Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_16

tripitaka_16

Published by sadudees, 2017-01-10 01:16:29

Description: tripitaka_16

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 361 คําเปน ตน วา อาวโุ ส ภกิ ษุผูขีณาสพเปนผไู มค วรทีจ่ ะแกลง ฆา สัตวดงั น้ี เปน หัวขอ แหงเทศนานน้ั แล. ถงึ แมพระโสดาบันเปนตน ก็เปนผูไมค วร. การนนิ ทาและการสรรเสริญ ทานกลาวไวอยางนี้ สาํ หรบั ปถุ ชุ นและพระขณี าสพ. ธรรมดาวา ปุถุชน ที่เปน คนตาํ่ ชา ยอมทาํ แมก ารฆามารดาเสียก็ได. สวนพระขณี าสพ เปน ผูส ูงสง ยอ มไมก ระทาํ แมก ารฆามดดํามดแดงเปน ตน . ในความยอยยบั ทั้งหลาย มีเนื้อความดงั ตอ ไปน้ี . ขอวา พยฺ สติแปลวา ความฉบิ หาย. อธบิ ายวา ซัดไป คอื กาํ จัดประโยชนเก้อื กลูและความสุขเสยี . ความพนิ าศแหงญาติ ช่ือวา ญาตพิ ยสนะ. อธบิ ายวาความพินาศแหง ญาติ เพราะโจรภัย และโรคภัยเปนตน. ความพนิ าศแหงโภคะ ชือ่ วา โภคพยสนะ. อธิบายวา ความพนิ าศแหง โภคะ ดวยอํานาจพระราชา และโจรเปน ตน. ความพนิ าศคอื โรค ชื่อวา โรคพยสนะ.จรงิ อยู โรคยอมทาํ ลาย คอื ยงั ความไมมโี รค ใหพ ินาศไป เพราะเหตุนนั้จึงชอื่ วา พยสนะ. ความพินาศแหง ศีล ชอื่ วา สีลพยสนะ. คํานเ้ี ปนชื่อของความทศุ ลี . ความยอ ยยับ คอื ทฏิ ฐิ ซึง่ ทาํ สัมมาทฏิ ฐใิ หพ นิ าศเกิดขึ้น ช่ือวา ทฏิ ฐิพยสนะ. ก็ในขอ น้ี ความยอยยับ ๓ อยา ง มคี วามยอ ยยับแหงญาตเิ ปนตน เปนอกศุ ลหามิได ( ทัง้ ) ไมท าํ ลายลกั ษณะ ๓ดวย. ความยอยยบั แหง ศลี และทฏิ ฐทิ ั้ง ๒ เปนอกุศล ไมท ําลายลกั ษณะ ๓.เพราะเหตนุ ้นั นนั่ แหละทานจงึ กลาวคาํ เปน ตน วา นาวุโส สตตฺ าญาติพฺยสนเหตุ วา ดังนี.้

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 362 ขอวา าตสิ มปฺ ทา ความวา ความถงึ พรอ ม ความบรบิ รู ณความมีญาติมาก. แมในความถึงพรอ มแหง โภคะเปนตน กน็ ยั น้ี. ความถงึพรอมแหงความเปนผไู มมโี รค ช่อื วา อาโรคยสมั ปทา ไดแก ความเปนผูไมม โี รคตลอดกาลนาน. แมในความถงึ พรอมแหง ศลี และทฏิ ฐิเปนตนกน็ ยั น้ี. แมใ นขอนี้ ความถึงพรอมแหง ญาติเปนตน ไมเปน กศุ ล ไมทาํ ลายลกั ษณะ ๓. ความถึงพรอมแหง ศลี และทฏิ ฐิ เปน กศุ ลไมท ําลายลักษณะ ๓.เพราะเหตนุ นั้ นน่ั แหละ ทานจงึ กลา วคําเปน ตน วา นาวุโส สตฺตา ญาติ-สมปฺ ทาเหตุ วา. กถาวา ดว ยศลี วิบตั ิ และศีลสมบัติ ทา นใหพิสดารแลวในมหาปรนิ ิพพานสูตรแล. ขอ วา โจทเกน ความวา ถกู โจทดว ยเรอ่ื งสําหรบั โจท ๔ อยางคือการเทียบเคยี งเร่ืองราว การเทยี บเคียงอาบตั ิ การหา มการอยูรว ม การหามสามจี กิ รรม.ในขอวา กาเลน วกขฺ ามิ โน อกาเลน ความวา สาํ หรับจาํ เลยตอ งบอกเวลาสาํ หรับโจทกไ มตอง จริงอยู ภกิ ษุเมอื่ จะโจท ผูอ ืน่ ไมพึงโจทในทา มกลางบริษัท ในโรงอุโบสถ ในโรงปวารณา หรอื ในโรงฉนั โรงเลยี้ งเปน ตน. เวลาท่ที านนงั่ พกั ในทพี่ ักกลางวัน พงึ ใหท า นใหโ อกาสเสยี กอนแลวจึงโจทขึ้นอยา งนี้วา ทานผมู ีอายุ ขอทา นจงใหโ อกาส ผมตอ งการจะพดู กับทาน. ก็ครัน้ สอบสวนบุคคลแลว ผใู ดเปนบคุ คลเหลาะแหละพดู เทจ็ ยกโทษมิใชยศข้ึนแกพวกภกิ ษทุ ง้ั หลาย ผูน ั้นแมเวน การทําโอกาสก็โจทได. ขอวา ภูเตน ความวา ตามสภาพทเ่ี ปน จรงิ . ขอ วา สณเฺ หนความวา เกล้ียงเกลา ออนโยน. ขอ วา อตถฺ สฺหเิ ตน ความวา ดวยการเขา ถึงโดยความเปนผใู ครประโยชน ความเปน ผูใครความเกือ้ กูล.

พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 363 ขอ วา ปธานิยงฺคานิ ความวา ภาวะทเ่ี ปน ท่ตี งั้ ทา นเรยี กวาปธาน. ปธานของบคุ คลนัน้ มอี ยู เหตุนั้นบุคคลน้ันชอื่ วา ปธานิยะ.องคแ หง ภกิ ษุผมู ปี าน ช่ือวา ปธานยิ ังคะ (องคแ หง ภิกษุผมู คี วามเพยี ร).ขอ วา สทฺโธ ความวา ประกอบดวยศรัทธา. ก็ศรัทธามี ๔ อยา งคืออาคมนศรัทธา อธิคมนศรัทธา โอกัปปนศรัทธา ปสาทศรทั ธา.บรรดาศรทั ธา ๔ อยา งนน้ั ความเชือ่ ตอ ปญญาเปน เครือ่ งตรสั รูข องพระโพธสิ ตั วทงั้ หลาย ชือ่ วา อาคมนศรัทธา เพราะมาแลว ตง้ั แต ( เริม่ ทําอภินิหาร. ความเช่ือตอพระอริยสาวกทัง้ หลาย ชอื่ วา. อธคิ มนศรทั ธาเพราะบรรลุแลวดว ยการแทงตลอด. เม่ือมีคนกลาววา พระพทุ ธเจา พระ-ธรรม พระสงฆ ดังนแี้ ลว การปลงใจลงเชือ่ โดยความไมหวัน่ ไหว ชือ่ วาโอกัปปนศรทั ธา. ความเกดิ ขน้ึ แหง ความเลือ่ มใส ชอื่ วา ปสาทศรัทธา.ในท่นี ้ีทา นประสงคเอาศรัทธาคือการปลงใจลงเช่อื . ขอวา โพธิ ไดแ กญาณในมรรคที่ ๔. บคุ คลยอมเชอ่ื วา ญาณในมรรคท่ี ๔ น้นั เปนอนั พระตถาคตเจาตรัสรูแลว. กค็ าํ น้เี ปนแงแหง เทศนานน้ั เทียว. ก็ความเชอ่ื ในรตั นะแมทงั้ ๓ ประการดวยองคน ี้ ทา นประสงคเ อาแลว . จรงิ อยู ความเลอื่ มใสในพระรตั นตรัย มพี ระพุทธเจาเปน ตน ของบคุ คลใดเปนสภาพมีกําลัง ความเพยี รทีต่ ้ังไวข องบคุ คลนัน้ ยอ มสาํ เร็จได. ขอ วา อุปฺปาพาโธแปลวา ไมม โี รค. ขอวา อปฺปาตงฺโก แปลวา หมดทกุ ข. ขอวา สมเว-ปากินิยา แปลวา มผี ลสุกงอม. ขอ วา คหณิยา ไดแ ก เตโชธาตุ ซึ่งเกิดแตกรรม ขอ วา นาติสีตาย นาจจฺ ุณฺหาย ความวา กบ็ คุ คลทม่ี ีน้ํายอ ยออกมาเย็นมาก. ยอมกลัวตอ ความเยน็ บคุ คลทม่ี นี า้ํ ยอยออกมารอ นมากยอมกลวั ตอ ความรอ น. ความเพียรยอมไมสาํ เรจ็ แกพ วกเขา. สาํ หรบั บคุ คล

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 364ผูท่ีมนี าํ้ ยอยพอปานกลาง สาํ เรจ็ ได. เพราะเหตุนัน้ ทา นจงึ กลาววา เหมาะแกค วามเพยี รระดับกลาง. ขอ วา ยถาภตู  อตฺตาน อาวกิ ตฺตา ความวาประกาศโทษของตนตามท่ีเปน จริง. ขอวา อุทยตถฺ คามินยิ า ความวาสามารถทจ่ี ะขึ้นไปและทจี่ ะกําหนดถงึ เวลาข้ึนและเวลาตก. อุทยัพยญาณที่กาํ หนดเอาลกั ษณะ ๕๐ ประการ ทานกลาวไวด วยคําน้ี. ขอวา อริยายความวา สะอาดหมดจด. ขอวา นพิ เฺ พธิกาย ความวา สามารถเพ่อืแทงตลอดขนั ธมีความโลภ เปนตน ซง่ึ ไมเคยรูมากอน. ขอวา สมมฺ า-ทุกฺขกฺขยคามินยิ า ความวา ทกุ ขใ ด ๆ จะสน้ิ ไปได ดาํ เนนิ ไปเพ่อื ความสนิ้ ทุกขน ั้นๆ เพราะละกิเลสไดด วยอาํ นาจองคน้นั ๆ. วปิ สสนาปญญาทานกลาวไวดวยบทเหลา น้ที ุกบท ดวยประการฉะนี้. จรงิ อยู ความเพยี รหาสาํ เรจ็ แกคนทรามปญญาไม. ขอ วา สุทฺธาวาสา ความวา พวกพรหมชัน้ สุทธาวาส อยูแ ลวกําลังอยู หรอื จักอยู เพราะเหตนุ ั้น จึงชื่อวา สุทธาวาส. ขอ วา สทุ ธฺ าไดแก พระอนาคามี และพระขีณาสพ ซ่ึงปราศจากกิเลสมลทิน. คาํ ใดท่พี งึ กลาวในขอวา อวหิ า เปนตน คํานัน้ ทานกลาวไวแ ลว ในมหาปทาน.สูตรนัน่ แล. ในบรรดาพระอนาคามีบคุ คลท้งั หลาย พึงทราบดงั ตอไปน.ี้ พระ-อนาคามผี ูย งั ไมล ว งวัยกลางคน แลวบรรลพุ ระอรหตั ซึง่ เปน การดบั กิเลสเสยี ไดใ นระหวา ง ชือ่ วา อนั ตรปรินพิ พายี ( ปรนิ พิ พานในระหวาง ).พระอนาคามีผลู วงเลยวัยกลางคนไปแลว จงึ บรรลุชอ่ื วา อุปหัจจปรนิ พิ พายี(นพิ พานเมื่อลว งวยั กลางคนแลว ) พระอนาคามีผูไมล าํ บากเพราะไมต อ งประกอบความเพียร โดยไมม ีสังขาร ( เครื่องปรุงแตงชว ยเหลอื ) บรรลุได

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 365อยางงา ยดาย ช่อื วา อส ขารปรินิพฺพายี ( นิพพานโดยไมมสี งั ขาร ) พระ-อนาคามผี ลู าํ บาก เพราะตอ งประกอบความเพยี ร พรอมกับสงั ขาร บรรลุไดโดยความลําบาก ชอื่ วา สสังขารปรนิ พิ พายี (ปรนิ ิพพานพรอ มสังขาร)พระอนาคามที ้งั ๔ เหลานี้ หาไดใ นสุทธาวาสทั้ง ๕ ชั้น. บัณฑติ พึงทราบหมวด ๔ ในขอวา อุทธฺ  โสโต อกนฏิ  คามี น้ตี อไป. ก็พระอนาคามที านใดชาํ ระเทวโลกส่ชี ัน้ ตงั้ แตช้นั อวิหาไปใหหมดจด ไปยังอกนฏิ ฐภพแลวปรนิ ิพาน พระอนาคามนี ี้ ชือ่ วา มกี ระแสในเบอ้ื งบน ไปยังอกนฏิ ฐภพพระอนาคามีทา นใด ไปยังเทวโลกชน้ั ที่ ๒ ที่ ๓ หรอื ท่ี ต้ังแตชัน้ อวหิ าไป แลว ปรนิ ิพพาน พระอนาคามีน้ี ช่ือวา มีกระแสในเบื้องบน ไมไปยังอกนฏิ ฐภพ. พระอนาคามีทา นใด จากกามภพ แลวเกดิ ในอกนฎิ ฐภพแลวปรินิพพาน พระอนาคามีน้ี ชอื่ วา. ไมม กี ระแสในเบ้อื งบน ไปยังอกนิฏฐภพ. พระอนาคามีทา นใดบงั เกดิ ในที่นั้น ๆ น่ันแหละ บรรดาเทวโลก ๔ ช้ันเบ้อื งลาง แลว ปรนิ ิพพาน พระอนาคามีนี้ ช่อื วา มกี ระแสในเบอื้ งบน ไมชอื่ วา ไปยังอกนิฏฐภพ. ขอ วา เจโตขลี า ความวา ภาวะทจ่ี ติ แขง็ กระดา ง. ขอ วา สตฺถริ กงขฺ ติความวา ยอมสงสัยใน พระสรรี ะ หรือในพระคณุ ของพระศาสดา. บคุ คลเมอื่ สงสัยในพระสรรี ะยอ มสงสัยไปวา ข้นึ ชือ่ วา สรีระทีป่ ระดับดวยมหาปุริสลักษณะ อนั ประเสริฐ ๓๒ ประการ มอี ยหู รอื ไมห นอ. บุคคลผสู งสัยในพระคุณ. ยอ มสงสยั วา สัพพัญุตญาณ ทีส่ ามารถจะรอู ดีตอนาคตและปจจบุ ัน มีหรือไมห นอ. ขอวา อาคปปฺ าย ความวา เพ่อื บําเพ็ญเพยี ร.ขอ วา อนโุ ยคาย ความวา โดยการประกอบเนอ่ื ง ๆ . ขอวา สาตจจฺ ายความวา โดยกระทําตดิ ตอ . ขอวา ปธานาย ความวา เพ่อื การต้ังไว.ขอ วา อย ปโม เจโตขโี ล นคี้ วามวา ความทจี่ ติ กระดา งขอแรกนไ้ี ด

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 366แกความสงสัยในพระศาสดา. ขอ วา ธมเฺ ม ความวา ในปรยิ ัตธิ รรม และปฏเิ วธธรรม. บคุ คลผูส งสัยในปรยิ ัติธรรม ยอ มสงสัยวา คนทั้งหลายพูดกันวา พระพุทธพจนคือพระไตรปฏกมี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ พระ-พุทธพจนนั้นมีอยหู รอื ไมห นอ. บคุ คลผสู งสยั ในปฏิเวธธรรม ยอมสงสัยวาคนทง้ั หลายพากันพดู วาผลของวปิ สสนา ชื่อวา มรรค ผลของมรรค ชอื่ วาผล การสละสังขารทั้งปวงเสยี ไดช อ่ื วา นิพาน นพิ านน้ันมอี ยูหรือไมหนอ.ขอวา สงเฺ ฆ กงขฺ ติ ความวา ยอมสงสยั วาประชมุ แหงบคุ คลผปู ฏิบัติปฏิทาอยา งนี้ ดวยอาํ นาจแหง บทเปน ตนวา อชุ ปุ ฏิปนฺโน ดงั นี้มี ๘ คือ พระผูตงั้ อยใู นมรรค ๔ พระผูต้ังอยูในผล ๔ ช่อื วา พระสงฆ พระสงฆน นั้ มีอยูหรือไมหนอ. บคุ คลผูสงสัยในสิกขา ยอ มสงสยั วา คนทัง้ หลายพดู วา ช่อื วาอธสิ ีลสกิ ขา ชื่อวาอธจิ ิตตสกิ ขา ช่ือวา อธปิ ญ ญาสิกขา สิกขานัน้ มีอยูหรือไมห นอ ขอวา อย ปฺจโม นี้ความวา ภาวะท่จี ติ แข็ง ภาวะท่จี ติ เปนดจุ กองหยากเยอ่ื ภาวะทจี่ ิตเปน ดุจตอน้เี ปน ที่ ๕ ไดแกค วามโกรธเคืองในเรื่องพรหมจารีท้งั หลาย. ขอวา เจตโส วินิพนธฺ า ความวา เหลา กิเลสท่ีชือ่ วา เปน เคร่อื งผกู มัดจิตไว เพราะอรรถวา ผกู จิตยึดไว เหมอื นทาํ ไวในกาํ มอื ฉะน้นั .ขอ วา กาเมสุ ความวา ทัง้ ในวัตถุกาม ท้งั ในกเิ ลสกาม. ขอ วา กาเยไดแก กรชั กายของตน. ขอ วา รูเป ไดแก รปู ภายนอก. ขอวา ยาวทตฺถความวา เทา ท่ีตองการ. ขอ วา อุทราวเทหก ความวา เต็มทอ ง. จรงิ อยูทอ งนั้นทานเรียกวา อทุ ราวเทหกัง เพราะเล้ยี งรา งกายไว. ขอ วา เสยฺยสุขความวา มคี วามสขุ เพราะเตียงและตง่ั . ขอวา ปสสฺ สุข ความวา สาํ หรบับคุ คลผูนอนกล้ิงไปตามสบาย นอนตะแคงขวา หรอื นอนตะแคงซา ย กม็ ี

พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 367ความสขุ ความสขุ เกิดขึน้ แลวอยางนี้. ขอ วา มทิ ฺธสุข ความวา สุขอันเกิดจากความหลับ. ขอ วา อนยุ ุตฺโต ความวา ประกอบส่งิ ท่สี มควรอยู.ขอ วา ปณธิ าย ความวา ต้ังไวเ เลว . ขอวา พฺรหฺมจรเิ ยน ความวาประพฤติพรหมจรรยง ดเวน เมถุน. ขอวา เทโว วา ภวสิ สฺ ามิ ความวาเราจกั เปนเทพผูมศี ักดิ์ใหญหรอื . ขอ วา เทวฺตโร วา ความวา หรือวาบรรดาเทพผูมศี กั ดนิ์ อยท้งั หลาย เทพองคใดองคห นึง่ . พึงทราบวนิ จิ ฉัยในอนิ ทรียทง้ั หลายตอ ไป. อินทรยี ทเ่ี ปน โลกิยะเทา น้นั ทานกลาวไวแลว ในปญจกะทีห่ นง่ึ . ปฐมฌานทตุ ิยฌาน และจตตุ ถฌานท่ีเปนโลกยิ ะ ทา นกลาวไวแลวในปญจกะท่ี ๒ ตตยิ ฌานและปญจมฌาน เปน ทง้ั โลกยิ ะ. และโลกตุ ตระ ( ทานกก็ ลา วไวในปญจกะที่ ๒ ). ท่ีเปน โลกิยะ และโลกตุ ตระ ทา นกลา วไวในปญ จกะท่ี ๓ ดวยอาํ นาจสมถะ วิปส สนา และมรรค. ขอวา นิสฺสารณียา ความวา แลน ออกไป คือ หมดความทรงจาํ .ขอวา ธาตโุ ย ไดแก สภาวะทวี่ างจากตวั ตน. ขอ วา กาม มนสิกโรติความวา นกึ ถึงแตเรือ่ งกาม. อธิบายวา ออกจากอสุภฌานแลว สง จติมุง ตอกาม เพอ่ื จะทดลองดู เหมือนคนจบั งูแลว จะทดลองพิษดูฉะนั้น.ขอวา น ปกขฺ นทฺ ติ ความวา ไมเขาไป. ขอวา น ปสิทติ ความวาไมถ งึ กบั เล่ือมใส. ขอวา น สนฺติฏติ ความวา ตั้งอยไู มได. ขอวาน วิมุจฺจติ ความวา ไมหลดุ พน ไปได. ขนปก ไก หรอื ทอ นเอ็นที่คนโยนเขาในไฟ ยอ มหงกิ งอ มว นเขา คือไมเหยียดออก ฉันใด จติ น้ีก็ฉันนั้นเหมอื นกนั ยอ มหดหู ไมราเรงิ . ในขอวา เนกฺขมมฺ  โข ปนน้ี ความวา ปฐมฌานในอสภุ ๑๐ ชื่อวา เนกขมั มะ. เมอื่ บุคคลนั้นมนสิการถงึ ปฐมฌานนน้ั จิตก็ยอ มแลน ไป. ขอวา ตสฺส ต จิตตฺ  ความวา

พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 368อสภุ ฌาน จติ ดวงนั้นของบคุ คลน้นั . ขอ วา สคุ ต ความวา ดําเนินไปดีเพราะไปในโคจร. ขอ วา สภุ าวิต ความวา อบรมมาอยา งดี เพราะเปนสว นท่ีไมเ ลวทราม. ขอวา สุวุฏิต ความวา ออกจากกามไดด วยด.ีขอ วา สวุ มิ ตุ ฺต ความวา พน เดด็ ขาดดว ยดีจากกามทงั้ หลาย. อาสวะ ๔ที่มกี ามเปนเหตุ ชอื่ วา อาสวะมกี ามเปน ปจจยั . ขอ วา วฆิ าตา แปลวาเปนทุกข. ขอวา ปริฬาหา ความวา เรารอนเพราะกามระคะ. ขอ วาน โส ต เวทน เวเทติ ความวา บคุ คลนัน้ ยอ มไมเ สวยเวทนาอนั เกดิ จากความใคร และเวทนาอนั เกิดจากความคบั แคน และความเดือดรอนนั้น. ขอวา อทิ มกขฺ าต กามาน นิสสฺ รณ ความวา อสุภฌานน้ีทา นกลาววา เปนเครื่องสลัดกามออกไป เพราะสลัดออกไปจากกามท้ังหลาย. ก็บุคคลใดทําฌานนน้ั ใหเปน บาท พจิ ารณาสงั ขารทั้งหลายบรรลุมรรคที่ ๓ เห็นพระนพิ พานดวยอนาคามิผล รูวา ช่ือวา กามท้ังหลายไมม ีอีก จติ ของบคุ คลน้นั ก็เปน อันสลัดออกไปไดอ ยางแนน อน(จากกามทัง้ หลาย). แมในบทท้ังหลายที่เหลอื กน็ ัยนเ้ี หมอื นกนั . อันน้ีเปนขอ ท่แี ตกตางกนั . ในวาระท่ี ๒ เมตตาฌาน ช่อื วา เปนการสลัดพยาบาทออกไป. ในวาระท่ี ๓ กรุณาฌาน ชื่อวา การสลดั ออกไปจากความเบียดเบยี น. ในวาระท่ี ๔ อรปู ฌาน ชอ่ื วา การสลัดออกไปซง่ึ รูป.กใ็ นขอ นี้ พึงประกอบอรหตั ผลเขา ในการสลัดออกไดอ ยา งแนนอนพงึ ทราบอธิบายในวาระที่ ๕ ตอไป. ขอวา สกกฺ าย มนสิกโรโตความวา พระขณี าสพสุกขวิปสสก กาํ หนดเอาสงั ขารที่ หมดจดแลวบรรลุพระอรหตั ออกจากผลสมาบัติ สง จิตมงุ ตรงไปยังอปุ าทาน ขนั ธ ๕เพอื่ จะทดลองดู. ขอ วา อทิ มกขฺ าต สกกฺ ายสฺส นสิ สฺ รณ นี้ ความวาจิตท่สี มั ปยตุ ดวยอรหัตผลสมาบัตเิ กดิ ขนึ้ วา รา งกายของเราจะไมมีอีก

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 369ตอ ไปของภิกษุผูเห็นพระนิพพานดว ยอรหตั มรรค และอรหตั ผล ทา นเรียกวา การสลดั ออกซงึ่ กายของตน. ขอ วา วมิ ตุ ฺตายตนานิ ความวา เหตุแหง การหลดุ พน . ขอ วาอตฺถปฏสิ  เวทโิ น ความวา รูอรรถแหงพระบาลี. ขอ วา ธมมฺ ปฏิส เวทิโนความวา รพู ระบาลี. ขอ วา ปาโมชฺช ไดแก ปติอยางออน. ขอวา ปติความวา ปต ิอยา งรนุ แรง อนั เปน เหตุแหง อาการยินดี. ขอวา กาโย ความวานามกายยอ มสงบ. ขอ วา สขุ  เวเทติ ความวา ไดรบั ความสุข. ขอวาจิตฺต สมาธยิ ติ ความวา จิตตง้ั ม่นั ดวยอรหัตตผลสมาธิ. ก็บุคคลน้ีเมอื่ ฟง ธรรมนัน้ ยอมรฌู านวิปสสนามรรค และผลในฐานทมี่ าแลว และมาแลว . เมือ่ เธอรอู ยูอยา งน้ี ปตยิ อ มเกดิ ขึ้น. เธอไมย อมใหป ตินนั้ ลดถอยลงเสยี ในระหวา ง เปน ผูป ระกอบไปดวย อุปจารกมั มัฏฐาน เจรญิ วิปสสนายอ มบรรลุพระอรหัต คําวา จิตตง้ั มน่ั ดงั น้ี ทา นกลา วหมายเอาพระอรหตันั้น. แมใ นคาํ ทีเ่ หลอื ก็นยั นี้เหมอื นกนั . นเี้ ปน ขอ ทีแ่ ตกตางกนั . ขอวาสมาธินมิ ติ ตฺ  ความวา บรรดาอารมณ ๓๘ สมาธิอยา งใดอยา งหน่ึงนัน่ เองชอ่ื วา สมาธินิมิต. ขอวา สุคหติ  โหติ ความวา เมือ่ เธอเรยี นเอากรรมฐานในสาํ นกั อาจารย ก็ชอื่ วา เปน อันเรยี นอยางดี. ขอ วา สมุ นสิกตความวา ทาํ ไวใ นใจอยางดี. ขอ วา สปุ ธารติ  ความวา จําทรงไวไ ดอยา งดี.ขอ วา สุปฏวิ ทธฺ  ปฺญาย ความวา ทาํ ใหประจักษดวยดีดว ยปญ ญา.ขอ วา ตสมฺ ึ ธมเฺ ม ความวา ธรรมในพระบาลีวาดว ยเรื่องกรรมฐานน้นั . ขอ วา วิมุตตฺ ปิ รปิ าจนยิ า ความวา ความหลุดพน ทา นเรยี กวาอรหัต คณุ ธรรมเหลาใดยอมอบรมพระอรหัตตน น้ั เพราะเหตนุ ั้น คุณ-ธรรมนัน้ จงึ ชือ่ วา วมิ ุตติปริปาจนยิ า. บทวา อนิจฺจสฺา ความวา

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 370สัญญาซึ่งเกดิ ขึ้นในอนิจจานุปส สนาญาณ. ขอ วา อนจิ เฺ จ ทุกฺขสฺญาความวา สัญญาซึง่ เกดิ ขึน้ ในทกุ ขานปุ ส สนาญาณ. ขอวา ทุกฺเขอนตฺตสฺ า ความวา สญั ญาซึ่งเกิดข้นึ ในอนัตตานปุ ส สนาญาณ. ขอ วาปหานสฺา ความวา สญั ญาซ่งึ เกดิ ข้ึนใน ปหานานปุ สสนาญาณ. ขอวาวิราคสฺ า ความวา สญั ญาซึ่งเกดิ ขน้ึ ในวริ าคานปุ ส สนาญาณ. คาํ เปนตนวา อเิ ม โข อาวุโส พึงประกอบเขากับนัยท่ีกลาวแลวนน่ั แหละ.พระเถระเมือ่ กลาวปญ หา ๑๓๐ ดว ยสามารถแหง ปญจกะ ๒๖ ชือ่ วาแสดงสามคั คีรสแลว ดว ยประการฉะน้ี. จบหมวด ๕ วาดว ยธรรมหมวด ๖ พระเถระ ( พระสารบี ตุ ร ) ครั้นแสดงสามคั ครี ส ดวยสามารถแหง ธรรมหมวดหา ดว ยประการฉะน้นั แลว บดั นี้ เพื่อจะแสดงสามัคคีรสดวยสามารถแหง ธรรมหมวดหก จงึ เรม่ิ ปรารภพระธรรมเทศนาตอ ไปอกี . บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา อชฌฺ ตตฺ ิกานิ ไดแ กอ ายตนะภายใน.บทวา พาหิรานิ ไดแ ก อายตนะทีม่ ใี นภายนอกจากอายตนะภายในนัน้ .สวนวา อายตนะกถาโดยพิสดาร ขา พเจา ( พระพทุ ธโฆษาจารย ) กลา วไวในวสิ ุทธิมรรคแลว แล. บทวา วิฺาณกายา ไดแก หมูแ หงวญิ ญาณ.บทวา จกขฺ วุ ิ ฺญาณ ไดแก วญิ ญาณทเ่ี ปน กศุ ลวิบากหรอื อกุศลวบิ ากอนั อาศัยจกั ษปุ ระสาท. ในวญิ ญาณท้ังปวง กน็ ัยนีเ้ หมอื นกัน. บทวาจกฺขสุ มฺผสฺโส ไดแ ก สัมผสั อนั อาศยั จกั ษ.ุ แมในโสตสมั ผสั เปนตน

พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 371ก็มนี ยั นี้เหมือนกัน. บทวา มโนสมผฺ สโฺ ส ไดแก สมั ผัสทง้ั ปวงท่เี หลือเวนสมั ผัส ๑๐ เหลา นเี้ สยี ชื่อวา มโนสมั ผัส. แมหมวดหกแหงเวทนาบณั ฑติ กพ็ ึงทราบ โดยนยั น้ีเหมือนกัน. บทวา รูปสฺ า ไดแกสญั ญาทีก่ ระทาํ รปู ใหเปน อารมณบ ังเกิดขน้ึ . แมสญั ญาทเี่ หลอื บณั ฑิตกพ็ งึ ทราบโดยอบุ ายนี้. แมใ นหมวดหกแหง เจตนา ก็นยั นเ้ี หมือนกัน.ในหมวดหกแหง ตัณหากเ็ หมอื นกนั . บทวา อคารโว ไดแก เวน จากความเคารพ. บทวา อปฺปฏสิ ฺโสไดแก ไมยาํ เกรง คือไมป ระพฤตอิ อนนอ ม. ก็ภิกษใุ ด ในพระศาสนานี้ครนั้ เม่อื พระศาสดายังทรงพระชนมชพี อยู ยอมไมไ ปสทู ีบ่ าํ รุง ในกาลทงั้๓ ครั้นเม่ือพระศาสดาไมส วมรองเทา เสดจ็ จงกรมอยู ก็สวมรองเทา จงกรมคร้นั เมือ่ พระศาสดาเสด็จจงกรมอยู ในทจี่ งกรมต่าํ ก็จงกรมในทีจ่ งกรมสูงคร้ันเมือ่ พระศาสดาเสดจ็ อยูในเบ้ืองลา ง ก็อยใู นเบ้ืองบน ในท่เี หน็ พระศาสดา ก็หมคลมุ ไหล ทง้ั สอง กั้นรม สวมรองเทา อาบนาํ้ ถา ยอุจจาระหรอื ปส สาวะ. ก็หรือวา ครน้ั เมือ่ พระศาสดาเสดจ็ ปรินพิ พานแลว ยอมไมไปเพอ่ื จะไหวพระเจดยี  กระทาํ กิจทั้งปวงตามท่กี ลาวแลว ในทีพ่ ระเจดียยงั ปรากฏอยู ( หรือ ) ในทีเ่ ห็นพระศาสดา ภกิ ษุนี้ ช่ือวา ไมเคารพในพระศาสดา. กภ็ ิกษใุ ด ครั้นเม่ือเขาประกาศการฟงธรรม กไ็ มไ ปโดยเคารพไมฟงธรรมโดยเคารพ นง่ั คุยฟุงอยู ไมเรยี น ไมบ อก โดยเคารพ ภกิ ษุน้ีชอื่ วา ไมเคารพในพระธรรม. ก็ภิกษุใด อนั ภกิ ษุผูเถระ มิไดเ ชอ้ื เชิญก็แสดงธรรม นงั่ กลา วปญ หา เบียดภกิ ษุผูเ ฒา ไป ยืน นัง่ กระทาํ การ

พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 372รัดเขาดว ยผาหรอื ดว ยมือ ในทา มกลางสงฆ กห็ ม คลุมไหลท ้ังสอง ก้ันรมหรอื สวมรองเทา ภกิ ษนุ ี้ชื่อวา ไมเ คารพในพระสงฆ. กเ็ มื่อภกิ ษกุ ระทําความไมเ คารพแมในภกิ ษุรูปเดยี ว ความไมเคารพในพระสงฆ ก็จัดวาเปนอนั เธอกระทําแลว เหมอื นกัน. สว นภิกษผุ ูไมย งั สกิ ขาท้งั ๓ ใหบ ริบรู ณอยนู นั่ แล ชือ่ วา ไมเ คารพในสิกขา. ภกิ ษุผูไมต ามพอกพนู ซง่ึ ลักษณะแหงความไมป ระมาท ชอื่ วา ไมเ คารพในความไมประมาท. ภกิ ษุ เม่อื ไมกระทําปฏิสนั ถาร แมทั้ง ๒ อยา ง ช่อื วา ไมเคารพในปฏสิ นั ถาร. ความเคารพ บณั ฑิตพงึ ทราบดวยสามารถแหงนยั ตรงกนั ขามตามที่กลา วไวแ ลว . บทวา โสมนสสฺ ูปวิจารา ไดแก วจิ าร ท่สี มั ปยตุ ดวยโสมนสั .บทวา โสมนสสฺ ฏานีย คอื เปนเหตุแหง โสมนัส. บทวา อปุ วจิ รติไดแก ตรกึ ดวยวติ ก ( กอน ) แลวจงึ กาํ หนดดวยวิจาร. ในคาํ ท่ีเหลอืทัง้ ปวง กน็ ยั นี้เหมอื นกัน. แมโ ทมนสั สปู วิจาร บัณฑิตก็พงึ ทราบอยางนัน้น้นั แหละ. อุเปกขปู วจิ าร กเ็ หมือนกนั . สาราณียธรม ทานใหพสิ ดารในหนหลัง. สว น ปฐมมรรค ทา นกลา วไว ในโกสัมพิกสูตร ดวยบทน้ีวา ทฏิ  สิ ามฺ คโต มรรค แมท้ัง ๔ ทา นกลาวไวใ นท่นี ้.ี บทวา วิวาทมูลานิ ไดแก มลู แหงววิ าท. บทวา โกธโน ไดแกผปู ระกอบดวยความโกรธ อนั มีความเกรี้ยวกราดเปน ลักษณะ. บทวาอุปนาหี ไดแก ประกอบดว ยความเขา ไปผกู โกรธไว อนั มีการไมสลัดการจองเวรกนั เปน ลกั ษณะ. หลายบทวา อหติ าย ทกุ ขฺ าย เทวมนุสสฺ านไดแก วิวาท แหง ภิกษทุ ้งั สอง ยอมเปน ไปพรอ ม เพือ่ มใิ ชประโยชนเ กอื้ กลู

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 373เพอ่ื ความทกุ ข แหงเทวดาและมนุษยทั้งหลายอยางไร. เหมอื นอยางในโกสมั พิกขันธกะ เมือ่ ภกิ ษุ ๒ รปู วิวาทกัน พวกอันเตวาสกิ ของเธอท้ังสองน้ัน ในวหิ ารนั้นก็วิวาทกนั . ภกิ ษณุ ีสงฆ ผรู บั โอวาทของพวกภกิ ษุเหลาน้นักว็ ิวาทกัน แตนน้ั พวกอปุ ฏฐากของภกิ ษเุ หลาน้นั ก็ววิ าทกนั . ลําดับนน้ัเหลา อารักขเทวดา ของพวกมนษุ ยก ็ ( แยก ) เปนสองฝา ย. บรรดาเทวดาเหลานนั้ เหลาอารกั ขเทวดา ของพวกมนษุ ยผ เู ปน ธรรมวาที กเ็ ปนธรรมวาทีดว ย. สาํ หรบั พวกมนุษยผ ูเ ปน อารักขมวาที กเ็ ปนอธรรมวาทตี าม. จากนน้ัเหลาภุมมเทวดา ผเู ปน มิตรของอารกั ขเทวดา จึงแตกกนั . เทวดาและมนษุ ยทงั้ หมด ยกเวนพระอริยสาวกเสีย ตอ ๆ กนั ไป จนกระทง่ั ถงึ พรหมโลกก็ ( แยก ) เปนสองฝา ย ดว ยประการฉะนี.้ ก็พวกทเี่ ปน อธรรมวาทเี ทียวมจี าํ นวนมากกวาพวกธรรมวาท.ี ลําดบั น้ัน พวกเทวดาและมนษุ ยก ็ปรารถนาท่ีจะยึดถือส่งิ ทช่ี นเปน อันมากพากนั ยืดถือ พวกอธรรมวาทีทมี่ ากกวา น่ันแหละ กแ็ กสภาพทเ่ี ปนธรรมแลว พากันยดึ ถอื สภาพท่ีมิใชธรรม.พวกอธรรมวาทีเหลา นน้ั กระทําสภาพทีม่ ใิ ชธรรมใหอยูใ นเบื้องหนากลาวอยู จึงบงั เกิดในอบายทง้ั หลาย. ววิ าทของภกิ ษทุ ้งั สองฝาย ยอ มมเี พ่อื มใิ ชประโยชนเ กือ้ กลู เพ่ือความทุกข แหง เทวดาและมนุษยท ง้ั หลาย ดว ยประการฉะนี.้ บทวา อชฌฺ ตฺต วา ไดแก ในภายในบรษิ ทั ของทาน. บทวาพหิทฺธา ไดแ ก ในบริษัทของชนเหลา อนื่ . บทวา มกฺขิ ไดแ ก ผปู ระกอบดวยความลบหลู อนั มีการลบหลคู ุณของชนเหลา อื่นเปนลักษณะ. บทวาปลาสิ ไดแ ก ผูประกอบดวยการตตี นเสมอ อนั มกี ารแขงดเี ปน ลักษณะ.บทวา อิสฺสุกิ ไดแ ก ผปู ระกอบดวยความรษิ ยา อันมีการริษยา เคร่ืองสกั การะของชนอ่ืนเปน ตน เปนลักษณะ. บทวา มจฉฺ ริ ไดแ ก ผูประกอบ

พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 374ดว ยความตระหน่ีทอี่ ยูเปน ตน. บทวา สโ ไดแ ก ผเู ตม็ ไปดว ยการหลอกลวง ( ผโู ออวด ). บทวา มายาวี ไดแก ผูปกปดความชัว่ ทีต่ วั กระทาํแลว. ทวา ปาปจ โฺ ฉ ไดแ กผ ปู รารถนาจะใหมใี นส่งิ ทไ่ี มม ี คอื ผูท ุศีล.บทวา มิจฺฉาทฏิ  ไดแ ก ผูมีปกติกลา ววา ไมม ี ผูมปี กตกิ ลา ววาหาเหตุมิไดผูม ีปกติกลา ววา ไมเปน อันทาํ ฯ บทวา สนฺทิฏ ปิ รามาสิ คอื ลูบคลําทฏิ ฐิเองทีเดียว ฯ บทวา อาธานคคฺ าหี คือ ผยู ดึ ถืออยา งมน่ั ฯ บทวาทุปฺปฏนิ สิ ฺสคฺคี ไดแก ไมอาจท่ีจะสละสง่ิ ทต่ี นยึดถือไว ฯ ธาตุทีต่ ง้ั อยเู ฉพาะช่อื วา ปฐวธี าตุ ฯ ธาตุท่เี อบิ อาบช่อื วา อาโปธาตุ ฯธาตทุ ยี่ งั อาหารใหย อ ย ชื่อวา เตโชธาตุ ฯ ธาตุทีเ่ คล่อื นไหวได ช่ือวาวาโยธาตุ ฯ ธาตุท่ีถกู ตองไมไดช อื่ วา อากาสธาตุ ฯ ธาตทุ ี่รชู ัดอยางเดยี วชื่อวา วิญญาณธาตุ ฯ ธาตทุ ี่พน ออกไป ชื่อวา นสิ สารณียธาต.ุ หลายบทวา ปรยิ าทายติฏติ ไดแ ก ครอบงาํ ใหเ สอื่ มแลวคงอย.ู หลายบทวา มา เหวนตฺ ิสสฺวจนีโย ไดแ ก เพราะเหตทุ ่ีภกิ ษุพยากรณ ซงึ่ คําพยากรณอนั ไมเปน จรงิฉะนั้น พึงถูกกลา ววา ทานอยา พดู อยางนี.้ สองบทวา ยทิท เมตตฺ าเจ-โตวมิ ุตตฺ ิ ไดแ ก เมตตาเจโตวมิ ตุ ตินี้ เปน เครอ่ื งสลดั ออก ซึ่งความพยาบาท. อธบิ ายวา ออกไปจากความพยาบาท. กภ็ ิกษใุ ด ออกจากติกฌานหรอื จตกุ กฌานดวยเมตตาแลว พิจารณาสังขารทง้ั หลาย บรรลตุ ติยมรรคแลว เห็นพระนพิ พานดวยตตยิ ผลวา พยาบาทไมม ีอกี จิตของภิกษุน้นัช่ือวา เปน จิตที่สลดั ออกซึ่งความพยายามโดยสวนเดียว. บณั ฑติ พงึ ทราบเนอ้ื ความในบทท้งั ปวง โดยอบุ ายน.ี้ สมาบตั ิของพระอรหตั ผล ชือ่ วา

พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 375อนมิ ิตตา เจโตวิมตุ ต.ิ กส็ มาบัตขิ องพระอรหตั ตผลน้นั ทานเรยี กวา ไมมีนมิ ิต เพราะไมม ีราคนิมิตเปนตน เพราะไมมีรูปนมิ ติ เปน ตน และเพราะไมม ีนจิ จนิมติ เปน ตน . บทวา นมิ ติ ฺตานุสารี ความวา ภกิ ษผุ แู ลนไปตามนมิ ิต อนั มปี ระเภทตามที่กลา วแลว เพราะเหตนุ ้ันจึงชื่อวา นมิ ิตตานสุ ารี( ผูแ ลนไปตามนนิ ติ ). บทวา อสมฺ ิไดแก การถือวา เรามีอยู (อสั มมิ านะ).บทวา อยมหมสฺมิ ไดแก พระอรหัตตเปนอนั ทา นพยากรณแ ลว ดวยคํามปี ระมาณเทา น้วี า เราชอื่ นี้มอี ยูใ นขันธห า . บทวา วจิ ิกจิ ฺฉากถ กถา-สลลฺ  ไดแ ก ลูกศรคือ ความเคลือบแคลงสงสัย อันเปนตวั วจิ กิ ิจฉา.หลายบทวา มา เหวนฺติสสฺ วจนีโย ความวา ถา วา วจิ ิกจิ ฉา อันควรกาํ จัดดว ยปฐมมรรค จะบงั เกิดข้นึ แกทานไซร การพยากรณพระอรหตั ตก็เปนอันผดิ เพราะเหตุนัน้ ผูนัน้ พงึ ถูกหา มวา ทานอยากลา วคําท่ีไมจรงิ .บทวา อสฺมิ ความวา พระอรหตั มรรค ชอื่ วา ถอนมานะเสยี ได. ก็เม่อื บคุ คลเหน็ พระนพิ พาน ดว ยอํานาจแหงพระอรหตั ผลแลว อัสมิมานะ( ความถือตวั วาเรามีอยู ) ยอ มไมมอี กี เพราะเหตุนั้น พระอรหัตมรรคทานจงึ กลา ววา ถอนอัสมิมานะเสียได. บทวา อนตุ ฺตริยานิ ไดแ ก ไมมอี ะไรอ่นื ยง่ิ ไปกวา คอื ประเสริฐท่สี ุด. ไมม ีอะไรอน่ื ยงิ่ กวาในการเห็นทงั้ หลาย ชอื่ วา ทัสสนานุตตริยะ.แมใ นบททเี่ หลอื ก็นยั นเ้ี หมือนกนั . บรรดาการเห็นเหลา นน้ั การเหน็ชางแกว เปน ตน ไมจ ดั เปนทสั สนานตุ ตริยะ. สว นวาสําหรบั ผูมีศรัทธาตัง้ มน่ั แลว การเหน็ พระทศพล. หรือพระภิกษสุ งฆ ดว ยอาํ นาจแหง ความรกัทตี่ ้ังม่นั แลว หรอื วา การเห็น บรรดากสิณนิมติ และอสุภนิมติ เปน ตนอยา งใดอยา งหนง่ึ ชอื่ วา ทัสสนานตุ ตริยะ. การฟง คณุ กถาของกษตั ริยเปนตน ไมจัดเปนสวนานุตตริยะ. สวนสําหรบั ผมู ศี รัทธาต้ังม่ันแลว การฟง

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 376คณุ กถาของพระรตั นตรัย ดว ยอํานาจแหง ความรักที่ตั้งมน่ั แลว หรอื วาการฟง พระพุทธวจนะ คือพระไตรปฏก ชอ่ื วา สวนานุตตริยะ. การไดรัตนะคอื แกวมณีเปนตน ไมจ ัดเปนลาภานตุ ตริยะ. สว นการไดอรยิ ทรพั ย๗ อยา ง ชื่อวา ลาภานุตตริยะ. การศึกษาศิลปะ มศี ิลปะเพราะชางเปนตนไมจัดเปน สิกขานตุ ตริยะ. สว นการบาํ เพ็ญสกิ ขาทงั้ ๓ ใหบ รบิ รู ณ ชื่อวาสกิ ขานุตตริยะ. การบาํ เรอกษตั รยิ เปน ตน ไมจ ดั เปนปาริจรยิ านตุ ตริยะ.สว นการบาํ เรอพระรัตนตรัย ชอ่ื วา ปาริจริยานตุ ตรยิ ะ. การตามระลกึ ถึงคณุ ของกษตั รยิ  เปนตน ไมจ ดั เปนอนสุ สรณานตุ ตริยะ ( อนุสสตา-นตุ ตริยะ ). สวน การตามระลึกถงึ คณุ ของพระรัตนตรัย ชือ่ วา อนุสสร-ณานุตาริยะ ( อนุสสตานุตตริยะ ). อนสุ สตทิ ้งั หลายเทยี ว ช่อื วา อนุสสตฐิ าน ( ทต่ี ้งั แหงความระลกึ ถึง ). การระลึกถึงคณุ ของพระพุทธเจา ชอื่ วา พุทธานุสสติ. ก็เม่ือบุคคลระลกึ ถึงอยูอยา งนี้ ปติ ยอ มบังเกิดขน้ึ . บุคคลนัน้ เร่มิ ตั้งปต นิ น้ัโดยความส้ินไปโดยความเสื่อมไป ยอ มบรรลุความเปน พระอรหนั ตไ ด.ธรรมดาวา อปุ จารกัมมัฏฐานนี้ แมค ฤหสั ถ ทัง้ หลาย กย็ อ มได ( บรรลไุ ด )ในกมั มัฏฐานท้ังปวง ก็นัยนี้เหมอื นกนั . สวนกถาโดยพิสดาร บณั ฑติพึงทราบ โดยนยั อนั ขา พเจากลาวไวแลว ในวิสุทธิมรรคน่นั แล. การอยปู ระจาํ ของพระขณี าสพ ชือ่ วา สตตวิหาร. หลายบทวาจกฺขนุ า รูป ทสิ ิวา ความวา ครั้นเม่อื อารมณแหงจกั ขทุ วาร ไปสคู ลองภกิ ษเุ หน็ รปู นนั้ ดว ยจกั ขุวิญญาณแลว ไมย ินดใี นชวนะขณะท่ีนา ยนิ ดียอมเปนผูไมดีใจ ไมประทุษรา ยในชวนะขณะทไ่ี มน า ยินดี ยอ มเปน ผไู มเสียใจ ไมย งั โมหะใหบังเกิดขึ้น ในเพราะการเพงท่ีไมส มํา่ เสมอ วางเฉย

พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 377มตี นเปนกลางอยู มีสติ เพราะความเปน ผูประกอบดว ยสติ มสี ัมปชญั ญะเพราะความเปน ผูป ระกอบดว ยสมั ปชัญญะ. แมในบททเี่ หลือท้งั หลายก็นัยนี้เหมือนกัน. ภิกษุ ยอมวางเฉยอยู แมในทวารทง้ั ๖ ดว ยประการฉะนี.้ ทา นกลาว ฉฬงั คุเบกขา ไวดว ยบทน.้ี กเ็ พราะคาํ วา สมปฺ ชาโนบณั ฑติ ยอมได ญาณสัมปยตุ ตจติ ๔ ดวง. คําวา สตตวหิ ารา บัณฑติยอ มได มหาจติ แมท ัง้ ๘ ดวง. เพราะคําวา อรชฺชนฺโต อทุสฺสนโฺ ตบณั ฑติ ยอมไดจ ติ แมทัง้ ๑๐ ดวง. หากมคี ําถามสอดเขา มาวา โสมนสัจะมไี ดอยางไร. แกวา มีไดเพราะอาเสวนะ. ชาติท้ังหลายชือ่ วา อภชิ าติ. สองบทวา ภณฺหาภชิ าตโิ ก สมาโนความวา ผูเ กดิ แลวในท่ีดํา คือในตระกลู ตา่ํ . หลายบทวา กณฺห ธมฺมอภชิ ายติ ความวา ยอ มประสบ คือกระทาํ ธรรมคอื ความเปนผูทุศีล ๑๐ประการ อันเปน ธรรมฝา ยดาํ . บคุ คลนน้ั ประสบธรรม คอื ความเปน ผทู ศุ ลี๑๐ ประการนนั้ แลว ยอมบังเกดิ ในนรก. สองบทวา สกุ ฺก ธมฺม ความวาเราเกดิ แลว ในตระกลู ต่าํ เพราะความที่ไมไ ดกระทําบญุ ไว แมในกาลกอนบัดนี้ เราจักทําบุญ เพราะเหตนุ นั้ เขายอมประสบธรรมฝายขาว กลา วคือบุญ. บุคคลนน้ั ยอ มบังเกดิ ในสวรรค ดวยธรรมฝายขาว กลา วคอืบุญนั้น. หลายบทวา อกณหฺ  อสุกกฺ  นิพพฺ าน ความวา ก็พระนพิ พานหากวา จะพงึ เปน ธรรมฝายดําไซร กจ็ ะพงึ ใหวบิ ากทด่ี ํา หากวาจะพงึ เปนธรรมฝายขาวไซร กจ็ ะพงึ ใหว ิบากท่ีขาว แต เพราะไมใหว ิบากแมท ้ัง ๒พระนิพพาน ทา นจึงกลาววา ไมด ํา ไมขาว. กธ็ รรมดาวา พระนิพพานทา นประสงคเ อาพระอรหตั ตในอรรถน้ี . จรงิ อยู พระอรหตั ตนนั้ ช่อื วาพระนพิ พาน เพราะเกิดในทีส่ ุดแหง การดบั กเิ ลส บุคคลน้นั ยอ มพบ คือประสบ กระทาํ พระนพิ พานนั้น. สองบทวา สุกฺกาภชิ าตโิ ก สมาโน

พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 378ความวา เปน ผเู กิดแลวในทีข่ าว คือในตระกลู สูง. คาํ ทเ่ี หลอื บัณฑิตพงึทราบโดยนยั ทก่ี ลาวแลว น่ันเเล. บทวา นพิ ฺเพธภาคิยา ความวา พระนพิ พาน ทานเรียกวานพิ เพธ. ชนท้ังหลาย ยอ มคบคอื ยอมเขาไปใกล พระนิพพานนั้นเพราะเหตนุ ้ัน ช่อื วา นพิ เพธภาคยิ า ( สว นแหง การแทงตลอด). อนจิ จ-สัญญาเปนตน ทานกลา วไวใ นหนวดหา . ความกาํ หนดหมายในนโิ รธา-นุปสสนาญาณ ชอ่ื วา นิโรธสญั ญา. คําเปนตนวา อิเม โข อาวโุ สบัณฑิต ท่ปี ระกอบโดยนยั ท่ีกลา วแลว นนั่ แล. พระเถระ กลาวอยซู ง่ึปญหา ๑๓๒ ปญหา ดว ยสามารถแหงหมวดหก ๒๒ หมวด แสดงสามัคค-ีรส ดวยประการฉะนี้ ดังนแี้ ล. จบหมวด ๖ วาดวยธรรมหมวด ๗ พระเถระครนั้ แสดง สามคั คีรส ดว ยสามารถแหงหมวดหก ดวยประการฉะนี้แลว บดั น้ี เพื่อจะแสดงสามัคครี ส ดวยสามารถแหงหมวดเจด็จึงเร่ิมปรารภพระธรรมเทศนาอกี . บรรดาบทเหลา น้ัน ทรัพยค ือศรัทธา ช่ือวา ทรพั ยค ือศรัทธาดวยอรรถวา ไดเ ฉพาะซ่งึ สมบตั ิ. ในบทท้ังปวง กน็ ยั นเ้ี หมอื นกนั . กบ็ รรดาอริยทรพั ยเ หลา น้ี ทรพั ยคือปญญาประเสรฐิ กวาทรพั ยท ้งั ปวง. เพราะวา สตั วทัง้ หลาย ตงั้ อยูใ นปญ ญาแลว บําเพ็ญ จรติ ๓ ศีล ๕ ศลี ๑๐ใหบ รบิ ูรณ ยอมเขา ถึงสวรรค คอื ยอ มแทงตลอด ซึ่งสาวกบารมญี าณปจ เจกโพธิญาณ และพระสัพพญั ุตญาณได. ปญ ญา ทานเรียกวา ทรพั ย

พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 379คอื ปญ ญา เพราะเปนเหตแุ หง การไดเฉพาะ ซ่งึ สมบตั ิเหลา น้.ี กอ็ ริยทรัพยแมท้งั ๗ ประการเหลา นี้ ทานกลา ววา เจือดวยโลกยิ ะ และโลกุตตระทีเดยี ว. โพชฌงคกถา ทานกลาวไวแ ลว เทยี ว. บริวารแหงสมาธิ ชอื่ วาสมาธิปรกิ ขฺ ารา. สัมมาทฏิ ฐิเปน ตน มีอรรถอันทา นกลา วไวแ ลว นัน่ เทยี ว.ดวยบทวา สัมมาทิฏฐิ เปน ตน เหลานี้ บริขาร ๗ ทา นกลาววา เปน ทัง้โลกิยะ ทงั้ โลกตุ ตระเทยี ว. ธรรมของอสตั บุรษุ ทงั้ หลาย ชอื่ วา อสัทธรรมอกี อยางหนง่ึ ธรรมอันไมสงบ คอื ธรรมอนั ลามก เพราะเหตุน้นั จึงช่ือวาอสทั ธรรม. บณั ฑิตพงึ ทราบ สัทธรรม โดยปริยายตรงกนั ขาม. บรรดาบทเหลาน้ี คาํ ทเ่ี หลอื มเี นื้อความตืน้ ท้ังนน้ั . ก็บรรดาสัทธรรมทัง้ หลายสทั ธรรมแมท ง้ั ปวง มีศรัทธาเปน ตัน ทา นกลาวไวเ ฉพาะพระวิปส สนา.ปญ ญา แมในสัทธรรมเหลา นั้น เปนทง้ั โลกิยะ ทงั้ โลกุตตระ. นคี้ วามยอ . สองบทวา สปฺปุรสิ าน ธมฺมา ไดแก ธรรมของสัตบรุ ษุ . ชนใดรธู รรม ในบรรดาสปั ปุรสิ ธรรมเหลา นั้น มสี ตุ ตะและเคยยะเปนตน เพราะเหตนุ ้นั ชนน้ัน ช่ือวา ธมั มญั ู ( รจู ักเหตุ ). ชนใด รูอ รรถแหงภาษิตนนั้ ๆ น่นั แล เพราะเหตนุ ้นั ชนนน้ั ชอ่ื วา อตั ถญั ู (รูจักผล)ชนใด รูจักตน อยา งนวี้ า เราเปนผูมีประมาณเทาน้ี ดว ย ศลี สมาธิปญญา เพราะเหตนุ ัน้ ชนนน้ั ช่ือวา อัตตญั ู ( รจู กั ตน ). ชนใดรจู กั ประมาณในการรับและการบริโภค เพราะเหตุนน้ั ชนนนั้ ชื่อวามัตตญั ู (รูจักประมาณ). ชนใด รจู กั กาลอยา งน้ีวา นี้กาลแสดง นี้กาลไตถาม นกี้ าลบรรลุโยคธรรม เพราะเหตุนัน้ ชนน้ัน ชอื่ วา กาลญั ู(รจู กั กาล). ก็บรรดากาลเหลานั้น กาลแสดง ๕ ป กาลไตถาม ๑๐ ป.

พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 380นนี้ บั วา คับแคบยง่ิ นกั . กาลแสดง ๑๐ ป กาลไตถ าม ๒๐ ป. เบือ้ งหนาตอ แตนนั้ ไป บัณฑิตพึงกระทาํ กรรมในการประกอบเถดิ . ชนใด รจู กั บริษัท๘ อยาง เพราะเหตุนนั้ ชนน้นั ชื่อวา ปรสิ ญั ู ( รจู กั บริษทั ). ชนใดรูจักบคุ คลทีค่ วรเสพหรอื ไมควรเสพ เพราะเหตุนน้ั ชนน้ัน ชอ่ื วา . ปุคคลัญู( รูจ กั บคุ คล ). วัตถมุ ีนิททสเปน ตน ช่ือวา นิททสวตั ถุ. เหตุแหง คําอยา งนีว้ าภกิ ษไุ มม ี ๑๐ ภกิ ษุไมมี ๒๐ ไมมี ๓๐ ไมม ี ๔๐ ไมมี ๕๐. เลากนั วาปญ หาน้ี เกดิ ข้ึนในสมัยเดยี รถีย. ก็พวกเดียรถียก ลา วถงึ นคิ รนถผ ูตายในเวลา ๑๐ ป วา ไมใ ช ๑๐. เลา กันวา นคิ รนถน ้นั มกี าลฝน ๑๐ ก็ไมใ ชอ ีก. อนงึ่ จะวา ๑๐ ป อยา งเดยี วกไ็ มใช แม ๙ ป ฯลฯ แม ๑ ปกไ็ มใ ช. โดยนัยน้ันนนั่ แหละ พวกเดียรถียกลาวถึงนิครนถผูตายแมใ นเวลา ๒๐ ป เปน ตนวา ไมใช ๒๐ ไมใ ช ๓๐ ไมใช ๔๐ ไมใช ๕๐.ทา นพระอานนทเทีย่ วไปบณิ ฑบาตในหมูบ า น ฟงถอ ยคํานน้ั แลว จงึ ไปยงัวิหาร กราบทลู แดพ ระผูม ีพระภาคเจา. พระผูม ีพระภาคเจา ตรัสวา ดูกอ นอานนท น้ไี มใ ชค าํ ของพวกเดียรถยี ห รอก นัน้ เปน คําของพระขีณาสพในศาสนาของเราดงั นี.้ ดวยวา พระขีณาสพ ปรินพิ พานแลวในเวลา๑๐ ป จะเปนผชู ่ือวา มกี าลฝน ๑๐ อกี ก็ไมใช. อน่ึง พระขณี าสพ จะเปนผูช่ือวา มีกาลฝน ๑๐ อยางเดยี วก็หามิได แมจ ะเปนผมู กี าลฝน ๙ ฯลฯแมจ ะเปนผูมีกาลฝน ๑. อน่ึง พระขณี าสพจะเปนผูช อ่ื วา มีกาลฝน ๑อยางเดียวกห็ ามิได จะเปน ผชู อ่ื วา ๑๐ เดอื นบา ง ฯลฯ ๑ เดือนบาง๑ วันบา ง ครหู นึ่งบา ง กห็ ามิไดน่ันเทยี่ ว. ถามวา เพราะเหตอุ ะไร.แกวา เพราะความไมม ปี ฏิสนธอิ ีก. แมในคาํ วา ไมมี ๒๐ เปน ตน ก็นยั น้ี

พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 381เหมอื นกัน. พระผมู ีพระภาคเจาครั้นตรสั วา นัน่ เปนคําของพระขีณาสพในศาสนาของเรา ดวย ประการฉะน้ี ดังน้แี ลว เพือ่ จะทรงแสดงเหตทุ ี่พระขีณาสพนัน้ เปนผมู ีใช ( มีกาลฝน ) ๑๐ จงึ ทรงแสดงนทิ ทสวัตถุ ๗ประการ. แมพ ระเถระครนั้ ยกพระธรรมเทศนานั้นนนั่ แหละข้ึนแลว จงึ กลาวนิททสวัตถุ ๗ ประการ ดังมีคาํ เปน อาทวิ า ดกู อนผมู อี ายุ ภิกษใุ นพระ-ศาสนาน้ี เปนผมู คี วามพอใจอยา งแรงกลา ในการสมาทานสกิ ขา. บรรดาคาํ เหลาน้นั คาํ วา อธิ ไดแก ในพระศาสนานี.้ หลายบทวา สิกฺขาสมา-ทาเน ตพิ พฺ จฺฉนโฺ ท โหติ ความวา เปน ผูมคี วามพอใจอยา งมากในการบาํ เพญ็ ไตรสิกขา. หลายบทวา อายติจฺ สิกขฺ าสมาทาเน อวิคตเปโมความวา เปน ผมู าตามพรอ มดว ยความรักอันตนบรรลุแลวในการบาํ เพ็ญสิกขา แมใ นวันรุงขึ้นเปนตน ในอนาคต. บทวา ธมฺมนสิ ฺติยา ความวาดวยการพิจารณาธรรม. คาํ นั่นเปน ชื่อของวิปส สนา. บทวา อิจฺฉาวนิ เยความวา ในการปราบตณั หา. บทวา ปฏิสลฺลาเน ความวา ในความเปนผูเ ดยี ว. บทวา วริ ยิ ารมเฺ ภ ความวา ในการบําเพ็ญความเพยี รทเี่ ปน ไปทางกายและเปนไปทางจติ . บทวา สตเิ นปกเฺ ก ความวา ในสติ และในความเปน ผมู ปี ญญาเปน เคร่อื งรกั ษาตน. บทวา ทิฏ ิปฏเิ วเธ ความวาในการเห็นมรรค. คาํ ทเ่ี หลอื บณั ฑิตพึงทราบโดยนยั ที่กลา วแลวในทที่ ้ังปวงเถดิ . พงึ ทราบวนิ ิจฉัยในสญั ญาท้ังหลาย. สัญญาในอสุภานุปสสนาญาณชอ่ื วา อสุภสัญญา. สญั ญา ในอาทนี วานุปส สนาญาณ ชือ่ วา อาทีนว-สญั ญา. สัญญาทเ่ี หลอื ทานกลา วไวแ ลวในหนหลงั นนั้ แล. หมวด ๗ แหงพละ. หมวด ๗ แหงวิญญาณฐติ ิ และหมวด ๗ แหง บคุ คล มนี ัยอนั ทานกลาวไวแลว นน่ั เทียว. กเิ ลสท้งั หลายเหลาใดยอมนอนเนอ่ื ง ดวยอรรถวา

พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 382ละไมไ ด เพราะเหตุนัน้ กเิ ลสเหลานั้นชื่อวา อนุสยั . กามราคะท่ีมกี ําลังเร่ียวแรง ชื่อวา กามราคานสุ ัย. ในราคะท้ังปวงกน็ ยั น้.ี หมวดเจ็ดแหงสัญโญชน มเี นอื้ ความชัดทงั้ นั้น. พึงทราบวนิ ิจฉัยในอธิกรณสมถะ ตอไปนี.้ อธิกรณท ้งั หลาย ยอ มสงบ คือเขาไประงับ เพราะเหตนุ ัน้ จึงช่ือวา อธกิ รณสมถะ. บทวา อปุ ฺ-ปนนฺ ุปปฺ นฺนาน ความวา เกิดข้ึนแลว เกดิ ขน้ึ แลว . บทวา อธิกรณานความวา แหงอธกิ รณ ๔ เหลา นค้ี ือ ววิ าทาธกิ รณ ๑ อนวุ าทาธิกรณ ๑อาปตตาธกิ รณ ๑ กิจจาธกิ รณ ๑. สองบทวา สมถาย วปู สมาย ความวาเพือ่ สงบ และเพือ่ เขา ไประงบั . พระวินยั ธร พึงใหสมถะ ๗ เหลา น้คี อืพงึ ให สมั มุขาวนิ ัย ฯลฯ พึงใหตณิ วัตถารกวนิ ยั . นยั แหงการวินจิ ฉยัในสมถะ เหลา นน้ั ดังตอไปน้ี. พงึ ทราบวินิจฉยั ในอธิกรณทั้งหลายกอน,วิวาทอนั ใดแหง ภิกษุท้ังหลาย ผวู ิวาทกนั ดว ยวตั ถุ ๑๘ ประการวา ธรรมหรือ มิใชธรรมก็ตาม อนั นีช้ อ่ื วา ววิ าทาธิกรณ การกลา วโทษ. การกลาวโทษ การติเตยี น และการโจทกันอันใด แหงภกิ ษผุ ูก ลาวโทษกันถงึ ศีลวบิ ัติก็ดี ถงึ อาจารวบิ ัติ และอาชีววบิ ตั กิ ด็ ี อันนี้ชือ่ วา อนวุ าทาธิกรณ. กองแหงอาบัตแิ มทง้ั ๗ คือ กองแหง อาบัติ ๕ มาในมาติกา กองแหง อาบัติ ๒มาในวิภังค อันนี้ ชือ่ วา อาปตตาธกิ รณ การกระทํากรรม ๔ อยา งมีอปโลกนกรรม เปนตน แหง สงฆ อันน้ีชอื่ วา กิจจาธิกรณ. บรรดาอธกิ รณเ หลา น้นั ววิ าทาธกิ รณ ระงบั ไดดวยสมถะ ๒ คอืสัมมุขาวินัย ๑ เยภยุ ยสกิ า ๑. ววิ าทาธกิ รณ ระงบั อยดู วยสมั มขุ าวนิ ัยเทา นั้นคือ ววิ าทาธกิ รณ เกดิ ขึน้ ในวหิ ารใด อันสงฆ วนิ จิ ฉัยแลวในวหิ าสนั้นน่นั

พระสุตตันตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 383แหละ ยอ มระงบั เม่ือภกิ ษไุ ปเพอื่ จะระงบั ในทอ่ี น่ื อันสงฆวนิ ิจฉัยแลวในระหวางทางก็ยอมระงับได อันภกิ ษุไปมอบใหแกส งฆในทใ่ี ด อนั สงฆในที่น้ันวนิ ิจฉัยแลว กย็ อ มระงบั ได หรือวา คร้นั เมอ่ื สงฆ ไมอาจเพ่อื จะระงับอนั บุคคลผูอันสงฆสมมติแลว วินจิ ฉัยเพื่อดึงออก ( จากอาบัติ ) ในที่นนั้นนั่ แหละ ยอมระงับไดเชนกัน. กแ็ ละคร้ันเมื่อววิ าทาธิกรณน ั้นระงับอยูอยา งนี้ ความพรอมหนา สงฆ ความพรอ มหนา ธรรม ความพรอ มหนา วนิ ยัความพรอ มหนาบุคคล อันใด อนั นชี้ อื่ วา สมั มขุ าวนิ ยั . ก็บรรดาความพรอ มหนาเหลา น้ัน ความท่ีสงฆผูกระทาํ (กรรม) พรอ มหนากนั ดว ยสามารถแหงความสามัคคีของสงฆ อนั นีช้ อ่ื วา ความพรอมหนา สงฆ. ความท่ีมวี ัตถุ ( เรือ่ ง ) อนั จะพึงระงบั ชื่อวา ความพรอ มหนาธรรม. การพจิ ารณาโดยประกาศทีว่ ิวาทาธิกรณ จะพึงระงบั ไป ชื่อวา ความพรอมหนา วนิ ัย. ภกิ ษใุ ดวิวาทกัน และวิวาทดวยเนื้อความอันใด ความพรอมหนากนั แหง เนือ้ ความและคูกรณี ( ขา ศกึ ) ทัง้ สองนนั้ ชือ่ วา ความพรอ มหนาบุคคล. ก็ความพรอ มหนา สงฆใ นวิวาทาธกิ รณน้ี ยอ มเสือ่ หายไปในเพราะการเขาไประงับเพื่อดึงออก ( จากอาบัติ ). วิวาทาธกิ รณ ยอมระงับไปดวยสัมมขุ าวนิ ัยเทา นน้ั อยางนี้กอ น. ก็ถาวา ววิ าทาธกิ รณไมระงับไป แมอยา งนน้ั เมื่อเปน เชน น้ีพวกภกิ ษุผูอนั สงฆส มมตุ ิ เพื่อดงึ ออก( จากอาบัติ ) ยอ มมอบเรอ่ื งนั้นแกสงฆน นั่ แหละดวยคิดวา พวกเราไมอาจเพื่อจะระงบั ได. ลําดบั น้นั สงฆจงึ สมมุติภกิ ษผุ ปู ระกอบดวยองคหา ใหเปนผูจ ับฉลาก เพราะความทพี่ ระธรรมวาทแี หง บริษทั ผยู ังภิกษรุ ูปน้ันใหจบั ฉลาก ดว ยสามารถแหง วิธี อยา งใดอยางหนึง่ ในบรรดาการจับฉลาก ๓อยา ง คือ ซอ น ๑ เปดเผย ๑ กระซิบท่หี ขู องตน ๑ ประชมุ กนั แลวมมี าก

พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 384อธกิ รณท ีเ่ ขา ไประงับโดยประการที่ พระธรรมวาทเี หลานนั้ กลา ว ก็จดั วาเปนอันเขาไประงับแลว ดว ยสัมมขุ าวินยั และเยภยุ ยสิกา. สัมมขุ าวนิ ัยในววิ าทาธกิ รณน ้ัน มนี ยั อันทา นกลา วไวแ ลว นน่ั เทยี ว. กก็ ารกระทํากรรมโดยเสยี งขางมากเปนประมาณอนั ใด อนั น้ีชอ่ื วา เยภุยยสิกา. ววิ าทาธกิ รณยอ มระงบั ดวยสมถะ ๒ อยา ง ดว ยประการฉะน้.ี อนุวาทาธกิ รณ ยอมระงบั ดว ยสมถะ ๔ คือ สัมมุขาวินยั ๑ สติวินัย ๑ อมฬุ หวินยั ๑ ตสั สปาปยสิกา ๑. อนวุ าทาธกิ รณ ระงับอยูดว ยสัมมขุ าวินยั นั่นเทียว คอื ภิกษผุ โู จท กลาวโทษ และโจท กลา วโทษผใู ด อนุวาทาธิกรณ อันสงฆฟงถอยคาํ ของท้งั สองฝายนัน้ แลว วนิ จิ ฉยัอยา งนว้ี า ถา วา อาบัติบางอยา งไมม ี ยงั เธอทง้ั สองใหอดโทษแลว ถาวามอี าบตั ิ อาบัติในอนุวาทาธิกรณน ี้ ช่ือนี้ ยอ มเขาไประงบั ได. ลักษณะแหง สัมมุขาวนิ ยั ในอนวุ าทาธกิ รณนั้น มีนัยอนั ขา พเจากลาวไวแ ลว นนั่เทยี ว. ก็ในกาลใด สงฆใ หส ติวินยั ดวยญตั ิตจิ ตตุ ถกรรม แกภ กิ ษุผูเปนพระขณี าสพผูถูกโจท ดวยศีลวิบัติ อันหามลู มไิ ดผูขอสตวิ ินยั อยู ในกาลนน้ั อนวุ าทาธกิ รณ เปน อนั ระงบั ไปดวยสัมมขุ าวินัย และสติวนิ ยั . ก็เมื่อสงฆใหส ติวนิ ัยแลว การกลาวโทษของใคร ๆ ยอ มไมขน้ึ ในบคุ คลนน้ั อีก. ในกาลใด ภิกษผุ เู ปนบา ถูกพวกภิกษุโจทวา ทานผมู อี ายุระลกึ ถงึอาบัติเห็นปานน้ี ไดหรือ ในความประพฤตอิ ันไมใชข องสมณะ ดว ยอํานาจแหง ความเปน บา แมก ลา วอยวู า ทา นผูม ีอายทุ ั้งหลาย กระผมผูเปน บา .กระทาํ กรรมนัน้ แลว กระผมหาระลึกไดไ ม ดงั นแ้ี ลว ยงั ถกู พวกภิกษุโจทอยูเทียว ขออมุฬหวนิ ัย เพือ่ ประโยชนแ กก ารไมโจทอีก และสงฆใหอมุฬหวินัย แกภกิ ษุนัน้ ดวยญัตตจิ ตตุ ถกรรม ในกาลนน้ั อนวุ าทาธิกรณ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 385เปนอันเขาไประงบั ดว ยสมั มขุ าวินัย และอมฬุ หวนิ ยั . กค็ รัน้ เม่ือสงฆใหอมุฬหวินยั แลว การกลา วโทษของใครๆ เพราะความทภ่ี กิ ษุนนั้ เปนบาเปน ปจ จยั ยอมไมข ึ้นในบคุ คลนน้ั อกี . กใ็ นกาลใด เม่อื บคุ คลผลู ามกเพราะมากดว ยความชวั่ ถูกโจทดวยอาบตั ิปาราชกิ หรอื ใกลเ คยี งปาราชิกกลบั ประพฤตเิ ปน อยา งอนื่ ถาวาบุคคลผนู ี้ จกั เปนผูม ีมูล อนั ตนตองการแลว ประพฤตโิ ดยชอบเทียว จกั ไดการรวมกัน ( เขา หมู ) ถา วา เปนผูมีมูลอันตนตัดแลว สงฆสาํ คญั อยวู า การขบั ไลนน้ี น่ั แหละ จักมแี กบุคคล.น้ัน จงึ กระทําตัสสปาปยสกิ า ( การลงโทษแกผ ูผิด ) ดวยญตั ติจตตุ ถกรรมในกาลน้ัน อนวุ าทาธิกรณ เปน อนั เขา ไประงบั ดว ยสมั มขุ าวินยั และตัสสปาปยสิกา. อนวุ าทาธิกรณ ยอมระงับไปดวยสมถะ ๔ อยาง ดวยประการฉะน้ี. อาปตตาธกิ รณ ยอมระงบั ดวยสมถะ ๓ คอื สัมมขุ าวนิ ัย ๑ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑. อาปตตาธิกรณน น้ั ไมม กี ารเขา ไประงับดวยสัมมขุ าวินัยทเี ดยี ว. กใ็ นกาลใด ภกิ ษุแสดงลหกุ าบตั ิ ในสาํ นักแหง ภิกษุรูปหนงึ่ หรือในทา มกลางคณะสงฆ ในกาลน้นั อาปตตตาธกิ รณยอ มเขา ไประงบั ดวยสมั มขุ าวนิ ัย และปฏญิ ญาตกรณะ. บรรดาสมถะเหลา น้ัน พงึ ทราบวินิจฉัยในสัมมขุ าวินัยกอน ภกิ ษผุ แู สดงและแสดงแกผ ูใ ด ความพรอ มหนา กนั แหง บุคคลท้ังสองน้ัน ชื่อวา ความพรอมหนาบุคคล. คาํ ท่เี หลอื มีนัยดังกลาวแลวนัน่ แหละ. ความพรอ มหนา สงฆ ยอมเส่ือมหายไปในกาลทแ่ี สดงแกบ คุ คลและคณะ. กบ็ รรดาสมถะเหลา น้ี การกระทาํ ปฏญิ ญาวา ขาแตท า นผูเจริญ กระผมตองแลว ซง่ึ อาบัตชิ อื่ น้ี และวา

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 386ขอรับ กระผมเห็นอยู ( ผรู บั แสดงอาบตั กิ ลาววา ) ทา นพงึ สํารวมระวงัตอ ไป อนั ใด อนั น้นั ชอื่ วา ปฏญิ ญาตกรณะ. การขอปรวิ าสเปนตนจากอาบัตสิ งั ฆาทิเสสทง้ั หลาย ช่ือวา ปฏิญญา การใหปริวาสเปน ตนชอื่ วา ปฏญิ ญาตกรณะ. ก็พวกภิกษผุ ูกระทําการทะเลาะกัน เกดิ แยกเปนสองฝาย ประพฤติลวงละเมิดกจิ อนั มิใชข องสมณะเปน อนั มาก ครนั้ เมือ่ลัชชีธรรม เกดิ ข้นึ อีก เห็นโทษในการชกั ชวนกนั และกนั ใหกระทาํ อาบตั ิวาถา วา พวกเราพงึ กระทาํ กันและกนั ดว ยอาบัติเหลาน้ีไซร อธกิ รณน้ันแมจ ะพงึ มี กพ็ งึ เปนไปพรอ มเพื่อความเปน ผหู ยาบชา แลว จงึ กระทาํ ตณิ -วตั ถารกกรรมในกาลใด ในกาลน้นั อาปตตาธกิ รณ ยอมระงบั ดวยสัมมุขาวนิ ยั และตณิ วตั ถารกะ. ก็ภิกษผุ เู ขา อยใู นหัตถบาสในกรรมนน้ัไมก ระทํากรรมใหแ จง อันตนเห็นอยา งน้ีวา กรรมนน้ั ไมเ หมาะแกเราแลว พากนั หลบไปเสยี . อาบัติทัง้ ปวงของภิกษุทัง้ ปวงเหลา น้นั เวนโทษท่ีหยาบ และท่ปี ฏิสงั ยุตตด ว ยคฤหัสถยอมออกพน ไปได. อาปต ตาธิกรณยอมระงับดว ยสมถะ ๓ อยา ง ดว ยประการฉะนี้. กจิ จาธกิ รณ ยอ มระงบั ดว ยสมถะ ๑ คือ สมั มขุ าวนิ ยั เทาน้นั .อธิกรณ ๔ เหลานี้ ยอ มระงบั ดว ยสมถะ ๗ ประการเหลา นี้ ตามสมควร.เพราะเหตนุ นั้ ทานจงึ กลา วไววา เพอื่ ความสงบระงบั อธกิ รณ อนั บงั เกดิขน้ึ แลว ๆ พงึ ใหสมั มุขาวินยั พงึ ใหส ติวนิ ัย พึงใหอมฬุ หวินัย พงึ ปรบัตามปฏิญญา พึงถือเอาเสยี งขางมากเปนประมาณ พึงปรบั ตามความผดิ ของจาํ เลย พึงใชติณวตั ถารกวธิ ี ดังนีแ้ ล. น้ีเปน นัยแหง การวินจิ ฉัยในอธกิ รณเหลาน้.ี สวนความพิสดารมาแลว ในสมถขันธกะนัน่ แล. แมการวนิ จิ ฉยั

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 387แหงความพสิ ดารนั้น ขาพเจา ก็กลาวไวแ ลวในสมนั ตปาสาทกิ า. คําเปนตนวา อิเม โข อาวุโส บัณฑิตพงึ ประกอบโดยนยั อนั ขาพเจา กลา วแลวนัน่ เทยี ว. พระเถระกลา ว ๙๘ ปญ หา ดวยสามารถแหงหมวดเจด็ ๑๔ หมวดแสดงสามัคครี ส ดว ยประการฉะน้ี ดงั นแ้ี ล. จบหมวด ๗ วา ดว ยธรรมหมวด ๘ พระเถระครน้ั แสดงสามคั คีรส ดว ยสามารถแหง หมวดเจ็ด ดวยประการฉะนน้ั แลว บดั นี้ เพ่ือจะแสดงสามคั ครี สดวยสามารถแหงหมวดแปดจงึ เร่ิมปรารภพระธรรมเทศนาตอไปอีก. บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา มจิ ฉฺ ตตฺ า คอื ไมแนนอน ไดแ กมสี ภาพท่ีผดิ . บทวา สมฺมตฺตา คือ แนน อน ไดแ ก มสี ภาพท่ถี ูกโดยชอบ.บทวา กุสตี วตฺถูนิ ไดแก เรอื่ ง คือ ท่ีพง่ึ ของตนเกยี จครา น คือของคนขีเ้ กยี จ อธบิ ายวา เหตุของความเกียจคราน. หลายบท วา กมมฺ กตฺตพฺพ โหติ ความวา พงึ กระทาํ กรรมมกี ารกะจวี รเปน ตน. หลายบทวา น วิริย อารภติ ความวา ไมป รารภ ความเพยี ร แมท งั้ ๒ อยา ง.บทวา อปปฺ ตฺตสฺส ความวา เพื่อบรรลุธรรม คือ ฌาน วปิ สสนา มรรคและผล ท่ตี นยังไมบ รรลุ. บทวา อนธิคตสฺส ความวา เพื่อประโยชนคอื การบรรลธุ รรมคือ ฌาน วปิ สสนา มรรคและผลนัน้ นน่ั แหละ อันตนยงั มิไดบรรลุ. บทวา อสจฉฺ กิ ตสฺส ความวา เพ่อื ประโยชนค ือการกระทาํใหแ จง ธรรม คอื ฌาน วปิ ส สนา มรรค และผลน้นั ที่ตนยังไม

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 388กระทาํ ใหแจง. สองคํานี้ วา อทิ  ปฐม ไดแกการนง่ั ลง ( ดว ยการคิด )อยางน้ีวา เอาเถิด เราจะนอน ดังน้ี จดั เปนเรอื่ งของความเกียจครานทีแรก.บณั ฑิตพงึ ทราบเน้ือความในบทท้ังปวง โดยนัยนี้ . ก็ถั่วราชมาสอันชมุ ช่ือวามาสาจิตะ ในคาํ นี้วา มาสาจิต มเฺ  ดงั น.้ี อธบิ ายวา เปนผหู นกัเหมอื นถ่วั ราชมาสที่เปย กชุม เปน ของหนักฉะนน้ั . สองบทวา คิลาน-วุฏ โิ ต โหติ ความวา เปน ไขห ายออกไปทหี ลัง. บทวา อารพภฺ วตถฺ นู ิไดแ ก เหตแุ หงความเพยี ร บัณฑิตพงึ ทราบเน้อื ความ โดยนยั นเ้ี ทียวแหง บททงั้ หลาย แมเหลาน้นั . บทวา ทานวตฺถูนิ คอื เหตุแหง ทาน. หลายบทวา อาสชฺชทาน เทติ ความวา ถงึ แลว จึงใหทาน. บุคคลเห็นภกิ ษผุ มู าแลวเทยี วนมิ นตทา นใหน ัง่ ครหู นง่ึ เทาน้นั แลว จึงกระทําสักการะถวายทาน ยอ มไมลาํ บาก ดวยการคดิ วา เราจกั ให. ความหวังในการใหน ี้ ชื่อวา เหตุแหงการให ดว ยประการฉะน้.ี เหตุทัง้ หลายมคี วามกลวั เปนตน แมใ นคําเปน ตนวา ใหทาน เพราะความกลัว บัณฑติ พึงทราบวา เปนเหตแุ หง การให.บรรดาเหตเุ หลานน้ั ความกลวั ตอคาํ ติเตยี น หรือความกลัวตอ อบายวาบคุ คลผนู ้ี เปนผไู มใ ห ( ทาน ) เปน ผไู มก ระทาํ ( สักการะ ) ช่อื วาความกลัว. สองบทวา อทาสิ เม ความวา บคุ คลยอ มใหตอบดว ยคดิ วาบคุ คลนั้นไดใ หวตั ถชุ อื่ นแี้ กเ ราในกาลกอ น. สองบทวา ทสฺสติ เม ความวาบคุ คลยอมใหด วยคดิ วา เขาจกั ใหวตั ถุช่อื นี้ ในอนาคต. สองบทวา สาหุทาน ความวา บคุ คลยอมให ( ทาน ) ดวยคิดวา ธรรมดาวา การใหเปนการยังประโยชนใ หส าํ เรจ็ คอื เปนกรรมดี อนั บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจา เปนตน ทรงสรรเสริญแลว. หลายบทวา จิตฺตาลงฺการจติ ตฺ -

พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 389ปรกิ ฺขารตฺถ ทาน เทติ ความวา บคุ คลยอมใหท านเพอ่ื เปนเครอื่ งประดับและเพ่อื เปนบริวารของจติ ในสมถะ และวิปส สนา. จริงอยู ทาน ยอ มกระทาํ จติ ใหออนได. อันผใู ดไดว ัตถุ แมผ นู ั้นก็ยอมมีจิตออ นวา เราไดแลว.อนั ผใู ดใหแลว แมผ ูน ัน้ กย็ อ มมจี ติ ออนวา เราใหแ ลว. ทานยอมกระทาํจิตของบุคคลแมทัง้ สองใหออนได ดวยประการฉะน้ี. เพราะเหตุนน้ั นน่ั แลพระผมู ีพระภาคเจา จงึ ตรสั คําเปนตนวา การฝกจิตซ่ึงยังไมเ คยฝก (ช่อื วาทาน). เหมอื นอยางท่พี ระผูม ีพระภาคเจาตรสั ไวว า การฝกจติ ซ่งึ ยังไมเ คยฝก ชอื่ วา ทาน การ ไมใหเ ปน เหตุประทษุ รายจิตท่ีฝกแลว สตั ว ทงั้ หลายยอมฟูขน้ึ และฟุบลง ดวยทานและ วาจาทอี่ อนหวาน ดังนี.้กบ็ รรดาทานทงั้ ๘ ประการเหลานี้ ทานทเี่ ปน เครอื่ งประดบั จติ เทา น้นั สูงสดุ . บทวา ทานปู ปตฺตโิ ย ความวา เขาถงึ เพราะทานเปน ปจจัย. บทวาทหติ แปลวา ตัง้ ไว. คาํ วา อธฏิ  าติ เปนไวพจนของคาํ วา ทหติน้ันน่นั แหละ. บทวา ภาเวติ แปลวา ใหเ จริญ. สองบทวา หีเน วมิ ุตตฺ ความวา หลดุ พน กามคุณ ๕ อันเลว. บทวา อุตฺตริอภาวิต ความวาแตน น้ั ไมอบรมเพ่ือตองการมรรคผลอันยอดเยี่ยม. สองบทวา ตตฺรปู -ปตฺติยาส วตฺตติ ความวา บคุ คลปรารถนา ( เกิด ) ทใ่ี ด กระทํากุศลไวกย็ อ มเปน ไปพรอม เพ่ือประโยชนแ กการเกิดในทนี่ ั้น ๆ. บทวา วีตราคสฺสความวา ผูม ีราคะอันตัดไดเดด็ ขาดดวยมรรค หรือผูมีราคะอนั ขม ไดดว ย

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 390สมาบตั .ิ จริงอยู สัตวไ มอ าจที่จะเกิดในพรหมโลกไดดว ยกุศลสักวา ทานเทานัน้ . ก็ทานยอมเปนเคร่อื งประดบั เปนบรวิ ารของจิตในสมาธิ และวปิ ส สนา. บุคคลผูมีจิตออ นโยน เพราะทานนั้น เจรญิ พรหมวหิ ารแลวยอ มบงั เกิดในพรหมโลกได. เพราะเหตุนน้ั ทา นพระสารบี ุตรจงึ กลาวไวว าของผมู รี าคะไปปราศแลว ไมใ ชของผมู รี าคะ. บริษทั ของกษตั รยิ  ชื่อวาขัตตยิ ปรสิ า (บรษิ ทั ของกษัตรยิ  ) อธิบายวา หมู. ในบททงั้ ปวงกน็ ยั นน้ี ่ันเทียว. ธรรมของโลก ช่อื วาโลกธรรม. ธรรมดาวา บคุ คลผูพ นจากโลกธรรมเหลานนั้ ไมม .ี แมพ ระพทุ ธเจาทั้งหลายก็ยงั ตองมีนน่ั เทยี ว. สมจรงิดังพระดาํ รสั แมที่พระองคต รัสไวว า ภิกษทุ ง้ั หลาย โลกธรรม ๘ ประการเหลานี้ ยอ มหมนุ เวยี นไปตามโลก และโลกกย็ อ มหมนุ เวียนไปตามโลกธรรม ๘ ประการดงั น.ี้ สองบทวา ลาโภ อลาโภ บณั ฑิตพงึ ทราบวาครั้นเม่ือลาภมา ความไมมีลาภกม็ าดว ยนน่ั เทยี ว. แมใ น ยศ เปนตน กน็ ยั นี้เหมอื นกนั . กถาวา ดวยอภภิ ายตนะและวโิ มกข ทานกลาวไวแลว ในหนหลังน่ันแล. คาํ วา อเิ ม โข อาวุโส เปน ตน บณั ฑิตพงึ ประกอบโดยนยั ดังท่กี ลาวแลวเหมือนกนั . พระเถระกลา วปญ หา ๘๘ ปญหาดว ยสามารถแหงหมวดแปด ๑๑ หมวด แสดงสามัคครี สแลว ดวยประการฉะนั้นแล. จบหมวด ๘

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 391 วา ดวยธรรมหมวด ๙ พระเถระครั้นแสดงสามัคคีรสดว ยสามารถแหงหมวดแปดดวยประการฉะนี้ บดั น้เี พอ่ื จะแสดงสามัคคีรสดว ยสามารถแหง หมวดเกา จึงปรารภพระธรรมเทศนาอีก. บรรดาบทเหลา น้ัน บทวา อาฆาตวตถฺ ูนิ แปลวา เหตุแหงความอาฆาต. สองบทวา อาฆาต พนธฺ ติ ความวา ผกู ไวค อื กระทําไดแ กยังความโกรธใหเ กดิ ข้นึ . หลายบทวา ต กเุ ตตถฺ ลพภฺ า ความวาการประพฤตสิ ่ิงที่ไมเปน ประโยชนน ั้น อยา ไดม ีแลว เพราะเหตุนน้ั อนับุคคลพึงไดจ ากทีไ่ หน คืออาจเพอ่ื จะไดด ว ยเหตุอะไรในบุคคลน.้ี บุคคลคิดอยา งนี้วา ธรรมดาวา บคุ คลอื่น ยอมกระทาํ ความฉิบหายตามความพอใจแหง จติ ของตนแกบุคคลอ่นื ดงั น้ี ยอ มบรรเทาความอาฆาตได. อกี อยางหนึ่ง.อธิบายวา ถา วา เราพึงกระทําความโกรธตอบไซร การกระทําความโกรธน้ันอนั เราพงึ ไดแตทไ่ี หนในบคุ คลน้ี หรอื พึงไดดว ยเหตุอะไร. บาลวี ากโุ ต ลาภา ดังนี้กม็ ี. ถาวา เราพงึ กระทําความโกรธ ในบคุ คลนไ้ี ซรธรรมดาวา ลาภอันเราไดแตท ี่ไหนในการกระทาํ ความโกรธของเราน้นัอธบิ ายวา ลาภเหลาไหนพึงมี. ก็ในอรรถน้ี ศพั ทวา ต เปนเพยี งนิบาตเทา นน้ั . บทวา สตตฺ าวาสา ไดแก ถ่นิ เปนท่ีอยขู องสตั วท ั้งหลาย อธบิ ายวาทเ่ี ปนทีย่ ู. บรรดาสัตตาวาสเหลา นน้ั แมส ทุ ธาวาสทั้งหลายกจ็ ัดเปนสตั ตาวาสเหมือนกัน แตวา ทานมิไดจ ดั ไว เพราะความทไี่ มเ ปน ไปในกาล

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 392ท้ังปวง. จรงิ อยู สุทธาวาสท้งั หลาย เปน เหมือนกบั คา ย ( ถ่นิ ท่ปี ระทบั )ของพระพทุ ธเจา ท้งั หลาย. เพราะวา ในอสงไขยกัปป ครนั้ เมื่อพระพทุ ธเจาไมบ ังเกิด ทีน่ ัน้ ยอ มวา งเปลา เพราะเหตุนั้น ทา นจึงไมจ ดั ไว ( วาเปนสัตตาวาส ) เพราะความทีไ่ มเปน ไปในกาลทั้งปวง. คาํ ท่เี หลอื ในอรรถน้ีบัณฑิตพงึ ทราบดงั ตอไปนี้ คาํ ที่จะพึงกลา วทานกลา วไวแ ลว ในหนหลงันน่ั แล. พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในอขณะท้ังหลาย. หลายบทวา ธมโฺ ม จ เทสยิ ติความวา สัจจธรรม ๔ อันพระผมู ีพระภาคเจา ยอ มทรงแสดง. บทวาโอปสมโิ ถ ความวา กระทําการเขาไประงบั กิเลส. บทวา ปรินพิ ฺพานิโกความวา นาํ มาซึง่ การดบั รอบแหงกิเลส. บทวา สมฺโพธคามี ความวาผูแทงตลอดดวยมรรคญาณ ๔. บทวา อฺ ตร ความวา อสญั ญภพหรือวา อรูปภพ บทวา อนปุ พุ ฺพวหิ ารา ความวา วหิ ารธรรมอนั จะพงึเขาไปตามลาํ ดบั . บทวา อนุปพุ ฺพนิโรธา ความวา ดับไปตามลําดับ คําวาอิเม โข อาวโุ ส เปนตน บณั ฑติ พงึ ประกอบโดยนยั ดังทก่ี ลาวแลวนัน่ แลพระเถระเม่อื กลา วปญ หา ๕๔ ปญ หา ดว ยสามารถแหงหมวดเกา ๖ หมวดแสดงสามคั คีรส แลว ดวยประการฉะนีด้ ังนี้แล จบหมวด ๙ วา ดวยธรรมหมวด ๑๐ พระเถระครั้นแสดงสามคั คีรสดว ยสามารถแหงหมวดเกา ดวยประการฉะนแ้ี ลว บัดน้เี พ่อื จะแสดงสามัคครี สดว ยสามารถแหง หมวดสิบจึงปรารภพระธรรมเทศนาอกี .

พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 393 บรรดาบทเหลาน้ันบทวา นาถกรณา ความวา ธรรมอันกระทาํท่พี ่งึ แหงตน อันพระผูมีพระภาคเจา ตรสั ไวอ ยา งน้ีวา ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงมีทพ่ี ่ึงอยเู ถิด อยา อยูไมมีท่พี งึ่ เลย ภิกษทุ งั้ หลาย ธรรม ๑๐ ประการเหลา นี้ เปนธรรมท่ีกระทาํ ทพี่ ่ึง. พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในคาํ วา กลฺยาณมิตโฺ ตเปน ตน . มิตรทงั้ หลายของบุคคลนนั้ ถึงพรอ มดว ยคณุ มศี ลี เปน ตน คอืเปนคนดี เพราะเหตุน้นั บุคคลน้ันช่อื วา กลั ยาณมติ ร ( ผมู มี ติ รดี ).อนง่ึ มติ รเหลาน้นั ของบุคคลน้นั ชอื่ วา หาย เพราะไปรว มกนั ในอิรยิ าบถท้ังหลายมีการยนิ และการนั่งเปน ตน เพราะเหตนุ น้ั บคุ คลน้ันจึงชอื่ วากลั ยาณสหาย ( ผมู สี หายดี ). ความเขาพวกในกัลยาณมิตรนั่นแล นอมไปท้งั จิตและกาย เพราะเหตนุ ้นั จงึ ชือ่ วา กลั ยาณสมั ปวงั กะ ( ผมู ีพวกดี ). สองบทวา สุพพฺ โจ โหติ ความวา เปน ผูอนั เขาพึงวา กลา วไดโดยงาย คอื อันเขาพงึ ตามสอนไดโ ดยงาย. บทวา ขโม ความวา ผูถูกเขาวา ดว ยถอ ยคาํ อันหนักคอื หยาบคาย ไดแกแ ขง็ กระดา ง ยอมอดทนไดคือไมโกรธ. สองบทวา ปทกฺขณิ คฺคาหี อนุสาสนี ความวา ผูไมกระทําเหมอื นบคุ คลบางคน พอถกู เขาโอวาทก็รับโดยเบื้องซาย แตกแยกกันไป หรอื ไมฟงไปเสยี ยอ มรับเบอื้ งขวาดวยกลา ววา ทา นผูเจริญ ขอทานจงโอวาท จงตามสอนเถดิ เมอื่ ทา นไมโอวาท คนอื่นใครเลา จกัโอวาทดงั นี.้ บทวา อจุ จฺ าวจานิ ความวา สูงและตา่ํ . บทวา กกึ รณียานิความวา การงานอนั จะพึงกลาวกระทาํ อยา งนี้วา กระผมจะทาํ อะไร. บรรดาการงานเหลา น้นั การงานมีอาทอิ ยา งน้ีวา การกระทําจีวร การยอ มจวี ร

พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 394การทาํ ความสะอาดท่ีพระเจดีย การงานอันจะพงึ กระทาํ ท่โี รงอโุ บสถ เรอื นพระเจดยี  และเรอื นโพธิ์ทง้ั หลาย ชือ่ วา การงานสงู . การงานเลก็ นอยมกี ารลา งเทาและทาเทา เปนตน ชอ่ื วา การงานตํ่า. บทวา ตตฺรูปายายความวา ควรเขา ไปในทน่ี น้ั . สองบทวา อล กาตุ ความวา เปนผสู ามารถเพือ่ จะทํา. สองบทวา อล ส วธิ าตุ ความวา ผสู ามารถเพือ่ จะพิจารณา.อธิบายวา เปนผใู ครทจ่ี ะแสดงแกคนเหลา อน่ื . ความใครค อื ความรกั ในธรรมของบคุ คลนั้น มอี ยู เหตุน้ัน บุคคลน้ันช่อื วา ธมั มกาโม ( ผูใ ครในธรรม ). อธบิ ายวา ยอมประพฤติรกั ซ่งึ พระพทุ ธวจนะ คอื พระไตรปฎ กบทวา ปยสมทุ าหาโร ความวา เม่อื บุคคลอ่นื กลา วอยู ยอ มฟง โดยเคารพและเปนผใู คร เพ่อื จะแสดงแกช นเหลา อ่ืนเอง. ในหมวดสองแหง บทน้วี าอภธิ มฺเม อภิเวนเย บณั ฑิตพงึ ทราบหมวดส่ีแหงคาํ วา ธมฺโม อภิธมโฺ มวินโย อภวิ ินโย ดังน้ี . บรรดาบทเหลา นั้น บทวา ธมโฺ ม ไดแกพระสตุ ตนั ปฎก. บทวา อภิธมฺโม ไดแ ก สัตตัปปกรณ (ปกรณ ๗).บทวา วินโย ไดแ ก อุภโตวภิ งั ค. บทวา อภิวินโย ไดแ ก ขันธก-บรวิ าร. อกี อยางหนึ่ง แมพ ระสุตตนั ตปฎก คือพระธรรมนนั่ เองมรรคและผลท้งั หลาย คือพระอภิธรรม พระวนิ ัยปฎกทงั้ สิ้น คือพระ-วินยั การกระทาํ การเขา ไประงับกิเลส คอื อภวิ นิ ยั . บณั ฑิตพงึ ทราบอธบิ าย ในธรรม อภิธรรม วินัย และอภวิ ินยั นแี้ มทั้งหมดดวยประการฉะนี.้ บทวา อุฬารปาโมชฺโช ความวา เปน ผูมคี วามปราโมทยม าก.กุสเลสุ ธมเฺ มสุ ความวา สตั ตมวี ภิ ตั ติ ลงในอรรถแหง ตติยาวิภตั ต.ิเพราะเหตแุ หงกุศลธรรมอนั เปน ไปในภมู ิ ๔. อธบิ ายวา เปนผไู มทอดธุระ เพอื่ ประโยชนแกก ารบรรลุกุศลธรรมอันเปน ไปในภมู ิ ๔ เหลานั้น.

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 395 บัณฑติ พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในหมวดสิบแหงกสิณดังตอไปน.ี้ โดยอรรถทัง้ ส้นิ กสณิ ทงั้ หลาย ช่อื วา เปน แดน ดว ยอรรถวา เปน เขต หรอื ดวยอรรถวา การตัง้ ใจมัน่ แหงธรรมท้ังหลายอันเปนตทารมณ. บทวา อทุ ธฺ ความวา ผูมหี นาเฉพาะตอพน้ื ทอ งฟา ในเบื้องบน. บทวา อโธ ความวาผมู หี นา เฉพาะตอพ้ืนแผนดนิ เบื้องต่ํา. บทวา ติริย ความวา กําหนดตดัโดยรอบเหมือนมณฑลแหงนา. จรงิ อยู บคุ คลบางคน ยอ มขยายกสิณไปเบื้องบนอยา งเดยี ว บางคนขยายไปเบ้อื งลา ง บางคนขยายไปโดยรอบ.บคุ คลผใู ครใ นการเหน็ รปู ประดจุ เหมือนแสงสวาง ยอ มแผอ อกไปอยา งนัน้หรอื โดยเหตนุ ัน้ นนั้ . เพราะเหตนุ ้ันทา นจงึ กลาวไววา ผูหนงึ่ ยอ มจําปฐวี-กสณิ ได ท้งั เบ้อื งบน เบอ้ื งลาง เบอ้ื งขวาง. สว นคําวา อนฺวย น้ี ทา นกลา วไวเพ่อื การเขา ถงึ ความเปน อยางอ่นื แหง บุคคลผูห น่งึ . เหมือนอยางวาเม่ือบุคคลดําลงนา นาํ้ เทานัน้ ยอมปรากฏมีในทิศทงั้ ปวง ส่ิงอื่นหามไี มฉนั ใด ปฐวกี สณิ ก็ฉันนัน้ เหมอื นกนั ยอ มเปนปฐวกิ สณิ อยนู ่นั เอง ความเจือดวยกสณิ อยา งอ่ืนของผนู ้ันยอมไมม ี. ในกสณิ ทั้งปวงกน็ ัยน.ี้ คําวาอปฺปมาณ นี้ ทา นกลาวไว ดวยสามารถแหงการแผไ ปไมมี ประมาณแหงบคุ คลน้ัน ๆ. จรงิ อยูบุคคลเมื่อแผก สณิ นั้นไปดวยใจ ชอ่ื วา แผไ ปทงั้ ส้นิทีเดยี ว คอื ไมถอื เอาประมาณวา นเี้ ปน เบ้ืองตน น้ีเปน ทามกลางแหงกสิณน้ัน ดงั น้แี ล. กใ็ นคาํ วา วิฺญาณกสิณ น้ไี ดแก วิญญาณทเ่ี ปนไปในกสณิ คุ ฆาตมิ ากาศ (อากาศท่ีเพิกกสณิ ). บัณฑิตพงึ ทราบความเปน เบื้องบน เบ้ืองลา ง และเบื้องขวาง ในวญิ ญาณที่เปน ไปในกสณิ น้ันดว ยสามารถแหงกสณิ ุคฆาตมิ ากาศดว ยอํานาจแหงกสิณในวิญญาณนัน้ . นี้เปนความยอในกสิณน้ี. กแ็ ล กสิณทงั้ หลายมีปฐวีกสณิ เปนตน เหลาน้ัน อันขาพเจา

พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 396กลาวไวแ ลว โดยพสิ ดาร ในวสิ ุทธมิ รรคนน่ั แล โดยภาวนามยั แหงกมั มัฏฐาน. พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ในกรรมบถทงั้ หลายดงั ตอไปนี้ . กรรมท้ังหลายน่ันเอง ชอ่ื วาเปนกรรมบถ เพราะความเปนทางแหงทุคคติ และสุคตทิ ้ังหลาย.บรรดากรรมบถเหลานั้น กรรมบถท้ัง ๔ มีปาณาตบิ าต อทนิ นาทาน และมุสาวาท เปน ตน ทานใหพ ิสดารแลว ในพรหมชาลสูตรนัน่ แล. สว นในกรรมบถขอ วา กาเมสุ มจิ ฺฉาจาโร นี้ บณั ฑิตพึงทราบวนิ จิ ฉัยดังตอไปน้ีบทวา กาเมสุ ความวา ในความประพฤติเมถุน หรือในวตั ถแุ หงเมถนุบทวา มิจฺฉาจาโร ความวา ความประพฤตอิ นั ลามก ท่บี ณั ฑิตติเตียนโดยสว นเดยี ว. สว นโดยลักษณะ เจตนาทกี่ า วลว งฐานะ อันไมพ ึงถึง ท่เี ปนไปทางกายทวาร โดยความประสงคจ ะเสพอสทั ธรรม กจ็ ดั เปนกาเมสมุ จิ ฉาจาร-ในกาเมสุมิจฉาจารน้นั สาํ หรบั บุรษุ ท้ังหลายกอน หญิง ๑๐ จําพวก มีหญงิอันมารดารักษาเปนตน คอื หญิงอนั มารดารักษา ๑ หญิงอนั บดิ ารกั ษา ๑หญงิ อนั มารดาและบดิ ารกั ษา ๑ หญิงอันพี่นองชายรกั ษา ๑ หญิงอันพ่ีนอ งหญิงรกั ษา ๑ หญิงอันญาตริ ักษา ๑ หญิงอนั โคตรรกั ษา ๑ หญิงอันธรรมรักษา ๑ หญิงที่มีการอารกั ขา ๑ หญิงท่มี อี าชญา ๑ และหญงิ อีก ๑๐ จาํ พวกมหี ญิงที่ซอ้ื มาดว ยทรัพยเ ปนตน เหลา นนั้ คือ หญิงทซ่ี ื้อมาดวยทรพั ย ๑หญงิ ที่อยดู วยความพอใจ ๑ หญงิ ทีอ่ ยดู วยโภคะ ๑ หญิงทีอ่ ยดู วยแผน ผา ๑หญิงผมู ีถังนาํ้ (ตักนาํ้ ) ๑ หญงิ ผมู เี ทริดนาํ ไป ๑ ภริยาผเู ปน ทาสี ๑ ภริยาผูทํางาน ๑ หญิงผนู าํ มาดว ยธง ๑ หญิงผูอยูช่ัวครู ๑ รวมเปนหญิง ๒๐ จาํ พวกช่อื วา ฐานอนั ไมพงึ ถงึ . สวนบรรดาหญิงท้ังหลาย บรุ ษุ เหลาอืน่ ช่อื วา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 397เปนฐานะอันไมพ ึงถงึ แหง หญงิ ๑๒ จําพวก คือ หญงิ ท่มี ีการอารักขาและมอี าชญา ๒ และหญิงที่ซื้อมาดว ยทรัพยเ ปน ตนอีก ๑๐. ก็มจิ ฉาจารนี้นัน้จดั วา มโี ทษนอ ยในฐานะอนั ไมพ ึงถึง ท่ีเวนจากคณุ มีศลี เปนตน จัดวา มโี ทษมาก ในฐานะอันไมพ ึงถงึ ที่ประกอบดวยคุณมศี ลี เปน ตน. กาเมสมุ จิ ฉาจารน้นั มสี มั ภาระ ( องค ) ๔ คอื วัตถอุ ันไมพ ึงถงึ ๑ จติ คิดจะเสพในวตั ถุอนั ไมพงึ ถึงนั้น ๑ ความพยายามในการเสพ ๑ การหยุดอยแู หงการปฏิบัตติ อ องคมรรคดว ยมรรค ๑. การกระทาํ ดว ยมือของตนกเ็ ปน ความพยายามอยา งหนึง่นน่ั แล. บทวา อภชิ ฺฌายติ แปลวา การเพง . อธบิ ายวา เปน ผมู ีหนาเฉพาะตอภณั ฑะของผอู ืน่ เปนไป เพราะความที่นอมไปในภณั ฑะของผูอ่นืนัน้ . อภชิ ฌา นั้น มีการเพง ตอภณั ฑะของผูอ่ืนเปนลักษณะอยา งน้วี าโอ หนอ วตั ถุน้ีพึงเปนของเรา มีโทษนอยและมโี ทษมาก เหมอื นอทินนา.ทาน. อภชิ ฌานั้น สัมภาระ ( องค) ๒ คือ ภัณฑะของผูอ่ืน ๑ นอ มภณั ฑะนัน้ ไปเพอื่ ตน ๑. กค็ ร้นั เมอ่ื ความโลภอนั มีภัณฑะของผูอนื่ เปนทตี่ ้งั แมบังเกดิ ขึน้ แลว บคุ คลไมน อ มภัณฑะน้ันไปเพอื่ ตนวา โอหนอ วัตถนุ ้ีพึงเปนของเรา ดงั น้ี เพยี งใด ความแตกแหงกรรมบถ กไ็ มมีเพยี งน้นั .กเิ ลสใด ยังหติ สขุ ใหย อยยบั ไป เหตุน้นั กเิ ลสนั้นชอ่ื วา พยาบาท.พยาบาทน้นั มลี ักษณะประทษุ รา ยทางใจ เพอื่ ความพินาศของผอู น่ื มโี ทษนอ ยและมีโทษมากเหมอื นผรุสวาจา. พยาบาทนนั้ มีสมั ภาระ (องค) ๒ คือสัตวอ่ืน ๑ การคดิ เพอื่ ความพินาศแหง สตั วอ ืน่ นั้น ๑. กค็ รน้ั เม่อื ความโกรธอันมสี ตั วอ นื่ เปนท่ีต้งั แมบ ังเกดิ ข้ึนแลว บคุ คลไมค ดิ ถึงความพินาศ

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 398แหง สัตวอน่ื นน้ั วา โอ หนอ บคุ คลน้ี พงึ ขาดสูญ พงึ พนิ าศ ดงั นี้ เพียงใดความแตกแหง กรรมบถกไ็ มมเี พยี งน้ัน. ท่ชี ่อื วา มิจฉาทฏิ ฐิ เพราะอรรถวาเห็นผดิ โดยไมมกี ารถอื เอาตามสภาพที่เปนจริง. มิจฉาทิฏฐนิ ัน้ มลี กั ษณะเห็นผิด โดยนัยเปน ตน วา ทานทใี่ หแลว ไมมผี ล ดงั นี้ มโี ทษนอ ยและมโี ทษมาก เหมอื นสัมผปั ปลาปะ. อีกอยางหนึ่ง มจิ ฉาทฏิ ฐิ ทีไ่ มแ นนอน (ไมม่นั คง) มโี ทษนอย ท่แี นน อน (มัน่ คง) มีโทษมาก. มจิ ฉาทฏิ ฐินน้ั มสี มั ภาระ (องค) ๒ คอื ความทว่ี ัตถุผิดจากอาการทตี่ นถอื เอา ๑การบาํ เรอวตั ถนุ ้ันโดยความเปนเหมอื นอยางที่ตนถอื เอา ๑. สวนอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการเหลานี้ บณั ฑิตพึงทราบวนิ จิ ฉยั โดยอาการ ๕ คอืโดยธรรม ๑ โดยสว น ๑ โดยอารมณ ๑ โดยเวทนา ๑ โดยมลู ๑. บรรดาบทเหลานนั้ บทวา ธมฺมโต ความวา เจตนาธรรม ๗โดยลําดับเทียว ยอ มมใี นอกศุ ลกรรมบถเหลาน้นั . เจตนาธรรม ๓ มีอภชิ ฌาเปน ตน ชอื่ วา สัมปยตุ ดว ยเจตนา. บทวา โกฏ าสโต ความวาเจตนาธรรม ๘ เหลา น้ี คือ โดยลําดบั ๑ และมิจฉาทิฏฐิอีก ๗ เปนกรรมบถแททเี ดียว แตไมเปนมูล. อภิชฌาและพยาบาท เปน ทงั้ กรรมบถและเปน ทง้ั มูล. จรงิ อยู อภชิ ฌา ถึงความเปนมลู แลว ยอมเปนโลภะอกศุ ลมูล. พยาบาทเปนโทสะอกศุ ลมลู . บทวา อารมมฺ ณโต ความวาปาณาติบาต มีสงั ขารเปนอารมณ โดยมชี ีวิตินทรียเ ปน อารมณ. อทนิ นา-ทาน มีสัตวเ ปน อารมณบา ง มีสังขารเปน อารมณบาง. มิจฉาจารมีสงั ขารเปน อารมณ ดวยอํานาจแหง โผฏฐัพพะ อาจารยพ วกหนง่ึ กลาววา มีสัตวเปน อารมณบ า ง. มุสาวาท มสี ตั วเ ปนอารมณบา ง มีสังขารเปน อารมณบ า งปส ุณวาจาก็อยางนน้ั . ผรสุ วาจามสี ตั วเ ปนอารมณ. สัมผัปปลาปะ มีสตั ว

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 399เปน อารมณบ า ง มีสังขารเปน อารมณบา ง ดวยสามารถแหงรูปทีไ่ ดเหน็เสียงทีไ่ ดฟง และอารมณท่ีไดทราบแลว รูแจง แลว. อภชิ ฌาก็อยา งน้ัน.พยาบาทมีสตั วเปน อารมณ. มิจฉาทิฏฐิ มสี ังขารเปน อารมณ ดวยสามารถแหง ธรรมท่เี ปนไปในภูมิ ๓ บา ง มีสัตวเปนอารมณ ดวยสามารถแหงบัญญตั ิบาง. บทวา เวทนาโต ความวาปาณาติบาต เปน ทกุ ขเวทนา.เหมือนอยางวา พระราชาทง้ั หลาย ทรงเหน็ โจรแลว แมจะทรงรา เรงิ อยูตรสั วา พวกทานจงไปฆาโจรนั้น ดงั น้ี แมก็จรงิ ถงึ อยา งนน้ั สันนฏิ ฐาปก-เจตนา ( เจตนาทใี่ หส ําเร็จ ) กช็ ่ือวา สัมปยตุ ดว ยทกุ ขแ ท. อทินนาทานมีเวทนา ๓. มจิ ฉาจาร มีเวทนา ๒ คอื สขุ และมัชฌตั ตเวทนา (อเุ ขกขา)สว นวา ในสันนฏิ ฐาปกจติ (จิตท่ใี หส าํ เรจ็ ) มิจฉาจาร ไมเ ปน มชั ฌัตตเวทนา. มสุ าวาท มเี วทนา ๓. ปสณุ วาจาก็อยา งนั้น. ผรสุ วาจา เปนทุกขเวทนา. สมั ผัปปลาปะ มีเวทนา ๓. อภิชฌามเี วทนา ๒ คือ สุขและมชั ฌัตตเวทนา ( อุเบกขา ). มจิ ฉาทฏิ ฐกิ ็อยางนน้ั . พยาบาทเปน ทุกข-เวทนา. บทวา มูลโต ความวา ปาณาตบิ าต มีมลู ๒ คือ โทสะ และโมหะ.อทินนาทานกม็ ีมูล ๒ เหมือนกัน คือโทสะและโมหะบาง โลภะและโมหะบา ง. มจิ ฉาจาร มีมลู ๒ คอื โลภะและโมหะ. มุสาวาท กม็ มี ูล ๒ คอืโทสะและโมหะบาง โลภะและโมหะบาง. ปส ณุ วาจา และสมั ผปั ปลาปะกอ็ ยางนั้น. ผรุสวาจามีมลู ๒ คือ โทสะและโมหะ. อภิชฌามีมูลเดียวคอื โมหะ. พยาบาทก็อยา งนนั้ . มจิ ฉาทฏิ ฐมิ มี ูล ๒ คือ โลภะและโมหะดังนแี้ ล. กุศลกรรมบถทงั้ หลายมเี จตนางดเวน จากปาณาตบิ าตเปนตนบณั ฑิตพึงทราบดวยสามารถแหงสมาทานวริ ัติ สมั ปตตวิรัต.ิ และสมจุ เฉท-

พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 400วิรัติ สว นโดยธรรม เจตนาทง้ั ๗ ก็ดี วริ ตั ทิ ้ังหลายก็ดี ยอมเปน ไปโดยลาํ ดบัในกุศลกรรมบถ แมเหลา นั้น. เจตนาธรรม ๓ ในท่สี ุด ช่ือวา สมั ปยตุ ดว ยเจตนาแท. บทวา โกฏาสโต ความวา เจตนาธรรม ๗ โดยลาํ ดบั ชอื่ วาเปนกรรมบถแททีเดียว แตไ มมมี ลู . เจตนาธรรม ๓ ในที่สุด เปนทัง้ กรรมบถและเปนมลู . จริงอยู อนภชิ ฌา ถงึ ความเปนมูลแลว ยอ มเปนอโลภะกุศลมูล. อัพยาบาท เปน อโทสะกุศลมูล. สมั มาทฏิ ฐเิ ปนอโมหะกศุ ลมูล.บทวา อารมมฺ ณโต ความวา อารมณ แหงปาณาติบาตเปนตน นั่นเทียว แมเปนอารมณแ หง กศุ ลกรรมบถเหลานัน้ โดยลําดบั . จรงิ อยู เจตนานัน้ ชอ่ื วาเปน เจตนางดเวน เพราะความเปน สภาพอันจะพงึ กา วลวง. กอ็ รยิ มรรคอันมีพระนพิ พานเปนอารมณ ยอมละกเิ ลสทัง้ หลายไดฉ ันใด กรรมบถท้ังหลายเหลา นนั้ แมม ชี วี ิตนทรียเ ปนตนเปนอารมณ บณั ฑติ พงึ ทราบวา ยอมละความเปนผูท ศุ ีลทงั้ หลาย มีปาณาติบาตเปนตนฉันน้ัน. บทวา เวทนาโตความวา กศุ ลกรรมบถทัง้ ปวง เปนสขุ เวทนาบาง เปนมชั ฌัตตเวทนา(อเุ บกขาเวทนา) บา ง. จรงิ อยู ธรรมดาวา ทุกขเวทนา ถงึ ความเปนกศุ ลไมม .ี วาโดยมูล กุศลกรรมบถ ๗ โดยลาํ ดับ ยอมมีมูล ๓ คือ อโลภะ อโทสะและอโมหะ แกบ คุ คลผูเวนดว ยญาณสัมปยตุ ตจิต. ยอ มมมี ลู ๒ แกบุคคลผูเวน ดวยญาณวปิ ปยุตตจติ . อนภชิ ฌา มีมูลสอง สาํ หรบั ผูเวนดวยญาณสัมปายุตตจติ มมี ูลหนึ่งแกบคุ คลผเู วน ดว ยญาณวิปปยุตตจิต. ก็อโลภะไมเ ปน มลู แกตนดวยตนเลย. แมใ นอพั ยาบาทกน็ ัยนี้เหมอื นกัน.สมั มาทฏิ ฐิ มีมลู ๒ คอื อโลภะ และอโทสะเทาน้ัน ดังนแ้ี ล. บทวา อริยวาสา ความวา พระอริยะทั้งหลายนั่นเทยี ว อยแู ลวคือ ยอ มอยู ไดแก จักอยใู นธรรมเหลานัน้ เหตนุ ั้น ธรรม เหลา นนั้ ช่ือวาอริยวาส. บทวา ปฺจงฺควิปปฺ หโี น ความวา เปน ผไู มป ระกอบดว ยองค


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook