พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 301แปรปรวนไป. คํานีเ้ ปน ชอ่ื ของสุขเวทนา. แทจ ริง เพราะสขุ แปรปรวนไปทุกขจ ึงเกิดขึ้น เพราะฉะนนั้ ทา นจึงเรยี กสุขวา \" ทกุ ขเพราะแปรปรวน \".อีกประการหน่งึ ธรรมท้งั ปวงอนั เปน ไปในภูมิ ๓ เวน ทกุ ขเวทนา และสุขเวทนาพึงทราบวา \" ทุกขเพราะสังขาร\" โดยพระบาลวี า \"สงั ขารทง้ั ปวงเปนทุกข. \" คําวา มจิ ฉฺ ตตฺ นิยโต คือ เปน สภาพความผิดทแ่ี นนอน. คาํ น้ีเปนช่อื ของอนั นตรยิ กรรม พรอ มท้งั นิยตมิจฉาทิฐิ. ช่ือวา สมั มตั ตนิยตะเพราะแนนอนในสภาพท่ีถูกตอ ง. คาํ น้เี ปน ชื่อของ อริยมรรค ๔. ชอ่ื วาอนิยตะ เพราะไมแนน อน. คาํ นีเ้ ปน ชื่อของธรรมท่เี หลอื . อวชิ ชา ชอื่ วา ตมะ ( ความมดื ) ในคําวา ตโย ตมา เพราะพระบาลวี า \"หวงนํา้ คือ อวิชชา ทาํ ใหม ืดมิด ลุม หลง มภี ัยมาก \".แตใ นทน่ี ้ี ทานกลาวถึงวิจกิ จิ ฉา โดยหัวขอ วา อวิชชา. คาํ วา อารพภฺเทา กับ อาคมฺน ( แปลวา มาถึง หรือ อาศัย ). คาํ วา กงฺขติ ความวาใหเกดิ ความสงสัย. คําวา วจิ กิ ิจฺฉติ ความวา เม่อื เลือกเฟนอยูยอ มถึงอาการลังเล ไมอาจท่จี ะตกลงใจได. คําวา นาธมิ จุ ฺจติ ความวา ไมอาจทีจ่ ะนอ มเชอื้ ในกาลนน้ั . บทวา น สมฺปสีทติ ความวา ไมอาจเพื่อจะปลกู ความเลอ่ื มใสโดยอาศยั กาลนัน้ . คาํ วา อรกเฺ ขยยฺ านิ แปลวา ไมต องรกั ษาไว. ทานแสดงความหมายวา ไมม ีหนาทีจ่ ะตอ งรักษาเปน อยาง ๆ ไป ในทวารท้งั ๓ ทุกอยา งรกั ษาไวแลว ดว ยสติอยางเดยี ว. คําวา ปฏิจฉฺ าเทมิ ความวา กายทุจริต
พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 302ขอ น้เี กิดข้นึ เพราะความไมร อบคอบของเรา, เราจะรักษาไวมใิ หค นอ่นื ร.ูคําวา นตถฺ ิ ตถาคตสฺส ความวา กายทุจรติ ทีจ่ ะตองรักษาอยางน้ัน ไมมแี กพระตถาคต. แมในสวนที่เหลือกม็ นี ัยเชนเดียวกนั น.้ี ถามวา พระขณี าสพอน่ื ๆ มีกายสมาจารเปนตน ไมบริสุทธิก์ ระนน้ั หรอื ตอบวา ไมใ ชไมบรสิ ุทธิ์ เพียงแตวาบริสทุ ธไ์ิ มเทากบั พระตถาคต. พระขณี าสพทฟี่ งมานอ ย ยอมไมต อ งอาบัติที่เปน โลกวชั ชะ กจ็ รงิ อย,ู แตเ พราะไมฉลาดในพุทธบญั ญตั ิ ก็ยอมจะตองอาบัตใิ นกายทวาร ประเภททําวหิ าร ทํากฏุ ิ( คลาดเคลื่อนไปจากพุทธบญั ญัติ ) อยรู ว มเรอื น นอนรวมกนั ( กับอนุป-สัมบัน เปน ตน ). ยอมตองอาบัติในวจที วารประเภทชกั สื่อ กลา วธรรมโดยบท พูดเกินกวา ๕-๖ คาํ บอกอาบตั ิทีเ่ ปน จรงิ ( เปน ตน ). ยอมตอ งอาบตั ิเพราะรับเงนิ รบั ทอง ในทางมโนทวารดวยอาํ นาจยนิ ดีเงินทองท่ีเขาเกบ็ ไวเ พ่อื ตน. แมพระขณี าสพ ขนาดพระธรรมเสนาบดสี ารีบุตรกย็ ังเกิดมโนทจุ ริตขน้ึ ได ดว ยอํานาจทีน่ ึกตําหนิ ในมโนทวาร. เมอ่ื ศากยะ-ปาตเุ มยยกะ ขอขมาพระผมู พี ระภาคเจา เพือ่ ประโยชนแ กพระสารีบตุ ร และพระโมคคัลลานะ ในคราวทท่ี รงประณาม พระเถระท้งั สองนน้ั พรอมกบัภกิ ษปุ ระมาณ ๕๐๐ รูป ในเรือ่ งปาตมุ ะ พระเถระ อันพระผมู ีพระภาคเจาตรสั ถามวา.\" เธอคดิ อยางไร สารบี ุตร เมอื่ ภกิ ษุสงฆถกู เราประณามแลว\".ดังนี้ กใ็ หเกิดความคดิ ข้นึ วา \"เราถกู พระศาสดาประณาม เพราะไมฉ ลาดเรอื่ งบริษัท. ตงั้ แตบ ดั น้ไี ป เราจะไมสอนคนอื่นละ\" จึงไดกราบทลู วา\"ขาแตพ ระองคผูเ จริญ ขา พระพุทธเจา มีความคิดอยางน้ีวา \" ภกิ ษุสงฆอนั พระผมู ีพระภาคเจาทรงประณามแลว, บัดน้ี พระผูมีพระภาคเจา จักทรงขวนขวายนอย ประกอบทิฐธรรมสุขวหิ ารธรรมอยู แมเ ราทงั้ สองก็จัก
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 303ขวนขวายนอย ประกอบทิฐธรรมสุขวิหารธรรมอย.ู ลาํ ดบั นัน้ พระศาสดาเมอ่ื จะทรงยกขอตาํ หนิ เพราะมโนทุจริตนนั้ ของพระเถระ จงึ ตรสั วา\"เธอจงรอกอ นสารบี ุตร. ความคิดอยา งน้ไี มควรทเี่ ธอจะใหเกิดขนึ้ อกี เลยสารีบุตร\". แมเ พยี งความคดิ วา \"เราจะไมวา กลาวสง่ั สอนคนอื่น อยางน\"ี้ก็ชือ่ วาเปนมโนทจุ รติ ของพระเถระ แตพ ระผมู ีพระภาคเจา ยอ มไมมพี ระดําริเชน นั้น และการที่พระผมู ีพระภาคเจาผทู รงบรรลพุ ระสัพพญั ุตญาณแลว จะไมพงึ มีทุจริตนัน้ ไมใชของนาอัศจรรย. แมแ ตดาํ รงอยูในภูมิแหง พระโพธสิ ัตว ทรงประกอบความเพียรอยู ๖ ป พระองคกม็ ิไดมที ุจริต.แมเ มื่อเหลา เทวดาเกดิ ความสงสัยข้นึ อยา งนวี้ า \"หนังทองตดิ กระดูกสนั หลัง(อยางนี)้ พระสมณโคดม ถึงแกก ารดบั สูญ ( เสียละกระมัง )\" เมื่อถกูมารใจบาป กลาวอยวู า \" สิทธัตถะ ทานจะตอ งมาลําบากลําบนทาํ ไมทานสามารถท่ีจะเสวยโภคสมบัตไิ ปดว ย สรา งบญุ กศุ ลไปดวยได\" ดังน้ีแมเพียงความคดิ วา \"เราจกั ( กลับไป ) เสวยโภคสมบตั ิ\" กไ็ มเกิด.ครนั้ แลว มารกต็ ิดตามพระผูม ีพระภาคเจาในเวลาที่ยงั เปน พระโพธสิ ตั วอยถู ึง ๖ ป ในเวลาที่ไดตรัสรูเ ปน พระพุทธเจาแลว อกี ๑ ป ก็มไิ ดเห็นโทษผดิ อันหนึ่งอันใด จงึ กลาวความขอนไ้ี ว แลว หลบไป วา - \" เราติดตามพระผูมพี ระภาคเจา ไปทุกยางกา ว ตลอดเวลา ๗ ป ก็มิไดเ ห็นขอบกพรองใด ๆ ของ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา ผูมีพระสตไิ พบลู ยน น้ั เลย\" อกี ประการหนึ่ง พงึ ทราบความไมมที ุจริตของพระผูมีพระภาคเจาแมดว ยอาํ นาจแหง พุทธธรรม ๑๘ ประการ. อนั วา พทุ ธธรรม ๑๘
พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 304ประการ ดังนี้ พระตถาคตไมม กี ายทุจรติ ๑ ไมมวี จีทจุ ริต ๑ ไมมมี โนทุจรติ ๑ พุทธญาณไมมีอะไรตดิ ขดั ในอดตี ๑ พุทธญาณไมม อี ะไรตดิ ขดั ในอนาคต พุทธญาณไมมีอะไรติดขัดในปจ จบุ ัน ๑ กายกรรมทง้ั ปวงของพระผมู พี ระภาคเจา คลอยตามพระญาณ ๑ วจีกรรมท้ังปวงของพระ-ผมู พี ระภาคเจา คลอยตามพระญาณ ๑ มโนกรรมท้งั ปวงของพระผูม-ีพระภาคเจา คลอ ยตามพระญาณ ๑ ไมมคี วามเสื่อมฉนั ทะ ๑ ไมม คี วามเสอื่ มวริ ยิ ะ ๑ ไมมคี วามเสอื่ มสติ ๑ ไมมีการเลน ๑ ไมม ีการวิ่ง ๑ไมม ีความพลาดพลงั้ ๑ ไมม คี วามผลนุ ผลนั ๑ ไมม พี ระทยั ทไ่ี มขวนขวาย ๑ไมมอี กศุ ลจิต ๑. คําวา กิจฺ นา หมายถึงปลิโพธ เคร่อื งกงั วล. คาํ วา ราโค กิ จฺ นมีคํานยิ ามวา ราคะ เม่อื เกิดขนึ้ ยอมผูกมดั ขดั ขอ งสตั วเอาไว (ไมใ หห ลุดพน จากวฏั ฏะ ) ดังน้นั ทา นจงึ เรียกวา กิ ฺจนะ ( เคร่อื งของ ). แมใน ๒บทนอกนกี้ ็มีนัยเดยี วกนั นี้แล. คาํ วา อคฺคิ มคี าํ นิยามวา ชือ่ วา อัคคี เพราะอรรถวา ตามเผาไหม. คาํ วา ราคคฺคิ มีคํานยิ ามวา ราคะ เมื่อเกดิ ขนึ้ ยอ มตามไหมเผาผลาญสตั วใหร อน ดงั นน้ั ทา นจึงเรียกวา . อัคคี. แมใน ๒ บทนอกนี้กม็ นี ยั เดียวกนั น้ี. ในกรณีนนั้ มเี รื่อง ( ดังตอไปนีเ้ ปนตัวอยาง). ภิกษุณีสาวรูปหนง่ึ ไปยังโรงอุโบสถ ทาํ จิตตลบรรพตวหิ าร ยืนมองรา งของนายทวารบาลอยู. ครั้นแลว ราคะกเ็ กิดขนึ้ ภายในใจของเธอ. เธอถูกราคะนนั้ เองเผาเอาจนตายไป ( ในขณะท่ยี ืนอยตู รงนัน้ เอง ). พวกภกิ ษุณี เม่ือจะกลบั จงึ กลาวขนึ้ วา \" ภิกษณุ รี ูปนี้ ยนิ ดอี ยู ( ตรงนน้ั เอง ), ไปเรยี กเธอมา \". ภกิ ษุณีรปู หนึ่งเดนิ ไปจับแขนพูดวา \"ยืนทาํ อะไรอยู\" . พอถูก
พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 305เขา รางภกิ ษณุ ีสาวนัน้ กล็ ม พบั ลงไป. นีเ้ ปน เรอื่ งทีร่ าคะตามเผาเอากอน.สวนเรื่องท่ีโทสะตามเผาเอานัน้ กอ็ ยางพวกเทวดาประเภทมโนปโทสกิ า( พวกถกู ทาํ รายดวยใจ คือ โกรธขนึ้ มาแลว ตองจุตไิ ป ). เร่อื งทีโ่ มหะตามเผาเอาน้ัน พงึ เหน็ อยา งพวกเทวดาประเภทขฑิ ฑาปโทสิกา ( พวกถกู ทํารา ยดว ยการเลน ). คอื เทวดาพวกนน้ั หลงลมื สติดวยอาํ นาจโมหะ. เพราะฉะนนั้พอเลยเวลาอาหารไปแลว มัวแตเท่ยี วเลน อยจู งึ ตอ งสนิ้ ชีวิตไป. พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในบทวา อาหเุ นยยฺ คฺคิ เปนตน. เครื่องสกั การะทานเรยี กวา อาหุนะ. บุคคลผคู วรแกอาหุนะ ช่ือวา อาหไุ นย. แทจ ริงมารดาบดิ า ยอมควรแกอาหนุ ะ เพราะมีอุปการะมากแกบ ตุ ร. บุตรทัง้ หลายเมอ่ื ปฏิบัติ ผิดพลาดในมารดาบิดา ก็ยอ มไปเกดิ ในอบาย มีนรกเชน ตน,ดงั นัน้ แมว า มารดาบดิ าจะไมตามเผาไหมบตุ รก็จรงิ แตก ็เปน ตนเหตุแหงการถกู เผาไหม. ทานเรยี กวา อาหเุ นยยัคคิ (ไฟคอื อาหุไนยบุคคล)โดยอรรถวา ตามเผาไหม ดวยประการดงั น.้ี ความขอ นีน้ ้นั พงึ ทราบดวยเรอ่ื งนายมิตตวินทกุ ะ. เร่ืองมอี ยูวา นายมิตตวินทกุ ะ ถกู มารดากลาววา \"ลกู เอย วันนี้เจา จงรกั ษาอโุ บสถฟงธรรมทีว่ ัดตลอดทั้งคืนเถดิ แมจ ะใหเ จาพันหนง่ึ \"ดวยความอยากไดท รัพย จงึ สมาทานอโุ บสถไปวัด หมายใจวา \"ทต่ี รงนี้ปลอดภัย\" จึงหลบเขาไปนอนอยใู ตธ รรมาสน หลับไปตลอดทง้ั คืน(รุงเชา ) กก็ ลบั บาน. ฝา ยมารดาตม ยาคูไว แตเ ชาตรู เสร็จแลว กย็ กเขา ไปให. นายมิตตวินทกุ ะด่ืมยาคทู ้ัง ๆ ท่ยี ังกําเงนิ พันไว. ตอมาเขามีความคดิ ข้ึนวา จะรวบรวมทรพั ย. ก็เลยคิดอยากจะไป ( คา ขาย ) ทาง
พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 306เรอื เดนิ ทะเล. ทนี ัน้ มารดาหามเขาไวว า \"ลูกเอย ในตระกลู นี้ มีทรพั ยอยถู ึง ๔๐ โกฏิแลว อยาไปเลย\". เขาไมเ อาใจใสตอคาํ ขอรอ งของมารดา ขืนจะไปใหได. มารดาจงึ ยินขวางหนา ไว. เขาโกรธมารดาวา \"แมน ่ีมายนื ขวางหนาเราได \" จึงเตะมารดาลม ลง แลวเดินขามไป. มารดาลุกขนึ้กลาววา \"ลูกเอย เจา คงจะสําคัญวา ทาํ กรรมเหน็ ปานน้ีในคนทีเ่ ปนแมอยา งเรา แลวเดินทางไป จกั มคี วามสุขในทท่ี ่ีไปถงึ \". เม่ือนายมติ ตวนิ ทุกะลงเรือไป ถงึ วันที่ ๗ เรือก็หยุด (ขนึ้ มาเฉย ๆ ). คนทง้ั หลาย (ท่ไี ปในเรอื )เหลา นน้ั พากนั กลา ววา \" ในเรือลําน\"้ี มคี นบาปอยเู ปน แน จงจับสลากกนั ดูเถิด \" . เม่อื จับสลากกัน ก็ตกอยูแกนายมติ ตวนิ ทุกะ นน่ั เอง ถงึ๓ คร้งั . คนเหลา นน้ั กเ็ อาเขาลงแพ ลอยไปในทะเล. เขาไปถงึ เกาะแหง หนึ่งเสวยสมบัตอิ ยูกบั พวกนางเวมานกิ เปรต เมือ่ เปรตพวกนน้ั บอกวา อยาไปตอ ๆ ไปอกี เลย ก็กลับมองเหน็ สมบตั ิ (ขางหนา) เปน สองเทาอยรู ํ่าไปจนกระทงั่ ไดพบสตั วตนหนงึ่ มีจกั รคม \". (พดั ผันอยทู ศ่ี ีรษะ ). เขาเหน็ จกั รนน้ั เปน ประหนงึ่ ดอกบวั . จงึ กลา วกบั สตั วต นนนั้ วา น่แี มท า นจงใหดอกบวั ที่ทานประดับอยนู แี้ กขา พเจา เถิด\". สัตวนัน้ กลาววา \" นายเอย นี่แนมใิ ชดอกบัวดอก นี่มันจกั รคม \". เขากลับพูดวา \" ทา นหลอกขาพเจา ,ดอกบัวทาํ ไมขา พเจา จะไมเ คยเหน็ \" ดังนี้แลว กลาวตอไปวา \"ทานลบู ไลจันทนแ ดงอยแู ลว ไมอยากจะใหด อกบวั เครอ่ื งประดับแกขา พเจา. สตั วตนน้ันคิดวา \"บรุ ุษผูน ีค้ งจะไดท ํากรรมอยางเดียวกบั ทีเ่ ราทํา จงึ อยากจะเสวยผลกรรมนนั้ \". คร้ันแลว จงึ กลา วกบั นายมิตตวนิ ทกุ ะ วา \"เอาเถดิขา พเจายกให\" แลว เหวยี่ งจกั รไปบนศีรษะของเขา. ดวยเหตุนน้ั ทานจงึ กลา วไววา
พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 307 \" ไดสีแ่ ลวอยากไดแปด ไดแ ปดแลวอยากไดส ิบหก ไดสิบหกแลวอยากไดสามสิบสอง จงึ ตอ งมาทนู จกั รไว คนที่ถกู ความอยากเลน งานเอา จกั รกาํ ลงั หมุนอยูบนหวั \". เจาของเรือน ทานเรยี กวา คฤหบดี คฤหบดนี ้ัน ชอ่ื วา มีอุปการะมาก แกมาตุคาม ดวยการเพมิ่ ใหซ่ึงสง่ิ ของเชน ท่นี อน, ผา ผอนเครือ่ งแตง ตัวเปนตน . มาตุคาม นอกใจคฤหบดี ยอ มไปเกิดในอบายมีนรกเปนตน ดังนั้นคฤหบดนี น้ั ทานจึงเรยี กวา คหปตคั คิ ดวยอรรถวา ตามเผาไหมโดยนัยกอนเชนกนั . ในกรณีนั้น มเี รือ่ ง ( นเี้ ปนตวั อยา ง )- ในสมยั พระกัสสปพุทธเจา ภรยิ าของอุบาสกผเู ปน โสดาบนัประพฤตนิ อกใจ. อุบาสกเห็นเหตุนนั้ โดยประจกั ษ จึงกลาววา \"เหตไุ รเธอจึงทาํ อยางนัน้ . ภรยิ าตอบวา \" ถาดฉิ นั ทําเหน็ ปานนั้น ( จริงอยางที่ทานวา ), ขอใหส ุนขั ตวั นี้ ทงิ้ กดั ดฉิ ันเถิด\" ดังน้แี ลว ตายไปเกดิ เปนเวมานกิ -เปรตท่สี ระกณั ณเมุณฑกะ. กลางวนั เสวยสมบตั ิ กลางคนื เสวยทกุ ข. คราวน้นั พระเจา พาราณสี เสด็จลาเนื้อ เขา ไปในปา เสดจ็ ไปถึงสระกัณณ-มณุ ฑกะ โดยลาํ ดับ ไดเ สวยสมบตั อิ ยกู ับนาง. นางเปรตลวงทา วเธอไปเสวยทกุ ขใ นตอนกลางคนื . พระราชาทรงทราบความแลว ทรงสงสัยวา\" นางไปทไี่ หนหนอ \" จึงเสด็จตามไปขางหลัง ทรงหยดุ อยไู มหางนกัทอดพระเนตรเหน็ สนุ ัขตัวหนึ่งออกมาจากสระกณั ณมณุ ฑกะ กดั กินนางเสยี งดงั กรุบ ๆ กรบั ๆ อยู จึงทรงฟน ดวยพระแสงดาบ ขาดสองทอน. สนุ ขักลบั เพมิ่ ข้นึ เปน ๒. เมอื่ ถูกฟน ขาดอีก กเ็ ปน. เมอ่ื ถกู ฟนขาดอีก ก็เพมิ่เปน ๘. เม่ือถูกฟน ขาดอีก ก็เพ่ิมขึ้นเปน ๑๖. นางทูลวา \"สวามี พระองค
พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 308ทรงทาํ อะไร\". ทาวเธอตรัสวา \"นี้อะไรกนั \". นางทลู วา พระองคอยาทาํ อยางน้นั จงทรงถม กอนเขฬะลงบนพนื้ แลว ขยีด้ วยพระบาท\".ทา วเธอทรงทําตามท่นี างทูลบอก. สนุ ัขทั้งหลายกห็ ายไป. วนั นน้ั พอดีนางสิ้นกรรม พระราชาไมท รงสบายพระทัย จงึ ทรงเริม่ จะเสดจ็ กลบั . นางทูลวา \" สวามี กรรมของหมอ มฉนั ส้ินแลว อยา เสดจ็ ไปเลย\". พระราชาไมทรงฟง เสด็จไปจนได. สวนในคําวา ทกขฺ ิเณยฺยคคฺ ิ นี้ คาํ วา ทกขฺ ณิ าคอื ปจ จยั ๔. ภกิ ษสุ งฆ ชื่อวา ทกั ขิไณยบุคคล. ภกิ ษุสงฆ ชื่อวา มอี ุปการะมากเเกคฤหัสถ ดวยการชกั นํา ใหป ระพฤตใิ นกัลยาณธรรมท้งั หลายเปนตน วา สรณะ ๓ ศีล ๕ ศลี . การเลยี้ งดมู ารดาบิดา การบํารงุสมณพราหมณผ ูม ีธรรม. คฤหสั ถทปี่ ฏิบัติผดิ ในภกิ ษุสงฆ บริภาษดาทอภกิ ษุสงฆ ยอมไปเกิดในอบายมนี รกเปนตน ดังนั้น แมภิกษสุ งฆท านก็เรยี กวา ทกั ขเิ ณยยัคคิ ดว ยอรรถวา ตามเผาไหมโ ดยนยั กอ นเชน กนั .และเพื่อจะใหค วามขอ นกี้ ระจาง ควรจะแถลงเรอื่ งเวมานิกเปรตโดยละเอยี ดดว ย. พึงทราบวินิจฉัยในคาํ วา ติวิเธน รปู สงคฺ โห นีต้ อไป. คาํ วา ตวิ เิ ธนแปลวา ๓ สวน. คําวา สงฺคโห หมายเอาสังคหะ ๔ อยา งคอื ชาติสงั คหะสัญชาตสิ งั คหะ กริ ยิ สงั คหะ และคณนสังคหะ. บรรดาสงั คหะ ๔ อยา งนนั้การรวบรวมเปน ตนวา \" กษัตรยิ ท ง้ั ปวงจงมา \" ดงั นี้ ชื่อวา ชาตสิ งั คหะ(รวบรวมตามชาติกําเนิด ). การรวบรวมเปน ตนวา \" ชาวโกศล ทงั้ หมดจงมา\" ดังนี้ ชือ่ วา สัญชาติสังคหะ ( รวบรวมตามสัญชาติ ). การรวบรวมเปนตน วา \" ควาญชา งท้ังหมด จงมา\" ดังนี้ ช่ือวา กิริยสงั คหะ ( รวบรวมตาม อาการทท่ี าํ ). การรวบรวมนว้ี า \" ถามวา อายตนะ คอื จกั ษุ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 309นับเขา ในขันธไหน ตอบวา อายตนะ คอื จักษุ นับเขา ในรูปขนั ธพระสกวาทกี ลา ววา ถาอายตนะ คือ จกั ษุนับเขา ในรูปขนั ธ ดวยเหตุนัน้ก็ควรจะกลาววา อายตนะคือ จักษุ สงเคราะหเ ขา ดวยรูปขันธ\" ดงั นี้ช่ือวา คณนสังคหะ (รวบรวมตามการนับเขา ได ). คณนสงั คหะนนั้มงุ หมายเอาในทน่ี ี้ . เพราะฉะน้ัน คาํ วา ตวิ เิ ธน รปู สงฺคโห จงึ มีความหมายวา การนบั รปู เปน ๓ สวน. พึงทราบวินจิ ฉัยในสนทิ ัสสนะ เปนตน. รปูพรอมท้ังนิทัสสนะ กลาวคอื จกั ษวุ ญิ ญาณทเ่ี ปนไปปรารภตน ชอ่ื วาสนทิ ัสสนะ รูปพรอ มทัง้ ปฏฆิ ะ เพราะสามารถท่จี ะกระทบจกั ษุ ชอื่ วาสัปปฏิฆะ. สัปปฏฆิ ะน้นั โดยความหมาย กค็ ือรปู ายตนะนน่ั เอง. นิทสั สนะกลา วคอื จกั ษุวิญญาณของรปู น้ันไมมี ดังนน้ั จึงชอื่ วา อนิทัสสนะ. รปูพรอ มท้ังปฏฆิ ะ เพราะสามารถที่จะกระทบโสต ชื่อวา สัปปฏิฆะ. สปั ปฏิฆะน้ัน โดยความหมาย กค็ อื อายตนะ ๙ มีอายตนะคอื จกั ษเุ ปน ตน .นิทัสสนะมีประการดังกลา วมาแลว ของรูปนัน้ ไมมี ดังน้นั จึงชอ่ื วาอนิทัสสนะ. ปฏิฆะของรูน ั้นไมม ี ดังนน้ั จงึ ช่ือวา อัปปฏฆิ ะ. อปั ปฏิฆะนนั้โดยความหมาย ก็คือ สขุ ุมรูปทีเ่ หลือ ยกเวน อายตนะ ๑๐. คําวา ตโย สงขฺ ารา มคี าํ นยิ ามวา ชอื่ วา สงั ขาร เพราะปรุงข้นึคอื ทําใหเ ปนกลุมขึ้น ซง่ึ ธรรมทเี่ กิดรว มกัน และธรรมทม่ี ีผลในกาลตอ ไป.ชื่อวา อภิสงั ขาร เพราะปรงุ ข้นึ อยา งยิ่ง. อภิสังขารคือบญุ ช่อื วาปญุ ญาภสิ งั ขาร. คําวา ปุญญาภสิ งั ขารน้ัน เปนชือ่ ของมหาจติ เจตนา อันเปนกามาวจรกศุ ล ๘ ดวง และเจตนาอนั เปน รปู าวจรกศุ ล ๕ ดวง ท่ีทานกลาวไวอ ยา งนว้ี า \" บรรดาอภสิ ังขารเหลานั้น ปญุ ญาภิสงั ขารคืออะไร คอื กศุ ลเจตนา เปน กามาวจร รูปาวจร สําเรจ็ ดว ยทาน สําเรจ็ ดว ยศีล สาํ เร็จ
พระสุตตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 310ดว ยภาวนา\". บรรดาเจตนาเหลา น้ัน เฉพาะเจตนา ๘ ดวง สําเร็จดว ยทาน สําเร็จดว ยศีล . ท้งั ๓ ดวง สําเรจ็ ดวยภาวนา. อุปมาเหมอื นบคุ คลสาธยาย ธรรมทีต่ นคลอง แมจ ะวา ไป ๑ หรือ ๒ หัวขอแลว ก็ไมร ู ภายหลงัระลกึ ขึน้ มา จงึ รู ฉนั ใด ทานผทู าํ กสิณบริกรรม พจิ ารณาฌานที่ตนคลองอยูภ าวนากย็ อ มเปนญาณวิปยุต (ไมป ระกอบดว ยความรู) ไดบ า ง ฉันน้ันเหมอื นกนั ฯ ดว ยเหตนุ ้ันจึงกลาววา \"ทัง้ ๑๓ ดวง สาํ เรจ็ ดวยภาวนา . บรรดาปุญญาภิสงั ขารท่สี าํ เร็จดวยทานเปนตน นนั้ ความตงั้ ใจ จาํ นงจงใจท่ีปรารภทาน เกิดขึ้น มีทานเปนหลกั นท่ี า นเรียกวา ปญุ ญาภสิ งั ขารท่ีสําเรจ็ ดว ยทาน ความตัง้ ใจจํานง จงใจท่ปี รารภศลี ปรารภภาวนาเกดิ ข้ึนมีภาวนาเปนหลัก นท้ี า นเรียกวา ปญุ ญาภิสงั ขารที่สาํ เรจ็ ดว ยภาวนา. ดังกลาวมาน้ี เปน สังเขปเทศนา. เจตนาท่เี ปน ไปในกาลทั้ง ๓ ของผูถวายสง่ิของนน้ั ๆ ในจําพวกปจ จัย ๔ มจี วี รเปน ตน อารมณ ๖ มรี ูปารมณเ ปนตนหรือทานวตั ถุ ๑๐ อยา งมขี าวเปน ตน คือในกาลเบ้อื งตน ต้ังแตย ังส่งิ ของเหลานน้ั ใหเ กิดขึ้น ในกาลขณะกําลังบริจาค ๑ ในกาลทีห่ วนระลึกในภายหลงั ดว ยจติ โสมนัส ดงั นี้ ชอ่ื วา ทานมัยเจตนา (เจตนาทส่ี ําเรจ็ ดว ยทาน)สวนเจตนาทเี่ ปน ไปแลว ของทา นผไู ปวดั ดวยตัง้ ใจวา \" จักบวชบําเพ็ญศีล\".ของผูกําลงบวช ของผูยงั มโนรถ ใหถ ึงทส่ี ดุ แลว หวนระลึกวา \"เราบวชแลว หนอ สาํ เรจ็ ประโยชนด ว ยของผสู าํ รวมพระปาฏิโมกข ของผูพจิ ารณาปจ จยั ท้งั หลาย มจี ีวรเปน ตน ของผูสํารวมทวารมีจักษทุ วารเปนตน ในอารมณม ีรูปเปน ตน ท่มี าถึงเขา และของผชู าํ ระอาชวี ะใหห มดจด ( ดงั นี้)ช่ือวา สลี มัยเจตนา ( เจตนาท่ีสําเร็จดวยศลี ). เจตนาที่เปน ไปแลว ของทา นผูอบรมจักษุ โดยความไมเทีย่ ง เปน ทุกขเ ปน อนตั ตา ดว ยวปิ ส สนา.
พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 311มรรค ท่กี ลา วไวใ นปฏสิ มั ภิทา ของทา นผอู บรมใจ ฯลฯ ของทานผูอบรมจกั ษุวิญญาณ มโนวิญญาณ จักษุสมั ผสั มโนสมั ผสั เวทนาทีเ่ กิดแตจักษุสมั ผัส เวทนาที่เกิดแตม โนสมั ผสั ในรูปารมณ ในธรรมารมณของทานผอู บรมรูปสญั ญา ฯลฯ ชรามรณะ โดยความไมเ ทยี่ ง เปน ทุกขเปนอนัตตาชอื่ วา ภาวนามัยเจตนา ( เจตนาทีส่ าํ เร็จดว ยภาวนา). ดงั กลา วมาน้ี เปน วิตถารกถา. อภิสังขารนน้ั ดว ย มใิ ชบญุ (เปนบาป) ดวยดงั น้นั จึงชอ่ื วา อปญุ ญาภิสังขาร ( อภิสังขารอันเปนบาป ). คําวาอปญุ ญาภิสงั ขารน้เี ปนชือ่ ของเจตนา ท่ีสัมปยตุ ดว ยอกศุ ลจิต. สมดงั ทที่ า นกลาวไววา \"บรรดาอภวิ งั ขารเหลา นนั้ อปญุ ญาภสิ ังขารคอื อะไร คอือกศุ ลเจตนาทเี่ ปนกามาวจร นเี้ รยี กวา อปญุ ญาภสิ งั ขาร\". ที่ช่อื วาอาเนญชาภิสังขาร เพราะปรุงข้ึนอยางย่งิ ซ่ึงอรูปนนั่ เองทเ่ี ปน วบิ าก ไมหวัน่ ไหว ไมสั่นคลอน สงบ. คําวา อาเนญชาติสงั ขารน้ี เปนชือ่ ของกศุ ลเจตนาอันเปนอรูปาวจร ๔ ดวง. สมดงั ทีท่ านกลา วไววา \" บรรดาอภิสงั ขารเหลา น้นั อาเนญชาภิสังขารคอื อะไร คือกุศลเจตนา อันเปนอรูปาวจร นเี้ รยี กวา อาเนญชาภิสงั ขาร\". พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ในปคุ คลตั ติกะ ตอไป. บุรุษบคุ คล ๗ ชนดิ ยอ มศกึ ษาไตรสกิ ขา ดังนน้ั จึงช่ือวา เสกขะ ( ผูยังตอ งศกึ ษา ). พระขณี าสพไมต องศกึ ษาอีกเพราะศึกษาไตรสกิ ขาจบแลว ดงั นน้ั จงึ ชอื่ วา อเสกขะ( ผูไมต อ งศกึ ษา ). ปถุ ชุ น ชื่อวา เสกขะก็ไมใ ช อเสกขะก็ไมใ ช เพราะอยภู ายนอก จากสิกขาทงั้ หลาย. พงึ ทราบวินิจฉยั ในเถรัตตกิ ะตอไป. ทา นเปนผใู หญโ ดยชาติ ช่ือวา คหิ ิชาตเิ ถระ. ทานผปู ระกอบดว ยธรรมอยางเดียว หรือหลายอยาง ในบรรดาธรรมทงั้ หลาย ท่ที า นกลาวไวอยา งน้วี า
พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 312\" ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย ธรรมที่ทาํ ใหเปน เถระ ๔ ประการเหลา นี้ คือพระเถระในพระศาสนานี้ เปนผูมศี ีล เปนพหสู ตู ไดฌ าน ๔ เพราะส้ินอาสวะท้ังหลาย ฯลฯ เขาถงึ พรอมอยู ดกู อนภิกษุท้ังหลาย ธรรมที่ทําใหเปนเถระ ๔ ประการเหลา นีแ้ ล \" ดังน้ี ชื่อวา ธรรมเถระ. ทา นผูมีช่ือวา เถระอยา งนี้ คอื \"ภกิ ษรุ ูปใดรูปหน่ึง ทช่ี ือ่ วา พระเถระ\" ก็ดีคนทงั้ หลายเหน็ นกั บวชเชน สามเณรเปนตน ที่บวชเวลามีอายมุ ากแลวเรียกขานวา \" พระเถระ พระเถระ\" กด็ ี นี้ช่อื วา สมมติเถระ. พงึ ทราบวนิ ิจฉัยในบุญญกิริยาวตั ถุตอไป. ทานนน่ั เอง ชื่อวา ทานมัยการทําบญุ น้นั ดวย วตั ถุ ( คือที่ตั้ง ) แหง บญุ ญานิสงสเหลานัน้ ดว ย ดงั นนั้จง่ึ ชอื่ บุญญกริ ิยาวัตถุ ( ท่ีตัง้ แหง การทําบญุ ) แมในบญุ ญกริ ิยาวัตถุ ขออน่ื ๆกม็ นี ยั เชนเดยี วกันน้ี. แตโ ดยความหมาย พงึ ทราบบุญญกริ ยิ าวตั ถุ ๓ อยา งเหลานี้ พรอ มท้ังบรุ พภาคเจตนา ( ความตั้งใจกอ นและทาํ ) และอปรภาคเจตนา ( ความตัง้ ใจภายหลังจากทําแลว ) ดว ยอาํ นาจแหง เจตนาท่ีสาํ เรจ็ดวยทานเปน ตน ซง่ึ ไดกลาวไวแ ลว ขางตน. และในเรอ่ื งนี้ บคุ คลทาํ กรรมอยา งหนึ่ง ๆ ดว ยกาย นบั ตัง้ แตบ รุ พภาคเจตนา ก็จดั เปน กายกรรม เมอ่ืเปลงวาจาอนั มคี วามหมายอยางน้ัน จัดเปน วจีกรรม. เมื่อไมไดย งั องคแ หงกาย และองคแ หงวาจาใหไหว คิดดว ยใจ (อยา งเดยี ว) ก็จัดเปนมโนกรรมอกี นยั หนง่ึ สําหรบั ผใู หทานวตั ถมุ ีขาวเปนตน (ในเวลาทก่ี ลา ววา) ขาพเจาใหอ นั นทาน ( ใหข าว ) เปน ตน กด็ ี ในเวลาท่ีระลกึ ถึงทานบารมแี ลว ใหก ็ดีจดั เปน บุญญกริ ิยาวตั ถุ สําเรจ็ ดวยทาน. ตั้งอยใู นวัตรและศีลแลวให จดั เปนบุญกริ ยิ าวัตถุสาํ เรจ็ ดวยศีลเรมิ่ ต้งั ความพจิ ารณาโดยความส้นิ ไป เสอื่ มไปแลว ให จัดเปน บญุ ญกิรยิ าวตั ถุ สําเร็จดว ยภาวนา. บญุ กริ ิยาวตั ถุอยางอน่ื
พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 313มอี กี ๗ อยา ง คอื บุญญกิริยาวตั ถอุ นั ประกอบดว ยความเคารพยําเกรงประกอบดวยการขวนขวาย ( ชวยทํากิจของผูอืน่ ) การใหส วนบญุ การอนุโมทนาสว นบุญ อนั สําเร็จดวยการแสดงธรรม อันสาํ เรจ็ ดว ยการฟงธรรม บญุ กริ ยิ าวตั ถคุ อื การทาํ ความเห็นใหต รง ดังนี.้ บรรดาบุญกิริยาวัตถุท้ัง ๗ น้นั ความเคารพ ยาํ เกรง พึงทราบ โดยอาการเชน เหน็พระผเู ฒา แลว ลกุ รบั รบั บาตรจวี ร กราบไหว หลกี ทางใหเ ปน ตน .การขวนขวาย พงึ ทราบดว ยการทาํ วตั ร ปฏบิ ัติแกพระภกิ ษุผูแกกวาตนดว ยการท่เี หน็ ภิกษุเขาบาน เพ่อื บณิ ฑบาตแลว ถอื บาตรไปชกั ชวน รวบรวมภกิ ษาในบาน และดวยการไดฟงวา \"ไปเอาบาตรของพวกภกิ ษมุ า\"ดงั น้ีแลว เรง รบี ไปนําบาตรมา เปน ตน . การใหสว นบุญพึงทราบ ดว ยการทีถ่ วายปจ จยั ๔ แลว ( ต้ังจติ อทุ ิศ ) ใหเ ปนไปวา \"สว นบญุ จะมีแกสรรพสัตว\" . การอนโุ มทนาสวนบุญ พงึ ทราบ ดวยการอนุโมทนาสว นบญุที่ผอู นื่ ใหว า \"สาธุ ถกู ดนี กั แลว \". ภกิ ษุรูปหนง่ึ ตั้งอยูในความปรารถนาวา \" คนท้ังหลายจักรูจ กั เราวา เปนธรรมกถึก ดว ยอบุ ายอยา งน้ี\" เปน ผูหนกั ในลาภแสดงธรรม ขอ นัน้ ไมม ผี ลมาก. ภกิ ษรุ ปู หน่ึงแสดงธรรมท่ีตนคลอ งแกชนอืน่ ๆ โดยไมไ ดห วังผลตอบแทน นชี้ ่อื วา บญุ กิริยาวัตถุ สาํ เรจ็ดวยการแสดงธรรม. บคุ คลผูห น่งึ เมอ่ื จะฟง ธรรม กฟ็ ง ดว ยความมงุ หมายวา \"คนทงั้ หลาย จักไดรูจกั เราวา มศี รทั ธาดว ยอาการอยางนี้\" ขอ น้ันไมมีผลมาก. บุคคลผหู นึ่ง ฟง ธรรมดว ยจติ ทอ่ี อนโยนแผป ระโยชนวา จกัมีผลมากแกเราดว ยอาการอยา งน\"้ี น้ชี ือ่ วา บุญกริ ยิ าวตั ถุ สําเรจ็ ดว ยการฟง ธรรมสว นการทําความเหน็ ใหต รงเปน ลักษณะกาํ หนดสาํ หรบั บญุ กิรยิ า
พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 314วัตถุทกุ อยาง. ท่จี ริง คนทาํ บุญอยา งใดๆ ก็ตาม มผี ลมากได ก็ดว ยความเหน็ ตรงนน่ั เอง.บุญกิรยิ าวัตถุ ๗ อยางเหลา น้ี พึงทราบวา รวมเขาไดกับบุญกิริยาวัตถุ ๓ อยา งขา งตนนนั่ เอง ดว ยประการดังน้.ี ในทนี่ ้ี ความเคารพ ยาํ เกรง และการขวนขวาย (ชวยทํากิจของผูอ ืน่ ) รวมลงไดในสีลมยั บุญกิรยิ าวัตถ.ุ การใหสวนบญุ และการอนโุ มทนาสว นบุญ รวมลงไดในทานมัยบุญกิรยิ าวตั ถุ, การแสดงธรรม และการฟง ธรรม รวมลงไดในภาวนามยั บุญกิริยาวตั ถุ การทาํ ความเหน็ ใหตรง รวมลงไดท ัง้๓ อยา ง. คําวา โจทนาวตฺถูนิ หมายถงึ เหตทุ ่ีจะโจท ( กลา วหา ) กนั .คําวา ทิฏเ น หมายความวา เหน็ ความผดิ ดว ยตาเนื้อก็ตาม ดวยตาทพิ ยกต็ าม แลวโจทขึ้น. คําวา สเุ ตน หมายความวา ไดย นิ เสียง ( เลาอาง )ของผอู ืน่ ดวยหธู รรมดาก็ตาม ดวยหทู ิพยกต็ าม แลว โจทขึน้ . คาํ วาปริสงฺกาย หมายความวา โจทข้ึนดวยความสงสัย เพราะไดเหน็ มา กต็ ามดวยความสงสัย เพราะไดย ินมาก็ตาม ดว ยความสงสัยเพราะไดทราบมาก็ตาม. นี้เปนความสังเขปในเรื่องนี.้ สวนรายละเอยี ดพึงทราบตามนัยที่ไดกลาวไวแ ลวในสมนั ตปาสาทกิ าน่นั แล. บทวา ผเู ขา ถึงกาม หมายความวา ผเู ขา ไปเสพกาม หรอื ไดเฉพาะกาม. บทวา ผูม ีกามปรากฏแลว ไดแก ผูม กี ามผกู มดั ไว คอื ผมู ีอารมณผกู มดั . คาํ วา เปรยี บเหมอื นมนษุ ย คอื เหมือนพวกมนษุ ย. เพราะวาพวกมนุษย ยอมยังอํานาจใหเ ปนไปในวัตถทุ ี่ผูกพันเทา นนั้ มจี ิตปฏพิ ัทธในมาตคุ ามคนใด กใ็ หเ งินรอ ยหนึ่งบาง สองรอยบาง แลวนาํ มาตุคาม
พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 315น้นั มาบรโิ ภคโภคะท่ผี กู พัน. เทพยดาผอู ยใู นเทวโลก ๔ เหลา ช่ือวา เทพยดาบางพวก. แมเ ทพยดาเหลา นั้น กย็ งั อํานาจใหเ ปน ไปในวตั ถุทผ่ี กู พนั น้ันและ. เทพดาท่ีเหลือ เวน พวกสตั วน รก ชอ่ื วา พวกวนิ ิบาต. เพราะแมปลา และเตา เปน ตน กย็ ังอํานาจใหเปน ไปในวัตถทุ ผ่ี ูกพนั นนั้ แหละอธิบายวา ปลากย็ งั อํานาจใหเ ปน ไปกบั นางปลา เตา ก็ยังอํานาจใหเปนไปกับนางเตา. สองบทวา เนรมติ แลว ๆ ความวา เนรมติ รปู น้นั ๆ ที่ปรารถนาสาํ หรบั ตน โดยเปนรูปสีเขียว และรูปสเี หลืองเปนตน เหมอื นเทวดาเหลามนาปกายิกา เนรมติ รูปไวขา งหนาทา นพระอนุรทุ ธะฉะน้ัน. บทวานมิ มฺ านรตี ความวา ชื่อวา เทวดาเหลานิมมานรดี เพราะอรรถวา เทวดาเหลา นัน้ ยนิ ดใี นของเนรมติ ทต่ี นเนรมิตแลว ๆ อยางนนั้ . บทวาปรนิมฺมติ กามา แปลวา ผูมกี ามท่ผี ูอน่ื เนรมิตให. เพราะวา เทวดาพวกอนื่ รูใ จของเทวดาเหลา นน้ั แลวก็เนรมติ กามโภคะตามทีช่ อบใจให เทวดาเหลาน้ัน ยอ มยงั อํานาจใหเปนไปในกามโภคะน้นั น่นั แหละ. ถามวา ผอู ื่นรูใจของคนอ่ืนไดอ ยา งไร. ตอบวารไู ดดว ยอาํ นาจการเสพใชตามปกติอุปมาเหมอื นพอครวั ผฉู ลาด เมอื่ พระราชาเสวยอยยู อ มรไู ดว า พระราชาพระองคนนั้ ทรงรับส่งิ ใด ๆ มาก พระองคยอ มโปรดสิ่งนั้น ๆ. ผูอื่นรูอ ารมณทเี่ ขาชอบใจมากตามปรกตดิ วยอาการอยา งนีแ้ ลว จงึ เนรมิตอารมณเ ชน น้ันน้นั แลให พวกเขายอ มยังอาํ นาจใหเปนไปในสงิ่ ทเ่ี ขาเนรมติ ใหน นั้ คือเสพเมถุน. สวนพระเถระบางทา นกลา ววา กามกจิ ยอมสาํ เรจ็ แกพ วกเขาดวยอาการสักวา หวั เราะ สักวา มองดูและสกั วา การสรวมกอด. คาํ ของพระเถระบางทา นน้ัน ถกู คดั คานไวใ นอรรถกถาวาคาํ ทีก่ ลาวนน้ั ไมมี. กามกิจที่จะพึงตูกตอ งจะสําเร็จแกผูไมถกู ตองดวยกาย หามิได. เพราะวา กามทงั้
พระสุตตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 316หลายของเหลาเทพช้ัน ฉกามาวจร เปน ไปตามปรกติเหมือนกัน. สมจริงดงัทตี่ รัสไววา เทพเหลากามาวจรหกชั้นเหลานัน้ พรง่ั พรอมดวยการทง้ั ปวง อายขุ องเทพเหลา น้นั เม่ือนับรวมกนั จะเปน เทา ไร. บทวา สขุ ปู ปตตฺ ิโย แปลวา ผูไดเ ฉพาะสขุ . คําวา อปุ ฺปาเทตฺวาอปุ ฺปาเทตวฺ า สขุ วหิ รนฺติ ความวา ยงั ความสขุ ในปฐมฌานใหเ กิดข้ึนในขนั้ ต่าํ แลวเสวยความสขุ ในฌานอนั เปน ตวั วบิ ากในช้ันสงู . สองบทวาสเุ ขน อภสิ นนา แปลวา ชุมฉํา่ ดวยสุข ในทุตยิ ฌาน. บทวา ปรสิ นนฺ าแปลวา ชุม ฉํา่ โดยท่วั ถึง. บทวา ปริปูรา แปลวา บรบิ รู ณ. บทวาปริปผฺ ุฏา เปน ไวพจนของคาํ วา ปรปิ ูรา นนั้ นน่ั แหละ. แมค าํ น้ีที่วาสขุ หนอ สุขหนอ ก็ทรงตรัสหมายเอาความสขุ อนั เปน ตวั วบิ าก นั้นนัง่ เอง.ไดย นิ วา เทพเหลานน้ั เกดิ ความโลภในภพมากชน้ั เพราะฉะนั้น จึงเปลงอุทานอยางนั้นในที่บางแหง ในบางเวลา. บทวา สนฺตเมว แปลวา ประณีตแท. บทวา สนตฺ สุ ติ า หมายความวา เปนผูสันโดษ เพราะไมตองการสขุ ย่งิ ขน้ึ ไปกวานน้ั . สองบทวา สขุ ปฏเิ วเทนตฺ ิ แปลวา เสวยสุขในตติยฌาน. ปญญาของพระอริยเจา ๗ พวก ชื่อวา เสกขปญญา ปญ ญาของพระอรหันตเ ปน อเสกขปญ ญา ปญ ญาที่เหลือ เปนเนวเสกขานาเสกขปญ ญา( เปนเสกขปญ ญากไ็ มใ ช เปนอเสกขปญ ญากไ็ มใ ช ). ในปญญาท่สี ําเร็จดว ยความคิด เปนตน มคี วามพิสดารดังตอไปนี้ ทว่ี าบรรดาปญญาเหลา น้ัน
พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 317ปญ ญาทส่ี ําเรจ็ ดวยความคดิ เปน ไฉน ในบอ เกิดของการงานท่นี อมนาํ เขาไปดวยปญ ญา หรือในบอ เกดิ ของศลิ ปะ ท่นี อมนําเขา ไปดวยปญญา หรือในสถานท่ขี องวิชาท่นี อมนาํ เขา ไปดวยปญญา บุคคลไมไดฟ ง มาแตผูอ่ืน กลบัไดกมั มัสสกตาญาณ หรือ สัจจานุโลมกิ ญาณ หรือ อนโุ ลมิกขันติ ทิฐิ รจุ ิมุนิ เปกขะ ธมั มนชิ ฌานขันติ เหน็ ปานน้ี อันใดวารปู ไมเ ทยี่ ง ฯลฯวญิ ญาณไมเที่ยง นเี้ รียกวา จนิ ตามยปญญา ในปญญา ๓ ประการน้ันปญญาทีส่ าํ เรจ็ ดว ยการฟง เปนไฉน ในบอเกิดของการงานท่นี อมนาํ เขา ไปดวยปญ ญา ไดฟงจากผอู ่ืนเทา นั้น จึงกลับได ฯลฯ ธัมมนิชฌานขันตินเ้ี รยี กวา สตุ มยปญ ญา ในปญ ญา ๓ ประการน้นั ปญ ญาท่ีสาํ เร็จดว ยการเจรญิ ภาวนาเปน ไฉน ปญญาแมท้ังหมดของผเู ขา สมาบัตชิ อื่ วา ภาวนา-มยปญ ญา. บทวา สุตาวธุ ไดแก อาวุธ คอื สตุ ะ. อาวธุ คือ สุตะนัน้โดยใจความไดแก พระพทุ ธพจน คือพระไตรปฎ ก. เพราะวา ภิกษุอาศัยอาวธุ นนั้ คือ อาศยั อาวุธ ๕ ประการ ยอมเปนผูไมค ร้ันครา ม ขา มลว งสังสารกนั ดารได เหมอื นทหารกลา ไมคร่ัมครา มขา มลวงมหากันดารไดฉะนั้น. เพราะเหตนุ น้ั แหละ สมเด็จพระผมู พี ระภาคเจาจึงตรัสวา ภกิ ษุท้ังหลายอริยสาวกผูม สี ุตะเปนอาวธุ ยอมละอกศุ ล ทํากศุ ลใหเจริญ ละส่ิงท่ีมโี ทษ ทําสงิ่ ทไี่ มม ีโทษใหเ จรญิ บริหารตนใหบ ริสทุ ธ์อิ ยดู งั น้ี . บทวาปวิเวกาวธุ ความวา อาวุธ คือ วเิ วก แมส ามประการน้ีคอื กายวิเวกจิตตวิเวก อปุ ธวิ เิ วก. วิเวก ๓ ประการนน้ั มกี ารกระทําตา ง ๆ กนั . กายวเิ วกสําหรบั บุคคลผูมกี ายหลกี ออกไป ยินดใี นเนกขัมมะ จติ ตวเิ วกสําหรับบคุ คล
พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 318ผมู ีจติ บริสุทธิ์ บรรลุถึงความผองแผวอยา งยอด และอปุ ธวิ ิเวกสําหรบั บคุ คลผูไ มม ีอุปธิ ถงึ ซึง่ วสิ ังขาร (คือพระนพิ พาน). ก็บุคคลผูยนิ ดยี ิ่งแลว ในวิเวก๓ อยา งนี้ ยอมไมก ลวั แตทไี่ หน ๆ เพราะฉะน้ัน วเิ วกแมน้ีก็เรียกวาอาวุธเพราะอรรถวา เปน ทีพ่ ึ่งอาศัยอาวธุ คอื ปญ ญา อันเปนโลกิยะ และโลกตุ ตระ.จัดเปน อาวุธ คือปญญา. เพราะวา บุคคลผูมีอาวุธ คือ ปญญานน้ั ยอ มไมกลวั แตที่ไหนๆ ทงั้ ใครๆ กไ็ มกลวั บคุ คลนั้น เพราะฉะนัน้ ปญญาแมนัน้ ก็เรียกวา อาวธุ เพราะอรรถวา เปน ทพ่ี ง่ึ อาศยั . บทวา อนฺ ตฺ สฺสามีตนิ ฺทฺรยิ ความวา อนิ ทรียทีเ่ กดิ ขึ้นแกผ ูปฏิบตั ดิ ว ยหวังวา เรารูจักธรรมที่ยังไมร ู ยังไมแจง ในกาลกอนแตนี้.คาํ วา อนฺตฺ ตสฺสามตี ินทฺ รฺ ิย นี้ เปน ช่ือของโสดาปตตมิ รรคญาณ.บทวา อฺ ินฺทฺริย ไดแ ก อินทรียอ นั เปน ความรทู ่วั ถงึ คือ เปน ความรู.คําวา อฺ นิ ทฺ รฺ ยิ น้ีเปนชื่อของญาณ ในฐานะ ๖ ประการ เรมิ่ แตโ สดา-ปต ตผิ ลไป. บทวา อฺาตาวนิ ทฺ ฺรยิ นี้ ไดแก อินทรยี ในธรรมทัง้หลายทีเ่ ปนของทา นผูรูทว่ั ถงึ คอื อันถึงทีส่ ดุ กิจของการร.ู คําวา อญฺ าตา-วนิ ฺทฺรยิ น้ีเปนชอื่ ของอรหัตตผลญาณ. มงั สจกั ขุ ไดแก จักขปุ ระสาท. ทิพยจักขุ ไดแก ญาณอาศยัแสงสวาง ปญญาจักขุ ไดแก ปญ ญาอนั เปน โลกยิ ะ และโลกุตตระ. พึงทราบวนิ ิจฉยั ในอธิสีลสกิ ขาเปน ตนตอ ไป. ศลี อันย่งิ น้ันดว ยชอื่ วา สกิ ขา เพราะจะตองศกึ ษาดวย เพราะเหตนุ นั้ จึงชื่อวา อธิสลี -สกิ ขา. แมในสิกขาท้งั ๒ นอกนนั้ ก็มนี ัยนเ้ี หมอื นกัน. ในอธสิ ีลสิกขาเปนตน น้นั ศลี คือศลี อนั ยิ่ง จิต คือจิตอนั ยิ่ง ปญญา กค็ อื ปญ ญาอนั ย่งิเพราะเปนตน พงึ ทราบความตา งกนั เพยี งเทาน้ี. ศีล ๕ และ ศลี ๑๐ ช่อื วา
พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 319ศีล. ความสํารวมในพระปาฏโิ มกข ชอ่ื วา ศีลอนั ย่งิ . สมาบตั ิ ๘ จัดเปน จิต(สมาธิ). ฌานอันเปน บาทของวปิ สสนา จัดเปนจิตอนั ย่งิ . กัมมัสสกตา-ญาณ จดั เปน ปญ ญา. วิปส สนา จดั เปนปญญาอันย่ิง. เพราะวาศลี ๕และศลี ๑๐ ยอ มมใี นพุทธปุ บาทกาลแมย ังไมเกิดข้ึนเพราะเหตนุ ้นั ศลี ๕ศลี ๑๐ จงึ คงเปน ศลี นั้นแหละ. ปาตโิ มกขสังวรศีล ยอมมีเฉพาะในพุทธุป-บาทกาลเทานน้ั เพราะเหตนุ ัน้ ปาตโิ มกขสังวร จึงจัดเปน ศีลอันยิ่ง. แมในจติ และปญ ญากน็ ัยนเ้ี หมือนกนั . อีกอยางหนงึ่ ศลี ๕ กด็ ี ศีล ๑๐ กด็ ีทบี่ คุ คลปรารถนาพระนิพพานสมาทานแลว จัดเปนศีลอนั ย่ิงเหมือนกันแมสมาบตั ิ ๘ ทบ่ี คุ คลเขา แลว ก็จัดเปน จิตอันยงิ่ เหมอื นกัน. หรอื วาโลกิยศีลทง้ั หมด เปน ศลี เทา นั้น. ( สวน ) โลกตุ ตรศลี เปนศีลอันย่ิง.แมใ นจิตและปญญาก็มนี ัยนเี้ หมอื นกัน. พงึ ทราบวินจิ ฉัยในภาวนา ตอ ไป. กายอันเปน ไปในทวาร ๕ ของพระขณี าสพ ชอ่ื วา กายภาวนา. สมาบัติ ๘ ชื่อวา จติ ตภาวนา.ปญญาในอรหตั ผล ช่ือวา ปญญาภาวนา. ก็พระขณี าสพยอ มเปนผูอบรมกายอนั เปนไปในทวาร ๕ มีดีแลว โดยสว นเดียว. สมาบตั ิ ๘ ของทานก็ไมทรุ พลเหมือนของคนอ่ืน. และปญ ญาของทานเทา น้นั ช่อื วาอบรมแลว เพราะความไพบลู ยด วยปญญา. เพราะฉะน้นั ขา พเจา จึงกลา วอยา งน.้ี พึงทราบวนิ จิ ฉัยในอนุตตรยิ ะตอ ไป. วิปสสนาจัดเปนทสั สนานุต-ตรยิ ะ มรรคจัดเปน ปฏปิ ทานตุ ตริยะ ผลจัดเปน วิมุตตานุตตรยิ ะ. หรือวา ผลเปนทสั สนานตุ ตรยิ ะ มรรคเปนปฏปิ ทานุตตรยิ ะ นิพพานเปน วมิ ตุ ตานตุ -ตรยิ ะ. หรอื วา นพิ พานจดั เปน ทัสสนานตุ ตรยิ ะ เพราะวา ธรรมดาส่งิ ท่ีจะพงึ เห็นท่ยี ิง่ ไปกวาพระนพิ พานนั้น ยอมไมม ี มรรคจดั เปน ปฏิปทานุตตรยิ ะ
พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 320ผลจัดเปน วิมตุ ตานุตตริยะ. คาํ วา อนุตตฺ รยิ แปลวา สูงสดุ คือเจริญที่สดุ . พึงทราบวินจิ ฉัยในสมาธติ อไป. สมาธิในปฐมฌาน ที่ท้ังวิตกและวจิ าร. โดยปญ จกนัย สมาธใิ นทุตยิ ฌาน ไมม วี ติ ก มแี ตวจิ าร. สมาธิท่ีเหลือ ( จากสมาธิในทตุ ยิ ฌาน ) ไมม ที ง้ั วติ กและวิจาร. กถาในสุญญตะเปนตน มี ๓ อยา งคือ โดยความสาํ เร็จ โดยคณุ ของตน โดยอารมณ.ภิกษุรปู หน่งึ ยดึ ถือโดยความเปน อนัตตา เห็นโดยความเปนอนตั ตา ยอ มออกไป (คือหลดุ พน) โดยความเปน อนัตตา ชอื่ วา (สญุ ญตะ) โดยความสําเร็จ. วิปส สนาของทานช่ือวา เปนสุญญตะ เพราะเหตไุ ร. เพราะกิเลสตวั กระทําไมใหเปน สญุ ญตะไมม .ี มรรคสมาธิ ชอ่ื วาเปน สุญญตะ เพราะสําเร็จดว ยวิปส สนา ผลสมาธิ ช่ือวา เปนสญุ ญตะ เพราะสําเรจ็ ดว ยมรรค.รปู อน่ื อีก ยดึ ถือโดยความเปน ของไมเ ที่ยง เหน็ โดยความเปนของไมเทย่ี งแลว ออกไปโดยความเปนของไมเ ทย่ี ง. วปิ สสนาของทา น ชื่อวา เปน อนิมติตะ. เพราะเหตุไร. เพราะไมมกี เิ ลสท่กี ระทาํ นมิ ติ . มรรคสมาธิ ช่อื วา เปนอนิมิตตะ เพราะสําเรจ็ โดยวปิ สสนา ผล ชื่อวา อนิมติ ตะ เพราะสําเร็จโดยมรรค. รปู อนื่ อีก ยดึ มน่ั โดยความเปน ทกุ ข เห็นโดยความเปน ทุกข แลวออกไป ( หลุดพน ) โดยความเปน ทุกข. วิปส สนาของทา นชื่อวา เปนอัปปณหิ ิตะหาทีต่ ั้งมิได. เพราะเหตุไร. เพราะไมมีกเิ ลสตัวที่กระทําปณธิ ิที่ปรารถนา. มรรคสมาธิ ชื่อวา เปน อัปปณหิ ติ ะ เพราะสาํ เร็จโดยวิปส สนาผลชือ่ วา เปนอปั ปณหิ ติ ะ. เพราะสําเร็จโดยมรรค กถาโดยความสาํ เร็จมีเทาท่ีพรรณนามานีแ้ ล. กม็ รรคสมาธิ ชอื่ วา สญุ ญตะ เพราะวางเปลาจากราคะเปนตน ชือ่ วา อนิมิตตะ เพราะไมมีราคะ เปนนมิ ติ เปนตน ชอื่ วาอปั ปณิหิตะ เพราะไมมีราคะเปนท่ตี ้ังอาศัยเปนตน กถาโดยคณุ ของตน
พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 321มีเทา ทีพ่ รรณนามาน้ีแล. พระนิพพาน ช่ือวา สุญญตะ อนิมิตตะ และอปั ปณิหิตะ เพราะวางเปลา จากราคะ เปน ตน และเพราะไมมรราคะเปนตนเปน เครื่องหมาย แลวเปน ทีต่ งั้ อาศยั . มรรคสมาธิ ซ่ึงมีนพิ พานนนั้ เปนอา-รมณ จึงเปนสุญญตะอนิมิตตะ อัปปณิหติ ะ.กถาวา โดนอารมณม ีเพยี งเทาน.้ี ธรรมอนั ทาํ ความสะอาด คือปฏิปทาแหงความสะอาด ชอื่ วา โสเจย-ฺยาน.ิ กใ็ นขอท่ีวาดว ยความสะอาดน้ี พงึ ทราบความพสิ ดารดวยอาํ นาจสุจริต ๓ ซงึ่ ตรัสไวโดยนัยมอี าทิดังนี้วา ในความสะอาด ๓ อยา งน้ัน ความสะอาดทางกาย เปนไฉน คอื เจตนาเคร่ืองงดเวน จากปาณาตบิ าต. ธรรมอนั ทําความเปน มุนีไดแ ก โมเนยฺยปฏิปทา ช่ือวา โมเนยยฺ านิ.ความพิสดารแหง ธรรมอันทาํ ความเปน มนุ เี หลานั้น ดังนี้วา ในความเปนมุนีเหลานนั้ ความเปนมนุ ที างกาย เปน ไฉน คือการละกายทจุ ริต ๓ อยา งเปน กายโมเนยยะ กายสุจริต ๓ อยา ง เปนกายโมเนยยะ ญาณมกี ายเปนอารมณ เปนกายโมเนยยะ มรรคอนั สหรคตดวยการกําหนดรกู ายเปน กายโมเนยยะ การละฉนั ทราคะในกาย เปนกายโมเนยยะ การเขาจตุตถฌานอันดบั เสยี ซงึ่ กายสงั ขาร เปนกายโมเนยยะ ในความเปน มุนเี หลานั้นความเปน มุนีทางวาจาเปน ไฉน การละวจที จุ ริต ๔ เปนวจโี มเนยยะวจีสุจริต ๔ ญาณมวี าจาเปน อารมณ มรรคอันสหรคต ดว ยการกําหนดรูวาจา การละฉนั ทราคะในวาจา การเขา ทุติยฌาน อันดับเสยี ซึ่งวจีสงั ขารเปน วจีโมเนยยะ. ในความเปนมนุ เี หลา น้นั ความเปน มุนีทางใจเปนไฉนการละมโนทจุ ริต ๓ เปน มโนโมเนยยะ มโนสจุ ริต ๓ ญาณมใี จเปน อารมณมรรคอนั สหรคตดวยการกาํ หนดรใู จการละฉนั ทราคะในใจ การเขา สญั ญา
พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 322เวทยิตนโิ รธสมาบัติ อันดบั เสยี ซงึ่ จิตตสังขาร เปนมโนโมเนยยะ พงึ ทราบวินจิ ฉัยในความเปนผฉู ลาดตอ ไป. ความเจรญิ ชื่อวา อายะความไมเจรญิ ชือ่ วา อปายะ. เหตแุ หง ความเจริญ และไมเ จรญิ น้นั ๆ เปนอบุ าย. ความรทู ัว่ ถึงความเจรญิ ความไมเ จริญ และเหตแุ หงความเจรญิและไมเจริญ เหลาน้ัน เปน ความฉลาด. ก็ความพสิ ดารตรสั ไวในวิภงั คนั่นแล. สมจรงิ ดงั ท่ตี รสั ไววา ในความฉลาดเหลา นนั้ ความฉลาดในความเจริญเปน ไฉน ปญญา ความรูท ว่ั ฯลฯ ความเหน็ ชอบในความเจริญนน้ัอันใดวา เมอ่ื เรามนสกิ ารถงึ ธรรมเหลานี้ อกศุ ลธรรมทย่ี งั ไมเ กิดยอ มไมเ กิดข้ึน และอกุศลธรรมทีเ่ กดิ ข้ึนแลว ยอมดับไป ก็หรอื วา เมอ่ื เรามนสิการถงึธรรมเหลานี้ กุศลธรรมทย่ี งั ไมเกิดยอมเกดิ ขึน้ และกศุ ลธรรมท่เี กิดขึ้นแลว ยอ มเปนไปเพอื่ ความภญิ โญภาพ เพ่ือความไพบลู ย เพ่ือความเจริญเพือ่ ความบริบรู ณ นเ้ี รยี กวา ความเปนผูฉลาดในความเจรญิ ในความฉลาดเหลานนั้ ความฉลาดในความไมเ จรญิ เปน ไฉน ปญ ญา ความรอบรูฯ ลฯ ความเหน็ ชอบในความไมเ จริญนน้ั อนั ใดวา เม่ือเรามนสกิ ารถึงธรรมเหลา น้ี กศุ ลธรรมที่ยังไมเกิดยอ มไมเกดิ และกศุ ลทเี่ กดิ แลว ยอมดบั ไป กห็ รอื วา เม่อื เรามนสกิ ารถงึ ธรรมเหลา น้ี อกุศลธรรมทีย่ งั ไมเ กิดยอมเกิดขึ้น และอกุศลธรรมทเ่ี กิดขึ้นแลว ยอ มเปนไปเพือ่ ความภิญโญภาพ เพอ่ืความไพบูลย เพ่อื ความเจรญิ เพอ่ื ความบริบูรณ น้เี รียกวา ความเปนผูฉลาดในความไมเจรญิ ปญญาอันเปนอุบาย ในความเจริญ และความไมเจรญิ น้ัน แมท ง้ั หมด เปนความฉลาดในอบุ าย ดังน.้ี กค็ วามฉลาดในอุบายนี้ พึงทราบดว ยอํานาจการรูเ หตแุ หง ฐานะทเ่ี กดิ ข้ึน เพอื่ แกไขกจิ รบีดวนหรือภยั น้ัน ในตอนทกี่ ิจรบี ดว นหรอื ภยั เกดิ ข้นึ .
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 323 บทวา มทา แปลวา เปน ไปดวยอํานาจแหง อาการมัวเมา. ในบรรดาความมัวเมาเหลานน้ั การกระทาํ มานะอยา งนีว้ า เราเปน คนไมมโี รคต้งั ๖๐ หรือ ๗๐ ปลวงไปแลว แมแ ตช้นิ สมอเรายังไมเคยขบเคย้ี ว สว นคนอ่ืนเหลา น้ี เท่ยี วพดู วา ท่โี นนยอกขัด พวกเราจะเค้ยี วกินยาใครอ่ืนช่อื วาเปนคนไมมีโรคเหมอื นเราดังนี้ . ชื่อวา ความเมาในความเปนผไู มมีโรค. การทยี่ ังอยใู นความเปนหนมุ สาว แลว ทาํ มานะวา พวกเราจกั ทําบญุในตอนแก ตอนน้ยี งั เปนหนุมเปนสาวอยกู อน ดังนี้ ชอ่ื วา เมาในความเปนหนมุ สาว. การกระทํามานะอยางนว้ี า เราเปนอยมู านานแลว ยงั เปนอยูนาน จกั เปนอยูอีกนาน เราอยเู ปน สขุ มาแลว กาํ ลงั เปนอยูอยางเปนสุข จักเปน อยูอยางเปน สุข ( ตอ ไป ) ดังนี้ ชอื่ วา เมาในชวี ิต. พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในความเปน ใหญต อไป. คณุ ชาติอนั มาแลวจากความเปน ใหญ ชือ่ วา อาธปิ เตยยะ. การทาํ ตนใหเปน ใหญ คอื ใหเปนหวั หนา อยา งนี้วา เราเปนคนเทานี้โดยศลี สมาธิ ปญ ญา วิมุตติ ขอนั้นไมควรแกเรา ดังนแี้ ลว ไมกระทาํ ความช่วั ชือ่ วา อัตตาธิปไตย. การทําชาวโลกใหเปนใหญแลว ไมท าํ ความชั่ว ชื่อวา โลกาธิปไตย. การทําโลกุตตรธรรมใหเ ปนใหญแ ลว ไมท าํ ความชว่ั ชอ่ื วา ธรรมาธิปไตย. เหตขุ องการกลาวถอยคาํ ช่อื วา กถาวัตถ.ุ สองบทวา อตตี วาอทฺธาน แปลวา คติธรรม ทีล่ วงไปแลว อธบิ ายวา ขันธที่เปนอดตี . อีกอยางหนง่ึ พึงแสดงเนื้อความในคาํ วา อตีต วา อทฺธาน นี้ โดยนริ ตุ ติปถ-สูตร ( สตู รทว่ี าดว ยหลักภาษา ) ซ่งึ มที ม่ี าอยา งน้ีวา ภกิ ษุทง้ั หลาย รูปใดลวงไปแลว ดับไปแลว แปรปรวนไปแลว การนับรูปนน้ั วา ไดม ีแลวการบัญญัติรูปน้นั วา ไดมีแลว การใหชอ่ื รปู นน้ั วา ไดมแี ลว รูปนั้นไมนบั วา จักมี รปู นั้นไมนับวา มีอย.ู บทวา วิชชฺ า ความวา ชอื่ วา วชิ ชา
พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 324เพราะอรรถวา แทงทะลคุ วามมดื . ชื่อวา วชิ ชา เพราะอรรถวา ทําใหรแู จง กไ็ ด. ก็บุพเพนิวาสานุสสติญาณซึง่ เกิดขนึ้ อยู ชือ่ วา วิชชา เพราะอรรถวา ทําลายความมืด ซ่ึงตง้ั ปกปดขนั ธท ่ีเคยอยูอ าศัยในกาลกอน และกระทาํ ขนั ธท ่ีเคยอาศัยอยใู นกาลกอ น ใหร แู จง. จุตปู ปาตญาณ ช่อื วาวชิ ชา เพราะอรรถวา ทําลายความมืดท่ีปกปดจุติ และกระทําจุติ และปฏิ-สนธินั้นใหร ูแจง . ญาณ ความรูใ นความสิน้ อาสวะทัง้ หลาย ช่ือวา วชิ ชาเพราะอรรถวา ทําลายความมดื ทป่ี กปดสจั จะ ๔ และกระทําสจั จะธรรมทงั้ ๔ใหร ูแจง พงึ ทราบวินิจฉยั ในวิหารธรรมตอไป. สมาบตั ิ ๘ ช่อื วา ทิพย-วหิ ารธรรม. อัปปมญั ญา ๔ ชอ่ื วา พรหมวหิ ารธรรม ผลสมาบัติช่อื วาอรยิ วิหารธรรม. ปาฏิหาริยท ั้งหลาย ทรงใหพ ิสดารแลว ในเกวฏั ฏสูตร.ในคําวา อเิ ม โข อาวุโส ดงั นเี้ ปนตน พงึ ประกอบโดยนัยดังกลาวเเลวนนั่ แล. พระเถระเมือ่ กลา วปญหา ๑๘๐ ขอ ดวยอํานาจ ติกะ ๖๐ ถวนจึงไดแ สดงสามคั ครี สไว ดว ยประการฉะนนั้ แล. จบหมวด ๓ วา ดวยธรรมหมวด ๔ พระเถระคร้นั แสดงสามคั ครี สดว ยอํานาจหมวด ๓ ดวยประการดงั นีแ้ ลว บดั นี้หวังจะแสดงดวยอาํ นาจหมวด ๔ จงึ เรม่ิ เทศนาอกี . บรรดาหมวด ๔ เหลานั้น หมวด ๔ วาดวยสติปฏฐาน ทา นใหพิสดารแลวในเบอื้ งตน น่นั เอง. พงึ ทราบอธบิ ายในหมวด ๔ วา ดวยสัมมปั ปธาน. ขอ วาฉนทฺ ชเนติ ความวา ใหเกิดกตั ตุกัมยตาฉันทะ ทีท่ านกลาวไวอยา งน้วี าความพอใจ ความเปนผูมีความพอใจ ความเปน ผใู ครจะทาํ อันใด นนั้ จดัเปนกุศล คือความเปน ผมู คี วามพอใจในธรรม. ขอวา วายมติ ความวา
พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 325ทําความพยายาม. ขอ วา วิรยิ อารภติ ความวา ทาํ ความเพยี รใหเ กดิ ขน้ึ .ขอวา จติ ฺต ปคฺคณหฺ ติ ความวา ค้าํ ชูจติ ไว. น้เี ปนความยอ ในทีน่ .้ีสวนความพสิ ดาร มาแลว ในสัมมปั ปธานวภิ ังคน ั่นเอง. ในอิทธบิ าททงั้ หลาย พงึ ทราบอธิบาย ดังตอไปนี้ . สมาธทิ อี่ าศยั ฉันทะเปนไป ชื่อวาฉันทสมาธิ. สังขารทงั้ หลายท่ีเปน ประธาน ชอื่ วา ปธานสงั ขาร. ขอวาสมนนฺ าคต ความวา เขา ถึงแลว ดว ยธรรมเหลาน้ี . บาทแหง ฤทธ์ิ หรอืทางอันเปนเครอื่ งถงึ ซ่ึงเปนความสําเร็จ เพราะเหตนุ น้ั จึงชอ่ื วา อิทธิบาท.แมใ นอิทธิบาทขอ ท่ีเหลอื ก็นยั นนั้ เหมือนกัน. น้ีเปนความยอ ในทน่ี ้ี . สว นความพสิ ดาร มาแลวในอิทธบิ าทวิภงั คน น้ั แล. สวนเน้ือความของอิทธบิ าทน้ันทานแสดงไวแลวในวสิ ุทธิมรรค. กถาวา ดวยฌานทา นใหพิสดารไวแลวในวิสุทธิมรรคเหมอื นกนั . ขอวา ทิฏธมฺมสุขวหิ าราย ความวา เพื่อประโยชนแ กการอยูสบายในอัตภาพนีน้ นั่ เทียว. ผลสมาบตั ิและฌาน และฌานท่ีพระขณี าสพใหเกดิ ขน้ึ แลว ในเวลาตอ มา ทา นกลา วไวในท่ีน้.ี ขอวา อาโลกสฺ มนสิกโรติ ความวา ทําไวใ นใจถึงแสงสวาง มีแสงสวา งแหง ดวงอาทิตยดวงจนั ทร และแกว มณี เปน ตน ทัง้ กลางวนั หรือกลางคนื วา อาโลโก ดงั น้ี.ขอวา ทวิ าสฺ อธฏิ าติ ความวา คร้นั มนสิการอยา งนแ้ี ลว ก็ตั้งสญั ญาไวว า กลางวัน ดงั น้.ี ขอ วา ยถา ทวิ า คถา รตตฺ ึ ความวา เหน็ แสงสวา งในกลางวันฉนั ใด ในกลางคืนกม็ นสกิ ารไปเหมือนฉนั นั้น. ขอ วา ยถารตตฺ ึ ตถา ทิวา ความวา เหน็ แสงสวางในกลางคนื ฉนั ใด ในกลางวันก็มนสิการไปฉนั นั้นเหมือนกนั . ขอวา อติ ิ วิวเฏน เจตสา ความวา
พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 326มีจติ ท่ีเปด แลวอยางน้ี. ขอ วา อปรโิ ยนทฺเธน ความวา ไมถูกผูกมดั ไวโดยรอบ. ขอวา สปฺปภาส ความวา เปนไปกับแสงสวา ง. ขอ วาาณทสฺสนปฏลิ าภาย ความวา เพอ่ื ประโยชนแกการไดญ าณทัสสนะ.ทานกลา วอะไรไวด ว ยคํานี.้ ทา นกลาวถึงแสงสวางทเ่ี ปน เครื่องบรรเทาถีนมิทธะ หรือแสงสวา งในการบรกิ รรม. แมดวยคําน้ีเปนอันทานกลา วถึงอะไร. เปน อันทา นกลา วถึงทพิ ยจักษุญาณ ของพระขีณาสพ. อกี อยางหน่ึงเม่อื ทิพยจักษญุ าณน้ัน มาแลว กต็ าม ยงั ไมม ากต็ าม ทา นหมายถงึ สมาบัติทม่ี ฌี านเปนบาทนัน้ แหละ จึงกลาวคําวา ยงั จติ ท่มี ีแสงวา งใหเ กิดมีขึน้ .ขอวา สติสมฺปชฺาย ความวา เพ่ือประโยชนแกสตสิ ัมปชัญญะ อันมีสตั วเปนที่ตัง้ . ในขอวา วิทิตา เวทนา อุปปฺ ชชฺ นตฺ ิ เปน ตนความวาวตั ถุเปน อันพระขณี าสพรูแลว อารมณก ็เปน อันรแู ลว เวทนาทั้งหลายยอ มเกิดขน้ึ อยางน้ี ยอมตัง้ อยูอยา งน้ี ยอมดบั ไปอยา งน้ี เพราะรทู ั้งวตั ถุและอารมณ. ไมเฉพาะเวทนาอยางเดียวเทาน้นั ทา นกลา วไวใ นท่นี ี้ แมสญั ญาเปนตน กเ็ ปนอันรชู ัดแลว ยอ มเกดิ ขนึ้ ยอมตงั้ อยู และยอมดับไป.อีกอยางหนึ่ง ความเกิดข้ึนแหง เวทนาก็เปน อนั ทา นรูแลว ความต้งั อยูก็เปนอนั ทานรูแ ลว. ภิกษุแมเ มอื เห็นลกั ษณะแหงความเกิดขึ้นวา เพราะอวชิ ชาเกิด เวทนาจึงเกดิ เพราะตัณหาเกิด เพราะกรรมเกดิ เพราะผัสสะเกิด จงึ เกดิ เวทนา ชือ่ วา ยอ มเห็นความเกดิ ของเวทนาขนั ธ. ความเกิดขนึ้แหง เวทนา ยอ มเปนอนั ทานทราบแลว อยา งนี้. ทานทราบถึงความต้งั อยูแหง เวทนาอยางไร. เมือ่ ทานมนสกิ ารอยูโดยความเปน ของไมเ ทยี่ ง ก็ยอ มเปน อันทราบถึงความตง้ั อยโู ดยความเปนของส้ินไป. เมอื่ มนสกิ ารอยูโดยความเปน ทุกข ยอ มเปนอันทราบถึงความต้ังอยโู ดยความเปนของนา กลวั .
พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 327เมอื่ มนสกิ ารอยู โดยความเปน อนัตตา กย็ อ มทราบถงึ ความตงั้ อยูโ ดยความเปนของวางเปลา . ความตัง้ อยูแหง เวทนาเปน อนั ทานทราบแลวอยา งน้.ีทานยอ มรูโ ดยความเปนของสน้ิ ไป โดยความเปน ของนา กลวั โดยความเปน ของวางเปลา . ความต้งั อยไู มไ ดแ หง เวทนา เปนอันทา นทราบแลวอยา งไร. ความตงั้ อยไู มไดแ หง เวทนา ยอ มมีไดอ ยา งนวี้ า เพราะอวิชชาดบั เวทนาจงึ ดับ ฯลฯ ดังน้ี . ในขอ น้ีบัณฑิตพงึ ทราบเนื้อความตามนยัแมน้ี. คําวา รป เปน ตน มีนัยดังกลาวแลว นนั่ แหละ ดว ยประการฉะน.้ีขอ วา อย อาวโุ ส สมาธภิ าวนา ความวา สมาธิภาวนาซง่ึ ฌานเปนบาทน้ี ยอ มมแี กญ าณเปนเครอื่ งรูถงึ ความสนิ้ อาสวะ. ขอวา อปฺปมฺ าความวา อปั ปมัญญา ดว ยอํานาจการไมถอื เอาประมาณแผไปหมดท้งั ส้ิน.ทสั สนภาวนา และวิธีแหงสมาธิ ซ่งึ มีการพรรณนาไปตามลําดับบทแหงอัปปมัญญาเหลา นั้น ทา นใหพ ิสดารไวแ ลว ในวสิ ุทธิมรรคนน้ั แล. แมกถาวา ดว ย อรูป ( ฌาน ) ทานกใ็ หพ สิ ดารไวแ ลว ในวิสุทธมิ รรคนัน่ แหละ. ขอวา อปสเฺ สนานิ ความวา ท่สี าํ หรบั อิง. ขอ วา ส ขาย ความวาดวยญาณ ฯ ขอ วา ปฏิเสวติ ความวา ภิกษุรูดว ยญาณแลว ยอ มเสพเฉพาะของทค่ี วรเสพไดเ ทาน้นั . ก็ความพิสดารแหง การเสพนัน้ พงึ ทราบโดยนัยมอี าทวิ า ภิกษพุ ิจารณาโดยแยบคาย แลว จึงเสพจวี ร. ขอวา ส ขา-เยก อธิวาเสติ ความวา ภิกษุรดู ว ยญาณแลว ยอมอดกลน้ั อารมณที่ควรจะอดกลนั้ ไดนน้ั แล. กใ็ นขอ น้ี พึงทราบความพิสดารโดยนยั เปน ตนวาภกิ ษุพจิ ารณาโดยแยบคายแลว ยอมเปน ผอู ดทนตอ ความหนาวได. ขอวาปริวชฺเชติ ความวา ภิกษรุ ดู วยญาณแลว ยอ มเวน ส่ิงทีค่ วร เพื่อละเวน
พระสุตตันตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 328นั่นแล. ความพสิ ดารแหง การเวนนั้น พงึ ทราบโดยนยั มอี าทิวา ภกิ ษุพจิ ารณาโดยแยบคายแลว ยอ มหลีกเลี่ยงชา งดเุ สยี . ขอวา วิโนเทติความวา ภกิ ษุรูดว ยญาณแลว ยอ มบรรเทาส่งิ ควรบรรเทานน้ั แล คือ ไลออกนาํ ออกไมใหอยูในภายใน. ความพสิ ดารแหง การบรรเทาน้นั พึงทราบโดยนัยมีอาทิวา ภิกษอุ ดกลั้นกามวติ กทเ่ี กิดขน้ึ ไมไ ด ดังน้ี . ขอวา อรยิ ว ส ความวา วงศของพระอรยิ ะ. เหมอื นอยา งวาวงศกษัตรยิ วงศพราหมณ วงศแพทย วงศศูทร วงศสมณะ วงศพระราชาฉนั ใด วงศพ ระอรยิ ะ แบบแผนพระอรยิ ะ ท่ี ๘ แมน กช็ ื่อวาประเพณีของพระอรยิ ะฉันนนั้ . กอ็ ริยวงศน น้ี ้นั แล ทา นกลาววา เปน เลศิ กวาวงศเ หลาน้ีดุจกลน่ิ มกี ลิ่นกะลัมพักเปน ตน เปนยอดกวากล่นิ ทเ่ี กดิ จากรากเปน ตนฉะน้ัน. กว็ งศเหลา นี้มีอยแู กพ ระอริยะเหลาใด พระอรยิ ะเหลา นน้ั ไดแกคนจําพวกไหน. ไดแก พระพุทธเจา พระปจเจกพุทธเจา และพระสาวกของพระพุทธเจา ที่ทานเรียกวา พระอรยิ ะ. วงศข องพระอริยเหลา นี้ เพราะเหตุนนั้ จึงชือ่ วา อรยิ วงศ. จรงิ อยูในกาลกอ นแตนี้ มพี ระพุทธเจา ๔ องคคอื พระพุทธเจาตณั หังกร พระพุทธเจา เมธงั กร พระพุทธเจา สรณงั กรพระพุทธเจา ทีปง กร ทรงอุบัติข้ึนแลว ในทส่ี ุด สอ่ี สงไขยกับแสนกปั ปพระพุทธเจา เหลา นั้นชื่อวา พระอริยวงศข องพระอรยิ ะเหลานน้ั เพราะเหตุนนั้ จึงชือ่ วา อริยวงศ. ในกาลตอ มาแตก ารปรินิพพานของพระพุทธเจาเหลาลว งไปหนึง่ อสงไขย พระพุทธเจาพระนามวา โกณฑญั ญะ ทรงอบุ ัตขิ ึน้แลว ฯ ล ฯ ในกปั ปน ้ี มีพระพุทธเจา เกดิ ข้ึน ๔ องคค อื พระกกุสนั ธะพระโกนาคมนะ พระกัสสปะ พระผูมพี ระภาคเจาของพวกเราพระนามวาโคดมวงศของพระอรยิ ะเหลา น้ัน เพราะเหตนุ ้นั จึงชื่อวา อริยวงศ. อกี อยา ง
พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 329หนึ่ง วงศของพระอริยะ คอื พระพุทธเจา พระปจ เจกพุทธเจา และสาวกของพระพทุ ธเจาทั้งหมด ท้ังในอดีต อนาคต และปจจุบัน เพราะเหตนุ นั้จึงชอื่ วา อริยวงศ. ก็อริยวงศเ หลานี้นนั้ แล พงึ ทราบวา เปนวงศช ้ันยอดเพราะรกู ันวา เปน วงศอันลํา้ เลิศ พงึ ทราบวา เปนไปตลอดกาลนานเพราะรูจ กั กันมานาน พงึ ทราบวาเปน วงศ เพราะรวู า เปน วงศ. ขอ วาเปน วงศเกา ความวา มิใชเ พิง่ เกิดขน้ึ เด๋ียวน.ี้ ขอ วา ไมก ระจัดกระจายความวาไมเกล่ือนกลน คือ ไมถูกนาํ ออกไป. ขอ วา อสงกฺ ิณณฺ ปพุ ฺพาความวา เปนวงศไ มเคยถูกนําออกไป เพราะอรรถวา เปน วงศไ มเ คยเกลอื่ นกลนแมก บั อดีตพุทธเจาทัง้ หลาย จะเกลอ่ื นกลน กบั พระพทุ ธเจาทง้ั หลายเหลา นี้ไดอยา งไร. ขอ วา น ส กิยนตฺ ิ ความวา ถึงในบัดนี้ กม็ ไิ ดถกู นําออกไป. ขอวา น ส กยิ ิสสฺ นตฺ ิ ความวา แมอันพระพุทธเจา ในอนาคตทงั้ หลาย กจ็ ักไมนาํ ออกไป. สมณะและพราหมณ ผเู ปน วญิ ูเหลาใดในโลก ก็ไมถูกสมณะและพราหมณ ผเู ปนวิญูชนเหลานัน้ สาปแชงนนิ ทา ตเิ ตียน. ขอวา สนตฺ ฏุ โ โหติ ความวา เปนผสู ันโดษดวยอํานาจความสนั โดษในปจ จัย. ขอ วา อติ รีตเรน จวี เรน ความวา ( เปน ผูสันโดษ)ดว ยบรรดาจีวรท่ีเนื้อหยาบ ละเอยี ด เศรา หมอง ประณตี มั่นคง เกาชนดิ ใดชนดิ หน่งึ หามิได โดยท่แี ท เปนผูสนั โดษดวยบรรดาจีวรตามท่ไี ดเปนตน ชนดิ ใดชนิดหน่ึงตามแตจะได. ก็ในจีวรมสี ันโดษ ๓ คือ สนั โดษตามได สันโดษตามกาํ ลงั สนั โดษตามสมควร. แมในบณิ ฑบาตเปนตน ก็นยั นน้ั เสมอนกนั . กถาโดยพสิ ดารแหง สนั โดษเหลา นั้น พงึ ทราบตามนัยท่ีกลา วแลว ในสามัญญผลสตู รนนั่ แล. คําวา เปนผสู ันโดษดว ยจวี รตามท่ไี ด
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 330เปนตน ชนดิ ใดชนิดหนึง่ ทานกลา วหมายเอาสนั โดษ ๓ เหลาน้ี ดว ยประการฉะน.ี้ ก็ในขอนพี้ งึ ทราบจีวร พึงทราบเขตแหงจวี ร พงึ ทราบบงั สุกุลจีวร พงึ ทราบความสนั โดษในจีวร พึงทราบธุดงคท่เี กย่ี วเนือ่ งกับจีวร. ขอวา จวี ร ชานิตพฺพ ความวา พงึ ทราบ จีวร ๖ ชนดิ มีผาเปลือกไม เปนตน อนโุ ลมจีวร ๖ ชนดิ มผี า ทกุ ลู เปนตน จีวร ๑๒ ชนิดเหลา นี้ ชอ่ื วา กัปปย จีวร. สวนจีวรมอี าทิอยางนี้วา ผาคากรอง ผาเปลอื กปอ ผาทอเปนแผน ผา กมั พลทอดว ยผมมนุษย ผากัมพลทอดว ยขนหางสตั ว หนงั เสือ หนงั สตั ว ปกนกเคา ผาที่พนั ดวยตน ไม ผา ท่ีใชเถาวลั ยถัก ผา ท่ีทําดว ยตระไครน้าํ ผา ท่ีถกั ดวยปอกลว ย ผาทส่ี านดวยดอกไมไ ผ ช่ือวา อกปั ปยจวี ร ( จวี รที่ไมสมควรจะใช ). ขอ วา จวี รกฺเขตฺต ความวา ชอ่ื วา เขตมี ๖ อยา ง เพราะเกดิขึน้ อยางนว้ี า จากสงฆ จากคณะ จากญาติ จากมติ ร จากทรพั ยข องตนหรือเปนผา บงั สุกลุ . สว นเขต ๘ พงึ ทราบดว ยอํานาจมาตกิ า ๘. ขอ วา ป สุกูล ความวา พึงทราบผา บังสกุ ลุ ๒๓ ชนิดคือ ๑. ผา โสสานกิ ะ ( ผาทเ่ี ขาท้ิงไวใ นปาชา ) ๒. ผาปาปณิกะ ( ผาท่เี ขาทิ้งอยูตามทางเขา ตลาด ) ๓. ผา รถกิ ะ ( ผา ทีเ่ ขาทงิ้ อยตู ามตรอก ) ๔. ผสู งั การโจฬกะ (ผาที่เขาท้ิงไวในกองหยากเยือ่ ) ๕. ผาโสตถยิ ะ ( ผา ทเี่ ขาใชเ ชด็ ครรภม ลทินแลว ท้งิ ) ๖. ผาสนิ านะ ( ผา ทเี่ ขาผลัดอาบนา้ํ มนตแ ลวทิ้ง )
พระสุตตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 331๗. ผา ติตถะ (ผา ทที่ ิง้ อยูตามทานาํ้ )๘. ผา คตปจ จาคตะ (ผาทีใ่ ชหม ศพไปปาชา แลวนาํ กลบั มาท้งิ ไว)๙. ผาอัคคิทัฑฒะ (ผา ถกู ไฟไหมแลวท้ิงไว)๑๐. ผาโคขายติ ะ (ผา ทีโ่ คเคีย้ วแลวเขาทิง้ ไว)๑๑. ผา อุปจิกขายติ ะ (ผาปลวกกดั แลวเขาทิ้งไว)๑๒. ผาอุนธูรขายิตะ (ผา หนูกัดแลวเขาทง้ิ ไว)๑๓. ผา อันตจั ฉินนะ (ผา ขาดรมิ แลวเขาทิง้ ไว )๑๔. ผา ทสัจฉนิ นะ (ผา ขาดชายแลว เขาทงิ้ ไว )๑๕. ผา ธชาหฏะ (ผา ทเี่ ขาชักเปน ธงแลว ทิ้งไว )๑๖. ผา ถูปะ (ผาทเ่ี ขาบูชาจอมปลวกทงิ้ ไว)๑๗. ผาสมณจีวร (ผา ของภิกษุดว ยกนั )๑๘. ผา สามทุ ทิยะ (ผา ทคี่ ล่นื ทะเลซัดข้ึนฝง )๑๙. ผา อภเิ สกกิ ะ (ผา ทเี่ ขาทิ้งไวใ นที่ราชาภเิ ษก)๒๐. ผาปน ถิกะ (ผา ท่ตี กอยตู ามหนทาง ไมปรากฏเจาของ)๒๑. ผาวาตาหฏะ (ผา ท่ลี มหอบเอาไปไมม เี จาของตดิ ตาม)๒๒. ผา อิทธิมยะ (ผา สาํ หรับเอหิภิกษุ)๒๓. ผา เทวทัตติยะ (ผาทเ่ี ทวดาถวาย)กบ็ รรดาผาเหลา น้ี ผาที่ชอ่ื วา โสตถิยะ ไดแกผาสาํ หรับเชด็ครรภม ลทนิ ผา ทช่ี อ่ื วา คตปจจาคตะ ไดแ ก ผา ทเ่ี ขาหม ศพนําไปปาชาแลวนํากลับมา ผา ท่ีช่ือวา ธชาหฏะ ไดแก ผา ทเี่ ขาชักเปน ธง แลวภิกษุนํามาจากท่นี น้ั ผา ทชี่ อ่ื วา ถปู ะ ไดแ ก ผาท่ีเขาบูชาจอมปลวก
พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 332ผาท่ีชอื่ วา สามุททยิ ะ ไดแ ก ผาท่ีถกู คลืน่ ทะเลชดั ขึน้ บก. ผาท่ชี ่ือวาปนถกิ ะ ไดแก ผา ทคี่ นเดินทางใชแ ผน หนิ ทุบแลว หม เพราะกลัวโจร.ผาทีช่ อื่ วา อทิ ธิมยะ ไดแก ผาของเอหิภกิ ขุ. ผา ทีเ่ หลอื ปรากฏชดั แลว . ขอวา จวี รสนโฺ ตโส ไดแก ความสนั โดษในจีวร ๒๐. ก็ในจีวรสนั โดษ ๒๐ คอื สันโดษในการตรกึ สันโดษในการไป สันโดษในการแสวงหา สันโดษในการได สนั โดษในการรบั แตพ อประมาณ สนั โดษในการเวน จากความอยากได สนั โดษตามแตไ ด สนั โดษตามกําลัง สนั โดษตามความสมควร สันโดษในน้ํา (ซัก ) สนั โดษในการซกั สันโดษในการทํา สันโดษในปรมิ าณ สนั โดษในดาย สนั โดษในการเย็บ สนั โดษในการยอ ม สนั โดษในการทํากปั ปะ สนั โดษในการใชสอย สนั โดษในการเวน จากการสะสม สนั โดษในการสละ. บรรดาสนั โดษเหลานั้น ภิกษุผยู นิ ดีอยูจําพรรษาประจาํ ครบไตรมาส จะตรกึ เพียงเดือนเดยี ว ก็ควร.ก็ภกิ ษุน้ันปวารณาแลว ยอมทาํ จีวรในเดือนที่ทาํ จีวร. ภกิ ษผุ ทู รงผา บงั สกุ ุลยอมทําโดยครงึ่ เดอื นเทา นั้น. การตรึกเพียงหนึง่ เดอื นหรอื ครงึ่ เดือน ชอ่ื วาสนั โดษในการตรึก ดวยประการฉะน้.ี ก็ภิกษผุ ูสนั โดษดว ยการสันโดษในการตรกึ พึงเปนผูเ ชน กบั พระบังสกุ ลู เถระ ผจู าํ พรรษาอยใู นปาจีน-ขณั ฑราชวี หิ ารเถดิ . มีเรื่องเลา มาวา พระเถระมาดว ยความหวังวา จักไหวพ ระเจดียในเจติยบรรพตวิหาร คร้นั ไหวพ ระเจดียแ ลว ก็คดิ วา จีวรของเราเกา แลวเราจักไดในทอ่ี ยขู องภกิ ษมุ าก. ทานจงึ ไปยงั มหาวหิ าร พบพระสงั ฆเถระแลวถามถงึ ท่อี ยู แลวก็อยใู นทนี่ น้ั วันรงุ ข้ึน จึงถอื เอาจีวรมาไหวพระ
พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 333เถระ. พระเถระถามวา อะไรคณุ . ก็ตอบวา ทา นขอรับ ผมจกั ไปประตบู าน. พระเถระจงึ กลาววา คณุ แมผมจกั ไป จึงกลา ววา ดแี ลวขอรับ พลางไปยืนทีซ่ มุ ประตูดานตนมหาโพธิ์ คิดวา เราจักไดจีวรท่นี าพอใจ ในทีอ่ ยูของตนผมู ีบญุ แลว จึงกลบั คิดไดว า การตรึกของเราไมบรสิ ุทธ์ิ กลับจากทน่ี ้นั ทันที รุงขนึ้ จงึ ไปยังทใี่ กลเ นินมะมว ง รงุ ข้นึ ก็กลบั จากตระตดู า นทิศเหนอื ของมหาเจดยี เหมือนอยางนนั้ แมใ นวนั ท่ีกไ็ ดไปยังสํานกั ของพระเถระ. พระเถระรวู า ภกิ ษนุ ้ีจกั มคี วามตรกึ ไมบรสิ ุทธิ์ จงึ ถอื เอาจีวร ถามปญหาพลางเขา บานไปกับเธอทเี ดียว. ก็ในคืนนนั้ มนษุ ยคนหนึง่ ถกู อจุ จาระเบียดเบียนเอา จงึ ถายอุจจาระลงในผาสาฎกนนั้ ทิง้ ผา สาฎกน้ันไวในกองขยะ. พระบงั สกุ ูลกิ เถระเห็นผาสาฎกนน้ัมีแมลงวันหัวเขียวรมุ ตอมอยู จึงประคองอญั ชล.ี พระมหาเถระจึงถามวาทาํ ไมคุณจงึ ไดประคองอัญชลีตอกองอยากเยอื่ เลา. ก็ตอบวา ทา นขอรับผมมไิ ดประคองอญั ชลีตอ กองหยากเยื่อดอก ผมประคองอัญชลตี อ พระทศพลพระบดิ าของผมตางหาก ทา นขอรบั การทีภ่ ิกษถุ อื เอาผาบังสกุ ุลท่ีเขาหมซากของนางปณุ ณทาสแี ลวทิง้ ไว ไลต ัวสตั วเล็ก ๆ ประมาณทะนานหน่งึ ออกมาจากปาชา ทําไดย าก. พระมหาเถระ คิดวา การตรกึ ของภิกษผุ ูทรงผา บังสกุ ุลหมดจดแลว . แมพ ระเถระผูทรงผาบงั สกุ ุลยืนอยใู นท่ีน้ันนัน่ เอง เจริญวิปส สนาบรรลุผล ๓ ถือเอาผาสาฎกผืนน้ันทําเปนจวี รหมไปยังปาจีนขณั ฑราชวี หิ าร บรรลุพระอรหัตซึง่ เปนผลชั้นเลศิ . ก็การที่ภิกษเุ มอ่ื ไปเพอ่ื ตองการจวี ร ไมต อ งคิดวา จักไดท ีไ่ หน แลวไปโดยมุงกรรมฐานเปนใหญ ทเี ดียว ชอื่ วา สนั โดษในการไป. กก็ ารทีภ่ ิกษเุ มอื่แสวงหา อยาแสวงหากับใครสง ๆ ไป พาเอาภกิ ษผุ เู ปนลชั ชมี ศี ีลเปน ทร่ี กั
พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 334ไปแสวงหา ชอ่ื วา สนั โดษในการแสวงหา. การทภ่ี กิ ษเุ มอ่ื แสวงหาไปอยางนี้ เห็นคนนําจวี รมาแตไ กล อยา ตรกึ อยางนวี้ า จวี รนั่นจกั เปน ของนา พอใจ จีวรนน่ั ไมเปน ของนาพอใจ ดงั นี้แลว ยินดีดวยบรรดาจวี รเนื้อหยาบหรือเน้อื ละเอียด เปน ตนตามแตจ ะได ชือ่ วา สันโดษในการได.การท่ีภกิ ษแุ มร ับเอาจีวรทไี่ ดแ ลว อยา งน้ี ยนิ ดโี ดยประมาณท่เี พียงพอแกต นเทานน้ั วา ผาเทานจี้ กั มเี พอื่ จวี ร ๒ ชน้ั ผา เทา นจ้ี กั มเี พอ่ื จวี รชั้นเดยี วชือ่ วา สันโดษในการรบั แตพอประมาณ. ก็การท่ภี กิ ษุเมือ่ แสวงหาจวี รไมตองคดิ วา เราจักไดจวี รทนี่ าพอใจที่ประตเู รอื นของคนโนน ดงั นี้แลวเท่ียวไปตามลาํ ดับประตู ชื่อวา สนั โดษในการเวนจากความอยากได. การท่ีภิกษุเมือ่ สามารถจะยงั อตั ตภาพใหเ ปนไปดวยบรรดาจวี รทเ่ี ศรา หมองหรือประณตี อยา งใดอยา งหนึ่ง ยงั อตั ตภาพใหเ ปนไปดวยจีวรตามท่ไี ดนน่ั แหละชอื่ วา สันโดษตามได. การทีภ่ ิกษรุ ูถ งึ กําลังของตนแลว สามารถจะยงัอัตตภาพใหเ ปนไปดวยจีวรชนดิ ใด ยังอตั ตภาพใหเ ปนไปดว ยจีวรนั้น ชอ่ื วาสันโดษตามกาํ ลัง. การทภี่ ิกษุใหจ วี รทน่ี า ชอบใจแกภ ิกษุอ่ืน ตนเองยังอัตตภาพใหเปนไปดว ยจีวรอยางใดอยา งหนงึ่ ชอื่ วา สันโดษตามความเหมาะสม. ภิกษุภกิ ษไุ มเลอื กวา นาํ ทไี่ หนนา พอใจ ท่ีไหนไมน าพอใจดงั นแี้ ลว ซักดวยน้าํ ท่ีพอจะชกั ไดบ างอยาง ช่ือวา สนั โดษในน้าํ . ก็การท่ีภกิ ษุจะเวนนา้ํ ทีข่ นุ ไปดว ยดนิ สเี หลือง ดนิ สอพอง และในหญา เนา เสยีกค็ วร. ก็การท่ีภกิ ษเุ มือ่ ซกั ไมใชไมค อนเปน ตน ทบุ ใชม ือขยําซกั ช่ือวาสันโดษในการซกั . การที่ภิกษุใสใบไมลงไปแลวซักจวี รท่ไี มส ะอาดอยางน้ันแมด วยนํา้ รอ นกค็ วร. การที่ภิกษเุ มอื่ ซักทําไปอยางนี้ ไมใหใ จกาํ เรบิ วาผาผืนน้ีเน้อื หยาบ ผา ผนื น้เี น้ือละเอยี ด ทําไปโดยทํานองทีเ่ พยี งพอน่นั
พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 335แหละ ชื่อวา สนั โดษในการกระทํา. ๆ การทาํ จวี รที่เพยี งพอจะปด มณฑล ๓ไดน นั่ แหละ ช่อื วา สันโดษในปริมาณ. กเ็ พือ่ จะทําจวี ร การทีภ่ ิกษไุ มกะเกณฑล งไปวา เราจกั แสวงหาดายทีถ่ ูกใจดังน้ี แลว นําดา ยในสถานที่มตี รอกเปน ตน หรอื ในเทวสถานมา หรือถือเอาดายอยางใดอยางหนง่ึน่นั แหละท่ีเขาวางไวใ กลเ ทา มากระทํา ชื่อวา สันโดษในเสน ดาย. กใ็ นเวลาเย็บกสุ พิ ึงสอยได ๗ คร้ัง หา งกนั ประมาณ ๑ องคุลี. ก็เมื่อภิกษุทําอยางน้ี ภกิ ษุรูปใดไมม สี หาย แมวัตตเภทกไ็ มม ีแกภ ิกษนุ ัน้ . แตพงึ สอย๗ คร้ัง ประมาณ ๓ องคุลี. ภกิ ษผุ กู ระทําอยา งนี้ พึงมสี หายผเู ดินทางดว ยกนั เถิด. ภกิ ษุใดไมมีสหาย เปนวตั ตเภทแกภกิ ษนุ ้ัน. นี้ชอ่ื วา ความสันโดษในการเย็บ. ก็ภิกษุเมอ่ื ยอ มไมพ งึ เทีย่ วแสวงหาไทรดําเปนตนไดส ิง่ ใด บรรดาเปลือกไมสีดาํ เปนตน พงึ ยอมดว ยเปลือกไมนั้น . เม่ือไมได พึงถอื เอานาํ้ ยอมทพี่ วกมนษุ ย ถือเอาปอในปาแลว ทิ้งไว หรือกากท่ีพวกภิกษุตมแลว ทง้ิ ไว ยอ มเถิด. น้ีช่ือวา ความสนั โดษในการยอม. การท่ีภกิ ษถุ ือเอาบรรดาสเี ขยี ว เปลอื กตม สดี าํ และสีความอยางใดอยา งหนึง่ทาํ กปั ปะขนาดเทาคนนัง่ บนหลังขา งมองเหน็ ช่อื วา สันโดษในการทํากปั ปะ. การใชสอยเพยี งเพอ่ื ปกปดอวัยวะ ทีจ่ ะทาํ ใหความอายกําเริบชอื่ วา สนั โดษในการบรโิ ภค. ก็ภิกษไุ ดทอ นผาแลว แตย ังไมไดดา ย เขม็หรือ ผู (ชวย) ทาํ จะเกบ็ ไวก ค็ วร. เมอื่ ไดแ ลว จะเก็บไวไมค วร. ถา ประสงคจะใหจ วี รที่ทําเสร็จแลว แกพวกอนั เตวาสิกเปนตน แตพวกอันเตวาสกิ นั้นไมอยู ควรจะเก็บไวจ นกวาพวกเขาจะมา พอเม่ือพวกอนั เตวาสกิ มาถึงพงึ ใหเ ถดิ เมอ่ื ไมส ามารถจะใหไ ด กพ็ งึ อธิษฐานไว เม่อื มีจีวรอืน่ จะ
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 336อธษิ ฐานเปนผา ปพู ้ืนก็ควร ก็จีวรท่ไี มไ ดอ ธิษฐานเทา น้ัน จึงเปน สันนิธิจีวรทีอ่ ธษิ ฐานแลว หาเปน สันนธิ ิไม พระมหาสวิ เถระกลาวไวดังน.ี้ นชี้ อ่ื วาสนั โดษในการเวนจากการสะสม. ภกิ ษุเมือ่ สละ ไมพึงใหโดยเห็นแกห นา .พึงต้งั อยใู นสาราณียธรรมแลว สละเถดิ . นี้ช่ือวาสันโดษในการสละ. ปง สกุ ลู ิกังคธุดงค และเตจีวรกิ ังคธุดงค ชื่อวา ธุดงคท่ีเก่ียวเนือ่ งดว ยจวี ร. กถาอยางพสิ ดารของธุดงคท ัง้ ๒ นัน้ พึงทราบจากคัมภรี วิสุทธิมรรค. ภิกษุผบู ําเพญ็ มหาอรยิ วงศข อวา การสนั โดษดว ยจวี ร ยอ มรกั ษาธดุ งค ๒ ขอ นไี้ วไ ด ดว ยประการฉะน.้ี ภกิ ษเุ มอื่ รักษาธุดงค๒ ขอ น้ไี ด ยอมเปน ผชู อ่ื วา สันโดษดว ยตามมหาอรยิ วงศขอวา การสันโดษดวยจีวร. บทวา วณณฺ วาที พึงทราบอธบิ ายดงั ตอ ไปนี.้ ภกิ ษุรูปหนึง่ เปนผูส นั โดษ จรงิ ๆ แตห ากลา วพรรณนาถงึ ความสันโดษไม. อกี รูปหนึ่ง ไมเปนผูสันโดษ แตกลบั กลาวพรรณนาถงึ ความสนั โดษ. อีกรูปหนงึ่ ทง้ั ไมสนั โดษ ท้งั ไมก ลา วพรรณนาถึงความสนั โดษ. อกี รปู หนง่ึ ท้งั เปน ผสู ันโดษทงั้ กลาวพรรณนาถงึ ความสันโดษ. เพ่ือแสดงเหตผุ ลขอนนั้ ทานจงึ กลาวคําวา เปนผมู ีปกตกิ ลา วพรรณนาถงึ ความสนั โดษในจวี รตามมีตามได. บทวาอเนสน ความวา การแสวงหาอนั ไมสมควร อนั ตา งดว ยการสง ขาวสาสนการเดินทาง และการตามประกอบในกรรมท้ัง ๒ นน้ั ซ่งึ เปนการงานของทตู . บทวา อปปฺ ฏิรปู ความวา ไมค วร. บทวา อลทธา จ แปลวาไมไ ด. ภกิ ษผุ สู ันโดษ ถึงไมไ ดจีวร กห็ าเดือดรอ นเหมือนภิกษุบางรปู คดิ วาเราจกั ไดจ ีวรอยางไรหนอแลว เขา พวกกับภกิ ษผุ มู บี ุญ ทาํ การหลอกลวง
พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 337ยอ มสะดุง ยอมเดอื ดรอนฉนั นน้ั ไม. บทวา ลทฺธา จ ความวา ไดโ ดยชอบธรรม. บทวา อคธิโต ความวา ผูไ มถ กู ความโลภผกู มัดไว. บทวาอมจุ ฉฺ ิโต ความวา ไมถ ึงความสยบ เพราะความอยากจดั . บทวาอนชฺฌาปนโฺ น ความวา ไมถ กู ตณั หาทว มทับ คอื มดั ไว. บทวาอาทีนวทสสฺ าวี ความวา เหน็ โทษในอาบัตทิ ่ีตอ งเพราะการแสวงหาอนัไมส มควร และในการบรโิ ภคลาภ ท่ีถูกความอยากผกู มัดไว บทวา นิสฺ-สรณปโฺ ความวาผรู ถู งึ การสลัดออกทท่ี านกลา วไวว า เพยี งเพ่อื บําบดัความหนาวเปนตน . บทวา อิตรีตรจวี รสนตฺ ุฏ ิยา ความวา ดวยการสันโดษดว ยจวี ร อยางใดอยางหนง่ึ . บทวา เนวตฺตานกุ กฺ เสติ ความวาไมทําการยกตนขึ้นวา เราเปนผทู รงผาบงั สุกลุ เราสมาทาน ปงสุกูลิกงั ค-ธดุ งค ต้งั แตอยูในโรงอุปสมบททีเดียว จะมีใครเหมือนเรา ดงั น้ี. สองบทวา น ปร วมเฺ ภติ ความวา ไมข มผอู ื่นอยางนีว้ า ก็ภกิ ษพุ วกอื่นนี้ หาเปน ผูทรงผาบังสุกุลไม หรอื วา ภิกษุพวกนห้ี ามีแมแ ตเ พียงปงสุกูลิกังคธดุ งคไมด งั น.้ี หลายบทวา โย หิ ตตฺถ ทกฺโข ความวา ผใู ดเปน ผขู ยัน ฉลาดเฉียบแหลม ในการสันโดษดว ยจีวรน้ัน หรือในคณุ มคี วามเปนผูก ลาวพรรณนาเปน ตน . บทวา อนลโส ความวา เวน จากความเกียจคราน โดยการทําติดตอ. สองบทวา สมฺปชาโน ปฏสิ สฺ โต ความวา ประกอบดวยปญ ญาในการรูต ัว และดว ยการระลกึ ได. สองบทวา อริยว เส โิ ตความวา ดํารงอยูในอริยวงศ. ขอวา อติ รติ เรน ปณ ฑฺ ปาเตน ความวา ดว ยบณิ ฑบาตอยา งใดอยางหนง่ึ . แมในขอ น้ี บัณฑิตกพ็ ึงทราบ บณิ ฑบาต เขตในการเท่ยี วบณิ ฑบาต ความสันโดษในบณิ ฑบาต ธดุ งคท่เี ก่ยี วเนือ่ งดวยบิณฑบาต.
พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 338 บรรดา ๔ ขอนน้ั ขอวา บณิ ฑบาต ๑๖ อยาง คอื ขาวสุก ขนมกุมมาส ขา วตู ปลา เนือ้ น้ํานม เนยสม เนยใส เนยขน นํ้ามันนํา้ ผ้งึ น้ําออย ขา วตม ของควรเคย้ี ว ของควรลิม้ ของควรเลยี (ชิม). ขอวา ปณ ฺฑปาตกเฺ ขตตฺ ความวา เขตแหงการเที่ยวบิณฑบาต มี๑๕ คือ ภัตท่ีเขาถวายพระสงฆ ภตั ทีเ่ ขาถวายเจาะจง ภัตที่ไดในทีน่ ิมนตภัตท่ีเขาถวายพรอ มกับสลาก ภตั ทเ่ี ขาถวายประจําปกษ ภตั ท่ีเขาถวายในวันอโุ บสถ ภตั ท่เี ขาถวายในวนั ปาฏิบท (คอื วันขึน้ หรอื แรมค่ําหน่ึง)ภตั ทเ่ี ขาถวายแกภ กิ ษผุ ูจ รมา ภัตที่เขาถวายแกภกิ ษุผูเ ตรยี มจะไป ภัตท่เี ขาถวายแกภิกษไุ ข ภัตทเ่ี ขาถวายแกภ ิกษุผูอุปฏฐากภิกษไุ ข ภัตท่เี ขาถวายในวิหารใกล ภตั ทเ่ี ขาถวายแกภ กิ ษุผเู ฝากุฏิ ภัตท่ีเขาถวายประจําวนั ภัตที่เขาถวายแกภิกษุผเู ฝาวิหาร. ขอวา ปณฑฺ ปาตสนโฺ ตโส ความวา สนั โดษมี ๑๕ คอื สนั โดษในการตรึกในบณิ ฑบาต สันโดษในการไป สนั โดษในการแสวงหา สนั โดษในการไดเฉพาะ. สนั โดษในการรบั สนั โดษในการรบั แตพอประมาณสนั โดษในการเวน จากความอยากได สันโดษตามได สนั โดษตามกําลงัสนั โดษตามสมควร สนั โดษในการบาํ รุง สันโดษในการกาํ หนด สนั โดษในการบริโภค สนั โดษในการเวน จากการสะสม สนั โดษในการสละบรรดาสนั โดษเหลานน้ั ภิกษผุ ยู ืนดีลา งหนาแลว ยอ มตรกึ . ก็ภกิ ษผุ ูเทีย่ วไปกบั คณะ. ภิกษุผูเทยี่ วบณิ ฑบาตเปน วัตร ในเวลาอปุ ฏ ฐากพระเถระในเวลาเยน็ ถูกถามวา พรุง น้พี วกเราจักเท่ยี วบณิ ฑบาตท่ีไหน ตอบวาในบานชือ่ โนน ขอรบั คดิ เพียงเทานี้ จากน้ันไป ก็ไมพ ึงตรึก (อกี ). ภกิ ษผุ ูเทีย่ วไปรูปเดยี ว พงึ ยนื ตรึกในโรงสาํ หรบั ตรึกเถิด. ภกิ ษผุ ตู รึกเกนิ กวาน้นั
พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 339ยอมเปน ผูเ คล่อื น เหินหางจากอรยิ วงศ. ขอท่ีวา มาน้ี ชื่อวาสันโดษในการตรกึ . ก็ภกิ ษผุ จู ะเขา ไปบณิ ฑบาต ไมต อ คดิ วา จักไดท ่ไี หน พึงไปโดยมีกรรมฐานเปน ใหญเ ถดิ . ขอนีช้ อื่ วา สนั โดษในการไป. ภิกษุผูแสวงหาไมตองกาํ หนดวาเปนอะไร พงึ พาเอาภกิ ษุผูเปน ลชั ชี มีศลี เปนทรี่ กั เทา น้ันไปแสวงหาเถดิ . ขอน้ี ชื่อวา สนั โดษในการแสวงหา. ภกิ ษเุ ห็นคนนาํอาหารมาแตไ กล ไมพ ึงใหเ กิดความคดิ ข้ึนวา ของนนั้ นา พอใจ ของน้ันไมนา พอใจ ดงั น.้ี น้ีชอื่ วา สันโดษในการไดเฉพาะ. ภกิ ษุไมพ ึงคิดวาของน้ีนาชอบใจ เราจักรบั ของนี้ไมน า ชอบใจ เราจะไมร บั ดังนแ้ี ลวรับเอาแตเ พยี งอาหารพอยงั อัตต ภาพอยา งใดอยา งหนง่ึ เทา นั้นเถิด. นช้ี ่ือวาสนั โดษในการรบั . ก็ในสนั โดษขอน้ี ไทยธรรมมีมาก แตท ายกตอ งการจะถวายแตน อยพึงรบั เอาแตนอ ย แมไ ทยธรรมกม็ ีมาก ถงึ ทายกก็ตองการจะถวายมาก พึงรับเอาแตพ อประมาณเทานัน้ ไทยธรรมมไี มมาก ถงึ ทายกกต็ องการจะถวายไมมาก พึงรบั เอาแตนอ ย ไทยธรรมมไี มม าก แตทายกตองการจะถวายมาก ก็พึงรับเอาแตพอประมาณเทา น้นั . กภ็ กิ ษผุ ไู มร ูจกัประมาณในการรับยอ มทําความเลอ่ื มใสของพวกมนษุ ยใหแปดเปอ น ทาํศรทั ธาไทยใหตกไป ไมก ระทาํ คาํ สอน ไมสามารถจะยึดจติ แมข องมารดาผูบังเกิดเกลาได. ภิกษุพงึ รูจกั ประมาณเสียกอ นแลวจงึ รับ ดว ยประการฉะน้ีแล น้ีช่อื วา สนั โดษในการรบั แตพอประมาณ. ภิกษุไมไ ปยงั ตระกูลที่มงั่ คัง่ เทาน้นั พึงไปตามลาํ ดับประตูเถิด. นี้ชื่อวา สนั โดษในการเวนจากการอยากได. ยถาลาภสนั โดษเปนตน มีนยั ดงั กลาวแลวในจวี รนน่ั แหละ.การท่ภี ิกษุรอู ปุ การอยา งน้วี า เราจกั ฉันบิณฑบาตแลว รักษาสมณธรรมดงั นี้แลว ฉนั ชื่อวา อปุ การสนั โดษ. ภิกษุไมพ งึ รบั บณิ ฑบาตที่เขาบรรจุเตม็ บาตรแลว นาํ มา (ถวาย ) เม่ือมีอนปุ สมั บัน (ลกู ศิษย) พงึ ใหอ นปุ สัมบนั น้ัน
พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 340นาํ มา เมื่อไมมี ก็พึงใหเ ขานํามาแลว รับเทาท่พี อรบั ได. นช้ี อ่ื วา สนั โดษในการกาํ หนด. การทภ่ี ิกษฉุ ันโดยมนสกิ ารอยางน้ีวา การฉนั นบี้ รรเทาความหิวได การออกไปจากภพจะมไี ดในเพราะการฉนั นี้ ชือ่ วา สนั โดษในการบรโิ ภค. ภกิ ษไุ มพ ึงเกบ็ สะสมไวฉัน. นช้ี อื่ วา สนั โดษในการเวนจากการสะสม. ภิกษุไมพึงเหน็ แกห นา ตัง้ อยใู นสาราณิยธรรมแลว พึงสละเถิด. น้ีชอื่ วา สันโดษในการสละ. ก็ธุดงค ๕ ขอคอื ปณ ฑปาตกิ ังคะ สปทานจารกิ ังคะ เอกาสนิกงั คะปต ตปณฑกิ ังคะ ขลปุ จ ฉาภตั ติกงั คะ เกีย่ วเนอ่ื งกับบณิ ฑบาต. กถาอยา งพิสดารของธุดงคท ้งั ๕ ขอน้นั ทา นกลาวไวแ ลวในวสิ ุทธิมรรค. ภกิ ษุผูบําเพญ็ มหาอริยวงศ ขอ วา การสนั โดษในบณิ ฑบาต ยอมรักษาธุดงค๕ ขอนีไ้ วได ดว ยประการฉะน้ี. ภิกษเุ มื่อรกั ษาธุดงค ๕ ขอนไ้ี ด ยอ มเปน ผูสนั โดษตามมหาอริยวงศ ขอ วา การสนั โดษดวยบณิ ฑบาต. บทวาวณฺ ณวาที เปนตน พึงทราบตามนยั ทก่ี ลาวแลว น่ันแหละ. ในบทวา เสนาสเนน น้ี บณั ฑิตพงึ ทราบ เสนาสนะ. เขตแหงเสนาสนะ ความสนั โดษในเสนาสนะ ธดุ งคที่เกี่ยวกบั เสนาสนะ. บรรดา ๔ ขอ นั้น ขอวา เสนาสน ความวา เสนาสนะ มี ๑๕ ชนดิน้ี คอื เตียง ตงั่ ฟกู หมอน วหิ าร เพิง ปราสาท ปราสาทโลน ถาํ้ ทเี่ รนปอม เรอื นยอดเดยี ว พุม ไมไ ผ โคนตน ไม กห็ รือวา ท่ีทส่ี มควรแกภกิ ษ.ุ ขอ วา เขตของเสนาสนะ ความวา เขตมี ๖ คอื จากสงฆ จากคณะจากญาติ จากมิตร จากทรัพยของตน หรือเขตท่เี ปนของบังสุกลุ . ขอวา สนั โดษในเสนาสนะ ความวา ในเสนาสนะ มสี ันโดษ๑๕ อยา ง มสี นั โดษในการตรึกเปน ตน. สันโดษเหลา น้นั พึงทราบตาม
พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 341นยั ท่กี ลาวแลว ในบิณฑบาตนนั่ แหละ. กธ็ ดุ งค ๕ ขอคือ อารญั ญกิ ังคะ รุกขมูลิกงั คะ อัพโภกาสกิ งั คะโสสานิกังคะ ยถาสนั ถตกิ ังคะ เกยี่ วเนื่องดวยเสนาสนะ กถาอยางพสิ ดารของธุดงคเหลา น้นั ทานกลา วไวแ ลวในวิสทุ ธมิ รรค. ภิกษุผูบําเพญ็ มหาอริยวงศขอ วา การสนั โดษในเสนาสนะ ยอมชอื่ วา รักษาธดุ งค ๕ ขอ น้ีดวยประการฉะน้ี. เมอ่ื รักษาธุดงค ๕ ขอนไี้ ด จัดวา เปนผูส นั โดษตามมหาอรยิ วงศขอ วา การสันโดษในเสนาสนะ ก็คลิ านปจ จัย รวมเขา ในบิณฑบาตน่ันแหละ. ในคิลานปจ จัยนนั้ภกิ ษพุ งึ เปนผสู ันโดษดว ยการสันโดษตามได สันโดษตามกําลัง และสันโดษตามสมควรทเี ดียว. ภิกษุ ( เม่ือสมาทาน ) เนสชั ชิกังคธุดงค ช่อื วา ยอ มคบอริยวงคขอวา การยินดีในภาวนา. สมจรงิ ดังคําท่ีทานกลาวไววา ในเสนาสนะทา นกลาวธุดงคไ ว ๕ ขอ ธดุ งค ๕ ขอ อาศยั อาหาร ขอหน่ึงเกยี่ วเน่อื งดับความเพยี ร และ อีก ๒ ขอ อาศัยจวี ร. ทา นพระธรรมเสนาบดีสารีบตุ รเถระ กลาวอรยิ วงศข อ วา การสนั โดษในจีวรขอที่หน่ึงเปนเหมือนกบั จะแบง ขยายมหาปฐวี เปนเหมอื นกับจะยงั ทองนาํ้ ใหเตม็ และเปนเหมือนกบั จะขยายอากาศใหก วางขวางกลา วอรยิ วงศขอ วา การสนั โดษในบณิ ฑบาต ขอ ที่ ๒ เปนเหมอื นกบั จะยังพระจันทรใหต ้ังข้นึ และเปนเหมอื นกบั จะยังพระอาทติ ยใหโลดขึ้นมากลา วอรยิ วงศ ขอ วา การสันโดษในเสนาสนะขอท่ี ๓ เปนเหมอื นกับจะ
พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 342ยกเขาสเิ นรขุ ึ้น บัดนเี้ พื่อจะกลาวอริยวงศ ขอ วา ความยนิ ดีในภาวนาขอที่ ๔ ซึ่งประดบั ไปดว ยนัยหนึง่ พนั จงึ เรมิ่ เทศนาวา ทา นผมู ีอายุ ก็ขออน่ื ยังมีอยูอีก ภกิ ษุยอมเปน ผยู ินดใี นการละ ดังน.้ี ในขอ นน้ั ความยนิ ดี ชือ่ วา อาราโม อธิบายวา ความยนิ ดีย่งิ .ภิกษชุ ่อื วา ยินดใี นการละ เพราะอรรถวา มีความยินดใี นการละ ๕ อยา ง.ภิกษชุ อื่ วา ยินดแี ลว ในการละเพราะอรรถวา ยนิ ดีแลว ในการละอยา งน้วี าเมอื่ ละความพอใจในกามได ยอมยนิ ดี เมือ่ เจริญเนกขัมมะยอมยนิ ดี เมอ่ืละพยาบาทใหยอ มยนิ ดี ฯ ล ฯ เม่อื ละกิเลสท้ังหมดไดย อมยนิ ดี เม่อื เจรญิอรหตั ตมรรค ยอมยินด.ี ภิกษุชอื่ วา ยินดีในภาวนา เพราะอรรถวามีความยินดีในภาวนา ตามนยั ท่กี ลาวนั่นแล. ช่อื วายินดีแลวในภาวนาเพราะอรรถวา เปน ผยู นิ ดีแลวในภาวนา. ก็บรรดาอรยิ วงศ ๔ ขอ เหลา นี้ดวยอรยิ วงศขางตน ๓ ขอแรก เปน อนั ทา นกลาวถึงวนิ ยั ปฎกทงั้ สน้ิ ดวยอาํ นาจแหงธุดงค ๑๓ ขอ และการสันโดษในปจจัย ๔. ดว ยอริยวงศขอวาการยินดีในภาวนา เปนอนั ทา นกลา วถงึ ปฏก ๒ ขอท่ีเหลอื . ก็ภิกษเุ มอื่กลา วอริยวงศขอวา ความยินดีในภาวนาน้ี พึงกลา วตามบาลแี หง เนกขัมมะในปฏสิ มั ภทิ ามรรค พึงกลา วโดยบรรยายแหง ทสุตตรสตู รในทฆี นกิ าย พึงกลาวโดยบรรยายแหง สตปิ ฏฐานสตู ร ในมัชฌมิ นิกาย ( และ ) พงึ กลาวโดยบรรยายแหงนิเทสในอภิธรรมเถิด. ใน ๔ ขอ นน้ั ขอวา ปฏสิ ัมฺภิทามคเฺ ค เนกขฺ มฺมปาลิยา ความวาภิกษพุ ึงกลา ว ตามบาลีแหง เนกขมั มะ ในปฏิสมั ภิทามรรคอยางนี้วา ภิกษุนนั้ เมื่อเจริญเนกขัมมะ ยอมยนิ ดี เมือ่ ละกามฉันทะได ยอ มยินดี เม่อื
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 476
Pages: