จํานวนผทู ีใ่ ชสบู ก. หรือ ข. หรอื ค. = 58 + 30 + 10 + 15 + 160 = 408 คน จาํ นวนผูท ี่ใชท ัง้ 3 ชนดิ = 72 คน ดังน้นั จํานวนของผูเ ขารบั การสํารวจท้งั หมด 408 + 72 = 480 คน ใบงาน เร่ือง แผนภาพเวนน์-ออยเลอรแ์ ละการแก้ปัญหา คาชี้แจง ผูเ รียนรว มกันศกึ ษาใบความรหู รอื แหลงเรียนรูตางๆ แลว รว มกนั ปฏบิ ตั ิตามใบงานท่ี กําหนดให จุดประสงค์ ผูเรยี นสามารถ 1. มคี วามคดิ รวบยอดเก่ียวกับการแกปใญหาโจทยแการหาสมาชกิ ของเซตได 2. เช่อื มโยงความรตู างๆ ทางคณิตศาสตรแและเช่ือมโยงคณิตศาสตรกแ บั ศาสตรอแ นื่ ๆได 3. มคี วามเช่อื มั่นในตนเอง กลา แสดงความคดิ เหน็ ท่ีดี และมีความรับผดิ ชอบ กิจกรรมการเรยี นรู้ 1. แบง ผเู รียนออกเปน็ กลุม ๆละ 3 – 5 คน 2. ตวั แทนแตละกลุมอานประเด็นคําถามจากบตั รคาํ ถามเพื่อนาํ ไปสกู ารอภปิ รายภายในกลุม 3. ผเู รยี นรว มกันอภปิ รายตามประเดน็ คําถาม พรอมทง้ั บันทึกลงใน กรต. 4. นาํ เสนอความคดิ ของกลุมหนา ช้นั เรยี น ประเดน็ คาถาม เร่อื ง นครรัฐดไู บติดตงั้ กล้องโทรทศั นว์ งจรปดิ กว่า 25,000 ตวั ช่วยภารกิจรกั ษาความปลอดภยั ตาม แผนเฝ้าระวงั เหตุร้ายท่ัวเมือง... พลตํารวจโทดาฮี คาลฟาน ผูบัญชาการตํารวจนครรัฐดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตสแ ใหสัมภาษณแ หนังสือพิมพแแนชนัล ฉบับวันอาทิตยแ 20 มิ.ย. ระบุ ทางการรัฐดูไบติดต้ังกลองโทรทัศนแวงจรปิด ชวยภารกิจ รักษาความปลอดภัยแลวมากกวา 25,000 ตัว ตามแผนเฝูาระวังเหตุรายทั่วเมือง ที่ขยายตัวกวางข้ึนเร่ือยๆ หลังพบวา วิธีการดังกลาวชวยทําใหตํารวจ ติดตามเบาะแสคดีอาชญากรรมไดงายและรวดเร็วมากข้ึน ตัวอยางเชน กรณีนายมาหแมุด อัล-มาบูหแ แกนนํากลุมฮามาสของปาเลสไตนแ ถูกกลุมคนรายตองสงสัย เจาหนาที่สายลับอิสราเอล บุกสังหารโหดคาโรงแรมหรูแหงหนึ่ง เมื่อชวงเดือน ม.ค. ทําใหตํารวจดูไบได หลักฐานชวยไขคดีน้ีอยางงายดายรวดเร็ว จากการตรวจวิเคราะหแเทปภาพจากโทรทัศนแวงจรปิด ความยาว มากกวา 1,700 ช่วั โมง จงึ สามารถระบุตัวผูตองสงสัยไดในที่สุด ทางการรัฐดูไบตั้งงบประมาณมากกวา 136 ลา นดอลลารแสหรัฐ ติดต้ังกลองโทรทัศนแวงจรปิดท่ัวเมือง เพื่อรองรับการขยายตัวของนครรัฐดูไบ ใหปลอดภัย ครอบคลุมทกุ พนื้ ท…ี่ ท่มี า:โดยไทยรัฐออนไลนแ
ประเดน็ คาถามเพือ่ นาไปสูก่ ารอภิปราย นครรัฐดูไบติดต้ังกลองโทรทัศนแวงจรปิดกวา 25,000 ตัว ชวยภารกิจรักษาความปลอดภัย ตามแผน เฝูาระวงั เหตุรา ยท่ัวเมือง...เป็นการแกปใญหาสังคม สวนในทางคณิตศาสตรแการแกโจทยแปใญหาเก่ียวกับเซตนั้น สามารถทําได 2 วิธี คอื ใชสูตรลดั และการใชแผนภาพเวนนแ - ออยเลอรแ แบบฝึกหัดท่ี 1 เร่อื ง แผนภาพเวนน์ – ออยเลอร์ ใหน้ กั เรยี นเขียนชอื่ เซตแสดงส่วนท่ีแรเงาในแผนภาพต่อไปน้ี AB AB A B U U U 1.......................................... 2. ....................................... 3. ........................................ A BA B A B CU CU CU 4.......................................... 5. ....................................... 6. ........................................ AB AB AB C C CU U U 7.......................................... 8........................................ 9. ........................................
ให้นักเรยี นแรเงาในแตล่ ะแผนภาพแทนเซตที่กาหนดใตแ้ ผนภาพต่อไปนี้ AB A BA B U U U 1. A (A B) 2. A B 3. A B B AB AB A U U U 4. (A B) A 5. (A B) B 6. [(A B) B] AB AB AB U U U 7. (A B) (B A) 8. (A B) (B A) 9. (A B) (B A) AB AB AB CU CU C U 10. B C 11. B A 12. C (B A) AB AB AB CU CU CU 13. A (B C) 14. B (AC) 15. (B A) C
แบบฝึกหัดที่ 2 เรื่อง โจทย์ปญั หาเก่ียวกับเซต 1. กาํ หนดจาํ นวนสมาชกิ ของเซตตา ง ๆ ดงั ตารางตอไปนี้ เซต U A B C AB AC BC ABC จํานวน 50 25 20 30 12 15 10 5 สมาชกิ จงหาจาํ นวนสมาชกิ ในเซตตอไปนี้ 1) AC 4) B (AC) 2) A B C 5) (A B) C 3) (A B C) 2. นกั เรียนชัน้ ม.4 แหง หน่งึ มี 92 คน ไดรบั รางวัลเรียนดี 16 คน ไดร ับรางวลั มารยาทดี 12 คน ในจาํ นวนน้ีไดท ้งั สองรางวัล 7 คน จงหา 1) จาํ นวนนกั เรียนทไ่ี ดรบั รางวัลเรียนดีเพยี งอยา งเดยี ว 2) จํานวนนกั เรยี นทง้ั หมดที่ไดรับรางวัล 3) จาํ นวนนกั เรยี นที่ไมไดรับรางวลั 3. จํานวนนกั เรียน ม.4 โรงเรียนแหงหนง่ึ มี 400 คน ในจาํ นวนน้เี ลอื กเรยี นคณิตศาสตรแ 250 คน เลอื กเรียนศิลปะ 200 คน เลอื กเรียนทงั้ คณิตศาสตรแและศิลปะ 130 คน จงหา 1) จาํ นวนนกั เรียนทเี่ ลือกเรียนคณิตศาสตรเแ พยี งวิชาเดียว 2) จาํ นวนนักเรยี นทเ่ี รียนศิลปะเพยี งวิชาเดยี ว 3) จํานวนนักเรยี นที่ไมเลอื กเรยี นทั้งสองวชิ า 4. รานคา แหง หนง่ึ ไดทําการสํารวจความนิยมของลูกคาเกยี่ วกับการใชพัดลม พบวา 60% ใชพ ัดลม ชนิดต้ังโต฿ะ 45% ใชพัดลมชนดิ แขวนเพดาน และ 15% ใชท ง้ั สองชนดิ อยากทราบวา 1) ลูกคา ที่ไมใ ชพัดลมทัง้ สองชนิดน้มี กี เ่ี ปอรแเซน็ ตแ 2) ลูกคาทีใ่ ชพดั ลมเพียงชนดิ เดยี วมกี ่ีเปอรเแ ซน็ ตแ 5. ยายทองซง่ึ เป็นแมคา ในตลาดสดกดุ ชมุ สงั เกตลูกคา ท่ีมาซอ้ื ขนมทองหยิบหรอื ทองหยอดจํานวน 200 คน ซึง่ แตละคนตองซื้อขนมอยา งนอยหนงึ่ ชนิด พบวามีผูซือ้ ขนมทองหยบิ จํานวน 165 คน มีผูซ้อื ขนมทองหยอดจาํ นวน 110 คน จงหา 1) จํานวนลกู คาทีซ่ ้อื ขนมทองหยอดเพยี งอยางเดียว 2) จํานวนลูกคา ทซี่ ้ือขนมทองหยบิ เพียงอยา งเดียว 3) จํานวนลูกคา ท่ซี ้อื ขนมทองหยบิ และขนมทองหยอด
แบบทดสอบย่อย เรื่อง แผนภาพ เวนน์-ออยเลอร์ และการแก้ปัญหา คาชี้แจง ใหผูเรียนแสดงวธิ ที ํา โดยเลอื กทําเพยี ง 3 ขอ (ขอละ 5 คะแนน) 1. นกั เรียน ม.4/1 มนี ักเรียน 37 คน มี 20 คนชอบฟใงเพลงลูกทุง และ 25 คนชอบฟใงเพลงสตรงิ ถา นกั เรยี นทง้ั หมดชอบฟใงเพลงอยา งนอยหน่ึงประเภทในสองประเภทน้ี จงหาวา มนี ักเรียนชอบฟใงเพลงท้งั สองประเภทนี้กคี่ น 2. นกั เรียน ม.4/2 มี 36 คน 26 คนเลอื กชุมนุมคณิตศาสตรแ 22 คนเลือกชุมนุมดาวแหงความดี (V- Star) 15 คนเลือกทง้ั สองชุมนมุ จงหาวา มีนักเรียนกี่คนไมเ ลือกชุมนุมทัง้ สองอยางนี้ 3. จากการสํารวจนกั เรยี นชั้น ม.4 โรงเรียนกดุ ชมุ วทิ ยาคมจาํ นวน 237 คนเก่ยี วกบั ฟุตบอลยูโร 2008 ปรากฏผลดังน้ี 125 คนชอบทีมฮอลแลนดแ 150 คนชอบทมี โปรตเุ กส 48 คนไมชอบทงั้ สองทีมน้ี มนี ักเรียนท่ีชอบทง้ั สองทมี กีค่ น 4. นักเรยี นชุมนมุ คอมพิวเตอรจแ าํ นวน 120 คน 80 คนชอบเว็บ kapook.com 35 คนชอบเว็บ hi5.com 13 คนชอบทั้งสองเวบ็ นี้ จงหาวา มีนกั เรยี นชุมนมุ คอมพิวเตอรแกี่คนที่ชอบเวบ็ kapook.com หรอื hi5.com 5. จากการสํารวจแมบา นท่ใี ชเ ครอ่ื งซักผา 75 คน ปรากฏผลดงั น้ี 42 คนชอบใชบรีส 34 คนชอบใช แฟบู 27 คนชอบใชโ อโม 12 คนชอบบรีสและโอโม 14 คนชอบบรสี และแฟูบ 10 คนชอบแฟบู และโอโม 7 คนชอบผงซักฟอกทั้งสามประเภท จงหาจํานวนแมบ า นทีช่ อบใชผ งซักฟอกประเภทเดยี ว 6. จากการสาํ รวจผฟู งใ เพลง 180 คน พบวา มผี ูชอบฟใงเพลงไทยสากล 95 คน เพลงไทยเดิม 92 คน เพลงลูกทงุ 125 คน เพลงไทยสากลและเพลงไทยเดิม 52 คน เพลงไทยสากลและเพลงลกู ทงุ 43 คน เพลงไทยเดิมและเพลงลกู ทงุ 57 คน และทง้ั 180 คน จะชอบฟใงเพลงอยางนอยหนงึ่ ประเภทใน สามประเภท ดังกลา วขางตน จาํ นวนคนท่ีชอบฟใงเพลงไทยสากลเพยี งอยา งเดยี วเทา กับเทาใด 7. โรงเรยี นแหง หนึ่งมีนักเรียน 80 คน และมชี มรมกฬี า 3 ชมรม คอื ฟตุ บอล กรฑี าและวา ยนํ้า นักเรยี นทกุ คนตอ งเป็นสมาชิกอยางนอยหนง่ึ ชมรม ถามีนักเรียน 30 คน ท่ีไมเ ป็นสมาชกิ วายนาํ้ มี นกั เรียน 20 คนทเี่ ปน็ สมาชิกชมรมวายนา้ํ แตไ มเ ป็นสมาชกิ ชมรมฟุตบอล และมนี ักเรียน 18 คน ท่ี เปน็ สมาชกิ ท้ังชมรมฟุตบอลและชมรมวา ยน้าํ แตไมเ ปน็ สมาชิกชมรมกรฑี า แลวจํานวนนักเรียนท่เี ปน็ สมาชิกทงั้ 3 ชมรม เทากับเทา ใด
แผนการจัดกจิ กรรม
มการเรยี นรู้คร้งั ท่ี 3
แผนการจัดการเรยี นรู้ สาระ ความรูพ้ นื้ ฐาน ระดบั ม.ปลาย จา ครัง้ วัน/เดือน/ปี หวั เรือ่ ง/ตัวชี้วัด เน้ือหาสาระการเรยี นรู้ การ ท่ี เรอ่ื ง สถติ ิเบื้องตน 1. การวิเคราะหแขอ มลู ข้ันท่ี 1 เบ้ืองตน ครูต้ังป 2. การหาคา กลางของ สถติ คิ อื ขอมูลโดยใชคาเฉลย่ี เลข - ผเู รยี คณติ มัธยฐานและฐาน เทาไร นยิ ม เทา ไร 3. การนําเสนอขอ มลู เปน็ อา นาํ เสน เหมาะ ขน้ั ที่ 2 - ผูเร - ผเู ร 1. ขอมูลเ 2. ขอ มูล 3. - ครูอ เบอ้ื งต - ผเู รยี
รายวชิ า คณติ ศาสตร์ รหสั วชิ า พค31001 านวน 5 หน่วยกติ รจัดกระบวนการเรยี นรู้ สอ่ื /แหลง่ เรียนรู้ การวดั และ ประเมินผล 1 : กาหนดสภาพปญั หา - ใบความรเู ร่ืองสถติ ิเบ้อื งตน - การสงั เกต ประเดน็ คาํ ถามผูเรยี นวา - ใบงาน พฤติกรรมจาก ออะไร - แบบฝึกหัด การทาํ กจิ กรรม ยนกลมุ น้ีมีอายเุ ฉลยี่ - หนงั สือแบบเรียน กลมุ ฐานนยิ มของอายมุ ีคา - แหลง เรยี นรอู ่นื ๆ เชน youtube - ผลงานจากการ ถา จะนาํ เสนอขอ มลู ท่ี เรื่องสถิติเบื้องตน ทําใบงาน ายขุ องผูเรยี นควร https://youtu.be/iR7yM4uYynA - การทํา นอในรูปแบบใดจึงจะ แบบฝกึ หดั ะสม - บนั ทึกการ 2 : แสวงหาความรู้ เรยี นรู ียนตอบประเดน็ คําถาม ยี นศึกษาใบความรู . เรื่องการวิเคราะหแ เบื้องตน . การหาคา กลางของ . การนําเสนอขอ มลู สถิติ อธบิ ายเก่ยี วกับสถิติ ตน ยนศึกษาเกย่ี วกบั สถติ ิ
เบอื้ งต ข้ันที่ 3 - ครมู งานเป กลมุ หาคา ก แบบแ ทก่ี าํ หน กลมุ ท คากลา แผนภ กําหนด กลมุ หาคา ก แผนภ กาํ หนด - ผเู ร เพมิ่ เต - ผเู รยี คน ควา การพบ ขนั้ ท่ี เรยี นร - ครูป
ตนจากแหลง เรียนรอู ่นื ๆ 3 : การปฏบิ ัตนิ าไปใช้ มอบหมายใหผูเ รยี นทาํ ใบ ปน็ กลุม ดังน้ี มท่ี 1 ศกึ ษาขอมลู และ กลาง นําเสนอขอมลู แผนภูมิรปู ภาพจากขอ มูล นด ที่ 2 ศึกษาขอ มลู และหา าง นาํ เสนอขอมลู แบบ ภูมิแทงจากขอมูลที่ ด มที่ 3 ศกึ ษาขอมลู และ กลาง นําเสนอขอมูลแบบ ภูมริ ูปวงกลมจากขอ มูลท่ี ด ียนทาํ ใบงานและศึกษา ติมจากแหลง เรียนรูอน่ื ยนนาํ เสนอผลการศึกษา าและการทาํ ใบงานใน บกลุมครั้งตอไป 4 การประเมินผลการ รู ประเมินผลจากการสังเกต
พฤติกร บันทึก - ครูแ เรียนร
รรม,แบบฝกึ หัด ,ใบงาน, กการเรยี นรู และผเู รียนสรุปผลการ รูรวมกัน
ใบความรู้/กจิ กรรม ครั้งที่ .3.. เร่อื ง สถติ เิ บื้องต้น 1. การวเิ คราะหแขอมูลเบ้อื งตน สถติ ิ เป็นศาสตรแที่เป็นทงั้ วิทยาศาสตรแแ ละศิลปะ โดยใชกระบวนการท่ีเรียกวาระเบียบ วิธกี ารทางสถติ ิ เพ่ือเกบ็ รวบรวมและวเิ คราะหแขอมลู แลวหาขอ สรปุ จากขอมลู ท่เี ก่ยี วของ ขอ มลู สถิติ หรือเรยี กสั้น ๆ วา ขอมลู หมายถงึ ขอเทจ็ จริงที่เป็นตัวเลขหรอื ไมใชต วั เลข เก่ยี วกับเร่ืองใดเรื่องหน่ึงท่สี นใจ ตัวอยางของขอมูลท่ีเป็นตัวเลข เชน นาํ้ หนกั ความสงู รายได ตวั อยา งขอมูลที่ไมใชต ัวเลข มักกลา วในลักษณะขา วสาร เชน นกั ศึกษาทเ่ี ขารวมกิจกรรม ปลกู ตน ไม อาสาสมัครที่ไปชวยประชาชนท่ีประสบภยั ธรรมชาติ เปน็ ตน สําหรบั ขอมลู ที่เป็นตวั เลขตองมีจาํ นวนมาก เพ่ือเปน็ การแสดงถงึ ลักษณะของสว นรวม หรือของกลมุ สามารถนาํ ไปวเิ คราะหแและตีความหมายได การจาแนกข้อมูลทางสถติ ิ มีดงั นี้ 1. จาํ แนกตามคณุ ภาพ เป็นขอมูลที่แสดงถึงคุณสมบตั ิ สภาพ ฐานะ 2. จําแนกตามปรมิ าณ เปน็ ขอ มลู ที่แสดงถงึ จจํานวนมากหรือนอยของ ขอมูล 3. จําแนกตามกาลเวลา เปน็ ขอมลู ที่แสดงถึงขอเท็จจรงิ ตามกาลเวลา 4. จาํ แนกตามภูมิศาสตรแ คือเอาลักษณะทางภมู ศิ าสตรแเป็นเกณฑแ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 1. การเกบ็ รวบรวมขอ มลู จากทะเบียนประวัติ คือการเก็บขอมลู จากแหลงทุติยภูมิ 2. การเก็บขอ มูลโดยการสาํ รวจ คือการเก็บขอมูลจากแหลง ปฐมภูมิ 3. การเกบ็ รวบรวมขอมลู ดวยการทดลอง 4. การเกบ็ รวบรวมขอมลู ดวยการสงั เกต การเก็บรวบรวมขอมลู ในทางสถติ ิจะมีวิธกี ารเก็บรวบรวมขอมูลได 3 วธิ ี ตามลักษณะของการปฏิบตั ิ กลาวคอื 1). วธิ ีการเกบ็ ขอ มลู จากการสํารวจ การเก็บรวบรวมขอมลู วิธนี ี้เปน็ ท่ีใชก ันอยา ง แพรหลาย โดยสามารถทําไดต้ังแตการสํามะโนประชากร การสอบถาม / สัมภาษณแจากขอมูลโดยตรง รวมทั้งการเกบ็ รวมรวมขอมลู ที่เกดิ เหตจุ รงิ ๆ เชน การเขาไปสํารวจผูมีงานทําในตําบล หมูบาน การแจง นับนักทองเที่ยวที่เขามาในจังหวัด หรืออําเภอ การสอบถามขอมูลคนไขท่ีนอนอยูในโรงพยาบาล เป็นตน วธิ กี ารสาํ รวจน้ีสามารถกระทําไดหลายกรณี เชน
1.1 การสอบถาม วิธีท่ีนิยม คือ การสงแบบสํารวจหรือแบบขอคําถามที่เหมาะสม เขาใจงายใหผูอานตอบ ผูตอบมีอิสระในการตอบ แลวกรอกขอมูลสงคืน วิธีการสอบถามอาจใชส่ือทาง ไปรษณยี แ ทางโทรศพั ทแ เป็นตน วิธนี ้ีประหยัดคา ใชจาย 1.2 การสัมภาษณแ เป็นวิธีการรวบรวมขอมูลท่ีไดคําตอบทันที ครบถวนเชื่อถือไดดี แต อาจเสยี เวลาและคา ใชจายคอ นขา งสงู การสัมภาษณแทาํ ไดท้ังเปน็ รายบคุ คลและเป็นกลมุ 2). วิธีการเก็บขอมูลจากการสังเกต เป็นวิธีการรวบรวมขอมูลโดยการบันทึกสิ่งที่พบเห็นจริงใน ขณะนั้น ขอมูลจะเชื่อถือไดมากนอยอยูท่ีผูรวบรวมขอมูล สามารถกระทําไดเป็นชวง ๆ และเวลาที่ ตอ เน่อื งกนั ได วธิ นี ีใ้ ชควบคไู ปกบั วธิ อี ่ืนๆ ไดด ว ย 3). วิธีการเก็บขอมูลจากการทดลอง เป็นการเก็บรวบรวมขอมูลที่มีการทดลอง หรือปฏิบัติอยูจริง ในขณะนั้นขอดีท่ีทําใหเราทราบขอมูล ขั้นตอน เหตุการณแท่ีตอเนื่องที่ถูกตองเชื่อถือไดบางครั้งตองใชเวลา เก็บขอมลู ท่ีนานมาก ทั้งน้ีตองอาศัยความชํานาญของผูทดลอง หรือผูถูกทดลองดวย จึงจะทําใหไดขอมูลที่ มีความคลาดเคลือ่ นนอ ยทีส่ ดุ อน่ึง การเก็บรวบรวมขอมูล ถาเราเลือกมาจากจํานวนหรือรายการของขอมูลที่ตองการเก็บมา ท้ังหมดทุกหนวยจะเรียกวา “ประชากร” ( Population ) แตถาเราเลือกมาเป็นบางหนวยและเป็น ตัวแทนของประชากรนั้น ๆ เราจะเรยี กวา กลุมตวั อยา งหรอื “ ตวั อยาง” ( Sample ) การวิเคราะห์ขอ้ มูล การวิเคราะหแขอมูล เป็นการแยกขอมูลสถิติที่ไดมาเป็นตัวเลขหรือขอความจากการรวบรวมขอมูล ใหเป็นระเบียบพรอมที่จะนําไปใชประโยชนแตามความตองการ ทั้งนี้รวมถึงการคํานวณหรือหาคาสถิติใน รูปแบบตาง ๆ ดว ย มวี กี ารดําเนนิ งานดังน้ี 1. การแจกแจงความถ่ี ( Frequency distribution ) เป็นวิธีการจัดขอมูลของสถิติที่มีอยู หรือ เก็บรวบรวมมาจัดเป็นกลุมเป็นพวก เพื่อความสะดวกในการที่นํามาวิเคราะหแ เชน การวิเคราะหแคาเฉล่ีย คาความแปรปรวนของขอมูล เป็นตน การแจกแจงความถ่ีจะกระทําก็ตอเม่ือมีความประสงคแจะวิเคราะหแ ขอมูลท่ีมีจาํ นวนมาก ๆ หรอื ขอ มลู ทีซ่ ํา้ ๆ กัน เพื่อชวยในการประหยัดเวลา และใหการสรุปผลของขอมูล มคี วามรดั กุมสะดวกตอ การนาํ ไปใชแ ละอางอิง รวมท้ังการนําไปใชประโยชนแในดานอ่ืน ๆ ตอไปดวย สวน คาํ วา “ตวั แปร” ( Variable ) ในทางสถติ หิ มายถงึ ลกั ษณะบางสงิ่ บางอยางท่เี ราสนใจจะศึกษาโดยลักษณะ เหลานั้นสามารถเปลี่ยนคาไปมาได ไมวาส่ิงน้ันจะเป็นขอมูลเชิงปริมาณหรือคุณภาพ เชน อายุของ นกั ศกึ ษาการศกึ ษาทางไกลท่วี ัดออกมาเปน็ ตัวเลขท่ีแตกตา งกนั หากเปน็ เพศมที ง้ั เพศชายและหญงิ เป็นตน ตัวอย่าง ถาให x เป็นตัวแปรที่ใชในการประเมินผลกอนเรียนหนวยวิชาสถิติเบ้ืองตน ซึ่งมี คะแนนเตม็ 20 คะแนน มนี ักศกึ ษาทําแบบประเมิน 5 คน ผลการวัด/สอบ ไดเป็น 17,13,10,9,6 ตามลาํ ดบั สามารถการแจกแจงความถี่แบง ออกเป็น 4 แบบคือ 1. การแจกแจงความถ่ีทว่ั ไป 2. การแจกแจงความถส่ี ะสม 3. การแจกแจงความถส่ี มั พทั ธแ 4. การแจกแจงความถี่สะสมสมั พทั ธแ 1. การแจกแจงความถ่ีท่วั ไป จดั แบบเปน็ ตารางในรปู แบบได 2 ลกั ษณะ
1) ตารางการแจกแจงความถ่ีแบบไมจัดเป็นกลุม เป็นการนําขอมูลมาเรียงลําดับจากนอยไปหา มาก หรอื มากไปหานอย แลว ดูวาขอมลู ในแตละตัวมตี วั ซํ้าอยูทจ่ี าํ นวน วิธีนขี้ อมลู แตละหนว ย/ช้ัน จะเทากัน โดยตลอด และเหมาะกบั การแจกแจงขอมลู ท่ไี มมากนัก ตัวอยา่ งที่ 1 คะแนนการสอบวชิ าคณิตศาสตรแของนกั ศึกษา 25 คน คะแนนเต็ม 15 คะแนน มดี งั นี้ 12 9 10 14 6 10 15 9 4 7 13 11 7 9 10 4 10 2 12 8 7 5 8 6 11 เมอ่ื นําขอ มูลมานับซาํ้ โดยทําเปน็ ตารางมีรอยขดี เปน็ ความถี่ ไดด งั น้ี คะแนน รอยขดี ความถี่ 1-0 2/1 3-0 4 // 2 5/1 6 // 2 7 /// 3 8 // 2 9 /// 3 10 //// 4 11 // 2 12 // 2 13 / 1 14 / 1 15 / 1 รวม 25
หรืออาจนําเสนอเป็นตารางเฉพาะคะแนนและความถ่ีไดอกี ดงั น้ี คะแนน ( 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 รวม x) ความถ(ี่ f 0 1 0 2 1 2 3 2 3 4 2 2 1 1 1 25 ) 2) การแจกแจงความถ่ีแบบจัดเป็นกลุม การแจกแจงความถ่ีแบบจัดเป็นกลุมนี้อาจเรียกเป็น จัดเป็น อนั ตรภาคช้ัน เปน็ การนาํ ขอ มูลมาจัดลาํ ดับจากมากไปหานอย หรือนอยไปหามากเชนกัน โดยขอมูล แตละชัน้ จะมีชว งชน้ั ท่เี ทากัน การแจกแจงแบบนเี้ หมาะสําหรับจดั กระทาํ กบั ขอ มูลทมี่ จี าํ นวนมาก การ แ จ ก แ จ ง ค ว า ม ถ่ี ที่ เ ป็ น อนั ตรภาคช้นั มคี ําเรยี กความหมายของคาํ ตา ง ๆ ดังตอ ไปนี้ 1. อันตรภาคชั้น ( Class interval ) หมายถึง ขอมูลที่แบงออกเป็นชวง ๆ เชน อันตรภาคช้ัน 11-20 , 21 -30 ,61–70 ,81-90 เปน็ ตน 2. ขนาดของอันตรภาคช้ัน หมายถึง ความกวาง 1 ชวงของขอมูลในแตละชั้น จาก 11-20 หรือ 61-70 จะมคี าเทากับ 10 3. จํานวนของอนั ตรภาคช้ัน หมายถึง จาํ นวนชว งช้ันทั้งหมดท่ีไดแจกแจงไวในทีน่ ้ี มี 10 ช้นั 4. ความถี่ ( Frequency ) หมายถึง รอยขีดท่ีซ้ํากัน หรือจํานวนขอมูลที่ซํ้ากันในอันตรภาคช้ันน้ัน ๆ เชน อนั ตรภาคชน้ั 41-50 มีความถ่เี ทากับ 11 หรอื มผี ูทม่ี ีอายุในชว ง 41-50 มีอยู 11 คน
2. การแจกแจงความถีส่ ะสม ความถ่ีสะสม ( Commulative frequency ) หมายถึง ความถี่สะสมของอนั ตรภาคใด ท่ี เกิดจากผลรวมของความถ่ี ของอนั ตรภาคนัน้ ๆ กบั ความถ่ขี องอันตรภาคชนั้ ที่มีชวงคะแนนตํ่ากวา ทั้งหมด ( หรอื สูงกวา ทั้งหมด ) ตัวอยา่ งท่ี 2 ขอมูลสวนสงู (เซนติเมตร) ของพนกั งานคนงานโรงงานแหงหนง่ึ จาํ นวน 40 คนมีดงั นี้ 142 145 160 174 146 154 152 157 185 158 164 148 154 166 154 175 144 138 174 168 152 160 141 148 152 145 148 154 178 156 166 164 130 158 162 159 180 136 135 172 เม่อื นํามาแจกแจงความถ่ีไดดังนี้ หมายเหตุ ความถี่สะสมของอันตรภาคชัน้ สดุ ทา ยจะเทา กับผลรวมของความถีท่ ั้งหมด มีความหมายของคาํ ท่เี รยี กเพิ่มเติมท่ีควรรู ไดแก ขีดจํากัดช้ันและจดุ กึ่งกลางชนั้ ดังความหมายและ ตวั อยา งตอไปนี้ 3. การแจกแจงความถี่สัมพัทธ์ ความถีส่ มั พทั ธแ ( Relative frequency ) หมายถงึ อัตราสว นระหวางอนั ตรภาคช้นั นั้นกบั ผลรวมของ ความถีท่ ัง้ หมด ซึง่ สามารถแสดงในรูปจดุ ทศนยิ ม หรอื รอ ยละกไ็ ด
ตวั อย่างท่ี 3 การแจกแจงความถี่สมั พัทธแของสวนสูงนักศึกษา หมายเหตุ ผลรวมของความถ่สี ัมพัทธแตองเทากับ 1 และคารอยละความถ่ีสมั พทั ธตแ อง เทากบั 100 ดว ย 4. การแจกแจงความถส่ี ะสมสัมพทั ธ์ ความถสี่ ะสมสัมพัทธแ ( Relative Commulative frequency ) ของอันตรภาคใด คือ อัตราสว น ระหวา งความถี่สะสมของอันตรภาคชัน้ นั้นกบั ผลรวมของความถท่ี งั้ หมด ตัวอย่างท่ี 4 การแจกแจงความถส่ี ะสมสมั พทั ธแของสว นสูงนกั ศึกษา ขีดจากดั ช้ัน ( Class limit ) หมายถงึ ตัวเลขทปี่ รากฏอยูใ นอันตรภาคชัน้ แบง เป็นขีดจาํ กดั บน และขดี จํากัดลา ง ( ดูตาราง )
1.1 ขีดจํากัดบนหรือขอบบน ( Upper boundary ) คือ คาก่ึงกลางระหวางคะแนนที่มากท่ีสุดใน อนั ตรภาคชน้ั นั้นกับคะแนนนอยที่สุดของอันตรภาคชั้นท่ีติดกันในชวงคะแนนที่สูงกวา เชน ตัวอยางอันตร ภาคช้ัน 140 -149 ขอบบน = 149 150 149.5 2 1.2 ขีดจาํ กัดลางหรือขอบลา ง ( Lower boundary ) คอื คาก่ึงกลางระหวางคะแนนท่ีนอยที่สุดใน อันตรภาคช้ันน้ันกับคะแนนท่ีมากท่ีสุดของอันตรภาคช้ันที่อยูติดกันในชวงคะแนนที่ตํ่ากวา เชน ตัวอยาง อนั ตรภาคชั้น 160 -169 ขอบลาง = 160 159 159.5 2 ตวั อยา่ งที่ 5 การแจกแจงความถีข่ องสว นสูงนักศึกษา จุดกึ่งกลางชน้ั ( Mid point ) เป็นคา หรอื คะแนนท่อี ยรู ะหวางตรงกลางของอนั ตรภาคชน้ั น้นั ๆ เชน ตัวอยา ง อนั ตรภาคช้นั 150 -159 จุดกง่ึ กลางของอันตรภาคชน้ั ดงั กลา ว 150 159 154.5 เปน็ ตน 2 นอกจากน้ยี งั สามารถแสดงการแจกแจงความถี่โดยใชกราฟ โดยแบง ออกเป็น 3 แบบ ดงั นี้ (กรมการศกึ ษานอกโรงเรียน ชุดวิชาคณิตศาสตรแ ม.ปลาย 2546 ) 1. อสิ โทแกรม ( Histogram ) 2. รูปหลายเหล่ยี มของความถ่ี ( Frequency polygon ) 3. เสน โคงของความถี่ ( Frequency curve )
2. การหาค่ากลางของข้อมูลโดยใชค้ า่ เฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน ฐานนยิ ม การหาคากลางของขอมูลที่เป็นตัวแทนของขอมูลทั้งหมดเพ่ือความสะดวกในการสรุปเร่ืองราว เกยี่ วกับขอมูลนั้นๆ จะชวยทําใหเกดิ การวเิ คราะหแขอมูลถูกตองดีข้ึน การหาคากลางของขอมูลมีวิธีหาหลาย วิธี แตละวิธีมีขอดีและขอเสีย และมีความเหมาะสมในการนําไปใชไมเหมือนกัน ข้ึนอยูกับลักษณะขอมูล และวัตถปุ ระสงคแของผใู ชข อมลู น้นั ๆ คา่ กลางของข้อมลู ทส่ี าคญั มี 3 ชนิด คอื 1. คาเฉล่ียเลขคณติ (Arithmetic mean) 2. มัธยฐาน (Median) 3. ฐานนิยม (Mode) การหาคา กลางของขอมลู ทําใหไดท้งั ขอมลู ทแี่ จกแจงความถ่ีและขอมลู ที่ไมไดแจกแจงความถี่ 2.1. คา่ เฉลีย่ เลขคณติ (Arithmetic mean) ใชสญั ลกั ษณแ คอื x การหาคา่ เฉลยี่ เลขคณติ ของขอ้ มูลท่ีไม่แจกแจงความถี่ ให x1 , x2 , x3 , …, xn เป็นขอ มลู N คา หรือ x x n ตวั อย่าง จากการสอบถามอายุของนักเรียนกลุมหน่ึงเป็นดังน้ี 14 , 16 , 14 , 17 , 16 , 14 , 18 , 17 1) จงหาคา เฉล่ียเลขคณิตของอายนุ ักเรียนกลมุ น้ี 2) เม่ือ 3 ปที ่ีแลว คา เฉลี่ยเลขคณติ ของอายนุ ักเรยี นกลมุ นเี้ ปน็ เทา ใด 1) วิธีทา คา เฉลี่ยเลขคณติ ของนักเรยี นกลมุ น้ี คือ 15.75 ปี 2) วธิ ที าํ เม่อื 3 ปที ี่แลว 11 13 11 14 13 11 15 14 อายุปจใ จุบัน 14 16 14 17 16 14 18 17
เมอื่ 3 ปีท่แี ลว คาเฉลย่ี เลขคณิตของอายุของนกั เรียนกลุมนี้ คอื 12.75 ปี ค่าเฉล่ยี เลขคณติ ของข้อมูลที่แจกแจงความถี่ ถา f1 , f2 , f3 , … , fk เปน็ ความถข่ี องคา จากการสงั เกต x1 , x2 , x3 ,…. , xk ตวั อยา่ ง จากตารางแจกแจงความถ่ีของคะแนนสอบของนักเรียน 40 คน ดงั น้ี จงหาคา เฉลยี่ เลขคณติ คะแนน จาํ นวนนกั เรยี น (f1) x1 f1x1 11 – 12 7 15.5 108.5 21 – 30 6 25.5 153 31 – 40 8 35.5 284 41 – 50 15 45.5 682.5 51 - 60 4 55.5 222 วิธีทํา x fx x = 1450 40 = 36.25 คา เฉล่ียเลขคณติ = 36.25
สมบตั ิท่สี าคัญของคา่ เฉลย่ี เลขคณิต 1. = 2. = 0 3. มีคานอยที่สดุ เมื่อ M = หรือ เมอื่ M เปน็ จํานวนจรงิ ใดๆ 4. x min < x < max 5. ถา y1 = axi + b , I = 1, 2, 3, ……., N เม่ือ a , b เปน็ คา คงตัวใดๆแลว =a + b คา่ เฉล่ยี เลขคณิตรวม (Combined Mean) ถา เป็นคา เฉลย่ี เลขคณิตของขอ มูลชดุ ที่ 1 , 2 , … , k ตามลําดับ ถา N1 , N2 , … , Nk เปน็ จาํ นวนคา จากการสังเกตในขอมลู ชดุ ที่ 1 , 2 ,… , k ตามลําดับ = ตัวอย่าง ในการสอบวชิ าสถิติของนักเรียนโรงเรียนปราณีวิทยา ปรากฏวานักเรียนชั้น ม.6/1 จํานวน 40 คน ได คาเฉล่ียเลขคณิตของคะแนนสอบเทากับ 70 คะแนน นักเรียนชั้น ม.6/2 จํานวน 35 คน ไดคาเฉล่ียเลขคณิต ของคะแนนสอบเทากับ 68 คะแนน นักเรียนช้ัน ม.6/3 จํานวน 38 คน ไดคาเฉล่ียเลขคณิตของคะแนนสอบ เทา กบั 72 คะแนน จงหาคา เฉล่ียเลขคณติ ของคะแนนสอบของนักเรียนทง้ั 3 หอ งรวมกนั วิธีทาํ รวม = = = 70.05
2.2. มัธยฐาน (Median) ใชสัญลกั ษณแ Med คือ คา ท่ีมีตําแหนงอยูกง่ึ กลางของขอมูลท้ังหมด เม่ือไดเ รียงขอมูลตามลําดบั ไม วา จากนอ ยไปมาก หรือจากมากไปนอย ก า ร ห า มั ธ ย ฐ า น ข อ ง ข้ อ มู ล ที่ ไ ม่ ไ ด้ แ จ ก แ จ ง ค ว า ม ถี่ ห ลั ก ก า ร คิ ด 1) เ รี ย ง ข อ มู ล ท่ี มี อ ยู ทั้ ง ห ม ด จ า ก น อ ย ไ ป ม า ก ห รื อ ม า ก ไ ป น อ ย ก็ ไ ด 2) ตาํ แหนงมัธยฐาน คือ ตําแหนง กง่ึ กลางขอ มลู ดังนั้นตําแหนงของมัธยฐาน = N 1 2 เมื่อ N คอื จํานวนขอมูลท้งั หมด 3) มัธยฐาน คือ คาทมี่ ีตําแหนงอยกู ึ่งกลางของขอมลู ท้ังหมด ขอ้ ควรสนใจ 1. เนอ่ื งจากตาํ แหนง ก่ึงกลางเป็นตาํ แหนงทเ่ี ราจะหามัธยฐาน ดงั นั้น เราจะเรียกตาํ แหนง น้วี า ตําแหนง ของมัธยฐาน 2. เราไมส ามารถหาตาํ แหนงกึ่งกลางโดยวิธีการตามตัวอยางขางตน เพราะตอ งเสยี เวลาในการนําคา จากการสังเกตมาเขียนเรียงกันทีละตําแหนง ดังนั้น เราจะใชวิธีการคํานวณหา โดยสังเกต ดงั นี้ ตาํ แหนง มัธยฐาน = N 1 2 3. ในการหามัธยฐาน ความสําคัญอยทู ่ี นักเรยี นตองหาตําแหนงของมธั ยฐานใหได เสยี กอ นแลวจงึ ไป หาคา ของขอมลู ณ ตําแหนงนั้น ตัวอย่าง กาํ หนดใหคาจากการสงั เกตในขอมูลชุดหนึง่ มีดังน้ี 5, 9, 16, 15, 2, 6, 1, 4, 3, 4, 12, 20, 14, 10, 9, 8, 6, 4, 5, 13 จง หามัธยฐาน วิธที า เรียงขอ มูล 1 , 2 , 3 , 4 , 4 , 4 , 5 , 5 , 6 , 6 , 8 , 9 , 9 , 10 , 12 , 13 , 14 , 15 , 16 , 20 ตําแหนงมัธยฐาน = N 1 2 = 20 1 2 = 10.5 คามธั ยฐาน = 6 8 = 7 2
การหามัธยฐานของขอ้ มูลท่ีจดั เปน็ อนั ตรภาคชัน้ ข้นั ตอนในการหามัธยฐานมีดังน้ี (1) สรางตารางความถสี่ ะสม (2) หาตาํ แหนง ของมัธยฐาน คือ N เมอื่ N เปน็ จาํ นวนของขอมูลทง้ั หมด 2 (3) ถา N เทา กับความถี่สะสมของอนั ตรภาคชนั้ ใด อันตรภาคช้นั นั้นเป็นชนั้ มัธยฐาน 2 และ มีมัธยฐานเทากบั ขอบบน ของอนั ตรภาคช้นั นั้น ถา N ไมเทาความถีส่ ะสมของอันตรภาค 2 ชนั้ ใดเลย อันตรภาคช้นั แรกที่มคี วามถ่สี ะสมมากกวา N เป็นชน้ั ของมัธยฐาน และหามธั ยฐานได 2 จากการเทียบบัญญัติไตรยางคแ หรือใชสูตรดังน้ี จากขอมูลทัง้ หมด N จาํ นวน ตําแหนงของมธั ย ฐานอยูท ี่ N 2 Med = N fl I 2 L fm เมือ่ L คือ ขอบลา งของอันตรภาคชนั้ ทีม่ มี ธั ยฐานอยู fl คือ ผลรวมของความถี่ของทกุ อนั ตรภาคชั้นท่มี มี ธั ยฐานอยู fm คือ ความถ่ขี องชน้ั ท่ีมมี ัธยฐานอยู I คอื ความกวา งของอันตรภาคชัน้ ทม่ี มี ัธยฐานอยู N คอื จํานวนขอ มลู ท้งั หมด
2.3 ฐานนิยม (Mode) การหาฐานนยิ มของข้อมูลที่ไมแ่ จกแจงความถี่ ใชส ญั ลกั ษณแ Mo คือคา ของขอมลู ที่มีความถ่ีสูงสดุ หรือคาท่ีมีจํานวนซ้าํ ๆ กนั มากทสี่ ุดสามารถหาไดจาก กรณขี อมลู ตอไปน้ี หลกั การคดิ - ใหดวู า ขอมูลใดในขอมลู ทมี่ ีอยูทงั้ หมด มกี ารซํา้ กนั มากท่สี ดุ (ความถ่ีสงู สดุ ) ขอมูลน้ันเปน็ ฐานนยิ มของ ขอ มลู ชุดน้นั หมายเหตุ - ฐานนยิ มอาจจะไมมี หรือ มีมากกวา 1 คาก็ได สง่ิ ท่ีต้องรู้ 1. ถา ขอมลู แตละคาที่แตกตางกัน มีความถ่ีเทา กันหมด เชน ขอ มลู ทป่ี ระกอบดวย 2 , 7 , 9 , 11 , 13 จะพบวา แตละคาของขอมูลทแ่ี ตกตา งกัน จะมีความถี่เทากบั 1 เหมือนกันหมด ในทีน่ ี้แสดงวา ไมนยิ มคา ของขอ มลู ตวั ใดตัวหนึ่งเป็นพเิ ศษ ดงั นนั้ เราถอื วา ขอมูลในลักษณะดังกลาวนี้ ไมม ฐี านนยิ ม 2. ถาขอ มูลแตละคาที่แตกตา งกัน มีความถส่ี ูงสดุ เทากัน 2 คา เชน ขอมูลทีป่ ระกอบดว ย 2, 4, 4, 7, 7, 9, 8, 5 จะพบวา 4 และ 7 เปน็ ขอมูลท่ีมคี วามถี่สูงสุดเทากับ 2 เทากนั ในลกั ษณะเชน นี้ เราถือวา ขอมูลดงั กลา วมีฐานนยิ ม 2 คา คือ 4 และ 7 3. จากขอ 1, 2, และตัวอยาง แสดงวา ฐานนยิ มของขอมูล อาจจะมีหรือไมม กี ็ไดถามอี าจจะมี มากกวา 1 คาก็ได การหาฐานนิยมของข้อมูลท่ีมีการแจกแจงเปน็ อันตรภาคชั้น กรณขี ้อมูลท่มี ีการแจกแจงความถ่ีแลว้ การหาฐานนิยมจากขอมลู ที่แจกแจงความถแี่ ลว อาจนําคาของจุดกงึ่ กลางอันตรภาคชัน้ ของขอมูลท่ีมีความถี่ มากทส่ี ุดมาหาจุดกึ่งกลางชั้นทห่ี าคาได จะเป็นฐานนิยมทันที แตค า ที่ไดจะเปน็ คา โดยประมาณเทานั้น หากใหไ ด ขอมูลที่เป็นจริงมากที่สุดตองใชว ธิ กี ารคาํ นวณจากสูตร Mo Lo i d1 d2 d1 เมื่อ Mo = ฐานนยิ ม Lo = ขีดจํากัดลางจริงของคะแนนท่ีมฐี านนยิ มอยู d1 ผลตา งของความถีร่ ะหวางอัตรภาคชัน้ ทม่ี ีความถส่ี ูงสุดกบั ความถี่ของชั้นที่มีคะแนนต่าํ กวาที่ อยูติดกัน d2 ผลตางของความถรี่ ะหวางอตั รภาคช้นั ทม่ี คี วามถี่สงู สดุ กับความถี่ของช้ันท่ีมีคะแนนสูง กวาทีอ่ ยูตดิ กัน i = ความกวา งของอันตรภาคช้ันทม่ี ฐี านนิยมอยู
ตัวอยา่ ง จากตารางคะแนนสอบวชิ าวิทยาศาสตรขแ องนกั ศึกษา 120 คน จงหาคาฐานนยิ ม จากสูตร Mo Lo d1 i d2 d1 Lo = 69.5 , d1 45 – 22 = 23 , d2 45 – 30 = 15 และ i = 79.5 – 69.5 = 10 จะได Mo 69.5 10 23 75.55 23 15 ฐานนยิ มของคะแนนสอบวชิ าวทิ ยาศาสตรแ มคี าเปน็ 75.55 ความสมั พันธต์ วั กลางเลขคณติ มัธยฐาน และฐานนยิ ม นักสถติ ิพยายามหาความสัมพนั ธแระหวางท้ังสาม ดังนี้ ฐานนิยม = ตัวกลางเลขคณติ – 3 (ตวั กลางเลขคณติ – มธั ยฐาน ) หรือ Mo = x 3x Md ถา แสดงดวยเสน โคง ความสัมพนั ธแระหวางการแจกแจงความถ่ีคา กลาง และการกระจายของขอมูล ไดด งั น้ี 3. การนาเสนอขอ้ มลู สถิติ (Statistical Presentation) การนําเสนอขอ มลู สถติ แิ บง ออกเปน็ 2 แบบใหญ ๆ คือ 1) การนาํ เสนอขอมูลสถิติโดยปราศจากแบบแผน (Informal Presentation) 1.1 การนาํ เสนอขอมลู สถติ ิเปน็ บทความ 1.2 การนําเสนอขอมลู สถิตเิ ป็นบทความกึง่ ตาราง 2) การนาํ เสนอขอมูลสถิตโิ ดยมแี บบแผน (Formal Presentation) 2.1 การเสนอขอมูลสถติ ดิ วยตาราง(Tabular Presentation) 2.2 การเสนอขอมลู สถิตดิ ว ยกราฟและรปู (Graphic Presentation)
เทคนิคการนาเสนอขอ้ มูลสถิตดิ ้วยกราฟและรูป 1. เม่อื ตองการเสนอขอ มูลสถิตโิ ดยขอ มูลท่ีจะนาํ เสนอนนั้ มีเพียงชุดเดียว 1.1 แผนภมู ิแทงเชิงเดียว (Simple Bar Chart) ตัวอยางรปู ท่ี 1.1 เปน็ การเสนอขอ มลู ใชแผนภูมิแทงเชิงเดยี วแบบแนวต้ัง และรูปที่ 1.2 เปน็ การนาํ เสนอขอมลู ดว ยแผนภูมแิ ทงเชงิ เดียวแบบแกนนอน รปู ท่ี 1.1 ทอี่ ยูอาศัยเปดิ ตวั ใหมในเขตกทม. และปรมิ ณฑล รูปท่ี 1.2 เปรยี บเทียบจํานวนทอี่ ยอู าศยั ท่ีเปดิ ขายตามระดบั ราคาตาง ๆ ในเขตกรงุ เทพฯ และปรมิ ณฑลปี 2540 จาํ นวน (หนว ย) 1.2ฮสิ โตแกรม (Histogram) ฮิสโตแกรมจะมีลักษณะเหมือนแผนภมู แิ ทงทุกประการ ตางกนั เฉพาะตรงที่ฮิสโตแกรมน้ันแตล ะแทงจะ ติดกนั ดงั รูปที่ 1.3
รูปที่ 1.3 ฮสิ โตแกรมแสดงเงนิ เดือนของพนกั งานในบรษิ ัทแหงหนงึ่ 2. เมอ่ื ตองการนําเสนอขอ มูลสถติ ใิ นเชิงเปรยี บเทยี บ เมอื่ ตอ งการนาํ เสนอในเชงิ เปรยี บเทยี บขอมลู ต้งั แต 2 ชุดข้นึ ไป ควรนาํ เสนอขอมูลดวยกราฟดงั น้ี 2.1 แผนภูมิแทงเชิงซอน (Multiple Bar Chart) ขอมูลสถิตทิ ่จี ะนาํ เสนอดวยแผนภมู แิ ทงตอ ง เปน็ ขอมลู ประเภทเดยี วกันหนว ยของตัวเลขเปน็ หนวยเดยี วกันและควรใชเ ปรยี บเทยี บขอมูลเพยี ง 2 ชดุ เทา นั้น ซง่ึ อาจเป็นแผนภมู ใิ นแนวตัง้ หรอื แนวนอน ก็ไดสง่ิ ท่ีสาํ คญั ตองมีกญุ แจ (Key) อธิบายวาแทง ใด หมายถึงขอมลู ชดุ ใดไวท ี่กรอบลางของกราฟ ดูตวั อยางจากรูปท่ี 1.4 รปู ท่ี 1.4 แผนภูมิแทงแสดงสนิ ทรพั ยแ หนส้ี ินทนุ ของสหกรณอแ อมทรัพยแ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตรแ 2.2 แผนภมู ิเสน หลายเสน (Multiple Line Chart) ถา ตองการเปรยี บเทียบขอมูลสถิติหลาย ประเภทพรอมๆกนั ควรจะนําเสนอดว ยแผนภมู เิ สนซึ่งสามารถนาํ เสนอขอมลู ท่ีมหี นวยเหมือนกนั หรือมหี นวย ตางกันไดด ูรูปท่ี1.5 รูปที่ 1.5 แผนภมู เิ สน แสดงการเปรียบเทยี บสดั สวนประเภททอ่ี ยูอาศยั สรา งเสร็จปี 2530 – ก.ย. 2541
2. เม่ือตองการนาํ เสนอขอ มูลสถิตใิ นเชิงสว นประกอบ การนําเสนอขอมลู ในเชิงสวนประกอบมีวธิ ีเสนอได 2 แบบ คือ 3.1 แผนภูมิวงกลม (Pie Chart) รูปท่ี 1.6 แผนภมู ิวงกลมแสดงเขตท่ีพกั อาศยั ของลกู คาที่มเี งินฝากธนาคารเกนิ กวา 50,000,000 บาท 1. การนําเสนอขอมูลสถิตดิ ว ยแผนภูมิภาพ (Pictograph) การนําเสนอขอมลู สถติ ิดวยวธิ ีน้จี งึ เปน็ การเสนอสถิติ ท่ีเขา ใจงา ยท่ีสดุ
ตัวอย่าง ตอไปน้ีเป็นตัวอยางแผนภูมิรูปภาพ ซ่ึงแสดงปริมาณท่ีไทยสงสินคาออกไปขายยังประเทศบรูไน สินคาออก ของไทยกับบรไู นระหวางปี 2526-2531 = 100 ลา นบาท 2526 221 2527 237 2528 388 2529 388 2530 435 2531 529 ท่มี า : กรมศลุ กากร จากขอมูลขางตน แสดงวาในปี 2526 ไทยสงสินคาไปขายยังประเทศบรูไน 221 ลานบาท ในปี 2531 สง สนิ คา ไปขาย 529 ลา นบาท เป็นตน
ใบงาน ครัง้ ท่ี ..3.. เร่อื ง สถติ เิ บื้องต้น คาํ สง่ั จงตอบคําถามตอ ไปนี้ 1. จงหาคา เฉลี่ยเลขคณิตของขอ มลู 12 18 20 19 15 16 ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. มธั ยฐานของขอมูล 18 20 19 22 20 18 และ 19 เป็นเทาใด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. จงหาฐานนิยมของคะแนน 14 15 13 12 14 11 15 14 12 11 14 13 ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. จงสํารวจจาํ นวนประชากรท่ปี ระกอบอาชีพในชุมชนของทาน วา มีอาชพี อะไรบา งแตล ะอาชพี มี จาํ นวนกี่คน จากนัน้ นาํ ขอมลู มาหาคาเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน ฐานนยิ ม และนาํ เสนอขอ มูลในรูปแบบที่เหมาะสม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………
เฉลยใบงาน ครง้ั ที่ ..3.. เร่ือง สถติ ิเบื้องตน้ ค ำสั่ง จงตอบคาํ ถามตอ ไปน้ี 1.จงหาคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอ มลู 12 18 20 19 15 16 ตอบ 22 5. มธั ยฐานของขอ มลู 18 20 19 22 20 18 และ 19 เปน็ เทา ใด ตอบ 19 2. จงหาฐานนิยมของคะแนน 14 15 13 12 14 11 15 14 12 11 14 13 ตอบ 14 3. จงสำรวจจํานวนประชากรท่ีประกอบอาชีพในชุมชนของทาน วามีอาชพี อะไรบางแตละอาชีพมีจํานวนกี่ คน จากน้ันน าขอมูลมาหาคาเฉล่ยี เลขคณิต มัธยฐาน ฐานนิยม และนําเสนอขอมูลในรูปแบบท่ีเหมาะสม ตอบ อยใู นดุลยพินิจของครูผูสอน
แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรยี น ครงั้ ท่ี ..3.. เรอ่ื ง สถติ เิ บ้ืองต้น คาช้แี จง ใหน กั เรียนเลือกคาํ ตอบท่ีถกู ตองท่สี ดุ 1. ฐานนยิ มของคะแนน 1, 2, 2, 4, 4, 5, 6 คืออะไร ก. 2 ข. 4 ค. 6 ง. 2, 4 2. ขอใดเป็นมัธยฐานของขอมูลตอ ไปน้ี 0, 0, 1, 1, 1, 2, 2, 3, 4, 4, 4, 4, 5 ก. 2 ข. 15 1 2 ค. 3 ง. 4 3. จงหาคา เฉล่ียเลขคณติ ในการแขง ขนั ฟุตบอลของ โรงเรยี นแหงหนี่งไดลงแขง 8 ครั้ง มีสถิติการ เสียประตู เปน็ 0, 0, 0, 1, 2, 3, 4, 6 ตามลาํ ดบั ก. 0 ข. 2 1 1 ค. 8 7 1 ง. 2 4. จงหาคา เฉลี่ยเลขคณิต,ฐานนิยม, มธั ยฐาน ของ จาํ นวนตอ ไปน้ี 1, 2, 2, 3, 3, 3, 4, 4, 5, 5, 8, 8 ก. 4, 3, 3.5 ข. 4, 3.5, 3 ค. 4, 4, 4 ง. 5, 4, 3 5. จงหาคาเฉล่ยี เลขคณิตของขอมูลตอไปน้ี 60, 144, 72, 0, 108, 84 ก. 74.2 ข. 78.0 ค. 93.6 ง. 94.4 6. จงพจิ าณาขอมูลชุดน้ี 6, 5, 8, 7, 10 ค าตอบในขอใดถูกตอง ก. คาเฉลยี่ เลขคณติ และมธั ยฐาน มีคาเทา กนั ข. คา เฉล่ยี เลขคณติ มีคามากกว่า มัธยฐาน ค. คา เฉลยี่ เลขคณติ มีคานอย กว่า มัธยฐาน ง. คาเฉลีย่ เลขคณติ มีคา นอยกว่า มัธยฐาน อยู 0.5 7. คาเฉล่ยี เลขคณิตของนักเรียนหอ งหน่งึ เป็น 56 คะแนน นกั เรยี นคนหนง่ึ เปลีย่ นหองมาอยหู อ งนี้ เขาได คะแนนดบิ เป็น 56 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ของนกัเรียนท้ังหอ งตอนนี้เป็นเทาใด ก. 56 ข. 57 ค. 58 ง. 59 8.ขอใดกลา วถึงฐานนยิ มถูกตอง ก. โดยเฉล่ียแลว นกั เรยี นเดนิ ทางมาโรงเรียน โดยรถเมลแ ข. โดยเฉล่ียแลว คนไทยมเี ปอรแเซน็ ตแการรู หนงั สอื 60 เปอรแเซน็ ตแ ค. โดยเฉลี่ยแลวรายไดข องคนไทยมาจากภาค เกษตรกรรมถงึ 55 เปอรแเซน็ ตแ ง. โดยเฉลยี่ แลว คนไทยมีรายไดป ี ละ 6,000 บาท ใชขอ มูลตอ ไป่นตอบคา ถามขอ 9 – 10 คนกลุมหนึง่ ประกอบดวยเด็ก 4 คน ผูใ หญ 1 คน มอี ายดังนี้ 2, 5, 6, 2, 55 ปี 9. จงหามธั ยฐาน และฐานนิยมของคนกลุมนี้ ตามล าดบั ก. 2 ปี และ 5 ปี ข. 5 ปี และ 2 ปี ค. 6 ปี และ 14 ปี ง. 14 ปี และ 2 ปี 10. คากลางของขอม ลู ท่ีเหมาะสมที่สดุ สา หรบั ขอม ูลชุดน้คี ือขอใด ก. พสิ ัย ข. คา เฉลี่ยเลขคณิต ค. มธั ยฐาน ง. ฐานนยิ ม เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรยี น คร้ังท่ี ..3.. เร่ือง สถิติเบ้ืองตน้ 1 ง 2 ง 3 ข 4 ก 5 ข 6 ข 7 ก 8 ก 9 ข 10 ค
แผนการจัดกจิ กรรม
มการเรียนรู้คร้งั ท่ี 4
แผนการจัดการเรยี นรู้ สาระ ความรพู้ ้นื ฐาน ระดบั ม.ปลาย จา ครง้ั วัน/เดอื น/ปี หัวเร่อื ง/ตัวช้ีวัด เนอื้ หาสาระการเรยี นรู้ การจัดก ที่ เร่อื ง ความนา่ จะ 1ความนา่ จะเป็นของ ขัน้ ท่ี 1 ก เปน็ เหตกุ ารณ์ ความตอ ง - อธบิ ายการ 1. การทดลองสุม 1. ใหผเู รยี น ทดลองสมุ 2. แซมเปลิ สเปซ เหรยี ญ เหตกุ ารณแ ความ 3. เหตกุ ารณแ ละ 1 เห นา จะเปน็ ของ 4. ความนา จะเปน็ ผเู รยี นว เหตุการณแ และหา ของเหตุการณแ กด่ี า น แ ความนา จะเป็นของ 2. ผูเรียน เหตุการณแที่ กนั กําหนดให ครกู ําหนด โยนเหรียญ พรอมทง้ั บ บนั ทึก ขัน้ ท่ี 2 : 1. ครูสุม ประมาณ “ผลจาก อยางไรบ คาํ ตอบท ลงบนกร
น รายวิชา คณติ ศาสตร์ รหสั วชิ า พค31001 านวน 5 หนว่ ยกติ กระบวนการเรยี นรู้ ส่อื /แหลง่ เรียนรู้ การวดั และ ประเมินผล กาํ หนดสภาพปใญหา - ใบความรูเรอ่ื งความนา จะเปน็ - การสงั เกต งการในการเรียนรู - ใบงาน พฤติกรรมจาก นแตล ะคนนํา - แบบฝกึ หดั การทํากจิ กรรม 1 บาท ข้นึ มาคน - หนงั สือแบบเรยี น กลมุ หรยี ญ โดยครถู าม - แหลงเรยี นรูอนื่ ๆ เชน youtube - ผลงานจาก วา “เหรยี ญมีทง้ั หมด 1. เรอ่ื งความนา จะเปน็ การโยน การทาํ ใบงาน และดานอะไรบาง” เหรียญ - การทํา นรวมกันตอบพรอม https://youtu.be/3difW9EymB4 แบบฝึกหัด 3. เร่อื งความนาจะเปน็ เร่ืองการ - บันทึกการ ดใหผ ูเรยี นทดลอง โยนลกู เตเา เรียนรู ญคนละ 2 ครง้ั https://youtu.be/NDg8MNzf9_Q บันทึกผลลงในแบบ แสวงหาความรู้ มถามผเู รียน ณ 2 – 3 คน วา กการโยนเหรียญเปน็ บาง” ครเู ขียน ท่ไี ดจากการสุมถาม ระดาน
2. รวมก การโยน แตละหน โดยการ ตน ไมป ร 3. ครแู ละ สรุปเหตุก ท้ังหมด ครูแจก ผูเ รยี นรวม ทดลองปฏ ข้นั ที่ 3 : 1. ผเู รยี น กจิ กรรมต 2. สุมผเู ชัน้ เรียน ขัน้ ท่ี 4 ป เรียนรู้ 3. ผเู รียน การปฏิบ เรยี น 4. ใหผ ูเร แบบทดส
กันวเิ คราะหผแ ลจาก นเหรยี ญถงึ การเกดิ นา ของแตละเหรยี ญ รแสดงแผนภาพ ระกอบ ะผเู รยี นรว มกนั การณแที่เกดิ ขึ้น กใบความรู โดยให มกนั ศกึ ษา และ ฏบิ ตั ติ ามใบงาน การปฏิบัตินาไปใช้ นรว มกนั ปฏิบัติ ตามใบงานท่ีกาํ หนด เรียนนําเสนอหนา ประเมินผลการ นนําเสนอจาก บตั กิ จิ กรรมหนาชน้ั รียนทํา สอบ พรอ มท้ังแลก
กันตรวจ 5. ครแู ล สรปุ ความ รวบยอด มอบหมาย - ครแู ละ เรยี นรูรว ม
จคาํ ตอบ ละผูเรียนรวมกนั มรูทไ่ี ดเปน็ ความคิด ด ยใหผเู รียนทาํ ใบงาน ะผเู รียนสรุปผลการ มกนั
ใบความรู้/กิจกรรม ครง้ั ที่ ..... เรื่อง ความน่าจะเปน็ เรื่อง ความนาจะเปน็ (Probability) 1. ความนา่ จะเป็น คอื จาํ นวนท่ีแสดงใหท ราบวา เหตุการณใแ ดเหตกุ ารณแหนงึ่ มโี อกาสเกิดข้ึนมากหรอื นอย เพยี งใด ส่งิ ทจ่ี าํ เป็นตองทราบและทาํ ความเขาใจคือ 1. แซมเปิลสเปซ (Sample Space ) 2. แซมเปิลพอยทแ (Sample Point) 3. เหตุการณแ (event) 4. การทดลองสมุ (Random Experiment) 2. แซมเปลิ สเปซ (Sample Space ) เป็นเซตทม่ี ีสมาชิกประกอบดว ยสง่ิ ทตี่ องการ ท้งั หมด จากการทดลอง อยา งใดอยา งหน่งึ บางคร้ังเรียกวา Universal Set เขยี นแทนดวย S เชน ในการโยนลกู เตาเ ถาตอ งการดูวา หนา อะไรจะข้ึนมาจะได S = 1, 2, 3, 4, 5, 6 3. แซมเปิลพ้อยท์ (Sample Point) คอื สมาชิกของแซมเปิลสเปซ (Sample Space ) เชน S = H , T คา Sample Point คือ H หรอื T 4. เหตกุ ารณ์ (event) คือ เซตท่ีเป็นสบั เซตของ Sample Space หรือเหตกุ ารณทแ ี่เราสนใจ จากการทดลอง สมุ 5. การทดลองสมุ่ (Random Experiment) คือ การกระทาํ ที่เราทราบวา ผลท้งั หมดที่อาจจะเกิดขึ้นมี อะไรบา ง แตไมส ามารถบอกไดอยางถกู ตองแนนอนวา จะเกดิ ผลอะไรจากผลทั้งหมดทีเ่ ปน็ ไปไดเหลา น้ัน 6. ความนา่ จะเป็น = จํานวนผลของเหตกุ ารณแทส่ี นใจ จํานวนเหตุการณแทงั้ หมดของการทดลองสุม P(E) = n(E) n(S) ข้อควรจา 1. เหตกุ ารณแท่ีแนน อน คือ เหตุการณทแ ่มี ีความนา จะเป็น = 1 เสมอ 2. เหตกุ ารณทแ ี่เป็นไปไมได คือ เหตกุ ารณแท่ีมคี วามนา จะเปน็ = 0 3. ความนาจะเปน็ ใด ๆ จะมีคาไมต ่ํากวา 0 และ ไมเ กิน 1 เสมอ 4. ในการทดลองหน่งึ สามารถทาํ ใหเกดิ ผลท่ีตองการอยางมโี อกาสเทากนั และมีโอกาสเกดิ ได N สงิ่ และเหตกุ ารณแ A มจี ํานวนสมาชิกเป็น n ดังน้นั ความนา จะเป็นของ A คือ
7. คณุ สมบัติของความนา่ จะเป็น ให A เปน็ เหตกุ ารณใแ ด ๆ และ S เปน็ แซมเปิลสเปซ โดยที่ A S 1. 0 P(A) 1 2. ถา A = 0 แลว P(A) = 0 3. ถา A = S แลว P(A) = 1 4. P(A) = 1 - P(A/) เมอื่ A/ คอื นอกจาก A 8. คุณสมบัตขิ องความนา่ จะเป็นของเหตกุ ารณ์ 2 เหตกุ ารณ์ ให A และ B เปน็ เหตกุ ารณแ 2 เหตกุ ารณแ 1. P(AB) = P(A) + P(B) - P(AB) 2. P(AB) = P(A) + P(B) เมือ่ AB = 0 ในกรณนี เ้ี รยี ก A และ B วา เปน็ เหตุการณแท่ีไมเ กิดรว มกัน (Mutually exclusive events) ตวั อยาง ในการสอบคดั เลือกเขามหาวิทยาลัย โอกาสที่นายชงิ ชยั จะสอบเขามหาวทิ ยาลัยไดเทา กับ 0.7 โอกาสที่นายขยนั ดสี อบเขามหาวิทยาลนั ได เทา กบั 0.6 โอกาสท่ีอยา งนอ ย 1 คนใน 2 คนนีส้ อบเขา มหาวทิ ยาลยั ได เทา กับ 0.8 จงหาความนา จะเป็นท่ีคนท้ังสองเขามหาวทิ ยาลยั ไดท้งั คู วธิ ีทาํ ให A เป็นเหตุการณทแ ่ีนายชงิ ชัยสอบเขามหาวทิ ยาลัยได B เป็นเหตุการณแที่นายขยันดสี อบเขามหาวทิ ยาลยั ได สงิ่ ท่ีโจทยแกําหนดใหคอื P(A) = 0.7 , P(B) = 0.6 และ P(AB) = 0.8 หมายเหตุ คําวาอยางนอย 1 คนใน 2 คน คือ เหตกุ ารณแ AB น่ันเอง P(AB) = P(A) + P(B) - P(A B) 0.8 = 0.7 + 0.6 - P(A B) P(A B) = 1.3 - 0.8 = 0.5
ใบงานท่ี 1 คร้ังท่ี ......... เรอ่ื ง ความนา่ จะเปน็ เรือ่ ง ความนา จะเปน็ ของเหตุการณแ คาช้ีแจง ใหผ เู รยี นศึกษาใบความรจู นเขาใจ แลวปฏบิ ตั ติ ามกจิ กรรมท่ีกําหนดให กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. แบง กลมุ ผเู รียนกลุมละ 2 – 3 คน 2. ผูเรยี นแตล ะคนศึกษาใบความรู แลวรวมกันวเิ คราะหขแ อมลู โดยนาํ การสอบถามขอมลู จากเพ่อื น ภายในกลมุ พรอมท้ังบนั ทึกผลลงใน ใบงาน ดงั นี้ 2.1 ความถนัดมอื ซาย 2.2 เพศของสมาชกิ ในกลมุ 2.3 เลอื กประธานกลุม 1 คน 3. นําผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรมมารวมกันอภปิ รายภายในกลุม 4. สรุปใบความรู พรอมทั้งเตรยี มนําเสนอหนาช้นั เรียน แนวทางการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม แซมเปิลสเปซ เหตุการณ์ ความนา่ จะเป็น ของเหตุการณ์ เรอ่ื ง ความถนดั มือซา ย เพศของสมาชกิ ในกลุม เลือกประธานกลุม 1 คน
ใบงานที่ 2 ครั้งที่ ............ เรอ่ื ง ความนา่ จะเปน็ คาชีแ้ จง ใหผเู รยี นแสดงวธิ ที ํา พรอ มเขียนแผนภาพตนไมประกอบดว ย เลือกทาํ เพียง 3 ขอ (ขอละ 5 คะแนน) 1. ทอดลูกเตาเ 1 ลูก กําหนดให E เป็นเหตกุ ารณแที่จะไดแตม นอยกวา 4 จงหาความนาจะเป็นของ E หรือ P(E) ............................................................................................................................. ............................... 2. โยนเหรยี ญหนึ่งอันสองครงั้ จงหาคาความนาจะเปน็ ทจี่ ะเกิดหัวอยา งนอย 1 คร้งั ……………………………………………………………………………………………………… 3. จงคาํ นวณหาความนาจะเป็นของการหยบิ ไพ 1 ใบ ทจ่ี ะไดโพแดง ……………………………………………………………………………………………………… 4. มีลูกบาศกขแ นาดเทา ๆ กนั 9 อนั เปน็ สแี ดง 5 อัน สขี าว 4 อนั ถา นําลูกบาศกเแ หลานี้มาเรยี ง เปน็ แถวยาว จงหาความนาจะเปน็ ท่ที ่ลี ูกบาศกสแ แี ดงอยูหัวและทา ยแถว ………………………………………………………………………………………………… แนวทางคาตอบ ขอ 1. ตอบ ขอ 2. ตอบ ขอ 3. ตอบ = ขอ 4. ตอบ
ข้อสอบกลางภาคเรยี น คาชแี้ จง ข้อสอบจานวน 30 ข้อ จงเลือกข้อทถี่ กู ทส่ี ุด 1. 2a X 2a X 2a X 2a เขียนในรูปเลขยกกําลังไดด ังขอใด 1. 2a4 2. 2a4 3. (2a)4 4. 42a 2. (-7) X (-7) X (-7) X (-7) X (-7) หมายถงึ ขอใด 1. -75 2. (-7)5 3. (-5)7 4. -57 3. 22 X 25 มีคาตรงกับขอ ใด 1. 28 2. 128 3. 48 4. 144 4. ถา (ab)n = a5b5 แลว n มคี าตรงกบั ขอใด 1. 1 2. 10 3. 5 4. 25 5. 53 + 64 มีคาเทา กับขอใด 1. 1,421 2. 1,241 3. 2,411 4. 4,211 จงใชขอ มูลตอบคําถามขอ 6-7 กําหนดให A = {1, 3, 5, 6, 8} B = {2, 3, 5, 8, 10} C = {1, 5, 9, 10} และ U = {1, 2, 3, …, 10}
6. A U B U C เทา กบั ขอ ใด 1. A 2. C 3. B 4. U 7. (A‘ U C‘)‘ มคี าเทากับขอใด 1. {1, 2} 2. {1, 5} 3. {3, 8, 10} 4. {5, 6, 9, 10} วชิ าคณิตศาสตร์ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย จงใชสถานการณแนี้ตอบคําถามขอ 7-9 จากการสํารวจผชู มโทรทศั นแ 80 คน พบวามีผชู อบขาว 20 คน ชอบดลู ะคร 30 คน ชอบสารคดี 35 คน ชอบ สารคดแี ละขาว 10 คน ชอบสารคดีและละคร 20 คน ชอบละครและขาว 10 คน ชอบท้ังสามอยา ง 5 คน 7. มีผูชมที่ชอบชมละครอยางเดียวกี่คน 1. 3 คน 2. 7 คน 3. 5 คน 4. 10 คน 8. มผี ูท ่ีไมชอบดทู ้ังสามรายการกคี่ น 1. 10 คน 2. 30 คน 3. 20 คน 4. 40 คน 9. ขอใดกลา วไดถกู ตอง 1. มผี ูดขู าวอยา งเดียว 6 คน 2. มีผูดสู ารคดีอยางเดียว 9 คน 3. มีผดู ูสารคดีนอ ยกวาผทู ีด่ ูขาว 4. มผี ดู โู ทรทัศนแท้งั หมด 50 คน
10. จงหาคําตอบของสมการ 4x2 + 194x – 5 = 0 1. x = 1, -5 2. x = 1 , 5 4 3. x = 1 , -5 4. x = -1, -5 4 11. จงหาคาํ ตอบของสมการ x2 – 6x + 5 = 0 1. x =1, 5 2. x =-1, 5 3. x = 1, -5 4. x = -1, -5 12. การแกอสมการ 2x 1 2 x 2 ขอใดถกู ตอง 1. x < -1 2. x > 1 3. x > -1 4. x < 1 13. จงหาเซตคําตอบทีส่ อดคลอ งกับอสมการ 2x 425 1. 9 ,1 2. 9, 1 2 2 3. 9 , 1 4. 9 , 1 3 2 2 2 14. A = {1, 2, 7} และ B = {1, 2, 4, 5} AB ขอใดถกู 1. A B 17 AB 2. 24 AB 4. 25
4. A B 12 15. สมการ x2 = 5x + 50 ขอใดถกู ตอง 1. x = -10, -5 2. x = -10, 5 3. x = 10, -5 4. x = 10, 5 16. จงแกสมการ x2 – 2x – 3 = 0 ขอ ใดถูก 1. x = -3, 1 2. x = 3, -1 3. x = -3, -1 4. x = 2, -1 17. สมการ 3 – 5x = 2x -11 ขอใดถกู ตอง 1. x = 1 2. x = 2 3. x = 3 4. x = 4 18. เราสามารถเขยี นเซตจาํ นวนเต็มท่ีมากกวา 5 และนอยกวา 10 ตามขอ ใด 1. {6, 8, 10} 2. {6, 7, 9, 10} 3. {5, 6, 7, 8, 9, 10} 4. {6, 7, 8, 9} 19. 3, 5, 7, 9…. พจนทแ ว่ั ไปของลาํ ดับนี้คอื ขอ ใด 1. 2n 2. n2 + 1 3. 2n - 1 4. 3n2 + n – 1
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 538
Pages: