Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการสอน ม.ปลาย 164ปัจจุบัน

แผนการสอน ม.ปลาย 164ปัจจุบัน

Published by Pandee Komala, 2021-06-17 07:29:41

Description: แผนการสอน ม.ปลาย 164ปัจจุบัน

Search

Read the Text Version

ใบความร้ทู ่ี 5 เร่ือง หลกั สะเต็มศึกษาสาหรับการประดษิ ฐ์จากวัสดุใชแ้ ล้ว ทุกวันนี้ปัญหาเรื่องการจัดการขยะนับเป็นปัญหาระดับชาติ การจัดการเรียนการสอนตามแนวทางของสะเต็มศึกษา (STEM Education) ทไ่ี ดย้ ินกันอย่างแพร่หลายมากข้นึ เรื่อย ๆ หลายท่านคงกาลังครุ่นคิดว่า จะทาให้อย่างให้การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และ คณติ ศาสตร์ เช่ือมโยงสนบั สนนุ ซึง่ กันและกัน และเชอ่ื มโยงการเรียนรู้ สู่การแก้ปญั หาจรงิ เรื่องขยะได้ การจัดการเรยี นรตู้ ามแนวคิดสะเตม็ ศึกษาสาหรบั การจัดการกับวัสดุใช้แลว้ ทาได้หลากหลายแนวทาง บางอย่างเป็น การเปลยี่ นแปลงงา่ ย ๆ ทุกคนสามารถทาได้ด้วยตัวเอง สว่ นบางแนวทางต้องการ “แนวร่วม” สนับสนุนท่ีกว้างขวาง ข้ึน เช่น การทางานร่วมกันระหว่างผู้สอนกับนักเรียน การทางานร่วมกันท้ังโรงเรียน หรือแม้กระท่ังการดาเนินการ รว่ มกันกับชมุ ชน หรือสถาบันการศกึ ษาทอ้ งถน่ิ แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรสู้ ะเตม็ ศึกษาสาหรบั การประดิษฐ์วสั ดุใช้แล้ว เปน็ สว่ นหนง่ึ ของวธิ ีการหลากหลายทีจ่ ะจดั การกบั วัสดใุ ชแ้ ล้ว ซ่ึงมีแนวทางดงั น้ี 1. เช่ือมโยงเน้ือหาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี สู่โลกจริง หลายทา่ นน่าจะทาอยแู่ ลว้ อย่างสมา่ เสมอ เพราะในชีวิตประจาวันเรามีการใช้วัสดุต่างอยู่เสมอตลอดจนมีการบริหาร จดั การวัสดนุ น้ั อยา่ งมีประสิทธิภาพ เพียงมองเห็นว่าแนวคิดหลัก หรือกระบวนการท่ีเรียนรู้น้ัน สามารถเกิดขึ้นได้ใน ธรรมชาติ ใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตจริง ก็เป็นก้าวแรกสู่การบูรณาการความรู้สู่การเรียนอย่างมีความหมาย เพราะ ปรากฏการณ์หรอื ประดิษฐ์กรรมใดๆ รอบตัวเรา ไม่ได้เป็นผลของความรู้จากศาสตร์หน่ึงศาสตร์ใดเพียงศาสตร์เดียว การประยุกต์ความรู้ง่าย ๆ เช่น การคานวณพื้นท่ีของแกนม้วนกระดาษชาระ เชื่อมโยงสู่ความรู้ความสงสัยด้านวัสดุ ศาสตร์ เทคโนโลยีการผลิต และการใช้กระบวนการทางวิศวกรรมวิเคราะห์ปัญหาและสร้างสรรค์วิธีแก้ไขได้อย่ าง หลากหลายจนน่าแปลกใจ 2. การสืบเสาะหาความรู้ การเรียนรู้สะเต็มศึกษาสาหรับการประดิษฐ์วัสดุใช้แล้ว โดยให้ผู้เรียนได้ศึกษาประเด็นปัญหา หรือตั้งคาถามซ่ึงเป็น ปญั หาที่เกิดข้ึนกับตนเองหรือชุมชน เช่น ในชุมชนมีการใช้ขวดน้าพลาสติกจานวนมากจนเกิดปัญหาขยะ ผู้เรียนนา ประเด็นปัญหา ไปสร้างคาอธิบายด้วยตนเอง โดยการรวบรวมประจักษ์พยานหลักฐานท่ีเกี่ยวข้อง ส่ือสารแนวคิด และเหตผุ ล เปรยี บเทยี บแนวคิดต่าง ๆ โดยพิจารณาความหนักแน่นของหลักฐาน ก่อนการตัดสินใจไปในทางใดทาง หน่งึ นบั เป็นกระบวนการเรียนรู้สาคัญที่ไม่เพียงแต่สนับสนุนการเรียนรู้ในประเด็นท่ีศึกษาเท่าน้ัน แต่ยังเป็นช่องทาง ให้มกี ารบรู ณาการความร้ใู นศาสตรอ์ ่ืน ๆ ทเี่ ก่ียวข้องกับคาถาม นับเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่สนับสนุนจุดเน้น ของสะเต็มศึกษาสาหรบั การประดษิ ฐจ์ ากวสั ดใุ ชแ้ ล้วได้เป็นอย่างดี

3. การเรยี นร้โู ดยใช้โครงงานเป็นฐาน การทาโครงงานเป็นการสืบเสาะหาความรู้ในรูปแบบหนึ่ง แต่ผู้เขียนได้แยกโครงงานออกมาเป็นหัวข้อเฉพาะ เน่อื งจากเป็นแนวทางทีส่ ามารถส่งเสริมการบูรณาการความรูส้ กู่ ารแก้ปญั หาได้ชดั เจน การสบื เสาะหาความรู้บางครั้ง ผู้สอนเป็นผู้กาหนดประเด็นปัญหา หรือให้ข้อมูลสาหรับศึกษาวิเคราะห์ หรือกาหนดวิธีการในการสารวจตรวจสอบ ตามข้อจากัดของเวลาเรียน วัสดุอุปกรณ์ หรือปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ แต่การทาโครงงานน้ันเป็นการเปิดโอกาสให้ นักเรยี นเกิดประสบการณ์การเรียนรู้สาคัญในทกุ ขน้ั ตอนดว้ ยตนเอง ตัง้ แต่การกาหนดปัญหาศึกษาความรู้ท่ีเก่ียวข้อง ออกแบบวธิ กี ารรวบรวมข้อมลู ดาเนินการ ลงข้อสรุป และส่ือสารส่ิงท่ีค้นพบ (บางครั้งผู้สอนอาจกาหนดกรอบกว้าง ๆ เช่น ให้ทาโครงงานเก่ียวกับส่ิงประดิษฐ์จากวัสดุใช้แล้ว โครงงานเก่ียวกับการใช้คณิตศาสตร์ในวัสดุใช้แล้วของ ชุมชน เปน็ ต้น) โครงงานในรปู แบบสงิ่ ประดิษฐ์จะมกี ารบรู ณาการกระบวนการทางวิศวกรรมได้อยา่ งโดดเด่น 4. การสรา้ งสรรค์ชน้ิ งาน ประสบการณ์การทาช้ินงาน สร้างทักษะการคิด การออกแบบ การตัดสินใจ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะ อย่างยิ่งชิ้นงานที่ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกวัสดุใช้แล้วเองและคิดอย่างอิสระและสร้างสรรค์ การประดิษฐ์ ช้ินงานเหลา่ นี้จากเศษวัสดใุ ชแ้ ล้ว ประยุกตใ์ ชค้ วามรวู้ ิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ อย่างไม่รู้ตัวบางคร้ังอาจจัดให้ผู้เรียน สะท้อนความคิดวา่ ไดเ้ กิดประสบการณ์หรือเรียนรูอ้ ะไรบา้ งจากงานที่มอบหมายให้ทา เพราะเปูาหมายของการเรียน รู้อยู่ท่ีกระบวนการทางานด้วยเช่นกัน หากผู้เรียนมองเพียงเปูาหมายชิ้นงานที่สาเร็จอย่างเดียวอาจไม่ตระหนักว่า ตนเองไดเ้ รยี นรู้บทเรยี นสาคญั มากมายระหวา่ งทางและมสี ว่ นหรอื บทบาทในการช่วยรกั ษาสภาพแวดล้อมอกี ดว้ ย 5. การบรู ณาการเทคโนโลยี เพียงบรู ณาการเทคโนโลยีที่เหมาะสมสู่กระบวนประดิษฐ์จากวัสดุใช้แล้ว ก็ถือว่าได้ก้าวเข้าใกล้เปูาหมายการจัดการ เรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาอีกก้าวหนึ่งแล้ว เทคโนโลยีที่สามารถใช้ประโยชน์ในปัจจุบันมีได้ต้ังแต่การสืบค้น ข้อมูลลักษณะต่าง ๆ การบันทึกและนาเสนอข้อมูลด้วยภาพน่ิง วีดิทัศน์ และมัลติมีเดีย การใช้อุปกรณ์ sensor/data logger บันทึกข้อมูลในการสารวจตรวจสอบ การใช้ซอฟต์แวร์จัดกระทา วิเคราะห์ข้อมูล และ เทคโนโลยีอ่ืนๆ อีกมากมาย การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ กระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ ประยุกต์ใช้ความรู้ แก้ปัญหา และทางานร่วมกัน รวมทั้งสร้างทักษะสาคัญในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพต่อไป ในอนาคตดว้ ย 6. การม่งุ เนน้ ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 กจิ กรรมการเรยี นร้ตู ามแนวทางสะเต็มศึกษาพฒั นาพฒั นาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างทักษะ การเรียนรู้และสร้างนวัตกรรม (Learning and Innovation Skills) ตามกรอบแนวคิดของ Partnership for 21st Century Skills ที่ครอบคลุม 4C คือ Critical Thinking (การคิดเชิงวิพากษ์) Communication (การส่ือสาร) Collaboration (การทางานร่วมกัน) และ Creativity (การคิดสร้างสรรค)์ จะเหน็ ไดว้ ่ากิจกรรมการเรียนรู้ในรูปแบบ โครงงาน หรอื การสร้างสรรคช์ ิน้ งานจากวัสดุใชแ้ ลว้ ท่ีกล่าวถึงขา้ งต้นนั้นสามารถสร้างเสริมทักษะเหล่านี้ได้มากอย่าง ไรก็ตามในบริบทของสถานศึกษาทั่วไป ผู้สอนอาจไม่สามารถให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยการทาโครงงาน หรือการ สร้างสรรค์ชน้ิ งานเทา่ นนั้ ดังนัน้ ในบทเรียนอน่ื ๆ ถา้ ผูส้ อนม่งุ เน้นทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ในทุกโอกาสท่ีเอื้ออานวย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็น ทางานร่วมกัน เรียนรู้การหาที่ติ (ฝึกคิดเชิงวิพากษ์) หาท่ีชมหรือเสนอ วิธกี ารใหม่

7. การสร้างการยอมรบั และการมีสว่ นรว่ มจากชมุ ชน ผู้สอนหลายท่านอาจเคยมีประสบการณ์กับผู้ปกครองที่ไม่เข้าใจแนวคิดการศึกษาท่ีพัฒนาผู้ เรียนให้เป็นคนเต็มคน แต่มุ่งหวังให้สอนเพียงเน้ือหา อยากให้ผู้สอนสร้างเด็กท่ีสอบเรียนต่อได้ แต่อาจใช้ชีวิตไม่ได้ในสังคมจริงของการ เรียนรู้และการทางาน เมื่อผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรียนสืบค้น สร้างช้ินงาน หรือทาโครงงานผู้ปกครองไม่ให้การ สนบั สนุน หรอื อกี ดา้ นหน่งึ ผู้ปกครองรับหน้าที่ทาให้ทุกอย่าง อยา่ งไรก็ตามหวังว่าผู้ปกครองทุกคนจะไม่เป็นไปตามท่ี กล่าวข้างต้น ผลงานจากความสามารถของเด็ก เป็นอาวุธสาคัญท่ีผู้สอนจะนามาเผยแพร่จัดแสดงเพื่อชนะใจ ผู้ปกครองและชุมชนใหใ้ หก้ ารสนับสนุนการจดั การเรียนรูต้ ามแนวทางสะเต็มศกึ ษา ผู้สอนสามารถนาผู้เรียนไปศึกษา ในแหล่งเรียนรู้ของชุมชน สารวจส่ิงแวดล้อมธรรมชาติในท้องถ่ิน ศึกษาและรายงานสภาพมลพิษหรือการใช้ ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นท่ีให้ชุมชนรับทราบ ตลอดจนศึกษาและแก้ปัญหาท่ีเก่ียวข้องกับผลิตภัณฑ์ในชุมชน กจิ กรรมการเรยี นรูเ้ หลา่ นี้ เกิดประโยชน์สาหรับนักเรียนเอง อาจเป็นประโยชน์สาหรับชุมชน และสามารถสร้างการ มสี ว่ นรว่ ม ความภาคภมู ิใจ และทีส่ าคัญอย่างย่ิงคอื ความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมรับผิดชอบคุณภาพการจัดการศึกษาใน ทอ้ งถ่นิ ตวั เองใหเ้ กดิ ข้ึนได้ 8. การสร้างการสนบั สนุนจากผูเ้ ช่ยี วชาญในทอ้ งถิน่ การให้ผู้เรียนได้ศึกษาปัญหาปลายเปิดตามความสนใจของตนเองในลักษณะโครงงาน ตลอดจนการเช่ือมโยงการ เรียนรู้สู่การใช้ประโยชน์ในบริบทจริงน้ัน บางครั้งนาไปสู่คาถามที่ซับซ้อนจนต้องอาศัยความรู้ความชานาญเฉพาะ ทาง ผสู้ อนไมค่ วรกลัวจะยอมรับกับผู้เรียนว่าผู้สอนไม่รู้คาตอบ หรือผู้สอนช่วยไม่ได้ แต่ควรใช้เครือข่ายท่ีมีเชื่อมโยง ให้ผู้เช่ียวชาญในท้องถ่ินมาช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียน เครือข่ายดังกล่าวอาจเป็นได้ท้ัง ศิษย์เก่า ผู้ปกครอง ปราชญ์ชาวบ้าน เจ้าหน้าท่ีรัฐ หรืออาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาในท้องถิ่น ผู้สอนสามารถเชิญวิทยากรภายนอกมา บรรยายหรือสาธิตในบางหัวข้อ หรือใช้เทคโนโลยี เช่น การประชุมผ่านวิดีทัศน์ เอ้ืออานวยให้ผู้เช่ียวชาญสามารถ พดู คยุ ใหค้ วามคดิ เหน็ หรอื วพิ ากษผ์ ลงานของผเู้ รียน เปน็ ตน้ 9. การเรยี นรูอ้ ยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการ (informal learning) ทุกคนชอบความสนุกสนาน หากเราจากัดความสนุกไม่ให้กล้ากรายใกล้ห้องเรียน ความสุขคงอยู่ห่างไกลจากผู้สอน และจากผู้เรียนไปเรื่อย ๆ แต่จะบูรณาการความสนุกสู่การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ผ่าน กระบวนประดษิ ฐ์สิ่งของจากเศษวัสดุใช้แล้วเป็นการแก้ปัญหาได้อย่างไร ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ของผู้สอนใน การออกแบบกิจกรรมการเรยี นรูท้ ท่ี ้าทาย เพลดิ เพลนิ ใหก้ ารเรยี นเหมือนเปน็ การเลน่ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสร้าง ความรู้และความสามารถตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรด้วย การเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการท่ีได้รับความนิยม คือ การจัดกิจกรรมค่าย การเรียนรู้จากบทปฏิบัติการ หรือการประกวดแข่งขัน กิจกรรมเหล่าน้ีเป็นโอกาสดีที่จะสร้าง การมีส่วนรว่ มจากชมุ ชน เช่น อาจเชิญผู้เช่ียวชาญในท้องถ่ินเป็นวิทยากรในค่าย เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ หรือให้ การสนบั สนนุ ของรางวัล 10. การเรยี นรู้ตามอัธยาศยั (non-formal learning) เม่ือผู้สอนได้ดาเนินการ 9 ข้อข้างต้นแล้ว อาจมองออกนอกสถานศึกษา สร้างนิสัยการเรียนรู้ตลอดชีวิต ให้เป็น วัฒนธรรมของชุมชน ร่วมกันสร้างแหล่งเรียนรู้ด้านสะเต็มในท้องถิ่น เช่น เข้าค่ายวิทยาศาสตร์ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ เพ่อื การศกึ ษา หรือประยุกต์ความร้สู ะเตม็ เพ่อื สนับสนุนแหลง่ เรียนรู้วิถชี มุ ชน เชน่ ส่งเสริมให้นักเรียนใช้เทคโนโลยีท่ี

เหมาะสมนาเสนอขอ้ มลู ภมู ิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ และวฒั นธรรมในชุมชนสร้างหอเกียรติยศสะเต็มของหมู่บ้าน เพื่อ นาเสนอเร่ืองราวการใช้ความรู้สะเต็มในการพัฒนาอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น ผลงานด้านการเกษตร ด้าน สาธารณสขุ ดา้ นการพัฒนาผลติ ภณั ฑ์ หรอื ด้านการประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยี เปน็ ตน้ การส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาสาหรับการประดิษฐ์วัสดุใช้แล้ว เป็นความพยายามจาก หลากหลายภาคส่วนในการขับเคลื่อนการจัดการศึกษา ให้พร้อมสาหรับการดารงชีวิต ด้วยความรู้ความเข้าใจใน ความงามและคุณค่าของธรรมชาติ ด้วยความสามารถในการสร้างสรรค์วิธีการแก้ปัญหาส่ิงแวดล้อมอย่างเป็นระบบ ด้วยกระบวนคดิ เชงิ วศิ วกรรม และการใชศ้ ักยภาพของเทคโนโลยสี ื่อสารและทางานรว่ มกับผูอ้ ื่นอย่างสร้างสรรค์ การประดิษฐ์วสั ดใุ ช้แลว้ 3.1 ส่ิงประดษิ ฐจ์ ากวสั ดใุ ช้แล้วประเภทอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ สิ่งประดิษฐจ์ ากวสั ดุใช้แล้วประเภทอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการนาขยะที่เป็นเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ท่ีท้ิงแล้ว เช่นเคร่ือง คอมพิวเตอร์และวัสดุคอมพิวเตอร์เก่ามาดัดแปลงเป็นของใช้ ได้แก่ CD/DVD มาทาเป็นของใช้จุกจิกน่ารักสาหรับ วางตกแต่งเพ่ิมความสวยงามของสถานที่ต่าง ๆ การนาแผ่นซีดีมาประดิษฐ์เป็นนาฬิกา ที่รองแก้ว เครื่องประดับ ชั้น วางของจกุ จกิ และอ่ืน ๆ การนาแปูนพิมพ์คอมพิวเตอร์ (คีย์บอร์ด) เอาเฉพาะตัวอักษรมาเขียนสีตัวอักษรให้ชัดแล้ว นามาตดิ ร้อยเรียงกนั ทาเปน็ พวงกญุ แจ การนาหลอดไฟนอี อนกลมมาทาความสะอาดเอาไส้หลอดออกแล้วนามาเป็น แจกันปลูกต้นไม้ประดับภายในอาคาร โทรทัศน์เก่านามาทาเป็นท่ีนอนสัตว์เลี้ยง หรือตู้ปลา เป็นต้น ซ่ึงจะเป็นการ ปูองกันขยะอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม และลดความเสี่ยงและผลกระทบจากปริมาณขยะ นอกจากนแี้ ล้วยงั เป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กบั ผทู้ ่ีคิดคน้ ประดษิ ฐ์สง่ิ ของตา่ ง ๆ ออกจาหน่ายอกี ดว้ ย ข้อควรระวงั ในส่งิ ประดิษฐจ์ ากวสั ดใุ ชแ้ ล้วประเภทอเิ ล็กทรอนิกส์ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนใหญ่มีสารอันตรายท่ีมีผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมและสุขภาพ ได้แก่ สารตะก่ัว สารปรอท คลอรีน แคดเมียม โบรมีน ซ่ึงจะทาให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ดังนั้น ก่อนการประดิษฐ์ควรศึกษาหาข้อมูลและ วธิ ีการทาที่ถูกตอ้ งเพอ่ื ปูองกนั อนั ตรายที่อาจเกดิ จากสารพิษ 3.2 ส่ิงประดษิ ฐจ์ ากวัสดุใชแ้ ล้วประเภทเศษเหล็ก สิ่งประดิษฐ์จากวัสดุใช้แล้วประเภทเศษเหล็ก เป็นการนาเศษเหล็กชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาปะติดปะต่อกันเกิดเป็นรูปร่าง ใหม่ อาจเป็นของใช้หรืองานศิลปะ งานประติมากรรม แล้วแต่ผู้ประดิษฐ์จะคิดค้นหรือสร้างสรรค์ นาเศษเหล็ก เหลา่ นนั้ มาออกแบบ แล้วเชือ่ มต่อกันเป็นรปู ร่างตามท่ีออกแบบไว้ หรือตามประโยชน์ท่ีต้องการใช้สอย ตัวอย่างเช่น การนาท่อน้าประปาที่เป็นท่อเหล็กมาทาเป็นขาต้ังของโคมไฟ การทาเศษเหล็กหลายรูปแบบมาเช่ือมต่อกันเป็น รปู รา่ งงานประติมากรรม เช่น หนุ่ ยนต์ สัตวต์ า่ ง ๆ เปน็ ตน้ นาเศษเหล็กมาทาเปน็ เฟอรน์ เิ จอรร์ ูปแบบต่าง ๆ 3.3 สงิ่ ประดษิ ฐจ์ ากวสั ดใุ ชแ้ ลว้ ประเภทยางรถยนต์ สิ่งประดิษฐ์จากวัสดุใช้แล้วประเภทยางรถยนต์ เป็นการนายางรถยนต์เก่าโดยเฉพาะยางนอกนามาดัดแปลงตกแต่ง เป็นข้าวของเคร่ืองใช้และงานศิลปะต่าง ๆ เช่น ที่นอนสัตว์เล้ียง บ่อเล้ียงปลา เฟอร์นิเจอร์ กระถางต้นไม้ รูปสัตว์ สาหรบั ตกแต่งสวนหรือบ้านเรอื น ถังขยะ และอีกมาก ซึง่ จะทาให้ประหยัดคา่ ใช้จา่ ยและยังชว่ ยให้ผู้ท่ีคิดค้นประดิษฐ์ สามารถ

มรี ายได้จากการจาหน่ายผลติ ภณั ฑ์จากยางรถยนต์อกี ดว้ ย 3.4 สงิ่ ประดิษฐจ์ ากวัสดุใช้แล้วประเภทอลูมเิ นียม สิ่งประดิษฐ์จากวัสดุใช้แล้วประเภทอลูมิเนียม เป็นการนาเอาขยะที่เป็นกระป฻องอลูมิเนียม หรือฝาเปิดกระป฻อง นามาประดษิ ฐด์ ดั แปลงใช้ประโยชน์ และจาหน่ายเป็นรายได้ ได้แก่ นามาประดิษฐ์เป็นโคมไฟ ท่ีเก็บของรูปแบบต่าง ๆ เคสโทรศพั ทม์ อื ถอื กระเปา฻ กระถางปลูกตน้ ไม้ เป็นตน้ 3.5 ส่งิ ประดษิ ฐจ์ ากวัสดุใชแ้ ล้วประเภทขวดน้าพลาสติก ส่งิ ประดษิ ฐจ์ ากวัสดใุ ช้แลว้ ประเภทขวดน้าพลาสติก ขวดนา้ พลาสตกิ มีหลายประเภทเช่นขวดน้าดื่มแบบอ่อนใส และ แบบขาวขุ่น ขวดบรรจุภัณฑ์พลาสติกแข็ง สามารถนากลับมาสร้างสรรรค์เป็นงานประดิษฐ์ท่ีใช้ประโยชน์ได้จริงอีก ครั้ง และสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพให้แก่ผู้คิดค้นประดิษฐ์ได้อีกทางหนึ่งด้วย ตัวอย่าง เช่น การนามาประดิษฐ์ เป็นกระถางต้นไม้ โคมไฟ มา่ นบังตา โรงเรอื นเพาะปลูก โตะ๊ เก้าอี้ ชัน้ เก็บของ และอ่นื ๆ อกี มาก 3.6 สิ่งประดิษฐจ์ ากวสั ดุใชแ้ ลว้ ประเภทเศษผา้ สิ่งประดิษฐ์จากวสั ดุใช้แล้วประเภทเศษผ้า เป็นการนาเศษผ้าที่เหลือจากการตัดเย็บเส้ือผ้า หรือเส้ือผ้าเก่าที่ไม่ใช้มา ดดั แปลงเป็นของใชต้ า่ ง ๆ เช่น พรมเชด็ เท้า ผ้ารองครก ผ้าหม่ ตกุ๊ ตา ของท่รี ะลกึ เบาะรองนัง่ เปน็ ต้น 3.7 สิง่ ประดษิ ฐ์จากวัสดุใช้แลว้ ประเภทเศษไม้ สิ่งประดิษฐ์จากวัสดุใช้แล้วประเภทเศษไม้ เป็นการนาเอาเศษไม้ที่เหลือใช้จากงานก่อสร้าง หรือจากลังไม้เก่า หรือ จากจุกเครือ่ มด่ืม มาประดษิ ฐ์ด้วยความคิดสร้างสรรค์ประดิษฐ์เป็นของใช้ใหม่ ๆ เช่น โต๊ะเก้าอี้จากเศษไม้เก่า กรอบ รูปหรอื กรอบกระจก ชั้นวางของ ตุก๊ ตา เป็นต้น 3.8 ส่งิ ประดษิ ฐจ์ ากวัสดุใช้แลว้ ประเภทกระดาษ ส่งิ ประดิษฐ์จากวสั ดุใชแ้ ลว้ ประเภทกระดาษ เปน็ การนากระดาษประเภท ต่าง ๆ เชน่ กระดาษเอกสาร การดาษหนงั สอื พิมพ์ กระดาษนติ ยสาร กระดาษรังไข่ กระดาษกล่องบรรจุภัณฑ์ นามา ประดิษฐด์ ดั แปลงเปน็ ของใช้ใหม่เพ่ิมมูลคา่ เปน็ ของใช้ใหมใ่ นครวั เรือน ลดรายจ่ายและยงั เป็นสินคา้ สร้างรายได้สร้างอาชีพได้ เชน่ ทาเปเปอร์มาเช่ร์ ทาดอกไม้ สารเปน็ ตะกร้า โคมไฟ กรอบรูป โต๊ะเกา้ อ้ี และเครอ่ื งประดับ เป็นต้น 3.9 ส่งิ ประดษิ ฐ์จากวัสดุใชแ้ ลว้ ประเภทถุงพลาสตกิ สง่ิ ประดิษฐ์จากวสั ดุใชแ้ ล้วประเภทถุงพลาสติก เป็นการนาถุงพลาสติกท่ีใช้บรรจุส่ิงของจากห้างร้านต่างหรือร้านค้า ต่าง ๆ มาทาความสะอาดให้แห้ง หรือท่ีชาวบ้านเรียกกันว่าถุงกอบแก็บ หรือก๊อบแก๊บ นามาตัดแล้วมัดต่อกันยาว เป็นเสน้ เชือก แล้วนามาถักเป็นสิ่งของเคร่ืองใช้ ได้แก่ ที่นอนฟูก กระเป฻า ที่รองจาน ท่ีรองแก้ว ไม้แขวนเสื้อ ถุงเท้า ทีใ่ ชข่ องจกุ จกิ ตามแตค่ วามคดิ สรา้ งสรรค์ของผปู้ ระดิษฐ์

3.10 ส่งิ ประดษิ ฐ์จากวสั ดุใชแ้ ลว้ ประเภทขวดแกว้ การประดิษฐ์ขวดแก้ว เป็นการนาขวดแก้วเครื่องด่ืม หรือเครื่องปรุงต่าง ๆ นากลับมาใช้ใหม่โดยอาจจะประดิษฐ์ เปลย่ี นรูปร่าง หรอื อาจคงรปู ร่างเดิมไวแ้ ตน่ าไปใชป้ ระโยชนแ์ บบใหม่ เช่น การนาประดิษฐ์เป็นงานศิลปะต่าง ๆ การ นามาทาเป็นโคมไฟ การนาไปทาเป็นกาแพงรั้วสวนหรือรั้วบ้าน การนาไปประกอบตกแต่งฝาผนังบ้านเพ่ือเพิ่มแสง สว่างแทนบล็อกแก้วในการกอ่ สรา้ งบา้ นเรือน และอ่ืน ๆ อีกมาก จากตัวอย่างข้างต้น ยังมีขยะอีกหลายประเภทที่สามารถนามาประดิษฐ์ได้ เช่น โฟมจากห่อบรรจุภัณฑ์ หรือโฟม บรรจอุ าหาร เปน็ ตน้ ซ่งึ สามารถศึกษาเพม่ิ เติมไดจ้ ากหนงั สอื ท่ีมีจาหน่ายตามร้านขายหนังสือและจากเว็บไซต์ต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าการคัดแยกขยะมีประโยชน์และความจาเป็น อยา่ งมากในการลดปริมาณขยะ นอกจากจะขายเป็นเศษขยะได้แล้ว ยังนามาดัดแปลงตกแต่ง เป็นข้าวของเครื่องใช้ หรอื สินคา้ ใหม่ ลดรายจา่ ย เพิม่ รายไดใ้ หก้ บั ครอบครวั และหากรวมกล่มุ กนั ทาก็จะเพิ่มรายไดใ้ หก้ ับชมุ ชนดว้ ย

ใบงานท่ี 1 วิชาวัสดุศาสตร์ เรอื่ ง การคัดแยกและรีไซเคลิ ขยะ 1.ยกตวั อยางการคัดแยกขยะเพอ่ื เพ่ิมมูลค่า และวธิ ีการรวบรวมขยะตามประเภท 1.1 ขยะประเภทโลหะ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. 1.2 ขยะประเภทพอลิเมอร์ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. 1.3 ขยะประเภทเซรามกิ ส์ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................................

ใบงานที่ 2 วชิ าวสั ดศุ าสตร์ เรอ่ื ง ทิศทางการพัฒนาวสั ดุในอนาคต คาช้ีแจง ให้้ผเู้ รยี นศึกษาค้นคว้าเพม่ิ เตมิ จากสือ่ และแหล่งเรียนรูต้ ่าง ๆ ตามท่แี นะนาไว้ ท้ายหน่วยในชุดวชิ า แลว้ ทากจิ กรรมตอไปน้ี กิจกรรมที่ 1. จงอธบิ ายถงึ แนวโน้มการใช้วัสดใุ นอนาคต ของวสั ดปุ ระเภทต่าง ๆ ตอ่ ไปนี้ 1.1 วสั ดปุ ระเภทโลหะ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. 1.2 วสั ดุประเภทพอลเิ มอร์ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. 1.3 วัสดุประเภทเซรามิกส์ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................................

กจิ กรรมท่ี 2. จงบอกทศิ ทางการพฒั นาวัสดุในอนาคต มาพอเข้าใจ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................................

ใบงานที่ 3 วิชาวสั ดุศาสตร์ เร่ือง สิง่ ประดิษฐจ์ ากวัสดุตามหลักสะเตม็ ศกึ ษา คาชแ้ี จง ให้้ผเู้ รียนศึกษาค้นควา้ เพิ่มเตมิ จากอนิ เทอร์เน็ตในเร่ืองต่าง ๆ ตามที่แนะนาไว้ ทา้ ยหน่วยการเรียนรู้ในชดุ วิชา แลว้ ทากจิ กรรมต่อไปนี้ เรอื่ ง ขยะแปรงรา่ งสรา้ งรายได้ หมู่บ้านของผู้เรียนมีเศษวัสดุเหลอื ใชห้ รือวสั ดใุ ชแ้ ล้ว จาพวกขวดน้า เศษโลหะ จานวนมาก แต่ไมม่ ีรา้ นรับซือ้ ของเก่า ทาใหช้ าวบา้ นตอ้ งนาเศษวสั ดเุ หลอื ใชไ้ ปทง้ิ ไวท้ ้ายหม่บู ้าน จากขอ้ มลู ดงั กลา่ วหากผู้เรียนต้องการเข้าไปช่วยเหลือหมบู่ า้ น และต้องการมรี ายไดจ้ ากการ ประดิษฐ์วสั ดุตามหลักการสะเตม็ ผเู้ รียนจะทาอย่างไร กจิ กรรมท่ี 1 คัดแยกเศษวัสดุท่ีพบโดยเลือกเศษวัสดุแล้วนามาประดิษฐ์เป็นของใช้หรือของตกแต่ง จานวน 1 ชิ้น พร้อมอธิบาย ตามหวั ข้อทีก่ าหนดให้ 1.1 ช่ือสิ่งประดิษฐ์ .................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 1.2 รปู ภาพสิ่งประดษิ ฐ์

นำภาพส่ิงประดิษฐต์ ดิ ในกรอบน้ี 1.3 วสั ดอุ ุปกรณ์ทใ่ี ช้ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................................

แบบทดสอบย่อย วชิ าวัสดุศาสตร์ เรอื่ ง การคัดแยกและรไี ซเคลิ ขยะ คาสัง่ จงเลอื กคาตอบท่ถี กู ท่ีสุดเพียงข้อเดยี ว 1. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ ขยะมูลฝอย ก. เศษอาหาร กระป฻องน้าอัดลม ข. ถงุ พลาสตกิ เศษกระดาษ ค. มูลสตั ว์ ซากสัตว์ ง. ผกั ผลไม้ 2. ข้อใด เป็นขยะอันตราย ก. เศษอาหาร เศษกระดาษ ข. ถ่านไฟฉาย แบตเตอร่ี ค. ผา้ พนั แผล เศษใบไม้ ง. พลาสติก ผลไม้เน่า 3. ปจั จบุ ันแหล่งกาเนดิ มูลฝอยในชมุ ชนมาจากแหล่งใดมากท่ีสดุ ก. ทีอ่ ยูอ่ าศัย ข. แหลง่ ท่องเท่ียว ค. รา้ นค้าในชมุ ชน ง. ตลาดสด 4.ขอ้ ใดเป็นผลกระทบของขยะมูลฝอยต่อสภาพแวดล้อม ก. มลพษิ ทางดิน นา้ และอากาศ ข. ก่อให้เกิดโรคระบาด ค. เสียค่าใช้จ่ายในการกาจดั ง. แหลง่ อาศยั ของสัตวม์ ีพิษ

5.ขอ้ ใดเปน็ ต้นเหตทุ าให้เกดิ ปัญหาขยะมลู ฝอย ก. มนษุ ย์ ข. สัตว์ ค. จลุ นิ ทรยี ์ ง. ถกู ทุกข้อ 6. โดยปกติขยะมูลฝอยท่ีพบตามสถานที่ต่าง ๆ เกดิ จากประชากรในปรมิ าณเท่าใดต่อคนตอ่ วนั ก. 0.1-0.5 กิโลกรัม ข. 0.9-1.0 กโิ ลกรมั ค. 1.9-2.0 กโิ ลกรมั ง. 2.9-3.0 กิโลกรมั 7. ขอ้ ใดเป็นการคัดแยกขยะมาใช้ประโยชน์ใหม่ ก. Reduce ข. Reuse ค. Recycle ง. Reject 8. ถังรองรับขยะข้อใดใช้รองรับขยะที่ย่อยสลายได้ ก. ถงั สเี ขียว ข. ถงั สีเหลอื ง ค. ถงั สีฟาู ง. ถังสีแดง 9. ข้อใด ไมใ่ ช่ การนาขยะมาใช้ประโยชน์ ก. การนาแกนกระดาษชาระ ใชเ้ ก็บถงุ เทา้ เนกไท หรอื ชดุ ช้นั ในใหเ้ ปน็ ระเบยี บ ข. การนาขวดซุปไกส่ กัดใส่เครื่องเทศ เครอ่ื งปรุง ค. การนาขวดยาคลู ท์มาทาเกา้ อน้ี ัง่ ง. การนาผักมาปรงุ อาหาร

10. ข้อใดไมใ่ ช่กิจกรรมที่สง่ เสริมการคดั แยกขยะ ก. ขยะแลกไข่ ข. การดาน้าเกบ็ ขยะ ค. ธนาคารขยะ ง. ศนู ยข์ ยะรไี ซเคิล เฉลยแบบทดสอบย่อย วิชา วสั ดุศาสตร์ เร่อื งการคดั แยกและการรีไซเคิลวัสดุ ม.ปลาย 1. ง 2.ข 3.ง 4.ก 5.ก 6.ข 7.ค 8.ก 9.ง 10.ข

แผนการจัดกจิ กรรม

มการเรยี นรู้คร้งั ท่ี 19

แผนการจัดการเรียนการสอน แบบพบกลุ่ม ระดบั มัธ กศน.ตาบลบ้านโปง่ อาเภ คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หวั เรอื่ ง/ตวั ชี้วดั เนื้อหาสาระการเรยี นรู้ 1. อธบิ ายเทคโนโลยกี าร 1. เทคโนโลยกี ารกาจดั ข กาจัดเศษวสั ดเุ หลอื ท้ิงด วัสดุ วยการเผาได 2. เทคโนโลยีการ 1. กาจดั เศษวัสดเุ หลอื ทิ้งดวย เศ 2. นาความรเู รื่อง การเผา เทคโนโลยกี ารกาจัดเศษ 1. วัสดเุ หลือทง้ิ ดวยการเผา 3. การผลิตพลังงานจากเศษวสั ดเุ หลอื ทง้ิ ต ไปใชได 1. 3. อธิบายการผลติ ท พลงั งานจากเศษวัสดเุ หลอื พ ทงิ้ ได - 4. นาความรูเร่อื งการผลิต ข พลงั งานจากเศษวสั ดุเหลอื ทงิ้ ไปใชได 2. เป ก ด วสั ช

ธยมศกึ ษาตอนปลาย ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 ภอบา้ นโป่ง จังหวัดราชบุรี การจดั กระบวนการเรยี นรู้ ส่ือ/แหลง่ เรยี นรู้ การวดั และ ประเมนิ ผล ขน้ั ท่ี 1 การนาเข้าสู่บทเรยี น - CD, DVD ท่ี - แบบสงั เกต เก่ยี วของ .1 ครทู ักทายกลา่ วนา และอธิบายเกย่ี วกบั เทคโนโลยีการกาจดั - ใบงาน ศษวัสดเุ หลอื ทิ้งดวยการเผา - ใบความรู้ - แบบทดสอบ .2 ครเู ปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นซกั ถาม ขอ้ สงสัย ก่อนเขา้ สขู่ ัน้ ตอน - แบบทดสอบ ต่อไป - แบบสงั เกต .4 การปฏบิ ตั ติ วั ในการเรยี นให้ประสบความสาเรจ็ ผูเ้ รียนต้องใช้ ทักษะที่จาเปน็ ตามทไี่ ดก้ ล่าวถึงในข้นั กาหนดสภาพปญั หา (การ - ใบงาน พูด การฟงั จดบันทึกแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง) - วชิ า วัสดศุ าสตร เขา้ ร่วมกิจกรรมและแสวงหาข้อมูลตามทไี่ ดร้ บั มอบหมาย 3 ขนั้ ที่ 2 การจัดกระบวนการเรียนรู้ รหสั วิชา พว 32024 .1 ครกู าหนดกรอบเนือ้ หาเกี่ยวกบั การการเผาเศษวสั ดเุ หลือทิ้ง ปนการจดั การเศษวสั ดเุ หลือทิ้ง เปนวิธที ่ไี ดรบั ความนิยมสามารถ - หนังสอื เรยี น กาจดั ของเสียทมี่ าจากการรกั ษาพยาบาลและของเสยี ที่มีพษิ ได อิเลก็ ทรอนิกส ดีกวาการกาจดั เศษ กลมุ สาระการ สดเุ หลือท้งิ โดยวธิ ฝี งกลบและอาจนาสวนท่ี เหลือนี้ไปใชประโย เรยี นรู ชนได วทิ ยาศาสตร์

แผนการจัดการเรยี นการสอน แบบพบกลุ่ม ระดับมธั กศน.ตาบลบา้ นโปง่ อาเภ ครั้งท่ี วัน/เดือน/ปี หัวเรื่อง/ตวั ชี้วดั เน้ือหาสาระการเรยี นรู้ 2. ต ห พ 2. ก เป 2. 2. ข 3. ค 3.

ธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ภอบ้านโป่ง จังหวดั ราชบุรี การจดั กระบวนการเรียนรู้ สอื่ /แหล่งเรียนรู้ การวัดและ ประเมินผล .2 ครูจดั กจิ กรรมแบ่งกลมุ่ เพอื่ มอบหมายให้ พจิ ารณาเนื้อหา ตามใบงาน กลมุ่ ละ 1 เนือ้ หา ดงั น้ี เนื้อหาที่ 1 ความจาเปนท่ีจะตองแสวงหาแหลงพลงั งาน หมุนเวียนทดแทนพลังงานเชอ้ื เพลงิ เนือ้ หาท่ี 2 ทางเลือกดานการผลิตพลังงาน เนื้อหาที่ 3 เศษวสั ดเุ หลือทงิ้ นามาใชเพ่ื อผลิต พลังงาน .3 ผเู้ รียน/ครู บันทกึ ข้อตกลงโดยจดั ทาและบันทกึ ร่องรอย การศกึ ษาดว้ ยตนเองตามแบบบันทกึ ท่ีครมู อบใหใ้ นใบงาน และทา ป็นเอกสารตามแบบทีก่ าหนด .4 ครูและผเู้ รียนสรปุ เนอ้ื หาร่วมกนั .5 ครมู อบหมายภารกิจ ตามใบงาน และนัดหมาย ข้ันที่ 3 การสรปุ ผล .1 สังเกตการเขา้ ร่วมกิจกรรมในแตล่ ะข้ันตอนและจดบนั ทึก ความก้าวหนา้ ของผเู้ รียนในแตล่ ะทกั ษะเป็นรายบุคคล .2 ครูประเมนิ ผลจากการสังเกตพฤติกรรมและแบบฝึกหัด

ใบความรู้ท่ี 1 เรอื่ ง เทคโนโลยีการกาจัดวสั ดุ เรือ่ งที่ 1 เทคโนโลยีการกาจัดเศษวัสดเุ หลอื ทิ้งดว้ ยการเผา 1. เทคโนโลยีเตาเผาที่ใช้กนั อยู่ปจั จบุ นั เทคโนโลยเี ตาเผา หรือ Incineration คอื การเผาไหม้มลู ฝอยกับอากาศเพื่อเกิดปฏิกิริยาการเผาไหม้ ท่ีให้ความร้อน และอุณหภูมิเพื่อทาลายมวลและปริมาตรของมูลฝอย การเผาไหม้เกิดขึ้นในเตาเผาที่ได้มีการ ออกแบบเป็นพิเศษ เพ่ือให้เข้ากับลักษณะสมบัติของขยะ มูลฝอย คือ อัตราความช้ืนสูง และมีค า่ ความร้อนที่แปร ผันได้ การเผาไหม้ จะตอ้ งมกี ารควบคุมท่ีดีเพื่อจะปูองกันไม ่ให้เกิดมลพิษและการรบกวนต่อสภาพแวดล อ้ ม เช่น ก๊าซพิษ เขม า่ กลิ่น เป็นต้น ก๊าซซงึ่ เกิดจากการเผาไหมจ้ ะไดร้ ับการกาจัดเขม ่าและอนภุ าคตามทก่ี ฎหมาย ควบคุม กอ่ นท่ี ปล่อยออกสู่บรรยากาศ ข้ีเถ้าซ่ึงเหลือจากการเผาไหม้ ซ่ึงมีปริมาตรประมาณร้อยละ 10 และ น้าหนักประมาณร้อย ละ 25 ถึง 30 ของขยะทส่ี ่งเขา้ เตาเผา สามารถน้าไปฝังกลบหรือใช้เป็นวัสดุ ปูพื้นสาหรับ การสร้างถนน ส่วนข้ีเถ ้า ท่ีมีส่วนประกอบของโลหะ อาจถูกนากลับมาใช้ใหม่ได้ นอกจากนั้นในบางพื้นท่ีท่ีมี ปริมาณขยะมูลฝอยอยู่มาก สามารถท่จี ะนา้ พลังงานความร้อนท่ไี ด้จากการเผาไหมม้ าใช้ในการผลิตไอนา้ หรือ ทาน้าร้อน หรือผลิตกระแสไฟฟ ้า ได้ หัวใจของโรงเผามูลฝอยคอื ระบบกานเผาไหม้ซงึ่ สามารถแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื 1. ระบบการเผาไหมม้ วล (Mass Burn System) ซ่งึ หมายถึง การเผาทาลายมูลฝอยในสภาพท่ีรับเขา้ มาโดย ไม่ต้องมี กระบวนการจัดการเบอ้ื งต้นกอ่ น 2. ระบบที่มีการจัดการเบ้ืองต้น (Burning of Preheated and Homogenized Waste) หมายถึง ระบบ การเผาไหม้มวลเปน็ การเผาไหมม้ ูลฝอยท่ีมีองคป์ ระกอบท่ีหลากหลายโดยไมต่ ้องมีการจัดการเบื้องตน้ ก่อน จากการศึกษารวบรวมข้อมูลเก่ียวกับเทคโนโลยีเตาเผามูลฝอยระบบการเผาไหม้มวลที่มีอยู่ใน ปัจจุบัน พบว่า เตาเผาระบบการเผาไหม้มวลท่ีนิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบันสามารถจาแนกออกเป็น 2 ประเภท หลัก ๆ คือ เตาเผาแบบตะกรับเคล่ือนที่ (Moving Grate) ซ่ึงเป็นเทคโนโลยีท่ีใช้กันแพร่หลายและได้รับการ ทดสอบแล้ว มี สมรรถนะทางเทคนคิ ที่ยอมรบั ได้และสามารถรองรับการเผาทาลายขยะมูลฝอยท่ีมีองค์ประกอบ และค่าความร้อนท่ี หลากหลาย และเตาเผาแบบหมุน (Rotary Kiln) ซง่ึ เป็นระบบทีไ่ ดร้ ับความนยิ มรองลงมา ระบบทม่ี ีการจดั การมูลฝอยเบอ้ื งตน้ ก่อนทาการเผาต้องมรี ะบบเพ่ือการลดขนาด การบดตัด และการ คัด แยก หรอื ในบางครั้งอาจมรี ะบบการผลิตเช้อื เพลงิ จากมลู ฝอย (Refuse-Derived Fuel : RDF) ซ่งึ ทาใหม้ ี ความ ยงุ่ ยากในการปฏบิ ตั งิ านมากข้ึน ดงั นน้ั ระบบดังกล่าวจงึ มีการใช้งานอยใู่ นวงจากัด ระบบท่ีมีการจดั การมลู ฝอยเบื้องตน้ ก ่อนทาการเผาในทางทฤษฎีอาจจัดใหเ้ ตาเผาแบบ ฟลอู ิดไดซ์เบด (Fluidized Bed) จัดอยใู่ นพวกเดยี วกันด้วย อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีฟลูอดิ ไดซ์เบดจดั ว ่าเทคโนโลยี ท่ีใหมอ่ ยู่ และมีการใชง้ านเพ่ือการเผาทาลายขยะมลู ฝอยในวงจากัด โดยทว่ั ไป ใชใ้ นการกาจัดเศษวสั ดุอตุ สาหกรรม อตุ สาหกรรม (มีตวั อยา่ งการใช้งานในประเทศญป่ี ุน) นอกจากนม้ี เี ทคโนโลยีไพโรไลซสิ -ก๊าซซิฟเิ คชนั่ อีกด้วย โดย รายละเอยี ดของเตาเผาแตล่ ะเทคโนโลยี ทงั้ ทาง ด้านเทคนิควศิ วกรรม การจดั การสิง่ แวดลอ้ ม การบริหารจัดการ โรงแรม รายละเอยี ดค่าใช้จ่าย ในการดาเนนิ งานและการบารุงรักษา จะได้กลา่ วถงึ ต่อไป

1.1 ประเภทของเทคโนโลยีและหลักการทางานของเทคโนโลยี เตาเผามูลฝอยแบบการเผาไหม้มวลเป็นระบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งประกอบด้วยตะกรับที่สามารถเคล่ือนท่ีได้ และมี การเผาไหม้บนตะกรับนี้ โดยขยะเผา ไหม้ ตะกรบั จะเคลอื่ นทีแ่ ละลาเลยี งมลู ฝอยจากจดุ เริ่มตน้ ถงึ จุดสุดท้าย ภาพท่ี 6.1 เตาเผาแบบตะกรับเคลอื่ นที่ ที่มา : http://bangkokgreencity.bangkok.go.th

ภาพที่ 6.2 ภาพถ่ายแสดงให้เห็นตะกรับท่ีอยู่ดา้ นในของเตาเผามูลฝอย ทม่ี า : http://bangkokgreencity.bangkok.go.th ก้ามปูของเครนเหนือเตา จะทาหน้าท่ีจับมูลฝอยเพื่อปูอนลงไปในช่องปูอนก่อนที่จะหล่นเข้าไป ในห้องเผาไหม้ของ เตาเผาด้วยแรงโน้มถ่วง เมื่อมูลฝอยตกลงไปวางบนตะกรับ ความร้อนในเตาเผาจะทาให้มูล ฝอยแห้งก่อนที่จะเกิด การเผาไหมด้ ้วยอุณหภูมสิ ูงกับอากาศท่ใี ช้ในการเผาไหม้ ข้ีเถ า้ (รวมทั้งส ่วนประกอบของ มูลฝอยส่วนที่ไม่สามารถ เผาไหม้ได้ ) จะหลุดออกจากตะกรบั ในลกั ษณะของเถา้ ลอย ลงสูห่ ลุมถ ่ายขี้เถ ้า ตะกรับจะทาหนา้ ท่ีเปน็ เสมือนพ้นื ผิวดา้ นลา่ งของเตา การเคล่ือนท่ีของตะกรับหากได้รับการ ออกแบบ อย่างถูกต้อง จะทาให้มูลฝอยมีการขนย้ายและผสมผสานกันอย่างมีประสิทธิภาพและทาให้อากาศที่ใช้ในการ เผาไหม้สามารถ แทรกซมึ ไปถัว่ ถงึ พื้นผิวของมูลฝอย ตะกรับอาจถูกจัดแบ่งให้เป็นท่ีย่อยเฉพาะ ซึ่งทาให้สามารถ ปรับปริมาณอากาศ เพือ่ ใช้ในการเผาไหมไ้ ด้อยา่ งอิสระและทาให้สามารถเผาไหม้ได้แม้มลู ฝอยท่ีมคี ่าความรอ้ นต่า

ภาพท่ี 6.3 สว่ นประกอบของตะกรบั ท่ชี ว่ ยให้มูลฝอยเกดิ การเคล่ือนท่ี ท่มี า : http://bangkokgreencity.bangkok.go.th อากาศท่ีใช้ในการเผาไหม้แบ่งออกเป็นอากาศปฐมภูมิ (Primary Air) ซึ่งเปุาด้านล่างของผิวตะกรับ โดยทาหน้าที่ ช่วยให้เกิดการเผาไหมใ้ นภาคของแข ็งและระบายความร้อนให้กับตะกรับ อากาศทุติยภูมิ (Secondary Air) จะจ่าย เข้าบริเวณด้านบนของห้องเผาไหม้และทาหน้าที่เผาไหม้ก ๊าซที่ระเหยขึ้นมาจากมูล ฝอยที่วางบนตะกรับเพ่ือให้เกิด การเผาไหมท้ ส่ี มบูรณ์ ตะกรับที่ใช้กับระบบเตาเผามูลฝอยมีหลายแบบเช่นกัน เคล่ือนไปด้านหน้า (Forward Movement), เคลื่อนไป ด้านหลัง (Backward Movement), เคลื่อนที่แยกตัว (Double Movement Rocking) และ ลูกกล้ิง (Roller) เป็น ตน้

เตาเผาแบบหมนุ (Rotary Kiln) ระบบเตาเผาแบบหมุนเป็นการเผาไหม้ มวลของมลู ฝอยโดยใช้ห อ้ งเผาไหม้ทรงกระบอกซง่ึ สามารถ หมุนได้รอบแกน มูลฝอยจะเคลื่อนตวั ไปตามผนังของเตาเผาทรงกระบอกตามการหมุน ของเตาเผาซ่งึ ทามมุ เอียงกับแนวระดบั รปู ที่ 6.5 ระบบเตาเผาแบบหมนุ ที่มา : http://bangkokgreencity.bangkok.go.th เตาเผาแบบหมุนส่วนใหญ่จะเป็นแบบผนังอิฐทนไฟ แต่ก็มีบ้างท่ีเป็นผนังถ้าทรงกระบอกอาจมีขนาด เส้นผ่าน ศูนยก์ ลางตัง้ แต่ 1 ถงึ 5 เมตร และยาวตงั้ แต่ 8 ถงึ 20 เมตร ความสามารถในการเผาทาลายมูลฝอย มีตั้งแต่ 2.4 ตัน ตอ่ วัน (0.1 ตันตอ่ ชว่ั โมง) จนถงึ ประมาณ 480 ตันตอ่ ช่ัวโมง (20 ตันต่อชั่วโมง) อัตราส่วนอากาศส่วนเกินท่ีจะใช้มีปริมาณท่ีมากกว่าแบบที่ใช้กับเตาเผาแบบตะกรับและอาจจะมากกว่าท่ีใช้กับ เตาเผาแบบฟลอู ิดไดซเ์ บดด้วย สงิ่ ทต่ี ามมาก ็คอื เตาเผาแบบหมนุ มปี ระสทิ ธิภาพพลงั งานท่ี ตา่ กว่าเล็กน้อย แตก่ ย็ ังมีค่ามากกว่ารอ้ ยละ 80

เน่ืองจากว่าเวลาท่ีใช้ในการเผาไหม้ (Retention Time) ของก ๊าซไอเสียค่อนข้างสั้นเกินไปสาหรับการทาปฏิกิริยา การเผาไหม้ในเตาเผาแบบหมุน ดังน้ัน เตาทรงกระบอกจึงมักมีส่วนต่อที่ทาเป็นห้องเผาไหม้หลัง (After-Burning Chamber) และหมกั รวมอยู่ในสว่ นของหมอ้ นา้ ดว้ ย ภาพที่ 6.6 ระบบเตาเผาแบบหมุนท่ตี ดิ ตงั้ ใช้งานจริง ท่มี า : http://bangkokgreencity.bangkok.go.th เตาเผาแบบฟลอู ิดไดซเ์ บด (Fluidized Bed) เตาเผาแบบฟลอู ดิ ไดซเ์ บด ทางานโดยอาศัยหลกั การทีอ่ นภุ าคของแข ็งท่ีรวมตัวเป็น Bed ในเตาเผา ผสมเข า้ กับมูล ฝอยท่ีทาหน้าท่เี ปน็ เช้ือเพลงิ สาหรบั การเผาไหม้ถูกทาให้ลอยตัวขึ้น อันเนื่องมาจากอากาศที่เปุา เข้าด้านข า้ งทาให้ มันมีพฤติกรรมเหมือนกับการไหล เตาเผาโดยท่ัวไปจะมีรูปร่างเป็นทรงกระบอกต้ัง และวัสดุท่ีทาผนังห้องเผาไหม้ มักทามาจากทรายซลิ ิกา หินปูน หรือวัสดุเซรามิกส์ การใชง้ านเตาเผาแบบฟลูอิดไดซ์เบดอยใู่ นขั้นเริ่มต้นเน่ืองจากมีการพัฒนาเทคโนโลยีเตาเผาอยู่อย่าง สม่าเสมอ โดย เตาเผามีข อ้ ได้เปรียบท่ีสามารถลดปริมาณสารอันตรายได้ในผนังห้องเผาไหม้ และมีประสิทธิภาพเชิงความร้อนสูง สามารถใช้ไดก้ บั เชอื้ เพลิงหลากหลายประเภท ข้อเสยี เปรียบหลักของเตาเผาแบบนี้อย่ทู ตี่ ้องการกระบวนการในการจดั การ มูลฝอยเบ้ืองต้นก่อนท่ีจะสามารถปูอนข้อมูลเข้าสู่เตาเผาได้ เพ่ือให้มูลฝอยมีขนาด ค่าความร้อน ปริมาณขี้เถ้าที่อยู่ ข้างในและอื่น ๆ เพื่อให้ตรงต่อข้อกาหนดในการปฏิบัติงานของเตาเผา และเน่ืองจากมูลฝอย มีลักษณะสมบัติที่ หลากหลาย จงึ ทาใหเ้ กดิ ความยากลาบากในการทาใหไ้ ด้เชื้อเพลิงท่ตี รงตามความต้องการ

ภาพที่ 6.7 เตาเผาแบบฟลูอิดไดซ์เบด ท่มี า : http://bangkokgreencity.bangkok.go.th เตาเผาแบบไพโรไลซิส - กา๊ ซซิฟเิ คชนั (Pyrolysis and Gasification) กระบวนการผลิตก๊าซเช้ือเพลิงจากมูลฝอยชุมชน (MSW Gasification) เป็นกระบวนการทาให้มูลฝอยเป็นก๊าซโดย การทา ปฏกิ ิริยาสันดาปแบบไม ่สมบรู ณ์ (Partial Combustion) กล่าวคือ สารอินทรีย์ในมูล ฝอยจะทาปฏิกิริยากับ อากาศหรือออกซิเจนปริมาณจากัด ทาให้เกิดก ๊าซ ซึ่งมีองค์ประกอบหลัก ได้แก คาร์บอนมอนอกไซด์ ไฮโดรเจน และมีเทน เรียกว่า Producer gas ในกรณีที่ใช้อากาศเป็นก๊าซทาปฏิกิริยาก ๊าซ เชื้อเพลิงท่ีได้จะมีค่าความร้อนต่า ประมาณ 3 - 5 เมกะจูลต่อลูกบาศก์เมตร แต่ถ ้าใช้ออกซิเจนเป็นก๊าซทาปฏิกิริยาก ๊าซเช้ือเพลิง ท่ีได้จะมีค่าความ ร้อนสูงกว่าคือ ประมาณ 15 - 20 เมกะจูลต่อลูกบาศก์เมตร กระบวนการผลิตก๊าซเช้ือเพลิงจากเช้ือเพลิงแข็ง ประกอบไปด้วยกระบวนการสลายตัว (Decomposition) และกระบวนการกลั่นสลาย (Devolatilization) ของ โมเลกลุ สารอินทรยี ์ ในมูลฝอยชุมชน ที่อุณหภูมิสูงประมาณ 1,200 - 1,400 องศาเซลเซียส ในบรรยากาศที่ควบคุม ปริมาณออกซิเจ น เพ่ือผลิตสาระเหย และถ่านชาร์ (Char) ในขั้นตอนของกระบวนการกล่ันสลายท่ีเรียกว่าไพโรไล ซิส (Pyrolysis) มูลฝอยจะสลายตัวด้วย ความร้อนเกิดเป็นสาระเหย เช น่ มีเทน และส่วนท่ีเหลือยังคงสภาพของ แข ง็ อย่เู รียกว่า ถ่านชาร์ สารระเหยจะทาปฏกิ ิรยิ าต่อกับอากาศ ออกซเิ จน หรือไอนา้ ได้เป็นก๊าซเชื้อเพลิง

ใบความรทู้ ี่ 2 เร่อื ง การผลิตพลงั งานจากเศษวสั ดุเหลือทงิ้ เร่อื งที่ 2 การผลิตพลังงานจากเศษวัสดเุ หลือทงิ้ 2.1 การผลติ พลงั งานโดยการหมกั ใชก้ ๊าซชีวภาพ ในสภาวะท่ีประเทศไทยมคี วามจาเป็นทจี่ ะต้องแสวงหาแหล่งพลังงานหมุนเวียนทดแทนพลังงานเช้ือเพลิงฟอสซิลซ่ึง นับวันจะมี ปริมาณลดน้อยลงและมีราคาสูงขึ้นเศษวัสดุเป็นอีก ทางเลือกหน่ึงด้านการผลิตพลังงาน เพราะเศษวัสดุ มศี ักยภาพท่ีสามารถนามาใช้เพ่ือผลิตพลังงานได้ ทั้งน้ี เน่ืองจากมีปริมาณมาก และไม่ต้องซ้ือหาแต่ในปัจจุบันมีการ นาเศษวสั ดมุ าผลติ เปน็ พลงั งานนอ้ ยมากเมอ่ื เทยี บกับพลงั งานทดแทนด้านอ่นื ๆ ในสภาวะท่ีประเทศไทย มีความจาเป็นที่จะต้องแสวงหาแหล่งพลังงานหมุนเวียน ทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล ซง่ึ นบั วนั จะมีปริมาณลดนอ้ ยลงและมรี าคาสูงขึ้นเศษวัสดุเป็นอีกทางเลือกหนึ่งด้านการผลิตพลังงาน เพราะเศษวัสดุ มศี ักยภาพทีส่ ามารถนามาใช้เพื่อผลิตพลังงานได้ทั้งน้ีเนื่องจากมีปริมาณมากและไม่ต้องซื้อหาแต่ในปัจจุบันมีการนา เศษวัสดุมาผลิตเป็นพลังงานน้อยมากเมื่อเทียบกับพลังงานทดแทนด้านอ่ืนๆการย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) เป็นกระบวนการหมกั ของเสียในสภาวะทีไ่ รอ้ อกซิเจนเพ่อื ใหจ้ ุลนิ ทรีย์ย่อยสลายสารอินทรีย์ ให้กลายเป็นก๊าซชีวภาพ สาหรบั ใชผ้ ลิตพลังงานไฟฟูาหรือความร้อนและสุดท้ายยังสามารถปรับสภาพดินให้สามารถ นาไปใช้ในการเพาะปลูกพืชได้อย่างปลอดภัย ระบบย่อย สลายแบบไม่ใช้ออกซิเจนสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท หลัก ๆ ตามความเข้มข้นของ สารอินทรีย์ท่ีปูองเข้าสู่ถังหมัก ได้แก่ การหมักแบบแห้ง (Dry Digestion) ซึ่งมีความ เข้มข้นของสารอินทรีย์ประมาณร้อยละ 20–40 และการหมักแบบเปียก (Wet Digestion) ซึ่งมีความเข้มข้นของ สารอินทรีย์น้อยกว่าร้อยละ 20 นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งระบบหมัก ตาม อุณหภูมิระดับกลาง ( Mesospheric Digestion Process)และระบบหมกั ทีอ่ ุณหภูมิสูง (Hemophilic Digestion Process) ปริมาณและคุณภาพของก๊าซ ชวี ภาพจากระบบย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจนข้ึนอยู่กับลักษณะของเศษวัสดุเป็นหลักนอกจากน้ันยังข้ึนอยู่กับการ ควบคุมระบบและสภาพแวดล้อม ของการหมัก ได้แก่ ปริมาณแบคทีเรียปริมาณสารอินทรีย์อุณหภูมิระยะเวลาการ หมักการผสมคลุกเคล้าและปริมาณสารยับย้ังแบคทีเรีย ก๊าซชีวภาพท่ีผลิตได้สามารถนาไปใช้ในการผลิตพลังงานได้ หลายรปู แบบเชน่ ผลติ ไฟฟาู โดยใช้เครอื่ งยนต์กา๊ ซหรอื ใช้ เป็นเชื้อเพลิงสาหรบั หมอ้ น้าเพื่อผลิตน้ารอ้ นหรอื ไอนา้ รปู ท่ี 6.13 การผลิตพลังงานโดยใชก้ ๊าซชีวภาพจากหลุมฝังกลบเศษวสั ดุ ท่ีมา : http://s2.thingpic.com

เป็นการพัฒนาและปรับปรุงระบบฝังกลบเศษวัสดุเพื่อลดการปล่อยก๊าซชีวภาพออก และนา ก๊าซชีวภาพท่ีได้จาก หลุมฝงั กลบเศษวัสดุมาใชพ้ ลงั งานทดแทนก๊าซชีวภาพท่ีได้สามารถนาไป ใช้ประโยชน์เป็นเช้ือเพลิงพลังงานได้หลาย ทางเช่นเดียวกบั ก๊าซชีวภาพทไี่ ด้จากระบบยอ่ ยสลายแบบไม่ใชอ้ อกซิเจน แต่อาจมีความจาเป็นต้องปรับปรุงคุณภาพ ก๊าซก่อนนาไปใช้ เช่น การกาจัดน้าคาร์บอนไดออกไซด์ และสารกัดกร่อนต่าง ๆ ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับข้อกาหนด คุณภาพ ก๊าซสาหรับการใชป้ ระโยชน์ในแต่ละรูปแบบ การผลิตเช้ือเพลิงเศษวัสดุ (Refuse Derived Fuel : RDF) เทคโนโลยี ผลิตเช้ือเพลงิ จากเศษวสั ดุ เปน็ การนาเศษวัสดุมาผ่านกระบวนการจัดการ ตา่ ง ๆ ได้แก่ การคัดแยกด้วยมือหรือเครื่องจักรการลดขนาดการผสมการทาให้แห้งการอัดแท่งการบรรจุแลการเก็บ เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติ ทางกายภาพและเคมีให้กลายเป็นเช้ือเพลิงเศษวัสดุท่ีมีค่าความร้อนสูงสามารถนาไปใช้เป็น เชือ้ เพลงิ เพอื่ ผลติ พลังงาน อีกทงั้ ยังสะดวกต่อการจดั เก็บและขนสง่ การผลิตก๊าซเชื้อเพลิง (Gasification) การผลิตก๊าซเช้ือเพลิงจากเศษวัสดุในชุมชน (MSW Gasification) เป็น กระบวนการทาให้เศษวัสดุกลายเป็น ก๊าซโดยทาปฏิกิริยาสันดาปแบบไม่สมบูรณ์ (Partial Combustion) กล่าวคือ สารอินทรีย์ในเศษวัสดุจะทาปฏิกิริยากับอากาศหรือ ออกซิเจนในปริมาณจากัดและทาให้เกิดก๊าซซ่ึงมีองค์ประกอบ หลักคือคาร์บอนมอนออกไซค์ไฮโดรเจนและมีเทน ท้ังนี้ องค์ประกอบของก๊าซเช้ือเพลิงจะข้ึนอยู่กับชนิดของเคร่ือง ปฏิกรณ์ (Gasifier) สภาวะความดนั อุณหภมู แิ ละคณุ สมบตั ิของก๊าซเชอ้ื เพลิงแข็งก๊าซเชื้อเพลิงท่ี ผลิตได้สามารถใช้งานได้หลายรูปแบบเช่นเป็นก๊าซเช้ือเพลิงสาหรับผลิตไฟฟูาการให้ความร้อนโดยตรง หรือใช้เป็น เชื้อเพลิงสาหรับยานพาหนะทั้งนี้ การใช้งานจะต้อง คานึงถึงคุณภาพของก๊าซเช้ือเพลิงโดยอาจจาเป็นต้องทาความ สะอาดก๊าซเช้ือเพลิง โดยการกาจัดก๊าซท่ีเป็นกรดสารประกอบของโลหะอัลคาไลน์ น้ามันทาร์และฝุนละออง เพื่อ เพิม่ ประสทิ ธภิ าพของระบบ ลดปญั หาการเสียหายของอุปกรณ์และปูองกนั ปญั หามลพิษที่เกิดข้นึ ศกั ยภาพสาหรบั ปริมาณเศษวสั ดุท่เี กิดขนึ้ ในประเทศไทยมยี อดรวมประมาณ 41,991 ตันต่อวันเป็นเศษวัสดุท่ีเกิดขึ้น ในกรุงเทพฯ ถึง 9,400 ตันต่อวันซึ่งจานวนเศษวัสดุ ที่เกิดขึ้นสามารถนามาผลิตเป็นพลังงานได้อย่างมากมายแต่ สาเหตทุ ่กี ารใช้พลงั งานจากเศษวัสดุยังมีน้อย เน่ืองมาจากการขาดความพร้อมในหลายด้านท้ังงบประมาณเคร่ืองมือ อปุ กรณ์บคุ ลากรหรอื แม้แตส่ ถานที่ดงั นั้นการนาพลงั งานจากเศษวัสดุมา ใช้ในประเทศไทยจงึ ต้องอาศัยระยะเวลาใน การพัฒนา อกี ระยะหน่ึง จึงจะ สามารถนาพลงั งานดังกล่าวมาใชไ้ ดอ้ ยา่ ง เต็มประสิทธภิ าพ เศษวัสดุเป็นส่ิงที่เกิดขึ้นจากของเหลือใช้ในกิจวัตรประจาวันของมนุษย์ก่อนจะถูกทิ้งออกมาสู่สิ่งแวดล้อมเศษวัสดุ เหล่านี้ หากไม่ได้รับการกาจัดอย่างถูกวิธีจะส่งผลกระทบกับส่ิงแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของมนุษย์การนาเศษ วัสดุมาผลิตพลังงาน เป็นอีกวิธหี นึ่ง ทส่ี ามารถช่วยกาจัดเศษวสั ดทุ ีเ่ กดิ ขน้ึ ได้อกี ทั้งวธิ ีดงั กลา่ วยงั ทาให้ไดป้ ระโยชนจ์ ากเศษวัสดุกลับมาในรูปของ พลังงาน จากเศษวสั ดุซึง่ จะทาให้ประเทศมีแหล่งพลังงานเพมิ่ ข้ึนแตก่ ารใชพ้ ลงั งานอยา่ งคุม้ ค่า ท่ีสุดยังคงเป็นสิ่งสาคัญ ต่อการ อนรุ กั ษ์พลงั งานในยคุ วิกฤตพลงั งานเช่นน้ี การผลิตเช้ือเพลงิ จากเศษวสั ดุ

จุดเริ่มตน้ ของมาใชเ้ ช้อื เพลิงเศษวัสดจุ ะเร่มิ จากการใช้เศษวัสดุเหลือทิ้งท่ีเก็บรวบรวม ได้ไปใช้ในการเผาไหม้โดยตรง ซึ่งมักก่อให้เกิดความยุ่งยากในการใช้งาน เน่ืองจากความไม่แน่นอนและไม่สม่าเสมอในองค์ประกอบต่าง ๆ (Non- homogeneousness) ทปี่ ระกอบกันขึ้นเป็นเศษวสั ดุเหลอื ทิง้ ซง่ึ เปลย่ี นแปลงไปตามชุมชนและตามฤดูกาล อีกทั้งเศษวัสดุเหลือทิ้งเหล่านี้มี คา่ ความร้อนต่า มีปริมาณเถ้าและความชื้นสูง สิ่งเหล่านี้ก่อความยุ่งยากให้กับผู้ออกแบบโรงเผาและผู้ปฏิบัติ และยัง ควบคุมการเกดิ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ยาก การแปรรูปเศษวัสดุเหลือท้ิงโดยผ่านกระบวนการจัดการต่างๆ เพ่ือ ปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพและคุณสมบัติทางเคมีของเศษวัสดุเหลือทิ้งเพ่ือทาให้ กลายเป็นเช้ือเพลิงเศษวัสดุ (Refuse Derived Fuel, RDF) จะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวมาข้างต้นได้ ซึ่งเชื้อเพลิงที่ได้น้ันสามารถนาไปใช้เป็น เชื้อเพลงิ เพื่อผลิตพลงั งานได้ เชื้อเพลิงเศษวสั ดุ (RDF) เปน็ การปรับปรุงและแปลงสภาพของเศษวัสดุเหลือทิ้ง ให้เป็นเช้ือเพลิงแข็งที่มีคุณสมบัติใน ด้านค่าความร้อน (Heating Value) ความชื้นต่า มีขนาดและความหนาแน่นเหมาะสมในการขนย้าย หรือการเผา และมอี งค์ประกอบทัง้ ทางเคมีและกายภาพสม่าเสมอ คุณลักษณะท่ัวไปของเชือ้ เพลิงเศษวสั ดปุ ระกอบด้วย ปลอดเชื้อโรคจากการอบด้วยความรอ้ น ลดความเส่ียงตอ่ การสมั ผัสเชือ้ โรค ไม่มีกลนิ่ มขี นาดเหมาะสมต่อการปอู นเตาเผา-หม้อไอนา้ (เสน้ ผ่านศนู ย์กลาง 15-30 มิลลิเมตร ความยาว 30 - 150 มิลลิเมตร) มีความหนาแน่นมากกว่าเศษวัสดุเหลือทิ้งและชีวมวลท่ัวไป (450 - 600 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) เหมาะสมต่อการจัดเก็บ และขนส่ง มีค่าความร้อนสูงเทียบเท่ากับชีวมวล (ประมาณ 13 - 18 เมกะจูลต่อลูกบาศก์ เมตร) และมีความชื้นตา่ (ประมาณรอ้ ยละ 5 - 10) ลดปญั หามลภาวะจากการเผาไหม้ เช่น ไนโตรเจนออกไซค์ และ ไดออกซนิ และฟูราน หลักการทางานของเทคโนโลยีน้ี เริ่มจากการคัดแยกเศษวัสดุที่ไม่สามารถเผาไหม้ได้ (โลหะ แก้ว เศษหิน) เศษวัสดุ อนั ตราย และเศษวัสดรุ ีไซเคิลออกจาก มีเหลือเพียงเศษวัสดุที่เผาได้ประกอบด้วย เศษวัสดุอินทรีย์ ไม้ ผ้า ยาง หนัง ใสจดุ นีอ้ าจจะมีการแยกซากเศษวัสดุอินทรีย์ ซ่ึงได้แก่ เศษอาหาร เศษผักผลไม้ออก เพื่อนาไปหมักผลิตก๊าซชีวภาพ ต่อไป เศษวัสดุท่เี ผาได้ อ่นื ๆ จะถกู ส่งเข้าเครื่องสับ - ยอ่ ยเพื่อลดขนาด และเขา้ เตาอบเพ่อื ลดความช้ืนเศษวสั ดุ เศษวสั ดุแห้งจะมีให้น้าหนกั ลดลงเกือบรอ้ ยละ 50 (สาหรับความชน้ื เหลอื ไม่เกนิ ร้อยละ 15) ในขั้นตอนสุดท้ายเศษวัสดุจะถูกส่งไปเข้าเคร่ืองอัดเม็ด เพื่อทาให้ได้เช้ือเพลิงเศษวัสดุอัดเม็ดที่มีขนาดและความ หนาแนน่ เหมาะสมในขั้นตอนของการอัดเมด็ อาจมีการเติมหินปูน (CaO) เข้าไป เพ่ือควบคุมและลดปริมาณก๊าซพิษ ท่ีเกิดข้ึนจากการเผาไหม้ เช้ือเพลิงเศษวัสดุจะเป็นไปตามมาตรฐาน ASTM E-75 ในตอนนี้เช้ือเพลิงจากเศษวัสดุก็ พร้อมท่จี ะเผาแล้วนาความรอ้ นทไี่ ด้ไปตม้ นา้ เพื่อผลิตกระแสไฟฟาู ต่อไป กา๊ ซชีวภาพ ก๊าซชีวภาพก๊าซที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการหมักย่อยสลายของสารอินทรีย์ภายใต้สภาวะท่ีปราศจากออกซิเจน (anaerobic digestion) กา๊ ซชีวภาพโดยท่ัวไปจะประกอบด้วยแก๊สมีเทน(CH4) ประมาณร้อยละ 50 - 70 และก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ประมาณร้อยละ 30 - 40 สว่ นทเ่ี หลือเป็นแก๊สชนิดอ่ืน ๆ เช่น ไฮโดเจน (H2) ออกซิเจน

(O2) ไฮโดรเจนซลั ไฟด์ (H2S) ไนโตรเจน (N) และไอน้า แต่เม่ือเรากล่าวถึงก๊าซชีวภาพเรามักจะหมายถึง ก๊าซมีเทน โดยหลักการ ก๊าซมีเทนจะเกิดการหมัก (fermentation) ของสารอินทรีย์ โดยกระบวนการน้ีสามารถเกิดขึ้นได้ใน หลมุ เศษวสั ดุ กองมูลสัตว์ และก้นบ่อแหล่งน้านิ่ง กล่าวคือเม่ือไหร่ก็ตาม ท่ีมีสารอินทรีย์หมักรวมกันเป็นเวลานานก็ อาจเกดิ กา๊ ซชีวภาพ ก๊าซชวี ภาพที่แตกตา่ งกนั จะมีสัดสว่ นของกา๊ ซมีเทนและก๊าซอืน่ ๆ ท่แี ตกตา่ งกนั ซง่ึ ก็จะมีวิธีการผลิตและวัตถุที่นามา ผลติ ที่แตกต่างกัน โรงผลติ แกส๊ ชีวภาพโดยทัว่ ไปจะใชม้ ูลสุกร น้าเสียจากโรงงานแปูงมัน โรงงานปาล์ม โรงหมักเบียร์ โรงกลั่นสุรา และโรงงานแปรรูปอาหาร รวมท้ังน้าเสียจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ การนาก๊าซชีวภาพไปใช้จาเป็นต้องมีการ ปรับปรุงซึ่งสรุปเปน็ สามขอ้ ดังน้ี การปรับปรงุ คณุ ภาพก๊าซชวี ภาพ (Gas Purification) ก่อนการนาไปใช้งาน มีขั้นตอนดังนี้ 1. การดกั นา้ ในทอ่ ส่งกา๊ ซชีวภาพ ปกติแล้วก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้มักจะมีความช้ืนสูงเกือบถึงจุดอิ่มตัว เม่ือก๊าซชีวภาพไหลผ่านท่อส่งก๊าซที่ฝัง อยู่ในดนิ ที่มอี ุณหภมู ติ า่ มักจะทา ให้ความชื้น(ไอนา้ ) ในกา๊ ซชวี ภาพกลั่นตวั เป็นหยดน้าและสะสมจนเกิดเป็นอุปสรรค ในการส่งกา๊ ซไปตามท่อได้ ดงั น้นั ต้องมกี ารตดิ ต้ังชุดดักนา้ กอ่ นนากา๊ ซชีวภาพไปใช้งาน 2. ปรับลดปริมาณกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) การปรบั ลดปริมาณกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากกา๊ ซชวี ภาพนี้ จะปฏบิ ัตกิ ต็ อ่ เมือ่ มีความจาเปน็ เช่น ในกรณที ่ีก๊าซชีวภาพที่ได้มีสัดส่วนของก๊าซมีเทน (CH4) ต่ามากจนอยู่ในระดับ ท่จี ดุ ไฟตดิ ยาก คอื ประมาณเปอร์เซ็นต์ CH4 นอ้ ยกว่า 45 เปอร์เซ็นต์ แตใ่ นระบบผลติ ก๊าซชวี ภาพสาหรบั ฟารม์ สกุ รน้นั ไมม่ ปี ญั หาในเรือ่ งน้ี ดงั นั้นการลดปรมิ าณ กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) จงึ ไม่จาเป็น 3. การปรบั ลดกา๊ ซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) การปรับลดกา๊ ซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ที่ปนเปอ้ื นในก๊าซชีวภาพนั้น มีคุณสมบัติเปน็ กา๊ ซพษิ และเมอื่ สัมผัสกบั น้า หรือไอน้าจะเปล่ียนสภาพเป็นกรดซัลฟูริค (H2SO4) ซึ่งเป็นสาเหตุของ ฝนกรดหรือไอกรดท่สี ามารถกัดกร่อนโลหะและวัสดอุ ปุ กรณ์ได้ ดังน้ันการลดปริมาณก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ใน ก๊าซชีวภาพก่อนการนาไปใช้ประโยชน์นั้นจะเป็นผลดีต่อส่ิงแวดล้อมโดยทั่วไป และจะช่วยยืดอายุการใช้งานของ อปุ กรณใ์ ช้กา๊ ซด้วย การผลติ พลังงานไฟฟูาจาก กา๊ ซชีวภาพสามารถกระทาไดด้ ้วยวธิ หี ลัก ๆ 3 วธิ ี กลา่ วคอื 3.1 ระบบกังหนั ไอน้า 3.2 ระบบกังหันกา๊ ซเดินคูก่ ับระบบกงั หันไอน้า 3.3 ระบบเครือ่ งยนตก์ ๊าซสันดาปภายใน

1. การผลติ พลังงานไฟฟา้ ดว้ ยระบบกงั หนั ไอนา้ วิธีนี้เป็นวิธีท่ีใช้กันทั่วไป โดยระบบกังหันไอน้าแต่ละระบบจะต่างกันตรงชนิดเชื้อเพลิงที่นามาเผาให้ความ ร้อนแก่หม้อน้าเท่านั้น ระบบน้ีเป็นการนาก๊าซชีวภาพมาเผาเพ่ือต้มน้าในหม้อน้าโดยตรงให้กลายเป็นไอน้า จากน้ัน ใช้ไอน้าไปหมุนกังหันไอน้าที่ต่อกับเครื่องกาเนิดไฟฟูาอีกทอดหนึ่ง อุปกรณ์หลักประกอบด้วย เตาเผาก๊าซชีวภาพ หม้อน้า (boiler) ระบบจา่ ยน้าและบาบัดน้า เครอ่ื งควบแนน่ (condenser) หอหลอ่ เย็น (cooling tower) กังหนั ไอนา้ (turbine) และเครอื่ งกาเนิดไฟฟาู ซึ่งประกอบดว้ ยอุปกรณ์สาคญั ที่ซับซ้อนหลายชนดิ 2. การผลติ พลังงานไฟฟ้าด้วยระบบกงั หันก๊าซเดินคกู่ ับระบบกังหันไอนา้ วธิ นี ี้น่าจะมีประสิทธภิ าพดีทส่ี ดุ หลักการทางานกค็ อื ใชร้ ะบบกังหนั ก๊าซชนิดเดียวกับท่ีใช้ในเคร่ืองบินไอพ่น โดยอัดอากาศผ่านเคร่ืองอัดความดันสูง แล้วนาอากาศความดันสูงที่ได้มาเผาร่วมกับก๊าซชีวภาพในห้องเผาไหม้ ซึ่ง ทาใหก้ ๊าซที่เผาไหมแ้ ล้วเกดิ การขยายตวั ทันที กลายเปน็ พลังงานไปหมุนเคร่ืองกาเนิดไฟฟาู เนื่องจากก๊าซเสีย (ก๊าซผสมท่ีปล่อยทิ้ง) มีอุณหภูมิสูงถึง 450 - 550 องศาเซลเซียส ดังน้ัน จึงสามารถนาไปใช้ให้ ความร้อนแก่หม้อน้า เพ่ือไปหมุนกังหันไอน้าท่ีใช้ขับเคล่ือนเครื่องกาเนิดไฟฟูาได้อีกทอดหน่ึง ระบบน้ีให้ ประสทิ ธิภาพโดยรวมประมาณรอ้ ยละ 30 3. การผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยระบบเคร่อื งยนต์กา๊ ซสนั ดาปภายใน เคร่ืองยนต์สันดาปภายในเครื่องแรกท่ีใช้ก๊าซเป็นเช้ือเพลิง ผลิตขึ้นในปี ค.ศ.1876 ท่ีประเทศเยอรมันนี ตอ่ มาอกี 10 ปี เครื่องยนต์สนั ดาปภายใน 4 จังหวะทีใ่ ชน้ า้ มันเป็นเชื้อเพลิงได้ถือกาเนิดขึ้นท่ีเยอรมันเช่นกัน สาหรับ เครื่องยนตส์ นั ดาปภายในทใ่ี ชก้ ๊าซธรรมชาติและใช้ก๊าซชีวภาพน้ัน การทางานของเคร่ืองยนต์จะมีลักษณะเหมือนกับ การทางานของเคร่ืองยนตใ์ นรถยนต์ที่ใช้น้ามันเบนซิน ซ่ึงต้องมีการจุดระเบิดโดยใช้หัวเทียน แต่มีส่วนประกอบหรือ ชิ้นส่วนต่าง ๆ เหมือนกับเครื่องยนต์ดีเซลมากกว่า โดยก๊าซท่ีเผาไหม้ในกระบอกสูบของเครื่องยนต์ก๊าซสันดาป ภายในที่จุดศูนย์กลาง อาจมีอุณหภูมิสูงถึง 1,400 องศา ทาให้ประสิทธิภาพของการผลิตไฟฟูาด้วยระบบนี้สูงกว่า ระบบที่ใช้กังหัน ก๊าซ เ ดิน คู่กั บ ระบบกังหัน ไอ น้าโดยมีค่าอยู่ท่ี ร้อยละ 32 - 40 แ ล ะ ค่ า เ ฉ ลี่ ย ท่ัว ไ ป จะ อ ยู่ ท่ี ร้อยละ 35 ภาพท่ี 6.14 การผลิตพลังงานไฟฟาู ดว้ ยระบบเครือ่ งยนตก์ า๊ ซสันดาปภายใน ที่มา : http://www.thaiwaste.com

ใบงานท่ี 1 วชิ าวสั ดุศาสตร์ เรอ่ื ง เทคโนโลยีการกาจัดวสั ดุ คาชี้แจง ใหผ้ ูเ้ รยี นศกึ ษาค้นควา้ เพิ่มเตมิ จากสื่อและแหลง่ เรียนรู้ตา่ ง ๆ ตามทแ่ี นะนาไว้ ท้ายหน่วยในชดุ วิชา แลว้ ทากิจกรรมต่อไปนี้ กิจกรรมที่ 1 1. จงอธบิ ายถงึ ประโยชนข์ องเทคโนโลยีการเผาวสั ดุเหลือทิ้ง .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. 2. จงบอกชนดิ และประโยชนท์ ่ีไดจ้ ากการเผาแบบเตาปฏิกรณ์ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................................

ใบงานท่ี 2 วชิ าวัสดศุ าสตร์ เร่ือง เทคโนโลยีการกาจัดวสั ดุ 3. จงบอกขนั้ ตอนการผลิตพลังงานจากเศษวสั ดุเหลือท้ิง .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................

แบบทดสอบยอ่ ย วิชาวัสดุศาสตร์ เรือ่ ง เทคโนโลยีการกาจัดวัสดุ คาสั่ง จงเลอื กคาตอบที่ถกู ที่สุดเพยี งขอ้ เดียว 1.ระบบการเผาไหมม้ วล หมายถงึ ข้อใด ก. การเผาทาลายมลู ฝอยในสภาพที่รับเขา้ มาโดยไม่ตอ้ งมกี ระบวนการจัดการเบอ้ื งตน้ ก่อน ข. การเผาทาลายมลู ฝอยโดยมีกระบวนการจัดการเบื้องต้นกอ่ น ค. การเผาทาลายมลู ฝอยประเภทกระดาษ ง. การเผาทาลายมลู ฝอยประเภทไม้ 2. ขอ้ ดขี องการกาจัดวสั ดุท่ีใช้แล้วโดยใช้เตาเผา คือข้อใด ก. เป็นระบบท่ีไม่ยุง่ ยากซับซ้อน ข. ไม่มเี ศษเหลอื ตกค้างทจี่ ะต้องนาไปกาจัดต่อไป ค. สว่ นทเ่ี หลอื จากการเผาไหม้ (ขเี้ ถ้า) สามารถนาไปถมที่ดินไดห้ รอื ทาวสั ดุก่อสรา้ งได้ ง. สามารถกาจดั วสั ดไุ ด้ทุกประเภท ทุกขนาด ยกเวน้ ของเสียอันตรายและของเสียติดเชอื้ 3. ข้อเสยี เปรยี บของการกาจัดขยะด้วยเตาเผาแบบตะกรบั เคลอ่ื นท่ีคือขอ้ ใด ก. เงินลงทุนและบารุงรกั ษาค่อนข้างสูง ข. ให้คา่ ประสิทธิภาพเชิงความรอนได้สงู ค. ไมต่ อ้ งการคัดแยกหรือบดตัดมูลฝอยก่อน ง. สามารถจดั การกับมลู ฝอยท่ีมีคา่ ความร้อนท่เี ปลีย่ นแปลงตลอดเวลา 4.เตาเผาแบบหมนุ มีหลักการทางานแบบใด ก. กระบวนการทาให้มูลฝอยเปน็ กา๊ ซโดยการทาปฏิกิรยาสันดาปแบบไม่สมบรู ณ์ ข. เปน็ การเผาไหมโ้ ดยอาศัยหลักการที่อนภุ าคของแขง็ รวมตัวในเตาเผา ผสมเขา้ กับมลู ฝอยทีท่ าหน้าทเ่ี ป็นเชือ้ เพลงิ สาหรับการเผาไหม้ถูกทาใหล้ อยตวั ขน้ึ ค. เป็นการเผาไหม้มวลของมูลฝอยโดยใชห้ ้องเผาไหม้ทรงกระบอกซึ่งสามารถ หมนุ ได้รอบแกน มลู ฝอยจะเคล่ือนตวั ไปตามผนังของเตาเผาตามการหมนุ ของเตาเผา ง. เป็นการเผาไหมม้ วล ซงึ่ ประกอบดว้ ยตะกรับทสี่ ามารถเคลื่อนท่ีได้และมกี ารเผาไหมบ้ นตะกรบั โดยจะเคล่ือนท่ี และลาเลยี งมูลฝอยจากจดุ เริ่มตน้ ถงึ จดุ สุดท้าย

5.ข้อใด ไม่ใช่ ประโยชน์ทีไ่ ด้รับจากการเผาไหม้มลู ฝอยในเตาเผา ก. การนาเอาพลงั งานท่ีมีอยู่ในมูลฝอยกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ข. สามารถลดปรมิ าณการปลดปล่อยก๊าซมีแทนได้ ค. ไมท่ าให้เกดิ ปรากฎการณ์ภาวะเรอื นกระจก ง. สามารถใชท้ ดแทนเชื้อเพลิงฟอสซลิ ได้ 6. เศษวัสดทุ ีไ่ ม่สามารถเผาไหมไ้ ด้คือข้อใด ก. เศษแกว้ ข. ถุงมือยาง ค. ผา้ ขนหนู ง. รองเท้าหนงั 7. ปริมาณและคุณภาพของก๊าซชีวภาพจากระบบย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซเิ จนข้ึนอยู่กับองค์ประกอบทุกข้อ ยกเวน้ ขอ้ ใด ก. เศษวสั ดุ ข. การควบคุมระบบของการหมกั ค. การควบคุมอณุ หภมู ิของการหมกั ง. การควบคมุ สภาพแวดล้อมของการหมกั 8. หากเรากลา่ วถึงกา๊ ซทีเ่ กิดจากการหมกั ชีวภาพจะหมายถงึ ก๊าซในข้อใด ก. มเี ทน ข. ออกซิเจน ค. คาร์บอนไดออกไซด์ ง. ไฮโดรเจนซัลไฟด์ 9. ข้อใด ไม่ใชว่ ีธกิ ารปรบั ปรงุ คุณภาพกา๊ ซชีวภาพ ก่อนการนาไปใช ง้ าน ก. การดกั นาในทอ่ สง่ กา๊ ซชวี ภาพ ข. การปรับลดก๊าซออกซเิ จน(O) ค. การปรับลดก๊าซไฮโดรเจนซลั ไฟด์ (H2S)

ง. การปรบั ลดปรมิ าณก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) 10. การปรบั ลดก๊าซไฮโดรเจนซลั ไฟด์ (H2S) ทีป่ นเปื้อนในก๊าซชีวภาพเพื่อวตั ถปุ ระสงค์ขอ้ ใด ก. ชว่ ยยดื อายุการใชง้ านของอปุ กรณ์ ข. ปอู งกนั อนั ตรายจากปริมาณของกา๊ ซทสี่ ะสม ค. ช่วยใหระบบการท ้ างานของอุปกรณ์มีประสิทธิภาพมากยง่ิ ขึน้ ง. ปูองกนั การกล่นั ตวั เป็นหยดีนา้ ซง่ึ จะเปน็ อปุ สรรคในการสง่ ก๊าซไปตามท่อ เฉลยแบบทดสอบย่อย วชิ า วสั ดศุ าสตร์ เร่อื งเทคโนโลยกี ารกาจดั วสั ดุ ม.ปลาย 1. ง 2.ข 3.ง 4.ก 5.ก 6.ข 7.ค 8.ก 9.ง 10.ข


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook