การวิจัยการศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพัฒนาบนพน้ื ทีส่ ูงในอดตี และปัจจบุ นั 23 ต่อมาชนเผ่าลีซูจึงได้เคลื่อนย้ายเข้าสู่รัฐฉานตอนใต้กระจัดกระจายอยู่ตามภูเขาในเมืองต่างๆ เช่น เมืองเชียงตุง บางส่วนอพยพไปอยู่เขตเมืองซือเหมา สิบสองปันนาประเทศจีนหลังจากนั้นได้อพยพลง มาทางใต้เน่ืองจากเกิดการสู้รบกันระหว่างชนเผ่าอื่นนับเวลาหลายศตวรรษ ชนเผ่าลีซูได้ถอยร่นเร่ือย ลงมาจนในทีส่ ดุ กแ็ ตกกระจายกันเข้าสู่ประเทศพม่า จนี อินเดยี แลว้ เขา้ สปู่ ระเทศไทย เมือ่ ประมาณปี พ.ศ. 2464 ลีซูแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ ลีซูลาย และลีซูดา ชาวลีซูที่อยู่ในประเทศไทยเกือบ ทัง้ หมดเปน็ ลีซลู ายส่วนลซี ดู าน้นั อย่พู มา่ และจีน ภาษา ลีซออยู่กลุ่มเดียวกับมูเซอ และอาข่า เรียกว่าโลโล กลุ่มโลโลมีความสัมพันธ์กับภาษา พม่ามีภาษาพูดในกลุ่มหยี (โลโล) ตระกูลธิเบต - พม่า 30% เป็นภาษาจีนฮ่อ ไม่มีภาษาเขียนของ ตนเอง แตส่ าหรับลีซทู น่ี บั ถือเปน็ คริสเตยี นได้ใช้อักษรโรมันมาดัดแปลงเปน็ ภาษาเขียนของชนเผ่า การแต่งกาย ผู้หญิงลีซอทุกวัยแต่งกายด้วยผ้าสีสดใส สวมใส่เป็นเสื้อตัวหลวมแขนกระบอก นิยม สนี า้ เงิน เขยี วฟ้า และม่วงคอเป็นผ้าสีดาตกแต่งลวดลายสวยงาม โดยนาผ้าแถบผา้ สีต่างๆ เช่นม่วง ฟ้า ชมพู เขียว ดา ขาว ส้ม แดง มาเย็บต่อกันเป็นริ้วสวมเส้ือก๊ักที่ตกแต่งด้วยกระดุมเงิน สวมกางเกง หลวมๆ สีดา ในตัวเสือ้ ใช้ผา้ สีดาพนั รอบเอวคล้ายเขม็ ขัด สวมปลอกขาเพ่อื ป้องกันแมลง กิ่งไม้หรือกัน หนาว ผู้หญิงสูงวัยโพกหัวด้วยผ้าสีดายาวพันหัวหลายๆ รอบแล้วเก็บชาย หญิงสาวจะสวมหมวกโดย ประดับประดาด้วยลูกปัดหลากสี ส่วนผู้ชายลีซอทุกวัยแต่งกายเหมือนกันโดยสวมใส่กางเกงท่ีมีความ ยาวเลยเข่าเล็กน้อยเป้ากว้างมาก สีน้าเงิน สีเขียว สีฟ้า เส้ือสีดาแขนยาว คอป้ายตกแต่งกระดุมเงิน ติดรงั ดุมสนี า้ เงินทสี่ ่วนบนของตวั เส้อื สวมปลอกขาสีดา วัฒนธรรมประเพณี ชายลีซูไม่ว่าคนใดจะต้องไม่แต่งงานกับสตรีที่เขาเรียกว่า จิจิ หรือญาติ นั้นคือพ่ีสาว หรือน้องสาวร่วมตระกูลหรือแม้แต่ลูกของน้าก็แต่งไม่ได้แต่งได้กับลูกสาวของอาและไม่ใช่ตระกูล เดยี วกัน ศาสนา ความเช่ือ และพธิ ีกรรม ชาวลีซูส่วนใหญ่นับถือผี (เหน่) ควบคู่กับศาสนาคริสต์หรือศาสนาพุทธ ผีท่ีสาคัญมาก คอื ผีปู่ ตา ย่า ยาย ผที ่ีนับถือหรอื เกรงกลัว คือผที อ่ี ยู่ตามธรรมชาตเิ ช่น ผดี อย ผีดิน ผนี า้ ผไี ร่ เปน็ ตน้ การเรียกขวัญเป็นความเชื่อดา้ น จิตวิญญาณเพ่ือความสขุ สบายกายและใจ ทาต่อเมื่อคนในครอบครวั เจ็บป่วยบาดเจ็บส่วนการทานายโชคจะใช้กระดูกไก่ทานายโชคชะตาของเจ้าภาพและครอบครัว ชาวลีซูนับถือผีบรรพบุรุษเป็นส่วนใหญ่เช่นเดียวกับชนเผา่ อื่นๆ จะมีอยู่บ้างที่หันมานับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ การนับถือผีบรรพบุรุษยังคงพบเห็นในหมู่บ้านโดยท่ัวไป เช่น จะมีผีประจาหมู่บ้าน ผีบ้าน ผีเรือน ผีหลวง ผีป่า ผีน้า ผีลาห้วยผีต่างๆ อาจแบ่งออกเป็นผีดีและผรี ้าย ผีดีเป็นผีที่ให้ คุณแก่ ชาวบ้าน เชน่ ผปี ระจาหมู่บา้ น ผบี รรพบุรษุ ผีบา้ น และผเี รอื น สว่ นผีรา้ ย ไดแ้ ก่ ผีป่า และผคี นตายไม่ ดี เช่น ถูกยิงตายหรือคลอดลูกตาย ปัจจุบันคนภายในชุมชนยงั มีกิจกรรมวัฒนธรรมและพิธีกรรมตาม ความเชือ่ ดง้ั เดิมและปฏบิ ัตกิ ันอยู่
24 การวจิ ยั การศกึ ษาเปรยี บเทียบการพัฒนาบนพื้นทีส่ งู ในอดีตและปัจจุบัน ตาราง 2.7 แสดงการกระจายตวั ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ (เผา่ ) ลีซู หรือ ลซี อ จาแนกตามพน้ื ทจี่ งั หวัด จงั หวัด จานวน จานวน จานวน ประชากร 1. เชียงใหม่ กลุ่มบ้าน หลังคาเรอื น ครอบครัว 2. เชียงราย 4,475 ชาย หญงิ เด็กชาย เดก็ หญงิ รวม 3. แม่ฮ่องสอน 76 4,175 1,446 7,030 7,151 2,963 3,034 20,178(56.64%) 4. ตาก 35 1,322 2,474 2,559 995 943 6,971(19.56%) 5. เพชรบูรณ์ 20 1,681 806 1,645 1,683 859 894 5,081(14.26%) 6. พะเยา 7 565 596 922 994 297 305 2,518(7.06%) 7. สุโขทยั 1 132 121 185 186 72 55 8. กาแพงเพชร 1 35 18 57 54 24 26 498(1.39%) รวมทั้งหมด 1 35 42 53 40 13 161(0.45%) 1 16 20 31 35 19 8 114(0.32%) 142 7,961 7,524 12,397 12,702 5,242 16 101(0.28%) 5,281 35,622 สาหรับชาตพิ นั ธุ์ลีซู หรือ ลีซอ ในประเทศไทย พบว่าลีซู หรอื ลีซอ กระจายตัวอาศัยอยู่ ใน 8 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ตาก เพชรบูรณ์ พะเยา สุโขทัย และกาแพงเพชร มีท้ังสิ้นจานวน 142 กลุ่มบ้าน 7,961 หลังคาเรือน 7,524 ครอบครัว เป็นเพศชาย จานวน 12,397 คน หญิง จานวน 12,702 คน เด็กชาย 5,242 คน เด็กหญิง จานวน 5,281 คน รวมทัง้ สน้ิ จานวน 35,622 คน จากตารางการกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ (เผ่า) ลีซู หรือ ลีซอ จาแนกตามพ้ืนท่ี จังหวัดพบว่า จังหวัด เชียงใหม่มีการกระจายตัวของชาติพันธุ์ลีซู หรือ ลีซอ มากท่ีสุด จานวน 20,178 คน คิดเป็นร้อยละ 56.64 รองลงมา ได้แก่ จังหวัดเชียงราย จานวน 6,971 คน คิดเป็น รอ้ ยละ 19.56 และจงั หวดั แม่ฮ่องสอน จานวน 5,081 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 14.26 จงั หวัด ขมุ ข้อมูลท่ัวไป ขมุ เป็นอีกชนชาติหน่ึงท่ีอยู่ในกลุ่มภาษามอญ-เขมร มีถิ่นฐานอยู่ตรงบริเวณลุ่มแม่น้า โขงตลอดชายแดนไทย-ลาว เน่ืองจากชาวขมุมีการย้ายถิ่นฐานและนิยมการไปรับจ้างชนเผ่าอื่นๆ ทางานอยู่เสมอมาเป็นเวลานานทาให้เกิดการผสมกลมกลืนกับชนเผ่าอื่นโดยเฉพาะชาวไทย จนใน ปัจจุบันจะพบหมู่บ้านชาวขมุได้น้อยมาก ซ่ึงมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่คล้ายชาวไทยมากนอกจากภาษา และประเพณพี ธิ กี รรมบางอยา่ งทีแ่ ตกต่างออกไป การแต่งกาย ชาวขมุไม่มีวัฒนธรรมในการทอผ้าเอง ชาวขมุบางกลุ่มจะนิยมเสื้อผ้าสีดาหรือสีคล้าเข้ม ผู้หญิงจะใช้ซ่ินลายขวางแบบไทลื้อ สวมเส้ือผ้าหนาสีนาเงินเข้มตัวส้ันตกแต่งดว้ ยผ้าดว้ ยสีและเหรยี ญ เงิน ใส่กาไลเงินท่ีคอ และกาไลข้อมือโพกผ้าสีขาวหรือสีแดง สาหรับผู้ชายปัจจุบันมีการแต่งกายที่ไม่ ต่างจากคนเมืองและในบางหมูบ่ ้านจะไมพ่ บการแต่งกายประจาเผา่ เลย
การวิจยั การศึกษาเปรยี บเทยี บการพัฒนาบนพื้นทีส่ ูงในอดีตและปจั จุบนั 25 ประเพณีวฒั นธรรม ชาวขมุเป็นผู้เคร่งครัดต่อประเพณีและพิธีกรรมความเช่ือเรื่องผีเป็นอย่างย่ิงทางเข้า หมู่บ้านหรือตามทางแยกมักจะพบสัญลักษณ์หรือเคร่ืองเซ่นไหว้อย่างเด่นชัดไว้ท่ีประตูหมู่บ้านหรือ ทางแยก ชาวขมุนบั ถือผีโรย้ มพี ธิ เี ซ่นไหวด้ ว้ ยไก่ ขา้ ว เหลา้ พธิ เี ลยี้ งผีทสี่ าคัญคือ เล้ยี งผที เี่ ก่ยี วข้องใน ชีวิต มีท้ังผีป่า ผีหมู่บ้าน ทุกบ้านจะมีผีบ้านโรยถางซ่ึงเชื่อว่าประดิษฐานในบริเวณท่ีหุงข้าว เวลาที่ เลยี้ งผจี ะมีการตดั ไม้ไผ่ หรอื ตะแล้ ไวเ้ ปน็ เครอื่ งหมายดว้ ยเป็นพธิ ีท่ีปฏบิ ัตมิ าแตโ่ บราณ เพอื่ แสดงว่ามี การเลี้ยงผแี ลว้ การทาพิธีเลี้ยงผีหม่บู า้ นจะต้องทาตะแล้เอาไว้ท้ัง 4 ทศิ ของหมบู่ า้ นโดยตะแล้จะอยู่สอง ข้างท้ังด้านซ้ายและด้านขวา การทาพิธีเล้ียงผีต่างๆ ของขมุเพื่อความปลอดภัย การกินดีอยู่ดี เพอ่ื ความอุดมสมบรู ณข์ องพชื พรรณทางการเกษตรเพอ่ื ป้องกนั รักษาคนเจ็บปว่ ย ตาราง 2.8 แสดงการกระจายตวั ของกลุม่ ชาติพนั ธุ์ (เผา่ ) ขมุ จาแนกตามพื้นทจ่ี ังหวดั จงั หวัด จานวน จานวน จานวน ประชากร กลมุ่ บ้าน หลงั คาเรอื น ครอบครัว ชาย หญงิ เดก็ ชาย เดก็ หญงิ รวม 1. นา่ น 23 2,101 2,371 3,481 3,328 939 920 8,668(66.19%) 2. เชยี งราย 9 595 690 1,010 984 386 383 2,763(21.10%) 3. อุทัยธานี 2 442 442 499 482 214 205 1,400(10.69%) 4. ลาปาง 1 36 36 53 53 21 17 144(1.09%) 5. กาญจนบุรี 2 50 51 46 53 6 14 119(0.90%) รวมท้ังหมด 37 3,224 3,590 5,089 4,900 1,566 1,539 13,094 สาหรับชาติพันธุ์ขมุ ในประเทศไทย พบว่าขมุ กระจายตัวอาศัยอยู่ใน 5 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดน่านเชียงราย อุทัยธานี ลาปาง และกาญจนบุรี มีทั้งสิ้นจานวน 37 กลุ่มบ้าน 3,224 หลังคาเรือน 3,590 ครอบครัว เป็นเพศชาย จานวน 5,089 คน หญิง จานวน 4,900 คน เด็กชาย 1,566 คน เด็กหญิง จานวน 1,539 คน รวมทัง้ ส้นิ จานวน 13,094 คน จากตารางการกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธ์ุ (เผ่า) ขมุ จาแนกตามพื้นที่จังหวัดพบว่า จังหวัดน่านมีการกระจายตัวของชาติพันธ์ุขมุ มากที่สุด จานวน 8,668 คน คิดเป็นร้อยละ 66.19 รองลงมาได้แก่ จงั หวดั เชยี งรายจานวน 2,763 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 21.10 และจังหวดั อทุ ัยธานี จานวน 1,400 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 10.69 ถิ่น ขอ้ มูลท่วั ไป ถิ่นอพยพเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ 60-80 ปีมาน้ีโดยอพยพมาจากแขวงไชยบุรี ประเทศลาวเข้าสู่ประเทศไทยทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดน่านมี 2 กลุ่มย่อย หรือ มาล และถ่ินคลาไปร๊ต์ หรือ ไปร๊ต์ถิ่นท้ัง 2 กลุ่มน้ีมีความแตกต่างกันในภาษาพูดและขนบธรรมเนียมส่วน การตั้งถิน่ ฐานและการแต่งกายเหมอื นๆ กัน
26 การวจิ ัยการศึกษาเปรียบเทียบการพฒั นาบนพนื้ ที่สงู ในอดตี และปัจจบุ ัน ภาษา เมื่อเข้าไปในหมู่บ้านถ่ินจะสื่อสารกันได้ง่ายเนื่องจากถ่ินส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทย พนื้ เมอื งทางภาคเหนือได้ การแต่งกาย การแต่งกายของชาวถิ่น นิยมเสื้อผ้าสีดา ส่วนมากแต่งกายอย่างชาวชนบทภาคเหนือ บางคนมีสัญลักษณ์ประจาเผ่าเหลืออยู่บ้าง เช่น สวมเส้ือดาผ่าอกมีแถบผ้าลวดลายสีแดง เหลือง เป็นตน้ วัฒนธรรมประเพณี ถ่ินสืบทอดสกุลฝ่ายมารดาเน่ืองจากมีการนับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายมารดา ผู้ชายท่ี แตง่ งานแล้วตอ้ งตัดขาดจากผีเดิมมานบั ถือผขี องฝ่ายภรรยาและเม่ือมีบุตรกน็ ับถือผีฝา่ ยมารดาเช่นกัน ดังน้ันในหมู่บ้านถิ่นจะมีตระกูล 2-3 ตระกูล ตระกูลหน่ึงมี 3-5 หลัง ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน ส่วนการใช้ นามสกุลนอกเหนือจากนี้แสดงถึงการอพยพเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านภายหลัง แต่ความเป็นเครือข่ายน้ัน ต้องดูจากการนับถอื ผขี องแตล่ ะคน ศาสนา ความเชอื่ และพิธกี รรม ความเชื่อทางศาสนาของชาวถ่ิน คือการนับถือผี เช่น ผีเรือน ผีหมู่บ้าน ผีป่า ผีหลวง เป็นต้น สว่ นชาวถน่ิ ท่อี าศยั อยู่ที่ราบจะนับถือศาสนาพุทธ ตาราง 2.9 แสดงการกระจายตวั ของกลมุ่ ชาติพันธุ์ (เผ่า) ถ่ิน จาแนกตามพ้นื ท่จี ังหวดั จังหวดั จานวน จานวน จานวน ประชากร 1. เลย กลุม่ บา้ น หลังคาเรอื น ครอบครัว 2. พะเยา ชาย หญงิ เดก็ ชาย เดก็ หญิง รวม 3. เพชรบูรณ์ 1 62 60 215 209 - - 424(41.98%) รวมทั้งหมด 1 76 76 163 137 28 17 345(34.15%) 1 - 74 91 99 31 20 241(23.86%) 3 138 210 469 445 59 37 1,010 สาหรับชาติพันธุ์ถ่ิน ในประเทศไทย พบว่าถิ่น กระจายตัวอาศัยอยู่ใน 3 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดเลยพะเยา และเพชรบูรณ์ มีทั้งสิ้นจานวน 3 กลุ่มบ้าน 138 หลังคาเรือน 210 ครอบครวั เป็นเพศชาย จานวน 469 คนหญิง จานวน 445 คน เดก็ ชาย 59 คน เดก็ หญงิ จานวน 37 คน รวมทั้งส้นิ จานวน 1,010 คน จากตารางการกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ (เผ่า) ถิ่น จาแนกตามพ้ืนท่ีจังหวัดพบว่า จังหวัดเลย มีการกระจายตัวของชาติพันธ์ุถิ่น มากที่สุด จานวน 424 คน คิดเป็นร้อยละ 41.98 รองลงมาได้แก่ จังหวัดพะเยา จานวน 345 คน คิดเป็นร้อยละ 34.15 และจังหวัดเพชรบูรณ์ จานวน 241 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 23.86
การวจิ ัยการศกึ ษาเปรยี บเทียบการพัฒนาบนพ้ืนที่สงู ในอดตี และปจั จุบนั 27 มาลาบรี ข้อมูลท่ัวไป ชนเผ่ามาลาบรี (มละ) หรือ ผีตองเหลือง ชนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า คนป่าหรือมลาบรี ไม่ชอบถูกเรียกว่าผีตองเหลือง มลาบรีเป็นกลุ่มชาติพันธุ์มองโกลอยด์ดั้งเดิมเป็นกลุ่มชนเร่ร่อนไม่ตั้ง ถ่ินฐานเป็นหลักแหล่งมีถิ่นฐานอยู่ในเขตจังหวัดสายะบุรี ประเทศลาว ต่อมาเริ่มอพยพไปอยู่ตามท่ี ต่างๆ เช่น แถบภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ แถบภูกระดึงจังหวัดเลย และตามดอยสูงในป่าทางภาคเหนือ ของประเทศไทย ภาษา มาลาบรีมีภาษาพูดของตนเองมาต้ังแต่สมัยบรรพบุรุษแต่ไม่เคยมีตัวอักษรใช้ ปัจจุบัน เพื่อที่จะเก็บเร่ืองราวของพวกเขาและไม่ให้คนรุ่นใหมล่ ืมภาษาของตนเอง เยาวชนของชนเผา่ มละจึงมี การนาตวั อกั ษรของไทยมาดดั แปลงเปน็ ภาษาเขยี นของชนเผ่ามละ ปจั จุบนั ยังอยใู่ นช่วงของการคิดค้น และดัดแปลง เพื่อใหส้ ามารถปรับเข้ากบั การออกเสยี งของชนเผา่ มละที่ใช้อยูใ่ นปจั จุบันได้อยา่ งลงตวั การแตง่ กาย การแต่งกายของชนเผ่ามละในสมัยก่อนจะใช้เปลือกปอปกปิดร่างกายและเพื่อความ อบอุ่นของร่างกายโดยมีวิธีการ คือ ไปลอกเปลือกจากต้นปอมาแล้วนาเปลือกของต้นปอไปทุบให้ ละเอียด ตากให้แห้ง แล้วนามาทาเป็นเครื่องแต่งกายของชนเผ่ามละทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งมีการทา แบบนี้มาเรื่อยๆ ชนเผ่ามละเล่าว่าไม่มีการนาใบตองมาทาเป็นเครื่องแต่งกายอย่างที่สังคมเข้าใจใน ทุกวันน้ี เน่ืองจากใบตองขาดง่ายและใส่ได้ไม่นานสาหรับใบตองชนเผ่ามละจะใช้สาหรับทาเพิงพัก อย่างเดยี วเทา่ น้นั ปจั จบุ ันชนเผา่ มละหนั ไปใสเ่ สอ้ื ผ้าเหมอื นคนปกติท่ัวไปไมม่ ี การแตง่ กายแบบดัง้ เดิม ให้เห็นจะมีให้เห็นกแ็ คผ่ ู้เฒา่ ผแู้ กใ่ นหมู่บา้ นบางคนเท่าน้ัน วฒั นธรรมประเพณี เวลาแต่งงานถ้าชายและหญิงพอใจกันก็จะไปบอกพ่อแม่ฝ่ายหญิง พ่อแม่ฝ่ายหญิงจะ ถามว่ารักกันจริงหรือชายหญิงก็ตอบว่ารักกันจริงจากนั้นก็ไปอยู่ด้วยกันเลยไม่ต้องกินเล้ียงฉลองแต่ง แต่อยา่ งใด โดยจะอยู่กบั พอ่ แม่ฝา่ ยหญงิ ก่อน 1 เดอื น หรือ 2 เดอื น หรือเป็นปีจากนน้ั กใ็ ห้แยกออกไป หากินอิสระได้ ชายหญิงช่วยกันหากินส่วนอายุของชายหญิงแต่งงานได้แล้วหรือไม่นั้น ให้ดูที่ ขีดความสามารถในการหาอาหารแต่ละคนเวลาใครเสียชีวิตเม่ือรู้แน่ว่าตายแล้ว ก็ให้นาศพไปไว้ใน โพรงไมแ้ ล้วนาก้อนหินไปปดิ ไวไ้ มต่ ้องมาทาพิธีไมต่ ้องเศร้าโศกเสยี ใจเอาศพเกบ็ ไวข้ ้ามคนื ศาสนา ความเชอ่ื และพิธกี รรม ในสมัยก่อนชนเผ่ามละเองเป็นชนเผ่าหนึ่งที่มีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่า ภูตผวี ญิ าณ ป่าเขาหรือธรรมชาติสัตว์ปา่ เม่ือเกดิ โรคภัยไข้เจ็บกจ็ ะมีการทาพธิ เี รยี กขวัญหรือไปทาพิธี ขอขมายังท่ีท่ีคิดว่าเขาได้ไปล่วงเกินหรือลบหลู่โดยไม่ได้ล่วงรู้มาก่อน ผู้เฒ่าผู้แก่จะทาห่วงกลมๆ โดยใช้ไมไ้ ผ่หลายหว่ งไปทาพิธบี ริเวณนั้นๆ โดยมกี ารกลา่ วบทสวดเลก็ นอ้ ย หรือเวลามีคนไม่สบายเป็น หนักลุกไปไหนไม่ไหวก็จะมีผู้เฒ่าผู้แก่ใช้ยาสมุนไพรรักษาใหห้ รือบางทีใช้คาถาเปา่ ส่ิงชั่วร้ายให้ออกไป จากร่าง โดยคาถาที่ใช้ก็จะเป็นภาษาของชนเผ่ามละเอง แต่ในปัจจุบันเร่ืองการรักษาโดยการใช้ ยาสมุนไพรยังพอมีอยู่บ้างแต่ก็ยังน้อย ส่วนเรื่องการใช้คาถาอาคมในการรักษาเมื่อผู้รู้คนเก่าเสียไปก็ ไม่ไดม้ กี ารสอนหรอื สืบทอดตอ่ มายังลูกหลานทาใหส้ งิ่ เหล่าน้ีได้เลือ่ นหายไป
28 การวิจยั การศกึ ษาเปรยี บเทียบการพฒั นาบนพน้ื ที่สงู ในอดีตและปัจจบุ นั ตาราง 2.10 แสดงการกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ (เผ่า) มลาบรี หรือ ตองเหลือง จาแนกตามพ้ืนที่ จงั หวัด จังหวดั จานวน จานวน จานวน ประชากร กลุ่มบา้ น หลงั คาเรือน ครอบครวั ชาย หญิง เดก็ ชาย เด็กหญิง รวม 1.นา่ น 2 50 62 110 131 52 64 357 (100.00%) รวมท้งั หมด 2 50 62 110 131 52 64 357 สาหรับชาติพันธุ์มลาบรี หรือ ตองเหลืองในประเทศไทย พบว่ามลาบรี หรือตองเหลือง กระจายตัวอาศัยอยใู่ นจังหวดั น่าน มีท้งั สนิ้ จานวน 2 กล่มุ บ้าน 50 หลงั คาเรือน 62 ครัวเรอื น เปน็ เพศ ชาย จานวน 110 คน หญิง จานวน 131 คน เด็กชาย 52 คน เด็กหญิง จานวน 64 คน รวมท้ังส้ิน จานวน 357 คน จากตารางการกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ (เผา่ ) มลาบรี หรือ ตองเหลือง จาแนกตาม พ้นื ท่ีจงั หวัดพบวา่ จงั หวัดน่าน มกี ารกระจายตวั ของชาติพันธ์มุ าลาบรี หรือตองเหลอื จานวน 357 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 100.00 4. ความสาคญั ของชาวเขาต่อสงั คมไทย ความเป็นมาของชาวเขาในประเทศไทย นกั มนษุ ยวทิ ยาบางกลุ่มเชื่อว่า ชาวเขาได้อาศัย อยู่ในประเทศไทยมานานก่อนท่ีคนไทยจะรวบรวมกันตั้งประเทศหรือยุคก่อนประวัติศาสตร์ของ เราเสียอีก แต่เมื่อชนชาติไทยหล่ังไหลเข้ามามากในดินแดนสุวรรณภูมิ กลุ่มชนเหล่านั้นก็ได้ถูกกลืน ชาตไิ ปบา้ ง ถูกบบี ใหถ้ อยเขา้ ป่า และไปอยู่บนภูเขาบ้าง จากเอกสารของคณะกรรมการชาวเขาแสดง ว่าประเทศไทยมีชาวเขาต้ังหมู่บ้านอยู่กระจัดกระจายตามจังหวัดต่างๆ ไม่น้อยกว่า 21 จังหวัด แต่ส่วนใหญ่อยู่กันเป็นแนวในพ้ืนท่ีป่าดอย ห่างไกลคมนาคมในจังหวัดภาคเหนือ และจังหวัดท่ีมีชาวเขา อาศยั อยู่เป็นจานวนมาก ไดแ้ กจ่ ังหวดั เชยี งใหม่ นา่ น เชยี งราย แม่ฮ่องสอน น อ ก จ า ก นี้ ส ภ า พ ค ว า ม เ ป็ น อ ยู่ ข อ ง ช า ว เ ข า เ ป็ น ส ภ า พ ชี วิ ต ข อ ง ก ลุ่ ม ช น ใ น สั ง ค ม ที่ ประกอบการกสิกรรมแบบไร่เล่ือนลอยเป็นหลักและเป็นมาตามประเพณี โดยที่ประชากรส่วนใหญ่ใน ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ปลูกข้าวเป็นพืชหลัก ที่ปลูกกันเพ่ือยังชีพของชาวเขาทุกเผ่าด้วย หากแต่ว่า ชนกลุ่มอื่นๆ ในเอเซียอาคเนย์สามารถรวมตัวต้ังถ่ินฐานและประเทศได้นั้น ทาการเพาะปลูกข้าวโดยอาศัย การชลประทานหรือทาการกสิกรรมแบบนาดา (Wei – rice Cultivation) แต่ส่วนใหญ่ของชาวเขา ทุกเผ่าทาไร่เล่ือนลอยหรือปลูกข้าวไร่ อาศัยแต่น้าฝนตามธรรมชาติ ยกเว้นบางเผ่าเช่นกะเหรี่ยงและ ละว้า ซึ่งรู้จักการทานาดากันอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ของคนทั้งสองเผ่านี้ยังทาไร่เล่ือนลอยอยู่ สรุปได้ว่า ลักษณะรูปแบบของสังคม (social type) ของชาวเขาในประเทศไทยเป็นสังคมแบบกสิกรรม ท่ีปลูก ขา้ วโดยวิธกี ารทาไรเ่ ลื่อนลอย (Shifting Cultivation) ซงึ่ จะใช้วิธกี ารโค่นป่าแล้วเผาแล้วจึงเพาะปลูก ซ่ึงวิธีการเพาะปลูกที่กล่าวมานี้ไม่กระทบกระเทือนทรัพยากรธรรมชาติมากนัก ในสมัยท่ียังมีพื้นที่ ป่าไม้อยู่มากและมีประชากรเพียงจานวนน้อย เพราะกสิกรรมสามารถย้ายที่ทากินได้ง่ ายและ ปล่อยที่ดินท่ีเคยถูกโค่นเผาให้ป่าไม้เจริญเติบโตขึ้นมาใหม่ อันจะทาให้เกิดดุลยภาพของ ทรัพยากรธรรมชาติขน้ึ ต่อไปอกี
การวิจัยการศึกษาเปรยี บเทยี บการพฒั นาบนพ้นื ทส่ี ูงในอดตี และปัจจบุ นั 29 ในทางตรงกนั ขา้ ม วธิ กี ารเพาะปลกู แบบไร่เลื่อนลอยน้จี ะกระทบกระเทอื นต่อทรัพยากร ด้านป่าไม้ แหล่งน้า และความอุดมสมบูรณ์ของดินอย่างมาก ถ้าประชากรที่ใช้วิธีนี้มีจานวนเพ่ิมมาก ขึ้นและไม่สามารถไปเลือกท่ีทาไร่ได้โดยเสรี และจาเป็นต้องปลูกซ้าท่ี หรือไม่สามารถปล่อยพ้ืนท่ีทา กินเดิมให้นานพอท่ีป่าจะงอกขึ้นมาใหมแ่ ละชว่ ยให้ดนิ สะสมปยุ๋ ธรรมชาติขึ้นมาเพียงพอท่ีจะปลูกพืชไร่ ต่อไปได้ ปัจจุบันนี้ในขณะท่ปี ระชาชนของประเทศเพ่ิมทวขี ึ้นอยา่ งรวดเร็ว นอกจากจะจาเปน็ ที่จะต้อง ดาเนินการเก่ียวกับการวางแผนครอบครัวแล้วยังจาเป็นต้องหาวิธีการเกษตรแบบถาวรประจาที่แทน การทาไร่เลื่อนลอย แต่อย่างไรก็ดีในปัจจุบัน การทาไร่เล่ือนลอยไม่ใช่กลุ่มชาวเขาเท่าน้ัน เพราะตาม ข้อเท็จจรงิ มคี นพ้ืนราบไปทากนิ บนภูเขา นบั ว่าจะมจี านวนมากยิง่ ๆ ขึน้ ดว้ ย อาจกล่าวได้ว่าปัญหาด้านความมั่นคงของชาติ อันเนื่องมาจากปัญหาชาวเขาเป็นปัญหา มาต้ังแต่สมัยแรกๆ ของการเข้ามาอยู่ในประเทศไทยของชาวเขา แต่ขนาดของปัญหาในขณะน้ันไม่ ใหญ่โตและเด่นชัดพอ จึงมีเพียงมาตรการโดยอ้อม อันได้แก่การเข้าไปให้การพัฒนาและสงเคราะห์ โดยรัฐบาลจับตาดูในเรื่องความปลอดภัยของประเทศอยู่ห่างๆ ต่อมาปัญหาเรื่องความมั่นคงเร่ิม เด่นชัดข้ึนในปี พ.ศ.2510 จากเหตุการณ์ชาวเขาก่อความไม่สงบข้ึน โดยเริ่มต้นที่จังหวัดเชียงรายและ ลุกลามไปที่จังหวัดอ่ืนๆ อย่างรวดเร็วโดยการชักจูงของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย รัฐบาล จึงหันมาเน้นเร่ืองความม่ันคงโดยใช้กาลังทหารเข้าทาการปราบปรามในพื้นที่ท่ีมีการสู้รบ ส่วนใน พื้นท่ีหมู่บ้านชาวเขาท่ีมีการแทรกแซงและหมู่บ้านชาวเขาปกติอ่ืนๆ ในระยะต่อมาปัญหาชาวเขาทวีความ ซับซ้อนขึ้น ทั้งภายในประเทศและการอพยพลักลอบเข้ามาจากต่างประเทศ ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย ท้ังด้านคุณภาพชีวิตต่ากว่ามาตรฐาน การทาลายทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้า ป่าไม้ ปัญหาเร่ืองฝ่ิน แ ล ะ ค ว า ม ป ล อ ด ภั ย ต า ม แ น ว ช า ย แ ด น ซึ่ ง มี ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ สั ง ค ม ส่ ว น ร ว ม แ ล ะ ป ร ะ เ ท ศ ช า ติ อย่างกวา้ งขวาง จงึ จาเปน็ ต้องปอ้ งกันมิให้ชาวเขากลายเป็นปัญหาชนกลมุ่ น้อยที่ต้องการแยกตัวเองใน ดา้ นเชอื้ ชาติ ดนิ แดน การปกครองและการเมือง ปัญหายาเสพติดท่ีเก่ียวข้องกับชาวเขา มีการหยิบยกมาพิจารณาอยา่ งจริงจังเป็นปัญหา แรกได้แก่ ปัญหาเรื่องการปลูกฝ่ินของชาวเขา โดยรายงานของผู้เช่ียวชาญสหประชาชาติใน ปี พ.ศ. 2510 กล่าวว่ามีผลผลิตจากฝ่ินถึงประมาณ 145 ตันต่อปี ในเขตภาคเหนือของประเทศไทย รฐั บาลขณะน้นั จึงเริม่ ให้ความสาคัญกบั ปัญหาเรอ่ื งฝนิ่ และการลกั ลอบคา้ ยาเสพติดและเรอ่ื งการปลูกฝ่นิ ของชาวเขานี้ ก็อยู่ในความสนใจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี 9 เป็นอย่างย่ิง จึงได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯใหจ้ ัดต้งั โครงการหลวงพัฒนาชาวเขาขนึ้ ในปี พ.ศ.2512 ดาเนินการพัฒนาและสงเคราะห์ ชาวเขาท่ีอยู่อาศัยในพ้ืนท่ีภาคเหนือตอนบน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ของชาวเขา ลดพื้นท่ีการปลกู ฝ่นิ และการทาไรเ่ ลือ่ นลอย ดว้ ยการปลกู พืชเศรษฐกจิ อื่นทดแทน ความสาคัญของชาวเขาในอีกด้านหนึ่งคือส่ิงแวดล้อม เน่ืองจากแต่เดิมชาวเขาบางเผ่ามี วิธีการดาเนินชีวิตแบบเคล่ือนย้ายหลักแหล่ง ทาไร่เล่ือนลอย โดยทาการเกษตรแบบ ตัด ถางและเผา (slash and burn)เพ่ือทาการเพาะปลูกเมื่อดินหมดความอุดมสมบูรณ์ ก็ย้ายหมู่บ้านไปต้ังหลักแหล่ง ยังท่ีอื่นๆ การกระทาดงั กลา่ วส่งผลใหช้ าวเขา ถกู ตราหน้าวา่ เป็นผูต้ ดั ไมท้ าลายป่า ตน้ น้าลาธาร แมว้ ่า ข้อเท็จจริงพิสูจน์ทราบแล้วว่าชาวเขาไม่ใช่ตัวการท่ีสาคัญในการตัดไม้ทาลายป่า จากผลการศึกษา โครงการพัฒนาที่สูงต่างๆของสถาบันวิจัยเพ่ือการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ก็ดี พบว่าชาวเขาบาง เผ่ามวี ถิ ีดาเนินชีวิตในทางอนรุ กั ษแ์ ละมสี ว่ นช่วยในการปกป้องรกั ษาป่าไม้ เชน่ ชาวกะเหร่ยี ง ลวั ะ ถ่ิน
30 การวิจยั การศึกษาเปรยี บเทียบการพัฒนาบนพืน้ ท่ีสงู ในอดตี และปจั จุบัน ท่ีส่วนใหญ่ตั้งหมู่บ้านมานานหลายร้อยปี ก่อนการประกาศเขตป่าหวงห้ามของทางราชการประเภทต่างๆ ข้อมูลทางวิชาการดังกล่าวจึงสามารถช่วยลบล้างภาพการเป็นนัก ทาลายทรัพยากรธรรมชาติและ ส่งิ แวดลอ้ มจากประชาชนส่วนใหญไ่ ปได้ ปัญหาบนพ้ืนที่สูงหลายปัญหามีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อความม่ันคงของชาติรุนแรงขึ้น ซึ่งอุปสรรคสาคัญคอื การขาดนโยบายและแผนงานในรูปของแผนรวม ท่ีจะเป็นกรอบในการประสาน ความร่วมมือการผนึกกาลังราชการบางส่วน ในการแก้ไขปัญหาทุกเรื่องบนพื้นที่สูงให้เป็นไป ในทิศทางเดียวกัน อีกทั้งยังขาดเจ้าภาพหลักที่จะดาเนินการกับชาวเขาโดยตรง เน่ืองจากมีการยุบ กองสงเคราะห์ชาวเขาไป ขณะที่ยังคงมีชุมชนชาวเขาเป็นจานวนมากท่ียังอยู่ในถิ่นทุรกันดารห่างไกลและ ไม่มีโอกาสได้รับการพัฒนาจากหน่วยราชการปกติ แต่อย่างไรก็ตาม กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ก็ยังคงมีภารกิจดูแลกลุ่มชนบนพื้นท่ีสูงในฐานะท่ีเป็นประชากรกลุ่มเป้าหมายที่ขาดโอกาสในการ พฒั นาอย่างต่อเน่อื ง แมว้ ่าการพัฒนาชาวเขาในภาพรวม จะถูกมองว่าไดเ้ ข้าสกู่ ารพัฒนาในระบบปกติ เฉกเช่นคนไทยพ้ืนราบท่ีได้รับการดูแลคุณภาพชีวิตโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน (เอกสาร: การจัดการความรู้ งานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา: โครงการคลังปัญญางานพัฒนาชาวเขา 53 ปี : กรมพฒั นาสังคมและสวสั ดกิ าร: บทนาหนา้ 32-34) 5. สถานการณ์ ปญั หา การพัฒนาบนพนื้ ท่ีสูง พื้นที่สูงในประเทศไทยครอบคลุมพ้ืนที่ประมาณ 67.22 ล้านไร่คิดเป็นร้อยละ 53 ของพ้ืนท่ี 20 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา ลาพูน แพร่ น่าน ลาปาง ตาก เพชรบูรณ์ พิษณุโลก เลย สุโขทัย กาแพงเพชร กาญจนบุรี อุทัยธานี สุพรรณบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรีสาหรับการกระจายตัวของชุมชนบนพ้ืนที่สูงมีทั้งหมด 3,829 กลุ่มบ้าน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 65.50 เป็นกลุ่มในจังหวดั ภาคเหนือ ซ่ึงจังหวัดเชียงใหม่มีกลุ่มบ้านท่ีต้ังอยู่มากท่สี ดุ รองลงมา ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และเชียงรายตามลาดับ การกระจายตัวของชุมชนบนพ้ืนที่สูง ครอบคลุมลุ่มนา้ หลักของประเทศไทย 14 ลุม่ น้า128 ลุ่มน้าสาขาโดยลมุ่ นา้ ปิง มีจานวนชมุ ชนบนพื้นท่ี สูงกระจายตัวมากที่สุด (ร้อยละ 32.59 ) รองลงมาได้แก่ ลุ่มน้าสาละวิน ( ร้อยละ26.50 ) และ ลุ่มน้ากก ( ร้อยละ10.07 ) ตามลาดบั ประชากรบนพนื้ ทีส่ ูงประกอบด้วยชาวเขาเผ่าตา่ ง ๆ กว่า 10 ชนเผา่ มจี านวนประชากร 213.27 ครัวเรือน 964,916 คน ( พ.ศ.2550 ) อาศัยกระจัดกระจายอยู่ในหมู่บ้านท้ังหมด 3,829 หมู่บา้ น ใน 20 จังหวดั โดยจงั หวัดเชยี งใหมม่ ีชาวเขามากทส่ี ุดจานวน 260,044 คน ( รอ้ ยละ26.95 ) รองลงมา คือจังหวัดเชียงราย จานวน 138,369 คน ( ร้อยละ14.34 ) และจังหวัดตาก จานวน 99,965 คน ( ร้อยละ10.36 ) ปญั หาของการพัฒนาบนพ้ืนทีส่ ูง ผลของการพัฒนาที่ผ่านมาผนวกกับสถานการณ์แวดล้อมสาคัญท่ีเปล่ียนแปลงไปอาทิ เช่น กระแสโลกาภิวัตน์ ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด การเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ และสภาวะโลกร้อน การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองล้วน ส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคม สภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบนพ้ืนที่สูงในปัจจุบัน รวมทั้งปัญหาดั้งเดิมของชุมชนบนพื้นที่สูงบางส่วนท่ียังคงมีอยู่และมีปัญหาใหม่ท่ีต้องติดตาม
การวจิ ยั การศึกษาเปรียบเทยี บการพฒั นาบนพน้ื ที่สงู ในอดตี และปัจจบุ นั 31 สถานการณ์อย่างใกล้ชิดโดยได้สรุปปัญหาหลักท่ีเกิดขึ้นบนพื้นท่ีสูงแบ่งเป็นปัญหา5ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านนโยบายและกฎหมายและ ด้านการบริหารจัดการ มีรายละเอยี ดดังน้ี 1. ปัญหาดา้ นเศรษฐกิจ 1.1 ปัญหาความยากจนเป็นผลสืบเนื่องจากการพัฒนาที่ผ่านมามีการส่งเสริม พืชเศรษฐกิจทาให้ระบบการผลิตเปลี่ยนจากการเกษตรเพื่อยังชีพประกอบด้วยการปลูกพืช หลากหลายไปสู่การเกษตรเชิงพาณิชย์ซึ่งเป็นการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเน้นการพ่ึงพาปัจจัยการผลิตจาก ภายนอกชุมชนและพ่ึงพิงตลาดภายนอกเป็นหลักประกอบกับพื้นท่ีสูงมีพ้ืนที่ท่ีเหมาะสมต่อการใช้ ประโยชน์มีจากัด ทาให้เกษตรกรมีพื้นท่ีทากินต่อครัวเรือนน้อยและไม่สามารถขยายพ้ืนที่ทากิน ออกไปได้นาไปสู่การใช้ท่ีดินทากินและสารเคมีอย่างเข้มข้นนอกจากนี้ความผันผวนด้านราคาปัจจัย การผลิตและราคาผลผลิตรวมทั้งชุมชนชาวเขาขาดอานาจต่อรองกับพ่ อค้าทาให้เกษตรกร ต้ อง แบกรับภาระหนี้สิน พื้นท่ีโครงการขยายผลโครงการหลวงครัวเรือนเกษตรกรปี พ.ศ.2551/2552 มีรายได้รวมเฉล่ียเท่ากับ 109,377 บาทต่อครัวเรือน ในจานวนนี้เป็นรายได้ที่เป็นเงินสด ร้อยละ 88 ส่วนรายได้ที่เหลืออีกร้อยละ 12 เป็นรายได้ท่ีไม่เป็นตัวเงินซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 13,019 บาท ต่อครัวเรือน ( กมล งามสมสุขและคณะ, 2553 ) ซ่ึงรายได้ของครัวเรือนเกษตรกรท่ีได้นี้ยังต่ากว่า ค่าเฉลี่ยรายได้ของครัวเรือนเกษตรท้ังประเทศและในภาคเหนือ โดยรายได้เงินสดของครัวเรือน เกษตรกรทั่วประเทศในปี 2551 เท่ากับ 219,912 บาทต่อครัวเรือนและรายได้เงินสดจากการเกษตร ของครัวเรือนเกษตรในภาคเหนือในปี 2550/2551 เท่ากับ 140,685 บาทต่อครัวเรือน ( ศนู ยส์ ารสนเทศการเกษตรและสานักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตรของสานักงานเศรษฐกจิ การเกษตร, 2552 ) ส่วนครัวเรือนเกษตรกรในพ้ืนท่ีโครงการหลวงมีถึงร้อยละ 27 ที่มีรายได้ต่ากว่า เส้นความยากจน ซึ่งถือว่าเป็นครัวเรือนที่ยากจนและมีครัวเรือนเกษตรกรเกือบร้อยละ 20 ที่มี ความยากจนด้านอาหาร (มีรายได้ไม่พอสาหรับจ่ายเป็นค่าอาหารเพื่อประทังชีวิตในระดับพื้นฐาน) และครวั เรือนเกษตรกรในพ้ืนทีโ่ ครงการขยายผลโครงการหลวงมีครัวเรือนเกษตรกรถงึ ร้อยละ 33 ท่ีมี รายได้ต่ากว่าเส้นความยากจน ซ่ึงถือว่าเป็นครัวเรือนที่ยากจนและมีครัวเรือนเกษตรกรเกือบ ร้อยละ 24 ท่ีมีความยากจนด้านอาหาร (มีรายได้ไม่พอสาหรับจ่ายเป็นค่าอาหารเพื่อประทังชีวิตใน ระดับพ้ืนฐาน ) ครัวเรือนเกษตรกรท่ียากจนและยากจนด้านอาหารจะมีจานวนมากที่โครงการขยาย ผลฯความสงู ตง้ั แต่ 1,000 เมตรขึ้นไปและโครงการขยายผลฯทอี่ ยู่ตามแนวชายแดนและชนเผา่ มง้ กะเหรยี่ ง อีก้อ และละว้า (กมลงามสมสุขและคณะ,2553) นอกจากน้ีครัวเรือนเกษตรกรในลุ่มน้าปิง มีหนี้สิน ของครัวเรือนต่อปีเฉล่ีย 84,978 บาทและในลุ่มน้าน่านหน้ีสินของครัวเรือนต่อปีเฉลี่ย 86,778 บาท อกี ท้งั มแี นวโน้มของหนี้สินเพ่ิมขน้ึ ในช่วง3ปที ผ่ี า่ นมา 1.2 เกษตรกรขาดความรู้ที่เหมาะสมในการประกอบอาชีพ ซ่ึงนาไปสู่การทา การเกษตรบนพ้นื ทีส่ ูงยังขาดความย่งั ยนื ซ่งึ ระบบเกษตรมีทงั้ ระบบเชงิ พาณชิ ยแ์ ละเพอื่ ยังชีพท่ปี ลูกพืช เชิงเดี่ยวและพืชผสมผสานในบริเวณท่ีสูงที่ราบเชิงเขาและท่ีตามหุบเขามีน้าจากลาห้วยไหลผ่านตลอดปี เมือ่ ประชากรเพ่มิ ข้ึนแต่พน้ื ท่ีทาการเกษตรมีจานวนเทา่ เดิมทาให้การใช้พนื้ ทใ่ี นการผลติ เป็นไปอยา่ งเข้มข้น ประกอบกับมีการทาการเกษตรบนพื้นท่ีมีความลาดชันและอยู่บริเวณต้นน้าลาธาร (ร้อยละ88) ทาให้เกิดการชะล้างพังทลายของดิน ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลง ผลผลิตตกต่า มีการใช้สารเคมี
32 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพัฒนาบนพ้ืนทีส่ ูงในอดตี และปัจจบุ นั เกษตรจานวนมากโดยเฉพาะพ้ืนท่ีสูงในเขตลุ่มน้าน่านท่ีมีสภาพพื้นที่ป่าไม้ถูกแผ้วถางแปรเปลี่ยนไป เป็นไร่ข้าวโพดจานวนมากเพ่ิมขึ้นถึง 3 เท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาในปีพ.ศ.2548-2549 จาก 3 แสนไร่ เป็น 9 แสนไร่ ในปี 2553 ทาให้สภาพป่าไม้สมบูรณ์เหลือเพียงร้อยละ 26.15 ในพื้นท่ีลุ่มน้าน่าน ทั้งหมดมีแนวโน้มของระบบเกษตรขาดความยั่งยืนอยา่ งต่อเน่ืองดังนัน้ จาเป็นต้องมีการบรู ณาการและ ผสมผสานองค์ความรู้ท่ีเหมาะสมกับสภาพภูมิสังคมโดยมีระบบการจัดการในลักษณะลุ่มน้า ท่เี หมาะสมควบคูก่ ันไป 1.3 ปัญหาการเพ่ิมขึ้นของพ้ืนที่ข้าวโพดและมีการบุกรุกพ้ืนท่ีป่าเพิ่มขึ้น เน่ืองจากข้าวโพดเป็นพืชท่ีใช้น้าน้อยมีความทนทานกับสภาพภูมิอากาศ ประกอบกับมีการส่งเสริม การผลิตจากภาคเอกชนอีกท้ังเป็นผลมาจากการประกันราย ได้เกษตรกรและการเปลี่ยนพื้ นที่มัน สาปะหลงั ซงึ่ เสียหายจากการระบาดของเพลี้ยแป้งมาปลูกข้าวโพดทาให้พนื้ ท่ปี ลูกข้าวโพดเลยี้ งสัตว์ใน ประเทศไทยเพ่ิมเป็น 7 ล้านไร่ในปี 2553 (สถาบันส่ิงแวดล้อมไทย,2554) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคเหนือมีพ้ืนท่ีปลูกข้าวโพดเพ่ิมข้ึนกว่า 2.3 ล้านไร่เมื่อเปรียบเทียบพ้ืนที่ปลูกในปี2547/2548 มีพื้นท่ีปลูก 3,961,809 ไร่และเพิ่มขึ้นเป็น 6,340,608 ไร่ ในปี 2554/2555 (สานักงานเศรษฐกิจ การเกษตร, 2555) แต่ปริมาณการผลิตยังไม่เพียงพอกับความต้องการของอุตสาหกรรมอาหารเล้ียง สัตว์ในประเทศ นอกจากน้สี านักงานเศรษฐกจิ การเกษตรคาดการณ์ว่าพ้ืนทีป่ ลกู ขา้ วโพดเลีย้ งสัตว์ของ ประเทศจะเพ่ิมข้ึนแต่ผลผลิตจะลดลงอันเนื่องมากจากภัยธรรมชาติ ส่วนความต้องการข้าวโพดเล้ียงสัตว์ ของตลาดในประเทศจะมีมากข้ึน เนื่องจากจะมีการผลิตไก่เน้ือเพ่ือส่งออกไปยังกลุ่มสหภาพยุโรปและ ญีป่ นุ่ เพมิ่ ขึ้นส่งผลให้ราคาขา้ วโพดเลยี้ งสตั ว์สูงขน้ึ ในขณะทีพ่ น้ื ทป่ี ลูกขา้ วโพดในภาคเหนือมีการขยาย พน้ื ที่อย่างตอ่ เนือ่ งในทางกลบั กันพื้นทป่ี ่าภาคเหนือกลบั ลดลงปีละ 2.15 % เน่ืองจากความต้องการใช้พนื้ ที่ ในการปลูกพืชเชิงเดี่ยวรวมท้ังปลูกข้าวโพดเพิ่มข้ึน นอกจากขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดมีผลกระทบต่อ พ้ืนท่ีป่าแล้วยังมีผลกระทบที่เกิดข้ึนชัดเจนและมากขึ้นโดยเฉพาะการพังทลายของดินบนพ้ืนท่ี ลาดชันและท่ีสูง การชะล้างตะกอนสู่แหล่งน้าธรรมชาติ การปนเปื้อนของสารเคมีในแหล่งน้าใช้และ พิษของสารเคมีต่อเกษตรกรรวมถึงเกิดไฟป่าและหมอกควันกระจายทั่วพ้ืนที่ ในปี พ.ศ. 2554 มีสถิติ เกิดไฟไหม้ป่าในภาคเหนือจานวนมากที่สุด 1,266 ครั้ง มีพ้ืนท่ีป่าเสียหาย 8,137 ไร่หรือประมาณ 13.02 ตารางกิโลเมตร เป็นการเผาไร่สร้างความเสียหายให้พ้ืนที่ถึง 4,025ไร่ (สานักป้องกันปราบปราม และควบคุมไฟป่า, 2554) และภาคเหนือได้ประสบกับปัญหาหมอกควันเกินค่ามาตรฐาน (120ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) โดยปี 2553 ตรวจพบปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) มีค่าเฉลี่ย24 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2553 ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเท่ากับ 518.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรซ่ึงเกินเกณฑ์มาตรฐานกว่า 4 เท่าใน ปี พ.ศ. 2555 แนวโน้มความรุนแรงของ ปัญหาหมอกควันเพิ่มข้ึนอย่างชัดเจนซ่ึงพบในหลายพ้ืนท่ีของ9 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลาปาง ลาพูน แพร่ น่านแม่ฮ่องสอน ตาก และพะเยา (กรมควบคุมมลพิษ, 2555) โดยเฉพาะช่วง หน้าแล้งเดือนมกราคม -มีนาคมของทุกปีซ่ึงส่งผลกระทบทั้งด้านส่ิงแวดล้อมและสุขภาพ จาก การศึกษาระดับและความเป็นพิษของอนุภาคฝุ่นขนาดเล็ก (ParticulateMatter) ของอากาศมีผลทา ให้เกิดโรคในกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด กลุ่มโรคตาอักเสบ และ กลุ่มโรคผิวหนังอักเสบ ส่วนด้านการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบมากที่สุดจากปัญหาหมอกควัน ทาให้ ทัศนวิสัยในการมองเห็นต่ากว่า 2,000 เมตรเครื่องบินไม่สามารถร่อนลงจอดสนามบินได้โดยเฉพาะท่ี
การวิจัยการศึกษาเปรียบเทยี บการพัฒนาบนพื้นทส่ี ูงในอดีตและปจั จุบนั 33 จังหวัดแม่ฮ่องสอน ทาให้มีการยกเลิกเที่ยวบินไป-กลบั จากปกติ 226 เท่ียวบิน เหลือเพียง 184 เท่ียวบิน สง่ ผลให้ผู้โดยสารลดลงรอ้ ยละ 21.2 และด้านธุรกิจที่เกี่ยวกบั การท่องเท่ยี วเชน่ ธรุ กิจโรงแรมสว่ นใหญ่ไดร้ บั ผลกระทบจากปัญหาหมอกควันโดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรมที่ประกอบด้วยชาวต่างประเทศ มีอัตราการ ยกเลิกห้องพักประมาณร้อยละ20-30สูงกว่าเกณฑ์ปกติและระยะเดียวกัน สาหรับผลกระทบด้าน เกษตร จากการเกิดไฟป่าและมีฝุน่ ละอองหมอกควันในปริมาณมากอย่างตอ่ เนือ่ ง ส่งผลกระทบต่อผัก กินใบทาให้เกิดโรคใบเหลืองและการเจริญเติบโตชะลอลงเน่ืองจากมีฝุ่นละอองปกคลุมใบ ทาให้ใบ ได้รับความเข้มของแสงแดดลดลงส่วนไม้ผลเม่ือประสบกับอากาศท่ีร้อนเกินไปและก๊าซ คารบ์ อนไดออกไซด์จานวนมาก จะเรง่ การบ่มตวั ของผลไม้ทาใหส้ ุกเร็วขึน้ สง่ ผลให้คุณภาพและรสชาติ เปลี่ยนไป อย่างไรก็ดีเหตุการณ์หมอกควันที่เกิดข้ึนรุนแรงเพียงช่วงส้ันๆจึงไม่เกิดผลกระทบต่อ ปริมาณและคุณภาพของผลผลิตพืชสาคัญของภาคเหนือ (ธนาคารแห่งประเทศไทยสานักงาน ภาคเหนือ, 2550) 2. ปญั หาด้านสงั คม 2.1 การลักลอบปลูกฝ่ินของเกษตรกรในพื้นที่ท่ีห่างไกลมีแนวโน้มเพ่ิมขึ้น ซึ่งเป็น ประเด็นปัญหาใหม่ จากการสารวจของสานักงาน ป.ป.ส.พบวา่ มีพ้ืนที่ปลูกฝิ่นมีปริมาณเพ่ิมสูงขึ้นจาก 744 ไร่ในฤดูปลูกปี 2547/48 เพิ่มเป็น 984 ไร่ในฤดูปลูกปี 2548/49 เพิ่มเป็น 1,445 ไร่ ในฤดูปลูก ปี2549/50 และลดลงในฤดูปลูกปี 2553/2554 มีพ้ืนท่ีปลูก1,303.67 ไร่ ใน 6 จังหวัดภาคเหนือ เนื่องจากเง่ือนไขสนับสนุนที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น แรงจูงใจด้านราคาท่ีผู้ปลูกได้รับผลตอบแทนจาก การปลูกฝิ่นค่อนข้างสูง โดยมีราคาขายปลีกถึง 134,000-168,000 บาทต่อจ๊อย (1จ๊อยเท่ากับ 1.6 กิโลกรัม) การสนับสนุนทุนและระบบตลาดจากบุคคลภายนอก ทาให้ได้ผลผลิตสูงถึง2.5กิโลกรัม ต่อไร่ จากท่ีผลผลิตฝ่ินดั้งเดิมโดยเฉลี่ยเพียง 1.6 กิโลกรัมต่อไร่เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีความพยายาม ปลูกฝ่ินนอกฤดู มีการพัฒนารูปแบบการปลูกเพ่ือหลบเล่ียงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ซ่ึง ยากลาบากท้ังต่อการสารวจทางอากาศและการตัดทาลาย ปรากฏการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าวิธี ปฏบิ ัตกิ ารด้วยระบบปกตขิ องหน่วยงานภาครัฐในระดับพนื้ ท่เี พียงอย่างเดียวและยกเลิกการพัฒนาเชิง บูรณการบนพ้ืนท่สี ูงอาจจะทาให้การป้องปรามการบังคบั ใช้กฎหมายและการขจัดพ้ืนทีป่ ลูกฝิ่นรวมทั้ง การลดปัญหาสารเสพตดิ ของชาติไม่สามารถดาเนนิ การได้อย่างท่ัวถงึ 2.2 ความเหลือ่ มลา้ ด้านสังคมอันเกิดจากความยากจนและขาดโอกาสในการเข้าถึง บริการจากภาครัฐยังคงมีอยู่ทั่วไปเม่ือเปรียบเทียบกับชุมชนพ้ืนราบ ซึ่งเป็นผลจากการคมนาคมที่ ลาบากและการพิสจู นส์ ัญชาตขิ องชาวเขาเอง ทาให้สถานภาพเป็นผู้อพยพลีภ้ ัยผหู้ ลบหนีเขา้ เมืองและ ผ้ตู กสารวจ 2.3 ความซบั ซอ้ นของประชากรบนพ้ืนท่ีสูงที่เพ่ิมขึน้ 2.3.1 มกี ารเคลอ่ื นย้ายแรงงานและเยาวชนบนท่สี ูงเข้าสูเ่ มืองมีแนวโน้มเพ่ิมข้ึน อย่างรวดเร็วโดยส่วนใหญ่ ร้อยละ 94.62 มีการเคล่ือนย้ายช่ัวคราวโดยการเคลื่อนย้ายแรงงานไป ทางานร้อยละ 76.8 เป็นการเคลื่อนย้ายหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวและเคลื่อนย้ายไปเรียนหนังสือ สัดส่วน ค่อนข้างสูงร้อยละ 93.5 ส่วนการเคลื่อนย้ายแรงงานแบบถาวรยังมีสัดส่วนน้อยร้อยละ 5.3 โดยมีสัดส่วน ในการเปล่ียนแปลงช่วงปี 2547–ปี2552 สัดส่วนการเคล่ือนย้ายเพ่ือมาทางานต่อการเคล่ือนย้าย เพอื่ ศกึ ษาเล่าเรยี นในปี 2547 คิดเป็น 62 : 38 และในปี 2552 คดิ เปน็ สัดส่วน 54 : 46 ส่งผลกระทบ
34 การวจิ ัยการศึกษาเปรียบเทยี บการพฒั นาบนพน้ื ทสี่ ูงในอดีตและปัจจบุ ัน ต่อชุมชนบนพื้นที่สูงหลายประการ เช่น การขาดแรงงานในการดูแลครอบครัว แรงงานในภาคเกษตร การขาดผู้สืบทอดทางวัฒนธรรมประเพณีและภูมิปัญญาท้องถ่ินและอาจขาดเยาวชนแกนนาหรือผู้นา รุน่ ใหม่ที่มคี วามรูค้ วามสามารถทจ่ี ะพฒั นาชุมชนในอนาคตและเปน็ ผลให้ขนบธรรมเนยี มประเพณีของ ชุมชนในพ้ืนท่ีสูงเร่ิมเปลี่ยนแปลง การสืบทอดวัฒนธรรมต่างๆของชุมชนลดความสาคัญและเร่ิมสูญหาย เป็นผลให้กลไกทางประเพณีและภูมิคุ้มกันทางสังคมท่ีเป็นแนวทางดั้งเดิมในการอยู่ร่วมกันอย่างเป็น สุขอ่อนแอลง มีความล่อแหลมต่อปัญหาต่างๆ ท้ังปัญหาต่อตัวเยาวชน การขาดจิตสานึกต่อสังคม การแพรร่ ะบาดของยาเสพติด โรคเอดส์ ฯลฯ นอกจากน้มี ีการเคลื่อนย้ายของประชากรท่ีมีผลกระทบ ต่อการใช้ท่ีดินบนพ้ืนที่สูง ได้แก่ แรงงานต่างด้าวทดแทนแรงงานบนพ้ืนที่สูงที่เคลื่อนย้ายและกลุ่ม ประชากรพื้นราบเคล่ือนย้ายสู่พื้นที่สูง เป็นต้น ส่วนปัญหาที่ขยายวงกว้างสู่สังคมเมืองหลายประการ เช่นโอกาสทจ่ี ะเกิดการมั่วสมุ ทางอบายมุข การก่ออาชญากรรม การคา้ ประเวณี เปน็ ตน้ ตลอดจนการ มาเป็นสมาชิกของสังคมเมืองทาให้เกิดการแออัด เกิดแหล่งเสื่อมโทรมและเกิดผลกระทบ ตอ่ สุขอนามัยและส่งิ แวดล้อมของชุมชนเมอื ง 2.3.2 สถานการณ์การอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายจากการอพยพของ แรงงานต่างด้าว เพื่อเข้ามาค้าขายตามแนวชายแดนและการอพยพเข้าไปสู่เมืองใหญ่ บางกลุ่มมีญาติ อาศยั อยใู่ นพ้นื ท่ีชายแดนประเทศไทยชักชวนใหเ้ ขา้ มาโดยมีปัจจยั ทสี่ าคญั เช่น การทากิน สาธารณสขุ และการศึกษา เป็นต้น ผลกระทบจากเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวที่เขา้ มารับจา้ งในภาคการเกษตรโดย ทดแทนแรงงานเยาวชนท่ีเคลื่อนย้ายออกไป ซึ่งส่งผลกระทบด้านลบถึงร้อยละ 63.1ได้แก่ ปัญหา อาชญากรรม ยาเสพติด การค้ามนุษย์และการกลับมาระบาดใหม่ของโรคดั้งเดิม อาทิ โรคเท้าชา้ งและวัณโรค เปน็ ต้น 2.3.3 โครงสร้างของประชากรบนพื้นท่ีสูงส่วนใหญ่เป็นผู้ท่ีมีอายุน้อยกว่าหรือ เท่ากบั 15ปซี งึ่ ถอื วา่ ยงั เป็นวยั เด็กและประชากรที่มีช่วงอายุระหวา่ ง 16–30 ปมี สี ัดสว่ นเทา่ กัน (ร้อยละ 29) เน่ืองจากต้องการแรงงานเพื่อช่วยประกอบอาชีพเกษตรกรรมตามแนวความเชื่อเดิมและบางชนเผ่า ได้แต่งงานเร็วข้ึนทาให้เกิดครอบครัวขยายและต้องการพ้ืนที่ทากินเพ่ิมขึ้น ส่วนประชากรมีเพียงส่วนน้อย ท่ีเป็นผู้สูงอายุ หรือวัยชราอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 7 โดยขนาดของครัวเรือนในพ้ืนท่ีสูงมีขนาด 5.8 คน (วนั เพญ็ สุรฤกษ์ และคณะ, 2548) 3. ปญั หาด้านทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม 3.1 การเสื่อมโทรมของส่ิงแวดล้อมบนพื้นที่สูงที่ยังเกิดข้ึนอย่างต่อเนื่อง เกิดจาก การ บุ กรุ กพ้ื น ท่ี ป่ า ไ ม้แล ะ การ ใช้ ทรั พ ย า กร ดิ น แล ะน้ า ท่ี ไม่ย่ั งยื น ร ว ม ถึง คว าม สู ญห า ย ข อ ง ค ว า ม หลากหลายทางชีวภาพ โดยมรี ายละเอยี ดดังนี้ 3.1.1 ปัญหาการบุกรุกพ้ืนที่ป่าไม้ที่ยังคงมีอยู่ พ้ืนท่ีป่าไม้ของประเทศไทย ลดลงไปมากนับจากปี พ.ศ. 2516 จนปี พ.ศ. 2545 สูญเสียป่าธรรมชาติไปกว่า 53.64 ล้านไร่ จากพ้ืนท่ีป่า 134.71 ล้านไร่ หรือร้อยละ 42 เหลือ 81.07 ล้านไร่ หรือร้อยละ 25 สาหรับพื้นที่ป่าของภาคเหนือ นับจากปี พ.ศ. 2516 จนปี พ.ศ. 2551 พื้นท่ีป่าลดลงร้อยละ 10.92 เหลือพื้นท่ีป่าร้อยละ 56.04 ของพืน้ ท่ภี าคเหนอื ทง้ั หมดเนือ่ งจากความตอ้ งการใช้พื้นท่ตี ามนโยบายของรัฐบาล เชน่ การสรา้ งเขือ่ น การตัดถนน เป็นต้น ในขณะที่ภาคประชาชนได้มีการบุกรุกพ้ืนท่ีป่าเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจและเป็นที่
การวิจยั การศกึ ษาเปรียบเทียบการพัฒนาบนพ้นื ท่สี งู ในอดตี และปจั จบุ นั 35 ต้องการของตลาด เช่น ข้าวโพด กะหล่าปลี มันสาปะหลัง หรือในบางพื้นที่อาจใช้เพ่ือการปลูกขา้ วไร่ ซงึ่ ทาให้เกดิ การเสอื่ มโทรมของพ้นื ท่ีตน้ น้าลาธาร 3.1.2 ปัญหาการขาดแคลนแหล่งน้าเพื่อการเกษตร การบริโภค และอุปโภค มีแนวโน้มเพิ่ม ข้ึนเนื่องจากขาดแคลนแหล่งกักเก็บน้าเพราะความต้องการใช้น้าในภาพรวมมี ปริมาณมากกว่าศักยภาพการกักเก็บน้า การพัฒนาแหล่งน้าขนาดใหญ่ไม่สามารถดาเนินการได้ เนื่องจากพื้นที่ไม่เหมาะสม ส่วนใหญ่พ้ืนที่อยู่อาศัยและพื้นที่การเกษตรถูกปิดล้อมด้วยป่าอนุรักษ์ ขาดงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐและระเบียบข้อกฎหมายต่างๆ อีกทั้งประชาชนบนพ้ืนท่ีสูง ขาดความรู้และทักษะในการบริหารจัดการน้า จึงทาให้การใช้น้าท่ีผ่านมาไม่มีประสิทธิภาพ สาหรับ พ้ืนที่สูงโดยส่วนใหญ่อาศัยน้าประปาภูเขา/ประปาหมู่บ้านและน้าฝนเป็นหลัก ส่วนชลประทาน บนพ้ืนที่สูงเพ่ือเป็นแหล่งกักเก็บน้า เช่น แหล่งน้าขนาดเล็กมีสัดส่วนน้อยเพียงร้อยละ 5 และทาให้มี แนวโน้ม ของการซ้ือน้ากินน้าใช้และน้าเพ่ือการเกษตรร้อยละ 15 ถึงแม้ว่าภาคเหนือเป็นบริเวณที่มี ปริมาณฝนสูงเฉลี่ย 1,432 มิลิเมตรต่อปี มีแหล่งต้นน้าลาธารและเป็นแหล่งน้าที่ไหลลงสู่ลุ่มน้า ตอนล่างในบริเวณที่ราบภาคกลางซึ่งควรจะมีน้าใช้ตลอดปี แต่เน่ืองจากการหักล้างทาลายป่าไม้ ท่ีดาเนินไปอย่างรวดเร็วในระยะหลังๆ นี้ทาให้แหล่งน้าที่เคยมีป่าไม้ดูดซับน้าไว้หรือแหล่งน้าต่างๆ มีปริมาณน้าน้อยลงไปมากจนอ่างเก็บน้าของเข่ือนท่ีสร้างขึ้นในภาคเหนือกักเก็บน้าไว้ได้น้อย บางปีมี ปริมาณนา้ ท่กี ักเก็บต่ากว่าระดบั นา้ ท่คี วรกกั ไว้สาหรับใชป้ ระโยชน์ สอดคลอ้ งกบั ปริมาณน้าในอ่างเก็บ น้าขนาดใหญ่ของภาคเหนือและที่มีความสาคัญกับลุ่มน้าปิงและลุ่มน้าน่าน ได้แก่ เข่ือนภูมิพล เข่ือนสิริกิต์ิ เขื่อนแม่งัดเข่ือนแม่กวง โดยไม่รวมเขื่อนก่ิวลมมีความจุของปริมาณน้าทั้งหมด 23,500 ล้านลูกบาศก์เมตรคิดเป็นร้อยละ 99.53 ของภาคเหนือซึ่งปริมาณน้าความจุในแต่ละเขื่อน ปี 2551 มีปริมาณลดลงจากปี 2549-2550เม่ือเปรียบเทียบกับท้ังประเทศกับภาคเหนือมีแนวโน้มลดลง ตามลาดับในแต่ละช่วงปีจากร้อยละ36.28 ในปี 2550 เป็นร้อยละ 32.10 ในปี 2551 เป็นทิศทาง เดียวกับปรมิ าณน้าทนี่ าไปใช้งานได้ 3.1.3 ปัญหาคุณภาพสง่ิ แวดล้อมไดแ้ ก่ 3.1.3.1 ดินเส่ือมโทรม จากการทาการเพาะปลูกของเกษตรกรบนพ้ืนที่สูง เป็นการใช้ที่ดินไม่ถูกต้องและเหมาะสม ซ่ึงพืชบางชนิดเป็นพืชที่ปลูกกันมาเป็นเวลานานโดยไม่มี มาตรการอนุรักษ์ดินและน้าท่ีมีประสิทธิภาพ ทาให้พื้นที่ทาการเกษตรร้อยละ 96.5 ของพื้นที่สูงใน 12 จังหวัดของภาคเหนือซึ่งเป็นพื้นที่ท่ีมีความลาดเทมากเกิดปัญหาการชะล้างพังทลายของหน้าดิน จากการจาแนกตามช้ันความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดินจาแนกตามภาคต่างๆ ของประเทศไทย เม่ือปี พ.ศ. 2543 พบว่าพื้นที่ภาคเหนือมีพื้นท่ีที่เกิดการชะล้างพังทลายของดินที่มีความรุนแรง มากท่ีสุดคือ 7,158,845 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 67.2 ของพ้ืนท่ีที่เกิดการชะล้างพังทลายของดินท้ังหมด รวมท้งั การเกดิ ดนิ และโคลนถล่ม 3.1.3.2 มลพษิ ทางน้า เนือ่ งจากการละเลยสขุ อนามัยชุมชน ทาใหเ้ กดิ การ ปนเปื้อนของเช้ือจุลินทรีย์ท่ีอยู่ในสิ่งขับถ่ายของสัตว์เลือดอุ่น น้าท้ิงจากครัวเรือนและการแปรรูป ผลิตผลทางการเกษตร ทั้งน้ีผลการสุ่มตรวจคุณภาพน้าช่วงฤดูหนาวตามมาตรฐานคุณภาพน้าผิวดิน ประเภทท่ี 3 ประกาศของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติฉบับท่ี 8 (2537) จานวน 21 รายการ แบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านกายภาพ ด้านเคมี (เคมีท่ัวไปสารกาจัดศัตรูพืช4กลุ่มโลหะหนัก) และ
36 การวจิ ยั การศึกษาเปรียบเทียบการพฒั นาบนพน้ื ที่สูงในอดีตและปจั จุบนั ด้านชีวภาพ (เช้ือจุลินทรีย์ coliform และ fecal coliform) ของแม่น้าสายสาคัญเขตภาคเหนือ ปีพ.ศ. 2551-2554 พบว่าคุณภาพน้าของลุ่มน้าปิง ลุ่มน้าน่าน ลุ่มน้าสาละวิน ลุ่มน้าโขงลุ่มน้ากก ลุ่มน้าแม่กลอง และลุ่มน้ายม ในเขตพ้ืนท่ีศูนย์พัฒนาโครงการหลวง 38 แห่ง และบางแห่งของ โครงการขยายผลโครงการหลวงส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ดีมากถึงพอใช้ โดยทุกลุ่มน้าผ่านเกณฑ์ ด้านกายภาพสารกาจัดศัตรูพืช 4 กลุ่ม และโลหะหนัก (100%) แต่บางลาน้าสาขาของลุ่มน้าปิง และลุ่มน้ากกคุณภาพน้ายังมีการแปรปรวนด้านชีวภาพ ค่า DO ต่ากว่า 4 mg/L และค่า BOD สงู กว่า 2 mg/L ซ่ึงไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน อยา่ งไรกต็ ามมูลนิธิโครงการหลวงรว่ มกบั สถาบนั วจิ ัยและ พัฒนาพ้ืนท่ีสูงตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวจึงได้สนับสนุนให้ชุมชนจัดกิจกรรมฟื้นฟูและบาบัดคุณภาพน้า ตัง้ แตป่ ีพ.ศ. 2552 ต่อเน่ืองมาจนถงึ ปจั จุบัน 3.1.3.3 ความไม่ปลอดภัยของผลผลิตบนพื้นที่สูง อันเกิดจากเกษตรกร ขาดความรู้และวิธีการจัดการท่ีถูกต้องในการใช้สารเคมีป้องกันกาจัดศัตรูพืช (แมลงโรคและวัชพืช) รวมท้ังเง่ือนไขความต้องการของตลาด/ผู้บริโภคที่นิยมผลิตผลท่ีมีลักษณะสวยงาม ไม่มีตาหนิ ทาให้ เกษตรกรต้องใช้สารเคมีปริมาณสูง ส่งผลให้เกิดสารพิษสะสมในผลิตผล ตลอดจนส่งผลกระทบต่อ สุขภาพของผู้บริโภค โดยกลุ่มสารเคมีท่ีสาคัญคือ (1) ออร์กาโนคลอรีน (2) ออร์กาโนฟอสเฟต (3) คาร์บาเมต และ(4) ไพรีทอยด์สังเคราะห์ นอกจากน้ีการใชส้ ารเคมีมากเกินความจาเป็นยงั ส่งผล ต่อสงิ่ แวดลอ้ มโดยเฉพาะแหลง่ ต้นน้าและพ้ืนที่เพาะปลูกบนพืน้ ที่สงู ด้วยเช่นกัน 3.2. ความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรและการบังคับใช้กฎหมายไม่ชัดเจน เน่ืองจากพ้ืนที่สูงมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องมากมายมีหน่วยงานท้ังภาครัฐและเอกชนและองค์กรพัฒนา เอกชนท่ีเข้าไปมีส่วนรับผิดชอบทาให้ความขัดแย้งท่ีเกิดจากนโยบาย ข้อกฎหมายหรือระเบียบปฏิบตั ิ ท่ีไม่ชัดเจน ส่งผลกระทบต่อการดาเนินงานในพื้นที่โดยเฉพาะด้านป่าไม้และการใช้ท่ีดิน นอกจากนี้ มีความขัดแย้งระหว่างรัฐกับชุมชนเกี่ยวกับสิทธิที่ดิน เช่น มีความขัดแย้งระหว่างรัฐอันเกิดจาก หน่วยงานรัฐท้องถิ่นกับชุมชนบนพ้ืนท่ีสูง เช่น ในเขตอาเภอจอมทอง เกิดข้ึนอย่างต่อเนื่องเกิดจาก นโยบายการขยายเขตป่าอนุรักษ์ของรัฐท่ีเตรียมอพยพชาวเขาออกจากป่า มีการจัดต้ังหน่วยพิทักษ์ป่า และหน่วยจัดการต้นน้าขึ้นหลายแห่งในเขตจอมทองและเจ้าหน้าท่ีลาดตระเวนในป่าควบคุมการล่า สัตว์การใช้ไม้และเก็บของป่า (พฤกษ์เถาถวิล,2544) และความขัดแย้งระหว่างชุมชนต้นน้า กลางน้า และปลายน้า เก่ียวกับทรัพยากรน้าเช่นกรณีระหว่างคนพ้ืนที่ราบที่อยู่ปลายน้ากับกลุ่มชนบทพื้นท่ีสูง ท่ีอยตู่ น้ น้า เชน่ กรณีพน้ื ทลี่ มุ่ นา้ แมส่ อย อาเภอจอมทอง จังหวดั เชียงใหม่ จากการที่ชาวบา้ นพื้นราบ อ้างว่ากลุ่มชนบนพื้นท่ีสูงเป็นผู้ทาลายแหล่งต้นน้าลาธารและดึงน้าไปใช้ในการปลูกพืชพาณิชย์มาก เกินไปทาให้คนพื้นราบขาดแคลนน้าในการผลิตทั้งอุปโภคและบริโภคหรือในกรณีหมู่บ้านแม่มะลออ อาเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวกะเหร่ียงที่อาศัยอยู่บริเวณต้นน้า ถูกกลา่ วหาว่าเป็นผทู้ าลายตน้ นา้ ลาธาร ถงึ ขั้นยกกาลังคนปิดทางเขา้ ออกของหมู่บ้าน เป็นตน้ 4. ปญั หาด้านการบริหารจดั การ 4.1. ปัญหาที่เกิดจากข้อจากัดของพื้นที่ชุมชนท่ีต้ังอยู่กระจัดกระจายในพ้ืนท่ี ทุรกันดารและห่างไกล ทาให้การพัฒนาปัจจัยพื้นฐานของรัฐต้องลงทุนค่อนข้างสูงส่งผลต่อ การคมนาคมยังไม่สะดวกเป็นอุปสรรคในการดาเนินงานของหน่วยงาน และการขอรับบริการ ของ ประชาชนในพน้ื ทีส่ งู
การวิจัยการศึกษาเปรยี บเทียบการพฒั นาบนพ้นื ทส่ี งู ในอดีตและปัจจบุ นั 37 4.2. การขาดความเข้าใจการบริหารจัดการแบบบูรณาการเป็นระบบลุ่มน้า เน่ืองจากการพัฒนาบนพื้นที่สูง ต้องมุ่งสร้างสมดุลระหว่างดินน้าป่าไม้และคนไปพร้อม ๆ กัน ซ่ึงผล การพัฒนาทุกอย่างมีผลกระทบเช่ือมโยงจนก่อให้เกิดปัญหา เริ่มตั้งแต่การทาเกษตรกรรมบนพ้ืนท่ีสูง ที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรป่าไม้ ที่ดิน แหล่งน้า ภูมิอากาศซ่ึงก่อให้เกิดสภาพความกดดันต่อ การประกอบอาชีพของเกษตรกรบนพื้นท่ีสูง รวมถึงความไม่มั่นคงของสภาพเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ลุ่มน้าแต่ละแหง่ ประกอบกับ ในช่วงท่ีผ่านมาการดาเนินงานของหน่วยงานของรัฐมีการดาเนินงานในลักษณะแยกส่วน เช่น การจดั ทาแผนบรหิ ารจดั การทรัพยากรนา้ เฉพาะลุม่ นา้ แผนการใช้ที่ดนิ ในแต่ละล่มุ นา้ การพัฒนาพื้นท่ีสูง เฉพาะแห่ง เป็นต้น ทาให้ขาดการบรู ณาการในการปฏิบัตงิ านและความรว่ มมือทเ่ี ป็นระบบสอดคล้อง กับสภาพปัญหาและทรัพยากรท่ีมีอยู่ รวมทั้งขาดการเช่ือมโยงการใช้ฐานความรู้และบทเรียนของ โครงการหลวงและโครงการพระราชดาริตา่ ง ๆ อย่างเหมาะสมจึงทาให้การพัฒนาไม่เชื่อมโยงกันแบบ บู ร ณาการ ทา งาน ร่วมกัน โด ยใช้ลุ่ มน้ าเป็ น ขอบเ ขต พั ฒน าเ พ่ื อให้ สามาร ถมองปัญหาส าเ หตุ และ แนวทางแก้ไขท่ีเช่ือมโยงกันได้และสามารถแก้ไขปัญหาในพื้นที่เพ่ือยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้าง ความม่ันคงในการดาเนินชีวิตได้อย่างย่ังยืนท้ังในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม ความม่ันคงและ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นท่ีสูง ดังน้ันการพัฒนาพื้นท่ีสูงในอนาคตจึงต้องมองความ สมดุลทกุ มิตขิ องความย่งั ยืนโดยอาศัยล่มุ น้าขอบเขตการพัฒนา ประเด็นทา้ ทายและเง่ือนไขใหม่ นอกจากปัญหาที่ยังคงมีอยู่และจากการวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ข้างต้นทาให้เกิด ประเด็นทา้ ทายและเงอ่ื นไขใหม่ 5. ปัญหาด้านความม่ันคงของชุมชนบนพื้นท่ีสูงท่ีตั้งอยู่ตามแนวชายแดนและการ ลักลอบปลูกฝ่ินเนื่องจากเกษตรกรยังมีฐานะยากจนและขาดอาชีพท่ีม่ันคง ทาให้ชุมชนที่เข้าถึงยาก เปน็ พน้ื ท่เี สี่ยงและลักลอบปลูกฝ่ิน ประกอบกับเงื่อนไขสนับสนุนท่ีเปลี่ยนแปลงไป เชน่ แรงจงู ใจด้านราคา การสนับสนุนทุนและระบบตลาดจากบุคคลภายนอก นอกจากน้ียังมีความพยายามปลูกฝ่ินนอกฤดู มีการพัฒนารูปแบบการปลูกเพ่ือหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ซ่ึงยากลาบากทั้งต่อการ สารวจทางอากาศและการตดั ทาลาย 6. ความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและชุมชนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจากกระแสโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงกระแสการท่องเท่ียวบนพื้นท่ีสูง เนื่องจากพื้นที่สูงมีภูมิทัศน์ที่สวยงาม มีความ หลากหลายของสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่นจึงเป็นแหล่งท่องเท่ียวท่ีได้รบั ความนิยมในปจั จุบัน ทาให้ ปัจจุบันทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มได้รับผลกระทบและมีผลกระทบเชงิ ลบต่อด้านสังคมและ วัฒนธรรมตามมา เช่น การบริโภคนิยมใช้สินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มข้ึน การนาวัฒนธรรมสมัยใหม่เข้าสู่ชุมชน ทาใหว้ ิถชี วี ติ เปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเร็ว เชน่ วัฒนธรรมการแตง่ กาย เป็นตน้ 7. การน้อมนาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนาไปประยุกต์ใช้กับชุมชนบนพื้นที่สูง เพ่ือให้ชุมชนบนพื้นท่ีสูงมีการพัฒนาบนฐานความรู้ที่เหมาะสมกับสภาพภูมิสังคม ดารงชีพโดยไม่ เบียดเบียนทรัพยากรบนพ้ืนท่ีสูง เป็นชุมชนมีภูมิคุ้มกันเพ่ือรองรับการเปล่ียนแปลงต่างๆควบคู่ไปกับ การมีคุณธรรมจริยธรรมและดาเนินชีวิตด้วยความเพียรและสามารถพ่ึงพาตนเองได้อย่างย่ังยืน
38 การวิจยั การศกึ ษาเปรียบเทยี บการพัฒนาบนพ้ืนทส่ี ูงในอดตี และปจั จบุ นั การพัฒนาพืน้ ทใ่ี นระยะต่อไปนอกจากต้องแก้ไขปญั หาท่ียงั มอี ยู่ของชุมชนบนพนื้ ท่สี งู ชุมชนยงั ต้องปรับตวั กับเง่ือนไขใหม่ทั้งด้านภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบ ต่อความหลากหลายทางชีวภาพการขาดแคลนน้าและขาดความม่ันคงด้านอาหารภาวะ สังคมของ ผู้สูงอายุและการไหลออกของแรงงานเยาวชนจากภาคเกษตรและการเคล่ือนย้ายของคนพื้นราบ สพู่ ้นื ท่ีสงู ภาวการณ์ขาดแคลนพลังงานและความต้องการพน้ื ท่ีเพื่อผลิตพชื พลังงานและบริบทของโลก ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งมีผลกระทบต่อพ้ืนท่ีสูง เช่น ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ประชาคมอาเซียน กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้าโขงเป็นต้น (ยุทธศาสตร์สถาบันวิจัยและพัฒนา พ้นื ท่สี งู (องคก์ รมหาชน) ระยะท่ี 2 (พ.ศ.2556-2559) 8. สภาพปัญหาชาวเขาในอดีตและปัจจุบัน)(ข้อมูลชาวเขาจากพิพิธภัณฑ์เรียนรู้ ราษฎรบนพ้นื ท่สี ูง จงั หวัดเชยี งใหม(่ 2555) สภาพปัญหาชาวเขาในอดีต คือ ปัญหายาเสพติด ปัญหาการทาลายทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม ปญั หาความม่นั คง ปญั หาเศรษฐกจิ และสังคม ปัญหาเชิงโครงสรา้ ง ส่วนสภาพปญั หาชาวเขาในปจั จุบัน คือ - ปัญหาที่ทากินมีไม่เพียงพอ ด้านการออกเอกสารสิทธิ การถือครองท่ีดิน นาไปสู่ ปัญหาด้านต่อไปคือ ปัญหาความยากจน และวัตถุนิยม ในขณะท่ีชาวเขาต้องทาเกษตรเพ่ือการยังชีพ และอยู่อย่างพอเพียง ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน ถนน น้าประปา และไฟฟ้า รวมไปถึงปัญหา ด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้ - สิทธกิ ารเปน็ พลเมอื ง - ปญั หาการคา้ มนุษย์ - การแยง่ ชงิ ทรพั ยากร สรุปได้ว่า สภาพปัญหาของการพัฒนาบนพี้นท่ีสูงประกอบด้วยปัญหาด้านเศรษฐกิจ ความยากจน ขาดความรู้ในการประกอบอาชีพ การปลูกข้าวโพดจานวนมาก ขายไม่ได้ราคา การบุกรุก ป่าธรรมชาติ ปัญหาการปลูกพชื การเหล่ือมล้าทางสังคม ทรพั ยากรป่าไมถ้ ูกทาลาย การขาดแคลนน้าเพ่ือ การเกษตรและการอุปโภค บริโภค ปัญหาท่ีดินเสื่อมโทรม มีมลพิษทางน้าจากสารเคมี การใช้ยาฆ่า แมลงปราบศัตรูพืช ความขัดแย้งกับทางราชการในการใช้ทรัพยากรป่าไม้ ท่ีดิน พ้ืนท่ีทากินและ ทีอ่ ยอู่ าศยั ปัญหายาเสพติดครบวงจร ตลอดจนปญั หาดา้ นสิทธกิ ารเข้าถงึ บรกิ ารภาครัฐ สทิ ธพิ ลเมือง และ การคา้ มนษุ ย์ 6. พฒั นาการของงานพัฒนาและสงเคราะหช์ าวเขา – ปจั จบุ ัน ระหว่างปี 2488 – 2490 ปี งานพฒั นาชาวเขา 2488 - รัฐบาลใหค้ วามสนใจแกป่ ระชาชนกลุม่ หน่ึงเรยี กรวมๆวา่ “ชาวเขา” 2490 - รัฐบาลประกาศยกเลิกโรงยาฝิน่ และส่งเสรมิ การปลูกพืชอ่ืนๆแทน - รฐั บาลกาหนดนโยบายและองค์การบริหารด้านชาวเขา
การวิจยั การศกึ ษาเปรียบเทียบการพฒั นาบนพ้ืนทส่ี งู ในอดตี และปจั จบุ นั 39 ระหว่างปี 2494 - 2499 กอ่ นเกิดกองสงเคราะห์ชาวเขา ปี งานพัฒนาชาวเขา 2494 - รัฐบาลมีความเป็นห่วงความสงบเรียบร้อยตามชายแดนจึงเร่ิมเข้าไปช่วยเหลือชาวเขาตาม พนื้ ท่ีต่างๆในรูปแบบของการสงเคราะห์ประชาชนผู้ยากไร้ห่างไกลคมนาคมเป็นปีแรก โดยมี หน่วยตารวจตระเวนชายแดนเป็นผูบ้ ุกเบกิ และกรมประชาสงเคราะห์เป็นผู้ให้การสนับสนนุ 2497 -จัดตั้งกองบัญชาการตารวจตระเวนชายแดนข้ึนแทนกองบัญชาการรักษาชายแดนเดิมเพื่อ ดแู ลทกุ ขส์ ุขประชาชนบนพ้นื ทห่ี า่ งไกล 2499 - รัฐบาลสมัยจอมพล ป .พิบูลสงคราม มีคาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสงเคราะห์ประชาชน พื้นท่ีห่างไกลการคมนาคม ตามคาส่ังรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทยที่ 653/2499 ลงวันท่ี 7 สิงหาคม 2499 โดยกองบัญชาการตารวจตระเวนชายแดนเป็นหน่วยหลักในการ แก้ไขปัญหาภาคสนามและให้กรมประชาสงเคราะห์ให้การสนับสนุนด้านเครื่องมืออุปโภค บรโิ ภคทจ่ี าเปน็ ระหว่าง 2502 - 2510 ยุคก่อตงั้ หน่วยงานชาวเขา ปี งานพัฒนาชาวเขา 2502 3 มิถุนายน พ.ศ.2502 คณะรัฐมนตรีมีมติต้ังคณะกรรมการการสงเคราะห์ชาวเขาข้ึน แทนคณะกรรมการสงเคราะห์ประชาชนไกลคมนาคม ประกอบด้วยคณะรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย (พลเอกประพาส จารุเสถียร) เป็นประธานกรรมการ โดยมี ศูนย์พัฒนาและสงเคราะหช์ าวเขา เป็นหนว่ ยปฏิบตั ใิ นพื้นที่ 2503 กองนิคมสร้างตนเองได้ทดลองดาเนนิ การสงเคราะหช์ าวเขาในรูปนคิ มสร้างตนเอง 2 แหง่ คอื ดอยมูเชอ จังหวัดตาก และ ดอยเชียงดาว จังหวดั เชียงใหม่ 2504 – - กองนิคมสรา้ งตนเองได้ดาเนินการเพ่ิมอีก 2 แหง่ คอื ดอยภูลมโล โดยมที ตี่ ้งั อยทู่ ่บี ้านม้ง 2505 ทับเบกิ จังหวัดเพชรบูรณ์และดอยม่อนแสนใจ จังหวดั เชียงราย - กรมประชาสงเคราะหไ์ ดท้ าการสารวจสภาพของชาวเขาในประเทศไทย เรยี กวา่ “การสารวจทางเศรษฐกิจและสังคมของชาวเขาในภาคเหนอื ของประเทศไทย” โดย ได้รับทนุ จากมลู นิธิ เอเชยี ข้อมูลทีไ่ ด้น้เี ปน็ เอกสารทางวชิ าการเกย่ี วกับชาวเขาในประเทศ ไทย เป็นฉบบั แรกสดุ - กองนิคมสร้างตนเองไดจ้ ัดหนว่ ยปฏิบตั กิ ารเคลื่อนท่ีในลักษณะการปฏบิ ัติงานแบบ “หมูบ่ ้านหลกั (Key village)” และ “หม่บู ้านบรวิ าร (Satellite Village)”
40 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรยี บเทียบการพฒั นาบนพื้นที่สูงในอดีตและปจั จุบนั ปี งานพัฒนาชาวเขา 2505 รัฐบาลได้จัดต้ังกองสงเคราะห์ชาวเขา ภายใต้กรมประชาสงเคราะห์ พ.ศ. 2505 ณ วันท่ี30 ตลุ าคม พ.ศ. 2505 โดยแยกการบริหารงานสงเคราะหช์ าวเขาออกจากกองนิคมสร้างตนเอง ทั้งน้ีเพ่ือเป็นแหล่งกลางการประสานงาน และเป็นสานักงานเลขานุการคณะกรรมการ สงเคราะห์ชาวเขา 25–06 - คณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขามีมติจัดต้ัง “ศูนย์วิจัยชาวเขา” ข้ึน ตั้งอยู่ภายในบริเวณ 2507 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เม่ือวันท่ี 17 พฤษภาคม 2506 โดยมีนายวนัช พฤกษะศรี เป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยชาวเขาคนแรก และให้เร่ิมดาเนินการศึกษาและสารวจข้อมูลพื้นฐาน ทางเศรษฐกิจและสงั คมของชาวเขา - คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้จัดตั้งศูนย์วิจัยชาวเขาขึ้นที่จังหวดั เชียงใหม่ เม่ือวันท่ี 21 เมษายน 2507 เพ่ือให้เข้าใจถึงภาษา วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของชาวเขา ซ่ึงต่อมากรมประชาสงเคราะห์ ได้จัดตั้งศูนย์วิจัยชาวเขาข้ึนในบริเวณมหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ (ต่อมาเป็นสถาบันวิจัยชาวเขา และปจั จบุ นั ไดย้ กเลกิ ไปแลว้ ) 2508 -คณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขาเห็นความสาคัญของงานชาวเขา จึงมีมติให้จัดต้ัง “โครงการชาวเขาสมั พันธ์” เพ่อื โน้มนา้ วใหช้ าวเขามคี วามจงรักภักดตี ่อชาตบิ ้านเมืองเคารพ ในองค์พระมหากษัตริย์ ระหว่าง 2510 - 2525 ยคุ ความมนั่ คงและนโยบายรวมพวก ปี งานพัฒนาชาวเขา 2510 - เกดิ ปัญหาการขยายพ้นื ทป่ี ลกู ฝิ่นท่ีเพม่ิ มากข้ึน - เกิดปัญหาการก่อการรา้ ยของชาวเขาฝ่ายคอมมวิ นิสต์ 2510 - กองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ ได้จัดตั้งศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา – เพ่ิมขึ้น อีก 5 จังหวัด คือจังหวัดน่าน และเพชรบูรณ์ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดกาแพงเพชร 2513 และลาปาง 2511 - สภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอให้ปรับปรุงเปล่ียนแปลงคณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขาขึ้น ใหม่ เรียกว่า “คณะกรรมการชาวเขา” มีหน้าท่ีรับผิดชอบเก่ียวกับชาวเขาในทุกกรณี โดยให้ กองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย เปน็ แหลง่ กลางประสานงาน กับหน่วยราชการหรือองค์การอ่ืนๆ ท่ีเก่ียวข้องเพ่ือดาเนินการ ให้บรรลุตามนโยบายท่ีได้ กาหนดไว้ คณะกรรมการชุดนมี้ ปี ลดั กระทรวงมหาดไทยเปน็ ประธาน
การวจิ ัยการศึกษาเปรียบเทียบการพัฒนาบนพน้ื ทสี่ ูงในอดีตและปจั จบุ ัน 41 ปี งานพฒั นาชาวเขา 2515 -รัฐบาลประกาศนโยบายในการแก้ปัญหาระยะสั้นและระยะยาวตามมติคณะรัฐมนตรี เม่ือ วันที่15 ธันวาคม 2515 ซึ่งเป็นนโยบายหลักสาคัญให้คณะกรรมการชาวเขารับผิดชอบ ดังน้ี -นโยบายระยะสัน้ การจัดใหม้ ีเจา้ หน้าท่เี ข้าไปถงึ ชาวเขาทีเ่ ปน็ จุดล่อแหลมใหท้ ่ัวถึงโดยเร็วที่สุด โดยใชว้ ิธีพฒั นาแผนนา (Civic Action) เพอ่ื ผกู พันจิตใจชาวเขาใหม้ ีความนิยมในรัฐบาลและมี ความจงรกั ภักดตี ่อประเทศไทย ใหส้ ามารถใชช้ าวบ้านเป็นกาลังในการป้องกนั และต่อต้านการ แทรกซึมคอมมวิ นสิ ตต์ อ่ ชาวเขาได้ทนั ทว่ งที -นโยบายระยะยาว การพฒั นาและสงเคราะห์ชาวเขาให้อยู่อาศยั และทามาหากนิ บนภเู ขาเป็น หลกั แหลง่ แน่นอน เลิกการปลกู ฝ่นิ ให้ปลูกพชื ผลทดแทน เลกิ การทาลายป่า และเป็นพลเมอื งดี ทาประโยชน์แก่ประเทศชาติ เช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป โดยให้ดาเนินการตามโครงการ 5 ปี (พ.ศ.2510 – 2514) 2516 - คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันท่ี 14 สิงหาคม 2516 มีการปรับปรุงขอบข่ายอานาจหน้าที่ ของคณะกรรมการคณะอนุกรรมการต่างๆ ให้กว้างข้นึ - เกิดโครงการปลกู พชื ทดแทนฝน่ิ ร่วมกบั องค์กรสหประชาชาติ ซึง่ ถือว่าเป็นโครงความ ช่วยเหลือจากตา่ งประเทศโครงการแรกของกรมประชาสงเคราะห์ 2517 - ศนู ยพ์ ฒั นาและสงเคราะหข์ องชาวจงั หวัดลาพนู ได้รับการจัดตงั้ เปน็ ศูนย์ ลาดบั ท่ี 10 2518 - จัดตั้งสานักงานคณะกรรมการส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ มีบทบาทในการกาหนดชั้นคุณภาพลุ่ม น้าต่างๆ เพื่อกาหนดการใช้ประโยชน์จากดินให้เหมาะสมเพ่ือการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ + ป่าไม้ 2519 - โดยคณะรัฐมนตรีมมี ติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2519 ใหใ้ ช้ “นโยบายรวม” เป็นแนวทางการ ดาเนินงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาโดยมีวัตถุประสงค์ “เพ่ือให้ชาวเขาเป็นพลเมืองที่มี คณุ ภาพ สามารถชว่ ยเหลือตนเองได้ ” - นโยบายการพัฒนาชาวเขา เน้นเรือ่ งการป้องกันบุกรุกทาลายป่าต้นนา้ 2520 -รัฐบาลจัดต้ังสานักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และดาเนินนโยบายลดการปลูกฝิ่น ของชาวเขาด้วย 2523 - เป็นปีแรกในการดาเนินโครงการพัฒนาการเกษตรภาคเหนือ ท่ีใช้เงินกู้จากธนาคารโลก ประกอบไปด้วยโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมบนที่พื้นที่สูง และโครงการพัฒนาท่ีดิน ภาคเหนือ ซง่ึ ร่วมดาเนินการในพื้นท่ีเดียวกนั 5 จงั หวดั ภาคเหนอื
42 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรยี บเทียบการพฒั นาบนพ้นื ทส่ี งู ในอดีตและปจั จบุ นั ระหว่าง 2525 – 2545 ยุคความมั่นคงแกไ้ ขปญั หาการปลูกฝ่นิ และการจัดตัง้ ถน่ิ ฐานถาวรบนท่ีสงู ปี งานพัฒนาชาวเขา 2525 การปรับองค์กรในการแก้ไขปัญหาชาวเขาและการปลูกฝ่ินโดยให้มีการพิจารณาทบทวน นโยบายมาตรการท้ังด้านบริหาร การปกครอง การพัฒนา รวมท้ังการประสานการปฏิบัติ เพอ่ื แกไ้ ขปญั หาโดยการแตง่ ต้งั คณะกรรมการ 2527 คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการสารวจข้อมูลประชากรชาวเขา เป็นโครงการ 3 ปี นับต้ังแต่ปี 2528 – 2530 เป็นการริเริ่มใช้ทรัพยากรที่มีอยู่และคุณค่า คือ ภาพถ่ายจากดาวเทียม/ (Land sat) มาใชเ้ พ่ือระบแุ หล่งทีอ่ ยูข่ องชาวเขาทีแ่ น่นอน 2529 คณะรัฐมนตรีอนุมัตจิ ดั ต้ังศูนยอ์ านวยการประสานงานแก้ไขปัญหาชาวเขาและกาจัดการ ปลูกพืชเสพตดิ ของกองทัพภาคที่ 3 ขนึ้ มีฐานะเปน็ องคก์ รระดับภาค 2532 เกิดนโยบายพัฒนาชาวเขา ตามมติคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 โดย กาหนดนโยบายและการพฒั นาและสงเคราะหช์ าวเขาดังนี้ 1.ดา้ นการเมือง การปกครอง 2.ด้านการพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คม 2.1ให้ชาวเขาไดร้ ับการพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมใหเ้ พียงพอแก่ความจาเป็นในการ ดารงชีวิตและพึ่งตนเองไดใ้ นทีส่ ุด 2.2ให้อัตราการเพิ่มประชากรชาวเขาอยู่ในระดบั ที่ใกล้เคยี งกบั อัตราการเพ่ิมของ ประชากรพ้ืนราบ และสมดลุ กับทรพั ยากรธรรมชาตทิ ร่ี องรับ 3.ด้านการอนรุ กั ษ์ การใช้และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ 3.1จัดให้เปน็ แผนการใช้ท่ดี นิ เพื่อการอนุรกั ษ์และการพฒั นาทรัพยากรพ้นื ท่สี งู 3.2มีการบังคบั ใช้กฎหมายและระเบยี บของทางราชการในการอนรุ ักษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติอยา่ งจริงจงั 2535 สานักงานสภาความม่ันคงแห่งชาติร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และสานักงาน คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดทาแผนเพื่อการพัฒนาชุมชน ส่ิงแวดล้อม และการควบคุมยาเสพติดบนพ้ืนท่ีสูง พ.ศ.2535 - 2539 ข้ึนเพื่อเป็นกรอบใน การปฏิบัติงานบนพ้ืนท่ีสูงตามนโยบายฯ ซ่ึงคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเม่ือวันท่ี 11 กุมภาพันธ์ 2535 2540 จัดทาแผนแม่บทเพ่ือการพัฒนาชุมชน สิ่งแวดล้อม และการควบคุมยาเสพติดบนพื้นท่ีสูง ฉบับท่ี 2 (พ.ศ. 2540 - 2544) และใหห้ นว่ ยงานทเี่ ก่ียวขอ้ งปฏบิ ตั ิ
การวิจัยการศึกษาเปรยี บเทยี บการพัฒนาบนพืน้ ที่สูงในอดีตและปจั จบุ นั 43 ปี งานพฒั นาชาวเขา 2525 มีการดาเนินโครงการพัฒนาราษฎรชาวไทยภูเขาอันเน่ืองมาจากพระราชดาริ พ.ศ. 2542 ซึ่งเกิดข้ึนจากการมองเห็นถึงปัญหาเกี่ยวกับราษฎรชาวไทยภูเขาท่ีเป็นปัญหาสาคัญและ เกยี่ วขอ้ งกบั ผลประโยชน์สว่ นรวม ความมั่นคงของชาติ 2543 กองสงเคราะห์ชาวเขาได้กาหนดวิสัยทัศน์ เป็นองค์กรหลักในการให้บริการด้านสวัสดิการ สังคม และประสานการพัฒนาและสงเคราะห์ชุมชนบนพื้นท่ีสูง โดยทุกฝ่ายมีส่วนร่วม เพ่ือ ส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวชุมชนเข้มแข็ง พ่ึงตนเอง ดารงและรักษาไว้ซ่ึงวัฒนธรรม ประเพณี ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม 2545 รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 ลงวันท่ี 2 ตุลาคม พ.ศ. 2545 จากเดิม 14 กระทรวง เป็น 20 กระทรวง เป็นผลให้กรม ประชาสงเคราะห์ มาสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ ภายใต้สังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ทาให้กองสงเคราะห์ชาวเขาได้ถูกยุบไปส่งผล ให้ภารกจิ ในการพฒั นาชาวเขาถกู กระจายไปตามหนว่ ยงานหลัก ทม่ี า : ( ขอ้ มูลชาวเขาจากพิพิธภัณฑเ์ รยี นรรู้ าษฎรบนพ้นื ท่ีสงู จงั หวัดเชยี งใหม่ ) ระหวา่ ง 2546-2558 ยคุ ชาวเขาในระบบการพัฒนาชาวเขา เขา้ สูร่ ปู แบบงานปกติ งานพัฒนาสังคมบนพน้ื ที่สงู ปี งานพัฒนาชาวเขา 2546 ดาเนินการในพื้นที่ 20 จังหวัดท่ีมีชาวเขาและประชากรบนพื้นที่สูง ลักษณะกิจกรรม - ประกอบด้วย การดาเนินงานด้านทะเบียนชาวเขา การแก้ไขปัญหาต่างๆท่ีเก่ียวข้องกบั 2558 ชาวเขา การสรา้ งความเขา้ ใจแกห่ น่วยงานและภาคส่วนที่เก่ียวข้อง โดยมีบทบาทหน้าที่ ตามภารกิจของหน่วยงาน ในการดาเนินการพัฒนาสังคมบนพ้ืนท่ีสูง รวมถึงเป็นผู้ ประสานงานด้านการพัฒนาสังคมบนพ้ืนท่ีสูง เพ่ือนาบริการเข้าสู่พ้ืนที่ และมีหน้าท่ีใน 3 ประเด็น 1.ทาหน้าท่ีประสานและสร้างความเช่อื มโยง โดยบุคลากรของศูนย์พัฒนาสังคมต้องลด บทบาทในการทาหนา้ ทีป่ ฏบิ ตั ิการ ควรให้หนว่ ยงานหลักเปน็ ผปู้ ฏิบตั ิ 2. ทาหน้าที่กระตุ้นให้ชุมชนเกิดความตระหนักในบทบาทหน้าที่ของตนเองในการท่ีจะ เปน็ เจ้าภาพในการจัดการส่งิ ทเี่ กิดข้ึนในชุมชน 3. สนบั สนุนใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงในทศิ ทางทีช่ ุมชนเปน็ ผ้กู าหนดงานพัฒนาสงั คมบนพน้ื ที่ สูงมีความมุ่งหวังให้ชุมชนมีการพัฒนาที่เกิดกระบวนการเรียนรู้บนฐานชีวิต วัฒนธรรม ภูมิปัญญาทอ้ งถน่ิ
44 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรียบเทยี บการพฒั นาบนพืน้ ทสี่ ูงในอดตี และปัจจบุ ัน ปี งานพฒั นาชาวเขา งานสง่ เสรมิ ความมน่ั คงในชุมชนบนพื้นทีส่ ูงตามแนวชายแดน การดาเนินกิจกรรมของชุมชนบนพื้นที่สูงในพื้นท่ี 20 จังหวัด มี 3,881 หมู่บ้าน เป็น หมู่บ้านท่ไี ดร้ บั การจดั ต้งั เปน็ หม่บู า้ นตาม พระราชบญั ญตั ิลักษณะการปกครองท้องที่ พ.ศ. 2547 จานวน 1,750 หมู่บ้าน ส่วนอีก 2,131 หมู่บ้านยังไม่ได้รับการพัฒนาที่จะ เข้าสู่ระบบการพัฒนาปกติ ซึ่งจะมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสัมพันธ์และสร้างความ เขา้ ใจทด่ี ีให้กับชุมชนบนพืน้ ท่ีสงู ตามแนวชายแดน เพอื่ ให้ชมุ ชนตามแนวชายแดน ได้รับ การพัฒนาตามแนวทางที่รัฐพึงประสงค์ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย 3 จังหวัด คือ เชียงราย เชยี งใหม่ และแม่ฮ่องสอน จานวน 1,800 คน ในปี 2555 โครงการพัฒนาสงั คมและสวัสดกิ ารชมุ ชนบนพ้นื ที่สงู (Highland Model) สานักพัฒนาสังคมได้กาหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมและสวัสดิการสังคมบนพ้ืนท่ี สูง (Highland Model) เป็น 3 แนวทาง เพอ่ื ขบั เคล่ือนการดาเนินงาน พัฒนาสงั คมบน พ้ืนท่ีสูงในระดับพื้นท่ีชุมชน/ตาบล เพื่อให้ถึงเป้าหมาย “สวัสดิการสังคมถ้วนหน้าในปี 2559 และพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ตามกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบับท่ี 11 ดงั นี้ 1. ขับเคลื่อนการจัดทาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการพัฒนาสังคมและสวัสดิการบนพ้ืนที่ สูง จานวน 67 ตาบล 2. ขบั เคลอื่ นการจดั สวัสดิการชมุ ชนบนพ้นื ทส่ี งู จานวน 75 ตาบล 3. การขับเคล่ือนการจัดทาศูนย์เรียนรู้เพ่ือการพัฒนาสังคมและสวัสดิการในชุมชนบน พื้นที่สูง จานวน 67ตาบล ในการส่งเสริม และสนับสนุนให้เกิดระบบเครือข่าย และ ประสานให้มีการพัฒนาสังคมและจัดสวสั ดิการที่เหมาะสมในแต่ละพ้ืนที่ชุมชนบนพ้ืนท่ี สงู 20 จงั หวดั ได้แก่ กาญจนบุรี กาแพงเพชร เชียงราย เชยี งใหม่ ตาก น่าน แมฮ่ ่องสอน พะเยา พษิ ณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ ลาพนู ลาปาง อุทยั ธานี เพชรบรุ ี ราชบรุ ี ประจวบคิรี ขันธ์ สุโขทัย สุพรรณบุรี และจังหวัดเลย มีประชากรกลุ่มเป้าหมาย 500,00 คน โดยมี กระบวนการหลัก/กรอบคิดการส่งเสริมสนับสนุนการจัดสวัสดิการชุมชนบนพ้ืนท่ีสูง เพอื่ ส่งเสริมสนบั สนนุ ใน 3 ยทุ ธศาสตร์ขา้ งตน้ คอื 1. การจัดเก็บข้อมลู ประชากรบนพืน้ ทส่ี ูงและการจดั ทาแผนทท่ี นุ ทางสงั คม 2. การพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพ้นื ฐาน 3. การสนบั สนุนกจิ กรรมการเรียนร้ใู นชมุ ชนบนพ้นื ท่ีสงู 4. การสง่ เสรมิ และพฒั นาศักยภาพวิถชี ีวิตชุมชนบนพนื้ ทสี่ ูง 5. การสง่ เสรมิ และจดั บริการสวัสดกิ ารสงั คมชมุ ชนบนพื้นทีส่ งู 6. การสง่ เสริมพัฒนาและอนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม โครงการพระธรรมจาริก กรมประชาสงเคราะห์ได้ดาเนินการโครงการพระธรรมจาริกต้ังแต่ปี พ.ศ.2508 เปน็ ต้น ปี มาและมกี ารพัฒนาเป็นลาดบั วัตถุปงารนะสพงฒั คนข์ อาชงโาควรเงขกาารพระธรรมจารกิ คือ เพือ่ พัฒนา ด้านจิตใจ แก่ประชากรบนพ้ืนที่สูงในถ่ินกันดาร พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนใน ถน่ิ ทุรกันดารใหม้ คี วามมั่นคง ในการดารงชวี ติ และเพอื่ ส่งเสรมิ บทบาทผู้นาและเครือขา่ ย ชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและจัดสวัสดิการสังคมในท้องที่ 14 จังหวัดทาง ภาคเหนือและภาคกลาง ได้แก่ ลาพูน เชียงใหม่ กาญจนบุรี แม่ฮ่องสอน ลาปาง เพชรบรู ณ์ เชยี งราย พะเยา นา่ น ตาก สุโขทยั กาแพงเพชร แพร่ และอทุ ยั ธานี การบริหารโดยคณะกรรมการงานในองค์กรท่ีมีการบริหารงาน 3 ส่วน คือ สานักงานบริหารงานพระธรรมจาริกส่วนกลาง(วัดปากน้าภาษีเจริญ และ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม) และสานักงานบริหารโครงการพระธรรมจาริกส่วน ภูมิภาค วัดศรีโสดาพระอารามหลวง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้วิสัยทัศน์ “ สังคม
ด้านจิตใจ แก่ประชากรบนพื้นท่ีสูงในถ่ินกันดาร พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนใน ชถน่ิุมทชนรุ กใหนั ด้เขา้ารมใหา้มมคีีสว่วานมรม่ว่ันมคใงนกในากรพารัฒดนารางแชลวี ะติ จแัดลสะวเัสพกดอื่าริกสวาง่จิ รเยั สสกราังรมิคศบึกมษทใานบเปทาร้อทยี บงผเททนู้ ยี่ี า1บแก4ลารจะพัเงัฒคหนรวาือัดบขนทา่พายนื้ งทส่ี ูงในอดีตและปจั จุบนั 45 เภพาชครเบหรู นณือ์ แเชลียะงภราายคกพละาเยงาไนดา่้แนงกา่ ตนลาพากพัฒสูนนโุ ขาเทชชยัาียวงกเใขาหแามพ่ งกเพาญชรจนแพบรุร่ี แม่ฮ่องสอน ลาปาง ปี และอุทัยธานี 2546 - การบริหารโดยคณะกรรมการงานในองค์กรท่ีมีการบริหารงาน 3 ส่วน คือ 2558 สานักงานบริหารงานพระธรรมจาริกส่วนกลาง(วัดปากน้าภาษีเจริญ และ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม) และสานักงานบริหารโครงการพระธรรมจาริกส่วน ภูมิภาค วัดศรีโสดาพระอารามหลวง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้วิสัยทัศน์ “ สังคม คณุ ธรรม ในวฒั นธรรมที่หลากหลาย ” โครงการสง่ เสริมเศรษฐกิจชุมชนบนพ้ืนท่ีสูง การส่งเสริมให้ประชาชนได้รับการพัฒนาทักษะด้านการประกอบอาชีพ และมีรายได้ จากการรวมกลุ่มประกอบอาชีพทางเลือกต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาศักยภาพ ประชากรบนพื้นที่สูง ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึน ดาเนินการใน 14จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี กาแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน แม่ฮ่องสอน พะเยา พิษณุโลก ปี เพชรบรู ณ์ แพร่ ลาพูน ลาปาง แลงะาอนุทพยั ฒั ธนานาชี าวเขา 225545ป68ชี -าวเขากกสนใัางาับนครรตเรมรแป้ังะะกแ็นกหบ้ไตรพขวบ่ปมลปา่ีกพเพัญงมาัฒ.ือหรศยนพง.าคุ2าใ5ัฒกชสน4าังานพ5รควื้คานมเป้าขทกแมกาี่าโลนดรใตะพุนษยสิ ั:ฒอยรว์ะงัสกนกคบดาาา์ปิกรชบรเกาาแกขงวรคยาาา้เร่งขจรนสชอาาพพู่ริงงกดัฒะทสัฒปําบร่วันญเนัพนนบาหายินทกชาชาง้าอาขกาารงวอนรวปถธเงภเิ่ขนชกรขาราาคยาเมวสใชรเตช่รู่อนข้กาปู างตากใสแรินา่วกบกปรานําบปัจรกทงจฏขับา้อุบัดิรดนงูแปันูแถปยทรลนิ่้งะกข่ีเใกบขตอน่ียงบอิสวรงัสงขาชคํา้อชนมางกวักกนาพเับขํารัฒสไาปิจทนสนธาู่ิ ขนอําไงปกสลู่กุ่มาเรปเป้าหล่ียมนาแยปไดล้งองยา่านงดย้า่ังนยกืนารโพดัฒยนภาาสรงกเคิจรขาอะงหก์ชรามวเพขัฒา นโดายแไลด้ยะุบสกวัอสงดสิกงาเครราไะดห้ท์ า กชิจาวกเรขรามกรเชม่นปรกะาชราฝสึงกเอคบราระมหก์ ทารําแใหป้ชรารวูปเขผาลเขิต้าภมัณาสฑู่ร์พะบ้ืนบบก้าานรพกัฒารนสา่ปงเกสตริเิมช่ทนชานงเพลื้นือรกาตบาม แชนาววเเขศารมษีคฐวกาิมจตพ่ืนอตเพัวแียลงะกสามรสารรถ้าผงลเคักรดือันขต่านยเดอ้งาในหก้เขา้ารสพู่รัฒะบนบาสกาังรคปมกแคลระอสงวสัส่วนดทิก้อางรถกิ่ นาร บเลร่ือิหมาใรสจใดันการกปอกงคทรนุองแระลบะอกบารปสรงะเชคารธาิปะไหต์ผยู้มกีราารยใไชด้สน้ ิท้อธยิและหน้าท่ีพลเมือง ชาวเขารู้จัก โกคารรงปกกาครรขอยงตานยเผอลงงเพานราโะคเรปงิดกโาอรกหาสลใวหงช้ เาพวื่อเขกาาไดรเ้เขก้าษไปตมรแสี ว่บนบรย่วมั่งยทนืางการเมือง ซึ่งจะทําให้ ดผโเกคลาดิรเิตนสงภกาํินัณนากรกึ ฑิจพขก์พัฒอรื้งนนรตบามนเ้ากเกนอาษงกรตตาฝ่อรรึกททสอี่สอ้่งบงูงเสถร(่ินรโมคิมตรท่างางกงๆาเรใลนหือพลกวื้นตงทา)ม่ีเปแ้านหวมเศารยษเฐชก่นิจพออบเรพมียหงลกักาสรูตสรร้ากงาเรคแรปือรขร่าูปย ดด้าําเนนกนิ กาารรพมาัฒตง้ันแตาส่ปัีงพค.ศม.2แ5ล1ะ2สเปว็นัสโคดริกงกาารรทกด่ี าาํ รเนบินรงาิหนาภรายจใัดตโ้กคารงรกการอองนั ทเนุน่ืองทมาบจาทกวพนระบรทาชเดราียรินการ ปสโกเดสจกภกดโดเกชศคชคง่ังาาัดอ้ลาาํําามูือู้ียนรรคเเแรรเเขมุ่งพิสนนนงงงฝสมยกนึ้ผพเกรลรกิินนปินึกรแ์ันพูป้เามิาองา้าโงพอาูงยลรแคเว่ัดงาฒอรหบาื่อพขะเยนรลุลขาแนคมสรยนสงเชใะยชมยมรรานดกหาวาเแีพรืยอ่ฮ้อืกายาดับ้า้คสัสกเ่อไขรรยทผานชสรชดดังงหา่้ไังรลผบานพ้อขีสิกยคยแตลงงผลจนุยอปัดฒปางา้งัมวเาํูพ้โา่งลแนรน้าใญัรงดคนนางหนิกตือรโยนใาวรหพคาปูป่ากกมหั่งนเงมสรระาาผีนยต่้คกงูลพเยังรแล4ืนแยรากินานคพา.ิตล0อมศาลารเธิกมัฒโภะบระส.แหดิโแลแาหณัตสนค2คพนยหาํลรลล5งาราลพภฑวต่งวใเะงสก5วุมใคเานูน์พิดกงง1สนศังทรรเใานื้คพวเรกนเพาอกุหกรขพมบัษส้ืจิะนา่พหบรตก้่ือแือ่า้หนขดฐมทล้นืพราแนลกอกิก์พวมรท่ีแจืน้ะกากงิจางกชัฒหล่ีสรใักทงป้าใรพนาว่พะวรหนรลน่ีสัญรจย7อัสรกมัฒพักาวสังังวเดําเพหสัสรจด่งนคหหพมแกิังฒัเะงัาตูามวพลสกพียคาหบพกัดรนรอืรันงงมะวาารกทิม้ืนาเชปแเทัดกรพวแาท่มียทาลกเภรามสชรลกีศาวาะะรา่ปีมาทแระงษูนเบสกรคเขเลปส้ังนตดเยลวสรอเใพาวูกหร่ัสร็จิหพ์าือหรบดสัือ่รแฝนดพนก้าาัฒ้กอด้าปูกบรกิ่นิงือตราานิกนาจเผบะาแาอชรคารคาสดัรปมลยสมียพรนโรือกังแ่งัรติคงไ่่าอืาํฮคยาดมนเรภจไงไคข่รอมืน้ขนิงปดวังยัณกร่ากงสยเหทท้ส่ังไาศอยสาาฑงวด่กูราํยะงรดรยเอดัมก้ขา์พทหคษืนหพ้ารเจิหยนนุรืน้ชฐ์คลนม้นืกาาากียวรบกีชยทรแะจิงงอ-รีวพาา้ลี่กใหพบมิตแรนหน้ืะา์อพคขลรกมกทเเกอะรชัฒา่พา่ีกาัวงรน่ รยีานรผรงาู้ติด สงเคราะห์ผู้มีรายไดน้ ้อย โครงการขยายผลงานโครงการหลวงเพ่ือการเกษตรแบบยั่งยนื ดําเนินกิจกรรมการฝึกอบรมต่างๆในพื้นที่เปูาหมาย เช่น อบรมหลักสูตร การแปรรูป ผลิตภัณฑ์พื้นบ้านการส่งเสริมทางเลือกตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง การสร้างเครือข่าย ด้านการพัฒนาสังคมและสวัสดิการ การบริหารจัดการกองทุน ทบทวนบทเรียนการ ดําเนินงานด้านพัฒนาสังคมและสวัสดิการสังคม รวมท้ังให้การสงเคราะห์ครอบครัวผู้ติดเช้ือ ผู้ปวุ ยเรอ้ื รัง ผูพ้ กิ าร และสงเคราะห์ การรวมกนั ประกอบอาชีพ โครงการขยายผลโครงการหลวงเพ่ือแก้ปญั หาพืน้ ทปี่ ลูกฝิน่ อย่างย่ังยนื ศูนย์พัฒนาสังคมดําเนินการในพื้นท่ีจังหวัดพะเยา น่าน แม่ฮ่องสอน กําแพงเพชร เชียงใหม่ และตาก ใหก้ ารชว่ ยเหลอื ชาวเขาด้านสังคมสงเคราะห์ การปูองกนั และแก้ไข ปัญหายาเสพตดิ อบรมหลักสูตรการแปรรูปผลติ ภณั ฑ์พื้นบ้าน การส่งเสรมิ อาชีพทางเลือก ตามแนวเศรษฐกจิ พอเพียง การสร้างเครือขา่ ยด้านการพฒั นาสังคมและสวสั ดิการ
ผลิตภัณฑ์พื้นบ้านการส่งเสริมทางเลือกตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง การสร้างเครือข่าย 46 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรียบเทยี บการดดพ้ําาัฒเนนนกิานบางนราพพนนื้ ัดฒท้าี่สนนูงาใพนสอัฒังดคนตี แมาลสแะังลปคจัะมจสบุแวนัลัสะดสิกวัสารดิกกาารรสบังคริมหารรวจมัดทก้ังใาหร้กกาอรงสทงเุนครทาะบหท์ควรนอบบคทรเัวรผียู้ตนิดกเชา้ืรอ ปี โผคู้ปรวุ งยกเราื้อรรขังยผายู้พผิกลารโคแรลงะกสางรเคหรลาวะงงหาเน์พกพ่ือารแฒั รกวนป้มาัญกชันหาปาวรพเะขืน้กาอทบป่ี อลาูกชฝพี ่นิ อยา่ งยงั่ ยนื ศูนย์พัฒนาสังคมดําเนินการในพ้ืนที่จังหวัดพะเยา น่าน แม่ฮ่องสอน กําแพงเพชร เชียงใหม่ และตาก ใหก้ ารชว่ ยเหลือชาวเขาด้านสังคมสงเคราะห์ การปูองกนั และแก้ไข ปญั หายาเสพติด อบรมหลักสูตรการแปรรปู ผลิตภัณฑ์พน้ื บ้าน การสง่ เสริมอาชีพทางเลือก ตามแนวเศรษฐกจิ พอเพยี ง การสรา้ งเครอื ขา่ ยด้านการพฒั นาสงั คมและสวสั ดกิ าร รยรยะะุคคุ หหสสววววา่่าสััสงงดด2กิ2กิ 55าา5ร5รห9ห9ลล--าาปปกกัจหจัหจจลลุบบุาายันยนั ป2ป2ัจ5จั55ปจ5ปจ9ุบี9ุบี ันนั-- สพเเงดสดจมสสกทดพดรสปขโจส---สกภถ-ดพกกสโภทส-สสสถปจจดสงมพสดเรเข-ดศเดศศเศดาักััด่า่่ง่ัาับางาิาักงนีาาา้้้แดนภงรนูกกััร้ืนดา่าาั่่่งับาางิงนีม้้าา้าแดนภงูรนกก้นืรามรยนกรรเเยธยเษรรนกรนนนเะคเยะธตเษรรงนรนนนคะาาแะตต่ืองนทาบิสราาแสสษตื่สอทาบิสสสษสนษาาวพทนพษกสาาพวปะรรทาพั้งกมกกกสปละรราวพ้ัั้งงมกกกรลงวพร่ีั้ังรรธงรงฐรร่ีัจรธงราฐรจอเสอัาดฒาฐอา2อสเอจรัาทดฒาาาอัฒฐาิม2ะิแจรพมทิาาาฒัมิมพะณสคิแพพมกริมพหณสคพขกรนหขรัตรงมนบัดกรรรรตัรางมบดักกรรรกาาสลกนก่งิากริจสลแน่มิพมน่ง้ืิก้รอจิคนา้แลมิ่พมปนื้้อปกคลน้าพพพลกปินิคปกจลคพพพกงิินคาเาจคงวาเมาะาาหงวมพะามาหงิ์กัากสพธมาทกักิกั์ากสรฏรวธรสาทกัรกทวรพฏรัฒฒัฒัวรสัรสทวฝพคสฒฒััฒัรัสพฝคสเรค่งพรูรเกลรน้ืคาะง่ภรสษาูาบรกลรนื้าาะ่ีภงัิาสษาบบนาี่รังจิดาบุ่นณอรจงดาุ่ขณอมินนนชังษณุมฒขาโรผมินนนสชคัมษทณุูมฒญาโผรัสคคมรณทมณูญยัคัรณดัมณีิยกเตยยัดัีเิกเตบัยยรุพปมเบัาาาู้รรปัฎภุพปมมลหิงาาาู้รปสีส่ัภฎมอืลหิงชพหสีส่ภอืนเทชพหาชิภนจบม์แเทาชิจบฑู้สเสกม์แเชคลัฑู้ฒสเสกสเาชครลราัีเฒาสารระารีเศาคราีระาศนคัดยราาลแาีาขนัดยปนาศลแาาิ่งังดขนูกปะนพศบ์รามี่ังงิดยนเกูิะพบ์รมีลสมยภเิพลนลรสมภแอพลกนระลง์รคแียแอรกะล์งนูรจคแียชสรปพรนูเจหชสพนปชรเ”อัหงษนชูอ่ืมส”อังษเพาผคูอื่สพมาียะชวพเายวผมคพาียะดัชววยวันมบยะัดวคา่ันื้บยปะีนวเนคนพา่ื้ปีนวรเนนรนพิพฐนรแสนวน่ริพฐัฒดานพัีวแส่ืนวอ่ฒนกัฒดใาพัส์วีื่เอฒนบกิปตใมส์เบาิตป็ลม้ฐา้านื้าน็กลา้แฐน้าานล่งิื้นพงลักาแแนิตลงิ่บลพัเงลา่อืแิต่งบลเรา่ือษนง่ชนแดัญรษุม่นนามชนแแปดัญุม่นาิจมยผแะปทแใอจิยผเระลทแ้อใอเรู้สณลสชอู้้สณุมลนสชาิสนพฎจุนมวลภนาิสนพฎจธั่ก็นนวภนชหงนธ่ัก็ดน่ีสนชหงะนมดี่ส่งะมทง่นาะชดทรคนาีขะรชด้ืนรา้คแยูรมาีขุมร้ืนฯ้าแยูกรมเาูลุามุงขฯกวเูุลางขวจตมิกักสุนลบขจตมินกรนักอสรุนลืบขนรททนิใลนทอรชืลททิใลนยทอชทลยอทาิกาจจษรพาอ้แนิกมาจจบษนรพอ้แนงมบจนนง่ีสะาาเไจนบ่สีะาาเเไรบามิเดัารบามิมดกัดาาะักบมขปดกโนนกาพะงักขปงูดโนงนกดพงดงูพงดรเงพสกรเงดดชสชสากบดดขชชอสาาบขา็นขพอ้ืาธน้าขา็นทพจกื้รธน้างทจักฒรวงาเัรฒีวยวังารเรับีบนวยังนรตงัุ์บบนตบลน่วตาัดื้ง์ุนทตบลว่าา้ืัดนรสัเะทมาครสัเิตะเมคิตนเคนรเนรูกมคนนกหรก็้อเกูรสกมปนกรหท็ก้อนี่กสสดปรเทนค่ีสมีดสเคีมื่อสณ้น่อืาอณาาก้บนางอพวัษดาากบอต่างพูวัษดกิง่ีสอตาู่พลกิง่ี่แสวพ(ลง่แอวรร(มงอรบััสมรมใอีWาับัสมาาใยตอีาWถฒัาูงาายตื่านอลถัฒูงม้ื่ืนอใลยนนโมื้ใีกยนนโดกช“ีนหกนเรดกช“นหรนเรนชดกรนนะชดกรีรa่นะานน(ีรรa่าาชนทนบากิ(พีาชทบบาุริกนพีาศบุร้นปยจาา่ศรร้งวtปภยกจา่รรงวtภรรกิาุนรรามกัิ่ีานุนสาแeกัมห่ีน่วนยยสแรeัหัดนรว่นบมยยรรัดันวรราบมมูรชรวราูมชรษชงลูยrพษสงไชั่งงลูยrพสพมะลสงไ่ว่ัรงา้อขพมะลสส่วรา้รsอสิขสารsดสิาาดย์งะานย์งะ.้ืนมโพงนัวh.กน้ืมข้ืโพมงนัอังวhอกวงัข้ืม)นอังอเานวงั)้เยคเืานน้เแยคืนัสแนกคทชeคัสัพฒนกคปทนอชงeคเทันพฒงปนองทเทนงทชวผชขว”ผดับขมิงdั้ท”มด่สีนบัมงิd้ัขทแื่ม่ีสานงอทรี่ลขแื่างนาาอทรี่ลนานานบนานิกบชาภ)งูิพกุรัชกภ)งูๆพชอบมุรหัากทเๆุกอชบมหาทาเุก์”ากไทรู์”ามุไกทูราราามุดภารรามญ)งดภรรดภนบมาญง)รดภนบณาราณีรคี่ดษชายีะคี่ดษช(ยชอะะห่ัน(าชอ้อะห่ัาน้าสาอ้รแบรา้าสารบแรีเาินรนกนีเินัรนฎนดกคนงคัฎทนดยคคนคูปงใคัทงยคนคเูปลใังูรเาลูราาบทชคัาบบรศซทสชคสคา่รับรงรศซ่ีสจค้สาา่รแงรี่จช้าะณแรชะณรู้้ปนง์ทวี่เือึู่้่งก้ว่บปนวมพงท์รทว่ีัเดือ่ึ่งก่วบวมพทบรัดบดนบหบดนคหเิคนถเพารินขษานถใราพรนข่ีกสษาื้นนใรสกี่บสื้านนนส้บาอรมน้หอะรงมกีหา่ชะงกชีื้น่าช่รงฐรช้ืน่ียท่รงฐรพก่ีอยทดพพอกมอดาพยโอโ้แมายโาีเโ้แะุัวสาีเมทกะุัวสงมทกยี่าบงดสัง้ืะยาี่าบนดสืน้ังื้ะนากนรน้ืนิบกรตตขิคบิตตขรชจน่สีคิชหรชจนส่ีรสยคชหรสยคทท่ผทแาทท่ผทแอ่วอาพือแอวู่งอพืพิอมแี้นนูงพิามม้ีมนลนามมลู้หรลั้่ีสี่นงู้หรลส้ังี่สก่ีนงสงลัฒกรกลัฒ์รทมุอกีกอั์บ(ทุมอีกดะอับพ(“งูลดะูพ“กูงางลคทูกเางะคทาเะาัแบี่ดนเงศบัแบี่ด้นคเงาศปบรั้ครากาปรัสรรากพ่เีสสรพ่ีเคสลินคูนาเลคพนิหนณะรรนูาเคพนหณ็ะรรจปสน็จปสนัพีงย์ัพะโกีงย์ิะโกกเทวบยิกเมัทวงบยกัดมัดงก.ัดะรรคด.ะรย่ืรคงอร)ย่ืาางท์เรอ)ี่าเาาท์เาส่ีาเาียา“ักยชสาีรย“ักยเชัง่หมรชมรเัง่หมชทเมรทะทเลทะรปลวนียรครยปวนปียญครยุปญมมรลุอมสมารลอาสสพัสารราสพนั็สืนารรนรน็ืนาร็นนว็หชาานมวยางหชาามมวยมางดนู้ัมมวดฒรนู้ัฒรแดะมแคนดขนกะมขตแมคนขนกขติกแกเมู้เึงิกกเู้เึงสนชดพน์สถนชดพกออ้าลใานา์ทถถกออา้ลใาาาาทถาานมั็นจทมึนม่ืวัอร็นจทงางะรมึงรร่ืวอึรงั้งาะงงรรงรึงั้ง่ี่ี
การวิจัยการศกึ ษาเปรียบเทยี บการพัฒนาบนพืน้ ทีส่ งู ในอดีตและปัจจบุ ัน 47 ปี งานพฒั นาชาวเขา - ส่งเสริมการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง (ได้แก่ปลูกไม้เศรษฐกิจ ไม้ผล และไม้ฟืน นอกจากได้ประโยชน์ตามช่ือของไม้แล้วยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้แก่พื้นดินด้วย ทาให้คนอยู่ รว่ มกับปา่ ได้อยา่ งยง่ั ยืน) กรอบแนวคิดการพฒั นาสังคมบนพนื้ ท่สี ูง - ใชห้ ลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง - ชมุ ชนพึ่งตนเอง - พัฒนาเศรษฐกจิ พัฒนาสงั คม พัฒนาสิง่ แวดลอ้ ม - ลดความเหลื่อมลา้ - ความเสมอภาค - สิทธคิ วามเป็นพลเมือง - การมีส่วนร่วมของประชาชนและเครือขา่ ย กลไกการขับเคลื่อน - กรมพัฒนาสังคมและสวสั ดิการกองพฒั นาสังคมกลุม่ เป้าหมายพเิ ศษ - ศนู ย์พัฒนาราษฎรบนพืน้ ท่ีสูง - เขตพัฒนาสงั คมฯ/หน่วยฯ , - ศูนย์เรยี นรูเ้ พื่อการพัฒนาคุณภาพชีวติ ชุมชนบนพ้นื ที่สงู ( ศรส. ) - ศนู ย์สง่ เสรมิ สวสั ดิการสังคมชุมชนบนพนื้ ท่ีสูง ( ศสส. ) บทบาท/หนา้ ท่ี กองพัฒนาสังคมกลุ่มเป้าหมายพเิ ศษ กับการพัฒนาบนพน้ื ท่สี งู 1. พัฒนารปู แบบ แนวทางในการพัฒนาสังคมกลมุ่ สมาชิกนิคมสร้างตนเอง กลุ่มราษฎร บนพ้ืนที่สงู และกลมุ่ เปา้ หมายพิเศษ 2. ส่งเสริม สนับสนุน และประสานการดาเนินงานพัฒนาสังคมกลุ่มสมาชิกนิคมสร้าง ตนเอง กลมุ่ ราษฎรบนพน้ื ที่สงู และกลุ่มเป้าหมายพิเศษ 3. ดาเนนิ การตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการจดั ท่ีดนิ เพอื่ การครองชีพ เฉพาะในสว่ นท่ี เกยี่ วข้องกับนคิ มสรา้ งตนเองและกฎหมายอื่นท่เี กี่ยวขอ้ ง 4. ดาเนินกิจกรรมตามโครงการพระราชดาริ โครงการตามพระราชประสงค์ โครงการ พระดาริ และโครงการอ่ืนทีไ่ ด้รบั มอบหมาย 5.กากับ ดูแล และติดตามการดาเนินงานของนิคมสร้างตนเองและศูนย์พัฒนา ราษฎรบนพื้นทีส่ งู 6.ปฏบิ ตั ิงานร่วมกนั หรอื สนบั สนุนการปฏบิ ัติงานของหน่วยงานอน่ื ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง เปา้ หมายการพัฒนาสังคมและสวสั ดิการสงั คมบนพนื้ ทสี่ ูง 1. บุคคลพื้นที่สูง ได้รับบริการด้านการพัฒนาสังคมและสวัสดิการอย่างท่ัวถึง และได้มาตรฐานตลอดจนมีความรู้ ความเข้าใจเร่ืองสิทธิและหนา้ ทีข่ องตนเอง 2. บุคคลพื้นท่ีสูงได้รับการป้องกัน แก้ไข พิทักษ์ คุ้มครองและพัฒนาศักยภาพ อย่างทัว่ ถงึ และเปน็ ธรรม 3. องค์กรในชุมชนได้รับการเสริมสร้างและพัฒนาให้เกิดกระบวนการพัฒนา สงั คมและจัดสวสั ดิการอยา่ งมีประสิทธิภาพ
48 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรยี บเทียบการพัฒนาบนพืน้ ทส่ี งู ในอดตี และปจั จบุ นั ปี งานพัฒนาชาวเขา 4. เป็นศูนย์กลางในการประสานและเสริมสร้างเครือข่าย ในการนาบริการด้าน สวสั ดกิ ารสงั คมส่ชู มุ ชนบนพ้นื ทสี่ ูงอย่างเป็นระบบ 5. พัฒนาระบบการจดั การและบริหารองค์กรเขา้ สูร่ ะบบมาตรฐานสากลของประเทศ ไทยดา้ นการจัดการและสัมฤทธผ์ิ ลของภาครฐั (PSO) Thailand International Public Standard Management System and Outcomes “ราษฎรบนพืน้ ทีส่ ูงมี คุณภาพชวี ิตท่ดี ีข้นึ ” ศนู ยพ์ ัฒนาราษฎรบนพืน้ ท่ีสูง จานวน 16 แหง่ 1.ศูนยพ์ ฒั นาราษฎรบนพ้นื ที่สูงจงั หวัดเชียงราย ตู้ ปณ.12 (ปท.แม่จัน) อาเภอแม่จนั จังหวัดเชยี งราย จังหวดั เชยี งราย 57110 โทรศัพท์ 0-5360-2579 โทรสาร 0-5360-2580 2.ศนู ย์พฒั นาราษฎรบนพื้นท่ีสูงจงั หวดั แม่ฮ่องสอน 20/16 หมู่ 4 ตาบลแม่เหาะ อาเภอแม่สะเรียง จงั หวดั แมฮ่ ่องสอน 58110 โทรศพั ท์ 0-5368-7984 โทรสาร 0-5368-7984 3.ศนู ยพ์ ฒั นาราษฎรบนพนื้ ท่ีสงู จังหวัดเชยี งใหม่ 103 หม1ู่ 2 ถนนวงแหวนรอบกลาง ตาบลปา่ แดด อาเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50100 โทรศัพท์ 0-5327-9264 โทรสาร 0-5327-9264 4. ศนู ยพ์ ฒั นาราษฎรบนพ้ืนที่สงู จังหวดั ลาพนู ม.10 ตาบลบ้านกลาง อาเภอเมือง จงั หวัดลาพูน 51000 โทรศัพท์ 0-5353-7707 โทรสาร 0-5353-7338 5.ศนู ย์พัฒนาราษฎรบนพ้นื ที่สูงจังหวัดลาปาง ถนนลาปาง – แจห้ ่ม อาเภอเมอื ง จังหวัดลาปาง 52000 / ตู้ปณ 50 ลาปาง 5200 โทรศพั ท์ 0-5482-5620-1 โทรสาร 0-5482-5620-1 6.ศนู ยพ์ ฒั นาราษฎรบนพ้ืนท่ีสูงจงั หวดั ตาก ตู้ ปณ 2 ตาบลแม่ท้อ อาเภอเมืองตาก จังหวดั ตาก 63000 โทรศัพท์ 0-5550-8831 โทรสาร 0-5557-7205 7.ศูนย์พฒั นาราษฎรบนพ้ืนที่สูงจังหวดั อทุ ยั ธานี ศาลากลางจังหวัดหลงั เดิม ช้ัน 2 ถ.ศรอี ทุ ยั ต.อทุ ัยใหม่ อ.เมืองอุทยั ธานี จังหวดั อุทัยธานี 61000 โทรศพั ท์ 0-5652-0723 โทรสาร 0-5652-0723 8.ศนู ย์พัฒนาราษฎรบนพน้ื ที่สูงจงั หวดั ราชบรุ ี 99/14 หมู่14 ตาบลบา้ นไร่ อาเภอเมอื ง จงั หวัดราชบุรี 70000 โทรศัพท์ 0-3273-8803 โทรสาร 0-3232-8236
การวิจยั การศึกษาเปรียบเทยี บการพัฒนาบนพน้ื ที่สงู ในอดีตและปจั จุบนั 49 9.ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพืน้ ท่ีสูงจังหวดั พะเยา ศาลากลางจังหวดั พะเยาหลังเก่า ถนนพหลโยธิน อาเภอเมือง จงั หวัดพะเยา 56000 โทรศพั ท์ 0-5672-6627 โทรสาร 05672-6628 10.ศูนยพ์ ัฒนาราษฎรบนพนื้ ท่สี ูงจังหวดั นา่ น 113 หมู่ 1 ถนนนา่ น-ทุง่ ชา้ ง ตาบลผาสงิ ห์ อาเภอเมือง จงั หวดั น่าน 55000 โทรศพั ท์ 0-5468-2039 โทรสาร 0-5468-2052 11.ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพ้นื ทส่ี ูงจังหวัดแพร่ 110 บ้านปทุม หมู่ 2 ตาบลเหมืองหม้อ อาเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ 54000 โทรศพั ท์ 0-5451-1189 โทรสาร 0-5452-1728 12.ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นท่สี งู จังหวัดพษิ ณโุ ลก 334 หมู่ 6 ตาบลทา่ ทอง อาเภอเมืองพิษณุโลก จงั หวัดพิษณโุ ลก 65000 โทรศพั ท์ 0-5522-7635 โทรสาร 0-5522-7635 13.ศูนยพ์ ัฒนาราษฎรบนพื้นท่สี งู จังหวดั เพชรบูรณ์ 99/11 หมู่ 5 ตาบลสะเดียง อาเภอเมืองเพชรบรู ณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ 67000 โทรศัพท์ 0-5672-6627โทรสาร 0-5672-6628 14.ศูนยพ์ ฒั นาราษฎรบนพื้นทสี่ ูงจงั หวดั กาแพงเพชร 288 หม1ู่ ตาบลคลองลานพัฒนา อาเภอคลองลาน จังหวดั กาแพงเพชร 62180 โทรศัพท์ 0-5586-8589 โทรสาร 0-5586-8589 15.ศูนย์พฒั นาราษฎรบนพ้ืนทสี่ ูงจงั หวัดกาญจนบรุ ี ศาลากลางจงั หวดั กาญจนบรุ ี อาคารเดิมชัน้ ลา่ ง อาเภอเมือง จังหวัดกาญจนบรุ ี 71000 โทรศัพท์ 0-3451-2452 โทรสาร 0-3451-2452 16.ศนู ย์พฒั นาราษฎรบนพ้นื ท่ีสูงจังหวดั เพชรบุรี 187/20 หมู่3 ถนนสูง ตาบลชอ่ งสะแก อาเภอเมือง จงั หวดั เพชรบรุ ี 76000 โทรศัพท์ 0-3240-0762 โทรสาร 0-3240-0762 7. ประวตั ิงานพัฒนาชาวเขา (ในเอกสารการจัดการความรู้ งานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา : โครงการคลังปัญญางาน พฒั นาชาวเขา 53 ปี ได้) กล่าวถงึ ความเป็นมาการพัฒนาและสงเคราะหช์ าวเขาในยคุ ตา่ งๆ ดังน้ี จุดเร่ิมต้นงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาในประเทศไทย เท่าที่ปรากฏหลักฐาน ชดั เจน เรม่ิ ต้ังแตห่ ลังสงครามโลกคร้ังที่ 2 คือราว พ.ศ. 2488 จากการท่มี กี ลุม่ มชิ ชันนารี กลุ่มชาวเขา และกล่มุ คนตา่ งด้าวหลงั่ ไหลจากประเทศพมา่ ลาว ญวน และจีนตอนใต้เขา้ มาสู่ประเทศไทยตามลาดับ ประชาชนกลุ่มหนึ่งรวมเรียกว่า “ชาวเขา” ตั้งแต่ทศวรรษที่ 2490 ทั้งน้ีเน่ืองมาจากปัญหาฝ่ิน รัฐบาลได้ ตระหนักว่าชาวเขามีการดารงชีวิตแตกต่างไปจากคนไทยโดยท่ัวไปคือ ด้วยการเจริญท้ังการครองชีพ การศึกษา อนามัย ตลอดท้ังการยังอยู่ในท้องถ่ินทุรกันดาร ห่างไกลการคมนาคม ซ่ึงง่ายต่อการ
50 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพฒั นาบนพ้ืนท่สี ูงในอดีตและปจั จบุ นั แทรกซึมของฝ่ายตรงกันข้าม อันก่อให้เกิดปัญหาด้านความม่ันคงปลอดภัยของชาติ รัฐบาลจึงให้ ความสาคัญเกีย่ วกบั งานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ด้วยการกาหนดนโยบายและองค์กรบริหารงาน ด้านชาวเขามาโดยตลอด นโยบายการพัฒนาชาวเขาและสงเคราะห์ชาวเขาจึงมีวิวัฒนาการมาเป็น ลาดับ เรม่ิ จากการให้การสงเคราะหต์ ้ังแต่ปี พ.ศ. 2510 – 2525 จนถงึ การบูรณาการในการแก้ปัญหา ตามแผนแม่บทพัฒนาชุมชนส่ิงแวดล้อม และการควบคุมพืชเสพติดพื้นท่ีสูง ฉบับท่ี 1,2,3 (พ.ศ. 2535 - 2549) และหลังจากมีการปฏิรูปราชการในปี 2545 นโยบายเกี่ยวกับชาวเขาไม่มีการกาหนดนโยบายใหม่ ออกมาอีก หน่วยงานที่เก่ียวข้องจงึ ดาเนนิ งานชาวเขาไปตามแผนแม่บทพัฒนาชมุ ชนฯ ฉบับที่ 3 จวบ จนกองสงเคราะหช์ าวเขา และสถาบนั วิจยั ชาวเขาได้ถูกยุบเลกิ ไป แต่งานพฒั นาชาวเขายงั คงมีอยู่และ มกี ารจัดบรกิ ารสวัสดกิ ารสังคมใหช้ าวเขา ในฐานะเปน็ ประชากรกลุม่ เป้าหมายที่กรมพัฒนาสงั คมและ สวัสดิการ ต้องให้การดูแล ด้วยเหตุนี้กรมพัฒนาสังคมและสวสั ดิการจึงไดจ้ ัดต้ังกลมุ่ งานพัฒนาเฉพาะ พื้นที่สูงขึ้น เป็นกลุ่มประสานการจัดสวัสดิการแก่ชุมชนบนพื้นที่สูงรับผิดชอบงานด้านชาวเขา ต่อมา เมื่อมีการจัดตั้งสานักพัฒนาสังคม ก็ได้ย้ายงานชาวเขามาเป็นฝ่ายๆหนึ่งในสานักพัฒนาสังคม ทางาน เก่ียวกับชาวเขาในลักษณะงานปกติ ส่วนโครงการเฉพาะต่างๆ ที่เกี่ยวกับชาวเขา อันได้แก่ โครงการ หลวง โครงการพระราชดาริ โครงการพระธรรมจาริก และโครงการสง่ เสริมเศรษฐกจิ ชุมชนบนพื้นที่สูง ไดถ้ ูกนามารวมกันเปน็ ภารกิจของส่วนบริหารโครงการพิเศษในสานกั บริการสวัสดิการสังคม งานพฒั นาชาวเขาในยคุ ตา่ งๆ มี 4 ยคุ คอื - งานพัฒนาชาวเขายคุ แรก พ.ศ. 2494 – 2502 (ก่อนเกดิ กองสงเคราะห์ชาวเขา) รัฐบาลในขณะนั้นมีความเป็นห่วงปัญหาความสงบเรียบร้อยตามชายแดน ดังน้ัน ในปีพ.ศ. 2494 จึงได้เริ่มเข้าไปช่วยเหลือชาวเขาตามป่าเขาและพื้นที่ทุรกันดารในรูปแบบของ การสงเคราะห์ประชาชน ผู้ยากไร้ ห่างไกลคมนาคมเป็นปีแรก โดยมีหน่วยตารวจตระเวนชายแดน เป็นหน่วยบุกเบิกและกรมประชาสงเคราะห์ให้การสนับสนุน ต่อมาปี 2497 ได้จัดตั้งกองบัญชาการ ตารวจตระเวนชายแดน ข้ึนแทนกองบัญชาการรักษาดินแดนเดิม เพื่อทาหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของ ประชาชนไกลคมนาคม รวมท้ังชาวเขาด้วย รัฐบาลในสมัยนั้น เห็นว่าชาวเขามีหลายชนเผ่า มกี ารดารงชวี ติ ทแี่ ตกตา่ งไปจากคนไทยทวั่ ไป คอื มสี ภาพความเป็นอยูท่ ี่ยากไร้ ดอ้ ยความเจรญิ ท้งั การครอง ชีพ การศึกษา การอนามัย ตลอดท้ังต้ังบ้านเรือนอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ห่างไกลคมนาคม ซึ่งง่ายต่อการ แทรกซึมของฝ่ายตรงข้าม อันก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ท้ังในและนอกประเทศ และความม่ันคงปลอดภยั ของชาติ ดังน้ันรัฐบาลสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีคาส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสงเคราะห์ ประชาชนไกลคมนาตม เม่อื วนั ที่ 7 สงิ หาคม 2499 และให้กองบัญชาการตารวจตระเวนชายแดน เปน็ หน่วยหลักในการแก้ไขปัญหาระดับสนาม โดยกรมประชาสงเคราะห์ให้การสนับสนุนในด้าน เคร่ือง อุปโภคและบริโภคท่ีจาเป็น การดาเนินการช่วยเหลือประชาชนไกลคมนาคม ซึ่งส่วนใหญ่ เป็น ชาวเขาได้เจริญก้าวหน้าตลอดมา โดยเฉพาะกรมประชาสงเคราะห์ได้เน้นหนักไปในการช่วยเหลือ พัฒนาชาวเขาให้เข้ามาอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มก้อนอยู่ในนิคมสร้างตนเองเสียเป็นส่วนใหญ่จนในที่สุด คณะรัฐมนตรี ได้พิจารณาข้อเสนอของกรมประชาสงเคราะห์ เมื่อวันท่ี 3 ตุลาคม 2502 มีมติให้ ดาเนินการจัดต้ังนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขาเป็นการทดลองขึ้นท่ีจังหวัดตาก เชียงใหม่ เชียงราย เพชรบรู ณแ์ ละพิษณโุ ลก และแตง่ ตั้งคณะกรรมการสงเคราะหช์ าวเขาขึ้นเพ่ือทาหนา้ ท่ี ใน
การวจิ ยั การศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพัฒนาบนพน้ื ทส่ี งู ในอดีตและปจั จบุ ัน 51 การกาหนดนโยบายให้การดาเนินการเป็นไปตามเป้าหมาย เป็นผลให้คณะกรรมการสงเคราะห์ ประชาชนไกลคมนาคมตอ้ งสลายตวั ไปโดยปรยิ าย - งานพัฒนาชาวเขา ยคุ ที่ 2 พ.ศ. 2502 – 2510 (ระยะกอ่ ตง้ั งานชาวเขา) หลังจากเจ้าหน้าทกี่ รมประชาสงเคราะห์ได้ลงพื้นท่ีปฏบิ ัติงาน ได้สัมผัสชีวติ ความเป็นอยู่ ของชาวเขาที่อยู่ห่างไกลยากลาบาก กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย มีความเห็นว่า ชาวเขาต่างๆ มีหลายชนเผ่า มีขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา และความเชื่อแตกต่างกัน มีอาชีพใน การปลูกและจาหน่ายฝ่ิน ทาไร่เลื่อนลอย มีการโยกย้ายถิ่นที่อยู่เพื่อแสวงหาพ้ืนท่ีใหม่ๆ เพ่ือใช้ใน การเพาะปลูกตลอดเวลา อันมีผลเป็นการทาลายป่าและต้นลาธาร และชาวเขาเหล่าน้ันไร้การศึกษา โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน และการดารงชีพอย่างแร้นแค้น เป็นการง่ายต่อการแทรกซึมจากภายนอก ประเทศ ถ้ามิได้เร่งรัดดาเนินการแก้ไขอย่างทันที ก็ย่อมจะเป็นผลร้าย ต่อความม่ันคงและ ความปลอดภัยของประเทศเปน็ อย่างมาก ปี พ.ศ. 2502 กรมประชาสงเคราะห์จึงได้เสนอคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาปรับปรุงคณะกรรมการ สงเคราะห์ประชาชนไกลคมนาคม (สมัยจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ เม่ือวันที่ 3 มิถุนายน 2502 ให้เปล่ียนแปลงโดยแต่งต้ังคณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขาแทนซึ่งเป็นองค์กร ระดับชาติองค์กรแรกท่ีมีหน้าที่วางนโยบายชาวเขา และเน่ืองจากงานพัฒนาชาวเขาเป็นงานท่ี กว้างมาก จาเป็นต้องร่วมมือกันทุกฝ่ายจึงได้แต่งต้ังคณะอนุกรรมการสาขาต่างๆ เพื่อปฏิบัติหน้าท่ี เฉพาะกิจ รวม 5 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการสงเคราะห์ชาวเขาส่วนจังหวดั คณะอนุกรรมการตรวจ สภาพพ้ืนที่ คณะอนุกรรมการสาขาการศึกษา คณะอนุกรรมการสาขาอาชีพ และคณะอนุกรรมการสาขาการ จดั ตง้ั ศูนยว์ ิจยั ชาวเขา นอกจากนี้ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2502 มอบหมายให้กรม ประชาสงเคราะห์ จดั ต้ังนคิ มสร้างตนเองพัฒนาชาวเขาขึ้นในพื้นท่ีท่มี ีชาวเขาอยู่อยา่ งหนาแน่น 4 แหง่ โดยมวี ัตถุประสงค์ ดงั น้ี 1) เพ่ือจัดหาบริเวณอันเหมาะสมให้แก่ชาวเขา ซ่ึงอยู่กระจัดกระจายไม่เป็นรูปหมู่บ้าน ยากแก่การท่ีเจ้าหน้าที่จะเข้าไปดาเนินการพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาได้โดยท่ังถึง ให้ได้มาต้ังหลัก แหล่งประกอบอาชีพเป็นการถาวรในเขตนิคมชาวเขา และให้การพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ท้ังด้านอาชีพ การศึกษา การอนามัย และการเสริมสร้างความเจริญในชุมชนน้ันขึ้น เพ่ือให้ชาวเขา ติดที่อยู่ มีอาชีพเป็นหลักแหล่งแน่นอน เลิกปลูกฝ่ิน เลิกการทาไร่เลื่อนลอย ไม่เคลื่อนย้ายทาลาย ปา่ ไมต้ ่อไป 2) เพื่อใช้เป็นแหล่งกลางสาหรับการทดลองและสาธิตด้านการเกษตรบนเขา เพื่อหา พันธ์ุสัตว์ท่ีเหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศบนเขา และรายได้เพียงพอกับการดารงชีพแล้วนาออก ส่งเสรมิ และเผยแพรแ่ ก่ชาวเขาแทนฝิน่ ต่อไป 3) เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางสาหรับการติดต่อค้าขายของชาวเขาตามหมู่บ้านต่างๆ กับคน ในพื้นท่ีราบและเป็นศูนย์กลางในการจัดอานวยความสะดวกและบริการต่างๆให้แก่ชาวเขา โดยการ จัดสาธารณปู โภค ที่จาเป็นให้ จัดจาหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภคที่จาเป็นในราคาถูก และส่งเสริมความ เจริญในชมุ ชน เพื่อใชเ้ ป็นตวั อยา่ งแก่ชาวเขาท่อี ยู่ใกล้เคียงนอกนคิ ม
52 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรียบเทยี บการพฒั นาบนพนื้ ทีส่ ูงในอดีตและปจั จบุ ัน 4) เพื่อใชเ้ ป็นศูนย์กลางในการศกึ ษาและเผยแพร่ขนบธรรมเนยี มและวฒั นาธรรมของชาวเขา โดยส่งเสริมและสนบั สนุนใหป้ ระชาชนและชาวต่างประเทศ ขึ้นไปศกึ ษาและทศั นาจรบนภเู ขา 5) เพ่ือใช้เป็นแหล่งทดลองหาวิธีให้ชาวเขาสามารถต้ังหลักแหล่งและทามาหากินเป็น การถาวร ไมเ่ คล่ือนย้ายทาลายป่า ต้นน้าลาธาร อันจะเป็นตัวอยา่ งอนั ดตี อ่ ชาวเขานอกเขตนคิ มต่อไป 6) เพ่ือใช้บริเวณนิคมสร้างตนเองเป็นสถานที่สาหรับท่ีฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะออกไป ปฏิบัตงิ านให้การพฒั นาสงเคราะห์ชาวเขา กล่าวได้ว่า ปี พ.ศ. 2502 คือปีแห่งการก่อกาเนิดของงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา เพราะได้เกิดคณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขา มาทดแทนคณะกรรมการสงเคราะห์ประชาชนไกล คมนาคม และรัฐบาลได้เห็นชอบให้กรมประชาสงเคราะห์ ดาเนินการจัดต้ังนิคมสร้างตนเอง สงเคราะห์ชาวเขา อันเป็นทมี่ าของการจัดตง้ั ศนู ย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดในระยะตอ่ มา ปี พ.ศ. 2503 กองนิคมสร้างตนเอง ได้ทดลองดาเนินการสงเคราะห์ชาวเขาในรูปนิคมสร้างตนเอง 2 แห่งท่ีดอยมูเซอ อาเภอเมือง จังหวัดตาก และดอยเชียงดาว อาเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และปี 2505 ได้ดาเนินการ เพ่ิมอีก 2 แห่ง คือท่ีดอยภูลมโล เขตติดต่อจังหวัดเพชรบูรณ์ พิษณุโลก และเลย โดยมีท่ีทาการตั้งอยู่ท่ี บ้านแม้วทับเบิก (ภูแผงม้า) อาเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ และทด่ี อยม่อนแสนใจ อาเภอแมจ่ ัน จังหวดั เชียงราย ในระยะเริ่มต้น กรมประชาสงเคราะห์มีความรู้เรื่องชาวเขาน้อยมาก ดังนั้นในปี 2504-2505 กรมประชาสงเคราะห์จึงได้ทาการสารวจสภาพของชาวเขาในประเทศไทยขึ้น เรียกว่า “การสารวจทางเศรษฐกิจและสังคมของชาวเขาในภาคเหนือของประเทศไทย โดยได้รับทุนจากมูลนิธิ เอเชียมีคณะเจ้าหน้าท่ีออกสารวจประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากกรมป่าไม้ กรมปศุสัตว์ กรมกสิกรรม กระทรวงเกษตร เจ้าหน้าท่ีจากกองบัญชีการตารวจตระเวนชายแดน โดยมีเจ้าหน้าท่ี จากกรมประชาสงเคราะห์เป็นหัวหน้าชุด ข้อมูลท่ีได้จากการสารวจครั้งนี้เป็นเอกสารทางวิชาการ เกี่ยวกบั ชาวเขาในประเทศไทย เป็นฉบบั แรกสดุ ทีเ่ ป็นภาษาไทย ท่เี กย่ี วกับสังคมเศรษฐกิจของชาวเขา และจากข้อมูลท่ีได้จากการสารวจ ช้ีให้เห็นชัดเจนว่า การจัดนิคมสร้างตนเองแบบพ้ืน ราบเอาขึ้นไปใช้บนภูเขาไม่ได้ผล เพราะพ้ืนที่มีความแตกต่างทางด้านกายภาพมาก พื้นที่บนภูเขาไม่ สามารถทาการเกษตรได้เช่นพื้นราบ นิคมสร้างตนเองชาวเขาทั้ง 4 แห่ง จึงไม่สามารถช่วยเหลื อ รองรบั ชาวเขาได้ท้งั หมด จงึ เหน็ สมควรจดั ใหม้ หี น่วยปฏิบัตกิ ารเคลือ่ นที่ออกไปปฏบิ ัตงิ านตามหมู่บ้าน ชาวเขา จะทาให้ปฏิบัติงานครอบคลุมได้ท่ัวถึงชาวเขาได้มากกว่า ในลักษณะของการปฏิบัติงานแบบ “หมู่บ้านหลกั ” (Key Village) และหมบู่ ้านบรวิ าร (Satellite Village) ปี พ.ศ. 2505 รัฐบาลในขณะน้ันได้จัดตั้งกองสงเคราะห์ชาวเขาข้ึน ตามนัยพระราชกฤษฎีกาการ แบ่งส่วนราชการกรมประชาสงเคราะห์ พ.ศ. 2505 ณ วันท่ี 30 ตุลาคม พ.ศ. 2505 (ปีงบประมาณ 2506) โดยแยกการบริหารงานสงเคราะหช์ าวเขา ออกจากกองนิคมสร้างตนเอง ทง้ั นเ้ี พื่อใหเ้ ปน็ แหล่ง กลางการประสานงานและเปน็ สานักงานเลขานุการคณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขา และเพ่ือที่จะให้ การสงเคราะห์ชาวเขาไดผ้ ลดีตามความมุ่งหมายโดยมี นายประสิทธ์ิ ดิศวัฒน์ รับตาแหน่งหัวหน้ากอง
การวิจยั การศกึ ษาเปรียบเทยี บการพฒั นาบนพนื้ ที่สูงในอดีตและปัจจุบนั 53 สงเคราะห์ชาวเขา เป็นท่านแรก แม้ว่าโครงการนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขา ได้ดาเนินงานให้ การพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาในด้านการอาชพี มีการเกษตรและอตุ สาหกรรมในครวั เรือนแทนการ ปลูกฝ่ิน การศึกษา การอนามัยและการสงเคราะห์ เพ่ือให้เป็นตัวอย่างแก่ชาวเขาโดยทั่วไป การดาเนินการยังผลให้ชาวเขามีสภาพความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ก็ถือว่าได้รับความสาเร็จน้อยกว่าท่ี คาดหวังไว้ เพราะชาวเขาไม่ยอมละทิ้งถิ่นท่ีอยู่เดิมซ่ึงเคยอยู่อย่างอิสระเข้าไปอยู่ในนิคมสร้างตนเอง สงเคราะห์ชาวเขาได้โดยง่าย ทั้งยังไม่ต้องการอยู่รวมกันหลายๆ เผ่า เนื่องจากความแตกต่างทาง ด้านวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี ปี พ.ศ. 2506-2507 คณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขาจึงได้มีมติให้จัดต้ัง ศูนย์พฒั นาและสงเคราะห์ชาวเขา ขึ้นในปี พ.ศ. 2506 ที่จังหวัดตาก และในปี พ.ศ. 2507 ที่จงั หวัดเชียงใหม่ เชยี งราย และแม่ฮ่องสอน เพ่ือทาหน้าท่ีเป็นศูนย์กลางในการทดลองและส่งเสริมการเกษตรบนภูเขา การคมนาคมบนเขา การ จาหน่ายผลิตผลชาวเขา และทาหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการอานวยการจัดส่งหน่วยพัฒนาและ สงเคราะห์ชาวเขาเคล่ือนที่ ออกปฏิบัติงานตามหมู่บ้านชาวเขา ซึ่งประกอบด้วย พนักงาน ประชาสงเคราะหเ์ ปน็ หัวหนา้ หน่วยฯ มีพนกั งานเกษตรและพนักงานอนามัยรว่ มทีม และจดั ส่งออกไป ปฏิบัติงานตามหมู่บ้านชาวเขาในเขตพ้ืนที่ปฏิบัติงาน หน่วยเคล่ือนที่นี้จะได้รับการอบรมเตรยี มความ พรอ้ มเป็นพเิ ศษ แบง่ เปน็ 2 ประเภท ได้แก่ (1) หน่วยเคลื่อนที่ประจาอาเภอ (Contact Team) ปฏิบัติงานประจาอยู่ที่อาเภอที่มี ชาวเขาอาศัยอยูห่ นาแน่น มหี นา้ ที่สาคัญในการเสริมสรา้ งความสัมพันธ์และการติดต่ออันดีกับชาวเขา และสารวจหมูบ่ า้ นชาวเขาในท้องทอ่ี าเภอนน้ั เพ่อื ให้ทราบถงึ ท่ีตง้ั จานวนประชากรเผ่าในหมูบ่ ้าน และ หัวหน้าบ้าน เพื่อกาหนดหมู่บ้านหลัก และหมู่บ้านบริวาร แล้วจัดส่งหน่วยเคลื่อนที่ประจาหมู่บ้านไป ปฏบิ ตั ิงานตอ่ ไป (2) หน่วยเคลื่อนที่ประจาหมู่บ้าน (Key Village Team) เม่ือได้กาหนดเขตที่ปฏิบัติงาน ของหน่วยเคล่ือนท่ีประจาหมู่บ้านแล้ว กรมประชาสงเคราะห์จะจัดส่งหน่วยเคลื่อนท่ีออกไป ปฏิบัติงานตามหมู่บ้านหลักและหมู่บ้านบริวารในเขตปฏิบัติงานที่กาหนดให้ โดยให้การพัฒนาและ สงเคราะหช์ าวเขาในดา้ นอาชีพ การเกษตร และการรักษาพยาบาล ให้การศกึ ษาขั้นพืน้ ฐานแก่ชาวเขา ในรูปของการจดั โรงเรยี นชัว่ คราว รวมทั้งใหก้ ารสงเคราะห์ปัญหาเดอื ดรอ้ นเฉพาะหนา้ นอกจากน้ี ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ยังทาหน้าท่ีเป็นสานักงานกลางของ คณะกรรมการชาวเขาส่วนจังหวดั เป็นเลขานุการของคณะกรรมการชาวเขาสว่ นจังหวดั อีกทางหน่ึงดว้ ย ในช่วงปี 2506 น้ี คณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขาได้มีมติให้จัดตั้ง ศูนย์วิจัยชาวเขา ข้ึน (ภายในบริเวณมหาวิทยาลัยจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2506 ) โดยมีนายวนัช พฤกษะศรี เป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยชาวเขาคนแรก และให้เร่ิมดาเนินการศึกษาและสารวจข้อมูลพื้นฐานทาง เศรษฐกิจและสังคมของชาวเขา เพื่อให้งานสงเคราะห์ชาวเขาได้ผลดีย่ิงข้ึน เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจะต้อง เขา้ ใจสภาพความเป็นอยู่ ระบบเศรษฐกิจ ภาษาและวัฒนธรรมท่วั ไปของชาวเขา ดังน้ัน เพ่ือให้เข้าใจถึงภาษา วัฒนธรรมและเศรษฐกิจของชาวเขา คณะรัฐมนตรีจึงได้ มีมติให้จัดตั้งศูนย์วิจัยชาวเขาขึ้นท่ีจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันท่ี 21 เมษายน 2507 ซึ่งต่อมา
54 การวจิ ยั การศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพัฒนาบนพ้นื ทีส่ งู ในอดตี และปัจจบุ ัน กรมประชาสงเคราะห์จึงได้จัดตั้งศูนย์วิจัยชาวเขาข้ึนในบริเวณมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ต่อมาเป็น สถาบันวจิ ยั ชาวเขา และปจั จุบันได้ยุบเลกิ ไปแล้ว) โดยมวี ัตถปุ ระสงค์ ดังน้ี 1. เพ่ือเป็นแหล่งกลางในการค้นคว้า วิจัยเก่ียวกับชาวเขาเผ่าต่างๆ ทางภาคเหนือ เพื่อเปน็ ประโยชน์แกร่ ัฐบาลในการพิจารณาดาเนนิ การเกย่ี วกบั ชาวเขา 2. เป็นแหล่งกลางในการรวบรวมหนังสือเอกสาร ภาพ ฟิล์ม วัตถุพยาน หลักฐานและ สง่ิ ของต่างๆ เกี่ยวกับชาวเขาท่ตี ั้งอย่ใู นประเทศไทยและท่ีอย่อู าศยั ในประเทศต่างๆ ทางเอเชีย 3. เพื่อเป็นแหล่งกลางในการร่วมมือสนับสนุนและประสานงานกับสถาบันการศึกษา และสถาบนั การค้นควา้ ทั้งในและนอกประเทศที่จะเขา้ มาทาการวจิ ัยเก่ียวกบั ชาวเขา 4. เพ่ือเป็นแหล่งกลางในการประชุมปรึกษาหารือทางเทคนิคระหว่างเจ้าหน้าที่จาก หนว่ ยราชการและหน่วยราชการตา่ งๆ ที่รับผิดชอบเก่ียวกบั ชาวเขา เพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์ กรมประชาสงเคราะห์ ได้ติดต่อขอความร่วมมือจากองค์กร ระหว่างประเทศ ตลอดจนรัฐบาลของประเทศต่างๆ ให้ช่วยจัดส่งผู้เช่ียวชาญเพื่อมาเป็นท่ีปรึกษา ในงานวิจัยเก่ียวกับชาวเขา ซึ่งได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลออสเตรเลียผ่านองค์การสนธิสัญญา ป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียอาคเนย์ (สปอ.) จัดส่ง ดร.วิลเลียม อาร์ เกดเดส ศาสตราจารย์ วิชามนุษยวิทยาประจามหาวิทยาลัยซิดนีย์ ออสเตรเลียมาเป็นท่ีปรึกษาคนแรก หลังจากนั้นนักวิจัย ชาวเขาและนักวิจัยชาวไทยได้ร่วมกันดาเนินการศึกษาในเร่ือง ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม การดารงชีพ ความเช่ือ ประวัติความเป็นมาของชาวเขาเผ่าต่างๆ 6 เผ่า ได้แก่ แม้ว เย้า อีก้อ ลีซอ มูเซอ และกะเหรี่ยง ศึกษาค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของชาวเขาและ การเกษตรบนภูเขา นอกจากนี้ศูนย์วิจัยชาวเขายังได้จัดทาห้องสมุดชาวเขา และพิพิธภัณฑ์หมู่บ้าน ชาวเขา ดว้ ย ผลจากการสารวจทางเศรษฐกจิ และสังคมชาวเขา ในระยะแรก กรมประชาสงเคราะห์ได้ นามาใช้ประโยชน์ในการวางนโยบาย แผนงาน โครงการ และการดาเนินงานพัฒนาและสงเคราะห์ ชาวเขา และต่อมาได้นาผลการวิจัยมาใช้เพื่อการพัฒนา โดยรัฐบาลไดก้ าหนดนโยบายการพัฒนาและ สงเคราะห์ชาวเขา ไว้ 4 ประการดงั น้ี 1. เพ่อื ปอ้ งกัน การทาลายป่า ต้นนา้ ลาธาร โดยให้ชาวเขาหยุดย้ังการทาไร่เลอ่ื นลอย 2. เพอื่ ปอ้ งกนั การปลกู ฝ่นิ โดยใหช้ าวเขาประกอบอาชีพอ่นื แทนการปลกู ฝนิ่ 3. เพ่ือพัฒนาเศรษฐกิจชาวเขาให้เกิดประโยชน์แก่การพัฒนาประเทศ โดยการสร้าง ความเจริญตามสมควรอัตภาพในชุมชนทีช่ าวเขาอาศัยอยู่ 4. เพือ่ รักษาความสงบปลอดภยั ทางชายแดน โดยสร้างความสัมพนั ธ์อันดี ใหช้ าวเขาเกิด ความจงรักภักดีต่อรัฐบาล และช่วยเป็นกาลังสาคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อยทางชายแดน (หนงั สอื 30 ปี พระธรรมจารกิ , 2509) ปี พ.ศ. 2508 คณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขา เห็นความสาคัญของงานชาวเขา จึงได้มีมติให้จัดต้ัง โครงการชาวเขาสัมพันธ์ขึ้น เพ่ือโน้มน้าวให้ชาวเขามีความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง เคารพใน องค์พระมหากษัตริย์ มีความรักและหวงแหนแผน่ ดนิ เป็นกาลังสาคัญในการรักษาความปลอดภัยทาง ชายแดน ซ่งึ ในการดาเนนิ การตามโครงการดังกลา่ ว กรมประชาสงเคราะห์ โดยกองสงเคราะห์ชาวเขา
การวจิ ยั การศกึ ษาเปรยี บเทียบการพัฒนาบนพน้ื ทสี่ งู ในอดตี และปัจจบุ นั 55 ได้ขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิเอเชีย เพ่ือจัดต้ังโครงการพระธรรมจาริกข้ึน ในปี พ.ศ. 2508 โดยร่วมกับคณะสงฆ์จัดส่งพระสงฆ์คณะหนึ่งเรียกว่า “คณะพระธรรมจาริก” ไปเผยแพร่ พระพุทธศาสนาแก่ชาวเขา พร้อมท้ังจัดต้ังสานักสงฆ์(อาศรม) ข้ึนตามหมู่บ้านชาวเขาท่ีเล่ือมใส ในพระพุทธศาสนา ต่อมาในปี พ.ศ. 2513 จึงได้จัดตั้งมูลนิธิเผยแพร่พุทธศาสนาแก่ชนถิ่นกันดาร ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อสนับสนุนการดาเนินงานของโครงการ พระธรรมจารกิ มาเปน็ ลาดับ งานพฒั นาและสงเคราะห์ชาวเขายคุ ท่ี 3 (2510-2525) (ยุคความม่นั คงและนโยบายรวมพวก) พ.ศ. 2510 ในปีน้ีรัฐบาลเน้นหนักในปัญหาความมั่นคงของชาติ เน่ืองจากสถานการณ์ที่เกิดจาก อทิ ธพิ ลภายนอก และสถานการณภ์ ายในประเทศผสมผสานกัน เป็นเหตุใหม้ ีการเพมิ่ น้าหนกั แก่ปัญหา ชาวเขาว่าเป็นปัญหาใหญ่หรือมีความรุนแรงมากข้ึน ปัญหาแรกคือ ปัญหาการปลูกฝ่ิน จากรายงาน ของคณะผู้เช่ียวชาญสหประชาชาติ ระบุว่าเมื่อปี พ.ศ. 2510 ประเทศไทยมีชาวเขาปลูกฝิ่นมากได้ ผลผลิตถึงปีละ 145 ตัน ข้อมูลนี้ทาให้มองเห็นขนาดปัญหาการปลูกฝิ่นของชาวเขาในประเทศไทย รัฐบาลจึงให้ความสาคัญในอันที่จะลดการผลิตฝิ่นและปราบปรามยาเสพติด อีกประการหนึ่งคือ ปญั หาความมัน่ คงของชาติ ซ่ึงในปีเดียวกนั นัน้ ได้เกดิ การก่อการรา้ ยของชาวเขาฝ่ายคอมมวิ นิสต์ข้ึนใน อาเภอเทิง จังหวัดเชียงราย และได้ลุกลามไปยังหมู่บ้านชาวเขาในท้องที่ต่างๆ อย่ างรวดเร็ว จึงผลกั ดันให้รฐั จาเป็นต้องใหค้ วามสาคัญกบั ปญั หาความมั่นคง อนั เกิดจากการกระทาของชาวเขาและ ไดก้ าหนดใหอ้ งคก์ รของรัฐ ท้ังฝา่ ยทหารและพลเรือนรว่ มกนั แก้ไขปัญหานี้ ซ่ึงถอื วา่ เป็นปัญหาท่สี าคัญ ทีส่ ดุ และในปีพ.ศ. 2510 คณะผู้เช่ียวชาญสหประชาชาติได้เสนอแนะให้ยกฐานะของ กองสงเคราะห์ชาวเขาขึ้นเป็นสานักงานกิจการชาวเขาที่มีฐานะเทียบเท่ากรมเพ่ือดาเนินการแก้ไข ปญั หาชาวเขา ซึ่งต่อมาคณะรฐั มนตรีได้พิจารณาเห็นชอบใหเ้ ปน็ แค่กองขนาดใหญเ่ ท่านน้ั ปี พ.ศ. 2510-2513 กองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ ไดจ้ ดั ตง้ั ศูนยพ์ ฒั นาและสงเคราะหช์ าวเขา เพ่ิมขึ้นอีก 5 จังหวัด คือจัดต้ังศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดน่าน และจังหวัดเพชรบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2510 ตอ่ มาปี พ.ศ. 2512 จัดต้ังศนู ยพ์ ฒั นาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดกาญจนบุรี และ ในปี พ.ศ. 2513 จัดต้ังศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดกาแพงเพชร และจังหวัดลาปาง ตามลาดบั ปี พ.ศ. 2511 การดาเนินภารกิจเก่ียวกับการสงเคราะห์ชาวเขาของคณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขา และคณะอนุกรรมการสาขาต่างๆ ดาเนินการตามขั้นตอนอย่างมีประสิทธิภาพ แต่การดาเนินงาน สงเคราะห์ชาวเขามีลักษณะแตกต่างจากการสงเคราะห์อ่ืนๆ โดยท่ัวไปจะสงเคราะห์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องให้การพัฒนาควบคู่กันไป ตลอดทั้งงานเก่ียวกับชาวเขาครอบคลุมไปถึงปัญหาและกิจการใน ประเทศหลายด้าน คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเม่ือวันท่ี 2 ตุลาคม 2511 ตามที่สภาความม่ันคงแห่งชาติ
56 การวจิ ยั การศกึ ษาเปรียบเทยี บการพัฒนาบนพ้นื ที่สูงในอดตี และปจั จุบนั เสนอให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขาขึ้นใหม่ โดยเรียกว่า คณะกรรมการ ชาวเขามีหน้าท่ีรับผิดชอบเกี่ยวกับชาวเขาในทุกกรณี โดยให้กองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย เป็นแหล่งกลางประสานงานกับหน่วยราชการหรือองค์การอื่นๆ ท่ีเก่ียวข้อง เพ่อื ดาเนินการใหบ้ รรลุผลตามนโยบายท่ีไดก้ าหนดไว้ ปี พ.ศ. 2515 รัฐบาลได้ประกาศนโยบายในการแก้ไขปัญหาระยะส้ันและระยะยาว ตามมติ คณะรัฐมนตรี เมื่อวันท่ี 15 ธันวาคม 2515 ซึ่งเป็นนโยบายหลักสาคัญให้คณะกรรมการชาวเขา รับผิดชอบ ดงั น้ี (1) นโยบายระยะส้ัน ได้แก่ การจัดให้มีเจ้าหน้าท่ีเข้าไปถึงชาวเขาทเ่ี ป็นจุดล่อแหลมให้ ท่ัวถึงโดยเร็วที่สุด โดยใช้วิธีพัฒนาแผนนา (Civic Action) เพื่อผูกพันจิตใจชาวเขาให้มีความนิยมใน รัฐบาลและมีความจงรกั ภกั ดตี ่อประเทศไทย ให้สามารถใช้ชาวเขาเปน็ กาลังในการป้องกันและต่อต้าน การแทรกซมึ คอมมวิ นสิ ตต์ ่อชาวเขาได้ทันทว่ งที ในบรเิ วณพน้ื ทซ่ี ่ึงมีการปราบปรามผู้ก่อการร้ายโดยมที หารออกปฏิบัติการ ใหห้ นว่ ยงาน ทุกฝ่ายฟังคาส่ังผู้บังคับสูงสุดของทหารในเขตน้ัน เม่ือการปราบปรามเสร็จส้ินลงแล้วและฝ่ายทหาร ตารวจ สามารถให้ความคุ้มครองได้แล้ว ให้หน่วยงานพลเรือนซึ่งมีหน้าท่ีรับผิดชอบเข้าไปดาเนินการ พัฒนาในบรเิ วณนน้ั ตอ่ ไป ในพื้นท่ีซึ่งยังไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงหรือยังไม่ได้ถูกแทรกซึม แต่มีแนวโน้มท่ีจะต้องรีบ ดาเนินการในลักษณะป้องกันให้หน่วยงานพลเรือนท่ีรับผิดชอบซ่ึงได้แก่กรมประชาสงเคราะห์ จัดส่ง เจา้ หน้าทไี่ ปพฒั นาและสงเคราะห์ชาวเขาเหลา่ นั้นให้ทัว่ ถึงเปน็ การด่วน โดยใหค้ วามรว่ มมอื กนั ทุกฝ่าย (2) นโยบายระยะยาว ไดแ้ ก่ การพฒั นาและสงเคราะหช์ าวเขาให้อยู่อาศัยและทามาหา กินบนภูเขาเป็นหลักแหล่งแน่นอน เลิกการปลูกฝิ่น ให้ปลูกพืชผลอ่ืนแทน เลิกการทาลายป่าและเปน็ พลเมืองดีทาประโยชน์แก่ประเทศชาติเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป โดยให้ดาเนินการตามโครงการ 5 ปี (พ.ศ. 2510-2514) ซ่ึงสานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้กาหนด ไวแ้ ลว้ วิธีดาเนินการกบั ชาวเขา ใหด้ าเนนิ การเปน็ 4 วิธี คือ (1) สาหรบั ชาวเขาทอี่ ย่กู ระจดั กระจายบนภเู ขาไมเ่ ป็นรปู หมูบ่ า้ น ยากแก่การท่เี จ้าหน้าท่ี จะเข้าไปดูแลท่ัวถึงให้แนะนาชักจูงให้เข้ามาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนในบริเวณอันเหมาะสมบนภูเขา ซงึ่ ทางราชการจดั ไวใ้ ห้ (2) สาหรับชาวเขาที่อาศัยอยู่บนภูเขาเป็นรูปหมู่บ้านท่ีเหมาะสมอยู่แล้วก็สนับสนุน ให้อยู่ทากินในท่ีเดิมไปไม่ต้องเคล่ือนย้าย โดยจัดส่งเจ้าหน้าท่ีเป็นหน่วยเคล่ือนท่ีเข้าไปปฏิบัติการ พฒั นาและสงเคราะหช์ าวเขาในประการต่างๆ ใหท้ ัว่ ถึง (3) สาหรับชาวเขาท่ีไม่ประสงค์จะอยู่บนภูเขาหรือท่ีต้องการอพยพหลบภัยกับ คอมมิวนิสต์ลงมาอยู่ในพ้ืนที่ราบแล้วไม่ประสงค์จะกลับไปอยู่บนเขาอีกก็ให้จัดตั้งศูนย์อพยพชาวเขา ขึ้นในจังหวัดท่ีมีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น เพ่ือให้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน แล้วให้การสงเคราะห์ตามความ น่าจะเป็น ใหส้ ามารถมีชวี ิตผสมผสานกับคนไทยในพื้นที่ราบตอ่ ไปได้
การวจิ ยั การศกึ ษาเปรียบเทียบการพฒั นาบนพ้ืนทสี่ ูงในอดีตและปัจจบุ นั 57 (4) เพ่ือประโยชน์ดงั กล่าวข้างต้นและเพ่ือความปลอดภัยของชาตทิ างการเมืองให้เร่ง สร้างความสัมพนั ธ์ทางจติ ใจกับชาวเขาให้มีความรู้สึกนึกคิดเป็นพวกเดยี วกับคนไทย และใหเ้ กิดความ จงรักภักดตี ่อรัฐบาล ปี พ.ศ. 2516 อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีได้มีมติเม่ือวันที่ 14 สิงหาคม 2516 ให้ปรับปรุงแก้ไข นโยบายชาวเขาใหม่ ดังน้ี (หนังสือสานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ สร.0203/11507 ลว.17 ส.ค.2516 ถึงรฐั มนตรีวา่ การกระทรวงมหาดไทย) นโยบายระยะส้ัน จัดให้มีเจ้าหน้าท่ีเข้าไปถึงชาวเขาที่เป็นจุดล่อแหลมให้ทั่วถึงโดยเร็ว ท่ีสุดโดยใช้วิธีพัฒนาแผนนา เพ่ือผูกพันจิตใจชาวเขาให้มีความนิยมในรัฐบาล และมีความจงรักภักดี ต่อประเทศไทยให้สามารถใช้ชาวเขาช่วยเป็นกาลังในการป้องกันและต่อต้านการแทรกซึมของ คอมมิวนิสตต์ ่อชาวเขาได้ทันทว่ งที น อ ก จ า ก น้ี ยั ง มี ก า ร ป รั บ ป รุ ง ข อ บ ข่ า ย อ า น า จ ห น้ า ท่ี ข อ ง ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร แ ล ะ คณะอนุกรรมการสาขาต่างๆให้กว้างขวางเพิ่มเติม ด้านสาขา อาชีพสาขาการศึกษาและอนามัย สาขาข่าวกรอง สาขาชาวเขาสัมพนั ธแ์ ละด้านสาขาการปกครองและทะเบยี น ในปี พ.ศ. 2516 ได้เกิดโครงการปลูกพืชทดแทนฝิ่นร่วมกับองค์การสหประชาชาติ ซึ่งถือว่าเป็นโครงการความช่วยเหลือจากต่างประเทศโครงการแรกของกรมประสงเคราะห์ และในปี พ.ศ. 2517 ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดลาพูน ก็ได้รับการจัดตั้งข้ึนเป็นศูนย์พัฒนาและ สงเคราะห์ชาวเขา ลาดับท่ี 10 ท่ามกลางสถานการณ์ปัญหาด้านการปลูกฝิ่นและความมั่นคงของชาติ ยังมีปัญหาการ ทาลายต้นนา้ ลาธารด้วย รัฐบาลในขณะน้นั จึงไดม้ ีการจัดตัง้ คณะกรรมการสง่ิ แวดล้อมแห่งชาติขน้ึ เมือ่ ปี พ.ศ. 2518 ให้มีบทบาทในการกาหนดช้ันคุณภาพลุ่มน้าต่างๆ เพ่ือนามากาหนดการใช้ประโยชน์ จากท่ีดินให้เหมาะสม ปี พ.ศ. 2518 มีการจัดตั้งสานักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแหง่ ชาติข้ึน มีบทบาทในการกาหนดช้ัน คุณภาพลุ่มน้าต่างๆ เพ่ือกาหนดการใช้ประโยชน์จากท่ีดินให้เหมาะสมเพื่อการอนุรักษ์ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละป่าไม้ ปี พ.ศ.2519 รัฐบาลได้ปรับปรุงแก้ไขนโยบายและวิธีดาเนินงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาใหม่ เพ่ือให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ประเทศชาติกาลังเผชิญอยู่ กล่าวคือ ปัญหาชาวเขามีความ สลับซับซ้อนขึ้น ชาวเขามีการเพิ่มจานวนมากขึ้นท้ังภายในประเทศ และการอพยพลักลอบเข้ามาจาก ต่างประเทศ ก่อให้เกิดปัญหาด้านต่างๆ มากมาย ทั้งด้านคุณภาพชีวิตท่ีต่ากว่ามาตรฐาน การทาลาย ทรัพยากรธรรมชาติ ดนิ น้า ปา่ ไม้ ปญั หาเร่ืองฝนิ่ และความปลอดภัยตามแนวชายแดน ซงึ่ มีผลกระทบ ต่อสังคมส่วนร่วมและประเทศชาติอย่างกว้างขวาง จาเป็นต้องป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาชาวเขา กลายเป็นปัญหาชนกลุ่มน้อยที่ต้องการแยกตนเองในด้านเช้อื ชาติ ดินแดน การปกครองและการเมอื ง รัฐบาลจึงกาหนดนโยบายชาวเขาข้ึน โดยคณะรัฐมนตรีมีมติ เม่ือวันท่ี 6 กรกฎาคม 2519 ให้ใช้
58 การวจิ ยั การศกึ ษาเปรียบเทียบการพัฒนาบนพ้ืนท่สี ูงในอดตี และปจั จบุ นั นโยบายรวมพวก (Policy of Integration) เป็นแนวทางดาเนินงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา โดยมีวัตถุประสงค์ “เพื่อให้ชาวเขาเป็นพลเมืองไทยท่ีมีคุณภาพ สามารถช่วยเหลือตนเองได้” และให้ ใช้การพัฒนาแบบเขตพ้ืนที่โดยระบบสมบูรณ์แบบ ( Zonal integration Development) ซึ่งเป็น รูปแบบการพัฒนาท่ีเน้นการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแนวความลาดชันในพื้นท่ีลุ่มน้า (Watershed Area) เพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตและหยุดยั้งการทาไร่เล่ือนลอย เปลี่ยนมาเป็นการใช้ ประโยชน์ที่ดินแบบถาวร ให้ชาวเขาตั้งถ่ินฐานถาวรเป็นหลักแหล่ง มีการจัดส่ง หน่วยพัฒนาและ สงเคราะห์ชาวเขาเคล่ือนท่ี 200 หน่วย ซ่ึงประกอบด้วย เจ้าหน้าท่ีประชาสงเคราะห์เป็นหัวหน้า หน่วย เจ้าหน้าท่ีเกษตร และเจ้าหน้าที่อนามัยเป็นลูกทีม ในบางหน่วยฯ อาจจะมีครูสอนชาวเขาและ ล่ามชาวเขาด้วยออกปฏิบัติงานตามหมู่บ้านชาวเขา ในระยะแรกๆ นั้นได้ปฏิบัติงานเน้นหนักไปใน ด้านการสร้างความสัมพันธ์ สารวจข้อมูลจุดท่ีต้ังเป็นหมู่บ้านชาวเขา ให้การรักษาพยาบาลและให้ คาแนะนาในด้านการเกษตร ตลอดท้ังพิจารณาเลือกหมู่บ้านตัวอย่าง ซึ่งในการสร้างความสัมพันธ์กับ ชาวเขาพร้อมทั้งให้เร่งการจัดทาทะเบียนและลงสัญชาติไทยให้ชาวเขา (ตามระเบียบ กระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพิจารณาลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้านแก่ชาวเขา พ.ศ. 2517) และให้ดาเนินการลดอัตราการเพ่ิมประชากรชาวเขาด้วย ในการดาเนนิ งานให้กาหนดเขต พนื้ ท่ีพฒั นาใหแ้ น่นอนเพ่ือดาเนินการพัฒนาในรูปโครงการสมบูรณแ์ บบ กล่าวคอื ใหก้ ารพัฒนาอาชีพ การศึกษา การอนามัย วางแผนครอบครัว การสังคมสงเคราะห์ และพัฒนาเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานไปพร้อม กัน และให้กองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ เป็นหน่วยงานหลักในการดาเนินงานใน เขตพื้นที่ท่ีพัฒนา หากยังมิได้กาหนดเป็นเขตพ้ืนท่ีพัฒนาก็ให้จัดตั้งหน่วยเคล่ือนที่ออกปฏิบัติงานใน หมู่บ้านชาวเขาเพ่ือสร้างความสัมพันธ์อันดี และให้ความช่วยเหลือแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ ชาวเขาต่อไป ในขณะเดียวกันให้ทาการสารวจข้อมูลเบื้องต้นสาหรับนามาใช้ในการวางแผนกาหนด เป็นเขตพื้นที่พัฒนา และในนโยบายดังกล่าวยังให้ความช่วยเหลือคนไทยท่ีต้ังบ้านเรือนและประกอบ อาชพี อยูใ่ นเขตพืน้ ที่พัฒนาด้วย และในปี พ.ศ. 2519 นั้นเอง กระทรวงมหาดไทย โดยกรมประชาสงเคราะห์ ได้เป็น หน่วยริเร่ิมให้ความสาคัญกับปัญหาการทาลายป่าต้นน้าลาธาร โดยได้เสนอรัฐบาลให้กาหนดไว้ใน นโยบายชาวเขาปี พ.ศ.2519 เกีย่ วกบั ปญั หาการทาลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่สูง ซ่ึงได้มีการแต่งต้ังคณะกรรมการพิจารณาการบุกรุกทาลายป่าต้นน้าลาธารของชาวเขาขึ้น จากนั้นจึง ได้ประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกา และกฎกระทรวง เพ่ือกันเขตป่าสงวนแห่งชาติ วนอุทยานแห่งชาติ และเขตสงวนคุ้มครองสัตว์ป่า โดยอาศัยพระราชบัญญัติเก่ียวข้อง กรมป่าไม้จึงมีบทบาทเป็นองค์กร หลกั ในส่วนของการแก้ไขปัญหาการบกุ รุกปา่ ไมต้ ้นนา้ ลาธารในพนื้ ทส่ี ูงนับแตน่ ัน้ มา จากการที่กรมประสงเคราะห์ได้จัดตั้ง กองสงเคราะห์ชาวเขา ศูนย์วิจัยชาวเขา และ ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดต่างๆ ขึ้น และได้จัดส่งหน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา เคลื่อนที่ ออกไปปฏิบัติหน้าที่ในพ้ืนท่ีหมู่บ้านชาวเขาถ่ินกันดารด้วยความยากลาบากนานัปการ โดยปฏบิ ตั งิ านแบบอยูต่ ดิ กับพื้นทหี่ ม่บู ้านหลัก และหมู่บา้ นบรวิ าร ประมาณเดือนละ 25 วัน สง่ ผลทา ใหช้ าวเขากลุ่มเปา้ หมายมคี วามอยู่ดกี นิ ดยี ่งิ ขนึ้ กวา่ แต่ก่อนเปน็ อันมาก
การวจิ ยั การศึกษาเปรยี บเทยี บการพฒั นาบนพ้นื ที่สูงในอดตี และปจั จุบัน 59 ปี พ.ศ. 2520 รัฐบาลจัดตั้งสานักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) รวมท้ังดาเนิน นโยบายลดการปลกู ฝ่นิ ของชาวเขาดว้ ย ปี พ.ศ. 2523 เป็นปีแรกในการดาเนินโครงการการพัฒนาการเกษตรภาคเหนือ ที่ใช้เงินกู้จาก ธนาคารโลกประกอบด้วย โครงการพฒั นาป่าไม้ทส่ี ูง โครงการพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมบนทส่ี ูง และ โครงการพัฒนาที่ดินภาคเหนือ ซ่ึงร่วมดาเนินการในพื้นที่เดียวกันใน 5 จังหวัดภาคเหนือ โดยมี กรมป่าไม้ กรมประชาสงเคราะห์ และกรมพัฒนาที่ดิน เป็นผู้บริหารโครงการย่อยดังกล่าวตามลาดับ ในส่วนของโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมบนที่สูงของกรมประชาสงเคราะห์น้ัน รัฐบาล ออสเตรเลียได้เข้ามาให้การสนับสนนุ เพิ่มเติม โดยขยายพื้นที่และระยะเวลาภายใต้ชื่อโครงการพฒั นา เขตพ้ืนที่สูงไทย-ออสเตรเลีย จนถึงปี 2536เงินท่ีธนาคารโลกให้การช่วยเหลือแก่ประเทศไทยน้ันเป็น เงินกองทุน IDA Fund ซึ่งต้องเป็นเงินที่ส่งใช้คืนแต่ไม่ต้องเสียดอกเบ้ีย เนื่องจากว่าธนาคารโลกได้ เล็งเหน็ ถงึ ความตัง้ ใจของรฐั บาลไทยท่ีจะดาเนินการแก้ไขปัญหาบนพ้ืนท่ีสูง ชว่ ยรกั ษาส่งิ แวดลอ้ มของ โลกอกี ทางหน่งึ หลังจากที่ธนาคารโลกได้ให้ความช่วยเหลือ โดยเน้นเรื่องส่ิงแวดล้อมและคุณภาพชีวิต แล้วได้มีโครงการที่ได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศที่สาคัญๆ ตามมาอีกหลายโครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาท่ีสูงไทย-เยอรมัน โครงการพัฒนาที่สูงไทย-นอร์เว โครงการพัฒนาที่สูงดอยแปเป้อ โครงการพัฒนาท่ีสูงดอยยาว-ดอยผาหม่น โครงการพัฒนาเฉพาะพื้นท่ี โครงการพัฒนาส่ือบนพ้ืนท่ีสงู ซ่งึ โครงการดงั กลา่ วตา่ งมุ่งเน้นในเรื่องลดการปลูกฝิน่ เปน็ สาคัญ - งานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ยุคที่ 4 พ.ศ. 2525-2545 (ยุคความม่ันคงและแก้ไขปัญหา การปลกู ฝิน่ ) ปี พ.ศ. 2525 นโยบายการดาเนนิ งานกับชาวเขามีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงครั้งสาคัญ มีการปรับปรุง องค์กรในการแก้ไขปัญหาชาวเขาและปลูกฝิ่น โดยให้มีการพิจารณาทบทวนนโยบาย มาตรการ ท้ังด้านบริหาร การปกครอง การพัฒนา รวมท้ังการประสานปฏิบัติเพ่ือแก้ไขปัญหา ได้มีการแต่งตั้ง คณะกรรมการอานวยการแก้ไขปัญหาความมั่นคงของชาติเก่ียวกับปัญหาชาวเขา และการปลูกฝิ่นข้ึน โดยมีพลเอกประจวบ สุนทรางกูร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ มีกรรมการจาก หน่วยงานต่างๆ รวม 17 หน่วยงาน รวมท้ังอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์และมีเลขาธิการสภาความ ม่ันคงแหง่ ชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการดังกลา่ วได้กาหนดเป้าหมายและนโยบายการแก้ไขปญั หาชาวเขาและการ ปลูกฝิ่น ออกเป็น 3 ด้าน คือด้านการปกครอง ด้านการเลิกปลูกและเสพฝ่ิน และด้านการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคม ในด้านการปกครองมีเป้าหมาย เพื่อให้ชาวเขามีความสานึกเป็นคนไทยหรือเป็นส่วน หน่ึงของคนไทยไม่สร้างปัญหาด้านความม่ันคง รวมท้ังจัดระเบียบการประกอบอาชีพบนภูเขาตาม กฎเกณฑ์ของทางราชการ
60 การวิจยั การศึกษาเปรียบเทียบการพฒั นาบนพน้ื ทส่ี งู ในอดตี และปจั จบุ ัน ด้านการเลิกปลูกและเสพฝิ่น เพื่อให้ชาวชาวเขาลดการปลูกและเสพฝิ่น จนเลิกไปใน ท่สี ุดและให้พน้ จากอิทธพิ ลทสี่ นบั สนุนการปลกู ฝิน่ และค้ายาเสพตดิ ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เพื่อพัฒนาชาวเขาให้มีความเป็นอยู่ใกล้เคียงกับคน ไทยในพืน้ ทรี่ าบและควบคุมอตั ราเพ่ิมประชากรชาวเขา ปี พ.ศ. 2527 กรมประชาสงเคราะห์ ได้เสนอต่อคณะกรรมการอานวยการแก้ไขปัญหาความมั่นคง แห่งชาติเกี่ยวกับปัญหาชาวเขาและการปลูกฝ่ิน และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการสารวจ ข้อมูลประชากรชาวเขา เป็นโครงการ 3 ปี เร่ิมต้ังแต่ปี 2528 ถึง 2530 เป็นการริเริ่มใช้ทรัพยากรทีม่ ี อยแู่ ละมคี ุณคา่ อย่างมาก คือภาพถา่ ยจากดาวเทียม (Land Sat) มาใชเ้ พ่ือระบุแหล่งท่ีอยู่ของชาวเขา ที่แนน่ อน ปี พ.ศ. 2529 คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้จัดต้ังศูนย์อานวยการประสานงานแก้ไขปัญหาชาวเขาและกาจดั การปลูกพืชเสพตดิ ของกองทพั ภาคที่ 3 ขนึ้ มีฐานะเป็นองค์กรระดับภาค ปี พ.ศ. 2532 เกิดนโยบายการพัฒนาชาวเขา ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2532 โดยได้กาหนดนโยบายและการพฒั นาและสงเคราะห์ชาวเขา ดงั นี้ ด้านการเมืองการปกครอง - ให้มีการเร่งรัดสารวจจานวน แยกประเภท จัดทาทะเบียน และออกบัตรประจาตัว แก่ชาวเขา และพิจารณาสัญชาติไทยในการลงทะเบียนบ้านแก่ชาวเขาท่ีเป็นคนไทย ตามระเบียบทาง ราชการและขน้ั ตอนที่เหมาะสม สาหรับชาวเขาทมี่ ิได้รับการลงสญั ชาตไิ ทยใหก้ าหนดสถานภาพบุคคล ไวใ้ หช้ ดั เจนตามกฎหมายและเงอ่ื นไขของทางราชการ - จัดระเบียบการปกครองชุมชนชาวเขาเข้าสู่ระบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามสภาพ ความพร้อมของชุมชนชาวเขาและขั้นตอนท่ีเหมาะสม สาหรับชุมชนชาวเขาที่ไม่สามารถจัดระเบียบ การปกครองตามกฎหมายได้ ให้ส่วนราชการท่ีเก่ียวข้องไปเร่งรัดและจัดระเบียบชุมชนตามความ เหมาะสม เพอ่ื เตรยี มการเขา้ สกู่ ารจดั ระเบียบการปกครองที่ถกู ต้องตามกฎหมายตอ่ ไป - กาหนดพื้นที่ท่ีเหมาะสมให้กับชาวเขาอยู่อาศัยและทากินถาวรตามกฎหมาย โดยคานึงถึงสภาพข้อเท็จจริงในพื้นท่ีตามความเหมาะสมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การรักษา ความม่ันคงปลอดภัยในพื้นที่ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สาหรับบางพื้นท่ีที่ชาวเขา อาศัยอยู่และทากินอยู่ก่อนแล้วแต่ไม่สามารถอนุญาตให้อยู่อาศัยและทากินต่อไปได้ให้ทาการอพยพ ออกโดยกาหนดพนื้ ทรี่ องรับทีเ่ หมาะสม - บังคับใช้กฎหมายและระเบียบของทางราชการให้บังเกิดผลในทุกพ้ืนท่ี โดยมีการ ลงโทษอย่างจริงจัง มีการจูงใจและการกดดันอย่างเหมาะสม เพื่อให้ชาวเขาและประชากร กล่มุ เปา้ หมายอน่ื ๆ ปฏบิ ตั ิตามกฎหมาย - สร้างความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้องและความผูกพันทางจิตใจของชาวเขาต่อสังคมไทย และให้ชาวเขาเข้าใจถึงสิทธิและหน้าที่ในฐานะพลเมืองไทย เคารพกฎหมายและระเบียบทางราชการ
การวจิ ยั การศกึ ษาเปรียบเทยี บการพัฒนาบนพืน้ ท่ีสงู ในอดตี และปจั จบุ ัน 61 ท้งั นี้ โดยการกาหนดมาตรการการดาเนนิ งานตา่ งๆ รวมทง้ั การประชาสัมพันธแ์ ละปฏิบตั ิการจิตวิทยา อย่างเหมาะสม - กาหนดมาตรการสกัดก้ันการอพยพเข้ามาใหม่ของชาวเขาจากนอกประเทศและ ดาเนินการผลักดันชาวเขาที่อพยพเข้ามาใหม่อย่างต่อเน่ืองตามขั้นตอนของกฎหมายและความ เหมาะสมและให้มีมาตรการการกดดันทเี่ หมาะสมแก่ผู้ท่ชี ักจูง ใหท้ ่พี ักพิง หรอื อานวยความสะดวกแก่ ชาวเขาทีอ่ พยพเขา้ มาจากนอกประเทศ - ลดและขจัดอิทธิพลของชนกลุ่มน้อยในหมู่ชาวเขา โดยปรับปรุงประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ การให้ความคุ้มครองความปลอดภัยแก่ชาวเขาและการส่งเสริมให้ ชาวเขาพ่งึ ตนเองและป้องกันตนเองได้ระดบั หนงึ่ ด้านการพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคม 1. การยกระดับรายได้และพัฒนาคณุ ภาพชีวติ - พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมชาวเขา โดยมุ่งเน้นหลักการพึ่งตนเองอย่างสอดคล้อง กบั ปญั หาการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการให้ชาวเขาตั้งถ่ินฐานถาวรไม่อพยพเคลื่อนย้าย ทงั้ นี้ โดยคานึงถึงข้อจากัดในเรื่องท่ีดินทากินและขีดความสามารถในการรองรับของทรัพยากรและ สิง่ แวดล้อมบนพืน้ ที่สูง ตลอดจนการเพ่มิ จานวนประชากรชาวเขาในอนาคต - จัดให้มีโครงการพ้ืนฐานทางเศรษฐกิจและสังคม และส่งเสริมให้ชาวเขามีรายได้ จากการประกอบอาชีพอ่นื แทนการปลูกพชื เสพติดในระดับท่ีเพยี งพอแก่การดารงชีวิต และพฒั นาไปสู่ การพ่ึงตนเองในท่ีสุด เพิม่ รายได้ใหช้ าวเขาด้วยการพฒั นาการผลิตทางการเกษตร การแปรรูปผลผลิต ทางการเกษตร การพัฒนาทางด้านการตลาด และการส่งเสริมอาชีพอื่นนอกจากภาคเกษตรกรรม รวมท้ังการสนับสนนุ ใหภ้ าคเอกชนเข้ามามีบทบาทและมีส่วนช่วยในการพัฒนาและชว่ ยเหลือชาวเขา - กระจายบริการสาธารณสุขข้ันพื้นฐานให้ครอบคลุมชุมชนชาวเขาให้มากท่ีสุด พัฒนากลวิธกี ารสาธารณสขุ มูลฐาน และส่งเสริมสนบั สนุนการบาบัดรักษาผูต้ ดิ ยาเสพติด - เรง่ รัดการวางแผนครอบครัวใหบ้ งั เกดิ ผล เพ่ือควบคุมอตั ราการเพิม่ ของประชากร ชาวเขาให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราเพ่ิมของชุมชนพื้นท่ีราบ ใกล้เคียงและสมดุลกับ ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ีร่ องรับ - จัดบริการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ท้ังการศึกษาในระบบโรงเรียนและนอกระบบ โรงเรียน เพื่อเป็นการสร้างฐานในการสื่อสาร การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครองและ การอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ - สาหรับการเผยแพร่ศาสนาพุทธในหมู่ชาวเขาเพ่ือเสริมสร้างความเป็นอันหน่ึง อันเดียวกันของคนในชาติ ควบคุมการเผยแพร่ศาสนาในหมู่ชาวเขามิให้สร้างความแตกแยกในสังคม และเป็นอปุ สรรคตอ่ การพัฒนา 2. การเลิกปลกู และเสพพืชเสพตดิ - ประชาสัมพันธ์และปฏิบัติการจิตวิทยาให้ชาวเขาเข้าใจถึงพิษภัยของสิ่งเสพติด และจงู ใจให้เลิกปลกู และเสพพชื เสพตดิ
62 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรียบเทยี บการพัฒนาบนพื้นที่สูงในอดีตและปัจจุบนั - ให้มีการดาเนินการตามกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด อย่างเครง่ ครดั โดยเฉพาะในชุมชนชาวเขาท่พี ัฒนาและไดร้ บั การจดั ต้ังตามกฎหมายแลว้ - แสวงหาความช่วยเหลือจากต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาชาวเขาและการปลูกพืช เสพติดและพิจารณาใหค้ วามชว่ ยเหลือเกื้อกลู แกค่ นไทยดว้ ยความเหมาะสม ดา้ นการอนุรักษก์ ารใชแ้ ละการพัฒนาทรพั ยากรธรรมชาติ - จัดให้มีแผนการใช้ท่ีดินเพ่ือการอนุรักษ์และการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติบนพื้นท่ีสูง และกาหนดให้มีมาตรการควบคมุ ดูแลการใชท้ ีด่ ินให้เป็นไปตามแผนโดยเครง่ ครดั - ให้มีการบังคับใช้กฎหมายและระเบียบของทางราชการในการอนุรักษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติอยา่ งจริงจัง ปี พ.ศ. 2535 สานักงานสภาความม่ันคงแห่งชาติร่วมกับส่วนราชการท่ีเกี่ยวข้อง อาทิ สานักงาน ป.ป.ส. กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสานักคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดทาแผนแม่บทเพ่ือการพัฒนาชุมชน ส่ิงแวดล้อมและการควบคุมพืชเสพติดบนพื้นที่สูง พ.ศ. 2535-2539 ข้ึน เพื่อเป็นกรอบใน การปฏบิ ัติงานบนพน้ื ที่สงู ตามนโยบายฯ ซึง่ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เม่อื วันท่ี 11 กุมภาพนั ธ์ 2535 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ชุมชนบนพ้ืนที่สูง มีความเป็นอยู่อย่างเป็นระบบถูกต้องตาม กฎหมายสอดคล้องกับระบบการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม เลิกการปลูกพืชเสพติด และประชากรในพ้ืนที่รับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตามความจาเป็นขั้นพื้นฐานในระดับที่ สามารถดารงชีวิตและชว่ ยเหลือตนเองไดแ้ ละได้รบั การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสรู่ ะบบการปกครอง และพฒั นาในระบบปกติ (ระบบการพัฒนาชนบทแหง่ ชาติ) ตอ่ ไป เป้าหมายการดาเนินงานในช่วง 5 ปี คือมุ่งแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และการทาลายทรัพยากรธรรมชาติท่ีกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติให้ยุติลงโดยเร็ว รวมถึงปัญหาการต้ังถิ่นฐานและที่ดินทากินของชุมชนบนพ้ืนที่สูงท่ีไม่สอดคล้องกับระบบการอนุรักษ์ ทรัพยากรส่ิงแวดล้อม และขัดต่อกฎหมายและระเบียบของทางราชการ และการปูพ้ืนฐานการพัฒนา เข้าสู่ระบบปกติ เพื่อเตรียมรับชุมชนบนพื้นที่สูงให้มีความพร้อมทุกๆ ด้าน สาหรับการเข้าสู่ระบบ การพฒั นาในระบบปกติ ตอ่ ไป พนื้ ท่ีเปา้ หมาย ไดแ้ กพ่ น้ื ที่ที่มปี ระชากรชาวเขาอาศยั รวม 20 จังหวดั โดยให้ความสาคัญ แก่พน้ื ที่ท่ีมปี ัญหาชาวเขาและการปลูกพืชเสพติด การทาลายทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมสงู ปี พ.ศ. 2540 จัดทาแผนแมบ่ ทเพอื่ การพฒั นาชุมชน ส่งิ แวดลอ้ มและการควบคุมพชื เสพตดิ บนพ้ืนท่ีสูง ฉบบั ท่ี 2 (พ.ศ.2540-2544) และใหห้ นว่ ยงานที่เกีย่ วข้องปฏบิ ัติ เพื่อให้การพัฒนาชุมชนบนพื้นที่สูงเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนา ตามแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 8 จงึ กาหนดวัตถุประสงค์เร่งรัดใหช้ ุมชนบนพื้นท่ี สูง โดยเฉพาะชาวเขาเผ่าต่างๆ ท่ียังไม่ได้รับการลงสัญชาติ รวมท้ังเพ่ือให้ชุมชนบนพ้ืนท่ีสูงมีถิ่นฐาน
การวจิ ยั การศกึ ษาเปรียบเทยี บการพฒั นาบนพน้ื ทีส่ งู ในอดีตและปจั จบุ นั 63 ม่นั คงถาวรและไดร้ บั การจัดระเบยี บการปกครองอยา่ งถูกต้องตามหลักเกณฑข์ องราชการ โดยกาหนด ขอบเขตความชัดเจนของการใช้พ้ืนที่ป่า และการดาเนินการเพื่อให้ชุมชนบนพื้นท่ีสูงได้รับการพัฒนา ตามศกั ยภาพ และโอกาสทเ่ี หมาะสมตามประเภทของหมู่บา้ น ตลอดจนการพฒั นาปรับปรุงระบบการ บริหารจัดการ กลไกและกระบวนการดาเนินงานในทุกระดับให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพย่ิงข้ึน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ประชากรและองค์กรชุมชนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาชุมชน บนพ้ืนทสี่ งู และมีจิตสานกึ ด้านการรกั ษาส่งิ แวดลอ้ ม ทั้งน้ี เพ่ือให้การพัฒนาชุมชนบนพื้นที่สูงเป็นระบบและเชื่อมโยงกับการพัฒนาในระบบ ปกติ โดยกาหนดยุทธศาสตรก์ ารพฒั นาชมุ ชนบนพ้นื ท่สี งู ไว้ 3 ยุทธศาสตร์ ไดแ้ ก่ ยุทธศาสตรก์ ารสร้าง ความมัน่ คงถาวรของชุมชนบนพ้นื ทส่ี ูง ยทุ ธศาสตร์การพัฒนาและการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อม และยทุ ธศาสตร์การบรหิ ารการจดั การ ปี พ.ศ. 2545-2549 รฐั บาลได้จัดทาแผนแม่บทเพ่ือการพัฒนาชุมชน สงิ่ แวดล้อม และการควบคุมพืชเสพติด บนพ้ืนท่ีสูง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2545-2549) และให้หน่วยงานที่เก่ียวข้องนาไปปฏิบัติเพ่ือให้การแก้ไข ปัญหาในระยะต่อไปมีความชัดเจนและบรรลุการแก้ไขปัญหาในเรื่องต่างๆ อย่างเหมาะสมและเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดระเบียบให้ชุมชนบนพื้นที่สูงมีถ่ินฐานม่ันคงถาวรและ เร่งรัดดาเนินการกาหนดขอบเขตและการใช้ประโยชน์ท่ีดินในชุมชนพื้นที่สูงให้ชัดเจนและได้ข้ อยุติ โดยเร็ว รวมถึงเร่งรัดดาเนินการกาหนดสถานภาพตามกฎหมายให้แก่กลุ่มบุคคลบนพื้นที่สูง โดยเฉพาะส่วนท่ยี ังตกคา้ งตลอดจนการดาเนินการตรวจสอบและติดตามสถานการณป์ ัญหาของชุมชน บนพ้ืนที่สูงท่ีมีแนวโน้มจะเกิดข้ึนในอนาคตพร้อมกาหนดมาตรการในการป้องกัน เตรียมการ และ แก้ไขปญั หาดังกลา่ วอยา่ งเหมาะสมตอ่ ไป เป้าหมายการดาเนินการจะพิจารณาดาเนินการแยกกลมุ่ บ้านประเภทท่ี 2 จานวน 828 กลุ่ม บ้าน โดยจัดต้ังให้เป็นหมู่บ้านท่ีถูกต้องตามกฎหมายเมื่อส้ินสุดแผน และกาหนดขอบเขตการใช้ ประโยชน์ท่ีดนิ ในเขตชมุ ชนบนพืน้ ที่สูงในหม่บู ้านท่จี ัดตง้ั อย่างถูกตอ้ งตามกฎหมายแล้วแต่ต้ังอยใู่ นเขต พ้ืนท่ีป่าทั้งหมดจานวน 1,463 หมู่บ้าน และกลุ่มเป้าหมายที่ 2 ท่ีมีศักยภาพจะจัดตั้งเป็นหมู่บ้าน จานวน 828 หมบู่ า้ น พรอ้ มทั้งเร่งรัดและตรวจสอบและพิสูจนส์ ถานะเพ่ือกาหนดสถานภาพบุคคลบน พนื้ ทสี่ ูง จานวน 157,184 คน ให้มคี วามชดั เจนและครอบคุลมทกุ พน้ื ท่ีเปา้ หมาย โดยเรง่ รัดดาเนินการ ในพื้นที่ที่มีปัญหามาก และจะตอ้ งระดมทรัพยากรและการประสานงานระหวา่ งหนว่ ยงานในการแก้ไข ปัญหาต่างๆ ให้สัมฤทธ์ผิ ลโดยเรว็ จานวน 12 จงั หวดั ได้แก่เชยี งใหม่ เชยี งราย น่าน แมฮ่ ่องสอน ตาก พะเยา ลาปาง พษิ ณุโลก เพชรบูรณ์ กาแพงเพชร กาญจนบุรี และราชบรุ ี ประชากรเป้าหมาย ได้มีการแบ่งประชากรที่อาศัยบนพ้ืนที่สูงออกเป็น 3 กลุ่ม ซ่ึงแยก ตามความสาคัญและความรุนแรงของปัญหา ได้แก่บุคคลบนพื้นท่ีสูงที่มีสถานะถูกต้องตามกฎหมาย แล้ว กลุ่มบุคคลบนพ้ืนที่สูงท่ีได้รับการลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้าน และกลุ่มบุคคลท่ีไม่มี คุณสมบตั ิหรือสทิ ธใิ นการขอรบั สถานะใดๆ แผนแม่บทฯ น้ีจึงได้กาหนดยุทธศาสตร์การจัดระเบียบชุมชนบนพ้ืนท่ีสูงไว้ 3 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงถาวรของชุมชนบนพ้ืนที่สูง ยุทธศาสตร์การ พัฒนาและการจัดการเร่อื งทอี่ ยอู่ าศยั และท่ีทากนิ บนพนื้ ที่สูง และยทุ ธศาสตร์การบริหารจัดการ
64 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรียบเทยี บการพฒั นาบนพนื้ ทสี่ ูงในอดีตและปจั จบุ นั ปี พ.ศ. 2542 ได้มีการดาเนินงานโครงการพัฒนาราษฎรชาวไทยภูเขาอันเน่ืองมาจากพระราชดาริ พ.ศ. 2542 ซึ่งเกิดขึ้นมาจากการมองเห็นถึงปัญหาเก่ียวกับราษฎรชาวไทยภูเขาท่ีเป็นปัญหาสาคัญ และเก่ียวข้องกับผลประโยชน์ส่วนรวม ความม่ันคงของชาติซ่ึงการแก้ไขปัญหาของราชการที่ผ่านมา สามารถแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีหลายปัญหาท่ียังคงมีอยู่และยังคงต้องแก้ไขกันต่อไป โดยให้หน่วยราชการต่างๆ ดาเนินการช่วยเหลือราษฎรชาวไทยภูเขาด้วยการให้อยู่อาศัยและ ทากินในพื้นท่ีเดิมโดยไม่ต้องต้องอพยพมายังพ้ืนท่ีราบ สามารถดาเนินชีวิต วัฒนธรรม ประเพณีเดิม ท่ีบรรพบุรุษของพวกเขาเหล่าน้ันได้ปฏิบัติมาภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด และให้สามารถควบคุม ประชากรได้ด้วยการให้ความรู้ ปลูกจิตสานึกความเป็นไทย การปฏิบัติตามกฎหมายไทยตลอดจนให้ ราษฎรชาวไทยภูเขาได้มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่าต้นน้าลาธาร และร่วมมือกับทางราชการ ช่วยเหลือ ด้านความม่ันคง โดยดาเนินการในพ้ืนท่ีของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดาริเดิม และ พื้นทโี่ ครงการอันเนือ่ งมาจากพระราชดาริใหม่ ท้งั น้ไี ดก้ าหนดเป้าหมายท่ีเป็นรปู ธรรม ดงั นี้ 1. จัดทาระเบียบควบคุมกลุ่มบ้านของราษฎรชาวไทยภูเขา ท่ีได้รับการจัดต้ังเป็น หมู่บ้านที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วและยังไม่ได้รับการจัดต้ังเป็นหมู่บ้านท่ีถูกต้องตามกฎหมายให้ ชดั เจน 2. สารวจข้อมูลราษฎรชาวไทยภูเขา เพ่ือกาหนดสถานะบุคคลใหแ้ น่นอน โดยเฉพาะใน สว่ นที่ยงั ไมไ่ ด้รบั สัญชาติ เพ่อื นาไปสูก่ ารเป็นบคุ คลทีถ่ ูกต้องตามกฎหมายและระเบียบของรัฐ 3. ดาเนินการจัดต้ังเป็นกลุ่มบ้านยุทธศาสตร์การพัฒนา เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการ ระวังป้องกันโดยพิจารณาหมู่บ้านที่อยู่ตามชายแดน ซึ่งล่อแหลมต่อความปลอดภัยในชีวิตและ ทรพั ย์สนิ 4. ดาเนินการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้พอเพียงแก่ความจาเป็นในการดารงชีพและ พึ่งตนเองได้ในท่ีสุด รวมท้ังการควบคุมอัตราเพิ่มของประชากรชาวไทยภเู ขาให้อยู่ในระดับท่ีใกล้เคียง กับอตั ราทเี่ พิม่ ข้ึนของประชากรในพน้ื ทีร่ าบ 5. ปลูกจิตสานึกราษฎรชาวไทยภูเขาให้สานึกในความเป็นไทย สามารถอยู่ร่วมกันใน สังคมไทยได้โดยไม่สร้างปัญหาและตระหนักถึงสิทธิรวมถึงหน้าท่ีตามกฎหมาย ปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบยี บของรฐั มสี ่วนร่วมในการพฒั นาชุมชน 6. ปลูกจิตสานึกราษฎรชาวไทยภูเขาให้รู้จักรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยการมีสว่ นรว่ มในการบริหารจดั การ ปี พ.ศ. 2543 กองสงเคราะห์ชาวเขา ได้กาหนดวิสัยทัศน์ “เป็นองค์กรหลักในการให้บริการด้าน สวัสดิการสังคมและประสานการพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาบนพ้ืนที่สูง โดยทุกฝ่ายมีส่วนร่วม เพ่ือ ส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวชุมชนเข้มแข็ง พ่ึงตนเองได้ ธารงและรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมประเพณี ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม” โดยกาหนดภารกจิ ไว้ 6 ภารกจิ คอื 1. พฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของประชากรบนพนื้ ท่ีสงู และเสรมิ สรา้ งความเข้มแข็งของสถาบัน ครอบครวั เพื่อให้สามารถพงึ่ ตนเองได้
การวิจัยการศกึ ษาเปรยี บเทียบการพฒั นาบนพืน้ ทสี่ ูงในอดีตและปจั จบุ นั 65 2. พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพองค์กรชุมชนให้มีความเข้มแข็ง จนสามารถประสาน และปฏบิ ตั ภิ ารกิจแทนองคก์ รของรฐั 3. ส่งเสริมชุมชนให้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและ ส่งิ แวดลอ้ ม 4. พัฒนาการบรหิ ารจัดการองค์กรท่ีให้บริการดา้ นสวัสดิการสังคมและการพัฒนาชุมชน บนพน้ื ทีส่ ูงอย่างตอ่ เนื่อง 5. ส่งเสรมิ สนบั สนุนอนุรักษศ์ ิลปวฒั นธรรม ประเพณที ี่ดีงามและทรงคณุ ค่า 6. สร้างเครือข่ายในการใหบ้ ริการสวสั ดกิ ารสังคมและการพัฒนาชุมชน และพิทักษ์สิทธิ มนุษยชนบนพื้นท่ีสูงทุกระดับอย่างท่ัวถึง (แนวทางการจัดทาแผนงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ปีงบประมาณ 2545,หนา้ 2) ปี พ.ศ. 2545 ได้มีการปฏริ ปู ระบบราชการ โดยรัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชบญั ญตั ปิ รับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ลงวนั ท่ี 2 ตลุ าคม 2545 จากเดมิ 14 กระทรวง เปน็ 20 กระทรวง เปน็ ผลให้ กรมประชาสงเคราะห์มาสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ภายใต้สังกัด กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กองสงเคราะห์ชาวเขาได้ถูกยุบไปโดยระยะแรกให้มีหน่วยงานรองรบั งานชาวเขาเดิมขึ้นตรงต่ออธิบดีและ ในสานักบริการสวัสดิการสังคมได้ให้มีส่วนร่วมการบริหาร โครงการพิเศษ เพื่อรับผิดชอบดาเนินโครงการสาคัญเฉพาะกิจ ได้แก่ โครงการพระธรรมจาริก โครงการหลวง โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนบนพ้ืนท่ีสูง ซ่ึงต่อยอดมาจากโครงการส่งเสริม การท่องเทยี่ วเชิงอนุรักษ์บนพืน้ ท่สี ูงเดิม ปี พ.ศ. 2550-2551 ในระยะต่อมากรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้จัดตั้ง “สานักพัฒนาสังคม” เป็นการ รวมงานด้านการพัฒนาสังคมของกรมฯ ซึ่งเป็นงานของอดีตกองนิคมสร้างตนเอง และงานด้านการ พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาเข้าไว้ด้วยกัน โดยกลุ่มประสานการจัดสวัสดิการสังคมบนพื้นที่สูงได้ถูก ยุบเลิกไป ถือว่างานพัฒนาชาวเขายังคงมีอยู่ และมองว่าชาวเขาเป็นประชากรกลุ่มเป้าหมายหนึ่งท่ี กรมฯ ต้องให้การดูแลเป็นปกติ ด้วยเหตุนี้กรมพัฒนาสงั คมและสวัสดิการ จึงย้ายงานเกี่ยวกับชาวเขา มาเป็นฝ่ายหน่ึงเป็นงานประจาปกติ และมีโครงการเฉพาะ ได้แก่ โครงการหลวง โครงการอัน เน่ืองมาจากพระราชดาริ คืองานพัฒนาเกษตรท่ีสูง(โครงการหลวง) โครงการพระธรรมจาริก และ โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนบนพื้นที่สูงเป็นโครงการพิเศษในสานักบริการสวสั ดิการสังคม ต่อมา ปี 2551 ได้มีการจัดตั้งสานักกิจการชาติพันธุ์ขึ้น เพ่ือส่งเสริมให้ครอบครัวและชุมชนของกลุ่มชาติพันธ์ุ ได้เข้าถึงบริการต่างๆ ของรัฐ ได้รับการคุ้มครองสิทธิ มีสัมมาชีพท่ีรักษาสิ่งแวดล้อม สามารถพึ่งตนเอง ได้อย่างย่ังยืนบนฐานของวัฒนธรรมอันดีงามของตนรวมท้ังมีการทางานร่ วมกันระหว่างหน่วยงาน ภาครัฐ องค์กรและเครือข่ายของกลุ่มชาติพันธุ์ท่ีมีความเช่ือมโยงกัน ต่างแต่ระดับชุมชนไปจนถึง ระดับชาตแิ ละนานาชาติ อันจะนาไปสู่การจัดสวสั ดิการสงั คมโดยทวั่ หนา้ และเปน็ ธรรม
66 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรยี บเทียบการพัฒนาบนพื้นท่สี งู ในอดตี และปจั จบุ ัน งานโครงการพฒั นาและสงเคราะหช์ าวเขา - งานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา เป็นงานปกติซึ่งดาเนินการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ซ่ึงมี ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา 14 ศูนย์ นาไปปฏิบัติในพ้ืนท่ี ได้แก่ 1) งานพัฒนาสังคม ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาด้านการศึกษา การพัฒนาอนามัย และการพัฒนาผู้นาและเยาวชนชาวเขา 2) งานชาวเขาสัมพันธ์ ประกอบด้วยงานพระธรรมจาริก งานส่งเสริมและเผยแพร่ และ งานอาสาสมัคร 3)งานพัฒนาอาชีพ ประกอบด้วย การส่งเสริมด้านการเกษตร การส่งเสริม ด้านอุตสาหกรรมในครวั เรือนและการฝึกอาชีพชาวเขา ดังรายละเอียดตอ่ ไปน้ี - งานพฒั นาสังคม 1. การพฒั นาดา้ นการศึกษา กรมประชาสงเคราะห์ได้จัดบริการด้านการศึกษาแกช่ าวเขา เป็น 2 ระดับ คอื ระดับเด็ก และผู้ใหญ่ ในระดับเด็ก ได้จัดต้ังโรงเรียนช่ัวคราวตามหมู่บ้านชาวเขาท่ีมีหน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ ชาวเขา เคล่ือนที่ไปปฏิบัติงานอยู่แล้ว โดยใช้หลักสูตรโรงเรียนชาวเขาพุทธศักราช 2508 ของกระทรวงศึกษาธิการ ดาเนินการสอนโดยหน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาเคล่ือนที่ (Mobile team) ซึ่งมีนักประชาสงเคราะห์เป็นหัวหน้าหน่วยและมีพนักงานเกษตร พนักงานอนามัย และครูช่วยสอน ชาวเขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเขาท่ีอ่านออกเขียนภาษาไทยได้ทาหน้าที่ครูช่วยสอน การสอนเน้นหนัก ให้เด็กก่อนวัยเรียนสามารถพูด อ่าน และเขียนภาษาไทยได้มีความรู้เก่ียวกับเมืองไทย และมีความ สานึกในความเป็นพลเมืองไทย และยังคงได้คัดเลือกเด็กชาวเขาไปศึกษาต่อและอยู่ในความอุปการะ ของสถานสงเคราะห์ของกรมประชาสงเคราะห์ ตลอดจนจัดหาทุนการศึกษาและคัดเลือกเด็กชาวเขา ส่งไปเรียนในโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ของกรมสามัญศึกษา ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อให้การศึกษาแก่เด็กใน ท้องถ่ินทุรกันดาร ในรูปของการให้เปล่า กรมประชาสงเคราะห์ได้จัดหลักสูตรการอบรมเป็นระยะสั้น ให้ความรู้ในวิชาชีพต่างๆ ภาษาไทย และการอนามัยแผนใหม่ โดยใช้เจ้าหน้าท่ีหน่วยเคล่ือนที่เป็น ผู้สอนในตอนกลางคืน นอกจากน้ียังมีโครงการการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จสาหรับชาวเขา เป็นโครงการร่วมกับกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ชาวเขาเผ่าต่างๆ ได้มีความคิดพอท่ีจะพัฒนาตัวเอง พัฒนาส่ิงแวดล้อม สามารถประกอบอาชีพอย่างถูกต้องตาม กฎหมาย มีเจตคติในความเป็นพลเมืองไทย มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตลอดจนมีความรู้ภาษาไทยเพ่ือจะใชใ้ นชีวิตประจาวันได้ โครงการนจ้ี ะจัดอาสาสมัครเดินสอนนาวัสดุ อุปกรณ์ในการสอนผู้ใหญ่ชาวเขาถึงในหมู่บ้าน ซ่ึงเริ่มดาเนินการเม่ือปี พ.ศ. 2520 (ปัจจุบันเลิก ไปแล้ว) รวมท้ังมีโครงการฝึกอบรมครูช่วยสอนชาวเขา โดยได้รับความร่วมมือจากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดวางโครงการและฝึกอบรมให้ในช่วงแรก โดยได้รับการสนับสนุน งบประมาณจากองค์การยูนิเซฟ และในช่วงหลังกรมการฝึกหัดครู กระทรวงศึกษาธิการ รับจัดการ ฝึกอบรมให้ต่อเน่อื ง - งานพัฒนาอนามัย กองสงเคราะห์ชาวเขา ได้เริ่มดาเนินการด้านพัฒนาอนามัยแก่ชาวเขา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 โดยการส่งเจ้าหน้าท่ีที่ออกไปสารวจสภาพพ้ืนที่และประชากรชาวเขา พร้อมได้ให้คาแนะนาด้าน
การวิจัยการศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพัฒนาบนพนื้ ท่ีสูงในอดีตและปจั จบุ นั 67 การรักษาสุขภาพอนามัยชาวเขา การสุขาภิบาล ตลอดจนให้การรักษาพยาบาลเบื้องต้น เพื่อบรรเทา ความเดือดร้อนเฉพาะหน้า เจ้าหน้าท่ีหน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาได้ให้การรักษาพยาบาล เบื้องต้นแก่ชาวเขา ตลอดจนให้คาแนะนาวิธีการป้องกันการรักษาโรคมากกว่าการบาบัดรักษา กล่าวคือได้พยายามเผยแพร่ความรู้เก่ียวกับการบารุงรักษาสุขภาพและอนามัยให้แก่ชาวเขา เพ่ือให้ การรักษาพยาบาลแก่ชาวเขาได้ผลดียิ่งข้ึน กรมประชาสงเคราะห์ได้จัดอบรมความรู้ ดา้ นการรักษาพยาบาลเบ้ืองตน้ แก่พนกั งานอนามยั ทกุ คนทีป่ ระจาหม่บู ้านชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ ได้ดาเนินการตามแผนพัฒนาด้านอนามัยชาวเขา โดยมีโครงการ พัฒนาสาธารณสุขแก่ชาวเขาดังนี้ 1) โครงการอบรมผดุงครรภ์โบราณ 2) โครงการสงเคราะห์ชาวเขาอดฝิน่ 3) โครงการอบรมผู้ส่ือข่าวสาธารณสุขและอาสาสมัครสาธารณสุข 4) โครงการวางแผนครอบครัว 5) โครงการวิจัยสุขภาพและพัฒนาอนามัยชาวเขา 6) โครงการจัดตั้งศูนย์เด็กเล็กก่อนวัยเรียน 7) โครงการอาสาปราบมาเลเรีย 8) โครงการฝกึ อบรมด้านอนามัยสาหรับเจ้าหนา้ ที่ 9) โครงการอบรม พระภิกษุสามเณรธรรมจาริก 10) โครงการสัมมนาผู้บริหารงานการจัดบริการสาธารณสุขสาหรับชน บางกลุ่ม - งานพฒั นาผ้นู า การพัฒนาผนู้ าชาวเขาไดเ้ ร่ิมดาเนนิ งานต้ังแต่ปี พ.ศ. 2507 เพือ่ ดาเนนิ การทางจิตวิทยา สร้างความสัมพนั ธก์ ับชาวเขา ให้ชาวเขาเกดิ ความผูกพันทางจิตใจมีความรูส้ กึ เปน็ พวกเดียวกบั คนไทย มีความรู้เก่ียวกับเมืองไทยและเข้าใจรัฐบาลดีข้ึน ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าท่ีมีความเคารพเชื่อฟัง เจ้าหน้าท่ีของบ้านเมือง อันจะยังให้ชาวเขาเกิดความจงรักภักดีต่อประเทศชาติ และยังได้นาชาวเขา ชั้นนามาฝึกอบรมด้านการใช้ภาษาไทยในชีวิตประจาวัน อบรมวิชาการแพทย์แผนใหม่และอบรม วชิ าชีพอตุ สาหกรรมในครวั เรอื นด้วย - งานพฒั นาเยาวชนชาวเขา เพื่อให้เยาวชนชาวเขาเป็นหลักสาคัญในหมู่บ้านชาวเขา และเพ่ือให้มีความรู้และทักษะ ในการประกอบอาชีพ สามารถใช้พลังความสามารถของเยาวชนเป็นแกนนาในการพัฒนาหมู่บ้าน ชาวเขาต่อไป โดยเยาวชนชาวเขาจะได้เข้ารับการฝึกอบรมเน้นหนักด้านการเกษตร การศึกษา การอาชพี และการอนามัยด้วย - งานชาวเขาสมั พันธ์ 1. งานพระธรรมจารกิ โครงการพระธรรมจาริกเกิดขึ้นจากแนวความคิดที่จะนาพระพุทธศาสนาไปเผยแพร่แก่ กลุ่มชนชาวเขา เมื่อครั้งท่ีนายประสิทธ์ิ ดิศวัฒน์ หัวหน้ากองสงเคราะห์ชาวเขาได้ลาอุปสมบท ณ วัดเบญจมบพิตรดุสติ วนาราม กรุงเทพฯ ในพ.ศ. 2507 และเกิดความคิดว่าหากอาราธนาพระภิกษุ สงฆ์ นาพระธรรมคาสั่งสอนของพระพุทธศาสนาไปเผยแพร่แก่ชาวเขาแลว้ น่าจะเป็นประโยชน์แก่ทาง ราชการอย่างมากต่อการพัฒนาจิตใจแก่ชาวเขา กล่าวคือหลักธรรมของพระพุทธศาสนาจะเป็นท่ี ยดึ เหนีย่ วทางจติ ใจ
68 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรียบเทียบการพัฒนาบนพื้นท่สี ูงในอดตี และปจั จบุ นั ในปี พ.ศ. 2508 จึงเร่ิมโครงการนาร่องโดยทดลองส่งพระสงฆ์รุ่นแรก จานวน 50 รูป เรียกคณะสงฆ์ดังกล่าวว่า “พระธรรมจาริก” ข้ึนไปเผยแพร่พระพุทธศาสนานาพระธรรมคาสั่งสอน ของพระสัมมาพุทธเจ้าไปอบรมแก่ชาวเขาและสร้างสัมพันธ์ทางด้านจิตใจกับชาวเขาตามหมู่บ้าน ชาวเขา จานวน 10 หมู่บ้านๆ ละ 5 รูป ในพ้ืนท่ีจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก และเพชรบูรณ์ ปฏิบัติภารกิจเป็นระยะเวลา 45 วัน ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2508 ผลปรากฏว่าทาให้ชาวเขา ได้รู้จักพระพุทธศาสนา รู้จักการกราบไหว้ เกิดความศรัทธาเลื่อมใส แสดงตนเป็นพุทธมามกะ จานวนประมาณ 800 คน และส่งบุตรหลานเข้าบรรพชาเป็นสามเณร จานวน 12 รูป นับเป็นนิมิตรหมายอันดี ท่ีพุทธศาสนาจะได้มีการแพร่ขยายไปสู่กลุ่มชนชาวเขาที่อยู่อาศัยในท้องถ่ินทุรกันดารต่อไป ซ่ึงต่อมา กองสงเคราะห์ชาวเขาจึงได้ร่วมกับพระธรรมกิตติโสภณ เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม และคณะสงฆ์ดาเนินโครงการพระธรรมจาริกอย่างถาวร ซ่ึงได้มีการดาเนินการอย่างต่อเน่ืองมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2509 เป็นต้นมา นอกจากจะทาการเผยแพร่พระพุทธศาสนาเป็นภารกิจหลักแล้ว พระธรรมจาริกยังได้ ปฏิบัติหน้าที่คล้ายๆ กับเป็น “นักพัฒนา” ท่ัวไปในการพัฒนาด้านสังคมและเศรษฐกิจเพราะได้ ออกไปหาชาวบ้านและร่วมกับชาวบ้านในการแก้ไขปัญหาชุมชน จึงทาให้พระธรรมจาริกมีบทบาท โดดเด่นในกิจกรรมการพัฒนาสังคมอื่นๆ เช่นการศึกษา อนามัย การพัฒนาชุมชน นอกเหนือจาก ภารกิจทางด้านการพัฒนาจิตใจ โดยใช้คาส่ังสอนของพระพุทธเจ้า นอกจากน้ีกิจกรรมของพระธรรม จาริกยังทาให้เกิดการผสมผสานระหว่างคติความเชื่อดั้งเดิมของชาวเขากับพุทธศาสนา ดังจะเห็นได้ จากการที่พิธีกรรมหลายพิธีกรรมของชาวเขาได้เร่ิมมีพระภิกษุเข้าไปมีส่วนร่วม รวมถึงกิจกรรม ทางด้านการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม โดยการนาผู้นาหมบู่ ้านพ้ืนราบ ผนู้ าเยาวชนและชาวบ้านทั่วไปขึ้น ไปร่วมพิธีกรรมที่สาคัญประจาปีของชาวเขาแต่ละเผ่า และการนาผู้นาชาวเขา ผู้นาเยาวชน และ ชาวเขาลงจากเขามาร่วมในพิธีกรรมท่ีสาคัญของชาวบ้านพื้นราบ นับว่าเป็นกิจกรรมท่ีสอดคล้องและ เหมาะสมกับวัฒนธรรมของคนไทยท่ีประกอบขึ้นมาจากการผสมผสานระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อยา่ งหลากหลาย อีกทั้งได้ชว่ ยราชการในการพฒั นาและสงเคราะห์ชาวเขาในด้านต่างๆ สรา้ งความสมั พันธ์ อันดีกับชาวเขา ทาให้ชาวเขาเกิดความจังรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เกิดความม่ันคง มคี วามรู้สึกเป็นพวกเดียวกันกับคนไทยท่วั ไปอยา่ งท่ีเหน็ ได้ชัดเป็นรปู ธรรม คอื ได้มชี าวเขาขอแสดงตน เป็นพุทธมามกะจานวนมาก ประมาณหน่ึงในห้าของจานวนชาวเขาทั้งหมด และส่งบุตรหลาน เข้าบรรพชาอปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนา ตัง้ แต่ปี พ.ศ. 2508 เปน็ ตน้ มา 2. งานส่งเสริมและเผยแพร่ กองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ มีโครงการชุดชาวเขาสัมพันธ์เคล่ือนท่ี โดยมีเคร่ืองมืออุปกรณ์โสตทัศนศึกษา เข้าไปแนะนาและจัดฉายภาพยนตร์เกี่ยวกับการสง่ เสริมอาชพี การศึกษา สุขอนามัย และความเป็นอยู่ ตลอดจนถ่ายทาภาพยนตร์ ภาพน่ิง เก่ียวกับกิจกรรมและ ผลงานด้านตา่ งๆ เพอ่ื นาออกประชาสมั พนั ธ์เผยแพร่ 3. งานอาสาสมัคร ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2507 กรมประชาสงเคราะห์ ได้ทดลองจัดนิสิตอาสาสมัครคณะ อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จานวน 5 นาย เข้าไปสอนหนังสือให้แก่ชาวเขาท่ีนิคมสร้าง ตนเองสงเคราะห์ชาวเขาดอยมูเซอ จังหวัดตาก เพื่อที่จะให้ชาวเขามีความรู้เก่ียวกับเมืองไทยมาก
การวจิ ัยการศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพฒั นาบนพนื้ ทสี่ ูงในอดีตและปจั จบุ นั 69 ย่ิงขึ้นและให้นิสิตอาสาสมัครมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของชาวเขา จากการ ทดลองนี้ปรากฏผลเป็นที่น่าพอใจ การทางานแบบอาสาสมัคร สามารถเป็นส่ือกลางในการสร้าง ความสัมพนั ธก์ บั ชาวเขาดงั กล่าวได้เปน็ อย่างดยี ิ่ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2507 นี้ กรมประชาสงเคราะห์ ได้ฝึกอบรมคณะครู สตรี อาสาสมัคร โรงเรียนเทเวศร์วทิ ยาลัย จานวน 14 คน ส่งไปสอนหนังสือให้แก่ชาวเขาเผ่าแม้วและเผ่ามูเซอ ท่ีนิคม สร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขาดอยมูเซอ จังหวัดตากปรากฎว่าครู สตรี อาสาสมัคร สามารถเข้ากับ ผู้หญิงและเด็กชาวเขาได้ดีกวา่ อาสมัครชาย และสามารถท่ีจะใช้อาสาสมัครที่จะใช้อาสาสมัครสตรที า การสอนหนงั สอื ให้แกช่ าวเขาไดโ้ ดยวธิ โี สตทศั นศกึ ษา และการละเลน่ เป็นหลกั ในการสอน - งานพฒั นาอาชพี กรมประชาสงเคราะห์ ได้เข้าดาเนินการให้การสงเคราะห์ชาวเขาด้วยการพัฒนาอาชีพ เพื่อยกระดับรายได้ ลดสภาพความแตกต่างลง และให้ชาวเขาสามารถช่วยตัวเองได้โดยใช้วิธีการ 3 ประการ คอื 1. การส่งเสริมด้านการเกษตร กรมประชาสงเคราะห์เข้าดาเนินการส่งเสริมและพัฒนา อาชีพของชาวเขา ด้วยการปรับปรุงพันธ์ุพืชและพันธุ์สัตว์ให้ดีข้ึน มีผลผลิตสูง การแนะนาให้รู้ถึง เทคนิควิทยาการใหม่ทางการเกษตรเพื่อให้ผลผลิตในเน้ือที่เท่าเดิมเพิ่มข้ึนและหยุดการเคลื่อนย้าย และการทาไร่เลื่อนลอย โดยได้ส่งเสริมการปลูกกาแฟอะราบิก้าแก่ชาวเขา จัดทาสามะโนเกษตรและ รายได้ชาวเขา รวมทงั้ มโี ครงการอาสาพัฒนาปลกู ปา่ ในฤดูฝน 2. การส่งเสริมด้านการอุตสาหกรรมในครัวเรือน กรมประชาสงเคราะห์ได้เล็งเห็น ความจาเป็นในการเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวเขา จึงได้จัดทาโครงการฝึกอบรมด้านอาชีพอุตสาหกรรมใน ครัวเรือน เพ่ือส่งเสริมให้ชาวเขา โดยเฉพาะสตรีชาวเขาได้รู้จักผลิตสิ่งของเคร่ืองใช้ที่จาเป็นใน ครัวเรือน รวมท้ังพัฒนาทักษะฝึกมือในสิ่งท่ีมีความชานาญอยู่แล้วให้มีคุณภาพดีย่ิงข้ึน เป็นการลด รายไดแ้ ละทาให้ชาวเขาชว่ ยตวั เองได้มากขนึ้ ดว้ ย จากการดาเนนิ การดังกล่าว ทาใหช้ าวเขามีรายได้และมาตรฐานความเป็นอยสู่ ูงข้ึน และ สามารถช่วยตัวเองได้น้ัน ย่อมจะเป็นการสลายปัญหาต่างๆ ของชาวเขาลงได้ เช่น การอพยพ การทาไร่เล่ือนลอย ตลอดจนความม่ันคงของประเทศ เป็นต้น และกรมประชาสงเคราะห์ได้ดาเนิน นโยบายดังกลา่ วมาตลอด 3. การฝึกอาชีพชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ได้คัดเลือกชาวเขาจากทุกๆ เผา่ ที่มีความ เหมาะสมและมคี วามสนใจตอ่ การฝึกอาชพี มาดาเนนิ การอบรม ซงึ่ ได้แบง่ ออกเป็น 2 ประเภทดงั น้ี - การฝึกอบรมอาชีพด้านการเกษตรกรรม โดยคัดเลือกชาวเขาเข้ารับการอบรมทาง การเกษตรให้รู้จักการเกษตรแผนใหม่ เพื่อเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้นทั้งทางด้านการปลูกพืชและการเลย้ี ง สัตว์ มีการอบรมเฉพาะเรื่อง คืออบรมการปลูกกาแฟ เน่ืองจากกรมประชาสงเคราะห์ได้ส่งเสริมให้ ชาวเขาปลกู กาแฟอะราบิกา้ ซึ่งเป็นพชื ใหม่ท่ชี าวเขายังขาดประสบการณแ์ ละความรู้ - การฝึกอบรมอาชีพด้านการอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมการใช้เวลาว่างจากงานอาชีพ ประจา คอื การเกษตรมาประกอบหัตถกรรมฝีมือ โดยใช้วสั ดุในท้องถ่ินมาทาการดัดแปลง เช่น การนา หวายไม้ไผ่มาจักสานเป็นเครื่องใช้ และมีการอบรมเทคนิคและวิธีการใหม่ๆ เพื่อสร้างงานฝีมือ
70 การวิจยั การศึกษาเปรียบเทียบการพฒั นาบนพื้นทีส่ งู ในอดีตและปัจจบุ ัน หัตถกรรมให้ดีข้ึน มีความสวยงามและเป็นไปตามความต้องการของตลาด เป็นรายได้เสริม นอกเหนือจากรายได้หลักท่มี าจากการเกษตร โครงการพฒั นาและสงเคราะห์ชาวเขา ทีส่ าคัญไดแ้ ก่ โครงการหลวง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงจัดต้ังโครงการหลวงข้ึน เมอ่ื ปี พ.ศ. 2512 เพ่อื เปน็ การช่วยเหลอื ชาวเขา ลดการปลูกฝิ่น ตลอดจนการทาไร่เล่อื นลอยเป็นการ อนรุ ักษ์ป่าตน้ นา้ ลาธารต่อมาเม่ือเดือนมีนาคม พ.ศ. 2535 พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช ได้โปรดเกล้าพระราชทานให้โครงการหลวงเปล่ียนสถานะเป็นมูลนิธิโครงการหลวง เพ่ือให้มีสถานะ เป็นองค์กรเพื่อสาธารณะประโยชน์อย่างถาวร และคณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่วนราชการเข้าไปร่วมสนับสนุน โครงการหลวงอย่างเป็นระบบมากขึ้น เพ่ือเป็นการแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กรมประชาสงเคราะห์ได้จัดงบประมาณสนับสนุนงาน โครงการหลวง ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2536 เปน็ ตน้ มา โดยให้สานกั งานส่งเสรมิ การพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคม บนท่ีสูง จังหวัดเชียงใหม่ กองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประสงเคราะห์ ทาหน้าที่ประสานงานและจัด เจ้าหน้าท่ีร่วมปฏิบัติงาน ซึ่งมีพ้ืนท่ีรับผิดชอบในการดาเนินงานใน 3 จังหวัด 8. ศูนย์พัฒนาโครงการ หลวง คอื 1. ศนู ยพ์ ัฒนาโครงการหลวงม่อนเงาะ จังหวดั เชยี งใหม่ 2. ศนู ยพ์ ฒั นาโครงการหลวงขุนวาง จังหวัดเชียงใหม่ 3. ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่แพะ จังหวัดเชียงใหม่ 4. ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแมโ่ ถ จังหวัดเชยี งใหม่ 5. ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยโป่ง จังหวัดเชียงราย 6. ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ห้วยน้าริน จังหวัดเชียงราย 7. ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน 8. ศูนย์พัฒนา โครงการหลวงแม่สะเรยี ง จังหวดั แม่ฮอ่ งสอน ต่อมาจึงได้มีการขยายผลโครงการหลวงไปอีก 2 จังหวัด ได้แก่ 1. โครงการขยายผลงาน โครงการหลวงเพื่อพัฒนาการเกษตรอย่างย่ังยืนบ้านถ้าเวียงแก่ จังหวัดน่าน และ 2. โครงการขยายผลงาน โครงการหลวงเพือ่ พฒั นาการเกษตรอย่างยั่งยืนบา้ นคลองลาน จงั หวัดกาแพงเพชร ลกั ษณะการดาเนินงานโครงการหลวง แบง่ ออกเป็น 5 แผนงานหลกั คอื 1) แผนงานอานวยการและประสานเพ่ือการสนับสนุนการปฏิบัติงานและประสานงาน ของส่วนราชการต่างๆ รวมท้ังองค์กรเอกชนที่เก่ียวข้องในด้านต่างๆ ตลอดจนการติดตามประเมินผล ความกา้ วหนา้ 2) แผนงานพฒั นาและส่งเสรมิ อาชีพ เป็นแผนงานส่งเสริมอาชพี ทีส่ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการ ของประชากรเป้าหมายในแต่ละพ้ืนที่ และเหมาะสมกับสภาพพ้ืนที่ เช่น การส่งเสริมปลูกพืชผักและไม้ผลเมือง หนาว การสง่ เสรมิ ปลกู ไม้ตดั ดอกเมืองหนาว การสง่ เสริมการปลกู พืชไร่ และการสง่ เสรมิ เลี้ยงสตั ว์ 3) แผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมกิจกรรมกลุ่ม เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของเกษตรกรการรวมกลุ่มของเกษตรกรในรูปของสหกรณ์ 4) แผนงานพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นการส่งเสริมจิตสานึกของชุมชน ให้ตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติและการมีส่วนร่วมของชุมชนในการฟื้นฟู การควบคุม การปอ้ งกันทรัพยากรธรรมชาติ
การวิจยั การศกึ ษาเปรยี บเทยี บการพัฒนาบนพืน้ ทส่ี งู ในอดตี และปัจจุบนั 71 5) แผนงานปรับปรุงปัจจัยพื้นฐาน เป็นการช่วยชาวบ้านให้ได้รับความสะดวกในการ คมนาคมตลอดจนส่งเสริมชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลและบารุงรักษาส่ิงสาธารณูปโภคต่างๆ ที่หนว่ ยงานราชการต่างๆ ร่วมกนั ดาเนินการก่อสรา้ ง ปีพ.ศ. 2549 ได้ขยายพ้ืนที่ดาเนินการโครงการหลวง (ต่อมากรมประชาสงเคราะห์ใช้ ชื่อโครงการพัฒนาเกษตรที่สูง) จากเดิมท่ีรับผิดชอบ 3 จังหวัดเพิ่มขึ้นอีก 2 จังหวัด คือจังหวัดลาพูน และจังหวัดพะเยา ในปีพ.ศ. 2551 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้อนุมัติขยายพ้ืนที่การดาเนิน โครงการหลวง และโครงการขยายผลงานโครงการหลวงเพ่ือพัฒนาการเกษตรอย่างย่ังยืน ตามมติ ท่ีประชุมการจัดทาแผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวง (พ.ศ.2550-2554) เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2549 กล่าวโดยสรุปแล้ว กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้ขยายพื้นที่ การดาเนินงาน รวมจานวน 40 แห่งในเขตพ้ืนท่ี 7 จังหวัด เพ่ือให้ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีข้ึน และเพ่ือฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ตลอดจน ต้นน้าลาธาร ใหม้ สี ภาพทส่ี มบูรณ์ โครงการรวมน้า + ใจถวายในหลวง (คนจ.) เป็นโครงการท่ีส่งเสริมให้ชาวเขาทาการเกษตรผสมผสาน ให้กิจกรรมการปลูกพืช เลย้ี งสัตว์ เลี้ยงปลา เกอ้ื กลู และเป็นประโยชน์ซึง่ กันและกัน ทาให้มผี ลผลติ จากพชื และสัตว์ไว้บรโิ ภคไดท้ ้ังปี หลักการสาคัญในการดาเนินโครงการน้ีคือ การฝึกอบรม (Training) การลงมือทา (Action) และ ติดตามผล (Follow-up) ปัจจัยสาคัญท่ีจะให้โครงการน้า+ใจถวายในหลวง หรือโครงการเกษตร ผสมผสานประสบความสาเร็จนั้นจะข้ึนอยู่กับการเลือกพื้นท่ีในการดาเนินการขุดสระนั้นสามารถ เก็บน้าได้หรือไม่ ถ้าเก็บน้าก็จะสามารถดาเนินการปลูกพืชผักสวนครัว ไม้ผล และใช้น้าจากสระ มารดพชื ท่ีปลูกได้ ขณะเดียวกันก็สามารถเลย้ี งสัตว์บนบอ่ ปลาเพ่ือให้มูลสัตวเ์ ปน็ อาหารปลาต่อไป จากการติดตามผลการดาเนินโครงการฯ พบวา่ เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯมีความสุข และความพอใจเป็นอยา่ งมาก เพราะไดร้ บั ผลประโยชนใ์ นด้านเศรษฐกิจทาใหล้ ดค่าใชจ้ ่ายในครวั เรือน และมีความสุขกับงานท่ีร่วมกันทากับสมาชิกในครอบครัวตลอดท้ังปี นอกจากนั้นยังเป็นทางเลือกใน การประกอบอาชีพให้แก่ชาวเขาอีกด้านหนึ่ง โดยมีเจ้าหน้าท่ีพัฒนาชาวเขาในศูนย์พัฒนาและ สงเคราะห์ชาวเขาจงั หวดั เปน็ ผูอ้ านวยความสะดวกในการดาเนินโครงการ โครงการส่งเสรมิ เกษตรทฤษฎใี หม่ เป็นการส่งเสริมให้ชาวเขาทาการเกษตรตามแนวพระราชดาริ “ทฤษฎีใหม่” อันเป็นวิธี ปฏิบัติท่ีสาคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นแนวพระราชดาริของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย นับตั้งแต่ปี 2517 เป็นต้นมา โดยให้มีการ บรหิ ารจดั การทด่ี นิ ขนาดเลก็ ให้เกดิ ประโยชนส์ งู สดุ (15 ไร)่ สว่ นท่ี 1 30 % ใชส้ าหรบั ทานาปลกู ขา้ วไวบ้ ริโภคในครัวเรอื น ส่วนท่ี 2 30 % ทาแปลงพชื ไรส่ วนผสมผสานสวนครัวสมุนไพร สว่ นที่ 3 30 % ขดุ สระน้าเพือ่ กกั เก็บนา้ ในฤดูฝนเหมือนโอ่งขนาดใหญ่ สว่ นท่ี 4 10 % ท่ีอยู่อาศยั คอกสตั ว์ โรงหมกั ปุ๋ย เพาะเห็ด
72 การวจิ ัยการศกึ ษาเปรียบเทยี บการพัฒนาบนพื้นทสี่ งู ในอดีตและปัจจุบัน และให้มีการบริหารการจัดการน้าด้วยการขุดสระน้าให้มีกินมีใช้ และสามารถทา กิจกรรมเกษตรให้ได้เพียงพอตลอดท้ังปี รวมท้ังให้ทากิจการเกษตรท่ีหลากหลาย ปลูกพืชหลายอย่าง หรือผลัดปลกู พืชไร่ พชื สวน พืชผกั สวนครัว เล้ยี งสัตวบ์ กและสัตวน์ ้า เพื่อเป็นอาหารประจาวันซ่ึงเป็น การลดค่าใชจ้ า่ ยและเปน็ รายได้เสรมิ โครงการรณรงค์การใช้หญ้าแฝกตามแนวพระราชดาริ ประเทศไทยประสบปัญหาการตัดไม้ทาลายป่าเป็นจานวนมาก จนทาให้เกิดการ พังทลายของหน้าดินอย่างรุนแรงมาก ซ่ึงส่งผลกระทบถึงเกษตรกรท่ีเป็นประชากรส่วนใหญ่ของ ประเทศไทย พระบาทสมเด็จแระเจ้าอยู่หัว ทรงงานพัฒนาเพื่อให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดี และได้ พระราชทานหลักสาคัญให้กับผู้ที่ปฏิบัติงานสนองพระราชดาริคือ “ต้องคานึงถึงสภาพแวดล้อม พัฒนา และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ” ดังนั้น เมื่อพระองค์ทรงทราบว่า หญ้าแฝก สามารถท่ีจะ ป้องกันการเสื่อมโทรมของผิวดินและอนุรักษ์ดินแบบประหยัด และที่สาคัญคือเกษตรกรรับภาระได้ ดงั นัน้ เม่อื วันท่ี 22 มิถุนายน 2534 จึงไดม้ พี ระราชดารเิ ปน็ คร้งั แรกใหห้ น่วยงานต่างๆ ได้ทาการศึกษา ทดลอง การปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการพังทลายของดินในพ้ืนท่ศี ูนย์ศึกษาการพัฒนาตา่ งๆ และใน พ้นื ท่อี นื่ ๆใหก้ วา้ งขวาง โครงการสง่ เสรมิ การทอ่ งเทีย่ วเชงิ อนุรกั ษ์บนพ้ืนท่ีสูง กองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ไดด้ าเนินการส่งเสริมการท่องเท่ียวเชิงอนุรักษบ์ นพน้ื ที่สงู โดยไดร้ ับความชว่ ยเหลือจากกองทุนความ ร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเลประเทศญี่ปุ่น (The Over-seas Economic Cooperation Found of Japan : OECF) โดยสนับสนุนเงินลงทุนด้านส่ิงก่อสร้างถาวรวัตถุ ทาให้มีสถานท่ีรวบรวมองค์ ความรใู้ นเรอื่ งประวตั ิศาสตร์ การตั้งถนิ่ ฐานศลิ ปวฒั นธรรม ประเพณี และวิถีการดารงชวี ติ ของชาวเขา เผ่าต่างๆ ที่มีความแตกต่างในแต่ละเผ่าในพ้ืนที่ 13 จังหวัด โดยดาเนินการด้านส่ิงก่อสร้างและ พัฒนาบุคลากรเพ่ือพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเท่ียวให้ยั่งยืนและ มีคุณภาพมากยิ่งข้ึน ได้แก่ สร้างศูนย์วัฒนธรรมชาวเขาประจาจังหวัด 3 แห่ง ในศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน และตาก การจัดให้มีตลาดชาวเขาดอยมูเซอ จังหวัดตาก การปรับปรุง ทางคมนาคมเพื่อความสะดวกในการเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเท่ียว การตั้งหน่วยบริการข้อมูลการ ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บนพื้นที่สูงให้แก่นักท่องเท่ียว การจัดอบรมให้ความรู้ด้านการท่องเที่ยวเชิง อนุรักษ์บนพื้นที่สูงให้กับเจ้าหน้าที่และชาวเขา การส่งเสริมการผลิตสินค้าหัตถกรรมของที่ระลึกท่ีมี เอกลักษณ์ของชาวเขา ตลอดจนการสนับสนุนการจัดต้ังองค์กรท้องถ่ินเพื่อให้สามารถบริหารจัดการ การทอ่ งเที่ยวเชงิ อนุรักษ์ไดด้ ้วยตนเองอย่างยั่งยืนเป็นตน้ โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บนพ้ืนที่สูง มีบทบาทที่สาคัญในการช่วย พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรบนพื้นท่ีสูง และเป็นแนวทางหน่ึงที่ทาให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง สามารถบริหารจัดการชุมชนได้ด้วยตนเอง มีการพัฒนาตนเองทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และมีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ประเพณี วัฒนธรรม ศิลปหัตถกรรม ของท้องถ่ินที่ดีงามให้คงอยู่อย่างยงั่ ยืน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 537
Pages: