เรื่อง ภูมิประเทศภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คาชีแ้ จง ใหนักศึกษาตอบคาํ ถามในประเดน็ ตอไปน้ี 1. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีทัง้ หมดกจ่ี งั หวดั อะไรบาง 2. ภเู ขาและแมน า้ํ ท่สี าํ คัญในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือไดแกอะไรบาง 3. ลักษณะภมู ิประเทศในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือมอี ิทธิพลตอการดาํ รงชวี ิตของประชากรอยางไร 4. ใหนักเรียนยกตัวอยางการประยุกตแใชองคแความรู เร่ือง ลักษณะภูมิประเทศภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในการดาํ เนนิ ชีวิต
เรอ่ื ง ภมู ปิ ระเทศภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คาช้ีแจง ใหน กั ศึกษาตอบคําถามในประเดน็ ตอไปน้ี 1. ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือมีท้ังหมดกีจ่ ังหวัด อะไรบา ง ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ประกอบด้วย 19 จงั หวัด ไดแ้ ก่ จงั หวดั เลย หนองบัวลาภู อุดรธานี หนองคาย สกลนคร นครพนม มุกดาหาร กาฬสนิ ธ์ุ ขอนแก่น ชยั ภูมิ มหาสารคาม ร้อยเอด็ ยโสธร อานาจเจรญิ อบุ ลราชธานี ศรีสะเกษ สรุ นิ ทร์ บรุ รี มั ย์ และนครราชสีมา 2. ภเู ขาและแมนา้ํ ที่สําคัญในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือไดแกอะไรบาง ภูเขาทส่ี าคญั ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไดแ้ ก่ ทวิ เขาพนมดงเร็ก ภูพาน เพชรบรู ณ์ ดงพญาเย็น ส่วนแม่น้าทส่ี าคัญ ได้แก่ แม่น้าโขง ชี มลู 3. ลักษณะภูมิประเทศในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือมอี ิทธพิ ลตอการดาํ รงชีวิตของประชากรอยางไร ภูมิประเทศหลักของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นท่ีราบสูง ที่มีโครงสร้างของดินร่วนปนทราย ทาให้ถึงแม้จะมีปริมาณ น้าฝนต่อปีมาก แต่เพาะปลูกไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร อย่างไรก็ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักของประชากรในภาคนี้ คือ การเกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าวบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ พืชอื่นๆ เช่น ข้าวโพด มันสาปะหลัง และการประมงตามแหล่งน้า ธรรมชาตติ า่ งๆ และเน่ืองจากการประกอบอาชีพไม่ได้ผลดีเท่าท่ีควร ประชากรภาคน้ีจึงมักอพยพไปหางานทาตามเมืองใหญ่ ต่างๆ 4. ใหนักเรียนยกตัวอยางการประยุกตแใชองคแความรู เรื่อง ลักษณะภูมิประเทศภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในการดําเนิน ชวี ติ การแก้ปญั หาดา้ นเกษตรกรรมโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ทางการเกษตร เช่น การชลประทาน การบารุงดิน การเลือกพืช พันธุ์ใหม่มาทดลองเพาะปลูก เช่น ยางพารา เงาะ ในปัจจุบัน เป็นแบบอย่างของการปรับแก้ปัญหาธรรมชาติ โดยคานึงถึง สาเหตเุ ปน็ หลัก ประกอบกบั การคดิ นอกกรอบ สามารถนามาประยกุ ต์ใช้ในการอนรุ ักษธ์ รรมชาติในท้องถนิ่ ของตนได้
เรื่อง ภูมิประเทศภาคใต้ คาชแี้ จง ใหนักศึกษาตอบคําถามในประเดน็ ตอไปน้ี 1. ภาคใตมีทง้ั หมดกจ่ี ังหวัด อะไรบาง 2. ภเู ขาและแมน า้ํ ท่ีสาํ คัญในภาคใตไดแกอะไรบา ง 3. ลกั ษณะภูมิประเทศในภาคใตมีอทิ ธิพลตอ การดํารงชวี ติ ของประชากรอยางไร 4. ใหนักเรียนยกตัว อยางการประยุกตแใชองคแความรู เร่ือง ลักษณะภู มิประเทศภาคใต ในการดําเนิน ชีวติ
เร่ือง ภูมปิ ระเทศภาคใต้ คาช้ีแจง ใหน ักศกึ ษาตอบคาํ ถามในประเดน็ ตอไปน้ี 1. ภาคใตมีท้ังหมดก่ีจังหวัด อะไรบา ง ภาคใต้ประกอบด้วย 14 จงั หวดั ได้แก่ จังหวดั ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรธี รรมราช พัทลงุ สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พงั งา ภเู ก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล 2. ภเู ขาและแมนํ้าท่สี าํ คัญในภาคใตไ ดแกอะไรบา ง ภูเขาทีส่ าคัญในภาคใต้ ได้แก่ ทวิ เขาตะนาวศรี ภูเกต็ นครศรีธรรมราช สันกาลาครี ี ท่เี ป็นต้นนา้ ของแม่นา้ สายส้นั ๆ ได้แก่ แมน่ ้าตาปี ปตั ตานี โก-ลก 3. ลกั ษณะภูมิประเทศในภาคใตมอี ิทธิพลตอ การดาํ รงชีวติ ของประชากรอยางไร ภาคใตม้ ีพน้ื ท่ีท่เี หมาะสมตอ่ การตงั้ ถ่ินฐานค่อนขา้ งน้อยเมื่อเปรยี บเทียบกับภาคอื่นๆ เน่ืองจากภูมิประเทศเป็นคาบสมุทร ที่มที ิวเขาเป็นแกนกลาง ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่บริเวณชายฝ่ังอ่าวไทยท่ีมีท่ีราบกว้าง ในขณะที่ชายฝ่ังทะเลอันดามันมีที่ ราบแคบ แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักของประชากรมีความคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ มีการเพาะปลูกพืชจาพวกยางพารา ปาล์มน้ามัน ผลไม้ต่างๆ มีการประมงบริเวณชายฝ่ังและในทะเล นอกจากนั้นยังมีรายได้จากการท่องเที่ยว เนื่องจากมีหาด ทราย เกาะใกลช้ ายฝั่งที่มที ัศนียภาพสวยงาม 4. ใหนักเรียนยกตัว อยางการประยุกตแใชองคแความรู เร่ือง ลักษณะภูมิประเทศภาคใต ในการดําเนิน ชีวติ การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น การทาการประมงเป็นอาชีพสาคัญ เพราะมีอาณาเขตติดต่อกับ ทะเลมาก การสง่ เสริมการทอ่ งเท่ียวทางทะเล เพราะมีระบบนิเวศทางทะเลท่ีสวยงาม การเพาะปลูกพืชที่เหมาะสมกับลมฟ้า อ า ก า ศ ท า ใ ห้ ป ร ะ ช า ก ร ใ น ภ า ค ใ ต้ ส่ ว น ใ ห ญ่ พึ่ ง พ า ต น เ อ ง ไ ด้ แ ล ะ เ ป็ น แบบอย่างในการดาเนนิ ชีวติ ของเราได้
ใบความรู้ ภูมศิ าสตร์ กายภาพ เรือ่ ง ปรากฏการณท์ างธรรมชาติทีเ่ กิดขนึ้ ในโลก ก ปรากฏการณ์ธรรมชาติ คอื การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ท้งั ในระยะยาวและระยะสนั้ สภาพแวดลอม ของโลกเปลย่ี นแปลงไปตามเวลา ทง้ั เปน็ ระบบและไมเ ปน็ ระบบ เป็นสิง่ ทอี่ ยรู อบตวั เรา มักสง ผลกระทบตอเรา ในธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงบางอยา งมีผลกระทบตอเรารนุ แรงมาก สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงมีท้งั เกิดขนึ้ เองตามธรรมชาติและเป็นส่งิ ทมี่ นษุ ยแทําใหเกิดข้นึ ในเร่อื งนจี้ ะกลา วถึงสาเหตุและลักษณะปรากฏการณแทางธรรมชาติที่สําคญั ดงั น้ี 1) พายุพายุ คือ สภาพบรรยากาศที่เคลอ่ื นตัวดว ยความเร็วมผี ลกระทบตอพ้ืนผวิ โลกโดยบางคร้ังอาจมีความเรว็ ท่ี ศูนยแกลางถึง 400 กโิ ลเมตร/ช่วั โมง อาณาบรเิ วณท่จี ะไดรับความเสียหายจากพายุวาครอบคลุมเทา ใดขึน้ อยูกับความเร็วของ การเคล่ือนตวั ของพายุขนาด ความกวา ง เสน ผา ศนู ยแกลางของตวั พายุ หนวยวัดความเร็วของพายคุ ือ หนวยริกเตอรเแ หมือน การวัดความรนุ แรงแผน ดนิ ไหว พายแุ บ่งเปน็ ประเภทใหญๆ่ ได้ 3 ประเภท คอื 2.1 พายฝุ นฟา้ คะนอง มลี กั ษณะเปน็ ลมพัดยอนไปมา หรือพัดเคล่ือนตวั ไปในทิศทางเดียวกนั อาจเกิดจากพายุที่ ออ นตัวและลดความรนุ แรงของลมลง หรือเกดิ จากหยอมความกดอากาศตํา่ รอ งความกดอากาศตํา่ อาจไมม ที ิศทางท่ีแนน อน หากสภาพการณแแ วดลอมตา งๆ ของการเกิดฝนเหมาะสม ก็จะเกิดฝนตก มลี มพดั 2.2 พายุหมนุ เขตรอ้ น (Tropical cyclone) ไดแก เฮอรรแ ิเคน ไตฝ ุน และไซโคลนซ่งึ ลวนเป็นพายหุ มุนขนาดใหญ เชน เดยี วกัน และจะเกิดขนึ้ หรอื เร่ิมตนกอตัวในทะเล หากเกดิ เหนือเสน ศูนยสแ ตู ร จะมีทิศทางการหมนุ เวียนทวนเขม็ นา ิกา และหากเกิดใตเสนศนู ยแสูตรจะหมนุ ตามเขม็ นา กิ า โดยมชี ่ือตา งกันตามสถานท่เี กิด คือ 2.1.1 พายเุ ฮอร์รแิ คน (hurricane) เป็นช่ือเรยี กพายุหมนุ ท่เี กิดบรเิ วณทิศตะวนั ตกของมหาสมุทรแอตแลนติก เชน บริเวณฟลอริดา สหรัฐอเมรกิ า อาวเมก็ ซิโก ทะเลแคริบเบียน เป็นตน รวมทงั้ มหาสมทุ รแปซิฟิกบรเิ วณชายฝ่ใงประเทศ เม็กซโิ ก 2.1.2 พายไุ ต้ฝุน่ (typhoon) เปน็ ชอ่ื พายุหมนุ ทีเ่ กิดทางทิศตะวนั ตกของมหาสมุทรแปซิฟกิ เหนือ เชน บริเวณทะเล จีนใต อา วไทย อาวตังเกย๋ี ประเทศญป่ี ุน แตถาเกิดในหมเู กาะฟลิ ปิ ปนิ สแ เรียกวา บาเกยี ว (Baguio) 2.1.3 พายุไซโคลน (cyclone) เปน็ ช่อื พายหุ มนุ ทเี่ กดิ ในมหาสมทุ รอนิ เดียเหนือ เชน บรเิ วณอา วเบงกอล ทะเล อาหรบั เป็นตน แตถาพายนุ ้เี กิดบรเิ วณทะเลตมิ อรแแ ละทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ของประเทศออสเตรเลยี จะเรียกวา พายวุ ิล ลี-วิลลี (willy-willy) 2.1.4 พายโุ ซนร้อน (tropical storm) เกิดขึน้ เมื่อพายุเขตรอ นขนาดใหญอ อนกําลงั ลง ขณะเคล่ือนตัวในทะเล และความเร็วทีจ่ ดุ ศนู ยกแ ลางลดลงเมือ่ เคลอื่ นเขาหาฝง่ใ 2.1.5 พายดุ เี ปรสชนั (depression) เกดิ ข้ึนเม่อื ความเร็วลดลงจากพายโุ ซนรอน ซ่งึ กอใหเ กิดพายฝุ นฟาู คะนอง ธรรมดาหรอื ฝนตกหนัก 2.1.6 พายุทอร์นาโด (tornado) เป็นช่อื เรยี กพายหุ มนุ ท่ีเกดิ ในทวีปอเมรกิ ามีขนาดเนอื้ ทีเ่ ลก็ หรอื เสน ผาศูนยแกลาง นอย แตห มุนดว ยความเร็วสูง หรือความเร็วที่จดุ ศูนยแกลางสงู มากกวา พายหุ มุนอน่ื ๆ กอความเสียหายไดร นุ แรงในบริเวณที่
พัดผานเกดิ ไดท ั้งบนบก และในทะเล หากเกดิ ในทะเล จะเรยี กวา นาคเลน่ นา้ (water spout) บางครัง้ อาจเกิดจากกลุมเมฆ บนทอ งฟูา แตห มนุ ตวั ย่นื ลงมาจากทองฟูาไมถึงพืน้ ดนิ มีรูปรา งเหมือนงวงชาง จงึ เรยี กกนั วา ลมงวง__ อนั ตรายของพายุ 1. ความรนุ แรงและอนั ตรายอันเกิดจากพายุไต้ฝุ่นเม่ือพายทุ ี่มีกําลงั ขนาดไตฝนุ พดั ผานทีใ่ ดยอมทําใหเกิดความ เสียหายรายแรงทวั่ ไปเชน บนบกตน ไมจ ะลม ถอนราก ถอนโคน บานเรือนพังทบั ผูค นในบา นและที่ใกลเ คียงบาดเจ็บหรอื ตาย สวน ไรนาเสียหายหนกั มาก เสาไฟฟาู ลม สายไฟฟูาขาด ไฟฟูาช็อต เกิดเพลิงไหมและผูคนอาจเสียชีวิตจากไฟฟูาดูดได ผูคนที่ มอี าคารพักอาศยั อยรู ิมทะเลอาจถูกนา้ํ พดั พาลงทะเลจมน้ําตายไดดงั เชนปรากฎการณแที่แหลมตะลุมพุกจงั หวดั นครศรธี รรมราชในทะเลลมแรงจัดมากคล่นื ใหญ เรือขนาดใหญ ขนาดหมื่นตนั อาจจะถูกพัดพาไปเกยฝงใ่ ลมจมได บรรดาเรือ เล็กจะเกิดอันตรายเรือลม ไมสามารถจะตานความรนุ แรงของพายุได คลืน่ ใหญซ ัดขน้ึ ริมฝใง่ จะทาํ ใหร ะดับนํ้าข้นึ สงู มากจนทว ม อาคารบา นชองริมทะเลไดบรรดาโปฺะจับปลาในทะเลจะถกู ทาํ ลายลงโดยคลน่ื และลม 2. ความรุนแรงและอนั ตรายจากพายุโซนร้อน พายโุ ซนรอนมคี วามรุนแรงนอ ยกวา พายุไตฝ นุ ฉะนน้ั อนั ตรายจะ เกิดจากการท่ีพายุน้พี ัดมาปะทะลดลงในระดับรองลงมาจากพายุไตฝนุ แตความรนุ แรงท่ีจะทาํ ใหความเสียหายกย็ งั มมี าก เหมือนกนั ในทะเลลมจะแรงมากจนสามารถทําใหเ รือขนาดใหญๆ จมได ตน ไม ถอนรากถอนโคน ดังพายุโซนรอนท่ีปะทะฝ่งใ แหลมตะลุมพุก จงั หวดั นครศรีธรรมราชถา การเตรียมการรับสถานการณแไมเ พยี งพอ ไมม ีการประชาสมั พนั ธแใหป ระชาชนได ทราบเพ่ือหลีกเล่ยี งภัยอนั ตรายอยางทั่วถึง ไมมวี ิธีการดาํ เนินการท่ีเขมแข็งในการอพยพการชวยเหลือผูป ระสบภยั ตางๆ ใน ระหวางเกดิ พายุ การสญู เสยี ก็ยอ มมีการเสียทั้งชวี ิตและทรัพยแสมบัตขิ องประชาชน
3. ความรนุ แรงและอันตรายจากพายุดีเปรสชนั่ พายุดเี ปรสช่นั เปน็ พายทุ ี่มีกําลังออน ไมมอี นั ตรายรนุ แรงแตท าํ ใหม ี ฝนตกปานกลางท่ัวไป ตลอดทางท่ีพายดุ ีเปรสชั่นพัดผา น และมีฝนตกหนักเปน็ แหง ๆ พรอ มดวยลมกรรโชกแรงเปน็ คร้ังคราว ซึง่ บางคราวจะรนุ แรงจนทําใหเ กิดความเสยี หายได ในทะเลคอ นขา งแรงและคล่นื จัด บรรดาเรอื ประมงเลก็ ขนาดตาํ่ กวา 50 ตนั ควรงดเวนออกทะเลเพราะอาจจะลม ลงได และพายดุ เี ปรสชัน่ น้เี ม่อื อยูในทะเลไดรบั ไอนํ้าหลอเลย้ี งตลอดเวลา และไมมี สิง่ กีดขวางทางลมอาจจะทวีกําลงั ขนึ้ ได โดยฉับพลนั ฉะนน้ั เมื่อไดร บั ทราบขาววา มพี ายุดเี ปรสช่นั ขนึ้ ในทะเลก็อยาวางใจวา จะมีกําลังออนเสมอไปอาจจะมอี ันตรายไดเหมือนกนั สําหรับพายพุ ัดจดั จะลดนอยลงเปน็ ลําดบั มีแตฝ นตกทว่ั ไปเปน็ ระยะ นานๆ และตกไดมากถึง 100 มลิ ลิเมตร ภายใน 12 ชั่วโมง ซึง่ ตอ ไปก็จะทําใหเ กดิ นํา้ ปาุ ไหลบาจากภูเขาและปาุ ใกลเคียงลง มาทวมบานเรือนไดในระยะเวลาส้นั ๆ หลงั จากพายุไดผานไปแลว 4. ความรุนแรงและอนั ตรายจากพายฤุ ดรู ้อนพายฤุ ดรู อนเปน็ พายทุ เ่ี กิดขน้ึ โดยเหตแุ ละวธิ กี ารตา งกบั พายุดเี ปรสช่นั และเกดิ บนผืนแผน ดนิ ทรี่ อนอบอาวในฤดูรอนแตเ ปน็ พายุที่มีบริเวณยอมๆ มอี าณาเขตเพยี ง 20-30ตารางกิโลเมตร แตอาจ มีลมแรงมากถึง 47 นอ็ ต หรือ 87 กิโลเมตรตอชว่ั โมง พายุนมี้ ีกาํ ลงั แรงทจ่ี ะทําใหเกดิ ความเสยี หายไดม าก แตเ ป็นชวง ระยะเวลาสน้ั ๆ ประมาณ 2-3 ชว่ั โมง อนั ตรายทีเ่ กิดขึน้ คอื ตน ไมหกั ลมทับบา นเรือนผคู น ฝนตกหนักและอาจมีลกู เห็บตก ได ในกรณที ีพ่ ายุมกี ําลังแรง การเตรยี มการปอ้ งกนั อนั ตรายจากพายุ 1. ติดตามสภาวะอากาศ ฟใงคําเตอื นจากกรมอตุ ุนยิ มวิทยาสมาํ่ เสมอ 2. สอบถาม แจงสภาวะอากาศรอ นแกก รมอตุ ุนิยมวิทยา 3. ปลกู สราง ซอ มแซม อาคารใหแขง็ แรง เตรียมปูองกนั ภัยใหส ัตวเแ ลีย้ งและพชื ผลการเกษตร 4. ฝึกซอมการปูองกนั ภยั พบิ ัติ เตรยี มพรอมรับมือ และวางแผนอพยพหากจําเปน็ 5. เตรียมเครื่องอปุ โภค บริโภค ไฟฉาย แบตเตอรี่ วทิ ยกุ ระเปาห้วิ เพ่ือติดตามขาวสาร 6. เตรียมพรอมอพยพเม่ือไดรับแจงใหอพยพ 2) นา้ ท่วม สาเหตุสําคัญขึน้ อยูกับสภาพทองท่ี และความวปิ รติ ผนั แปรของธรรมชาติแตใ นบางทองที่ การกระทาํ ของมนุษยแก็มีสวนสําคัญ และ เกิดจากมีนํ้าเป็นสาเหตุ อาจจะเปน็ นา้ํ ทวม นํ้าปุาหรืออืน่ ๆ โดยปกติ อุทกภัยเกิดจากฝนตก หนกั ตอ เนื่องกันเปน็ เวลานาน บางคร้งั ทาํ ใหเกดิ แผน ดนิ ถลม อาจมีสาเหตุจากพายุหมุนเขตรอน ลมมรสุมมกี าํ ลงั แรง รอ ง ความกดอากาศ ตาํ่ มีกําลงั แรงอากาศแปรปรวน นํา้ ทะเลหนุน แผนดนิ ไหว เขอ่ื นพงั ซ่งึ ทําใหเกิดอทุ กภัยได สาเหตุการเกดิ อทุ กภยั แบงไดเ ป็น 2 ชนิด ดังนี้
2.1 จากนา้ ป่าไหลหลากและน้าทว่ มฉับพลัน เกิดจากฝนตกหนักติดตอกันหลาย ชว่ั โมง ดินดูดซับไมท ัน นา้ํ ฝน ไหลลงพ้นื ราบอยางรวดเร็ว ความแรงของนา้ํ ทาํ ลายตนไม อาคาร ถนน สะพาน ชีวติ ทรัพยสแ ิน 2.2 จากน้าทว่ มขังและน้าเอ่อนอง เกิดจากนา้ํ ในแมนํ้า ลําธารลนตลิ่ง มีระดบั สูงจากปกติ ทว มและแชข ัง ทาํ ให การคมนาคมชะงัก เกิดโรคระบาด ทําลายสาธารณูปโภค และพืชผลการเกษตร การป้องกันน้าท่วมปฏบิ ตั ิได้ดงั นี้ 1. ตดิ ตามสภาวะอากาศ ฟใงคาํ เตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยา 2. ฝกึ ซอมการปูองกันภยั พิบัติ เตรียมพรอมรบั มือ และวางแผนอพยพหากจําเป็น 3. เตรยี มนาํ้ ด่มื เคร่ืองอุปโภค บริโภค ไฟฉาย แบตเตอร่ี วิทยกุ ระเปาห้ิวเพื่อตดิ ตามขาวสาร 4. ซอ มแซมอาคารใหแ ข็งแรง เตรยี มปูองกนั ภยั ใหส ัตวเแ ลย้ี งและพชื ผลการเกษตร 5. เตรียมพรอมเสมอเมื่อไดรับแจงใหอ พยพไปท่สี ูง เมื่ออยูในพนื้ ที่เสย่ี งภยั และฝนตกหนกั ตอ เนื่อง 6. ไมล งเลนนํา้ ไมข ับรถผานนํา้ หลากแมอยบู นถนน ถาอยูใกลน้ํา เตรียมเรือเพื่อการคมนาคม ภมู ิศาสตรกแ ายภาพ 7. หากอยูในพ้นื ท่ีนาํ้ ทว มขงั ปูองกันโรคระบาด ระวังเรอื่ งนา้ํ และอาหารตองสุก และสะอาดกอนบริโภค 3) แผน่ ดนิ ไหว เป็นปรากฏการณแ การสนั่ สะเทือนหรือเขยา ของพืน้ ผวิ โลก สาเหตขุ องการเกิดแผน ดนิ ไหวนนั้ สวน ใหญเกดิ จากธรรมชาติ โดยแผน ดินไหวบางลักษณะสามารถเกดิ จากการกระทําของมนุษยไแ ดเชน การทดลองระเบิดปรมาณู การปรับสมดลุ เนื่องจากนํ้าหนกั ของนาํ้ ท่ีกักเกบ็ ในเข่ือนและแรงระเบิดการทาํ เหมืองแรเป็นตน การปฏบิ ตั ปิ อ้ งกนั ตวั เองจากการเกดิ แผน่ ดินไหว กอ่ นเกิดแผน่ ดนิ ไหว 1. ควรมีไฟฉายพรอมถานไฟฉาย และกระเปายาเตรียมไวใ นบา น และใหท ุกคนทราบวา อยูท่ีไหน 2. ศึกษาการปฐมพยาบาลเบื้องตน 3. ควรมีเคร่ืองมือดับเพลิงไวใ นบาน เชน เครอ่ื งดับเพลิง ถงุ ทราย เปน็ ตน 4. ควรทราบตาํ แหนงของวาลแวปดิ น้าํ วาลแวปิดก฿าซ สะพานไฟฟูาสําหรบั ตดั กระแสไฟฟูา 5. อยา วางส่งิ ของหนักบนชั้น หรอื ห้ิงสูงๆ เม่อื แผน ดินไหวอาจตกลงมากเป็นอันตรายได 6. ผูกเครื่องใชหนกั ๆ ใหแนนกับพ้นื ผนงั บาน 7. ควรมีการวางแผนเรื่องจดุ นัดหมาย ในกรณีท่ีตองพลัดพรากจากกัน เพ่ือมารวมกันอีกครง้ั ในภายหลงั
ระหว่างเกิดแผน่ ดนิ ไหว 1. อยา ตน่ื ตกใจ พยายามควบคุมสตอิ ยูอยา งสงบ 2. ถา อยูในบานใหยืนหรือหมอบอยูในสวนของบานท่ีมโี ครงสรา งแข็งแรงทสี่ ามารถรบั นํ้าหนักไดมาก และใหอยหู า ง จากประตู ระเบยี ง และหนาตาง 3. หากอยูในอาคารสงู ควรตงั้ สติ และรบี ออกจากอาคารโดยเร็วหนใี หห างจากส่ิงทีจ่ ะลม ทบั ได 4. ถา อยูในทโี่ ลงแจง ใหอ ยูห างจากเสาไฟฟูา และส่ิงหอ ยแขวนตา งๆ ทีป่ ลอดภยั ภายนอกคอื ที่ โลง แจง 5. อยาใช เทียน ไมข ีดไฟ หรือสิง่ ทท่ี ําใหเกิดเปลวหรือประกายไฟ เพราะอาจมีแกส฿ รวั่ อยูบริเวณนน้ั 6. ถา กาํ ลังขบั รถใหห ยุดรถและอยภู ายในรถ จนกระทง่ั การส่ันสะเทอื นจะหยุด 7. หา มใชล ิฟทแโดยเดด็ ขาดขณะเกิดแผน ดินไหว 8. หากอยชู ายหาดใหอ ยหู า งจากชายฝ่ใง เพราะอาจเกิดคลื่นขนาดใหญซดั เขาหาฝใ่ง หลงั เกิดแผน่ ดนิ ไหว 1. ควรตรวจตัวเองและคนขางเคยี งวาไดร ับบาดเจบ็ หรือไม ใหทําการปฐมพยาบาลขนั้ ตนกอน 2. ควรรีบออกจากอาคารทเ่ี สียหายทนั ที เพราะหากเกดิ แผนดินไหวตามมา อาคารอาจพังทลายได 3. ใสรองเทาหุมสน เสมอ เพราะอาจมเี ศษแกว หรอื วัสดแุ หลมคมอ่นื ๆ และสิ่งหักพังทมิ่ แทงได 4. ตรวจสายไฟ ทอ นํ้า ทอ แก฿ส ถา แก฿สรั่วใหป ิดวาลวแ ถงั แก฿ส ยกสะพานไฟ อยาจดุ ไมข ดี ไฟ หรือกอ ไฟจนกวา จะ แนใ จวา ไมม ีแกส฿ ร่วั 5. ตรวจสอบวา แก฿สรวั่ ดว ยการดมกล่นิ เทาน้นั ถาไดก ลิ่นใหเปิดประตูหนาตางทุกบาน 6. ใหอ อกจากบริเวณทส่ี ายไฟขาด และวัสดสุ ายไฟพาดถึง 7. เปิดวิทยฟุ ใงคาํ แนะนาํ ฉุกเฉิน อยาใชโทรศัพทแ นอกจากจําเปน็ จริงๆ 8. สํารวจดคู วามเสยี หายของทอ สว ม และทอนาํ้ ทิง้ กอนใช 9. อยาเขาไปในเขตท่ีมคี วามเสยี หายสูง หรืออาคารพัง 4) ปรากฏการณ์เรือนกระจก คําวา เรอื นกระจก (greenhouse) หมายถงึ อาณาบรเิ วณท่ปี ดิ ลอ มดว ยกระจก หรือวัสดุอ่ืนซึ่งมีผลในการเก็บกักความรอนไวภายใน ในประเทศเขตหนาวนิยมใชเรือนกระจกในการเพาะปลูกตนไมเพราะ พลังงานแสงอาทติ ยแสามารถผานเขาไปภายในไดแตความรอนที่อยูภายในจะถูกกักเก็บ โดยกระจกไมใหสะทอนหรือแผออกสู ภายนอกไดทาํ ใหอณุ หภูมิของอากาศภายในอบอุน และเหมาะสมตอการเจริญเติบโตของพืชแตกตางจากภายนอกท่ียังหนาว เยน็ นกั วทิ ยาศาสตรจแ ึงเปรียบเทยี บปรากฏการณแทคี่ วามรอนภายในโลกถูกกับดักความรอนหรือก฿าซเรือนกระ(Greenhouse gases) เก็บกกั เอาไวไ มใ หสะทอ นหรือแผออกสูภายนอกโลกวาปรากฏการณแเรือนกระจกโลกของเราตามปกติมีกลไกควบคุม ภูมิอากาศโดยธรรมชาติอยูแลว กระจกตามธรรมชาติของโลก คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซดแแ ละไอน้าซ่ึงจะคอยควบคุมให อณุ หภูมิของโลกโดยเฉลี่ยมคี า ประมาณ 15 °C และถาหากในบรรยากาศไมมีกระจกตามธรรมชาติอุณหภูมิของโลกจะลดลง เหลือเพียง -20°C มนุษยแและพืชก็จะลมตายและโลกก็จะเขาสูยุคน้ําแข็งอีกคร้ังหน่ึงืสาเหตุสําคัญของการเกิดปรากฎการณแ
เรือนกระจกมาจากการเพ่ิมข้ึนของก฿าซเรือนกระจกประเภทตางๆ ไดแก คาร์บอนไดออกไซดแ (CO2) ไอนํ้า (H2O) โอโซน (O3) มีเทน(CH4)ไนตรัสออกไซดแ (N2O) และคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) ในสวนของก฿าซคารแบอนไดออกไซดแจะเกิด การหมุนเวียนและรักษาสมดุลตามธรรมชาติ ปใญหาในเรื่องปรากฏการณแเรือนกระจกจะไมสงผลกระทบท่ีรุนแรงตอมนุษยแ ชาติโดยเด็ดขาดแตปใญหาที่โลกของส่ิงมีชีวิตกําลังประสบอยูในปใจจุบันก็คือ ปริมาณก฿าซเรือนกระจกที่อยูในบรรยากาศเกิด การสูญเสียสมดุลขึ้น ปริมาณความเขมของก฿าซเรือนกระจกบางตัวเชน คารแบอนไดออกไซดแ มีเทน ไนตรัสออกไซดแและคลอ โรฟลูออโรคารแบอนกลับเพ่มิ ปริมาณมากขนึ้ นบั ต้ังแตเ กดิ การปฏิวัตอิ ุตสาหกรรม (industrial revolution) หรือประมาณปี พ.ศ. 2493 เป็นตนมากิจกรรมตางๆ ท่ีทําใหเกิดการเพิ่มข้ึนของก฿าซเรือนกระจกมีดังน้ีคือ 57% เกิดจากการเผาไหมของ เชื้อเพลิงฟอสซิล (น้ามันเช้ือเพลิง ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ) 17%เกิดจากการใช้สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน 15% เกิดจากการผลิตในภาคเกษตรกรรม 8% เกิดจากการตัดไม้ทาลายป่า สวนอีก 3% เกิดจากการเปลี่ยนแปลงตาม ธรรมชาติ นักวิทยาศาสตรแทั่วโลกไดติดตามการเพ่ิมข้ึนของปริมาณก฿าซเรือนกระจก โดยการใชวิทยาศาสตรแและเทคโนโลยีอันทันสมัย เชน การใชดาวเทียมสํารวจอากาศและสามารถสรุปไดวาในแตละปีสัดสวนของก฿าซเรือนกระจกที่ถูกปลอยออกจากโลก โมเลกุลของคารแบอนไดออกไซดแจะมีผลตอการตอบสนองในการเก็บกักความรอนนอยมาก แตเน่ืองจากปริมาณ คารแบอนไดออกไซดแท่เี กดิ จากกิจกรรมตางๆ ของมนษุ ยแมมี ากทสี่ ุด ดงั นนั้ หัวใจสําคัญของการแกปใญหาจึงตองมุงประเด็นตรง ไปทก่ี ารลดปริมาณคารบแ อนไดออกไซดซแ ่ึงเกดิ จากการเผาไหมของเช้ือเพลิง ฟอสซิลกอนเป็นอันดับแรก ตอจากนั้นจึงคอยลด และเลิกการใชค ลอโรฟลอู อโรคารแบอนรวมถงึ การควบคุมปริมาณของมีเทนและไนตรัสออกไซดแท่จี ะปลอยขนึ้ สบู รรยากาศ ผลกระทบต่อมนษุ ย์ชาติจากการเกดิ ปรากฎการณเ์ รือนกระจก จากการคาดการณแของนกั วิทยาศาสตรแ อุณหภูมิ โดยเฉลีย่ ของโลกสูงขน้ึ ถึงแมการเพ่ิมสงู ขึ้นจะแสดงออกมาเปน็ ตัวเลขเพียงเลก็ นอย แตอาจสง ผลกระทบทีร่ ุนแรงตอโลกของ สง่ิ มชี ีวติ เพราะการเปล่ียนแปลงอณุ หภูมิเฉล่ียของโลกดังทีเ่ กดิ ข้นึ ในปจใ จบุ นั ทําใหความแตกตา งระหวางอุณหภมู ิบริเวณเสน ศนู ยแสูตรกบั บรเิ วณข้วั โลกลดนอ ยลงทําใหเกิดความผันผวนขึ้นในอุณหภูมอิ ากาศของโลก เชน แนวปะทะระหวา งอากาศรอ น กับอากาศเย็นของลมเปล่ยี นไปอยางมากเกิดสภาวะความกดอากาศตาํ่ มากขึ้นทาํ ใหมลี มมรสุมพดั แรง เกิดลมพายุชนิดตา งๆ เชน พายโุ ซนรอ น ใตฝ นุ ดเี ปรสชัน่ และทอรแนาโดขน้ึ บอยๆ หรอื อาจเกิดฝนตกหนักผิดพื้นที่ สมดลุ ทางธรรมชาตเิ ปล่ยี นแปลง ไปทาํ ใหเกดิ ภยั ธรรมชาติ เชนดินถกู น้ําเซาะพงั ทลายหรือเกิดอุทกภยั เฉียบพลนั เปน็ ตนนอกจากนนี้ กั วิทยาศาสตรยแ ังมีความ เชือ่ วา หากอุณหภมู ิเฉลีย่ ของโลกสงู มากจะทาํ ใหน ํ้าแข็งบรเิ วณขวั้ โลกละลาย นาํ้ ในทะเลและมหาสมุทรจะเพม่ิ ปรมิ าณและ ทว มทน ทาํ ใหเ กาะบางแหง จมหายไป เมอื งท่ีอยใู กลช ายทะเลหรือมรี ะดับพนื้ ท่ตี ํ่าเชน กรงุ เทพฯจะเกิดปใญหาน้าํ ทวมขึ้นและ ถานํา้ แข็งบรเิ วณขั้วโลกละลายอยางตอเนื่อง กจ็ ะสง ผลใหระดบั นํา้ ทะเลทั่วโลกเพิ่มสงู ข้นึ อกี สามเมตรหรอื มากกวาน้นั ซง่ึ หมายถึงอุทกภยั ครั้งใหญจ ะเกิด ขน้ึ ในโลกอยา งแนนอน จากเอกสารของโครงการส่งิ แวดลอ มขององคแการสหประชาชาตไิ ด ประมาณการณแวา อณุ หภูมิเฉล่ียของโลกอาจสูงขน้ึ 2 ถงึ 4°C และระดบั นาํ้ ทะเลอาจสูงข้นึ 20-50 เซนตเิ มตร ในระยะเวลา อกี 10 – 50 ปีนบั จากปจใ จุบัน มาตรการปอ้ งกันผลกระทบจากการเกิดปรากฎการณเ์ รือนกระจก หลักจากทเี่ ราไดทราบมูลเหตแุ หง เกิดปรากฎการณแเรือนกระจกแลว ขอสรุปท่ีดีท่ีสดุ ในการแกไขปใญหา คอื การลดปริมาณก฿าซเรือนกระจกทจี่ ะถูกปลอยออกสู บรรยากาศใหอยูในสดั สว น และปริมาณท่นี อ ยทีส่ ุดเทา ที่จะกระทําได การรกั ษาระดบั ความหนาแนน ของก฿าซเรือนกระจกใน บรรยากาศท่ีท่ัวโลกกํากลังปฏิบัติมหี ลายวธิ ี ยกตัวอยางเชน มาตรการของ IPCC (Intergovermental Panel on Climate Change) ซ่งึ ประมาณการณเแ อาไววาการรักษาระดบั ความหนาแนน ของก฿าซเรือนกระจกในบรรยากาศใหอ ยูใ นระดับเดียวกบั
ปจใ จบุ ันจะตองลดการปลดปลอยก฿าซเรือนกระจกจากการกระทาํ ของมนษุ ยใแ หต่ําลงจากเดิม 6% และไดเ สนอมาตรการตา งๆ ดังน้ี 1. สง เสริมการสงวนและการใชพ ลงั งานอยา งมีประสิทธภิ าพสูงสุดดังจะยกตัวอยา งในบานเมืองของเราก็เชน การใช เคร่อื งไฟฟูาที่มีสลากประหยดั ไฟ หรือการเลือกใชหลอดฟลูออเรสเซนตแ ชนดิ หลอดผอมเป็นตน 2. หามาตรการในการลดปริมาณคารแบอนไดออกไซดแ เชน กําหนดนโยบายผทู ําใหเกิดมลพิษตองเปน็ ผูร ับผิดชอบ คาใชจ ายในการบําบัด ในบางประเทศมีการกาํ หนดใหมกี ารเกบ็ ภาษผี ทู ่ีทาํ ใหเ กิดก฿าซคารแบอนไดออกไซดแใหมากข้ึน ทัง้ น้ีจะ สง ผลตอ การประหยัดพลงั งานของประเทศทางออมดว ย 3. เลกิ การผลติ และการใชค ลอโรฟลูออโรคารบแ อน (CFCs) รวมทั้งคนหาสารอนื่ มาทดแทนคลอโรฟลูออโรคารแบอน ในบางประเทศกําหนดใหใ ชไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน(HFCs)แทน สาํ หรบั ประเทศไทยของเรามีการสงเสริมการสรา งคานิยม ในการใชส เปรยแ และอปุ กรณแที่อยใู นประเภททีป่ ราศจากคลอโรฟลอู อโรคารบแ อน (Non-CFCs) เป็นตน 4. หนั มาใชเชื้อเพลงิ ท่ีกอใหเ กิดคารบแ อนไดออกไซดใแ นปริมาณทนี่ อ ยกวาเมื่อเทยี บกับคาพลังงานที่ได เชน การ กอ สรางโครงการรถไฟฟาู ของกรงุ เทพมหานครจะชว ยลดการใชนาํ้ มันเช้ือเพลิงจากการขนสงมวลชนในแตล ะวันไดอยา งดี และประสิทธภิ าพทีส่ ดุ 5. สนบั สนุนการวิจยั เกย่ี วกับแหลงพลังงานทดแทนอ่นื ๆ เชน พลงั งานแสงอาทติ ยแและพลงั งานนิวเคลียรใแ หเ กิดเป็น รปู ธรรมและไดร ับความเชอ่ื ม่ันจากประชาชนวาจะไมกอใหเกดิ มหันตภัยมวลมนษุ ยแชาติดังทเี่ กิดขน้ึ ในเชอรโแ นบวิ ลแ 6. หยดุ ยง้ั การทําลายปุาไมและสนับสนุนการปลกู ปาุ ทดแทน สําหรบั ในประเทศไทยการรณรงคใแ นเรื่องการปลกู ปุา เฉลมิ พระเกยี รตินับเป็นโครงการท่นี าสนับสนนุ อยางมาก 5) ภาวะโลกร้อน ภาวะโลกรอน หมายถงึ การเปลีย่ นแปลงภูมิอากาศทเ่ี กิดจากการกระทําของมนษุ ยแ ทที่ าํ ใหอณุ หภูมเิ ฉล่ยี ของโลกเพิม่ สูงขนึ้ เราจึงเรยี กวา ภาวะโลกร้อน (Global Warming)กจิ กรรมของมนุษยทแ ี่ทําใหเกิด ภาวะโลกรอนคือ กิจกรรมที่ทําใหปรมิ าณก฿าซเรือนกระจกในบรรยากาศเพมิ่ มากขนึ้ ไดแก การเพิ่มปรมิ าณกา฿ ซเรอื นกระจก โดยตรง เชน การเผาไหมเชอ้ื เพลิง และการเพิ่มปริมาณก฿าซเรอื นกระจกโดยทางออม คือ การตัดไมทาํ ลายปาุ หากไมมีการชวยกนั แกไ ขปญใ หาโลกในวนั นี้ ในอนาคตจะสงผลกระทบดังนี้ 1. ทําใหฤดูกาลของฝนเปล่ยี นแปลงไป กระบวนการระเหยและการกลน่ั ตวั จะเรว็ ขึน้ หมายถึงวา ฝนอาจจะตกบอย ขน้ึ แตน าํ้ จะระเหยเร็วขึ้นดวย ทําใหด นิ แหงเรว็ กวาปกตใิ นชว งฤดกู าลเพาะปลกู 2. ผลผลิตทางการเกษตรจะลดลง นอกจากผลกระทบโดยตรงจากอุณหภูมิ ฝนชวงระยะเวลาฤดูกาลเพาะปลูกแลว ยงั เกิดจากผลกระทบทางออ มอกี ดวย คอื การระบาดของโรคพืช ศัตรูพชื และวัชพชื 3. สัตวแนํ้าจะอพยพไปตามการเปล่ียนแปลงของอุณหภมู นิ ํ้าทะเล แหลงประมงท่ีสาํ คัญๆ ของโลกจะเปลี่ยนแปลงไป 4. มนุษยจแ ะเสยี ชวี ติ เนอื่ งจากความรอนมากขน้ึ ตัวนําเช้อื โรคในเขตรอนเพ่ิมมากขนึ้ ปญใ หาภาวะมลพิษทางอากาศ ภายในเมอื งจะรุนแรงมากขึ้น
วธิ กี ารลดภาวะโลกรอ้ น มี 10 วธิ ดี งั นี้ 1. ลดการใชพ ลังงานที่ไมจําเปน็ จากเคร่ืองใชไฟฟาู เชน เคร่ืองปรับอากาศ พดั ลมหากเป็นไปไดใชว ธิ ี เปิดหนา ตาง ซึ่งบางชว งทอ่ี ากาศดีๆ สามารถทาํ ได เชน หลังฝนตกหรอื ชวงอากาศเยน็ เป็นการลดคา ไฟ และ ลดความรอน เนอ่ื งจาก หลกั การทําความเย็นนนั้ คือ การถายเทความรอนออก ดังน้ันเวลาเราใชเ คร่ืองปรับอากาศ จะเกดิ ปริมาณความรอน บริเวณหลงั เครื่องระบายความรอ น 2. เลอื กใชระบบขนสง มวลชน ในกรณีที่สามารถทาํ ได ไดแก รถไฟฟูา รถตู รถเมลแเน่ืองจากพาหนะแตล ะคนั จะเกดิ การเผาผลาญเชื้อเพลงิ ซง่ึ จะเกดิ ความรอน และกา฿ ซคารแบอนไดออกไซดแ ดงั นั้นเมื่อลดปริมาณจํานวนรถ ก็จะลดจาํ นวนการ เผา ไหมบ นทองถนนในแตละวันลงได 3. ชวยกนั ปลกู ตน ไม เพราะตนไมจ ะคายความชุม ช้นื ใหกบั โลก และชว ยดดู กา฿ ซคารบแ อนไดออกไซดแ ซึ่งเปน็ สาเหตุ ภาวะเรอื นกระจก 4. การชวนกนั ออกไปเทยี่ วธรรมชาติภายนอก ก็ชวยลดการใชป ริมาณไฟฟูาได 5. เวลาซ้ือของพยายามไมรับภาชนะทเ่ี ป็นโฟม หรือกรณีที่เปน็ พลาสตกิ เชน ขวดนาํ้ พยายามนาํ กลับมาใชอ ีก เนือ่ งจากพลาสติกเหลาน้ีทาํ การยอยสลายยาก ตองใชปรมิ าณความรอน เหมือนกับตอนทผ่ี ลติ มันมา ซง่ึ จะกอใหเ กิดความ รอ นกบั โลกของเรา เราสามารถนาํ กลับมาใชเปน็ ภาชนะใสน ้ําแทนกระตกิ น้ํา หรอื ใชป ลกู ตนไมก ็ได 6. ใชก ระดาษดว ยความประหยดั กระดาษแตล ะแผน ทาํ มาจากการตดั ตน ไม ซึง่ เป็นเสมือนปราการสําคัญของโลก เรา ดังนน้ั การใชก ระดาษแตล ะแผนควรใชใ หประหยัดท้ังดา นหนา หลัง ใชเสรจ็ ควรนาํ มาเปน็ วสั ดุรอง หรือ นํามาเช็ดกระจกก็ ได นอกจากนี้การนาํ กระดาษไปเผาก็จะเกดิ ความรอนตอโลกเราเชน กัน 7. ไมสนบั สนุนกจิ การใดๆ ท่ีสิ้นเปลืองทรพั ยากรของโลกเรา และควรสนับสนุนกิจการท่มี กี ารคาํ นงึ ถึงการรักษา สงิ่ แวดลอ ม
ใบงาน ภมู ศิ าสตร์ กายภาพ เรอื่ ง ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติท่ีเกิดขึน้ ในโลก ลักษณะปรากฏการณท์ างธรรมชาติทส่ี าคัญและการป้องกันอนั ตราย 1. ปรากฏการณแเรือนกระจกคืออะไร ............................................................................................................................. ....................................................................... ........................................................................................................................................................................ ............................ ...................................................................................................... .............................................................................................. ............................................................................................................................. ....................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... ...................................................................................................................................................... .............................................. .................................................................................... ................................................................................................................ ............................................................................................................................. ....................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... 2. ในฐานะท่ีทานเปน็ สวนหน่ึงของประชากรโลกทานสามารถจะชวยปูองกันและแกไขปใญหาภาวะโลกรอนไดอยางไรใหบอก มา 5 วธิ ี ............................................................................................................................. ....................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... .................................................................................................................................... ................................................................ ................................................................................................................................................................................................ .... ............................................................................................................................. ....................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... .............................................................................................................................................................................. ...................... ............................................................................................................ ........................................................................................ ............................................................................................................................. ....................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... ........................................................................................................................................................... ......................................... .......................................................................................... .......................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................
แนวเฉลย ใบงาน ภมู ิศาสตร์ กายภาพ เรอ่ื ง ปรากฏการณท์ างธรรมชาตทิ ่เี กิดขึน้ ในโลก 1. ปรากฏการณเ์ รอื นกระจกคืออะไร คําวา เรือนกระจก (greenhouse) หมายถึง อาณาบริเวณที่ปิดลอมดวยกระจกหรือวัสดุอ่ืน ซ่ึงมีผลในการ เก็บกกั ความรอ นไวภ ายใน ในประเทศเขตหนาวนยิ มใชเรือนกระจําในการเพาะปลูกตนไมเพราะพลังงานแสงอาทิตยแสามารถ ผานเขาไปภายในไดแตความรอนท่ีอยูภายในจะถูกกักเก็บโดยกระจกไมใหสะทอน หรือแผออกสูภายนอกไดทําให แนวเฉล อุณหภูมิของอากาศภายในอบอุนและเหมาะสมตอการเจริญเติบโตของพืชแตกตางจากภายนอกท่ียังหนาวเย็น นกั วิทยาศาสตรแจึงเปรียบเทียบปรากฏการณแ ที่ความรอนภายในโลกถูกกับดักความรอนหรือก฿าซเรือนกระจก (Greenhouse agses) เก็บกักเอาไวไมใหสะทอนหรือแผออกสูภายนอกโลกวาเป็นปรากฏการณแเรือนกระจกโลกของเราตามปกติมีกลไก ควบคุมภมู ิอากาศโดยธรรมชาติอยูแลว กระจกตามธรรมชาตขิ องโลกคือก฿าซคารแบอนไดออกไซดแและไอนํ้า ซึ่งจะคอยควบคุม ใหอุณหภูมิของโลกโดยเฉลี่ยมีคาประมาณ 15 °C และถาหากในบรรยากาศไมมีกระจกตามธรรมชาติอุณหภูมิของโลกจะ ลดลงเหลือเพียง -20°C มนุษยแแ ละพชื กจ็ ะลมตายและโลกกจ็ ะเขา สูยคุ น้ําแขง็ อกี ครง้ั หนง่ึ 2. ในฐานะทีท่ ่านเป็นส่วนหนึง่ ของประชากรโลกทา่ นสามารถจะช่วยป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาภาวะโลกร้อนได้ อยา่ งไรให้บอกมา 5 วิธี 1. อาบน้าํ ดวยฝกใ บัวจะชว ย ประหยัดวา การตักนํ้าอาบหรอื ใชอ า งอาบนา้ํ ถึงคร่ึงหนึง่ ในเวลาเพยี ง 10 นาที และ ปิด นาํ้ ขณะแปรงฟใน 2. ใชหลอดไฟตะเกยี บ ประหยดั กวา หลอดธรรมดา 4 เทา ใชงานนานกวา 8 เทา แตล ะหลอดชว ยลดการปลอ ยก฿าซ คารแบอนไดออกไซดแ ได 4,500 กิโลกรัม หลอดไฟธรรมดาเปลีย่ นพลังงานนอยกวา 10% ไปเป็นแสงไฟ สวนทเี่ หลือถูก เปล่ียนไปเป็นความรอน เทากับสูญพลังงานเปลาๆ มากกวา 90% 3. ถอดปลั๊กเคร่ืองใชไฟฟาู ทุกครง้ั จากใชง าน 4. พกถงุ ผา แทนการใชถ ุงพลาสตกิ 5. เชค็ ลมยาง การขบั รถโดยทย่ี างมลี มนอย อาจทําใหเปลืองนํา้ มัน
ใบงาน ภมู ิศาสตร์ กายภาพ เรือ่ งวธิ ีใชเ้ ครือ่ งมือทางภมู ิศาสตร์ 1. แผนท่หี มายถึง .................................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... ..................................................................................................................................... ............................................................... ................................................................................................................................................................................................ .... ............................................................................................................................. ....................................................................... ............................................................................................................................. ..................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... ................................................................................................................................................................................ .................... 2. จงบอกประโยชนแของการใชแผนทีม่ า 5 ขอ ................................................................................................................................................................................................... . ............................................................................................................................. ....................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... ................................................................................................................................................................................. ................... ................................................................................................................ .................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... 3. ใหบ อกวธิ ีการใชเ ขม็ ทศิ คูกับการใชแผนที่พอสงั เขป ............................................................................................................................. ....................................................................... ....................................................................................................................................... ............................................................. ..................................................................... ............................................................................................................................. .. ............................................................................................................................. ....................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... .................................................................................................................................................................... ...............................
ใบความรู้ ภูมศิ าสตร์ กายภาพ เร่อื ง ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น้นั ไดม้ กี ารสารวจทศั นคตขิ องประชาชน ปใญหาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอม น้ันไดม ีการสาํ รวจทศั นคตขิ องประชาชนพบวา ปญใ หาสําคัญ 5 ลาํ ดบั แรก มดี งั นี้ ลําดับท่ี 1 การสูญเสยี ทรัพยากรปาุ ไม ลาํ ดับที่ 2 อทุ กภัยและภยั แลง ลาํ ดับที่ 3 ความเสื่อมโทรมของ ทรพั ยากรดนิ และการใชท ี่ดนิ ลําดบั ท่ี 4มลพษิ จากขยะ และลําดบั ท่ี 5 มลพิษทางอากาศ ความสําคัญของส่ิงแวดลอมคือ เอื้อประโยชนแใหสิ่งมีชีวิตท้ังพืชและสัตวแอยูรวมกันอยางมีความสุข มีการ พึ่งพากันอยางสมดุล มนุษยแดํารงชีพอยูไดดวยอาศัยปใจจัยพ้ืนฐานจากส่ิงแวดลอม ซึ่งประกอบดวยอาหาร อากาศ น้ํา ที่อยู อาศัย และยารักษาโรค สิ่งแวดลอมเป็นองคปแ ระกอบท่สี ําคญั ของสงิ่ มชี ีวติ ทกุ ชนิด แต “ทาํ ไมสง่ิ แวดลอ มจึงถูกทําลาย” และ เกิดปใญหามากมายทั่วทุกมุมโลก เม่ือทําการศึกษาพบวา “มนุษยแ” เป็นผูทําลายสิ่งแวดลอมมากท่ีสุด สาเหตุที่มนุษยแทําลาย ส่งิ แวดลอมเกิดจากความเห็นแกต ัวของมนษุ ยเแ อง โดยมงุ เพื่อดานวตั ถแุ ละเงนิ มาตอบสนองความตองการของตนเอง เมื่อสิ่งแวดลอมถูกทําลายมากข้ึน ผลกระทบก็ยอนกับมาทําลายตัวมนุษยแเอง เชนเกิดการเปล่ียนแปลงบรรยากาศของโลก เกิดสภาวะเรือนกระจก ภาวะโลกรอ นตลอดจนเกิดภัยธรรมชาติตางๆ เชน น้ําทวม แผนดินถลม ควันพิษ นํ้าเนาเสีย ขยะมูล ฝอย และสิ่งปฏิกูล ซ่ึงสิ่งเหลานี้มีผลโดยตรงและทางออม และไมสามารถหลีกเล่ียงไดผลกระทบจากการใชแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแหงชาติฉบับท่ี4 ของไทยเกิดจากการโดยนํานโยบายการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเขามาใชเพ่ือมุงพัฒนา เศรษฐกจิ เป็นหลกั ทาํ ใหประชาชนตน่ื ตัวในการทําไรป ลกู พชื เชิงเดย่ี ว เชน มนั สาํ ปะหลงั ออ ย ปอ จึงเกดิ การทาํ ลาย ปุาและทรัพยากรธรรมชาติเพ่ือหาพื้นท่ีในการปลูกพืชเชิงเด่ียวตามนโยบายรัฐบาล มีการใชปุยเคมี ใชยาปราบศัตรูพืช เกิด โรงงานอุตสาหกรรมจํานวนมาก แตภาครัฐยังขาดการควบคุมอยางเป็นระบบและชัดเจน จึงทําใหเกิดผลกระทบมาจนถึง ปใจจบุ นั เชนปาุ ไมถูกทาํ ลาย ดนิ เสอื่ มคุณภาพ น้ําเนาเสยี เกดิ สารเคมีสะสมในแหลงนํ้าและดิน เกดิ มลพษิ ซ่ึงสิง่ เหลา นเี้ กดิ ผลกระทบโดยตรงและโดยออม ตอสุขภาพและการดํารงชีวิตของประชาชน ทําใหเกิดความเสยี หายตอประเทศโดยรวม จากการศึกษาของนักวิชาการ พบวา การแกไขปใญหาสิ่งแวดลอมตองแกท่ีตัว“มนุษยแ” น่ันคือจะตองใหความรู ความเขาใจ ธรรมชาติ เจตคติ มีคุณธรรมจริยธรรม และสรางจิตสํานึกใหเกิดความตระหนักตอส่ิงแวดลอม ตอประชาชน โดยเรียนรูจาก แหลง เรยี นรูใหมๆ สรา งความตระหนกั ในปใญหาทเี่ กดิ ขึ้น และสรางการมีสว นรวมในการปอู งกันและ แกไขปญใ หาที่เกดิ ขนึ้ ปญใ หาสง่ิ แวดลอ มสําคัญๆ ดัวตอ ไปนี้ คือ 1. ป่าไม้“ปุาไม” เป็นศูนยแรวมของสรรพชีวิต เป็นที่กอกําเนิดสายน้ํา ชีวิตพืชและสัตวแท่ีหลากหลายอีกทั้งเป็นที่ พง่ึ พิงและใหประโยชนแแ กมนุษยแมาแตโบราณกาล เพราะปุาไมชวยรักษาสมดุลของธรรมชาติ และสิ่งแวดลอม ควบคุมสภาพ ดนิ ฟาู อากาศ กําบงั ลมพายุ ปอู งกนั บรรเทาอุทกภยั ปอู งกันการพังทลายของหนาดิน เป็นเสมอื นเขอ่ื นธรรมชาติที่ปอู งกนั การ ตื้นเขนิ ของแมน ้าํ ลําคลอง เปน็ แหลง ดดู ซับกา฿ ซคารแบอนไดออกไซดแ และเป็นโรงงานผลิตออกซิเจนขนาดใหญ เป็นคลังอาหาร และยาสมนุ ไพร และปุาไมยังเปน็ แหลง ศกึ ษาวิจัยและเป็นสถานที่พักผอนหยอนใจของมนุษยแ นอกจากนี้ในผืนปุายังมีสัตวแปุา นานาชนดิ ซ่งึ มี ประโยชนตแ อ มนษุ ย่แ ละสิง่ มีชีวิตอ่ืนๆ ในหลายลักษณะ ได่แ ก การรกั ษาสมดลุ ของระบบนิเวศ เชน การ ควบคุมปริมาณสัตวแปุาใหอยูในภาวะสมดุล การชวยแพรพันธแุพืช การควบคุมแมลงศัตรูพืช เป็นปุยใหกับดินในปุา เป็นตน การเป็นแหลงพันธุกรรมท่ีหลากหลาย การเป็นอาหารของมนุษยแและสัตวแอ่ืน และการสรางรายไดใหแกมนุษย แ เชน การค่า จากช้ินสวนตางๆ ของสัตวแปุา การจําหนาย สัตวแปุา และการเปิดใหบริการ ชมสวนสัตวแ เป็นตน ดังนั้น จึงนับวาปุาไมให คุณประโยชนแทั้งทางตรงและทางออ มแกมวลมนุษยแเป็นอยางมากมาย หากปุาไมเส่ือมโทรม ชีวิตความเป็นอยูของมนุษยแและ สัตวอแ ยางหลีกเล่ยี งไมได
ประเภทของป่าไม้ในประเทศไทย ประเภทของปุาไมจ ะแตกตา งกนั ไปข้ึนอยูกบั การกระจายของฝน ระยะเวลาทฝ่ี นตกรวมทง้ั ปริมาณนํ้าฝนทําใหป ุาแต ละแหง มีความชมุ ชน้ื ตางกัน สามารถจาํ แนกไดเปน็ 2 ประเภทใหญๆ คอื 1. ปุาประเภทท่ีไมผ ลดั ใบ (Evergreen) 2. ปาุ ประเภทท่ผี ลัดใบ (Deciduous) ป่าประเภทท่ีไม่ผลัดใบ (Evergreen)ปาุ ประเภทนมี้ องดูเขียวชอมุ ตลอดปี เนอื่ งจากตน ไมแทบทั้งหมดท่ีขน้ึ อยเู ป็น ประเภทที่ไมผ ลัดใบ ปุาชนดิ สําคัญซึ่งจดั อยูในประเภท น้ี ไดแ ก 1. ปา่ ดงดิบ (Tropical Evergreen Forest or Rain Forest)ป่าดงดิบทีม่ ีอยู่ทั่วในทุกภาคของประเทศ แตท่ ี่มี มากที่สดุ ได้แก่ ภาคใต้และภาคตะวันออก ในบริเวณนม้ี ีฝนตกมากและมีความชน้ื มากในท้องทีภ่ าคอ่นื ปา่ ดงดบิ มักกระจายอยู่บริเวณท่ีมีความชุ่มชน้ื มากๆ เช่น ตามหบุ เขา ริมแมน่ ้าลาธาร หว้ ย แหล่งน้า และบนภเู ขา ซ่ึงสามารถ แยกออกเปน็ ป่าดงดิบชนิดตา่ งๆ ดงั นี้ 1.1 ปุาดิบช้ืน เป็นปุารกทึบมองดูเขยี วชอุมตลอดปีมีพนั ธแุไมห ลายรอยชนดิ ขนึ้ เบียดเสียดกันอยูมกั จะพบกระจัด กระจายตัง้ แตค วามสูง 600 เมตร จากระดับน้าํ ทะเล ไมท่ีสาํ คญั ก็คือ ไมตระกูลยางตางๆ เชน ยางนา ยางเสยี น สวนไมช นั้ รอง คอื พวกไมกอเชน กอนํ้า กอเดือย 1.2 ปาุ ดิบแลง เป็นปาุ ทอ่ี ยูใ นพื้นท่ีคอนขา งราบมีความชุม ชืน้ นอ ย เชน ในแถบภาคเหนือและภาค ตะวันออกเฉยี งเหนือมกั อยสู งู จากระดบั นาํ้ ทะเลประมาณ 300-600 เมตรไมท่สี าํ คัญ ไดแ ก มะคาโมง ยางนา พะยอม ตะเคียนแดง กระเบากลัก และตาเสือ 1.3 ปุาดบิ เขา ปาุ ชนิดนเ้ี กดิ ข้ึนในพน้ื ทสี่ งู ๆ หรือบนภูเขาตงั้ 1,000-1,200เมตร ขนึ้ ไปจากระดบั น้าํ ทะเล ไม สวนมากเปน็ พวก Gymnosperm ไดแก พวกไมข ุนและสนสามพันปี นอกจากน้ยี ังมีไมต ระกูลกอขึน้ อยู พวกไมช ้ันทส่ี อง รองลงมา ไดแก สะเดาชางและขมนิ้ ชนั 2. ป่าสนเขา (Pine-Forest)ปาุ สนเขามกั ปรากฏอยูตามภูเขาสงู สวนใหญเปน็ พนื้ ท่ซี ง่ึ มีความสูงประมาณ 200- 1,800 เมตร ขึน้ ไปจากระดับน้าํ ทะเลในภาคเหนอื ภาคกลาง และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือบางทีอาจปรากฏในพนื้ ท่ีสูง 200-300 เมตร จากระดบั นํ้าทะเลในภาคตะวันออกเฉียงใต ปาุ สนเขามลี กั ษณะเปน็ ปาุ โปรง ชนดิ พันธไุแ มท ่สี าํ คัญของปาุ ชนดิ นคี้ ือ สนสองใบ และสนสามใบ สว นไมช นดิ อ่ืนทข่ี นึ้ อยูดวยไดแกพันธุแไมป ุาดบิ เขา เชน กอชนิดตา งๆ หรือพันธแไุ มป ุาแดง บางชนิด คือ เต็ง รงั เหียง พลวง เปน็ ตน 3. ป่าชายเลน (Mangrove Forest)บางทเี รียกว่า “ป่า เลนน้าํ เค็ม” หรอื ป่า เลน มตี น ไมข ้ึนหนาแนน แตล ะชนดิ มีรากค้าํ ยันและรากหายใจ ปุาชนิดนปี้ รากฏอยตู ามท่ดี นิ และรมิ ทะเลหรอื บรเิ วณปากน้าํ แมนํ้าใหญๆ ซง่ึ มนี ํา้ เค็มทวมถึงในพน้ื ทีภ่ าคใตมีอยตู ามชายฝ่งใ ทะเลทง้ั สองดา น ตามชายทะเลภาคตะวนั ออกมีอยทู ุกจังหวัดแตทีม่ ากทีส่ ดุ คอื บริเวณปากน้ําเวฬุ อาํ เภอขลงุ จังหวดั จนั ทบุรีพนั ธแุไมทขี่ นึ้ อยตู ามปุาชายเลน สวนมากเปน็ พนั ธุแไมขนาดเลก็ ใชประโยชนแ สําหรับการเผาถาน และทาํ ฟืนไมชนิดท่สี าํ คัญ คอื โกงกาง ถ่วั ขาว ถวั่ ขาํ โปรง ตะบนู แสมทะเล ลาํ พนู และลําแพน ฯลฯ สว นไมพ ้ืนลางมักเป็นพวก ปรงทะเล เหงือกปลาหมอ และปอทะเลเปน็ ตน
4. ปา่ พรหุ รอื ป่าบึงนา้ จืด (Swamp Forest)ปุาชนิดน้มี ักปรากฏในบริเวณท่ีมีนํ้าจดื ทว มมากๆ ดินระบายนํา้ ไมดี ปาุ พรุในภาคกลาง มลี กั ษณะโปรง และมตี นไมข้นึ อยหู า งๆ เชน สนนุ จิก โมกบาน หวายนํ้า หวายโปรง ระกาํ ออ และแขม ในภาคใตป าุ พรมุ ีข้นึ อยตู ามบริเวณทมี่ นี าํ้ ขังตลอดปี ดินปุาพรุ ท่มี เี น้ือทม่ี ากทสี่ ุดอยูใ นบริเวณจงั หวัดนราธิวาส ดนิ ปาุ พรุเป็น ซากพชื ผสุ ลายทบั ถมกนั เป็นเวลานาน ปุาพรุแบงออกได 2 ลกั ษณะ คอื ตามบริเวณซึ่งเป็นพรุน้ํากรอยใกลชายทะเลตน เสมด็ จะขึ้นอยหู นาแนน พนื้ ที่มีตน กกชนดิ ตางๆ เรียก “ปาุ พรเุ สม็ด หรอื ปุาเสมด็ ” อีกลักษณะเปน็ ปาุ ที่มีพนั ธแุไมต างๆ มาก ชนดิ ขน้ึ ปะปนกนั ชนิดพนั ธุไแ มที่สําคญั ของปาุ พรุ ไดแ ก อินทนลิ นา้ํ หวา จกิ โสกน้ํา กระทุม น้ํากนั เกรา โงงงนั ไมพน้ื ลาง ประกอบดวย หวาย ตะคาทอง หมากแดง และหมากชนดิ อ่ืนๆ 5. ป่าชายหาด (Beach Forest)เป็นปุาโปรงไมผลัดใบขนึ้ อยูตามบริเวณหาดชายทะเล นา้ํ ไมท วมตามฝงใ่ ดนิ และ ชายเขารมิ ทะเล ตน ไมส ําคญั ทข่ี นึ้ อยตู ามหาดชายทะเล ตองเป็นพชื ทนเค็ม และมักมีลักษณะไมเปน็ พมุ ลักษณะตน คองอ ใบ หนาแข็ง ไดแก สนทะเล หกู วาง โพธท์ิ ะเล กระทิงตีนเปด็ ทะเล หยนี าํ้ มกั มตี น เตยและหญ่า ต่า งๆ ขน้ึ อยู่เ ปน็ ไมพ ื้นล่า ง ตามฝง่ั ดินและชายเขามักพบ มะคาแต กระบองเพชร เสมา และไมหนามชนิดตา งๆ เชน ซงิ ซ่ี หนามหนั กาํ จาย มะดันขอ เป็นตน ป่าประเภทท่ผี ลดั ใบ ตน ไมท ่ีขนึ้ อยูในปาุ ประเภทน้เี ป็นจําพวกผลัดใบแทบท้งั สน้ิ ในฤดฝู นปุาประเภทน้ี จะมองดเู ขยี วชอุมพอถงึ ฤดูแลงตนไม สวนใหญจะพากนั ผลดั ใบทําใหปาุ มองดูโปรงข้นึ และมักจะเกดิ ไฟปาุ เผาไหมใบไมและ ตนไมเลก็ ๆ ปาุ สาํ คัญซ่ึงอยใู นประเภทน้ี ไดแ ก 1. ปา่ เบญจพรรณ ปาุ ผลัดใบผสมหรอื ปาุ เบญจพรรณมีลักษณะเป็นปุาโปรง และยงั มีไมไผชนิดตางๆขน้ื อยูกระจัด กระจายท่วั ไปพน้ื ท่ดี ินมักเปน็ ดนิ รว นปนทราย ปุาเบญจพรรณ ในภาคเหนอื มกั จะมีไมส กั ขึ้นปะปนอยทู ัว่ ไปครอบคลมุ ลง มาถึงจงั หวดั กาญจนบุรี ในภาคกลางในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ และภาคตะวันออก มีปุาเบญจพรรณนอยมากและกระจัด กระจาย พนั ธแุไมชนิดสาํ คญั ไดแก สกั ประดูแ ดง มะคา โมง ตะแบก เสลา ออยชา ง ลา น ยมหอมยมหนิ มะเกลือ เก็ดดํา เกด็ แดง ฯลฯ นอกจากนม้ี ีไมไผที่สําคัญ เชน ไผปาุ ไผบ งไผซาง ไผร วก ไผไร เป็นตน 2. ปา่ เตง็ รงั หรอื ที่เรยี กกนั ว่าปา่ แดงปุาแพะ ปาุ โคก ลักษณะท่ัวไปเป็นปาุ โปรง ตามพื้นปาุ มักจะพบตน ปรง และ หญาเพก็ พื้นทแ่ี หงแลงดนิ รว นปนทราย หรอื กรวด ลูกรงั พบอยูท่ัวไปในที่ราบและทีภ่ เู ขา ในภาคเหนอื สว นมากขนึ้ อยูบ นเขาทีม่ ดี นิ ต้นื และแหง แลง มาก ในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื มปี ่า แดงหรือป่า เตง็ รังนมี้ ากทีส่ ุด ตามเนินเขาหรือทรี่ าบดนิ ทราย ชนิดของพนั ธุ่ไ ม่ทสี้ าํ คัญในป่า แดง หรือป่า เตง็ รัง ได่แ ก เต็ง รงั เหียง พลวง กราด พะยอม ตว้ิ แตว มะค่า แต ประดู แดง สมอไทย ตะแบก เลือดแสลงใจ รกฟูา ฯลฯ สว นไมพน้ื ลางท่ีพบมาก ไดแ ก มะพราวเตา ปุมแปูง หญา เพ็ก ปรง และหญาชนดิ อื่นๆ 3. ปุาหญา้ (Savannas Forest) ปาุ หญ้าท่ีอยทู่ ุกภาคเกิดจากปุาที่ถกู แผว้ ถางทาลายบรเิ วณพ้ืนดนิ ท่ีขาดความ สมบูรณ์ และถูกทอดทิ้ง หญ้าชนดิ ต่าง ๆ จงึ เกดิ ขนึ้ ทดแทนและพอถงึ หน้าแล้งกเ็ กิดไฟไหม้ทาให้ต้นไม้บริเวณข้างเคยี งล้มตาย พื้นทีป่ าุ หญา้ จึงขยายมากขนึ้ ทุกปี พชื ทพี่ บมากที่สดุ ในปาุ หญ้าคือ หญ้าคา หญา้ ขนตาช้าง หญ้าโขมง หญา้ เพก็ และปุมแปงู บริเวณท่ีพอจะมคี วามชน้ื อยบู่ ้าง และการระบายนา้ ได้ดีก็มักจะพบพงและแขมขน้ึ อยู่ และอาจพบตน้ ไม้ทนไฟขน้ึ อยู่ เช่น ตบั เตา่ รกฟูา ตานเหลือ ตว้ิ และแต้ว
ประโยชนข์ องทรัพยากรป่าไม้ ปุา ไมนอกจากเปน็ ที่รวมของพันธแุพืชและพนั ธแุสัตวแจาํ นวนมาก ปาุ ไมย ังมปี ระโยชนแ มากมายตอ การดาํ รงชีวิตของมนุษยแทั้งทางตรงและทางออม ดังนี้ ประโยชนท์ างตรง ไดแ ก ปจใ จยั 4 ประการ 1. จากการนําไมมาสรางอาคารบานเรือนและผลติ ภัณฑแตา งๆ เชน เฟอรนแ ิเจอรแกระดาษ ไมข ดี ไฟ ฟนื เป็นตน 2. ใชเปน็ อาหารจากสว นตางๆ ของพชื ทะเล 3. ใช่เ สน ใย ทไี่ ดจ ากเปลือกไม่แ ละเถาวลั ยมแ าถกั ทอ เปน็ เครอื่ งนุง หม เชอื กและอื่นๆ 4. ใชทาํ ยารกั ษาโรคตา งๆ ประโยชนท์ างออ้ ม 1. ปุาไมเ ป็นเปน็ แหลง กําเนดิ ตนนาํ้ ลาํ ธารเพราะตนไมจ ํานวนมากในปุาจะทาํ ใหนา้ํ ฝนที่ตกลงมาคอย ๆ ซึมซบั ลงใน ดนิ กลายเป็นนํา้ ใตด นิ ทซี่ ่ึงจะไหลซึมมาหลอ เลี้ยงใหแมน าํ้ ลาํ ธารมีนํา้ ไหลอยูตลอดปี 2. ปาุ ไมทาํ ใหเ กิดความชุมช้ืน และควบคมุ สภาวะอากาศ ไอน้าํ ซงึ่ เกิดจากการหายใจของพชื ซ่ึงเกดิ ข้ึนอยูมากมาย ในปุาทําใหอากาศเหนือปุามคี วามชน้ื สูงเมอ่ื อุณหภมู ิลดตาํ่ ลงไอน้าํ เหลา นัน้ กจ็ ะกลั่นตัวกลายเป็นเมฆแลว กลายเปน็ ฝนตกลง มา ทาํ ใหบรเิ วณที่มีพน้ื ปุาไมมีความชมุ ช้นื อยเู สมอ ฝนตกตองตามฤดกู าลและไมเ กิดความแหงแลง 3. ปุาไมเ ปน็ แหลง พักผอ นและศึกษาความรู บริเวณปาุ ไมจะมีภูมปิ ระเทศทีส่ วยงามจากธรรมชาติรวมทงั้ สัตวปแ ุาจึง เป็นแหลงพกั ผอนไดศ กึ ษาหาความรู 4. ปาุ ไมชว ยบรรเทาความรนุ แรงของลมพายุ และปูองกันอุทกภัย โดยชวยลดความเรว็ ของลมพายุที่พัดผา นไดตัง้ แต 11 – 44% ตามลักษณะของปุาไมแตล ะชนิด จงึ ชว ยใหบา นเมอื งรอดพนจากวาตภยั ไดซึ่งเป็นการปูองกนั และควบคุมนํา้ ตามแมน้ําไมใหส ูงขนึ้ มารวดเร็วลน ฝใ่งกลายเป็นอทุ กภยั 5. ปาุ ไมช วยปูองกนั การกดั เซาะและพดั พาหนา ดนิ จากน้ําฝนและลมพายโุ ดยลดแรงปะทะลงการหลุดเลอื่ นของดนิ จงึ เกดิ ข้นึ นอย และยงั เปน็ การชว ยใหแมน้าํ ลาํ ธารตางๆไมต้ืนเขนิ อีกดวย นอกจากน้ปี ุาไมจะเปน็ เสมือนเคร่ืองกีดขวางตาม ธรรมชาติ จึงนบั วามปี ระโยชนใแ นทางยุทธศาสตรแดวยเชน กัน สาเหตุสาคญั ของวกิ ฤตการณ์ปา่ ไม้ในประเทศไทย 1. การลักลอบตัดไมท ําลายปุา ตวั การของปใญหานค้ี ือ นายทุนพอคา ไม เจาของโรงเลือ่ ย เจาของโรงงานแปรรูปไม ผูรับสัมปทานทําไมแ ละชาวบานทั่วไป ซง่ึ การตดั ไมเพื่อเอาประโยชนจแ ากเนื้อไมทั้งวิธีที่ถูกและผดิ กฎหมาย ปรมิ าณปุาไมท ี่ถกู ทาํ ลายน้ีนบั วนั จะเพ่ิมขนึ้ เร่ือยๆ ตามอัตราเพิม่ ของจาํ นวนประชากร ยิ่งมีประชากรเพ่มิ ข้นึ เทา ใด ความตอ งการในการใชไ มก็ เพ่ิมมากข้ึน เชน ใชไ มใ นการปลกู สรา งบา นเรอื น เครือ่ งมือเครอื่ งใชในการเกษตรกรรม เครื่องเรือนและถานในการหุงตม เป็น ตน 2. การบุกรุกพน้ื ที่ปุาไมเพื่อเขาครอบครองที่ดนิ เม่อื ประชากรเพ่ิมสงู ขน้ึ ความตองการใชท ดี่ นิ เพื่อปลูกสรางท่ีอยู อาศยั และท่ดี ินทํากินก็อยสู ูงขึ้น เป็นผลผลักดนั ใหราษฎรเขาไปบกุ รุกพน้ื ทีป่ ุาไม แผว ถางปุา หรือเผาปาุ ทาํ ไรเล่อื นลอย นอกจากนย้ี ังมีนายทุนท่ดี ินท่ีจา งวานใหราษฎรเขาไปทาํ ลายปาุ เพ่อื จบั จองทีด่ นิ ไวขายตอ ไป 3. การสงเสริมการปลูกพชื หรือเลย้ี งสัตวเแ ศรษฐกิจเพื่อการสงออก เชน มนั สาํ ปะหลงั ปอ เปน็ ตน โดยไมส ง เสรมิ การ ใชทด่ี ินอยา งเต็มประสทิ ธภิ าพทั้งๆ ทีพ่ ้ืนทีป่ าุ บางแหง ไมเหมาะสมทจ่ี ะนาํ มาใชในการเกษตร
4. การกาํ หนดแนวเขตพน้ื ที่ปุากระทําไมช ดั เจนหรือไมก ระทาํ เลยในหลาย ๆ พน้ื ที่ทําใหเ กิดการพิพาทในเรื่องที่ดิน ทํากนิ ของราษฎรและทด่ี นิ ปุาไมอยูตลอดเวลา และเกดิ ปใญหาในเร่อื งกรรมสทิ ธ์ิทด่ี ิน 5. การจัดสรางสาธารณูปโภคของรฐั เชน เข่อื น อางเกบ็ นาํ้ เสนทางคมนาคม การสรางเขือ่ นขวางลาํ นํา้ จะทําให พืน้ ทเ่ี ก็บนํ้าหนาเขื่อนที่อดุ มสมบูรณแถูกตัดโคนมาใชป ระโยชนแสวนตน ไมข นาดเล็กหรือที่ทาํ การยายออกมาไมทนั จะถูกน้ํา ทวมยืนตนตาย เชน การสรา งเข่ือนรชั ประภาเพ่ือก้ันคลองพระแสงอันเป็นสาขาของแมน้าํ พุมดวง แมนํา้ ตาปี ทาํ ใหน ้าํ ทวมบริเวณปุาดงดิบซ่ึงมีพันธุแไมหนาแนน และสตั วแนานาชนิดเปน็ บริเวณนบั แสนไร ตอมาจงึ เกิดปใญหานาํ้ เนา ไหลลงลําน้าํ พุ มดวง 6. ไฟไหมป าุ มกั จะเกิดข้ึนในชวงฤดูแลง ซงึ่ อากาศแหงแลง และรอ นจดั ทั้งโดยธรรมชาติและจากการกระทาํ ของ มนษุ ยแท่ีอาจลกั ลอบเผาปุาหรือเผลอ จดุ ไฟทิง้ ไว 7. การทาํ เหมอื งแร แหลง แรที่พบในบรเิ วณที่มปี ุาไมป กคลุมอยู มีความจาํ เป็นที่จะตองเปิดหนา ดนิ กอนจึงทาํ ใหปุา ไมท ี่ข้นึ ปกคลุมถูกทําลายลง เสนทางขนยายแรในบางครง้ั ตองทาํ ลายปาุ ไมลงเปน็ จํานวนมากเพือ่ สรา งถนนหนทาง การ ระเบดิ หนาดนิ เพอ่ื ใหไดมาซ่ึงแรธาตุ สง ผลถึงการทาํ ลายปาุ การอนุรกั ษ์ป่าไม้ ปาุ ไมถูกทําลายไปจํานวนมาก จึงทําใหเกิดผลกระทบตอสภาพภูมอิ ากาศไปทั่วโลกรวมทง้ั ความ สมดลุ ในแงอ น่ื ดวย ดังนน้ั การฟน้ื ฟสู ภาพปุาไมจ ึงตองดาํ เนินการเรง ดวน ทัง้ ภาครัฐภาคเอกชนและ ประชาชน ซงึ่ มีแนวทาง ในการกําหนดแนวนโยบายดานการจดั การปุาไม ดงั น้ี 1. นโยบายดานการกําหนดเขตการใชป ระโยชนแที่ดินปุาไม 2. นโยบายดานการอนรุ ักษแทรพั ยากรปาุ ไมเก่ยี วกบั งานปูองกนั รกั ษาปาุ การอนรุ กั ษแสง่ิ แวดลอ ม 3. นโยบายดานการจดั การที่ดินทาํ กนิ ใหแกร าษฎรผยู ากไรในทอ งถิ่น 4. นโยบายดานการพฒั นาปุาไม เชน การทําไมและการเกบ็ หาของปุา การปลูกและการบํารุงปุาไม การคน ควาวิจัย และดานการอตุ สาหกรรม 5. นโยบายการบรหิ ารทั่วไปจากนโนบายดงั กลา วขา งตนเป็นแนวทางในการพฒั นาและการจัดการทรัพยากรปุาไม ของชาตใิ หไดรับผลประโยชนแ ท้ังทางดานการอนรุ ักษแและดานเศรษฐกจิ อยางผสมผสาน ท้งั นเ้ี พื่อใหเกดิ ความสมดลุ ของ ธรรมชาติและมีทรัพยากรปาุ ไมไ วอ ยา งย่ังยนื ตอไปในอนาคต สถานการณท์ รพั ยากรปา่ ไม้ การใชประโยชนจาแ กพื้นทีป่ ุา อยา งตอ เนื่องในชวงสีท่ ศวรรษทีผ่ า นมาทําใหปู ระเทศ ไทยสูญเสีย พนื้ ท่ปี าุ ไมแลวประมาณ 67 ลา นไร หรือเฉลย่ี ประมาณ 1.6 ลา นไรตอปี กลาวคือปี พ. ศ. 2504 ประเทศไทย มพี ืน้ ทปี่ ุาอยถู ึงรอ ยละ 53.3 ของพ้นื ทีป่ ระเทศ หรอื ประมาณ171 ลา นไร และลดลงมาโดยตลอดจนในปี พ.ศ. 2532 ประเทศไทยเหลือพืน้ ทป่ี ุาเพยี งรอ ยละ 27.95 ของพืน้ ทที่ ั้งหมด หรอื ประมาณ 90 ลานไร รฐั บาลในอดีตไดพยายามจะ รักษา พ้ืนท่ีปาุ โดยประกาศยกเลกิ สัมปทานการทาํ ไมในปุาท้ังหมด ในปพี .ศ. 2532 แตห ลงั จากยกเลกิ สัมปทานปุาไม สถานการณแ ดีขึน้ ในระยะแรกเทานั้น ตอ มาการทาํ ลายกย็ งั คงเกดิ ขน้ึ ไมแตกตา งจากสถานการณแกอ นยกเลิกสมั ปทานปุาไมเทาใดนัก โดย พื้นทป่ี าุ ท่ีถกู บุกรกุ กอนการยกเลิกสมั ปทาน (ปี พ.ศ. 2525-2532) เฉล่ยี ตอปีเทา กับ 1.2 ลานไร และพน้ื ทีป่ ุาท่ี ถูกบุกรุกหลังการยกเลกิ สัมปทาน (ปี พ.ศ. 2532-2541) เฉล่ยี 1.1 ลา นไรตอปี (ตารางที่ 1) 2. ภเู ขา และแรธ่ าตุ ภูเขา เป็นแหลง ตน กาํ เนดิ ของแรธาตุ ปุา และแหลงน้ําทีส่ ําคัญของประเทศไทยภาคเหนือเป็น ภาคทีอ่ ดุ มดวยทรัพยากรแรธาตุภาคหนงึ่ ของประเทศไทย เพราะมภี มู ิประเทศท่ีมโี ครงสรางเป็นภูเขา เนินเขาและแอง แผนดิน ในยุคกลางเกา กลางใหม ท่ีบรเิ วณตอนกลางทผ่ี านการผกุ รอนและมีการเปลยี่ นแปลงของแผน ดนิ โดยเฉพาะภูเขา
ทางตะวนั ตกทเี่ ปน็ แนวของทิวเขา อุดมดวยแรโ ลหะ แรอโลหะและแรเ ช้ือเพลิงแรโ ลหะ ทีส่ าํ คญั ท่ีพบตามภเู ขาหนิ แกรนติ ใน ภาคเหนอื ไดแก 1. แรด บี ุก แหลง แรดบี กุ ที่พบในภาคเหนอื อยใู นเขตภูเขาของจังหวัดท่ีอยทู างเหนือและทางภาคตะวนั ตกของภาค คือ จงั หวัดแมฮอ งสอน จังหวัดเชียงใหม จังหวดั ลําปางจงั หวดั เชยี งราย แตม ปี รมิ าณการผลติ ไมม ากเทากบั แหลง ดีบุกสาํ คญั ทางภาคใต 2. ทังสเตนหรือวุลแฟรม ทีพ่ บมากในภาคเหนอื คอื แหลงแรซีไรทแ เป็นแรท ี่สําคญั ทางเศรษฐกจิ การคา และยทุ ธ ปใจจยั สาํ คัญ มีการทาํ เหมืองที่ อําเภอดอยหมอก อาํ เภอเวียงปาุ เปาู จงั หวัดเชียงราย และพบแถบภูเขาสงู ในเขต จงั หวัด แมฮองสอนมเี หมืองดาํ เนินการผลิตถงึ 10 เหมอื ง ท่ีสาํ คัญคอื เหมืองที่ อาํ เภอแมลานอย เหมืองหว ยหลวง และเหมือง แมสะเรยี ง ทางดา นตะวนั ตกของลุมนํ้ายม 3. ตะกวั่ และสังกะสี แรตะก่ัวและสงั กะสีมักจะเกิดรวมกันแตทพ่ี บยังมีปริมาณนอยไมเพียงพอ ทีจ่ ะนํามาใชใ นเชงิ พาณชิ ยแเหมือนท่ีพบในภาคตะวันตก ภาคเหนือมีแหลง แรตะก่ัวและสงั กะสีในแถบจังหวัดแมฮ อ งสอน จงั หวัดเชียงใหม จงั หวัดลาํ ปางและ จงั หวดั แพร 4. ทองแดง แหลง แรทองแดงมีอยูหลายในแหงประเทศ แตเป็นแหลงแรทม่ี ีมูลคาทางเศรษฐกิจเพียงไมกแี่ หง บริเวณท่ีพบ ไดแก ในเขตจงั หวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเชน จังหวัดนครราชสมี า จงั หวัดเลย แตทภ่ี าคเหนือพบในเขต จงั หวดั อตุ รดติ ถแ จังหวัดแพร จงั หวัดนา น และ จงั หวัดลาํ ปาง 5. เหล็ก แหลง แรเหลก็ ในประเทศไทยมีหลายแหง เชน กัน ท้งั ท่กี ําลงั มีการผลติ ทผ่ี ลติ หมดไปแลว แตแ หลงท่นี า สนใจ ที่อาจมีคา ในอนาคต ไดแ กท ่ี อําเภอตาคลี จงั หวดั นครสวรรค แ ทีเ่ ขาทบั ควาย จงั หวัดลพบุรี แหลง ภูยาง อําเภอเชยี งคาน จังหวัดเลย แหลง อึมครึมจงั หวดั กาญจนบรุ ี ในภาคเหนอื พบท่ี อาํ เภอแมแจม จงั หวดั เชียงใหม แหลง เดมิ อาํ เภอเถนิ จงั หวดั ลาํ ปาง 6. แมงกานสี แหลงแมงกานีสในภาคเหนือมีแหลง ผลติ ที่สาํ คัญอยใู น จังหวดั ลําพูนจังหวัดเชยี งใหม จงั หวัดลําปาง จงั หวัดแพร จงั หวดั เชยี งราย และ จงั หวดั นา น 7. นิกเกิลและโครเมียม พบที่ บานหวยยาง อาํ เภอทาปลา จงั หวัดอตุ รดติ ถแ นอกจากนย้ี งั มีแรโครไมตแทใี่ หโ ลหะ โครเมียม ซ่ึงเปน็ แรผสมเหลก็ แรอ่ โลหะ ทีส่ าคัญท่ีพบในภาคเหนอื ได้แก่ 1. ฟลูออไรตแ แหลง แรฟ ลูออไรตทแ ส่ี าํ คญั ของประเทศพบในภาคเหนือและภาคตะวนั ตก ไดแก ท่ี อําเภอบา นโฮง อําเภอปาุ ซาง จังหวดั ลาํ พนู อาํ เภอฝาง แมแจม อาํ เภอฮอด อาํ เภออมกเอย จังหวัดเชยี งใหม อาํ เภอแมสะเรยี ง จังหวัด แมฮ องสอน นอกจากนก้ี ็มที ่ีภาคตะวนั ตก และภาคใตข องไทยอกี ดวย 2. แบไรตแ แหลงแรแบไรตแท่สี ําคัญ นอกจากจะมมี ากในภาคใตท ีบ่ ริเวณเขาหลวงจังหวดั นครศรธี รรมราชและใน จังหวดั สรุ าษฏรแธานแี ลว ยังมีแหลงสาํ คัญในภาคเหนืออีกที่บรเิ วณภไู มตอง อําเภอดอยเตา อําเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม นอกจากนี้ยงั มใี น จังหวัดแมฮ องสอน จงั หวดั ลาํ พูน ลําปาง อตุ รดิตถแ เชยี งราย และแพร 3. ยปิ ซมั แหลงยปิ ซัมท่สี ําคัญมีท่ี จังหวัดนครสวรรคแแ ละพจิ ติ ร ในภาคเหนือไดแ กแ หลงแมเ มาะ อําเภอแมเมาะ จังหวดั ลําปาง แหลงแมก ัว๊ ะ อําเภอเกาะคา จงั หวดั ลาํ ปางและแหลงสองหอง อําเภอนาํ้ ปาด จงั หวดั อตุ รดติ ถแ 4. ฟอสเฟต มีแหลง เลก็ ๆ อยูที่ ต.นาแกว อาํ เภอเกาะคา จังหวัดลาํ ปาง 5. ดนิ ขาวหรือเกาลนิ ไดม ีการพบและผลติ ดนิ ขาวในหลายบรเิ วณทัง้ ภาคเหนือ ภาคกลางและภาคใต ในภาคเหนอื มี แหลงดนิ ขาวที่ อาํ เภอแจหม จงั หวดั ลาํ ปาง นอกจากน้ยี งั มีแรอโลหะอ่ืนๆ ทีพ่ บในภาคเหนืออีกเชน แรหนิ มา ที่ จังหวดั เชยี งใหม แมฮ องสอน แรใยหินพบใน จังหวดั อุตรดติ ถแ แรเ่ ช้ือเพลิง ที่สําคญั ทางเศรษฐกิจ คอื มกี ารนํามาใชเป็นเชื้อเพลงิ สําคัญในโรงงานไฟฟาู เคร่ืองจักรกล โรงงาน อุตสาหกรรมเคมภี ณั ฑแและในกิจกรรมขนสงตาง ๆ เชน ในเครอื่ งบนิ รถยนตแ เรอื ยนตแ เปน็ ตน 1. หินน้าํ มัน พบที่ บานปาุ คา อําเภอล้ี จงั หวดั ลาํ พนู แตย งั ไมไ ดน ํามาใชประโยชนแในเชงิ พาณชิ ยแ เน่อื งจากการแยก นํ้ามนั ออกจากหินน้ํามันตองลงทนุ สงู
2. ปิโตรเลี่ยม นาํ้ มนั ดิบ ก฿าซธรรมชาตเิ หลว พบท่ี อาํ เภอฝาง จังหวัดเชยี งใหมน ํามาใชเป็นนา้ํ มนั หลอ ลนื่ นํา้ มัน ดเี ซลหมนุ เรว็ ปานกลางและน้ํามันเตา 3. ลิกไนตแ พบที่ อาํ เภอแมเ มาะ อาํ เภอแมทะ จงั หวดั ลําปาง ใชเป็นเชื้อเพลิงในโรงงานบมยาโรงไฟฟาู 3. แหล่งน้า ปัญหาเกีย่ วกบั ทรพั ยากรน้า จากพฤตกิ รรมการบรโิ ภคทรัพยากรธรรมชาติของมนุษยแ ซึ่งมผี ลกระทบตอสภาวะ แวดลอ มในโลก โดยเฉพาะปใญหาเกี่ยวกบั ทรัพยากรน้าํ ซึง่ เป็นปใจจัยสาํ คัญในการดํารงชีวติ ของมนุษยแ เพราะนา้ํ ไดใชในการ บริโภคและผลติ เคร่อื งอุปโภคตางๆ ปใจจุบนั ปใญหาทรัพยากรนํ้า มดี ังน้ี 1. ปญใ หาทางดานปริมาณ 1) การขาดแคลนนํา้ หรือภยั แลง สาเหตุที่สาํ คญั ไดแก 1.1 ปาุ ไมถูกทําลายมากโดยเฉพาะปุาตนนาํ้ ลําธาร 1.2 ลักษณะพน้ื ทีไ่ มเ หมาะสม เชนไมมีแหลง น้าํ ดนิ ไมด ูดซับนํ้า 1.3 ขาดการวางแผนการใชและอนรุ ักษนแ ํ้าท่ีเหมาะสม 1.4 ฝนตกนอยและฝนท้ิงชว งเป็นเวลานาน 2) การเกดิ นํ้าทวม อาจเกดิ จากสาเหตหุ นึ่งหรือหลายสาเหตุรวมกนั ดังตอไปน้ี 2.1 ฝนตกหนกั ตดิ ตอกันนานๆ 2.2 ปุาไมถกู ทําลายมาก ทําใหไมม ีสงิ่ ใดจะชวยดดู ซับน้าํ ไว 2.3 ภมู ิประเทศเป็นทล่ี มุ และการระบายน้ําไมด ี 2.4 นา้ํ ทะเลหนุนสงู กวา ปกติ ทาํ ใหน ํ้าจากแผนดินระบายลงสูทะเลไมไ ด 2.5 แหลงเก็บกักนาํ้ ตนื้ เขินหรอื ไดรับความเสยี หาย จงึ เกบ็ นํ้าไดน อ ยลง 2. ปใญหาดานคุณภาพของนํา้ ไมเ หมาะสม สาเหตุที่พบบอยไดแก 1) การทิง้ สิง่ ของและการระบายน้าํ ทิ้งลงสแู หลง นํ้า ทําใหแ หลงนา้ํ สกปรกและเนาเหมน็ จนไมส ามารถใชประโยชนแได มักเกดิ ตามชมุ ชนใหญๆ ท่อี ยูใกลแหลง นา้ํ หรือทองถน่ิ ทีม่ ีโรงงานอตุ สาหกรรม 2) ส่ิงทีป่ กคลมุ ผวิ ดนิ ถูกชะลางและไหลลงสูแหลงนาํ้ มากกวา ปกติ มีทง้ั สารอินทรยี แ สารอนินทรียแ และสารเคมีตางๆ ทใ่ี ชในกจิ กรรมตางๆ ซง่ึ ทาํ ใหนํ้าขุน ไดงาย โดยเฉพาะในฤดูฝน 3) มแี รธาตุเจอื ปนอยูมากจนไมเหมาะแกการใชป ระโยชนแ น้าํ ทม่ี ีแรธ าตุปนอยเู กนิ กวา 50 พพี ีเอ็มน้ัน เมือ่ นาํ มาด่ืม จะทําใหเ กดิ โรคน่วิ และโรคอื่นได 4) การใชส ารเคมีท่ีมพี ิษตกคาง เชน สารทใ่ี ชป ูองกนั หรือกําจัดศตั รูพชื หรือสตั วแซง่ึ เม่ือถูกฝนชะลา งลงสูแหลงน้าํ จะ กอใหเกิดอนั ตรายตอส่งิ มีชวี ติ
3. ปใญหาการใชทรัพยากรนํ้าอยางไมเ หมาะสม เชน ใชมากเกินความจําเปน็ โดยเฉพาะเม่ือเกิดภาวะขาดแคลนนํ้า หรอื การสูบน้าํ ใตดนิ ข้ึนมาใชม ากจนดนิ ทรุด เป็นตน ปีพ.ศ. 2541 ธนาคารโลกพยากรณแวา น้ําในโลกลดลง 1 ใน 3 ของ ปริมาณนํา้ ทเี่ คยมีเม่อื 25ปีกอ น และในปี ค. ศ. 2525 หรอื อีก 25 ปขี างหนา การใชน้ําจะเพ่ิมอีกประมาณรอยละ 65 เน่อื งจากจํานวนประชากรโลกเพ่ิมข้ึน การใชนํ้าอยางไมถกู ตอ งและขาดการดแู ลรักษาทรัพยากรนํ้า ซึ่งจะเป็นผลใหประชากร โลกกวา 3,000 ลานคน ใน 52 ประเทศประสบปใญหาการขาดแคลนน้ํา 4. ปใญหาความเปล่ียนแปลงของฟูา อากาศ เน่ืองจากปรากฏการณ์ เอล นิโน(EI Nino ) และลา นินา (La Nina) โดยปรากฏการณทแ ี่ผิดธรรมชาตจิ ะเกดิ ขึ้นประมาณ5 ปตี อ ครงั้ ครัง้ ละ 8 -10 เดอื น โดยกระแสนา้ํ อนุ ในมหาสมุทรแปซฟิ ิก ตะวนั ตก บริเวณตะวันออกเคลื่อนลงไปถึงชายฝง่ใ ตะวันตกเฉยี งเหนอื ของทวีปอเมริกาใต (ประเทศเปรเู อกวาดอรแ และชลิ ี ตอนเหนอื ) ทาํ ใหผ ิวนาํ้ ท่ีเคยเย็นกลับอนุ ขึ้นและทเ่ี คยอุนกลบั เยน็ ลงเมอ่ื อณุ หภมู ขิ องผวิ น้ําเปลย่ี นแปลงไปกจ็ ะสง ผลทําให อุณหภมู ิเหนือนาํ้ เปลย่ี นไปดวยเชน กนั เป็นผลใหค วามรอ นและความแหงแลง ในบรเิ วณที่เคยมีฝนชกุ และเกดิ ฝน ตกหนกั ในบริเวณทีเ่ คยแหงแลง ลมและพายุเปล่ียนทิศทาง เนือ่ งจากการเปลยี่ นแปลงดงั กลา วเกิดเปน็ บรเิ วณกวาง จึงสง ผล กระทบตอโลกอยา งกวางขวาง สามารถทาํ ลายระบบนิเวศในซีกโลกใต รวมทั้งพนื้ ที่บางสวนเหนือเสน ศูนยแสตู รได สาหรา ย ทะเลบางแหงตายเพราะอณุ หภมู สิ งู ปลาทเ่ี คยอาศยั นาํ้ อุนตองวา ยหนีไปหานํ้าเย็นทําใหม ีปลาแปลกชนดิ เพิ่มขนึ้ และหลงั การเกิดปรากฎการณแ เอล นโิ น แลว ก็จะเกดิ ปรากฎการณลแ า นนิ า ซงึ่ มีลักษณะตรงกันขา มตามมา โดยจะเกดิ เมอื่ กระแสนํา้ อุนและคลน่ื ความรอนในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใตเคลอื่ นยอนไปทางตะวันตก ทาํ ใหบรเิ วณมหาสมุทรแปซิฟิก ตะวันออกที่อณุ หภูมิเริ่มเย็น จะมีการรวมตัวของไอนํ้าปริมาณมาก ทําใหอากาศเยน็ ลง เกดิ พายุ และฝนตกหนักโดยเฉพาะ ในกลมุ ประเทศอาเซียนเอล นโิ น เคยกอตัวครง้ั ใหญในปี พ.ศ. 2525 – 2526 ซึง่ ผลทาํ ใหอ ุณหภูมิผวิ น้าํ สูงกวา ปกตถิ ึง 9 องศา ฟาเรนไฮตแ ทาํ ลายชวี ติ มนุษยแทั่วโลกถึง 2,000 คน คาเสียหายประมาณ 481,000 ลานบาท ปะการงั ในทะเล แครบิ เบยี นเสียความสมดุลไปรอยละ 50 – 97แตในปี พ.ศ. 2540 กลับกอตวั กวา งกวาเดิม ซึง่ คิดเป็นพ้นื ท่ีไดกวางใหญ กวาประเทสหรัฐอเมริกา โดยเขตน้ําอุนนอกชายฝใง่ ประเทศเปรขู ยายออกไปไกลกวา 6,000 ไมลแ หรือประมาณ 1 ใน 4 ของเสน รอบโลก อณุ หภูมผิ วิ นํ้าวัดไดเ ทากนั และมคี วามหนาของน้าํ ถงึ 6นิ้ว สง ผลใหเ กดิ ปรากฎการณแธรรมชาตทิ เี่ ลวราย ทส่ี ุดในรอบ 15 0 ปี โดยเริม่ แสดงผลตัง้ แตเดือนเมษายน 2541นอกจากนีป้ รากฏการณแเรือนกระจกและการลดลงของ พ้ืนทปี่ าุ ยงั สงเสริมความรุนแรงของปใญหาอีกดว ย ดังตัวอยา งตอ ไปน้ี 1) ประเทศไทย ประสบความรอนและแหงแลงรนุ แรงทั่วประเทศ ฝนตกนอยหรือตกลา ชา กวา ปกติ (ยกเวน ภาคใตที่ กลางเดือนสงิ หาคมเกดิ ฝนตกหนักจนนํ้าทวม) ปริมาณนา้ํ ในแมน ้าํ อางเกบ็ น้ําและเข่ือนลดนอยลงมาก รวมท้งั บางจงั หวดั มี อุณหภูมิในฤดรู อ นสงู มาก และเกดิ ติดตอ กนั หลายวนั เชน จังหวัดตากมีอณุ หภูมิในเดือนเมษายน พ.ศ. 2541 สูงถงึ 43.7 องศาเซลเซียส ซึง่ นับวา สงู ทสี่ ุดในรอบ 67 ปี นอกจากน้ยี งั ทําใหผ ลผลติ ทางการเกษตร โดยเฉพาะไมผ ลลดลง 2) ประเทศอนิ โดนเี ซยี ประสบความแหง แลง ทง้ั ที่อยูใ นเขตมรสุมและมีปาุ ฝน เม่อื ฝนไมตกจึงทําใหไฟไหมปุาที่ เกดิ ขึ้นในเกาะสุมาตรา และบอรเแ นียวเผาผลาญปุาไปประมาณ14 ลานไร พรอมท้งั กอปใญหามลพษิ ทางอากาศเป็นบริเวณ กวา ง มผี ูคนปวุ ยไขนับหมน่ื ทัศนวิลยั ไมดีจนทําใหเ คร่ืองบนิ สายการบนิ การูดาตกและมผี เู สียชีวติ 234 คน อีกทง้ั ยงั ทําให ผลติ ผลการเกษตรตกต่ํา โดยเฉพาะเมล็ดกาแฟโรบสั ตาท่สี ง ออกมากเปน็ อนั ดบั หน่งึ ไดรับความเสียหายมากเป็นประวตั ิการณแ 3) ประเทศปาปวใ นิวกินี ไดร ับผลกระทบรุนแรงทส่ี ดุ ในภมู ิภาคเอเชียแปซิฟิก มคี นตายจากภัยแลง 80 คนและ ประสบปญใ หาแลงอีกประมาณ 1,000,000 คน
4) ประเทศออสเตรเลีย อากาศแหงแลงรนุ แรงจนตอ งฆาสตั วเแ ลยี้ งเพราะขาดแคลนน้ํา และอาหาร ซ่งึ คาดวา ผลผลิตการเกษตรจะเสยี หายประมาณ 432 ลานเหรียญ 5) ประเทศเกาหลเี หนือ ปใญหาความแหง แลงรนุ แรงและอดอยากรนุ แรงมาก พืชไรเสียหายมาก 6) ประเทศสหรฐั อเมรกิ า เกดิ พายเุ ฮอรแรเิ คนทางดา นฝงใ่ ตะวนั ตกมากขนึ้ โดยเฉพาะภาคใตของรัฐแคลิฟอรเแ นียไดร บั ภยั พิบัติมากทสี่ ุด สว นทางฝงั่ ตะวันออกซึ่งมีเฮอรรแ เิ คนคอ นขางมาก คลนื่ ลมกบั สงบกวาปกติ 7) ประเทศเปรูและซลิ ี เกิดฝนตกหนกั และจับปลาไดน อยลง (เคยเกดิ ฝนตกหนักและนา้ํ ทว มในทะเลทรายอะตาคา มา ประเทศซลิ ี อยางไมเ คยปรากฏมากอน ทั้งๆ ทีบ่ ริเวณน้ีแหง แลง มากจนประเทศสหรัฐอเมริกาขอใชเปน็ สถานทฝ่ี ึกนัก อวกาศ โดยสมมติวา เป็นพ้ืนผิวดาวอังคาร) 8) ทวีปแอฟรกิ า แหงแลงรนุ แรง พืชไรอาจเสียหายประมาณคร่ึงหนง่ึ ปัญหาเกี่ยวกบั ทรพั ยากรน้าในประเทศไทย 1. การขาดแคลนนา้ หรือภัยแล้งในหนาแลง ประชากรไทยจะขาดแคลนนํา้ ด่มื นํา้ ใชจํานวน 13,000 – 24,000 หมูบ า น ประชากรประมาณ 6 -10 ลานคน ซง่ึ โดยสว นใหญอยูในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนลาง การขาดแคลนนาํ้ ใน ระดับวกิ ฤตจะเกิดเป็นระยะๆ และรนุ แรงข้นึ น้ําในเข่ือนสาํ คัญตางๆ โดยเฉพาะเข่ือนภมู ิพลมปี รมิ าณเหลอื นอยจนเกือบจะมี ผลกระทบตอการผลิตกระแสไฟฟาู และการผลติ นาํ้ ประปาสาํ หรับใชใ นหลายจังหวัด การลดปริมาณของฝนและน้ําที่ไหล ลงสอู างเก็บน้ํา และการเกิดฝนมีแนวโนมลดลงทกุ ภาค ประมาณรอยละ 0.42 ตอ ปี เป็นสงิ่ บอกเหตุสาํ คัญทีแ่ สดงใหเห็นถงึ แนวโนม ความรุนแรงของภยั แลง สาํ หรบั ปรมิ าณนํา้ ท่ีไหลลงสูอา งเก็บนาํ้ ของเขื่อนและแมนาํ้ สําคญั เชน เขื่อนภมู ิพล เขือ่ นสริ กิ ิต์ิและแมน ํา้ เจา พระยา ต้ังแตป ี พ.ศ. 2515 เป็นตนมา กม็ ปี ริมาณลดลงเชนกันเนื่องจากตนนาํ้ ลาํ ธารถกู ทําลายทํา ใหฝนและนาํ้ นอ ย และขณะเดียวกนั ความตองการใชน าํ้ กลับมมี ากและเพม่ิ ข้ึนเรือ่ ยๆ เชน การประปานครหลวงใชผลติ นาํ้ ประปาประมาณ 1,300ลา นลูกบาศกแเมตรตอปี การผลักดนั น้าํ เค็มบริเวณปากแมน้าํ เจาพระยา และแมน ํ้าทา จีนจะ ตองใชน า้ํ จืด ประมาณ 2,500 ลานลกู บาศกแเมตรตอปี การทาํ นาปใี ชป ระมาณ 4,000 ลานลูกบาศกเแ มตร และการทํานา ปรังจะใชป ระมาณ 6,000 ลานลกู บาศกแเมตร โดยมีแนวโนม ของการใชเพม่ิ มากขึน้ ทุกปี 2. ปญั หาน้าท่วมหรืออุทกภยั เกดิ จากฝนตกหนักหรอื ตกติดตอ กันเปน็ เวลานานๆ เนื่องจากการตัดไมทําลายปุา แหลง น้ําต้ืนเขนิ ทําใหร องรบั นํ้าไดน อยลง การกอสรา งที่ทําใหน้าํ ไหลไดนอยลง เชน การกอสรา งสะพาน นอกจากนนี้ า้ํ ทวม อาจเกดิ จากน้ําทะเลหนุนสูงขึ้น พื้นดินทรุดตวั เนื่องจากการสูบนา้ํ ใตด ินไปใชมากเกนิ ไป พน้ื ท่เี ป็นที่ตา่ํ และการระบายน้ําไมด ี และการสูญเสยี พนื้ ทน่ี ํ้าทว มขัง ตวั อยา ง ไดแ ก การถมคลองเพื่อกอสรา งที่อยอู าศยั รวมท้ังการบุกรุกพ้ืนท่ชี มุ น้าํ เชน กว฿าน พะเยา บงึ บอระเพ็ด ทะเลสาบสงขลา และหนองหาร จังหวัดสกลนครเพือ่ ใชประโยชนอแ ยางอน่ื 3. เกดิ มลพษิ ทางน้าและระบบนิเวศถูกทาลายโดยสว นใหญแลว นาํ้ จะเกิดการเนา เสยี เพราะการเจอื ปนของ อนิ ทรยี สาร สารพษิ ตะกอน ส่งิ ปฏิกูลและนํา้ มนั เชื้อเพลงิ ลงสแู หลง นาํ้ ซงึ่ มีผลใหพชื และสัตวแนํ้าเปน็ อันตรายเชน การที่ ปะการัง ตวั ออ นของสัตวแนํ้า และปลาที่เลีย้ งตามชายฝใ่งบริเวณเกาะภเู กต็ ตายหรือเจริญเติบโตผิดปกติ เพราะถูกตะกอนจาก การทาํ เหมืองแรทบั ถม ไปอดุ ตันชองเหงือกทาํ ใหไดร ับออกซิเจนไมเ พยี งพอ
4. แหล่งนา้ ตน้ื เขินดนิ และตะกอนดนิ ท่ีถกู ชะลา งลงสูแหลง นา้ํ นนั้ ทาํ ใหแ หลงนํา้ ตนื้ เขนิ และเกดิ น้ําทว มไดง า ย ซ่ึง เป็นอปุ สรรคตอการเดนิ เรือ และยงั เป็นผลเสยี ตอ การดาํ รงชีวติ ของสัตวแนา้ํ โดยเฉพาะบริเวณอา วไทยตอนบน โดยในแตล ะปี ตะกอนดินถูกพัดพาไปทับถมกนั มากถงึ ประมาณ 1.5 ลานตนั การสูบนํา้ ใตด ินไปใชม ากจนแผนดนิ ทรดุ ตวั ชาว กรงุ เทพมหานครและปรมิ ณฑลทั้ง 6 จงั หวดั ใชน ํ้าบาดาลจาํ นวนมาก เมอื่ ปี2538 พบวา ใชประมาณวนั ละ 1.5 ลา น ลูกบาศกเแ มตร ภาคอตุ สาหกรรมและภาคธุรกจิ ใชป ระมาณวนั ละ 1.2 ลา นลูกบาศกเแ มตร ทาํ ใหดนิ ทรุดตวั ลงทลี ะนอ ย และ ทาํ ใหเกิดนา้ํ ทวมขังไดงายขึ้น 4. ทรัพยากรดิน ปใญหาการใชท ด่ี นิ ไมเ หมาะสม และไมค าํ นงึ ถึงผลกระทบตอสงิ่ แวดลอม ไดแ ก 1. การใชท ่ีดินเพือ่ การเกษตรกรรมอยา งไมถูกหลักวิชาการ 2. ขาดการบาํ รงุ รกั ษาดนิ 3. การปลอ ยใหผิวดนิ ปราศจากพืชปกคลุม ทําใหสูญเสียความชุมช้ืนในดนิ 4. การเพาะปลูกทท่ี ําใหดินเสีย 5. การใชป ุยเคมแี ละยากาํ จดั ศตั รพู ชื เพื่อเรง ผลติ ผล ทําใหดินเสอื่ มคณุ ภาพและสารพษิ ตกคา งอยใู นดิน 6. การบกุ รกุ เขาไปใชป ระโยชนแท่ดี นิ ในเขตปุาไมบ นพ้นื ทีท่ ่ีมีความลาดชนั สูง 7. รวมท้ังปใญหาการขยายตัวของเมืองท่ีรุกลํ้าเขาไปในพ้ืนท่ีเกษตรกรรม และการนํามาใชเป็นที่อยูอาศัย ที่ตั้ง โรงงานอตุ สาหกรรม 8. หรือการเก็บท่ีดินไวเพ่ือการเก็งกําไร โดยมิไดมีการนํามาใชประโยชนแแตอยางใดนอกจากนีการเพิ่มข้ึนของ ประชากรประกอบกับความเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกิจสูงข้ึน ทําใหความตองการใชท่ีดินเพ่ือการขยายเมือง และอุตสาหกรรม เพ่ิมจาํ นวนตามไปดวยอยางรวดเร็ว โดยปราศจากการควบคุมการใชท ด่ี นิ ภายในเมืองใหเหมาะสม เปน็ สาเหตุใหเกดิ ปใญหาสิ่งแวดลอมภายในเมือง หลายประการ เชน ปใญหาการต้ังถิ่นฐาน ปใญหาแหลงเส่ือมโทรม ปใญหาการจราจร ปใญหาสาธารณสุข ปใญหาขยะมูลฝอย และการบริการสาธารณูปโภคไมเพียงพอนอกจากน้ันปใญหาการพังทลายของดินและ การสูญเสียหนาดินโดยธรรมชาติ เชนการชะลาง การกัดเซาะของน้ําและลม เป็นตน และที่สําคัญคือ ปใญหาจากการกระทํา ของมนุษยแ เชน การทําลายปุา เผาปุา การเพาะปลูกผิดวิธี เป็นตน กอใหเกิดการสูญเสียความอุดมสมบูรณแของดินทําใหใช ประโยชนแจากที่ดินไดลดนอยลง ความสามารถในการผลิตทางดานเกษตรลดนอยลงและยังทําใหเกิดการทับถมของตะกอน ดนิ ตามแมน าํ้ ลําคลอง เขือ่ นอา งเกบ็ น้ํา เปน็ เหตใุ หแหลงนา้ํ ดงั กลาวตื้นเขิน รวมทัง้ การทีต่ ะกอนดินอาจจะทบั ถมอยูใน แหลง ที่อยอู าศัย และท่วี างไขของสัตวแน้าํ อกี ท้งั ยังเปน็ ตวั ก้ันแสงแดดทจี่ ะสอ งลงสพู ืน้ นํ้าสงิ่ เหลาน้ีลวนกอใหเกิดผลกระทบตอ สิ่งมีชีวิตในนํ้า นอกจากนี้ปใญหาความเส่ือมโทรมของดิน อันเนื่องมาจากสาเหตุด้ังเดิมตามธรรมชาติ คือ การที่มีสารเป็นพิษ เกิดขน้ึ มาพรอ มกับการเกดิ ดิน เชน มโี ลหะหนัก มีสารประกอบท่ีเปน็ พิษ ซึ่งอาจทําใหดินเค็ม ดินดางดินเปรี้ยวได โดยเฉพาะ ปใญหาการแพรกระจายของดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือการดําเนินกิจกรรมเพื่อใชประโยชนแจากท่ีดินอยางไม เหมาะสม และขาดการจัดการที่ดี เชนการสรางอางเก็บน้ําในบริเวณที่มีเกลือหินสะสมอยูมาก นํ้าในอางจะซึมลงไปละลาย เกลือหินใตดนิ แลวไหลกลบั ขึน้ สผู วิ ดินบริเวณรอบๆ การผลิตเกลือสินเธาวแในเชิงพาณิชยแ โดยการสูบน้ําเกลือใตดินขึ้นมาตม หรือตาก ทําใหปใญหาดินเค็มแพรขยายออกไปกวางขวางย่ิงข้ึนยังมีสาเหตุท่ีเกิดจากสารพิษและสิ่งสกปรกจากภายนอก ปะปนอย่ใู นดนิ เชน ขยะจากบ่า นเรือนของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม สารเคมีตกคางจากการใชปุยและยากําจัดศัตรูพืช เป็นตนลว นแตส งผลกระทบตอ สิ่งแวดลอม และกอใหเ กดิ การสูญเสียทางเศรษฐกิจ
5. 5. สตั วป์ า่ สตั ว์ปา่ สาเหตปุ ญั หาของทรพั ยากรสัตวป์ า่ สาเหตุของการสญู พันธหุแ รอื ลดจํานวนลงของสตั วปแ าุ มีดังน้ี 1. การทําลายท่ีอยูอาศัย การขยายพื้นท่ีเพาะปลูก พ้ืนที่อยูอาศัยเพื่อการดํารงชีพของมนุษยแ ไดทําลายท่ีอยูอาศัย และท่ดี ํารงชพี ของสตั วแปาุ ไปอยางไมร ูตัว 2. สภาพธรรมชาติ การลดลงหรือสูญพันธแุไปตามธรรมชาติ ของสัตวแปุา เนื่องจากการปรับตัวของสัตวแปุาใหเขากับ การดํารงชีวิตในสภาพแวดลอมทีเ่ ปลี่ยนแปลงอยูต ลอดเวลา สัตวปแ าุ ชนดิ ที่ปรับตวั ไดก จ็ ะมีชีวิตรอด หากปรับตัวไมไ ด 3. การลาโดยตรง โดยสัตวแปุาดวยกันเอง สัตวแปุาจะไมลดลงหรือสูญพันธุแอยางรวดเร็ว เชน เสือโครง เสือดาว หมาไน หมาจิ้งจอกลากวางและเกง ซึ่งสัตวแท่ีถูกลาสองชนิดนี้ อาจจะตายลงไปบางแตจะไมหมดไปเสียทีเดียว เพราะใน ธรรมชาติแลวจะเกิดความ สมดุลอยูเสมอระหวางผูลาและผูถูกลา แตถาถูกลาโดยมนุษยแไมวาจะเป็นการลาเพ่ือเป็นอาหาร เพอ่ื การกฬี า หรือเพ่อื อาชีพ สตั วแปุาจะลดลงจํานวนมาก 4. เน่ืองจากสารพิษ เม่ือเกษตรกรใชสารเคมีในการเพาะปลูก เชน ยาปราบศัตรูพืชจะทําใหเกิดสารพิษตกคางใน สิ่งแวดลอ ม นอกจากนีก้ ารสาธารณสุขบางครัง้ จําเป็นตองกําจัดหนู และแมลงเชนกัน สารเคมีที่ใชในกิจกรรมตางๆ เหลานี้ มี หลายชนิดที่มพี ิษตกคา ง ซง่ึ สัตวปแ าุ จะไดรับพิษตามหว งโซอ าหาร ทาํ ใหส ารพิษไปสะสมในสัตวแปาุ มาก หากสารพษิ มี จํานวนมากพออาจจะตายลงไดหรือมีผลตอลูกหลาน เชน รางกายไมสมบูรณแ ไมสมประกอบประสิทธิภาพการใหกําเนิด หลานเหลนตอไปมีจํากดั ขึ้น ในท่ีสดุ จะมปี ริมาณลดลง และสญู พันธแุไป 5. การนาํ สัตวแจากถนิ่ อน่ื เขา มา ตัวอยางน้ียังปรากฏไมเดนชัดในประเทศไทย แตในบางประเทศจะพบปใญหานี้ เชน การนาํ พังพอนเขาไปเพื่อกาํ จดั หนู ตอมาเมื่อหนมู ีจํานวนลดลงพงั พอนกลับทาํ ลายพืชผลทปี่ ลกู ไวแทน เปน็ ตน 6. มลพษิ ทางอากาศ“มลพิษทางอากาศ” มลพษิ ทางอากาศเปน็ ปญใ หาสาํ คัญปญใ หาหนึง่ ทเ่ี กิดข้ึนใน เขตเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร เน่ืองจากมลพิษทางอากาศกอใหเกิดผลกระทบดานสุขภาพอนามัย ไมวาจะเป็นดาน กล่ิน ความรําคาญ ตลอดจนผลกระทบตอสุขภาพท่ีเกี่ยวกับระบบการหายใจ หัวใจและปอด ดังน้ันการติดตามเฝูาระวัง ปริมาณมลพษิ ในบรรยากาศจงึ เป็นภารกจิ หนง่ึ มี่มีความสาํ คัญ กรมควบคุมมลพิษเปน็ หนว ยงานทที่ ําการตรวจวดั คุณภาพ อากาศมาอยา งตอเนอ่ื ง โดยทาํ การตรวจวดั มลพษิ ทางอากาศท่ีสําคัญ ไดแก ฝุนละอองขนาดเล็ก (ฝุนละอองขนาดไมเกิน 10 ไมครอน : PM-10) ก฿าซซัลเฟอรแไดออกไซดแ (SO2)สารตะกั่ว (Pb) ก฿าซคารแบอนมอนอกไซดแ (CO) ไนไตรเจนไดออกไซดแ (NO2) และกา฿ ซโอโซน (O3) สถานการณม์ ลพษิ ทางอากาศผลจากการตรวจวัดคณุ ภาพอากาศในชว งเกือบ 20 ปีที่ผา นมาก พบวา คุณภาพ ทางอากาศในประเทศไทยมีคุณภาพดีข้ึน โดยพิจารณาไดจากคาสูงสุดของความเขมขนของสารมลพิษสวนใหญอยูในเกณฑแ มาตรฐาน ยกเวน ฝนุ ขนาดเลก็ และกา฿ ซโอโซน ท้ังนี้การท่ีคุณภาพอากาศของประเทศไทยมีคุณภาพดีข้ึน มีสาเหตุมาจากการ ลดลงของปริมาณการใชเ ชือ้ เพลงิ ในชวงวิกฤติเศรษฐกิจ และอกี สว นหน่ึงมาจากมาตรการของรฐั ที่มีสวนทําใหมลพิษ ทางอากาศลดลง (ธนาคารโลก 2002) ซ่ึงไดแกการรณรงคแใหใชรถจักรยานยนตแ 4 จังหวะแทนรถจักรยานยนตแ 2 จังหวะ เน่ืองจากรถจักรยานยนตแ 2 จังหวะเป็นแหลงกําเนิดสําคัญของการปลอยฝุนละออกสูบรรยากาศ การปรับเปลี่ยนมาใช รถจักรยานยนตแ 4 จังหวะ จึงจะชวยใหมีการปลอยฝุนละอองสูบรรยากาศลดลงการติดต้ังอุปกรณแกําจัดสารซัลเฟอรแ (Desulfurization) ในโรงไฟฟูาแมเมาะในปีพ.ศ. 2535 เนื่องจากโรงไฟฟูาแมเมาะเป็นโรงไฟฟูาท่ีใชถานหินลิกไนตแเป็น เชื้อเพลิงเป็นแหลงกําเนิดสําคัญของการปลอยก฿าซซัลเฟอรแไดออกไซดแ ดังนั้นการติดต้ังอุปกรณแดังกลาวทําใหปริมาณก฿าซ
ซัลเฟอรแไดออกไซดแในบรรยากาศลดลงอยางตอเนื่องจนอยูในระดับท่ีตํ่ากวามาตรฐาน ต้ังแตมีการติดตั้งอุปกรณแกําจัดสาร ซัลเฟอรแการบังคับใชอุปกรณแขจัดมลพิษในระบบไอเสียรถยนตแประเภท Catalytic converterในรถยนตแใหมในปี พ.ศ. 2536 เน่อื งจากยานยนตแเป็นแหลงกําเนิดกา฿ ซคารบแ อนมอนอกไซดแทีส่ าํ คัญ สงผลใหระดับก฿าซคารแบอนมอนอกไซดแลดลงจน อยูในระดับที่ตํ่ากวามาตรฐานการลดปริมาณสารตะก่ัวในน้ํามัน โดยในปี พ.ศ. 2532 รัฐบาลไดมีมาตรการเร่ิมลดปริมาณ ตะก่ัวในนํ้ามันจาก 0.45 กรัมตอลิตรใหเหลือ 0.4 กรัมตอลิตร และในปี พ.ศ. 2535ไดลดลงมาเหลือ 0.15 กรัมตอลิตร จนกระทง่ั ปลายปี พ.ศ. 2538 รฐั บาลไดย กเลิกการใชนาํ้ มันเบนซนิ ที่มีสารตะกวั่ ทําใหร ะดับสารตะก่ัวลดลงอยางรวดเร็วจน อยูใ นระดบั ท่ีตา่ํ กวามาตรฐานฝุนละอองขนาดเล็ก และกา฿ ซโอโซน ยังเป็นสารมลพิษท่ีเป็นปใญหา ซึ่งถึงแมจะมีแนวโนมลดลง เชนกันแตมลพิษทั้ง 2 ตัวก็ยังสูงเกินมาตรฐาน ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะฝุนละอองมีแหลงกําเนิดหลากหลาย ทําใหการออก มาตรการเพื่อลดฝุนละอองทําไดยาก โดยแหลงกําเนิดฝุนละอองท่ีสําคัญ ไดแก ยานพาหนะ ฝุนละอองแขวนลอยคงคางใน ถนน ฝุนจาก การกอสราง และอุตสาหกรรม สําหรับในพื้นที่ชนบท แหลงกําเนิดฝุนละอองท่ีสําคัญ คือการเผาไหมในภาคเกษตร ขณะที่ ก฿าซโอโซนเป็นสารพิษทุติยภูมิที่เกิดจากปฏิกิริยาระหวางสารประกอบอินทรียแระเหยงาย (Volatile organic compound: VOC) และออกไซดขแ องไนโตรเจน โดยมคี วามรอนและแสงอาทติ ยเแ ป็นตัวเรงปฏิกิริยา ทําใหก฿าซโอโซนมีปริมาณสูงสุดในชวง เท่ียงและบาย และถูกกระแสลมพัดพาไปสะสมในบริเวณตางๆ ซ่ึงจะเห็นไดวามีปใจจัยหลายปใจจัยท่ียากตอการควบคุมการ เกิดของก฿าซโอโซน ทําใหมาตรการตางๆ ท่ีกลาวมาของภาครัฐ ยังไมสามารถลดปริมาณก฿าซโอโซนลงใหอยูในเกณฑแ มาตรฐานไดมลพิษทางอากาศมีแหลงกําเนิดมลพิษและผลกระทบตอสุขภาพอนามัยและส่ิงแวดลอมแตกตาง และรุนแรง ตา งกนั ไป
ใบงาน ภมู ศิ าสตร์ กายภาพ เรอื่ ง การทาลายทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม จงเลือกคาตอบทีถ่ ูกต้องท่ีสุดเพียงคาตอบเดียว 1. ปใญหาการจราจรติดขัดตามเมืองใหญๆ นอกจากจะทํา 7. ขอ ใดไมใชปใญหาการส้ินเปลอื งพลังงานอนั เกิดจาก ใหเ กิดผลเสียทางเศรษฐกจิ แลว ยังจะทาํ ใหเ กิดผลเสยี ทาง ปใญหาทรัพยากรและสงิ่ แวดลอม ใดอีก ก. ปญใ หาการขาดแคลนนํา้ ใช ก. ทําใหค นฝุาฝนื กฎหมาย ข. ปใญหาน้าํ ทว มกรงุ เทพฯ ข. ทาํ ใหสิ่งแวดลอมเป็นพิษ ค. ปใญหาการจราจรติดขดั ค. ทําใหร ถยนตแเสือ่ มสภาพเร็ว ง. ปใญหาการศกึ ษา ง. ทาํ ใหสูญเสยี เวลาไปโดยเปลาประโยชนแ 8. ขอ ใดเป็นการใชพลงั งานเพอ่ื ปูองกนั และแกไขปใญหา 2. เราจะแกอ ากาศเปน็ พิษอยางเชน ในกรงุ เทพฯ โดยวธิ ี ทรัพยากรและสิ่งแวดลอม ใดจึงจะดีท่สี ุด ก. การทงิ้ ขยะมลู ฝอย ก. ลดจาํ นวนรถยนตลแ ง ข. การปลอ ยนาํ้ เสยี ข. ไมส งเสยี งดงั ในโรงภาพยนตรแ ค. การคุมกําเนดิ ของประชากร ค. ปลูกตน ไมใหมาก ง. การควบคุมหรือปูองกนั อากาศเสีย ง. ขยายเขตเมืองใหกวางออกไปอีก 3. การปูองกันไมใ หเกิดปญใ หามลพษิ ควรปฏบิ ตั อิ ยา งไร ก. ไมส บู บุหร่ีในที่สาธารณะ ข. ไมสงเสียงดงั ในโรงภาพยนตรแ ค. ขามถนนตรงทางมาลายหรอื สะพานลอย ง. ตดิ ต้งั ระบบปูองกนั ไอเสยี ในรถยนตแ 4. ประเทศไทยขาดดุลการคา กับตา งประเทศ เพราะเหตุใด ก. สนิ คา มจี ํานวนนอยกวาเปูาหมาย ข. ปริมาณการผลิตสนิ คานอยลง ค. ไมสนับสนุนใหเอกชนสงสนิ คา ออก ง. มูลคา ราคาสินคาสงออกนอยกวามลู คาสินคา นาํ เขา 5. สาเหตุอะไรท่ีทําใหฝนมสี ภาพเปน็ กรด ก. กา฿ ซทม่ี ีออกไซดเแ ปน็ ตัวประกอบ ข. ซลั เฟอรแไดออกไซดแ ค. ออกไซดแของไนโตรเจน ง. คารแบอนมอนนอกไซดแ 6. มลภาวะเปน็ พิษทเี่ กดิ ผลกระทบตอระบบนิเวศนแ หมายถงึ ก. ออกซเิ จนในอากาศมีปรมิ าณเพิ่มขนึ้ ข. คารแบอนไดออกไซดใแ นอากาศมีปริมาณเพิ่มข้ึน ค. ออกซิเจนในอากาศมปี รมิ าณเทาเดิม ง. คารบแ อนไดออกไซดใแ นอากาศมีปริมาณนอ ยลง
การทแนวเฉลย ใบงาน ภมู ิศาสตร์ กายภาพ กรธรรมชาตแิ ละสิเรือ่ ง การทาลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จงเลือกคาตอบท่ีถกู ต้องที่สุดเพียงคาตอบเดียว 1. ข 2. ค 3. ง 4. ง 5. ก 6. ข 7. ง 8. ง
แผนการจัดกจิ กรรม
มการเรยี นรู้คร้งั ท่ี 6
แผนการจัดการเรยี นรู้ ระดบั มธั ยมศึกษาตอ สาระพฒั นาสงั คม รายวิชาสังคมศึกษา ครงั้ ที่ วนั /เดือน/ปี หวั เรอ่ื ง/ตัวชี้วัด เนอื้ หาสาระการเรียนรู้ 1. วเิ คราะหปแ ใญหาและ 1. ระบบเศรษฐกิจของประเทศ แนวโนม ทางเศรษฐกจิ ไทย ของประเทศไทยได -แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คม 2. เสนอแนวทางการ แหง ชาติ แกปใญหาทาง 2. ปใญหาเศรษฐกิจของไทยใน เศรษฐกิจของ ปจใ จุบัน ประเทศไทยใน 3. ความสาํ คญั และความจาํ เปน็ ปใจจุบันได ในการรวมมือทางเศรษฐกจิ กับ 3. รูและเขา ใจ ตระหนัก ประเทศตางๆ ในความสาํ คัญของการ 4. ระบบเศรษฐกจิ ในโลก รวมกลมุ เศรษฐกิจ 5. ความสัมพนั ธแและผลกระทบ ระหวา งประเทศ และ ทางเศรษฐกิจระหวา งประเทศ ประเทศตางๆ ในโลก กับภูมิภาคตา งๆ ท่ัวโลก 4. รูและเขา ใจ ในระบบ 6. รปู แบบของระบบเศรษฐกิจ เศรษฐกจิ แบบตางๆ ใน และวธิ ีการเลอื กจัดกจิ กรรมทาง โลก เศรษฐกจิ 5. รแู ละเขา ใจ 7. กลไกราคากบั ระบบ
อนปลาย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 า รหัส สค31001 จานวน 3 หน่วยกิต การจดั กระบวนการเรียนรู สอ่ื /แหล่ง การวัดและ เรยี นรู้ ประเมนิ ผล ขนั้ ท่ี 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ 1. หนงั สือ แบบทดสอบ -ครแู ละผูเรยี นรว มกันสนทนาเก่ียวกับ แบบเรยี น ใบงาน สภาพเศรษฐกิจในปใจจบุ นั และแนวโนม 2. สื่อมัลติมเี ดีย เลม รายงาน การพฒั นาเศรษฐกจิ ไทยไปสูอนาคต 3. อินเทอรเแ นต็ สังเกตพฤตกิ รรม ข้ันท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดกจิ กรรม 4. ใบความรู การเรียนรู้ 1.ใหผเู รียนศกึ ษาคน ควา สาเหตุและแนว ทางแกไขการมีรายไดที่ไมม่ันคงและ ผลกระทบของเศรษฐกิจของประเทศ ไทย จากส่ืออนิ เตอรแเน็ต/หองสมุด แลว นํามาวิเคราะหแ ทํารายงานสรุปเป็น รูปเลมและรวมกันอภปิ รายในวนั พลกลุม กศน.ตําบล 2.ใหผ เู รียนศึกษาคนควา ราคากลไกล ระบบเศรษฐกจิ สาเหตุทที่ ําใหเกดิ ปญใ หาเศรษฐกจิ ของไทยตกต่ํา ปใญหา หน้ีนอกระบบจากส่ือหองสมุด/
แผนการจดั การเรียนรู้ ระดับมธั ยมศกึ ษาตอ สาระพัฒนาสงั คม รายวิชาสังคมศกึ ษา ครัง้ ที่ วัน/เดือน/ปี หวั เรอื่ ง/ตัวชว้ี ดั เนื้อหาสาระการเรียนรู ความสัมพันธแและ เศรษฐกิจในปจใ จบุ ัน ผลกระทบทางเศรษฐกิจ -การแทรกแซงกลไกราคาของ ระหวา งประเทศของ รัฐบาลในการสงเสรมิ และแกไ ประเทศไทยกบั กลุม ระบบเศรษฐกจิ เศรษฐกิจของประเทศ 8. ความหมาย ความสําคญั ขอ ตา งๆ ในภูมภิ าค ในโลก เงนิ ประเภท สถาบันการเงิน 6. วิเคราะหคแ วามสาํ คญั และสถาบนั ทางการเงนิ ของระบบเศรษฐกจิ และ 9. การธนาคาร การเลือกจัดกจิ กรรมทาง - ระบบของธนาคาร เศรษฐกิจของประเทศ - ประเภทของธนาคาร ตางๆ ในโลก และ - บทบาทหนาท่ีของธนาคาร ผลกระทบ แหงประเทศไทย (ธนาคาร 7. เขาใจใจในเร่อื งกลไก กลาง) ราคากับระบบเศรษฐกิจ 10. การคลงั รายไดป ระชาชา - รายไดข องรัฐบาล และการ จดั ทาํ งบประมาณแผนดิน
อนปลาย ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 า รหัส สค31001 จานวน 3 หน่วยกิต 164 การจัดกระบวนการเรยี นรู ส่อื /แหลงเรยี นรู การวดั และ ประเมินผล อนิ เตอรเแ น็ต นาํ มาสรุปประเดน็ ปใญหา เป็นรูปเลมพรอมเสนอแนะแนว ไข ทางแกไข แลวนํามาสรปุ อภปิ ราย แลกเปล่ยี นเรยี นรูใหเ พ่ือนฟใงในวันพบ อง กลุม กศน.ตําบล 3 . ใ ห ผู เ รี ย น ศึ ก ษ า ค น ค ว า คํ า ศั พ ทแ ภาษาอังกฤษที่ใชในการสนทนาซ้ือขาย สินคา และวิธกี ารแกไขปใญหาสินคา อุปโภคบรโิ ภคราคาแพง จาก อนิ เตอรเแ น็ต แลว นํามาสรุปรายงานเป็น ร รปู เลม พรอมนาํ เสนออภปิ รายใหเ พอื่ น ฟใงในวันพบกลุม กศน.ตําบล 4.ใหผูเรียนศึกษาคนควาขอมูลระหวาง าติ บุคคลที่ทําบัญชีรับ-จาย กับบุคลท่ีไมได ร ทําบัญชีรายรับ-รายจาย จากบุคลใน ชมุ ชน-หมูบาน สรปุ ใจความสําคญั ทํา
แผนการจดั การเรียนรู้ ระดบั มัธยมศึกษาตอ สาระพฒั นาสงั คม รายวิชาสังคมศกึ ษา ครง้ั ที่ วนั /เดอื น/ปี หัวเร่ือง/ตัวช้ีวัด เนอ้ื หาสาระการเรียนรู้ 8. รูและเขาใจในเรื่อง - ภาษกี ับการพฒั นาประเทศ การเงิน การคลัง และ - ดลุ การคา การธนาคาร - ดลุ การชาํ ระเงิน 9. เขา ใจในระบบของ การธนาคาร 10. ตระหนักใน ความสําคัญของเงนิ สถาบนั การเงิน 11.การวเิ คราะหแ ผลกระทบจากปญใ หา ทางเศรษฐกิจในเร่ือง การเงนิ การคลังของ ประเทศไทย และสงั คม โลก 12.รแู ละเขา ใจ เรือ่ ง แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง ชาติ
อนปลาย ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564 า รหัส สค31001 จานวน 3 หนว่ ยกติ 165 166 การจัดกระบวนการเรยี นรู สอ่ื /แหล่ง การวัดและ ประเมินผล เรยี นรู้ เปน็ รูปเลม พรอมทั้งอภปิ รายและให เพือ่ นรว มแสดงความคิดเหน็ วเิ คราะหแ เปรยี บเทยี บ ขอ ดี/ขอเสยี ในเนือ้ หาท่ีได คน ความาในวันพลกลมุ กศน.ตาํ บล ขน้ั ที่ 3. ข้ันการปฏบิ ัติและการนาไป ประยกุ ต์ใช้ - ครูและนักศึกษารว มกันสรปุ ผลการ เรยี นรู จดบันทึกผลการเรียนรู ข้นั ที่ 4. ข้ันการประเมนิ ผล - ประเมนิ ผลการเรียนรจู ากการมสี วน รว มโดยใชก ระบวนการกลุมนักศึกษา
ใบความรู้ ระบบเศรษฐกจิ ของไทย ความหมายระบบเศรษฐกิจ - รฐั เขา มาดําเนินการจัดระเบียบทางเศรษฐกจิ ของประเทศ โดยกําหนดวา กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ชนดิ ใดรฐั จดั ทาํ กจิ กรรมใดใหเ อกชนดําเนนิ การ - การรวมกนั ของหนวยเศรษฐกจิ (หนวยธุรกจิ /หนวยครวั เรือน) เพื่อดําเนินกจิ กรรทางเศรษฐกิจ โดยมีการ กําหนดหนา ท่ขี องหนว ยเศรษฐกิจตาง ๆ ประเภทระบบเศรษฐกจิ ในปใจจบุ ันแบงระบบเศรษฐกจิ เป็น 3 ประเภท 1. ระบบเศรษฐกิจแบบบังคับหรือสังคมนิยม 2. ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรอื ระบบตลาด 3. ระบบเศรษฐกิจแบบผสม ระบบเศรษฐกจิ ไทย 1. ระบบเศรษฐกจิ แบบสังคมหรอื แบบบังคับ - รัฐกําหนดควบคมุ วางแผน ตัดสนิ ใจเก่ยี วกบั กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ - ทรัพยสแ นิ ทรัพยากรและปจใ จัยการผลติ เป็นของรฐั - เชนในประเทศเวียดนาม เกาหลเี หนือ ควิ บา 2. ลักษณะระบบเศรษฐกิจแบบทนุ นิยมหรอื ระบบตลาด - เอกชนหรือหนว ยธุรกิจตา ง ๆ มอี สิ ระในการประกอบกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ - เนน การแขง ขนั ของเอกชน เกดิ การผลิตสินคา ทีม่ ีคุณภาพเพือ่ แยงตลาดการขาย เป็นไปตามกลไกราคา - เอกชนมสี ิทธ์ใิ นทรัพยแสนิ และปจใ จัยการผลติ เงิน - สหรฐั อเมริกา แคนาดา ญ่ีปุน 3. ลกั ษณะระบบเศรษฐกจิ แบบผสม - กิจกรรมทางเศรษฐกจิ บางอยางรัฐเป็นผูดําเนินการบางอยางเอกชนดาํ เนินการ - เอกชนมสี ิทธ์ิในทรัพยสแ นิ มเี สรีภาพในการประกอบกิจกรรมภายใตก ฎหมาย มีการแขงขัน ภายใตก ลไกราคา มีกาํ ไร - รฐั ประกอบกิจกรรมที่เป็นสาธาณปู โภคพ้นื ฐานที่จาํ เปน็ - รัฐเขา แทรกแซงการผลิตของเอกชนเพ่ือปูองกนั การเอารดั เอาเปรียบ ลกั ษณะเศรษฐกิจไทย ไทยใชร ะบบเศรษฐกจิ แบบผสมแตคอ นขา งไปทางทุนนิยมเอกชนมีบทบาทในการผลิตดานตาง ๆ มากกวา รัฐบาลเอกชนมีสิทธิใ์ นทรัพยแสินและปจใ จัยการผลติ มีเสรภี าพในการดาํ เนนิ กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ มกี าร แขง ขนั เพ่ือพฒั นาคณุ ภาพของสินคารฐั บาลดําเนนิ กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ดา นกิจกรรมสาธารณูปโภค
การแลกเปลี่ยนสินคา้ ความเป็นมา มนษุ ยแมีความสามารถในการผลิตสนิ คาแตละชนิดแตกตา งกนั ทําใหเ กิดการซอื้ ขายและ แลกเปล่ยี นสินคาที่ตนไมไดท ําเอง ประเภทการแลกเปลีย่ น 1. แลกเปล่ียนสินคา้ ต่อสนิ ค้าเชนชาวบา น เอมขา วสารมาแลกปลา ผลไมแ ลกพรกิ 2. แลกเปล่ียนโดยใช้เงนิ เป็นสอ่ื กลางซง่ึ รวมถึงบตั รเครดิต มีตลาดเป็นศนู ยแกลาง ความสัมพนั ธขแ องการแลกเปลี่ยน หนว ยเศรษฐกิจตาง ๆ ตองพ่ึงพาอาศยั กนั ท้งั ในดานการแลกเปล่ยี นสินคา ตอ สนิ คา และบรกิ ารการใหปจใ จยั การผลิต และความสมั พันธใแ นดานรายรับรายจาย กลไกราคา หมายถึง ภาวะการณขแ องตลาดเป็นการเคล่ือนไหวของราคาสนิ คาท่ีขน้ึ อยูกับความตองการของผูบริโภค และผผู ลิตรว มกนั ในตลาด อุปทาน (Supply)คือ ปริมาณสินคาที่ผผู ลิตหรือผขู ายพอใจ จะผลติ หรือขายแกผ บู รโิ ภค กฎของอุปทานเมื่อสนิ คาราคาแพง ผผู ลติ หรือพอคาจะนําสินคาออกมาขายมาก หรือผลติ มากขึ้น เม่ือ สนิ คา ต่าํ ลงจะนําออกมาขายนอยหรือผลิตนอยลง ปัจจยั ที่มีผล 1. ราคาสนิ คา 2. รายไดของผบู ริโภค ตนทุนการผลติ 3. รสนิยมของผูบรโิ ภค 4. ราคาสินคาอ่นื ที่ใชแทนกนั ได 5. จํานวนผผู ลติ คูแขง 6. สภาพลมฟูา อากาส ลักษณะธรรมชาติ สถาบันการเงิน คอื สถาบนั ทีท่ ําหนา ท่ีระดมเงินออมจากประชาชน โดยจา ยดอกเบี้ยใหจ ากนัน้ กจ็ ะนาํ เงินออมดังกลา วไป ปลอยกูหรือสนิ เช่ือแกผูต องการใชเพอ่ื ใชใ นการบรโิ ภคหรอื เพอ่ื การลงทนุ
ประเภทของสถาบันการเงิน สถาบันการเงนิ ตา่ งๆ ธนาคารแหงประเทศไทย มีหนาที่จัดการดูแล ควบคมุ ระบบเงินของประเทศมีชื่อเรยี กวาธนาคารชาติ ธนาคารพาณิชยแ มหี นาทเ่ี ปน็ แหลง เงนิ ออมและเงนิ กูส ําคัญของประชาชน ซื้อขายเงินตราตางประเทศให เชา ตนู ริ ภยั โอนเงิน ชําระคาไฟฟูา ประปา ฯลฯ ธนาคารทตี่ ้ังข้นึ เพื่อวตั ถุประสงคเแ ฉพาะ เชน ธนาคารออมสนิ ธนาคารอาคารสงเคราะหแ ธกส. ธนาคารเพ่อื การนาํ เขา และสง เอก บริษัทเงินทนุ มีหนาที่ ระดมเงินทนุ หรอื กูย ืมเงินจากประชาชน โดยออกตั๋วสัญญาใชเ งนิ ใหเ ป็นประกนั ครง้ั ละ ไมตํา่ กวา 10,000 บาท บางครง้ั เรียกวา ไฟแนนซแ หรือ ทรสั ตแ บรษิ ทั หลักทรัพยแ มีหนาที่ เป็นนายหนาหรอื ตวั แทน (โบรกเกอรแ) ซ้ือขายหลักทรพั ยแ (หุน) แกบ ุคคลอนื่ หรือแนะนาํ การซ้ือขายหนุ แกประชาชน บรรษัทเงินทุนอตุ สาหกรรมแหง ประเทศไทย จัดตง้ั เพื่อใหส ินเชอ่ื แกเ อกชนในระยะยาว เพ่อื การลงทนุ ผลติ ภาคอุตสาหกรรม โดยคิดดอกเบีย้ เงินกูในอัตราต่าํ บรรษัทประกันชวี ิตและประกนั ภยั ทําหนา ทร่ี ะดมเงนิ ออมจากประชาชนในรปู ของการขายกรมธรรมแ เปน็ หนงั สอื สญั ญาการประกันชวี ิต ประกนั ภัย หรือประกันอุบัติเหตุใหแกผูซ ้ือ บริษทั จะไดรับผลประโยชนจแ ากการ นําเงนิ การขายกรมธรรมแไปลงทนุ ในรปู แบบตาง ๆ บริษทั เครดิตฟองซเิ อรแ ทําหนาทีป่ ลอยสินเชือ่ ใหล ูกคาโดยมีทอ่ี สังหาริมทรัพยปแ ระเภทที่ดนิ หรอื บา น เป็น หลักประกัน (จาํ นอง) แหลงท่ีมาของเงนิ ทุนมาจากการกูเงนิ จาก ธนาคารพาณิชยแ โรงรับจํานาํ มีหนาทเี่ ปน็ สาถาบนั การเงินขนาดเล็ก มีทง้ั ของรฐั และเอกชน โดยมที รพั ยแสนิ ประเภท สังหารมิ ทรัพยแ (แหวน สรอย ทองคํา เป็นตน) มีช่ือเรียกวา สถานธนานุบาล สถานธนานเุ คราะหแ สหกรณแออมทรัพยแ เกิดจากสมาชกิ ทป่ี ระกอบอาชีพเดียวกนั รวมกลมุ กนั เพอื่ ชวยเหลอื สมาชกิ ดา นการเงิน โดยรบั ฝากเงนิ และใหกูเงนิ เม่ือมคี วามจําเป็น ตลาดหลักทรัพยแแหง ประเทศไทย เป็นสถาบันการเงินภายใตก ารควบคมุ ของรัฐ (กระทรวงการคลงั ) ทาํ หนาท่ีเป็นศูนยแกลางในการ ซ้ือขายหลกั ทรพั ยแ (หนุ ) ควบคุมการซื้อขายใหมรี ะเบยี บยตุ ธิ รรม เกิดผลดตี อ การ พฒั นาเศรษฐกิจของประเภท ความสําคญั ของสถาบนั การเงิน สถาบันการเงนิ มีบทบาทตอ การพฒั นาเศรษฐกจิ ของชาติ เนอื่ งจากเงนิ ทุน เปน็ ปจใ จยั ทางเศรษฐกจิ ทส่ี ําคัญและมีจาํ นวนจาํ กัดสถาบนั การเงนิ จงึ ตองจัดสรรเงินทุนเหลา น้นั ใหเ พยี งพอ
แผนพฒั นาเศรษฐกิจฯ แผน 9 คือ การวางแผนพัฒนาเศรษฐกจิ ของประเทศใหป ระชาชนอยูด กี นิ ดี มีงานทํา มีรายไดมคี วามมน่ั คงและ ปลอดภยั ปจใ จุบันใชแ ผนพฒั นาฉบับท่ี 9 จากปี พ.ศ. 2545-2549 ความเป็นมาแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ มีขึน้ คร้ังแรกในสมัยจอมพลสฤษดธ์ิ นะรชั ตแเป็นนายกรฐั มนตรี โดย กําหนดทศิ ทาง นโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอยางเปน็ ระบบ ปใจจุบันใชแ ผนพัฒนา เศรษฐกจิ ฯ ฉบบั ท่ี 9 แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 9 จดุ เดน คือการนําเอาพระราชดํารัสของพระบาทสมเดจ็ พระเจาอยหู วั ในเรอ่ื ง “ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง” มาเปน็ หลักในการพัฒนาเศรษฐกจิ โดยเนน หลักของการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสงั คมของประเทศสรางความ เขม แข็งระดับรากหญา จนถงึ ระดบั ประเทศ แกไ ขปใญหาความยากจน และปใญหาสงั คมอ่ืน ๆ เปา้ หมาย 1. ฟ้นื ฟูเศรษฐกจิ มภี ูมิคมุ กันและแขงขนั ทางเศรษฐกจิ ยุคใหมได 2. วางรากฐานการพฒั นาประเทศใหย ่งั ยนื พึ่งตนเองอยางรูเทา ทันโลก 3. เพ่ือใหเ กิดการบรหิ ารจัดการทีด่ ใี นสังคมไทย 4. แกไขปใญหาความยากจน เพมิ่ ศักยภาพและโอกาสของคนไทยในการพง่ึ พาตนเอง รายไดแ้ ละรายจ่ายของรัฐ รายจายของรฐั รฐั มบี ทบาทในการบริหารเศรษฐกจิ และกจิ กรรมทางเศรษฐฏจิ ผา นงบประมาณรายขา ยจําแนก ตามกระทรวง 1. งบกลางทีจ่ ัดสรรโดยคณะรัฐมนตรีใหแกก ระทรวง กรมตา ง ๆ หนวยงาน รัฐวสิ าหกจิ 2. งบหมุนเวยี น งบประมาณท่ีจัดสรรใหก องทุนตาง ๆ ของรฐั เชน กองทนุ กูย ืนเพ่ือการศึกษา กองทุน ชว ยเหลือเกษตรกร เปน็ ตน รายได้ของรฐั 1. ภาษีอากร 2. การเรยี กเกบ็ คาบรกิ ารของรฐั 3. เงินกู - กโู ดยตรงของรัฐบาล - กูโ ดยรฐั วิสาหกจิ โดยรฐั คา้ํ ประกัน ความสาํ คญั ของการทําบัญชี การทาํ บญั ชรี ายได (รายรับ) และรายจา ยของตนเองหรือครอบครัวจะสงผลให รูจกั ตนเอง รูจักการใชจ า ย และการออม เพื่อสรางความม่ันคงแกต นเองครอบครัว การออมจะสง ผลใหเ กิด ความมน่ั คงระดับครวั เรอื น และระดับประเทศ เพราะฉะนั้นเราจงึ ควรทาํ บัญชรี ายรบั -รายจาย
ใบงานท่ี 1 1. ใหบอกลักษณะภมู ิประเทศและลกั ษณะเศรษฐกจิ ของประเทศไทยและทวีปยโุ รป ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ ลกั ษณะเศรษฐกิจ ประเทศ ................................................................................. ........................................................................................... ไทย .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. ................................................................................ ............................................................................................ ทวปี ยโุ รป .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .............................................................................. .......................................................................................... ............................................................................... ..........................................................................................
จงเลอื กคําตอบท่ถี กู ตองท่สี ดุ เพยี งคําตอบเดียว 1. ปใญหาการจราจรติดขัดตามเมืองใหญๆ นอกจากจะทําใหเกิดผลเสียทางเศรษฐกิจแลวยังจะทําให เกดิ ผลเสียทางใดอีก ก. ทาํ ใหคนฝาุ ฝืนกฎหมาย ข. ทาํ ใหสิ่งแวดลอ มเป็นพิษ ค. ทาํ ใหร ถยนตแเส่ือมสภาพเร็ว ง. ทาํ ใหสญู เสยี เวลาไปโดยเปลาประโยชนแ 2. เราจะแกอากาศเป็นพิษอยางเชน ในกรงุ เทพฯ โดยวธิ ใี ดจงึ จะดีท่ีสดุ ก. ลดจํานวนรถยนตลแ ง ข. ไมสง เสียงดังในโรงภาพยนตรแ ข. ปลกู ตน ไมใ หมาก ง. ขยายเขตเมืองใหกวา งออกไปอีก 3. การปอู งกนั ไมใหเ กิดปใญหามลพษิ ควรปฏิบัตอิ ยางไร ก. ไมสูบบุหรี่ในทส่ี าธารณะ ข. ไมสง เสยี งดงั ในโรงภาพยนตรแ ค. ขามถนนตรงทางมาลายหรือสะพานลอย ง. ติดตัง้ ระบบปูองกันไอเสียในรถยนตแ 4. ประเทศไทยขาดดลุ การคา กบั ตา งประเทศ เพราะเหตใุ ด ก. สนิ คา มจี าํ นวนนอยกวาเปูาหมาย ข. ปรมิ าณการผลิตสินคานอยลง ค. ไมสนับสนนุ ใหเ อกชนสงสินคา ออก ง. มูลคา ราคาสินคาสงออกนอยกวามูลคาสินคานําเขา 5. สาเหตุอะไรท่ีทาํ ใหฝนมีสภาพเป็นกรด ก. ก฿าซทมี่ ีออกไซดเแ ปน็ ตวั ประกอบ ข. ซลั เฟอรแไดออกไซดแ ข. ออกไซดแของไนโตรเจน ง. คารแบอนมอนนอกไซดแ 6. มลภาวะเป็นพิษทเี่ กิดผลกระทบตอระบบนิเวศนหแ มายถึง ก. ออกซิเจนในอากาศมปี ริมาณเพ่ิมขึน้ ข. คารบแ อนไดออกไซดแในอากาศมีปรมิ าณเพ่ิมขึ้น ค. ออกซิเจนในอากาศมีปริมาณเทา เดมิ ง. คารบแ อนไดออกไซดแในอากาศมปี ริมาณนอยลง
7. ขอ ใดไมใ ชป ใญหาการสน้ิ เปลืองพลังงานอนั เกิดจากปใญหาทรพั ยากรและส่งิ แวดลอ ม ก. ปใญหาการขาดแคลนนํ้าใช ข. ปญใ หานํา้ ทว มกรุงเทพฯ ค. ปใญหาการจราจรติดขดั ง. ปใญหาการศกึ ษา 8. ขอ ใดเป็นการใชพ ลังงานเพอื่ ปูองกันและแกไขปญใ หาทรพั ยากรและสง่ิ แวดลอ ม ก. การทิง้ ขยะมูลฝอย ข. การปลอ ยนํา้ เสีย ค. การคมุ กําเนดิ ของประชากร ง. การควบคุมหรอื ปูองกนั อากาศเสยี
ใบงานที่ 2 ใหผ ูเรยี นวิเคราะหแลักษณะที่กําหนดใหวาเป็นระบบเศรษฐกิจใด โดยกาเคร่ืองหมาย ในเรื่องระบบ เศรษฐกจิ ที่คดิ วา ถกู ตอง ระบบเศรษฐกิจ ลักษณะ ทุนนิยม สงั คมนยิ ม สังคมนยิ ม แบบผสม ประชาธปิ ไตย คอมมิวนิสตแ 1. เอกชนมีเสรีภาพในการผลติ และบรโิ ภคอยางเต็มที่ 2. รัฐเปน็ ผวู างแผนกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ทั้งหมด 3. รฐั เขาไปดาํ เนินกจิ กรรมทางเศรษฐกิจในสวนทเ่ี กี่ยวของกบั ประโยชนแสว นรวม 4. มเี ปูาหมายเพื่อผลกําไร 5. มเี ปาู หมายเพ่ือสรา งความเป็นธรรมในสังคม 6. มีเปูาหมายเพ่อื ความอยูดีกนิ ดีของสังคม 7. เอกชนมกี รรมสทิ ธิ์ในทรัพยแสินอยางเตม็ ที่ 8. ไมเปิดโอกาสใหมกี ารแขงขนั 9. กจิ กรรมทางเศรษฐกิจขึน้ อยูก ับกลไกแหง ราคา 10. การผลิตอะไรเทา ใดขึน้ อยกู บั รัฐบาลเทา น้ัน 11. รฐั และกลไกราคามีสวนในการกาํ หนดวาจะผลิตอะไร เทา ใด 12. เปน็ ระบบทป่ี ระเทศสวนใหญใช 13. เปน็ ระบบทีพ่ ัฒนามาจากลิทธิมารกแ ซิสตแ 14. รัฐเกบ็ ภาษีประชาชนในอัตราสงู เพ่ือจายเป็นสวสั ดกิ ารสังคม แตใ หเ สรภี าพในการบรโิ ภคเต็มที่ 15. เป็นระบบทกี่ อใหเกิดความแตกตางดานรายไดมากท่สี ุด 16. เปน็ ระบบที่แกปใญหาความแตกตางดา น รายไดโ ดยไมจาํ กัด เสรภี าพของบุคคล 17. เป็นระบบท่ีมีความแตกตางดานรายไดนอยทีส่ ดุ 18. มีการใชทรพั ยากรส้ินเปลืองมาก 19. มกี ารวางแผนจากสว นกลาง 20. จํากดั กรรมสิทธิใ์ นทรพั ยแสินและปจใ จยั การผลติ บา ง
ใบงานที่ 3 1) ใหศึกษาพฤติกรรมของมนุษยใแ นทางเศรษฐศาสตรแและตัดสนิ วาเกย่ี วของกับเศรษฐศาสตรแสาขาใด โดยกาเครื่องหมาย ใหตรงชอ งท่ถี ูกตอง พฤติกรรม เศรษฐศาสตรแ เศรษฐศาสตรแ 1. การปลอ ยนํา้ เสยี ของโรงงานอุตสาหกรรมใน กทม. จุลภาค มหภาค 2. การวา งงานของประชากรไทย 3. การผลิตขาวของชาวนาในภาคเหนือ 4. การซ้ือขายแลกเปลีย่ นสนิ คาในตลาด 5. การเก็บภาษอี ากร 6. พฤติกรรมของผูบริโภค 7. ปญใ หาเงินเฟูอ 8. ปญใ หาทางการคลังของรัฐบาล 9. การกักตุนสินคา ของพอคาคนกลาง 10. รายไดประชาชาติ 11. ปใญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 12. ปญใ หาการสงออกลดลง 13. ปใญหาการจราจรตดิ ขดั ในกรุงเทพมหานคร 14. ความนยิ มในการใชสนิ คาฟมุ เฟือยของเยาวชน 15. ปญใ หาการลงทนุ ในประเทศลดลง
ใบงานท่ี 4 กิจกรรมที่ 1 เร่อื ง ความสมั พนั ธแ์ ละผลกระทบทางเศรษฐกจิ ระหวา่ งประเทศกบั ภูมิภาคตา่ งๆ ท่ัวโลก คาสั่ง เม่ือผูเรียนศึกษาเรื่องความสัมพันธแและผลกระทบทางเศรษฐกิจระหวางประเทศภูมิภาคตางๆ ท่ัวโลก แลว ตอบคําถามทกี่ าํ หนดให เรือ่ งที่ 1 การคา ระหวางประเทศ หมายถึง การซื้อขายแลกเปล่ียนสินคาและบริการระหวางประเทศหน่ึงกับ อีกประเทศหน่ึง อาจกระทําโดยรัฐบาลหรือเอกชนก็ได ปใจจุบันประเทศตางๆ สวนมากมักมีการติดตอซื้อ ขายกันเนื่องจากแตละประเทศมีทรัพยากรธรรมชาติ สภาพของดินฟูาอากาศ และความชํานาญในการผลิต สินคา แตกตางกัน สรปุ ไดว า ปใจจยั ท่กี อ ใหเ กิดการคาระหวา งประเทศคือ 1. ความแตกตางในเร่ืองทัพยากรธรรมชาติ ไดแก พลังงาน แรธาตุ ปุาไม ความอุดมสมบูรณแของดินในแต ละประเทศในโลกแตกตางกัน ประเทศที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณแ ยอมมีโอกาสสูงที่จะนําทรัพยากรมาผลิต เป็นสนิ คา และบรกิ าร 2. ความแตกตา งในดานลกั ษณะภูมปิ ระเทศและภูมิอากาศ จึงผลิตสินคา ไดแตกตางกนั 3. ความแตกตางในเรื่องความชํานาญการในการผลิต เพราะแตละประเทศมีความกาวหนาทางเทคโนโลยี แตกตางกัน ประชากรของแตละประเทศมีความรู ความชํานาญแตกตางกัน เชน สวิตเซอรแแลนดแ มีความ ชํานาญในการผลิตนาฬกิ า เป็นตน ให้ผูเ้ รียนตอบคาถามต่อไปน้ี โดยเติมคาตอบลงในชอ่ งว่าง 1. การคา ระหวางประเทศ หมายถึง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การดําเนนิ กจิ กรรมในดานการคาระหวางประเทศสามารถดาํ เนินการโดย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. สาเหตุท่ีทาํ ใหเกิดการคา ระหวา งประเทศ ไดแก ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. ประเทศไทยเป็นประเทศท่ีผลติ ขา วไดมาก เนอ่ื งจาก ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… เรื่องที่ 2 การท่ปี ระเทศใดจะผลติ สินคา อะไรมากนอ ยเทาใดน้ันข้นึ อยูกับปจใ จยั และความเหมาะสมหลายๆ ประการดังกลา วแลว ไมม ปี ระเทศใดสามารถผลติ สนิ คา ที่ประชาชนตอ งการไดห มดทุกอยา ง ประเทศตางๆ จงึ นําสนิ คาของตนมาแลกเปลย่ี นกนั ดงั นั้น การคา ระหวา งประเทศจึงกอใหเ กิดประโยชนแ ดังน้ี 1. สินคาใดที่ผลิตในประเทศเราไมไดเราสามารถที่จะซื้อสินคาจากประเทศอื่นได ทําใหมีสินคาสนองความ ตองการของเราไดม ากขน้ึ 2. สินคา ท่ีผลิตไดใ นประเทศแตมตี น ทนุ ในการผลิตสูง ประเทศเราควรเลือกผลิตสินคาท่ีมีตนทุนการผลิตต่ําแลว สงไปขายแลกเปลีย่ น เราจะไดสินคาคณุ ภาพดีและราคาถกู กวาทจี่ ะผลติ เอง 3. กอใหเกิดความรูความชํานาญในการผลิตเฉพาะอยางตามความถนัดทําใหเกิดแรงจูงใจท่ีจะคิดคนเทคนิคการ ผลิตใหม ีคณุ ภาพมากข้นึ 4. ชวยใหประเทศกําลังพัฒนาไดแบบอยางการผลิตที่ทันสมัย สามารถนําทรัพยากรที่มีอยูมาใชในการผลิตเพ่ือ สงออกมากขึน้ 5. ชว ยใหประเทศกาํ ลงั พฒั นารูจ ักใชเทคโนโลยจี ากประเทศท่ีพฒั นาแลว มาพัฒนาประเทศใหเจริญกาวหนาขน้ึ ใหผ้ ู้เรียนตอบคาถามต่อไปนี้ โดยเตมิ คาตอบลงในช่องว่างตอ่ ไปน้ี 1. ในการผลิตสนิ คา ถาตน ทุนในการผลิตในประเทศสูง ควรแกปญใ หาโดย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ประเทศกาํ ลงั พัฒนาไดแบบอยางในการผลิตสินคา จาก ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การคาระหวางประเทศชว ยใหเศรษฐกิจขยายตวั เพราะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แผนการจัดกจิ กรรม
มการเรยี นรู้คร้งั ท่ี 7
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 538
Pages: