ว ยผลแหงบุญ เหลานีม้ อี ะไรเปนอาหาร. กรรมนนั่ เองเปน อาหารของสตั วนรกเหลา น้ัน. ถาจะถามวา อาหารมี ๕ อยางกระนั้นหรอื ?. ( ก็ตองตอบวา) คําวา \"๕ อยา งหรอื ไมใ ช ๕ อยาง\"น้ไี มค วรพดู , ทานกลา วคาํ น้ี ไวแ ลวมใิ ชห รือวา \"ปจ จยั คืออาหาร\"เพราะฉะนั้น สตั วเหลานน้ั เกิดในนรกดว ยกรรมใด กรรมน้นั นัน่ เองจัดวาเปนอาหาร เพราะเปน ปจจัยแหงความดาํ รงอยูของสตั วเหลาน้นั ดังทต่ี รสัมงุ หมายถงึ ไววา \"จะยังไมส ้ินชวี ิตตราบเทาทบี่ าปกรรมอันนั้น ยังไมห มดสน้ิ \". และในท่นี ีไ้ มค วรจะตองโตเ ถยี งกนั ดว ยเรอ่ื งกพฬิงการาหาร. เพราะแมแตนํ้าลายที่เกดิ ในปากก็ยังใหสาํ เร็จกิจในเชิงอาหารแกสัตวเ หลา นัน้ ได.จริงอยู นา้ํ ลายนน้ั ในนรกนับวา เปนทตี่ ้งั แหง ทุกขเวทนา ในสวรรคนับวาเปนทีต่ ั้งแหง สขุ เวทนา จัดวา เปน ปจ จยั ได. ดงั น้ัน ในกามภพ โดยตรง มอี าหาร ๔ อยา ง ในรปู ภพ และอรูปภพ ยกเวน อสัญญสัตตะ ท่เี หลือนอกนน้ั มอี าหาร ๓ อยา ง, สาํ หรับ
พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 273อสัญญสัตตะ และเทพอนื่ ๆ ( นอกจากทกี่ ลาวแลว ) มีอาหารคือปจ จัยอาหาร ดว ยประการดังน.ี้ พระเถระกลาวปญ หาขอ หน่งึ วา สัตวทง้ั ปวงดาํ รงอยไู ดเ พราะอาหาร ดวยอาหาร ตามที่แสดงมา นแ้ี ลว ไดแกไ ขปญ หาขอ ที่ ๒ วา \"สัตวทงั้ ปวงดํารงอยไู ดเพราะสังขาร\" ดงั นี้ โดยมิไดก าํ หนดหมาย อยา งน้วี า อย โข อาวโุ ส ( นแ้ี ลทา นทั้งหลาย ) ทัง้ มไิ ดไ ขความอีกวา อตฺถิ โข อาวุโส ( มีอยแู ล ทา นทง้ั หลาย). เพราะเหตไุ รจงึ มไิ ดก ําหนดหมาย ทง้ั มไิ ดไ ขความอกี . เพราะการที่จะเรียนและสอนในเม่อื มัวแตก าํ หนดหมาย ทั้งมัวแตไ ขความอยูน้นั เปน เรอื่ งยาก ฉะนน้ัทา นจึงแกไ ขทง้ั สอบประเด็นรวมกนั ไปเลย. แมในการแกไ ขปญ หาขอ ที่ ๒ น้ี ปจจัยท่ไี ดก ลาวมาแลวในหนหลงัน่นั เอง ก็เรยี กวา สังขาร เพราะปรุงแตง ผลของตน. อาหารปจ จยั ไดกลา วมาแลวในหนหลัง, ความแตกตา งกนั อยา งนอยทสี่ ดุ ในปญ หาขอนี้กค็ ือ ขอ นี้ - ในที่นี้ เปนสงั ขารปจ จยั . (แต) พระมหาสิวเถระกลา ววา\" เมอ่ื ถือเอาอยางนีว้ า \"อาหารโดยตรง ถือเอาแลว ในหนหลงั , ในท่ีนี้หมายเอาอาหารโดยออ ม ดังนี้ ความแตกตา งกนั กจ็ ะปรากฏขนึ้ , แตวาทานมิไดถอื เอา ( อยา งนน้ั )\". แทจ รงิ ธรรมท้ังทเี่ น่ืองดวยอินทรยี ทง้ั ท่ไี มเนื่องดว ยอินทรียค วรทจ่ี ะไดป จจัย แล. ข้นึ ชือ่ วาธรรม เวน จากปจจยั ยอ มไมม.ี บรรดาธรรม ๒ อยางนั้น ธรรมทไ่ี มเ นื่องดวยอินทรยี เชน หญา ตนไม และเครอื เถาเปนตน ยอมมีรสแผน ดนิ และรสนาํ้ เปนปจจัย . เพราะเมอื่ ฝนไมตก หญาเปน ตน กเ็ ห่ยี ว. แตจะสีเขยี วเม่ือฝนตก. รสแผนดนิ และรสนาํ้ เปน ปจจัย ของหญา เปน ตน เหลาน้นั
พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 274ดวยประการดังน้ี. ธรรมที่เนื่องดวยอนิ ทรียมีสิ่งเปน ตนวา อวชิ ชา ตณั หากรรม อาหาร, เปน ปจจัย ปจ จยั ในหนหลังน้ันแล ทา น เรียกวาอาหาร ( แต ) ในท่นี ้ี ทานเรียกวา สงั ขาร ความแตกตา งกันไมเ ร่ืองนี้ มเี พียงเทานแี้ ล. บทวา อย โข อาวุโส ความวา ทานทง้ั หลายธรรมหนง่ึ อันน้ี พระศาสดาของพวกเราประทบั น่ัง ณ มหาโพธิมณฑลทรงทาํ ใหแจงดว ยพระองคด ว ยพระสัพพญั ุตญาณแลวไดท รงแสดงไว อนั .เปนธรรมหน่งึ ทที่ า นทัง้ หลาย พึงสังคายนาพรอมเพรยี งกัน ไมพ งึ โตแ ยงกัน. คาํ วา ยถยิท พรฺ หมฺ าจริย ความวา ศาสนพรหมจรรยน ี้ พึงต้งั มน่ัอยไู ด ดงั ท่ีเมอื่ ทา นทง้ั หลายสงั คายนาอยู. คือเม่ือภิกษุรูปหนึ่งกลาววา\" ทานทัง้ หลายธรรมหนึ่งอนั พระศาสดาตรัสไวช อบแลว มีอย,ู ธรรมหนง่ึคืออะไร คือ สัตวท ง้ั ปวงดาํ รงอยไู ดเ พราะอาหาร สัตวท ัง้ ปวงดํารงอยไู ดเพราะสงั ขาร \" ดงั นี้, ภิกษรุ ปู หน่ึงไดฟ งคํากลาวของภิกษุรูปนน้ั แลวกบ็ อกกลาวตอไป อีกรปู หนึ่งไดฟงก็บอกกนั ตอ ไปอกี โดยกําหนดคาํ บอกกลา วสบื ๆ กันไป ดว ยประการอยา งน้แี ล พรหมจรรยน ก้ี จ็ ักดํารงอยตู ลอดกาลนาน เพอ่ื ประโยชนเก้อื กูลแกโลกพรอ มทง้ั เทวโลก ทานพระธรรมเสนาบดสี ารีบตุ รเถระไดแสดงสามัคคีรสดว ยอํานาจธรรมหมวดหนึง่ ดว ยประการดังนแี้ ล. จบธรรมหมวด ๑ วา ดวยธรรมหมวด ๒ ครน้ั แสดงสามัคครี ส ดว ยวาอํานาจธรรมหมวดหนงึ่ ดังกลา วมานี้แลว
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 275บดั นี้ พระเถระไดเ ร่มิ เทศนาตอ ไป เพ่อื แสดงดวยอาํ นาจธรรมหมวดสอง.ในธรรมหมวดสอง คอื นามรูป น้นั นาม ไดแ กอรูปขนั ธ ๔ และนพิ พาน ๑. บรรดาธรรมเหลา นี้ ขนั ธ ๔ ชอื่ วา นาม ดวยอรรถวานอมไป. คาํ วา ดว ยอรรถวา นอ มไป หมายความวา ดว ยอรรถวากระทําชื่อ. เหมอื นอยา งวา พระเจามหาสมมต มีพระนามวา \"มหาสมมต\"ก็เพราะมหาชนสมมติ ( ยกยอง, หมายรูพรอ มกนั ข้นึ ) หรอื เหมือนอยา งพอแม ตั้งช่ือใหเ ปนท่ีกาํ หนดหมายแกบ ุตร อยางนว้ี า \" คนนี้ชอื่ ดศิ คนนี้ช่อื บสุ \" หรอื เหมือนอยา งช่ือที่ไดมา โดยคุณสมบตั ิวา \" พระธรรมกถกึพระวนิ ัยธร\" ดังนี้ฉนั ใด, ขันธท งั้ หลายมเี วทนาเปน ตน จะไดช อ่ื ฉนั น้ันหามิได. แทจ ริง เวทนาเปนตน ยอมมชี อ่ื ของตนเกิดข้นึ ( เอง )เหมอื นมหาปฐพี เปน ตน . เมอ่ื ขันธเหลานนั้ เกิดขึ้นแลว ช่ือของขันธเหลาน้นั ก็เปน อันเกดิ ข้ึนดวยทีเดียว. เพราะไมมใี ครท่ีจะมากลาวกบัเวทนาท่ีเกดิ ขึ้นวา \"เจาจงชือ่ วาเวทนา\". และธุระทีจ่ ะตอ งตั้งช่ือแกเวทนานน้ั ดวยเหตอุ ยา งใดอยางหน่งึ กห็ ามไี ม. เหมือนอยางเมื่อแผนดินเกดิ ขน้ึ ก็ไมมีธรุ ะท่จี ะตอ งต้ังชอ่ื วา เจาจงช่อื แผน ดิน, เมือ่ จกั รวาล เขาพระสุเมรุ ดวงจนั ทร ดวงอาทิตย ดาวนกั ษัตรเกดิ ข้ึน ก็ไมมธี รุ ะทจ่ี ะตองต้งั ช่ือวา \"เจา จงชอื่ จักรวาล ฯลฯ เจา จงช่ือนกั ษัตร\" ช่ือเปน อนั เกิดขึ้นทเี ดยี ว ตกลงเปน บัญญัตทิ ี่เกิดข้ึนไดเ องฉนั ใด, เมื่อเวทนาเกดิ ข้ึน กไ็ มมีธรุ ะทีจ่ ะตอ งตั้งชอื่ วา \" เจา จงชื่อเวทนา\" เวทนาที่เกิดขน้ึ แลว ยอมเปนอันเกิด มีชอ่ื วา เวทนาเลยทีเดยี ว ฉันนั้น. แมสัญญาเปนตน ก็มนี ัยอยางน้ี. เวทนาแมในอดตี ก็คือชอ่ื วา เวทนา, สญั ญา, สงั ขาร วิญญาณในอดตี แมใ นอนาคต แมใ นปจ จบุ นั ก็คงช่อื วา สญั ญา สังขาร วิญญาณเชน เดยี วกัน. อน่ึง นิพพาน ทงั้ ในอนาคต ทงั้ ในปจจุบัน ก็คงชอ่ื วา
พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 276นิพพาน ทุกเมือ่ ไปแล. ช่อื วา นาม ดวยอรรถวา กระทําช่อื ดว ยประการดังน.้ี อนง่ึ ขนั ธ ๔ ในบรรดาธรรมเหลานัน้ ก็ชอื่ วา นามแมดว ยอรรถวา นอ มไป. เพราะขันธเหลา นั้น ยอ มมุง หนานอมไปในอารมณ. แมส่งิ ท้ังปวงกช็ ื่อวา นาม ดว ยอรรถวา นอมไป. ขันธ ๔ยอ มยงั กนั และกันใหนอมไปในอารมณ. นิพพานยอมยังธรรมอันไมม โี ทษใหนอ มไปในตน เพราะเปน ปจ จยั แหง ธรรมทเ่ี ปน ใหญใ นอารมณ. คาํ วารปู หมายถงึ มหาภตู รูป ๔ และรปู ท่อี าศยั มหาภูตรูป ๔. ทัง้ หมดนน้ั ชอ่ื วารปู เพราะอรรถวา ตองยอยยับไป. คําบรรยายโดยละเอยี ดสาํ หรบั รูปนน้ัพงึ ทราบตามนัยที่กลาวไวแ ลวในวสิ ทุ ธิมรรคปกรณ. คาํ วา อวชิ ชฺ ไดแกค วามไมร ใู นสจั จะ มที กุ ขเ ปน ตน . แมเรือ่ งนี้ก็ไดกลาวไวโ ดยละเอยี ดแลว ในวสิ ทุ ธิมรรคเชน กัน. คําวา ภวตณฺหาหมายถึงความปรารถนาภพ. สมดังท่ีตรัสไวว า \"บรรดาตณั หาเหลานั้นภวตณั หาคอื อะไร คอื ความพอใจ ความเปนในภพท้ังหลาย\" ดงั น้เี ปน อาท.ิ คาํ วา ภวทฏิ ิ ( นี้ ) ความเที่ยง ทา นเรียกวา ภวะ คอื ทฐิ ิที่เกิดข้นึ ดวยอํานาจความเห็นวา เที่ยง แมทฐิ นิ ้ันทานก็แถลงรายละเอียดไวแลวในพระอภิธรรมโดยนยั เปนตนราํ \"บรรดาทิฐเิ หลาน้นั ภวทฐิ ิคืออะไร คอื ทฐิ ไิ ดแ กค วามเห็นถึงขนาดนว้ี า \" ตนมี โลกมี \" ดงั นี.้ คาํ วาวภิ วทฏิ ิ (น้ี) ความขาดสญู ทานเรยี กวา วิภวะ คือทฐิ ิทเี่ กดิ ขนึ้ ดวยอํานาจเห็นวา ขาดสญู แมท ่นี น้ั ทานก็แถลงรายละเอียดไวแลว ในพระอภิธรรมเชน เดยี วกันโดยนยั เปนตน วา \"บรรดาทิฐเิ หลา นัน้ วิภวทิฐคิ ืออะไร คอื ทฐิ ิ ไดแกค วามเหน็ ถึงขนาดน้วี า \"ตนไมม ี โลกไมม \"ี ดังน้ี.
พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 277 คําวา อหริ กิ ไดแ กค วามไมละอาย ทที่ านแถลงรายละเอียดไวอยางน้ีวา \" ความไมล ะอายดว ยส่ิงท่ีควรจะละอาย.\" คําวา อโนตฺตปปฺ ไดแ กอ าการทไี่ มห วาดกลวั ท่ีทา นแถลงรายละเอยี ดไวอ ยางนว้ี า \"ความไมสะดงุ กลัวดว ยสงิ่ ทีค่ วรจะสะดงุ กลวั .\" คําวา หิริ จ โอตตฺ ปปฺ จฺ ไดแกค วามละอาย และความสะดุงกลวัที่ทา นแถลงรายละเอียดไวอ ยางน้วี า \" ความละอายดว ยสงิ่ ทีค่ วรละอายความสะดงุ กลวั ดวยสิง่ ทค่ี วรสะดุงกลัว\" อีกประการหนึง่ บรรดาธรรม๒ อยางนี้ หริ ิ มีสมฏุ ฐานจากภายใน โอตตัปปะ มีสมุฏฐานจากภายนอกหิรมิ ตี นเปน ใหญ โอตตปั ปะ มโี ลกเปน ใหญ หริ ิตั้งขึน้ เพราะสภาวะ คอืความละอายใจ โอตตปั ปะ. ตัง้ ข้ึนเพราะสภาวะ คอื ความกลวั . คําอธบิ ายโดยละเอียดในเรอื่ งหริ โิ อตตปั ปะน้ี ไดกลา วไวครบถวนแลวในวิสทุ ธมิ รรค. คาํ วา โทวจสสฺ ตา มีบทนยิ าม ดังนี้ - การวา กลา วในบุคคลน้ีผมู กั ถือเอาแตสิ่งนา รงั เกียจติดใจในสิง่ ท่ีเปน ขาศกึ ไมเ อ้ือเฟอ เธอฟง เปนการยาก ดังน้นั บคุ คลผูนี้จงึ ชื่อ ทุพฺพโจ ผูว ายาก การกระทาํ ของบคุ คลผวู า ยากนัน้ ชื่อวา โทวจสฺส , ภาวะของโทวจัสสะนัน้ ช่ือวา โทวจสสฺ ตาภาวะแหง การกระทําของผูว ายาก - ความเปน ผวู ายาก. ความเปนผวู า ยากนี้รายละเอียดมมี าในพระอภธิ รรมวา \"บรรดาธรรมเหลานนั้ โทวจัสสตาคืออะไร. คือความเปน ผวู า ยากสอนยาก ในเมือ่ เพอื่ นสหธรรมกิ กําลงั วากลา วตกั เตือนอยู \". โทวจัสสตานั้น โดยความหมาย ยอ มเปนสังขารขันธ.แตบ างทานกลา ววา คํานเี้ ปนชอ่ื ของขนั ธทงั้ ๔ ที่เปนไปโดยอาการเชน น้.ีคาํ วา ปาปมิตฺตตา มีบทนยิ ามดังนี.้ - คนช่ัวท้ังหลาย มคี นไรศรทั ธา
พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 278เปนตน เปนมติ รของผูนน้ั ดังนัน้ เขาจงึ ช่ือวา ปาปมิตฺโต ( ผูม คี นชว่ัเปน มติ ร ) ภาวะแหง ปาปมติ ตะนน้ั ช่ือวา ปาปมิตตฺ า ( ความเปนผมู ีคนชั่วเปน มิตร ). ความเปนผูมีคนช่วั เปนมิตรน้ี รายละเอียดมมี าในพระอภิธรรม อยา งน้วี า \"บรรดาธรรมเหลานน้ั ปาปมติ ตฺ ตา คอื อะไร ?คอื การคบหาสมาคมสองเสพ มว่ั สมุ จงรกั ภกั ดี ประพฤตคิ ลอยตามบคุ คลผูไ รศ รัทธา ทุศลี ขาดการศึกษา ตระหน่ี และไมม ปี ญ ญา \".แมปาปมติ ตตานัน้ โดยความหมาย ก็พงึ ทราบเชนเดียวกับ โทวจสั สตา. ความเปนผวู า งาย และความมีคนดีเปนมติ ร พึงทราบโดยนัยตรงกันขา มจากทีก่ ลา วมาแลว. คณุ ธรรมท้ัง ๒ ประการนี้ ในทีน่ ี้ ทา นกลา วระคนกันท้งั โลกิยะ และโลกุตระ. คําวา อาปตตฺ กิ สุ ลตา คอื ความเปน ผูฉ ลาดในเร่ืองอาบตั ิ ทีท่ านกลาวไวอยางนีว้ า \"ความเปน ผฉู ลาดในอาบตั ิ คอื ความรู ความเขาใจในเร่อื งอาบตั ิ ๕ กอง อาบตั ิ ๗ กองเหลา นั้น\". คาํ วาอาปตฺติวฏุ านกุสลตาคือความรูค วามเขา ใจเรอื่ งกาํ หนดการออกจากอาบัติ พรอมทง้ั กรรมวาจา ที่ทา นกลาวไวอ ยางน้ีวา \"ความเปน ผฉู ลาด ความรูความเขาใจเรื่องการออกจากอาบัตเิ หลา น้นั \" คาํ วา สมาปตฺติกสุ ลตา คอื ความรู ความเขา ใจเรอ่ื งกาํ หนดอปั ปนาพรอมท้งั บรกิ รรม ท่ที านกลา วไวอยางน้ีวา \" ความเปนผูฉลาดความรู ความเขา ใจเร่อื งสมาบัติ เหลา น้นั ทม่ี ีอยู ท้ังท่เี ปนสมาบัตทิ ี่มวี ติ กวิจาร, สมาบตั ทิ ไ่ี มมีวิตก มเี พยี งวจิ าร, สมาบัตทิ ี่ไมม ีทง้ั วิตกวจิ าร\"คําวา สมาปตตฺ วิ ฏุ านกสุ ลตา คือปญญาเครอ่ื งกาํ หนดเวลาที่จะออกจาก
พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 279สมาบตั ิวา \"พอตะวันเกินไปแคน ี้ เราจะออก\" ซง่ึ เปนปญญาทส่ี ามารถจะออกจากสมาบัติไดต รงตามเวลาท่ีกําหนด ท่ที านกลาวไวอยา งน้วี า \"ความเปนผูฉ ลาด ความรู ความเขาใจ เรอ่ื งการออกจากสมาบัติเหลา นัน้ \". คาํ วา ธาตุกสุ ลตา คอื ปญ ญาในการสดับฟง การทรงจาํ การพิจารณา และการรแู จง อันเปน เครื่องกําหนดสภาวะแหง ธาตุ ๑๘ ที่ทา นกลา วไวอ ยางน้วี า \" ความเปนผฉู ลาดในธาตุ คอื ความรู ความเขาใจเรอ่ื งธาตุ ๑๘ อยาง คอื จักษธุ าตุ ฯลฯ มโนวญิ ญาณธาตุ\". คําวามนสิการกสุ ลตา ไดแกปญ ญาในการพิจารณา การรูแ จง การเพง พศิธาตุท้งั หลายเหลา น้นั แล ทที่ านกลาวไวอยา งน้วี า \" ความเปนผฉู ลาดความรู ความเขา ใจธาตุท้ังหลายเหลา น้นั \". คําวา อายตนกุสลตา คือ ปญ ญาในการเรยี นรู การใสใจ การเขาใจ อายตนะ ๑๒ ทที่ า นกลาวไวอยา งนวี้ า ความเปน ผฉู ลาดในอายตนะคอื ความรู ความเขา ใจอายตนะ ๑๒ คือ จกั ษอุ ายตนะ ฯลฯ ธรรมายตนะ\".อกี ประการหน่ึง ท้งั ความเปนผฉู ลาดในธาตุ ความเปนผฉู ลาดในมนสกิ ารทั้งความเปนผูฉลาดในอายตนะ ยอ มควร ในการเรียนรู การใสใจ การสดับฟง การพจิ ารณา การรแู จง และการเพงพศิ . สว นความแตกตา งกนัในธรรมเหลาน้ี มดี ังน้ี การสดับฟง การเรียนรู และการเพงพศิ เปนโลกยิ ะ, การรแู จง เปน โลกตุ ระ, การพจิ ารณา การใสใ จเปนโลกิยะและโลกตุ ระระคนกัน. คาํ วา ปฏิจจฺ สมุปฺปาทกุสลตา คือ ปญญาที่เปนไปดว ยอํานาจเปนตนวาการเรยี นรปู จ จยาการ ๑๒ ทท่ี านกลาวไวอยา งนว้ี า ความรู ความเขาใจ ในปจจยาการทวี่ า เพราะอวิชชาเปนปจจัย
พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 280จงึ มีสังขาร ฯลฯ ความเกดิ ขน้ึ แหงกองทกุ ขท ัง้ ปวงน้ี ยอมมีได ดวยประการดังน้\"ี . คาํ วา านกสุ ลตา คอื ปญญาอนั สามารถในการกาํ หนดฐานะอยางนวี้ า \"จักษุ รูป เปนฐานะและเปน เหตแุ หง จกั ษุวญิ าณ ซง่ึ เกดิ ขนึ้โดยกระทาํ จกั ษใุ หเปน ทตี่ ัง้ และกระทํารปู ใหเปน อารมณ ทา นกลาวไวใ นพระอภิธรรม อยางนีว้ า \" ความรู ความเขา ใจ ในธรรมทง้ั หลาย วา เปนเหตุ เปน ปจจยั อาศัยธรรมเหลา ใด ๆ ธรรมนัน้ ๆ จดั เปน ฐานะ \". คาํ วาอฏ านกสุ ลตา คือ ปญญาอันสามารถในการกําหนด อฐานะอยา งนี้วา\" โสตวญิ ญาณเปนตน ยอ มไมเกดิ ข้นึ โดยกระทําจกั ษุใหเ ปนทต่ี ัง้ และกระทาํ รูปใหเปน อารมณ, เพราะฉะน้ัน จักษุรปู จึงไมเ ปน ฐาน ไมเปน เหตุแหงโสตวิญญาณเปน ตนเหลา นั้น ทา นกลา วไวในพระอภิธรรมวา ความรูความเขาใจในธรรมทงั้ หลายวา มิใชเ ปนเหตุ มิใชเปน ปจ จัย อาศัยธรรมเหลา ใด ๆ ธรรมนั้น ๆ จัดเปน อฐานะ\". อกี ประการหน่งึ พึงทราบความหมายในธรรมหมวดสองนี้ โดยพระสูตรนว้ี า \" ขาแตพระองคผเู จรญิดวยเหตเุ พียงเทาไร จึงควรจะกลา วไดวา ภิกษุเปนผฉู ลาดในฐานะและอฐานะ. ดกู อ นอานนท ภกิ ษุในพระธรรมวนิ ัยนี้ ยอ มรูชัดวา ขอท่ีบุคคลผสู มบรู ณดว ยทฐิ ิ พงึ เขาไปยดึ สังขารไร ๆ โดยเปนของเท่ียง น่ันไมเปนฐานะ ไมเ ปนโอกาสที่จะมไิ ด สวนขอ ท่ีปุถชุ นจะพงึ เขาไปยดึ สังขารไร ๆโดยเปน ของเท่ยี ง น่นั เปนฐานะท่จี ะมิได\" . คาํ วา อาชชฺ ว ไดแก ความไมตรง ๓ ชนิด คือ โคมตุ ตวังกตาจนั ทวังกตา และ นังคลโกฏิวงั กตา. อธบิ ายวา ภิกษบุ างรปู ในปฐมวยั
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 281ประพฤติในอเนสนา ๒๑ และอโคจร ๖ แตใ นมัชฌมิ วยั และปจฉมิ วยัเปนผูมคี วามละอาย รังเกยี จ ใครการศกึ ษา, อันน้ีช่ือวา โคมุตตวงั กตา(คดดงั โคมูตร). ภกิ ษรุ ูปหนึง่ ในปฐมวัย และปจฉมิ วัย บาํ เพญ็ จตปุ าริ-สทุ ธศิ ีล มคี วามละอาย รังเกยี จ ใครตอ การศึกษา แตในมชั ฌมิ วยัเหมอื นกบั รูปกอ น อันน้ชี ่อื วา จันทวงั กตา ( คดดงั วงจันทร). ภิกษรุ ปูหน่ึง ทงั้ ในปฐมวัย และมัชฌมิ วัย บาํ เพ็ญจตปุ ารสิ ุทธศิ ลี มีความละอายรังเกยี จ ใครต อ การศึกษา แตใ นปจฉิมวัย เหมอื นกบั รูปกอน อนั นช้ี ่ือวานังคลโกฏวิ งั กตา ( คดดงั ปลายไถ ). ภิกษุรูปหนึ่ง ละความคดทัง้ หมดน่นัเสียแลว มีศลี มคี วามละอาย รังเกียจ ใครตอ การศึกษา ทั้ง ๓ วัยความตรงของภิกษุรูปนน้ั อันนแ้ี ล ช่อื วา อาชฺชว . แมในพระอภิธรรมก็กลา วไวว า \"บรรดาธรรมเหลา นนั้ อาชชวะ คอื อะไร คือ ความตรงความไมงอ ความไมคด ความไมโกง. อนั น้ี เรียกวา อาชชวะ. คําวาลชชฺ ว ไดแ กค วามเปน มีความละอาย ทท่ี านกลา วไวอ ยางนี้วา \"บรรดาธรรมเหลานน้ั ลชั ชวะ คอื อะไร คือ ละอายดวยส่งิ ทีค่ วรละอาย ละอายตอการประพฤติบาปกรรม อกุศลธรรม อนั น้เี รยี กวา ลชั ชวะ\". คําวา ขนตฺ ิ ไดแกอ ธิวาสนขนั ติ ทีท่ านกลา วไวอยางน้ี \"บรรดาธรรมเหลา นัน้ ขนั ติ คอื อะไร คือ ความอด ความทน ความกลั้น ความไมเดือดดาล ความไมห ุนหนั พลนั แลน ความใจเย็น แหง จติ \". คําวา โสรจฺจไดแ กความเสงี่ยม ทีท่ านกลา วไวอ ยไู วอ ยา งนวี้ า \"บรรดาธรรมเหลานน้ั โสรจั จะคืออะไร คือ ความไมล วงลน ออกมาทางกาย ความไมล ว งลน ออกมาทางวาจาความไมล ว งลน ออกมาทางกายและวาจา, นเ้ี รียกวา โสรจั จะ, แมศีลสงั วร
พระสุตตันตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 282ท้งั หมด ก็จดั วา เปนโสรัจจะ\". คําวา สาขลยฺ ไดแกความเปน ผรู าเรงิ ออนโยน ท่ีทา นกลา วไวอยา งนี้วา \"บรรดาธรรมเหลา น้ัน สาขัลยะ คือ อะไร คือ ความมีวาจาออ นหวาน ความมวี าจาไพเราะ ความมีวาจาไมห ยาบ ในทานผลู ะถอยคําอันหยาบชา สามานย เผ็ดรอน ดดุ าผูอ ่นื ชวนโกรธ ไมเปน ไปเพือ่ความสงบ เชนนั้นเสยี แลว พดู จาแตถอ ยคําอนั สภุ าพ เสนาะโสต นา รักถูกใจ ทนั สมัย เปน ทพ่ี อใจ รักใครขอชนหมูม าก เชนน้นั . นเ้ี รียกวาสาขัลยะ\". คาํ วา ปฏสิ นถฺ าโร ไดแกก ารรับรองดว ยอามสิ และดวยธรรมเหมือนกับวา ปูตัง่ ดว ยเครือ่ งลาด โดยลักษณะทโ่ี ลกสนั นิวาสน้ี ซง่ึ มีชองอยู ๒ ชอง คอื ชองอามิส และชองธรรม น้นั จะไมป รากฎชอ งไดเลย.แมใน พระอภธิ รรม กก็ ลา วไววา \"บรรดาธรรมเหลานนั้ ปฏิสันถารคอื อะไร คอื ปฏิสนั ถาร ๒ อยา ง ไดแก อามิสปฏิสันถาร การรับรองดว ยอามสิ และ ธรรมปฏิสนั ถาร การรับรองดว ยธรรม, บางตนในโลกนี้เปนผปู ฏสิ นั ถาร ดวยอามิสปฏสิ ันถารบา ง ดว ยธรรมปฏสิ นั ถารบาง, น้ีเรียกวา ปฏิสนั ถาร\". และในทีน่ ัน้ การเคราะหดวยอามสิ ช่ือวา อามิส-ปฏิสนั ถาร. เมื่อจะทําอามิสปฏิสันถารนั้น แกบ ดิ ามารดา ชาววัด แกไวยา-วัจกร แกพระราชาและแกโจร ไมค วรจะเอาสวนดี ๆ ไว เสยี กอ นแลวให(แตส วนทีไ่ มดี) เพราะเมอื่ ถอื เอาเสยี กอ นแลว จึงให (เชน นัน้ ) พระราชาและโจร ยอ มจะทาํ ความพนิ าศใหบ าง ใหถงึ ส้นิ ชวี ิตบาง เมื่อไมถอื เอากอนแลวให พระราชาและโจรยอ มจะพอใจ. และในกรณเี ชน น้ี ควรจะ
พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 283เลาเร่อื งโจรนาคเปน ตน ( เปนตวั อยาง ). เรอื่ งเหลา นนั้ มีรายละเอียดอยูในสมันตปาสาทกิ าอรรถกถาพระวนิ ัยแลว . การต้งั ใจสงเคราะหดว ยธรรมอยางน้ี คอื ใหอุเทศ อธิบายพระบาลี กลา วธรรมกถา ชอื่ วา ธรรมปฏิสนั ถาร. คาํ วา อวหิ สึ า หมายเอาท้ังกรณุ า ท้งั บุรพภาคแหง กรุณา. ขอ น้ีทา นกลา วไวว า \"บรรดาธรรมเหลานัน้ อวิหงิ สา คอื อะไร คือ ความกรณุ าสงสาร เอน็ ดใู นสตั วทั้งหลาย รวมทั้งกรณุ าเจโตวมิ ุตติ ( การหลุดพน ดวยใจ โดยอาศยั กรุณา ), นเ้ี รยี กวา อวหิ งิ สา\". คาํ วา โสเจยยฺ หมายถึงความสะอาด ดวยอํานาจเมตตา และบรุ พภาคแหง เมตตา. ขอน้ีทา นกลาวไววา \"บรรดาธรรมเหลาน้นั โสเจยยะ คืออะไร คอื ไมตรีความเมตตา รกั ใคร ในสัตวทัง้ หลาย รวมท้ังเมตตาเจโตวิมุตติ ( การหลดุ พัน ดวยใจโดยอาศัยเมตตา ) นี้เรยี กวา โสเจยยะ\". คําวา มฏุ สจฺจ คอื การอยอู ยา งขาดสติ สมดังที่กลาวไววาบรรดาธรรมเหลา นัน้ มฏุ ฐสัจจะ คืออะไร คือ ไมม สี ติ ระลกึ ตามไปไมไดระลึกยอ นไปก็ไมได นกึ ไมอ อก จําไมไ ด ฟนเฟอ น หลงลืม, นี้เรียกวามฏุ ฐสัจจะ. คาํ วา อสมฺปชฺ ไดแ ก อวชิ ชานัน่ เอง ทท่ี านกลาวไวอยางนวี้ า \" บรรดาธรรมเหลา น้ัน อสัมปชัญญะ คือ อะไร คือความไมร ูไมเหน็ ฯ ล ฯ ขดั ของเพราะอวชิ ชา ความหลง อกุศลมลู \". สติ ก็คือสตนิ ่ันเอง. สมั ปชัญญะ คอื ญาณ ( ความร)ู . คาํ วา อินฺทฺริเยสุ อคตุ ตฺ ทวฺ ารตา หมายถงึ การขาดความสาํ รวมอนิ ทรยี ทีท่ านแถลงไวอ ยางละเอยี ดโดยนยั เปน ตน วา \" บรรดาธรรม
พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 284เหลานน้ั ความไมค ุม ครองทวารในอนิ ทรยี ทง้ั หลาย คืออะไร คอื (อาการท่ี)ภกิ ษบุ างรปู ในพระศาสนานี้ เห็นรปู ดว ยจักษแุ ลวเปนผยู ึดถอื เอาโดยนิมิต\". คาํ วา โภชเน อมตฺตฺตุ า คือ ความไมร จู กั ประมาณในโภชนะทมี่ าอยางนว้ี า \"บรรดาธรรมเหลา น้นั ความไมรจู กั ประมาณในโภชนะคอื อะไร คอื ภกิ ษุบางรปู ในพระศาสนาน้ี ไมพ จิ ารณาเสียกอ น บริโภคอาหารโดยไมแยบคาย เพอ่ื เลน เพือ่ มวั เมา เพอื่ ดกแตง เพอื่ สวยงาม.ความไมสนั โดษ ความไมร จู กั ประมาณ ในโภชนะทีม่ ไิ ดพ ิจารณา ( แลวบริโภค)\". ธรรมหมวดสองในลําดับนัน้ พงึ ทราบโดยนยั ตรงกันขา มจากท่ีกลา วแลว. คาํ วา ปฏสิ งขฺ านพล ไดแ ก ญาณอันไมหว่นั ไหว เพราะไมไดพจิ ารณา ทีท่ านแถลงรายละเอียดไวอ ยางนีว้ า \"บรรดาธรรมเหลานั้นปฏิสังขานพละ คืออะไร คือ ความรู ความเขาใจ\". คาํ วา ภาวนาพลหมายถึงพละทีเ่ กิดข้ึนแกท า นผอู บรมอยู. โดยความหมาย กค็ อื โพชฌงค ๗โดยหวั ขอมีวิรยิ สมั โพชฌงค. ดงั ท่ที า นกลา วไวว า \"บรรดาธรรมเหลา น้ันภาวนาพละ คืออะไร คอื การเสพคนุ การทําใหม ี การทําใหม าก ซ่งึกศุ ลธรรมท้งั หลาย นีเ้ รียกวา ภาวนาพละ, แมโพชฌงค ๗ กจ็ ัดเปนภาวนาพละ\". คาํ วา สตพิ ล กค็ ือ สตินน่ั เอง โดยท่ไี มห วนั่ ไหวไปเพราะความไมมีสติ. คาํ วา สมาธพิ ล ก็คอื สมาธินน่ั เอง โดยทไ่ี มห วน่ั ไหวไปเพราะความฟุงซา น.
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 285 สมถะ คอื สมาธ.ิ วปิ ส สนา คอื ปญ ญา. สมถะนัน่ เอง ช่อื วา สมถนิมติ ดว ยอาํ นาจนิมติ แหง สมถะ ทีถ่ อื เอาอาการนน้ั แลว พงึ ใหเ ปน ไปอีก. แมในปค คาหนิมติ ( นิมติ ทเี่ กิดเพราะความเพียร ) ก็นัยนีเ้ ชนกนั . ปค คาหะ กค็ ือความเพียร. อวิกเขปะ ก็คือความมีใจแนว แน. ตอจากธรรมหมวดสอง ทัง้ ๖ คู เหลา น้ี คอื สติและสัมปชญั ญะ ๑ ปฏิสงั ขาน-พละและภาวนาพละ ๑ สติพละและสมาธิพละ ๑ สมถะ และวปิ สสนา ๑สมถนมิ ติ และปคคาหนิมติ ๑ ปค คาหะและอวกิ เขปะ ๑ พระเถระไดกลาวธรรมท้ังโลกยิ ะ และโลกุตระระคนกัน คอื ศีลสมั ปทาและทฐิ ิสัมปทาอยางละค.ู คาํ วา สลี วปิ ตตฺ ิ หมายถงึ ความไมส ํารวมอนั เปนตัวการทาํ ศีลใหพนิ าศ ที่ทา นกลาวไวอยา งนี้วา \"บรรดาธรรมเหลา นั้น ศลี วิบตั ิ คอื อะไรคอื ความลว งละเมดิ ทางกาย ฯลฯ ความเปน ผทู ุศีล ทกุ อยา ง ชอ่ื วาศลี วิบัต.ิ \" คาํ วา ทิฏิวปิ ตตฺ ิ หมายถึงมจิ ฉาทฐิ ิอนั เปนตวั การทําสัมมาทฐิ ิใหพนิ าศ ทม่ี าแลวอยางนี้วา \"บรรดาธรรมเหลานัน้ ทฐิ วิ บิ ัติคอื อะไรคือความเห็นทีว่ าใหท านไมม ีผล บูชาไมมีผล \". คําวา สีลสมฺปทา ความวา โสรจั จะน่ันเองทก่ี ลา วไวข า งตนอยา งนี้วา \"บรรดาธรรมเหลา น้ัน ศลี สมั ปทาคือ อะไร คือ ความไมลว งละเมดิ ทางกาย\" ดงั นี้ เรยี กชอื่ วาศีลสัมปทา เพราะยงั ศีลใหถ งึ พรอมบริบรู ณ. แตค ําที่กลา วในท่ีน้วี า \"ศลี สังวรทง้ั หมด ช่ือวาศีลสมั ปทา\" น้ีกลาวไวเพอ่ื จะรวมเอาความไมลวงละเมิดทางใจเขา มาดว ยใหค รบถวน.คาํ วา ทฏิ สิ มฺปทา หมายถึงญาณ อนั เปน เครือ่ งทาํ ทฐิ ใิ หบรบิ รู ณ ที่มา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 476
Pages: