บทบาทและหนาทข่ี องผนู าํ ทส่ี าํ คัญสรุปได มี 3 ลักษณะดงั นี้ ดังน้ี 1.ผรู กั ษาหรอื ประสานใหส มาชกิ กลุมอยรู วมกัน(Maintenaace of membership) หมายถงึ จะตองอยูใ กลช ดิ กับกลุม มีความสมั พันธคแ นในกลุม และเป็นท่ยี อมรับของคนในกลุมทาํ ใหมีความ สามัคคีกลมเกลยี วกนั 2.ผปู ฏบิ ตั ิภาระกิจของกลมุ ใหบรรลวุ ตั ถุประสงคแ (Objective attaniment) หมายถงึ เขาจะตองรบั ผิดชอบในกระบวนการวิธกี ารทํางานดว ยความม่นั คงและเขาใจได และเขาจะตองทาํ งานใหบ รรลเุ ปูาหมาย 3.ผอู ํานวยใหเกดิ การติดตอสัมพันธใแ นกลมุ (Group interaction facilitation) หมายถงึ เขาจะตองปฏิบัตงิ านในทางท่ีอาํ นวยความสะดวกใหเกิดการติดตอสมั พันธแแ ละปฏบิ ตั กิ ันดวยดีของ สมาชิกในกลมุ การติดตอส่อื สารที่ดีเป็นส่ิงสาํ คญั และเปน็ การชว ยใหหนา ทน่ี ้บี รรลุเปาู หมาย ปจั จยั ท่กี ่อใหเ้ กิดภาวะผู้นา ภาวะผนู าํ น้ันมปี ใจจยั ท่ีเปน็ องคแประกอบหลกั 3 ปจใ จยั อนั ไดแก 1. ผนู าํ (Leader) : หมายถึงตวั บุคคลท่นี าํ กลุม มีบคุ ลิกอปุ นสิ ยั ลกั ษณะอยางไร 2. ผูตาม (Follwoers) : หมายถงึ บคุ คลหรือกลุมบุคคลทร่ี ับอทิ ธพิ ลจากผูนาํ 3. สถานการณแ (Situation) : หมายถงึ เหตกุ ารณแแ ละสภาพแวดลอ มตา ง ๆ ทีเ่ กิดข้นึ ปใจจยั ท้งั 3 ประการขา งตนน้ีจะมีผลตอรูปแบบของภาวะผูนําทแ่ี สดงออกมา เป็นที่ทราบกันแลว วา ภาวะผนู าํ จะเกิดขึ้น เมื่อบุคคลสรา งอิทธพิ ลอันมีผลการกระทําหรือพฤตกิ รรม ความคิดจติ ใจความรูสึกทําใหบุคคลเกิดพฤติกรรมไปในทางทผ่ี นู ําประสงคแ การสรางอทิ ธิพลนนั้ อาจออกมาได ในหลายรูปแบบ อาทิ การขมขู บงั คับการจงู ใจ การโนม นา วจิตใจ เปน็ ตน แตจากการศกึ ษาพบ วา การใหอ ทิ ธพิ ลในทางลบ เชนการบงั คับนัน้ ไมก อใหเ กิดผลดีในระยะยาวเพราะการ บังคับขมขู นนั้ เปน็ การสรางความกลัวและความกดดนั ในการทาํ งาน อนั จะกอใหเ กิดความไมพงึ พอใจในการ ทํางานได นอกจากนี้ ผนู าํ ตองสามารถชักจูงใจใหผูใ ตบ ังคับบัญชากลา แสดงออก กลาเสี่ยงอยางมเี หตุผล ไมกลวั ใน ผลทีจ่ ะเกดิ ข้ึนเพราะหากกลัวหรอื คิดแตเ พยี งวา จะเกดิ ผลเสยี จงึ ไมก ลาทําการใด ๆ ผลงานก็ไมอาจเกดิ ข้ึนได เลยผูนําตอ งพยายามเสรมิ สรางบรรยากาศแหง การสรางสรรคกแ ารมีความคิดรเิ ร่ิมสง่ิ แปลก ๆ ใหม ๆ เพราะ ปญใ หาหนงึ่ ๆ นัน้ มใิ ชม ที างแกไขเพยี งทางเดยี ว หากแตมีหลายวิธที ีจ่ ะแกไ ขซ่ึงตองอาศยั การรวมกนั คิด รวมกนั ทํา คน หาวธิ ทิ ่ีดีทส่ี ดุ ในสวนของผูตาม (Followers) ผนู าํ ตองแสวงหาความเช่ือถือไวใจซ่ึงกนั และกนั ระหวางผูนํา กบั ผตู ามผูนาํ ตองไวใจผูตามโดยการใหอํานาจบางสวนในการดําเนนิ งานในการตดั สินใจและที่สาํ คัญคือตัวผนู าํ ตองมีความตง้ั ใจจริงที่จะทํางาน และรใู หม ากกวา สมาชกิ ในกลุม หรอื ผูตาม สามารถใหแนวทางและแกไข ปญใ หาตาง ๆ ใหผ ูตามหรือสมาชิกในกลุมได
แบบทดสอบ 1. คํากลา วใดถกู ตอ ง ก. ผูนาํ เปน็ ปใจจัยสําคญั ตอความสําเรจ็ ของงานและองคกแ ารท้ังหมด ข. ผูนําเป็นมาโดยกําเนิด ค. การเปน็ ผนู าํ สามารถสรางขึน้ ได จากการท่ผี ูนัน้ ใชค วามพยายามและการทาํ งานหนัก ง. ผนู ําจาํ เป็นตอ งมอี ํานาจ และบารมี 2. ขอ ใด ไมใ ช ความหมายของภาวะผูนาํ (Leadership) ก. สัมพนั ธภาพในเร่ืองของการใชอ ทิ ธิพล ท่ีมีตอ กันและกัน ระหวางผนู าํ กับผูต ามทมี่ งุ หมายใหเกดิ การเปลย่ี นแปลง โดยสะทอ นถึงวัตถปุ ระสงคแทีม่ รี วมกัน ข. ภาวะผนู าํ เกี่ยวขอ งกับ การใชอิทธิพล (Influence) เกิดขึ้นระหวางกลมุ บคุ คล โดยกลุม บุคคลเหลานั้นมีความต้ังใจที่จะกอใหเกิดการเปล่ียนแปลง การเปลี่ยนแปลงดังกลาวจะสะทอนใหเห็น วัตถุประสงคทแ ่มี ีรวมกนั ระหวางผูนาํ กับผูตาม ค. สัมพันธภาพระหวางบุคคลที่ไมใชการยอมจํานนและการบังคับ ซึ่งตองมีลักษณะเป็นการยอมรับ ซง่ึ กันและกัน (Reciprocal) ระหวา งผนู ํากับผตู าม ง. คุณสมบัติ เชนสติปใญญา ความดีงาม ความรูความสามารถของบุคคล ที่ชักนําใหคนทั้งหลายมา ประสานกนั และพากนั กันไปสูจ ุดมุงหมายทดี่ งี าม 3. องคปแ ระกอบสําคัญของภาวะผนู าํ (Leadership) ก. ผูน าํ (Leader), ผตู าม (Followers), การสือ่ ความหมาย, สถานการณแ (Situation) ข. ผูนํา (Leader), ผตู ดิ ตาม (Followers), การสอื่ ความหมาย, สถานการณแ (Situation) ค. ผนู าํ (Leader), ผูตาม (Followers), การตคี วามหมาย, สถานการณแ (Situation) ง. ผนู าํ (Leader), ผูตาม (Followers), การสอ่ื ความหมาย, เหตุการณแ (Situation) 4. การแบงลักษณะผูนํา แบงออกไดเป็น 2 ลกั ษณะ ไดแก ก. ผนู ําแบบเป็นทางการ (Formal Leaders) , ผูน าํ แบบไมเป็นทางการ (Informal Leaders) ข. ผูนําแบบภาวะผนู าํ (Leadership) , ผนู าํ แบบอทิ ธพิ ล (Influence) ค. ผนู ําแบบแรงจงู ใจดานอํานาจ (The power motive), แรงจงู ใจเพ่ือใหเ กิดความสําเร็จ (Drive and achievement motive) ง.ผูนําแบบยดึ มั่นในจรยิ ธรรมการทาํ งาน (Strong work ethic) ,ผนู าํ แบบความมุง ม่ัน (Tenacity)
5.ขอ ใดเป็นลักษณะผนู ําอยา งเป็นทางการ (Formal Leaders) ก. ผูอาํ นวยการโรงเรียน ข. นายกรฐั มนตรี ค. นายจนั ทรแ หนวดเขีย้ ว ง. ผจู ัดการโรงงาน 6. คํากลา วใดถูกตอ ง ก. ผูนาํ เปน็ ปจใ จัยสาํ คัญตอ ความสาํ เรจ็ ของงานและองคแการท้ังหมด ข. ผูนําเปน็ มาโดยกาํ เนิด ค. การเป็นผูนาํ สามารถสรางขนึ้ ได จากการท่ีผูน ้ันใชความพยายามและการทํางานหนกั ง. ผนู าํ จําเปน็ ตอ งมอี ํานาจ และบารมี 7. ขอใด ไมใ ช ความหมายของภาวะผูน ํา (Leadership) ก. สัมพันธภาพในเรอื่ งของการใชอ ิทธพิ ล ที่มตี อกันและกนั ระหวา งผนู ํากบั ผตู ามทม่ี งุ หมายใหเ กดิ การเปลย่ี นแปลง โดยสะทอ นถึงวตั ถปุ ระสงคทแ ี่มีรวมกนั ข. ภาวะผนู าํ เกีย่ วขอ งกบั การใชอ ิทธพิ ล (Influence) เกิดขึ้นระหวา งกลุมบุคคล โดยกลุม บุคคลเหลานั้นมีความต้ังใจที่จะกอใหเกิดการเปล่ียนแปลง การเปล่ียนแปลงดังกลาวจะสะทอนใหเห็น วตั ถุประสงคทแ ม่ี ีรว มกนั ระหวา งผูนาํ กับผูตาม ค. สัมพนั ธภาพระหวางบคุ คลทีไ่ มใ ชก ารยอมจํานนและการบังคับ ซึง่ ตองมลี กั ษณะเปน็ การยอมรับซ่งึ กนั และกนั (Reciprocal) ระหวา งผูนํากับผตู าม ง. คุณสมบัติ เชนสติปใญญา ความดีงาม ความรูความสามารถของบุคคล ที่ชักนําใหคนท้ังหลายมา ประสานกนั และพากนั กันไปสูจดุ มงุ หมายทีด่ ีงาม 8.องคปแ ระกอบสําคญั ของภาวะผูน าํ (Leadership) ก. ผนู าํ (Leader),ผูตาม (Followers),การสอื่ ความหมาย,สถานการณแ (Situation) ข. ผูนํา (Leader),ผูตดิ ตาม (Followers),การส่อื ความหมาย,สถานการณแ (Situation) ค. ผูนาํ (Leader),ผูตาม (Followers),การตคี วามหมาย,สถานการณแ (Situation) ง. ผนู ํา (Leader),ผูตาม (Followers),การสื่อความหมาย,เหตกุ ารณแ (Situation)
9. การแบง ลกั ษณะผนู ํา แบงออกไดเปน็ 2 ลักษณะ ไดแ ก ก. ผูนาํ แบบเป็นทางการ (Formal Leaders) , ผูนําแบบไมเป็นทางการ (Informal Leaders) ข. ผูนําแบบภาวะผูนํา (Leadership) , ผนู าํ แบบอิทธิพล (Influence) ค. ผูนําแบบแรงจงู ใจดานอาํ นาจ (The power motive), แรงจงู ใจเพื่อใหเ กดิ ความสําเร็จ (Drive and achievement motive) ง. ผูนําแบบยึดมั่นในจริยธรรมการทาํ งาน (Strong work ethic) ,ผนู าํ แบบความมงุ ม่ัน (Tenacity) 10. กับคํากลา วที่วา “ขา พเจา ขอรบั ผิดชอบแตเ พยี งผเู ดยี ว” เป็นลักษณะผูนําประเภทใด ก. ผนู ําแบบเผด็จการ (Autocratic Leader) ข. ผูนาํ แบบเสรนี ิยม (Laissez-faire or Free-rein Leader) ค. ผูนําแบบประชาธิปไตย (Democratic Leader) ง. ผนู าํ แบบคอมมวิ นิสตแ (Communist Leader) 11. เปดิ โอกาสใหแ สดงความคดิ เห็นรว มตดั สินใจในปใญหาตาง ๆ ก. ผูน ําแบบเผด็จการ (Autocratic Leader) ข. ผูนาํ แบบเสรนี ิยม (Laissez-faire or Free-rein Leader) ค. ผนู ําแบบประชาธิปไตย (Democratic Leader) ง. ผนู ําแบบคอมมิวนสิ ตแ (Communist Leader) 12. ปลอยใหผูอยูใตบังคับบัญชามีอิสรเสรีเต็มท่ี หรือปลอยใหผูอยูใตบังคับบัญชามีอํานาจกระทําการใด ๆ ตามใจชอบได ก. ผนู าํ แบบเผด็จการ (Autocratic Leader) ข. ผูนําแบบเสรนี ิยม (Laissez-faire or Free-rein Leader) ค. ผูนาํ แบบประชาธปิ ไตย (Democratic Leader) ง. ผูนาํ แบบคอมมิวนิสตแ (Communist Leader)
13. ลักษณะผนู าํ แบบเชงิ บวฏ ก. ใชร างวลั มาเป็นผลตอบแทน ข. การใหก ารศกึ ษา ความเป็นอสิ ระ ค. การขึ้นเงนิ เดือน และโบนัสประจาํ ปี ง. ถูกทุกขอ 14. ลักษณะผูนาํ แบบเชิงลบ ก. ใชรางวลั มาเปน็ ผลตอบแทน ข. การใหการศึกษา ความเปน็ อิสระ ค. การขน้ึ เงินเดือน และโบนัสประจาํ ปี ง. การใชวิธีที่เขมงวดเนน การลงโทษ 15. ลกั ษณะการดาํ เนินการในองคแกรใหเ กิดประสิทธิภาพในการทํางาน ผนู ําควรเปน็ ลกั ษณะใด ก. ผนู ําแบบเนนคน (Consideration) ข. ผนู าํ แบบเนนงาน (Structure) ค. ผูนาํ แบบเนน คน (Consideration) ผนู ําแบบเนนงาน (Structure) ง. ผูนาํ การใชวิธีทเี่ ขมงวดเนน การลงโทษ 16. ความตองการขั้นพ้นื ฐานของมนษุ ยแ ตามหลักทฤษฏขี อง Maslow คือขอ ใด ก. ความตองการความรกั และการยอมรบั จากสังคม (Belongingness and social needs) ข. ความตอ งการอยากมีชือ่ เสียงและไดรบั การยกยอง (Esteem needs) ค. ความตองการท่จี ะไดร ับความสําเร็จในชีวติ (Self actualization needs) ง. ความตอ งการทางกาย (Physiological needs) 17. ความตอ งการขัน้ พื้นฐานของมนุษยแ ตามหลักทฤษฏขี อง Maslow คอื ขอใด ก. ความตอ งการความรกั และการยอมรับจากสงั คม (Belongingness and social needs) ข. ความตองการอยากมชี ื่อเสยี งและไดรบั การยกยอง (Esteem needs) ค. ความตอ งการท่ีจะไดรับความสาํ เรจ็ ในชีวติ (Self actualization needs) ง. ความตองการทางกาย (Physiological needs)
18. ขอใดกลาวถูกตอ งตามทฤษฏี X ของ Douglas McGregor ก. บทบาทของการบรหิ ารก็คอื การบงั คบั และควบคุมพนักงาน ข. คนโดยท่ัวไปจะใชความพยายามทาํ งานทั้งรา งกายและจิตใจที่เปน็ ไปโดยธรรมชาติ ค. ความผกู พนั กบั จุดหมายขึน้ อยูกับรางวัลท่ีจะควบคไู ปกบั ความสาํ เร็จของเขาดว ย ง. ภายใตส ภาพแวดลอมที่เหมาะสม คนจะเรยี นรแู ละแสวงหาความรบั ผิดชอบ 19. ขอ ใดกลา วถูกตอ งตามทฤษฏี Y ของ Douglas McGregor ก. คนโดยทว่ั ไปไมช อบทาํ งาน พยายามหลกี เล่ียงงาน ข. คนสวนใหญต องการใหบังคบั ควบคุมหรอื ขูเข็ญลงโทษเพอื่ ใหท าํ งานบรรลจุ ดุ หมาย ค. คนโดยท่ัวไปไมตอ งการมีความรับผิดชอบ ไมท ะเยอทะยาน แตช อบการจูงใจดา นการเงินมาก ง. ภายใตสภาพแวดลอมท่ีเหมาะสม คนจะเรียนรูและแสวงหาความรับผิดชอบคนโดยท่ัวไปไมชอบ ทาํ งาน พยายามหลีกเลย่ี งงาน 20. การทาํ งานเพ่ือพัฒนาการทํางาน สูค วามสาํ เรจ็ คอื ขอใด ก. การทาํ งานเปน็ กลมุ ข. ความรวมมอื ค. การทํางานเป็นทีม ง. ความสามคั คี 21. การทํางานเปน็ ทมี เพอ่ื มุง สคู วามสําเร็จในองคแกร ผนู าํ ควรเปน็ ลักษณะใด ก. ผนู าํ แบบฉายเดย่ี ว (Solo leadership) ข. ผูนําแบบทีมงาน (Team leadership) ค. ผนู ําแบบเผดจ็ การ (Autocratic Leader) ง. ผนู าํ แบบสงั คมนยิ ม เฉลยแบบฝกึ หดั 1. ค 2.ค 3.ก 4.ก 5.ค 6.ค 7.ค 8.ก 9.ก 10.ก 11.ค 12.ข 13.ง 14.ก 15.ง 16.ค 17.ค 18.ก 19.ง 20.ค 21. ข
แผนการจัดกจิ กรรมก
การเรยี นรู้คร้งั ท่ี 11
ตารางวเิ คราะหเ์ นอื้ หา หลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ระดบั ม.ปลาย ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 สาระ ความร้พู น้ื ฐาน รายวชิ า สค32032 การเรียนรู้สู้ภัยธรรมชาติ 3 จานวน 3 หนว่ ยกิต กศน.อาเภอบา้ นโป่ง สานักงาน กศน.จังหวัดราชบรุ ี มาตรฐานการเรียนรู้ ระดบั 5.1 มีความรูความเขาใจและตระหนักเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครองในโลก และนามาปรบั ใชในการดาเนินชวี ิตเพอื่ ความมั่นคงของชาติ เนื้อหา เนอื้ หา เนอ้ื หา ท่ี ตวั ช้ีวดั เนื้อหา งา ยดวย ปานกลาง ยาก หมาย ตนเอง (พบกลุม) (สอน เหตุ (กรต.) เสรมิ ) 1 ภัยแล้ง 15 1. อธบิ ายความหมายของภยั แลง 1. ความหมายของภยั แลง 2 1.1 ความหมายของภยั แลง 1.2 ความหมายของฝนแลง ฝนทิ้งชวง 2. อธบิ ายความหมายของฝนแลง ฝน 2. ลักษณะการเกิดภัยแลง 3 ทง้ิ ชวง 2.1สาเหตุและปใจจัยการเกิด 3. บอกสาเหตุ และปใจจัยการเกิด ภยั แลง ภัยแลง 2.2 ผลกระทบทเ่ี กดิ จากภยั แลง 4. บอกผลกระทบที่เกิดจากภัยแลง 2.3 หวงเวลาการเกดิ ภยั แลงและ 5. ตระหนกั ถงึ ภัยและผลกระทบ ที่ พ้ืนท่ี เสย่ี งภยั ตอการเกดิ ภยั แลง เกดิ จากภยั แลง ในประเทศไทยและประเทศตาง ๆ 6.บอกหวงเวลาการเกดิ ภัยแลง และ ในโลก พืน้ ท่เี ส่ียงภยั ตอการเกดิ ภยั แลงใน 3. สถานการณการเกดิ ภัยแลง ประเทศไทยและประเทศตา ง ๆ ใน 3.1 สถานการณภัยแลงใน โลก ประเทศไทย และประเทศตาง ๆ 7. บอกสถานการณภยั แลงใน ในโลก 5 ประเทศไทย และประเทศตาง ๆ ใน 3.2 สถติ กิ ารเกดิ ภยั แลงของ โลก ประเทศตา ง ๆ ในโลก 8. วเิ คราะหเแ ปรียบเทียบสถิติการเกิด ภยั แลง ของประเทศตาง ๆ ในโลก 5 และคาดคะเนการเกดิ ภยั แลง ใน 4. แนวทางการปองกันและการ อนาคต แกไขปญหาผลกระทบท่เี กดิ จาก ภัยแลง
เนือ้ หา เนื้อหา เนือ้ หา ท่ี ตวั ชวี้ ัด เนอ้ื หา งา ยดว ย ปานกลาง ยาก หมาย ตนเอง (พบกลุม) (สอน เหตุ (กรต.) เสริม) 9. บอกวธิ ีการเตรยี มความพรอมรับ 4.1 การเตรยี มความพรอมรับ สถานการณการเกิดภยั แลง สถานการณการเกิดภัยแลง 10. บอกวิธีการปฏิบัติขณะเกดิ ภัย 4.2 การปฏิบตั ขิ ณะเกดิ ภัยแลง แลง 4.3 การปฏิบัตติ นหลังเกดิ ภัยแลง 11. บอกวิธกี ารปฏิบตั ิตนหลังเกิดภัย แลง 12. เสนอแนวทางการปองกันและ การแกไขปญหาผลกระทบทีเ่ กดิ จาก ภยั แลง 2 วาตภัย 15 1. บอกความหมายของวาตภัย 2.1 ความหมายของวาตภยั 2 3 2. บอกประเภทของวาตภัย 2.1.1 ความหมายของวาตภยั 5 3. บอกสาเหตุและปจใ จัยการเกดิ 2.1.2 ประเภทของวาตภยั 5 วาตภยั 2.2 ลกั ษณะการเกิดวาตภัย 4. บอกผลกระทบทเ่ี กิดจากวาตภัย 2.2.1 สาเหตแุ ละปใจจัยการเกดิ 5. ตระหนกั ถงึ ภัยและผลกระทบ ที่ วาตภัย เกิดจากวาตภัย 2.2.2 ผลกระทบทเี่ กดิ จากวาต 6. บอกพืน้ ที่เส่ียงภยั ตอการเกิด วาต ภยั ภยั ในประเทศไทยและประเทศตา ง ๆ 2.2.3 พื้นที่เส่ยี งภัยตอการเกดิ ในโลก วาตภัยในประเทศไทยและประเทศ ตา ง ๆ ในโลก 7. บอกสถานการณวาตภยั ใน 2.3 สถานการณวาตภยั ประเทศ ไทย และประเทศตา ง ๆ ใน 2.3.1 สถานการณวาตภัยใน โลก ประเทศไทยและประเทศตาง ๆ 8. วเิ คราะหเแ ปรียบเทยี บสถิติการเกดิ ในโลก วาตภยั ในประเทศไทยและประเทศ 2.3.2 สถิติการเกดิ วาตภยั ตาง ๆ ในโลกและคาดคะเนการเกดิ ในประเทศไทยและประเทศตาง ๆ วาตภยั ในอนาคต ในโลก 9. บอกวธิ กี ารเตรยี มความพรอมรับ 2.4 แนวทางการปองกันและ สถานการณการเกิดวาตภัย การแกไขปญหาผลกระทบท่ีเกดิ 10. บอกวธิ ีการปฏบิ ัติขณะเกดิ วาต จากวาตภยั ภัย 2.4.1 การเตรยี มความพรอมรับ 11. บอกวธิ ีการปฏิบัติตนหลังเกดิ สถานการณการเกิดวาตภยั วาตภัย 2.4.2 การปฏิบัติขณะเกิดวาต 12. เสนอแนวทางการปองกันและ ภัย
ท่ี ตวั ชวี้ ดั เนอ้ื หา เนอื้ หา เนือ้ หา เน้ือหา งา ยดว ย ปานกลาง ยาก หมาย ตนเอง (พบกลุม) (สอน เหตุ (กรต.) เสริม) การแกไขปญหาผลกระทบที่เกิดจาก 2.4.3 การปฏิบตั ติ นหลังเกิด วาตภัย วาตภยั 3 อทุ กภยั ดนิ โคลน ถลม 3.1 ความหมายของอุทกภัย และ 2 25 7 1. อธิบายความหมายของอทุ กภยั ดนิ โคลนถลม 10 และดินโคลนถลม - ความหมายของอุทกภยั และดนิ โคลน ถลม 3.2 ลักษณะการเกิดอทุ กภัยและ ดนิ โคลนถลม 2. บอกสาเหตุและปใจจยั การเกิด 3.2.1 สาเหตุและปใจจยั การเกดิ อุทกภัยและดินโคลนถลม อุทกภัยและดินโคลนถลม 3. บอกผลกระทบที่เกิดจากอุทกภัย 3.2.2 ผลกระทบท่เี กิดจาก และดนิ โคลนถลม อทุ กภัย และดนิ โคลนถลม 4. ตระหนกั ถงึ ภยั และผลกระทบที่ 3.2.3 สัญญาณบอกเหตุกอนเกิด เกดิ จากอทุ กภัยและดนิ โคลนถลม 5. อุทกภยั และดนิ โคลนถลม บอกสัญญาณบอกเหตุกอนเกิด 3.2.4 พนื้ ที่เสยี่ งภัยตอการเกิด อทุ กภยั และดินโคลนถลม อุทกภัยและดินโคลนถลมใน 6. บอกพ้ืนท่เี สี่ยงภัย ตอการเกิด ประเทศไทยและประเทศ ตาง ๆ อุทกภยั และดินโคลนถลม ใน ในโลก ประเทศไทยและประเทศตา งๆในโลก 3.3 สถานการณอทุ กภัย และดนิ 6. บอกสถานการณอุทกภยั และดิน โคลน ถลม โคลนถลมในประเทศไทยและ 3.3.1 สถานการณอุทกภัยและ ประเทศ ตาง ๆ ในโลก ดนิ โคลน ถลมในประเทศไทย และ 7. วเิ คราะหแเปรียบเทยี บสถติ ิการเกดิ ประเทศตา ง ๆ ในโลก อทุ กภัยและดินโคลนถลมในประเทศ 3.3.2 สถิตกิ ารเกดิ อุทกภัยและ ไทยและประเทศตาง ๆ ในโลกและ ดินโคลน ถลมในประเทศไทย และ คาดคะเนการเกิดแผน ดนิ ไหวใน ประเทศตาง ๆ ในโลก อนาคต 3.4 แนวทางการปองกนั และ การแกไขปญหาผลกระทบที่เกิด 6 8. บอกวิธกี ารเตรยี มความพรอมรับ จากอทุ กภัย และ ดินโคลนถลม สถานการณการเกิดอุทกภัยและดนิ 3.4.1 การเตรยี มความพรอมรับ โคลนถลม สถานการณการเกิดอุทกภัยและดนิ 9. บอกวิธกี ารปฏิบตั ิขณะเกดิ โคลนถลม อทุ กภัยและดินโคลนถลม 3.4.2 การปฏิบตั ิขณะเกิด
ท่ี ตวั ชีว้ ดั เนอ้ื หา เนอ้ื หา เนื้อหา เนอ้ื หา งายดวย ปานกลาง ยาก หมาย ตนเอง (พบกลุม) (สอน เหตุ (กรต.) เสรมิ ) อุทกภยั และดิน โคลนถลม 10. บอกวิธีการปฏิบตั ิตนหลังเกดิ 3.4.3 การปฏิบตั ิตนหลังเกิด อทุ กภยั และดินโคลนถลม อทุ กภยั และดินโคลนถลม 11. เสนอแนวทางการปองกันและ การ แกไขปญหาผลกระทบที่เกิดจาก อุทกภัยและดนิ โคลนถลม 4 ไฟปา 4.1 ความหมายของไฟปา 1 15 5 1. บอกความหมายของไฟปาุ - ความหมายของไฟปา 4 4.2 ลักษณะการเกิดไฟปา 5 2. บอกสาเหตุ และปใจจัยการเกดิ 4.2.1 สาเหตแุ ละปจใ จยั การเกิด ไฟปา ไฟปา 3. บอกชนิดของไฟปา 4.2.2 ชนิดของไฟปา 4. บอกผลกระทบทเ่ี กดิ จากไฟปา 4.2.3 ผลกระทบทเ่ี กดิ จากไฟปา 5. ตระหนักถงึ ภัยและผลกระทบท่ี 4.2.4 ฤดกู าลการเกดิ ไฟปา เกดิ จากไฟปา ในแตละพ้ืนท่ีของประเทศไทยและ 6. บอกฤดูกาลการเกิดไฟปาในแตละ ประเทศตา ง ๆ ในโลก พื้นทข่ี องประเทศไทยและประเทศ ตา ง ๆ ในโลก 4.3 สถานการณไฟปา 7. อธิบายสถานการณไฟปาใน 4.3.1 สถานการณไฟปาใน ประเทศไทยและประเทศตา ง ๆ ประเทศไทยและประเทศตา ง ๆ ในโลก ในโลก 8. วเิ คราะหแเปรยี บเทยี บสถิติการเกดิ 4.3.2 สถิติการเกดิ ไฟปาของ ไฟปาของประเทศตา ง ๆ ในโลกและ ประเทศตาง ๆ ในโลก คาดคะเนการเกิดไฟปุาในอนาคต 4.4 แนวทางการปองกันและ การแกไข ปญหาผลกระทบท่ีเกดิ 9. บอกวิธกี ารเตรยี มความพรอมรับ จากไฟปา สถานการณการเกิดไฟปา 4.4.1 การเตรียมความพรอมรบั 10. บอกวธิ ีการปฏิบัติขณะเกดิ ไฟปุา สถานการณ การเกิดไฟปา 11. บอกวธิ ีการปฏิบัตติ นหลังเกดิ 4.4.2 การปฏบิ ตั ขิ ณะเกดิ ไฟปา ไฟปา 4.4.3การปฏบิ ตั ิตนหลังเกิดไฟป 12. เสนอแนวทางการปองกันและ า การ แกไขปญหาผลกระทบที่เกิดจาก ไฟปา
เนื้อหา เนือ้ หา เน้ือหา ท่ี ตวั ชี้วดั เน้อื หา งา ยดว ย ปานกลาง ยาก หมาย ตนเอง (พบกลุม) (สอน เหตุ (กรต.) เสรมิ ) 5 หมอกควัน 5.1 ความหมายของหมอกควัน 1 15 1. บอกความหมายของหมอกควนั 2. - ความหมายของหมอก ควัน บอกสาเหตุ และปใจจยั การเกิด หมอก 5.2 ลกั ษณะการเกิดหมอกควัน 5 ควนั 5.2.1 สาเหตุและปจใ จัยการเกิด 3. บอกผลกระทบท่เี กิดจากหมอก หมอก ควนั ควัน 5.2.2 ผลกระทบท่เี กิดจาก 4. ตระหนักถงึ ภยั และผลกระทบ หมอก ควนั ทีเ่ กิดจากหมอก ควัน 5.2.3 พน้ื ทที่ ี่ไดรับผลกระทบ 5. บอกพื้นที่พน้ื ที่ท่ีไดร บั ผลกระทบ จากหมอก ควนั ในประเทศไทย จากหมอกควนั ในประเทศไทยและ และประเทศตา ง ๆ ในโลก ประเทศตา ง ๆ ในโลก 5.3 สถานการณหมอกควนั 4 6. บอกสถานการณหมอกควัน 5.3.1 สถานการณหมอก ควนั ในประเทศไทยและประเทศตาง ๆ ในประเทศไทยและประเทศตาง ๆ ในโลก ในโลก 7. วเิ คราะหแเปรยี บเทยี บสถิติการเกดิ 5.3.2 สถติ ิการเกดิ หมอก ควนั หมอกควันในประเทศไทยและ ในประเทศไทยและประเทศตาง ๆ ประเทศ ตา ง ๆ ในโลกและคาดคะเน ในโลก การเกิด หมอก ควัน ในอนาคต 8. บอกวธิ ีการเตรียมความพรอมรับ 5.4 แนวทางการปองกันและ 5 สถานการณการเกิดหมอก ควัน การแกไขปญหาผลกระทบที่เกดิ 9. บอกวธิ กี ารปฏิบัติขณะเกิด หมอก จากแผ่นดนิ ไหว ควัน 5.4.1 การเตรยี มความพรอมรบั 10. บอกวิธีการปฏิบตั ิตนหลังเกิด สถานการณ การเกดิ หมอกควัน หมอก ควัน 5.4.2 การปฏิบตั ขิ ณะเกดิ หมอก 11. เสนอแนวทางการปองกันและ ควัน การแกไขปญหาผลกระทบท่เี กดิ จาก 5.4.3 การปฏบิ ัตติ นหลังเกิด หมอกควนั หมอก ควัน 6 แผ่นดนิ ไหว 6.1 ความหมายของแผ่นดนิ ไหว 1 15 1. อธบิ ายความหมายของ - ความหมายของแผนดินไหว 4 แผนดนิ ไหว 2. บอกสาเหตุและปจใ จยั การเกดิ 6.2 ลกั ษณะการเกดิ แผ่นดินไหว แผน ดินไหว 6.2.1 สาเหตุและปจใ จัยการเกดิ 3. บอกผลกระทบท่ีเกดิ จาก แผนดินไหว แผนดนิ ไหว 6.2.2 ผลกระทบทเ่ี กิดจาก 4. ตระหนกั ถงึ ภยั และผลกระทบที่ แผน ดนิ ไหว
เนอื้ หา เนอื้ หา เนอ้ื หา ท่ี ตวั ช้วี ัด เนอ้ื หา งายดวย ปานกลาง ยาก หมาย เกดิ จากแผน ดนิ ไหว ตนเอง (พบกลุม) (สอน เหตุ (กรต.) เสริม) 5. บอกพนื้ ทเี่ สีย่ งภยั ตอการเกดิ 6.2.3 พ้นื ท่เี ส่ยี งภัยตอการเกิด แผน ดนิ ไหวในประเทศไทยและ แผนดนิ ไหวในประเทศไทยและ ประเทศตา ง ๆ ในโลก ประเทศตา ง ๆ ในโลก 6. บอกสถานการณแผนดินไหว 6.3 สถานการณแผ่นดินไหว 6 ในประเทศไทย และประเทศตา ง ๆ 6.3.1 สถานการณแผนดนิ ไหวใน ในโลก ประเทศ ไทยและประเทศตาง ๆ 7. วิเคราะหแเปรียบเทยี บสถติ ิการเกิด ในโลก แผน ดนิ ไหวของประเทศไทยและ 6.3.2 สถติ ิการเกิดแผน ดินไหว ประเทศตา ง ๆ ในโลกและคาดคะเน ของประเทศไทยและประเทศตางๆ การเกดิ แผน ดนิ ไหวในอนาคต ในโลก 8. บอกวิธกี ารเตรยี มความพรอมรบั 6.4 แนวทางการปองกันและ 4 สถานการณการเกิดแผน ดนิ ไหว การแกไขปญหาผลกระทบที่เกิด 9. บอกวิธีการปฏบิ ัติขณะเกิด จากแผ่นดินไหว แผน ดนิ ไหว 6.4.1 การเตรียมความพรอมรบั 10. บอกวธิ กี ารปฏบิ ตั ติ นหลังเกิด สถานการณการเกิดแผน ดินไหว แผน ดินไหว 6.4.2 การปฏิบัตขิ ณะเกิด 11. เสนอแนวทางการปองกันและ แผน ดินไหว การแกไขปญหาผลกระทบทเี่ กิดจาก 6.4.3 การปฏบิ ตั ิตนหลงั เกิด แผนดนิ ไหว แผนดินไหว 7 สนิ ามิ 7.1 ความหมายของสนิ ามิ 1 15 1. บอกความหมายของสินามิ - ความหมายของสินามิ 4 2. บอกสาเหตุ และปจใ จยั การเกิด 7.2 ลกั ษณะการเกิดสินามิ สนิ ามิ 7.2.1 สาเหตุและปจใ จยั การเกดิ 3. บอกสัญญาณบอกเหตุกอนเกิด สนิ ามิ สนิ ามิ 7.2.2 สัญญาณบอกเหตุกอน 4. บอกผลกระทบทีเ่ กิดจากสินามิ เกดิ สินามิ 5. ตระหนกั ถงึ ภยั และผลกระทบ 7.2.3 ผลกระทบท่ีเกดิ จากสินามิ ทเี่ กดิ จากสนิ ามิ 7.2.4 พนื้ ท่ีเสีย่ งภยั ตอการเกิด 6. บอกพ้ืนทีเ่ สย่ี งภยั ตอการเกิด สนิ ามิ ในประเทศไทยและประเทศ
ที่ ตวั ช้วี ดั เน้อื หา เน้ือหา เน้อื หา เน้ือหา ตาง ๆ ในโลก งายดว ย ปานกลาง ยาก หมาย สนิ ามใิ นประเทศไทยและ ตนเอง (พบกลุม) (สอน เหตุ ประเทศตาง ๆ ในโลก (กรต.) เสรมิ ) 7. บอกสถานการณสนิ ามิในประเทศ 7.3 สถานการณสินามิ 4 ไทย และประเทศตา ง ๆ ในโลก 7.3.1 สถานการณสนิ ามิ 8. วเิ คราะหแเปรยี บเทียบสถติ ิการเกดิ ในประเทศไทยและประเทศตาง ๆ สินามิของประเทศตางๆ ในโลกและ ในโลก คาดคะเนการเกดิ สนิ ามิในอนาคต 7.3.2 สถติ กิ ารเกิดสินามขิ อง ประเทศไทย และประเทศตา ง ๆ 9. บอกวิธีการเตรยี มความพรอมรับ ในโลก สถานการณการเกิดสินามิ 6 10. บอกวิธีการปฏบิ ัติขณะเกดิ สินามิ 7.4 แนวทางการปองกันและ 11. บอกวธิ ีการปฏิบตั ิตนหลังเกดิ การแกไขปญหาผลกระทบท่ีเกิด สนิ ามิ จากสินามิ 12. เสนอแนวทางการปองกันและ 7.4.1 การเตรียมความพรอมรบั การแกไขปญหาผลกระทบท่ีเกิดจาก สถานการณการเกิดสินามิ สนิ าม 7.4.2 การปฏิบตั ิขณะเกดิ สินามิ 7.4.3 การปฏบิ ตั ติ นหลังเกิด สนิ ามิ 8 บุคลากร และหนว่ ยงานท่เี ก่ียวช้อง 5 กบั การใหความชว่ ยเหลือการ ประสบภัยธรรมชาติ 12. ระบุบคุ ลากรทเ่ี ก่ียวของกับการ 8.1 บคุ ลากรทเ่ี กี่ยวของกับการ 2 3 ให ความชวยเหลือผูประสบภยั ใหความชช่วยเหลือผู้ประสบภยั ธรรมชาติ ตา ง ๆ ธรรมชาตติ า่ ง ๆ 13. ระบหุ นว ยงานทเ่ี ก่ียวของกบั การ 8.2 หน่วยงานที่เกี่ยวของกับการ ใหความชว ยเหลือผูประสบภยั ใหความช่วยเหลอื ผู้ประสบภัย ธรรมชาติตาง ๆ ธรรมชาตติ ่าง ๆ 102 18 120
แผนการจัดการเรียนรู้ สาระ ความรู้พืน้ ฐาน รายวชิ า การเรยี น ระดับ ม.ปลาย ภาคเรยี น เร่ือง แนวทางการปองกนั แลธการแกไขปญหา คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หัวเร่อื ง/ตัวช้ีวัด เน้อื หาสาระการเรียนรู้ แนวทางการปองกัน แนวทางการปองกนั และ และการแกไขปญหา การแกไขปญหาผลกระทบท ผลกระทบท่ีเกดิ จาก จากอุทกภยั และ ดินโคลนถล อทุ กภัย และ ดินโคลน 1. การเตรยี มความพรอมรับ ถลม สถานการณการเกิดอทุ กภยั แล 1. บอกวิธีการเตรยี ม ดินโคลนถลม ความพรอม รับสถาน 2. การปฏิบัติขณะเกิดอทุ กภ การณการเกดิ อุทกภยั และดนิ โคลนถลม และดนิ โคลนถลม 3. การปฏิบัติตนหลังเกดิ 2. บอกวิธกี ารปฏิบัติ อทุ กภัยและดินโคลนถลม ขณะเกิดอทุ กภยั และ ดินโคลนถลม 3. บอกวิธีการปฏบิ ตั ิ ตนหลังเกดิ อุทกภยั และดินโคลนถลม 4. บอกแนวทาง การปองกนั และการ แกไขปญหาผลกระทบ ที่เกดิ จากอทุ กภัย
นรสู้ ้ภู ัยธรรมชาติ 3 รหสั วิชา พว32032 จานวน 3 หน่วยกิต นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 าผลกระทบที่เกดิ จากอทุ กภัย และ ดนิ โคลนถลม การจดั กระบวนการเรยี นรู้ สอื่ /แหล่งเรยี นรู้ การวดั และ ประเมนิ ผล ขนั้ ที่ 1 : กาหนดสภาพ 1. หนังสอื 1. สังเกต ท่ีเกิด ปญั หา แบบเรียน พฤติกรรม ลม 1 ครแู ละผเู รียนรว มกันพูดคุย 2. ใบความรู 2. ใบงาน บ แลกเปล่ยี นประสบการณแ 3. ใบงาน ละ เกี่ยวกับแนวทางการปองกนั และการแกไขปญหา ภยั ผลกระทบทีเ่ กิดจากอุทกภยั และดนิ โคลนถลม 1.2 รวบรวมปญใ หาตา ง ๆ ทพ่ี บจากการพูดคุย 1.3 วางแผนการเรียนรู 285
คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หวั เร่อื ง/ตัวช้ีวัด เน้อื หาสาระการเรยี นรู้
การจัดกระบวนการเรยี นรู้ ส่อื /แหลง่ เรียนรู้ การวัดและ ประเมนิ ผล ขนั้ ที่ 2 : แสวงหาความรู้ 2.1 ครแู ละผูเ รียนรวมกนั ศึกษาหาขอ มลู แนวทาง การปองกนั และการแกไข ปญหาผลกระทบทเ่ี กดิ จาก อุทกภยั และดินโคลนถลม 2.2 ครแู ละผเู รียนรวมกนั กําหนด 1. การเตรยี มความพรอม รบั สถานการณการเกิด อุทกภัยและดินโคลนถลม 2. การปฏบิ ตั ิขณะเกดิ อุทกภยั และดนิ โคลนถลม 3. การปฏิบตั ิตนหลังเกิด อุทกภยั และดินโคลนถลม 2.3 ครแู บง กลุมผูเรียน ออกเปน็ กลมุ ๆ ละ 3-5 คน และมอบหมายใหผ ูเรียนในแต ละกลุมรวมกันสรุปจากใบงาน ที่ผสู อนแจกใหผ เู รยี นศกึ ษา ดว ยตนเองในหัวขอกําหนดให 2.4 ครูมอบหมายใหผ ูเรยี น 286
คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หวั เร่อื ง/ตัวช้ีวัด เน้อื หาสาระการเรยี นรู้
การจัดกระบวนการเรยี นรู้ สอื่ /แหลง่ เรยี นรู้ การวัดและ ประเมนิ ผล ศกึ ษาใบความรูและทาํ ใบงาน ขั้นที่ 3 : การปฏิบตั ินาไปใช้ 3.1 ผเู รยี นนาํ ความรูท ีไ่ ดรับ ไปปรบั ใชใหสอดคลอ งกบั เหตกุ ารณใแ นชีวิตประจําวันได 3.2 ครแู ละผเู รียนรวมกนั สรปุ ความรจู ากใบงาน 3.3 ครูมอบหมายใหผ เู รียน ไปศกึ ษาเรยี นรูเเรื่อง 1. ภัยแลง 2. วาตภยั 3.อุทกภยั ดนิ โคลนถลม ข้นั ท่ี 4 : การประเมนิ ผล การเรียนรู้ 4.1 ครูและผูเรียนนําผลงาน ท่ไี ดจ ากการตอบใบงานมาใช เป็นขอมลู ในการประเมินผล การเรียนรู 4.2 ครู ผเู รยี นและ ผเู กย่ี วของรวมกันสรางเกณฑแ 287
คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หวั เร่อื ง/ตัวช้ีวัด เน้อื หาสาระการเรยี นรู้
การจัดกระบวนการเรียนรู้ สอื่ /แหลง่ เรยี นรู้ การวดั และ ประเมนิ ผล การวดั ผลการเรยี นรู 4.3 ครตู ดั สินผลการเรยี นรู ตามเกณฑแท่ีกําหนด 290
ใบความรู้ เร่ืองแนวทางการป้องกนั และการแกไ้ ขปัญหาผลกระทบทเ่ี กิดจากอทุ กภัย แนวทางการป้องกันและการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดจากอุทกภัย อุทกภัย หรือ ภัยจากน้ าทว่ ม นับเป็นภยั ใกล้ตวั ท่อี าจเกดิ ขน้ึ ได้ในทุกพ้นื ท่ี ทุกเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูฝน เม่ือเกิดอุทกภัย ครงั้ ใดย่อมสง่ ผลต่อ ความเสยี หายทัง้ ทรัพย์สิน อาคารบ้านเรือน รวมท้ังชีวิตของประชาชน ดังน้ัน การเรียนรู้เพ่ือเตรียมรับมือกับอุทกภัย ท้ังการเตรียมความพร้อมก่อนเกิดอุทกภัย การปฏิบัติขณะเกิด อุทกภัยและหลังการเกิดอุทกภัย เพ่ือควบคุมหรือลดอันตรายและความเสียหายที่อาจเกิดข้ึน ซึ่งจะทาให้ เกดิ ความเสยี หายนอ้ ยท่ีสดุ จงึ มคี วามสาคญั และจาเปน็ อย่างยิ่ง จึงมีแนวทางป้องกัน ดังน้ี 4.1 การเตรียมความพร้อมรับสถานการณก์ ารเกิดอุทกภยั เม่ือเกิดน้าท่วม จะมหี น่วยงานสาหรับเตอื นภยั โดยมีการเตอื นภัย 4 ประเภท คือ ประเภท ความหมาย ระดับการปฏิบัติ 1.การเฝาู ระวังนํ้าทวม (Flood มคี วามเป็นไปไดทีจ่ ะเกดิ น้าํ ทวม ตอ งตดิ ตามขาวสารอยา งใกลชดิ Watch) และอยูในระหวางสังเกตการณแ 2. การเตือนภัยน้ําทวม (Flood เตอื นภัยจะเกดิ นํา้ ทวม ควรเตรยี มแผนและควรปูองกัน Warning) นํ้าทวมบา นเรอื นและทรัพยสแ ิน ของตนเอง 3. การเตือนภัยนาํ้ ทว ม รนุ แรง การเตือนภยั นา้ํ ทว มรุนแรง เตรียมอพยพนําสัมภาระที่จําเป็น (Severe Flood Warning) เกิดนํ้าทว มอยา งรุนแรง ติดตัว และอยานานไปมากเกินไป ใหคิดวา ชีวติ สาํ คัญท่ีสดุ ตดั ไฟฟาู ปิดบานใหเรียบรอย 4. ภาวะปกติ (All Clear) เหตกุ ารณแกลับสูภาวะปกติ หรือ สามารถกลบั เขา สูบ า นเรอื นของ เป็นพนื้ ที่ไมไ ดรับผลกระทบจาก ตนเองได ภาวะนํ้าทว ม เม่อื ไดรับการเตือนภยั จากหนว ยงานดานเตือนภัยน้าํ ทวมแลว ส่ิงท่ีตอ งรีบดําเนนิ การ คอื 1. ติดตามการประกาศเตอื นภัยจากสถานวี ิทยุทองถ่นิ โทรทศั นแ หรือรถฉกุ เฉินอยา ง ตอเนือ่ ง 2. ถา มกี ารเตือนภยั นํ้าทวมฉบั พลนั และอยใู นพน้ื ทหี่ บุ เขาใหป ฏิบัติ ดังน้ี - ปนี ข้ึนทสี่ ูงใหเรว็ ที่สดุ เทาท่จี ะทําได - อยา นําสัมภาระตดิ ตวั ไปมาก ใหคิดวาชวี ติ สําคัญท่ีสดุ - อยา พยายามว่งิ หรอื ขบั รถผา นบริเวณทางนํา้ หลาก 3. ถา มกี ารเตือนการเฝูาระวงั นํ้าทวม ยังพอมเี วลาในการเตรียมแผนรบั มอื นํา้ ทว ม 4. ด าเนนิ การตามแผนรับมอื นา้ํ ทวมทว่ี างไว 5. ถามกี ารเตอื นภยั น้ําทวมและอยูใ นพื้นท่นี ้าํ ทวมถงึ ควรปฏิบัติดังนี้ - อดุ ปิดชองทอนาํ้ ทงิ้ อางลา งจาน พนื้ หอ งนา้ํ และสุขภัณฑทแ นี่ าํ้ สามารถไหล เขาบา นได - ปิดอปุ กรณเแ คร่ืองใชไ ฟฟูาและแก฿สถาจําเป็น - ลอ็ คประตบู านและอพยพข้ึนที่สูง หรือสถานท่หี ลบภยั ของหนวยงานตา ง ๆ 6. หากบา นพักอาศยั ไมไดอ ยใู นที่นาํ้ ทว มถงึ แตอาจมนี ้ําทวมในหองใตดิน ควรปฏบิ ตั ิ ดังน้ี - ปดิ อุปกรณเแ คร่ืองใชไฟฟาู ในหองใตด ิน
- ปิดแกส฿ หากคาดวา น้ําจะทว มเตาแก฿ส - เคลอื่ นยายสงิ่ ของมคี า ขึน้ ชัน้ บน - หา มอยูในหองใตดนิ เม่อื มนี า้ํ ทวมถงึ บาน การเตรียมความพรอมของประชาชนที่อยูในบริเวณที่จะเกิดอุทกภัย นับวามีความสําคัญ และจําเป็น เมอื่ ไดร ับสัญญาณเตือนอุทกภัยควรติดตามขา วสารและปฏิบตั ิตนเม่ือเกิดเหตุการณแ ตาง ๆ ไดแก 1. เช่อื ฟงใ คําเตอื นอยางเครงครดั เพอื่ ติดตามขา วสารทางราชการ 2. เคล่ือนยายคน สัตวเแ ลี้ยง และส่ิงของไปอยใู นทส่ี งู ใหพน ระดับนํ้าท่เี คยทวมมากอน 3. ควรเตรียมเรอื ไม เรือยาง หรือแพไมไวใ ช เพอื่ เปน็ ยานพาหนะในขณะน้าํ ทว มเปน็ เวลานาน 4. เตรียมไฟฉาย ถา นไฟฉาย เทยี นไข และไมข ดี ไฟ ไวใชเมือ่ ไฟฟาู ดับ 5. เตรียมวิทยทุ ใี่ ชถ านไฟฉาย เพอื่ ตดิ ตามฟงใ รายงานขาวของลกั ษณะอากาศจาก กรมอุตนุ ิยมวทิ ยา 6. เตรยี มโทรศพั ทมแ ือถือ พรอมแบตเตอรีส่ ํารองใหพรอม เพ่ือตดิ ตอ ขอความชวยเหลือ 7. เตรยี มยาแกพ ิษกดั ตอยจากแมลงปอุ ง ตะขาบ งู และสัตวอแ ืน่ ๆ 8. เตรียมนํา้ ด่มื สะอาดเกบ็ ไวในภาชนะที่ปิดแนน เพราะน้ําประปาอาจจะหยุดไหลเปน็ เวลานาน 9. เตรียมอาหารกระปองและอาหารสํารองไว กรณีท่ีความชวยเหลือจากทางราชการ ยังเขาไปไมถึง การเกิดเหตุการณแนํ้าทวม ยอมเป็นบทเรียนท่ีดีตอการแกไขปใญหาความเดือดรอนไดเป็น อยางดี ดังนั้นการ รบั มือสาํ หรบั นํ้าทว มคร้ังตอ ไปควรปฏิบัติ ดังนี้ 1. คาดคะเนความเสยี หายที่จะเกิดกบั ทรัพยสแ ินของตนเองเม่ือเกิดน้าํ ทว ม 2. ทําความคนุ เคยกบั ระบบการเตอื นภยั ของหนวยงานที่เก่ยี วของ และขน้ั ตอน การอพยพ 3. เรยี นรเู สน ทางการเดนิ ทางทป่ี ลอดภยั ท่สี ุดจากบา นไปยงั ทส่ี ูงหรือพน้ื ท่ที ่ปี ลอดภยั 4. ผทู ีอ่ าศัยในพ้นื ที่เส่ียงตอ นํ้าทว ม ควรจะเตรยี มวัสดุ เชน กระสอบทราย แผน พลาสติก เปน็ ตน 5. นาํ ยานพาหนะไปเก็บไวในพน้ื ท่ีทน่ี าํ้ ทวมไมถงึ 6. ปรกึ ษาและทาํ ขอ ตกลงกับบรษิ ัทประกนั ภัยเกยี่ วกับการประกนั ความเสียหายของ บานเรือน 7. บันทกึ หมายเลขโทรศัพทแสาํ หรับเหตุการณฉแ ุกเฉินไวใ นโทรศัพทแมือถอื 8. รวบรวมของใชท ีจ่ าํ เปน็ และเสบยี งอาหาร ไวในท่ีปลอดภัยและสูงกวา ระดบั ท่ีคาดวา นํ้าจะทวมถงึ 9. จดบันทึกรายการทรัพยแสินมีคา และเอกสารสําคัญท้ังหมด ถายรูป หรือถายวีดิโอ เก็บไวเป็น หลักฐาน และเกบ็ ไวใ นสถานทปี่ ลอดภยั หรอื หา งจากทน่ี ํ้าทว มถึง เชน ตูเซฟทีธ่ นาคาร หรอื ไปรษณยี แ 10. ทาํ แผนการรบั มือน้ําทวม และถายเอกสารเก็บไวในที่สังเกตไดงาย และติดตั้ง อุปกรณแปูองกันน้ํา ทว ม ทีเ่ หมาะสมกับบานของแตละคน 4.2 การปฏบิ ัติขณะเกดิ อุทกภัย 4.2.1 ตดั สะพานไฟ และปดิ แกส฿ หงุ ตมใหเรยี บรอ ย 4.2.2 อยใู นอาคารทแ่ี ขง็ แรง และอยูในท่สี งู พน ระดบั นาํ้ ท่ีเคยทว มมากอน 4.2.3 สวมเส้ือผา ใหรา งกายอบอุน อยเู สมอ 4.2.4 ไมควรขบั ข่ียานพาหนะฝาุ ลงไปในกระแสน้าํ หลาก 4.2.5 ไมควรเลน นํา้ หรือวายนา้ํ ในขณะนา้ํ ทว ม 4.2.6 ระวงั สัตวมแ ีพิษท่ีหนีนาํ้ ทว มกัดตอย 4.2.7 ตดิ ตามสถานการณแอยางใกลชิด เชน สังเกตลมฟูาอากาศและติดตามรายงาน อากาศ ของ กรมอุตนุ ยิ มวทิ ยา
4.2.8 เตรียมอพยพไปในท่ีปลอดภัยเม่ือสถานการณแจวนตัว หรือปฏิบัติตาม คําแนะนําของ ทางการ 4.2.9 เมื่อถึงคราวคับขัน ใหคํานึงถึงความปลอดภัยของชีวิตมากกวาหวง ทรัพยสแ นิ 4.3 การปฏิบัตหิ ลังเกิดอุทกภัย ภายหลงั จากการเกิดอทุ กภยั หรอื นํา้ ทว มแลว ควรรอ้ื และเก็บกวาด ส่ิงปรักหักพัง และ ทําความสะอาดซอมแซมบานเรือนใหเร็วที่สุด และดูแลรักษาสุภาพของตนเองและ ครอบครัว ด่ืมน้ําสะอาด แตถา ไดร บั ความเสียหายมาก ผูป ระสบภยั สามารถติดตอขอความชวยเหลือจาก หนว ยงานทีเ่ กีย่ วขอ งในเรอื งตาง ๆ ดงั ตอนี้ 4.3.1 การขอรบั อาหารเคร่ืองนงุ หม ยารกั ษาโรค 4.3.2 การซอมแซมบานเรือนท่ีพักอาศัย หรือการจัดหาแหลงเงินกูสําหรับซอมบาน หรือ สรา งบา นใหม หรือการจัดหาทอี่ ยอู าศัยชัว่ คราว 4.3.3 การซอ มแซมระบบไฟฟูา ระบบประปาในบา น 4.3.4 การชวยเหลือฟื้นฟใู นเรอื่ งสุขภาพทางกายและจิตใจ 4.3.5 การประกอบอาชีพ เชน การแนะนําทางดานวิชาการเพ่ือปลูกพืชทดแทน การจัดหา พนั ธแุพชื ผลไม และการหาแหลง เงินกูฉกุ เฉนิ อุทกภัย คือ ภัยและอันตรายทีเกิดจากสภาวะน้ําทวมหรือนํ้าทวมฉับพลันหรืออันตรายเกิดจากสภาวะน้ําไหล เออลนฝใงแมน้ํา ลําธาร หรือทางน้ํา เน่ืองจากมีน้ําเป็นสาเหตุอาจเป็นนํ้าทวม นํ้าปุาไหลหลากหรืออื่นๆ โดย ปกติอุทกภยั เกดิ จากฝนตกหนักตอ เน่ืองเป็นเวลานานทําใหเกิดการสะสมนํ้าบนพื้นท่ีซ่ึงระบายออกไมทันทําให พนื้ ท่ีนัน้ มีนํ้าทวม ภัยราย ทเี่ กดิ ขนึ้ โดยธรรมชาตแิ ละเปน็ สง่ิ ท่ีไมส ามารถควบคุมได สาเหตุของการเกิดอุทกภยั เกิดจากฝนตกหนักตอเนือ่ งกนั เป็นเวลานาน บางครั้งทําใหเกิดแผนดินถลม อาจมีสาเหตุจากพายุหมุนเขตรอน ลมมรสมุ มีกําลงั แรง มีกําลงั แรง รอ งความกดอากาศตา่ํ มีกําลังแรง อากาศแปรปรวน น้ําทะเลหนุนแผนดินไหว เข่ือนพัง ทาํ ใหเ กดิ อทุ กภยั ไดเ สมอ ลกั ษณะของปัญหาอุทกภัย โดยท่วั ไปอุทกภยั ท่เี กดิ จากนาํ้ ทวม แบงไดเปน็ 2 ลกั ษณะใหญๆ คือ 1.นํ้าทวมขงั เกิดข้ึนเน่ืองจากระบบระบายน้ํามีประสิทธิภาพหรืระบายน้ําไมทัน มักเกิดขึ้นในบริเวณท่ีราบลุม แมน ํ้าและบรเิ วณชมชนเมืองใหญ 2.น้าํ ทว มฉับพลันและนํ้าปุา เป็นสภาวะนํ้าทวมท่ีเกิดข้ึนเนื่องจากฝนตกหนักในบริเวณพ้ืนท่ีซ่ึงมีความชันมาก และมีคุณสมบัติในการกักเก็บนํ้าหรือตานน้ํานอย เชน บริเวณตนนํ้าซ่ึงมีความชันของพ้ืนท่ีมาก พ้ืนที่ปุาถูก ทําลายไปทําใหการกกั เก็บน้ําหรือตา นน้าํ ลดนอ ยลง น้ําทวมฉับพลันมักเกิดข้ึนหลังจากฝนตกไมเกิน 6 ชั่วโมง และมักเกิดข้ึนในบริเวณที่ราบระหวางภูเขา เน่ืองจากน้ําทวมฉับพลันมีความรุนแรงและเคล่ือนที่ดวยความ รวดเร็ว โอกาสท่ีจะปูองกันและหลบหนีจึงมีนอย ดังน้ันความเสียหายจากน้ําทวมฉับพลันจึงมีมากท้ังชีวิตและ ทรพั ยแสิน
นา้ ทว่ มก่อให้เกดิ ผลกระทบอันตรายและความเสยี หาย 1. อนั ตรายและความเสียหายตอ ชวี ติ ทรพั ยแสนิ อาคาร บา นเรอื น โดยตรง เกดิ นาํ้ ทว มในบา นเมอื ง โรงงาน คลงั พสั ดุ โกดงั สนิ คา บา นเรือนไมแข็งแรง อาจถูกกระแสนํ้าไหลเชยี่ วพังทลาย หรือคลื่นซดั ลงไปทะเลไปได ผคู น สัตวพแ าหนะ สตั วแเล้ียง อาจจมนํา้ ตาย หรอื ถูกพัดพาไปกับกระแสนํ้าไหลเชย่ี ว – เสน ทางคมนาคมถกู ตดั ขาดท้ังทางถนน ทางรถไฟ ชาํ รุดเสียหาย โดยทั่วไป รวมท้ังยานพาหนะ วิ่งรบั สงสนิ คาไมได เกิดความเสยี หาย และชะงักงันทางเศรษฐกิจ – กิจการสาธารณูปโภคจะไดรบั ความเสยี หาย เชน กิจการโทรเลข โทรศัพทแ การ ไฟฟาู การประปา และระบบการระบายน้าํ เป็นตน ทาอากาศยาน สวนสาธารณะ โรงเรยี น – สง่ิ กอ สรา ง สาธารณสถานเกิดความเสยี หาย เชน สถานขี นสง ทา อากาศยาน สวนสาธารณะ โรงเรยี น วัด สถาปใตยกรรม และศลิ ปกรรมตา ง ๆ 2. ความเสียหายของแหลง เกษตรกรรม ไดแ ก แหลง กสกิ รรมไรน า สตั วแเลีย้ ง สัตวแพาหนะ ตลอดจนแหลง เก็บ เมล็ดพนั ธพแ ืชยุงฉาง 3. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ รายไดข องประเทศลดลง ผลกําไรจากภารกิจตา ง ๆ ถูกกระทบกระเทือน รฐั ตองมรี ายจา ยสงู ขนึ้ จากการซอมบูรณะซอมแซม และชว ยเหลือผูประสบอุทกภัย และเกิดขาวยากหมากแพง ทั่วไป 4. ความเสยี หายทางดา นสขุ ภาพอนามัยของประชาชน ขณะเกิดอุทกภัยขาดนํ้าดใี นการอปุ โภคบรโิ ภค ขาด ความสะดวกดา นหองน้าํ หองสว ม ทาํ ใหเ กดิ โรคระบาด เชน โรคน้าํ กดั เทา โรคอหวิ าตกโรค รวมทง้ั โรคเครยี ด มคี วามวติ กกงั วลสูง โรคประสาทตามมา 5. ความเสียหายที่มีตอ ทรัพยากรธรรมชาติ ฝนตกทห่ี นัก น้ําท่ีทว มทน ขนึ้ มาบนแผนดนิ และกระแสน้าํ ท่ีไหล เชยี่ วทาํ ใหเ กดิ แผนดินถลม (landslides) ได นอกจากนน้ั ผิวหนา ดนิ ที่อดุ มสมบรู ณแจะถกู นํา้ พดั พาลงสูท ่ีตาํ่ ทํา ใหดนิ ขาดปุย ธรรมชาติ และแหลง นํา้ เกิดการตน้ื เขนิ เปน็ อุปสรรคในการเดินเรือ แนวทางแกไ้ ขและการป้องกนั ปญั หาอุทกภัย 1. ตดิ ตามสภาวะอากาศ ฟงใ คําเตือนจากกรมอุตุนิยมวทิ ยา 2. ฝกึ ซอ มการปูองกันภัยพิบัติ เตรยี มพรอมรบั มือและวางแผนอพยพหากจําเปน็ 3. เตรียมน้ําด่ืม เครอ่ื งอุปโภค บริโภค ไฟฉาย แบตเตอรี่ วิทยุกระเปาห้วิ ติดตามขาวสาร 4. ซอ มแซมอาคารใหแ ข็งแรง เตรียมปูองกันภยั ใหสตั วเแ ลย้ี งและพืชผลการเกษตร 5. เตรียมพรอมเสมอเมื่อไดร ับแจง ใหอพยพไปทสี่ งู ขณะอยูในพ้ืนที่เส่ยี งภัยและฝนตกหนกั ตอ เน่ือง 6. หากอยูในพน้ื ท่นี ํา้ ทว มขัง ปูองกนั โรคระบาด ระวงั เร่อื งนา้ํ และอาหาร ตอ งสุกและสะอาดกอนบรโิ ภค ทฤษฎกี ารแกไ้ ขปัญหาน้าท่วม ทฤษฎกี ารแกไขปญใ หานํ้าทว มอนั เน่อื งมาจากพระราชดาํ รติ ามแนวทางการบรหิ ารจดั การดานนาํ้ ทว ม ลน วิธกี ารตางๆ ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระเจาอยหู วั พระราชทานพระราชดาํ ริในการแกไขปญใ หานํา้ ทวมคือ 1. การกอสรา งคันกน้ั นํ้า เพื่อปูองกันนา้ํ ทว มซง่ึ เป็นวิธีการดั้งเดิมแตครงั้ โบราณโดยการกอสรา งคนั ดินกน้ั น้าํ ขนาดทเ่ี หมาะสมขนานไปตามลํานาํ้ หา งจากขอบตลิง่ พอสมควร เพือ่ ปูองกันมใิ หนํา้ ลน ตลงิ่ ไปทวมในพนื้ ที่ ตา งๆ ดานใน 2. การกอสรางทางผนั นํ้า เพ่ือผันนาํ้ ท้ังหมดหรือบางสว นทีล่ น ตล่ิงทว มทนใหออกไป โดยการกอสรางทาง ผนั นาํ้ หรอื ขุดคลองสายใหมเชือ่ มตอกับลํานํ้าที่มีปใญหาน้าํ ทว มโดยใหน าํ้ ไหลไปตามทางผนั นาํ้ ที่ขุดขึ้น ใหมไ ปลงลาํ นา้ํ สายอ่ืน หรอื ระบายออกสูทะเลตามความเหมาะสม
3. การปรับปรุงและตกแตงสภาพลาํ นา้ํ เพ่ือใหนํา้ ที่ทว มทะลกั สามารถไหลไปตามลําน้ําไดส ะดวกหรอื ชวยให กระแสนา้ํ ไหล เร็วย่ิงขน้ึ อันเปน็ การบรรเทาความเสยี หายจากนํา้ ทว มขังได โดยใชว ิธีการดงั น้ี – ขดุ ลอกลํานํ้าต้นื เขินใหน ้าํ ไหลสะดวกข้ึน – ตกแตง ดินตามลาดตล่ิงใหเรียบมิใหเ ป็นอปุ สรรคตอทางเดนิ ของนํ้า – กาํ จัดวัชพืช ผกั ตบชวา และร้ือทําลายสิ่งกดี ขวางทางนา้ํ ไหลใหออกไปจนหมดสน้ิ – หากลาํ น้ําคดโคงมาก ใหห าแนวทางขดุ คลองใหมเ ป็นลาํ นํ้าสายตรงใหน ้าํ ไหลสะดวก 4. การกอสรางเขื่อนเก็บกักนํ้าเปน็ มาตรการปูองกนั นา้ํ ทวมท่สี าํ คญั ประการหน่ึงในการกักเก็บน้ําทีไ่ หลทวมลน ในฤดูน้ําหลาก โดยเกบ็ ไวทางดานเหนือเข่ือนในลักษณะอางเกบ็ นา้ํ โครงการแก้มลิง ทฤษฎีการแกไขปญใ หานํ้าทว มอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดาํ ริ ตามแนวทางการบรหิ ารจดั การดา นนาํ้ ทวมลน ตลอดระยะเวลาท่ผี านมา พระบาทสมเด็จพระเจาอยหู ัว ทรงตระหนกั ถงึ ภัยทรี่ ายแรงของวิกฤตนิ ้ําทว ม กรุงเทพ ฯ และทรงมพี ระราชดาํ ริในการแกไขบญั หาเพือ่ ผอนคลายทกุ ขเแ ขญ็ ของพสกนิกรหลายประการ อาทิ การเรงระบายนํ้าออกสทู ะเล โดยผานแนวคลองทางฝ่ใงตะวันออกของกรงุ เทพฯ ใหม ีพ้ืนท่สี ีเขยี ว เพอ่ื กันการ ขยายตัวของเมืองและเพื่อแปรสภาพใหเป็นทางระบายน้ําเม่อื ถึงฤดูน้ําหลาก โครงการแกมลงิ คือการจดั ใหมสี ถานท่เี กบ็ กักน้ําตามจดุ ตา งๆ ในกรงุ เทพฯ เพ่ือทาํ หนา ท่ีเปน็ บงึ พักน้ําใหหนา นํา้ โดยรองรับนา้ํ ฝนไวช วั่ คราว กอนทีจ่ ะระบายลงทางระบายนํ้าสาธารณะ ฉะนน้ั เมอื่ ฝนตก น้ําฝนจึงไมไหล ลงสูทางระบายน้าํ ในทันที แตจะถกู ขังไวใ นพน้ื ที่พักนาํ้ รอเวลาใหคลองตา งๆ ซึง่ เปน็ ทางระบายนาํ้ หลักพรอง นํ้าพอจะรับน้าํ ได จึงคอยๆ ระบายนํา้ ลง เปน็ การชว ยลดปใญหาน้าํ ทว มขงั ไดในระดับหนึ่ง วิธกี ารแก้ไขปัญหาน้าทว่ มในภมู ภิ าคตา่ ง ๆ คือ 1. การกอสรา งคันกนั น้าํ โดยการกอสรา งคนั ดินกนั้ นํา้ ขนานไปตามลาํ น้าํ เพ่ือปอู งกนั มิใหน ้ําลนตล่งิ ไปทว มใน พนื้ ทตี่ า ง ๆ ดานใน 2. การกอสรางทางผนั นา้ํ เพ่ือผนั น้ําทัง้ หมดหรือบางสว นที่ลน ตล่ิงทวมลนเขา มาใหออกไป 3. การปรับปรงุ และตกแตง สภาพลําน้ํา เพ่ือใหน า้ํ ที่ทวมทะลักสามารถไหลไปตามลาํ น้ําไดสะดวก หรอื ชว ยให กระแสนํา้ ไหลเรว็ ยง่ิ ขนึ้ เมอื่ ได้รบั คาเตือน เร่อื ง อุทกภัย ควรปฏบิ ัติตนอยา่ งไร กอ นเกิด ควรปฏิบัติดังน้ี 1. เชือ่ ฟงใ คําเตือนอยางเครงครัด 2. ติดตามรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยาอยางตอเนื่อง 3. เคลือ่ นยา ยคน สัตวแเลีย้ ง และสิ่งของไปอยใู นท่สี ูง 4. ทาํ คนั ดินหรือกาํ แพงกนั้ น้ําโดยรอบ 5. เคลอ่ื นยา ยพาหนะไปอยูท่ีสูง 6. ควรเตรยี มเรอื ไม เรือยาง หรือแพไมไวใชดวย 7. เตรยี มอาหารกระปอง หรืออาหารสํารองไวบ า ง 8. เตรียมเครื่องด่ืมเก็บไวในขวดและภาชนะทีป่ ิดไวแ นน ๆไวบาง 9. เตรยี มเครื่องเวชภัณฑไแ วบ างพอสมควร 10.เตรยี มไฟฉาย ถานไฟฉาย และเทียนไข เพื่อไวใชเท่ือไฟฟาู ดบั ขณะเกิดควรปฏิบตั ิดังน้ี 1. ตัดสะพานไฟ และปิดแกส฿ หงุ ตม ใหเรยี บรอย 2. จงอยูใ นอาคารทแ่ี ข็งแรง และอยูในท่สี ูงพน ระดบั นํ้า 3. ไมควรขับขยี่ านพาหนะฝาุ ลงไปในกระแสน้าํ หลาก 4. จงทาํ ใหรา งกายอบอนุ อยูเสมอ
5. ไมควรเลน นํา้ หรือวา ยน้าํ ในขณะน้ําทวม 6. ระวงั สัตวแมีพิษท่ีหนนี า้ํ ทวมขึน้ มาอยบู นบา น 7. ติดตามเหตุการณแอยา งใกลช ิด 8. เตรียมพรอมทีจ่ ะอพยพไปในทปี่ ลอดภยั เมื่อสถานการณแจวนตวั 9. เมอ่ื จวนตัวใหคาํ นึงถงึ ความปลอดภัยของชีวิตมากกวาหวงทรพั ยสแ นิ หลังเกิด ควรปฏิบัติดังน้ี 1. การขนสง คนอพยพกลบั ยงั ภมู ิลาํ เนา 2. การชว ยเหลือในการร้ือของสง่ิ ปรักหักพัง ซอมแซมบา นเรือนทห่ี ักพัง และการจัดหาท่ีพกั อาศัยและการ ดาํ รงชีพชว่ั ระยะหนึง่ 3. การกวาดเกบ็ ขนสิ่งปรักหักพัง การทําความสะอาดบา นเรอื นใหกลบั เขาสสู ภาพปกติ 4. ซอ มแซมบา นเรือนอาคาร โรงเรียนทพ่ี ักอาศัย สะพานที่หกั พงั ชํารดุ เสียหาย 5. จัดซอ มทําเครื่องสาธารณูปโภค ใหก ลบั คนื เขา สูส ภาพปกติโดยเรว็ ทสี่ ุด 6. ภายหลังน้ําทวมจะมีซากสัตวตแ าย ซงึ่ จะตองจดั การเก็บฝงใ โดยเร็ว 7. ซอ มถนน สะพาน และทางรถไฟที่ขาดตอนชาํ รุดเสียหายใหกลบั เขาสูสภาพเดิม 8. สรา งอาคารชั่วคราวสําหรับผูทีอ่ าศยั 9. การสงเคราะหแผปู ระสบอุทกภัย มกี ารแจกเสือ้ ผา เคร่ืองนงุ หม และอาหารแกผ ูประสบภยั 10. ภายหลังอุทกภยั เนือ่ งจากส่งิ แวดลอ มมีการเปลี่ยนแปลงอยา งมาก จะทาํ ใหเกิดเจ็บไข และโรคระบาดได
ใบงานท่ี 1 1. อธิบายสาเหตขุ องการเกิดอทุ กภัยมาพอสงั เขป ............................................................................................................................. ................................................. ........................................................................................................................................................ ...................... ............................................................................................................. ................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................. ................................. 2. จงบอกสาเหตุของการเกดิ อทุ กภยั .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 3. แนวทางแกไ ขและการปอู งกนั ปใญหาอุทกภยั ................................................................................................................................ .............................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 4. เม่ือไดร ับคาํ เตือน เร่ือง อุทกภยั ควรปฏิบัติตนอยา งไร ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................... ........................................... .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .................................................
แผนการจัดกจิ กรรมก
การเรยี นรู้คร้งั ท่ี 12
แผนการเรียน (กรต.) ภาคเรยี นท่ี 1 สาระ ความรู้พื้นฐาน ระดับ ม.ปลาย รายวชิ า ก หลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การ ครั้งท่ี วัน/เดอื น/ปี หวั เร่ือง/ตัวชี้วัด เนอื้ หาสาระการเรยี นร 1.ภัยแลง้ 1.ภยั แล้ง 1. อธิบายความหมายของภยั แลง 1. ความหมายของภัยแลง 2. อธบิ ายความหมายของฝนแลง 1.1 ความหมายของภยั แล ฝนท้ิงชวง 1.2 ความหมายของฝนแล 3. บอกสาเหตุ และปใจจยั การเกดิ ฝนทงิ้ ชวง ภัยแลง 2. ลักษณะการเกิดภยั แลง 4.บอกผลกระทบทเ่ี กดิ จากภัยแล 2.1สาเหตุและปใจจัยการเก ง ภัยแลง 5. ตระหนักถงึ ภัยและผลกระทบ 2.2ผลกระทบที่เกดิ จากภยั ท่ีเกิดจากภยั แลง ง 6.บอกหวงเวลาการเกดิ ภัยแลง 2.3 หวงเวลาการเกิดภยั แ และพนื้ ทีเ่ สีย่ งภยั ตอการเกิดภัย และพ้ืนที่ เสยี่ งภยั ตอการเกิด แลง ในประเทศไทยและประเทศ แลง ในประเทศไทย และ ตา ง ๆ ในโลก ประเทศตา ง ๆ ในโลก 7. บอกสถานการณภยั แลงใน 3. สถานการณการเกิดภัยแ ประเทศไทยและประเทศตาง ๆ 3.1 สถานการณภัยแลงใน ในโลก ประเทศไทย และประเทศตา
นรดู้ ว้ ยตนเอง 1 ปีการศกึ ษา 2564 การเรียนรสู้ ภู้ ยั ธรรมชาติ 3 รหสั วิชา พว32032 รศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 รู้ การจดั กระบวนการเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ จานวน ชัว่ โมงการ ครูมอบหมายงานคนควา 1. แหลง เรยี นรูใ น ชมุ ชน เรยี นรู้ 2. อนิ เตอรเแ นต็ 3. หองสมดุ 15 4. ภมู ปิ ใญญาชุมชน ลง กรต. ใหผ ูเรียนไปศึกษา ลง คน ควา เรอื่ ง 1. ความหมายของ วัสดุ ศาสตรแแ ละประเภท ของ กิด วัสดุ 2. สมบตั ิวัสดุและทําใบ ยแล งานท่ี 1-2 แลง ดภยั ะ แลง าง ๆ 297
ครั้งท่ี วัน/เดือน/ปี หวั เรอ่ื ง/ตัวชี้วดั เน้ือหาสาระการเรยี นร 8. วิเคราะหแเปรียบเทยี บสถติ ิการ ในโลก เกดิ ภยั แลงของประเทศตาง ๆ 3.2 สถติ กิ ารเกดิ ภัยแลง ขอ ในโลกและคาดคะเนการเกิดภยั ประเทศตา ง ๆ ในโลก แลงในอนาคต 4. แนวทางการปองกนั และ 9. บอกวิธกี ารเตรยี มความพรอม แกไขปญหาผลกระทบทเี่ กดิ รบั สถานการณการเกิดภยั แลง จากภัยแลง 10. บอกวิธีการปฏบิ ตั ิขณะเกิด 4.1 การเตรียมความพรอมร ภยั แลง สถานการณการเกิดภยั แลง 11. บอกวธิ กี ารปฏิบตั ิตนหลังเกิด 4.2 การปฏบิ ตั ิขณะเกดิ ภัยแ ภยั แลง 4.3การปฏิบัตติ นหลงั เกิดภยั 12. เสนอแนวทางการปองกัน ง และการแกไขปญหาผลกระทบท่ี เกดิ จากภัยแลง 2.วาตภยั 2.วาตภัย 1. บอกความหมายของวาตภยั 2.1 ความหมายของวาตภัย 2. บอกประเภทของวาตภยั 2.1.1 ความหมายของวาต 3. บอกสาเหตุ และปจใ จยั การเกดิ 2.1.2 ประเภทของวาตภยั วาตภัย 2.2 ลักษณะการเกิดวาตภยั 4. บอกผลกระทบทีเ่ กดิ จากวาต 2.2.1 สาเหตุและปจใ จยั กา ภยั 5. ตระหนกั ถงึ ภยั และ เกิด วาตภยั ผลกระทบท่เี กดิ จากวาตภัย 2.2.2 ผลกระทบทเี่ กดิ จา
รู้ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ แหล่งเรียนรู้ จานวน ช่ัวโมงการ เรยี นรู้ อง ะการ ครมู อบหมายงานคนควา 1. แหลงเรยี นรูใน ชมุ ชน ด กรต. ใหผเู รียนไปศกึ ษา 2. อินเตอรแเนต็ 3. หอ งสมดุ รับ คนควาเรอื่ ง 4. ภูมิปญใ ญาชุมชน 1. ภัยแลง แลง 2. วาตภัย ยแล 3. อุทกภัย ดินโคลน ถลม 4. ทาํ ใบงานเรื่องท่ี 1-3 ย ตภยั ย ย าร ก 298
ครั้งท่ี วัน/เดือน/ปี หัวเรอ่ื ง/ตัวชี้วัด เนือ้ หาสาระการเรยี นร 6. บอกพ้ืนที่เส่ยี งภยั ตอการเกิด วาตภัย วาตภัยในประเทศไทยและ 2.2.3 พน้ื ทีเ่ สี่ยงภยั ตอการเ ประเทศตา ง ๆ ในโลก วาตภัยในประเทศไทยและ 7. บอกสถานการณวาตภยั ใน ประเทศ ตาง ๆ ในโลก ประเทศ ไทย และประเทศตา ง ๆ 2.3 สถานการณวาตภยั ในโลก 2.3.1 สถานการณวาตภยั 8. วิเคราะหแเปรียบเทียบสถิติการ ประเทศไทย และประเทศตา เกิดวาตภยั ในประเทศไทยและ ในโลก ประเทศตาง ๆ ในโลกและ 2.3.2 สถิติการเกิดวาตภยั คาดคะเนการเกิดวาตภยั ใน ในประเทศไทยและประเทศต อนาคต ในโลก 9. บอกวธิ กี ารเตรยี มความพรอม 2.4 แนวทางการปองกนั แล รับสถานการณการเกิดวาตภัย การแกไขปญหาผลกระทบท 10. บอกวธิ กี ารปฏบิ ตั ิขณะเกิด จากวาตภัย วาตภยั 2.4.1 การเตรยี มความพร 11. บอกวธิ กี ารปฏิบตั ติ นหลังเกิด รับสถานการณการเกิดวาตภ วาตภัย 2.4.2 การปฏิบัตขิ ณะเกดิ 12. เสนอแนวทางการปองกัน วาตภยั และการแกไขปญหาผลกระทบที่ 2.4.3 การปฏบิ ัติตนหลังเ เกิดจากวาตภัย วาตภยั
รู้ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ แหล่งเรียนรู้ จานวน เกิด ชั่วโมงการ เรยี นรู้ ยใน าง ๆ ย ตางๆ ละ ท่ีเกิด รอม ภัย ด เกิด
ครั้งท่ี วัน/เดือน/ปี หัวเรอ่ื ง/ตัวชี้วัด เนอื้ หาสาระการเรยี น 3. อุทกภยั ดนิ โคลน ถลม 3. อุทกภัย ดนิ โคลน ถลม 1. อธบิ ายความหมายของอทุ กภัย 3.1 ความหมายของอุทก และดนิ โคลนถลม และดนิ โคลนถลม 2. บอกสาเหตุและปจใ จัยการเกิด - ความหมายของอุทกภยั อุทกภยั และดินโคลนถลม ดนิ โคลน ถลม 3. บอกผลกระทบท่เี กิดจากอุทกภยั 3.2 ลักษณะการเกดิ อุทก และดนิ โคลนถลม และ ดิน โคลนถลม 4. ตระหนกั ถึงภัยและผลกระทบที่ 3.2.1 สาเหตุและปจใ จัย เกิดจากอุทกภยั และดินโคลนถลม เกดิ อุทกภัยและดนิ โคลนถ 5. บอกสัญญาณบอกเหตุกอนเกิด 3.2.2 ผลกระทบที่เกดิ จ อุทกภัยและดนิ โคลนถลม อุทกภยั และดนิ โคลนถลม 6. บอกพื้นทเ่ี สี่ยงภยั ตอการเกิด 3.2.3 สญั ญาณบอกเหต อุทกภัย และดนิ โคลนถลม ใน กอนเกิดอุทกภัยและดินโค ประเทศไทยและประเทศตา ง ๆ ใน ถลม โลก 3.2.4 พื้นที่เส่ียงภัยตอก 6. บอกสถานการณอุทกภยั และดนิ เกดิ อุทกภัยและดินโคลน โคลนถลมในประเทศไทยและ ถลมในประเทศไทยและ ประเทศ ตา ง ๆ ในโลก ประเทศ ตา ง ๆ ในโลก 7. วเิ คราะหแเปรยี บเทียบสถิติการ เกิด อุทกภัยและดินโคลนถลมใน ประเทศ ไทยและประเทศตาง ๆ
นรู้ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ แหล่งเรียนรู้ จานวน ช่วั โมงการ ม กภยั เรยี นรู้ และ 21 กภัย ยการ ถลม จาก ม ตุ คลน การ 300
ครั้งท่ี วัน/เดอื น/ปี หัวเร่อื ง/ตัวช้ีวดั เน้อื หาสาระการเรียน ในโลก และคาดคะเนการเกิด 3.3 สถานการณอุทกภยั แผน ดินไหวในอนาคต ดนิ โคลน ถลม 3.3.1 สถานการณอทุ ก และดินโคลน ถลมในประเ ไทย และประเทศตา ง ๆ ใ โลก 3.3.2 สถติ กิ ารเกิดอุทก และดนิ โคลน ถลมในประเ ไทย และประเทศตา ง ๆ ใ โลก
นรู้ การจัดกระบวนการเรยี นรู้ แหล่งเรยี นรู้ จานวน ชัว่ โมงการ และ เรียนรู้ กภัย เทศ ใน กภยั เทศ ใน 301 291
ใบความรู้ที่1 เรื่องภัยแลง้ ภัยแลง้ คือ ภยั ทีเ่ กดิ จากการขาดแคลนนํา้ ในพื้นท่ใี ดพ้นื ท่ีหนึ่งเป็นเวลานานจนกอ ใหเ กิดความแหงแลง และ สงผลกระทบตอชุมชน สาเหตขุ องการเกดิ ภยั แลง้ มีอะไรบา้ ง 1. โดยธรรมชาติ ไดแก การเปลย่ี นแปลงอณุ หภมู ิโลก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2. การเปล่ยี นแปลงของระดบั นาํ้ ทะเล 3. ภัยธรรมชาติ เชน วาตภยั แผน ดินไหว 4. โดยการกระทําของมนุษยแ ไดแก การทําลายชัน้ โอโซน ผลกระทบของภาวะเรือนกระจก การ พฒั นาดาน อุตสาหกรรม การตัดไมท ําลายปาุ สําหรบั ภยั แลงในประเทศไทย สว นใหญเกิดจากฝนแลงและทงิ้ ชว ง ซ่ึงฝน แลง เปน็ ภาวะปริมาณฝนตกนอยกวาปกติหรือฝนไมต กตองตามฤดูกาล ภัยแล้งในประเทศไทยสามารถเกิดช่วงเวลาใดบ้าง ภัยแลงในประเทศไทยจะเกดิ ใน ๒ ชวง ไดแก 1. ชว งฤดหู นาวตอเนอ่ื งถงึ ฤดรู อน ซึ่งเรมิ่ จากคร่ึงหลงั ของเดือนตลุ าคมเป็นตน ไป บรเิ วณประเทศไทย ตอนบน จะมปี รมิ าณฝนลดลงเปน็ ลาํ ดับ จนกระทัง่ เขา สูฤ ดฝู นในชว งกลางเดือนพฤษภาคมของ ปีถดั ไป ซึ่งภัยแลง ลกั ษณะน้ี จะ เกิดข้นึ เปน็ ประจาํ ทุกปี 2. ชวงกลางฤดฝู น ประมาณปลายเดือนมิถุนายนถงึ เดอื นกรกฎาคม จะมีฝนทิ้งชว งเกดิ ขึน้ ภยั แลง ลกั ษณะนี้ จะเกิดขึ้นเฉพาะทองถน่ิ หรอื บางบริเวณ บางคร้งั อาจครอบคลุมพ้ืนที่เป็นบริเวณกวางเกอื บทัว่ ประเทศ 3. พนื้ ที่ใดในประเทศไทยท่ีไดรับผลกระทบจากภยั แลง ภยั แลงในประเทศไทยสว นใหญม ีผลกระทบตอ การ เกษตรกรรม โดยเป็นภัยแลง ทเี่ กดิ จากขาดฝนหรือ ฝนแลง ในชว งฤดฝู น และเกิด ฝนทงิ้ ชว ง ในเดือนมถิ นุ ายน ตอ เนอ่ื งเดือนกรกฎาคม พน้ื ท่ีทีไ่ ดร ับผลกระทบจากภัยแลงมาก ไดแกบรเิ วณภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ตอนกลาง เพราะเป็นบริเวณทอี่ ทิ ธิพลของมรสุมตะวันตกเฉยี งใตเขาไปไมถ ึง และถาปใี ดไมม ีพายหุ มนุ เขตรอน เคลอ่ื นผานในแนว ดังกลาวแลว จะกอ ใหเ กดิ ภยั แลง รุนแรงมากขน้ึ นอกจากพ้นื ที่ดังกลา วแลว 4. ภัยแลง ในประเทศไทยมีผลกระทบโดยตรงกับการเกษตรและแหลง นํา้ เน่อื งจากประเทศไทยเปน็ ประเทศท่ี ประชาชนประกอบอาชพี เกษตรกรรมเปน็ สวนใหญ ภัยแลงจึงสง ผลเสยี หายตอกจิ กรรมทางการเกษตร เชน พนื้ ดินขาดความชมุ ชนื้ พืชขาดนา้ํ พืชชะงกั การเจรญิ เตบิ โต ผลผลติ ท่ีไดมีคณุ ภาพตาํ่ รวมถงึ ปริมาณลดลง สว นใหญภัยแลง ท่มี ผี ลตอ การเกษตร มักเกดิ ในฤดูฝนที่มฝี นท้งิ ชว งเป็นเวลานาน ผลกระทบทเี่ กดิ ขน้ึ รวมถงึ ผลกระทบดานตาง ๆ ดังนี้ 4.1ดา นเศรษฐกจิ ส้นิ เปลอื งและสูญเสียผลผลติ ดานเกษตร ปศสุ ัตวแ ปุาไม การประมง เศรษฐกจิ ทัว่ ไป เชน ราคาท่ดี ินลดลง โรงงานผลติ เสียหาย การวางงาน สญู เสียอุตสาหกรรมการ ทองเท่ยี ว พลังงาน อตุ สาหกรรม ขนสง เป็นตน 4.2ดา นสิง่ แวดลอ ม สง ผลกระทบตอสตั วตแ า ง ๆ ทาํ ใหขาดแคลนนาํ้ เกดิ โรคกบั สัตวแ สูญเสียความ หลากหลายพนั ธุแ รวมถึงผลกระทบดานอุทกวิทยา ทําใหระดับและปรมิ าณนาํ้ ลดลง พ้ืนท่ีชุม นํา้ ลดลง ความเค็มของน้ําเปลี่ยนแปลง ระดับนาํ้ ในดนิ เปล่ยี นแปลง คุณภาพนํ้าเปล่ยี นแปลง เกิด การกดั เซาะของดิน ไฟปุาเพ่ิมขึน้ สง ผลตอคณุ ภาพอากาศและสูญเสยี ทัศนียภาพ เป็นตน
4.3ดานสงั คม เกิดผลกระทบในดานสขุ ภาพอนามัย เกดิ ความขัดแยง ในการใชน ้ําและการจดั การ คุณภาพชีวติ ลดลง วธิ ีการแก้ปัญหาภัยแลง้ ทาได้อย่างไร 1. แกปญใ หาเฉพาะหนา เชน แจกนํา้ ใหประชาชน ขุดเจาะนํ้าบาดาล สรา งศูนยจแ า ยนาํ้ จดั ทํา ฝนเทยี ม 2. การแกป ใญหาระยะยาว โดยพัฒนาลมุ น้ํา เชน สรางฝาย เขอ่ื น ขดุ ลอกแหลงน้าํ รกั ษาปาุ และ ปลกู ปาุ ใหความรวมมือและมีสวนรวมมือในการจดั ทําและพฒั นาชลประทาน.
ใบความรู้ที2่ เรอ่ื งวาตภยั 2. วาตภัย 2.1 นิยามและสาเหตกุ ารเกิดวาตภัย วาตภยั หมายถงึ ภยั ทเี่ กดิ ข้นึ จากพายุลมแรงจนทําใหเ กิดความเสียหายแกอาคารบานเรือน ตน ไม และสิง่ กอ สราง สําหรบั ในประเทศไทย วาตภยั หรอื พายุลมแรงมีสาเหตมุ าจาก 1) พายุหมนุ เขตรอ น ไดแ ก ดเี ปรสชัน่ พายุโซนรอ น พายุใตฝนุ 2) พายฤุ ดรู อ น 3) ลมงวง (เทอรนแ าโด) นอกจากน้ี วาตภัยยังอาจเกิดข้ึนไดจากมรสุมมีกําลังแรง ซึ่งประเทศไทยจะอยูภายใตอิทธิพลของ มรสุมตะวนั ตกเฉยี งใต และมรสุมตะวนั ออกเฉยี งเหนือ โดยอันตรายอันเน่อื งจากวาตภัยมดี ังน้ี - เกิดบนบก ตน ไมถอนรากถอนโคน ตนไมท บั บานเรือนพงั ผคู นไดร ับบาดเจ็บถึงตายเรือกสวนไรนา เสียหาย บานเรือนท่ีไมแข็งแรงไมสามารถตานทานความรุนแรงของลมไดพังระเนระนาดหลังคาบานท่ีทําดวย สังกะสีจะถูกพัดเปิด กระเบ้ืองหลังคาปลิววอน เป็นอันตรายตอผูท่ีอยูในท่ีโลงแจง เสาไฟฟูา เสาโทรเลข เสา โทรศัพทแ ลม สายไฟฟูาขาด ไฟฟูาลัดวงจร เกิดเพลิงไหม ผูคนเสียชีวิตจากไฟฟูาดูดได ผูคนท่ีพักอยูริมทะเล จะถูกคลื่นซัดทวมบานเรือนและกวาดลงทะเล ผูคนอาจจมนํ้าตายในทะเลได ฝนตกหนักมากทั้งวันและทั้งคืน อุทกภัยจะตามมา น้ําปุาจากภูเขาไหลหลากลงมาอยางรวดเร็วและรุนแรงเกิดน้ําทวมฉับพลันในบริเวณท่ีราบ ลุมเชิงเขา เสนทางคมนาคม ทางรถไฟ สะพาน และถนนถกู ตัดขาด - ในทะเล มลี มพัดแรงจดั มากเกิดคลืน่ ใหญ เรือขนาดใหญอาจถูกพัดพาไปเกยฝ่ใงหรือชนหินโสโครก ทําใหจมได เรือขนาดเล็กอาจพลิกคว่ําและจมลง เกิดคล่ืนใหญซัดฝ่ใงทําใหระดับน้ําสูงทวมอาคารบานเรือน บริเวณรมิ ทะเล และอาจกวาดส่ิงกอสรา งท่ีไมแ ขง็ แรงลงทะเลได เรอื ประมงบรเิ วณชายฝใง่ จะถูกทาํ ลาย 2.2 ปัจจยั ท่ที าให้เกดิ วาตภัย 1) พายหุ มุนเขตรอ้ น พายุหมนุ เขตรอนเป็นคาํ ทวั่ ไปทีใ่ ชสาํ หรบั เรียกพายุหมนุ หรือพายุ ไซโคลน (cyclone) ท่ีมีถิ่นกําเนิดเหนือมหาสมุทรในเขตรอนแถบละติจูดต่ํา แตหางจากเสนศูนยแสูตรอยาง นอ ย 4 - 5 องศาละติจูด พายุนี้เกิดขึ้นในมหาสมุทรหรือทะเล ท่ีมีอุณหภูมิสูงตั้งแต 26 º ซ. ข้ึนไปถึงระดับความ ลกึ ประมาณ 60 เมตร มปี รมิ าณไอนํา้ ในอากาศมากจนถึงระดับความสูงประมาณ 7 กิโลเมตร เมื่อเกิดข้ึนแลว มักเคล่ือนตัวตามกระแสลมสวนใหญจากทิศตะวันออกมาทางทิศตะวันตก และคอยโคงข้ึนไปทางละติจูดสูง แลว เวยี นโคงกลบั ไปทางทิศตะวันออกอกี บรเิ วณทม่ี พี ายุหมุนเขตรอ นเกิดขึ้นเปน็ ประจํา ไดแ ก · มหาสมทุ รแปซฟิ ิกเหนือดา นตะวันตกและดา นตะวนั ออกของเอเชยี เรียกวา“ไตฝ ุน” · มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ บริเวณทะเลแคริบเบียน สหรัฐอเมริกา อเมริกากลางและมหาสมุทร แปซฟิ กิ ดา นตะวนั ออก เรยี กวา “เฮอรแรเิ คน” · บริเวณมหาสมุทรอินเดีย มหาสมทุ รแปซิฟกิ ตอนใต และบริเวณออสเตรเลียเรียกวา “ไซโคลน” พายุหมนุ เขตรอนจะใชเวลาในการกอ ตัวประมาณ 2 - 4 วัน เมอ่ื อยูในสภาวะที่เจริญเติบโตเต็มท่ี จะมีเสนผานศูนยแกลางประมาณตั้งแต 100 กิโลเมตร ขึ้นไปจนถึง 300 กิโลเมตร หรือมากกวา ความเร็วลม สูงสดุ ทบี่ ริเวณใกลศ นู ยแกลาง นํามาใชเป็นการเกณฑแในการพิจารณาความรุนแรงของพายุ ซ่ึงในยานมหาสมุทร แปซิฟิกเหนอื ดานตะวนั ตก และทะเลจีนใต มกี ารแบง ตามขอ ตกลงระหวางประเทศดังน้ี · พายดุ เี ปรสชน่ั (depression) ความเรว็ ลมใกลศนู ยแกลางไมถึง 63 กม./ชม. · พายโุ ซนรอ้ น (tropical storm) ความเรว็ ลมใกลศนู ยแกลาง 63 กม./ชม. แตไมถงึ 118 กม./ชม. · ไตฝ้ นุ่ (typhoon) ความเร็วลมสงู สุดใกลศนู ยกแ ลางต้งั แต 118 กม./ชม. ขึน้ ไป
พายหุ มุนเขตรอ นกอใหเกิดภยั พิบตั ิเนอ่ื งมาจาก ลมแรงจัด คลื่นซัดฝ่ใง และฝนตกหนักเป็นบริเวณ กวา ง โดยเฉพาะในอาณาบรเิ วณทศี่ นู ยแกลางพายเุ คล่อื นผา นจะไดรับผลกระทบมากท่ีสดุ ความ เสยี หายท่เี กิดข้นึ เนื่องจากพายแุ ปรผันตามความรุนแรงของพายุ เม่ือพายุมีกําลังในข้ันดีเปรสช่ัน ความเสียหาย สวนใหญจะเกิดขึ้นเน่ืองจากฝนตกหนักและอุทกภัยที่เกิดข้ึนตามมา เม่ือพายุมีกําลังแรงข้ึนเป็นพายุโซนรอน หรือไตฝ นุ จะมีความเสยี หายเพมิ่ ขนึ้ อกี มากท้งั ชวี ติ และทรัพยแสนิ เนอ่ื งจากฝนตกหนัก อุทกภัย ลมพัดแรงจัดใน ทะเลมีคล่ืนสงู เป็นอันตรายตอ การเดนิ เรือ และมคี ลน่ื ซดั ฝงใ่ สําหรับพายุหมุนเขตรอนท่ีเคลื่อนเขาสูประเทศไทยสวนใหญเป็นพายุดีเปรสชั่น เนื่องจากพายุ ออนกําลังลงกอนถึงประเทศไทย สวนท่ีมีกําลังแรงขนาดพายุโซนรอนหรือไตฝุนมีโอกาสเคล่ือนเขาสูประเทศ ไทยนอย จากสถิติในรอบ 48 ปี (พ.ศ. 2494-2541) ท่ีผานมามีเพียง 11 ครั้ง ท่ีมีกําลังแรงเป็นพายุโซน รอนหรือไตฝุน (ไมถึงรอยละ 10 ของจํานวนพายุทั้งหมดท่ีเคลื่อนเขาสูประเทศไทย) และในจํานวน 11 ครั้ง ดังกลาวมีเพียงคร้ังเดียวที่พายุเคล่ือนเขามาขณะมีกําลังแรงเป็นไตฝุน ไดแก ไตฝุน“เกยแ” ท่ีเคล่ือนขึ้นฝ่ใง จงั หวดั ชมุ พร เมอ่ื วันที่ 4 พฤศจกิ ายน 2532 2) คล่ืนพายุซัดฝ่ัง เป็นภัยท่ีรายแรงอยางหนึ่งอันเนื่องมาจากพายุหมุนเขตรอน คือคลื่นพายุ ซัดฝ่ใง(storm surge) คล่ืนพายุซัดฝใ่ง คือคลื่นขนาดใหญซัดชายฝ่ใงอันเนื่องมาจากความแรงของลมท่ีเกิดขึ้น จากพายุหมนุ เขตรอ นท่ีเคลื่อนตัวเขาหาฝใ่ง ประกอบกับความกดอากาศที่มีคานอยบริเวณศูนยแกลางพายุทําให นํ้าทะเลยกตัวสูงขึ้นกวาบริเวณโดยรอบ โดยปกติมีความรุนแรงมากในรัศมีประมาณ 100 กิโลเมตรจาก ศูนยแกลางพายุ คลน่ื พายุซัดฝง่ใ สว นใหญมีสาเหตุจากพายุหมุนเขตรอนท่ีมีความแรงในระดับพายุโซนรอนข้ึนไป กรณีของประเทศไทย พายุหมุนเขตรอนอาจกอตัวในทะเลจีนใตแลวเคล่ือนตัวผานปลายแหลมญวนเขาสูอาว ไทย หรือกอในบริเวณอาวไทยตอนลางโดยตรงเริ่มตั้งแตกลางเดือนตุลาคม-กลางเดือนธันวาคม โดยพื้นที่ที่ โอกาสการเกดิ คลื่นพายุซัดฝ่งใ ในชวงเดือนตางๆ ดังน้ี · เดือนตุลาคม บริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธแ ชุมพร สุราษฎรแธานี นครศรีธรรมราช ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด · เดือนพฤศจิกายน บริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธแ ชุมพร สุราษฎรแธานี นครศรีธรรมราช และชายฝใ่งภาคตะวนั ออก 3) สถิติพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนท่ีเข้าสู่ประเทศไทย มีพายุหมุนเขตรอนเคล่ือนเขาสูประเทศ ไทยปลี ะประมาณ 3 ลกู พายจุ ะเร่ิมเคล่ือนเขาสปู ระเทศไทยตงั้ แตเดอื นเมษายนแตมีโอกาสนอยมาก พายุจะมี โอกาสเคลอื่ นเขา สปู ระเทศไทยมากขึ้นเปน็ ลาํ ดับต้ังแตเ ดือนพฤษภาคมเป็นตนไป และเดือนตุลาคมเป็นเดือนที่ พายุมีโอกาสเคล่ือนเขาสูประเทศไทยมากที่สุด รองลงไปคือเดือนกันยายน พายุหมุนเขตรอนที่เขาสูประเทศ ไทยสวนใหญมาจากดานตะวันออกของประเทศ โดยมีแหลงกําเนิดในมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใตจาก การวิเคราะหแสถิติพายุโดยรวมตลอดทั้งปี ปรากฏวา บริเวณที่ศูนยแกลางพายุเคล่ือนผานมากท่ีสุดคือ ภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดนครพนมมีพายุเคล่ือนผานรอยละ 20 – 25 ของพายุท้ังหมด จํานวน 164 ลูก รองลงไปไดแกพ้ืนท่ีบริเวณจังหวัดมุกดาหาร สกลนคร หนองคาย อุดรธานี กาฬสินธแุ หนองบวั ลาํ ภแู ละเลย มีพายุเคล่ือนผานรอยละ 15 – 20 ของจาํ นวนพายุท้งั หมด 4) พายฤุ ดูร้อนและพายุฟ้าคะนอง พายุฟูาคะนองเป็นปรากฏการณแซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะท่ี ลักษณะ ท่สี ําคญั คอื มกี ารปลอยประจุไฟฟูาจาํ นวนมากอยางทันทีทันใด ในลักษณะของฟูาผาหรือฟูาแลบ และเกิดเสียง ดังคือฟูารอง รวมทั้งมีฝนตกหนัก ลมกระโชกและอาจมีลูกเห็บตกเกิดขึ้นดวย พายุฤดูรอนสวนมากจะเกิด ระหวางเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน โดยจะเกิดบอยในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สวนภาค กลางและภาคตะวันออก มีการเกิดนอยครั้งกวา สําหรับภาคใตก็สามารถเกิดไดแตไมบอยนัก อันตรายอัน เนอื่ งจากพายฤุ ดูรอนหรอื พายุฟาู คะนองรนุ แรงทีพ่ บไดบ อยในประเทศไทยไดแ ก
· อากาศปใ่นปุวนและลมกระโชกที่รุนแรง กอใหเกิดความเสียหายตอสิ่งกอสรางตาง ๆบนพื้นดิน ซึ่ง บางคร้งั พบหา งออกไปกวา 30 กิเมตร จากเมฆพายฟุ ูาคะนอง · ลูกเห็บ ในเมฆพายุฟูาคะนองท่ีมียอดเมฆสูงมาก กระแสอากาศจะเคลื่อนท่ีข้ึนไปถึงระดับที่มีอุณหภูมิ ตา่ํ พอที่จะ ทําใหละอองนํ้าในเมฆแข็งตัวเป็นน้ําแข็งรวมตัวเขาดวยการสะสมจนเป็นกอนน้ําแข็งขนาดใหญขึ้น จนใน ทสี่ ุดเมื่อกระแสอากาศที่เคล่ือนท่ีข้ึนภายในเมฆไมสามารถพยุงรับนํ้าหนักของน้ําแข็งน้ีไวไดอีกตอไป ก็จะ ตกลงมาเปน็ ลูกเห็บทาํ ความเสียหายได · ฟาู ผา · ฝนตกหนกั ตอเนอื่ ง ทาํ ใหเ กิดนํา้ ทวมฉบั พลันในพ้ืนท่รี าบลมุ หรือที่ตา่ํ และพน้ื ท่ีบริเวณเชิงเขา
ใบความรูท้ ่ี3 เร่ืองอุทกภัย ดินโคลน ถลม่ 1. อุทกภัย 1.1 นิยามและสาเหตุการเกดิ อทุ กภัย อทุ กภยั คือ ภัยหรอื อันตรายทเ่ี กิดจากนา้ํ ทว ม หรืออันตรายอนั เกิดจากสภาวะที่นา้ํ ไหลเออ ลนฝ่ใงแมน า้ํ ลาํ ธาร หรอื ทางนํ้า เขา ทว มพน้ื ที่ซึ่งโดยปกตแิ ลวไมไ ดอยูใตร ะดบั นาํ้ หรือเกิดจากการสะสมนาํ้ บน พ้นื ทซี่ ึง่ ระบายออกไมท ันทาํ ใหพ น ทีน่ นั้ ปกคลมุ ไปดว ยนาํ้ โดยทว่ั ไปแลว อุทกภยั มักเกิดจากนํ้าทวม ซงึ่ สามารถ แบง เปน็ ลกั ษณะใหญๆ ได 2 ลักษณะ คือ 1) น้าทว่ มขัง/นา้ ล้นตลงิ่ เป็นสภาวะนํ้าทวมที่เกดิ ขน้ึ เนื่องจากระบบระบายนา้ํ ไมม ีประสิทธิภาพ มกั เกิดขนึ้ ในบรเิ วณท่รี าบลุมแมนา้ํ และบริเวณชมุ ชนเมืองใหญๆ มลี ักษณะคอยเปน็ คอยไป ซ่ึงเกดิ จากฝนตกหนกั ณ บรเิ วณนนั้ ๆ ติดตอกันเปน็ เวลาหลายวนั หรือเกิดจากสภาวะน้ําลนตล่ิง นา้ํ ทวมขังสวนใหญจะเกิดบริเวณ ทา ยน้ําและมลี ักษณะแผเป็นบรเิ วณกวา งเนอ่ื งจากไมส ามารถระบายไดทัน ความเสยี หายจะเกดิ กับพชื ผล ทางการเกษตรและอสังหารมิ ทรพั ยแเป็นสว นใหญ สําหรับความเสยี หายอนื่ ๆ มีไมม ากนกั เพราะสามารถ เคลอ่ื นยายไปอยูในท่ีทป่ี ลอดภยั 2) น้าทว่ มฉับพลัน เปน็ ภาวะนํา้ ทว มทเี่ กดิ ขึ้นอยางฉบั พลันในพ้ืนท่ี เนื่องจากฝนตกหนักในบรเิ วณ พนื้ ท่ีซง่ึ มคี วามชนั มาก และมีคุณสมบตั ใิ นการกักเก็บหรือการตา นนาํ้ นอ ย เชน บรเิ วณตนนํา้ ซงึ่ มีความชนั ของ พน้ื ทม่ี าก พน้ื ที่ปุาถูกทาํ ลายไปทาํ ใหการกักเกบ็ หรอื การตา นนํา้ ลดนอ ยลง บรเิ วณพืน้ ทีถ่ นนและสนามบนิ เป็น ตน หรอื เกิดจากสาเหตอุ ื่นๆ เชน เขื่อนหรืออา งเกบ็ นา้ํ พังทลาย นํา้ ทวมฉับพลนั มักเกดิ ขึ้นหลังจากฝนตกหนกั ไมเ กนิ 6 ชว่ั โมง และมกั เกิดขน้ึ ในบรเิ วณที่ราบระหวางหุบเขา ซึ่งอาจจะไมม ีฝนตกหนักในบรเิ วณนั้นมา กอ นเลยแตมีฝนตกหนักมากบรเิ วณตน นํ้าทอี่ ยหู างออกไป เนื่องจากน้าํ ทว มฉับพลันมคี วามรนุ แรงและเคลือ่ นที่ ดวยความรวดเรว็ มากโอกาสทจี่ ะปูองกนั และหลบหนีจึงมีนอ ย ดงั นนั้ ความเสียหายจากนํ้าทว มฉับพลนั จงึ มี มากทัง้ แกช ีวิตและทรัพยสแ นิ สาเหตุของการเกิดอุทกภยั จากธรรมชาติ มดี งั นี้ · ฝนตกหนกั จากพายหุ รอื พายุฝนฟา้ คะนอง เป็นพายุที่เกิดข้ึนติดตอกนั เปน็ เวลาหลายชว่ั โมง มี ปรมิ าณฝน ตกหนกั มากจนไมอ าจไหลลงสตู นนา้ํ ลําธารไดทันจึงทวมพื้นทท่ี ี่อยูในที่ต่าํ มักเกิดในชว งฤดูฝนหรือฤดรู อน · ฝนตกหนักจากพายหุ มุนเขตร้อน เมื่อพายนุ ี้ประจาํ อยทู ่แี หงใดแหง หนงึ่ เป็นเวลานานหรือแทบ ไมเ คลื่อนท่ี จะทําใหบ รเิ วณน้ันมีฝนตกหนักติดตอ กนั ตลอดเวลา ย่ิงพายุมีความรนุ แรงมาก เชน มคี วามรุนแรงขนาดพายุ โซนรอ นหรือไตฝุน เมือ่ เคล่ือนตวั ไปถงึ ท่ีใดก็ทําใหท น่ี ้ันเกดิ พายุลมแรง ฝนตกหนกั เปน็ บริเวณกวางและมีนํ้า ทวมขงั นอกจากน้ีถาความถข่ี องพายทุ เี่ คล่ือนที่เขา มาหรือผา นเกดิ ขึน้ ตอเนื่องกนั ถึงแมจ ะในชวงสัน้ แตก ็ทําให น้ําทวมเสมอ · ฝนตกหนกั ในปา่ บนภูเขา ทําใหป ริมาณนํา้ บนภูเขาหรือแหลง ตน นาํ้ มาก มีการไหลและเชีย่ ว อยา งรนุ แรง ลงสูทีร่ าบเชิงเขา เกิดนํา้ ทวมขน้ึ อยา งกะทันหัน เรียกวา น้าํ ทวมฉบั พลนั เกิดขนึ้ หลงั จากทีม่ ีฝนตกหนกั ในชว ง ระยะเวลาส้นั ๆ หรอื เกิดกอนทฝ่ี นจะหยดุ ตก มักเกดิ ข้ึนในลําธารเล็กๆ โดยเฉพาะตอนที่อยูใกลต นน้ําของ บรเิ วณลมุ น้าํ ระดับนํา้ จะสงู ข้ึนอยางรวดเร็ว จังหวัดทอี่ ยูใกลเคยี งกบั เทือกสงู เชน จงั หวัดเชยี งใหม เป็นตน · ผลจากน้าทะเลหนนุ ในระยะท่ีดวงอาทิตยแแ ละดวงจันทรแอยูใ นแนวที่ทาํ ใหระดบั น้ําทะเลข้นึ สงู สุด นํ้า
ทะเลจะหนนุ ใหร ะดับนํ้าในแมน ํ้าสงู ขนึ้ อีกมาก เม่ือประจวบกบั ระยะเวลาที่นา้ํ ปาุ และจากภูเขาไหลลงสแู มน ้ํา ทําใหน ้าํ ในแมน ้าํ ไมอาจไหลลงสูท ะเลได ทําใหเ กิดนํา้ เออลนตลงิ่ และทวมเป็นบริเวณกวางย่ิงถา มฝี นตกหนกั หรือมพี ายเุ กดิ ขนึ้ ในชว งนี้ ความเสียหายจากนา้ํ ทว มชนิดน้ีจะมีมาก · ผลจากลมมรสุมมีกาลังแรง มรสมุ ตะวันตกเฉียงใตเป็นมรสมุ ทพ่ี ัดพาความชนื้ จากมหาสมุทร อนิ เดียเขา สู ประเทศไทย ตง้ั แตเดือนพฤษภาคมถงึ ตุลาคม เม่ือมีกําลังแรงเป็นระยะเวลาหลาย วนั ทําใหเกดิ คลื่นลมแรง ระดบั น้าํ ในทะเลตามขอบฝ่งใ จะสงู ขน้ึ ประกอบกบั มีฝนตกหนกั ทาํ ใหเกดิ นํ้าทวมได ยงิ่ ถามีพายุเกิดข้ึนในทะเล จีนใตก จ็ ะย่ิงเสรมิ ใหมรสุมดังกลา วมีกาํ ลงั แรงขนึ้ อีก สวนมรสุมตะวันออกเฉยี งเหนือพัดจากประเทศจีนเขาสู ไทย ปะทะขอบฝงใ่ ตะวันออกของภาคใต มรสมุ นมี้ ีกาํ ลังแรงเป็นครั้งคราว เม่ือบรเิ วณความกดอากาศสูงใน ประเทศจีนมกี าํ ลังแรงขึ้นจะทําใหมคี ลน่ื คอนขางใหญในอา วไทย และระดบั น้ําทะเลสูงกวา ปกติ บางครั้งทําให มฝี นตกหนกั ในภาคใต ตงั้ แตจังหวดั ชุมพร ลงไปทาํ ใหเ กิดนา้ํ ทว มเป็นบรเิ วณกวา ง · ผลจากแผน่ ดนิ ไหวหรือภเู ขาไฟระเบดิ เมื่อเกิดแผนดินไหว หรือภูเขาไฟบนบกและภูเขาไฟใต น้ําระเบดิ เปลอื กของผิวโลกบางสว นจะไดรับความกระทบกระเทือนตอเน่อื งกนั บางสวนของผวิ โลกจะสงู ขึน้ บางสว นจะ ยุบลง ทาํ ใหเกดิ คลนื่ ใหญในมหาสมทุ รซัดขึน้ ฝใง่ เกิดนา้ํ ทว มตามหมูเ กาะและเมืองตามชายฝ่ใงทะเลได เกดิ ข้นึ บอยครั้งในมหาสมุทรแปซฟิ ิก สาเหตุของการเกิดอทุ กภัยจากการกระทาของมนุษย์ มดี งั น้ี · การตัดไมทําลายปุา ในพื้นที่เส่ียงภยั เมื่อเกิดฝนตกหนักจะทาํ ใหอ ัตราการไหลสงู สุดเพ่มิ มากข้นึ และไหล มาเร็วขนึ้ เป็นการเพิ่มความรุนแรงของน้าํ ในการทาํ ลายและยังเป็นสาเหตขุ องดินถลมดว ย นอกจากนี้ยังทาํ ให ดินและรากไมขนาดใหญถูกชะลางใหไหลลงมาในทองนา้ํ ทําใหทองนํ้าตื้นเขนิ ไมส ามารถระบายน้ําไดทันที รวมท้ังกอใหเ กดิ ความสูญเสียชวี ิตและบาดเจ็บของประชาชนทางดานทา ยนํ้า · การขยายเขตเมืองลกุ ลํ้าเขา ไปในพ้ืนทีล่ มุ ตํา่ (Flood plain) ซ่งึ เป็นแหลง เก็บน้ําธรรมชาติทาํ ใหไมมีท่ีรบั น้าํ ดังนน้ั เม่ือนํ้าลนตล่งิ ก็จะเขา ไปทวมบริเวณทเ่ี ป็นพื้นทีล่ ุมตํา่ ซง่ึ เป็นเขตเมืองท่ีขยายใหมกอน · การกอสรา งโครงสรา งขวางทางนํา้ ธรรมชาตทิ ําใหมีผลกระทบตอการระบายนา้ํ และกอ ใหเกดิ ปใญหา น้าํ ทว ม · การออกแบบทางระบายน้ําของถนนไมเพยี งพอ ทาํ ใหน้าํ ลนเออ ในเขตเมือง ทําความเสยี หาย ใหแ กชุมชน เมอื งใหญ เนอ่ื งจากการระบายไดช า มาก · การบรหิ ารจดั การนํ้าท่ีไมดีเปน็ สาเหตหุ นึ่งทท่ี ําใหเกิดนาํ้ ทวมโดยเฉพาะบริเวณดานทา ยเขื่อน หรอื อาง เก็บนํ้า 2. โคลนถลม่ 2.1 นิยามของโคลนถลม่ ดินถลมหรอื โคลนถลม คือ การเคลื่อนตวั ของมวลดนิ และหนิ ภายใตอ ทิ ธิพลแรงโนมถวงของโลก สาเหตุหลกั ของดินถลมหรือโคลนถลม คือ ดินบริเวณนัน้ ไมสามารถรับนา้ํ หนักของตวั เองไดอ ีกตอไป ดนิ ถลม มกั เกดิ พรอมกับหรือตามมาหลังจากน้าํ ปุาไหลหลาก เกดิ ข้ึนในขณะหรือภายหลังพายฝุ นท่ที ําใหเกดิ ฝนตกหนัก ตอ เนือ่ งอยางรนุ แรง กลาวคือ เม่ือฝนตกตอเนื่องนํ้าซึมลงในดนิ อยางรวดเร็ว เมอื่ ถึงจดุ หนึง่ ดนิ จะอ่ิมตวั ชมุ ดว ย นาํ้ ยงั ผลใหน ้ําหนกั ของมวลดินเพิ่มขนึ้ และแรงยดึ เกาะระหวา งมวลดนิ ลดลง ระดบั นา้ํ ใตผิวดินเพิ่มสงู ข้ึนทําให
แรงตานทานการเลื่อนไหลของดนิ ลดลง จงึ เกิดการเลื่อนไหลของตะกอนมวลดินและหิน ดงั นนั้ โอกาสท่ีเกิดดนิ ถลม หรือโคลนถลมจึงมมี ากยิ่งขนึ้ การเคลอ่ื นตัวของดินอาจเกดิ อยางชาๆหรืออยา งฉับพลัน นํ้าหนกั ของมวลดิน ท่ถี ลมลงมามกี ําลงั มหาศาลท่ีทาํ ลายสง่ิ ตา ง ๆ ท่ขี วางทางและกอใหเกิดความเสยี หายตอชวี ิตและทรพั ยสแ นิ การ เกดิ ดินถลมเกดิ ข้นึ ไดห ลายลกั ษณะ 2.2 สาเหตขุ องดนิ ถล่ม/โคลนถลม่ จําแนกไดด ังตอ ไปน้ี 1) สาเหตุจากมนษุ ย์ (Manmade Causes) กจิ กรรมที่มนุษยแทาํ ในบรเิ วณท่ีลาดชัน เปน็ สาเหตหุ น่ึงทท่ี ําใหเ กดิ ดินถลมหรอื โคลนถลม เชน · การกอสรา งในบริเวณเชงิ เขาทลี่ าดชนั โดยไมม ีการคํานวณดา นวิศวกรรมท่ีดีพอ · การเกษตรในพื้นท่ีลาดชนั เชิงเขา · การกําจดั พืชที่ปกคลุมดนิ และการตัดไมท ําลายปุา กิจกรรมเหลาน้ีสงผลใหพื้นที่ดังกลา วมคี วามลาดชนั เพิม่ ขึ้นเกิดการเปลีย่ นแปลงรปู แบบการไหลของนา้ํ ผิวดนิ และเปลี่ยนแปลงระดับนํา้ บาดาล ซ่งึ อาจกอใหเ กิดดินถลมหรอื โคลมถลม การขุดหรือตัดถนนในบริเวณทลี่ าด เชิงเขาอาจกอ ใหเ กิดความชันของพน้ื ทม่ี ากข้ึน การขุดเหมืองและการระเบิดหนิ มักจะทําใหด นิ มคี วามลาดชัน เพมิ่ ข้ึน การทาํ การเกษตรในบรเิ วณทล่ี าดชัน เกษตรกรก็จําเป็นทีจ่ ะตองกําจดั วัชพืชและอาจปรับพื้นท่ีใหม ี ลักษณะขัน้ บันไดหรือธรุ กจิ การตัดไมท ําลายปุา กิจกรรมเหลาน้ลี วนทาํ ใหเ กดิ การเปลยี่ นแปลงรปู แบบการไหล ของนาํ้ บรเิ วณผิวดินกลา วคือนํา้ จะไหลผา นหนา ดินอยางรวดเรว็ และกอ ใหเ กิดการชะลา งหนา ดินเนอ่ื งจากปาุ ถูกทําลาย ดินขาดรากไมยึดเหนย่ี วนอกจากนี้การเปล่ยี นแปลงรูปแบบการไหลของน้ําบรเิ วณผิวดนิ ยงั สง ผลตอ ระดับนาํ้ บาดาลอีกดว ย ในการทําชลประทาน จะมีปรมิ าณนา้ํ สวนหนึ่งท่ีซึมออกจากคลองชลประทานและไหล ซมึ ลงไปใตด ิน ทาํ ใหระดับน้าํ บาดาลเพมิ่ สงู ข้นึ มวลดินมนี ํ้าหนักมากขึ้นและอาจเป็นสาเหตใุ หเ กดิ ดนิ ถลมใน ท่สี ุด การเพิ่มระดบั นํ้าบาดาลอาจมสี าเหตุมาจากการรั่วของทอนํา้ บอหรอื อางเก็บนํา้ หรอื การปลอยน้าํ ท้ิง จากท่ตี าง ๆ 2) สาเหตุจากธรรมชาติ (Natural factors) เหตกุ ารณแทางธรรมชาตกิ เ็ ป็นสาเหตใุ หเ กิดดิน ถลมหรอื โคลนถลม ไดเชนกนั เชน · ฝนตกหนกั การเกดิ ดินถลม ในประเทศไทยสวนใหญมกั จะมีฝนเป็นปจใ จยั เรง ท่สี าํ คัญเสมอ · การละลายของหิมะจะไปเพ่ิมระดับนาํ้ ใตผ วิ ดนิ และนา้ํ หนกั ของดนิ อยางรวดเรว็ · การเปล่ยี นแปลงระดบั นาํ้ เน่อื งจากน้ําขนึ้ น้าํ ลง การลดระดับนา้ํ ในแมนาํ้ และอา งเก็บน้าํ · การกัดเซาะของดนิ จากกระแสน้าํ ในแมน้าํ ลาํ ธาร หรอื จากคล่ืนซัดทําใหความหนาแนนของ มวลดินลดลง · การผพุ งั ของมวลดินและหนิ · การส่ันสะเทือนจากแผนดินไหว · ภเู ขาไฟระเบดิ ในบรเิ วณที่ภเู ขาไฟยงั ไมสงบ เถาภูเขาไฟหรือลาวาจะเคลือ่ นตัวเป็นมวลดินขนาด ใหญที่มี ความหนาแนนตํ่าเม่อื เกดิ ฝนตกหนัก จงึ มโี อกาสท่เี กิดดินถลมหรอื โคลนถลมนอกจากน้ี การเกิดดนิ ถลม อาจมี สาเหตุจากการเกดิ ภยั ธรรมชาตหิ ลาย ๆ อยางในเวลาเดียวกนั ในบางกรณี ภัยธรรมชาตเิ พียงภยั หน่ึงอาจสง ผล ใหเกิดภยั ตาง ๆ ตามมาได ตัวอยางเชน แผนดินไหวซงึ่ ทาํ ใหเกิดดนิ ถลม และเขื่อนแตก สงผลใหเกิดน้ําทว ม อยา งรนุ แรงในพืน้ ทท่ี า ยน้าํ ที่มีระดบั ตา่ํ กวา เหตกุ ารณแลักษณะเชน นีอ้ าจสง ผลกระทบแตกตา งไป จาก เหตกุ ารณทแ ี่มสี าเหตกุ ารเกิดจากภยั พิบตั ิเพียงภัยเดียว
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 538
Pages: