แผนการจัดกจิ กรรม
มการเรยี นรู้คร้งั ท่ี 1
แผนการจัดการเรียนรู้ สาระความรูพื้นฐาน ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลา ครั้งที่ วนั /เดอื น/ปี หวั เร่ือง/ตัวช้ีวดั เนือ้ หาสาระการเรยี นรู้ เรอ่ื ง จาํ นวน และการ 1. ความสัมพันธแของระบบ ดําเนนิ การ จํานวนจริง 1.ความสมั พนั ธแของระบบจํานวน จรงิ 2. สมบตั ิของการบวก การลบ การคณู และการหารจํานวนจรงิ 3. สมบตั กิ ารเทากันและการไม เทากัน 4. คาสัมบรู ณแ
รายวิชาคณิตศาสตรแ รหสั วิชา พค31001 าย. จานวน 5 หนว่ ยกติ การจัดกระบวนการเรยี นรู้ สือ่ /แหลง่ เรียนรู้ การวดั และ ประเมนิ ผล ขัน้ ที่ 1 กําหนดสภาพปใญหา - ใบความรูเรือ่ ง -สงั เกตพฤติกรรม - ครตู ้งั ประเด็นคาํ ถามกับผูเรยี นวา วนั นีม้ ี ความสัมพนั ธขแ อง -แบบทดสอบ ผูเรยี นทงั้ หมดกี่คน เป็นผชู ายก่คี นและที่ ระบบจํานวนจริง -ใบงาน เหลือเป็นผูหญิงกี่คน - ใบความรูเรื่อง - ครูถามผูเรียนวาจํานวนทผี่ ูเรยี นตอบ สมบตั ิของการบวก นน้ั เป็นจาํ นวนอะไร การลบ การคณู - ครตู ั้งประเดน็ คาํ ถามวา 3+5 = 5+3 และการหารจาํ นวน เพราะเหตุใด จริง - 56 ทําไมจงึ เทา กบั 65 - ใบความรเู รอื่ ง - ครตู ้งั ประเดน็ คําถามวา สมบตั กิ าร สมบัติการเทากนั และ เทากนั และการไมเ ทากนั แตกตา งกนั การไมเ ทา กัน - ใบความรเู รื่องคา อยางไร - ครใู หผูเรยี นดสู ัญลกั ษณแ ( | | ) แลว สมั บรู ณแ ถามผเู รยี นวา เปน็ สญั ลักษณขแ องอะไร มี - แบบฝกึ หัด - หนงั สอื แบบเรียน ความหมายอยา งไร - แหลงเรยี นรอู ืน่ ๆ ขั้นท่ี 2 แสวงหาความรู - ผเู รียนตอบประเด็นคาํ ถามดวยการนบั จาํ นวนผูเรยี นทัง้ หมด แยกชาย-หญงิ - ผเู รยี นศึกษาใบความรเู รือ่ งความสัมพันธแ ของระบบจาํ นวนจริง
คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หวั เร่อื ง/ตัวช้ีวัด เน้อื หาสาระการเรยี นรู้
การจัดกระบวนการเรยี นรู้ สือ่ /แหล่งเรียนรู้ การวัดและ ประเมนิ ผล - ครอู ธบิ ายเกย่ี วกบั ความสมั พนั ธแของ ระบบจํานวนจรงิ - ครูอธิบายเก่ียวกบั สมบัตขิ องการบวก การลบ การคูณ และการหารจาํ นวนจรงิ - ครูอธิบายเกย่ี วกับสมบัติการเทากันและ การไมเทากัน - ผเู รยี นศกึ ษาใบความรูเ รอ่ื งคาสัมบูรณแ หรอื จากหนังสือแบบเรยี น -ครอู ธิบายเกี่ยวกับคาสัมบรู ณแของจาํ นวน จริงและการหาคา สัมบรู ณแของจํานวนจริง ข้ันท่ี 3 การปฏิบตั นิ ําไปใช - ครูมอบหมายใหผ เู รียนฝึกปฏิบัติดวย การทาํ แบบฝึกหดั - ครูใหผูเ รียนศึกษาเพิ่มเติมจากแหลง เรียนรอู ่นื ๆพรอมท้ังทาํ แบบฝกึ หัดและ นาํ สง ในการพบกลุมครงั้ ตอไป ขั้นท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู - ครูและผูเรียนรวมกนั สรุปผลการเรยี นรู - ครูประเมินผลจากการสังเกตพฤติกรรม และแบบฝกึ หัด
ใบความรู้ เรือ่ ง ความสัมพันธ์ของระบบจานวนจรงิ ระบบจาํ นวนจริง คอื ระบบที่ประกอบดวยเซตของจาํ นวนจรงิ พรอมดวยการดาํ เนินการบวกและคูณที่ สอดคลอ งกบั สมบตั ิของระบบจํานวนจริง ซ่ึงจํานวนจรงิ จะประกอบดว ยจํานวนตาง ๆ ที่เก่ยี วขอ ง ดังนี้ 1. จานวนนับหรือจานวนธรรมชาติ (Natural Number) เปน็ จํานวนแรกทม่ี นุษยรแ ูจัก และใช ประโยชนแ ประกอบดว ยตัวเลข 1, 2, 3, … เมอ่ื ให N แทนเซตของจํานวนนบั ดงั นน้ั N = 1, 2, 3, … 2. จานวนเตม็ (Integer) เป็นจํานวนท่ปี ระกอบดวยจาํ นวน 3 ลกั ษณะ คือ 2.1 จาํ นวนเตม็ บวก (Positive Integer) เขียนแทนดว ย I+ เป็นเซตท่ีประกอบดวยตวั เลข 1, 2, 3, … ดังน้ัน I+ = 1, 2, 3, … 2.2 จาํ นวนเต็มศูนยแ (Zero Integer) เขียนแทนดวย I0 เป็นเซตท่ปี ระกอบดวยตัวเลข 0 เพียงตัวเดยี ว ดังน้นั I0 =0 2.3 จาํ นวนเตม็ ลบ (Negative Integer) เขยี นแทนดวย I- เปน็ เซตท่ปี ระกอบดวยตัวเลข -1, -2, -3, … ดงั นัน้ I- = -1, -2, -3, … 3. จานวนตรรกยะ (Rational Numbers) เป็นจาํ นวนท่เี ขียนได 3 ลักษณะคือ 3.1 เศษสวน เชน 1 , 3 หรือ 7 24 9 3.2 ทศนิยมไมร ูจบซ้าํ เชน 0.2000…= 0.2 หรือ 1.6666…= 1.6· 3.3 จํานวนเต็มซึ่งคือ จํานวนทม่ี ีสวนเป็น 1 เชน 2 , 5 หรอื 12 เปน็ ตน 11 1 เม่ือให Q แทนเซตของจํานวนตรรกยะ น่นั คอื Q = X |X = a , a, b I และ b ≠ 0 b
4. จานวนอตรรกยะ ( Irrational number ) คือจํานวนที่ไมสามารถเขียนในรปู เศษสวนของ จาํ นวนเต็มที่ตวั สว นไมเ ป็นศูนยแ แตเ ขียนไดใ นรปู ทศนิยมไมซา้ํ และสามารถกําหนดคาโดยประมาณได เชน 2 มคี าประมาณ 1.414 3 มคี า ประมาณ 1.732 , 0.1010010001… มีคา ประมาณ 1.101 , มีคา ประมาณ 3.1416
โครงสรา้ งของจานวนจริง จาํ นวนจรงิ สามารถแยกออกไดเปน็ 2 ลกั ษณะ คือ จาํ นวนตรรกยะ และ จํานวนอตรรกยะซึ่ง สามารถจําแนกเป็นแผนภาพดังน้ี
แบบฝกึ หัด เรอื่ งความสมั พันธแของระบบจํานวนจริง คาสั่ง จงตอบคําถามตอไปน้ี 1. จงเขียนโครงสรา งของระบบจํานวนจรงิ …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. จาํ นวนเตม็ มจี ํานวนอะไรบา ง …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. จงยกตัวอยางจาํ นวนตรรกยะ มา 5 จํานวน …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. จํานวนอตรรกยะ มีจาํ นวนอะไรบาง …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
ใบความรู้ เร่อื ง สมบตั ขิ องการบวก การลบ การคูณ และการหารจานวนจริง • สมบตั กิ ารเทา่ กนั ของจานวนจริง กําหนด a, b, c เป็นจํานวนจรงิ ใดๆ 1. สมบตั ิการสะทอน a = a 2. สมบัติการสมมาตร ถา a = b แลว b = a 3. สมบัติการถายทอด ถา a = b และ b = c แลว a = c 4. สมบัตกิ ารบวกดว ยจาํ นวนท่ีเทากนั ถา a = b แลว a + c = b + c 5. สมบตั ิการคูณดว ยจํานวนทเ่ี ทา กนั ถา a = b แลว ac = bc • สมบัตกิ ารบวกในระบบจานวนจรงิ กาํ หนด a, b, c เปน็ จํานวนจรงิ ใดๆ 1. สมบัตปิ ดิ การบวก a + b เป็นจาํ นวนจริง 2. สมบตั ิการสลบั ที่ของการบวก a + b = b + c 3. สมบัติการเปลี่ยนกลมุ การบวก a + ( b + c) = ( a + b ) + c 4. เอกลกั ษณกแ ารบวก 0 + a = a = a + 0 นั่นคอื ในระบบจํานวนจริงจะมี 0 เปน็ เอกลกั ษณแการบวก 5. อนิ เวอรแสการบวก a + ( -a ) = 0 = ( -a ) + a นั่นคอื ในระบบจํานวนจริง จาํ นวน a จะมี -a เป็นอินเวอรสแ ของการบวก • สมบัติการคณู ในระบบจานวนจริง กําหนดให a, b, c, เป็นจาํ นวนจรงิ ใดๆ 1. สมบัตปิ ิดการคูณ ab เป็นจาํ นวนจรงิ 2. สมบตั กิ ารสลับที่ของการคูณ ab = ba 3. สมบตั กิ ารเปลยี่ นกลุมของการคูณ a(bc) = (ab)c 4. เอกลักษณแการคูณ 1 · a = a = a · 1 นน่ั คือในระบบจํานวนจริง มี 1 เป็นเอกลักษณกแ ารคูณ 5. อินเวอรแสการคูณ a · a-1 = 1 = a · a-1, a ≠ 0 นน่ั คอื ในระบบจาํ นวนจริง จาํ นวนจรงิ a จะมี a-1 เปน็ อินเวอรแสการคณู ยกเวน 0
6. สมบตั กิ ารแจกแจง a( b + c ) = ab + ac ( b + c )a = ba + ca จากสมบัตขิ องระบบจาํ นวนจรงิ ทไี่ ดกลา วไปแลว สามารถนาํ มาพิสจู นแเปน็ ทฤษฎบี ทตางๆ ไดด ังนี้ ทฤษฎีบทที่ 1 กฎการตดั ออกสําหรับการบวก เมอ่ื a, b, c เปน็ จาํ นวนจริงใดๆ ถา a + c = b + c แลว a = b ถา a + b = a + c แลว b = c ทฤษฎีบทท่ี 2 กฎการตดั ออกสําหรับการคูณ เมอ่ื a, b, c เป็นจํานวนจรงิ ใดๆ ถา ac = bc และ c ≠ 0 แลว a = b ถา ab = ac และ a ≠ 0 แลว b = c ทฤษฎีบทท่ี 3 เม่อื a เป็นจํานวนจริงใดๆ a·0=0 0·a=0 ทฤษฎบี ทที่ 4 เมื่อ a เป็นจาํ นวนจริงใดๆ (-1)a = -a a(-1) = -a ทฤษฎบี ทท่ี 5 เม่ือ a, b เปน็ จํานวนจริงใดๆ ถา ab = 0 แลว a = 0 หรือ b = 0 ทฤษฎีบทที่ 6 เมือ่ a เปน็ จาํ นวนจริงใดๆ a(-b) = -ab (-a)b = -ab (-a)(-b) = ab เราสามารถนิยามการลบและการหารจํานวนจริงไดโ ดยอาศัยสมบัติของการบวกและการคณู ใน ระบบจาํ นวนจริงทไ่ี ดก ลาวไปแลว ขางตน
• การลบจานวนจริง บทนยิ าม เมอ่ื a, b เป็นจํานวนจรงิ ใดๆ a- b = a + (-b) นัน่ คือ a - b คือ ผลบวกของ a กบั อินเวอรสแ การบวกของ b • การหารจานวนจรงิ บทนิยาม เมื่อ a, b เป็นจํานวนจริงใดๆ เม่อื b ≠ 0 = a(b-1) นัน่ คอื คอื ผลคณู ของ a กบั อินเวอรแสการคณู ของ b
แบบฝึกหดั เรือ่ ง สมบัตขิ องการบวก การลบ การคูณ และการหารจาํ นวนจรงิ คําสง่ั จงตอบคาํ ถามตอไปน้ี 1. สมบตั กิ ารสลับท่ขี องการบวก คือ ………………………………………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. (2+5) + 7 = 2+ (5+7) เป็นสมบตั ใิ ด …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. จงยกตัวอยางคุณสมบตั ิการแจกแจงสําหรบั การคูณ มา 1 ตัวอยา ง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………..……………… 4. จงใชค ุณสมบัติการแจกแจงสําหรบั การคณู แลวหาผลลัพธแ 4.1 5 (10 + 7) = ____________________________________ = 4.2 6 (5 + 12) = ____________________________________ = 5. จงหาผลลพั ธขแ องจาํ นวนตอไปนี้ 5.1 12 + (-7) = _______________________________ 5.2 (-65) – (-110) = ________________________________ 5.3 (-16) 5 = ________________________________
ใบความรู้ เรอ่ื ง สมบัติการเทา่ กันและการไม่เท่ากัน คุณสมบัติของการเท่ากัน การเทา กัน หมายถงึ คาหรือปริมาณของจํานวนทเ่ี ทา กัน เชน 5 + 1 = 6 เปน็ จรงิ (ได 6 = 6) (2 + 6) + 7 = 15 เปน็ จริง (ได 15 = 15) สมบตั กิ ารไม่เทา่ กัน ใหผเู รียนทบทวนเร่ืองสมบัติการเทา กันในเรื่องทผ่ี า นมาเพอื่ เปน็ ความรูเพ่ิมเติม สว นในเรื่องนี้ จะเนนเร่อื งสมบตั ิการไมเ ทา กันเทา นัน้ ประโยคคณิตศาสตรจแ ะใชส ญั ลักษณแ > , < , ≥ , ≤ , ≠ แทนการไมเทากนั เรียกการไมเทากันวา “อสมการ” (Inequalities) บทนยิ าม a < b หมายถงึ a นอ ยกวา b a > b หมายถงึ a มากกวา b กาํ หนดให a, b, c เปน็ จาํ นวนจรงิ ใดๆ 1. สมบัติการถายทอด ถา a > b และ b > c แลว a > c 2. สมบัตกิ ารบวกดวยจํานวนท่ีเทา กัน ถา a > b แลว a + c > b+ c 3. จาํ นวนจรงิ บวกและจํานวนจริงลบ a เปน็ จํานวนจริงบวก ก็ตอ เม่ือ a > 0 a เป็นจาํ นวนจริงลบ กต็ อเมื่อ a < 0 4. สมบัตกิ ารคูณดว ยจาํ นวนเทากนั ทไี่ มเทา กับศนู ยแ ถา a > b และ c > 0 แลว ac > bc ถา a > b และ c < 0 แลว ac < bc 5. สมบตั กิ ารตัดออกสําหรบั การบวก ถา a + c > b + c แลว a > b 6. สมบัติการตดั ออกสาํ หรบั การคูณ ถา ac > bc และ c > 0 แลว a > b ถา ac > bc และ c < 0 แลว a < b บทนิยาม a ≤ b หมายถึง a นอ้ ยกวา่ หรือเทา่ กบั b การแก้สมกาaร≥ b หมายถึง a มากกวา่ หรือเทา่ กบั b ตวั อยางท่ี 1aa <≤จงbbแ<ก≤สcมcการ Xหห–มม5าายยถถ=ึึงง2 โดยใชaaค <≤ณุ bสbแมแลบละัตะขิbbอ<≤งcกcารเทากนั ดงั นี้ วิธีทาํ X – 5 = 2
เอา 5 บวกเขา ท้ังสองขา ง จะได X–5+5 = 2 +5 X = 2 +5 X =7 ตรวจคาํ ตอบโดยแทนคา ตวั แปร X ดว ย 7 ในสมการ X – 5 = 2 จะได 7 – 5 = 2 ซึ่งเปน็ จรงิ ดงั น้ัน 7 เป็นคําตอบของสมการ X – 5 = 2 การแก้อสมการ ตวั อยา งที่ 2 จงแกอสมการ X + 2 < 5 วธิ ีทาํ X + 2 < 5 เอา 2 ลบออกทัง้ สองขางจะได X+2 -2 < 5–2 X< 3 ตรวจคําตอบโดยแทนคา ตัวแปร X ดวยจาํ นวนจริงท่นี อ ยกวา จะไดป ระโยคท่ีเปน็ จรงิ ดังนนั้ จํานวนทกุ จาํ นวนท่ีนอยกวา 3 คือคาํ ตอบของอสมการนี้
แบบฝึกหัด เร่อื ง สมบตั กิ ารเทา่ กนั และการไม่เท่ากัน จงตอบคําถามตอไปนี้ 1. 3 + 5 = 8 จรงิ หรือไม ________________________ 2. (4 + 3) + 5 = 7 + 5 จริงหรือไม ________________________ 3. ถา a , b เป็นจาํ นวนใด ๆ และ a = b แลว a + 2 = b + 2 จริงหรอื ไม ________________________ 4. จงแกสมการ X + 20 = 56 โดยใชส มบตั ขิ องการเทา กัน ............................................................................................................................. ...................... ............................................................................................................................. ...................... ........................................................................................................ ........................................... ............................................................................................................................. ...................... ................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................... ................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................... ............................................................................................................................. ...................... ................................................................................................. .................................................. ............................................................................................................................. ...................... ................................................................................................................................................... . 5. จงแกอสมการ X – 16 < 25 ............................................................................................................................. ...................... ............................................................................................................................. ...................... ................................................................................................. .................................................. ............................................................................................................................. ...................... ................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................... ............................................................................................................................................... ....
ใบความรู้ เร่ือง คา่ สัมบูรณ์ คา่ สมบูรณ์ บทนิยาม กาหนดให้ a เปน็ จานวนจริง นัน่ คอื ค่าสัมบูรณข์ องจานวนจรงิ ใดๆ ตอ้ งมีคา่ มากกว่าหรอื เท่ากับศูนยเ์ สมอ 4.1 สมบตั ิของค่าสัมบรู ณ์ 1. |x| = |-x| 2. |xy| = |x||y| 3. x = x yy 4. | x - y | = | y - x | 5. |x|2 = x2 6. | x + y | ≤ |x| +|y| 7. เม่ือ a เป็นจํานวนจรงิ บวก |x| < a หมายถึง -a < x < a |x| ≤ a หมายถงึ -a ≤ x ≤ a 8. เมอ่ื a เป็นจาํ นวนจริงบวก |x| > a หมายถงึ x < -a หรอื x > a |x| ≥ a หมายถึง x ≤ -a หรือ x ≥ a
แบบฝึกหัด เรือ่ ง ค่าสมั บูรณ์ 1. จงหาคาสมั บรู ณแของจาํ นวนตอ ไปน้ี 1.1 |X| = |5| = _________________________ 1.2 |X| = |0| = _________________________ 1.3 |X| = |-3| = _________________________ 2. จงหาคาํ ตอบของสมการและอสมการของคา สัมบูรณตแ อไปนี้ 2.1 |-2X| = 10 ............................................................................................................................. ............................................. ............................................................................................................................. ............................................. .................................................................................... ...................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................. ............................................................................................................................. ............................................. ...................................................................................... .................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................. ............................................................................................................................... ........................................... 2.2 |4X + 3| = -3 .......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................. ............................................................................................................................. ............................................. .......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................. ............................................................................................................................. ............................................. .......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .............................................
แผนการจัดกจิ กรรม
มการเรยี นรู้คร้งั ท่ี 2
แผนการจดั การเรยี นรู้ สาระความรพู ื้นฐาน ระดับ มธั ยมศึกษาตอนปลา คร้งั ที่ วนั /เดอื น/ปี หวั เรอ่ื ง/ตัวช้ีวัด เนอ้ื หาสาระการเรยี นรู้ 1.อธบิ ายความหมาย 1. เซต ข้นั เกี่ยวกับเซต 2 สามารถหายเู น่ียน 2. การดาํ เนนิ การของเซต -คร อนิ เตอรแเซกช่นั คอม พลเี มนตแ และผลตา ง 3. แผนภาพเวนนแ-ออยเลอรแ และ ผูเ ร ของเซต 3. เขียนแผนภาพ การแกปใญหา -ให แทนเซตและนําไปใช แกปใญหาทีเ่ กี่ยวกบั ภา การหาสมาชิกของเซต -คร แบ -ค ท ผูเ ร บอ -คร เลอ -ผเู ดํา -คร อย ดอ
รายวชิ าคณิตศาสตรแ รหสั วิชา พค31001 าย. จานวน 5 หนว่ ยกติ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ สือ่ /แหล่งเรยี นรู้ การวดั และ ประเมนิ ผล นท่ี 1 กาํ หนดสภาพปใญหา - ใบความรูเรือ่ งเซต -สังเกตพฤตกิ รรม รูสนทนากับผูเรยี นเก่ียวกับชือ่ จงั หวัดที่ - ใบความรูเรอ่ื ง -แบบทดสอบ รยี นสนใจ สมบตั ขิ องการบวก -ใบงาน หผ เู รียนรวมกันจดั กลมุ จังหวดั เปน็ แตล ะ การลบ การคูณ าค และการหารจํานวน รสู ุมผเู รียนออกมาแสดงวิธีตาม จริง บบฝกึ หดั หนาช้นั เรียน - ใบความรูเรื่อง ครูสมุ ถามผเู รยี น 2 คน ใหบ อกเลขโดด สมบตั ิการเทา กันและ ทตี่ นเองช่ืนชอบมาคนละ 4 จาํ นวน การไมเทากัน รยี นรวมกันเขยี นเซตตามจํานวนท่ีเพื่อน - ใบความรูเรอ่ื งคา อก สัมบรู ณแ รูนาํ ตัวอยางแผนภาพเวนนแแ ละออย - แบบฝกึ หัด อรมแ าประมาณ 3 -5 ภาพ เชน - หนังสอื แบบเรยี น - แหลงเรยี นรูอ ่นื ๆ เรยี นรวมกันเขียนความหมายของการ าเนินการของเซต รูยกตวั อยางโจทยแปใญหาเก่ียวกบั เซต ยางงา ย เชน มดี อกไมส ีสวย 7 ดอก อกไมมีกลนิ่ หอม 11 ดอก ดอกไมสีสวย
คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หัวเร่อื ง/ตัวช้ีวัด เน้อื หาสาระการเรยี นรู้ แล ดอ ขัน้ “ค กา เขยี -คร อนิ ขั้น - กา - เรีย นํา -ท คํา -คร คว มอ ขน้ั - -
การจดั กระบวนการเรยี นรู้ สอื่ /แหลง่ เรยี นรู้ การวัดและ ประเมนิ ผล ละกลน่ิ หอม 3 ดอก อยากทราบวามี อกไมทั้งหมดกี่ดอก นที่ 2 แสวงหาความรู ครถู ามผูเ รียนวา : ผเู รยี นลองนาํ ผลจาก ารจดั กลมุ จังหวดั ออกเปน็ แตละภาคมา ยนในรูปของเซต” รูอภปิ รายเพ่ือหาคําตอบของยูเนียน นเตอรแเซกช่ัน คอมพลีเมนตแ และผลตาง นท่ี 3 การปฏิบัตนิ ําไปใช ครูมอบหมายใหผเู รยี นฝึกปฏบิ ัตดิ ว ย ารทําแบบฝึกหัด ครใู หผ เู รียนศึกษาเพ่มิ เติมจากแหลง ยนรูอน่ื ๆพรอมท้ังทาํ แบบฝึกหัดและ าสง ในการพบกลมุ คร้งั ตอไป ทดสอบยอ ย พรอ มทั้งรว มกันตรวจ าตอบ รแู ละผเู รียนรวมกนั สรปุ ความรทู ไี่ ดเปน็ วามคิดรวบยอด อบหมายใหผูเรยี นทําแบบฝึกหดั ทายบท นที่ 4 การประเมินผลการเรยี นรู ครแู ละผเู รยี นรว มกนั สรุปผลการเรยี นรู ครปู ระเมนิ ผลจากการสงั เกตพฤติกรรม
คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หวั เร่อื ง/ตัวช้ีวดั เน้อื หาสาระการเรียนรู้ แล
การจัดกระบวนการเรยี นรู้ สือ่ /แหล่งเรียนรู้ การวัดและ ละแบบฝึกหัด ประเมินผล
ใบความรู้ เรื่อง เซต 1. ความหมายและการเขียน เซต เซต คือ ลักษณะนามทเ่ี ราใชเ รียกกลุมของสิ่งตาง ๆ เชน กลุมของคน สตั วแ กลมุ ของส่ิงของเปน็ ตน และสงิ่ ตางๆ ท่ีอยูใ นกลุมวา “สมาชกิ ” สมาชกิ คือ ส่ิงที่อยูเซต เขยี นแทนดวยอกั ษรตวั พิมพแเล็กในภาษาอังกฤษ เชน a,b,c,..... ช่อื เซต เขยี นแทนดว ยตัวพมิ พแใหญในภาษาอังกฤษ เชน A,B,C,........ 1.1การเขยี นเซต การเขียนเซตสามารถเขยี นได 2 แบบ คือ (1) แบบแจกแจงสมาชกิ เป็นการเขียนเซต โดยการเขียนสมาชิกทุกตวั ลงใน วงเลบ็ ปกี กา และใชเคร่ืองหมายจลุ ภาค ( , ) คนั่ ระหวางสมาชิกแตลละตัวในเซตนั้น เชน เซตของชื่อวนั ในหนึ่งสปั ดาหแ เขยี นเป็นเซตแบบแจกแจง สมาชกิ ไดดังน้ี - เซตท่ีมีสมาชกิ ประกอบดวย วันจันทรแ,วันองั คาร,วันพุธ,วันพฤหัสบดี,วนั ศกุ รแ,วนั เสารแ ,วันอาทติ ยแ เขยี นแทนด้วย A = { วนั จนั ทร์,วนั องั คาร,......,วนั อาทิตย์} (2) แบบบอกเงื่อนไข เป็นการเขียนเซตโดยเขยี นตัวแปรแทนสมาชกิ ทุกตัวของเซต และหลงั ตวั แปรมีเครอื่ งหมาย l (โดยที)่ ตามดว ยการบอกสมบตั ขิ องสมาชกิ เชน { a,e,i,o,u }เขียนในรูปแบบบอกเงอ่ื นไข ไดคือ เขียนแทนด้วย B = { x | x เป็ นสระในภาษาองั กฤษ } 2. ชนิดของ เซต เอกภพสัมพัทธ์ คอื เซตท่ีประกอบดว ยสมาชิกท้ังหมดของส่งิ ทเ่ี ราศกึ ษาเขียนแทน ดวย “µ” เซตจากัด เซตอนนั ต์ และเซตวา่ ง
เซตจากดั คอื เซตที่สามารถระบุจํานวนสมาชิกได เชน เซตอนันต์ A = { 1,2,3} มสี มาชิก 3 ตวั เซตวา่ ง B = { วนั จันทรแ,วันองั คาร,…..,วนั อาทิตยแ } มสี มาชกิ 7 ตวั คอื เซตทไ่ี มส ามารถระบจุ าํ นวนสมาชกิ ได เชน A = { 1,2,3,…..} B = { y | y เป็นจาํ นวนนับ และ 2 ‹ x ‹ 9} คือ เซตท่ไี มมสี มาชิก จะใชสัญลกั ษณแ หรือ { } เชน A = { y | y เปน็ จํานวนนับ และ 2 ‹ x ‹ 3} 3. เซตท่เี ท่ากัน และเซตท่เี ทียบเท่า กัน เซตที่เทา่ กัน *บทนิยาม เซตสองเซตจะเทา่ กนั ก็ตอ่ เมือ่ เซตทงั้ สองมสี มาชิกเทา่ กนั กลา่ วคอื สมาชิกทุกตัว A เป็ นสมาชกิ B และ สมาชกิ ทุกตวั ของ B เป็ นสมาชกิ ของ A A เทา่ กบั B เขยี นแทนด้วย A = B และ A ไมเ่ ทา่ กบั C เขยี นแทนด้วย A ≠ C เชน กําหนดให A = {a,b,c} , B = {a,b,a,c} ,C = {1,2,3} จะเห็นวา A และ B มีสมาชิกเหมือนกันทกุ ตัว ดังนั้น A = B เซตทเี่ ทียบเทา่ สว น A และ B มจี ํานวนสมาชกิ เทากัน แตม ีสมาชกิ ไมเหมือนกันทกุ ตวั จงึ ถอื วา เซตทั้งสองไมเ ทา กัน ดงั นนั้ A ≠ C บทนิยาม กาหนดให้ A และ B เป็ นเซตจากดั A เทียบเทา่ B ก็ตอ่ เมอ่ื เซตทงั้ สองมจี านวน สมาชิกเทา่ กนั A เทยี บเทา่ กบั B เขยี นแทนด้วย A B เชน กําหนดให A = {a, b, c} , B = {1, 2, 3} , C = {3, 2, 1} วธิ ีทาํ จะเห็นวา A B แต A ≠ B
A C แต A ≠ C B C และ B = C 4. สับเซต นิยาม A เป็ นสบั เซตของ B ก็ตอ่ เมอื่ สมาชิกทกุ ตวั ของ A เป็ นสมาชิกของ B A เป็ นสบั เซต B เขยี นแทนด้วย A B A ไมเ่ ป็ นสบั เซต B เขยี นแทนด้วย A B เชน กาํ หนดให A = {1, 2, 3} และ B = {1, 2, 3, 4} จงพิจารณาวา A เปน็ สบั เซตของ B หรือไม และ B เปน็ สับเซตของ A หรือไม วธิ ที า เนอ่ื งจาก สมาชิกทุกตวั ของ A เป็นสมาชิกของ B ดงั น้ัน A B แต มสี มาชิกบางตวั ของ B คือ 4 ไมเ ป็นสมาชิกของ A ดังนนั้ B A 4.1 สับเซตแท้ A เป็นสบั เซตแท้ของ B ก็ตอ่ เมื่อ A B และ A ≠ B เชน A = {1,2} สับเซตของ A คือ Ø, {1}, {2}, {1,2} สบั เซตแทของ A คอื Ø, {1}, {2} ข้อสงั เกต ถา เซต A มีสมาชิก n ตวั แลว จํานวนสับเซตแทของ A คอื 2 n - 1 สบั เซต สมบัติของสับเซต กาํ หนด A, B และ C เปน็ เซตใด ๆ 1. Ø A , Ø B, Ø C (เซตวางเป็นสบั เซตของทกุ เซต) 2. A A , B B , C C
3. ถา A B และ B C แลว A C 4. A B และ B A เม่อื A = B 5. เพาเวอร์เซต บทนิยาม สาํ หรับเซต A ทีเ่ ป็นเซตจาํ กดั เพาเวอรเแ ซตของ A คือ เซตทีม่ สี ับเซตของเซต A เปน็ สมาชกิ ใชสัญลักษณแ P(A) แทนเพาเวอรแเซต A ดงั นั้น P(A) = {x|x A} เชน กาํ หนดให A = {1,2} A มีสบั เซตทงั้ หมดคือ Ø, {1}, {2}, {1, 2} P(A) = { Ø, {1}, {2}, {1, 2}} สมบัติของเพาเวอร์เซต กําหนดให A และ B เปน็ เซตใด ๆ 1. A P(A) เพราะ A A 2. Ø P(A) เพราะ Ø A 3. Ø (P)A เซตวางเปน็ สับเซตของทุก ๆ เซต 4. ถา A เปน็ เซตจํากดั และ A มีสมาชิก n ตวั แลว P(A) จะมีสมาชิก 2 n ตวั 5. A B ก็ตอเมื่อ P(A) P(B) 6. P(A) P(B) = P(A B) 7. P(A) P(B) = P (A B)
ใบงาน เร่ืองเซต คาชีแ้ จง ใหผูเ รยี นศึกษาใบความรู แลวปฏิบัตติ ามท่กี ําหนด จุดประสงค์ ผูเ รียนสามารถ 1. บอกความหมายของเซต เขยี นเซตแบบแจกแจงสมาชกิ และบอก เง่ือนไขได 2. บอกไดว า เซตใดเป็นเซตจํากัด เซตอนนั ตแ เซตวาง หรือเซตที่เทา กนั ได 3. หาสับเซตและเพาเวอรเแ ซตได 4. ทํางานอยางเปน็ ระบบ และใชว ิจารณญาณไดเ หมาะสม 5. สือ่ ความหมายและนําเสนอไดถกู ตอง กิจกรรม 1. ผูเรียนเขียนชื่อของตนเอง และของเพ่ือนมา 1 ชือ่ 2. ปฏบิ ัตติ ามรูปแบบท่ีกําหนดให 3. นาํ ผลจากการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมมาแลกเปลีย่ นกับเพ่ือน รวมกันตรวจสอบ ความถกู ตอง 4. นําเสนอผลงาน
ใบงาน ชื่อ-สกุล ________________________________ระดับ ม.ปลาย______________ คาชีแ้ จง ใหผูเรยี นเขียนขอมลู ของตนเอง แลว ปฏิบัติกิจกรรมทก่ี ําหนด กิจกรรม 1 กรอกขอมลู ตามท่ีกาํ หนด ชื่อตนเอง ชื่อของเพ่ือน เขียนเปน็ เซต ชนิดของเซต สับเซต คอื เพาเวอรเแ ซต กิจกรรม 2 ใหผเู รยี นอธบิ ายผลจากการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม 2 วาเปน็ เซตทเี่ ทากนั หรือเซตท่ี เทยี บเทา หรอื ไม ___________________________________________________________________ ___________________________________________________________________ ___________________________________________________________________ ___________________________________________________________
แบบฝกึ หัด เร่อื ง เซต คาส่ัง ใหผูเรียนทําแบบฝึกหัดตอ ไปนี้ 1. จงเขยี นเซตแบบแจงแจงสมาชกิ 1.1 A เปน็ เซตของจาํ นวนเต็มทห่ี ารดวย 5 ลงตัว 1.2 B = {x|x I และ x 2} 1.3 C = {x|x I และ -4 x 50} 2. จงเขียนเซตแบบบอกเงอื่ นไข 2.1 A เป็นเซตของจํานวนเต็มตั้งแต -25 ถงึ 25 2.2 B = {2, 4, 6, 8, 10, ….} 2.3 C = {0, 1, 4, 9, 16, 25, …..} 3. จงพิจารณาวา เซตใดเป็นเซตจํากัด เซตอนนั ตแ 3.1 {x|x I และ x 2} 3.2 {x|x เป็นเม็ดทรายในหนง่ึ แกว} 3.3 {x|x เปน็ แมวบนดาวอังคาร} 3.4 {x|x R และ x 2 > 1} 4. จงเขยี นเซตที่กําหนดในรูปของเพาเวอรแเซต 4.1 A = {1, 2, 3} 4.2 B = {a, e, i, o, u} 4.3 C = {a, {1}} 4.4 D = { }
ใบความรทู้ ี่ 1 เรอื่ ง ยูเนียน บทนิยาม ยเู นยี นของเซต A และ B คือเซตท่ีประกอบดวยสมาชิกทีเ่ ป็นสมาชกิ ของ A หรือของ B ใชสัญลักษณแ A B แทน ยเู นียนของเซต A และ B สามารถเขียนเปน็ เซตแบบบอกเงอื่ นไขไดค ือ A B x | x A x B ตัวอย่างที่ 1 ให A 1,2,6 และ B 1,3,7 จะพบวา สมาชกิ ที่อยูใน A หรอื ใน B คือ 1, 2, 3, 6, 7 (คือการเอาสมาชิกของ A กบั B มารวมกัน แตเ นื่องจาก 1 มีซํา้ กัน 2 ตัวเราก็เอาเพียงตัวเดียว) A 1,2,3,6,7 ตวั อย่างที่ 2 ให A I และ B I จงหา A B วธิ ีทา เนื่องจาก A I A 1,2,3,4,...เนือ่ งจาก B I B 1,2,3,4,... A B I I ...,4,3,2,1,0,1,2,3,4,... หรอื 1,1,2,2,3,3,... ในทํานองเดียวกนั การใชแ ผนภาพแสดงเก่ยี วกับผลของการยเู นยี นเราสามารถกระทําไดดังนี้ A B คือสวนทแ่ี รเงาในแผนภาพ AB AB A U U BB U A A B และ B A B กรณีท่ี A B = A B = B เม่อื A B
สมบตั ทิ ีส่ าคัญบางประการเกี่ยวกบั ยูเนียน 2) A = A 4) A B = B A 1) A A = A 6) A B ก็ตอ เมอ่ื A B = B 3) A U = U 8) ถา A B = จะไดวา A = และ B = 5) A (B C) = (A B) C 10) A (B C) = (A B) (A C) 7) A A B และ B A B 9) A (B C) = (A B) (A C)
ใบความรู้ที่ 2 เรอื่ ง อนิ เตอรแเซกช่ัน บทนยิ าม อินเตอรแเซกช่นั ของ A และ B คือเซตที่ประกอบดว ยสมาชกิ ทีเ่ ปน็ สมาชิกทั้งของ A และ B ใชส ัญลกั ษณแ A B แทนอนิ เตอร์เซกชน่ั ของเซต A และ B ซงึ่ สามารถเขยี นแทนดวยเซตแบบบอก เงือ่ นไขคือ A B x | x A x B ตวั อยา่ งที่ 1 ให A 1,2,3 และ B 2,3,4 จะพบวา สมาชิกทอี่ ยรู วมท้ังใน เซต A และ B คือ 2 กบั 3 A B 2,3 ตวั อย่างที่ 2 ใหเอกภพสมั พัทธแ คอื เซตของจํานวนเต็มบวก A คือเซตของจาํ นวนคีแ่ ละ B คือเซตของจํานวนท่ี เปน็ พหคุ ูณของ 5 จงหา A B วิธีทา เนอื่ งจาก เอกภพสัมพัทธแเปน็ เซตของจํานวนเต็มบวก A 1,3,5,7,... B 5,10,15,20,... A B 5,15,25,35,... เพ่ือใหน ักเรยี นไดเหน็ ภาพของเซต A B ไดชัดเจนขน้ึ เราอาจจะนาํ แผนภาพเวนนแ – ออยเลอรแ มาชวย แสดงใหเหน็ ถงึ ลักษณะของ A B ไดดังนี้ ใหส ว นทีเ่ ป็น A B คอื สว นทแี่ รเงา AB AB AB UUU A B A และ A B B A B = A และ A B กรณนี ี้ A B = สมบตั ิทส่ี าคญั บางประการเก่ยี วกบั อนิ เตอร์เซกชัน่ 1. A A = A 2. A = 3. A U = A 4. A B = B A 5. A (B C) = (A B) C 6. A B ก็ตอเมอ่ื A B = A 7. (A B) A และ (A B) B
ใบความรทู้ ่ี 3 เร่ือง คอมพลเี มนตแและผลตา งของเซต บทนยิ าม ผลตางของ A และ B คือเซตที่ประกอบดวยสมาชิกท่ีเป็นสมาชกิ ของ A แตไ มเ ปน็ สมาชิก ของ B เขียนแทนดวยสญั ลกั ษณแ A – B = {x|x A แต x B} ตวั อยา่ งที่ 1 ให A 1,2,5,7 และ B 5,7,9,10 จะพบวา สมาชิกที่อยูใ น A มี 1, 2, 5, 7 แตเนื่องจากสมาชกิ 5, 7 อยูใน B สมาชิกที่อยูใน Aแตไ มอ ยูใน B คอื 1, 2 A – B = {1, 2 } ตวั อยา่ งที่ 2 ให A 1,2,3,6, B 3,6,7,8,9 จงหา A – B และ B – A วิธที า 1. หา A – B สมาชิกทอ่ี ยูใน A แตไมอยูใน B คือ 1, 2 A – B = { 1, 2 } 2. หา B – A สมาชกิ ที่อยูใน B แตไ มอยใู น A คอื 7, 8, 9 B – A = { 7, 8 , 9 } ขอ้ สงั เกต จากตัวอยางท่ี 6 นักเรยี นจะพบวา A – B B – A สงิ่ ทค่ี วรศึกษาเพม่ิ เตมิ จากความหมายของ A – B = {x|x A แต x B} เราสามารถนําไปประยุกตแใชก ับในกรณีทเี่ ป็น เซตอ่ืน ๆ ไดโ ดยใหอยูในรูปแบบเดียวกันคอื B – A = {x|x B แต x A } , M – N = {x|x M แต x N} ดังนัน้ ถาเป็น U – A = {x|x U แต x A} แตเนอื่ งจากเปน็ ที่ทราบกนั ดีวา สมาชิกทุกตวั ตองอยูในเอกภพสมั พัทธแ ดังน้ัน x U เราไม จาํ เปน็ ตอ งเขียนก็เปน็ ทร่ี กู นั เพราะฉะนนั้ เราสามารถเขยี น U – A ไดส้ัน ๆ ดงั นี้ U – A = {x| x A} และนิยมใชสญั ลกั ษณแ A หรอื Ac แทน U – A น่ันคอื U – A = A = Ac นั่นเอง และเราเรียกเซต Ac หรือ วาคอมพลเี มนตแของ A ดังนัน้ A = Ac = {x| x A} ดงั น้นั จากความหมายของคอมพลีเมนตแ ถาเราจะกลา วถึงเมื่อใดกต็ าม จะตองมีเอกภพ สมั พัทธแเขามาเกยี่ วของดว ยเสมอ ในทํานองเดยี วกนั ถา เราตองการแสดงใหเหน็ ลักษณะของผลตางและคอมพลีเมนตแ เรา สามารถแสดงไดดังน้ี
แผนภาพตอไปนี้สว นที่แรเงา แสดงถงึ ผลตาง และคอมพลเี มนตแ AB AB U U A–B B–A B B A A U U B–A A–B = AB A U U A–B = A Ac
สมบตั ิท่สี าคัญบางประการเกีย่ วกบั ผลต่างและคอมพลีเมนต์ 1. A A 2. 3. 4. A A 5. A A 6. A B A B 7. A B A B 8. A B A B 9. A B A เมื่อ A B 10. A B เมอื่ A B
ใบงาน เรื่อง การดาเนนิ การของเซต คาชแ้ี จง ใหผ ูเรยี นศึกษาใบความรูและปฏบิ ตั กิ ิจกรรมตามใบงานที่ 1-3 จุดประสงค์การเรยี นรู้ ผูเ รียนสามารถ 1. หาสามารถหา ยเู นยี น อนิ เตอรแเซกช่ัน คอมพลีเมนตแ และผลตา งของเซตได 2. เขยี นเซตใหมทเี่ กิดจากการยูเนยี น อนิ เตอรเแ ซกชั่นได 3. แลกเปลีย่ นความคิดซ่ึงกันและทํางานรวมกับผูอ น่ื ได กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. แบง กลุมผูเรยี นออกเป็นกลมุ ๆ ละ 3 – 5 คน รว มกนั ศกึ ษาใบความรู 1 – 3 2. ผเู รียนรว มกันอภิปรายหาคาํ ตอบตามใบงาน พรอมทง้ั บนั ทึกผลลงในใบงานท่ี 1 – 3 (ใบงานละ 15 นาที) 3. ครสู ุม ผูเรยี นออกมานําเสนอหนา ชนั้ เรยี น 4. ครูและผเู รียนสรปุ ความคิดรวบยอดจากการปฏบิ ตั ิกิจกรรม
ใบงานที่ 1 เร่อื ง ยูเนยี น 1. กําหนดให A = {-5, -4, -3, -2, -1, 0, 1, 2, 3, 4, 5}, B = {0, 1, 2, 3, …}, C = {-1, -2, -3, …}, D = {0} จงหาคาํ ตอบของเซตในขอ ตอไปน้ี 1.1A U B = ………………………………………………………………………… 1.2A U C = ………………………………………………………………………… 1.3A U D = ………………………………………………………………………… 1.4B U C = ………………………………………………………………………… 1.5B U D = ………………………………………………………………………… 1.6C U D = ………………………………………………………………………… 1.7(A U B) U C = ………………………………………………………………………… 1.8B U (C U D) = ………………………………………………………………………… 1.9A U (C U D) = ………………………………………………………………………… 1.10(A U B) U D = ………………………………………………………………………… 2. กาํ หนดให A, B และ C เปน็ เซตใด ๆ ขอความตอไปนี้ถูกหรือผดิ 2.1ถา A U B = A U C แลว B = C …………………… 2.2ถา A U B A U C แลว B C …………………… 2.3ถา B C แลว A U B A U C …………………… 2.4ถา A U B แลว A และ B …………………… 2.5ถา A = หรือ B = แลว A U B = ……………………
ใบงานที่ 2 เรอื่ ง อินเตอรเ์ ซกชนั่ 1. กําหนดให A = {1, 3, 5, 7, 9}, B = {1, 2, 3, 4, 5, 6, 7} และ C = {2, 3, 5, 6, 7} จงหา 1.1A B = …………………………………………………………… 1.2A C = …………………………………………………………… 1.3B A = …………………………………………………………… 1.4B C = …………………………………………………………… 1.5C A = …………………………………………………………… 1.6C B = …………………………………………………………… 1.7(A B) C = …………………………………………………………… 1.8A (B C) = …………………………………………………………… 1.9A (B C) = …………………………………………………………… 1.10A (B C) = …………………………………………………………… 1.11(A B) (A C) = …………………………………………………………… 1.12(A B) (A C) = …………………………………………………………… 2. กําหนดให A, B และ C เปน็ สบั เซตของเอกภพสมั พทั ธแ U จงพิจารณาดวู าขอ ตอไปนี้ถูกหรือผิด 2.1ถา A และ B เป็นเซตจาํ กดั แลว A B จะเป็นเซตจาํ กัด ………………………… 2.2ถา A หรือ B เป็นเซตจํากัด แลว A B จะเป็นเซตจาํ กัด ………………………… 2.3ถา A และ B เปน็ เซตอนันตแ แลว A B จะเปน็ เซตอนันตแ ………………………… 2.4ถา A หรอื B เป็นเซตอนนั ตแ แลว A B จะเป็นเซตอนนั ตแ ………………………… 2.5ถา A B เป็นเซตอนนั ตแ แลว A และ B จะเป็นเซตอนันตแ ………………………… 2.6ถา A B เป็นเซตจาํ กัด แลว A และ B จะเป็นเซตจาํ กัด …………………………
ใบงานที่ 3 เร่ือง คอมพลีเมนต์ และ ผลต่างของเซต 1. กาํ หนดให A = {1, 2, 3, 4}, B = {2, 4, 6, 8}, C = {3, 4, 5, 6} จงหา 1.1A – B = ………………………………… 1.2B – A = ………………………………… 1.3A – C = ………………………………… 1.4C – A = ………………………………… 1.5B – C = ………………………………… 1.6C – B = ………………………………… 2. กําหนดให A 2,4,5,8,9, B 2,3,5,9,C 1,3,5,7 จงหา 2.1A – (B C) = ………………………………………… 2.2(A – B) (A – C) = ………………………………………… 2.3A – (B C) = ………………………………………... 2.4(A – B) (A – C) = ………………………………………… 3. กําหนดให 0,1,2,3,...,15 A = { x U| x หาร 20 ลงตวั }, B = { x U| x หารดวย 4 ลงตวั } C = { x U| x U } จงหา 3.1 A = ……………………………………………… 3.2 B = ……………………………………………… 3.3 C = ……………………………………………… 3.4 A B = ……………………………………………… 3.5 A B = ……………………………………………… 3.6 A B = ……………………………………………… 3.7 B A 3.8 A B = ……………………………………………… 3.9 A B C = ……………………………………………… = ………………………………………………
แบบทดสอบย่อย เรอื่ ง การดาเนินการของเซต (10 คะแนน) ช่ือ – สกลุ ………………………...................................................……รหัสนกั ศึกษา ................................................. 1. กําหนดให U = { 1, 2, 3, … , 10 }, A = { 1, 2, 4, 6 }, B = { 3, 4, 5, 6, 7 }, C = { 1, 5, 7, 9 } จงหา 1.1 A B = ……………………………………………………………… 1.2 A C = ………………………………………………………………... 1.3 B C = ………………………………………………………………... 1.4 A B = ………………………………………………………………... 1.5 A C = ………………………………………………………………... 1.6 B C = ………………………………………………………………... 1.7 A B = ………………………………………………………………... 1.8 A C = ………………………………………………………………... 1.9 B C = ………………………………………………………………... 1.10 A = ………………………………………………………………... 1.11 B = ………………………………………………………………... 1.12 C = ………………………………………………………………... 1.13 A B C = ………………………………………………………………... 1.14 A B C = ………………………………………………………………... 2. กาํ หนดให A = {a, b, c} และ B = {a, b, d} จงหา 2.1 P(A B) = ………………………………………………………………… 2.2 P(A) P(B) = ………………………………………………………………… 2.3 P(A B) = ………………………………………………………………… 2.4 P(A) P(B) = ………………………………………………………………… 2.5 P(A – B) = ………………………………………………………………… 2.6 P(A) – P(B) = …………………………………………………………………
ใบความรู้ เรือ่ ง การแก้ปัญหาเก่ียวกับเซต การแกปใญหาโจทยโแ ดยใชความรเู รื่องเซต สิ่งทีน่ ํามาใชป ระโยชนมแ ากก็คือ การเขียน แผนภาพเวนนแ – ออยเลอรแ และนําความรเู รื่องสมาชิกของเซตจาํ กัด ดงั ทจี่ ะศึกษารายละเอยี ดตอไปนี้ ตัวอยา่ งที่ 1 บริษัทแหง หนง่ึ มีพนักงาน 80 คน พบวา พนักงาน 18 คน มรี ถยนตแ พนักงาน 23 คน มีบา นเป็นของตัวเอง และพนักงาน 9 คน มบี านของตัวเองและรถยนตแ จงหา 1) จาํ นวนพนักงานทั้งหมดที่มีรถยนตแหรือมบี านเปน็ ของตัวเอง 2) จาํ นวนพนักงานท่ไี มมีรถยนตแหรือบา นของตวั เอง วิธที า ให A แทนเซตของพนักงานท่ีมรี ถยนตแ B แทนเซตของพนักงานท่ีมีบานเป็นของตัวเอง เขียนจํานวนพนกั งานท่ีสอดคลอ งกับขอมูลลงในแผนภาพไดด งั นี้ 1) n (A) = 18 , n (B) = 23 , n (A B) = 9 พิจารณา n (A B) = n(A) + n(B) - n (A B) = 18 + 23 – 9 = 32 ดังนัน้ จาํ วนพนักงานทม่ี รี ถยนตหแ รือมบี านของตวั เองเปน็ 32 คน 2) เนอื่ งจากพนกั งานทง้ั หมด 80 คน น่นั คือ พนกั งานที่ไมม ีรถยนตหแ รอื บา นของตวั เอง = 80 - 32 = 48 คน ดงั นนั้ พนกั งานที่ไมมีรถยนตหแ รอื บา นของตวั เองเป็น 48 คน
ตัวอยา่ งที่ 2 ในการสํารวจเกี่ยวกบั ความชอบของนกั ศึกษา 100 คน พบวานักศกึ ษาทช่ี อบ เรยี นคณติ ศาสตรแ 52 คน นกั ศึกษาท่ีชอบเรียนภาษาไทย 60 คน นักศึกษาที่ไมช อบเรยี น คณิตศาสตรแและไมช อบเรียนภาษาไทยมี 14 คน จงหานกั ศึกษาที่ชอบเรยี นคณิตศาสตรแ และภาษาไทย วิธที า แนวคดิ ท่ี 1 ให A แทนเซตของนักศึกษาที่ชอบเรียนคณิตศาสตรแ B แทนเซตของนักศึกษาทีช่ อบเรียนภาษาไทย จาก n (A) = 52 , n(B) = 60 n ( A/ B/ ) = 14 = n ( A B )/ [A/ B/ = ( A B ) / ] n ( A B ) = 100 n ( A B ) = n(A) + n(B) - n (A B) 86 = 52 + 60 - n (A B) n (A B) = 112 - 86 = 26 ดงั นน้ั จาํ นวนนักศึกษาท่ชี อบเรยี นคณิตศาสตรแแ ละภาษาไทย มี 26 คน แนวคิดที่ 2 ให x แทนจาํ นวนนักศึกษาที่ชอบเรียนคณติ ศาสตรแแ ละภาษาไทย จากแผนภาพเขียนสมการไดด ังนี้ ( 52 - x ) + x + ( 60 - x ) = 100 - 14 112 - x = 86 x = 112 - 86 = 26 ดงั นั้น จํานวนนกั ศกึ ษาทชี่ อบเรียนคณิตศาสตรแและภาษาไทย มี 26 คน ตวั อยา่ งท่ี 3 นกั ศกึ ษาสาขาหน่ึงมี 1,000 คน มนี กั ศกึ ษาเรยี นภาษาอังกฤษ 800 คน เรียน
คอมพวิ เตอรแ 400 คน และเลือกเรยี นทั้งสองวิขา 280 คน อยากทราบวา 1) มนี กั ศึกษาก่ีคนที่เรยี นภาษาอังกฤษเพียงวิชาเดียว 2) มนี กั ศึกษาก่ีคนทเี่ รยี นคอมพวิ เตอรเแ พยี งวชิ าเดยี ว 3) มนี กั ศึกษากค่ี นที่ไมไดเรยี นวิชาใดวิชาหนึ่งเลย 4) มีนักศึกษากีค่ นที่ไมไดเ รียนท้ังสองวิชาพรอมกัน วิธที า ให U แทนเซตของนกั ศกึ ษาท้ังหมด A แทน เซตของนักศึกษาทีเ่ รียนวชิ าภาษาอังกฤษ B แทน เซตของนกั ศึกษาทเี่ รยี นวิชาคอมพิวเตอรแ A B แทน เซตของนกั ศึกษาท่ีเรียนทง้ั สองวชิ า n ( U ) = 1,000 , n ( A ) = 800 , n ( B ) = 400 , n (A B) = 280 เขยี นแผนภาพไดด ังนี้ 1) นกั ศึกษาทีเ่ รยี นภาษาองั กฤษเพยี งวชิ าเดยี วมีจํานวน 800 - 280 = 520 คน 2) นักศึกษาทเ่ี รยี นคอมพิวเตอรแเพยี งวิชาเดียวมีจาํ นวน 400 - 280 = 120 คน 3) นักศึกษาที่ไมไดเ รียนวิชาใดวิชาหน่ึงเลย คือสวนทแ่ี รเงาในแผนภาพซ่ึงมจี ํานวน เทา กับ 1,000 - 520 - 280 - 120 = 80 คน 4) นักศึกษาท่ไี มเ รียนทงั้ สองวิชาพรอ มกนั คือ นักศึกษาทเี่ รยี นวิชาใดวิชาหนึง่ เพยี งวิชา เดียว รวมกับนกั ศึกษาที่ไมเรยี นวชิ าใดเลย คือ สวนทีแ่ รเงาในแผนภาพ ซ่ึงมีจํานวน เทา กบั 1,000 - 280 = 720 หรอื 520 + 120 + 80 = 720 คน ตัวอยา่ งที่ 4 ในการสํารวจผูใชส บู 3 ชนดิ คอื ก , ข , ค พบวา มีผูใชช นดิ ก. 113 คน, ชนิด ข. 180 คน, ชนดิ ค. 190 คน, ชนิด ก . และ ข. 45 คน, ชนิด ก. และ ค. 25 คน, ชนิด ข. และ ค. 20 คน, ทั้ง 3 ชนิด 15 คน, ไมใชท งั้ 3 ชนิด 72 คน จงหาจาํ นวนของผูเขา รบั การสาํ รวจท้งั หมด
วธิ ที า แนวคดิ ที่ 1 ให A แทนผใู ชส บูชนิด ก. B แทนผใู ชสบชู นิด ข. C แทนผใู ชส บูช นดิ ค. จาก n (A B C) = n (A) + n (B) + n (C) - n (A B) – n (B C) - n ( A C ) + n (A B C) โดยท่ี n (A) = 113 n (B) = 180 n (C) = 190 n (A B) = 45 n (A C) = 25 n (B C) = 20 n (A B C) = 15 n (A B C) = 113 + 180 + 190 + - 45 – 20 – 25 -+ 15 = 408 จํานวนผทู ใี่ ชสบู ก. หรอื ข. หรือ ค. = 408 คน จํานวนผูท ี่ใชท ั้ง 3 ชนิด = 72 คน ดงั นนั้ จํานวนของผูเขารบั การสาํ รวจทั้งหมด 408 + 72 = 480 คน แนวคิดที่ 2 ให A แทนผูใ ชส บชู นดิ ก. B แทนผูใชส บูชนดิ ข. C แทนผใู ชส บชู นิด ค.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 538
Pages: