การวจิ ัยการศกึ ษาเปรยี บเทียบการพัฒนาบนพ้นื ที่สูงในอดีตและปัจจบุ นั 73 โครงการพัฒนาชาวเขาเชิงอนุรกั ษ์ ดาเนินการต้ังแต่ปี 2541-2544 ดาเนินการโดยยึดหลักการและทฤษฎีการพัฒนา ได้แก่ หลักการจัดการลุ่มน้าพ้ืนท่ีลุ่มน้าขนาดเล็ก การบริหารจัดการที่ดินเพ่ือการเกษตรอันเน่ืองมาจาก พระราชดาริ “ทฤษฎใี หม่” ทฤษฎกี ารปอ้ งกนั การเสื่อมโทรมและพงั ทลายของดิน (การปลกู หญ้าแฝก) ทฤษฎีการพัฒนาฟ้ืนฟูป่าไม้อันเน่ืองมาจากพระราชดาริ มีแผนงานหลักที่สอดคล้องกับแนวคิดคนอยู่ กับป่าอย่างยั่งยืนได้แก่ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม การพัฒนาชุมชนและ คุณภาพชีวิต การมีส่วนร่วมของบ้าน การประสานงานเพื่อการพัฒนา โครงการดังกล่าวดาเนินการใน หมู่บ้านชาวเขาใน 4 จังหวัด ที่มีศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ต้ังอยู่จานวน 72 หมู่บ้าน ชาวเขาได้ พร้อมใจกนั ดาเนินการพฒั นาชาวเขาเชิงอนุรกั ษ์เพอื่ ถวายแด่พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลย เดช ( ร.9 ) ผลท่ีเกิดข้ึนมีการฟื้นฟูป่าด้วยวิธีการธรรมชาติตามแนวพระราชดาริ มีการปลูกป่า การรักษาป่าไม้ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ และมีการปลูกหญ้าแฝกเพ่ือป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และทาใหช้ าวเขา ในพน้ื ทโี่ ครงการมีรายไดเ้ พิม่ ขนึ้ จากเดิม 2,500 บาท/ปี เป็น 4,000 บาท/ปี โครงการโรงเรียนชาวบ้านการพฒั นาชาวเขาเชงิ อนุรกั ษ์ ในปี 2543-2545 กรมประชาสงเคราะห์ โดยสานกั งานส่งเสริมการพฒั นาเศรษฐกิจและ สังคมบนพื้นที่สูง จังหวัดเชียงใหม่ ได้ประสานงานกับมูลนิธิไฮน์ริชเบิลล์ ในการของสนับสนุนการจัด อบรมเชิงปฏิบัติการ การเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ให้กับชาวบ้านและทางมูลนิธิฯ ได้สนับสนุน งบประมาณเก่ียวกับการฝึกอบรม ค่าเดินทาง และค่าประกันชีวิตให้กับชาวบ้าน โดยกระจาย เป้าหมายครบทั้ง 14 จังหวัดทาให้เกิดโรงเรียนชาวบ้านตามศูนย์ฯต่างๆ ทุกศูนย์ฯและทางมูลนิธิฯได้ สนับสนุนต่อเนื่องเป็นโครงการเสริมสร้างศักยภาพ องค์กรชุมชนและท้องถ่ิน โดยสนับสนุนกิจกรรม เวทีชาวบ้าน และกิจกรรมขับเคลื่อนของชุมชน และเพ่ือเป็นการสนับสนุนการทางานให้กับเครือข่าย ต่อไป จากบทเรียนและประสบการณ์ที่ชาวบ้านได้รับจากโครงการโรงเรียนชาวบ้านฯ และ โครงการเสริมสร้างศักยภาพองค์กรชุมชนและท้องถิ่น ทาให้ชาวบ้านได้มีโอกาสแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ในการทางานแก้ไขปัญหาของชุมชน และการหาวิธีสร้างแนวร่วมของชุมชนซ่ึงชุมชนจะ เป็นต้นคิดในการแก้ไขปัญหาหรือการพัฒนาชุมชนเอง โดยใช้กระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้การเปิด เวทีพูดคุยกันมากขึ้น เพ่ือให้เกิดแนวร่วมและพลังขับเคล่ือนท่ีมีแผนปฏิบัติแบบบูรณาการท่ีต่อเนื่อง และยัง่ ยืนจนสามารถพง่ึ ตนเองได้ในทสี่ ุด โครงการความรว่ มมอื จากตา่ งประเทศ - โครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมบนพ้ืนที่สูง (Highland Agricultural and Social Development Project : HASD ) ในราวปี 2523 จากการทก่ี รมป่าไม้ไดจ้ ัดทาโครงการปลูก ป่าและขอสนับสนุนความชว่ ยเหลือไปยังธนาคารโลก ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ของธนาคารมาดูพื้นท่ีโครงการ ใ น ภ า ค เ ห นื อ ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย เ ห็ น ว่ า จ ะ ใ ห้ ป ลู ก ป่ า โ ด ย ล ะ เ ล ย ค น ที่ อ ยู่ ใ น ป่ า ไ ม่ ไ ด้ จึ ง ไ ด้ ใ ห้ กรมประชาสงเคราะห์ซึ่งมีหน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาปฏิบัติงานอยู่ในพ้ืนที่รับผิดชอบดูแล เรื่องคน ซึ่งข้อเสนอของกรมประชาสงเคราะห์เป็นที่ยอมรับของธนาคารโลกจึงได้รับอนุมัติความ ช่วยเหลือ แต่คงติดขัดในเร่ืองที่ปรึกษาโครงการซ่ึงต้องมีค่าใช้จ่ายรวมอยู่ในเงินกู้ก้อนดังกล่าว
74 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรียบเทยี บการพฒั นาบนพ้ืนทสี่ งู ในอดีตและปัจจบุ ัน กรมประชาสงเคราะหจ์ ึงได้ต่อรองกับธนาคารโลกเพื่อหาท่ีปรึกษาเองโดยไดร้ บั การสนับสนุนที่ปรึกษา ด้านกาแฟจากประเทศอังกฤษ และรัฐบาลออสเตรเลีย ได้สนับสนุนที่ปรึกษามาเป็นคณะ (สรุปความ จากการสัมภาษณ์ นายอิระวัชร์ จันทรประเสริฐ,2555 ) โดยได้มอบหมายให้สานักงานให้ความ ช่วยเหลือทางด้านการพัฒนาการแห่งชาติ ( The Australian International Development Assistance Bureau ) จัดส่งคณะท่ีปรึกษาฯ มาทาหน้าท่ีในการให้คาแนะนาทางด้านวิชาการแก่ โครงการ การดาเนนิ งานของโครงการพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมบนพ้นื ทีส่ ูง ได้มีสานักงานบริหาร โครงการฯตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหน่วยงานที่ทาหน้าท่ีในการบริหารโครงการ ซ่ึงแบ่ง การดาเนนิ งานออกเปน็ 9 เขตในพนื้ ท่ี 5 จงั หวดั ภาคเหนือ คือจงั หวดั เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลาปาง และน่าน โครงการฯได้ปฏิบัติงานครอบคลุมพื้นท่ีในหมู่บ้านชาวเขาจานวน 302 หมู่บ้าน มีจานวนชาวเขาในเขตพ้นื ท่ีรบั ผิดชอบของโครงการทง้ั ส้นิ 9,800 ครอบครัว (52,890 คน) จากความสาเร็จท่ีได้รับการดาเนินงานพัฒนาชาวเขาของโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมบนพื้นที่สูง ซ่ึงถือว่าเป็นโครงการระยะแรกได้ลุล่วงไปด้วยดี จนสามารถบรรลุเป้าหมายของ โครงการ รัฐบาลไทยจึงได้แสดงความจานงต่อรัฐบาลออสเตรเลีย ขอรับการสนับสนุนเพื่อเป็น การสานต่อจากโครงการระยะแรกพร้อมทั้งขยายงานการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมให้กับ ชาวเขาในส่วนอ่ืนๆ โดยทางกรมประชาสงเคราะห์ได้จัดทาแผนการดาเนินงานของโครงการระยะที่ 2 ข้ึน และนาเสนอต่อสานักงานให้ความช่วยเหลือทางด้านการพัฒนาแห่งชาติของออสเตรเลีย (AIDAB) ในเดือนเมษายน 2531 และได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลออสเตรเลียในเดือนมิถุนายน ปีเดียวกัน การดาเนินงานโครงการระยะท่ี 2 จึงได้เร่ิมขึ้นหลังจากท่ีรัฐบาลไทยได้ลงนามในข้อตกลง เมอื่ เดือนตลุ าคม พ.ศ.2531 (สิทธา เพญ็ ภาคกลุ ,อ้างแล้ว) โครงการระยะท่ี 2 ได้ดาเนินการภายใตช้ อื่ โครงการพัฒนาเขตพ้ืนทสี่ ูงไทย-ออสเตรเลีย เป็นโครงการท่ีเกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลออสเตรเลียต่อเน่ืองจากโครงการ ระยะแรกและจะสิ้นสุดการดาเนนิ งานภายในเดือนตุลาคม 2536 ( ค.ศ.1993 ) สาหรับเขตปฏบิ ัติการ ของโครงการน้ีได้ขยายเขตการพัฒนาเพ่ิมขึ้นเป็น 11 เขตพ้ืนที่ใน 6 จังหวัด โดยมีจานวนกลุ่ม ประชากรชาวเขา 13,000 ครอบครัว ( 55,729 คน ) ที่อาศยั อยใู่ นหมบู่ า้ นจานวนทั้งสนิ้ 323 แหง่ จุดมุ่งหมายหลักของโครงการพัฒนาเขตพ้ืนท่ีสูงไทย-ออสเตรเลีย คือการปรับปรุงและ พัฒนาสภาวะการครองชีพตลอดจนมาตรฐานความเปน็ อยู่ของประชากรชาวเขาท้ังทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม โดยเน้นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและฟ้ืนฟูสภาพส่ิงแวดล้อมที่เป็นองค์ประกอบ ในระยะเริ่มแรกการจัดทาโครงการจะมีกองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย เป็นหนว่ ยงานหลักในการดาเนนิ งานและประสานโครงการเช่ือมโยงมาตลอด ต้งั แต่โครงการระยะแรก ที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารโลกมาจนถึงโครงการท่ีได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลออสเตรเลีย นับเป็นหน่วยงานของรัฐที่ รับผิดชอบการดาเนินงานเพียงหน่วยงานเดียวท่ีมีส่วนเป็นอย่างมากใน การสะท้อนให้เห็นความสาเร็จของโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมบนพ้ืนท่ีสูง ( HASD ) อย่าง เด่นชัดงานท่ีทางโครงการได้ริเร่ิมไว้ไม่ว่าจะเป็นรูปของคาแนะนาหรือวิธีการและข้ันตอนของการ ปฏิบัติงาน ไม่เพียงแต่เป็นที่ยอมรับท่ัวไปในหมู่เกษตรกรชาวเขาที่อาศัยอยู่ในพื้นท่ีแตไ่ ด้ถูกนามาเป็น รปู แบบของการปฏบิ ัติงานปกตขิ องกองสงเคราะหช์ าวเขาและกาหนดไวใ้ นนโยบายการปฏิบตั ิงานของ
การวจิ ยั การศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพฒั นาบนพื้นที่สงู ในอดตี และปจั จุบนั 75 รัฐบาลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานพัฒนาบนพ้ืนที่สูงของประเทศไทย สามารถสร้างรูปแบบการพัฒนาบน พื้นทส่ี งู ได้ โดยเนน้ เร่ืองการพฒั นาต้นน้าลาธารและอนุรกั ษด์ ินและน้า และการพัฒนาคน ความสาเร็จ ของโครงการดังกลา่ วทาใหไ้ ด้รบั ประกาศเกียรตคิ ุณดีเด่นในการอนุรกั ษ์ดินและน้าจากสมาคมอนุรักษ์ ดินและน้าแห่งประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2532 และในปี พ.ศ. 2538 ยังได้รับรางวัล International Merit Award จากสมาคมควบคุมการชะล้างพังทลายของดินระหว่างประเทศ (InternationalErosion Control Association) หรือ IECA ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งโครงการน้ีเป็นโครงการตัวอย่างที่เปิด โอกาสใหป้ ระชาชนบนพื้นท่สี ูงมีส่วนรว่ มในการอนุรกั ษด์ นิ และน้า - โครงการพัฒนาท่ีสูงไทย-เยอรมัน เป็นโครงการท่ีได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล สหพนั ธส์ าธารณรัฐเยอรมัน มาตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2524 และสิ้นสุดโครงการในปี พ.ศ. 2537 เปน็ ทุนความ ช่วยเหลือจากกระทรวงความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (BMZ) สานักงาน ป.ป.ส. ทาหน้าท่ีประสานงาน วางแผนและติดตามประเมินผล ส่วนการดาเนินงานนั้นมีหน่วยงานราชการในท้องที่เป็นผู้รับผิดชอบ ตามรูปแบบการพัฒนาชนบทแบบผสมผสาน พ้ืนท่ีดาเนินงานโครงการในระยะแรกครอบคลุม 105 ชมุ ชน 4,117 ครัวเรอื น ประชากร 25,173 คน ประกอบดว้ ย 2 เขตพน้ื ที่ คอื -เขตตาบลวาวี อาเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ประกอบด้วย ชาวเขาเผ่ามูเซอ ลีซอ อีกอ้ กะเหร่ยี ง และจีนฮ่อ -เขตลุ่มน้าลาง ตาบลสบป่อง และตาบลปางมะผ้า ก่ิ งอาเภอปาง ม ะผ้า จังหวดั แมฮ่ ่องสอน เป็นชาวเขาเผา่ มูเซอ ลีซอ กะเหรี่ยง แม้ว และไทยใหญ่ และในช่วงปี 2538-2541 โครงการพัฒนาท่ีสูงไทย-เยอรมัน ได้เปิดดาเนินการเพ่ิมใน เขตพน้ื ท่ีตาบลห้วยแม่ปูลิง อาเภอเมอื ง จังหวดั แมฮ่ อ่ งสอน อันเปน็ พืน้ ที่สุดท้ายของโครงการ ลักษณะของโครงการในระยะแรกเน้นการพฒั นาคุณภาพชวี ติ ชาวเขา ทั้งดา้ นการพัฒนา ชุมชน การสาธารณสขุ การศกึ ษา การปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนฝิน่ และการลงสญั ชาตไิ ทยแก่ชาวเขา แตใ่ นระยะต่อมาไดเ้ พิ่มในเรื่องสงิ่ แวดล้อม โดยการสง่ เสรมิ การปลูกพืชเชงิ อนรุ กั ษ์ การดาเนินงานพ้ืนที่โครงการเป็นความร่วมมือกันของหน่วยงาน สานักงาน ป.ป.ส. กับหน่วยงานหลักในพื้นที่ท้ังกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงสาธารณสุข กรมการพัฒนาชุมชน กรมการศกึ ษานอกโรงเรียน กรมการปกครองและกรมประชาสงเคราะห์ - โครงการพัฒนาที่สูงไทย-นอร์เว เป็นโครงการความร่วมมือท่ีรัฐบาลไทยดาเนินการ ร่วมกับองค์การบรรเทาทุกข์แห่งคริสตจักรนอร์เว (Norwegian Church Aid :NCA) และกองทุน ควบคุมการใช้ยาในทางที่ผิดแห่งสหประชาชาติ (United Nations Fund for Drug Abuse Control : UNFDAC) ในอันท่ีจะช่วยพัฒนาชาวเขาในภาคเหนือของประเทศไทยที่มีการปลูกฝิ่นหนาแน่นด้วย การสนับสนุนช่วยเหลือด้านการเงินและวิชาการแก่รัฐบาลไทย ผ่านกรมวิเทศสหการ โดยมี กรมประชาสงเคราะห์เป็นหน่วยงานบริหารโครงการ สานักงาน ป.ป.ส. เป็นหน่วยงานประสานงาน ระดับนโยบาย และ NCA เป็นหน่วยสนับสนุนโครงการ ระยะเวลาดาเนินการ 5 ปี (2528-2532) เรม่ิ ดาเนินการเม่อื วันที่ 1 มกราคม 2528 แบง่ พ้ืนท่ีโครงการเป็น 3 เขต พน้ื ทรี่ วม 43 หมูบ่ า้ น ได้แก่ 1. เขตพ้ืนทห่ี ้วยมะนาว อาเภอจอมทอง จงั หวดั เชยี งใหม่ (ชาวเขาเผา่ ม้ง และกะเหรีย่ ง) 2. เขตพ้ืนท่มี ่อนยะ อาเภอสะเมิง จังหวดั เชยี งใหม่ ( ชาวเขาเผ่ากะเหร่ียง และจีนฮ่อ )
76 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพัฒนาบนพน้ื ที่สงู ในอดตี และปัจจบุ นั 3. เขตพน้ื ท่ีแมส่ ้าน - ผาแดง อาเภอวังเหนือ จงั หวัดลาปาง (ชาวเขาเผ่าจีนฮอ่ เยา้ และ ลซี อ ) อาเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา อาเภอพาน จงั หวดั เชียงราย วัตถุประสงค์โครงการพัฒนาท่ีสูงไทย-นอร์เว เป็นโครงการพัฒนาผสมผสาน ประกอบดว้ ยกจิ กรรมการพัฒนาทางดา้ นการเกษตร การตลาด การศึกษา การสาธารณสขุ และปัจจัย บริการขั้นพื้นฐาน โดยเน้นที่ตัวเกษตรกรชาวเขา และสภาวะแวดล้อมในท้องถิ่นของชาวเขาเอง เป้าหมายรวมๆ โดยท่ัวไปคือ การเพิ่มปริมาณอาหารให้มีบริโภคอย่างเพียงพอ ลดบทบาทของฝ่ิน ในฐานะพืชเศรษฐกิจและช่วยให้ชาวเขาอยูร่ ่วมในสังคมไทยพ้นื ท่ีราบไดต้ ามสภาวะแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ และส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติท่ีม่ันคงถาวรสืบไป โดยมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนา 5 ประการดังนี้ 1. เพ่ือเพิ่มปริมาณอาหารท่ีบริโภคให้เพียงพอและปรับปรุงการเกษตรเพ่ือการยังชีพ โดยเน้นในเรื่องการปลูกข้าวบนพ้ืนที่สูง ให้ผสมผสานไปกับมาตรการในเรื่องการอนุรักษ์ดินและ การป้องกนั การชะลา้ งพังทลายของดนิ 2. เพอ่ื ชว่ ยเหลอื ใหเ้ กษตรกรชาวเขาไดป้ ลกู พชื เศรษฐกจิ และพืชอาหารทดแทนฝนิ่ 3. เพอ่ื ชว่ ยเหลือใหป้ ระชากรชาวเขาในเขตพ้ืนท่โี ครงการฯ ไดใ้ ชบ้ รกิ ารของรัฐที่มีอยู่ให้ มากท่ีสุดโดยการปรับปรุงในเร่ืองสาธารณูปโภคและบริการต่างๆ จนถึงระดับท่ีต้องการ ท้ังน้ีเพื่อให้ บรรลุถงึ เป้าหมายของโครงการฯ 4. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนแนวความคิดริเริ่มในการพัฒนาตนเองและการปรับปรุง สภาพเศรษฐกิจและสังคมในเขตพน้ื ท่ีโครงการฯ 5. เพื่อให้การสนับสนุนและอานวยความสะดวกในด้านการศึกษา ท้ังแบบนอกระบบ และในระบบตลอดจนให้การฝึกอบรมชาวเขาอีกด้วย การปฏบิ ัติงานและการบริหารโครงการพัฒนาท่สี ูงไทย-นอร์เว ไดก้ าหนดระยะเวลาของ การดาเนินงานออกเป็น 2 ระยะ คือระยะแรกเป็นระยะวางแผนและเตรียมการมีระยะเวลา 1 ปี สว่ นระยะที่ 2 เป็นระยะปฏิบัตกิ ารมรี ะยะเวลา 4 ปี พื้นทกี่ ารปฏบิ ัตงิ านน้ัน ในเขตพฒั นาพ้ืนทห่ี ว้ ยมะนาว และเขตพ้ืนที่แม่สา้ น-ผาแดง เปน็ เขตพ้ืนท่ีการดาเนินงานโครงการปลูกพืชทดแทนและการตลาดไทย-สหประชาชาติ (HAMP) ซงึ่ โครงการพัฒนาทสี่ ูงไทย-นอรเ์ ว ได้เขา้ ดาเนนิ การตอ่ เนอื่ งและได้ขยายหมู่บา้ นดาเนินการเพมิ่ เติมอีกด้วย สาหรับเขตพื้นที่ม่อนยะ โครงการฯได้เปิดพ้ืนท่ีปฏิบัติงานข้ึนใหม่ โดยได้วางแผนและเตรียมการใน ปี พ.ศ. 2528 และได้เรมิ่ ปฏิบัตงิ านปลายปี 2528 นัน้ ด้วย โครงสรา้ งการบรหิ ารงานโครงการพัฒนาทสี่ ูงไทย-นอรเ์ ว จดั ไดเ้ ปน็ 3 ระดับคือ 1. ระดับนโยบาย มีคณะกรรมการบริหารและประสานงาน เป็นผู้กาหนดนโยบาย เก่ียวกับการดาเนินงานงบประมาณ อัตรากาลังเจ้าหน้าที่ รวมท้ังพิจารณาแก้ไขปัญหาท่ีสาคัญใน การปฏิบัตงิ านของโครงการพฒั นาท่ีสูงไทย-นอร์เว 2. ระดบั โครงการ เปน็ เจ้าหน้าทจ่ี ากกรมประชาสงเคราะห์ เป็นผู้ทาหนา้ ทีใ่ นฐานะ ผอู้ านวยการโครงการฯ การบริหารงานภายในโครงการ การประสานงานกับหนว่ ยราชการทีเ่ กี่ยวข้อง การจัดทาแผนงาน การติดตามประเมินผลและการฝึกอบรม
การวจิ ยั การศกึ ษาเปรียบเทยี บการพัฒนาบนพ้นื ทีส่ งู ในอดตี และปจั จุบนั 77 3. ระดับปฏิบัติงาน มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานรว่ มกับชาวบ้านโดยตรงในหมู่บ้าน และ มีฝ่ายประสานงานปฏิบัติงานร่วมกับส่วนราชการท่ีเก่ียวข้องในพ้ืนท่ี ปฏิบัติงานท้ังด้านพัฒนาอาชีพ พฒั นาการศกึ ษา พัฒนาด้านสาธารณสุข และพัฒนาดา้ นการปกครอง โครงการพัฒนาท่ีสูงไทย-นอร์เว มีกิจกรรมในด้านต่างๆ คือ ด้านการส่งเสรมิ การเกษตร และพัฒนาชุมชน ด้านการตลาด ด้านการศึกษา สาธารณสุข การปกครอง และการพัฒนา สาธารณูปโภค โครงการร่วมกับสว่ นราชการทเี่ กีย่ วขอ้ งทงั้ ในระดับอาเภอและจังหวดั - โครงการพัฒนาทสี่ ูงดอยแปเป้อ โครงการพัฒนาท่ีสูงดอยแปเป้อ เร่ิมดาเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2530 สิ้นสุดปี พ.ศ. 2534 เป็นโครงการที่บริหารงานโดยกรมการปกครอง สานักงาน ป.ป.ส. เป็นหน่วย ประสานงาน โดยมีงบประมาณความช่วยเหลือจากองค์การสหประชาชาติและจากรัฐบาลไทย ท่ีตั้งอยู่ในเขต อาเภอทา่ สองยาง จงั หวัดตาก และอาเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ สภาพพืน้ ทเ่ี ป็นภูเขาสงู ทุรกันดาร ประชากรส่วนใหญ่เป็นเผ่ากะเหรี่ยง มีหมู่บ้านและกลุ่มบ้านชาวเขาตั้งอยู่แออัด จานวนกว่า 150 หมู่บ้าน/กลุ่มหมู่บ้าน เส้นทางการเข้าสู่พื้นท่ีเป็นทางเดินเท้าลัดเลาะไปตามไหล่เขาและลาธาร จนในปี 2542-2545 พระอาจารย์ดารหิ ์ พระธรรมจารกิ แห่งสานักสงฆ์บา้ นแม่ต้าน อาเภอท่าสองยาง นาชาวเขาบนดอยแปเป้อ ขุดทางลาลองด้วยแรงงานชาวบ้านจากรอยต่ออุทยานแห่งชาติแม่เมย ไปจรดหม่บู า้ นชาวเขาในเขตอาเภออมก๋อย เป็นผลสาเรจ็ โครงการพัฒนาท่ีสูงดอยแปเป้อ เป็นโครงการที่บริหารงานโดยกรมการปกครอง สานักงาน ป.ป.ส. เป็นหน่วยประสานงาน โดยมีงบประมาณความช่วยเหลือจากองค์การ สหประชาชาติ ประกอบดว้ ย United Nations Development Program (UNDP) United Nations Fund for Population Activities (UNFPA) United Nations International Children’s Emergency Fund (UNICEF) UNFDAC และจากรัฐบาลไทย มีพื้นท่ีโครงการตั้งแยกกัน 2 อาเภอ คืออาเภอท่าสองยาง จังหวัดตากและอาเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ประชาชนชาวเขาสว่ นมากเปน็ เผา่ กะเหร่ียง โครงการนเ้ี ริม่ ดาเนินการต้ังแตป่ ีพ.ศ. 2530 และสน้ิ สุดปี พ.ศ. 2534 ทัง้ น้ี จากรายงานการศึกษาของสทิ ธา เพญ็ ภาคกุล (ม.ป.พ. : 122 ได้ความว่า ในปพี .ศ. 2523 ประเทศไทยมคี วามจาเป็นในการพฒั นาพนื้ ที่ปา่ ไม้ การพฒั นาคนที่อยู่ในพ้ืนที่ปา่ และท่ดี ินทากินควบคู่ กันไป ธนาคารโลกจึงได้ให้ความช่วยเหลือโดยเน้นเร่ืองสิ่งแวดล้อม การลดการปลูกและเสพฝิ่น และ การพัฒนาคุณภาพชีวิต จึงเกิดโครงการพัฒนาที่สูงดอยแปเป้อ พร้อมๆ กับโครงการอื่นๆ อีกเช่น โครงการพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมบนพ้ืนทส่ี ูง โครงการพัฒนาที่สงู ไทย-เยอรมนั โครงการพัฒนาท่ีสูง ไทย-นอร์เว โครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นท่ีดอยยาว-ผาหม่น เป็นต้น การดาเนินงานตาม โครงการท่ีได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศดังกล่าว ช่วยทาให้ชาวเขาในเขตพ้ืนที่โครงการมี รายได้เพิ่มขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ส่งผลให้มีการลดการปลูกและเสพฝิ่นได้เป็นจานวนมาก อย่างไรก็ ตามมีจุดอ่อนคือ เม่ือสิ้นสุดโครงการหน่วยงานหลักก็ยังไม่สามารถเข้ามารับงานต่อได้ ติดขัดด้วย อตั รากาลงั งบประมาณ และการเข้าถึงพ้ืนท่ี โดยเฉพาะพื้นทส่ี ่วนใหญ่ยังอย่ใู นเขตป่าหวงห้ามของทาง ราชการ
78 การวิจยั การศึกษาเปรียบเทยี บการพัฒนาบนพ้นื ทสี่ ูงในอดตี และปจั จุบัน - โครงการต้นแบบการพัฒนาชาวเขาเพื่อการพึ่งตนเองจังหวัดตาก (JICA) พื้นท่ีโครงการตั้งอยู่บริเวณดอยมูเซอ ตาบลแม่ท้อ อาเภอเมือง จังหวัดตาก เป็นความ ร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย โดยกรมประชาสงเคราะห์กับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) โดยประเทศญ่ีปุ่นได้จัดส่งอาสาสมัคร ชาวญี่ปุ่นที่มีความชานาญงานในด้านการเกษตร อนามัย การศึกษา และการตลาด เข้ามาปฏิบัติงาน ร่วมกับเจ้าหน้าท่ีฝ่ายไทย อาสาสมัครญ่ีปุ่นมาทางานฝังตัวเองอยู่ในชุมชนชาวเขา เพ่ือรูปแบบ การพฒั นาคุณภาพชวี ิตของชาวเขาบนพ้ืนฐานการพึ่งตนเอง โดยกาหนดพ้นื ทีแ่ ละประชากรเปา้ หมาย เป็นชาวเขาเผ่ามูเซอและเผ่าแม้ว ในท้องท่ีตาบลแม่ท้อ ตาบลแม่ท้อ อาเภอเมือง จังหวัดตาก รวม 4 หมู่บา้ น 143 หลังคาเรือน 165 ครอบครัว รวมประชากร 730 คน รู ป แ บ บ ก า ร จั ด อ ง ค์ ก ร โ ค ร ง ก า ร ต้ น แ บ บ ก า ร พั ฒ น า ช า ว เ ข า เ พ่ื อ ก า ร พ่ึ ง ต น เ อ ง มีผอู้ านวยการศูนย์และพัฒนาสงเคราะหช์ าวเขาจังหวัดตาก เปน็ ผ้จู ัดการโครงการ มีเจ้าหน้าท่ีพัฒนา ชาวเขาอาวุโสเป็นผู้ช่วยผู้จัดการโครงการและเป็นหัวหน้าทีมเจ้าหน้าท่ีฝ่ายไทย ส่วนฝ่ายญ่ีปุ่นมีหัวหน้าทีม อาสาสมัครและมอี าสาสมคั รเปน็ เจา้ หน้าท่ีสง่ เสรมิ ระยะเวลาโครงการอยรู่ ะหว่างปี พ.ศ. 2541-2545 - โครงการส่งเสริมให้ชุมชนชาวเขามีส่วนร่วมในการป้องกันการแพร่ระบาดของ โรคเอดส์ ในปีพ.ศ. 2538 กรมประชาสงเคราะห์ได้รับการสนับสนุนจากองค์การยูนิเซฟ ดาเนินงานใน 16 กลุ่มบ้าน 4 จังหวัดทางภาคเหนือ คือจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และพะเยา ซ่ึงมีปัญหาและมีแนวโน้มการแพร่กระจายโรคเอดส์และผู้ได้รับเชื้อค่อนข้างสูง โดยยึด หลักให้ชุมชนชาวเขามีบทบาทในการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ในชุมชนของตนด้วยการสร้าง ชุมชนของตนให้เข้มแข็ง ดาเนินการใน 4 กิจกรรม ได้แก่ การสารวจข้อมูลในกลุ่มเป้าหมาย การประชุมเชิงปฏบิ ัตกิ ารเพ่ือจัดทาแผนงาน การประชุมอาสาสมัครชาวเขา - โครงการสงเคราะหเ์ ดก็ ซี.ซี.เอฟ เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างกรมประชาสงเคราะห์และมูลนิธิสงเคราะห์เด็ก ยากจน ซี.ซี.เอฟ (The Children Fund : C.C.F) ในประเทศไทย โดยเริ่มดาเนินการกับ กรมประชาสงเคราะห์เมือปีพ.ศ. 2523 ในเขตนิคมสร้างตนเองภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้และ ตอนบน และขยายไปยังภาคเหนือ ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลาปาง และลาพูน เมื่อปีพ.ศ. 2526 ดาเนินงานในเขตศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา โดยให้การสงเคราะห์เด็กในโครงการให้ได้รับ สิ่งจาเป็น ได้แก่ อาหารกลางวัน การศึกษา การรักษาพยาบาล เคร่ืองแต่งกายและนันทนาการ นอกจากนี้ ได้ให้การสงเคราะห์และยกระดับครอบครัวของเด็กในโครงการให้สามารถช่วยตนเองได้ ได้แก่ การสง่ เสริมอาชีพ เงนิ ทุนหมนุ เวียน การอบรมต่าง
การวิจัยการศกึ ษาเปรียบเทียบการพฒั นาบนพ้ืนที่สงู ในอดตี และปจั จุบนั 79 - โครงการดา้ นความมน่ั คงภายใน ประกอบด้วย 3 โครงการ คอื 1. โครงการพัฒนาเพื่อความม่ันคงลุ่มน้าน่าน จังหวัดน่าน ประกอบด้วย ชุมชนชาวเขา ในเขตกิ่งอาเภอบ่อเกลือ อาเภอสันติสุข อาเภอแมจ่ ริม อาเภอปวั อาเภอเชยี งกลาง และอาเภอทุ่งช้าง เพ่ือแก้ไขปัญหาความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-ลาว-พม่า โดยศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ทาร่วมกบั กองทพั ภาคท่ี 3 2. โครงการจัดที่อยู่อาศัยและพ้ืนที่ทากินคีรีราษฎร์ จังหวัดตาก ประกอบด้วย ชุมชน ชาวเขาในเขตอาเภอพบพระ จานวน 5 หมู่บ้าน (ปีพ.ศ. 2535-2538) เพ่ือสนองพระราชดาริของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่ีทรงห่วงใยราษฎรบริเวณชายแดน และเพ่ือสนับสนุนนโยบายการ ประสานแผนการพัฒนาชนบทและพ้ืนที่เฉพาะตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (ปีพ.ศ. 2535-2539) 3. โครงการพัฒนาเพ่ือความมั่นคงพ้ืนที่ดอยยาว-ดอยผ่าหม่น จังหวัดเชียงราย-พะเยา ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลอิตาลี ( DAIKONAI ) และสวีเดน ( SIDA ) ผ่านองค์การ UNFDAC ซึ่ ง United Nations Development Program ( UNDP ) โ ด ย Office of Project Service ( OPS ) เป็นหน่วยบริหารโครงการและงบประมาณ สานักงาน ป.ป.ส. เป็นผู้ประสานงานโครงการ และมรี ะยะเวลาดาเนินการ 5 ปี เริ่มดาเนนิ การในปีพ.ศ. 2532-2536 โครงการนี้มีพ้ืนท่ีดาเนนิ การใน เขตจังหวัดเชยี งราย และพะเยา มีประชากรเปน็ ชาวเขาเผา่ มง้ มูเซอ อกี อ้ ลซี อ และจีนฮ่อ - โครงการพัฒนาที่สูงดอยสามหม่ืน เป็นโครงการที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากองค์การ UNFDAC มีกรมป่าไม้เป็นผู้บริหารโครงการร่วมกับหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง โดยมีระยะเวลาดาเนินงาน 5 ปี (พ.ศ. 2530-2534) พื้นที่ของโครงการประกอบด้วยหมู่บา้ นชาวเขา 56 หมู่บ้าน มีประชากรเป็น เผ่าลีซอ กะเหร่ียง จีนฮ่อ และแม้ว ครอบคลุมบริเวณพื้นท่ีของ 4 อาเภอใน 2 จังหวัด คือจังหวัด แมฮ่ ่องสอน (อาเภอปาย) และจงั หวดั เชยี งใหม่ (อาเภอเชยี งดาว อาเภอแมแ่ ตง และก่งิ อาเภอเวยี งแหง) - โครงการพัฒนาท่ีสูงดอยเวียงผา ได้รับความช่วยเหลือจากองค์การเอกชนแห่ง ประเทศสวีเดน (International Organization of Good Templars: IOGT) โดยผ่านองค์การ UNFDAC มีกรมปา่ ไม้รว่ มกบั สถาบนั เทคโนโลยีการเกษตรแมโ่ จ้ เปน็ หนว่ ยงานบริหารโครงการ ซึง่ อยู่ ในเขตจังหวัดเชยี งใหม่และเชียงราย โดยมีกลุ่มเปา้ หมายรวม 61 หมู่บา้ น ประชากรเป็นชาวกะเหรี่ยง แม้ว อกี อ้ และลีซอ โครงการพฒั นาชาวเขาของหนว่ ยงานท่ีเก่ยี วขอ้ ง - โครงการธนาคารอาหารชุมชน (Food Bank) สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้มีพระราชเสาวนีย์ เม่ือวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 ณ เรือนประทับแรมปางตอง อาเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ทรงมี ความหว่ งใยในสภาพแวดล้อมโลก ทรงทราบข้อมลู จาก UN ว่าในอนาคตโลกของเราจะประสบปัญหา ด้านสิ่งแวดล้อมเพ่ิมมากขึ้น รวมถงึ ปญั หาการขาดแคลนอาหารอนั สืบมาจากการเพ่ิมขึ้นของประชากร มนุษย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นพื้นท่ีท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า และโดยเฉพาะอย่างย่ิงแหล่งน้า ซึ่งในหลายพ้ืนท่ีของจังหวัดท่ีมีน้าอุดมสมบูรณ์ตลอดปี จึงทรงมี
80 การวจิ ยั การศกึ ษาเปรียบเทยี บการพฒั นาบนพน้ื ท่ีสงู ในอดตี และปัจจบุ นั พระราชประสงค์ให้มีการเกษตรกรรมแบบหลากหลายและเหมาะสมต่อพ้ืนท่ี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นป่าอัน อุดมสมบูรณ์ ทรงมีพระราชประสงค์ให้พ้ืนท่ีจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นแหล่งอาหารตามธรรมชาติหรือ Food Bank ซึ่งมีอาหารหลากหลายทั้งพืชและสัตว์ ส่งเสริมการเล้ียงสัตว์ในพ้ืนท่ีสูง ทรงชื่นชมต้นไผ่ เน่ืองจากเป็นไม้ไม่ตายและมีประโยชน์หลากหลาย ทรงมีพระราชประสงค์ ให้มีการขยายพันธุ์สัตว์ ส่งเสริมการเล้ยี งสัตวใ์ นพ้นื ท่ีสูง และให้ปลกู และขยายพนั ธุ์ไมผ้ ลหรือตน้ ไม้ที่สามารถรับประทานไดใ้ นป่า - โครงการธนาคารอาหารชุมชนตามพระราชดารจิ ังหวัดแมฮ่ ่องสอน เริ่มโครงการเมื่อปีพ.ศ. 2543 ท่ีบ้านนาป่าแปก ตาบลหมอกจาแป่ อาเภอเมือง แม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ต่อมาในปีพ.ศ. 2545 ดาเนินการที่บ้านแม่ปาง อาเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน สาหรับปีพ.ศ. 2546 กรมส่งเสริมการเกษตร ได้จัดสรรงบประมาณสาหรับจัดทา โครงการขยายพื้นที่โครงการธนาคารอาหารชุมชน 7 แห่ง โดยอาเภอแม่สะเรียง ได้ดาเนินการที่หมู่ท่ี 7 บ้านบทา้่ นตทะฝ่าฝัง่ ง่ั ตต�ำ บาบลลแแมม่ยย่ววมม องค์ประกอบของโครงการ -เป็นแหล่งผลติ อาหารทั้งอาหารคน และอาหารสัตว์ -มกี ารอนุรกั ษด์ ิน น้า ทรัพยากรป่าไมธ้ รรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม -การผลิตอาหารทั้งด้านพืช สัตว์ ประมง และเป็นอาหารปลอดภัยจากสารพิษ -ผลิตพชื สมนุ ไพร -ชุมชนมีความเขม้ แข็ง -มธี นาคารขา้ ว -อาหารท่เี หลือจากการบริโภค นาไปจาหน่ายหรือแปรรูปเพื่อการจาหนา่ ย ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้กาหนดให้โครงการธนาคารอาหาร ชุมชน เป็นโครงการตามยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัดแม่ฮ่องสอนแบบบูรณาการและจัดให้ทา โครงการอาเภอ 1 หม่บู ้าน - โครงการพฒั นาที่ดินชุมชนบนพนื้ ท่สี ูง กรมพัฒนาทดี่ นิ (2541 หน้า 30-32) ได้ดาเนินการพฒั นาท่ีดนิ ชุมชนบนพ้ืนทสี่ ูง ซึ่งเป็น โครงการกาหนดขอบเขตที่ดินทากิน และพิจารณาจาแนกประเภทชุมชนบนพ้ืนท่ีสูง ตลอดจนเป็น แผนชี้นาการพัฒนาทรัพยากรท่ีดินบนพื้นท่ีสูงอย่างบูรณาการ เพื่อให้มีการใช้ที่ดินได้อย่างยั่งยืนและ เกิดประโยชน์สูงสุด โดยสอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพ่ือให้ปัญหาที่เกิดจากการใช้ที่ดินบน พื้นที่สูงและการบุกรุกทาลายป่า ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้รับการแก้ไขและเป็นประโยชน์ต่อ ชุมชนบนพ้ืนที่สูง ตลอดจนภาวะแวดล้อมท่ัวไป การวิเคราะห์เศรษฐกิจและสังคมเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ เก่ียวข้องกับการศึกษาความเหมาะสมของดิน ภายใต้โครงการพัฒนาที่ดินบนพ้ืนท่ีสูง การนาเสนอ และวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นพื้นฐานในการวางแผนการพัฒนาการใช้ทรัพยากรให้มี ประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ล ได้แก่ 3.1 โครงการพัฒนาท่ีดินชุมชนบนพ้ืนท่ีสูง ภายใต้แผนแม่บทเพื่อการพัฒนาชุมชน สง่ิ แวดล้อมและการควบคมุ พืชเสพติดบนพ้นื ทส่ี งู
การวจิ ัยการศกึ ษาเปรยี บเทียบการพัฒนาบนพืน้ ทสี่ งู ในอดตี และปัจจบุ ัน 81 3.2 สารวจและจัดทาขอบเขตท่ีดินทากิน ที่อยู่อาศัยและวางแผนการใช้ที่ดิน ซง่ึ ดาเนนิ การ 7 จงั หวดั ไดแ้ ก่ เชยี งใหม่ ตาก สุโขทยั เชยี งราย พะเยา นา่ น และแมฮ่ อ่ งสอน 3.3 โครงการจัดระบบอนรุ กั ษ์ดนิ และน้าตามแผนแม่บทฯ เพ่ือแก้ไขปญั หาการบุกรุก ทาลายป่าต้นน้าลาธาร ดินเส่ือมโทรม การอพยพโยกย้ายพื้นที่ทากิน พ้ืนที่ท่ีเป็นอุปสรรคต่อ เกษตรกรรมและพื้นท่ีทีข่ าดแหลง่ นา้ หรอื มีน้าไมเ่ พยี งพอต่อการเกษตร การยุบเลิกกองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ลงวันท่ี 2 ตุลาคม 2545 ถือได้ว่าเป็นการปฏิรูประบบราชการครั้งสาคัญครั้งหน่ึงของประเทศไทย โดยได้ ปรับปรุงกระทรวงจากเดิม 14 กระทรวง เป็น 20 กระทรวง เป็นผลให้กรมประชาสงเคราะห์ สังกัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ได้ปรับเปล่ียนมาเป็นกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กองสงเคราะห์ชาวเขาถูกยุบไป แต่งานชาวเขา ยังคงมอี ยูโ่ ดยระยะแรกกรมฯ ได้มีการจดั ต้ังกลุ่มประสานการจัดสวัสดิการสงั คมบนพน้ื ทสี่ งู รองรับขึ้น ตรงต่ออธิบดี และมีส่วนการบริหารโครงการพิเศษ ในสานักบริการสวัสดิการสังคมรับผิดชอบดาเนิน โครงการสาคัญเฉพาะกิจ ได้แก่ โครงการพระธรรมจาริก โครงการหลวง โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจ ชุมชนบนพ้ืนที่สูง ท่ีต่อยอดมาจากโครงการส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บนพ้ืนท่ีสูงเดิม รายงานของ สิทธา เพญ็ ภาคกุล (2550) ระบุวา่ นโยบายการจัดโครงสร้างของหนว่ ยงานภาครฐั ในปี 2545 ได้ส่งผล ตอ่ การพฒั นาและสงเคราะหช์ าวเขา เมือ่ กรมประชาสงเคราะห์ไดป้ รบั เปล่ียนมาเป็นกรมพฒั นาสังคม และสวสั ดิการ ไดม้ ีการยุบเลิกกองสงเคราะห์ชาวเขา และสถาบันวิจัยชาวเขาไป เนอื่ งจากสถานการณ์ การปฏิรูประบบราชการซึ่งให้ความสาคัญกับหลากหลายทางวัฒนธรรมค่อนข้างน้อย รัฐบาล ในขณะนน้ั มองว่าหมู่บา้ นชาวเขาสว่ นใหญไ่ ดเ้ ข้าสกู่ ารพฒั นาระบบปกติแล้ว การยุบเลิกกองสงเคราะห์ชาวเขา ส่งผลกระทบต่อระบบการพัฒนาบนพื้นที่สูง เนื่องจากการขาดเจ้าภาพหลักในการดูแลกลุ่มชนต่างวัฒนธรรมบนพื้นที่สูง ก่อนการปฏิรูประบบ ราชการกองสงเคราะห์ชาวเขาเข้าถึงหมู่บ้านชาวเขาแล้ว 1,227 หมู่บ้าน ครอบคลุมประชากร 609,320 คน ในจานวนน้ีเป็นหมู่บ้านทางการที่อยู่ในสภาพล้าหลัง 878 หมู่บ้าน และหมู่บ้านบริวาร อีก 849 กลุ่มบ้าน ท่ีเหลือเป็นหมู่บ้านทางการท่ีเข้าสู่ระบบพัฒนาปกติแล้ว 872 หมู่บ้าน เป็นกลุ่ม บ้านทห่ี นว่ ยงานหลักบางหน่วยเข้าถึงแล้ว 496 กล่มุ บ้าน และยงั ไม่มหี นว่ ยใดเข้าถึงเลยอีก 786 กลุ่ม บา้ น การยุบเลิกกองสงเคราะหช์ าวเขา ทเ่ี ปรยี บเสมือนเป็นหนว่ ยรกุ เข้าสชู่ ุมชนท่ียังล้าหลังห่างไกลใน ขณะท่ีหน่วยงานหลักในระบบปกติยังไม่สามารถนาบริการไปถึงได้ จึงเป็นการตัดขาดการให้การดูแล กลุ่มชนต่างวัฒนธรรมพ้ืนที่สูง จานวนหลายแสนคนให้ต้องเผชิญชะตากรรมตามลาพัง เป็นเรื่องที่ นา่ เปน็ ห่วงอย่างย่งิ ข้อสังเกตคอื เรามีกฎหมายให้การคุ้มครองสัตวป์ ่า แตส่ าหรับคนที่มีวถิ ชี ีวิตทากิน อย่ใู นปา่ กลับไม่มีกฎหมายใดๆ ให้การคมุ้ ครอง
82 การวจิ ยั การศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพฒั นาบนพื้นท่ีสงู ในอดตี และปจั จุบนั สรปุ เสน้ ทางงานพฒั นาและสงเคราะหช์ าวเขา คณะผู้ศึกษาโครงการคลังปัญญางานพัฒนาชาวเขา 53 ปี ได้สรุปภาพรวมเส้นทางงาน พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาต้ังแต่การเร่ิมต้นท่ีมีการอพยพเข้ามา ของชาวเขาในภาคเหนือของ ประเทศไทยจนรัฐบาลเร่ิมมองเห็นปัญหา เกิดองค์กรกลางในการจัดการกับปัญหา การผลักดัน นโยบายการแก้ไขปัญหาและผลกระทบท่ีเกิดจากชาวเขาเกิดโครงการความร่วมมือกับต่างประเทศ และจนส้นิ สดุ กองสงเคราะหช์ าวเขาในปี พ.ศ. 2545 ดังน้ี ปี พ.ศ. เหตกุ ารณ์สาคญั 2494 -รูปแบบสงเคราะหป์ ระชาขน ผู้ยากไร้หา่ งไกลประชาชน 2499 -คณะกรรมการสงเคราะห์ประชาชนไกลคมนาคม 2502 -จัดต้งั กรรมการสงเคราะห์ชาวเขา 2503 -จดั ตัง้ นิคมสรา้ งตนเองชาวเขาดอยเชยี งดาว จังหวัดเชยี งใหม่ และดอยมูเซอจังหวัดตาก 2504-2505 -จัดตั้งนิคมสร้างตนเองชาวเขาดอยภูลมโล จังหวัดเพชรบูรณ์ และดอยม่อนแสนใจจังหวัด เชียงราย -การสารวจเศรษฐกจิ และสงั คมของชาวเขาในภาคเหนอื ของประเทศไทย 2506 -ตั้งกองสงเคราะหช์ าวเขา -ตัง้ ศนู ยพ์ ฒั นาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดตาก เชยี งใหม่ เชยี งราย แม่ฮ่องสอน -ตง้ั ศูนย์วิจัยชาวเขา ในบรเิ วณมหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 2508 -โครงการชาวเขาสมั พนั ธ์ -จัดตัง้ โครงการพระธรรมจาริก 2510-2513 -ปี 2510 จดั ตัง้ ศูนย์ฯจังหวัดนา่ น และเพชรบรู ณ์ -ปี 2511 ตง้ั คณะกรรมการชาวเขา -ปี 2512 ตั้งศูนย์ฯจงั หวัดกาญจนบุรี -ปี 2512 ตั้งศนู ย์ฯจังหวดั กาแพงเพชรและลาปาง 2512 -รัฐบาลประกาศนโยบายแก้ไขปัญหาชาวเขาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ตามมติครม.15 ธนั วาคม 2512 -จดั ตั้งโครงการหลวงพฒั นาชาวเขา-จัดตัง้ กรรมการชาวเขา 2516-2517 -ดาเนินโครงการปลกู พชื ทดแทนฝ่นิ รว่ มกบั องค์การสหประชาชาติ -ปี 2517 ตงั้ ศนู ย์ฯจังหวดั ลาพนู 2519 -นโยบายรวมพวก (Policy Intergration) โดยมีวัตถุประสงคเ์ พ่ือ “ให้ชาวเขาเป็นพลเมือง ไทยท่ีมีคุณภาพสามารถช่วยเหลือตนเองได้ และให้ใช้การพัฒนาแบบเขตพ้ืนท่ี โดยระบบ สมบูรณ์แบบ (onnal Intergrated Development) ซ่ึงเป็นรูปแบบการพัฒนาท่ีเน้นการใช้ ประโยชนท์ ่ีดินตามแนวความลาดชันในพนื้ ที่ลุ่มน้า (Watershed Area) -จดั ตัง้ หน่วยพัฒนาและสงเคราะหช์ าวเขา
การวิจยั การศกึ ษาเปรียบเทยี บการพฒั นาบนพ้นื ที่สูงในอดีตและปจั จุบนั 83 ปี พ.ศ. เหตุการณ์สาคญั 2520 -จดั ตง้ั สานกั งานปอ้ งกนั และปราบปรามยาเสพตดิ 2523 -เกิดโครงการการพัฒนาการเกษตรภาคเหนือ ที่ใช้เงินกู้จากธนาคารโลก ประกอบด้วย โครงการพัฒนาป่าไม้ที่สูง โครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมบนพ้ืนท่ีสูง และโครงการ พัฒนาที่ดินภาคเหนือ ซึ่งร่วมดาเนินการในพื้นท่ีเดียวกัน ใน 5 จังหวัดภาคเหนือ โดยมี กรมป่าไม้ กรมประชาสงเคราะห์ และกรมพัฒนาทด่ี ิน เปน็ ผูบ้ ริหาร -นามาสู่โครงการพัฒนาท่ีสูงไทย-ออสเตรเลีย โครงการไทยเยอรมัน โครงการไทย-นอร์เวย์ โครงการดอยแปเปอ้ โครงการดอยยาว-ดอยผาหมน่ โครงการพัฒนาเฉพาะพนื้ ที่ เป็นตน้ 2525 -รัฐบาลพลเอกเปรมฯ ต้ังคณะกรรมการอานวยการแก้ไขปญั หาความมน่ั คงของชาติเกย่ี วกับ ปญั หาชาวเขาและการปลูกฝน่ิ 2527 -โครงการสารวจขอ้ มลู ประชากรชาวเขา-สารวจประชากรชาวเขา 2528-2530 2529 -จัดต้ังศูนย์อานวยการประสานงานแก้ไขปัญหาชาวเขาและกาจัดการปลูกพืชเสพติดของ กองทพั ภาคท่ี 3 2532 -นโยบายการพัฒนาชาวเขาตามมติครม. เมื่อวันท่ี 7 กมุ ภาพนั ธ์ 2532 2535 -เกิดแผนแม่บทการพัฒนาชุมชนสิ่งแวดลอ้ มและการควบคุมพืชเสพตดิ บนพื้นท่ีสงู ฉบับท่ี 1 พ.ศ. 2535 -2539 2540 -แผนแม่บทเพื่อการพัฒนาชุมชนส่ิงแวดล้อมและการควบคุมพืชเสพติดบนพื้นที่สงู ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2540-2544) 2542 -โครงการพฒั นาราษฎรชาวไทยภูเขาอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดาริ พ.ศ. 2542 2545 -มีการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ -จัดต้ังกรมพัฒนาสังคมและสวสั ดกิ าร -ส่วนกลางกองสงเคราะห์ชาวเขาถกู ยบุ เลิก -จัดทาแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาชุมชนสิ่งแวดล้อมและการควบคุมพืชเสพติด บนพื้นท่ีสูง ฉบับท่ี 3 (พ.ศ. 2545-2549) 2550 -จัดตั้งสานักงานกจิ การชาตพิ นั ธ์ุและสานักพัฒนาสงั คม ในกรมพฒั นาสังคมและสวสั ดิการ ปัจจุบนั (2555) -งานพฒั นาศักยภาพประชาชนบนพื้นที่สงู Highland Model ในนามของกองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ ได้กล่าวถึงเส้นทางการพัฒนา และสงเคราะหช์ าวเขาว่า เป็นตัวแทนของเสน้ ทางการพฒั นาชาวเขาในประเทศไทย ซึง่ ผา่ นการก่อต้ัง อย่างมีนัยยสสาำ�คคญั ัญตต่อ่อคคววามามมน่ั ั่คนงคขงอขงอปงรปะรเทะเศทจศนจสนามสารมถาผรลถกัผดลนักใดหัน้เกใหดิ ้นเกโิยดบนาโยหบลายายหนลโายยบนาโยยบาย เกดิ โครงสร้างการทางานท้ังในรูปของคณะกรรมการ นิคมสร้างตนเองชาวเขา ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ ชาวเขา เกิดโครงการความร่วมมือกับต่างประเทศเพ่ือยับยั้งปัญหาเก่ียวกับฝ่ิน และต่อมา ได้พัฒนาเป็นเร่ืองคุณภาพชีวิต และส่ิงแวดล้อมบนพื้นที่สูง อย่างไรก็ตามงานพัฒนาและสงเคราะห์
84 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพัฒนาบนพ้ืนทส่ี ูงในอดตี และปัจจบุ นั ชาวเขามาสดุดหยดุ ลงเมอ่ื เกิดการปฏิรูประบบราชการในปี พ.ศ. 2545 กองสงเคราะห์ชาวเขาถูกยุบ เลิก งานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาได้กระจายไปอยู่สว่ นต่างๆ ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดกิ าร จวบจนปัจจุบันได้เกิดแนวคิด Highland Model กลับมาอีกครั้ง ในท่ามกลางวิกฤติใหญ่ในปี พ.ศ. 2554 และปีพ.ศ. 2555 จึงได้เกิดโครงการคลังปัญญางานชาวเขา 53 ปี เพ่ือรวบรวมงานวิจัย และองค์ความรู้ของงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาในอดีตและก่อให้เกิดกระแสการเรียกร้องให้ กลับมาอีกครง้ั ของงานบนพนื้ ทีส่ งู งานพฒั นาและสงเคราะหช์ าวเขาปัจจุบัน (ปี 2555) (จากเอกสารการจัดการความรู้ งานพฒั นาและสงเคราะห์ชาวเขา :โครงการคลงั ปญั ญา งานพัฒนาชาวเขา 53 ปี : ได้กล่าวถงึ งานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาไว้ดงั นี้) 1. งานพฒั นาและสงเคราะหช์ าวเขาของกรมพฒั นาสงั คมและสวสั ดิการ ในปัจจุบัน การดาเนินการพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ได้เข้าสู่รูปแบบงานปกติ ซึ่งกรมพัฒนาสังคมและสวสั ดิการมองว่าชาวเขาเปน็ กล่มุ เป้าหมาย 1 ใน 9 กลุ่มเป้าหมายหลกั ในการ ให้บริการสวัสดิการสังคมของกรมฯ ซ่ึงชาวเขามีการต้ังถิ่นฐานอยู่ในพื้นท่ีทุรกันดาร การคมนาคม เข้าถึงยากลาบาก มีรายไดต้ า่ ทาให้โอกาสการเข้าถึงบริการทางสังคมไม่ได้อย่างทว่ั ถึง ส่งผลใหช้ าวเขา สว่ นใหญย่ ังคงเป็นกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคมอย่างต่อเนื่องการดาเนินงานด้านชาวเขา ปี 2555 1.1 โครงการพฒั นาเกษตรทส่ี ูง (โครงการหลวง) ได้ดาเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512เป็นโครงการที่ดาเนินงานภายใต้โครงการอัน เน่ืองมาจากพระราชดาริ จัดข้ึนเพ่อื สนับสนุนงานมลู นธิ ิโครงการหลวงตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2551 กรมพัฒนา สังคมและสวัสดิการ ได้ขยายพื้นที่การดาเนินโครงการหลวงให้ครอบคลุมทุกพ้ืนที่ในจังหวัดที่มี ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง และโครงการขยายผลงานโครงการหลวงเพ่ือการพัฒนาการเกษตรแบบ ยั่งยืน ตามมติท่ีประชุมการจัดทาแผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวง พ.ศ. 2550 -2554) โดยขยาย พ้ืนท่ีการดาเนินงานให้ครบจานวน 40 แห่ง ในเขตพ้ืนท่ี 7 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แมฮ่ ่องสอน พะเยา ลาพูน นา่ น และกาแพงเพชร เพอ่ื นาไปส่กู ารมชี วี ิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชากร ในพ้ืนท่ีหมู่บ้านเป้าหมาย ได้อย่างย่ังยืน มีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมช าติและสิ่งแวดล้อม เกิดการรวมกลุ่มเพ่ือมีรายได้เสริม และพัฒนาพ้ืนที่โครงการให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว รวมท้ังรักษา ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมไทย โดยเน้นงานในภารกิจของ กรมพัฒนาสังคมและสวสั ดิการมากข้ึน 1.2 โครงการขยายผลโครงการหลวง มี 2 โครงการ ไดแ้ ก่ - โครงการขยายผลโครงการหลวง เพอื่ การเกษตรแบบยง่ั ยืน ดาเนินการในพื้นทตี่ าบลนา ไรห่ ลวง อาเภอสองแคว จังหวดั นา่ น เน้นกจิ กรรมของกรมพฒั นาสงั คมและสวัสดิการ มากขน้ึ - โครงการขยายผลโครงการหลวง เพื่อแก้ปัญหาพ้ืนที่ปลูกฝ่ินอย่างย่ังยืน ดาเนินการในพ้ืนที่จังหวัดพะเยา จังหวัดน่าน จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดกาแพงเพชร และจังหวัด เชยี งใหม่ มีกิจกรรมใหก้ ารชว่ ยเหลือชาวเขาด้านสงั คมสงเคราะห์ การป้องกันแก้ไขปญั หายาเสพติด 1.3 โครงการพระธรรมจาริก กรมประชาสงเคราะห์ ได้ดาเนินการโครงการพระธรรมจารกิ มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2508 มีการพัฒนามาเป็นลาดับ วัตถุประสงค์ของโครงการพระธรรมจาริก คือเพ่ือการพัฒนาด้านจิตใจแก่ ประชากรบนพื้นท่ีสูงในถ่ินทุรกันดาร และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในถิ่นทุรกันดาร
การวจิ ยั การศึกษาเปรียบเทียบการพัฒนาบนพ้ืนที่สงู ในอดตี และปจั จุบัน 85 ให้มีความมั่นคงในการดารงชีวิต และเพอื่ ส่งเสริมบทบาทผนู้ า และเครอื ขา่ ยชุมชนใหเ้ ขา้ มามสี ่วนร่วม ในการพัฒนาและจัดสวัสดิการสังคม กรมพัฒนาสังคม ได้ถวายการอุปถัมภ์คณะพระธรรมจาริก จานวน 300 รูป ในการเดินทางเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพ่ือพัฒนาจิตใจให้แก่ชาวเขาบนท้องท่ี 14 จังหวัด ทางภาคเหนือ และภาคกลาง ได้แก่ ลาพูน เชียงใหม่ กาญจนบุรี แม่ฮ่องสอน ลาปาง เพชรบูรณ์ เชยี งราย พะเยา นา่ น ตาก สโุ ขทยั กาแพงเพชร แพร่ และอทุ ยั ธานี ปัญหาของโครงการพระธรรมจาริก คือการเพ่ิมจานวนพระธรรมจาริกมีน้อยมาก ทาให้การขยายพ้ืนท่ีทาไม่ได้มากตามท่ีวางเป้าหมายไว้ โครงการพระธรรมจาริก จึงมีกิจกรรมธรรม สัญจร และการสร้างแกนนาชาวพุทธ ยุวพุทธธรรมจาริก เพื่อช่วยงานด้านพระพุทธศาสนาไว้ท่ีหมู่บ้าน ชาวเขา รวมท้ังการพัฒนาศักยภาพและเพ่ิมทักษะพระธรรมจาริกในงานพัฒนาสังคมและสวัสดิการ มากขน้ึ 1.4 โครงการส่งเสรมิ เศรษฐกจิ ชุมชนบนพ้นื ทีส่ งู เดิมเป็นโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บนพ้ืนท่ีสูง มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาศักยภาพประชากรบนพ้ืนท่ีสูง ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดาเนินการใน 14 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี กาแพงเพชร เชยี งราย เชยี งใหม่ ตาก น่าน แมฮ่ ่องสอน พะเยา พษิ ณุโลก เพชรบรู ณ์ แพร่ ลาพูน ลาปาง และอุทยั ธานี กจิ กรรมประกอบด้วย การพัฒนาทักษะการประกอบอาชีพ และมีรายได้ จากการรวมกลุ่มประกอบอาชีพทางเลือกต่างๆ ส่งเสริมให้ชุมชนมีการบริหารจัดการกับสินทรัพย์ที่มี อยู่ส่งเสริมบทบาทของชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วม ในการพัฒนาชุมชนของตนเองตามแนวเศรษฐกิจ พอเพียง ส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีท้องถ่ิน และมีการถ่ายทอดให้คน รนุ่ หลัง 1.5 การพฒั นาศกั ยภาพการดารงชวี ติ ของประชากรบนพ้ืนทสี่ งู ประกอบด้วยงานพัฒนาสังคมบนพ้ืนท่ีสูง งานจัดบริการตามโครงการพระธรรม จาริก งานจดั บรกิ ารตามโครงการพระราชดาริ งานจดั บรกิ ารตามโครงการเศรษฐกจิ ชุมชนบนพื้นท่ีสูง งานพฒั นาศักยภาพด้านอาชพี บนพ้นื ทีส่ งู งานสง่ เสรมิ ความมนั่ คงชุมชนบนพ้นื ทีส่ งู ตามแนวชายแดน 1.6 โครงการพฒั นาสังคมและสวสั ดิการชุมชนบนพืน้ ทีส่ ูง ( Highland Model ) มียุทธศาสตร์ 3 แนวทาง คอื 1. จัดทาระบบข้อมลู สารสนเทศด้านการพัฒนาสังคม และสวสั ดิการสังคมบนพ้นื ที่สูง 67 ตาบล 2. จัดสวัสดกิ ารชุมชนบนพ้ืนท่ีสูง 75 ตาบล 3. จัดทาศูนย์ เรียนรู้เพ่ือการพัฒนาสังคมและสวัสดิการในชุมชนบนพ้ืนท่ีสูง 67 ตาบล ในการส่งเสริมให้เกิดระบบ เครือข่ายและประสานให้มีการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการที่เหมาะสมในแต่ละพื้นท่ีชุมชนบนพ้ืนที่ สงู 20 จงั หวัด ประชากรเป้าหมาย 500,000 คน โดยมีกระบวนงานหลกั ประกอบด้วย 1) การจดั เกบ็ ขอ้ มลู ประชากรบนพน้ื ท่ีสงู และการจัดทาแผนทท่ี นุ ทางสังคม 2) การพัฒนาสาธารณปู โภคข้นั พน้ื ฐาน 3) การสนบั สนุนกิจกรรมการเรียนรู้ในชุมชนบนพนื้ ทีส่ งู 4) การส่งเสริมและพฒั นาศกั ยภาพวิถชี ีวิตชมุ ชนบนพ้นื ท่สี ูง 5) การสง่ เสรมิ และจัดบริการสวสั ดิการสงั คมชุมชนบนพนื้ ท่ีสงู 6) การส่งเสรมิ พัฒนาและอนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม
86 การวิจยั การศกึ ษาเปรียบเทยี บการพัฒนาบนพน้ื ทสี่ งู ในอดตี และปัจจุบนั 1.7 การพฒั นาสงั คมชาตพิ นั ธุ์ เริ่มดาเนนิ การในปี พ.ศ. 2550 ภารกิจสาคัญท่ีสานกั กจิ การชาติพนั ธ์ุไดด้ าเนินการ 1) จัดงานมหกรรมชนเผ่าพ้ืนเมืองเป็นประจาทุกปีร่วมกับชนเผ่าพ้ืนเมืองใน ประเทศไทย 2) จัดทาโครงการเก่ียวข้องกับกลุ่มชาติพันธ์ุและอื่นๆ ท่ีเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และภาคประชาสังคม เช่นเร่ือง “ชาตินิยมกับพหุวัฒนธรรม” ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล จัดทา นโยบายภาษาแหง่ ชาติ โครงการเฝา้ ระวงั รวบรวมขอ้ มลู และสถานการณข์ องกลมุ่ ชาติพันธ์ุในประเทศ ไทยและในภูมิภาค โครงการตลาดนัดชาวดอย เพ่ือเทิดพระเกียรติในหลวง 80 พรรษา การจัดทา หนงั สอื สาหรับเยาวชน เพื่อความเขา้ ใจสงั คมพหุวฒั นธรรม ร่วมกับจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั 3) สัมมนาวิชาการด้านชาติพันธุ์และอื่นๆ ท่ีเก่ียวข้องท้ังภาครัฐและภาค ประชาสงั คม 4) เป็นกรรมการในกระทรวงและนอกกระทรวงท่ีทางานด้านชาติพันธุ์ เพือ่ แก้ไขปญั หาตา่ งๆที่เกีย่ วข้อง 5) จัดพิมพ์ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพ้ืนเมือง (United Nation Declaration on the Rights of Indigenous Peoples) ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิสตรีชน เผา่ พน้ื เมอื ง ( Beijing Declaration of Indigenous Women ) ปฏิญญาสากล (คาประกาศบาเกียว) วา่ ด้วยสทิ ธิสตรีชนเผ่าพ้ืนเมือง ( Baguio Declaration ) 6) ศึกษา วิเคราะห์ รวบรวมงานเกี่ยวกับชาติพันธุในประเทศไทย ร่วมกับ เครือข่ายชาตพิ ันธุ์ในประเทศไทย จัดทาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายดา้ นชาตพิ ันธ์ตุ อ่ นายกรฐั มนตรี 7) ปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ชาวเขา จังหวัดเชียงใหม่ และพิพิธภัณฑ์ชาติพันธ์ุใน ชมุ ชนต่างๆ 2. งานพฒั นาชาวเขาขององคก์ รพฒั นาภาคเอกชน 2.1 มูลนธิ โิ ครงการหลวง มีวตั ถุประสงคด์ ังน้ี 1) ช่วยชาวเขาเพ่ือมนษุ ยธรรม 2) ชว่ ยไทยโดยลดการทาลายทรัพยากรธรรมชาติ คือ ป่าไมแ้ ละตน้ นา้ ลาธาร 3) กาจดั การปลูกฝนิ่ 4) รักษาดินและใช้พื้นที่ให้ถูกต้อง คือให้ป่าอยู่ในส่วนท่ีเป็นป่า และทาไร่ทาสวน ในสว่ นทเ่ี พาะปลูก อยา่ ให้สว่ นทงั้ สองน้รี ุกลา้ กันและกัน 5) ผลติ พชื ผลเพือ่ เพม่ิ ประโยชนท์ างเศรษฐกจิ แก่ประเทศ การดาเนินงานของโครงการหลวงสนองตามพระราชดาริท่ีว่า “ช่วยชาวเขาให้ช่วย ตนเองในการปลูกพชื ทีม่ ปี ระโยชน์ และมมี าตรฐาน ความเป็นอย่ดู ขี ้นึ ” 2.2 โครงการมูลนธิ ิแม่ฟา้ หลวง ในพระบรมราชูปถมั ภ์ ก่อต้ังขึ้นตามพระราชดาริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในปี พ.ศ. 2515 เพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวเขา โดยส่งเสริมและหาตลาดให้งาน
การวจิ ยั การศึกษาเปรียบเทียบการพฒั นาบนพ้นื ที่สงู ในอดตี และปัจจบุ นั 87 หัตถกรรมของชาวเขาเผา่ ต่างๆ และดูแลไม่ให้ชาวเขาเหลา่ น้ันถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง พ.ศ. 2522 สนบั สนนุ ทนุ การศึกษาแก่เยาวชน 2.3 โครงการมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ก่อตั้งเม่ือ พ.ศ.2528 เพอ่ื เออื้ ประโยชน์ใหแ้ กพ่ ี่นอ้ งชาวเขา ในการแก้ไขปญั หาการจดั การสง่ิ แวดลอ้ ม และการพัฒนาสังคม 2.4 ศูนย์ประสานงานองค์กรเอกชนพัฒนาชาวไทยภูเขา เกิดจากการรวมตัวกัน ขององค์การพัฒนาเอกชน ท่ีทางานกับชาวไทยภูเขา เพ่ือเป็นจุดประสานระหว่าง องค์กรพัฒนา เอกชนด้วยกันเอง ระหว่างองค์กรพัฒนาเอกชนกับชาวบ้าน และระหว่างองค์กรพัฒนาเอกชนกับ หน่วยงานของรัฐในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดาเนินงานพัฒนาพื้นท่ีสงู และหาแนวทางแก้ไข ปัญหาชาวไทยภเู ขา (ศอข.) 3. สถานการณช์ าวเขา ( ประมาณชว่ งปี พ.ศ. 2555 ) การพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ชุมชนชาวเขาไปอย่างมาก โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม และระบบปัจเจกชนท่ีขยายไปถึง ชุมชนอยา่ งรวดเรว็ สรุปสาระสาคญั ของสถานการณ์ชาวเขาได้ในประเด็นดงั น้ี 1) การอพยพและการต้งั ถน่ิ ฐานบนพ้นื ราบ กับการปรับเปลีย่ นวัฒนธรรมชุมชน 2) การปรับเปล่ียนวิถีการผลิตของชาวเขาตามแนวทางพัฒนาของรัฐและผลต่อ ชุมชน 3) ปัญหาปา่ ไม้และทีด่ นิ ทากนิ ในชุมชนชาวเขา 4) ชาวเขาในระบบการพัฒนาปกติ : การเข้าสูร่ ะบบการปกครองส่วนท้องถิ่นชาวเขา ความคดิ เห็น/ข้อเสนอของนักพัฒนาชาวเขา ( เอกสาร:การจัดการความรู้ งานพฒั นาและสงเคราะหช์ าวเขา : โครงการคลงั ปัญญางานพฒั นา ชาวเขา 53 ปี :กรมพัฒนาสังคมและสวัสดกิ าร : บทนาหนา้ 168-180 ) ความคิดเห็นของตัวแทนเจ้าหน้าท่ีศูนย์พัฒนาสังคม 14 จังหวัด กรมพัฒนาสังคมและ สวัสดิการ ของศูนย์พัฒนาสังคม ได้ให้ความคิดเห็นต่อการทางานพัฒนาชาวเขา ในประเด็นต่างๆ สรุปได้ดังนี้ 1) ด้านประสบการณ์งานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา พบว่า ส่วนใหญ่ นักพัฒนา ชาวเขา มีประสบการณ์ร่วมดาเนินงาน ด้านการส่งเสริมอาชีพรายได้แก่ชาวเขา มากสุด รองลงมา คือโครงการความร่วมมือระหวา่ งประเทศ และงานฝึกอบรมนอกภาคเกษตร งานสาธารณสุขเบ้ืองต้น งานสารวจประชากรชาวเขา และการพิจารณาลงสัญชาตไิ ทยในทะเบยี นบา้ นแกช่ าวเขา ตามลาดบั 2) ด้านผลสาเร็จของงานพัฒนาชาวเขา พบว่า นักพัฒนาชาวเขาส่วนใหญ่ มีความเห็น ว่าส่ิงท่ีประสบความสาเร็จมากสดุ คือ งานพัฒนาอาชีพ โดยเฉพาะการปลูกกาแฟทดแทนการปลกู ฝิน่ การปลูกไม้ยืนต้น ทาให้ครัวเรือนชาวเขามีความม่ันคง ลดการใช้พ้ืนที่ป่า ปรับเปล่ียนแนวคิดสู่ การพ่ึงตนเอง ส่งผลให้นักพัฒนาชาวเขากับชาวเขามีความผูกพันและมีความไว้วางใจระหว่างกัน สูงมาก ชว่ ยส่งเสรมิ ใหส้ ถานการณบ์ นพื้นที่สงู มคี วามสงบและมน่ั คง
88 การวิจยั การศึกษาเปรยี บเทยี บการพฒั นาบนพน้ื ทสี่ งู ในอดตี และปัจจุบัน 3) ด้านความประทับใจในงานพฒั นาและสงเคราะหช์ าวเขา พบวา่ ส่ิงทนี่ กั พฒั นาชาวเขา ประทับใจคือความรักความผูกพันท่ีมีระหว่างเจ้าหน้าที่และชาวเขาในพ้ืนท่ีทุกพื้นที่ที่เข้าไปทางานได้ ทาให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างรัฐกับประชาชนท่ีอยู่ในถิ่นกันดารยากแก่การเข้าถึง การช่วยเหลือ ดูแลชาวเขาเร่อื งการเจบ็ ป่วยทาใหช้ าวเขายอมรบั ในตวั เจ้าหน้าที่ได้ง่าย 4) สิ่งท่ีเป็นข้อจากัดในการทางาน (ส่ิงท่ีไม่ชอบในงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา) พบว่า สิ่งที่นักพัฒนาชาวเขาส่วนใหญ่ไม่ชอบ คือ ความไม่ก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ และการไม่ได้ ปรับวิทยฐานะ ซึ่งเป็นส่ิงบ่ันทอนขวัญกาลังใจนักพัฒนาชาวเขาได้ค่อนข้างมาก นอกจากนี้ ยังไม่มี ความต่อเนอื่ งในโครงการและการสนับสนุนอาจมีความล่าช้า การทางานแกไ้ ขปญั หาชาวเขา ยงั ไม่ตรง จุดความต้องการของชาวเขาซึ่งเป็นข้อจากัดในการปฏิบัติงาน รวมทั้งการแสดงพฤติกรรมท่ีไม่ เหมาะสมของเจา้ หน้าที่ทท่ี าใหเ้ กิดคา่ นิยมท่ีไม่เหมาะสมในชมุ ชนชาวเขา เช่นการด่มื สุรา การแตง่ กาย การบริโภคสิ่งฟุ่มเฟือย เป็นต้น ซ่ึงบางคร้ังการกระทาของเจ้าหน้าที่เสมือนการเป็นครู โดยไม่ต้ังใจ ซึ่งชาวเขานาไปทาตาม 5) ปญั หาของชาวเขาในมุมมองของนักพฒั นาชาวเขา ปัญหาชาวเขาท่ียังคงปรากฏอยู่ในพื้นท่ี ในมุมมองของนักพัฒนาชาวเขา พบว่าปัญหา เกีย่ วกับยาเสพตดิ ปญั หาที่ดนิ ทากิน และปัญหาด้านคา่ นิยมของชาวเขาที่ปรบั เปลยี่ นไป เปน็ ปัญหาท่ี มคี วามสาคญั รองลงมาคือเรื่องการเข้าถึงสทิ ธิข้ันพ้นื ฐานที่ชาวเขาควรไดร้ ับอยา่ งทัดเทียมกับชาวไทย พื้นราบ รวมทง้ั ปัญหาเรื่องสงิ่ แวดล้อมบนพื้นท่ีสูง 6) ข้อเสนอแนะของนักพฒั นาและสงเคราะห์ชาวเขาต่อปัญหาของชาวเขา นกั พฒั นาและสงเคราะหช์ าวเขา ไดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะตอ่ การแกไ้ ขปญั หาชาวเขา คือ - การประสานและบูรณาการหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องและทุกภาคส่วนแก้ไขปัญหาอย่างมี ข้อมูลถูกต้อง โดยการทาแผนปฏิบัติระดับจังหวัดและการใชป้ ระชาคมเป็นแนวทางในการสร้างความ รว่ มมอื ทกุ ภาคส่วนในการพัฒนาคุณภาพชีวติ ชาวเขา - ต้องอยู่ใกล้ชิดกับชาวบ้าน ต้องทางานอย่างต่อเน่ือง ต้องสร้างความศรัทธาให้ชาวเขา เช่ือถอื ได้ - ให้ความรู้เรื่องการพัฒนาอาชีพอย่างจริงจัง ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในการ พัฒนาชาวเขาอย่างจรงิ จัง สร้างความตระหนักให้แก่ชุมชน และปลุกจิตสานึกในการเป็นพลเมืองไทย ทดี่ ี - สร้างการเรียนรู้ของชมุ ชนให้เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ ไมเ่ ห็นแก่สิ่งของภายนอก แต่ เห็นคุณค่าของจิตใจ จิตวิญาณ อนุรักษ์ วัฒนธรรมประเพณี ส่งเสริมอัตลักษณ์ของตนเอง เรียนรู้ส่ิงที่ ดี ของชุมชนชาวเขา - ส่งเสริมและอบรมด้านคุณธรรมแก่เด็กและเยาวชน ส่งเสริมชาวเขารุ่นใหม่ สตู่ ลาดแรงงาน - มีองคก์ รรบั ผดิ ชอบการพฒั นาชาวเขาเป็นการเฉพาะ - กันพนื้ ท่ีทากนิ ของชาวเขาออกจากเขตป่าและออกโฉนดชุมชน - ต้องการให้กรมป่าไม้จากัดขอบเขตป่าไม้ให้ชัดเจน มอบเอกสารสิทธ์ิในการทากินแก่ ชาวเขา
การวิจยั การศึกษาเปรียบเทียบการพฒั นาบนพน้ื ที่สูงในอดีตและปจั จุบัน 89 7) ความหวังในงานพัฒนาและสงเคราะหช์ าวเขาในอนาคต นักพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ได้ให้ข้อเสนอแนะต่อความหวังในงานพัฒนาและ สงเคราะหช์ าวเขา ดงั นี้ - ควรส่งเสริมให้ชาวเขารักษาวัฒนธรรมประเพณีด้ังเดิม เพ่ือเป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่า โดยพัฒนาสง่ิ ที่มีอยู่ให้ดขี ึน้ - งานพัฒนาชาวเขาในอนาคต เน้นการศึกษา การอนุรกั ษ์วัฒนธรรม เพ่อื ชนรุ่นหลังได้มี ภูมิค้มุ กันรูจ้ กั เลอื กรับวัฒนธรรมข้างนอก - ตอ้ งการฟ้ืนงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา - ต้องการให้มีองค์กรหรือหน่วยงานเข้าไปทางานกับชาวเขาอย่างชัดเจน จริงจัง มีงาน เปน็ รปู ธรรมเปน็ ทพ่ี ึง่ ของชาวเขาได้ - ต้องการใหศ้ นู ย์ชาวเขาเป็นศนู ย์การเรียนรทู้ ีเ่ ปน็ Model ให้แกช่ าวเขาบนพ้นื ทสี่ ูง - ตอ้ งการเห็นงานด้านอาชพี ท่ีเปน็ รปู ธรรมควบคู่กับการอนรุ ักษ์ส่ิงแวดล้อมอยา่ งยง่ั ยนื - มีการส่งเสริมการเกษตร สาธารณสุข การศึกษาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและภูมิปัญญา ของชาวเขา การพัฒนาพน้ื ทเ่ี ฉพาะและพฒั นาการท่องเทย่ี วบนทสี่ งู - ตอ้ งสง่ นกั พฒั นาฝงั ตวั อยู่ในพน้ื ท่ี - ในพืน้ ท่คี วรมหี นว่ ยหลักในการขับเคลอื่ นให้เกิดการบรู ณาการ - ปรับโครงสร้างองค์กรให้มีกฎหมายรองรับ มีตาแหน่งท่ีชัดเจน ควรมีรูปแบบ การพัฒนาที่แตกต่างกับพ้ืนที่ปกติท่ัวไป มีความเหมาะสมกับบริบทของแต่ละท้องถิ่น วัฒนธรรม ประเพณขี องชาวเขา - ต้องการให้นารูปแบบ / วิธีการของโครงการ World Bank และโครงการ TA มา ปรับปรุงใช้ เช่น ต้องทาสามะโนปัญหาก่อนจึงดาเนินการโครงการ / กิจกรรม มีการจัดระบบการ ทางานในพืน้ ทใ่ี ห้ชัดเจน เช่นระบบข้อมลู ระบบการส่งเสริมอยา่ งต่อเนื่อง มีการสนับสนุนงบประมาณ เพ่ิมเติมอย่างตอ่ เนอ่ื ง - ไม่มองชาวเขาในแงล่ บ 8) ชาวเขากับประชาคมอาเซียน นกั พฒั นาและสงเคราะห์ชาวเขา ได้ให้ขอ้ เสนอแนะต่อการเป็นประชาคมอาเซียนท่ีมีต่อ ชาวเขา ดงั นี้ ดา้ นโอกาส - ทาให้เกิดการติดต่อกับชาวเขาในพ้ืนที่ ประเทศอาเชียน เพ่ือการแลกเปล่ียนและ พัฒนางานด้านต่างๆ มากขึ้น ทาให้ลดความแออัดในด้านที่อยู่อาศัยในชุมชน ชาวเขามีโอกาสนา ผลผลิตทางการเกษตรขยายไปสู่อาเซียน มีโอกาสพัฒนาตนเองในด้านการศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม ด้านปญั หา - เกิดผลกระทบด้านปัญหาสังคม เช่น การค้ามนุษย์ การค้าประเวณี การค้าสิ่งผิด กฎหมาย ดังน้ันหน่วยงานภาครัฐควรเร่งให้ความรู้แก่ชุมชนชาวเขาเกี่ยวกับการเข้าสู่อาเซียน เพ่ือพัฒนาคุณภาพชวี ิตท่ีดีขน้ึ
90 การวจิ ัยการศึกษาเปรยี บเทยี บการพัฒนาบนพื้นที่สงู ในอดีตและปจั จุบัน 9) ดา้ นอน่ื ๆ นักพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ได้ให้ข้อเสนอแนะต่อการพัฒนางานชาวเขาเพ่ิมเติม ดงั น้ี ด้านสวสั ดกิ าร - ต้องการให้ชว่ ยเหลือด้านสวสั ดกิ าร สรา้ งขวัญกาลังใจในการทางาน - ปรับโครงสร้างลูกจ้างให้เป็นข้าราชการ และควรปรับรูปแบบการพัฒนาชาวเขาจาก เดมิ เปน็ การพฒั นาสงั คมตามหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง - ควรมีการประสานงาน การประชุมระหว่างกรมพัฒนาสังคมและศูนย์พัฒนาสังคม อยา่ งสม่าเสมอ - ต้องการใหม้ กี องทนุ สวสั ดิการสาหรับนักพฒั นาชาวเขา 8. แนวคิดการพัฒนาชาวเขาและสงั คมบนพ้นื ที่สูง พระครูมงคลคุณากร อดีตผู้อานวยการกองสงเคราะห์ชาวเขา ( ม.ป.พ. : 9 – 13 ) ได้กล่าวถึง งานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาท่ีผ่านมา ประสบความสาเร็จและมีความคุ้มค่ากับ การลงทุน ว่าได้ผลเป็นท่ีน่าพอใจ ในช่วงแรกๆ ประมาณ ปี พ.ศ. 2488 ประเทศไทยมีปัญหา การอพยพของกลุ่มชาวเขา ชนกล่มุ น้อย รวมถึงญวนอพยพ มีการต่อสูก้ ับคอมมวิ นสิ ต์โดยเฉพาะพ้ืนท่ี ที่ชาวเขาอาศัยอยู่เป็นถิ่นทุรกันดาร ทาให้เกิดการแทรกซึมจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ได้มากท่ีสุด มีการทาร้ายเจ้าหน้าท่ี มีปัญหายาเสพติด เพราะตอนน้ันมีการปลูกฝ่ิน มีการตัดไม้ทาลาย ป่าต้นน้าลาธาร มีปัญหาสุขภาพอนามัย ปัญหาการศึกษา ชาวเขาไม่ได้รับการดูแลจากทางราชการ เนื่องจากหมู่บ้านชาวเขาอยู่ห่างไกลทางคมนาคม กระทรวงมหาดไทยจึงมอบหมายให้ กรมประชาสงเคราะห์ไปรับผิดชอบชาวเขา เพราะฉะน้ันผลงานที่เด่นชัดและสร้างประโยชน์ต่อ ประเทศชาติ ก็คือ การแก้ไขปัญหาฝ่ิน การพัฒนาชาวเขาให้อาศัยอยู่เป็นหลักแหล่งถาวรไม่ เคล่ือนย้าย การพัฒนาด้านสุขภาพอนามัยชุมชนชาวเขา โดยเฉพาะปัญหาการแบ่งแยกดินแดนใน ชุมชนชาวเขาในเขตพัฒนาของกรมประชาสงเคราะห์ไม่มี เนื่องจากมีการพัฒนาชาวเขาให้เกิดความ มัน่ คงตามแนวชายแดนและที่สาคัญท่ีสดุ คือการพัฒนาทางด้านจิตใจ โดยใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องมือ ควบค่กู นั ไปด้วย กรมพฒั นาสงั คมและสวัสดิการ จงึ ควรเป็นกลไกการทางานกบั ชาวเขาให้มากขึ้น โดย ทางานควบคู่ ไปกบั นักพฒั นา ภาพของงานชาวเขาในปัจจุบันมองว่า บทบาทของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการไม่มี ภาพที่ชัดเจน จึงต้องการให้ฟื้นฟูงานชาวเขาและทาอย่างต่อเนอื่ ง เนื่องจากเราเข้าถึงชาวเขา 1 ใน 3 เท่าน้ัน ยังคงเหลือชาวเขาอีกประมาณ 1,000 ชุมชนท่ีเรายังเข้าไม่ถึง และประเทศไทยจะเข้าสู่ ประชาคมอาเซียน จะต้องมีการดาเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติด เพราะประชาคมอาเซียนยังมีอคติ กับชาวเขาในมุมมองการเป็นผู้ค้าและผู้เสพยาเสพติด จึงขอให้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการเป็น เจ้าภาพหลักในการดาเนนิ งานพัฒนาชาวเขาของประเทศไทยต่อไป นายอริ ะวัชร์ จนั ทรประเสรฐิ อดตี อธบิ ดีกรมประชาสงเคราะห์ กลา่ วถงึ งานพฒั นาชาวเขา ว่า “งานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา เป็นภารกิจหนึ่งท่ีรัฐบาลมอบหมายให้กรมพัฒนาสังคมและ
การวจิ ยั การศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพฒั นาบนพ้ืนที่สงู ในอดีตและปจั จุบนั 91 สวัสดิการเป็นหน่วยงานดาเนินการเพื่อช่วยเหลือและพัฒนาคุณภาพชี วิตของกลุ่มชนชาติพันธ์ุ ท่ีอยู่ บนพื้นท่ีสูงและห่างไกล ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม คือการรักษาป่าต้นน้าลาธารบนพื้นที่สูง ต้ังแต่ พ.ศ. 2502 ซ่ึงในระยะแรก หน่วยงานพัฒนาชาวเขานี้ขึ้นอยู่กับส่วนนิคมสร้างตนเอง แต่ต่อมาแยก ออกมาเป็นกองสงเคราะห์ชาวเขาในปี 2505 การพัฒนาชาวเขาของกองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ เป็นหน่วยงานแรก ท่ีบุกเบิกและริเริ่มเร่ืองการพัฒนาประชาชนกลุ่มเป้าหมายโดยเน้นเร่ืองมิติทางวัฒนธรรม โดยทาการจดั ต้ังศูนย์วิจัยชาวเขา (เปลย่ี นชื่อเปน็ สถาบันวจิ ัยชาวเขา) เพื่อศกึ ษาข้อหา้ ม ขอ้ นยิ ม และ วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการวางแผนและการดาเนินการสงเคราะห์และ พัฒนาตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีการจัดตั้งศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาขึ้นในจังหวัดต่างๆ ที่ มี ก ลุ่ ม ชาติ พั นธ์ุ ชาวเขาอาศั ยอยู่ มี หน้ าท่ี เป็ นศู นย์ กลางการส่ งหน่ วยเคลื่ อนที่ ซึ่ งประกอบด้ วย นกั สังคมสงเคราะห์ นกั วชิ าการเกษตร ไปพัฒนาและสงเคราะหช์ าวเขาในพ้ืนท่ี และในเวลาต่อมาได้มี การแบ่งพ้ืนที่ชุมชนเป็นเขตพื้นที่และลุ่มน้าขนาดเล็ก เพ่ือให้การดาเนินการพัฒนาและสงเคราะห์ ชาวเขาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลเป็นรูปธรรม การดาเนินการของกองสงเคราะห์ชาวเ ขา กรมประชาสงเคราะห์เป็นที่ยอมรับของหน่วยงานต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซ่ึงศึกษาได้ จากความช่วยเหลอื ต่างๆ ทมี่ าจากองค์กรระหวา่ งประเทศ เช่น UN , USAID , UNICIFE , ธนาคารโลก ประเทศออสเตรเลีย ประเทศอังกฤษ ประเทศนอร์เวย์ และประเทศเยอรมัน เป็นต้น อีกท้ังได้รับโล่ เกียรติคุณ เชิญไปรับโล่ประกาศเกียรติคุณในการส่งเสริมการเกษตรเชิงอนุรักษ์ดินและน้า โดยการให้ ประชาชนมีส่วนร่วม และนอกจากการดาเนินการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติแล้ว กองสงเคราะห์ ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ ยังได้มีการให้บริการเรื่องการศึกษา การสาธารณสุข การพัฒนาอาชีพ การทะเบียน และการสงเคราะห์ด้านต่างๆ แก่กลุ่มชาติพันธ์ุในพ้ืนที่ที่พอจะอาศัยอยู่ควบคู่กันไป ก่อนทจี่ ะถา่ ยโอนใหห้ นว่ ยงานหลกั เขา้ ไปดาเนนิ การต่อ โดยกองสงเคราะหช์ าวเขาเน้นเรอ่ื งการพัฒนา ทรัพยากรมนษุ ย์ ภายใต้คาขวัญที่ว่า “พฒั นาคน เพื่อพัฒนางาน” กลยุทธ์และกลวิธีที่กองสงเคราะห์ชาวเขาใช้ในการพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา เช่น การเข้าไปในพื้นท่ี การให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมในการมองปัญหาของพวกเขาและร่วมกันพัฒนา ชุมชนของตนเอง โดยมีการวางแผนท่ีพิจารณาจากสภาพข้อเท็จจริงและความจาเปน็ พนื้ ฐานสนับสนุน เปน็ หลกั ในความหมายของ “งานสวสั ดิการเชิงรุก” เพอื่ ความม่ันคงของมนษุ ย์ เน่ืองในโอกาสที่จะปรับปรุงพัฒนารูปแบบการพัฒนาชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ ชาวเขาบน พ้ืนท่สี งู ให้สอดคลอ้ งกบั สถานการณป์ จั จุบัน นับวา่ มคี วามสาคญั ยงิ่ ตอ่ ประเทศ ชมุ ชนชาติพันธุ์ชาวเขา ท่ีอยู่ในพื้นท่ีต่างๆ สามารถช่วยเหลือประเทศชาติในด้านต่างๆได้มาก โดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนา ส่ิงแวดล้อมและความมั่นคง แต่ส่ิงสาคัญที่อยากจะฝากไว้คือ การพัฒนาใดๆก็ตามต้องให้ความสาคัญ กับศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และต้องอยู่บนพ้ืนฐานของการมีอิสรภาพ และเสมอภาค รวมถึง การยอมรบั ในมติ ิทางสงั คมและวฒั นธรรมของแต่ละกลุม่ ชาติพันธช์ุ าวเขา
92 การวิจยั การศกึ ษาเปรยี บเทียบการพฒั นาบนพน้ื ทีส่ งู ในอดตี และปจั จบุ นั นายวัลลภ พลอยทับทิม อดีตอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ ได้ กล่าวถึงการพัฒนา ชาวเขาว่า “ในฐานะที่เคยปฏิบัติงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาในระดับพื้นที่ ณ ศูนย์พัฒนาและ สงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดลาปาง งานชาวเขาในขณะน้ันเป็นลักษณะงานอาสาพัฒนา และงานเริ่มมี ความชัดเจนขึ้น งานมีลักษณะท่ีปรับจากงานอาสาพัฒนาเป็นหน่วยงานสร้างความสัมพันธ์และหา ขอ้ มูลพ้นื ฐาน” ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2519 นโยบายการทางานกับพนี่ ้องชาวเขา ไดถ้ กู กาหนดเป็นการพัฒนา เขตพื้นที่ โดยมีการส่งเสริมทั้งทางด้านการศึกษา การเกษตร การอาชีพ การอนามัย รวมไปถึง การพฒั นาจติ ใจ โดยมกี องสงเคราะหช์ าวเขา สังกัดกรมประชาสงเคราะห์ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบใน ระดับนโยบาย และศูนย์สงเคราะห์และพัฒนาชาวเขาเป็นหน่วยปฏิบัติในระดับพ้ืนท่ี ปัจจัยสาคัญที่ ส่งผลให้งานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาประสบผลสาเร็จในขณะน้ัน คือรัฐบาลมีนโยบายชัดเจน และให้ความสาคัญในการเข้าถึงพี่น้องชาวเขา เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการมอบหมาย หนว่ ยงานทีเ่ กยี่ วข้องเขา้ ไปมสี ่วนรว่ มในการพัฒนาชาวเขา งานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาในปัจจุบัน กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการยัง ดาเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่ากองสงเคราะห์ชาวเขาจะได้ถูกยุบเลิกไปแล้วก็ตาม รวมทั้งได้มีการ ปรับเปล่ียนการทางานเฉกเชน่ การทางานกับประชาชนในพื้นที่ราบ ขณะท่ีบางส่วนมีหน่วยงานระดับ พืน้ ที่ เชน่ องคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่นิ เขา้ มามสี ว่ นร่วมรบั ผิดชอบดาเนินการด้วยแลว้ อยา่ งไรก็ตามยัง มีชุมชนชาวเขาที่อยู่ห่างไกลที่หน่วยงานรัฐบาลเข้าไม่ถึงและจาต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเน่ือง เพราะฉะนั้นหากจะมีการฟ้ืนฟู พัฒนาและสงเคราะหช์ าวเขาขึ้นมาใหม่ จะต้องเริ่มจากโครงสร้างของ การทางานเป็นอันดับแรกกล่าวคือ ต้องมีหน่วยงานท่ีเข้ารับหน้าที่ในการดูและกลุ่มชาติพันธุ์โดยตรง และปรับเปล่ียนรูปแบบของการทางาน เพราะสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปประกอบกับนโยบายต้องมี ความชัดเจน เพ่ือเช่ือมโยงกับภารกิจด้านอื่น ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม ส่ิงแวดล้อม การท่องเท่ียว และสิทธิมนุษยชน กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการจะต้องรับหน้าที่ในการเป็นหน่วย ประสานความร่วมมือ และเป็นเจ้าภาพในการทางานด้านสวัสดิการจะต้องรับหน้าที่เป็นหน่วย ประสานความร่วมมือ และเป็นเจ้าภาพในการทางานดา้ นสวสั ดกิ ารสังคมอย่างเปน็ ระบบต่อไป ระยะแรกงานนี้เป็นงานที่ยากลาบาก ไม่ปลอดภัย แต่ด้วยความตั้งใจจริงของ ผู้ปฏิบัติงานส่งผลให้มีการพัฒนาเน้ืองาน และระบบการดาเนินงานมาเป็นลาดับ จนปรากฏผลเป็น รปู ธรรมท่ชี ดั เจนขึน้ อกี ท้ังส่งผลใหพ้ นี่ ้องชาวเขามคี ณุ ภาพชีวติ ที่ดีข้ึนในระดับหน่ึง นายปกรณ์ พนั ธุ อธบิ ดกี รมพัฒนาสังคมและสวสั ดิการ (สงิ หาคม 2555) ไดก้ ล่าวถึงงาน พัฒนาบนพืน้ ท่ีสูง ว่า “กรมพัฒนาสงั คมและสวสั ดิการได้ตระหนักถึงภารกจิ และความสาเร็จในอดีตที่ มีคุณค่า ที่สมควรคงรักษาสืบทอดไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ คืองานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา (จากคานาในเอกสาร:การจัดการความรู้ งานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา :โครงการคลังปัญญางาน พฒั นาชาวเขา 53 ปี :กรมพฒั นาสังคมและสวสั ดิการ :หนา้ 14)ได้กล่าวถงึ งานพัฒนาชาวเขาในอดีตท่ี น่าสนใจ ดังน้ี
การวจิ ัยการศึกษาเปรยี บเทยี บการพฒั นาบนพืน้ ท่สี ูงในอดีตและปัจจบุ นั 93 นับตั้งแต่ปี 2502 จนถึงปี 2554 ก่อนมีการปฏิรูประบบราชการและเปลี่ยนกรม ประชาสงเคราะห์มาเป็นกรมพัฒนาสังคมและสวสั ดิการเช่นปัจจบุ ันนน้ั กรมประชาสงเคราะห์ในยุคน้ัน มีงานท่ีโดดเด่นและเกิดคุณูปการต่อประเทศชาติงานหน่ึงที่มีส่วนร่วมดูแลความมั่นคงของประเทศ ด้วยการนาหลักสังคมสงเคราะห์ไปใช้กับชุมชนชาวเขาบนพ้ืนที่สูง คือ “งานพัฒนาและสงเคราะห์ ชาวเขา” ในระยะเบื้องต้นเป็นงานในกากับของกองนิคมสร้างตนเอง และต่อมาในปี พ.ศ. 2502 ได้มี การจดั ตั้งกองสงเคราะห์ชาวเขา งานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาได้เติบโตอยา่ งแขง็ แกร่ง จนกระท่ัง การปฏิรปู ระบบราชการเมื่อปี 2545 จึงถูกยุบเลิกไป ในยุคต้นๆของการทางาน กลา่ วได้ว่างานพัฒนา และสงเคราะห์ชาวเขาเป็นงานที่ยากลาบากและท้าทาย นอกจากเจ้าหน้าท่ีต้องปฏิบัติงานในพ้ืนที่ ทุรกันดารตามท่ีสูงบนภูเขา ยังต้องต่อสู้กับความยากลาบากในภาวะธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ตลอดจนความเสี่ยงต่อชีวิต ซ่ึงพ้ืนที่สูงในขณะน้ัน มีการปฏิบัติการของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ในหลายพื้นที่ ในช่วงดังกล่าว กรมประชาสงเคราะห์ได้ต้ังศูนย์วิจัยชาวเขา ซ่ึงต่อมาคือสถาบันวิจัย ชาวเขา การเสนอแนะด้านนโยบายและปรับวิธีการพัฒนาเป็นระยะๆ จนงานพัฒนาและสงเคราะห์ ชาวเขามีรูปแบบและลักษณะการทางานที่อาจเรียกได้ว่า “ร่วมสมัย” เป็นการทางานเชิงรุก โดยมีมติ คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กองสงเคราะห์ชาวเขาจัดตั้งศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัด เป็น ศูนย์กลางในการปฏิบัติการ จานวน 14 จังหวัด และจัดรูปแบบการพัฒนาเป็นเขตพ้ืนท่ีและหน่วย พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาในพ้ืนที่สูง มีการทางานเป็นทีม คือมีเจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์ เป็นหัวหน้าหน่วย โดยเจ้าหน้าท่ีหน่วยประกอบด้วย เจ้าหน้าท่ีเกษตร เจ้าหน้าที่อนามัย และล่ามชาวเขา มีภารกิจหลักในการบาบัดทุกข์ บารุงสุขแก่ชาวเขาแบบครบวงจร ในปี พ.ศ. 2523 รัฐบาลไทยได้ ขอการสนับสนุนจากธนาคารโลก จึงเกิดโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมบนพื้นท่ีสูง กองสงเคราะห์ชาวเขา ได้นารูปแบบเขตพื้นที่พัฒนา การจัด Zoning ตามพื้นท่ีลุ่มน้า นาระบบการ วางแผนจากล่างสู่บน (bottom up planning)มาใช้เป็นหน่วยแรกๆของประเทศ มีการสามะโน ปัญหา (problem consensus) จัดต้ังโรงเรียนช่ัวคราว และให้การพัฒนาด้านจิตใจโดยพระธรรม จาริก งานพฒั นาและสงเคราะห์ชาวเขาไดส้ ร้างผลงานจนเป็นท่ียอมรับจากสว่ นราชการและองค์กรท้ัง ในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไดเ้ ป็นหนว่ ยงานหน่ึงท่ีรับสนองงานโครงการหลวงของ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั ” แนวทางการพัฒนาชุมชนบนพื้นท่ีสูงอย่างยั่งยืน (จากโครงการศึกษา เพื่อจัดทาแผน บูรณาการพัฒนาท่ีสูงในลุ่มน้าปิงและลุ่มน้าน่าน : สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นท่ีสูง (องค์การ มหาชน):2554) ได้พูดถึงแนวทางการพัฒนาชุมชนบนพ้ืนท่ีสูงอย่างย่ังยืน โดยได้น้อมนาปรัชญา เศรษฐกจิ พอเพียง ในแผนพฒั นาฯฉบับท่ี 10 ทร่ี ะบใุ หม้ ่งุ เน้น “คนเป็นศนู ย์กลางการพัฒนา” โดยมี วิสัยทัศน์การพัฒนา คือ “พัฒนาคน ครอบครัวและสังคมที่มีระบบการจัดการความรู้ (Knowledge management) และพ่ึงพาตนเองจากการสร้างรายได้บนฐานความรู้และข้อได้เปรียบด้านความ หลากหลายทางชีวภาพ และภูมิปัญญาท้องถ่ินบนพื้นที่สูงไปพร้อมๆกับการอนุรักษ์ฟ้ืนฟูและใช้ ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งทรัพยากรทาง กายภาพ และการต้ังถน่ิ ฐานของชุมชนในพืน้ ทส่ี ูงให้เกดิ ประโยชน์อยา่ งยั่งยนื โดยกระบวนการพัฒนาที่ ยั่งยืนต้องมุ่งไปที่ “การพัฒนาคน”ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ท่ีดี พอกินพอใช้ เป็นอันดับแรก การพัฒนา
94 การวิจยั การศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพฒั นาบนพน้ื ที่สูงในอดีตและปจั จุบนั ส่วนอื่นจึงจะเกิดขึ้นได้ ท้ังน้ี “กระบวนการมีส่วนร่วม” นับว่าเป็นหัวใจสาคัญของความสาเร็จ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการมีสว่ นร่วม “ร่วมตั้งแต่เร่ิมแรก “ร่วมคิด ร่วมทา” ร่วมจัดลาดับประเด็นปญั หา และร่วมคัดเลือกวิธีการแก้ไขปัญหา จะทาให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองในการแก้ไขปัญหาการร่วมมือ ปฏิบัตจิ ึงจะเกดิ ขน้ึ นอกจากนี้ ข้อมลู จาก (hdkn.hrdi.or.th/about_us/page/Guidelines)พดู ถึงแนวทาง สู่การพัฒนาศักยภาพชมุ ชนบนพ้ืนที่สูงว่า ...การดาเนนิ งานเพ่ือพัฒนาชุมชนบนพ้ืนท่ีสงู ตอ่ ไป โดยโครงการ ได้บทเรียนการเรียนรู้ที่สาคญั ทไ่ี ดจ้ ากการทางานในชมุ ชนบนพน้ื ทส่ี ูง สรปุ เป็นประเด็นสาคญั ดงั น้ี 1. งานพัฒนาต้องมีการวางแผน ต้องมีการสารวจข้อมูลพ้ืนฐานชุมชน รู้จักต้นทุนต่างๆ ของชุมชน รู้ความต้องการในการพัฒนา รู้ปัญหาและอุปสรรค จากนั้นนามากาหนดเป้าหมายและ วางแผนในการพัฒนาร่วมกัน เกิดเป็น “แผนชุมชน” ที่มีการบูรณาการงานร่วมกันระหว่างผู้ ที่เก่ียวข้องทั้งหมด เม่ือเร่ิมดาเนินงานตามแผนแล้ว จะต้องมีการทบทวนแผนอย่างสม่าเสมอ เพอ่ื ใหส้ ามารถปรบั แผนได้ตามสถานการณแ์ ละตรงตามทศิ ทางการพฒั นาทต่ี ้องการ 2. งานพัฒนาต้องเริ่มจากทุนของชุมชน การพัฒนาท่ีดีคือการเข้าไปต่อยอดจาก ต้นทุนเดิมท่ีมีอยู่ โดยดึงศักยภาพของชุมชนมาใช้เป็นหัวใจของการพัฒนา ให้ชุมชนมีบทบาทเป็น ตัวเอกในทุกกระบวนการ ซ่ึงการพัฒนาน้ีจะได้ฐานการพัฒนาที่ม่ันคง ชุมชนจะสามารถดาเนินการได้ เองตอ่ ไปในอนาคต เกดิ การพฒั นาท่ยี ั่งยนื โดยชุมชนเพ่ือชมุ ชน 3. งานพัฒนาต้องอาศัยเวลา งานพัฒนาเป็นงานที่ต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะค่อนข้าง นานจงึ จะเห็นผลความสาเร็จ การดาเนนิ งานต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป มกี ารเรียนรคู้ วามผิดพลาด และต้องปรับแก้กันหลายครั้งจึงจะบรรลุเป้าหมาย คนทางานพัฒนาจึงต้องมีความอดทน เกาะติด สถานการณ์ตลอดเวลา ไมล่ ะทง้ิ งานแมย้ ามทเ่ี กดิ ปญั หา 4. คนทางานพัฒนามีบทบาทเป็นเพียง “ผู้กระตุ้น” โดยผ่านกระบวนการต่างๆ ในรูปแบบท่ีหลากหลาย ซึ่งคนทางานพัฒนาน้ีต้องมีทักษะและความร้ใู นงานที่ทาอย่างแท้จรงิ เพื่อให้ สามารถทางานได้ตรงตามวัตถุประสงค์ กระตุ้นได้ถูกจุด แก้ปัญหาเฉพาะหน้าในงานท่ีทาได้ เป็นการ สร้างความเชอ่ื ม่นั ใหก้ ับชุมชนในการเขา้ รว่ มกจิ กรรม 5. องค์ความรู้โครงการหลวงเป็นกุญแจสาคัญในการเปิดประตูสู่การพัฒนาชุมชนบน พ้นื ทสี่ งู แตล่ ะชุมชนสามารถนาไปประยุกตใ์ ช้กับวิถชี ีวติ ได้ครบทุกด้าน แตท่ ง้ั นต้ี อ้ งเปน็ การผสมผสาน เขา้ กับภมู ปิ ญั ญาของทอ้ งถนิ่ นั้นๆ และสอดคลอ้ งตามความตอ้ งการของชมุ ชนเปน็ หลกั แนวคดิ การทางานที่ประสบความสาเรจ็ ของหน่วยงานทด่ี าเนินงานบนพื้นที่สงู เบญจพรรณ เอกะสิงห์และคณะ (2558 : 14-18) กล่าววา่ เจ้าหน้าที่ นับเป็นปัจจัยความสาเรจ็ ในการดาเนินงานพัฒนาบนพ้ืนท่ีสูง รวมทั้งได้สรุปว่า ข้อดีของการทางาน (สวพช.) สถาบันวิจัยและ พัฒนาพื้นท่ีสูง มียุทธศาสตร์การทางาน และระบบการทางานที่ดี และเกิดจากการความทุ่มเท การทางานของเจา้ หนา้ ทที่ ุกระดับ และสิ่งซ่ึงควรรกั ษาไวค้ ือ 1. เน้นการทางานเชิงบูรณาการ ที่ออกแบบกระบวนการทางานพัฒนาการเกษตร ท่ีไม่ใช้คนจานวนมาก แตเ่ จ้าหน้าที่ต้องมีความกวา้ ง และรอบรูห้ ลายด้าน 2. เนน้ การชว่ ยเหลือกันเปน็ ทีม
การวิจัยการศึกษาเปรียบเทยี บการพฒั นาบนพน้ื ท่สี งู ในอดตี และปัจจุบัน 95 3. เจ้าหนา้ ท่ีมคี วามใกลช้ ดิ กับชาวบา้ น และอยู่ในพื้นท่ีอย่างต่อเนอื่ ง 4. เนน้ การใหอ้ งค์ความรู้จากแหล่งต่างๆ 5. เนน้ การทางานรว่ มกับชาวบ้านให้ชาวบา้ นเปน็ ตวั ขบั เคล่ือนงาน 6. เน้นการทางานร่วมกบั ภาคีอน่ื ๆ ประสานงานความรว่ มมือหลายฝ่าย 7. เนน้ การส่งเสริมการผลิตท่เี ป็นมิตรต่อสงิ่ แวดล้อม และภมู ิปัญญาท้องถิ่น นอกจากนั้น นวพร เรื่องสกุล ( 2549 : 120 ) มีข้อมูล เก่ียวกับการบริหารงานให้ สาเร็จ ในการบริหารงานโดยหลักการ ว่า “จากการสารวจหลายองค์การ พนักงานให้ความเห็นว่า ต้องการให้ผู้บริหารยึดหลักการในการทางาน ต้องการให้งานที่กาลังทามีความหมายและมีเป้าหมาย ต่อชีวิต ไม่ใช่แค่ได้เงินเดือน ได้รับการดูแลอย่างดี หรือแค่ได้ทางานตามความสามารถเท่าน้ัน แต่อยากได้ผู้บริหารท่ีเป็นผู้นาโดยยึดหลักการ เห็นพนักงานเป็นคนในภาพรวม “ขอให้พูดกันเร่ือง วสิ ยั ทัศน์และพนั ธกจิ บทบาทและเปา้ หมาย ต้องการมีสว่ นร่วมเพอ่ื ชีวิตที่มคี วามหมาย” รูปแบบการพัฒนาชาวเขาในอนาคต มมุ มองของชาวเขา มีความตอ้ งการใหก้ รมพัฒนาสังคมและสวัสดกิ าร เขา้ ไปต้ังหนว่ ยอยู่ ในหมู่บ้านเหมือนในอดีต โดยมีเหตุผลว่า กรมฯมีลักษณะการทางานเชิงรุก เป็นหน่วยพี่เลี้ยง ให้คาแนะนาปรึกษา มีการประสานงานด้านต่างๆ ร่วมกับชุมชนได้ดี ซึ่งแตกต่างจากหน่วยงานอ่ืน ทที่ างานโดยยดึ กฎหมายเปน็ หลกั จึงกอ่ ให้เกิดปัญหา ในการทางานรว่ มกัน มุมมองของผู้ปฏิบัติงานพัฒนาชาวเขา มีความเห็นว่า การทางานรูปแบบเดิมท่ีไป ตัง้ หนว่ ยในหมู่บา้ นน้ัน ไม่มปี ระโยชน์และไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้ เน่อื งจากปัจจุบันชาวเขามีวิถี ชีวิตท่ีแตกต่างจากเดิม คนรุ่นใหม่มีการศึกษา มีความคิด กล้าแสดงออกมากขึ้น ไม่เหมือนกับชาวเขา สมัยก่อนท่ีฟงั เจา้ หน้าท่ีของกรมฯเท่านนั้ นอกจากน้ปี จั จุบันมีหลายหน่วยงานที่เขา้ ไปทางานในหมู่บ้าน เช่น สาธารณสุข ทหารและ อบต. เป็นต้น ( เอกสาร:การจัดการความรู้ งานพัฒนาและสงเคราะห์ ชาวเขา :โครงการคลังปัญญางานพัฒนาชาวเขา 53 ปี :กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ : บทนาหน้า 244-126) ลักษณะการทางานพฒั นาชาวเขาในอนาคต การทางานกับชาวเขาในอนาคต ควรทางานกับหมู่บ้านชาวเขาให้เหมือนกับการพัฒนา หมบู่ ้านโดยปกตทิ ่วั ไป เน้นการสง่ เสริมอาชพี นอกภาคการเกษตรหรือภาคเกษตรกรรมที่เปน็ พืชยืนต้น แทนพืชไร่ จากการเกษตรเพ่ือพออยู่พอกิน เป็นเพื่อการค้า นอกจากน้ัน ควรส่งเสริมระบบสวัสดิการ สังคมในชุมชน เช่นกองทุนสวัสดิการชุมชน แต่ทั้งนี้ยังมีชาวเขาท่ียากจนอยู่อีกจานวนมาก บางพื้นที่ ไม่สามารถส่งเงิน(เข้ากองทุนวันละบาท) จึงต้องยังให้การสงเคราะห์ การรวมกลุ่มส่งเสรมิ อาชีพระยะ ส้ัน เพือ่ ใหเ้ กดิ กองทุนตอ่ ไป นอกจากนี้ยงั มีมมุ มองตอ่ งานพัฒนาชาวเขาในอนาคต วา่ ... - ด้านการศึกษาเป็นสิ่งสาคัญ ปัจจุบันเด็กชาวเขาเรียนรู้หลายอย่าง คนมีอุดมการณ์ท่ี กลับมาพัฒนาบ้านของตนมีมาก แต่ขาดผู้นามารวมตัวกัน หากนาผู้นากลุ่มนี้ไปอบรมสัมมนาแล้วให้ กลับมาทางานเปน็ อาสาสมคั รในพื้นทกี่ จ็ ะเปน็ การดี..
96 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรยี บเทียบการพัฒนาบนพ้นื ที่สงู ในอดตี และปัจจุบัน - ด้านโครงสร้างพ้ืนฐาน การคมนาคมสะดวก เจ้าหน้าที่ไม่ต้องไปฝังตัวอยู่ในหมู่บ้านอย่างท่ี ผา่ นมา เพียงจดั ให้คนอย่ปู ระจาโดยให้คนในท้องถิ่นเป็นอาสาสมัครทางานใหศ้ ูนย์ฯ - การทางานควรมีมาตรฐาน เช่นการปลูกพืชต้องมีรายได้ดี ส่งเสริมหัตถกรรมต้องมี ตลาดรองรับ มีหลกั ประกนั ให้กบั ชาวบ้าน - มีการประชาสัมพันธ์ส่ิงที่ดีในพื้นที่ ทาให้นักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ประทับใจรูปแบบแนว ทางการพฒั นาและสงเคราะห์ชาวเขาในอนาคต (เอกสาร:การจดั การความรู้ งานพัฒนาและสงเคราะห์ ชาวเขา :โครงการคลังปัญญางานพัฒนาชาวเขา 53 ปี :กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ : บทนาหน้า 256-259สรปุ ได้วา่ 1) ดา้ นขอ้ มลู - ควรมีการสารวจข้อมูลประชากรชาวเขาขนึ้ ใหม่ เพือ่ ให้เป็นปจั จุบนั และเป็นระบบ มากขึ้น และไม่ควรเป็นเฉพาะตัวเลขจานวนประชากรเท่าน้ัน แต่ควรประกอบด้วยวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม การท่องเท่ียว เพ่ือสามารถนาข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทุกด้าน โดยเฉพาะหมู่บ้าน ชาวเขาที่ยงั เข้าไมถ่ งึ ว่ามอี ย่เู ท่าไหร่ ปัจจบุ นั เปน็ อย่างไร เพ่ือให้เข้าถึงบริการไดอ้ ย่างทว่ั ถึง 2) ด้านหลักการทางานในพ้นื ท่ี - ส่วนกลางไม่ควรไปทางานในพื้นที่เอง ควรต้องให้องค์กรท้องถิ่นเป็นผู้ทา แต่เรา (เจ้าหน้าที่)มีบทบาทในการเป็นพเ่ี ล้ียง เป็นที่ปรกึ ษา ... - ฟื้นงานอาสาสมัครประชาสงเคราะห์ตามหมู่บ้าน เป็นเครื่องมือทางานแทน พระธรรมจาริก เน่ืองจากเป็นคนท่ีอยู่ประจาในพ้ืนท่ี ...ควรอบรมให้ชาวเขาเป็นตัวแทนของกรมใน ชมุ ชน เพราะจะทราบความตอ้ งการและปัญหาได้ดีกวา่ บุคคลภายนอก และเนอ่ื งจากกรมมอี ตั รากาลัง จากัด อาจทางานไม่ทว่ั ถงึ - เนน้ กระบวนการมีสว่ นร่วม รบั ฟงั ความคิดเห็นของผูใ้ ช้บริการ..... - ในอนาคต ควรจัดต้ังเปน็ ศนู ยเ์ รียนรู้ - ใหค้ วามสาคญั กบั ข้อมูลข่าวสาร ท่ถี กู ตอ้ ง เปน็ ประโยชน์และมีความตอ่ เน่อื ง - ควรเน้นการสร้างชุมชนบนพื้นท่ีสูงให้เป็นชุมชนที่มั่นคงบนพื้นฐานของเศรษฐกิจ พอเพยี ง โดยมีการจัดตงั้ สหกรณ์ออมทรัพย์เอนกประสงค์ - เน้นบทบาทเจ้าหน้าที่ในการกระตุ้นให้ชาวเขาและท้องถ่ินดาเนินการด้านการ จัดสวัสดกิ ารสังคม และกระตนุ้ ให้เกดิ การมีสว่ นรว่ มของทุกภาคสว่ น - หน่วย / เขตชาวเขาเกา่ ควรพฒั นาให้เป็นศนู ย์เรียนรใู้ นระดับพื้นท่ที ม่ี ีชีวติ - รปู แบบการทางานแบบเครือข่าย - ฟื้นฟกู ารทางานชาวเขาระดบั อาเภอ / จงั หวัด - จัดทา Model การพฒั นาชุมชนบนพนื้ ที่สูง ในรูปแบบการพฒั นาลุม่ นา้ ขนาดเล็ก - ยึดแนวทางการดาเนินงานตามพระราชดาริ - การทางานกับชาวเขา ควรใหส้ อดคล้องกบั สถานการณ์ในปัจจบุ ัน ทางานที่ตรงจุด กับปัญหาและความต้องการของคนในพื้นท่ีอย่างแท้จริง “มีคาพูดท่ีว่า การปลูกป่าจะสาเร็จ ต้องพัฒนา คนอยกู่ ับปา่ ”
การวจิ ัยการศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพฒั นาบนพื้นทส่ี ูงในอดีตและปัจจบุ นั 97 3) ด้านพน้ื ที่ ควรจาแนกพ้ืนที่ เช่น พื้นท่ีปกต,ิ พ้นื ท่ชี ายขอบ 4) ดา้ นการพฒั นาบุคลากรชาวเขา - เจา้ หน้าที่ควรเตรยี มความพรอ้ มผลกั ดนั ให้ชาวเขา มบี ทบาทดา้ นการเมอื งในระดับ ท้องถน่ิ รณรงคใ์ หช้ าวเขามีสทิ ธิทางการเมืองมากขนึ้ 5) ดา้ นงานโครงการทคี่ วรดาเนนิ การ - การประเมินผลการดาเนนิ งานพัฒนาชาวเขา ควรทาอยา่ งเปน็ ระบบ ต้งั แต่อดีตถึง ปจั จบุ ัน - โครงการพระธรรมจารกิ ควรดาเนนิ งานอยา่ งตอ่ เน่อื ง - โครงการฝกึ อาชีพ ให้กบั ชาวเขา ให้สามารถอยู่ในพ้นื ทีไ่ ด้ ..... ข้อเสนอแนะงานพัฒนาชาวเขาในอนาคตสรุปได้ว่า(เอกสาร:การจัดการความรู้ งานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา : โครงการคลังปัญญางานพัฒนาชาวเขา 53 ปี : กรมพัฒนาสังคม และสวัสดิการ : บทนาหน้า 270-273) 1. ข้อเสนอแนะเพ่ือสังคมชาวเขา -ศึกษาภูมปิ ญั ญาและวฒั นธรรมและการจดั การแบบชาวบา้ นให้ชัดเจนและสง่ เสริมส่งิ ที่มีให้ครบ - ส่งเสริมให้มีการสืบทอดแนวคิด ความเช่ือสู่คนรุ่นใหม่ เพ่ือก่อให้เกิดการอนุรักษ์ อย่างต่อเนือ่ ง - ส่งเสริมการผลิตแบบยังชพี ให้ครบวงจร 2. ข้อเสนอแนะเชิงปฏบิ ัติการ - ควรนารูปแบบการจัดทาแผนโครงการแบบมุ่งวัตถุประสงค์ มาใช้ในการจัดทา โครงการดา้ นการพัฒนาชาวเขาและงานต่าง ๆ - รูปแบบการพัฒนาชาวเขาในอนาคตควรยึดหลักการ 2 ประการ คือ 1. เน้นการประสานงาน กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคส่วนต่างๆ เชิงบูรณาการในการคิดประเด็นปัญหา และ การวางแผนร่วมกัน 2. ส่วนกลางต้องไม่ลงมือทาเอง ต้องทางานร่วมกับคนอ่ืนหรือส่งเสริมให้คนอื่น ทาแทน บคุ ลากรส่วนกลางควรทางานในลกั ษณะเปน็ Supervisor) 3. ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบายได้เสนอแนะ โครงการหลักๆ 8 โครงการ คอื - โครงการประเมินผลการพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ควรประเมินท้ังระบบ โดยเกบ็ ขอ้ มลู จากชาวเขาและบุคคลท่เี ก่ยี วข้องกบั ชาวเขา - โครงการสารวจข้อมูลการพัฒนาสงั คมและสวสั ดิการสังคมบนพ้ืนท่ีสูง ควรจัดเก็บ ข้อมลู ให้ครอบคลุมชาติพันธ์ุและชาวเขาบนพ้ืนทส่ี งู ทัง้ ประเทศ - โครงการพัฒนาชาวเขาวยั ทางานสู่ตลาดแรงงาน ควรปรบั เปลี่ยนอาชีพของชาวเขา รุ่นใหมใ่ ห้เป็นแรงงานฝีมอื เพอื่ รองรับตลาดแรงงานและเตรียมเข้าสปู่ ระชาคมอาเซียน - โครงการพัฒนาวิถีชุมชนบนพ้ืนที่สูงเพ่ือความมั่นคงของมนุษย์ เป็นการต่อยอด ประสบการณ์งานพัฒนาชาวเขาและการนารูปแบบการพัฒนาที่สูงของโครงการความร่วมมือระหว่าง
98 การวิจยั การศกึ ษาเปรียบเทยี บการพัฒนาบนพ้ืนท่ีสูงในอดีตและปจั จุบนั ประเทศมาดาเนินการในพ้ืนท่ีต้นน้า โดยยึดคนเป็นศูนย์กลาง มุ่งให้คนบนพื้นที่สูงได้ปรับรูปแบบการ อาศัยบนพื้นที่สูงตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมไทยโดยรวม (Mini watershed management) - โครงการตามรอยพระราชดาริเพ่ือการพัฒนาบนพื้นท่ีสูง การนาหลัก การทางาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา มาปรับใช้กับพื้นท่ีสูง กรมฯ ทา MOU กับอปท. เพ่ือให้อปท.ในพ้ืนท่ีชาวเขามี ทัศนคตทิ ถ่ี ูกตอ้ ง มกี ารดูแลสวัสดิการชาวเขาไดอ้ ยา่ งถาวร - โครงการมรดกชมุ ชนบนพนื้ ที่สูงสมู่ รดกโลก เป็นการสง่ เสริมอัตลกั ษณ์ และวิถขี อง ชนบนพ้ืนท่ีสูงไม่ให้สูญหาย ...ส่งเสริมคนรุ่นใหม่เกิดความภาคภูมิใจในความเป็ นเอกลักษณ์ เพือ่ ใช้เปน็ ทนุ ทางสังคมทจ่ี ะชว่ ยเสริมสรา้ งคุณภาพชีวิตของคนของคนบนพนื้ ท่ีสงู ให้ดขี น้ึ อยา่ งยั่งยืน - การจัดตง้ั คณะกรรมการบริหารการพัฒนาสงั คมและความมั่นคงของมนุษยบ์ นพ้ืนท่สี ูง - จัดต้ังสถาบันการเรียนรู้ชาติพันธ์ุ ในพื้นท่ีภาคเหนือ ให้เป็นศูนย์กลาง ประชมุ สมั มนาดา้ นชาตพิ ันธุ์ การจดั กิจกรรมด้านชาติพนั ธ์ุ และการส่งเสริมความรว่ มมือด้านชาติพันธ์ุ ในประชาคมอาเซยี น 9. สวัสดิการสงั คม ความหมาย การทาความเข้าใจความหมายของคาว่า “สวัสดิการสังคม” (social welfare) เป็น ปัญหาความสบั สน และยากที่กาหนดความหมายให้ตรงกนั แม้จะมกี ารส่ือความหมายโดยรวม ๆ ของ คาว่า “สวัสดิการสังคม” แต่จะกาหนดความหมายออกมาอย่างชัดแจ้ง ยังเป็นการยากในทางปฏิบัติ ในหมู่นักวิชาการทงั้ ไทยและต่างประเทศก็นิยามและจาแนกไว้อย่างแตกตา่ งกัน แตล่ ะประเทศใช้ศัพท์ ทางวชิ าการ (technical tern) ท่ไี ม่เหมือนกนั (พงษ์กฤษณ์ มงคลสินธ์ุ 2536: 31) จอห์น เทอร์เนอร์ (John Turner 1974: 19) ให้นิยามคาว่า “สวัสดิการสังคม” ว่าเป็นความพยายามส่งเสริมให้ประชาชนมีมาตรฐานความเป็นอยู่ข้ันพื้นฐานที่มั่นคง โดยครอบคลุม การบริการกบั บุคคลและชมุ ชน ในลักษณะการพัฒนาสังคม และการเสริมสร้างให้บุคคลสามารถเผชิญ กับสภาพปัญหาทางร่างกาย จิตใจ เศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนการพยายามขจัดสภาวะที่พ่ึงตนเอง ไมไ่ ด้ของประชาชนให้หมดไป Encyclopedia of Social Work (1971: 1446) ให้นิยามว่า “สวัสดิการสังคม” หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นโดยหน่วยงานทั้งของรัฐบาลและอาสาสมัคร เพ่ือมุ่งป้องกันและ ขจัดปัญหาสังคม หรือปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคล กลุ่ม และชุมชน กิจกรรมดังกล่าวน้ีใช้ บคุ ลากรนกั วิชาชพี ที่เก่ยี วข้องอย่างมากมาย อาทิ แพทย์ พยาบาล นักกฎหมาย นกั การศกึ ษา วศิ วกร นักบรหิ าร นักสังคมสงเคราะห์ ตลอดจน ผูช้ ่วยนักวชิ าชีพในสาขาตา่ งๆ (paraprofessional) ไฟรด์แลนเดอร์ และ แอพท์ (Friedlander and Apte 19810:4) อธิบายว่า “สวัสดิการสังคม” เป็นระเบียบ นโยบาย ผลประโยชน์ และบริการ ซ่ึงจะทาให้การดาเนินการ จัดบริการต่างๆ เป็นไปโดยสอดคล้องกับความต้องการของสังคม เป็นท่ียอมรับกันว่า สวัสดิการสังคม
การวิจยั การศึกษาเปรียบเทยี บการพัฒนาบนพน้ื ท่สี งู ในอดตี และปจั จุบนั 99 เป็นบริการพื้นฐานที่มีความสาคัญ ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงท่ีรวดเร็วและถาวร เปล่ียนแปลงจาก สภาวะที่เคยยากลาบากไปสสู่ ิ่งท่ีคาดหวงั วา่ ดีกวา่ รวมไปถึงความอดุ มสมบูรณ์ในท่สี ดุ เฟเดอริโก (Federico 1980: 5-6) อธิบายว่า สวัสดกิ ารสงั คมเป็นสถาบันที่สาคัญหนึ่ง ในสังคม ในขณะท่ีทุกสังคมมักจะประกอบด้วยอย่างน้อย 5 สถาบันหลัก ได้แก้ (1) สถาบันครอบครัว (2) สถาบันการศึกษา (3) สถาบันศาสนา (4) สถาบันการเมือง และ (5) สถาบันเศรษฐกิจ สวัสดิการ สังคมนับเป็นสถาบันท่ีหก ท่ีมีการหน้าที่อย่างสาคัญเด่นชัดในสังคม และมีความสัมพันธ์อย่างแยกไม่ ออกกับสถาบนั ทั้ง 5 ขา้ งตน้ รศ.วิจิตร ระวิวงศ์ (2532: 1) ได้ให้ความหมายของสวัสดิการสังคมว่า หมายถึง กิจกรรมที่รัฐบาลและเอกชนทุกระดับจัดให้มีท้ังที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพ่ือประกันความ เป็นอยู่ท่ีดีของประชาชน โดยอาศัยผู้ปฏิบัติงานที่มีความรู้จากหลายสาขา ไม่เฉพาะแต่นักสังคม สงเคราะห์เท่านั้น ท้ังน้ี จุดศูนย์กลางของงานสวัสดิการสังคม คือ ประชาชน โดยมีจุดมุ่งหมาย เพ่ือ ความเป็นอยู่ที่ดีและมีหลักประกัน งานสวัสดิการสังคมไม่เพียงแต่จะช่วยเหลือ หรือแก้ไขปัญหาแก่ บุคคลที่ประสบความเดือดร้อนเท่านั้น แต่ยังกินความรวมถึงมาตรการป้องกัน และส่งเสริมสวัสดิการ สังคมให้ดขี ึ้นด้วย ประการท่ีสาคญั สวสั ดิการสงั คมถือเปน็ สว่ นหนึ่งของงานพัฒนาสังคม นอกจากนี้ รศ.วิจิตร ระวิวงศ์ (2532: 3-4) ยังให้ความเห็นว่า สวัสดิการสังคมมีความ เกีย่ วข้องกบั การพฒั นาสังคมในฐานะท่ีเปน็ เป้าหมายหนึง่ ของการพฒั นาสังคม ดงั น้ัน สวสั ดกิ ารสังคม ยังอาจหมายถึงการกาหนดนโยบายสังคมโดยรัฐที่จะมีผลต่อความเป็นอยู่ท่ีดีของประชาชน โดยมี องค์ประกอบท่ีสาคัญ 3 ประการ ได้แก่ (1) การประกันสังคม (2) การประชาสงเคราะห์ และ (3) บรกิ ารสังคม รศ.วันทนยี ์ วาสิกะสิน (2536: 60-61) เห็นว่า สวัสดกิ ารสงั คมเป็นเรื่องของทุกคนใน สังคม เพราะคาว่า สวัสดิการหรือสวัสดิภาพมีความหมายในแง่การอยู่ดีกินดี (social well-being) ของทุกคนไม่เฉพาะผู้ยากไร้เท่าน้ัน คนทุกคนท่ีเกิดมาในโลกนี้ ตามปฏิญญาสากลขององค์การ สหประชาชาติ ในเรอ่ื งสทิ ธิมนษุ ยชนกาหนดว่า คนทุกคนจะต้องได้รบั การตอบสนอง ในความตอ้ งการ ข้ันพ้ืนฐานอันเป็นสิทธิท่ีทุกคนจะตอ้ งได้รับ และเป็นหน้าท่ีของรัฐที่จะต้องจัดบริการต่างๆ ไว้ให้ และ ความต้องการขนั้ พ้นื ฐานก็เปน็ สิ่งที่ทุกคนรู้ว่า หมายถึง อาหาร เสอ้ื ผ้า ทอ่ี ยู่อาศัย และยารักษาโรค ใน ปัจจัยขั้นพื้นฐานที่รัฐจะต้องจัดหาที่อยู่อาศัยให้ประชาชน โดยจัดให้ประชาชนได้มีงานทาเพ่ือมีเงิน สาหรับซ้ือเสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค จัดให้มีสถานพยาบาลสาหรับประชาชนเมื่อเจ็บป่วย ไม่ว่า ประชาชนคนน้นั จะอาศัยอยใู่ นเมอื งใหญ่ หรอื ในชนบทท่หี ่างไกล จากนิยามความหมายอันหลากหลายดังกล่าว สรุปได้ว่า ขอบเขตของสวัสดิการสงั คมยงั มคี วามสบั สน บางทา่ นไมถ่ ือว่ามีความแตกตา่ งกันระหวา่ งสวัสดิการสังคมและบริการสังคม ดังจะเห็น ได้จากเอกสาร “เคร่ืองช้ีภาวะสังคม” ของสานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ที่มักจะจัดกลุ่มตัวบ่งช้ีภายใต้หมวดสวัสดิการสังคมเฉพาะเพียงตัวเลขของการสงเคราะห์
100 การวจิ ยั การศกึ ษาเปรยี บเทียบการพฒั นาบนพนื้ ทส่ี ูงในอดีตและปจั จุบนั ผู้รับบริการในรูปแบบท่ีประชาชนเป็น “ฝ่ายรับ” จากรัฐบาลแต่ด้านเดียว จนอาจทาให้ความหมาย ของสวัสดิการสังคมบิดเบือนไปเป็นภาระกับรัฐบาล (วิจิตร ระวิวงศ์ 2532: 5) แท้ที่จริงแล้ว ตัวบ่งชี้ ทุกหมวดสามารถนามาประกอบการพิจารณาว่า ประชาชนไทยมีสวสั ดิภาพทางสังคมมากน้อยเพียงไร นบั ตัง้ แต่หมวดประชากร สาธารณสุข การศึกษา เศรษฐกจิ สังคม การมีงานทา ความปลอดภยั ในชีวิต และทรัพยส์ นิ และสถาบนั ครอบครวั สวัสดิการสังคมจึงควรได้รับการพิจารณาในความหมายที่กว้าง โดยสะท้อนให้เห็นความ พยายามในการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน บางแห่ง คาว่า “สวัสดิภาพสังคม” ถูกนามาใช้อธิบายสถานะ หรือสภาพความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน เพ่ือท่ีจะเน้นให้เห็น “สภาวะ” ส่วนคาว่า “สวัสดิการสังคม” อาจสื่อได้ทั้งความหมายท่ีเป็นสภาวะและความหมายท่ีเป็นนโยบาย โครงการ กจิ กรรมหรือบรกิ าร ท่มี ีจุดหมายเพือ่ ความเป็นอยทู่ ีด่ ีของประชาชน ผู้ที่สมควรได้รับ “สวัสดิการสังคม” มิได้หมายถึงเฉพาะแต่คนยากจนเท่านั้น แต่จะ หมายถึง คนท่ีไม่ยากจนแต่มีปัญหาความเดือดร้อนด้วย สวัสดิการสังคมต้องเป็นส่ิงที่ให้กับทุกคนท่ี สมควรจะได้รบั (พงษก์ ฤษณ์ มงคลสินธ์ุ 2536: 33) สาหรับการดาเนินงานสวัสดิการสังคม น้ัน อาจดาเนินการโดยรัฐบาลและเอกชน โดย ถือว่า ลาพังรัฐบาลดาเนินการนั้น อาจมีข้อบกพร่องที่ทาให้ไม่สามารถดาเนินการได้อย่างทั่วถึง เพียงพอ ภาคเอกชนอาจดาเนินการได้ดีกว่าในบางด้าน นอกจากนี้ การท่ีเอกชนเข้ามาดาเนินการ สวัสดิการสังคมยังเป็นผลดีต่อการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยสอดคล้องกับแนวคิดท่ีถือว่า สวัสดิการสังคมมีสถานะเป็นสถาบันทางสังคมสถาบันหน่ึง ตลอดจนมีความเกี่ยวข้องกับสถาบันทาง สังคมอน่ื ๆ อยา่ งแยกไม่ออก องคป์ ระกอบของสวัสดิการสังคม ดังกล่าวแล้วว่า การจาแนกงานสวัสดิการสังคมมีความแตกต่างกันอย่างมาก (พงษ์กฤษณ์ มงคลสินธ์ุ 2536: 31) การกาหนดองค์ประกอบของสวสั ดิการสงั คมเท่าที่พบมีอยู่ด้วยกันสองแบบ คือ 1. กาหนดตามความหมายที่เป็น “สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในสังคม” หรือ “สวัสดิภาพ สังคม” อันเป็นความหมายกว้าง และ 2. กาหนดตามความหมายท่ีเป็นกิจกรรม โครงการหรือบริการ ที่มีความหมายแคบกว่าความหมายแรก ซึ่งมักจะกาหนดตามพระราชบัญญัติความม่ันคงทางสังคม (Social Security Act 1935) ของประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนั้น องค์ประกอบของสวัสดิการสังคมตามความหมายแรก หรือความหมายกว้างจะ ประกอบดว้ ยปจั จยั ดา้ นตา่ งๆ 7 ประการ โดยถือวา่ ประชาชนจะมคี วามเป็นอยทู่ ่ดี ไี ดจ้ าเป็นต้องคานึง ปจั จัยเหลา่ นี้ คอื 1. การศกึ ษา (education) 2. สุขภาพอนามัย (health)
การวิจยั การศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพฒั นาบนพ้ืนทส่ี ูงในอดตี และปัจจบุ นั 101 3. ที่อยอู่ าศยั (housing) 4. การทางานและการมีรายได้ (employment and income maintenance) 5. ความม่ันคงทางสงั คม (social security) 6. บริการสังคม (general social services) 7. นันทนาการ (recreation) (กรมประชาสงเคราะห์ 2536 ก: 10) อย่างไรก็ตาม การจาแนกองค์ประกอบของสวัสดิการสังคม ยังมีความแตกต่างกันใน เอกสารทางวิชาการที่เก่ียวข้องหลาย ๆ แห่ง เช่น มีผู้นิยมจาแนกองค์ประกอบของงานสวัสดิการ สงั คมตามพระราชบญั ญัตคิ วามมัน่ คงทางสงั คมของสหรฐั อเมริกา โดยแบ่งเปน็ 3 ประเภทใหญ่ ๆ คอื 1. การประกันสงั คม (social insurance) 2. การสงเคราะหป์ ระชาชน (public assistance) 3. การบรกิ ารสังคม (social services) ท้ังนี้ ผู้ที่นยิ มจาแนกองคป์ ระกอบของสวัสดิการสังคมออกเป็น 3 ประการ กจ็ ะกล่าวถึง องค์ประกอบ 7 ประการ ตามความหมายกว้างไว้ในองค์ประกอบประการท่ีสาม คือ การบริการสงั คม (ดรู ายละเอยี ดได้ใน จริ าลักษณ์ จงสถติ ม่นั 2535: 46) รปู แบบของสวสั ดิการสังคม ทิตมัสส์ (Timuss 1974: 31-33) ให้ความเห็นว่า “สวัสดิการ” นั้น เป็นคาท่ีมี ความหมายกว้างมาก โดยกินความตั้งแต่มาตรการทางภาษีอากร การให้ผลตอบแทนจากการทางาน ในอาชีพต่างๆ มาตรการด้านการเงิน การคลัง อ่ืน ๆ ตลอดจนการให้บริการแก่ชุมชนและ การแทรกแซงของรัฐในกรณีต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ทิตมัสส์ ได้แบ่งรูปแบบของสวัสดิการสังคม ออกเปน็ 3 รปู แบบกว้าง ๆ ได้แก่ 1. รปู แบบ “สว่ นทเี่ หลอื ” หรือ แบบ “เก็บตก” (residual model of welfare) 2 รปู แบบ “สัมฤทธิ์ผลทางอตุ สาหกรรม” (industrial achievement performance หรือ handmaiden model) 3. รปู แบบ “สถานบนั ” (institution redistributive model) 1. รูปแบบ “ส่วนท่ีเหลือ” หรือ แบบ “เก็บตก” ได้แก่ การจัดสวัสดิการที่ต้ังอยู่บน พื้นฐานความเช่ือว่า บุคคลในสังคมจะได้รับการตอบสนองความต้องการ โดยแหล่งตอบสนองความ ต้องการทางสังคมที่สาคัญสองแหล่ง คือ ตลาดและครอบครัว รูปแบบการจัดสวัสดิการแบบน้ี จะปล่อยให้ประชาชนทั่ว ๆ ไป ที่ประสบปัญหาเดือดร้อนหรือมีความต้องการทางสังคมช่วยตนเอง เป็นส่วนใหญ่ โดยประชาชนจะหันเข้าหา แหล่งทรัพยากรของตนเอง ด้วยการใช้เงินรายได้ หรือเงิน ออมท่ีมีอยู่ ซ้ือหาการ บริการทางสังคมต่างๆมาตอบสนองความต้องการและปัญหาของตน หากไม่ สามารถซื้อหาบริการได้ ก็จะหันเข้าหาครอบครัว หรือ ญาติมิตรบุคคลที่ประสบปัญหาอย่างหนักเป็น พิเศษหรือประสบภัยพิบัติ อาทิ อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย หรือทุกขภัยต่างๆเท่านั้น ที่สภาบันสวัสดิการสังคม
102 การวิจยั การศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพัฒนาบนพนื้ ทสี่ งู ในอดตี และปัจจุบนั ของรัฐบาลจะย่ืนมือเข้าไปช่วยเหลือเป็นครั้งคราวไป (ยุพา วงศ์ไชยกิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์ และ เล็ก สมบตั ิ 2528: 47 อา้ งถงึ ในสมเกียรติ วนั ทะนะ 2536:33-34) การจัดสวัสดิการสังคมแบบนเ้ี ท่ากับเป็นการจัดสวัสดิการใหก้ ับประชาชนเฉพาะในสว่ น ที่เหลือ(residual)จากประชาชนที่มีอานาจซ้ือหาบริการในตลาดของระบบเศรษฐกิจเสรี ท่ีนิยมให้ กลไกตลาดทาหน้าท่ีโดยรัฐเข้าแทรกแซงอย่างน้อยท่ีสุด มองในอีกด้านหนึ่ง การจัดสวัสดิการแบบนี้ มักเป็นการรอให้ปัญหาเกิดขึ้นก่อนแล้วจึงจัดบริการในลักษณะตามแก้ไขปัญหา มากกว่าที่จะเป็น การป้องกันปญั หา หรอื เสรมิ สร้างภมู คิ ้มุ กนั ทางสังคมให้กบั ประชาชนอยา่ งทว่ั ถึง สวสั ดกิ ารสังคมตามรูปแบบนี้ทาให้เกดิ การรบั ร้วู ่า ประชาชนทีใ่ ช้บริการของรัฐเป็นพวก ที่ช่วยตนเองไม่ได้ เป็นภาระของสังคมหรือเป็นส่วนท่ีไม่ใช่กาลังที่จะสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ ทั้งน้ีสืบเนื่องจากว่ารูปแบบสวัสดิการทางสังคมแบบน้ีเกิดจากการท่ี สมัยหน่ึงบรรดานักวางแผน พัฒนาเศรษฐกิจของโลกและของประเทศไทย มีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าเป็นส่ิงสาคัญอย่างย่ิง ที่จะต้องพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มีอัตราการเจริญเติบโตมากๆแล้ว ผลดีของการพัฒนาก็จะ ค่อยๆตกแก่ประชาชนทุกๆคนในสังคมเสมือนน้าหยดซึมลงสู่เบ้ืองล่าง(ที่เรียกว่า trickle-down effect) ซง่ึ ในที่สดุ ชีวิตความเปน็ อยู่ของประชาชนทุกคนจะดขี น้ึ เอง ดังนั้น ในระหว่างท่ีเศรษฐกิจกาลังเติบโตนี้ สวัสดิการสังคมตามแนวคิด “เก็บตก”จึงมี คุณค่าเพียงการอุดปะรูรั่วเล็กๆน้อยๆ ท่ีการพัฒนาเพ่ือการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้ก่อให้เกิดข้ึน เท่าน้ัน สวัสดิการสงั คมแบบนจี้ ึงเป็นการตามแก้ไขปญั หาอนั เกิดจากการพฒั นาเศรษฐกิจของประเทศ ในลักษณะการสงเคราะห์ช่วยเหลือเฉพาะหน้า และเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า มากกวา่ เปน็ การเอาจริงเอาจังกบั การรกุ เอาชนะความต้องการและปัญหาความทุกขย์ ากเดือดรอ้ นของ ประชาชนให้มากที่สุด (กติ ิพฒั น์ นนทปทั มะดลุ ย์ 2535: 7) ยิ่งไปกว่านั้น รูปแบบสวัสดิการสังคมแบบน้ี มักจะส่งผลให้เกิดการตาหนิติเตียนผู้ที่ ประสบปัญหาทางสงั คม วา่ เป็นผูผ้ ิดปกติ หรือมพี ฤติกรรมเบ่ียงเบน หรอื เปน็ คนชั่วร้ายเลวทราม เป็น ขยะหรือกากเดนของสังคม วิธีการท่ีใช้แก้ปัญหาสังคมจึงอยู่ในรูปของการลงโทษ เอาผิดเอาความ ปรักปรา กักกันผู้ที่ประสบปัญหาสังคมด้วยลักษณะการต่างๆ อาทิเช่น การกักขังเด็กเร่ร่อน คนขอทาน ตลอดจนกกั กนั โสเภณี เปน็ ตน้ แท้ท่ีจริงแล้ว แนวคิดท่ีใช้อธิบายปัญหาสังคมสมัยใหม่ เชื่อว่าปัญหาสังคมเป็นส่ิงท่ี สะท้อนคุณลักษณะร่วมของคนทั้งสังคม ผู้ที่ประสบปัญหาสังคมมิใช่ผู้ท่ีเบี่ยงเบนหรือผิดปกติที่มักจะ ได้รับการตีตราประทับเสมือนส่ิงที่เน่าเสีย หรือขยะสังคม หากแต่เป็นผลมาจากปฏิสัมพันธ์ทางสงั คม ของคนท้ังสังคม ดังน้ัน การดาเนินการกับปัญหาสังคม ท้ังในด้านการป้องกันมิให้ปัญหาเกิดข้ึน การแก้ไขปัญหา และการฟ้ืนฟูสภาพสังคม ตลอดจน การพัฒนาสังคมเพ่ือให้ประชาชนท่ัวไปมีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดี มีความมั่นคง และมีภูมิต้านทานทางสังคม จึงเป็นกิจกรรมที่ต้องดาเนินการกับ ทุกระบบในสังคม ในรูปแบบของนโยบายสังคมทีค่ รอบคลุมแบบแผนพฤติกรรมของคนทงั้ สังคม
การวิจัยการศกึ ษาเปรยี บเทียบการพัฒนาบนพ้นื ทส่ี งู ในอดตี และปจั จบุ ัน 103 2.รูปแบบ “สัมฤทธิ์ผลทางอุตสาหกรรม” รูปแบบสวัสดิการสังคมแบบน้ี ทิตมัสส์ (Titmuss 1974 : 32) อธิบายว่า เป็นการมองสวัสดิการสังคมเสมือนเป็นกลไกสาคัญกลไกหน่ึงใน ระบบเศรษฐกิจ สวัสดิการสังคมตามรูปแบบนี้ถูกใช้ให้เป็นเครื่องตอบแทนแก่ผู้ท่ีเป็นกาลังใน การผลักดันระบบเศรษฐกิจ โดยใช้มาตรการทางด้านภาษีอากรและการเงินการคลัง ตลอดจน ผลตอบแทนในอาชีพเป็นส่ิงตอบสนองความต้องการของบุคคลท่ีเปน็ กาลังการผลิต การจัดสรรสวัสดิการแบบนี้ใช้เกณฑ์การจัดสรรโดยพิจารณาจากความสามารถใน การทางาน สถานภาพหรือบทบาทการทางาน ผลติ ภาพและผลิตผลของงานเป็นสาคญั (Carney and Hanks 1986 : 57) ผู้ใดท่ีมีความสามารถในการทางานสูง สามารถสร้างผลิตภาพและผลติ ผลท่ีน่าพงึ พอใจแก่ระบบเศรษฐกิจ ก็จะได้รับสวัสดิการท่ีดีกว่า รูปแบบสวัสดิการสังคมแบบน้ีได้รับอิทธิพลจาก แนวคิดทางเศรษฐศาสตรแ์ ละจิตวิทยาอุตสาหกรรมท่ีถือว่า การให้รางวัล หรือให้คุณให้โทษต่อบุคคล จะเป็นสิ่งจูงใจให้คนตั้งใจทางานสวัสดิการท่ีบุคคลควรได้รับ จึงควรพิจารณาจากคุณความดี ตามผลงาน เพ่ือใหเ้ กดิ ทงั้ แรงจูงใจในการทางานและความจงรกั ภักดีต่อหน่วยงานนัน้ ๆ นอกจากน้ัน รูปแบบสวัสดิการแบบน้ียังเป็นการกระตุ้นเร้าค่านิยมด้านการทางานแบบ โปรเตสแตนต์ (protestant work ethic) และเป็นการสร้างความชอบธรรมแก่ผู้ที่มที ักษะการทางาน ทดี่ ีกวา่ ในการไดร้ ับผลตอบแทนทสี่ ูงกว่า ผลของการจัดสรรสวัสดิการสังคมแบบน้ีก็คือ สวัสดิการสังคมท่ีเป็นระบบระเบียบ มากกว่าแบบแรก (แบบ “เก็บตก”) ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของคนในสังคมได้ท่ัวถึงกว่า กระนั้นก็ตาม ยังถือว่ารูปแบบน้ีก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม ในกลุ่มประชาชนท่ีมิได้มีส่วนร่วมเป็น กาลังการผลติ ของสงั คม 3. รูปแบบ “สถาบัน” รูปแบบนี้ ถือว่าสวสั ดกิ ารสงั คมเป็นสถาบันสงั คมสถาบันหนึ่ง ท่ีมีความสาคัญที่จะก่อให้เกิดบูรณภาพ (integration) ในสังคม ซึ่งเป็นส่วนสาคัญที่สังคมจะขาดเสีย มิได้ แม้สังคมนั้นจะถือว่าเป็นสังคมที่มีเสถียรภาพแล้วก็ตาม สวัสดิการแบบนี้ก็ยังต้องทาหน้าที่ให้ ระบบสังคมดาเนินไปได้อย่างราบรื่น ขณะที่เศรษฐกิจตลาดเสรีสร้างความไม่เป็นธรรมทางสังคม เศรษฐกิจ อันเป็นธรรมชาติท่ียากจะหลีกเล่ียงได้ รูปแบบสวัสดิการสังคมแบบนี้จะเหมาะสมท่ี ดาเนินการควบคู่กันไป เพื่อเป็นการคานกับกระบวนการเปล่ียนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจท่ีก่อให้เกิด ความไมเ่ ปน็ ธรรมดงั กลา่ ว ทิตมัสส์ (Titmuss 1974 : 32) เห็นว่าสวัสดิการสังคมแบบนี้ต้ังอยู่บนพื้นฐานที่สาคัญ สองส่วน คือ (1) ทฤษฎีเกี่ยวกับผลกระทบจากการเปล่ียนแปลงของระบบสังคมเศรษฐกิจ และ (2) หลักการเรื่องความเป็นธรรมทางสังคม ขณะเดียวกัน คาร์นีย์ และแฮงก์ ถือว่าสวัสดิการสังคม แบบนี้เป็นแง่มุมที่ให้คุณค่ากับมนุษย์ของระบบทุนนิยม หรือระบบทุนนิยมกึ่งสังคมนิยม (Carney and Hanks 1986:58)
104 การวจิ ยั การศึกษาเปรียบเทียบการพฒั นาบนพืน้ ทสี่ ูงในอดตี และปัจจุบนั วิวัฒนาการของสวัสดิการสังคม ต้นแบบของสวัสดิการสังคมนั้น มาจากสังคมตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ ในท่ีน้ีจะกล่าวถึง วิวฒั นาการของสวสั ดกิ ารสงั คมในประเทศองั กฤษ สหรฐั อเมรกิ าและไทย โดยสงั เขป องั กฤษ ววิ ฒั นาการสวสั ดิการสังคมในองั กฤษแบ่งออกเป็น 5 ยคุ (จิราลักษณ์ จงสถติ มน่ั 2531 : 2) ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ยุคกลาง (Middle Ages) ประมาณศตวรรษท่ี 5 – 15 2. ยคุ ฟนื้ ฟูศิลปะวทิ ยาการ (Renaissance)ศตวรรษที่ 14 – 17 3. ยคุ พาณชิ ยน์ ยิ ม (Mercantilism) ศตวรรษที่ 15 – 18 4. ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือเศรษฐกจิ เสรนี ยิ ม (Laissez-Faire) ศตวรรษท่ี18-19 5. ยุคทุนนิยมและจักรวรรดินยิ ม (Capitalism and Imperialism) 1. ยุคกลาง ในยุคน้ี ระบบศักดินากาลังเฟื่องฟู พื้นฐานของการให้ความช่วยเหลือกันในสังคม จึงเป็นไปในลักษณะ “ข้ากับนาย” โดยอาศัยกรรมสิทธ์ิในที่ดินเป็นหลักในการดูแลช่วยเหลือ นอกจากนั้น “ครอบครัว” เป็นสถาบันพ้ืนฐานอีกสถาบันหน่ึงที่ดูแลสวัสดิภาพของสมาชิกใน คครรออบบคครัวรัวโดโยดธยรธรรมรเมนเียนมียปมรปะรเพะเณพขีณอีขงอชงาชวแาวอแงโอกงลโแกซลกแซซอกนซัน ถือว่าชาวนาทุกคนจะต้องอยู่อาศัยกับ ครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง มิฉะน้ัน จะไม่นับว่าเป็นสมาชิกของชุมชน ครอบครัวจึงมีหน้าท่ีต้องดูแล สมาชิกของตนเองรวมท้ังคนแปลกหนา้ ทม่ี าอาศยั ในบ้านดว้ ย ในด้านของปัญหาสังคม ยุคนี้มีปัญหาคนเร่ร่อนจรจัด ขอทาน สังคมมีแนวคิดว่า คนพวกนี้มักจะก่อปัญหาอาชญากรรมหรือเหตุร้ายในสังคม ทาให้เป็นภาระของบรรดาเจ้าของท่ีดิน และเจ้าผคู้ รองนครในยุคศักดนิ า ครอบครวั จงึ เปน็ มาตรการขน้ั แรกในการป้องกันการเร่รอ่ นของคนใน สังคม และปอ้ งกันเหตรุ า้ ยมท่จี ะตามมา ในยุคน้ี ศาสนจักรเองก็มีอานาจและความรุ่งเรืองม่ังคั่ง วัดทาหน้าบรรเทาทุกข์ คนยากจน ผู้เจ็บป่วย เด็กกาพร้า ผู้สูงอายุ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ศาสนาจักรมักจะขัดแย้งกับทาง บา้ นเมืองดว้ ยเร่อื งอานาจการปกครองประชาชน ขณะทศ่ี าสนจกั รสอนให้คนทาทานและการกุศลเพ่ือ ความสุขในโลกหน้า แต่บ้านเมืองห้ามการขอทานและการให้ทานแก่คนร่างการปกติ เพราะจะทาให้ คนเกียจคร้านมากขึ้น ในอังกฤษมีกฎหมายหลายฉบับที่ตราข้ึน ห้ามการขอทานเพื่อเป็นการรักษา ความสงบเรียบรอ้ ยของบ้านเมอื ง เช่น กฎหมายสมยั พระเจา้ ชารล์ มาญ ค.ศ. 800 เปน็ ต้น สวัสดิการสังคมในยุคนี้เป็นการจัดการกับอาชญากรรม คนเร่ร่อนจรจัดและ การควบคุมแรงงานต่างๆ โดยมีปรากฏการณ์ทางสังคมในแต่ละช่วงเวลาเป็นพ้ืนฐาน ตัวอย่างเช่น กฎหมาย Statute of Labourers ปี ค.ศ. 1349 ที่ห้ามการเคล่ือนย้ายแรงงานชนบท เพราะเกิดโรค ระบาดคร้ังใหญ่ท่ีมีประชาชนตายไปถึงสองในสาม ส่วนที่เด่นชัดท่ีสุดในกฎหมายฉบับน้ีคือ การใช้
การวจิ ัยการศึกษาเปรยี บเทยี บการพัฒนาบนพ้ืนทีส่ ูงในอดีตและปจั จบุ นั 105 มาตรการลงโทษคนเรร่ อ่ นขอทานอยา่ งเฉยี บขาด เชน่ เฆยี่ นตี กกั ขงั ในคอกสตั ว์ ใส่ข่อื คา ตดั หูตัดจมกู จนถึงแขวนคอ โดยสรุปแล้ว การสวัสดิการสังคมในยุคกลางของอังกฤษ นับว่าเป็นการควบคุมทาง สังคมเป็นหลักโดยมีจุดมุ่งหมายคือการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างย่ิง การควบคมุ การเร่รอ่ นขอทาน ซง่ึ ถือว่าเป็นบ่อเกดิ ของอาชญากรรมในยุคกลางน้ี 2. ยุคฟนื้ ฟูศลิ ปะวิทยาการ ในช่วงศตวรรษที่ 14-17 น้ี ระบบศักดินาค่อยๆ เส่ือมสลายไป ระบบเศรษฐกิจ เปล่ียนไป บทบาทของศาสนาจักรลดลง ผู้คนมีความคิดเสรีมากข้ึน ทาสติดที่ดินได้รับอิสรภาพและ การกดขี่ต่างๆ ในสังคมก็ลดลง เกิดการปฏิรูปศาสนา (โรมันคาทอลิก) พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ประกาศไม่ ขึ้นกับศาสนาจักรอีกต่อไปและยึดทรัพย์สมบัติของวัด ทาให้คนยากจนขาดแคลนแหล่งท่ีเคยให้การ ชว่ ยเหลืออย่างสาคัญ ปัญหาสังคมจากคนเร่ร่อนจรจัดและขอทานมีมากข้ึน คนอังกฤษยุคนี้หันไปนับถือ โปรเตสแตนต์ นิกายพิวริแตน (puritan) กันมากข้ึน ความเชื่อเรื่องความยากจนเปลี่ยนไปจาก เจตจานงของพระเจ้ามาเป็นสาเหตุส่วนบุคคล เกิดค่านิยมที่เรียกว่า “จริยธรรมของการทางาน” (work ethic) ของนกิ ายพิวริแตน ซึ่งถือวา่ การทางานเป็นการเขา้ ถึงพระเจา้ และเปน็ การไถ่ตนเองให้ พ้นบาป ความเกียจคร้านแสดงถึงการมีคุณธรรมต่า ความเชื่อเช่นน้ีมีผลต่อระบบสวัสดิการสังคมใน สหรัฐอเมรกิ าด้วย กฎหมายด้านสวัสดิการสังคมท่ีสาคัญในยุคนี้ ได้แก่ Elizabethan Poor Law ปี ค.ศ. 1601 ในสมัยพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 1 ซึ่งเป็นรากฐานสาคัญและมีอิทธิพลต่อสวัสดิการ สังคมท้ังในอังกฤษ สหรัฐอเมริกาและประเทศกาลังพัฒนาหลายประเทศ โดยถือกันว่าเป็นกฏหมาย แองโกลแซกซันฉบับแรกท่ีกาหนดให้ครอบครัวดูแลรับผิดชอบสมาชิก เม่ือเกินกาลังของครอบครัว แล้ว จงึ จะเปน็ หน้าทข่ี องรัฐบาลทอ้ งถนิ่ หลักการสาคัญของ Elizabethan Poor Law ก็คือ การเก็บภาษีจากทุกครัวเรือน มาสงเคราะห์คนจนและการแบ่งคนจนออกเป็น สองประเภทใหญ่ๆ คือผู้ท่ีร่างกายปกติที่สามารถ ทางานได้ และผู้ท่ีไม่อาจทางานได้ เช่น เด็ก ผู้ป่วย หญิงมีบุตรเล็กๆ คนพิการ คนชรา มาตรการ ในการช่วยเหลือมีสองวิธใี หญ่คือ การรับอุปการะให้อยู่ภายในโรงทาน (almshouse) และการให้เป็น สิ่งของเคร่ืองใช้แก่ผู้ยากจนที่อยู่กับครอบครัวอยา่ งไรก็ตาม นอกจากจะเป็นการสงเคราะห์คนจนแล้ว ก็ยังเป็นการลงโทษคนจนท่ีเกียจคร้านไม่ทางานตลอดจนเป็นการควบคุมการเคลื่อนย้ายของแรงงาน และการเร่ร่อนดว้ ย กฎหมายน้ีใช้มากว่า 200 ปี จนกระท่ังปี ค.ศ. 1834 อังกฤษปฏิรูปกฎหมายนี้เรียกว่า “Poor Law Reform หรือ New Poor Law”
106 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรียบเทียบการพฒั นาบนพ้นื ท่ีสูงในอดตี และปจั จบุ ัน 3. ยคุ พาณชิ ยน์ ยิ ม ช่วยศตวรรษที่ 15 -18 ซ่ึงคาบเกี่ยวกับยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการน้ัน ยุโรปรวมทั้ง องั กฤษไดร้ บั อทิ ธิพลความเช่ือในลทั ธิพาณิชยน์ ยิ ม ทาให้มกี ารขยายตัวทางการคา้ แสวงหาความมงั่ คั่ง จากการค้าขาย ส่งเสริมการเดินเรือทะเล เพ่ือแสวงหาอาณานิคมมาเป็นแหล่งวัตถุดิบและตลาด ระบายสินค้าอุตสาหกรรม รัฐบาลจึงเข้ามาควบคุมกิจการทุกด้าน รัฐบาลเข้ามายุ่งเกี่ยวกับก ารค้า มากขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติมีหลายครั้งท่ีการแข่งขันทางการค้าได้นาไปสู่การทา สงครามระหว่างประเทศ เอกชนเองก็สนใจแต่การค้าไม่สนใจผลประโยชน์ของชาติ เห็นได้จาก แม้ใน สภาวะสงครามก็ยังมีการลักลอบขายสินค้าต้องห้ามให้กับประเทศคู่สงคราม รัฐบาลต้องเข้ามากากับ ดูแล แทรกแซงการค้าขายอยา่ งใกลช้ ดิ บทบาทหน้าที่ของรัฐชาติโดดเด่นในทุกด้าน ไม่เพียงแต่การกากับดูแลการค้าขาย เทา่ นั้นรวมถงึ เครอื ข่ายทางสังคมและการสนับสนุนทางสงั คม มนุษย์เป็นสัตว์สังคมท่ีมีความต้องการตามธรรมชาติท่ีจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นชุมชน และสงั คมการอยูร่ วมกนั ของมนุษย์เปน็ ปัจจัยสาคัญท่ีทาให้สามารถดารงชีวติ และเผา่ พันธุ์ให้อยู่รอดได้ ในโลกมนุษย์ จึงต้องมีการปะทะสังสรรค์หรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน มีการพึ่งพาอาศัยกัน สังคมมนุษย์ ธารงกฎเกณฑ์แห่งการพึ่งพาอาศัยกันมาเป็นเวลานาน แม้ในยุคสังคมปัจจุบัน การปฏิสัมพันธ์กันก็ยงั มอี ย่เู พียงแต่ปรับเปลีย่ นรปู แบบไปตามการเปล่ียนแปลงทางสังคม โดยมีเน้อื หาที่สลบั ซับซอ้ นมากข้ึน สังคมไทยก็เช่นกัน ต้ังแต่อดีต เอกลักษณ์เด่นอย่างหนึ่งของคนไทยคือ “การช่วยเหลือ เก้ือกลู กัน” การมีนา้ ใจใส่ใจท่ีจะช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก แมส้ ังคมไทยปัจจุบนั จะมีการเปลีย่ นแปลง ไปอย่างมาก ในเรื่องของการพัฒนาความเจริญทางวัตถุ ซ่ึงมักก่อให้เกิดผลลบเป็นท่ีเสียหายแก่ วัฒนธรรมประเพณีด้ังเดิมท่ีดีงาม แต่โดยทั่วไป เมื่อคนไทยด้วยกันประสบปัญหาหรือเคราะห์กรรม อนั รา้ ยแรง คนไทยกพ็ รอ้ มใจกนั ใหค้ วามอปุ การะชว่ ยเหลือ อยา่ งไรกต็ าม ไมอ่ าจปฏเิ สธไดว้ ่า การเปล่ียนแปลงทางสังคมในปัจจบุ ันส่งผลกระทบต่อ แบบแผนการดาเนินชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลกระทบท่ีทาให้เกิดอุบัติการของปัญหา สังคมใหม่ๆ หรือมีความรุนแรงของปัญหามากข้ึน อาทิเช่น การทุ่มเทให้กับการเติมโตของเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม ทาให้เกิดอุบัติภัยร้ายแรงหลายคร้ัง ดังกรณีเพลิงไหม้โรงงานผลิตตุ๊กตา เม่อื พฤษภาคม พ.ศ.2536 และโรงแรมถล่มเมื่อสิงหาคม ปเี ดยี วกัน เกดิ จากความประมาทและมุ่งแต่ กาไรสูงสุดของนักลงทุน การเป็นประเทศอุตสาหกรรมมากข้ึนยังทาให้เกิดปัญหาการปลดพนักงาน ลูกจ้างออกจากโรงงานเป็นจานวนมาก สืบเน่ืองจากการสั่งเครื่องจักรกลมาทดแทนแรงงานคน สภาพการทางานท่ีไม่ถูกสุขลักษณะก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพอนามัยอันเน่ืองมาจากการทางานท่ี เรียกว่า “โรคทางอาชวี อนามยั ” การได้รับสารพษิ ในการทางาน ความเจ็บป่วยหรอื พิการจากอุบัติเหตุ ในการทางาน การทางานหารายได้ไม่เพียงพอกับการยังชีพ การก่ออาชญากรรมหรือยอมทางานท่ี เสอ่ื มเสียศักดศิ์ รีความเป็นมนุษย์ เสื่อมเสยี ศลี ธรรม เปน็ ตน้
การวจิ ยั การศกึ ษาเปรียบเทยี บการพฒั นาบนพืน้ ทส่ี ูงในอดีตและปจั จบุ ัน 107 การเปลี่ยนแปลงของประเทศเป็นสังคมอุตสาหกรรมก่อให้เกิดปัญหาสังคมได้หลาย รูปแบบ คนไทยดาเนินชีวติ ขน้ึ อยู่กับการแข่งขันกับเวลามากข้ึน คนไทยร้สู กึ อดึ อัด อัตคัดทางใจ จิตใจ มีแตค่ วามต้องการอยตู่ ลอดเวลา และมกั กระโดดตามเทคโนโลยี มเี ทา่ ไรไม่รู้พอ ฯลฯ ผลพวงของการ เปลี่ยนแปลงทาให้คนส่วนใหญ่ไม่ใคร่ประสานสัมพันธ์กัน สมาชิกครอบครัวมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลง ครอบครัวไม่ผูกพันกันไม่มีการรับรู้ปัญหาของกันและกัน เกิดช่องว่างไม่เข้าใจกัน ขาดความรัก ความอบอุ่น ปัจจุบันคนไทยในสังคมเมืองมีแต่ความเห็นแก่ตัว ไม่สนใจช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน (หทัย ชิตานนท์ 2527, จินตนา ยศสุนทร 2534 และ ประกอบ คุปรัตน์ 2534 อ้างใน อาไพรัตน์ อักษรพรหม 2534 : 2-3) โดยสรุป ปรากฏการณ์ของการเปล่ยี นแปลงทางสงั คมมีผลกระทบต่อสภาพปัญหาสังคม ท่ีอุบัติข้ึนขณะเดียวกันก็กระทบต่อรูปแบบและลักษณะความสัมพันธ์ของมนุษย์ในสังคม ที่ปัจจุบัน นิยมเรียกกันว่า “เครือข่ายทางสังคมและการสนับสนุนทางสังคม” ซ่ึงถือว่าเป็นเร่ืองสาคัญท่ี นักวิชาชีพต่างๆ ทท่ี างานพัฒนาสังคมกาลงั ให้ความในใจเป็นอยา่ งยิ่ง ความหมายและคาจากัดความ คาว่า เครือข่ายทางสังคม (social network) และการสนับสนุนทางสังคม (social support) เป็นแนวความคิดท่ีนักสังเคราะห์นิยมใช้ประกอบการปฏิบัติงาน นับต้ังแต่ยุคทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา คาสองคาน้ีบ่อยคร้ังที่มีการนาไปใช้ทดแทนกันได้ ท้ังน้ีอาจกล่าวไดว้ ่า เครอื ขา่ ยทาง สงั คมและการสนบั สนนุ ทางสังคม “เป็นด้านมมุ ที่แตกต่างกันของปรากฏการณ์ทางสังคมอันเดียวกัน” (Specht 1988:169) อน่ึง คาว่า การสนับสนุนทางสังคมบางท่านนิยมใช้คาว่า การเก้ือกูลทาง สงั คมแทน ซง่ึ กห็ มายถึง “social support” เช่นเดียวกัน ลิน (Lin 1986 as quoted in Streeter and Flankin 1992:81) อธิบายว่า ปัจเจก บุคคล มคี วามสัมพันธ์เชอ่ื มโยงกับสภาวะแวดลอ้ มทางสังคมได้ สามระดบั คอื 1.ระดับชมุ ชน โดยผา่ นกลไกบูรณาการทางสังคม (social integration) 2.ระดับเครือข่ายทางสังคม โดยผ่านการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการแลกเปล่ียนทาง สงั คม 3.ระดับสัมพันธภาพท่ีใกล้ชิด โดยการที่บุคคลมีความใกล้ชิดสนิทสนม การแสวงหา คาแนะนาและการชแี้ นะเกีย่ วกบั ชีวิตความเป็นอยสู่ ่วนตัวของเขา การที่บุคคลมาสัมพันธ์กันเป็นเครือข่ายทางสังคม มีวัตถุประสงค์เพ่ือดารงไว้ซ่ึง สถานภาพทางสงั คมของตนเอง การตอบสนองความต้องการทางดา้ นอารมณ์ ด้านทรัพยากร ดา้ นการ จัดการเพ่ือให้ได้รับข้อมูลความรู้เพ่ิมเติม และเพ่ือการได้เข้าสู่วงสงั คมใหม่ๆ ซ่ึงก็คือการสนับสนุนทาง สงั คสมงั คหมรหือรกอืากรเากรอื้ เกอ้ืูลกลูนั กทนั าทงสางั คสมังคนมง่ั เนอน่ั งเอ(Mง a(Mgwaigrwei1re981398:347: )47)
108 การวิจยั การศกึ ษาเปรียบเทียบการพฒั นาบนพื้นทีส่ ูงในอดีตและปจั จบุ ัน พิมพ์วัลย์ ปรีดาสวัสดิ์ (2530 : 154) อธิบายว่า สังคมเป็นส่ิงที่มีการเคล่ือนไหว เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความสัมพันธ์ทางสังคมก็มีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย การศึกษา วิเคราะห์เครือข่ายทางสังคมก็คือการศึกษาถึงส่ิงแวดล้อมของบุคคล ซึ่งไม่ใช่เพียงการติดต่อส่ือสาร แต่เป็นการแลกเปล่ียนซึ่งกันและกัน การแลกเปล่ียนดังกล่าวเป็นการแลกเปล่ียนผลตอบแทนอันเกิด จากปฏิสัมพันธ์ของคนตั้งแต่สองคนข้ึนไป ส่ิงท่ีแลกเปลี่ยน ได้แก่ ข่าวสาร ข้อมูล สินค้า บริการ คาแนะนา โดยบุคคลท้งั สองหรอื เท่าท่เี ก่ียวข้องสวมบทบาทท้งั เป็นผ้ใู หแ้ ละเป็นผรู้ บั ซิดนีย์ คอบบ์ (Cobb 1976 : 300) อธิบายว่าการสนับสนุนทางสังคม หมายถึง การท่ี บุคคลได้รับข้อมูลข่าวสาร ท่ีบ่งช้ีให้เขาเช่ือได้ว่า ยังมีคนรัก มีคนคอยดูแลเอาใจใส่ มีคนยกย่องเห็น คุณค่า และรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหน่ึงของสังคมและมีความผูกพันเอ้ืออาทรต่อกันในสังคม (สุภัสตรา เกา้ ประดิษฐ์ 2535 : 13) เบนจามิน เอช กอตต์เลียบ ( Gottlieb 1982 : 32) นิยามความหมายคาว่า การสนับสนุนทางสังคมว่าเป็นผลท่ีเกิดจากปฏิสัมพันธ์ของบุคคล ซ่ึงอยู่ในเครือข่ายทางสังคมท่ีมี โครงสร้างแน่ชัด ปฏิสัมพันธ์น้ีเป็นการมีส่วนร่วมของบุคคลที่เกี่ยวข้อง และเป็นการแลกเปล่ียน ทรัพยากรกับบคุ คลที่ร้จู ักคุ้นเคยกนั เปน็ อย่างดี แคปแลน คัสเซล และกอร์ (Kaplan Cassel and Gore 1977 อ้างใน สุภัสตรา เก้า ประดษิ ฐ์ 2535 : 13, 50-51) ใหค้ วามหมายของการสนบั สนุนไวเ้ ป็นสองความหมาย คอื (1) หมายถึง ความพึงพอใจต่อความจาเป็นพื้นฐานทางสังคมของบุคคลแต่ละคน ซึ่งได้รับมาจากสภาวะแวดล้อม ทางสังคมของตน โดยผ่านทางการติดต่อสัมพันธ์กับกลุ่มชนในสังคม เช่น การยกย่อง การให้ความ ช่วยเหลือ การได้รับความเห็นใจ (2) หมายถึงความสัมพันธ์ที่มีอยู่ โดยบุคคลน้ันจะได้รับจากกลุ่ม สงั คมท่ใี หค้ วามสนบั สนุน ถอื ได้ว่ากลุม่ สงั คมเปน็ แหลง่ ทมี่ คี วามสาคัญต่อบคุ คลผู้ท่เี ป็นผู้ใช้บริการน้ัน อาร์ แอล คาหน์ (Kahn 1979 อา้ งใน จิรศกั ดิ์ เลา่ ศกั ด์ิกิตโิ บราณ 2535 : 11) อธิบายวา่ การสนับสนุนทางสังคม หมายถึง การปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในลักษณะดังต่อไปน้ี คือ 1.การแสดงความพึงพอใจของบุคคลหน่ึงกับอีกบุคคลหน่ึง 2.การยืนยันรับรองพฤติกรรมของบุคคล อาจโดยการรับรู้หรือการแสดงออกถึงการยอมรับ และ 3.การให้ความช่วยเหลือด้านสิ่งของเงินทอง หรอื อน่ื ๆ เมท พิลลิสุก (Mate Pillisuk 1982 : 20-31) กล่าวว่า การสนับสนุนทางสังคมเป็น ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ไม่เพียงแต่ความช่วยเหลือทางด้านวัตถุและความมั่นคงทางอารมณ์ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรู้สึกที่ว่า ตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมด้วย นอกจากน้ัน การสนับสนุนทาง สังคมยังสามารถป้องกันบุคคลจากภาวะวิกฤตและการคุกคามของความเจ็บป่วยได้อีกด้วย (พูนพร ศรีสะอาด 2534 : 30)
การวิจัยการศึกษาเปรยี บเทยี บการพัฒนาบนพน้ื ที่สูงในอดีตและปัจจุบนั 109 บุญเย่ียม ตระกูลวงศ์ (2528 : 594) กล่าวว่า การสนับสนุนทางสังคมมีบทบาทต่อ พฤติกรรมอนามยั ของคนไปจนช่ัวชวี ิต ทงั้ ในด้านของสุขภาพ กายภาพ และสขุ ภาพจติ ในการป้องกัน โรค การส่งเสริมสุขภาพและการปฏิบัติตามคาแนะนาของบุคลากรสาธารณสุข แรงสนับสนุนทาง สงั คม หมายถึงสง่ิ ทบ่ี ุคคลผรู้ บั การสนบั สนนุ ซง่ึ อาจเป็นบุคคลหรอื กลุ่ม ได้แก่ บุคคลในครอบครวั เชน่ บิดา มารดา สามี ภรรยา ญาติพี่น้อง เพ่ือนบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เป็นต้น แล้วมผี ลทาใหผ้ รู้ บั ได้ปฏบิ ัติไปในทางที่ผู้รับตอ้ งการ จนิ ตนา ยนู ิพนั ธ์ (2529 : 4) กลา่ วว่า การสนบั สนนุ ทางสังคม เปน็ การวิจยั ทางจิตวิทยา สังคมท่ีสาคัญต่อการดารงชีวิตอยู่ในสังคมมนุษย์ การดารงชีวิตอยู่ในสังคมต้องพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกัน และกัน มีการช่วยเหลือแลกเปล่ียนความคิดเห็น ความรู้สึกต่างๆ ซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความรู้สึก ม่ันคง เป็นท่ีรักเป็นที่ต้องการ เม่ือเกิดเหตุการณ์ที่เป็นภาวะวิกฤตหรือมีความเครียดเกิดขึ้น การสนับสนุนทางสังคมที่เพียงพอจากแหล่งสนับสนุนที่บุคคลน้ันมีอยู่ จะช่วยบรรเทาความรุนแรง หรอื เปน็ การป้องกนั ไมใ่ ห้ความเครยี ดนัน้ มากระทบจนเกิดความผิดปกติ โดยสรปุ การสนบั สนุนทางสงั คม หรือแรงสนับสนนุ ทางสังคม หรอื การเก้อื กูลทางสังคม หมายถึง การทบี่ คุ คลในสงั คมได้รับความรัก ความเอาใจใส่ เห็นคุณค่า ได้รบั การยกยอ่ ง มีความผูกพัน ซ่ึงกันและกัน มีความรู้สึกเป็นส่วนร่วมในสังคมเดียวกัน มีการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ เช่น การให้คาแนะนาการให้ส่ิงของ การประเมินเพื่อให้ปรับปรุงให้ดีขึ้น การให้ความช่วยเหลือโดยมาเป็น แรงงาน ใหเ้ วลา ให้ความคดิ เหน็ ให้ขอ้ มลู ขา่ วสาร การสนับสนนุ ทางสังคมมีผลต่อภาวะจติ ใจ อารมณ์ มีขอบเขตครอบคลุมทั้งการให้และการรับ จากบุคคลในครอบครัว อาทิ บิดามารดา ญาติพี่น้อง เพ่ือนฝูง เพื่อนนักเรียน เพื่อนบ้าน เพ่ือนที่ทางาน ครูอาจารย์ คนในชุมชน บุคลากรวิชาชีพต่างๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ ง ทัง้ ภาครัฐบาลและเอกชน เป็นต้น หลกั การสาคญั การสนบั สนุนทางสงั คม หลกั การสาคญั ของการสนบั สนุนทางสงั คม ประกอบดว้ ย 1. กระบวนการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ท่ีทาหน้าที่หลักเป็น “ผู้ให้” และผู้ที่ทาหน้าที่ หลักเปน็ “ผู้รับ” การสนับสนนุ 2. กระบวนการติดต่อส่ือสารโดยท่วั ไป ประกอบดว้ ย (1) ข้อมูลข่าวสาร ที่ทาให้ “ผู้รับ” เชื่อว่ายังมีคนท่ีเอาใจใส่ มีความรักและมีความหวงั ดี ต่อตนอยา่ งจรงิ จงั (2) ข้อมูลข่าวสาร ทท่ี าให้ “ผรู้ ับ” ร้สู ึกวา่ ตนเองมีคุณคา่ และเปน็ ท่ียอมรบั ในสงั คม (3) ข้อมูลข่าวสาร ที่ทาให้ “ผู้รับ” เชื่อว่าเขาเป็นส่วนหน่ึงของสังคมและสามารถทา ประโยชนแ์ ก่สังคมได้ 3.ปัจจัยนาเข้าในกระบวนการสนับสนุน ซ่ึงอาจอยู่ในรูปของข้อมูลข่าวสาร วัสดุส่ิงของ หรือแรงสนับสนนุ ทางดา้ นจติ ใจ
110 การวิจยั การศึกษาเปรยี บเทยี บการพฒั นาบนพ้ืนท่สี ูงในอดตี และปจั จุบนั 4.การช่วยให้ “ผู้รับ” ได้บรรลุถึงจุดหมายท่ีเขาต้องการ เช่น ในด้านการสาธารณสุข ก็คือการมีสุขภาพที่ดี (บุญเย่ียม ตระกูลวงศ์ 2528 : 594) ในด้านสวัสดิการสังคมอ่ืนๆ ก็คือการมี สภาพความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม หรือสามารถแก้ปัญหา หรือเผชิญ ปญั หาความเดือดร้อนได้อยา่ งเหมาะสม แหล่งท่ีมาของการสนับสนนุ ทางสังคม ดังได้กล่าวแล้วว่า การสนับสนุนทางสังคมกับเครือข่ายทางสังคมน้ัน “เป็นด้านมุมที่ แตกต่างกันของปรากฏการณ์ทางสังคมอันเดียวกัน”(Specht 1988:169) เสมือนด้านสองด้านบน เหรยี ญอนั เดียวกัน โครงสรา้ งเครอื ขา่ ยทางสงั คมมีความเก่ียวข้องกับการสนบั สนุนทางสังคมอย่างแยก ไม่ออก การวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคมทาให้มองเห็นความสัมพันธ์ทางสังคมทั้งหมดของบุคคล ภายใต้สังคมท่ีเขาอาศัยอยู่ ซึ่งหมายรวมถึงบุคคลในครอบครัว ญาติพ่ีน้อง เพ่ือนร่วมงานและเพื่อน บ้าน ความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างกันและกันของบุคคลภายในเครือข่ายสังคมนี้ จะมีทั้งมิติของ ระบบเศรษฐกิจ ระบบเครือญาติและการแต่งงาน ระบบการเมือง ระบบสุขภาพอนามัย และอ่ืนๆ พฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนและนับว่าเป็นเสมือนการสนับสนุนทางสังคม ได้แก่ การไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนกัน การปรกึ ษาหารือกนั การชว่ ยเหลอื ซึ่งกันและกนั เป็นต้น ถา้ หากจะพิจารณาเครือขา่ ยทางสังคมอย่าง เป็นรูปเป็นร่างที่ทาให้เข้าใจงา่ ยๆ เครือข่ายทางสังคมก็จะเปรียบเสมือนกับรูปภาพที่ประกอบด้วยจุด ตา่ งๆ ทีม่ ีเสน้ หลายๆ เส้นโยงเชื่อมกันไปมาระหวา่ งจุดหลายๆ จดุ กับจุดท่ีเป็นศูนยก์ ลาง จดุ ศูนยก์ ลาง นี้เปรียบเสมือนเป็นบุคคลคนหน่ึง และจุดอื่นๆ เป็นตัวแทนบุคคลรอบๆ ข้างที่บุคคลนั้นมีปฏิสัมพันธ์ ด้วย ส่วนเส้นโยงเชื่อมกันหลายๆ เส้นน้ัน แทนความสัมพันธ์ทางสังคมหลายๆ ความสัมพันธ์ท่ีบุคคล หรือกลุ่มบุคคลติดต่อกัน สาหรับองค์ประกอบท่ีสาคัญของเครือข่ายทางสังคม ซึ่งมีความสัมพันธ์กับ การสนับสนุนทางสังคม มีดงั น้ี 1.ขนาดของกลุ่มสังคม (size) หมายถงึ จานวนบุคคลในกล่มุ สงั คมซึง่ จะต้องเป็นบุคคลที่ มีความสัมพันธ์กันจริงๆ จานวนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ประเภทของ ความสัมพันธ์ ความห่างไกลทางภูมิศาสตร์ วัยของแต่ละบุคคล (McElveen 1978:321-322) ซง่ึ อาจจะมาจาก ขณะเป็นทารกจะมีความต้องการการดูแลคุ้มครองจากพ่อแมแ่ ละบุคคลในครอบครัว เท่านั้น เม่ือพัฒนาเจริญวัยขึ้นเป็นเด็กก็จะขยายวง มีความสัมพันธ์ออกไปสู่บุคคลท่ีโรงเรียน ไม่ว่าจะ เปน็ ครู เป็นเพ่ือนนกั เรยี น เจ้าหน้าท่ขี องโรงเรียน เม่อื เป็นวัยรุ่น วงเครือข่ายความสัมพนั ธน์ ี้กจ็ ะขยาย วงออกไปสสู่ งั คมกวา้ งขนึ้ จากการศึกษาของ เจน เอส นอร์เบก (Norbeck 1981:43) พบว่าบุคคลจะมีจานวน สมาชิกในเครือข่ายจานวนสูงสุดขณะอายุ 35-55 ปี ทั้งน้ีเป็นเพราะวัยผู้ใหญ่เป็นวัยท่ีมีความ รับผิดชอบในด้านต่างๆมากกว่าวัยอ่ืนๆ ต้องรับผิดชอบสมาชิกในครอบครัว หน้าที่การงาน ทาให้มี กิจกรรมในชีวิตสูงมากกว่าวัยอ่ืน การมีเครือข่ายขนาดใหญ่จึงเป็นส่ิงจาเป็น เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ
การวจิ ัยการศึกษาเปรียบเทยี บการพฒั นาบนพนื้ ที่สูงในอดีตและปจั จบุ ัน 111 ความต้องการสมาชิกในเครือข่ายทางสังคมจะลดลงเกือบเท่าวัยทารก เพราะกิจกรรมในชีวิตลดลง ประเภทของภารกิจและปญั หาท่ตี ้องขบคดิ กล็ ดลงตามไปด้วย 2.ระดับความหนาแน่นของความสัมพันธ์ในเครือข่ายทางสังคม ระดับความหนาแน่น หมายถึง ระดับที่สมาชิกในเครือข่ายบุคคลมีความสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน ในเชิงของการติดตอ่ สื่อสารที่ เกิดขึ้นท้ังในด้านปริมาณ และชนิดของข้อมูลที่แลกเปล่ียนซึ่งกันและกัน ในการพิจารณาความ หนาแน่นของเครือข่ายทางสังคม เจ บัวส์เซเวน (Boissevain 1974 : 28-44) จาแนกความหนาแน่น ของเครอื ข่ายทางสงั คมออกเปน็ โซน (zones) ท่ีสาคัญ 3 โซน คอื 1. เครือขา่ ยหลกั (intimate network) ไดแ้ ก่ ครอบครัว ญาตพิ ่นี ้อง เพือ่ นฝูง ซึ่งมีความ ใกลช้ ิดมากท่สี ุด 2. เครือข่ายรอง (effective network) ประกอบด้วยบุคคลต่างๆ ซึ่งบุคคลท่ีเป็น ศนู ย์กลางร้จู ักคุ้นเคยน้อยกว่ากลุม่ แรก สามารถคาดหวังจากเครือข่ายน้ีไดน้ ้อยกวา่ เครือข่ายแบบแรก กลุ่มนม้ี ักได้แก่ ญาตพิ ่นี อ้ งท่ีห่างๆ ออกไป เพอ่ื นฝงู และคนทีร่ จู้ ักคุน้ เคยอ่ืนๆ 3. เครือข่ายขยาย (ego’s extended network) ได้แก่กลุ่มคนที่บุคคลผู้เป็นศูนย์กลาง ไม่รู้จักโดยตรง แต่สามารถติดต่อสัมพันธ์ด้วยได้ถ้าต้องการ โดยผ่านเครือข่ายใกล้ชิดอีกทีหน่ึง (สภุ ัสตรา เกา้ ประดิษฐ์ 2535 : 19) การวิเคราะห์ความหนาแน่นของเครือขา่ ยทางสังคม ยังสามารถพิจารณาไดจ้ ากคุณภาพ ของความหนาแนน่ ซง่ึ อาจจาแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. เครือข่ายท่ีมีความหนาแน่นน้อย (loose-knit network) ได้แก่ เครือข่ายที่มี ความสัมพันธ์กนั ค่อนข้างน้อย สมาชิกในเครอื ข่ายมคี วามผูกพันระหวา่ งกนั น้อยกวา่ การตดิ ตอ่ สื่อสาร ระหว่างกันและกันมีอยู่ในอัตราความถี่ที่จัดว่าน้อย ซึ่งมีผลให้คนในเครือข่ายมีความคิดเห็นและ การกระทาทแ่ี ตกต่างกนั ออกไปมาก และมีอิทธพิ ลตอ่ กันและกันนอ้ ย (Specht 1988 : 174) 2. เครือข่ายที่มีความหนาแน่น (dense network) ได้แก่ ลักษณะของเครือข่ายที่มี ความสัมพันธ์กันอย่างเหนียวแน่นและใกล้ชิด มีการแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสาร หรือมีกิจกรรมการ ปฏิสังสรรค์อยู่ในอัตราความถี่ที่จัดว่าสูง ทาให้มีลักษณะความคล้ายคลึงกันค่อนข้างมาก และมี อิทธพิ ลต่อกันและกันมาก (Specht 1988 : 174) แผนภาพที่ 5.1 แสดงให้เห็นว่า ในเครือข่ายของ ก. และ ข. ต่างมีจานวนบุคคลท่ี เกีย่ วขอ้ ง 4 คน เท่ากัน แตพ่ ิจารณาความสัมพนั ธ์ของบุคคลที่เก่ียวข้องแลว้ ก. มีเครอื ขา่ ยท่ีหนาแน่น น้อยกว่า ข. แผนภาพ 5.1 แสดงเครือข่ายท่ีมีความหนาแน่นน้อยและเครือข่ายท่ีมีความหนาแนน่ สูง (Soirce : Specht 1988 : 174)
112 การวิจยั การศกึ ษาเปรยี บเทียบการพัฒนาบนพ้นื ทส่ี งู ในอดตี และปจั จบุ ัน ความหนาแน่นขอคงวเาคมรหือนขา่ แยนเป่น็นขปอัจงจเคัยรทือ่ีสขา่าคยัญเปต็นัวปหัจนจึ่งัยตทัวี่สอายค่าัญงเตชัว่นหนวิลึ่งคตอัวกอซย์ ่า(งWเชil่นcoวxิลคอกซ์ (Wilcox as quoted in Sapseqchutot1e9d88in: S1p7e4)chพtบ1ว9่า88สต: ร1ีท74ี่ห)ยพ่ารบ้าวง่าที่สมตีเครรีทือี่หขย่า่ายรส้าังงคทมี่มแีเคบรบือหขล่าวยมสๆังคหมรแือบมบี หลวมๆ หรือมี ความหนาแน่นน้คอวยาจมะหปนรับาแตนัว่นทนาง้อดย้าจนะอปารรับมตณัว์แทลาะงสดัง้าคนมอาไรดม้ดณีก์แว่าลสะตสรังีหคยม่าไรด้า้ดงทีกวี่ม่าีเคสรตือรขีห่ายย่าสรั้งาคงทมี่มทีเ่มคี รือข่ายสังคมที่มี ความหนาแน่นสูงควแาสมดหงนใหา้เแหนน็ ่นวสา่ งู เคแรสือดขง่าใหย้เทหา็นงวสา่ังคเมคทรือ่ีมขีคา่ วยาทมาหงนสาังแคนม่นทน่ีม้อีคยวาแมลหะมนีอาแิทนธิพ่นนลต้อ่อยกแลันะนม้อีอยิทธิพลต่อกันน้อย ทาให้มีบรรทัดฐาทนาทใหี่เข้ม้มีบงรวรดทนัด้อฐยาบนทรร่ีเขท้มัดงฐวาดนนข้อยงสบังรครมททัดี่ฐมาีคนวขามอยงสืดังหคยมุ่นทส่ีมูงีคชว่ ายมใหยื้ดบหุคยคุ่นลสูางชม่วายรถให้บุคคลสามารถ ปรับตวั ได้ดีกว่า ทปงั้ รนบั ี้ ตบวัุคไคดลด้ จีกะวไา่ ดรทับ้ังนควี้ บามุคคลาดจหะไวดังรจับากคสวางั คมมคอาดยห่างวยังดืจหากยสุ่นงั กควม่าอย่างยืดหยนุ่ กว่า ในทางกลับกัน เคในรือทขา่างยกทลาับงกสันังคเคมรทือี่มขีค่าวยาทมาหงนสาังแคนม่นทสี่มูงีคเวปา็นมสหิ่งนทาี่จแานเป่น็นสอูงเยป่า็นงยส่ิงทสี่จาาหเรปับ็นอย่างยิ่ง สาหรับ บุคคลที่อยู่ในภาวบะุควคิกลฤทตี่อหยรู่ในือภอยาวู่ในะชวิก่วงฤวตยั หทรี่ตือ้ องยกู่ใานรพช่วึงงพวิงยั ผทูอ้ ่ีตืน้อองยก่าางรสพูงึ่งอพาิงทผิเู้อช่ืน่นอทย่างรสกูงเดอ็กาทเลิเ็กช่นหทรือารก เด็กเล็ก หรือ ผูส้ ูงอายุ ผู้สงู อายุ 3.ระยะเวลาท่ีสม3า.ชริะกยตะิดเตว่อลกาทัน่ีสรมะายชะิกเตวลิดาตท่อี่บกุคันครละรยู้จะักเหวลรือาทติด่ีบตุค่อคกลันรู้จนักับหตรือั้งแตติด่เตร่อิมกรันู้จักนับตั้งแต่เร่ิมรู้จัก กันและดาเนินควกาันมแสลัมะพดันาธเน์ตินดตค่อวากมันสมัมาพเรัน่ือธย์ตๆิดตแ่อสดกันงใมหา้เเหร็นื่อคยวๆามแมสด่ันงคใงหต้เ่อหก็นันคขวอามงกมล่ันุ่มคงหตา่อกกบันุคขคอลงมกีลุ่ม หากบุคคลมี ความสัมพันธ์ต่อกคันวาอมยส่าัมงแพนัน่นธแ์ตฟ่อ้นกันแอลยะ่ารงู้จแักนก่นันแใฟน้นระแยละะเวรลู้จาักยกาันวในนารนะยกะ็จเะวสล่งาผยลาตวน่อากนารกส็จนะับสส่งนผุนลตท่อางการสนับสนุนทาง สงั คม ทาใหเ้ กิดกสางัรคชมว่ ยทเหาใลหอื เ้ กนัิดกมารกชย่วงิ ยขเึ้นหไลปอื ดก้วันยมากยิ่งขน้ึ ไปดว้ ย 4.ความถี่ในกา4รต.คิดวตา่อมกถันี่ในคกวาารมตถิดี่ใตน่อกกาันรตคิดวตา่อมกถันี่ในคกือาจรตานิดวตน่อคกรันั้งคทือี่บุคจาคนลวไดน้มคี รั้งที่บุคคลได้มี การติดต่อกนั แสดกงาใรหตเ้ หิดต็น่อถกึงคันวแาสมดมงั่นใหค้เงหใน็ กถลงึ คุ่มวเคามรือมขั่น่าคยงทในางกสลงัุ่มคเมครแือลขง่าลยี ท(Lาaงnสgังlคieม 1แ9ล7ง7ลี :(L2a4n4g-2li6e01)977 : 244-260) ไดศ้ กึ ษาความสัมไพดนั ้ศธึก์รษะาหควว่าางมโคสรมั งพสันรธา้ ์รงขะหองวเ่าคงรโืคอขรง่าสยรทา้ างงขสอังงคเมคกรือับขพา่ ฤยตทิการงรสมังใคนมกกาับรพปฤ้อตงกิ ันรรโรมคในพกบารวป่า้องกนั โรค พบว่า ความถี่ในการพบคปวาะมกถับ่ีใเนพก่ือานรจพะบมปีคะวกาับมเสพัม่ือพนันจธะ์ใมนีคทวาางมบสวัมกพกันบธพ์ใฤนตทิการงรบมวกกากรับปพ้อฤงกตันิกโรรคมกนา่ันรคปือ้ งกันโรค น่ันคือ ยิง่ พบปะกบั เพ่ือนยม่งิ พากบกปย็ ะง่ิ กมบั ีพเฤพตอื่ ิกนรมรามกกกาย็ ร่งิปม้อีพงฤกตันิกโรครมากกาขรป้นึ ้อตงากมันไปโรดคว้ มยากขน้ึ ตามไปด้วย 5.วิธีที่ใช้ในการ5ต.ิดวติธ่ีอทกี่ใชัน้ในกการาตรติดิดตต่อ่อสกื่อันสากราเปรต็นิดกตร่อะบส่ือวนสากราเรปท็น่ีตก่อรเะนบ่ือวงนเกปา็นรคทวี่ตา่อมเน่ือง เป็นความ ต้องการของมนตุษ้อยง์ การขตอิดงตม่อนสุษ่ือยส์ ากรารระตหิดวต่า่องมส่ืนอุสษายร์มรีหะลหาวย่าวงิธมี นกุษายร์ตมิดีหตล่อาสยื่อวิธสี ากราโรดตยิดตตร่องสดื่้อวยสารโดยตรงด้วย การพบปะพูดคุยกทา่ีเรหพ็นบทป่าะทพาูดงคพุยฤตทิกี่เรหร็นมทไ่าดท้ยาินงพคาฤพตูดิกนรร้ามเสไียดง้ยโดินยคตารพงูดนน่า้าจเะสมียีผงโลดตย่อตกรางรนส่านจับะสมนีผุนลตท่อางการสนับสนุนทาง สังคม มากกวา่ กาสรังตคดิ มตมอ่ สากอื่ กสวาา่รกโดายรตทดิางตอ่ ้อสมื่อสหารรอื โดผย่านทบางคุ อค้อลมทสี่หารมือผา่ นบุคคลทีส่ าม ประเภทของการปสรนะับเภสนทุนขอทงากงสารังสคนมบั สนนุ ทางสังคม คอบบ์ (Cobb 19ค7อ9บบ: 9์ (3C)oไbดb้แบ1่ง9ก7า9รส: น93บั )สไนดุน้แทบา่งงกสาังรคสมนอบั อสกนเปุนน็ทา3งสชงั นคดิ มออกเป็น 3 ชนิด 1. การสนับสนุน1ด.้ากนาอราสรนมับณส์ น(eุนmด้oานtioอnารaมl ณsu์ p(epmorot)tioเปn็นalข้อsuมpูลpทoี่ทrtา)ใหเป้บ็นุคขค้อลมเชูล่ือทว่ีท่าาให้บุคคลเชื่อว่า เขาได้รับความรักเแขลาไะดก้ราับรคดวแู าลมเอรัากใแจลใะสก่ ซา่ึงรมดักแู จละเอไดา้จใจาใกสค่ ซวา่ึงมักสัจมะพไันดธ้จ์ทา่ีใกกคลว้ชาิดมแสลัมะพมันีคธว์ทาี่ใมกผลูกช้ พดิ ันแลึกะซมง้ึีความผูกพันลึกซง้ึ ต่อกัน ต่อกัน 2. การสนับสนุน2ด.้ากนากราสรนยับอมสรนับุนแดล้าะนกกาารรเยหอ็นมครุณับคแ่าละ(กeาstรeเหem็นคsุณuคp่าpo(erts)teเปe็นmข้อsuมpูลpทo่ี rt) เป็นข้อมูลที่ บอกให้ทราบว่า บคุอคกลใหนท้ันรมาีคบณุ วคา่ า่ บบคุ คุ ลคนลอั้น่นืมยคี อณุ มคร่าับแบลคุ ะคเลหอ็นน่ื คยุณอคมา่รดบั ว้ แยละเหน็ คุณค่าด้วย 3. การสนบั สนุนด3้า.นการสเปนน็บั สว่นนนุ หดนา้ ่งึนขกอางรสเปังคน็ มสว่(sนoหcนiaึ่งlขlyอsงuสpังคpมor(tsocrianlelytwsourpkpsourpt poorrnt)etwork support) คาหน์ (Kahn 19ค7า9ห:น์ 8(5K)aจhาnแน1ก97ก9าร:ส8น5บั )สจนาุนแทนากงกสาังรคสมนเบัปสน็ น3นุ ทชานงดิ สงัคคือมเปน็ 3 ชนิด คือ
การวิจัยการศกึ ษาเปรียบเทียบการพฒั นาบนพน้ื ทส่ี ูงในอดีตและปัจจบุ ัน 113 1. ความผูกพันทางอารมณ์และความคิด (affection) เป็นการแสดงออกซ่ึงอารมณ์ใน ทางบวกของบุคคลหน่ึงตอ่ บคุ คลหนึ่ง โดยแสดงออกในรปู ของการยอมรับ การเคารพนับถอื การแสดง ความรักความหว่ งใย 2. การยืนยันและรับรองพฤติกรรมของกันและกัน (affurnation) เป็นการแสดงออกถึง การเหน็ ดว้ ยและการยอมรับในความคดิ เหน็ และการกระทาของบคุ คลอื่นว่าถูกต้องหรือเหมาะสม 3. การให้ความช่วยเหลอื (aid) เป็นการปฏิสัมพันธ์ทีม่ ตี ่อบคุ คลอื่นๆ โดยการเสียสละให้ ส่งิ ของหรือความชว่ ยเหลอื โดยตรง เชน่ วตั ถุ เงินทอง ขอ้ มลู เวลา หรอื แรงงาน จาคอบสัน (Jacobson 1986 : 252) จาแนกการสนบั สนนุ เปน็ 3 ประเภท คือ 1. การสนับสนุนทางด้านอารมณ์ (emotional support) เป็นพฤติกรรมที่ทาให้บุคคล เกดิ ความสบายใจ เชื่อวา่ ได้รับการยกย่อง เคารพนบั ถอื และความรกั รวมทัง้ ได้รับการเอาใจใส่และให้ ความมั่นใจ 2. การสนับสนุนทางด้านสติปัญญา (cognitive support) หมายถึง การให้ข้อมูล ข่าวสาร คาแนะนา ที่จะช่วยบุคคลให้เกิดความเข้าใจในส่ิงต่างๆ จนสามารถนาไปเป็นประโยชน์ใน การปรับตนตอ่ การเปลี่ยนแปลงในชวี ติ ได้ 3. การสนับสนุนทางด้านส่ิงของ (materials support) หมายถึง การช่วยเหลือด้วย สิ่งของและบริการที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ 10. ทฤษฎที ีเ่ กยี่ วข้อง แนวคิดเร่ืองเครือข่ายทางสังคมและการสนับสนุนทางสังคม เป็นแนวคิดท่ีนักสังคม สงเคราะห์สามารถนามาใช้วิเคราะห์ปัญหา หรือสภาพของประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี โดยมิต้องละทิ้งวิธีการสังคมสงเคราะห์ท่ีปฏิบัติอยู่โดยปกติ ท้ังน้ี ไม่ว่านักสังคมสงเคราะห์จะถนัดใน วธิ กี ารสงั คมสงเคราะห์รปู แบบใด กส็ ามารถนาแนวคิดเรื่องเครือข่ายทางสังคมและการสนับสนุนไปใช้ ประกอบการปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดี กล่าวอีกอย่างหน่ึงก็คือ แนวคิดเร่ืองเครือข่ายทางสังคมและ การสนับสนุนทางสังคมเป็นการขยายหรือเสริมทัศนะในการวิเคราะห์วินิจฉัย ตลอดจนการกาหนด วิธกี าร หรือแนวทางในการดาเนนิ งานใหบ้ รรลุเปา้ หมายได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพมากข้นึ อย่างไรก็ตาม แนวความคิดเรื่องเครือข่ายทางสังคมและการสนับสนุนทางสังคม ก็มิได้ เป็นเพียงสิ่งที่นักสังคมสงเคราะห์ให้ความสนใจหยิบฉวยหรือนามาปฏิบัติงานเท่านั้น โดยเนื้อหา แนวคิดเองมีทฤษฎีท่ีใช้ประกอบวเิ คราะหท์ าความเข้าใจอยหู่ ลายทฤษฎี ท่สี าคญั มีดังต่อไปนี้ 1. ทฤษฎีว่าดว้ ยการอธบิ ายเหตกุ ารณ์ (attribution theory) 2. ทฤษฎีการเผชญิ กับปัญหา (coping theory) 3. ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคม หรือ ทฤษฎีความเท่าเทียมกัน (social exchange or equity theory) 4. ทฤษฎกี ารเปรียบเทียบทางสังคม (social comparison theory)
114 การวิจยั การศึกษาเปรยี บเทียบการพฒั นาบนพื้นที่สงู ในอดตี และปัจจบุ ัน 5. ทฤษฎวี ่าด้วยความเหงา (loneliness theory) 6. ทฤษฎกี ารรับรู้ทางสงั คม (theories of social perception) 7. ทฤษฎเี จตคติ (theories of attitude) 8. ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและการสื่อสารระหว่างบุคคล (theories of interpersonal relationships and interpersonal communication) 9. ทฤษฎีพฤติกรรมและกระบวนการกลุ่ม (theories of group behaviour and process) 10. ทฤษฎีอานาจหน้าที่และความสัมพันธ์ของอานาจ (theories of power relations and authority) 11. ทฤษฎกี ระบวนการอทิ ธพิ ลทางสงั คม (theories of social influence processes) 12. ทฤษฎีความผูกพัน (attachment theory) 13. ทฤษฎบี ทบาท (role theory) 14. ทฤษฎีการปฏิสัมพนั ธ์ (interactionist theory) ต่อไปนี้ จะได้กลา่ วถึงทฤษฎตี ่างๆ โดยสังเขป 1.ทฤษฎีวา่ ด้วยการอธิบายเหตุการณ์ “ทฤษฎีว่าด้วยการอธิบายเหตุการณ์” เป็นทฤษฎีที่อธิบายให้เห็นว่า บุคคล (ซึ่งกิน ความหมายรวมถึงผู้ประสบปัญหาหรือผู้ใช้บริการ นักวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง และผู้ท่ีสามารถให้ความ ชว่ ยเหลอื เขาได)้ จะมีการสร้างคาอธบิ ายข้นึ มา เพ่ือทาความเขา้ ใจ พยากรณ์หรือคาดเดา และควบคุม ส่ิงแวดล้อมรอบตัวเขาให้ได้คาอธิบายดังกล่าวจะเป็นความคิดเห็นหรือเป็นการประเมินเก่ียวกับ สิ่งแวดล้อมทางสังคม สาเหตุของปัญหาท้ังทางด้านอารมณ์ จิตใจ และสังคมที่เขาประสบอยู่ คาอธิบายชุดนี้ก็จะนาไปสู่การแสดงความรับผิดชอบที่จะเป็นฝ่ายแก้ไขปัญหาหรือให้ความช่วยเหลือ แกผ่ ้ทู ีต่ ้องการความชว่ ยเหลือของบุคคลท้ังสามฝ่าย (อนั ไดแ้ ก่ บุคคลผู้ประสบปัญหา นักวชิ าชพี และ บุคคลอน่ื ในเครือขา่ ยท่ีสามารถใหค้ วามชว่ ยเหลอื ได้) (Stewart 1989 : 1280) หลกั การของทฤษฎวี า่ ด้วยการอธิบายของเหตุการณม์ ีอยู่ว่า (1) หากมีการหาคาอธิบายถึงสาเหตุของปัญหาของผู้ใช้บริการ ทั้งโดยผู้ท่ีอยู่นอก เครอื ขา่ ยสังคมและผู้ที่เกยี่ วข้องอย่ภู ายในเครือขา่ ย พร้อมๆ กนั การให้ความช่วยเหลือโดยกลุ่มคนใน เครือขา่ ยและโดยนกั วิชาชีพทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง ก็มแี นวโน้มเป็นไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ (2) หากคาอธิบายถึงสาเหตุและทางออกทางแก้ไขปัญหาของบุคคลสามฝ่าย คือ ผู้ใชบ้ รกิ าร นักวชิ าชีพ และบคุ คลอ่ืนในเครือขา่ ย เป็นคาอธบิ ายทม่ี ีความสอดคลอ้ งกนั เปน็ อยา่ งดี การ ให้ความช่วยเหลือโดยนักวิชาชีพ และบุคคลอื่นๆ ในเครือข่าย ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ (Stewart 1989 : 1280) การให้คาอธิบายถึงเหตุการณ์ยังครอบคลุมถึงการให้คาอธิบายในด้านลบ ท่ีเป็น การตาหนิ กล่าวโทษทงั้ บคุ คล และ/หรือสง่ิ แวดล้อมที่เกี่ยวข้องด้วย เชน่ คากล่าวทว่ี ่า “เขาสมควรจะ
การวิจัยการศกึ ษาเปรียบเทยี บการพัฒนาบนพนื้ ทีส่ ูงในอดตี และปจั จบุ นั 115 ได้รับส่ิงนั้น” หรือ “ทากรรมไว้อย่างไรก็ได้รับอย่างน้ัน เป็นการถูกต้องแล้ว” คาอธิบายในด้านลบ นาไปสู่การตาหนิติเตียนบุคคลเสมือนเขาเป็น “เหย่ือ” นาไปสู่การปฏิบัติอย่างแล้งน้าใจ ไม่ใส่ใจดูแล ละเลยเพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของบุคคล ซ่ึงทั้งหมดมีผลเป็นการทาลายความเชื่อมั่นในศักยภาพ ของบคุ คล (Wortman and Conway 1985 : 281-302) บริกแมน และคณะ (Brickman et al. 1983-51) วิเคราะห์การให้ความชว่ ยเหลือกันใน เครือข่ายทางสังคมวา่ การให้ความชว่ ยเหลอื จะเปน็ ไปด้วยดี เม่อื (1) ผู้ท่ีเป็นฝ่ายรับความช่วยเหลือ ไม่ตกเป็นสาเหตุแห่งปัญหาหรือความเสียหายที่ เกิดข้ึนนนั้ เสยี เองและ (2) ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ รู้สึกผูกพันที่จะให้ความช่วยเหลือ ตราบเท่าท่ีการช่วยเหลือ น้ัน ไม่กระทบกระเทือนกับรายไดห้ รือส่วนเกินของทรัพยากรของเขา บริกแมน และคณะ ยังให้ความเห็นว่า การให้ความชว่ ยเหลอื จะเป็นไปอย่างมี ประสทิ ธิภาพ เม่ือ (1) ผู้ท่ีเป็นฝ่ายรับความช่วยเหลือได้รับการมองจากผู้ให้ความช่วยเหลือว่า สามารถ รับผิดชอบตอ่ ผลลัพธ์ท่เี กดิ ขึ้นจากการให้ความช่วยเหลอื ไดด้ ว้ ยตนเอง (2) ผู้ให้ความช่วยเหลือเต็มใจให้ความช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเขาได้รับการ มองว่ามีส่วนรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ท่ีเกิดขึ้น ด้วยเช่นกัน (Brickman et al 1983 as quoted in Stewart 1989 : 1275) ทฤษฎีว่าด้วยการอธิบายเหตุการณ์เป็นประโยชน์อย่างมาก สาหรับนักสังคมสงเคราะห์ และนักวิชาชีพท่ีให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ทาให้เราสามารถประเมินการรับรู้ และแรงจูงใจของ ผู้ใช้บริการ สมาชิกอ่ืนๆในเครือข่ายทางสังคม ตลอดจนบุคลากรด้วยกันเอง ทาให้เรามีหลักในการ หลีกเลี่ยงการตาหนหิ รือกล่าวโทษบุคคล ปอ้ งกันมิใหผ้ ใู้ ชบ้ ริการตาหนิลงโทษตนเอง ซงึ่ จะเป็นการบ่ัน ทอนความเชอื่ มัน่ ในสมรรถนะของตนเอง 2. ทฤษฎีการเผชิญกบั ปัญหา การเผชญิ หน้า เปน็ การเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมที่มงุ่ ไปสู่การจัดการกบั สงิ่ แวดล้อม และ/ หรือความต้องการภายในของบุคคล ท่ีกระทบต่อทรัพยากรของผู้ใช้บริการ พฤติกรรมการเผชิญหน้า ถูกกาหนดโดยสัมพันธภาพของบุคคลกับสภาพแวดล้อม ทฤษฎีการเผชิญหน้าเห็นว่า การสนับสนุน ทางสังคมเปน็ สง่ิ ทีม่ ีความสาคญั ต่อการควบคุมสภาวะตึงเครียดของบคุ คล การสนับสนนุ ทางสังคมเป็น ทรัพยากรสาคัญอย่างหน่ึงท่ีช่วยให้บุคคลสามารถเผชิญหน้ากับสถานการณ์ปัญหาได้ เครือข่ายทาง สังคมมีอิทธิพลต่อบุคคลทั้งโดยเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ในการสนับสนุนความสามารถใน การเผชิญปัญหา เช่นเดียวกัน เครือข่ายทั้งที่เป็นเครือข่ายตามธรรมชาติและเครือข่ายที่จัดต้ังขึ้น มสี ่วนช่วยสนบั สนุนบุคคลใหเ้ ผชิญปัญหา
116 การวิจยั การศึกษาเปรยี บเทียบการพัฒนาบนพน้ื ท่สี งู ในอดีตและปจั จุบนั กระบวนการเผชิญหน้าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนทางสังคม อาจจาแนกได้ 4 ขนั้ ตอน ดงั ต่อไปน้ี (Stewart 1989 : 1276) (1) การประเมนิ ขัน้ ต้น (primary appraisal) ข้ันตอนนี้ ผู้ใช้บริการได้รับข้อมูลข่าวสารจากบุคคลอื่นในเครือข่ายสังคม ข้อมูล ดังกล่าวเป็นข้อมูลเก่ียวกับเหตุการณ์และสิ่งท่ีทาให้เกิดความตึงเครียด ข้อมูลน้ีมีผลโดยตรงต่อ ผู้ใช้บริการ ทาให้เขาประเมินในขั้นต้นว่า เหตุการณ์น้ันมีผลกระทบต่อเขาอย่างไร ขณะเดียวกัน ผู้ใช้บริการก็จะเกิดการเปรียบเทียบข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งผลจากการเปรียบเทียบนาไปสู่การกาหนด สัมพันธภาพท่ีเขามีข้ึน และท่ีประการสาคัญมีผลต่อรูปแบบพฤติกรรมที่ใช้ตอบสนองต่อเหตุการณ์ ตึงเครียดนั้น (2) การประเมินขนั้ ทส่ี อง (secondary appraisal) การประเมินข้ันตอนน้ี ผู้ใช้บริการสามารถประเมินทรัพยากรท่ีจะช่วยให้เผชิญกับ ปญั หาได้ ดังนี้ ก. เขาจะสามารถขยายขอบข่ายของทรัพยากรออกไปได้กว้างขวางขึ้น ตัวอย่างเช่น การได้รู้จักใช้รูปแบบการเผชิญด้านอารมณ์ความรู้สึก การรู้จักระบบส่งต่อผู้ใช้บริการไปยังหน่วยงาน หรือองค์การวิชาชีพท่ีเกี่ยวข้องต่างๆ การรู้วิธีให้ได้มาซ่ึงข้อมูลและเทคนิคท่ีจะเป็นประโยชน์ใน การแกไ้ ขปญั หา เป็นต้น ข. เขาจะได้เรียนรู้บรรทัดฐานท่ีมากาหนดพฤติกรรมท่ีเก่ียวข้อง รับรู้และเข้าใจ ขอ้ จากดั ของกจิ กรรมทเ่ี ขาจะนาไปเผชญิ กับปัญหา ค. ในข้ันน้ี ผู้ใช้บริการจะเกิดความม่ันใจในคุณค่าของตนเอง (self-esteem) มากขึน้ ผใู้ ชบ้ ริการจะประสบผลสาเรจ็ ตามข้ันตอนน้ีได้ โดยการสนบั สนุนทางสงั คมอยา่ งสาคัญ (3) การประเมนิ ซ้า (reappraisal) ผู้ใช้บริการเม่ือแสดงพฤติกรรมในการเผชิญกับปัญหาหรือความตึงเครียดไปแล้ว จะมีการประเมินซ้าเกิดข้ึน การประเมินซ้าจะมีผลเป็นการยับยั้งพฤติกรรมที่ตอบสนองแล้วไม่ได้ผล หรือเป็นผลเสียมากกว่าผลดีตรงกันข้าม พฤติกรรมท่ีตอบสนองแล้วเป็นการเผชิญกับปัญหาและ ความตึงเครียดอยา่ งได้ผลดี การประเมินซ้ากจ็ ะชว่ ยให้ผู้ใช้บริการพัฒนาวิธีเผชิญปญั หาให้คงอยู่ หรือ ให้มีประสทิ ธิภาพย่งิ ขึน้ เช่นเดียวกนั การประเมนิ ซา้ จะดาเนนิ ไปด้วยดี การสนบั สนนุ ทางสงั คมต้องเข้า มาเก่ยี วขอ้ งโดยตรง (4) การกาหนดกลยุทธ์ในการเผชิญความตึงเครียด (coping strategy) การสนับสนุนทางสังคมมีส่วนช่วยผู้ใช้บริการในข้ันนี้โดยตรง โดยเฉพาะเป็นการใช้ ทรัพยากรท่ีเหมาะสมท่ีจะใช้เผชิญกับปัญหาและความตึงเครียด การช่วยให้ทบทวนกลวิธีท่ีใช้แก้ไข ปญั หา การช่วยเหลือในวัสดุอุปกรณ์ท่ีขาดแคลน การเสนอความชว่ ยเหลือทางดา้ นอารมณ์จิตใจ และ การเปล่ยี นแปลงแบบแผนพฤติกรรมหรือกลไกในการเผชญิ ปัญหาหรือสถานการณต์ ึงเครยี ด
การวิจัยการศึกษาเปรยี บเทียบการพฒั นาบนพ้ืนทีส่ ูงในอดตี และปัจจุบัน 117 การที่บุคคลจะเลือกใช้วิธีใดในการเผชิญความเครียดน้ัน ข้ึนอยู่กับปัจจัยหลายประเภท อาทิเช่น ความรู้สึกไม่แน่ใจ หรือคลุมเครือ, ความรุนแรงของความรู้สึกเดือดร้อน, การมีข้อขัดแย้ง, ความรู้สึกหมดหนทางช่วยเหลือ, ภาวะทางสุขภาพอนามัยและพลังความเข้มแข็งของบุคคล, ความเชื่อในทางที่ดี, ทักษะในการแก้ไขปัญหา, ทักษะทางสังคม, แรงสนับสนุนทางสังคม และ แหล่งทรัพยากรการช่วยเหลือทางวัตถุเปน็ ตน้ (ดวงกมล วตั ราดลุ 2536:90) จากทฤษฎีการเผชิญปัญหาจะเห็นว่า การสนับสนุนทางสังคมนับเป็นทรัพยากรแหล่ง สาคัญในการหนุนช่วยให้บุคคลผู้ตกอยู่ในภาวะความเครียด สามารถเผชิญกับปัญหาได้ อยา่ งเหมาะสม (Bloom 1990 : 636) 3. ทฤษฎกี ารและเปลี่ยนทางสังคม หรือ ทฤษฎคี วามเทา่ เทียมกัน นักทฤษฎีการสนับสนุนทางสังคมในยุคแรกๆ ได้ใช้ทฤษฎีการแลกเปล่ียนทางสังคมเป็น หลักในการอธิบายการปฏิสัมพันธ์และการแลกเปล่ียนความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (Caplan 1974 และ Cobb 1976) ตัวอยา่ งเช่น ชูเมกเกอร์ และ โบรวเนลล์ (Shumaker and Brownell as quoted in Stewart 1989 : 1277) เห็นว่า การสนับสนุนทางสังคมเป็นการแลกเปลี่ยนทรัพยากร ซ่งึ กันและกนั นกั วชิ าการหลายทา่ นยงั นยิ มใช้คาว่า ความเทา่ เทยี มกนั (equity) เพอ่ื ทจ่ี ะสอ่ื ใหเ้ ห็นว่า การสนับสนุนทางสังคมเป็นการแลกเปล่ียนโดยบุคคลท่ีเก่ียวข้องมีความตั้งใจให้เกิดก ารแลกเปลี่ยน อย่างเทา่ เทยี มกนั ดงั น้ัน ทฤษฎคี วามเท่าเทยี มจึงถกู จดั อยู่ในกลุม่ เดยี วกบั ทฤษฎกี ารแลกเปลย่ี นทางสังคม สจวอ์ ต (Stewart 1989 : 1277) จาแนกหลักการของทฤษฎีแลกเปล่ียนทางสงั คม หรือ ทฤษฎคี วามเท่าเทยี มกัน ออกเปน็ 4 ประการ ไดแ้ ก่ 1. บุคคลจะพยายามแลกเปล่ียนเพอื่ ใหไ้ ดผ้ ลลัพธ์ท่ยี งั ประโยชนส์ ูงสดุ แกต่ นเอง 2. กลุ่มบคุ คลสามารถใหไ้ ดม้ าซึ่งผลตอบแทนหรือรางวัลของสว่ นรวม 3. บุคคลที่พบว่าการแลกเปล่ียนน้ัน เป็นไปอย่างขาดความเท่าเทียม จะเกิดความ ไมพ่ งึ พอใจ 4. บุคคลที่รู้สึกขาดความไม่เท่าเทียม จะพยายามแลกเปลี่ยนให้มีความเท่าเทียมกนั เกิดขึน้ ใหม่ ทฤษฎีน้ีสอดคล้องกับการแลกเปล่ียนการสนับสนุนทางสังคมซึ่งกันและกันของบุคคลท่ี เก่ียวข้อง แม้ว่าการศึกษาถึงการแลกเปล่ียนในเชิงต้นทุนและผลกาไร (costs and benefits) ท่ี เชื่อมโยงกับการให้และรับความช่วยเหลือ ยังไม่มีผู้ใดศึกษาไว้อย่างชัดเจน เป็นท่ีน่าสังเกตว่า การให้ แรงสนับสนุนท่ีกลับมีผลเป็นการทาลายคุณค่าความเชื่อมั่นของบุคคล (self-esteem) อาจคือ เป็นความช่วยเหลือท่ีเปล่าประโยชน์และอาจนาไปสู่ความขัดแย้งไม่ลงรอยกันในเครือข่ายสังคมก็ได้ ขณะเดียวกัน บุคคลกอ็ าจไม่เต็มใจทจ่ี ะให้การชว่ ยเหลือใคร หรอื ไมป่ ระสงค์จะรับความชว่ ยเหลือจาก ใคร เม่ือเขารู้สึกว่า การกระทานั้นไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ใดๆ ดังนั้น หากการช่วยเหลือกันเป็นไป
118 การวจิ ยั การศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพัฒนาบนพนื้ ที่สงู ในอดีตและปจั จบุ ัน อย่างไร้ความสมัครใจ สัมพันธภาพท่ีเกิดขึ้นก็อาจกลายเป็นสัมพันธภาพด้านลบ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อ เครอื ขา่ ยสงั คม ทฤษฎีน้ยี งั อธิบายตอ่ ไปได้อีกว่า บุคคลทเี่ ปน็ ผู้รบั ความช่วยเหลอื จะเกิดความร้สู ึก “เป็น หนบ้ี ุญคณุ ” ของผู้ใด มากน้อยเพยี งไร ข้ึนอยู่กับ “การรับรู้” ในเรื่องต่อไปน้ีคือ (1) ขนาดหรอื ปริมาณของตน้ ทุนและผลตอบแทนที่เกิดขน้ึ ระหว่างบุคคลทง้ั สองฝ่าย (ผ้ใู ห้และผรู้ บั ) (2) ประเด็นสาเหตทุ ท่ี าใหบ้ คุ คลเป็น “ฝ่ายให้ความช่วยเหลือ” (3) แรงจูงใจของผู้ใหค้ วามชว่ ยเหลือ และ (4) ผลทคี่ าดวา่ ได้จากการเปรีบเทยี บกบั ผอู้ ่นื (Stewart 1989 : 1277) จากทฤษฎีนี้ นักสังคมสงเคราะห์จะได้หลักการและแนวคิด ในการส่งเสริมให้เกิดการ แลกเปลย่ี นแรงสนับสนุนช่วยเหลือกนั ระหวา่ งผใู้ ช้บริการและเครือข่ายทางสังคมของเขา โดยเป็นการ ช่วยให้ผู้ใช้บริการเพิ่มความรู้สึกเช่ือม่ันในคุณค่าของตนเอง พร้อมๆ กับการให้ความช่วยเหลอื อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ 4. ทฤษฎีการเปรยี บเทยี บทางสงั คม การเปรียบเทียบทางสังคม หมายถึง แนวโน้มเอียงที่บุคคลประเมินตนเอง และทาให้ ได้ข้อมูลเก่ียวกับตนเอง ในเรื่องของบุคลิกลักษณะ พฤติกรรม ความคิดเห็น และความสามารถ โดยผ่านการเปรียบเทียบกับบุคคลอื่น กระบวนการประเมินและเปรียบเทียบน้ีจะมีผลต่อการรับรู้ “อัตมโนทัศน์” (self-concept) บุคคลมีการประเมินตัวเองผ่านการเปรียบเทียบทางสังคมกับคนอื่น ก็เพือ่ ท่ีจะรจู้ กั ตนเองอย่างแทจ้ รงิ มากขนึ้ (Stewart 1989 : 1278) บุคคลอาจมีการเปรียบเทียบกับผู้อ่ืนท่ีอยู่ในระดับที่สูงกว่า (upward comparisons) และเปรยี บเทยี บกบั ผู้ท่ีอยูใ่ นระดับต่ากว่า (downward comparisons) การเปรยี บเทียบกับระดับสูง กว่าก็จะทาให้ได้เรียนรรู้ ูปแบบของท่ีบุคคลเผชญิ ปัญหาได้ดีกวา่ เขา ส่วนการเปรียบเทียบกับระดับต่า กว่าก็เป็นการเสริมความเช่ือม่ันในคุณค่าของตนเอง และการปกป้องผู้อื่น กระบวนการเปรียบเทียบ ทั้งกับระดับสูงและต่ากว่าจะเกิดข้ึนในกลุ่มท่ีช่วยเหลือกันเอง (mutual-aid group) โดยมีอิทธิพลต่อ ประสิทธิภาพในการเผชิญปัญหาและการป้องกันปัญหาได้เพียงใด ข้ึนอยู่กับทิศทางและมิติของ การเปรยี บเทียบ (Lehmann and Wong 1984 as quoted in Stewart 1989 : 1278) สาหรับการเปรียบเทียบในระดับท่ีเท่าเทียมกัน อาจจาแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ (1) การเปรียบเทียบแบบอ้างอิง หรือการเปรียบเทียบกับกลุ่มอ้างอิง ( reference-group or referential comparisons) และ (2) การเปรียบเทยี บกับบุคคลอื่น (person-other comparisons) การเปรยี บเทยี บทางสังคมนับว่าเป็นเร่ืองที่สาคัญต่อการสนับสนุนทางสังคมมาก เป็นส่ิง ทมี่ ผี ลโดยตรงกับการสรา้ งความเชือ่ ม่นั ในคุณค่าของตนเอง และทศั นคตทิ ี่ถกู ต้อง
การวิจัยการศึกษาเปรยี บเทียบการพัฒนาบนพ้ืนที่สูงในอดีตและปจั จบุ นั 119 5. ทฤษฎีว่าด้วยความเหงา ความเหงา หมายถึง ประสบการณ์เชิงอัตวิสัย ท่ีไม่พึงประสงค์ อันเป็นผลมาจาก ความบกพร่องในความสัมพันธ์ทางสังคม เปน็ สภาวะทางอารมณ์ทไ่ี มส่ บาย ซึ่งเกดิ ขน้ึ จากการที่บุคคล รูส้ กึ เป็นคนแปลกหน้าของคนอน่ื รสู้ ึกว่าถูกเข้าใจผิด ถูกปฏิเสธจากผู้อื่น หรอื เป็นการขาดเพื่อนหรือ คู่ทางสังคม (social partner) สาหรับกิจกรรมท่ีพึงประสงค์ โดยเฉพาะอย่างย่ิง กิจกรรมที่เป็น การนาไปสูค่ วามใกล้ชิดทางอารมณ์และการเชือ่ มโยงกับสงั คม (Stewart 1989 : 1278) ไวสส์ (Weiss 1973 as quoted in Stewart 1989 : 1278) ได้จาแนกความแตกต่าง ชัดเจนระหว่างความเหงาท่ีเกิดจากความโดดเด่ียวทางอารมณ์ (emotional isolation) และ ความเหงา ที่เกิดจากความโดดเดี่ยวทางสังคม (social isolation) โดยความเหงาท่ีเกิดจากความโดดเดี่ยวทาง อารมณ์เป็นการบกพร่องขาดหายไปของความผูกพันทางอารมณ์ ขณะที่ ความเหงาจากความ โดดเด่ียวทางสังคมเป็นการไม่สามารถเข้าร่วมในเครือข่ายสังคม และสัมพันธ์เชิงบูรณาการกับสังคม หรอื ขาดความเป็นสว่ นหน่งึ ของชุมชน นักสังคมวิทยาอธิบายความเหงาว่า เป็นบรรทัดฐานปกติและเป็นผลผลิตของปัญหา สังคมท่ีตกกระทบต่อบุคคล นักทฤษฎีปฏิสัมพันธ์นิยมมองว่าความเหงาเป็นปฏิกิริยาปกติอันเกิดจาก ปฏิสมั พันธ์ระหวา่ งบุคลิกภาพกับปัจจัยทเ่ี ปน็ สถานการณ์ จากการมองความเหงาดงั กล่าวนีน้ ับว่าเป็น การสอดคล้องกับเรื่องของการสนับสนุนทางสังคมโดยตรง สาเหตุของความเหงาส่วนใหญ่มักจะมา จากการขาดโอกาสในการติดต่อกับสังคม (Stewart 1989 : 1279) ดังนั้น การให้แรงสนับสนุนทาง สังคมจงึ เปน็ สิง่ ท่จี ะช่วยลดความรูส้ ึกเหงาและปอ้ งกันปญั หาที่สบื เนือ่ งมาจากความเหงานี้ ทฤษฎีว่าด้วยความเหงาเป็นทฤษฎีท่ีย้าความสาคัญของสัมพันธภาพทางสังคม ที่บุคคล จะมีต่อเครอื ข่าย และเนน้ ความสาคญั ของการสนับสนุนทางอารมณ์ 6. ทฤษฎีการรับร้ทู างสงั คม การรับรู้ เป็นศัพท์ทางจิตวิทยา การรับรู้ทางสังคมเป็นกระบวนการทาความเข้าใจของ บุคคลหนง่ึ ต่อบคุ คลหรือสิ่งที่อยู่รอบตัวบุคคลนนั้ เป็นกระบวนการท่ีอิทธิพลบต่อการยอมรบั ผู้อื่นและ พฤติกรรมท่ีจะแสดงต่อผู้อ่ืน หากรับรู้ว่าผู้อ่ืนเป็นคนท่ีดี มีพฤติกรรมที่ดีต่อตัวเขา บุคคลนั้นก็มักจะมี พฤติกรรมตอบสนองไปในทางท่ีดี ในทางตรงกันข้าม หากเกิดการรับรู้ว่าบุคคลผู้อ่ืนมีพฤติกรรมไม่ดี ต่อเขา บุคคลน้ันก็จะมีพฤติกรรมตอบสนองไปในทางลบ หรือ เป็นพฤติกรรมการต่อต้าน (พูนพร ศรีสะอาด 2534 : 43 และ สภุ ัสตรา เก้าประดิษฐ์ 1535 : 16) การรับรู้ทางสังคม จึงเป็นพ้ืนฐานของการอธิบายเหตุการณ์ที่เป็นปัญหา เป็นพ้ืนฐาน ของการเปรียบเทียบทางสังคมและการแลกเปลี่ยนทางสังคม ซ่ึงเชื่อมโยงไปสู่การพิจารณาเครือข่าย ทางสงั คมและการให้แรงสนับสนนุ ทางสังคม
120 การวิจยั การศกึ ษาเปรียบเทียบการพัฒนาบนพื้นทสี่ งู ในอดตี และปัจจบุ ัน 7. ทฤษฎีเจตคติ ทฤษฎีเจตคติ หรือทัศนคติ เป็นทฤษฎีท่ีสาคัญทฤษฎีหน่ึงของสาขาวิชาจิตวิทยาสังคม เจตคติมคี วามสัมพนั ธ์กับพฤติกรรมการแสดงออกที่สังเกตได้ หรือกลา่ วอีกอย่างหน่ึงก็คือ เจตคติหรือ ทัศนคติมีผลต่อการแสดงออกซ่ึงพฤติกรรมของบุคคล ขณะเดียวกัน พฤติกรรมการแสดงออกของ บุคคลก็มีผลต่อเจตคติด้วย เจตคติประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ด้าน คือ (1) องค์ประกอบด้าน พุทธิปัญญาหรือด้านความรู้ (2) องค์ประกอบด้านความรู้สึก และ (3) องค์ประกอบด้านการปฏิบัติ (พูนพร ศรีสะอาด 2534 : 43 และ สุภัสตรา เกา้ ประดษิ ฐ์ 2535 : 15) 8. ทฤษฎคี วามสัมพันธ์ระหว่างบคุ คลและการส่อื สารระหว่างบุคคล ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ของบุคคลและสามารถทาให้บุคคลมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทิศทางที่ต้องการได้ ในขณะเดียวกัน การติดต่อส่ือสารใดๆ ก็ต้องอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และ การติดต่อส่ือสารระหว่างบุคคล เพื่อให้สามารถถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารต่อไปยังเพ่ือนบ้าน หรือ บุคคลในเครือข่ายใกล้ชิด ดังนั้นการสื่อสารระหว่างบุคคลก็ นับว่าเป็นแรงสนับสนุนทางสังคมที่ สาคัญประการหนงึ่ (พนู พร ศรสี ะอาด 2534 : 44 และ สภุ สั ตรา เกา้ ประดิษฐ์ 2535 : 16) อย่างไรก็ตาม ความสันพันธ์และการติดต่อส่ือสารระหว่างบุคคลยังมีผลต่อการสนับสนุน ทั้งในด้านบวกและลบ อาจนามาซึ่งความวิตกกังวล หรืออาจจะเป็นการทาให้บุคคลรู้ทันสถานการณ์ เรียนรู้แบบแผนการแก้ไขปัญหา หรือรู้แหล่งทรัพยากรทาง สังคมที่จะช่วยเผชิญปัญหาได้ อยา่ งเหมาะสม นกั สงั คมสงเคราะห์จงึ ควรพจิ ารณาทฤษฎีความสัมพันธแ์ ละการสื่อสารระหว่างบุคคล อย่างระมัดระวัง โดยการวิเคราะห์ถึงผลท่ีจะเกิดขึ้นตามมา จากข้อมูลข่าวสารหรือจากกระบวน การสือ่ สารในเครือข่ายท่ีเก่ียวขอ้ ง 9. ทฤษฎพี ฤตกิ รรมและกระบวนการกลมุ่ พฤตกิ รรมและกระบวนการกลุ่ม หมายถึง การศกึ ษาถึงกระบวนการปะทะสงั สรรค์ หรือ ปฏิสัมพันธ์ของบุคคลที่อยู่ในกลุ่ม แบบแผนพฤติกรรมท่ีเป็นผลมาจากกระบวนการปะทะสังสรรค์นั้น และพฤติกรรมท่เี ปล่ยี นแปลงไปของสมาชิกกล่มุ (พนู พร ศรีสะอาด 2534 : 45) ทฤษฎีพฤติกรรมและกระบวนการกลุ่มพัฒนามาจากทฤษฎีกลุ่มสัมพันธ์ของ เคิร์ต เลวิน (Kurt Lewin) โดยเป็นการศึกษากระบวนการปะทะสังสรรค์ท้ังทางด้านกายภาพและทางด้านจิตใจ การปะทะสังสรรค์นี้เป็นไปเพ่ือสนับสนุนให้บุคคลได้บรรลุวัตถุจุดมุ่งหมายหรือมีพฤติกรรมไปใน ทศิ ทางทต่ี ้องการ ท้ังนี้ กลุ่มสามารถเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมบุคคลไดใ้ น 3 ลักษณะ ได้แก่ (1) กลุ่มเป็นตัวกลางในการเปลี่ยนแปลง กลุ่มจะเป็นตัวกลางท่ีมีอิทธิพลต่อสมาชิก และสามารถทาให้สมาชิกเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมได้
การวิจยั การศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพัฒนาบนพ้ืนที่สงู ในอดตี และปัจจบุ นั 121 (2) กลุ่มเป็นเป้าหมายของการเปล่ียนแปลง โดยกาหนดให้กลุ่มทั้งกลุ่มเปล่ียน พฤติกรรมทงั้ หมด (3) กลุ่มเป็นตัวนาในการเปลี่ยนแปลง โดยพฤติกรรมของบุคคลที่เป็นสมาชิก เปล่ียนแปลงไป เนื่องจากการได้เข้าร่วมในกลุ่มและในกระบวนการเปลี่ยนแปลงโดยตรง (สุภัสตรา เก้าประดษิ ฐ์ 2535 : 15) นักสังคมสงเคราะหส์ ามารถพจิ ารณาเครือข่ายทางสงั คมในลักษณะของกลุ่ม ท้ังกลุม่ โดย ธรรมชาตแิ ละกลุ่มที่จดั ตั้งด้วยเป้าหมายในการชว่ ยเหลือหรือพัฒนา กระบวนการเปลย่ี นแปลงภายใน กลุ่มก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการให้แรงสนับสนุนทางสังคมได้เป็นอย่างดี ท้ังนี้ ข้ึนอยู่กับ การตงั้ เป้าหมายและการวางแผนดาเนินงานของนกั สงั คมสงเคราะหเ์ ป็นสาคัญ 10. ทฤษฎีอานาจหน้าท่ีและความสมั พนั ธข์ องอานาจ ทฤษฎีอานาจหน้าท่ีและความสัมพันธ์ของอานาจ เป็นทฤษฎีท่ีอธิบายถึงอิทธิพลของ บุคคลหรือกลุ่มทม่ี ีตอ่ บคุ คลหรือกลุม่ คนอกี กลุ่มหน่ึง พน้ื ฐานของอานาจที่สาคญั มี 5 ประการ คอื (1) อานาจโน้มน้าวดึงดูดความสนใจ หมายถึง การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งมีอานาจใน การท่ีจะทาให้บุคคลอ่ืนมีพฤติกรรมเลียนแบบตาม เนื่องจากความนิยมชมชอบหรือเป็นแบบฉบับท่ี สมควรเอาอย่าง (2) อานาจในการใหค้ ุณ หมายถึง โดยตาแหน่งแหง่ ท่ีทางสงั คม บุคคลหน่ึงมอี านาจท่ี เพียงพอในการให้คุณให้รางวัลหรือผลตอบแทนกับบุคคลอ่ืน บุคคลที่คาดหวังว่าจะได้รับรางวัลหรือ ผลตอบแทนก็มกั มพี ฤตกิ รรมตอบสนองต่อบคุ คลผ้มู ีอานาจไปในด้านดี (3) อานาจบังคับ หมายถึง โดยตาแหน่งแห่งท่ีทางสังคม บุคคลหนึ่งมีอานาจบังคับ ใหบ้ คุ คลอ่นื ต้องปฏบิ ัติตาม มฉิ ะนน้ั จะถกู ลงโทษ (4) อานาจโดยธรรม หมายถึง การที่บุคคลที่สองเกิดความเชื่อถือว่า บุคคลที่หน่ึงมี ความชอบธรรมและมีสิทธิท่ีจะควบคุม หรอื กาหนดพฤตกิ รรมของตนได้ (5) อานาจชานาญการ หมายถึง การทีบ่ คุ คลท่สี องเกิดความเช่อื ถอื ว่า บคุ คลที่หนึง่ มี ความร้คู วามสามารถทดี่ กี ว่า สมควรจะประพฤตปิ ฏบิ ัตติ าม (พูนพร ศรสี ะอาด 2534 : 46) ในเครอื ขา่ ยทางสังคม เราจะพบลักษณะของบุคคลทีม่ ีอานาจ มีอทิ ธพิ ลเหนือผ้ใู ช้บรกิ าร ในลักษณะต่างๆ กัน หากนักสังคมสงเคราะห์สามารถวิเคราะห์อานาจท่ีแวดล้อมผู้ใช้บริการอยู่ได้ อย่างชัดเจนถูกต้องก็จะเกิดผลดีต่อการสนับสนุนทางสังคม ท่ีมีผลต่อผู้ใช้บริการในทิศทางท่ี พงึ ประสงค์ 11. ทฤษฎีกระบวนการอิทธิพลทางสังคม บุคคลในสังคมทุกคนจะต้องผ่านกระบวนการหล่อหลอมทางสังคม ซ่ึงเป็นสิ่งท่ีทาให้ บุคคลเกิดการเรียนรู้ ท้ังความรู้สาหรับการดาเนินชีวิต ค่านิยม บรรทัดฐาน แบบแผนพฤติกรรมท่ีพึง
122 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพฒั นาบนพน้ื ทส่ี งู ในอดีตและปัจจบุ ัน ปฏิบัติ ตลอดจนทักษะทางสังคม ทาให้บุคคลสามารถปรับตัวเป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของสังคม ทฤษฎี กระบวนการอิทธิพลทางสังคมเป็นการอธิบายถึงอิทธิพลทางสังคมท่ีมีต่อบุคคล โดยทั่วไป กลุ่มสังคม ทีบ่ ุคคลจะเปน็ สมาชกิ อาจจาแนกได้ 2 ประเภทใหญ่ คอื (1) กลุ่มปฐมภูมิ หรือ primary group คือ กลุ่มท่ีบุคคลจะมีความใกล้ชิดสนิทสนม อย่างมากท่ีสุด นับว่าเป็นกลุ่มตามธรรมชาติ ได้แก่ กลุ่มครอบครัวและเพ่ือนบ้าน ที่คบหาสมาคม มีความสัมพันธ์กันเป็นส่วนตัวโดยตรง มีความถี่ของการติดต่อไปมาหาสู่บ่อยครั้ง กลุ่มปฐมภูมินับวา่ มี ความสาคัญมากต่อสวัสดิการสังคมและสังคมสงเคราะห์ เนื่องจากเป็นสถาบันทางสังคมพ้ืนฐานท่ีสุด มีอทิ ธิพลสูงสุดในการหลอ่ หลอมแบบแผนพฤติกรรมของบคุ คล (2) กลุ่มทุติยภูมิ หรือ secondary group คือ กลุ่มที่มีความสัมพันธ์กันอย่างเป็น ทางการ มีแบบแผนกฎเกณฑ์กาหนดลักษณะความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างแน่ชัด กลุ่มทุติยภูมิมักมีขนาด ใหญ่ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก ไม่ใกล้ชิด ไม่แน่นแฟ้น และไม่เป็นส่วนตัว แต่ก็มีอิทธิพลต่อ การเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมของบุคคลในระดับหนึ่ง (พนู พร ศรสี ะอาด 2534 : 46-47) ทฤษฎีนม้ี ีความสาคัญต่อการให้แรงสนับสนนุ ทางสังคม นกั สังคมสงเคราะห์พึงวิเคราะห์ ประเมินเครือข่ายทางสังคม โดยพิจารณาเร่ืองของอิทธิพลทางสังคมท่ีเก่ียวข้อง ซึ่งจะมีผลต่อทิศทาง และคณุ ภาพของการสนับสนุนทางสงั คมอยา่ งชัดแจง้ 12. ทฤษฎคี วามผูกพนั ค ว า ม ผู ก พั น เ ป็ น เ ร่ื อ ง ท่ี เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ ค ว า ม รู้ สึ ก ที่ มั่ น ค ง ย า ว น า น จ น ต ล อ ด ชี วิ ต ให้ความรู้สึกปลอดภัยลดการเสี่ยงภัยอันตราย และเป็นพ้ืนฐานของความคิดสร้างสรรค์ มนุษย์เป็น สัตว์สังคม และมีความต้องการที่จะผูกพันระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ความผูกพันท่ีสาคัญท่ีสุดได้แก่ ความผูกพันระหว่างมารดากับทารก ซึ่งเป็นพื้นฐานการรู้จักสร้างความผูกพันของบุคคลไปตลอดชีวิต ความผูกพนั มีผลตอ่ การสนบั สนุนทางสังคมโดยตรง (พูนพร ศรีสะอาด 2534 : 50) 13. ทฤษฎบี ทบาท ทฤษฎีบทบาทเป็นทฤษฎีทางสังคมวิทยา คาว่า “บทบาท” หมายถึง สิทธิ หน้าท่ีการ ประพฤติปฏิบัติของบุคคลหนึ่ง ท่ีมีต่อบุคคลอ่ืนในสังคม ตามสถานภาพของตนเอง ตัวอย่างของ บทบาท ได้แก่ บทบาทการเป็นบิดา หน้าที่ตามบทบาทก็จะได้แก่ การเล้ียงดูเอาใจใส่ในบุตรและ ภรรยา เป็นแบบอย่างท่ีดีของบุตร บุคคลคนหน่ึงอาจจะสวมบทบาทหลายบทบาทในเวลาเดียวกัน เช่น เป็นพอ่ เป็นครู เปน็ สามารถ เปน็ ประธานสมาคม ฯลฯ โดยท่ัวไป บทบาทเปน็ ความคาดหวังจาก สังคมให้ต้องมีพฤติกรรมที่สอดคล้องไปตามบทบาทน้ันๆ บทบาทอาจจาแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ (1) บทบาทท่ีได้จากตาแหน่ง และ (2) บทบาท่ีถูกกาหนดโดยบุคลิกภาพของบุคคล ได้แก่ ค่านิยม ทัศนคติ และประสบการณ์ เป็นตน้ (พนู พร ศรสี ะอาด 2534 : 50)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 537
Pages: