Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการสอน ม.ปลาย 164ปัจจุบัน

แผนการสอน ม.ปลาย 164ปัจจุบัน

Published by Pandee Komala, 2021-06-17 07:29:41

Description: แผนการสอน ม.ปลาย 164ปัจจุบัน

Search

Read the Text Version

บทบาทและหน฾าทข่ี องผ฾นู าํ ทส่ี าํ คัญสรุปได฾ มี 3 ลักษณะดงั นี้ ดังน้ี 1.ผรู฾ กั ษาหรอื ประสานใหส฾ มาชกิ กล฽ุมอย฽รู ฽วมกัน(Maintenaace of membership) หมายถงึ จะต฾องอยูใ฽ กลช฾ ดิ กับกล฽ุม มีความสมั พันธคแ นในกล฽ุม และเป็นท่ยี อมรับของคนในกล฽ุมทาํ ให฾มีความ สามัคคีกลมเกลยี วกนั 2.ผป฾ู ฏบิ ตั ิภาระกิจของกลม฽ุ ให฾บรรลวุ ตั ถุประสงคแ (Objective attaniment) หมายถงึ เขาจะต฾องรบั ผิดชอบในกระบวนการวิธกี ารทํางานดว฾ ยความม่นั คงและเข฾าใจได฾ และเขาจะต฾องทาํ งานใหบ฾ รรลเุ ปูาหมาย 3.ผอ฾ู ํานวยให฾เกดิ การติดต฽อสัมพันธใแ นกลมุ฽ (Group interaction facilitation) หมายถงึ เขาจะต฾องปฏิบัตงิ านในทางท่ีอาํ นวยความสะดวกให฾เกิดการติดต฽อสมั พันธแแ ละปฏบิ ตั กิ ันด฾วยดีของ สมาชิกในกลมุ฽ การติดต฽อส่อื สารที่ดีเป็นส่ิงสาํ คญั และเปน็ การชว฽ ยให฾หนา฾ ทน่ี ้บี รรลุเปาู หมาย ปจั จยั ท่กี ่อใหเ้ กิดภาวะผู้นา ภาวะผนู฾ าํ น้ันมปี ใจจยั ท่ีเปน็ องคแประกอบหลกั 3 ปจใ จยั อนั ได฾แก฽ 1. ผนู฾ าํ (Leader) : หมายถึงตวั บุคคลท่นี าํ กลุ฽ม มีบคุ ลิกอปุ นสิ ยั ลกั ษณะอย฽างไร 2. ผู฾ตาม (Follwoers) : หมายถงึ บคุ คลหรือกล฽ุมบุคคลทร่ี ับอทิ ธพิ ลจากผ฾ูนาํ 3. สถานการณแ (Situation) : หมายถงึ เหตกุ ารณแแ ละสภาพแวดลอ฾ มตา฽ ง ๆ ทีเ่ กิดข้นึ ปใจจยั ท้งั 3 ประการขา฾ งต฾นน้ีจะมีผลต฽อรูปแบบของภาวะผ฾ูนําทแ่ี สดงออกมา เป็นที่ทราบกันแลว฾ วา฽ ภาวะผนู฾ าํ จะเกิดขึ้น เมื่อบุคคลสรา฾ งอิทธพิ ลอันมีผลการกระทําหรือพฤตกิ รรม ความคิดจติ ใจความร฾ูสึกทําให฾บุคคลเกิดพฤติกรรมไปในทางทผ่ี นู฾ ําประสงคแ การสร฾างอทิ ธิพลนนั้ อาจออกมาได฾ ในหลายรูปแบบ อาทิ การข฽มข฽ู บงั คับการจงู ใจ การโนม฾ นา฾ วจิตใจ เปน็ ต฾น แต฽จากการศกึ ษาพบ วา฽ การใหอ฾ ทิ ธพิ ลในทางลบ เช฽นการบงั คับนัน้ ไมก฽ ฽อใหเ฾ กิดผลดีในระยะยาวเพราะการ บังคับข฽มข฽ู นนั้ เปน็ การสร฾างความกลัวและความกดดนั ในการทาํ งาน อนั จะก฽อใหเ฾ กิดความไม฽พงึ พอใจในการ ทํางานได฾ นอกจากนี้ ผ฾นู าํ ต฾องสามารถชักจูงใจให฾ผูใ฾ ตบ฾ ังคับบัญชากลา฾ แสดงออก กล฾าเสี่ยงอย฽างมเี หตุผล ไม฽กลวั ใน ผลทีจ่ ะเกดิ ข้ึนเพราะหากกลัวหรอื คิดแตเ฽ พยี งวา฽ จะเกดิ ผลเสยี จงึ ไมก฽ ล฾าทําการใด ๆ ผลงานก็ไม฽อาจเกดิ ข้ึนได฾ เลยผ฾ูนําตอ฾ งพยายามเสรมิ สร฾างบรรยากาศแหง฽ การสร฾างสรรคกแ ารมีความคิดรเิ ร่ิมสง่ิ แปลก ๆ ใหม฽ ๆ เพราะ ปญใ หาหนงึ่ ๆ นัน้ มใิ ชม฽ ที างแก฾ไขเพยี งทางเดยี ว หากแต฽มีหลายวิธที ีจ่ ะแกไ฾ ขซ่ึงต฾องอาศยั การร฽วมกนั คิด ร฽วมกนั ทํา คน฾ หาวธิ ทิ ่ีดีทส่ี ดุ ในส฽วนของผู฾ตาม (Followers) ผนู฾ าํ ต฾องแสวงหาความเช่ือถือไว฾ใจซ่ึงกนั และกนั ระหว฽างผ฾ูนํา กบั ผตู฾ ามผ฾ูนาํ ต฾องไว฾ใจผ฾ูตามโดยการให฾อํานาจบางส฽วนในการดําเนนิ งานในการตดั สินใจและที่สาํ คัญคือตัวผน฾ู าํ ต฾องมีความตง้ั ใจจริงที่จะทํางาน และรใ฾ู หม฾ ากกวา฽ สมาชกิ ในกลุม฽ หรอื ผ฾ูตาม สามารถให฾แนวทางและแก฾ไข ปญใ หาต฽าง ๆ ใหผ฾ ฾ูตามหรือสมาชิกในกล฽ุมได฾

แบบทดสอบ 1. คํากลา฽ วใดถกู ตอ฾ ง ก. ผู฾นาํ เปน็ ปใจจัยสําคญั ต฽อความสําเรจ็ ของงานและองคกแ ารท้ังหมด ข. ผู฾นําเป็นมาโดยกําเนิด ค. การเปน็ ผ฾นู าํ สามารถสร฾างขึน้ ได฾ จากการท่ผี ู฾นัน้ ใชค฾ วามพยายามและการทาํ งานหนัก ง. ผ฾นู ําจาํ เป็นตอ฾ งมอี ํานาจ และบารมี 2. ขอ฾ ใด ไมใ฽ ช฽ ความหมายของภาวะผ฾ูนาํ (Leadership) ก. สัมพนั ธภาพในเร่ืองของการใชอ฾ ทิ ธิพล ท่ีมีตอ฽ กันและกัน ระหว฽างผ฾นู าํ กับผูต฾ ามทมี่ งุ฽ หมายให฾เกดิ การเปลย่ี นแปลง โดยสะทอ฾ นถึงวัตถปุ ระสงคแทีม่ รี ฽วมกัน ข. ภาวะผ฾นู าํ เกี่ยวขอ฾ งกับ การใช฾อิทธิพล (Influence) เกิดขึ้นระหว฽างกลม฽ุ บคุ คล โดยกลุม฽ บุคคลเหล฽านั้นมีความต้ังใจที่จะก฽อให฾เกิดการเปล่ียนแปลง การเปลี่ยนแปลงดังกล฽าวจะสะท฾อนให฾เห็น วัตถุประสงคทแ ่มี ีร฽วมกนั ระหว฽างผู฾นาํ กับผู฾ตาม ค. สัมพันธภาพระหว฽างบุคคลที่ไม฽ใช฽การยอมจํานนและการบังคับ ซึ่งต฾องมีลักษณะเป็นการยอมรับ ซง่ึ กันและกัน (Reciprocal) ระหวา฽ งผน฾ู ํากับผต฾ู าม ง. คุณสมบัติ เช฽นสติปใญญา ความดีงาม ความร฾ูความสามารถของบุคคล ที่ชักนําให฾คนทั้งหลายมา ประสานกนั และพากนั กันไปสูจ฽ ุดมุ฽งหมายทดี่ งี าม 3. องคปแ ระกอบสําคัญของภาวะผนู฾ าํ (Leadership) ก. ผูน฾ าํ (Leader), ผต฾ู าม (Followers), การสือ่ ความหมาย, สถานการณแ (Situation) ข. ผ฾ูนํา (Leader), ผ฾ตู ดิ ตาม (Followers), การสอื่ ความหมาย, สถานการณแ (Situation) ค. ผ฾นู าํ (Leader), ผู฾ตาม (Followers), การตคี วามหมาย, สถานการณแ (Situation) ง. ผ฾นู าํ (Leader), ผู฾ตาม (Followers), การสอ่ื ความหมาย, เหตุการณแ (Situation) 4. การแบ฽งลักษณะผ฾ูนํา แบ฽งออกได฾เป็น 2 ลกั ษณะ ได฾แก฽ ก. ผ฾นู ําแบบเป็นทางการ (Formal Leaders) , ผูน฾ าํ แบบไม฽เป็นทางการ (Informal Leaders) ข. ผ฾ูนําแบบภาวะผนู฾ าํ (Leadership) , ผนู฾ าํ แบบอทิ ธพิ ล (Influence) ค. ผ฾นู ําแบบแรงจงู ใจด฾านอํานาจ (The power motive), แรงจงู ใจเพ่ือใหเ฾ กิดความสําเร็จ (Drive and achievement motive) ง.ผ฾ูนําแบบยดึ มั่นในจรยิ ธรรมการทาํ งาน (Strong work ethic) ,ผ฾นู าํ แบบความมุง฽ ม่ัน (Tenacity)

5.ขอ฾ ใดเป็นลักษณะผนู฾ ําอยา฽ งเป็นทางการ (Formal Leaders) ก. ผู฾อาํ นวยการโรงเรียน ข. นายกรฐั มนตรี ค. นายจนั ทรแ หนวดเขีย้ ว ง. ผจู฾ ัดการโรงงาน 6. คํากลา฽ วใดถูกตอ฾ ง ก. ผู฾นาํ เปน็ ปจใ จัยสาํ คัญตอ฽ ความสาํ เรจ็ ของงานและองคแการท้ังหมด ข. ผ฾ูนําเปน็ มาโดยกาํ เนิด ค. การเป็นผ฾ูนาํ สามารถสร฾างขนึ้ ได฾ จากการท่ีผูน฾ ้ันใช฾ความพยายามและการทํางานหนกั ง. ผน฾ู าํ จําเปน็ ตอ฾ งมอี ํานาจ และบารมี 7. ข฾อใด ไมใ฽ ช฽ ความหมายของภาวะผูน฾ ํา (Leadership) ก. สัมพันธภาพในเรอื่ งของการใชอ฾ ิทธพิ ล ที่มตี ฽อกันและกนั ระหวา฽ งผน฾ู ํากบั ผตู฾ ามทม่ี ง฽ุ หมายใหเ฾ กดิ การเปลย่ี นแปลง โดยสะทอ฾ นถึงวตั ถปุ ระสงคทแ ี่มีร฽วมกนั ข. ภาวะผน฾ู าํ เกีย่ วขอ฾ งกบั การใชอ฾ ิทธพิ ล (Influence) เกิดขึ้นระหวา฽ งกลุ฽มบุคคล โดยกลุ฽ม บุคคลเหล฽านั้นมีความต้ังใจที่จะก฽อให฾เกิดการเปล่ียนแปลง การเปล่ียนแปลงดังกล฽าวจะสะท฾อนให฾เห็น วตั ถุประสงคทแ ม่ี ีรว฽ มกนั ระหวา฽ งผู฾นาํ กับผู฾ตาม ค. สัมพนั ธภาพระหว฽างบคุ คลทีไ่ มใ฽ ชก฽ ารยอมจํานนและการบังคับ ซึง่ ต฾องมลี กั ษณะเปน็ การยอมรับซ่งึ กนั และกนั (Reciprocal) ระหวา฽ งผู฾นํากับผ฾ตู าม ง. คุณสมบัติ เช฽นสติปใญญา ความดีงาม ความรู฾ความสามารถของบุคคล ที่ชักนําให฾คนท้ังหลายมา ประสานกนั และพากนั กันไปส฽ูจดุ มงุ฽ หมายทีด่ ีงาม 8.องคปแ ระกอบสําคญั ของภาวะผูน฾ าํ (Leadership) ก. ผนู฾ าํ (Leader),ผ฾ูตาม (Followers),การสอื่ ความหมาย,สถานการณแ (Situation) ข. ผู฾นํา (Leader),ผู฾ตดิ ตาม (Followers),การส่อื ความหมาย,สถานการณแ (Situation) ค. ผ฾ูนาํ (Leader),ผ฾ูตาม (Followers),การตคี วามหมาย,สถานการณแ (Situation) ง. ผ฾นู ํา (Leader),ผู฾ตาม (Followers),การสื่อความหมาย,เหตกุ ารณแ (Situation)

9. การแบง฽ ลกั ษณะผน฾ู ํา แบ฽งออกได฾เปน็ 2 ลักษณะ ไดแ฾ ก฽ ก. ผู฾นาํ แบบเป็นทางการ (Formal Leaders) , ผ฾ูนําแบบไม฽เป็นทางการ (Informal Leaders) ข. ผู฾นําแบบภาวะผ฾ูนํา (Leadership) , ผ฾นู าํ แบบอิทธิพล (Influence) ค. ผ฾ูนําแบบแรงจงู ใจด฾านอาํ นาจ (The power motive), แรงจงู ใจเพื่อใหเ฾ กดิ ความสําเร็จ (Drive and achievement motive) ง. ผ฾ูนําแบบยึดมั่นในจริยธรรมการทาํ งาน (Strong work ethic) ,ผน฾ู าํ แบบความม฽งุ ม่ัน (Tenacity) 10. กับคํากลา฽ วที่ว฽า “ขา฾ พเจา฾ ขอรบั ผิดชอบแตเ฽ พยี งผเ฾ู ดยี ว” เป็นลักษณะผ฾ูนําประเภทใด ก. ผน฾ู ําแบบเผด็จการ (Autocratic Leader) ข. ผ฾ูนาํ แบบเสรนี ิยม (Laissez-faire or Free-rein Leader) ค. ผู฾นําแบบประชาธิปไตย (Democratic Leader) ง. ผ฾นู าํ แบบคอมมวิ นิสตแ (Communist Leader) 11. เปดิ โอกาสใหแ฾ สดงความคดิ เห็นรว฽ มตดั สินใจในปใญหาต฽าง ๆ ก. ผูน฾ ําแบบเผด็จการ (Autocratic Leader) ข. ผู฾นาํ แบบเสรนี ิยม (Laissez-faire or Free-rein Leader) ค. ผนู฾ ําแบบประชาธิปไตย (Democratic Leader) ง. ผนู฾ ําแบบคอมมิวนสิ ตแ (Communist Leader) 12. ปล฽อยให฾ผ฾ูอย฽ูใต฾บังคับบัญชามีอิสรเสรีเต็มท่ี หรือปล฽อยให฾ผู฾อย฽ูใต฾บังคับบัญชามีอํานาจกระทําการใด ๆ ตามใจชอบได฾ ก. ผนู฾ าํ แบบเผด็จการ (Autocratic Leader) ข. ผู฾นําแบบเสรนี ิยม (Laissez-faire or Free-rein Leader) ค. ผ฾ูนาํ แบบประชาธปิ ไตย (Democratic Leader) ง. ผ฾ูนาํ แบบคอมมิวนิสตแ (Communist Leader)

13. ลักษณะผน฾ู าํ แบบเชงิ บวฏ ก. ใชร฾ างวลั มาเป็นผลตอบแทน ข. การใหก฾ ารศกึ ษา ความเป็นอสิ ระ ค. การขึ้นเงนิ เดือน และโบนัสประจาํ ปี ง. ถูกทุกข฾อ 14. ลักษณะผ฾ูนาํ แบบเชิงลบ ก. ใช฾รางวลั มาเปน็ ผลตอบแทน ข. การให฾การศึกษา ความเปน็ อิสระ ค. การขน้ึ เงินเดือน และโบนัสประจาํ ปี ง. การใช฾วิธีที่เข฾มงวดเนน฾ การลงโทษ 15. ลกั ษณะการดาํ เนินการในองคแกรใหเ฾ กิดประสิทธิภาพในการทํางาน ผ฾นู ําควรเปน็ ลกั ษณะใด ก. ผน฾ู ําแบบเน฾นคน (Consideration) ข. ผ฾นู าํ แบบเน฾นงาน (Structure) ค. ผู฾นาํ แบบเนน฾ คน (Consideration) ผ฾นู ําแบบเน฾นงาน (Structure) ง. ผ฾ูนาํ การใช฾วิธีทเี่ ข฾มงวดเนน฾ การลงโทษ 16. ความต฾องการขั้นพ้นื ฐานของมนษุ ยแ ตามหลักทฤษฏขี อง Maslow คือขอ฾ ใด ก. ความต฾องการความรกั และการยอมรบั จากสังคม (Belongingness and social needs) ข. ความตอ฾ งการอยากมีชือ่ เสียงและได฾รบั การยกย฽อง (Esteem needs) ค. ความต฾องการท่จี ะไดร฾ ับความสําเร็จในชีวติ (Self actualization needs) ง. ความตอ฾ งการทางกาย (Physiological needs) 17. ความตอ฾ งการขัน้ พื้นฐานของมนุษยแ ตามหลักทฤษฏขี อง Maslow คอื ข฾อใด ก. ความตอ฾ งการความรกั และการยอมรับจากสงั คม (Belongingness and social needs) ข. ความต฾องการอยากมชี ื่อเสยี งและได฾รบั การยกย฽อง (Esteem needs) ค. ความตอ฾ งการท่ีจะได฾รับความสาํ เรจ็ ในชีวติ (Self actualization needs) ง. ความต฾องการทางกาย (Physiological needs)

18. ข฾อใดกล฽าวถูกตอ฾ งตามทฤษฏี X ของ Douglas McGregor ก. บทบาทของการบรหิ ารก็คอื การบงั คบั และควบคุมพนักงาน ข. คนโดยท่ัวไปจะใช฾ความพยายามทาํ งานทั้งรา฽ งกายและจิตใจที่เปน็ ไปโดยธรรมชาติ ค. ความผกู พนั กบั จุดหมายขึน้ อย฽ูกับรางวัลท่ีจะควบคไ฽ู ปกบั ความสาํ เร็จของเขาดว฾ ย ง. ภายใตส฾ ภาพแวดล฾อมที่เหมาะสม คนจะเรยี นร฾แู ละแสวงหาความรบั ผิดชอบ 19. ขอ฾ ใดกลา฽ วถูกตอ฾ งตามทฤษฏี Y ของ Douglas McGregor ก. คนโดยทว่ั ไปไมช฽ อบทาํ งาน พยายามหลกี เล่ียงงาน ข. คนส฽วนใหญต฽ ฾องการให฾บังคบั ควบคุมหรอื ข฽ูเข็ญลงโทษเพอื่ ใหท฾ าํ งานบรรลจุ ดุ หมาย ค. คนโดยท่ัวไปไม฽ตอ฾ งการมีความรับผิดชอบ ไมท฽ ะเยอทะยาน แตช฽ อบการจูงใจดา฾ นการเงินมาก ง. ภายใต฾สภาพแวดล฾อมท่ีเหมาะสม คนจะเรียนรู฾และแสวงหาความรับผิดชอบคนโดยท่ัวไปไม฽ชอบ ทาํ งาน พยายามหลีกเลย่ี งงาน 20. การทาํ งานเพ่ือพัฒนาการทํางาน สูค฽ วามสาํ เรจ็ คอื ข฾อใด ก. การทาํ งานเปน็ กลมุ฽ ข. ความร฽วมมอื ค. การทํางานเป็นทีม ง. ความสามคั คี 21. การทํางานเปน็ ทมี เพอ่ื มุง฽ สค฽ู วามสําเร็จในองคแกร ผ฾นู าํ ควรเปน็ ลักษณะใด ก. ผนู฾ าํ แบบฉายเดย่ี ว (Solo leadership) ข. ผู฾นําแบบทีมงาน (Team leadership) ค. ผน฾ู ําแบบเผดจ็ การ (Autocratic Leader) ง. ผนู฾ าํ แบบสงั คมนยิ ม เฉลยแบบฝกึ หดั 1. ค 2.ค 3.ก 4.ก 5.ค 6.ค 7.ค 8.ก 9.ก 10.ก 11.ค 12.ข 13.ง 14.ก 15.ง 16.ค 17.ค 18.ก 19.ง 20.ค 21. ข

แผนการจัดกจิ กรรมก

การเรยี นรู้คร้งั ท่ี 11

ตารางวเิ คราะหเ์ นอื้ หา หลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ระดบั ม.ปลาย ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 สาระ ความร้พู น้ื ฐาน รายวชิ า สค32032 การเรียนรู้สู้ภัยธรรมชาติ 3 จานวน 3 หนว่ ยกิต กศน.อาเภอบา้ นโป่ง สานักงาน กศน.จังหวัดราชบรุ ี มาตรฐานการเรียนรู้ ระดบั 5.1 มีความรูความเขาใจและตระหนักเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครองในโลก และนามาปรบั ใชในการดาเนินชวี ิตเพอื่ ความมั่นคงของชาติ เนื้อหา เนอื้ หา เนอ้ื หา ท่ี ตวั ช้ีวดั เนื้อหา งา฽ ยด฾วย ปานกลาง ยาก หมาย ตนเอง (พบกล฽ุม) (สอน เหตุ (กรต.) เสรมิ ) 1 ภัยแล้ง 15 1. อธบิ ายความหมายของภยั แลง 1. ความหมายของภยั แลง 2 1.1 ความหมายของภยั แลง 1.2 ความหมายของฝนแลง ฝนทิ้งชวง 2. อธบิ ายความหมายของฝนแลง ฝน 2. ลักษณะการเกิดภัยแลง 3 ทง้ิ ชวง 2.1สาเหตุและปใจจัยการเกิด 3. บอกสาเหตุ และปใจจัยการเกิด ภยั แลง฾ ภัยแลง 2.2 ผลกระทบทเ่ี กดิ จากภยั แลง 4. บอกผลกระทบที่เกิดจากภัยแลง 2.3 หวงเวลาการเกดิ ภยั แลงและ 5. ตระหนกั ถงึ ภัยและผลกระทบ ที่ พ้ืนท่ี เสย่ี งภยั ตอการเกดิ ภยั แลง เกดิ จากภยั แลง ในประเทศไทยและประเทศต฽าง ๆ 6.บอกหวงเวลาการเกดิ ภัยแล฾ง และ ในโลก พืน้ ท่เี ส่ียงภยั ตอการเกดิ ภยั แล฾งใน 3. สถานการณการเกดิ ภัยแลง ประเทศไทยและประเทศตา฽ ง ๆ ใน 3.1 สถานการณภัยแลงใน โลก ประเทศไทย และประเทศต฽าง ๆ 7. บอกสถานการณภยั แลงใน ในโลก 5 ประเทศไทย และประเทศต฽าง ๆ ใน 3.2 สถติ กิ ารเกดิ ภยั แล฾งของ โลก ประเทศตา฽ ง ๆ ในโลก 8. วเิ คราะหเแ ปรียบเทียบสถิติการเกิด ภยั แลง฾ ของประเทศต฽าง ๆ ในโลก 5 และคาดคะเนการเกดิ ภยั แลง฾ ใน 4. แนวทางการปองกันและการ อนาคต แกไขปญหาผลกระทบท่เี กดิ จาก ภัยแลง

เนือ้ หา เนื้อหา เนือ้ หา ท่ี ตวั ชวี้ ัด เนอ้ื หา งา฽ ยดว฾ ย ปานกลาง ยาก หมาย ตนเอง (พบกลุ฽ม) (สอน เหตุ (กรต.) เสริม) 9. บอกวธิ ีการเตรยี มความพรอมรับ 4.1 การเตรยี มความพรอมรับ สถานการณการเกิดภยั แลง สถานการณการเกิดภัยแลง 10. บอกวิธีการปฏิบัติขณะเกดิ ภัย 4.2 การปฏิบตั ขิ ณะเกดิ ภัยแลง แลง 4.3 การปฏิบัตติ นหลังเกดิ ภัยแลง 11. บอกวิธกี ารปฏิบตั ิตนหลังเกิดภัย แลง 12. เสนอแนวทางการปองกันและ การแกไขปญหาผลกระทบทีเ่ กดิ จาก ภยั แลง 2 วาตภัย 15 1. บอกความหมายของวาตภัย 2.1 ความหมายของวาตภยั 2 3 2. บอกประเภทของวาตภัย 2.1.1 ความหมายของวาตภยั 5 3. บอกสาเหตุและปจใ จัยการเกดิ 2.1.2 ประเภทของวาตภยั 5 วาตภยั 2.2 ลกั ษณะการเกิดวาตภัย 4. บอกผลกระทบทเ่ี กิดจากวาตภัย 2.2.1 สาเหตแุ ละปใจจัยการเกดิ 5. ตระหนกั ถงึ ภัยและผลกระทบ ที่ วาตภัย เกิดจากวาตภัย 2.2.2 ผลกระทบทเี่ กดิ จากวาต 6. บอกพืน้ ที่เส่ียงภยั ตอการเกิด วาต ภยั ภยั ในประเทศไทยและประเทศตา฽ ง ๆ 2.2.3 พื้นที่เส่ยี งภัยตอการเกดิ ในโลก วาตภัยในประเทศไทยและประเทศ ตา฽ ง ๆ ในโลก 7. บอกสถานการณวาตภยั ใน 2.3 สถานการณวาตภยั ประเทศ ไทย และประเทศตา฽ ง ๆ ใน 2.3.1 สถานการณวาตภัยใน โลก ประเทศไทยและประเทศต฽าง ๆ 8. วเิ คราะหเแ ปรียบเทยี บสถิติการเกดิ ในโลก วาตภยั ในประเทศไทยและประเทศ 2.3.2 สถิติการเกดิ วาตภยั ต฽าง ๆ ในโลกและคาดคะเนการเกดิ ในประเทศไทยและประเทศต฽าง ๆ วาตภยั ในอนาคต ในโลก 9. บอกวธิ กี ารเตรยี มความพรอมรับ 2.4 แนวทางการปองกันและ สถานการณการเกิดวาตภัย การแกไขปญหาผลกระทบท่ีเกดิ 10. บอกวธิ ีการปฏบิ ัติขณะเกดิ วาต จากวาตภยั ภัย 2.4.1 การเตรยี มความพรอมรับ 11. บอกวธิ ีการปฏิบัติตนหลังเกดิ สถานการณการเกิดวาตภยั วาตภัย 2.4.2 การปฏิบัติขณะเกิดวาต 12. เสนอแนวทางการปองกันและ ภัย

ท่ี ตวั ชวี้ ดั เนอ้ื หา เนอื้ หา เนือ้ หา เน้ือหา งา฽ ยดว฾ ย ปานกลาง ยาก หมาย ตนเอง (พบกล฽ุม) (สอน เหตุ (กรต.) เสริม) การแกไขปญหาผลกระทบที่เกิดจาก 2.4.3 การปฏิบตั ติ นหลังเกิด วาตภัย วาตภยั 3 อทุ กภยั ดนิ โคลน ถลม 3.1 ความหมายของอุทกภัย และ 2 25 7 1. อธิบายความหมายของอทุ กภยั ดนิ โคลนถลม 10 และดินโคลนถลม - ความหมายของอุทกภยั และดนิ โคลน ถลม 3.2 ลักษณะการเกิดอทุ กภัยและ ดนิ โคลนถลม 2. บอกสาเหตุและปใจจยั การเกิด 3.2.1 สาเหตุและปใจจยั การเกดิ อุทกภัยและดินโคลนถลม อุทกภัยและดินโคลนถลม 3. บอกผลกระทบที่เกิดจากอุทกภัย 3.2.2 ผลกระทบท่เี กิดจาก และดนิ โคลนถลม อทุ กภัย และดนิ โคลนถลม 4. ตระหนกั ถงึ ภยั และผลกระทบที่ 3.2.3 สัญญาณบอกเหตุกอนเกิด เกดิ จากอทุ กภัยและดนิ โคลนถลม 5. อุทกภยั และดนิ โคลนถลม บอกสัญญาณบอกเหตุกอนเกิด 3.2.4 พนื้ ที่เสยี่ งภัยตอการเกิด อทุ กภยั และดินโคลนถลม อุทกภัยและดินโคลนถลมใน 6. บอกพ้ืนท่เี สี่ยงภัย ตอการเกิด ประเทศไทยและประเทศ ต฽าง ๆ อุทกภยั และดินโคลนถลม ใน ในโลก ประเทศไทยและประเทศตา฽ งๆในโลก 3.3 สถานการณอทุ กภัย และดนิ 6. บอกสถานการณอุทกภยั และดิน โคลน ถลม โคลนถลมในประเทศไทยและ 3.3.1 สถานการณอุทกภัยและ ประเทศ ต฽าง ๆ ในโลก ดนิ โคลน ถลมในประเทศไทย และ 7. วเิ คราะหแเปรียบเทยี บสถติ ิการเกดิ ประเทศตา฽ ง ๆ ในโลก อทุ กภัยและดินโคลนถล฽มในประเทศ 3.3.2 สถิตกิ ารเกดิ อุทกภัยและ ไทยและประเทศต฽าง ๆ ในโลกและ ดินโคลน ถลมในประเทศไทย และ คาดคะเนการเกิดแผน฽ ดนิ ไหวใน ประเทศต฽าง ๆ ในโลก อนาคต 3.4 แนวทางการปองกนั และ การแกไขปญหาผลกระทบที่เกิด 6 8. บอกวิธกี ารเตรยี มความพรอมรับ จากอทุ กภัย และ ดินโคลนถลม สถานการณการเกิดอุทกภัยและดนิ 3.4.1 การเตรยี มความพรอมรับ โคลนถลม สถานการณการเกิดอุทกภัยและดนิ 9. บอกวิธกี ารปฏิบตั ิขณะเกดิ โคลนถลม อทุ กภัยและดินโคลนถลม 3.4.2 การปฏิบตั ิขณะเกิด

ท่ี ตวั ชีว้ ดั เนอ้ื หา เนอ้ื หา เนื้อหา เนอ้ื หา ง฽ายด฾วย ปานกลาง ยาก หมาย ตนเอง (พบกลุ฽ม) (สอน เหตุ (กรต.) เสรมิ ) อุทกภยั และดิน โคลนถลม 10. บอกวิธีการปฏิบตั ิตนหลังเกดิ 3.4.3 การปฏิบตั ิตนหลังเกิด อทุ กภยั และดินโคลนถลม อทุ กภยั และดินโคลนถลม 11. เสนอแนวทางการปองกันและ การ แกไขปญหาผลกระทบที่เกิดจาก อุทกภัยและดนิ โคลนถลม 4 ไฟปา 4.1 ความหมายของไฟปา 1 15 5 1. บอกความหมายของไฟปาุ - ความหมายของไฟปา 4 4.2 ลักษณะการเกิดไฟปา 5 2. บอกสาเหตุ และปใจจัยการเกดิ 4.2.1 สาเหตแุ ละปจใ จยั การเกิด ไฟปา ไฟปา 3. บอกชนิดของไฟปา 4.2.2 ชนิดของไฟปา 4. บอกผลกระทบทเ่ี กดิ จากไฟปา 4.2.3 ผลกระทบทเ่ี กดิ จากไฟปา 5. ตระหนักถงึ ภัยและผลกระทบท่ี 4.2.4 ฤดกู าลการเกดิ ไฟปา เกดิ จากไฟปา ในแต฽ละพ้ืนท่ีของประเทศไทยและ 6. บอกฤดูกาลการเกิดไฟปาในแต฽ละ ประเทศตา฽ ง ๆ ในโลก พื้นทข่ี องประเทศไทยและประเทศ ตา฽ ง ๆ ในโลก 4.3 สถานการณไฟปา 7. อธิบายสถานการณไฟปาใน 4.3.1 สถานการณไฟปาใน ประเทศไทยและประเทศตา฽ ง ๆ ประเทศไทยและประเทศตา฽ ง ๆ ในโลก ในโลก 8. วเิ คราะหแเปรยี บเทยี บสถิติการเกดิ 4.3.2 สถิติการเกดิ ไฟปาของ ไฟปาของประเทศตา฽ ง ๆ ในโลกและ ประเทศต฽าง ๆ ในโลก คาดคะเนการเกิดไฟปุาในอนาคต 4.4 แนวทางการปองกันและ การแกไข ปญหาผลกระทบท่ีเกดิ 9. บอกวิธกี ารเตรยี มความพรอมรับ จากไฟปา สถานการณการเกิดไฟปา 4.4.1 การเตรียมความพรอมรบั 10. บอกวธิ ีการปฏิบัติขณะเกดิ ไฟปุา สถานการณ การเกิดไฟปา 11. บอกวธิ ีการปฏิบัตติ นหลังเกดิ 4.4.2 การปฏบิ ตั ขิ ณะเกดิ ไฟปา ไฟปา 4.4.3การปฏบิ ตั ิตนหลังเกิดไฟป 12. เสนอแนวทางการปองกันและ า การ แกไขปญหาผลกระทบที่เกิดจาก ไฟปา

เนื้อหา เนือ้ หา เน้ือหา ท่ี ตวั ชี้วดั เน้อื หา งา฽ ยดว฾ ย ปานกลาง ยาก หมาย ตนเอง (พบกล฽ุม) (สอน เหตุ (กรต.) เสรมิ ) 5 หมอกควัน 5.1 ความหมายของหมอกควัน 1 15 1. บอกความหมายของหมอกควนั 2. - ความหมายของหมอก ควัน บอกสาเหตุ และปใจจยั การเกิด หมอก 5.2 ลกั ษณะการเกิดหมอกควัน 5 ควนั 5.2.1 สาเหตุและปจใ จัยการเกิด 3. บอกผลกระทบท่เี กิดจากหมอก หมอก ควนั ควัน 5.2.2 ผลกระทบท่เี กิดจาก 4. ตระหนักถงึ ภยั และผลกระทบ หมอก ควนั ทีเ่ กิดจากหมอก ควัน 5.2.3 พน้ื ทที่ ี่ได฾รับผลกระทบ 5. บอกพื้นที่พน้ื ที่ท่ีไดร฾ บั ผลกระทบ จากหมอก ควนั ในประเทศไทย จากหมอกควนั ในประเทศไทยและ และประเทศตา฽ ง ๆ ในโลก ประเทศตา฽ ง ๆ ในโลก 5.3 สถานการณหมอกควนั 4 6. บอกสถานการณหมอกควัน 5.3.1 สถานการณหมอก ควนั ในประเทศไทยและประเทศต฽าง ๆ ในประเทศไทยและประเทศต฽าง ๆ ในโลก ในโลก 7. วเิ คราะหแเปรยี บเทยี บสถิติการเกดิ 5.3.2 สถติ ิการเกดิ หมอก ควนั หมอกควันในประเทศไทยและ ในประเทศไทยและประเทศต฽าง ๆ ประเทศ ตา฽ ง ๆ ในโลกและคาดคะเน ในโลก การเกิด หมอก ควัน ในอนาคต 8. บอกวธิ ีการเตรียมความพรอมรับ 5.4 แนวทางการปองกันและ 5 สถานการณการเกิดหมอก ควัน การแกไขปญหาผลกระทบที่เกดิ 9. บอกวธิ กี ารปฏิบัติขณะเกิด หมอก จากแผ่นดนิ ไหว ควัน 5.4.1 การเตรยี มความพรอมรบั 10. บอกวิธีการปฏิบตั ิตนหลังเกิด สถานการณ การเกดิ หมอกควัน หมอก ควัน 5.4.2 การปฏิบตั ขิ ณะเกดิ หมอก 11. เสนอแนวทางการปองกันและ ควัน การแกไขปญหาผลกระทบท่เี กดิ จาก 5.4.3 การปฏบิ ัตติ นหลังเกิด หมอกควนั หมอก ควัน 6 แผ่นดนิ ไหว 6.1 ความหมายของแผ่นดนิ ไหว 1 15 1. อธบิ ายความหมายของ - ความหมายของแผ฽นดินไหว 4 แผ฽นดนิ ไหว 2. บอกสาเหตุและปจใ จยั การเกดิ 6.2 ลกั ษณะการเกดิ แผ่นดินไหว แผน฽ ดินไหว 6.2.1 สาเหตุและปจใ จัยการเกดิ 3. บอกผลกระทบท่ีเกดิ จาก แผ฽นดินไหว แผ฽นดนิ ไหว 6.2.2 ผลกระทบทเ่ี กิดจาก 4. ตระหนกั ถงึ ภยั และผลกระทบที่ แผน฽ ดนิ ไหว

เนอื้ หา เนอื้ หา เนอ้ื หา ท่ี ตวั ช้วี ัด เนอ้ื หา ง฽ายด฾วย ปานกลาง ยาก หมาย เกดิ จากแผน฽ ดนิ ไหว ตนเอง (พบกล฽ุม) (สอน เหตุ (กรต.) เสริม) 5. บอกพนื้ ทเี่ สีย่ งภยั ตอการเกดิ 6.2.3 พ้นื ท่เี ส่ยี งภัยตอการเกิด แผน฽ ดนิ ไหวในประเทศไทยและ แผ฽นดนิ ไหวในประเทศไทยและ ประเทศตา฽ ง ๆ ในโลก ประเทศตา฽ ง ๆ ในโลก 6. บอกสถานการณแผ฽นดินไหว 6.3 สถานการณแผ่นดินไหว 6 ในประเทศไทย และประเทศตา฽ ง ๆ 6.3.1 สถานการณแผ฽นดนิ ไหวใน ในโลก ประเทศ ไทยและประเทศต฽าง ๆ 7. วิเคราะหแเปรียบเทยี บสถติ ิการเกิด ในโลก แผน฽ ดนิ ไหวของประเทศไทยและ 6.3.2 สถติ ิการเกิดแผน฽ ดินไหว ประเทศตา฽ ง ๆ ในโลกและคาดคะเน ของประเทศไทยและประเทศต฽างๆ การเกดิ แผน฽ ดนิ ไหวในอนาคต ในโลก 8. บอกวิธกี ารเตรยี มความพรอมรบั 6.4 แนวทางการปองกันและ 4 สถานการณการเกิดแผน฽ ดนิ ไหว การแกไขปญหาผลกระทบที่เกิด 9. บอกวิธีการปฏบิ ัติขณะเกิด จากแผ่นดินไหว แผน฽ ดนิ ไหว 6.4.1 การเตรียมความพรอมรบั 10. บอกวธิ กี ารปฏบิ ตั ติ นหลังเกิด สถานการณการเกิดแผน฽ ดินไหว แผน฽ ดินไหว 6.4.2 การปฏิบัตขิ ณะเกิด 11. เสนอแนวทางการปองกันและ แผน฽ ดินไหว การแกไขปญหาผลกระทบทเี่ กิดจาก 6.4.3 การปฏบิ ตั ิตนหลงั เกิด แผ฽นดนิ ไหว แผ฽นดินไหว 7 สนิ ามิ 7.1 ความหมายของสนิ ามิ 1 15 1. บอกความหมายของสินามิ - ความหมายของสินามิ 4 2. บอกสาเหตุ และปจใ จยั การเกิด 7.2 ลกั ษณะการเกิดสินามิ สนิ ามิ 7.2.1 สาเหตุและปจใ จยั การเกดิ 3. บอกสัญญาณบอกเหตุกอนเกิด สนิ ามิ สนิ ามิ 7.2.2 สัญญาณบอกเหตุกอน 4. บอกผลกระทบทีเ่ กิดจากสินามิ เกดิ สินามิ 5. ตระหนกั ถงึ ภยั และผลกระทบ 7.2.3 ผลกระทบท่ีเกดิ จากสินามิ ทเี่ กดิ จากสนิ ามิ 7.2.4 พนื้ ท่ีเสีย่ งภยั ตอการเกิด 6. บอกพ้ืนทีเ่ สย่ี งภยั ตอการเกิด สนิ ามิ ในประเทศไทยและประเทศ

ที่ ตวั ช้วี ดั เน้อื หา เน้ือหา เน้อื หา เน้ือหา ต฽าง ๆ ในโลก ง฽ายดว฾ ย ปานกลาง ยาก หมาย สนิ ามใิ นประเทศไทยและ ตนเอง (พบกล฽ุม) (สอน เหตุ ประเทศต฽าง ๆ ในโลก (กรต.) เสรมิ ) 7. บอกสถานการณสนิ ามิในประเทศ 7.3 สถานการณสินามิ 4 ไทย และประเทศตา฽ ง ๆ ในโลก 7.3.1 สถานการณสนิ ามิ 8. วเิ คราะหแเปรยี บเทียบสถติ ิการเกดิ ในประเทศไทยและประเทศต฽าง ๆ สินามิของประเทศต฽างๆ ในโลกและ ในโลก คาดคะเนการเกดิ สนิ ามิในอนาคต 7.3.2 สถติ กิ ารเกิดสินามขิ อง ประเทศไทย และประเทศตา฽ ง ๆ 9. บอกวิธีการเตรยี มความพรอมรับ ในโลก สถานการณการเกิดสินามิ 6 10. บอกวิธีการปฏบิ ัติขณะเกดิ สินามิ 7.4 แนวทางการปองกันและ 11. บอกวธิ ีการปฏิบตั ิตนหลังเกดิ การแกไขปญหาผลกระทบท่ีเกิด สนิ ามิ จากสินามิ 12. เสนอแนวทางการปองกันและ 7.4.1 การเตรียมความพรอมรบั การแกไขปญหาผลกระทบท่ีเกิดจาก สถานการณการเกิดสินามิ สนิ าม 7.4.2 การปฏิบตั ิขณะเกดิ สินามิ 7.4.3 การปฏบิ ตั ติ นหลังเกิด สนิ ามิ 8 บุคลากร และหนว่ ยงานท่เี ก่ียวช้อง 5 กบั การใหความชว่ ยเหลือการ ประสบภัยธรรมชาติ 12. ระบุบคุ ลากรทเ่ี ก่ียวของกับการ 8.1 บคุ ลากรทเ่ี กี่ยวของกับการ 2 3 ให ความช฽วยเหลือผ฾ูประสบภยั ใหความชช่วยเหลือผู้ประสบภยั ธรรมชาติ ตา฽ ง ๆ ธรรมชาตติ า่ ง ๆ 13. ระบหุ นว฽ ยงานทเ่ี ก่ียวของกบั การ 8.2 หน่วยงานที่เกี่ยวของกับการ ใหความชว฽ ยเหลือผู฾ประสบภยั ใหความช่วยเหลอื ผู้ประสบภัย ธรรมชาติต฽าง ๆ ธรรมชาตติ ่าง ๆ 102 18 120

แผนการจัดการเรียนรู้ สาระ ความรู้พืน้ ฐาน รายวชิ า การเรยี น ระดับ ม.ปลาย ภาคเรยี น เร่ือง แนวทางการปองกนั แลธการแกไขปญหา คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หัวเร่อื ง/ตัวช้ีวัด เน้อื หาสาระการเรียนรู้ แนวทางการปองกัน แนวทางการปองกนั และ และการแกไขปญหา การแกไขปญหาผลกระทบท ผลกระทบท่ีเกดิ จาก จากอุทกภยั และ ดินโคลนถล อทุ กภัย และ ดินโคลน 1. การเตรยี มความพรอมรับ ถลม สถานการณการเกิดอทุ กภยั แล 1. บอกวิธีการเตรยี ม ดินโคลนถลม ความพรอม รับสถาน 2. การปฏิบัติขณะเกิดอทุ กภ การณการเกดิ อุทกภยั และดนิ โคลนถลม และดนิ โคลนถลม 3. การปฏิบัติตนหลังเกดิ 2. บอกวิธกี ารปฏิบัติ อทุ กภัยและดินโคลนถลม ขณะเกิดอทุ กภยั และ ดินโคลนถลม 3. บอกวิธีการปฏบิ ตั ิ ตนหลังเกดิ อุทกภยั และดินโคลนถลม 4. บอกแนวทาง การปองกนั และการ แกไขปญหาผลกระทบ ที่เกดิ จากอทุ กภัย

นรสู้ ้ภู ัยธรรมชาติ 3 รหสั วิชา พว32032 จานวน 3 หน่วยกิต นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 าผลกระทบที่เกดิ จากอทุ กภัย และ ดนิ โคลนถลม การจดั กระบวนการเรยี นรู้ สอื่ /แหล่งเรยี นรู้ การวดั และ ประเมนิ ผล ขนั้ ที่ 1 : กาหนดสภาพ 1. หนังสอื 1. สังเกต ท่ีเกิด ปญั หา แบบเรียน พฤติกรรม ลม 1 ครแู ละผเู฾ รียนรว฽ มกันพูดคุย 2. ใบความร฾ู 2. ใบงาน บ แลกเปล่ยี นประสบการณแ 3. ใบงาน ละ เกี่ยวกับแนวทางการปองกนั และการแกไขปญหา ภยั ผลกระทบทีเ่ กิดจากอุทกภยั และดนิ โคลนถลม 1.2 รวบรวมปญใ หาตา฽ ง ๆ ทพ่ี บจากการพูดคุย 1.3 วางแผนการเรียนร฾ู 285

คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หวั เร่อื ง/ตัวช้ีวัด เน้อื หาสาระการเรยี นรู้

การจัดกระบวนการเรยี นรู้ ส่อื /แหลง่ เรียนรู้ การวัดและ ประเมนิ ผล ขนั้ ที่ 2 : แสวงหาความรู้ 2.1 ครแู ละผูเ฾ รียนร฽วมกนั ศึกษาหาขอ฾ มลู แนวทาง การปองกนั และการแกไข ปญหาผลกระทบทเ่ี กดิ จาก อุทกภยั และดินโคลนถลม 2.2 ครแู ละผเู฾ รียนร฽วมกนั กําหนด 1. การเตรยี มความพรอม รบั สถานการณการเกิด อุทกภัยและดินโคลนถลม 2. การปฏบิ ตั ิขณะเกดิ อุทกภยั และดนิ โคลนถลม 3. การปฏิบตั ิตนหลังเกิด อุทกภยั และดินโคลนถลม 2.3 ครแู บง฽ กล฽ุมผู฾เรียน ออกเปน็ กลม฽ุ ๆ ละ 3-5 คน และมอบหมายใหผ฾ ู฾เรียนในแต฽ ละกล฽ุมร฽วมกันสรุปจากใบงาน ที่ผสู฾ อนแจกใหผ฾ เู฾ รยี นศกึ ษา ดว฾ ยตนเองในหัวข฾อกําหนดให฾ 2.4 ครูมอบหมายใหผ฾ ฾ูเรยี น 286

คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หวั เร่อื ง/ตัวช้ีวัด เน้อื หาสาระการเรยี นรู้

การจัดกระบวนการเรยี นรู้ สอื่ /แหลง่ เรยี นรู้ การวัดและ ประเมนิ ผล ศกึ ษาใบความรู฾และทาํ ใบงาน ขั้นที่ 3 : การปฏิบตั ินาไปใช้ 3.1 ผ฾เู รยี นนาํ ความรูท฾ ีไ่ ด฾รับ ไปปรบั ใช฾ให฾สอดคลอ฾ งกบั เหตกุ ารณใแ นชีวิตประจําวันได฾ 3.2 ครแู ละผเ฾ู รียนร฽วมกนั สรปุ ความรจ฾ู ากใบงาน 3.3 ครูมอบหมายใหผ฾ เ฾ู รียน ไปศกึ ษาเรยี นรู฾เเรื่อง 1. ภัยแล฾ง 2. วาตภยั 3.อุทกภยั ดนิ โคลนถล฽ม ข้นั ท่ี 4 : การประเมนิ ผล การเรียนรู้ 4.1 ครูและผู฾เรียนนําผลงาน ท่ไี ดจ฾ ากการตอบใบงานมาใช฾ เป็นข฾อมลู ในการประเมินผล การเรียนร฾ู 4.2 ครู ผเู฾ รยี นและ ผเ฾ู กย่ี วข฾องร฽วมกันสร฾างเกณฑแ 287

คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หวั เร่อื ง/ตัวช้ีวัด เน้อื หาสาระการเรยี นรู้

การจัดกระบวนการเรียนรู้ สอื่ /แหลง่ เรยี นรู้ การวดั และ ประเมนิ ผล การวดั ผลการเรยี นรู฾ 4.3 ครตู ดั สินผลการเรยี นรู฾ ตามเกณฑแท่ีกําหนด 290

ใบความรู้ เร่ืองแนวทางการป้องกนั และการแกไ้ ขปัญหาผลกระทบทเ่ี กิดจากอทุ กภัย แนวทางการป้องกันและการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดจากอุทกภัย อุทกภัย หรือ ภัยจากน้ าทว่ ม นับเป็นภยั ใกล้ตวั ท่อี าจเกดิ ขน้ึ ได้ในทุกพ้นื ท่ี ทุกเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูฝน เม่ือเกิดอุทกภัย ครงั้ ใดย่อมสง่ ผลต่อ ความเสยี หายทัง้ ทรัพย์สิน อาคารบ้านเรือน รวมท้ังชีวิตของประชาชน ดังน้ัน การเรียนรู้เพ่ือเตรียมรับมือกับอุทกภัย ท้ังการเตรียมความพร้อมก่อนเกิดอุทกภัย การปฏิบัติขณะเกิด อุทกภัยและหลังการเกิดอุทกภัย เพ่ือควบคุมหรือลดอันตรายและความเสียหายที่อาจเกิดข้ึน ซึ่งจะทาให้ เกดิ ความเสยี หายนอ้ ยท่ีสดุ จงึ มคี วามสาคญั และจาเปน็ อย่างยิ่ง จึงมีแนวทางป้องกัน ดังน้ี 4.1 การเตรียมความพร้อมรับสถานการณก์ ารเกิดอุทกภยั เม่ือเกิดน้าท่วม จะมหี น่วยงานสาหรับเตอื นภยั โดยมีการเตอื นภัย 4 ประเภท คือ ประเภท ความหมาย ระดับการปฏิบัติ 1.การเฝาู ระวังนํ้าท฽วม (Flood มคี วามเป็นไปได฾ทีจ่ ะเกดิ น้าํ ท฽วม ตอ฾ งตดิ ตามข฽าวสารอยา฽ งใกล฾ชดิ Watch) และอยู฽ในระหว฽างสังเกตการณแ 2. การเตือนภัยน้ําท฽วม (Flood เตอื นภัยจะเกดิ นํา้ ท฽วม ควรเตรยี มแผนและควรปูองกัน Warning) นํ้าท฽วมบา฾ นเรอื นและทรัพยสแ ิน ของตนเอง 3. การเตือนภัยนาํ้ ทว฽ ม รนุ แรง การเตือนภยั นา้ํ ทว฽ มรุนแรง เตรียมอพยพนําสัมภาระที่จําเป็น (Severe Flood Warning) เกิดนํ้าทว฽ มอยา฽ งรุนแรง ติดตัว และอย฽านานไปมากเกินไป ให฾คิดวา฽ ชีวติ สาํ คัญท่ีสดุ ตดั ไฟฟาู ปิดบ฾านให฾เรียบร฾อย 4. ภาวะปกติ (All Clear) เหตกุ ารณแกลับสู฽ภาวะปกติ หรือ สามารถกลบั เขา฾ สูบ฽ า฾ นเรอื นของ เป็นพนื้ ที่ไมไ฽ ด฾รับผลกระทบจาก ตนเองได฾ ภาวะนํ้าทว฽ ม เม่อื ได฾รับการเตือนภยั จากหนว฽ ยงานด฾านเตือนภัยน้าํ ท฽วมแล฾ว ส่ิงท่ีตอ฾ งรีบดําเนนิ การ คอื 1. ติดตามการประกาศเตอื นภัยจากสถานวี ิทยุท฾องถ่นิ โทรทศั นแ หรือรถฉกุ เฉินอยา฽ ง ต฽อเนือ่ ง 2. ถา฾ มกี ารเตือนภยั นํ้าท฽วมฉบั พลนั และอย฽ใู นพน้ื ทหี่ บุ เขาใหป฾ ฏิบัติ ดังน้ี - ปนี ข้ึนทสี่ ูงให฾เรว็ ที่สดุ เท฽าท่จี ะทําได฾ - อยา฽ นําสัมภาระตดิ ตวั ไปมาก ให฾คิดว฽าชวี ติ สําคัญท่ีสดุ - อยา฽ พยายามว่งิ หรอื ขบั รถผา฽ นบริเวณทางนํา้ หลาก 3. ถา฾ มกี ารเตือนการเฝูาระวงั นํ้าท฽วม ยังพอมเี วลาในการเตรียมแผนรบั มอื นํา้ ทว฽ ม 4. ด าเนนิ การตามแผนรับมอื นา้ํ ท฽วมทว่ี างไว฾ 5. ถ฾ามกี ารเตอื นภยั น้ําท฽วมและอยูใ฽ นพื้นท่นี ้าํ ท฽วมถงึ ควรปฏิบัติดังนี้ - อดุ ปิดช฽องท฽อนาํ้ ทงิ้ อ฽างลา฾ งจาน พนื้ หอ฾ งนา้ํ และสุขภัณฑทแ นี่ าํ้ สามารถไหล เข฾าบา฾ นได฾ - ปิดอปุ กรณเแ คร่ืองใชไ฾ ฟฟูาและแก฿สถ฾าจําเป็น - ลอ็ คประตบู ฾านและอพยพข้ึนที่สูง หรือสถานท่หี ลบภยั ของหน฽วยงานตา฽ ง ๆ 6. หากบา฾ นพักอาศยั ไม฽ไดอ฾ ยใ฽ู นที่นาํ้ ทว฽ มถงึ แต฽อาจมนี ้ําท฽วมในห฾องใต฾ดิน ควรปฏบิ ตั ิ ดังน้ี - ปดิ อุปกรณเแ คร่ืองใช฾ไฟฟาู ในห฾องใตด฾ ิน

- ปิดแกส฿ หากคาดวา฽ น้ําจะทว฽ มเตาแก฿ส - เคลอื่ นย฾ายสงิ่ ของมคี า฽ ขึน้ ชัน้ บน - หา฾ มอย฽ูในห฾องใต฾ดนิ เม่อื มนี า้ํ ท฽วมถงึ บ฾าน การเตรียมความพร฾อมของประชาชนที่อย฽ูในบริเวณที่จะเกิดอุทกภัย นับว฽ามีความสําคัญ และจําเป็น เมอื่ ไดร฾ ับสัญญาณเตือนอุทกภัยควรติดตามขา฽ วสารและปฏิบตั ิตนเม่ือเกิดเหตุการณแ ต฽าง ๆ ได฾แก฽ 1. เช่อื ฟงใ คําเตอื นอย฽างเคร฽งครดั เพอื่ ติดตามขา฽ วสารทางราชการ 2. เคล่ือนย฾ายคน สัตวเแ ลี้ยง และส่ิงของไปอยใ฽ู นทส่ี งู ให฾พน฾ ระดับนํ้าท่เี คยท฽วมมาก฽อน 3. ควรเตรียมเรอื ไม฾ เรือยาง หรือแพไม฾ไวใ฾ ช฾ เพอื่ เปน็ ยานพาหนะในขณะน้าํ ทว฽ มเปน็ เวลานาน 4. เตรียมไฟฉาย ถา฽ นไฟฉาย เทยี นไข และไมข฾ ดี ไฟ ไว฾ใช฾เมือ่ ไฟฟาู ดับ 5. เตรียมวิทยทุ ใี่ ชถ฾ ฽านไฟฉาย เพอื่ ตดิ ตามฟงใ รายงานข฽าวของลกั ษณะอากาศจาก กรมอุตนุ ิยมวทิ ยา 6. เตรยี มโทรศพั ทมแ ือถือ พร฾อมแบตเตอรีส่ ํารองให฾พร฾อม เพ่ือตดิ ตอ฽ ขอความช฽วยเหลือ 7. เตรยี มยาแกพ฾ ิษกดั ต฽อยจากแมลงปอุ ง ตะขาบ งู และสัตวอแ ืน่ ๆ 8. เตรียมนํา้ ด่มื สะอาดเกบ็ ไว฾ในภาชนะที่ปิดแน฽น เพราะน้ําประปาอาจจะหยุดไหลเปน็ เวลานาน 9. เตรียมอาหารกระป฻องและอาหารสํารองไว฾ กรณีท่ีความช฽วยเหลือจากทางราชการ ยังเข฾าไปไม฽ถึง การเกิดเหตุการณแนํ้าท฽วม ย฽อมเป็นบทเรียนท่ีดีต฽อการแก฾ไขปใญหาความเดือดร฾อนได฾เป็น อย฽างดี ดังนั้นการ รบั มือสาํ หรบั นํ้าทว฽ มคร้ังตอ฽ ไปควรปฏิบัติ ดังนี้ 1. คาดคะเนความเสยี หายที่จะเกิดกบั ทรัพยสแ ินของตนเองเม่ือเกิดน้าํ ทว฽ ม 2. ทําความคน฾ุ เคยกบั ระบบการเตอื นภยั ของหน฽วยงานที่เก่ยี วข฾อง และขน้ั ตอน การอพยพ 3. เรยี นรเู฾ สน฾ ทางการเดนิ ทางทป่ี ลอดภยั ท่สี ุดจากบา฾ นไปยงั ทส่ี ูงหรือพน้ื ท่ที ่ปี ลอดภยั 4. ผทู฾ ีอ่ าศัยในพ้นื ที่เส่ียงตอ฽ นํ้าทว฽ ม ควรจะเตรยี มวัสดุ เชน฽ กระสอบทราย แผ฽น พลาสติก เปน็ ต฾น 5. นาํ ยานพาหนะไปเก็บไว฾ในพน้ื ท่ีทน่ี าํ้ ท฽วมไม฽ถงึ 6. ปรกึ ษาและทาํ ขอ฾ ตกลงกับบรษิ ัทประกนั ภัยเกยี่ วกับการประกนั ความเสียหายของ บ฾านเรือน 7. บันทกึ หมายเลขโทรศัพทแสาํ หรับเหตุการณฉแ ุกเฉินไวใ฾ นโทรศัพทแมือถอื 8. รวบรวมของใชท฾ ีจ่ าํ เปน็ และเสบยี งอาหาร ไว฾ในท่ีปลอดภัยและสูงกวา฽ ระดบั ท่ีคาดวา฽ นํ้าจะท฽วมถงึ 9. จดบันทึกรายการทรัพยแสินมีค฽า และเอกสารสําคัญท้ังหมด ถ฽ายรูป หรือถ฽ายวีดิโอ เก็บไว฾เป็น หลักฐาน และเกบ็ ไวใ฾ นสถานทปี่ ลอดภยั หรอื หา฽ งจากทน่ี ํ้าทว฽ มถึง เช฽น ตู฾เซฟทีธ่ นาคาร หรอื ไปรษณยี แ 10. ทาํ แผนการรบั มือน้ําท฽วม และถ฽ายเอกสารเก็บไว฾ในที่สังเกตได฾ง฽าย และติดตั้ง อุปกรณแปูองกันน้ํา ทว฽ ม ทีเ่ หมาะสมกับบ฾านของแต฽ละคน 4.2 การปฏบิ ัติขณะเกดิ อุทกภัย 4.2.1 ตดั สะพานไฟ และปดิ แกส฿ หงุ ต฾มให฾เรยี บรอ฾ ย 4.2.2 อยใู฽ นอาคารทแ่ี ขง็ แรง และอย฽ูในท่สี งู พน฾ ระดบั นาํ้ ท่ีเคยทว฽ มมาก฽อน 4.2.3 สวมเส้ือผา฾ ให฾รา฽ งกายอบอุน฽ อยเ฽ู สมอ 4.2.4 ไม฽ควรขบั ข่ียานพาหนะฝาุ ลงไปในกระแสน้าํ หลาก 4.2.5 ไม฽ควรเลน฽ นํา้ หรือว฽ายนา้ํ ในขณะนา้ํ ทว฽ ม 4.2.6 ระวงั สัตวมแ ีพิษท่ีหนีนาํ้ ทว฽ มกัดต฽อย 4.2.7 ตดิ ตามสถานการณแอย฽างใกล฾ชิด เช฽น สังเกตลมฟูาอากาศและติดตามรายงาน อากาศ ของ กรมอุตนุ ยิ มวทิ ยา

4.2.8 เตรียมอพยพไปในท่ีปลอดภัยเม่ือสถานการณแจวนตัว หรือปฏิบัติตาม คําแนะนําของ ทางการ 4.2.9 เมื่อถึงคราวคับขัน ให฾คํานึงถึงความปลอดภัยของชีวิตมากกว฽าห฽วง ทรัพยสแ นิ 4.3 การปฏิบัตหิ ลังเกิดอุทกภัย ภายหลงั จากการเกิดอทุ กภยั หรอื นํา้ ทว฽ มแลว฾ ควรรอ้ื และเก็บกวาด ส่ิงปรักหักพัง และ ทําความสะอาดซ฽อมแซมบ฾านเรือนให฾เร็วที่สุด และดูแลรักษาสุภาพของตนเองและ ครอบครัว ด่ืมน้ําสะอาด แต฽ถา฾ ไดร฾ บั ความเสียหายมาก ผูป฾ ระสบภยั สามารถติดต฽อขอความช฽วยเหลือจาก หนว฽ ยงานทีเ่ กีย่ วขอ฾ งในเรอื งต฽าง ๆ ดงั ต฽อนี้ 4.3.1 การขอรบั อาหารเคร่ืองน฽งุ ห฽ม ยารกั ษาโรค 4.3.2 การซ฽อมแซมบ฾านเรือนท่ีพักอาศัย หรือการจัดหาแหล฽งเงินกู฾สําหรับซ฽อมบ฾าน หรือ สรา฾ งบา฾ นใหม฽ หรือการจัดหาทอี่ ย฽อู าศัยชัว่ คราว 4.3.3 การซอ฽ มแซมระบบไฟฟูา ระบบประปาในบา฾ น 4.3.4 การช฽วยเหลือฟื้นฟใู นเรอื่ งสุขภาพทางกายและจิตใจ 4.3.5 การประกอบอาชีพ เช฽น การแนะนําทางด฾านวิชาการเพ่ือปลูกพืชทดแทน การจัดหา พนั ธแุพชื ผลไม฾ และการหาแหลง฽ เงินกู฾ฉกุ เฉนิ อุทกภัย คือ ภัยและอันตรายทีเกิดจากสภาวะน้ําท฽วมหรือนํ้าท฽วมฉับพลันหรืออันตรายเกิดจากสภาวะน้ําไหล เอ฽อล฾นฝใงแม฽น้ํา ลําธาร หรือทางน้ํา เน่ืองจากมีน้ําเป็นสาเหตุอาจเป็นนํ้าท฽วม นํ้าปุาไหลหลากหรืออื่นๆ โดย ปกติอุทกภยั เกดิ จากฝนตกหนักตอ฽ เน่ืองเป็นเวลานานทําให฾เกิดการสะสมนํ้าบนพื้นท่ีซ่ึงระบายออกไม฽ทันทําให฾ พนื้ ท่ีนัน้ มีนํ้าท฽วม ภัยร฾าย ทเี่ กดิ ขนึ้ โดยธรรมชาตแิ ละเปน็ สง่ิ ท่ีไมส฽ ามารถควบคุมได฾ สาเหตุของการเกิดอุทกภยั เกิดจากฝนตกหนักต฽อเนือ่ งกนั เป็นเวลานาน บางครั้งทําให฾เกิดแผ฽นดินถล฽ม อาจมีสาเหตุจากพายุหมุนเขตร฾อน ลมมรสมุ มีกําลงั แรง มีกําลงั แรง รอ฽ งความกดอากาศตา่ํ มีกําลังแรง อากาศแปรปรวน น้ําทะเลหนุนแผ฽นดินไหว เข่ือนพัง ทาํ ใหเ฾ กดิ อทุ กภยั ไดเ฾ สมอ ลกั ษณะของปัญหาอุทกภัย โดยท่วั ไปอุทกภยั ท่เี กดิ จากนาํ้ ท฽วม แบ฽งได฾เปน็ 2 ลกั ษณะใหญ฽ๆ คือ 1.นํ้าท฽วมขงั เกิดข้ึนเน่ืองจากระบบระบายน้ํามีประสิทธิภาพหรืระบายน้ําไม฽ทัน มักเกิดขึ้นในบริเวณท่ีราบล฽ุม แมน฽ ํ้าและบรเิ วณชมชนเมืองใหญ฽ 2.น้าํ ทว฽ มฉับพลันและนํ้าปุา เป็นสภาวะนํ้าท฽วมท่ีเกิดข้ึนเนื่องจากฝนตกหนักในบริเวณพ้ืนท่ีซ่ึงมีความชันมาก และมีคุณสมบัติในการกักเก็บนํ้าหรือต฾านน้ําน฾อย เช฽น บริเวณต฾นนํ้าซ่ึงมีความชันของพ้ืนท่ีมาก พ้ืนที่ปุาถูก ทําลายไปทําให฾การกกั เก็บน้ําหรือตา฾ นน้าํ ลดนอ฾ ยลง น้ําท฽วมฉับพลันมักเกิดข้ึนหลังจากฝนตกไม฽เกิน 6 ชั่วโมง และมักเกิดข้ึนในบริเวณที่ราบระหว฽างภูเขา เน่ืองจากน้ําท฽วมฉับพลันมีความรุนแรงและเคล่ือนที่ด฾วยความ รวดเร็ว โอกาสท่ีจะปูองกันและหลบหนีจึงมีน฾อย ดังน้ันความเสียหายจากน้ําท฽วมฉับพลันจึงมีมากท้ังชีวิตและ ทรพั ยแสิน

นา้ ทว่ มก่อให้เกดิ ผลกระทบอันตรายและความเสยี หาย 1. อนั ตรายและความเสียหายตอ฽ ชวี ติ ทรพั ยแสนิ อาคาร บา฾ นเรอื น โดยตรง เกดิ นาํ้ ทว฽ มในบา฾ นเมอื ง โรงงาน คลงั พสั ดุ โกดงั สนิ ค฾า บา฾ นเรือนไม฽แข็งแรง อาจถูกกระแสนํ้าไหลเชยี่ วพังทลาย หรือคลื่นซดั ลงไปทะเลไปได฾ ผคู฾ น สัตวพแ าหนะ สตั วแเล้ียง อาจจมนํา้ ตาย หรอื ถูกพัดพาไปกับกระแสนํ้าไหลเชย่ี ว – เสน฾ ทางคมนาคมถกู ตดั ขาดท้ังทางถนน ทางรถไฟ ชาํ รุดเสียหาย โดยทั่วไป รวมท้ังยานพาหนะ วิ่งรบั ส฽งสนิ ค฾าไม฽ได฾ เกิดความเสยี หาย และชะงักงันทางเศรษฐกิจ – กิจการสาธารณูปโภคจะได฾รบั ความเสยี หาย เชน฽ กิจการโทรเลข โทรศัพทแ การ ไฟฟาู การประปา และระบบการระบายน้าํ เป็นต฾น ท฽าอากาศยาน สวนสาธารณะ โรงเรยี น – สง่ิ กอ฽ สรา฾ ง สาธารณสถานเกิดความเสยี หาย เช฽น สถานขี นส฽ง ทา฽ อากาศยาน สวนสาธารณะ โรงเรยี น วัด สถาปใตยกรรม และศลิ ปกรรมตา฽ ง ๆ 2. ความเสียหายของแหลง฽ เกษตรกรรม ไดแ฾ ก฽ แหลง฽ กสกิ รรมไรน฽ า สตั วแเลีย้ ง สัตวแพาหนะ ตลอดจนแหลง฽ เก็บ เมล็ดพนั ธพแ ืชย฾ุงฉาง 3. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ รายไดข฾ องประเทศลดลง ผลกําไรจากภารกิจตา฽ ง ๆ ถูกกระทบกระเทือน รฐั ต฾องมรี ายจา฽ ยสงู ขนึ้ จากการซ฽อมบูรณะซ฽อมแซม และชว฽ ยเหลือผ฾ูประสบอุทกภัย และเกิดข฾าวยากหมากแพง ทั่วไป 4. ความเสยี หายทางดา฾ นสขุ ภาพอนามัยของประชาชน ขณะเกิดอุทกภัยขาดนํ้าดใี นการอปุ โภคบรโิ ภค ขาด ความสะดวกดา฾ นห฾องน้าํ ห฾องสว฾ ม ทาํ ใหเ฾ กดิ โรคระบาด เชน฽ โรคน้าํ กดั เทา฾ โรคอหวิ าตกโรค รวมทง้ั โรคเครยี ด มคี วามวติ กกงั วลสูง โรคประสาทตามมา 5. ความเสียหายที่มีตอ฽ ทรัพยากรธรรมชาติ ฝนตกทห่ี นัก น้ําท่ีทว฽ มทน฾ ขนึ้ มาบนแผ฽นดนิ และกระแสน้าํ ท่ีไหล เชยี่ วทาํ ใหเ฾ กดิ แผ฽นดินถล฽ม (landslides) ได฾ นอกจากนน้ั ผิวหนา฾ ดนิ ที่อดุ มสมบรู ณแจะถกู นํา้ พดั พาลงสูท฽ ่ีตาํ่ ทํา ให฾ดนิ ขาดปุย฻ ธรรมชาติ และแหลง฽ นํา้ เกิดการตน้ื เขนิ เปน็ อุปสรรคในการเดินเรือ แนวทางแกไ้ ขและการป้องกนั ปญั หาอุทกภัย 1. ตดิ ตามสภาวะอากาศ ฟงใ คําเตือนจากกรมอุตุนิยมวทิ ยา 2. ฝกึ ซอ฾ มการปูองกันภัยพิบัติ เตรยี มพร฾อมรบั มือและวางแผนอพยพหากจําเปน็ 3. เตรียมน้ําด่ืม เครอ่ื งอุปโภค บริโภค ไฟฉาย แบตเตอรี่ วิทยุกระเป฻าห้วิ ติดตามข฽าวสาร 4. ซอ฽ มแซมอาคารใหแ฾ ข็งแรง เตรียมปูองกันภยั ให฾สตั วเแ ลย้ี งและพืชผลการเกษตร 5. เตรียมพร฾อมเสมอเมื่อไดร฾ ับแจง฾ ให฾อพยพไปทสี่ งู ขณะอย฽ูในพ้ืนที่เส่ยี งภัยและฝนตกหนกั ตอ฽ เน่ือง 6. หากอยู฽ในพน้ื ท่นี ํา้ ทว฽ มขัง ปูองกนั โรคระบาด ระวงั เร่อื งนา้ํ และอาหาร ตอ฾ งสุกและสะอาดก฽อนบรโิ ภค ทฤษฎกี ารแกไ้ ขปัญหาน้าท่วม ทฤษฎกี ารแก฾ไขปญใ หานํ้าทว฽ มอนั เน่อื งมาจากพระราชดาํ รติ ามแนวทางการบรหิ ารจดั การด฾านนาํ้ ทว฽ ม ล฾น วิธกี ารต฽างๆ ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระเจ฾าอย฽หู วั พระราชทานพระราชดาํ ริในการแก฾ไขปญใ หานํา้ ท฽วมคือ 1. การก฽อสรา฾ งคันกน้ั นํ้า เพื่อปูองกันนา้ํ ทว฽ มซง่ึ เป็นวิธีการดั้งเดิมแต฽ครงั้ โบราณโดยการก฽อสรา฾ งคนั ดินกน้ั น้าํ ขนาดทเ่ี หมาะสมขนานไปตามลํานาํ้ หา฽ งจากขอบตลิง่ พอสมควร เพือ่ ปูองกันมใิ ห฾นํา้ ลน฾ ตลงิ่ ไปท฽วมในพนื้ ที่ ตา฽ งๆ ด฾านใน 2. การก฽อสร฾างทางผนั นํ้า เพ่ือผันนาํ้ ท้ังหมดหรือบางสว฽ นทีล่ น฾ ตล่ิงทว฽ มท฾นให฾ออกไป โดยการก฽อสร฾างทาง ผนั นาํ้ หรอื ขุดคลองสายใหม฽เชือ่ มต฽อกับลํานํ้าที่มีปใญหาน้าํ ทว฽ มโดยใหน฾ าํ้ ไหลไปตามทางผนั นาํ้ ที่ขุดขึ้น ใหมไ฽ ปลงลาํ นา้ํ สายอ่ืน หรอื ระบายออกส฽ูทะเลตามความเหมาะสม

3. การปรับปรุงและตกแต฽งสภาพลาํ นา้ํ เพ่ือให฾นํา้ ที่ทว฽ มทะลกั สามารถไหลไปตามลําน้ําไดส฾ ะดวกหรอื ช฽วยให฾ กระแสนา้ํ ไหล เร็วย่ิงขน้ึ อันเปน็ การบรรเทาความเสยี หายจากนํา้ ทว฽ มขังได฾ โดยใชว฾ ิธีการดงั น้ี – ขดุ ลอกลํานํ้าต้นื เขินใหน฾ ้าํ ไหลสะดวกข้ึน – ตกแตง฽ ดินตามลาดตล่ิงให฾เรียบมิใหเ฾ ป็นอปุ สรรคต฽อทางเดนิ ของนํ้า – กาํ จัดวัชพืช ผกั ตบชวา และร้ือทําลายสิ่งกดี ขวางทางนา้ํ ไหลให฾ออกไปจนหมดสน้ิ – หากลาํ น้ําคดโค฾งมาก ใหห฾ าแนวทางขดุ คลองใหมเ฽ ป็นลาํ นํ้าสายตรงใหน฾ ้าํ ไหลสะดวก 4. การก฽อสร฾างเขื่อนเก็บกักนํ้าเปน็ มาตรการปูองกนั นา้ํ ท฽วมท่สี าํ คญั ประการหน่ึงในการกักเก็บน้ําทีไ่ หลท฽วมล฾น ในฤดูน้ําหลาก โดยเกบ็ ไว฾ทางด฾านเหนือเข่ือนในลักษณะอ฽างเกบ็ นา้ํ โครงการแก้มลิง ทฤษฎีการแก฾ไขปญใ หานํ้าทว฽ มอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดาํ ริ ตามแนวทางการบรหิ ารจดั การดา฾ นนาํ้ ท฽วมล฾น ตลอดระยะเวลาท่ผี ฽านมา พระบาทสมเด็จพระเจ฾าอยห฽ู ัว ทรงตระหนกั ถงึ ภัยทรี่ ฾ายแรงของวิกฤตนิ ้ําทว฽ ม กรุงเทพ ฯ และทรงมพี ระราชดาํ ริในการแก฾ไขบญั หาเพือ่ ผ฽อนคลายทกุ ขเแ ขญ็ ของพสกนิกรหลายประการ อาทิ การเร฽งระบายนํ้าออกสทู฽ ะเล โดยผ฽านแนวคลองทางฝ่ใงตะวันออกของกรงุ เทพฯ ใหม฾ ีพ้ืนท่สี ีเขยี ว เพอ่ื กันการ ขยายตัวของเมืองและเพื่อแปรสภาพให฾เป็นทางระบายน้ําเม่อื ถึงฤดูน้ําหลาก โครงการแก฾มลงิ คือการจดั ให฾มสี ถานท่เี กบ็ กักน้ําตามจดุ ตา฽ งๆ ในกรงุ เทพฯ เพ่ือทาํ หนา฾ ท่ีเปน็ บงึ พักน้ําให฾หนา฾ นํา้ โดยรองรับนา้ํ ฝนไวช฾ วั่ คราว ก฽อนทีจ่ ะระบายลงทางระบายนํ้าสาธารณะ ฉะนน้ั เมอื่ ฝนตก น้ําฝนจึงไม฽ไหล ลงสู฽ทางระบายน้าํ ในทันที แต฽จะถกู ขังไวใ฾ นพน้ื ที่พักนาํ้ รอเวลาให฾คลองตา฽ งๆ ซึง่ เปน็ ทางระบายนาํ้ หลักพร฽อง นํ้าพอจะรับน้าํ ได฾ จึงค฽อยๆ ระบายนํา้ ลง เปน็ การชว฽ ยลดปใญหาน้าํ ทว฽ มขงั ได฾ในระดับหนึ่ง วิธกี ารแก้ไขปัญหาน้าทว่ มในภมู ภิ าคตา่ ง ๆ คือ 1. การก฽อสรา฾ งคันกนั น้าํ โดยการก฽อสรา฾ งคนั ดินกนั้ นํา้ ขนานไปตามลาํ น้าํ เพ่ือปอู งกนั มิใหน฾ ้ําล฾นตล่งิ ไปทว฽ มใน พนื้ ทตี่ า฽ ง ๆ ด฾านใน 2. การก฽อสร฾างทางผนั นา้ํ เพ่ือผนั น้ําทัง้ หมดหรือบางสว฽ นที่ลน฾ ตล่ิงท฽วมล฾นเขา฾ มาให฾ออกไป 3. การปรับปรงุ และตกแตง฽ สภาพลําน้ํา เพ่ือใหน฾ า้ํ ที่ท฽วมทะลักสามารถไหลไปตามลาํ น้ําได฾สะดวก หรอื ชว฽ ยให฾ กระแสนํา้ ไหลเรว็ ยง่ิ ขนึ้ เมอื่ ได้รบั คาเตือน เร่อื ง อุทกภัย ควรปฏบิ ัติตนอยา่ งไร กอ฽ นเกิด ควรปฏิบัติดังน้ี 1. เชือ่ ฟงใ คําเตือนอย฽างเคร฽งครัด 2. ติดตามรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยาอย฽างต฽อเนื่อง 3. เคลือ่ นยา฾ ยคน สัตวแเลีย้ ง และสิ่งของไปอย฽ใู นท่สี ูง 4. ทาํ คนั ดินหรือกาํ แพงกนั้ น้ําโดยรอบ 5. เคลอ่ื นยา฾ ยพาหนะไปอยู฽ท่ีสูง 6. ควรเตรยี มเรอื ไม฾ เรือยาง หรือแพไม฾ไว฾ใช฾ด฾วย 7. เตรยี มอาหารกระป฻อง หรืออาหารสํารองไวบ฾ า฾ ง 8. เตรียมเครื่องด่ืมเก็บไว฾ในขวดและภาชนะทีป่ ิดไวแ฾ นน฽ ๆไว฾บ฾าง 9. เตรยี มเครื่องเวชภัณฑไแ วบ฾ ฾างพอสมควร 10.เตรยี มไฟฉาย ถ฽านไฟฉาย และเทียนไข เพื่อไว฾ใช฾เท่ือไฟฟาู ดบั ขณะเกิดควรปฏิบตั ิดังน้ี 1. ตัดสะพานไฟ และปิดแกส฿ หงุ ตม฾ ให฾เรยี บร฾อย 2. จงอยูใ฽ นอาคารทแ่ี ข็งแรง และอยู฽ในท่สี ูงพน฾ ระดบั นํ้า 3. ไม฽ควรขับขยี่ านพาหนะฝาุ ลงไปในกระแสน้าํ หลาก 4. จงทาํ ให฾รา฽ งกายอบอ฽นุ อย฽ูเสมอ

5. ไม฽ควรเลน฽ นํา้ หรือวา฽ ยน้าํ ในขณะน้ําท฽วม 6. ระวงั สัตวแมีพิษท่ีหนนี า้ํ ท฽วมขึน้ มาอย฽บู นบา฾ น 7. ติดตามเหตุการณแอยา฽ งใกลช฾ ิด 8. เตรียมพร฾อมทีจ่ ะอพยพไปในทปี่ ลอดภยั เมื่อสถานการณแจวนตวั 9. เมอ่ื จวนตัวให฾คาํ นึงถงึ ความปลอดภัยของชีวิตมากกว฽าห฽วงทรพั ยสแ นิ หลังเกิด ควรปฏิบัติดังน้ี 1. การขนสง฽ คนอพยพกลบั ยงั ภมู ิลาํ เนา 2. การชว฽ ยเหลือในการร้ือของสง่ิ ปรักหักพัง ซ฽อมแซมบา฾ นเรือนทห่ี ักพัง และการจัดหาท่ีพกั อาศัยและการ ดาํ รงชีพชว่ั ระยะหนึง่ 3. การกวาดเกบ็ ขนสิ่งปรักหักพัง การทําความสะอาดบา฾ นเรอื นให฾กลบั เข฾าส฽สู ภาพปกติ 4. ซอ฽ มแซมบา฾ นเรือนอาคาร โรงเรียนทพ่ี ักอาศัย สะพานที่หกั พงั ชํารดุ เสียหาย 5. จัดซอ฽ มทําเครื่องสาธารณูปโภค ใหก฾ ลบั คนื เขา฾ สูส฽ ภาพปกติโดยเรว็ ทสี่ ุด 6. ภายหลังน้ําท฽วมจะมีซากสัตวตแ าย ซงึ่ จะต฾องจดั การเก็บฝงใ โดยเร็ว 7. ซอ฽ มถนน สะพาน และทางรถไฟที่ขาดตอนชาํ รุดเสียหายให฾กลบั เข฾าส฽ูสภาพเดิม 8. สรา฾ งอาคารชั่วคราวสําหรับผ฾ูทีอ่ าศยั 9. การสงเคราะหแผปู฾ ระสบอุทกภัย มกี ารแจกเสือ้ ผา฾ เคร่ืองนง฽ุ ห฽ม และอาหารแกผ฽ ู฾ประสบภยั 10. ภายหลังอุทกภยั เนือ่ งจากส่งิ แวดลอ฾ มมีการเปลี่ยนแปลงอยา฽ งมาก จะทาํ ให฾เกิดเจ็บไข฾ และโรคระบาดได฾

ใบงานท่ี 1 1. อธิบายสาเหตขุ องการเกิดอทุ กภัยมาพอสงั เขป ............................................................................................................................. ................................................. ........................................................................................................................................................ ...................... ............................................................................................................. ................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................. ................................. 2. จงบอกสาเหตุของการเกดิ อทุ กภยั .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 3. แนวทางแกไ฾ ขและการปอู งกนั ปใญหาอุทกภยั ................................................................................................................................ .............................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 4. เม่ือไดร฾ ับคาํ เตือน เร่ือง อุทกภยั ควรปฏิบัติตนอยา฽ งไร ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................... ........................................... .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .................................................

แผนการจัดกจิ กรรมก

การเรยี นรู้คร้งั ท่ี 12

แผนการเรียน (กรต.) ภาคเรยี นท่ี 1 สาระ ความรู้พื้นฐาน ระดับ ม.ปลาย รายวชิ า ก หลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การ ครั้งท่ี วัน/เดอื น/ปี หวั เร่ือง/ตัวชี้วัด เนอื้ หาสาระการเรยี นร 1.ภัยแลง้ 1.ภยั แล้ง 1. อธิบายความหมายของภยั แลง 1. ความหมายของภัยแลง 2. อธบิ ายความหมายของฝนแลง 1.1 ความหมายของภยั แล ฝนท้ิงชวง 1.2 ความหมายของฝนแล 3. บอกสาเหตุ และปใจจยั การเกดิ ฝนทงิ้ ชวง ภัยแลง 2. ลักษณะการเกิดภยั แลง 4.บอกผลกระทบทเ่ี กดิ จากภัยแล 2.1สาเหตุและปใจจัยการเก ง ภัยแล฾ง 5. ตระหนักถงึ ภัยและผลกระทบ 2.2ผลกระทบที่เกดิ จากภยั ท่ีเกิดจากภยั แลง ง 6.บอกหวงเวลาการเกดิ ภัยแล฾ง 2.3 หวงเวลาการเกิดภยั แ และพนื้ ทีเ่ สีย่ งภยั ตอการเกิดภัย และพ้ืนที่ เสยี่ งภยั ตอการเกิด แลง฾ ในประเทศไทยและประเทศ แลง ในประเทศไทย และ ตา฽ ง ๆ ในโลก ประเทศตา฽ ง ๆ ในโลก 7. บอกสถานการณภยั แลงใน 3. สถานการณการเกิดภัยแ ประเทศไทยและประเทศต฽าง ๆ 3.1 สถานการณภัยแลงใน ในโลก ประเทศไทย และประเทศตา฽

นรดู้ ว้ ยตนเอง 1 ปีการศกึ ษา 2564 การเรียนรสู้ ภู้ ยั ธรรมชาติ 3 รหสั วิชา พว32032 รศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 รู้ การจดั กระบวนการเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ จานวน ชัว่ โมงการ ครูมอบหมายงานค฾นควา฾ 1. แหลง฽ เรยี นรูใ฾ น ชมุ ชน เรยี นรู้ 2. อนิ เตอรเแ นต็ 3. ห฾องสมดุ 15 4. ภมู ปิ ใญญาชุมชน ลง กรต. ใหผ฾ ฾ูเรียนไปศึกษา ลง คน฾ ควา฾ เรอื่ ง 1. ความหมายของ วัสดุ ศาสตรแแ ละประเภท ของ กิด วัสดุ 2. สมบตั ิวัสดุและทําใบ ยแล งานท่ี 1-2 แลง ดภยั ะ แลง าง ๆ 297

ครั้งท่ี วัน/เดือน/ปี หวั เรอ่ื ง/ตัวชี้วดั เน้ือหาสาระการเรยี นร 8. วิเคราะหแเปรียบเทยี บสถติ ิการ ในโลก เกดิ ภยั แล฾งของประเทศต฽าง ๆ 3.2 สถติ กิ ารเกดิ ภัยแลง฾ ขอ ในโลกและคาดคะเนการเกิดภยั ประเทศตา฽ ง ๆ ในโลก แล฾งในอนาคต 4. แนวทางการปองกนั และ 9. บอกวิธกี ารเตรยี มความพรอม แกไขปญหาผลกระทบทเี่ กดิ รบั สถานการณการเกิดภยั แลง จากภัยแลง 10. บอกวิธีการปฏบิ ตั ิขณะเกิด 4.1 การเตรียมความพรอมร ภยั แลง สถานการณการเกิดภยั แลง 11. บอกวธิ กี ารปฏิบตั ิตนหลังเกิด 4.2 การปฏบิ ตั ิขณะเกดิ ภัยแ ภยั แลง 4.3การปฏิบัตติ นหลงั เกิดภยั 12. เสนอแนวทางการปองกัน ง และการแกไขปญหาผลกระทบท่ี เกดิ จากภัยแลง 2.วาตภยั 2.วาตภัย 1. บอกความหมายของวาตภยั 2.1 ความหมายของวาตภัย 2. บอกประเภทของวาตภยั 2.1.1 ความหมายของวาต 3. บอกสาเหตุ และปจใ จยั การเกดิ 2.1.2 ประเภทของวาตภยั วาตภัย 2.2 ลักษณะการเกิดวาตภยั 4. บอกผลกระทบทีเ่ กดิ จากวาต 2.2.1 สาเหตุและปจใ จยั กา ภยั 5. ตระหนกั ถงึ ภยั และ เกิด วาตภยั ผลกระทบท่เี กดิ จากวาตภัย 2.2.2 ผลกระทบทเี่ กดิ จา

รู้ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ แหล่งเรียนรู้ จานวน ช่ัวโมงการ เรยี นรู้ อง ะการ ครมู อบหมายงานค฾นควา฾ 1. แหล฽งเรยี นรู฾ใน ชมุ ชน ด กรต. ให฾ผเ฾ู รียนไปศกึ ษา 2. อินเตอรแเนต็ 3. หอ฾ งสมดุ รับ ค฾นคว฾าเรอื่ ง 4. ภูมิปญใ ญาชุมชน 1. ภัยแล฾ง แลง 2. วาตภัย ยแล 3. อุทกภัย ดินโคลน ถลม 4. ทาํ ใบงานเรื่องท่ี 1-3 ย ตภยั ย ย าร ก 298

ครั้งท่ี วัน/เดือน/ปี หัวเรอ่ื ง/ตัวชี้วัด เนือ้ หาสาระการเรยี นร 6. บอกพ้ืนที่เส่ยี งภยั ตอการเกิด วาตภัย วาตภัยในประเทศไทยและ 2.2.3 พน้ื ทีเ่ สี่ยงภยั ตอการเ ประเทศตา฽ ง ๆ ในโลก วาตภัยในประเทศไทยและ 7. บอกสถานการณวาตภยั ใน ประเทศ ต฽าง ๆ ในโลก ประเทศ ไทย และประเทศตา฽ ง ๆ 2.3 สถานการณวาตภยั ในโลก 2.3.1 สถานการณวาตภยั 8. วิเคราะหแเปรียบเทียบสถิติการ ประเทศไทย และประเทศตา฽ เกิดวาตภยั ในประเทศไทยและ ในโลก ประเทศต฽าง ๆ ในโลกและ 2.3.2 สถิติการเกิดวาตภยั คาดคะเนการเกิดวาตภยั ใน ในประเทศไทยและประเทศต อนาคต ในโลก 9. บอกวธิ กี ารเตรยี มความพรอม 2.4 แนวทางการปองกนั แล รับสถานการณการเกิดวาตภัย การแกไขปญหาผลกระทบท 10. บอกวธิ กี ารปฏบิ ตั ิขณะเกิด จากวาตภัย วาตภยั 2.4.1 การเตรยี มความพร 11. บอกวธิ กี ารปฏิบตั ติ นหลังเกิด รับสถานการณการเกิดวาตภ วาตภัย 2.4.2 การปฏิบัตขิ ณะเกดิ 12. เสนอแนวทางการปองกัน วาตภยั และการแกไขปญหาผลกระทบที่ 2.4.3 การปฏบิ ัติตนหลังเ เกิดจากวาตภัย วาตภยั

รู้ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ แหล่งเรียนรู้ จานวน เกิด ชั่วโมงการ เรยี นรู้ ยใน าง ๆ ย ต฽างๆ ละ ท่ีเกิด รอม ภัย ด เกิด

ครั้งท่ี วัน/เดือน/ปี หัวเรอ่ื ง/ตัวชี้วัด เนอื้ หาสาระการเรยี น 3. อุทกภยั ดนิ โคลน ถลม 3. อุทกภัย ดนิ โคลน ถลม 1. อธบิ ายความหมายของอทุ กภัย 3.1 ความหมายของอุทก และดนิ โคลนถลม และดนิ โคลนถลม 2. บอกสาเหตุและปจใ จัยการเกิด - ความหมายของอุทกภยั อุทกภยั และดินโคลนถลม ดนิ โคลน ถลม 3. บอกผลกระทบท่เี กิดจากอุทกภยั 3.2 ลักษณะการเกดิ อุทก และดนิ โคลนถลม และ ดิน โคลนถลม 4. ตระหนกั ถึงภัยและผลกระทบที่ 3.2.1 สาเหตุและปจใ จัย เกิดจากอุทกภยั และดินโคลนถล฽ม เกดิ อุทกภัยและดนิ โคลนถ 5. บอกสัญญาณบอกเหตุกอนเกิด 3.2.2 ผลกระทบที่เกดิ จ อุทกภัยและดนิ โคลนถลม อุทกภยั และดนิ โคลนถลม 6. บอกพื้นทเ่ี สี่ยงภยั ตอการเกิด 3.2.3 สญั ญาณบอกเหต อุทกภัย และดนิ โคลนถลม ใน กอนเกิดอุทกภัยและดินโค ประเทศไทยและประเทศตา฽ ง ๆ ใน ถลม โลก 3.2.4 พื้นที่เส่ียงภัยตอก 6. บอกสถานการณอุทกภยั และดนิ เกดิ อุทกภัยและดินโคลน โคลนถลมในประเทศไทยและ ถลมในประเทศไทยและ ประเทศ ตา฽ ง ๆ ในโลก ประเทศ ตา฽ ง ๆ ในโลก 7. วเิ คราะหแเปรยี บเทียบสถิติการ เกิด อุทกภัยและดินโคลนถล฽มใน ประเทศ ไทยและประเทศต฽าง ๆ

นรู้ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ แหล่งเรียนรู้ จานวน ช่วั โมงการ ม กภยั เรยี นรู้ และ 21 กภัย ยการ ถลม จาก ม ตุ คลน การ 300

ครั้งท่ี วัน/เดอื น/ปี หัวเร่อื ง/ตัวช้ีวดั เน้อื หาสาระการเรียน ในโลก และคาดคะเนการเกิด 3.3 สถานการณอุทกภยั แผน฽ ดินไหวในอนาคต ดนิ โคลน ถลม 3.3.1 สถานการณอทุ ก และดินโคลน ถลมในประเ ไทย และประเทศตา฽ ง ๆ ใ โลก 3.3.2 สถติ กิ ารเกิดอุทก และดนิ โคลน ถลมในประเ ไทย และประเทศตา฽ ง ๆ ใ โลก

นรู้ การจัดกระบวนการเรยี นรู้ แหล่งเรยี นรู้ จานวน ชัว่ โมงการ และ เรียนรู้ กภัย เทศ ใน กภยั เทศ ใน 301 291

ใบความรู้ที่1 เรื่องภัยแลง้ ภัยแลง้ คือ ภยั ทีเ่ กดิ จากการขาดแคลนนํา้ ในพื้นท่ใี ดพ้นื ท่ีหนึ่งเป็นเวลานานจนกอ฽ ใหเ฾ กิดความแห฾งแล฾ง และ ส฽งผลกระทบต฽อชุมชน สาเหตขุ องการเกดิ ภยั แลง้ มีอะไรบา้ ง 1. โดยธรรมชาติ ได฾แก฽ การเปลย่ี นแปลงอณุ หภมู ิโลก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2. การเปล่ยี นแปลงของระดบั นาํ้ ทะเล 3. ภัยธรรมชาติ เชน฽ วาตภยั แผน฽ ดินไหว 4. โดยการกระทําของมนุษยแ ได฾แก฽ การทําลายชัน้ โอโซน ผลกระทบของภาวะเรือนกระจก การ พฒั นาด฾าน อุตสาหกรรม การตัดไมท฾ ําลายปาุ สําหรบั ภยั แล฾งในประเทศไทย สว฽ นใหญ฽เกิดจากฝนแล฾งและทงิ้ ชว฽ ง ซ่ึงฝน แลง฾ เปน็ ภาวะปริมาณฝนตกน฾อยกว฽าปกติหรือฝนไมต฽ กต฾องตามฤดูกาล ภัยแล้งในประเทศไทยสามารถเกิดช่วงเวลาใดบ้าง ภัยแล฾งในประเทศไทยจะเกดิ ใน ๒ ช฽วง ได฾แก฽ 1. ชว฽ งฤดหู นาวต฽อเนอ่ื งถงึ ฤดรู ฾อน ซึ่งเรมิ่ จากคร่ึงหลงั ของเดือนตลุ าคมเป็นตน฾ ไป บรเิ วณประเทศไทย ตอนบน จะมปี รมิ าณฝนลดลงเปน็ ลาํ ดับ จนกระทัง่ เขา฾ สูฤ฽ ดฝู นในชว฽ งกลางเดือนพฤษภาคมของ ปีถดั ไป ซึ่งภัยแล฾ง ลกั ษณะน้ี จะ เกิดข้นึ เปน็ ประจาํ ทุกปี 2. ช฽วงกลางฤดฝู น ประมาณปลายเดือนมิถุนายนถงึ เดอื นกรกฎาคม จะมีฝนทิ้งชว฽ งเกดิ ขึน้ ภยั แล฾ง ลกั ษณะนี้ จะเกิดขึ้นเฉพาะท฾องถน่ิ หรอื บางบริเวณ บางคร้งั อาจครอบคลุมพ้ืนที่เป็นบริเวณกว฾างเกอื บทัว่ ประเทศ 3. พนื้ ที่ใดในประเทศไทยท่ีได฾รับผลกระทบจากภยั แล฾ง ภยั แล฾งในประเทศไทยสว฽ นใหญม฽ ีผลกระทบตอ฽ การ เกษตรกรรม โดยเป็นภัยแลง฾ ทเี่ กดิ จากขาดฝนหรือ ฝนแลง฾ ในชว฽ งฤดฝู น และเกิด ฝนทงิ้ ชว฽ ง ในเดือนมถิ นุ ายน ตอ฽ เนอ่ื งเดือนกรกฎาคม พน้ื ท่ีทีไ่ ดร฾ ับผลกระทบจากภัยแล฾งมาก ได฾แก฽บรเิ วณภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ตอนกลาง เพราะเป็นบริเวณทอี่ ทิ ธิพลของมรสุมตะวันตกเฉยี งใต฾เข฾าไปไมถ฽ ึง และถ฾าปใี ดไมม฽ ีพายหุ มนุ เขตร฾อน เคลอ่ื นผ฽านในแนว ดังกล฽าวแลว฾ จะกอ฽ ใหเ฾ กดิ ภยั แลง฾ รุนแรงมากขน้ึ นอกจากพ้นื ที่ดังกลา฽ วแลว฾ 4. ภัยแลง฾ ในประเทศไทยมีผลกระทบโดยตรงกับการเกษตรและแหลง฽ นํา้ เน่อื งจากประเทศไทยเปน็ ประเทศท่ี ประชาชนประกอบอาชพี เกษตรกรรมเปน็ ส฽วนใหญ฽ ภัยแล฾งจึงสง฽ ผลเสยี หายต฽อกจิ กรรมทางการเกษตร เช฽น พนื้ ดินขาดความชมุ฽ ชนื้ พืชขาดนา้ํ พืชชะงกั การเจรญิ เตบิ โต ผลผลติ ท่ีได฾มีคณุ ภาพตาํ่ รวมถงึ ปริมาณลดลง สว฽ นใหญ฽ภัยแลง฾ ท่มี ผี ลตอ฽ การเกษตร มักเกดิ ในฤดูฝนที่มฝี นท้งิ ชว฽ งเป็นเวลานาน ผลกระทบทเี่ กดิ ขน้ึ รวมถงึ ผลกระทบด฾านต฽าง ๆ ดังนี้ 4.1ดา฾ นเศรษฐกจิ ส้นิ เปลอื งและสูญเสียผลผลติ ด฾านเกษตร ปศสุ ัตวแ ปุาไม฾ การประมง เศรษฐกจิ ทัว่ ไป เช฽น ราคาท่ดี ินลดลง โรงงานผลติ เสียหาย การว฽างงาน สญู เสียอุตสาหกรรมการ ท฽องเท่ยี ว พลังงาน อตุ สาหกรรม ขนส฽ง เป็นต฾น 4.2ดา฾ นสิง่ แวดลอ฾ ม สง฽ ผลกระทบต฽อสตั วตแ า฽ ง ๆ ทาํ ให฾ขาดแคลนนาํ้ เกดิ โรคกบั สัตวแ สูญเสียความ หลากหลายพนั ธุแ รวมถึงผลกระทบด฾านอุทกวิทยา ทําให฾ระดับและปรมิ าณนาํ้ ลดลง พ้ืนท่ีชุม฽ นํา้ ลดลง ความเค็มของน้ําเปลี่ยนแปลง ระดับนาํ้ ในดนิ เปล่ยี นแปลง คุณภาพนํ้าเปล่ยี นแปลง เกิด การกดั เซาะของดิน ไฟปุาเพ่ิมขึน้ สง฽ ผลต฽อคณุ ภาพอากาศและสูญเสยี ทัศนียภาพ เป็นต฾น

4.3ด฾านสงั คม เกิดผลกระทบในด฾านสขุ ภาพอนามัย เกดิ ความขัดแยง฾ ในการใชน฾ ้ําและการจดั การ คุณภาพชีวติ ลดลง วธิ ีการแก้ปัญหาภัยแลง้ ทาได้อย่างไร 1. แก฾ปญใ หาเฉพาะหนา฾ เชน฽ แจกนํา้ ให฾ประชาชน ขุดเจาะนํ้าบาดาล สรา฾ งศูนยจแ า฽ ยนาํ้ จดั ทํา ฝนเทยี ม 2. การแกป฾ ใญหาระยะยาว โดยพัฒนาลม฽ุ น้ํา เช฽น สร฾างฝาย เขอ่ื น ขดุ ลอกแหล฽งน้าํ รกั ษาปาุ และ ปลกู ปาุ ให฾ความร฽วมมือและมีส฽วนร฽วมมือในการจดั ทําและพฒั นาชลประทาน.

ใบความรู้ที2่ เรอ่ื งวาตภยั 2. วาตภัย 2.1 นิยามและสาเหตกุ ารเกิดวาตภัย วาตภยั หมายถงึ ภยั ทเี่ กดิ ข้นึ จากพายุลมแรงจนทําใหเ฾ กิดความเสียหายแก฽อาคารบ฾านเรือน ตน฾ ไม฾ และสิง่ กอ฽ สร฾าง สําหรบั ในประเทศไทย วาตภยั หรอื พายุลมแรงมีสาเหตมุ าจาก 1) พายุหมนุ เขตรอ฾ น ไดแ฾ ก฽ ดเี ปรสชัน่ พายุโซนรอ฾ น พายุใต฾ฝนุ 2) พายฤุ ดรู อ฾ น 3) ลมงวง (เทอรนแ าโด) นอกจากน้ี วาตภัยยังอาจเกิดข้ึนได฾จากมรสุมมีกําลังแรง ซึ่งประเทศไทยจะอย฽ูภายใต฾อิทธิพลของ มรสุมตะวนั ตกเฉยี งใต฾ และมรสุมตะวนั ออกเฉยี งเหนือ โดยอันตรายอันเน่อื งจากวาตภัยมดี ังน้ี - เกิดบนบก ตน฾ ไม฾ถอนรากถอนโคน ต฾นไมท฾ บั บ฾านเรือนพงั ผค฾ู นไดร฾ ับบาดเจ็บถึงตายเรือกสวนไร฽นา เสียหาย บ฾านเรือนท่ีไม฽แข็งแรงไม฽สามารถต฾านทานความรุนแรงของลมได฾พังระเนระนาดหลังคาบ฾านท่ีทําด฾วย สังกะสีจะถูกพัดเปิด กระเบ้ืองหลังคาปลิวว฽อน เป็นอันตรายต฽อผู฾ท่ีอย฽ูในท่ีโล฽งแจ฾ง เสาไฟฟูา เสาโทรเลข เสา โทรศัพทแ ล฾ม สายไฟฟูาขาด ไฟฟูาลัดวงจร เกิดเพลิงไหม฾ ผู฾คนเสียชีวิตจากไฟฟูาดูดได฾ ผ฾ูคนท่ีพักอยู฽ริมทะเล จะถูกคลื่นซัดท฽วมบ฾านเรือนและกวาดลงทะเล ผ฾ูคนอาจจมนํ้าตายในทะเลได฾ ฝนตกหนักมากทั้งวันและทั้งคืน อุทกภัยจะตามมา น้ําปุาจากภูเขาไหลหลากลงมาอย฽างรวดเร็วและรุนแรงเกิดน้ําท฽วมฉับพลันในบริเวณท่ีราบ ลุ฽มเชิงเขา เส฾นทางคมนาคม ทางรถไฟ สะพาน และถนนถกู ตัดขาด - ในทะเล มลี มพัดแรงจดั มากเกิดคลืน่ ใหญ฽ เรือขนาดใหญ฽อาจถูกพัดพาไปเกยฝ่ใงหรือชนหินโสโครก ทําให฾จมได฾ เรือขนาดเล็กอาจพลิกคว่ําและจมลง เกิดคล่ืนใหญ฽ซัดฝ่ใงทําให฾ระดับน้ําสูงท฽วมอาคารบ฾านเรือน บริเวณรมิ ทะเล และอาจกวาดส่ิงก฽อสรา฾ งท่ีไมแ฽ ขง็ แรงลงทะเลได฾ เรอื ประมงบรเิ วณชายฝใง่ จะถูกทาํ ลาย 2.2 ปัจจยั ท่ที าให้เกดิ วาตภัย 1) พายหุ มุนเขตรอ้ น พายุหมนุ เขตร฾อนเป็นคาํ ทวั่ ไปทีใ่ ช฾สาํ หรบั เรียกพายุหมนุ หรือพายุ ไซโคลน (cyclone) ท่ีมีถิ่นกําเนิดเหนือมหาสมุทรในเขตร฾อนแถบละติจูดต่ํา แต฽ห฽างจากเส฾นศูนยแสูตรอย฽าง นอ฾ ย 4 - 5 องศาละติจูด พายุนี้เกิดขึ้นในมหาสมุทรหรือทะเล ท่ีมีอุณหภูมิสูงตั้งแต฽ 26 º ซ. ข้ึนไปถึงระดับความ ลกึ ประมาณ 60 เมตร มปี รมิ าณไอนํา้ ในอากาศมากจนถึงระดับความสูงประมาณ 7 กิโลเมตร เมื่อเกิดข้ึนแล฾ว มักเคล่ือนตัวตามกระแสลมส฽วนใหญ฽จากทิศตะวันออกมาทางทิศตะวันตก และค฽อยโค฾งข้ึนไปทางละติจูดสูง แลว฾ เวยี นโค฾งกลบั ไปทางทิศตะวันออกอกี บรเิ วณทม่ี พี ายุหมุนเขตรอ฾ นเกิดขึ้นเปน็ ประจํา ไดแ฾ ก฽ · มหาสมทุ รแปซฟิ ิกเหนือดา฾ นตะวันตกและดา฾ นตะวนั ออกของเอเชยี เรียกว฽า“ไตฝ฾ ุน” · มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ บริเวณทะเลแคริบเบียน สหรัฐอเมริกา อเมริกากลางและมหาสมุทร แปซฟิ กิ ดา฾ นตะวนั ออก เรยี กวา฽ “เฮอรแรเิ คน” · บริเวณมหาสมุทรอินเดีย มหาสมทุ รแปซิฟกิ ตอนใต฾ และบริเวณออสเตรเลียเรียกวา฽ “ไซโคลน” พายุหมนุ เขตร฾อนจะใช฾เวลาในการกอ฽ ตัวประมาณ 2 - 4 วัน เมอ่ื อย฽ูในสภาวะที่เจริญเติบโตเต็มท่ี จะมีเส฾นผ฽านศูนยแกลางประมาณตั้งแต฽ 100 กิโลเมตร ขึ้นไปจนถึง 300 กิโลเมตร หรือมากกว฽า ความเร็วลม สูงสดุ ทบี่ ริเวณใกลศ฾ นู ยแกลาง นํามาใช฾เป็นการเกณฑแในการพิจารณาความรุนแรงของพายุ ซ่ึงในย฽านมหาสมุทร แปซิฟิกเหนอื ด฾านตะวนั ตก และทะเลจีนใต฾ มกี ารแบง฽ ตามขอ฾ ตกลงระหว฽างประเทศดังน้ี · พายดุ เี ปรสชน่ั (depression) ความเรว็ ลมใกล฾ศนู ยแกลางไม฽ถึง 63 กม./ชม. · พายโุ ซนรอ้ น (tropical storm) ความเรว็ ลมใกล฾ศนู ยแกลาง 63 กม./ชม. แต฽ไม฽ถงึ 118 กม./ชม. · ไตฝ้ นุ่ (typhoon) ความเร็วลมสงู สุดใกล฾ศนู ยกแ ลางต้งั แต฽ 118 กม./ชม. ขึน้ ไป

พายหุ มุนเขตรอ฾ นก฽อให฾เกิดภยั พิบตั ิเนอ่ื งมาจาก ลมแรงจัด คลื่นซัดฝ่ใง และฝนตกหนักเป็นบริเวณ กวา฾ ง โดยเฉพาะในอาณาบรเิ วณทศี่ นู ยแกลางพายเุ คล่อื นผา฽ นจะได฾รับผลกระทบมากท่ีสดุ ความ เสยี หายท่เี กิดข้นึ เนื่องจากพายแุ ปรผันตามความรุนแรงของพายุ เม่ือพายุมีกําลังในข้ันดีเปรสช่ัน ความเสียหาย ส฽วนใหญ฽จะเกิดขึ้นเน่ืองจากฝนตกหนักและอุทกภัยที่เกิดข้ึนตามมา เม่ือพายุมีกําลังแรงข้ึนเป็นพายุโซนร฾อน หรือไตฝ฾ นุ จะมีความเสยี หายเพมิ่ ขนึ้ อกี มากท้งั ชวี ติ และทรัพยแสนิ เนอ่ื งจากฝนตกหนัก อุทกภัย ลมพัดแรงจัดใน ทะเลมีคล่ืนสงู เป็นอันตรายตอ฽ การเดนิ เรือ และมคี ลน่ื ซดั ฝงใ่ สําหรับพายุหมุนเขตร฾อนท่ีเคลื่อนเข฾าส฽ูประเทศไทยส฽วนใหญ฽เป็นพายุดีเปรสชั่น เนื่องจากพายุ อ฽อนกําลังลงก฽อนถึงประเทศไทย ส฽วนท่ีมีกําลังแรงขนาดพายุโซนร฾อนหรือไต฾ฝุนมีโอกาสเคล่ือนเข฾าส฽ูประเทศ ไทยน฾อย จากสถิติในรอบ 48 ปี (พ.ศ. 2494-2541) ท่ีผ฽านมามีเพียง 11 ครั้ง ท่ีมีกําลังแรงเป็นพายุโซน ร฾อนหรือไต฾ฝุน (ไม฽ถึงร฾อยละ 10 ของจํานวนพายุทั้งหมดท่ีเคลื่อนเข฾าส฽ูประเทศไทย) และในจํานวน 11 ครั้ง ดังกล฽าวมีเพียงคร้ังเดียวที่พายุเคล่ือนเข฾ามาขณะมีกําลังแรงเป็นไต฾ฝุน ได฾แก฽ ไต฾ฝุน“เกยแ” ท่ีเคล่ือนขึ้นฝ่ใง จงั หวดั ชมุ พร เมอ่ื วันที่ 4 พฤศจกิ ายน 2532 2) คล่ืนพายุซัดฝ่ัง เป็นภัยท่ีร฾ายแรงอย฽างหนึ่งอันเนื่องมาจากพายุหมุนเขตร฾อน คือคลื่นพายุ ซัดฝ่ใง(storm surge) คล่ืนพายุซัดฝใ่ง คือคลื่นขนาดใหญ฽ซัดชายฝ่ใงอันเนื่องมาจากความแรงของลมท่ีเกิดขึ้น จากพายุหมนุ เขตรอ฾ นท่ีเคลื่อนตัวเข฾าหาฝใ่ง ประกอบกับความกดอากาศที่มีค฽าน฾อยบริเวณศูนยแกลางพายุทําให฾ นํ้าทะเลยกตัวสูงขึ้นกว฽าบริเวณโดยรอบ โดยปกติมีความรุนแรงมากในรัศมีประมาณ 100 กิโลเมตรจาก ศูนยแกลางพายุ คลน่ื พายุซัดฝง่ใ สว฽ นใหญ฽มีสาเหตุจากพายุหมุนเขตร฾อนท่ีมีความแรงในระดับพายุโซนร฾อนข้ึนไป กรณีของประเทศไทย พายุหมุนเขตร฾อนอาจก฽อตัวในทะเลจีนใต฾แล฾วเคล่ือนตัวผ฽านปลายแหลมญวนเข฾าส฽ูอ฽าว ไทย หรือก฽อในบริเวณอ฽าวไทยตอนล฽างโดยตรงเริ่มตั้งแต฽กลางเดือนตุลาคม-กลางเดือนธันวาคม โดยพื้นที่ที่ โอกาสการเกดิ คลื่นพายุซัดฝ่งใ ในช฽วงเดือนต฽างๆ ดังน้ี · เดือนตุลาคม บริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธแ ชุมพร สุราษฎรแธานี นครศรีธรรมราช ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด · เดือนพฤศจิกายน บริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธแ ชุมพร สุราษฎรแธานี นครศรีธรรมราช และชายฝใ่งภาคตะวนั ออก 3) สถิติพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนท่ีเข้าสู่ประเทศไทย มีพายุหมุนเขตร฾อนเคล่ือนเข฾าส฽ูประเทศ ไทยปลี ะประมาณ 3 ลกู พายจุ ะเร่ิมเคล่ือนเข฾าส฽ปู ระเทศไทยตงั้ แต฽เดอื นเมษายนแต฽มีโอกาสน฾อยมาก พายุจะมี โอกาสเคลอื่ นเขา฾ สป฽ู ระเทศไทยมากขึ้นเปน็ ลาํ ดับต้ังแตเ฽ ดือนพฤษภาคมเป็นต฾นไป และเดือนตุลาคมเป็นเดือนที่ พายุมีโอกาสเคล่ือนเข฾าส฽ูประเทศไทยมากที่สุด รองลงไปคือเดือนกันยายน พายุหมุนเขตร฾อนที่เข฾าส฽ูประเทศ ไทยส฽วนใหญ฽มาจากด฾านตะวันออกของประเทศ โดยมีแหล฽งกําเนิดในมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต฾จาก การวิเคราะหแสถิติพายุโดยรวมตลอดทั้งปี ปรากฏว฽า บริเวณที่ศูนยแกลางพายุเคล่ือนผ฽านมากท่ีสุดคือ ภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดนครพนมมีพายุเคล่ือนผ฽านร฾อยละ 20 – 25 ของพายุท้ังหมด จํานวน 164 ลูก รองลงไปได฾แก฽พ้ืนท่ีบริเวณจังหวัดมุกดาหาร สกลนคร หนองคาย อุดรธานี กาฬสินธแุ หนองบวั ลาํ ภแู ละเลย มีพายุเคล่ือนผ฽านร฾อยละ 15 – 20 ของจาํ นวนพายุท้งั หมด 4) พายฤุ ดูร้อนและพายุฟ้าคะนอง พายุฟูาคะนองเป็นปรากฏการณแซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะท่ี ลักษณะ ท่สี ําคญั คอื มกี ารปล฽อยประจุไฟฟูาจาํ นวนมากอย฽างทันทีทันใด ในลักษณะของฟูาผ฽าหรือฟูาแลบ และเกิดเสียง ดังคือฟูาร฾อง รวมทั้งมีฝนตกหนัก ลมกระโชกและอาจมีลูกเห็บตกเกิดขึ้นด฾วย พายุฤดูร฾อนส฽วนมากจะเกิด ระหว฽างเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน โดยจะเกิดบ฽อยในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส฽วนภาค กลางและภาคตะวันออก มีการเกิดน฾อยครั้งกว฽า สําหรับภาคใต฾ก็สามารถเกิดได฾แต฽ไม฽บ฽อยนัก อันตรายอัน เนอื่ งจากพายฤุ ดูร฾อนหรอื พายุฟาู คะนองรนุ แรงทีพ่ บไดบ฾ ฽อยในประเทศไทยไดแ฾ ก฽

· อากาศปใ่นปุวนและลมกระโชกที่รุนแรง ก฽อให฾เกิดความเสียหายต฽อสิ่งก฽อสร฾างต฽าง ๆบนพื้นดิน ซึ่ง บางคร้งั พบหา฽ งออกไปกวา฽ 30 กิเมตร จากเมฆพายฟุ ูาคะนอง · ลูกเห็บ ในเมฆพายุฟูาคะนองท่ีมียอดเมฆสูงมาก กระแสอากาศจะเคลื่อนท่ีข้ึนไปถึงระดับที่มีอุณหภูมิ ตา่ํ พอที่จะ ทําให฾ละอองนํ้าในเมฆแข็งตัวเป็นน้ําแข็งรวมตัวเข฾าด฾วยการสะสมจนเป็นก฾อนน้ําแข็งขนาดใหญ฽ขึ้น จนใน ทสี่ ุดเมื่อกระแสอากาศที่เคล่ือนท่ีข้ึนภายในเมฆไม฽สามารถพยุงรับนํ้าหนักของน้ําแข็งน้ีไว฾ได฾อีกต฽อไป ก็จะ ตกลงมาเปน็ ลูกเห็บทาํ ความเสียหายได฾ · ฟาู ผา฽ · ฝนตกหนกั ต฽อเนอื่ ง ทาํ ใหเ฾ กิดนํา้ ท฽วมฉบั พลันในพ้ืนท่รี าบลม฽ุ หรือที่ตา่ํ และพน้ื ท่ีบริเวณเชิงเขา

ใบความรูท้ ่ี3 เร่ืองอุทกภัย ดินโคลน ถลม่ 1. อุทกภัย 1.1 นิยามและสาเหตุการเกดิ อทุ กภัย อทุ กภยั คือ ภัยหรอื อันตรายทเ่ี กิดจากนา้ํ ทว฽ ม หรืออันตรายอนั เกิดจากสภาวะที่นา้ํ ไหลเอ฽อ ล฾นฝ่ใงแมน฽ า้ํ ลาํ ธาร หรอื ทางนํ้า เขา฾ ทว฽ มพน้ื ที่ซึ่งโดยปกตแิ ล฾วไมไ฽ ด฾อย฽ูใตร฾ ะดบั นาํ้ หรือเกิดจากการสะสมนาํ้ บน พ้นื ทซี่ ึง่ ระบายออกไมท฽ ันทาํ ใหพ฾ น฾ ทีน่ นั้ ปกคลมุ ไปดว฾ ยนาํ้ โดยทว่ั ไปแลว฾ อุทกภยั มักเกิดจากนํ้าท฽วม ซงึ่ สามารถ แบง฽ เปน็ ลกั ษณะใหญ฽ๆ ได฾ 2 ลักษณะ คือ 1) น้าทว่ มขัง/นา้ ล้นตลงิ่ เป็นสภาวะนํ้าท฽วมที่เกดิ ขน้ึ เนื่องจากระบบระบายนา้ํ ไมม฽ ีประสิทธิภาพ มกั เกิดขนึ้ ในบรเิ วณท่รี าบลุ฽มแม฽นา้ํ และบริเวณชมุ ชนเมืองใหญๆ฽ มลี ักษณะค฽อยเปน็ ค฽อยไป ซ่ึงเกดิ จากฝนตกหนกั ณ บรเิ วณนนั้ ๆ ติดต฽อกันเปน็ เวลาหลายวนั หรือเกิดจากสภาวะน้ําล฾นตล่ิง นา้ํ ท฽วมขังส฽วนใหญ฽จะเกิดบริเวณ ทา฾ ยน้ําและมลี ักษณะแผ฽เป็นบรเิ วณกวา฾ งเนอ่ื งจากไมส฽ ามารถระบายได฾ทัน ความเสยี หายจะเกดิ กับพชื ผล ทางการเกษตรและอสังหารมิ ทรพั ยแเป็นสว฽ นใหญ฽ สําหรับความเสยี หายอนื่ ๆ มีไมม฽ ากนกั เพราะสามารถ เคลอ่ื นย฾ายไปอยู฽ในท่ีทป่ี ลอดภยั 2) น้าทว่ มฉับพลัน เปน็ ภาวะนํา้ ทว฽ มทเี่ กดิ ขึ้นอย฽างฉบั พลันในพ้ืนท่ี เนื่องจากฝนตกหนักในบรเิ วณ พนื้ ท่ีซง่ึ มคี วามชนั มาก และมีคุณสมบตั ใิ นการกักเก็บหรือการตา฾ นนาํ้ นอ฾ ย เช฽น บรเิ วณต฾นนํา้ ซงึ่ มีความชนั ของ พน้ื ทม่ี าก พน้ื ที่ปุาถูกทาํ ลายไปทาํ ให฾การกักเกบ็ หรอื การตา฾ นนํา้ ลดนอ฾ ยลง บรเิ วณพืน้ ทีถ่ นนและสนามบนิ เป็น ตน฾ หรอื เกิดจากสาเหตอุ ื่นๆ เช฽น เขื่อนหรืออา฽ งเกบ็ นา้ํ พังทลาย นํา้ ท฽วมฉับพลนั มักเกดิ ขึ้นหลังจากฝนตกหนกั ไมเ฽ กนิ 6 ชว่ั โมง และมกั เกิดขน้ึ ในบรเิ วณที่ราบระหว฽างหุบเขา ซึ่งอาจจะไมม฽ ีฝนตกหนักในบรเิ วณนั้นมา กอ฽ นเลยแต฽มีฝนตกหนักมากบรเิ วณตน฾ นํ้าทอี่ ยห฽ู ฽างออกไป เนื่องจากน้าํ ทว฽ มฉับพลันมคี วามรนุ แรงและเคลือ่ นที่ ด฾วยความรวดเรว็ มากโอกาสทจี่ ะปูองกนั และหลบหนีจึงมีนอ฾ ย ดงั นนั้ ความเสียหายจากนํ้าทว฽ มฉับพลนั จงึ มี มากทัง้ แกช฽ ีวิตและทรัพยสแ นิ สาเหตุของการเกิดอุทกภยั จากธรรมชาติ มดี งั นี้ · ฝนตกหนกั จากพายหุ รอื พายุฝนฟา้ คะนอง เป็นพายุที่เกิดข้ึนติดต฽อกนั เปน็ เวลาหลายชว่ั โมง มี ปรมิ าณฝน ตกหนกั มากจนไมอ฽ าจไหลลงสต฽ู ฾นนา้ํ ลําธารได฾ทันจึงท฽วมพื้นทท่ี ี่อยู฽ในที่ต่าํ มักเกิดในชว฽ งฤดูฝนหรือฤดรู ฾อน · ฝนตกหนักจากพายหุ มุนเขตร้อน เมื่อพายนุ ี้ประจาํ อย฽ทู ่แี ห฽งใดแหง฽ หนงึ่ เป็นเวลานานหรือแทบ ไมเ฽ คลื่อนท่ี จะทําใหบ฾ รเิ วณน้ันมีฝนตกหนักติดตอ฽ กนั ตลอดเวลา ย่ิงพายุมีความรนุ แรงมาก เช฽น มคี วามรุนแรงขนาดพายุ โซนรอ฾ นหรือไต฾ฝุน เมือ่ เคล่ือนตวั ไปถงึ ท่ีใดก็ทําใหท฾ น่ี ้ันเกดิ พายุลมแรง ฝนตกหนกั เปน็ บริเวณกว฾างและมีนํ้า ท฽วมขงั นอกจากน้ีถ฾าความถข่ี องพายทุ เี่ คล่ือนที่เขา฾ มาหรือผา฽ นเกดิ ขึน้ ต฽อเนื่องกนั ถึงแมจ฾ ะในช฽วงสัน้ แตก฽ ็ทําให฾ น้ําท฽วมเสมอ · ฝนตกหนกั ในปา่ บนภูเขา ทําใหป฾ ริมาณนํา้ บนภูเขาหรือแหลง฽ ตน฾ นาํ้ มาก มีการไหลและเชีย่ ว อยา฽ งรนุ แรง ลงส฽ูทีร่ าบเชิงเขา เกิดนํา้ ท฽วมขน้ึ อยา฽ งกะทันหัน เรียกวา฽ น้าํ ท฽วมฉบั พลนั เกิดขนึ้ หลงั จากทีม่ ีฝนตกหนกั ในชว฽ ง ระยะเวลาส้นั ๆ หรอื เกิดก฽อนทฝ่ี นจะหยดุ ตก มักเกดิ ข้ึนในลําธารเล็กๆ โดยเฉพาะตอนที่อยู฽ใกลต฾ ฾นน้ําของ บรเิ วณลมุ฽ น้าํ ระดับนํา้ จะสงู ข้ึนอย฽างรวดเร็ว จังหวัดทอี่ ย฽ูใกล฾เคยี งกบั เทือกสงู เช฽น จงั หวัดเชยี งใหม฽ เป็นตน฾ · ผลจากน้าทะเลหนนุ ในระยะท่ีดวงอาทิตยแแ ละดวงจันทรแอยูใ฽ นแนวที่ทาํ ให฾ระดบั น้ําทะเลข้นึ สงู สุด นํ้า

ทะเลจะหนนุ ใหร฾ ะดับนํ้าในแมน฽ ํ้าสงู ขนึ้ อีกมาก เม่ือประจวบกบั ระยะเวลาที่นา้ํ ปาุ และจากภูเขาไหลลงส฽แู มน฽ ้ํา ทําใหน฾ ้าํ ในแมน฽ ้าํ ไม฽อาจไหลลงสูท฽ ะเลได฾ ทําใหเ฾ กิดนํา้ เอ฽อล฾นตลงิ่ และท฽วมเป็นบริเวณกว฾างย่ิงถา฾ มฝี นตกหนกั หรือมพี ายเุ กดิ ขนึ้ ในชว฽ งนี้ ความเสียหายจากนา้ํ ทว฽ มชนิดน้ีจะมีมาก · ผลจากลมมรสุมมีกาลังแรง มรสมุ ตะวันตกเฉียงใต฾เป็นมรสมุ ทพ่ี ัดพาความชนื้ จากมหาสมุทร อนิ เดียเขา฾ ส฽ู ประเทศไทย ตง้ั แต฽เดือนพฤษภาคมถงึ ตุลาคม เม่ือมีกําลังแรงเป็นระยะเวลาหลาย วนั ทําให฾เกดิ คลื่นลมแรง ระดบั น้าํ ในทะเลตามขอบฝ่งใ จะสงู ขน้ึ ประกอบกบั มีฝนตกหนกั ทาํ ให฾เกดิ นํ้าท฽วมได฾ ยงิ่ ถ฾ามีพายุเกิดข้ึนในทะเล จีนใตก฾ จ็ ะย่ิงเสรมิ ให฾มรสุมดังกลา฽ วมีกาํ ลงั แรงขนึ้ อีก ส฽วนมรสุมตะวันออกเฉยี งเหนือพัดจากประเทศจีนเข฾าสู฽ ไทย ปะทะขอบฝงใ่ ตะวันออกของภาคใต฾ มรสมุ นมี้ ีกาํ ลังแรงเป็นครั้งคราว เม่ือบรเิ วณความกดอากาศสูงใน ประเทศจีนมกี าํ ลังแรงขึ้นจะทําให฾มคี ลน่ื ค฽อนข฾างใหญ฽ในอา฽ วไทย และระดบั น้ําทะเลสูงกวา฽ ปกติ บางครั้งทําให฾ มฝี นตกหนกั ในภาคใต฾ ตงั้ แต฽จังหวดั ชุมพร ลงไปทาํ ใหเ฾ กิดนา้ํ ทว฽ มเป็นบรเิ วณกวา฾ ง · ผลจากแผน่ ดนิ ไหวหรือภเู ขาไฟระเบดิ เมื่อเกิดแผ฽นดินไหว หรือภูเขาไฟบนบกและภูเขาไฟใต฾ น้ําระเบดิ เปลอื กของผิวโลกบางสว฽ นจะได฾รับความกระทบกระเทือนต฽อเน่อื งกนั บางส฽วนของผวิ โลกจะสงู ขึน้ บางสว฽ นจะ ยุบลง ทาํ ให฾เกดิ คลนื่ ใหญ฽ในมหาสมทุ รซัดขึน้ ฝใง่ เกิดนา้ํ ทว฽ มตามหมูเ฽ กาะและเมืองตามชายฝ่ใงทะเลได฾ เกดิ ข้นึ บ฽อยครั้งในมหาสมุทรแปซฟิ ิก สาเหตุของการเกิดอทุ กภัยจากการกระทาของมนุษย์ มดี งั น้ี · การตัดไม฾ทําลายปุา ในพื้นที่เส่ียงภยั เมื่อเกิดฝนตกหนักจะทาํ ใหอ฾ ัตราการไหลสงู สุดเพ่มิ มากข้นึ และไหล มาเร็วขนึ้ เป็นการเพิ่มความรุนแรงของน้าํ ในการทาํ ลายและยังเป็นสาเหตขุ องดินถล฽มดว฾ ย นอกจากนี้ยังทาํ ให฾ ดินและรากไม฾ขนาดใหญ฽ถูกชะล฾างให฾ไหลลงมาในท฾องนา้ํ ทําให฾ท฾องนํ้าตื้นเขนิ ไมส฽ ามารถระบายน้ําได฾ทันที รวมท้ังก฽อใหเ฾ กดิ ความสูญเสียชวี ิตและบาดเจ็บของประชาชนทางด฾านทา฾ ยนํ้า · การขยายเขตเมืองลกุ ลํ้าเขา฾ ไปในพ้ืนทีล่ ม฽ุ ตํา่ (Flood plain) ซ่งึ เป็นแหลง฽ เก็บน้ําธรรมชาติทาํ ให฾ไม฽มีท่ีรบั น้าํ ดังนน้ั เม่ือนํ้าล฾นตล่งิ ก็จะเขา฾ ไปท฽วมบริเวณทเ่ี ป็นพื้นทีล่ ฽ุมตํา่ ซง่ึ เป็นเขตเมืองท่ีขยายใหม฽ก฽อน · การก฽อสรา฾ งโครงสรา฾ งขวางทางนํา้ ธรรมชาตทิ ําให฾มีผลกระทบต฽อการระบายนา้ํ และกอ฽ ให฾เกดิ ปใญหา น้าํ ทว฽ ม · การออกแบบทางระบายน้ําของถนนไม฽เพยี งพอ ทาํ ให฾น้าํ ล฾นเออ฽ ในเขตเมือง ทําความเสยี หาย ใหแ฾ ก฽ชุมชน เมอื งใหญ฽ เนอ่ื งจากการระบายไดช฾ า฾ มาก · การบรหิ ารจดั การนํ้าท่ีไม฽ดีเปน็ สาเหตหุ นึ่งทท่ี ําให฾เกิดนาํ้ ท฽วมโดยเฉพาะบริเวณด฾านทา฾ ยเขื่อน หรอื อ฽าง เก็บนํ้า 2. โคลนถลม่ 2.1 นิยามของโคลนถลม่ ดินถล฽มหรอื โคลนถล฽ม คือ การเคลื่อนตวั ของมวลดนิ และหนิ ภายใตอ฾ ทิ ธิพลแรงโน฾มถ฽วงของโลก สาเหตุหลกั ของดินถล฽มหรือโคลนถลม฽ คือ ดินบริเวณนัน้ ไม฽สามารถรับนา้ํ หนักของตวั เองไดอ฾ ีกต฽อไป ดนิ ถลม฽ มกั เกดิ พร฾อมกับหรือตามมาหลังจากน้าํ ปุาไหลหลาก เกดิ ข้ึนในขณะหรือภายหลังพายฝุ นท่ที ําให฾เกดิ ฝนตกหนัก ตอ฽ เนือ่ งอย฽างรนุ แรง กล฽าวคือ เม่ือฝนตกต฽อเนื่องนํ้าซึมลงในดนิ อย฽างรวดเร็ว เมอื่ ถึงจดุ หนึง่ ดนิ จะอ่ิมตวั ชม฽ุ ดว฾ ย นาํ้ ยงั ผลใหน฾ ้ําหนกั ของมวลดินเพิ่มขนึ้ และแรงยดึ เกาะระหวา฽ งมวลดนิ ลดลง ระดบั นา้ํ ใต฾ผิวดินเพิ่มสงู ข้ึนทําให฾

แรงต฾านทานการเลื่อนไหลของดนิ ลดลง จงึ เกิดการเลื่อนไหลของตะกอนมวลดินและหิน ดงั นนั้ โอกาสท่ีเกิดดนิ ถลม฽ หรือโคลนถล฽มจึงมมี ากยิ่งขนึ้ การเคลอ่ื นตัวของดินอาจเกดิ อย฽างช฾าๆหรืออยา฽ งฉับพลัน นํ้าหนกั ของมวลดิน ท่ถี ล฽มลงมามกี ําลงั มหาศาลท่ีทาํ ลายสง่ิ ตา฽ ง ๆ ท่ขี วางทางและก฽อให฾เกิดความเสยี หายต฽อชวี ิตและทรพั ยสแ นิ การ เกดิ ดินถล฽มเกดิ ข้นึ ไดห฾ ลายลกั ษณะ 2.2 สาเหตขุ องดนิ ถล่ม/โคลนถลม่ จําแนกไดด฾ ังตอ฽ ไปน้ี 1) สาเหตุจากมนษุ ย์ (Manmade Causes) กจิ กรรมที่มนุษยแทาํ ในบรเิ วณท่ีลาดชัน เปน็ สาเหตหุ น่ึงทท่ี ําใหเ฾ กดิ ดินถล฽มหรอื โคลนถล฽ม เช฽น · การก฽อสรา฾ งในบริเวณเชงิ เขาทลี่ าดชนั โดยไมม฽ ีการคํานวณดา฾ นวิศวกรรมท่ีดีพอ · การเกษตรในพื้นท่ีลาดชนั เชิงเขา · การกําจดั พืชที่ปกคลุมดนิ และการตัดไมท฾ ําลายปุา กิจกรรมเหล฽าน้ีส฽งผลให฾พื้นที่ดังกลา฽ วมคี วามลาดชนั เพิม่ ขึ้นเกิดการเปลีย่ นแปลงรปู แบบการไหลของนา้ํ ผิวดนิ และเปลี่ยนแปลงระดับนํา้ บาดาล ซ่งึ อาจก฽อใหเ฾ กิดดินถล฽มหรอื โคลมถล฽ม การขุดหรือตัดถนนในบริเวณทลี่ าด เชิงเขาอาจกอ฽ ใหเ฾ กิดความชันของพน้ื ทม่ี ากข้ึน การขุดเหมืองและการระเบิดหนิ มักจะทําใหด฾ นิ มคี วามลาดชัน เพมิ่ ข้ึน การทาํ การเกษตรในบรเิ วณทล่ี าดชัน เกษตรกรก็จําเป็นทีจ่ ะต฾องกําจดั วัชพืชและอาจปรับพื้นท่ีใหม฾ ี ลักษณะขัน้ บันไดหรือธรุ กจิ การตัดไมท฾ ําลายปุา กิจกรรมเหล฽าน้ลี ฾วนทาํ ใหเ฾ กดิ การเปลยี่ นแปลงรปู แบบการไหล ของนาํ้ บรเิ วณผิวดินกลา฽ วคือนํา้ จะไหลผา฽ นหนา฾ ดินอย฽างรวดเรว็ และกอ฽ ใหเ฾ กิดการชะลา฾ งหนา฾ ดินเนอ่ื งจากปาุ ถูกทําลาย ดินขาดรากไม฾ยึดเหนย่ี วนอกจากนี้การเปล่ยี นแปลงรูปแบบการไหลของน้ําบรเิ วณผิวดนิ ยงั สง฽ ผลตอ฽ ระดับนาํ้ บาดาลอีกดว฾ ย ในการทําชลประทาน จะมีปรมิ าณนา้ํ ส฽วนหนึ่งท่ีซึมออกจากคลองชลประทานและไหล ซมึ ลงไปใตด฾ ิน ทาํ ให฾ระดับน้าํ บาดาลเพมิ่ สงู ข้นึ มวลดินมนี ํ้าหนักมากขึ้นและอาจเป็นสาเหตใุ หเ฾ กดิ ดนิ ถล฽มใน ท่สี ุด การเพิ่มระดบั นํ้าบาดาลอาจมสี าเหตุมาจากการรั่วของท฽อนํา้ บ฽อหรอื อ฽างเก็บนํา้ หรอื การปล฽อยน้าํ ท้ิง จากท่ตี ฽าง ๆ 2) สาเหตุจากธรรมชาติ (Natural factors) เหตกุ ารณแทางธรรมชาตกิ เ็ ป็นสาเหตใุ หเ฾ กิดดิน ถล฽มหรอื โคลนถลม฽ ได฾เช฽นกนั เชน฽ · ฝนตกหนกั การเกดิ ดินถลม฽ ในประเทศไทยส฽วนใหญ฽มกั จะมีฝนเป็นปจใ จยั เรง฽ ท่สี าํ คัญเสมอ · การละลายของหิมะจะไปเพ่ิมระดับนาํ้ ใตผ฾ วิ ดนิ และนา้ํ หนกั ของดนิ อย฽างรวดเรว็ · การเปล่ยี นแปลงระดบั นาํ้ เน่อื งจากน้ําขนึ้ น้าํ ลง การลดระดับนา้ํ ในแม฽นาํ้ และอา฽ งเก็บน้าํ · การกัดเซาะของดนิ จากกระแสน้าํ ในแม฽น้าํ ลาํ ธาร หรอื จากคล่ืนซัดทําให฾ความหนาแน฽นของ มวลดินลดลง · การผพุ งั ของมวลดินและหนิ · การส่ันสะเทือนจากแผ฽นดินไหว · ภเู ขาไฟระเบดิ ในบรเิ วณที่ภเู ขาไฟยงั ไม฽สงบ เถ฾าภูเขาไฟหรือลาวาจะเคลือ่ นตัวเป็นมวลดินขนาด ใหญ฽ที่มี ความหนาแน฽นตํ่าเม่อื เกดิ ฝนตกหนัก จงึ มโี อกาสท่เี กิดดินถล฽มหรอื โคลนถล฽มนอกจากน้ี การเกิดดนิ ถลม฽ อาจมี สาเหตุจากการเกดิ ภยั ธรรมชาตหิ ลาย ๆ อย฽างในเวลาเดียวกนั ในบางกรณี ภัยธรรมชาตเิ พียงภยั หน่ึงอาจสง฽ ผล ให฾เกิดภยั ต฽าง ๆ ตามมาได฾ ตัวอย฽างเชน฽ แผ฽นดินไหวซงึ่ ทาํ ให฾เกิดดนิ ถลม฽ และเขื่อนแตก ส฽งผลให฾เกิดน้ําทว฽ ม อยา฽ งรนุ แรงในพืน้ ทท่ี า฾ ยน้าํ ที่มีระดบั ตา่ํ กวา฽ เหตกุ ารณแลักษณะเชน฽ นีอ้ าจสง฽ ผลกระทบแตกตา฽ งไป จาก เหตกุ ารณทแ ี่มสี าเหตกุ ารเกิดจากภยั พิบตั ิเพียงภัยเดียว


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook