รายงานการวจิ ัย การประเมนิ หลักสูตรโรงเรยี นสาธติ แหง่ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศนู ยว์ ิจัยและพฒั นาการศึกษา ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.2560) โดย ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.รจุ ิราพร รามศริ ิ หวั หนา้ โครงการวิจยั ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ณชพงศ์ อดุ มศรี ผรู้ ่วมวิจัย รองศาสตราจารย์ นาวาอากาศโท ดร.สุมติ ร สวุ รรณ ผู้ร่วมวจิ ัย งานวิจยั นไ้ี ดร้ ับทุนสนบั สนนุ การวจิ ยั ในโครงการวิจยั ม่งุ เป้า ประจาปี 2562 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน ปที ี่พมิ พ์เผยแพร่ 2564
Curriculum Evaluation of Kasetsart University Laboratory School Kamphaeng Saen Campus Educational Research and Development Center According to the Basic Education Core Curriculum 2008 (Development Curriculum 2017) By Asst. Prof. Rujiraporn Ramsiri, Ph.D Asst. Prof. Nachapong Udomsri, M.Ed. Assoc.Prof.Wg.Cder. Sumit Suwan, Ph.D. Supported by Target research project for the year 2019 Kasetsart University Kamphaeng Saen Campus 2021
คำนำ การวิจัยการประเมินหลักสูตรโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กาแพงแสน ศนู ยว์ จิ ยั และพัฒนาการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) เล่มน้ี เป็นการประเมินหลักสูตรสถานศึกษาระดับการศึกษาข้ัน พืน้ ฐาน ของโรงเรยี นสาธติ แหง่ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนา การศึกษา หลังจากท่ีมีการใช้หลักสูตรฉบับน้ีมาแล้วเป็นระยะเวลา 2 ปีการศึกษา แต่เป็นการนา หลักสูตรสถานศึกษา ฉบับพ.ศ. 2551 มาปรับปรุงตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการท่ี สพฐ. 1239/2560 เรื่องใหใ้ ช้มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตวั ชวี้ ดั กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภมู ศิ าสตร์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 การประเมินหลักสูตรคร้ังนี้ มี เป้าหมายสาคัญคือ เน้นการประเมินตามแนวคิดของ Stufflebeam (2007) ตามรูปแบบ CIPP Model เปน็ หลกั โดยพิจารณาความสอดคล้องของผลท่ีได้กับปรัชญาและวัตถุประสงค์ของหลักสูตร และได้ใช้แนวคิดที่มีการขยาย Model เป็น CIPPI ให้ครอบคลุมการประเมิน 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านบริบท ด้านปัจจัยนาเข้า ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต และด้านผลกระทบ โดยเก็บรวบรวม ข้อมูลจากนักเรียน อาจารย์ ผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ปกครอง รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตร ผลจากการประเมินหลักสูตรจะเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาสู่การปฏิบัติที่พึง ประสงค์ และเป็นแนวทางใหส้ ถานศึกษาเตรียมก้าวสู่หลักสูตรฐานสมรรถนะ (Competency Based Curriculum) เพือ่ การพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียนใหม้ คี วามสามารถเชงิ สมรรถนะ ซึ่งประกอบด้วย มีความ รอบรู้ มีทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ นาไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานได้ประสบผลสาเร็จ และสร้างสรรค์ มีบุคลิกภาพทีด่ ี เปน็ ผนู้ า และดารงคณุ ธรรมตามทส่ี ังคมตอ้ งการ การวิจัยครั้งน้ีได้รับความอนุเคราะห์ในด้านข้อมูลต่างๆ จาก ผู้บริหารระดับคณะใน มหาวิทยาลัยท่ีมีโรงเรียนสาธิตและระดับโรงเรียน อาจารย์ผู้สอน ผู้ปกครอง นักเรียน และผู้ที่ เก่ียวข้อง ขอขอบคุณผู้บริหารและคณะกรรมการโครงการวิจัยมุ่งเป้า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ท่ีได้กรุณาสนับสนุนทุนวิจัย ประจาปี 2562 ความสาเร็จจากผลการประเมิน หลักสตู รครัง้ นจี้ ะชว่ ยพฒั นาหลกั สตู ร การเรียนการสอน การวัดและประเมินผล รวมท้ังกิจกรรม และ สง่ิ สนบั สนุนตา่ ง ๆ ที่จาเปน็ ตอ่ การพฒั นาหลักสตู รใหม้ ีประสิทธภิ าพและประสิทธิผลต่อไป (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รจุ ริ าพร รามศริ ิ) หัวหนา้ โครงการวิจยั 24 กันยายน 2564
บทคดั ย่อ ชอ่ื เรอ่ื ง การประเมินหลักสตู รโรงเรยี นสาธติ แห่งมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ คำสำคัญ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ตามหลักสูตร ช่ือผู้วจิ ยั ปที พ่ี มิ พ์เผยแพร่ แกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) การประเมินหลกั สตู ร/ โรงเรยี นสาธิตแหง่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยา เขตกาแพงแสน / หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รุจริ าพร รามศิริ หัวหน้าโครงการวจิ ัย ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ณชพงศ์ อดุ มศรี ผูร้ ่วมวิจัย รองศาสตราจารย์ นาวาอากาศโท ดร.สมุ ิตร สุวรรณ ผรู้ ่วมวิจยั พ.ศ. 2564 การวจิ ัยคร้งั นม้ี ีวตั ถุประสงค์ 1) เพื่อศกึ ษาสภาพปญั หาของหลักสูตรสถานศึกษาในปัจจุบัน และความต้องการประเมินหลักสูตรสถานศึกษา 2) เพื่อประเมินหลักสูตรโรงเรียนสาธิตแห่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ในด้านบริบท ด้าน ปัจจัยนาเข้า ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต และด้านผลกระทบ โดยจาแนกเป็นหลักสูตรปกติ และ หลักสูตร English Program และ3) เพื่อศึกษาปัญหาและเสนอแนวทางการพัฒนาและปรับปรุง หลักสูตรสถานศึกษา โดยจาแนกเป็นหลักสูตรปกติ และหลักสูตร English Program ใช้วิธีการ ประเมินแบบ CIPPI Model มีองคป์ ระกอบ 5 ดา้ นคอื ดา้ นบริบท ด้านปัจจัยนาเขา้ ดา้ นกระบวนการ ด้านผลผลิต และด้านผลกระทบ ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วย นักเรียนหลักสูตรปกติ 454 คน หลักสูตร English Program 27 คน อาจารย์ผู้สอนหลักสูตรปกติ 89 คน หลักสูตร English Program 22 คน ผู้บริหาร 19 คน และผู้ปกครองหลักสูตรปกติ 15 คน และหลักสูตร English Program 5 คน เก็บ รวบรวมข้อมลู โดยใช้วิธีการตรวจเอกสารหลักสูตร การสอบถาม การสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม เครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ัยได้แก่ แบบบนั ทกึ เอกสาร แบบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ และประเด็นสนทนา กล่มุ สถติ ทิ ีใ่ ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ เน้ือหา ผลการวจิ ยั มดี ังนี้ 1. หลักสูตรปกติและหลักสูตร English Program มีสภาพปัญหาของหลักสูตรสถานศึกษา ในปจั จุบันทีค่ วรต้องเรง่ แก้ไขปรับปรงุ และพัฒนา คือ การนาหลักสูตรไปใช้ โดยครูไม่สามารถพัฒนา คุณภาพผู้เรยี นใหไ้ ปถึงเป้าหมายของผ้เู รยี นในศตวรรษท่ี 21 ได้ครบถ้วน ซ่ึงเกิดจากความไม่พร้อมใน การปฏบิ ัตหิ น้าท่ีและไมเ่ ขา้ ใจหลักสตู ร สถานศึกษามคี วามต้องการจาเป็นมากท่ีจะต้องมีการประเมิน หลักสูตรเพือ่ การปรับปรงุ และพัฒนา โดยอาจประเมนิ ทุกปีการศกึ ษาเพื่อความต่อเน่ือง หรือประเมิน เมอ่ื ครบรอบการใชห้ ลกั สตู รอย่างน้อย 3 ปี 2. ผลการประเมินหลักสูตรสถานศึกษาตามความคิดเห็นของนักเรียนและอาจารย์ผู้สอน ของหลักสูตรปกติ พบว่า ในภาพรวมอย่ใู นระดบั ปานกลาง และมคี วามคดิ เห็นในดา้ นผลกระทบอยู่ใน ข
ระดบั มาก โดยมคี วามคดิ เหน็ ทไี่ มส่ อดคล้องกัน คือนักเรียนมีความคิดเห็นต่อหลักสูตรในภาพรวมอยู่ ในระดบั ปานกลาง ส่วนอาจารย์ผู้สอนเห็นว่าอยู่ในระดับมาก และจากการจัดลาดับความคิดเห็นตาม องค์ประกอบของการประเมินหลักสูตรเป็นรายด้านพบว่า นักเรียนมีความคิดเห็นในด้านผลกระทบ เป็นลาดับท่ี 1 และด้านกระบวนการเป็นลาดับที่ 5 ส่วนอาจารย์ผู้สอนมีความคิดเห็นในด้านบริบท เปน็ ลาดบั ท่ี 1 และด้านผลกระทบเป็นลาดับที่ 5 สาหรับหลักสูตร English Program พบว่า ความ คิดเห็นของนักเรียนและอาจารย์ผู้สอนในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และนักเรียนมีความคิดเห็นต่อ หลักสูตรในภาพรวมอยู่ในระดับมากซึ่งสอดคล้องกันกับความคิดเห็นของอาจารย์ผู้สอน และเม่ือ จัดลาดบั ความคิดเห็นตามองค์ประกอบรายด้านพบว่า นักเรียนมีความคิดเห็นในด้านผลกระทบเป็น ลาดบั ท่ี 1 และดา้ นกระบวนการเปน็ ลาดับที่ 5 ส่วนอาจารย์ผู้สอนมีความคิดเห็นในด้านกระบวนการ เป็นลาดบั ที่ 1 และด้านปจั จยั นาเข้าเปน็ ลาดบั ที่ 5 ซ่งึ ไมส่ อดคล้องกัน 3. ผลการศึกษาปัญหาและแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษา หลักสูตร ปกติ ด้ำนบริบท พบว่า รายวชิ าพน้ื ฐานมีเวลาเรียนจานวนมากไม่สามารถจดั รายวชิ าเรียนตามจุดเน้น ได้เท่าทีค่ วร ครูยังไม่สามารถพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้ไปถึงเป้าหมายของผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 ได้ ครบถ้วน และไม่มีเครื่องมือสะท้อนผลลัพธ์การบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพนักเรียน ด้ำน ปัจจัยนำเข้ำ มีปัญหาคือ ความไม่พร้อมในการให้บริการของเจ้าหน้าท่ี ความเชี่ยวชาญและ ประสบการณข์ องอาจารย์ผู้สอน ขาดความเขา้ ใจเร่อื งหลักสูตร และขาดการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง และชุมชน ด้ำนกระบวนกำร มีปัญหาคือ ขาดระบบการบริหารจัดการหลักสูตรที่มีความต่อเน่ือง ขาดความชัดเจนในเรอื่ งระบบการนิเทศตดิ ตาม การจดั การความรู้ และการสะทอ้ นผลการจัดกิจกรรม การเรียนรู้เพื่อการพัฒนา รวมทั้งรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรเพ่ือนาสู่การปฏิบัติจริงของทุกฝ่ายท่ี เกี่ยวข้อง ด้ำนผลผลติ มปี ัญหาคือ การเรียนรู้กระบวนการทางานเป็นทีม ความรู้ความสามารถและ คณุ ลักษณะของผ้เู รยี นในศตวรรษที่ 21 และนักเรยี นสว่ นใหญข่ าดสมรรถนะในการสร้างสรรค์ช้ินงาน ด้ำนผลกระทบ มีข้อกังวลคือ ความรู้สึกรักและภาคภูมิใจต่อสถาบันของนักเรียน และการเผยแพร่ ผลงานวิชาการและงานวิจยั ของอาจารย์ที่มีจานวนไมถ่ งึ ครง่ึ หน่งึ ของอาจารย์ในโรงเรียน แนวทำงกำร พัฒนำและปรับปรุงหลักสูตรสถำนศึกษำ ทาได้โดยควรปรับโครงสร้างเวลาเรียนให้สามารถจัด รายวิชาเรียนตามจุดเน้นได้มากขึ้น สถานศึกษาควรมีอิสระในการออกแบบหลักสูตรได้อย่างแท้จริง ควรสร้างและพัฒนาเครื่องมือประเมินท่ีสะท้อนผลลัพธ์การบรรลุเป้าหมายของหลักสูตร ปรับปรุง วิสยั ทัศนข์ องหลักสูตรให้เน้นการจัดการศึกษาเพ่ือเสริมสร้างทักษะการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม เพิ่มเติมการคิดขั้นสูง กาหนด Creative Based, Technology Based ไว้ในกรอบแนวคิดหลักสูตร ร่วมกับ Project Based และ Career Based โดยเน้น Competency Based และแนวทางการจัด หลักสูตรควรเน้นการบูรณาการเชิงสร้างสรรค์ (Creative Integration) ให้มากข้ึน อาจารย์และ เจ้าหน้าที่ควรเป็นต้นแบบท่ีดีให้นักเรียน การเรียนการสอนควรเน้นปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี มีการ จัดการความรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง มีระบบการพัฒนาวิชาชีพครูแบบพลิกโฉมเพ่ือก้าวทันการ เปล่ยี นแปลง และมี “รูปแบบการพัฒนาหลักสตู ร” ทช่ี ่วยให้ผลการดาเนนิ งานบรรลเุ ปา้ หมายของการ พัฒนาหลักสูตร และท่ีสาคัญที่สุดคือการสร้างความเข้าใจร่วมกันอย่างกัลยาณมิตรของทุกฝ่ายที่ เก่ยี วขอ้ ง สาหรบั หลกั สูตร English Program ดำ้ นบริบท พบวา่ การนาหลักสูตรส่ชู นั้ เรยี น อาจารย์ ผู้สอนส่วนหนึ่งไม่ทราบถึงเป้าหมายและขาดความเข้าใจเก่ียวกับหลักสูตรสถานศึกษา การจัดการ ค
เรียนการสอนมลี ักษณะเปน็ แบบแยกสว่ น สว่ นใหญจ่ ดั การเรียนการสอนโดยยึดเนื้อหาเป็นหลัก ด้ำน ปัจจัยนำเข้ำ มีปัญหาคือ คุณสมบัติอาจารย์ผู้สอน ความเป็นกัลยาณมิตรของเจ้าหน้าที่ในการ ให้บริการ การกาหนดเป้าหมายของหลักสูตร EP ใหช้ ัดเจน ด้ำนกระบวนกำร มีปัญหาคือ ขาดระบบ การบริหารจัดการหลักสูตร กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนยังไม่สะท้อนความสามารถและความถนัดของ นักเรียนเพื่อให้นกั เรียนได้ค้นพบตนเอง กิจกรรมการเรยี นรู้ไมไ่ ด้เนน้ ให้นกั เรียนได้คิดวิเคราะห์และลง มือปฏิบัติจริง การให้บริการแนะแนวไม่ตรงกับช่วงท่ีนักเรียนว่างจากการเรียน และนักเรียนยังขาด ความเป็นผู้นา ด้ำนผลผลิต มีปัญหาคือ ความสามารถตามคุณลักษณะของผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 และการมบี ุคลกิ ภาพท่ีดีตามเป้าหมายของหลักสูตร ด้ำนผลกระทบ มีข้อกังวลคือ ความรู้สึกรักและ ภาคภูมิใจต่อสถาบันของนักเรียน โรงเรียนยังไม่มีหลักสูตร EP ให้นักเรียนศึกษาต่อในระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย และการเผยแพร่ผลงานหรือให้บริการวิชาการของอาจารย์มีจานวนยังไม่ถึง คร่ึงหนึ่งของอาจารย์ในโรงเรียน แนวทำงกำรพัฒนำและปรับปรุงหลักสูตรสถำนศึกษำ ทาได้โดย ควรสร้างแรงจูงใจให้ครูได้รับการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้และการประเมินผลที่ส่งเสริม ทักษะผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาแบบหักศอก (Disruption) พัฒนาเครื่องมือประเมินที่สะท้อนผลลัพธ์การบรรลุเป้าหมายของหลักสูตร มีการ ติดตามผลการใช้หลักสูตรอย่างเป็นระบบ และนาผลการประเมินหลักสูตรไปใช้ในการจัดทา แผนพัฒนาสถานศึกษา เชิญผู้ปกครองและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาในกิจกรรม พเิ ศษของโรงเรียน มกี ารจดั การความรู้ที่เป็นระบบและตอ่ เน่ือง ส่งเสริมให้นักเรียนได้ค้นพบและเห็น คุณค่าของตนเอง ควรเพ่ิมความเข้มข้นของการให้บริการแนะแนวตามเวลาท่ีนักเรียนว่างจากการ เรียน และพัฒนานักเรียน EP ให้มีความเป็นผู้นา ทั้งน้ีมีปัจจัยสาคัญท่ีจะช่วยขับเคลื่อนการนา หลกั สตู รสถานศกึ ษาสู่ชนั้ เรยี น คอื การสร้างความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้ร่วมกัน และการมีเจตคติ ทดี่ ตี อ่ หลักสตู ร ง
Abstract Research title : Curriculum Evaluation of Kasetsart University Laboratory School Kamphaeng Saen Campus Educational Research and Keywords : Researcher : Development Center According to the Basic Education Core Year : Curriculum 2008 (Development Curriculum 2017) Curriculum Evaluation / Kasetsart University Laboratory School Kamphaeng Saen Campus / Basic Education Core Curriculum Asst. Prof. Rujiraporn Ramsiri, Ph.D Asst. Prof. Nachapong Udomsri, M.Ed. Assoc. Prof. Sumit Suwan, Ed.D 2021 The objectives of this research were 1) to study the problematic condition of the current educational institute curricula and the need to assess the educational institute curriculum 2) to evaluate of Kasetsart University Laboratory school Kamphaeng Saen Campus Educational Research and Development Center According to the Basic Education Core Curriculum 2008 (Development Curriculum 2017) in context, inputs process, productivity, and impact classified into regular courses and English Program courses; and 3) to study problems and propose guidelines for development and improvement of educational institutions' curricula. Classified as regular courses and the English Program courses using the CIPPI Model assessment method, there were 5 components which were context, input, process, product, and impact. Contributors include 454 regular courses students, 27 English Program students, 89 regular courses teachers, 22 English Program teachers, 19 administrators and 15 regular courses parents, and 5 English Program parents. The data were collected by reviewing of course materials, questionnaires, interviews, and group discussions. Research tools were document recording form, questionnaire, interview form, and group discussion issues. The statistics used in the data analysis were percentage, mean, standard deviation and content analysis. The results of research were as follows. 1. The regular curriculum and the English Program had problems in the current educational institutions' curricula that should be accelerated to improve and develop, namely the application of the curriculum. Teachers could not to fully develop the quality of learners to reach the goals of learners in the 21st century due จ
to their lack of readiness to perform their duties and lack of understanding of the curriculum. The school had a strong need to assess the curriculum for improvement and development. It may be assessed every academic year for continuity or assessed at the end of the course of at least 3 years. 2. The results of the assessment of educational institutions according to the opinions of students and instructors of the regular curriculum, it was found that the overall level was at a moderate level and had a high level of opinion on the impact with inconsistent opinions. That were the students' opinions on the course as a whole were at a moderate level. As for the instructors, they saw that it was at a high level and the ranking of opinions according to the components of each aspect of the curriculum assessment, they were found that the students' opinions on impact were the 1st and the process were the 5th. The teachers' opinions were on the context 1st and the impact was the 5th. For the English Program curriculum, they were found that the opinions of the students and teachers as a whole were at a high level and the students' opinions on the course as a whole were at a high level which was consistent with the opinions of the instructors. The ranking the opinions according to the components by aspect, they were found that the students' opinions on impacts ranked No.1 and Process No.5, while the instructors' opinions on processes ranked No.1 and inputs ranked No.5, which were inconsistent. 3. The results of the study of problems and guidelines for the development and improvement of educational institutions' curricula. Regular curriculum, in context found that basic courses had a lot of time to study and were unable to organize courses according to their focus as they should. Teachers had not been able to fully develop the quality of learners to reach the goals of the learners in the 21st century and there were no tools to reflect the results of achieving the goals for improving student quality. Input, the problem was the inability to provide service by the staff, expertise and experience of instructors lack of understanding of the curriculum and lack of participation of parents and communities. Process, there was a problem which was the lack of continuity of the curriculum management system, lack of clarity about the monitoring system knowledge management and reflection of the results of learning activities for development as well as the curriculum development model to put into practice for all parties involved. Productivity, the problem was learning the process of working as a team, the knowledge, characteristics of learners in the 21st century and most students lack the competence in creating work pieces. Impact, they had concerned about feelings of love and pride towards the institution of the students, dissemination of academic and research work ฉ
by less than half of teachers in school. Guidelines for the development and improvement of educational institutions' curricula, It can be done by adjusting the study time structure to be able to organize more focused courses. School should have the freedom to truly design their courses. Assessment tools should be created and developed that reflect the outcomes for achieving the course goals. Improve the vision of the course to focus on educational management to enhance creativity and innovation skills, advanced thinking, set creative based, technology based in the course conceptual framework together with project based and career based, emphasizing competency based and curriculum guidelines should focus more on creative integration. Teachers and staff should be a good role model for students teaching should focus on practice rather than theory. There was ongoing knowledge management, revolutionary teacher professional development system to keep pace with changes and a “curricular development model” that helps performance achieve the goals of curriculum development and the most important thing was to create a mutual understanding among all parties involved. For the English Program in context, it was found that bringing the curriculum to the classroom some of the instructors were unaware of the goals and lacked understanding of the school curriculum. The teaching and learning management were separated. Most of them managed teaching and learning based on content. Inputs, there was a problem of the teacher's qualifications. Friendliness of service personnel. Goal of the EP course was clearly defined. Process, the problem was lack of a curriculum management system. The learner development activities dis not yet reflect the students' abilities and aptitudes in order for the students to discover themselves. The learning activities did not focus on students to think critically and take action. Guidance services were not in line with the student's absence from study. Productivity, the problem was the ability according to the characteristics of the 21st century learners and having a good personality according to the curriculum goals. Impact, they had concerned about feelings of love and pride towards the institution of the students. The school did not yet had an EP curriculum for students to high school and the dissemination of work or academic services of teachers is less than half of teachers in school. Guidelines for developing and improving educational institutions curricula could be done by motivating teachers to develop competency in learning management and assessment that promote learner skills in the 21st century in line with disruption in educational changes, to develop an assessment tool that reflects the outcomes for achieving the course goals. There was a systematic follow-up on the results of the course use and applying the results of the curriculum assessment to be used in the ช
preparation of educational institution development plans. Inviting parents and communities to take part in educational arrangements at special school events. There was a systematic and continuous knowledge management. Encourage students to discover and see their own worth. The intensity of the guidance service should be increased by the time students were free from school and develop EP students to be leaders. There was an important factor that will drive the introduction of educational institutions into the classroom, namely creating an understanding of learning management together. and having a good attitude towards the curriculum. ซ
สารบัญ คำนำ หนา้ บทคดั ยอ่ ภำษำไทย.............................................................................................................. ข บทคดั ย่อภำษำองั กฤษ ........................................................................................................ จ สำรบัญ .............................................................................................................................. ฌ ฎ สำรบัญตำรำง ...................................................................................................................... ฑ สำรบัญแผนภำพ ................................................................................................................. 1 บทที่ 1 1 บทนา................................................................................................................... 3 7 ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญของปญั หำ ................................................................ 8 8 กรอบแนวคิดกำรวิจัย ............................................................................................ 11 คำถำมกำรวิจัย ...................................................................................................... 13 14 วัตถปุ ระสงคก์ ำรวจิ ยั ............................................................................................. 15 ขอบเขตกำรวิจยั .................................................................................................... นิยำมศพั ทเ์ ฉพำะ................................................................................................... 15 30 ประโยชน์ทไ่ี ด้รบั .................................................................................................... ข้อพจิ ำรณำด้ำนจริยธรรมกำรวิจัยในมนษุ ย์ (Ethical consideration)................ 68 101 2 วรรณกรรมท่เี กี่ยวขอ้ ง.......................................................................................... 101 แนวคิด ทฤษฎี และงำนวจิ ัยท่ีเกย่ี วขอ้ งกับหลกั สูตรและกำรบรหิ ำรจัดกำร 111 หลกั สตู ร ................................................................................................................ 122 125 แนวคดิ ทฤษฎี และงำนวิจยั ท่เี กีย่ วขอ้ งกับรูปแบบกำรประเมนิ หลักสูตร .............. 126 หลกั สตู รโรงเรียนสำธติ แห่งมหำวิทยำลัยเกษตรศำสตร์ วิทยำเขตกำแพงแสน 127 129 ศนู ยว์ จิ ยั และพัฒนำกำรศกึ ษำ ตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้นั พ้ืนฐำน พทุ ธศกั รำช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.2560) ....................................................... 129 3 วิธีดาเนนิ การวิจยั ............................................................................................... ขอบเขตกำรวิจัย .................................................................................................... เครือ่ งมอื ที่ใช้ในกำรวจิ ยั ........................................................................................ กำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล ........................................................................................... กำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูล ................................................................................................ สถิตทิ ี่ใช้ในกำรวจิ ัย................................................................................................ กำรนำเสนอข้อมลู .................................................................................................. 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล .......................................................................................... ตอนท่ี 1 ผลกำรวเิ ครำะหข์ อ้ มลู พ้นื ฐำน และสภำพปญั หำของหลักสูตรสถำนศึกษำ ในปัจจุบนั และควำมต้องกำรประเมนิ หลกั สูตรสถำนศึกษำ.................................... ฌ
บทท่ี หน้า ตอนที่ 2 ผลกำรประเมินหลกั สูตรโรงเรยี นสำธติ แหง่ มหำวิทยำลัยเกษตรศำสตร์ 165 วิทยำเขตกำแพงแสน ศูนยว์ ิจยั และพฒั นำกำรศกึ ษำ ตำมหลักสูตรแกนกลำง กำรศึกษำขั้นพ้ืนฐำน พุทธศักรำช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ในภำพรวม 227 และเป็นรำยด้ำน 5 ด้ำน คอื ด้ำนบริบท ด้ำนปจั จัยนำเข้ำ ดำ้ นกระบวนกำร 281 182 ด้ำนผลผลติ และดำ้ นผลกระทบ โดยจำแนกเป็นหลักสูตรปกติ และหลกั สูตร 306 English Program ................................................................................................. 329 329 ตอนที่ 3 ผลกำรศึกษำปัญหำและแนวทำงกำรพัฒนำและปรับปรงุ หลักสูตร 336 โรงเรยี นสำธิตแหง่ มหำวิทยำลยั เกษตรศำสตร์ วิทยำเขตกำแพงแสน ศนู ยว์ ิจยั 337 และพัฒนำกำรศึกษำ ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำขั้นพ้ืนฐำน 343 344 พทุ ธศกั รำช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560) โดยจำแนกเปน็ หลกั สูตรปกติ และหลักสูตร English Program........................................................................... 346 348 5 สรปุ ผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ.................................................................... 403 สรุปผลกำรวิจยั ...................................................................................................... อภปิ รำยผลกำรวจิ ยั ............................................................................................... ขอ้ เสนอแนะในกำรวิจยั ......................................................................................... ข้อเสนอแนะในกำรนำผลกำรประเมินหลกั สตู รไปใช้ ..................................... ข้อเสนอแนะเพ่ือกำรวจิ ัยครั้งตอ่ ไป................................................................ รายการอ้างองิ ............................................................................................................ ภาคผนวก .................................................................................................................. ภำคผนวก ก รำยนำมผู้เชีย่ วชำญพจิ ำรณำคณุ ภำพเครือ่ งมอื ท่ใี ชใ้ นกำรวิจยั ...... ภำคผนวก ข รำยนำมผู้ทรงคณุ วฒุ สิ ำหรับกำรสัมภำษณ์ปญั หำและแนวทำง กำรพฒั นำและปรับปรงุ หลักสูตรสถำนศึกษำ ................................ ภำคผนวก ค เครอื่ งมือที่ใชใ้ นกำรวจิ ัย ................................................................ ประวตั ิผูว้ ิจยั .............................................................................................................. ญ
สารบัญตาราง ตารางท่ี หนา้ 1 กำรประเมินหลักสูตรเพ่ือกำรตดั สนิ ใจเก่ยี วกับหลักสูตร........................................ 50 2 บทบำทกำรประเมนิ หลกั สูตรในแต่ละชว่ ง............................................................. 51 3 วตั ถุประสงคข์ องกำรประเมนิ หลกั สูตรในแต่ละดำ้ นตำมแนวคิดของ CIPP… ........ 52 4 ขอบเขตด้ำนเนอื้ หำ ............................................................................................... 102 5 ขอบเขตด้ำนข้อมูลที่ใช้ในกำรประเมนิ จำแนกตำมผู้ใหข้ ้อมูล ............................... 105 6 ควำมสมั พันธ์ของกำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูล..................................................................... 125 7 ขอ้ มูลทั่วไปของนกั เรยี นหลักสูตรปกติและหลกั สตู ร English Program ............... 130 8 ขอ้ มูลท่ัวไปของอำจำรย์ผู้สอนหลกั สูตรปกตแิ ละหลกั สูตร English Program...... 131 9 ขอ้ มูลทว่ั ไปของผู้บรหิ ำรโรงเรยี น …… ................................................................... 132 10 ขอ้ มูลท่วั ไปของผู้ปกครอง ..................................................................................... 133 11 ผลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรยี น 8 กลุ่มสำระกำรเรยี นรู้ของนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษำ ปที ี่ 1-6 ปกี ำรศึกษำ 2562.................................................................................... 135 12 ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรยี น 8 กลมุ่ สำระกำรเรยี นร้ขู องนักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษำ ปีที่ 1-3 ปีกำรศึกษำ 2562.................................................................................... 137 13 ผลสมั ฤทธทิ์ ำงกำรเรยี น 8 กลุ่มสำระกำรเรียนรขู้ องนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษำ ปที ี่ 4-6 ปกี ำรศึกษำ 2562.................................................................................... 139 14 ผลกำรทดสอบทำงกำรศกึ ษำระดบั ชำติข้นั พื้นฐำน (O-NET) ของนักเรียน ชน้ั ประถมศึกษำปที ่ี 6 ........................................................................................... 141 15 ผลกำรทดสอบทำงกำรศึกษำระดับชำติขนั้ พน้ื ฐำน (O-NET) ของนักเรยี น ชั้นมัธยมศกึ ษำปที ่ี 3.............................................................................................. 142 16 ผลกำรทดสอบทำงกำรศึกษำระดับชำตขิ นั้ พนื้ ฐำน (O-NET) ของนกั เรยี น ชนั้ มัธยมศกึ ษำปที ี่ 6.............................................................................................. 143 17 ผลกำรประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษำปที ่ี 1-6 และชน้ั มัธยมศกึ ษำปที ่ี 1-6 ................................................................................... 144 18 ควำมสำมำรถด้ำนกำรอ่ำนของนักเรียนช้นั ประถมศกึ ษำปีที่ 1 (Reading Test: RT) จำแนกตำมสังกดั ................................................................................................... 145 19 ควำมสำมำรถด้ำนกำรอ่ำนของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษำปีท่ี 1 (Reading Test: RT) จำแนกตำมระดบั คุณภำพ...................................................................................... 145 20 ควำมสำมำรถในกำรอำ่ นเขียนและกำรส่ือสำรของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษำปีที่ 1-6 และชัน้ มัธยมศึกษำปที ่ี 1-6 ................................................................................... 146 21 ควำมสำมำรถในกำรคดิ คำนวณของนักเรยี นช้นั ประถมศึกษำปีท่ี 1-6 และ ช้ันมธั ยมศกึ ษำปที ่ี 1-6.......................................................................................... 147 ฎ
ตารางท่ี หนา้ 22 ควำมคดิ เหน็ ของผบู้ รหิ ำรโรงเรียนเกีย่ วกบั สภำพปญั หำของหลักสตู รสถำนศกึ ษำ 151 167 ในปจั จุบนั และควำมต้องกำรประเมินหลักสูตรสถำนศกึ ษำ ................................... 177 23 ผลกำรสอบถำมควำมคิดเหน็ ของนักเรยี นที่มีต่อหลักสตู รโรงเรยี นสำธติ แหง่ 184 195 มหำวทิ ยำลยั เกษตรศำสตร์ วทิ ยำเขตกำแพงแสน ศนู ย์วจิ ัยและพฒั นำกำรศึกษำ 205 ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศกึ ษำขั้นพน้ื ฐำน พุทธศักรำช 2551 211 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.2560) หลกั สูตรปกติ .............................................................. 24 ผลกำรสอบถำมควำมคดิ เหน็ ของนักเรยี นทีม่ ตี ่อหลักสูตรโรงเรยี นสำธติ แห่ง 215 มหำวทิ ยำลัยเกษตรศำสตร์ วทิ ยำเขตกำแพงแสน ศนู ย์วจิ ยั และพัฒนำกำรศึกษำ 217 ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้ันพน้ื ฐำน พทุ ธศักรำช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560) หลกั สูตร English Program ....................................... 25 ผลกำรศกึ ษำควำมคิดเหน็ ของอำจำรย์ทีม่ ีต่อหลกั สูตรโรงเรียนสำธติ แห่ง มหำวทิ ยำลัยเกษตรศำสตร์ วทิ ยำเขตกำแพงแสน ศนู ยว์ ิจัยและพฒั นำกำรศกึ ษำ ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำขนั้ พื้นฐำน พทุ ธศักรำช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560) หลกั สูตรปกติ .............................................................. 26 ผลกำรศึกษำควำมคิดเห็นของอำจำรย์ท่มี ีตอ่ หลักสตู รโรงเรยี นสำธิตแหง่ มหำวทิ ยำลยั เกษตรศำสตร์ วิทยำเขตกำแพงแสน ศูนยว์ ิจัยและพฒั นำกำรศกึ ษำ ตำมหลักสตู รแกนกลำงกำรศกึ ษำขั้นพน้ื ฐำน พุทธศกั รำช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.2560) หลักสูตร English Program ....................................... 27 ผลกำรตรวจสอบองค์ประกอบและคุณภำพหลักสูตรสถำนศกึ ษำ.......................... 28 ผลกำรวเิ ครำะห์ควำมเหมำะสมของรำยวิชำในหลักสูตรโรงเรียนสำธิตแห่ง มหำวทิ ยำลัยเกษตรศำสตร์ วทิ ยำเขตกำแพงแสน ศนู ยว์ จิ ยั และพัฒนำกำรศึกษำ ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศึกษำขน้ั พื้นฐำน พุทธศกั รำช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2560) หลกั สูตรปกติ .............................................................. 29 ผลกำรวเิ ครำะห์ควำมเหมำะสมของรำยวิชำในหลักสูตรโรงเรียนสำธติ แห่ง มหำวิทยำลยั เกษตรศำสตร์ วิทยำเขตกำแพงแสน ศนู ย์วจิ ยั และพัฒนำกำรศึกษำ ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศกึ ษำขน้ั พ้ืนฐำน พุทธศกั รำช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560) หลักสูตร English Program ระดบั มัธยมศกึ ษำตอนตน้ ...................................................................................... 30 ผลกำรวเิ ครำะห์ควำมเหมำะสมของกิจกรรมพฒั นำผ้เู รยี นในหลักสูตร โรงเรยี นสำธิตแห่งมหำวทิ ยำลยั เกษตรศำสตร์ วิทยำเขตกำแพงแสน ศนู ยว์ จิ ัยและพฒั นำกำรศกึ ษำ ตำมหลักสตู รแกนกลำงกำรศกึ ษำขน้ั พืน้ ฐำน พุทธศกั รำช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560) หลักสตู รปกติ ................................ 31 ผลกำรวิเครำะห์ควำมเหมำะสมของกิจกรรมพฒั นำผ้เู รยี นในหลกั สูตร โรงเรยี นสำธิตแห่งมหำวทิ ยำลยั เกษตรศำสตร์ วทิ ยำเขตกำแพงแสน ศนู ยว์ ิจยั และพัฒนำกำรศึกษำ ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้ันพืน้ ฐำน ฏ
ตารางที่ หนา้ พุทธศักรำช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560) หลักสตู ร English Program 218 220 ระดบั มธั ยมศกึ ษำตอนตน้ ...................................................................................... 223 32 ควำมคดิ เหน็ ของนักเรียนและอำจำรย์ผู้สอนท่ีมีต่อหลักสูตรโรงเรียนสำธติ แหง่ 248 265 มหำวิทยำลยั เกษตรศำสตร์ วทิ ยำเขตกำแพงแสน ศูนยว์ จิ ัยและพัฒนำกำรศึกษำ ตำมหลักสตู รแกนกลำงกำรศึกษำข้นั พน้ื ฐำน พุทธศกั รำช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.2560) ในภำพรวม และจำแนกเป็นรำยด้ำน ของ หลกั สูตรปกติ......................................................................................................... 33 ควำมคดิ เห็นของนกั เรยี นและอำจำรย์ผสู้ อนท่ีมตี ่อหลักสตู รโรงเรียนสำธิตแห่ง มหำวทิ ยำลัยเกษตรศำสตร์ วิทยำเขตกำแพงแสน ศนู ยว์ จิ ัยและพัฒนำกำรศึกษำ ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศึกษำข้ันพน้ื ฐำน พุทธศักรำช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560) ในภำพรวม และจำแนกเป็นรำยด้ำน ของหลักสูตร English Program................................................................................................. 34 ผลกำรสังเครำะห์ปญั หำและแนวทำงกำรพฒั นำและปรับปรุงหลักสูตร โรงเรยี นสำธติ แหง่ มหำวทิ ยำลัยเกษตรศำสตร์ วิทยำเขตกำแพงแสน ศนู ย์วจิ ยั และ พัฒนำกำรศึกษำ ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศึกษำขน้ั พน้ื ฐำน พุทธศักรำช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) หลักสูตรปกติ จำแนกตำมองค์ประกอบ 5 ด้ำน ของกำรประเมินหลักสูตรโดยใช้ CIPPI Model..................................................... 35 ผลกำรสังเครำะห์ปญั หำและแนวทำงกำรพฒั นำและปรบั ปรุงหลกั สตู ร โรงเรยี นสำธติ แหง่ มหำวทิ ยำลัยเกษตรศำสตร์ วทิ ยำเขตกำแพงแสน ศูนยว์ จิ ัยและ พัฒนำกำรศกึ ษำ ตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขน้ั พนื้ ฐำน พทุ ธศักรำช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.2560) หลักสูตร English Program จำแนกตำมองคป์ ระกอบ 5 ด้ำน ของกำรประเมนิ หลักสูตรโดยใช้ CIPPI Model......................................... ฐ
สารบัญแผนภาพ แผนภาพที่ หน้า 1 กรอบแนวคิดกำรวจิ ยั ............................................................................................ 7 2 ควำมสมั พนั ธ์ระหวำ่ งองค์ประกอบทำงกำรศกึ ษำ.................................................. 41 3 รูปแบบกำรประเมินของ Provus........................................................................... 45 47 4 ประเภทและควำมสมั พันธข์ อง Stufflebeam ต่อส่ิงทค่ี ำดหวงั และส่ิงที่เปน็ จรงิ .. 49 5 ควำมสัมพนั ธร์ ะหวำ่ งกำรประเมนิ ผลกบั กำรตัดสินใจ............................................ 222 6 ควำมคิดเหน็ ของนกั เรียนและอำจำรยผ์ สู้ อนของหลกั สตู รปกติทมี่ ตี อ่ หลกั สูตร โรงเรียนสำธิตแหง่ มหำวทิ ยำลัยเกษตรศำสตร์ วทิ ยำเขตกำแพงแสน 225 ศูนยว์ ิจยั และพฒั นำกำรศึกษำ ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศึกษำขน้ั พน้ื ฐำน พทุ ธศกั รำช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560) ....................................................... 7 ควำมคดิ เหน็ ของนกั เรยี นและอำจำรย์ผสู้ อนของหลักสตู ร English Program ที่มตี ่อหลกั สูตรโรงเรียนสำธติ แหง่ มหำวทิ ยำลัยเกษตรศำสตร์ วิทยำเขตกำแพงแสน ศนู ย์วิจัยและพฒั นำกำรศกึ ษำ ตำมหลกั สตู รแกนกลำง กำรศึกษำขัน้ พื้นฐำน พุทธศักรำช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.2560) ..................... ฑ
1 บทที่ 1 บทนำ ควำมเปน็ มำและควำมสำคญั ของปัญหำ ความก้าวหน้าทางวิทยาการด้านต่างๆ ในปัจจุบัน มีผลต่อการเปล่ียนแปลงทางด้าน เศรษฐกิจ การเมอื งและสงั คมเปน็ อย่างมาก การศึกษาจงึ เปน็ เครือ่ งมือชี้นาในการพัฒนาคนในชาติให้ มีความเจริญทางด้านความคิด สติปัญญาเพื่อให้ก้าวทันความเจริญและความเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึน การจดั การศกึ ษาทีม่ คี ุณภาพชว่ ยตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและสังคม ส่ิงที่ผู้สาเร็จการศึกษา ได้รับคือ ความรู้ ความสามารถ ทักษะ เจตคติ ค่านิยม และคุณสมบัติต่างๆ ครบถ้วนตามท่ีหลักสูตร ต้องการและตามความคาดหวังของสังคม องค์ประกอบสาคัญของระบบการศึกษาท่ีมีคุณภาพคือ หลักสูตร เพราะหลกั สตู รเปรียบเสมือนแผนแม่บทที่ใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนท้ังใน ภาคทฤษฎแี ละภาคปฏิบตั ิ วิธกี ารหรือกระบวนการนาหลักสตู รไปใชเ้ ปรยี บเสมือนการนาแผนไปสู่การ ปฏิบัติในระดับสถานศึกษา (Beauchamp, 1981: 28) หลักสูตรที่มีคุณภาพเมื่อนาไปใช้ต้องมีการ ประเมินอย่างต่อเน่ืองเพื่อให้ได้ข้อมูลย้อนกลับในการแก้ไขปรับปรุงหลักสูตรที่เป็นปัจจุบัน การ ประเมนิ หลักสตู รอย่างสมา่ เสมอน้ันเป็นสาระสาคัญส่วนหน่ึงของแนวนยยบายและแนวปฏิบัติในการ ประกนั คุณภาพการศึกษาของสานักงานรบั รองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) จาก ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560–2579 แผน ยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปี 2560-2571 คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน และยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ได้กาหนดยุทธศาสตร์ท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนา หลักสตู รเพอ่ื พฒั นากาลงั คนของประเทศให้ก้าวทันกับการเปล่ียนแปลง ดังนั้นเพ่ือให้การพัฒนาทาง การศกึ ษาเปน็ ไปตามวิสยั ทัศนข์ องประเทศท่ีมีความจาเป็นต้องพัฒนาตามบริบทสถานการณ์ของยลก ที่เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ยรงเรียนจึงจาเป็นต้องนายุทธศาสตร์ชาติ แผนการศึกษาแห่งชาติ ยุทธศาสตร์ของสถาบันทีส่ ังกดั มาใชเ้ ปน็ กรอบแนวคิดในการออกแบบหลักสูตร และประเมินหลักสูตร เพ่ือการปรบั ปรุงและพฒั นาคณุ ภาพของครู และนกั เรียน รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาของยรงเรียน ให้สอดคล้องกบั ยทุ ธศาสตร์ชาติ และแผนการศกึ ษาแห่งชาติ ยุทธศาสตร์ของสถานศกึ ษาตอ่ ไป การประเมินหลักสูตรทาให้ทราบถึงคุณค่าของหลักสูตรน้ัน ๆ เพ่ือที่จะได้นาไปใช้เป็น แนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตร การประเมินหลักสูตรจึงเป็นข้ันตอนที่สาคัญย่ิงข้ันตอน หนึ่งของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ทาให้ได้ข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจแก้ไขปรับปรุงหลักสูตรให้ เหมาะสม (ปยิ ะ ศิลากุล, 2550: 1) ยดยการกากับ ติดตาม และการประเมินผลการใช้หลักสูตรยังคง ต้องดาเนินการอย่างตอ่ เนื่อง เพ่อื นาผลมาพิจารณาปรับปรุงหลักสูตร กระบวนการเรยี นการสอน การ วัดและประเมินผล ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นในยลกยุคปัจจุบัน กอปรกับยลกท่ีมีการ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และเทคยนยลยี วิทยาการใหม่ๆ หลักสตู รจงึ ตอ้ งมกี ารปรบั ปรุงพฒั นาเปน็ พลวตั เพือ่ ให้ผเู้ รียนสามารถกา้ วทันต่อการเปลี่ยนแปลงของ
2 บริบทสังคมยลก และการประเมินผลการใช้หลักสูตรจึงเป็นกระบวนการท่ีสาคัญเพ่ือที่จะปรับปรุง พฒั นาหลักสูตรให้มีคุณภาพอยู่เสมอ ทั้งนี้การประเมินผลการใช้หลักสูตร เป็นกระบวนการรวบรวม ข้อมูลสารสนเทศตลอดจนกิจกรรมต่าง ๆ เก่ียวกับหลักสูตรเพื่อนามาตัดสินคุณค่าหรือคุณภาพของ หลักสูตรน้ัน การประเมินผลหลักสตู รจงึ เป็นขน้ั ตอนหนึ่งทส่ี าคัญของการพฒั นาหลักสูตร เพื่อให้ทราบ ว่า หลักสูตรท่ีใช้อยู่ได้ผลตามความมุ่งหมายที่กาหนดไว้เพียงใด มีปัญหา หรืออุปสรรคใดบ้างจะได้ แกไ้ ข ปรับปรุง พัฒนาต่อไป การประเมินหลักสตู รจะต้องครอบคลุมขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตร ยดย มีจุดม่งุ หมายของประเมินหลกั สตู ร ดงั ท่ีวชิ ัย วงษใ์ หญ่ (2554) ใจทิพย์ เชอ้ื รตั นพงษ์ (2539) และสุนีย์ ภู่พันธุ์ (2546) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตรในทานองเดียวกันพอสรุปได้เป็น 3 ประเด็น คือ 1) เพ่ือปรับปรุงแก้ไขสิ่งต่างๆท่ีพบในองค์ประกอบของหลักสูตร ระบบการบริหาร หลักสูตร การนิเทศกากับดูแล การจัดกระบวนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน 2) เพ่ือหา คุณค่าของหลกั สูตรดูวา่ หลกั สูตรที่จัดทาข้ึนน้ันสนองวัตถุประสงค์ท่ีหลักสูตรนั้นต้องการหรือไม่ และ ชว่ ยในการตัดสินวา่ ควรใช้หลกั สตู รตอ่ ไปอกี หรอื ควรยกเลิกการใช้หลักสูตรเพียงบางส่วน หรือยกเลิก ท้งั หมด และ3) เพื่อติดตามผลผลิตจากหลักสูตร คอื ผเู้ รยี นมีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมหลังจากการ ผ่านกระบวนการทางการศกึ ษามาแล้วตามหลักสูตรว่าเป็นไปตามความมุ่งหวังหรือไม่ นอกจากนี้ ใน การประเมนิ หลกั สตู ร ควรมีการตรวจสอบเป็นระยะ ซ่ึงยดยท่ัวไปจะแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การประเมินหลักสูตรกอ่ นนาหลกั สูตรไปใช้ ระยะท่ี 2 การประเมินหลกั สตู รระหว่างการดาเนินการใช้ หลกั สูตร และระยะที่ 3 การประเมินหลักสูตรหลังการใช้หลักสูตร (สุนีย์ ภู่พันธ์ุ, 2546: 252) เกณฑ์ การประเมนิ หลกั สตู รคือ ต้องมีความเท่ยี งตรง มีความเชื่อถือได้ มคี วามเป็นปรนัย และมปี ระสิทธิภาพ สาหรับรูปแบบการประเมินมีอยู่หลายรูปแบบ ดังนั้นในการออกแบบประเมิน ผู้ประเมินจะต้อง พจิ ารณาวา่ จะดาเนนิ การประเมนิ อย่างไร จึงจะทาให้ผลการประเมินถูกต้องตามสภาพความเป็นจริง ครอบคลุมและตอบสนองความต้องการของผู้ท่ีจะใช้ผลประเมิน ซ่ึงจากการวิเคราะห์รูปแบบการ ประเมินท่ีใช้ในการประเมินหลักสูตรคร้ังน้ี ผู้วิจัยใช้การบูรณาการรูปแบบการประเมินที่ยึด จุดมุ่งหมายเป็นหลัก (Goal Attainment Model) ตามแนวคิดของTyler (1969) รูปแบบการ ประเมินหลักสูตรท่ียึดเกณฑ์เป็นหลัก (Criterion Model) ตามแนวคิดของStake (1975) และ รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ช่วยในการตัดสินใจ (Decision–Making Model) ตามแนวคิดของ Stufflebeam (2003) ทง้ั น้ีเพื่อใหไ้ ดผ้ ลการประเมินตรงตามจุดมุ่งหมายของการพฒั นาหลักสูตร ผ่าน เกณฑ์การประเมิน เป็นข้อมูลเพ่ือการตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร และมีแนวทางการพัฒนาความ เข้มแข็งทางวชิ าการใหก้ ับยรงเรียนและบุคลากรทางการศกึ ษา ยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนา การศกึ ษามีการจดั การเรยี นการสอนท้งั หมด 4 หลักสูตรคอื หลักสตู รการศึกษาปฐมวัย หลักสูตรปกติ หลักสูตร English Program (EP) และหลักสูตรห้องเรียนวิทยาศาตร์ (ยครงการ วมว.) การประเมิน หลักสูตรสถานศกึ ษาในครงั้ นี้ ผู้วิจัยกาหนดให้มีการประเมิน 2 หลักสูตรท่ีเป็นหลักสูตรการศึกษาข้ัน พื้นฐานและเป็นหลักสูตรท่ียรงเรียนมีบทบาทและหน้าท่ียดยตรงในการบริหารจัดการทั้หลักสูตร คือ หลักสูตรปกติ และหลักสูตร English Program (EP) ส่วนหลักสูตรห้องเรียนวิทยาศาตร์ (ยครงการ วมว.) เปน็ ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน กับยรงเรียนสาธิต และคณะศิลปศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ซ่ึงจาเป็นต้องเกี่ยวข้องกับหลายฝ่ายในการบริหารจัดการ
3 หลักสูตร สาหรับหลักสูตรปกติและหลักสูตร English Program (EP) เป็นหลักสูตรสถานศึกษาของ ยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.2560) ได้นาไปใช้ แลว้ 3 ปกี ารศกึ ษา ต้ังแต่ปกี ารศกึ ษา 2561 ถึงปีการศกึ ษา 2563 และยงั ไมไ่ ดม้ ีการประเมินหลักสูตร อยา่ งเป็นระบบเพอื่ นาผลการประเมนิ มาสะทอ้ น ปรบั ปรงุ และพฒั นา ทางยรงเรียนจึงกาหนดให้มีการ ประเมนิ หลักสูตรยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและ พัฒนาการศกึ ษา ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) เพ่ือให้ได้ผลการประเมินที่มีความน่าเชื่อถือมาใช้ในการตัดสินใจปรับปรุงและพัฒนาความ เข้มแข็งทางวิชาการให้กับยรงเรียนและบุคลากรทางการศึกษาในการพัฒนาผู้เรียน และการจัด การศกึ ษาทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ลใหส้ อดคล้องกบั การพัฒนาหลกั สตู รในศตวรรษท่ี 21 กรอบแนวคิดกำรวิจยั การวิจัยเรอ่ื ง การประเมินหลักสตู รยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กาแพงแสน ศนู ยว์ ิจัยและพฒั นาการศกึ ษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) ในคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้ศึกษา หลักการ แนวคิด ทฤษฎี และ งานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการประเมินหลักสูตร มาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ.2561 ในรูปของ ผลลพั ธ์ที่พึงประสงค์ ความตอ้ งการของหนว่ ยงาน/สงั คม และการเป็นท่ียอมรับของหน่วยงานวิชาชีพ ที่เกี่ยวข้อง นามากาหนดเป็นกรอบแนวคิดการวิจัยประกอบด้วย นยยบาย แนวคิดเกี่ยวกับหลักสูตร แกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) และแนวคิด เก่ียวกับรูปแบบการประเมินหลักสูตรท่ีใช้การประเมินแบบ CIPPI Model ตามแนวคิดของ Stufflebeam (2007) แนวคิดจากงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวข้องกับการประเมินหลักสูตร มาใช้เป็นแนวทางใน การประเมิน ยดยมุ่งประเมินหลักสูตรให้ครอบคลุมองค์ประกอบ 5 ด้าน เพื่อนาข้อค้นพบจากการ ประเมิน หลักสูตร คร้ังน้ีไป ใช้เป็น แนวทาง ในการพั ฒนาและ ปรับปรุ งหลักสูตร สถานศึ กษาให้ มี ประสิทธิภาพและประสทิ ธิผลต่อไป ประกอบด้วยสาระสาคัญดังน้ี แนวคดิ เกีย่ วกับรูปแบบกำรประเมนิ หลกั สตู ร ในการประเมินหลักสูตร ยดยทั่วไปมีรูปแบบ (Model) เพ่ือการประเมิน เช่น รูปแบบท่ียึด เป้าหมายเป็นฐาน (Goal Based Model) ตามแนวคิดของ Tyler (1969) Provus (1971) รูปแบบ การตอบสนอง (Responsive Model) ตามแนวคิดของ Scriven (1973) Stake (1975) รูปแบบท่ี ยึดผู้เชี่ยวชาญ (Connoisseurship Model) ตามแนวคิดของ Eisner (1975) และรูปแบบที่ยึดการ ตัดสินใจ (Decision Making Model) ตามแนวคิดของ Stufflebeam (2007) ท่ีเรียกว่า CIPP Model ซง่ึ มรี ายละเอยี ดดังน้ี (มาเรยี ม นิลพันธ์ุ, 2553: 31-32) 1. กำรประเมินด้ำนบริบท (Context Evaluation) เป็นการประเมินท่ีมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ได้หลักการและเหตุผลมากาหนดจุดมุ่งหมาย การประเมินสภาพแวดล้อมจะช่วยให้ผู้พัฒนา หลกั สูตรรู้ว่า สภาพแวดล้อมท่ีเก่ียวข้องกับการจัดการศึกษามีอะไรบ้าง มีความต้องการ หรือปัญหา อะไรบ้างทย่ี ังไมไ่ ดร้ ับการตอบสนองหรอื แก้ไข มียอกาสและสรรพกาลังท่ีจาเป็นอะไรบ้างท่ียังไม่ได้ถูก
4 นามาใช้ในการศึกษา และสืบเน่ืองมาจากปัญหาอะไร ประเด็นการประเมินครอบคลุม เกี่ยวกับ วสิ ัยทัศน์ จุดหมาย ยครงสรา้ งหลกั สตู ร 2. กำรประเมินด้ำนปัจจัยนำเข้ำ (Input Evaluation) เป็นการประเมินท่ีมีจุดมุ่งหมาย เพ่ือให้ได้ข้อมูลมาช่วยตัดสินใจว่าจะใช้ทรัพยากรหรือสรรพกาลังต่างๆ ที่มีอยู่เพ่ือให้บรรลุผลตาม จุดมุ่งหมายของหลักสูตรได้อย่างไร จะขอความช่วยเหลือด้านทรัพยากรและสรรพกาลังจากแหล่ง ภายนอกดีหรือไม่ อย่างไร ประเด็นการประเมินครอบคลุม เกี่ยวกับงบประมาณ อาคารสถานท่ี คุณลักษณะ/ คุณวุฒิ/ คุณสมบัติ/ประสบการณ์ของผู้บริหาร ผู้สอน/ จานวน คุณภาพของผู้เรียน/ พ้ืนฐานความรู้ผู้เรียน สื่อ วัสดุ/อุปกรณ์/หนังสือตารา เอกสารหลักสูตร การสนับสนุนส่งเสริมของ คณะกรรมการบริหารหลักสูตร เวลาและชว่ งเวลา 3. กำรประเมินด้ำนกระบวนกำร (Process Evaluation) เป็นการประเมินท่ีมี จุดม่งุ หมายเพ่ือสืบค้นจุดเด่น จุดอ่อนหรือจุดที่ควรพัฒนาของรูปแบบการดาเนินงานตามที่คาดหวัง เอาไว้ หรอื จดุ เดน่ จุดอ่อน หรือจดุ ท่คี วรพัฒนาของการดาเนินงานในการใช้หลักสตู ร เพอ่ื นามาใช้เป็น ข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกวิธีการต่อไป ฉะน้ันจึงต้องมีการจดบันทึกผลการประเมิน กระบวนการน้ันจาเป็นต้องอาศัยวิธีการหลายๆ วิธีทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประเด็นการ ประเมินครอบคลมุ เกยี่ วกบั การบรหิ ารจดั การหลักสูตร การนิเทศ การกากับติดตาม การจัดการเรียน การสอน การวัดและประเมนิ ผล และการประกนั คุณภาพการศกึ ษา 4. กำรประเมนิ ด้ำนผลผลิต (Product Evaluation) เป็นการประเมินท่ีมีจุดมุ่งหมายจะ ตรวจสอบว่าผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนนั้นเป็นไปตามที่กาหนดไว้ในวัตถุประสงค์ของหลักสูตรท่ีคาดหวัง เอาไว้มากน้อยเพียงใด ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ ความสามารถ สมรรถนะ และคุณธรรม จริยธรรม เจตคติ รวมทั้งความสามารถในการนาความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ ความสามารถ ประสบการณ์ สมรรถนะ จากการเรียนการสอนในหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติจริงได้หรือไม่อย่างไร อาจ ทาได้ยดยการเปรียบเทยี บกบั เกณฑส์ มั พันธ์กับหลกั สูตรอน่ื ท่ีมอี ยู่กไ็ ด้ ประเดน็ การประเมนิ ครอบคลุม เก่ยี วกับคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ผลการเรียนรู้ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ทักษะ ความสามารถใน การปฏิบัติ พฤตกิ รรม ในการประเมินหลักสูตรยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กาแพงแสน ศูนยว์ ิจยั และพัฒนาการศกึ ษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) คร้ังน้ี ผู้วิจัยใช้รูปแบบการประเมินของ Daniel L. Stufflebeam ท่ีมีช่ือว่า CIPP Model และต่อมาขยายผลที่ผลผลิต (Product) เป็น IEST จึงเป็น CIPPIEST Model ยดย I (Impact) เป็นผลกระทบท่ีนอกเหนือจากผลผลิตท่ีต้องการให้เกิดE (Effectiveness) เป็นประสิทธิผลที่เกิดข้ึน S (Sustainable) เป็นความยั่งยืนของผลท่ีเกิดข้ึน และ T (Transportation) เป็นผลทสี่ ามารถถ่ายทอดขยายผลต่อเนื่องได้ ทั้งนี้ยดยส่วนใหญ่การขยายผลการ ประเมินผลผลิตจะครอบคลุมถึงผลกระทบ (Impact) ด้วย คือเน้นการประเมินผลกระทบ (Impact Evaluation) ท่ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อพิจารณาผลท่ีนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ของหลักสูตรท่ีกาหนดไว้ อาจมผี ลกระทบทงั้ ทางบวกและทางลบ ประเด็นการประเมินครอบคลุมเก่ียวกับการศึกษาต่อ การมี งานทา การไดร้ ับรางวัล เกียรติยศ เกยี รตบิ ตั ร การเปน็ ท่ยี อมรบั การมีช่ือเสียงของสถาบัน การนาไป ประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน และเน่ืองจากขณะนี้อยู่ในระหว่างการใช้หลักสูตรท่ียังไม่มีผู้สาเร็จ
5 การศึกษาตามหลกั สตู รยรงเรียนสาธิตแหง่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัย และพัฒนาการศึกษา ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศกั ราช 2560) ผู้วิจัยจึงประเมินผลผลิต (Product : P) ท่ีมีการขยายแนวคิดเพียงด้านเดียว คือ ดา้ นผลกระทบ (Impact : I) ซ่ึงเป็นผลท่ีนอกเหนือจากผลผลติ ที่ตอ้ งการให้เกิด ใช้เป็นแนวทางในการ ประเมินหลักสูตรยดยใช้ชื่อการประเมินแบบ CIPPI Model ซ่ึงเป็นรูปแบบการประเมินท่ีครอบคลุม องคป์ ระกอบทกุ ดา้ นของหลกั สูตรอยา่ งมเี หตุผลและเป็นระบบ ไม่เน้นการวิเคราะห์จุดใดจุดหนึ่ง แต่ เปน็ รูปแบบการประเมินที่มีความต่อเนื่องทาให้ได้ข้อมูลครบถ้วน ซ่ึงจะนาไปสู่การตัดสินใจเกี่ยวกับ หลกั สูตรที่มีการพจิ ารณาใน 5 ดา้ น คอื 1. การประเมินบรบิ ท (C: Context Evaluation) เป็น การประเมินความสอดคล้องชัดเจน ของวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ความเหมาะสมในการนาไปปฏิบัติได้จริงสอดคล้องกับความต้องการ ของหนว่ ยงาน/สังคม เป็นทย่ี อมรบั ของหนว่ ยงานวชิ าชพี ทเี่ กยี่ วข้อง ยครงสร้างรายวิชา รายวิชาที่เปิด สอน และเนื้อหาวิชาของหลกั สตู ร 2. การประเมินปัจจัยนาเข้า (I: Inputs Evaluation) เป็นการประเมินปัจจัยที่เอ้ือต่อการ จดั การเรยี นการสอน ประกอบดว้ ยคุณวุฒิอาจารย์ พ้นื ฐานนกั ศกึ ษา และทรัพยากรในการดาเนินการ ตามหลักสตู ร ได้แก่ เอกสารตารา อปุ กรณก์ ารเรียนการสอน สถานท่ี และเทคยนยลยีทางการศึกษาที่ เออื้ ประยยชนต์ ่อการเรยี นการสอน 3. การประเมินกระบวนการ (P: Process Evaluation) เป็นการประเมินความเหมาะสม ของกระบวนการบริหารจัดการหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน พฤติกรรมของผู้สอน/ผู้เรียน ตลอดจนการบริการตา่ งๆ 4. การประเมินผลผลิต (P: Products Evaluation) เป็นการประเมินคุณลักษณะของ บัณฑิตในด้านความรู้ ความสามารถการนาความรู้ในหลักสูตรไปใช้ในการทางาน ตลอดจนผลท่ีเกิด ขึน้ กับผูม้ ่มี ีส่วนได้ส่วนเสยี 5. การประเมินด้านผลกระทบ (I: Impact Evaluation) เป็นการประเมินผลผลิตท่ี นอกเหนือจากผลผลิตที่ต้องการให้เกิดแก่บัณฑิต ได้แก่ การประเมินผลงาน หรือผลท่ีเกิดจากการ เรียน และนาไปใชใ้ นการทางาน หรือพัฒนาหน่วยงานให้ดียิ่งข้ึน เช่น การผลิตและเผยแพร่งานวิจัย หรอื ผลงานทางวชิ าการ การยอมรับจากชุมชนและสังคม แนวคิดเกี่ยวกับหลักสูตรโรงเรียนสำธิตแห่งมหำวิทยำลัยเกษตรศำสตร์ วิทยำเขต กำแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนำกำรศึกษำ ตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพ้ืนฐำน พุทธศักรำช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พทุ ธศักรำช 2560) ยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนา การศึกษา มีวิสยั ทศั น์คอื องค์กรแห่งการวิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา น้อมนาหลักธรรมาภิบาล ประสานสมั พันธ์ชมุ ชน มุง่ ผลครมู ืออาชพี จดุ ประทปี ทักษะทางปัญญา ดารงคุณธรรม และเสริมสร้าง ความเป็นผู้นาอยา่ งอารยชน ยดยมีวัตถปุ ระสงค์ 2 ประการ คอื 1) เพ่ือผลิตผู้เรียนระดับการศึกษาข้ัน พนื้ ฐานใหม้ คี วามรู้ ทักษะ ความสามารถ มีบุคลิกภาพผนู้ าทางวิชาการ และมีคุณธรรมจริยธรรม และ 2) เพื่อส่งเสริมการสร้างสรรค์องค์ความรู้ และนวัตกรรม ยดยมีเป้าหมายของหลักสูตรคือ คุณภาพ ผเู้ รยี นเกย่ี วกบั ทกั ษะทางปญั ญา 8 ดา้ น ได้แก่ ด้านภาษา ด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ ด้านมิติ
6 สัมพันธ์ ด้านร่างกายและการเคล่ือนไหว ด้านดนตรี ด้านมนุษยสัมพันธ์ ด้านการเข้าใจตนเอง และ ด้านธรรมชาติวิทยา บุคลิกภาพ 5 ด้าน ได้แก่ Well Being, Belonging, Contribution, Communication, และExploration และทักษะที่จาเป็นในศตวรรษที่ 21 8 ด้าน ได้แก่ Critical Thinking and Problem Solving, Creativity and Innovation, Cross-Cultural Understanding, Collaboration, Teamwork and Leadership, Communications, Information and Media Literacy, Career and Learning Skills, and Compassion แนวคิดจำกงำนวจิ ยั ที่เกยี่ วขอ้ งกับกำรประเมนิ หลักสูตร จากการศึกษาแนวคิดจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินหลักสูตรยรงเรียนสาธิตแห่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) การ ประเมนิ ผลการใชห้ ลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (มาเรียม นิลพันธุ์ และ คณะ, 2556) พบว่าผู้วิจัยได้นาแนวคิดของนักประเมิน คือ Goal Attainment Model ของ Tyler (1949) Criterion Model ของ Stake (1975) และ CIPPIEST Model ของ Stufflebeam (2007) มา ใช้เปน็ แนวทางในการประเมินหลกั สูตร ซึ่งครอบคลมุ องค์ประกอบ 8 ด้าน คือ ด้านบริบท ด้านปัจจัย นาเข้า ด้านกระบวนการ ด้านคณุ ภาพบณั ฑิต ด้านผลกระทบ ด้านประสิทธิผล ด้านความยั่งยืน และ ด้านการถ่ายยยงความรู้ แต่ในการประเมินหลักสูตรครั้งน้ี ผู้วิจัยนาประเด็นในการประเมินหลักสูตร ดังกล่าวมาเปน็ แนวทางในการกาหนดประเด็นในการประเมนิ หลักสตู รระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานคร้ัง นี้ให้ครอบคลุมองค์ประกอบ 5 ด้าน ได้แก่ ด้านบริบท ด้านปัจจัยนาเข้า ด้านกระบวนการ ด้าน ผลผลิต และด้านผลกระทบ ของหลักสูตรยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพฒั นาการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) ยดยเน้นท่ีการนาข้อค้นพบจากการประเมินหลักสูตรครั้งนี้ ไปใชเ้ ป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรของยรงเรียนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในครัง้ ต่อไป
7 จากแนวคิดเก่ียวกับนยยบาย หลักสูตร รูปแบบการประเมินหลักสูตร และงานวิจัยท่ี เกี่ยวข้องกับการประเมินหลักสูตร ผวู้ ิจยั นามาเสนอกรอบแนวคิดการวจิ ยั ดงั แผนภาพท่ี 1 หลกั สูตรโรงเรยี นสำธิตแหง่ ผลกำรประเมนิ หลกั สูตร มหำวิทยำลัยเกษตรศำสตร์ วิทยำเขต 1. สภำพปัญหำของหลกั สูตรสถำนศกึ ษำในปจั จบุ ัน และ ควำมต้องกำรประเมนิ หลกั สูตรสถำนศกึ ษำ กำแพงแสน ศนู ย์วจิ ยั และพฒั นำ 2. ผลกำรประเมนิ หลักสูตรตำมแนวคดิ CIPPI Model 5 ด้ำน กำรศึกษำ ตำมหลักสูตรแกนกลำง 2.1 ด้ำนบริบท ได้แก่ ปรชั ญา วสิ ยั ทัศน์ นยยบาย/พันธกจิ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ การอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขยี น กำรศึกษำขั้นพน้ื ฐำน พทุ ธศกั รำช ยครงสร้างหลักสตู ร ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ คาอธบิ ายรายวชิ า หนว่ ยและแผนการจดั การเรยี นรู้ 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.2560) 2.2 ด้ำนปัจจยั นำเข้ำ ไดแ้ ก่ คุณวุฒิ ผลงานของอาจารยพ์ น้ื ฐาน ประกอบด้วยหลักสูตรปกติ และ ด้านความรคู้ วามสามารถของผ้เู รยี นอาคารห้องเรยี น/วัสดุอุปกรณ์ หลักสูตร English Program งบประมาณการจดั สภาพแวดล้อมและวัสดอุ ุปกรณ์ 2.3 ด้ำนกระบวนกำร ได้แก่ การบรหิ ารจดั การหลกั สูต รูปแบบกำรประเมินหลักสตู ร กระบวนการจดั การเรียนการสอน การวดั และประเมินผล การจดั การ Goal Attainment Model ของ Tyler ระบบอาจารยท์ ี่ปรกึ ษา การจดั กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น พฤตกิ รรมของ (Tyler, 1969) อาจารย์ พฤตกิ รรมของนกั เรยี น การนเิ ทศตดิ ตาม และการประกนั Criterion Model ของ Stake (Stake, คณุ ภาพ 1975) CIPPI Model ของ Stufflebeam 2.4 ด้ำนผลผลิต ไดแ้ ก่ ผลการเรียนรู้ของนกั เรยี น คณุ ลกั ษณะอัน (Stufflebeam, 2007), พงึ ประสงค์ของนักเรียน ผลงานของนกั เรียน ความสามารถในการ การประเมนิ หลกั สูตรปรชั ญาดษุ ฎบี ัณฑติ อา่ น คิดวิเคราะห์ และเขียน บุคลกิ ภาพของนกั เรยี น ทักษะทางปญั ญา (มาเรียม นิลพนั ธุ์ และคณะ, 2554) และ ของนกั เรียน สมรรถนะด้านการจดั การเรยี นรู้ของอาจารย์ การประเมนิ ผลการใช้หลักสูตรแกนกลาง และความคิเหน็ ของนกั เรยี น และอาจารยต์ ่อหลักสูตรฯ การศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (มาเรยี ม นลิ พนั ธ์ุ และคณะ, 2556) 2.5 ด้ำนผลกระทบ ไดแ้ ก่ การเผยแพร่ผลงานวชิ าการของอาจารย์ ความรกั และภาคภมู ใิ จตอ่ สถาบัน การยอมรบั ของชมุ ชน/สังคม การมีสว่ นร่วมในการพัฒนากิจกรรมการเรยี นการสอนของบคุ ลากร ภายในและภายนอกหน่วยงาน 3. ปัญหำและแนวทำงกำรพัฒนำและปรับปรุงหลักสูตร โรงเรียนสำธิตแห่งมหำวิทยำลัยเกษตรศำสตร์ วิทยำเขต กำแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนำกำรศึกษำ ตำมหลักสูตร แกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551 (ฉบับ ปรับปรงุ พ.ศ.2560) แผนภำพท่ี 1 กรอบแนวคดิ การวจิ ัย คำถำมกำรวจิ ยั 1. สภาพปัญหาของหลักสูตรสถานศึกษาในปัจจุบันและความต้องการประเมินหลักสูตร สถานศึกษา เปน็ อย่างไร 2. หลกั สูตรยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัย และพัฒนาการศกึ ษา ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ในด้านบริบท ด้านปัจจัยนาเข้า ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต และด้านผลกระทบ ยดย จาแนกเปน็ หลักสตู รปกติ และหลักสูตร English Program มีผลการประเมินอยู่ในระดับใด และเป็น อย่างไร
8 3. ปญั หาของหลักสูตรยรงเรียนสาธติ แห่งมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนยว์ ิจยั และพฒั นาการศึกษา ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับ ปรบั ปรงุ พ.ศ.2560) ยดยจาแนกเป็นหลักสูตรปกติ และหลักสูตร English Program มีอะไรบ้าง และ มแี นวทางในการพัฒนาและปรบั ปรุงอย่างไร วตั ถุประสงคก์ ำรวิจยั 1. เพื่อศึกษาสภาพปัญหาของหลักสูตรสถานศึกษาในปัจจุบันและความต้องการประเมิน หลกั สูตรสถานศึกษา 2. เพ่ือประเมินหลักสูตรยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กาแพงแสน ศนู ย์วิจยั และพฒั นาการศกึ ษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.2560) ในด้านบรบิ ท ด้านปจั จัยนาเข้า ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต และ ด้านผลกระทบ ยดยจาแนกเป็นหลักสูตรปกติ และหลักสูตร English Program 3. เพ่อื ศึกษาปญั หาและเสนอแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรยรงเรียนสาธิตแห่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ยดยจาแนกเป็น หลกั สตู รปกติ และหลักสตู ร English Program ขอบเขตกำรวจิ ัย การวิจัยในคร้งั น้ไี ด้กาหนดขอบเขตการวิจยั 6 ดา้ น ดังนี้ 1. ขอบเขตดำ้ นกลุม่ เป้ำหมำย 1.1 นักเรียนหลักสูตรปกติ ระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 จานวน 12 คน ชั้น มัธยมศกึ ษาปีที่ 1-2 และชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4-5 รวมจานวน 442 คน ทเ่ี รยี นในปกี ารศึกษา 2562 ซ่ึง ใชห้ ลักสตู รยรงเรียนสาธติ แหง่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนา การศกึ ษา ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) รวมทั้งสิ้น 454 คน และนกั เรยี นหลักสูตร English Program ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1-2 จานวน 27 คน ไดม้ ายดยวธิ กี ารเลือกแบบเจาะจง 1.2 อาจารย์ผู้สอนรายวชิ าต่าง ๆ 8 กล่มุ สาระการเรียนรู้ หลกั สูตรปกตมิ ีจานวน 89 คน และหลักสูตร English Program มีจานวน 22 คน ไดม้ ายดยวธิ กี ารเลอื กแบบเจาะจง 1.3 ผ้บู รหิ าร ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับคณะ ผู้บริหารยรงเรียน และคณะกรรมการ ฝ่ายวิชาการ ซึ่งประกอบด้วย หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ หัวหน้างานกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และ หัวหน้างานวัดและประเมนิ ผล รวมจานวน 19 คน ไดม้ ายดยวธิ กี ารเลอื กแบบเจาะจง 1.4 ผปู้ กครองของนักเรยี นท่ีศึกษาในหลักสูตรปกติ ระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1-2 และช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4-5 ของปีการศึกษา 2562 มีจานวน 15 คน และ
9 หลักสตู ร English Program ระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1-2 มีจานวน 5 คน รวมทั้งหมด 20 คน ได้มา ยดยวธิ กี ารเลือกแบบเจาะจง โดยมกี ำรคดั เลอื กกล่มุ เปำ้ หมำยผรู้ บั กำรวจิ ยั ตำมเกณฑ์ ดังน้ี เกณฑก์ ำรคัดเขำ้ 1) เปน็ นกั เรยี นยรงเรยี นสาธิตแหง่ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 4-6 ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1-2 และชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 4-5 ท่ีเรียนในปีการศึกษา 2562 ยดยใช้หลักสูตรยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วจิ ยั และพฒั นาการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.2560) 2) เปน็ อาจารยผ์ สู้ อนรายวชิ าตา่ ง ๆ 8 กล่มุ สาระการเรยี นรู้ ของยรงเรียนสาธิตแห่ง มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจยั และพัฒนาการศึกษา 3) สามารถอา่ น ฟงั เขยี นภาษาไทยได้ 4) ไม่มกี ารเจ็บป่วยรนุ แรงท่เี ปน็ อุปสรรคต่อการใหข้ อ้ มูล 5) กลุ่มเป้าหมายยนิ ยอมเขา้ ร่วมการวิจยั เกณฑก์ ำรคดั ออก 1) ตอบคาถามในประเด็นหลกั ไมค่ รบตามทกี่ าหนดไวใ้ นเคร่อื งมอื วจิ ยั 2) ไมส่ มัครใจให้ขอ้ มลู 3) ไม่อยู่ในพ้ืนทรี่ ะหวา่ งชว่ งเวลาเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 4) มีการเจ็บป่วยรุนแรงท่ีไม่สามารถให้ข้อมูลได้ในระหว่างช่วงเวลาเก็บรวบรวม ขอ้ มูล 5) ลาออก หรือเปลี่ยนสายการปฏิบัติงาน หรือเปลี่ยนบทบาทหน้าท่ี ในระหว่าง ชว่ งเวลาเกบ็ รวบรวมข้อมลู เกณฑก์ ำรถอนตัว 1) กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจออกจากยครงการ หรือไม่ยินยอม หรือไม่ต้องการให้ ขอ้ มลู ทง้ั ท่เี ป็นลายลกั ษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อกั ษร 2) เกดิ ผลขา้ งเคยี งตอ่ กลุ่มเป้าหมายระหว่างการให้ข้อมูลจนไม่สามารถให้ข้อมูลได้ ตามปกติ เช่น รู้สกึ เกิดความวติ กกงั วลถึงความไม่ปลอดภัยต่อการใหข้ ้อมูล 3) กล่มุ เป้าหมายมีการเจ็บป่วยรุนแรงในระหว่างชว่ งเวลาของยครงการวจิ ัย เกณฑก์ ำรยตุ ิกำรวจิ ยั 1) พบผลข้างเคียงที่ไม่พงึ ประสงค์ที่รุนแรงกว่าที่คาดคดิ 2) แหล่งทนุ ผู้สนับสนนุ การวิจัยยุตกิ ารวิจยั 3) ผมู้ ีอานาจอนมุ ตั ิยตุ กิ ารวจิ ยั 2. ขอบเขตด้ำนกำรประเมิน ในการวิจัยครั้งน้ีคณะผู้วิจัยใช้รูปแบบการประเมินของ Danial L. Stufflebeam แบบ CIPPI Model 5 ด้าน ได้แก่ ด้านบริบท ด้านปัจจัยนาเข้า ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต และด้าน ผลกระทบ
10 3. ขอบเขตด้ำนระยะเวลำ ในการวิจัยครั้งนี้ใช้ระยะเวลาดาเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2562 ถึงเดือน กันยายน พ.ศ.2563 รวมระยะเวลา 12 เดอื น 4. ขอบเขตด้ำนเน้อื หำ ในการวิจัยประเมินหลักสูตรครั้งน้ี ได้กาหนดเนื้อหาสาหรับการประเมิน ประกอบด้วย เนอ้ื หาหลัก 2 เรื่อง คือ 4.1 หลักสูตรยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศนู ย์วิจยั และพัฒนาการศกึ ษา ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับ ปรับปรงุ พ.ศ.2560) ซ่งึ ประกอบดว้ ย 2 หลกั สตู ร คือ หลักสูตรปกติ และหลักสูตร English Program 4.2 รูปแบบการประเมินหลักสูตรตามแนวคิดท่ีเน้นการตัดสินใจของ Danial L. Stufflebeam แบบ CIPPI Model มี 5 ด้านคือ ด้ำนบริบท (C: Context) เป็นการประเมินความ สอดคลอ้ งชัดเจนและความเหมาะสมของปรชั ญา วสิ ัยทัศน์ นยยบาย/พันธกิจ ยครงสร้างหลักสูตร ผล การเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้ คาอธิบายรายวิชา หนว่ ยและแผนการจัดการเรียนรู้ ดำ้ นปัจจัยนำเข้ำ (I: Input) เปน็ การประเมินปจั จยั ท่ีเอ้ือต่อการจัดการเรียนการสอน ได้แก่ คุณวุฒิ และคุณลักษณะของ ผู้บริหารและอาจารย์ พ้ืนฐานด้านความรู้ความสามารถของผู้เรียน เอกสารหลักสูตร อาคารเรียน วัสดุอปุ กรณก์ ารเรยี น งบประมาณ แหล่งเรยี นรู้และสภาพแวดลอ้ ม และการสนับสนุนของชมุ ชน ด้ำน กระบวนกำร (P: Process) เป็นการประเมินท่ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อสืบค้นจุดอ่อนของรูปแบบการ ดาเนนิ งานตามทคี่ าดหวงั เอาไว้ ไดแ้ ก่ การบริหารจัดการหลักสูตร กระบวนการจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล การจัดการระบบอาจารย์ท่ีปรึกษา การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน พฤติกรรม ของอาจารย์ พฤติกรรมของนักเรียน การนิเทศติดตาม และการประกันคุณภาพการศึกษา ด้ำน ผลผลิต (P: Product) เปน็ การประเมินคุณลักษณะของผู้เรียนเก่ียวกับการนาความรู้ในหลักสูตรไป ใช้ในการศึกษาต่อหรือทางาน ตลอดจนผลที่เกิดข้ึนกับผู้ท่ีมีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ ผลการเรียนรู้ของ นกั เรียน คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ผลงานของนกั เรยี น ความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และ เขียน บุคลิกภาพของนักเรียน ทักษะทางปัญญาของนักเรียน สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของ อาจารย์ และความคิดเห็นของนักเรียนและอาจารย์ต่อหลักสูตร และด้ำนผลกระทบ (I: Impact) เป็นการประเมินผลงาน หรือผลท่ีเกิดจากการเรียนในระดับท่ีสูงข้ึนหรือการพัฒนางานให้ดียิ่งข้ึน ไดแ้ ก่ การเผยแพร่ผลงานวิชาการของอาจารย์และนักเรียน ความรู้สึกเป็นเจ้าของและภาคภูมิใจต่อ สถาบัน การยอมรับของชมุ ชน/สังคม และการมสี ่วนร่วมในการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนของ บคุ ลากรภายในและภายนอกหน่วยงาน 5. ขอบเขตดำ้ นระเบียบวธิ กี ำรวจิ ยั การวจิ ัยครงั้ นเี้ ป็นการวจิ ัยเชิงประเมินยดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสมผสานวิธี (Mixed Methods Research) ใช้วิธีทัง้ เชิงปริมาณ (Quantitative methods) และเชิงคุณภาพ(Qualitative methods) และมีการตรวจสอบสามเส้า (Triangulation) ด้านข้อมูลและดา้ นระเบยี บวิธีการวิจยั 6. ขอบเขตด้ำนขอ้ มลู ที่ใชใ้ นกำรประเมนิ ขอ้ มูลทใ่ี ช้ในการประเมนิ ประกอบด้วยขอ้ มูลเชิงปรมิ าณและข้อมูลเชงิ คุณภาพ ดงั น้ี 6.1 ข้อมลู เชงิ ปรมิ าณ ประกอบด้วย
11 1) ข้อมูลท่ัวไปของกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง อาจารย์ ผู้บริหาร ระดับคณะ ผู้บริหารยรงเรียน หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ หัวหน้างานกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และ หัวหนา้ งานวดั และประเมนิ ผล 2) ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นท่ีมีต่อหลักสูตรยรงเรียนสาธิตแห่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ของนักเรียน อาจารย์ หัวหนา้ กลุม่ สาระการเรียนรู้ 3) ข้อมูลจากแบบตรวจสอบองค์ประกอบและคุณภาพหลักสูตรสถานศึกษาของ คณะกรรมการวิชาการท่ีประกอบด้วย หัวหน้ากลมุ่ สาระการเรียนรู้ หัวหน้างานกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และหัวหนา้ งานวดั และประเมนิ ผล 6.2 ขอ้ มลู เชงิ คุณภาพ ประกอบด้วย 1) ข้อมูลจากแบบบันทึกเอกสารในหัวข้อเก่ียวกับการประเมินหลักสูตร และ เอกสารหลักสูตรยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและ พฒั นาการศึกษา ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) 2) ขอ้ มูลจากแบบสัมภาษณ์ และประเด็นสนทนากลุ่มเกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีต่อ หลักสูตรยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนา การศึกษา ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ของนักเรยี น คณะกรรมการวิชาการ ผูบ้ ริหารระดับคณะ ผูบ้ ริหารยรงเรยี น และผู้ทรงคณุ วุฒิ นยิ ำมศพั ท์เฉพำะ 1. หลักสูตรโรงเรียนสำธิตแห่งมหำวิทยำลัยเกษตรศำสตร์ วิทยำเขตกำแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนำกำรศึกษำ ตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.2560) หมายถึง สาระการเรียนรู้และกิจกรรมพฒั นาผเู้ รียนทจ่ี ัดใหก้ บั นักเรียนใน ระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานได้ศึกษา ยดยสาระการเรียนรู้ประกอบด้วย 8 กลุ่ม คือ 1) ภาษาไทย 2) คณิตศาสตร์ 3) วิทยาศาสตร์และเทคยนยลยี 4) สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5) สุขศึกษาและ พลศึกษา 6) ศิลปะ 7) การงานอาชีพ และ8) ภาษาต่างประเทศ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน มี 3 กิจกรรมหลัก คือ 1) กิจกรรมแนะแนว 2) กิจกรรมนักเรียน และ3) กิจกรรมเพ่ือสังคมและ สาธารณประยยชน์ ภายใต้วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายของยรงเรียน ท้ังน้ีเพื่อให้นักเรียนมี สมรรถนะสาคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามท่ีหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กาหนด และตามคาส่ังกระทรวงศึกษาธิการท่ี สพฐ.1239/2560 เร่ือง ให้ใช้ มาตรฐานการเรยี นรูแ้ ละตัวชว้ี ดั กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ ในกลุ่มสาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 รวมทั้งการบรรลุมาตรฐานคุณภาพของผู้เรียนที่ หลกั สตู รของยรงเรียนไดก้ าหนดเพม่ิ เติมไว้ 5 มาตรฐาน คือ มาตรฐานท่ี 1 การดาเนินชีวิตของตนเอง
12 ท่ีดี (Well Being) มาตรฐานท่ี 2 การอยู่ร่วมกันในสังคมและการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น (Belonging) มาตรฐานท่ี 3 การมีส่วนร่วม มีจิตสาธารณะ (Contribution) มาตรฐานท่ี 4 การติดต่อสื่อสาร (Communication) และมาตรฐานที่ 5 การแสวงหาความรู้ (Exploration) ยดยยรงเรียนสาธิตแห่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ได้ดาเนินการจัด การศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน 2 หลักสูตร คือหลักสูตรปกติ และหลักสูตร English Program ทง้ั 2 หลกั สูตร มีองค์ประกอบของสาระการเรียนรู้และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน รวมท้ังการ บรรลุมาตรฐานคุณภาพของผู้เรียนเดียวกัน แต่มีส่วนท่ีต่างกันคือหลักสูตร English Program นักเรยี นจะเรียนรายวชิ าพ้นื ฐานกับผู้สอนซ่ึงเป็นอาจารย์ชาวต่างชาติ 3 รายวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ และเรียนกับอาจารย์ผู้สอนไทย 5 รายวิชา ได้แก่ ภาษาไทย สังคม ศกึ ษา สุขศีกษาและพลศึกษา การงานอาชีพ และศิลปะ 2. กำรประเมินหลักสูตร หมายถึง กระบวนการศึกษา ติดตาม และรวบรวมข้อมูลการใช้ หลักสูตรท่ีเป็นข้อเท็จจริงให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ของการประเมินหลักสูตรในการวิจัยครั้งนี้ ซ่ึง ได้มาด้วยวิธีการท่ีหลากหลายคือ จากการวิเคราะห์เอกสาร การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ การอ่าน การคิดวิเคราะห์ และการเขียน ของ นกั เรยี นทีเ่ รยี นในปกี ารศึกษา 2560-2562 จากผลการดาเนินงานพฒั นาวิชาการที่เน้นคุณภาพผู้เรียน รอบด้านตามหลักสูตรสถานศึกษาและทุกกลุ่มเป้าหมาย ปีการศึกษา 2562 และผลการพัฒนา กระบวนการจัดการเรียนการสอนทเ่ี นน้ ผู้เรียนเปน็ สาคญั ปกี ารศึกษา 2562 รวมทงั้ จากการสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่มเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้ท่ีเก่ียวข้อง ได้แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง อาจารย์ ผูบ้ ริหารระดบั ยรงเรยี น คอื ผอู้ านวยการ รองผู้อานวยการ และหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ ผู้บริหาร ระดับคณะในมหาวิทยาลยั ท่ีมียรงเรียนสาธิต และผู้ทรงคุณวุฒิท่ีมีบทบาทในการพิจารณาปัญหาและ เสนอแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยา เขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.2560) 3. รูปแบบกำรประเมิน CIPPI Model หมายถึง การประเมินผลหลักสูตรยดยพิจารณา ขอ้ มูลท่ีจะนามาประเมิน 5 ดา้ น คอื 3.1 การประเมินด้านบริบท (Context Evaluation) หมายถึง การประเมินความ สอดคล้องชัดเจนของวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ความเหมาะสมในการนาไปปฏิบัติได้จริง ในด้าน ปรัชญา วิสัยทัศน์ นยยบาย/พันธกิจ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ การอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ยครงสร้างหลักสูตร ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ คาอธิบายรายวิชา และหน่วย/แผนการจัดการ เรยี นรู้ 3.2 การประเมินด้านปัจจัยนาเข้า (Input Evaluation) หมายถึง การประเมินความ เหมาะสมของคุณวุฒิและคุณลักษณะของผู้บริหาร คุณวุฒิและคุณลักษณะของอาจารย์ พ้ืนฐานด้าน ความรู้ความสามารถของผู้เรียน เอกสารหลักสูตร อาคารเรียน วัสดุอุปกรณ์การเรียน งบประมาณ แหล่งเรียนรู้และสภาพแวดล้อม การสนับสนุบของชมุ ชน และปจั จยั นาเขา้ อื่นๆ ยดยรวม 3.3 การประเมินด้านกระบวนการ (Process Evaluation) หมายถึง การประเมิน เก่ยี วกบั การบริหารจัดการหลักสูตร กระบวนการจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล การ
13 จดั การระบบอาจารย์ที่ปรึกษา การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน พฤติกรรมของอาจารย์ พฤติกรรมของ นักเรียน การนิเทศติดตาม และการประกนั คุณภาพ 3.4 การประเมนิ ดา้ นผลผลิต (Product Evaluation) หมายถงึ การประเมินเก่ียวกับ ผล การเรยี นรขู้ องนกั เรยี น คุณลกั ษณะอันพึงประสงคข์ องนักเรยี น ผลงานของนักเรียน ความสามารถใน การอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน บุคลิกภาพของนักเรียน ทักษะทางปัญญาของนักเรียน สมรรถนะ ด้านการจัดการเรยี นรู้ของอาจารย์ ความคิดเห็นของนกั เรยี นและอาจารย์ตอ่ หลกั สูตร 3.5 การประเมินด้านผลกระทบ (Impact Evaluation) หมายถึง การประเมินผลที่เกิด ขึ้นกับนักเรียนและบุคลากรท่ีเก่ียวข้องกับหลักสูตรยรงเรียน ได้แก่ การเผยแพร่ผลงานวิชาการของ อาจารย์และนักเรียน ความรู้สึกเป็นเจ้าของและภาคภูมิใจต่อสถาบัน การยอมรับของชุมชน/สังคม การมสี ่วนรว่ มในการพฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอนของนกั เรยี น และบุคลากรภายในและภายนอก หน่วยงาน 4. นักเรียน หมายถึง ผู้ท่ีศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1-2 และช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4-5 ที่เรียนในปีการศึกษา 2562 ยดยใช้หลักสูตรยรงเรียนสาธิตแห่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.2560) 5. ผู้ปกครอง หมายถึง ผู้ท่ีมีบทบาทดูแลและรับผิดชอบการเรียนของนักเรียนในความ ปกครองที่เรียนในปีการศึกษา 2562 ซ่ึงใช้หลักสูตรยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2560) 6. อำจำรย์ หมายถึง ผู้ทาหนา้ ทจี่ ดั การเรยี นการสอนในรายวิชาต่าง ๆ ในหลกั สูตรยรงเรียน สาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ตาม หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560) 7. ผู้บริหำร หมายถึง ผู้ดารงตาแหน่งทางบริหารระดับยรงเรียน ได้แก่ ผู้อานวยการ รอง ผู้อานวยการ และหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ และระดับคณะในมหาวิทยาลัย ได้แก่ คณบดี รอง คณบดี หวั หนา้ ภาควชิ า 8. ผู้ทรงคุณวฒุ ิ หมายถึง ผทู้ ม่ี วี ฒุ ิสงู สดุ ทางการศกึ ษาในระดับปริญญายท หรอื ปริญญาเอก ทางด้านหลกั สตู ร การสอน การจดั การเรียนรู้ การวัดและประเมินผล และมีประสบการณ์ในการสอน ระดบั การศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน หรอื ระดับอดุ มศกึ ษา หรือทั้ง 2 ระดับรวมกัน อย่างนอ้ ยไมต่ ่ากว่า 10 ปี ประโยชน์ทีไ่ ดร้ บั 1. อาจารย์ คณะกรรมการวิชาการ และคณะกรรมการบริหารยรงเรียนได้ทราบผลการ ประเมินหลกั สูตรยรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและ พัฒนาการศกึ ษา ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ในดา้ นบรบิ ท ด้านปัจจัยนาเข้า ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต และด้านผลกระทบ ท่ีสะท้อน
14 ถึงความเหมาะสมของผลการใช้หลักสตู ร เพ่อื นาไปใช้ในการวางแผนและดาเนนิ การพฒั นายรงเรียนใน ปีการศกึ ษาตอ่ ไป 2. คณะกรรมการวิชาการ และคณะกรรมการบริหารยรงเรียน สามารถนาผลการวิจัย เก่ยี วกับแนวทางการพฒั นาและปรับปรงุ หลกั สตู รครั้งน้ีไปใช้ในการพฒั นาหลกั สตู รระดบั การศกึ ษาขั้น พื้นฐานกลุ่มหลักสูตรปกติ และหลักสูตร English Program ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สอดคล้องกบั ความต้องการจาเปน็ และบริบทของสถานศกึ ษามากขน้ึ 3. คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน สามารถนาผลการวิจยั ประเมินหลกั สูตรในระดบั การศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน ไปใชใ้ นการกาหนดนยยบายการ บริหารจัดการหลกั สูตรของยรงเรียนที่อยู่ในความดูแลของคณะฯ และนาไปใช้เป็นกรณีศึกษาสาหรับ นิสิตสาขาการจัดการเรียนรู้ ภาควิชาครุศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ข้อพจิ ำรณำด้ำนจริยธรรมกำรวิจัยในมนุษย์ (Ethical consideration) การวิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยได้รับการรับรองด้านจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ จากคณะกรรมการ จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หมายเลขของ Certificate of Exemption คือ COE63/106 เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2563 ยดยได้ปฏิบัติตามหลักจริยธรรมการวิจัยใน มนษุ ย์ครบทง้ั 3 ข้อ คือ 1) หลักควำมเคำรพในบุคคล (Respect for person) ยดยการให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน จนผูท้ ไี่ ด้รบั เชิญใหเ้ ข้ารว่ มในการวิจยั เขา้ ใจเป็นอยา่ งดี และตดั สินใจอยา่ งอสิ ระในการให้ความยินยอม เข้าร่วมในการวิจัย ผู้วิจัยจะเคารพความเป็นส่วนตัวและการเก็บรักษาความลับของอาสาสมัครผู้รับ การวิจยั ยดยในแบบบันทกึ ขอ้ มูลจะไมม่ ขี อ้ มลู ที่บง่ ช้ี (Identifiers) ถึงอาสาสมัครผรู้ ับการวจิ ัย 2) หลักกำรให้ประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดอันตรำย (Beneficence/non-maleficence) อาสาสมัครผรู้ บั การวิจยั จะไมไ่ ดร้ ับประยยชน์ใดๆ อาจเกิดความเสี่ยงต่ออาสาสมัครผู้รับการวิจัยเพียง เล็กน้อย คือ ความลับของอาสาสมัครผู้รับการวิจัยอาจถูกเปิดเผย ผู้วิจัยจะเก็บรักษาความลับของ อาสาสมัครผรู้ บั การวิจยั เปน็ อยา่ งดี 3) หลักควำมยุติธรรม (Justice) คือ มีเกณฑ์การคัดเข้าและเกณฑ์การคัดออกชัดเจน มี การกระจายประยยชน์และความเสีย่ งอย่างเท่าเทยี มกัน และไมม่ ีอคติ
15 บทท่ี 2 วรรณกรรมท่ีเกีย่ วขอ้ ง การวจิ ยั เรอ่ื ง การประเมนิ หลกั สูตรโรงเรียนสาธติ แห่งมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กาแพงแสน ศูนย์วจิ ัยและพัฒนาการศกึ ษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) ในคร้ังนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษา หลักการ แนวคิด ทฤษฎี จาก เอกสารและงานวิจยั ที่เกยี่ วขอ้ งกบั การประเมนิ หลักสตู ร เพอ่ื ตอ้ งการใหม้ องเหน็ ภาพรวมและแนวทาง ในการทาวจิ ยั ใหช้ ดั เจน ครอบคลมุ ส่ิงทีต่ อ้ งการศึกษา โดยได้นาเสนอเนอื้ หาตามลาดับดังน้ี 1. แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจัยทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับหลกั สูตรและการบรหิ ารจดั การหลกั สูตร 2. แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจยั ทเ่ี กีย่ วข้องกับรปู แบบการประเมนิ หลักสูตร 3. หลักสตู รโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัย และพัฒนาการศึกษา ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 1. แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจยั ทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั หลกั สูตร และการบริหารจัดการหลักสูตร 1.1 หลกั สตู ร ความหมายของหลกั สตู ร “หลักสูตร” ตามความหมายท่ีนักการศึกษาได้กล่าวไว้มีหลากหลายตามความเช่ือใน เชงิ ปรชั ญา (philosophical beliefs) ของแตล่ ะบุคคล โดยสามารถจัดกลุ่มความหมายของหลักสูตร ทีก่ ล่าวในทานองเดียวกนั คอื หลกั สตู ร เป็นโปรแกรมการศกึ ษารายวิชา กลุ่มวชิ า โครงการหรือเน้ือหา ความรู้ต่างๆ ที่สถาบันศึกษาจัดการเรียนการสอนให้กับผู้เรียนเพื่อเตรียมสู่สมาชิกท่ีมีประสิทธิภาพ ของประเทศชาติ (Good, 1973: 149, ทศิ นา แขมมณี, 2545: 133 และบุญชม ศรีสะอาด, 2546: 7) หลักสตู ร คือ แผนการจดั การศึกษาหรอื เอกสารท่ีกาหนดกลวธิ กี ารปฏิบัติเพ่ือนาไปจัดการเรียนรู้ที่ทา ใหบ้ รรลเุ ป้าหมายทตี่ ้องการแก่ผเู้ รียนเปน็ กระบวนการจัดระบบให้กับบุคลากรและการดาเนินการนา ระบบไปใชต้ ามแผนที่จัดไว้ ประกอบดว้ ย จุดประสงค์ จุดประสงค์เฉพาะ การเลือกและการจัดเนื้อหา วิธีการจัดการเรียนการสอน และการประเมินผลเพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถ ทัศนคติ และ พฤติกรรมตามที่กาหนดในจุดมุ่งหมายของการศึกษา (Wheeler, 1974: 11, Crow, 1980: 250, Bobbit, 1981: 42, Sowell, 1996: 5, Ornstein and Hunkins, 2004: 10 และใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์, 2539: 3) และหลกั สตู ร คือ มวลประสบการณก์ ารเรียนรูท้ ่ีสถานศึกษาจัดให้กับผู้เรียนได้รับการฝึกฝน อบรมต่าง ๆ อยา่ งเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ เพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถ ทักษะ และคณุ ลกั ษณะตามทก่ี าหนดไว้ในมาตรฐานการเรียนรู้ หลักสูตรจึงเป็นเสมือนแผนที่กาหนดทิศทาง ในการพฒั นาผู้เรยี นไปสมู่ าตรฐานการเรียนร้ซู ึง่ เปน็ เป้าหมาย และมีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อให้ทราบความก้าวหน้าของผู้เรียนในการพัฒนาไปสู่มาตรฐานท่ีกาหนด (ธารง บัวศรี, 2542: 7, วิชยั วงษใ์ หญ่, 2552: 469, สานกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา, 2553: 8)
16 จากความหมายของหลักสูตรดังกล่าว สรุปได้ว่า หลักสูตร คือ แผนการจัดการศึกษา และประสบการณ์การเรยี นรู้ให้แกผ่ ้เู รยี นอย่างเป็นระบบ โดยบคุ ลากรทางการศึกษาสามารถนาระบบ ไปใช้ให้เหมาะสมกับบริบทและความต้องการ เพ่ือพัฒนาความก้าวหน้าของผู้เรียนให้มีความรู้ ความสามารถ ทักษะและคุณลักษณะตามเป้าหมายของการพฒั นาผูเ้ รียนท่กี าหนดไวใ้ นแผน องคป์ ระกอบของหลักสูตร Taba (1996) และTyler (1969) เสนอองค์ประกอบของหลักสูตรที่สอดคล้องกันว่า หลกั สูตรมอี งค์ประกอบทส่ี าคญั 4 ประการ คือ 1) จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงเป็น วัตถุประสงค์และเป้าหมายของหลักสูตรว่า เม่ือผู้เรียนผ่านประสบการณ์ตามหลักสูตรแล้ว จะเกิด อะไรกับผู้เรียน 2) การจัดโครงสร้างเนื้อหาหรือมวลประสบการณ์เป็นการเลือกสรรเนื้อหาสาระ ความรู้ และประสบการณ์มาจัดและเรียงลาดับให้ผู้เรียนได้รับ 3) แผนการจัดการเรียนการสอน หรือ การจดั การเรียนรู้เป็นการนาวิธีการสอนแบบต่าง ๆ มาใช้ให้เหมาะสมกับวัยและเน้ือหา และ4) การ ประเมินผลลัพธ์ของหลักสูตรเป็นการหาคาตอบว่าการดาเนินการของหลักสูตรเป็นไปตามความ มงุ่ หมายหรอื ไม่ เพียงใด ส่วน Beauchamp (1981) มองว่าหลักสูตรประกอบด้วยระบบอยู่ 3 ระบบ คือ ระบบท่ีป้อนเข้า (Input) ระบบกระบวนการ (Process) และระบบการประเมินผลลัพธ์ที่ได้ (Output) ในขณะที่ธารง บัวศรี (2542) ให้รายละเอียดขององค์ประกอบของหลักสูตรเพ่ิมเติมอีกว่า ควรมอี งคป์ ระกอบด้านวัสดุหลักสูตรและสื่อการเรียนการสอนด้วย องค์ประกอบของหลักสูตรทาให้ มองเห็นถงึ โครงสรา้ งของหลกั สตู รท้ังระบบ โดยทว่ั ไปต้องประกอบด้วยความมุ่งหมายหรือจุดประสงค์ ของหลักสูตร สาระเน้ือหาวิชาภายในหลักสูตร กระบวนการจัดการเรียนรู้ ส่ือและวัสดุท่ีใช้ ประกอบการจัดการเรียนรู้ และกระบวนการประเมินผลการเรียนรู้ โดยองค์ประกอบเหล่านี้มี ความสมั พันธ์เปน็ หน่ึงเดยี วกนั จะขาดส่งิ ใดสิง่ หนึ่งไปไม่ได้ เพ่ือเป็นแนวทางในการกาหนดทิศทางการ พฒั นาผู้เรยี นอย่างเป็นระบบ ความสาคัญของหลกั สูตร หลกั สูตรเป็นองค์ประกอบอันสาคัญย่ิงอย่างหน่ึงของการจัดการศึกษา เพราะหลักสูตร จะมีโครงร่างกาหนดไว้ว่าเด็กจะได้รับประสบการณ์อะไรบ้าง และหลักสูตรเป็นแนวทางท่ีจะสร้าง ความเจริญเติบโตให้แก่ผู้เรียน และเป็นเคร่ืองชี้ให้เห็นภาพของสังคมในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่ง การจดั การศึกษาจะไม่มวี ันสาเรจ็ ลุล่วงไปตามเป้าหมายของการจัดการศึกษาได้ถ้าปราศจากหลักสูตร หลักสูตรจึงเปรียบเสมือนหัวใจสาคญั ของการศึกษา (สุนีย์ ภพู่ ันธุ์, 2546: 16) นอกจากน้ี ธารง บัวศรี (2542: 7) และใจทิพย์ เช้อื รตั นพงษ์ (2539: 10) ไดเ้ สนอแนวคิดเกี่ยวกับความสาคัญของหลักสูตรไว้ สอดคลอ้ งกนั ว่า หลักสูตรมีความสาคญั ต่อการศึกษา และมีความสาคัญต่อการสอนคือ เป็นเคร่ืองมือ ท่ถี ่ายทอดเจตนารมณห์ รือเป้าประสงคข์ องการศกึ ษาของชาตลิ งสู่การปฏิบัติ อาจกล่าวได้ว่าหลักสูตร คือ สิ่งที่นาเอาความมุ่งหมายและนโยบายการศึกษาไปแปลงเป็นการกระทาข้ันพ้ืนฐานในโรงเรียน หรือสถานศึกษา ความสาคัญต่อการเรียนการสอนนั้นคือ การนาหลักสูตรไปแปลงเป็นภาคปฏิบัติ จรงิ ๆ หลักสตู รจงึ มีความสาคญั ตอ่ การเรียนการสอนอย่างยิ่ง และเป็นความจาเป็นที่ครูผู้สอนจะต้อง ศกึ ษาหลกั สูตรใหเ้ ข้าใจอย่างถอ่ งแท้พร้อมท้ังชว่ ยให้ผู้เรยี นมีความเขา้ ใจดว้ ย นอกจากน้ี Print (1993: 110) ได้ให้ความสาคัญของหลักสูตรไว้วา่ หลักสูตรมคี วามสาคัญอย่างย่ิงสาหรับวิชาชีพครู การศึกษา ทางด้านหลักสูตรเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการศึกษาวิชาชีพครู ดังนั้นครูจึงมีความจาเป็นต้องมี
17 ความรู้เก่ยี วกับหลกั สตู รและมคี วามเข้าใจในกระบวนการพัฒนาหลักสูตร จึงสรุปได้ว่า หลักสูตรเป็น หัวใจสาคัญของการจัดการศึกษา เป็นการนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติจริงเพ่ือให้ผู้เรียนบรรลุ จุดมงุ่ หมายของการจัดการศึกษา คุณลักษณะของหลกั สูตรทด่ี ี สงดั อุทรานนั ท์ (2532: 211–212) ไดก้ ล่าวถึงลกั ษณะของหลักสตู รที่ดีมีดงั นี้ 1) จุดมุ่งหมายของหลักสูตรควรต้ังอยู่บนรากฐานทางการศึกษาอย่างถูกต้อง ได้แก่ พ้ืนฐานทางปรัชญา จิตวิทยา สังคมวิทยา และธรรมชาติของความรู้ และต้องตั้งอยู่บนรากฐานของ ความจริงและสามารถนาไปปฏิบัตไิ ด้ 2) สอดคล้องกับความต้องการของสังคม สามารถสนองความต้องการของสังคมและ ประเทศชาติ โดยมุ่งให้ผู้เรียนเห็นประโยชน์ของส่วนรวมและเสียสละ มีความรู้สึกภาคภูมิใจใน ประเทศชาติ 3) สอดคลอ้ งกับความต้องการของผู้เรียนตามหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมกับ วยั 4) จดุ มุง่ หมายของหลักสูตรท่ีดีจะต้องมุ่งสร้างเสริมค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรม 5) จุดม่งุ หมายของหลักสูตรทีด่ ี มุง่ สร้างคุณลกั ษณะของผู้เรียนใหม้ คี วามเจรญิ งอกงาม ทางสติปญั ญา มีทกั ษะในอาชพี มคี ุณธรรม มวี ินยั ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมอื ง จากแนวคิดดงั กล่าว สรุปลกั ษณะของหลกั สตู รท่ดี คี อื สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและ สงั คมในประเทศ สนองความตอ้ งการของผเู้ รียนและสังคม มคี วามยืดหยนุ่ และนามาใช้ไดส้ ะดวก 1.2 การบริหารจัดการหลักสูตร ความหมายของการบริหารจดั การหลกั สตู ร การบริหารจัดการหลักสูตร หมายถึง กระบวนการและกิจกรรมการดาเนินการเพ่ือให้ การใช้หลักสตู รมปี ระสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ล การบริหารจดั การหลักสตู รมีขอบข่ายหลายด้าน ได้แก่ การวางแผนเพื่อใช้หลักสูตร การจัดการฝึกอบรมครู การจัดการครูเข้าสอน การจัดตารางสอน การ จัดบริการวัสดุประกอบหลักสูตรและสื่อการเรียน การประชาสัมพันธ์การใช้หลักสูตร การจัด สภาพแวดลอ้ ม อาคารสถานท่ี การจัดโครงการประเมินผลการใช้หลักสูตรและการปรับปรุงหลักสูตรมี เป้าหมายคือ คณุ ภาพของผเู้ รียน (ชวลติ ชกู าแพง, 2551; รุจิร์ ภู่สาระ, 2551; วิชัย วงษ์ใหญ่, 2551; Oliva, 2013; Armstrong, 2003; Wiles and Joseph, 2011; Wiles, 2009) องคป์ ระกอบของการบริหารจัดการหลักสูตร องคป์ ระกอบของการบริหารจัดการหลักสูตร จากการสังเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้องกับ การบริหารจัดการหลักสูตร สรปุ องค์ประกอบของการบริหารจัดการหลกั สตู รไดด้ ังน้ี (ชวลิต ชูกาแพง, 2551; รุจิร์ ภู่สาระ, 2551; วิชัย วงษ์ใหญ่, 2551; ฆนัท ธาตุทอง, 2550; วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537; Oliva, 2013; Armstrong, 2003; Wiles and Joseph, 2011; Wiles, 2009) 1) การเตรียมวางแผน เพ่ือใช้หลักสูตร ผู้บริหารและคณะกรรมการหลักสูตรจะต้องศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรว่าจุดมุ่งหมาย ของการพัฒนาหลักสูตรครั้งนี้ มีเป้าประสงค์ที่แท้จริงคืออะไร และสอดคล้องกับความต้องการและ ความสนใจของผู้เรียนและชุมชนเพียงใด สถานศึกษามีความพร้อมต่อการนาหลักสูตรมาปรับใช้
18 อย่างไร องค์ประกอบหลักสตู รและแหลง่ ข้อมลู ตา่ งๆ ท่ีจะนาเข้ามา มีส่วนช่วยในการพัฒนาหลักสูตร นจี้ ะจัดหาไดอ้ ย่างไรและโดยวิธีใด งบประมาณและอาคารสถานท่ีพอเพียงหรือไม่ การเตรียมบุคลากร เกี่ยวกับการใช้หลักสูตรจะทาโดยวิธีใด การวางแผนงานเพ่ือใช้หลักสูตรใหม่อย่างละเอียดรอบคอบ และมีข้ันตอนจะทาให้การใช้หลักสูตรบรรลุจุดหมายได้ง่าย 2) การจัดการฝึกอบรมครูเพ่ือให้ใช้ หลักสตู รใหม่ ควรจัดอบรมในรูปของการประชุมเชิงปฏบิ ตั กิ ารให้ครไู ด้ศึกษาถึงปัญหาของหลักสูตรไป ปรับใช้ในห้องเรียน สร้างกาหนดการจัดการเรียนรู้ ประมวลการจัดการเรียนรู้ การเลือกและจัด ประสบการณ์เรียน และทดลองสอนเพื่อแก้ไขปรับปรุงหลังจากประชุมเชิงปฏิบัติการแล้วผู้บริหาร จะต้องคอยดูแลนิเทศและบริหารครอู ย่างใกล้ชดิ เกยี่ วกับการใชห้ ลกั สูตร 3) การจัดครเู ขา้ สอน การจัด ครูเข้าสอนเป็นสิ่งท่ีจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะครูเป็นผู้ท่ีมีบทบาทอย่างมากในการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ดังนั้นครูจะต้องมองเห็นความสาคัญของการเปลี่ยนแปลงใน สังคมครูจะต้องกา้ วให้ทนั เหตกุ ารณ์และการเปลีย่ นแปลงอยา่ งสมา่ เสมอ เพราะจะเปน็ ผนู้ าให้นักเรียน ทกุ คนมโี อกาสและมีส่วนร่วมในชีวิตสังคมปัจจุบันมากท่ีสุด การคัดเลือก 4) การจัดตารางสอน ควร คานึงถงึ การเรียนร้วู ชิ าตา่ งๆ ไม่จาเปน็ ต้องใช้เวลาเท่ากนั ระดบั ของความยากง่ายของการเรียนรู้ย่อม แตกต่างกัน ช่วงเวลาของการเรียนรู้ต้องเป็นไปเพ่ือส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียน นอกจากน้ีการใช้ อาคารสถานที่ ห้องเรียน โรงฝึก ห้องทดลองจะต้องมีการใช้ตลอดเวลาจึงจะถือว่าการใช้อาคาร สถานที่เป็นไปอย่างมีประสทิ ธิภาพ 5) การจัดบริการวัสดุประกอบหลักสูตรและส่ือการเรียนการสอน จัดทากาหนดการจัดการเรียนรู้ ประมวลการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ พัฒนาคู่มือครู แบบเรียนและส่ือการสอน เป็นสงิ่ สาคญั ท่จี ะตอ้ งทา โดยเฉพาะแผนการสอนจะชว่ ยให้ครูเห็นแนวทาง ว่าจะเลอื กกิจกรรมอะไรใหก้ ับผ้เู รียน และกิจกรรมอะไรที่จะทาให้ผู้เรียนอยากเรยี น การจัดทาส่ือการ เรียน การเรียนรู้ควรจะทาร่วมกัน เพราะจะเป็นการประหยัดแรงงาน งบประมาณ และครอบคลุม เน้ือหาสาระได้มากกว่า และที่สาคัญคือผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสามารถความสนใจ และตรงกับ ความต้องการของชุมชน 6) การประชาสัมพันธ์การใช้หลักสูตรกับผู้ปกครอง คณะกรรมการ สถานศกึ ษาข้นั พนื้ ฐานของโรงเรยี น และประชาชนในชุมชนนั้นเปน็ สิ่งที่จะช่วยให้เกดิ ความเขา้ ใจ และ ความสามารถในการแก้ไขปัญหาการประชาสัมพันธ์หลักสูตรต้องทาติดต่อกัน การใช้สื่อมวลชนเป็น เคร่ืองช่วยประชาสัมพันธ์หลักสูตร เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ สื่อออนไลน์ จะช่วยให้การ ประชาสัมพันธห์ ลกั สูตรได้ผลมาก 7) การจัดสภาพแวดล้อมเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ คือ การรวมกลุ่มกันของผู้ประกอบวิชาชีพครูโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาสมรรถนะเชิงวิชาชีพและ คุณภาพของผู้เรียนร่วมกัน ผ่านกระบวนการเรียนรู้ร่วมมือร่วมใจ การเรียนรู้ประสบการณ์การ ปฏิบัติงานในพ้ืนท่ีและการแลกเปล่ียนเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง 8) การทางานประจาให้เป็นงานวิจัย (routine to research) เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ การค้นคว้าหาความรู้ โดยกระบวนการที่เช่ือถือได้ (กระบวนการวิจัย) เพ่ือการแกป้ ญั หาหรือยกระดบั คุณภาพงานประจาให้ดียิง่ ขึ้นบนฐานความรู้ที่ได้รับ จากการวจิ ัย องคป์ ระกอบของการทางานประจา ให้เป็นงานวิจัย 4 ประการ ได้แก่ 1) ปัญหาวิจัยมา จากงานการจัดการเรียนรู้ 2) ผู้ทาวิจัย คือ ผู้สอนมีบทบาททาวิจัยด้วยตนเอง 3) ผลการวิจัยถูกต้อง เชอ่ื ถือได้ 4) ใชป้ ระโยชนก์ ับงานของผูส้ อนเอง การวิจัยในงานประจาสาหรับผู้สอน เร่ิมที่การจัดการ เรียนรปู้ ัญหาทเี่ กยี่ วข้องกบั การจัดการเรียนรู้ โดยเฉพาะคุณภาพของผู้เรียนคือจุดเร่ิมต้นท่ีดีของการ วิจัย 9) การนิเทศ กากับ ติดตาม และประเมินผล ในการใช้หลักสูตร ควรจัดให้มีการนิเทศ กากับ
19 ติดตามและประเมินผล เพ่ือศึกษาปัญหาและร่วมกันแก้ไขและพัฒนาภารกิจในส่วนท่ีต้องการให้มี ประสทิ ธภิ าพและคณุ ภาพของการใช้หลักสูตรสถานศึกษาสูงข้ึน และ10) การจัดโครงการประเมินผล การใช้หลักสูตรและการปรับปรุงหลักสูตร การจัดโครงการประเมินผลการใช้หลักสูตรและการ ปรับปรุงหลักสูตรเป็นสิ่งที่สาคัญและจะต้องกระทาเป็นข้ันตอน มาเรียม นิลพันธ์ุ และคณะ (2556: 61-74) กล่าวถึง องค์ประกอบที่ส่งผลต่อคุณภาพการใช้หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน มี สาระสาคัญทผ่ี ู้บรหิ าร ครู อาจารย์ ผเู้ รียน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ควรตระหนักถึงความสาคัญในเรื่อง ของการติดตามให้คาแนะนา ช่วยเหลือ อานวยความสะดวก ท้ังก่อน ระหว่าง และหลังการนา หลักสูตรสูก่ ารปฏบิ ัติในชัน้ เรยี น จากความหมายและองคป์ ระกอบของการบริหารจัดการหลักสูตร จะเป็นแนวทางให้ครู นาหลักสูตรไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อผู้เรียน อย่างไรก็ตามยังมี องค์ประกอบที่ส่งผลต่อคุณภาพการใช้หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ซึ่งผู้บริหารควรให้ ความสาคัญ ไดแ้ ก่ การนิเทศการจัดการเรียนรู้ ระบบพี่เลี้ยง การสอนงาน การจัดการความรู้ ชุมชน แห่งการเรยี นรูเ้ ชงิ วชิ าชีพ และการประเมินหลกั สตู ร 1. การนิเทศการจดั การเรียนรู้ ความหมายการนิเทศการจัดการเรยี นรู้ การนิเทศการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน แนะนา รวมทงั้ การแลกเปล่ียนเรยี นรู้ ระหว่างผู้ให้การนิเทศกับผู้สอน เพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในการจดั การเรียนรู้ ซึง่ มหี ลกั การดงั ตอ่ ไปนี้ 1) มีการยอมรับและให้เกียรติ และไว้วางใจซ่ึงกันและกันระหว่างผู้ให้การนิเทศ และผู้รบั การนิเทศ 2) มีความเข้าใจว่าการนิเทศเป็นการทางานร่วมกันเพื่อช่วยพัฒนาครูให้มีความรู้ ความสามารถในการจดั การเรยี นรสู้ ูงข้นึ 3) มีการแลกเปลี่ยนเรยี นร้ทู งั้ ความรู้ ประสบการณ์ และความสาเร็จ 4) มงุ่ เนน้ การพัฒนาสมรรถนะการจดั การเรียนรอู้ ยา่ งตอ่ เน่อื ง 5) ดาเนนิ การนิเทศอยา่ งเปน็ ระบบและนาผลไปใชใ้ นการปรับปรุงและพฒั นา การนิเทศการจัดการเรียนรู้มียุทธศาสตร์หลัก 2 ประการ คือ การมีส่วนร่วม (participation) และความเปน็ ระบบ (systematic) 1) การมสี ว่ นร่วม หมายถงึ การทางานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศที่มี การแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน การถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ การให้ข้อเสนอแนะต่อการ ปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์ ให้เกียรติและจริงใจต่อกัน ซึ่งการมีส่วนร่วม มี แนวทางการปฏิบัติดังน้ี 1) การสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน 2) การสร้างวิสัยทัศน์ร่วมในการจัดการ เรยี นรู้ 3) การเคารพและใหเ้ กยี รติซง่ึ กันและกัน 2) ความเป็นระบบ หมายถึง การดาเนินการนิเทศการจัดการเรียนรู้โดยมีข้ันตอน การดาเนินการอย่างเป็นระบบท่ีชัดเจน ได้แก่ การวางแผนการนิเทศ การดาเนินการนิเทศ การ ประเมนิ ผลการนิเทศ และการปรับปรงุ และพัฒนา
20 บทบาทของผู้บริหารในการนิเทศ ผู้บริหารเป็นหัวใจของการนิเทศการจัดการเรียนรู้ซึ่งถ้าการนิเทศดาเนินไปอย่างมี คุณภาพย่อมส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของการจัดการเรียนรู้ และส่งผลทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ดว้ ยเหตุน้ีผูบ้ ริหารจงึ มีบทบาทในการนิเทศการจดั การเรียนรู้ ดงั นี้ 1) ส่งเสริมและจัดให้มีการนิเทศการจัดการเรียนรู้ภายในสถานศึกษา โดยมุ่งเน้น การนิเทศเพ่อื การปรับปรุงและพัฒนาและความร่วมมือของบุคลากรทุกฝ่ายรวมท้ังผู้เกี่ยวข้องกับการ จัดการศกึ ษาในชุมชนและทอ้ งถิ่น 2) ส่งเสริมการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาช่วยการ ดาเนนิ การนิเทศการจดั การเรียนรู้ 3) ส่งเสริมการนาผลการนิเทศมาปรับปรุงและพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการ เรียนรขู้ องผ้สู อนรายบุคคลดว้ ยวิธกี ารท่ีหลากหลาย มีประสทิ ธภิ าพ และสร้างสรรค์ 4) สง่ เสริมใหม้ กี ารประเมินผลการนิเทศการจัดการเรียนรู้ เพื่อนาสารสนเทศจาก การประเมนิ มาปรับปรงุ และพัฒนาระบบการนเิ ทศการจัดการเรียนรูข้ องสถานศกึ ษา 5) ส่งเสริมขวัญและกาลังใจในการพัฒนาตนเองด้านการจัดการเรียนรู้อย่าง ต่อเนอื่ ง ตลอดจนให้แนวคดิ และข้อเสนอแนะในการปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนรู้กับผู้สอน รายบุคคล บทบาทของคณะกรรมการดาเนนิ การนเิ ทศ 1) กาหนดนโยบายการนเิ ทศการจัดการเรียนรู้ของสถานศึกษา 2) สง่ เสริมใหค้ รูมีความรู้ความเขา้ ใจในการนเิ ทศการจัดการเรยี นรู้ 3) รว่ มประชมุ วางแผนการดาเนนิ การนิเทศการจดั การเรียนรู้ 4) สนับสนุนด้านงบประมาณ วัสดุ อปุ กรณ์ 5) กระตุ้นใหค้ รเู หน็ ความสาคัญและเกิดการเรียนรจู้ ากกระบวนการนิเทศ 6) ปฏบิ ัติการนิเทศตามแผนการนิเทศการจดั การเรยี นรขู้ องสถานศกึ ษา 7) เปดิ โอกาสการมสี ่วนรว่ มและการประเมนิ ตนเองของครู 8) ประเมินและปรับปรุงระบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้ บทบาทของครผู ู้รับการนเิ ทศ 1) รว่ มกิจกรรมการนิเทศการจดั การเรยี นรู้ดว้ ยใจท่ีเปิดกว้าง 2) นาผลการนิเทศไปใช้ในการพัฒนาการจัดการเรยี นรู้ 3) ให้ขอ้ มูลท่เี กี่ยวขอ้ งกบั การจดั การเรยี นร้แู ละเป็นประโยชนต์ อ่ ผู้นิเทศ 4) มสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมการประเมนิ ผลการนิเทศการจดั การเรียนรู้ ขั้นตอนการนิเทศการจดั การเรียนรู้ 1) การวิเคราะห์ความต้องการจาเป็นของการนิเทศการจัดการเรียนรู้ เป็นการ วเิ คราะหท์ ม่ี จี ดุ มุง่ หมายเพื่อทราบสภาพปัจจุบนั ปญั หา รวมท้งั ความตอ้ งการต่างๆ ที่เก่ียวข้องกับการ จดั การเรียนรู้ ซึง่ จะนาไปส่กู ารวางแผนการนิเทศการจัดการเรยี นรู้ท่สี อดคล้องกบั กบั สภาพปญั หาและ ความต้องการได้รับการนิเทศ โดยท่ีการดาเนินการสามารถทาได้หลายวิธี เช่น การสอบถาม การ
21 สังเกตพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ การสัมภาษณ์ผู้สอน การศึกษาผลการประเมินคุณภาพการจัด การศึกษา เป็นต้น 2) การวางแผนการนเิ ทศ เปน็ การนาผลการวิเคราะห์ความต้องการจาเป็นของการ นเิ ทศการจัดการเรยี นรู้ มากาหนดวัตถปุ ระสงคก์ ารนิเทศ กิจกรรมการนิเทศ ช่วงเวลาการนิเทศ ผู้ให้ การนิเทศ ผู้รับการนิเทศ และการประเมินผลการนิเทศ อย่างเป็นระบบ โดยความร่วมมือกันของ ผู้บริหาร ผู้สอน และผู้เกี่ยวข้อง และนาไปสู่การเขียนโครงการนิเทศการจัดการเรียนรู้ภายใน สถานศกึ ษา 3) การเตรียมการนิเทศ เป็นการวางแผนการนิเทศตามกิจกรรมที่กาหนดใน โครงการนิเทศการจัดการเรียนรู้ภายในสถานศึกษา การเตรียมการนิเทศท่ีดีจะส่งผลทาให้การ ปฏิบตั กิ ารนิเทศประสบความสาเรจ็ บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ 4) การปฏบิ ตั กิ ารนเิ ทศ เปน็ การดาเนนิ กิจกรรมการนเิ ทศ ตามแผนการนิเทศซึ่งใน การปฏิบัตกิ ารนิเทศภายในโรงเรยี น ผู้บรหิ ารโรงเรยี นหรือผู้นเิ ทศนาหลกั การนเิ ทศ เทคนิค ทักษะ สื่อ กจิ กรรม และเคร่ืองมือนเิ ทศไปใช้ใหเ้ หมาะสมกับสถานการณและครูผู้รบั การนเิ ทศ 5) การประเมินผลและการรายงานผลการนิเทศ เม่ือปฏิบัติการนิเทศแล้ว ควรมี การประเมินผลการนเิ ทศวา่ เปน็ ไปตามวัตถุประสงค์หรอื ไม่ อย่างไร มีปัญหาหรอื ขอ้ จากดั ในการนิเทศ หรือไม่ และมีประเด็นท่ีต้องปรับปรุงแก้ไขการนิเทศอะไรบ้าง อย่างไรก็ตามถ้าการนิเทศประสบ ความสาเร็จตามวัตถุประสงค์ ควรวิเคราะห์ปัจจัยท่ีเอ้ือต่อความสาเร็จ เพื่อเก็บไว้เป็นองค์ความรู้ใน การนิเทศ การจัดการเรียนรู้ นอกจากน้ียังควรมีการรายงานผลการนิเทศ โดยครอบคลุมประเด็นที่ สาคญั ได้แก่ ชื่อผู้นเิ ทศ ชื่อผู้รับการนิเทศ วันเดือนปีที่นิเทศ กิจกรรมการนิเทศ เน้ือหาสาระท่ีนิเทศ การประเมนิ ผลผู้รับการนเิ ทศ แนวทางการปรบั ปรุงและพฒั นาผู้สอนทส่ี ืบเนือ่ งจากการนิเทศ 2. ระบบพ่เี ล้ยี ง พ่เี ล้ียงเปน็ ระบบความสัมพนั ธร์ ะหว่างบุคลากรที่มีประสบการณ์มากกว่ากับบุคลากร ท่มี ปี ระสบการณ์น้อย โดยพีเ่ ลยี้ งหรือผทู้ ม่ี ีประสบการณ์สูงกวา่ จะทาหนา้ ทใี่ นการให้คาปรึกษาแนะนา และสนบั สนนุ การพัฒนาศักยภาพในการทางานให้กับบคุ ลากรทีม่ ปี ระสบการณ์น้อยกว่า ระบบพี่เล้ียง มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้และผู้เรียนมีผลการเรียนรู้ที่ดีข้ึน สามารถจาแนก ออกเป็น 3 ดา้ น ดังนี้ 1) การทาให้เห็นความท้าทายในการทางาน ได้แก่ การแนะนาให้รู้จักระบบงาน ใหม่ การแนะนาให้ทราบวัฒนธรรมองค์กร การแนะนาให้เข้าใจหลักสูตร การเรียนรู้ และการ ประเมนิ ผล การแนะนาใหเ้ ข้าใจในความเป็นวชิ าชีพ 2) การพัฒนาให้เกิดการพัฒนาการปฏิบัติงานในวิชาชีพ ได้แก่ การพัฒนา ประสทิ ธภิ าพการจัดการเรียนรู้ กลยุทธ์การจัดการเรียนรู้ การพัฒนาให้เกิดภาวะผู้นาและทักษะการ จดั การ 3) การพัฒนาโรงเรียนสู่ความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ ได้แก่ การ พฒั นาใหเ้ กดิ การเรยี นรตู้ ลอดชวี ิต คณุ ลักษณะของพ่เี ลีย้ ง
22 1) การสร้างสัมพันธภาพท่ีดี (Interpersonal Skills) เป็นคุณลักษณะที่สาคัญ อย่างแรกของผทู้ ่จี ะเปน็ พ่ีเลีย้ ง เพราะการมสี ัมพนั ธภาพที่ดีต่อกันจะเป็นปัจจัยให้เกิดการรับฟังความ คิดเหน็ ข้อเสนอแนะ และนาไปสกู่ ารเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมการจัดการเรยี นรทู้ ่ดี ีขึ้น 2) การมีบารมีทางวิชาการ (Influence Skills) เป็นปัจจัยท่ีทาให้ข้อเสนอแนะ ความคิดเห็นต่างๆ ของพ่ีเล้ียง มีความหนักแน่น เชื่อถือได้ว่าเป็นส่ิงท่ีถูกต้อง พี่เล้ียงที่มีบารมีทาง วิชาการเปน็ ผูท้ ่มี ีความรแู้ ละประสบการณส์ งู จะทาให้เกิดการพัฒนาอย่างรวดเรว็ 3) การใหก้ ารยอมรับและยินดกี ับความสาเรจ็ ในการทางานของผู้อน่ื (Recognized other’s accomplishment) การแสดงความยินดี การช่ืนชม การให้กาลังใจในการพัฒนาต่อยอด ส่ิง นจ้ี ะทาใหผ้ ทู้ ่ีรับการนิเทศเกิดกาลงั ใจในการพฒั นาการจัดการเรียนรอู้ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง 4) การมีทกั ษะของการกากับดูแลท่ีดี (Supervisory Skills) เป็นทักษะท่ีสาคัญท่ีพี่ เล้ียงจะคอยกระตุ้นและชักจูงใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลง รวมท้ังการประคับประคองให้ครูจัดการ เรยี นรอู้ ย่างมีประสิทธภิ าพต่อเนื่อง 5) มคี วามรู้ประสบการณ์ในสายวิชาชพี หรือสายงานของตน (Technical Knowledge) ซ่งึ สง่ ผลทาใหก้ ารใหข้ ้อเสนอแนะ คาแนะนาตา่ งๆ ตง้ั อยู่บนพนื้ ฐานทางวิชาการ และ ประสบการณต์ รงทสี่ ามารถนาไปประยกุ ตใ์ ช้ได้จริง บทบาทของพี่เลย้ี ง 1) มองภาพรวมสิ่งท่ีจะเกิดขึ้นในระยะยาว 2) เพ่ิมศักยภาพในการทางานควบคกู่ บั วัฒนธรรมองคก์ ร 3) วิเคราะหจ์ ุดออ่ น จุดแข็งและพัฒนาจุดแข็งใหด้ ยี ่งิ ข้ึน 4) มที กั ษะการฟงั ตั้งใจฟงั ไดเ้ นอ้ื หาสาระ ใสใ่ จฟัง ฟงั แลว้ คิดตาม 5) ฟังแล้วถามเพื่อให้คิดต่อและพัฒนาเติบโตเป็นอิสระทางานได้ในอนาคต 6) มบี ทบาทชว่ ยให้บคุ คลแกไ้ ขปญั หาไดด้ ้วยตนเอง 7) มีทัศนคติที่ดี ตั้งใจท่ีจะช่วยเหลือและให้เกิดผลลักษณะท่ีดี เสียสละและอุทิศ ตนท่ีจะดแู ลชว่ ยเหลอื 8) การจัดการระบบพ่เี ล้ยี งทเ่ี ปน็ ทางการและไมเ่ ป็นทางการ 9) มุ่งเน้นกลุม่ คนเก่งที่จะต้องดูแลรักษาและพัฒนาในลักษณะการบริหารจัดการ คนเก่ง (Talent management) 10) มีประสบการณ์ความสาเร็จในการทางาน ใส่ใจ มีเวลาท่ีจะเข้ามาดูแล ชว่ ยเหลือ 11) มีการให้และมกี ารรบั ในลักษณะการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 12) ทางานเชงิ รุก (proactive) มคี วามรักท่จี ะให้ ตง้ั ใจทจี่ ะชว่ ยเหลอื 3. การสอนงาน ความหมายของการสอนงาน การสอนงาน หมายถึง การท่ีผู้สอนงานให้ความรู้ความเข้าใจในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง ตลอดจนฝึกทักษะการปฏิบัติงานให้กับผู้ที่ได้รับการสอนงานด้วยวิธีการท่ีหลากหลายสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ของการสอนงาน โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้ผู้ท่ีได้รับการสอนงานมีความรู้ ทักษะ ความ
23 ชานาญ ความเช่ียวชาญในการปฏิบัติงาน ตลอดจนเจตคติที่ดีต่อการปฏิบัติงาน การสอนงานมี ความสาคัญมากในการพัฒนาบุคลากรให้มีสมรรถนะและคุณลักษณะเป็นไปตามท่ีองค์กรต้องการ เพราะทาให้บุคลากรเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ืองในระยะเวลาอันรวดเร็ว (Sweeney, 2011) องคป์ ระกอบของการสอนงาน 1) มลี ักษณะเปน็ กระบวนการทปี่ ระกอบดว้ ยการวางแผน การดาเนนิ การ และการ ประเมินผล 2) มีเป้าหมายหลัก 3 ด้าน ได้แก่ การแก้ปัญหาในการจัดการเรียนรู้ การพัฒนา ความรู้ ทักษะ และความสามารถในการจัดการเรียนรู้ และการประยุกต์ใช้ความรู้ในการดาเนินการ จัดการเรียนรู้ 3) มปี ฏิสมั พันธ์ มีการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้สอนงานและผู้รับการสอนงาน อาจ เปน็ ลกั ษณะรายบคุ คลหรอื กล่มุ เลก็ และดาเนนิ การอย่างตอ่ เน่ือง 4) มีการเสริมพลงั (empowerment) ให้กับผู้รับการสอนงานให้มีความเชื่อมั่นใน ตนเองว่าสามารถเรยี นร้แู ละพัฒนาไดอ้ ยา่ งตอ่ เนื่อง มีสิทธิและศักด์ิศรใี นความเปน็ มนษุ ย์ หลกั การสอนงาน 1) การสร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจ (trust and rapport) การสอนงาน เกี่ยวข้องกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้การสอนงานและผู้รับการสอนงาน ไม่ว่าจะเป็นการสอนงาน รายบุคคลหรือกลุ่มก็ตาม ด้วยเหตุน้ีความเชื่อถือและความไว้วางใจของผู้รับการสอนงานที่มีต่อผู้ให้ การสอนงานจึงเป็นปัจจัยสาคัญลาดับแรกที่มีส่วนสาคัญท่ีทาให้การสอนงานดาเนินไปด้วยความ เรียบร้อย มีประสทิ ธภิ าพ และประสบความสาเร็จ 2) การเสริมพลัง (empowerment) การสอนงานเป็นกระบวนการท่ีทาให้ผู้สอน ค้นพบพลังท่ีมีอยู่ในตนเอง เป้าหมายประการหนึ่งของการสอนงาน คือ การทาให้ผู้รับการสอนงาน สามารถพฒั นาการจัดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง สามารถกากับตนเองได้ ซ่ึงในระยะแรกผู้ให้การสอน งาน จะให้การช่วยเหลือ ชี้แนะ อย่างใกล้ชิด จนกระท่ังผู้รับการสอนงานค้นพบความสามารถของ ตนเอง เปน็ การช่วยค้นหาพลังท่ซี ่อนอยใู่ นตัวผรู้ บั การสอนงาน แล้วชี้แนะให้สามารถพัฒนาตนเองได้ อย่างต่อเน่อื ง 3) การทางานอย่างเป็นระบบ (systematic approach) การดาเนินการสอนงาน มีขั้นตอนการดาเนินการอย่างเป็นระบบ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของการสอนงาน มีการวางแผนการสอน งาน การดาเนินการสอนงาน และการประเมินผลการสอนงาน รวมท้ังการนาผลการสอนงานมา ปรับปรงุ และพฒั นาประสิทธิภาพของการสอนงานดว้ ย 4) การพัฒนาที่ต่อเนอื่ ง (ongoing development) การสอนงานเน้นกระบวนการ เรียนรู้และพฒั นาบุคลากรอยา่ งต่อเน่ือง ไมว่ า่ จะเปน็ ความรู้ ทักษะ ความสามารถตลอดจนเจตคติที่ดี ต่อการปฏบิ ตั งิ าน 5) การมีจดุ เนน้ (focusing) การสอนงานทด่ี ีจะต้องมีวตั ถุประสงค์และจดุ เน้นในสิ่ง ทต่ี ้องการพัฒนาทีช่ ัดเจน ซงึ่ สามารถเปน็ ได้ท้งั ด้านความรู้ ทักษะ เทคนิควิธีการที่จะทาให้การจัดการ เรยี นรู้มีประสทิ ธภิ าพ
24 6) การเชื่อมโยงกับการปฏิบัติงานจริง (onsite coaching) การสอนงานท่ีดีต้อง เช่ือมโยงกับการปฏิบัติงานจริงของผู้สอน ผู้ที่ให้การสอนงานควรให้คาช้ีแนะหรือการสอนงานอย่าง เป็นรูปธรรม เชื่อมโยงความรู้เชิงทฤษฎีกับบริบทการปฏิบัติงานจริงจนผู้รับการสอนงานเกิดความ เข้าใจที่ชัดเจนจนสามารถนาความรู้และทักษะท่ีได้รับจากการสอนงาน ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ใน ชั้นเรียนได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ 7) การทบทวนและสะท้อนผลการสอนงาน(after action review and reflection) เป็นการประเมินผลและทบทวนการดาเนินการสอนงานว่าบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ อยา่ งไร เพือ่ นาผลการประเมินมาปรับปรุงและพฒั นาการสอนงานอยา่ งต่อเนอ่ื ง ประเภทการสอนงาน 1) การสอนงานเพ่ือการเปลี่ยนแปลงคุณภาพทั้งโรงเรียน (change coach) เป็น การสอนงานท่ีมีจุดเน้นการพัฒนาภาวะผู้นาของผู้สอนเพ่ือนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงคุณภาพท้ัง สถานศกึ ษา (whole – school improvement) มงุ่ พฒั นาใหผ้ ู้สอนมีความเชื่อมั่นและใช้กลยุทธ์การ จัดการเรยี นรใู้ ห้สอดคล้องกบั ธรรมชาตขิ องผู้เรียน ผู้สอนงานเพ่ือการเปล่ียนแปลงจะไม่เน้นการสอน งานการจดั การเรียนรู้ในแต่ละรายวิชาหรอื ระดับช้นั แบบแยกส่วน แต่จะสอนงานในภาพรวมมากกว่า แตกต่างจากผ้สู อนงานดา้ นการจัดการเรียนรู้ การสอนงานเพอ่ื การเปล่ียนแปลงคุณภาพท้ังโรงเรียนมี กิจกรรมที่สาคัญ ซง่ึ ผสู้ อนงานควรปฏิบตั ิ ดังน้ี 1.1) ส่งเสริมการประเมินผลคุณภาพผู้เรียนและนาผล การประเมินมาวางแผนพฒั นา 1.2) กระตนุ้ ผ้สู อนให้มีภาวะผู้นาในการจดั การเรียนรู้และความเช่ือม่ัน ในตนเอง 1.3) กระต้นุ ผสู้ อนใหม้ ีจิตสานกึ ความรับผดิ ชอบในการจดั การเรียนรู้ 1.4) พัฒนาผู้สอนให้มี ทักษะและความสามารถในการประเมนิ และสะท้อนตนเอง และ1.5) พัฒนาผู้สอนให้มีทักษะการวาง แผนการเรยี นรูแ้ ละการบริหารจดั การเวลา 2) การสอนงานเพื่อการจัดการเรียนรู้ในแต่ละรายวิชา (content coach) มุ่งเน้น การสอนงานเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ในแต่ละรายวิชาที่มีความเฉพาะเจาะจงมากกว่าการสอนงาน เพอ่ื การเปลย่ี นแปลง เช่น การสอนงานดา้ นการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของครูช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 เปน็ ต้น การสอนงานเพอ่ื การจดั การเรียนรนู้ ี้มีจุดมุง่ หมายเพ่ือพฒั นาประสทิ ธภิ าพการจัดการเรียนรู้ ของผสู้ อนเป็นสาคญั ซ่ึงจะตอ้ งสอนลงลกึ ไปในรายละเอียดของเนือ้ หาสาระที่สอน และเทคนิควิธีการ สอน ซ่ึงแต่ละรายวิชาจะมีธรรมชาตกิ ารเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นผู้สอนงานเพ่ือการจัดการเรียนรู้จึง ตอ้ งมีความรใู้ นเนอ้ื หาสาระทถี่ ูกต้องแม่นยา การสอนงานเพือ่ การจดั การเรียนรู้มีกิจกรรมท่ีผู้สอนงาน ควรปฏิบัติ ได้แก่ 2.1) มีส่วนร่วมในการวางแผนและการดาเนินการการจัดการเรียนรู้ 2.2) สอนให้ เกิดการพัฒนากลยุทธ์ การจัดการเรียนรู้อย่างเฉพาะเจาะจง 2.3) สอนให้พัฒนาส่ือการเรียนรู้ ตลอดจนการใชแ้ หลง่ การเรียนรู้ 2.4) สอนงานให้ครใู หม่พฒั นาวิธกี ารวางแผนการจัดการเรียนรู้ 2.5) กระตนุ้ ใหเ้ กดิ การแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง 2.6) สังเกตกระบวนการจัดการ เรยี นรแู้ ละใหผ้ ลยอ้ นกลบั เพอ่ื การพัฒนา และ2.7) สาธิตการจัดการเรียนรู้ในบางหัวข้อท่จี าเป็น ภารกจิ และทกั ษะการสอนงาน การสอนงานมีภารกิจและทกั ษะท่จี าเป็นดงั ต่อไปนี้
25 1) การสร้างและรักษาสัมพนั ธภาพในการสอนงานระหว่างผู้สอนงานและผู้รับการ สอนงาน ใหก้ ารสอนงาน ให้ขอ้ เสนอแนะ ใหแ้ นวทางการปฏิบัติท่ีสอดคล้องกับความหลากหลายทาง วัฒนธรรมของผรู้ ับการสอนงาน 2) การสรา้ งพนั ธะสัญญาร่วมกนั ระหว่างผู้ใหก้ ารสอนงานและผรู้ บั การสอนงาน ว่า จะร่วมกนั พฒั นาความร้คู วามสามารถในการปฏบิ ัติงานอยา่ งต่อเน่ือง 3) การประเมนิ ผลเป็นภารกจิ ทส่ี าคญั ในการตรวจสอบการบรรลุวัตถุประสงค์ ของ การสอนงาน โดยใชว้ ธิ ีการทหี่ ลากหลายและยดื หย่นุ ยึดหลกั การมสี ่วนร่วมในการประเมินตนเองของ ผูร้ ับการสอนงาน นาผลการประเมนิ ไปใช้ในการปรับปรุงและพฒั นา 4) การวางแผนการพฒั นา เปน็ ภารกิจแรกทผ่ี ใู้ ห้การสอนงานและผรู้ บั การสอนงาน จะตอ้ งดาเนินการร่วมกัน โดยกาหนดวัตถุประสงค์ของการสอนงาน ประเด็นหรือขอบเขตที่จะสอน งาน ไม่วา่ จะเป็นดา้ นความรู้ ทักษะ หรือด้านเจตคติ 5) การอานวยความสะดวกในการพัฒนาและการเปล่ียนแปลง เป็นบทบาทหน้าท่ี ของผู้ให้การสอนงานท่ีจะต้องปฏิบัติต่อผู้รับการสอนงานด้วยการส่งเสริม สนับสนุนให้ข้อเสนอแนะ แนวปฏิบตั ทิ เ่ี ป็นประโยชนต์ ่อผูร้ ับการสอนงาน คุณลกั ษณะของผสู้ อนงาน 1) มคี วามร้ใู นเรื่องทตี่ นเองจะต้องสอนงาน ซงึ่ เป็นความรูท้ ถ่ี กู ตอ้ ง ทันสมัย เช่น มี ความรใู้ นเนือ้ หาสาระ (content) การวางแผนการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้การสร้างส่ือ การ ประเมนิ ผลการเรียนรู้ เปน็ ต้น 2) มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ท้ังในรูปแบบท่ีเป็นทางการ และไม่เป็น ทางการ เช่น การสอนตัวต่อตัว การสอนกลุ่มเล็ก การเล่าประสบการณ์ที่ตนเองเคยประสบ เป็นต้น ซ่ึงการถ่ายทอดความรู้เป็นคุณลักษณะท่ีสาคัญของผู้สอนงานท่ีจะทาให้ผู้รับการสอนงานมีความรู้ ความเข้าใจในการปฏบิ ตั ิงานสูงขึ้น 3) มีความสามารถในการประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อตรวจสอบว่าผู้รับการสอนงาน เกิดการเรียนรู้และพัฒนาเป็นอย่างไร เลือกใช้วิธีการและเคร่ืองมือประเมินท่ีมีความหลากหลาย สอดคลอ้ งกับส่งิ ท่ตี อ้ งการประเมนิ มคี วามสามารถในการสรุปและรายงานผล รวมทั้งการให้ข้อเสนอ เพือ่ การปรบั ปรงุ และพฒั นาทตี่ ้ังอยู่บนพื้นฐานผลการประเมนิ 4) มีความใจกว้างและยืดหยุ่น เป็นคุณสมบัติที่สาคัญอย่างหนึ่งของผู้สอนงาน ความมใี จกวา้ งจะทาให้เปน็ คนทีเ่ ปิดรับฟงั ความคิดเห็นของบคุ คลอื่นท่ีแตกต่างจากตนเอง พร้อมท่ีจะ ปรับเปล่ยี นวธิ กี ารสอนงานหรอื แนวคดิ ตา่ งๆ เป็นปจั จยั เอื้อให้ผู้รับการสอนงานรู้สึกถึงความมีศักด์ิศรี ส่วนการยืดหย่นุ เปน็ ผลสืบเนอื่ งมาจากความมีใจกว้าง ซ่ึงคนที่มีความยืดหยุ่นจะสามารถปรับเปลี่ยน แนวคดิ และวธิ กี ารสอนงานได้สอดคล้องกบั ธรรมชาตแิ ละความตอ้ งการของผู้รบั การสอนงาน 5) เปน็ บคุ คลที่เรยี นรแู้ ละพฒั นาตนเองอย่างต่อเนอ่ื ง ซง่ึ จะทาให้ผู้สอนก้าวทันองค์ ความรู้และนวัตกรรมนาไปสู่การสอนงานที่มีประสิทธิภาพ ผู้รับการสอนงานเห็นคุณค่าและ ความสาคัญของผสู้ อนงานทาใหม้ ีนวัตกรรมการปฏบิ ตั ิงานอย่างตอ่ เนือ่ ง กระบวนการสอนงาน
26 การสอนงานเป็นการดาเนินการท่ีเป็นข้ันตอนและมีความเป็นระบบ ประกอบด้วย ขน้ั ตอนหลัก 4 ขั้นตอนดงั น้ี 1) การเตรยี มการสอนงาน เป็นการสงั เกตสงั เกตพฤติกรรมเพื่อค้นหาจุดอ่อน และ จุดแข็งของบุคลากรท่ีจะได้รับการสอนงาน ซึ่งหัวหน้างานสามารถนาผลท่ีได้จากการประเมินมาใช้ ประกอบรว่ มกบั ขอ้ มลู จากการสังเกตพฤติกรรมการปฏบิ ตั งิ านของครู เพือ่ ให้ม่นั ใจวา่ อะไรเปน็ จุดอ่อน ทค่ี รูควรไดร้ ับการพัฒนา อะไรคือจุดแข็งท่คี วรสง่ เสรมิ ให้ดยี ่ิงขึน้ 2) การกาหนดแผนการสอนงานรว่ มกนั ระหว่างผ้สู อนงานและผู้รับการสอนงาน ที่ มลี ักษณะเปน็ แผนการพฒั นาสว่ นบุคคล โดยระบุวัตถปุ ระสงค์และเป้าหมายของการสอนงาน ซึ่งผู้ให้ การสอนงานตอ้ งสรา้ งความเขา้ ใจใหก้ ับผูร้ ับการสอนงานใหเ้ ห็นความสาคัญของการพัฒนาตนเองเพ่ือ การปฏิบัติงานท่ีมีประสิทธิภาพหรืองานที่ท้าทายมากข้ึน ข้ันตอนน้ีมุ่งเน้นการกระตุ้นและสร้างแรง บันดาลใจใหบ้ ุคลากรต้องการพัฒนาและเปลย่ี นแปลงตนเอง 3) การดาเนินการสอนงาน เป็นการปฏิบัติการสอนงานตามแผนที่กาหนดไว้ โดย ผู้สอนงานจะทาหนา้ ทใี่ ห้ความรู้ คาชแ้ี นะ คาแนะนา และการให้ผลย้อนกลับ (feedback) ท้ังในด้าน พฤตกิ รรมและผลการปฏิบัตงิ านทงั้ ในดา้ นทด่ี แี ละดา้ นทคี่ วรปรับปรุง เพ่ือนาไปปรบั ปรุงตนเอง 4) การติดตามและประเมินผล เป็นการตรวจสอบและประเมินการบรรลุ วัตถุประสงค์ของการสอนงานเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสม ซ่ึงการติดตามและประเมินผลทาได้ หลายวธิ ี เชน่ การสังเกตพฤตกิ รรมการทางาน การสัมภาษณ์ การพดู คยุ เปน็ ต้น 4. การจัดการความรู้ ความหมายของการจัดการความรู้ การจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) หมายถึง กระบวนการ แสวงหา การรวบรวม การสรา้ ง รวมทั้งการประมวลขอ้ มลู สารสนเทศ ความคดิ การกระทา ตลอดจน ประสบการณ์ของบุคคล เพ่ือสร้างเป็นความรู้ หรือนวัตกรรม รวมท้ังการจัดเก็บความรู้ที่สามารถ เข้าถึงโดยอาศัยช่องทางต่าง ๆ ท่ีองค์กรจัดเตรียมไว้เพื่อนาความรู้ท่ีมีอยู่ไปประยุกต์ใช้ในการ ปฏิบัติงาน ซ่ึงก่อให้เกิดการแบ่งปันและถ่ายโอนความรู้ซึ่งในที่สุดความรู้ท่ีมีอยู่จะแพร่กระจายและ ไหลเวียนท่ัวทั้งองค์กรอย่างสมดุลเพื่อความสามารถในการพัฒนาผลผลิตและพัฒนาองค์กรให้มี ความสามารถในการแข่งขันได้ ข้ันตอนการจดั การควมรู้ การจดั การความรู้มี 4 ขน้ั ตอน ท่มี ลี ักษณะเป็นวงจร (cycle) ดงั น้ี 1) การสร้างความรู้หรือการพัฒนาความรู้ (Knowledge Creation & Acquisition) เป็นขนั้ ตอนของการพฒั นาและการสร้างความรใู้ หม่ 2) การกระจายความรู้ (Knowledge Distribution) เป็นการเผยแพร่องค์ความรู้ ให้บรกิ ารความรูไ้ ปสูบ่ ุคลากรในสถานศึกษา และเป็นการพัฒนาบุคลากรให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ทีม่ ีความสามารถโดยการใช้เครื่องมือในการสืบค้นสารสนเทศทางความรู้จากฐานข้อมูลที่จัดเก็บแล้ว กระจายสู่หน่วยงานต่างๆ เพ่ือการใช้งานการเผยแพร่สารสนเทศให้คนในองค์กร สามารถเข้าถึง ความรู้ในองค์กรได้
27 3) การประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ (Knowledge Application) เป็นกระบวนการนาความรู้ ท่มี ีอยใู่ นสถานศึกษาไปใช้ในการปฏิบัติงานเพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร มีลักษณะเป็นวงจร ของการพัฒนาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง 4) การจัดระบบความรู้และการจัดเก็บความรู้ (Knowledge Organization & Storage) เป็นข้ันตอนของการประมวลและจัดระบบฐานขอ้ มลู สือ่ อิเล็กทรอนกิ ส์ โดยอาศัยเทคโนโลยี สารสนเทศมาช่วยในการสังเคราะห์และจัดเก็บข้อมูลความรู้และจัดการให้เกิดเป็นการบริการผ่าน ระบบเครอื ขา่ ยเทคโนโลยีสารสนเทศแกบ่ ุคลากรในองคก์ ร 5. ชุมชนการเรียนรู้เชงิ วิชาชีพ ความหมายของชมุ ชนการเรียนรเู้ ชงิ วชิ าชพี ชุมชนการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) เป็น การผสมผสานแนวคิด 2 ประการ ได้แก่ ความเป็นมืออาชีพ (professional) และชุมชนการเรียนรู้ (learning community) หมายถงึ การรวมกล่มุ กันของบุคคลผู้ประกอบวิชาชีพครู โดยมีจุดมุ่งหมาย เพือ่ พฒั นาสมรรถนะเชงิ วิชาชพี และคุณภาพของผู้เรยี นร่วมกัน ผา่ นกระบวนการเรียนรรู้ ว่ มมอื ร่วมใจ (collaborative learning) การเรียนรู้ประสบการณ์การปฏิบัติงานในพื้นท่ี (field) และการ แลกเปล่ียนเรียนรู้ (sharing learning) อย่างต่อเนื่อง จุดเน้นของชุมชนการเรียนรู้เชิงวิชาชีพครู คือ การเรียนรู้ร่วมกันท่ีเป็นมากกว่าการแลกเปล่ียนวิธีสอน (focus on learning rather than on teaching) การทางานร่วมกัน (work collaborative) และ ความรับผิดชอบต่อตนเอง (self - accountable) มีลกั ษณะชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพของสถานศึกษา ดังนี้ 1) องค์กรเล็กและมี คุณภาพ (small) 2) มีองค์ความรู้ (smart) 3) มีน้าใจ ยิ้มแย้ม แจ่มใส (smile) 4) มีความร่วมมือ ไร้ความขัดแย้ง (smooth) 5) การดาเนินงานเรียบง่าย มีประสิทธิภาพ (simplicity) บุคลากรเกิด ความผกู พันกับองค์กรโดยมกี ารพัฒนาบุคลากรท่ีสอดคล้องกนั ตามลาดับความสาคัญของภารกิจ การ พัฒนาภาวะผู้นากับผู้บริหารการทุ่มเทการส่ือสารค่านิยมขององค์กรกับพันธะกิจให้บุคลากรเข้าใจ ตรงกัน องค์ความรู้ที่เกิดจากการจัดการเรียนรู้ในช้ันเรียนของครูแต่ละคนจะถูกนามาจัดการความรู้ อย่างเปน็ ระบบ และนามาแลกเปล่ียนเรยี นรู้ซง่ึ กนั และกันอยา่ งตอ่ เนือ่ ง โดยอาศัยกระบวนการจัดการ ความรู้ ช่วยทาให้ครูมีความรู้ในเน้ือหา และเทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ ส่งผลทาให้สามารถจัดการ เรียนรไู้ ด้อย่างมีประสทิ ธผิ ล เกิดการปรบั ปรงุ และพัฒนาอย่างตอ่ เน่ือง องคป์ ระกอบของชมุ ชนการเรยี นรเู้ ชิงวชิ าชพี การพฒั นาสถานศึกษาใหเ้ ป็นชมุ ชนการเรียนรู้เชิงวิชาชีพมีองค์ประกอบ 5 ประการ ดงั น้ี 1) การแลกเปล่ียนคุณค่าและวิสัยทัศน์ (shared values and vision) หมายถึง การแลกเปล่ยี นแบ่งปนั และกาหนดวิสัยทัศน์การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ตลอดจนการมีพันธะสัญญา ร่วมกันระหวา่ งครแู ละผ้บู ริหารในการยกระดับคณุ ภาพการจดั การศึกษา 2) วัฒนธรรมความร่วมมือร่วมใจ (collaborative culture) หมายถึง พันธะ สัญญาเกยี่ วกับ ความร่วมมอื รว่ มใจของครทู ุกคน รวมทงั้ ผู้บริหาร สาหรับการดาเนนิ กจิ กรรมต่างๆ ใน ชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้เชิงวิชาชพี โดยมเี ปา้ หมายเดียวกัน มีความรับผิดชอบร่วมกันเกี่ยวกับการเรียนรู้ ของผู้เรยี น
28 3) มุ่งเน้นการตรวจสอบและปรับปรุงผลการเรียนรู้ของผู้เรียน (focus on examining outcomes to improve student learning) หมายถึง การให้ความสาคัญกับผลลัพธ์ การเรยี นรู้ของผู้เรียน (learning outcomes) โดยการประเมนิ ผลการเรียนรู้ และนาขอ้ มูลสารสนเทศ จากการประเมนิ มาวางแผนและดาเนินการพัฒนาคณุ ภาพของผเู้ รียนอยา่ งตอ่ เน่ือง ซึ่งครแู ละผบู้ รหิ าร ต้องมีความรับผิดชอบต่อผลการตรวจสอบดังกล่าวซ่ึงถือวา่ เป็นความรบั ผิดชอบร่วมกัน 4) การสนับสนุนและแลกเปล่ียนภาวะผู้นา (supportive and shared leadership) หมายถึง การให้การสนับสนุนการดาเนินการของชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ รวมท้ังการให้ครูทุกๆ คน เป็นผู้นาในการตัดสินใจ บนพื้นฐานความเท่าเทียมกัน และ ข้อมูล สารสนเทศ บทบาทภาวะผู้นา มีจุดเน้นท่ีการกระตุ้นให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันให้มากที่สุด เพ่อื ใหช้ มุ ชนแหง่ การเรียนรเู้ ชิงวชิ าชพี นัน้ บรรลุเปา้ หมายคือคุณภาพของผ้เู รียน 5) การแลกเปล่ียนประสบการณ์การปฏิบัติส่วนบุคคล (shared personal practice) หมายถึง การนาความรูแ้ ละประสบการณ์ทไี่ ด้รบั จากการจัดการเรียนรู้ในช้ันเรียน จากการ ประเมินตนเอง การสังเกตการจัดการเรียนรู้ของเพื่อนครู และผลการประเมินต่างๆ เช่น ทักษะการ เรียนรู้ของผเู้ รียนมาแลกเปล่ียนเรียนรู้กับเพ่ือนครูในชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ ซึ่งการแบ่งปัน ประสบการณ์ การปฏิบัติส่วนบุคคลน้ีจะช่วยทาให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาความเป็นมืออาชีพ (professional) อย่างตอ่ เน่อื งและยั่งยืน 6. การประเมนิ หลกั สตู ร ความหมายของการประเมนิ หลกั สตู ร การประเมินหลักสูตร หมายถึง การพิจารณาเกี่ยวกับคุณค่าของหลักสูตรโดยใช้ ข้อมูลสารสนเทศต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องมาประกอบการตัดสินใจให้คุณค่าว่าหลักสูตรมีคุณภาพดีหรือไม่ อย่างไร เพื่อนาไปสู่การปรับปรุงแก้ไข การพัฒนา หรือการยุติหลักสูตร (มารุต พัฒผล, 2555; Daimond, 2006) การประเมินหลักสูตรมีความสาคัญสาหรับการตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรหลาย แงม่ ุม เช่น ความเหมาะสมของเอกสารหลกั สูตรกบั การเปลยี่ นแปลงของสังคมในปัจจุบัน คุณภาพการ จัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การบริหารจัดการหลักสูตร การควบคุมคุณภาพ หลกั สูตร ตลอดจนการวิจัยหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ ดังนั้นการประเมินหลักสูตรจึงเป็นปัจจัย ช้ีนาว่าหลักสูตรที่ใช้อยู่นั้นควรปรับปรุงแก้ไขในประเด็นใด อย่างไร การประเมินหลักสูตรช่วยบ่งชี้ ระดับคณุ ภาพ และความสาเร็จของการใชห้ ลักสตู ร เปน็ สว่ นหน่ึงของกระบวนการพฒั นาหลกั สูตรให้มี คุณภาพโดยการประเมินหลักสูตรจะช่วยให้มีข้อมูล สารสนเทศ เพ่ือการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หลักสูตรให้มีความเหมาะสม ทันสมัยมากขึ้น ส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียนและบัณฑิตจากการนาผล การประเมนิ ไปใชจ้ ริง การประเมินหลักสูตรมีจุดมุ่งหมายหลายประการคือ 1) เพ่ือตรวจสอบว่าเอกสาร หลกั สตู ร ได้แก่ หลักการ จุดหมาย โครงสร้าง เนือ้ หา การจดั การเรยี นรู้ สื่อ การวัดและประเมินผลว่า มีความสอดคล้องกันหรือไม่ 2) เพ่ือตรวจสอบว่าการนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติหรือกระบวนการใช้ หลกั สตู รมีประสทิ ธิภาพ สอดคลอ้ งกบั หลักการและวัตถุประสงค์หรือไม่ 3) เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนมี คุณภาพตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ 4) เพ่ือตรวจสอบว่าหลักสูตรสามารถตอบสนองความต้องการ ของผู้เรียน และสังคมหรือไม่เพียงใด ในการประเมินหลักสูตรแบ่งเป็น 3 ช่วงระยะเวลาได้แก่ การ
29 ประเมินกอ่ นการใช้หลักสูตร การประเมินระหวา่ งการใชห้ ลกั สูตรและการประเมินหลังการใช้หลักสูตร ผู้วจิ ยั ขอกลา่ วถึงสาระสาคัญเพ่อื เป็นแนวทางในการประเมินหลกั สตู รดังน้ี 1) การประเมนิ ก่อนการนาหลักสูตรไปปฏบิ ัติ เป็นการประเมินหลังจากไดว้ างแผน พัฒนาหลักสูตรแล้ว เพ่ือตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรฉบับร่าง โดยการพิจารณาองค์ประกอบต่างๆ ของหลกั สตู ร เชน่ เอกสารหลกั สูตร เนอ้ื หาสาระการเรียนรู้ และการประเมินผลโดยผู้เช่ียวชาญหลาย ฝ่าย 2) การประเมินระหว่างการนาหลักสูตรไปปฏิบัติ เป็นการประเมินเพื่อตรวจสอบ คุณภาพของหลักสูตรระหว่างการใช้หลักสูตร โดยการพิจารณาว่า หลักสูตร การเรียนรู้และการวัด ประเมินผลที่ปฏบิ ตั ิอย่นู น้ั เปน็ อย่างไร การเรยี นร้แู ละการวัดประเมนิ ผลสอดคล้องกับเอกสารหลักสูตร หรือไม่ มีปญั หาอปุ สรรคอะไร และควรปรับปรงุ แก้ไขให้ดขี ึน้ โดยวธิ กี ารใด 3) การประเมินหลงั การใช้หลกั สูตร เป็นการประเมนิ ทีด่ าเนินการภายหลังเสร็จส้ิน การใชห้ ลักสตู ร โดยการพิจารณาประสิทธิภาพในการวางแผนหลักสูตรกระบวนการทาหลักสูตรไปใช้ การเรยี นรู้ การวดั ประเมินผล รวมท้ังผลผลติ ที่เกดิ ขึ้นจากการใชห้ ลักสูตร โดยใช้เครื่องมือสาหรับการ เกบ็ รวบรวมข้อมูลเกยี่ วกับผลการเรียนรขู้ องผู้เรียน ความคิดเห็นของผู้เกีย่ วขอ้ งทุกฝา่ ย กระบวนการประเมินหลักสูตร กระบวนการประเมินหลกั สตู รทัง้ ระบบ มีดงั น้ี 1) การกาหนดวัตถุประสงค์ของการประเมินหลักสูตร ว่าการดาเนินการประเมิน หลกั สูตรท่จี ะดาเนนิ การน้ัน มีเป้าประสงค์เพอื่ อะไร เช่น เพอ่ื การปรับปรุงหลักสูตรให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับบริบทของสงั คม และมาตรฐานการศกึ ษา เปน็ ตน้ 2) การกาหนดรูปแบบการประเมินหลักสูตร เป็นการเลือกใช้ หรือประยุกต์ใช้ รปู แบบการประเมนิ หลักสูตรต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วในหัวข้อท่ี 7 ให้ตอบสนองเป้าประสงค์ของการ ประเมนิ หลกั สูตร ซงึ่ การกาหนดรูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ดีควรนาไปสู่การตอบคาถามของการ ประเมนิ หลกั สตู รได้ครอบคลุม ถกู ต้อง และชัดเจน 3) การวางแผนการประเมินหลักสูตร การประเมินหลักสูตรจะมีความถูกต้องก็ ตอ่ เม่อื มีการวางแผนการประเมนิ ทเ่ี ปน็ ระบบชัดเจน ทั้งมติ กิ ารประเมิน ประเด็นการประเมิน คาถาม การประเมนิ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือ และแหล่งข้อมูล การวางแผนการประเมินหลักสูตร เป็นกระบวนการ ที่มีความสาคัญมาก อาจต้องใช้ข้อมูลอย่างหลากหลายทั้งข้อมูลเชิงปริมาณ และ ข้อมูลเชงิ คณุ ภาพ 4) การสร้างเคร่ืองมือเก็บรวบรวมข้อมูลสาหรับการประเมินหลักสูตร เป็นการ สร้างเครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ตามท่ีกาหนดไว้ในพิมพ์เขียวการประเมินหลักสูตร เช่น แบบวเิ คราะหเ์ อกสาร แบบสอบถาม แบบสารวจ แบบสัมภาษณ์ เปน็ ต้น 5) การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นการดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลที่สาหรับการ ประเมินหลักสตู ร โดยใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพ เช่น การตรวจสอบเอกสาร การสารวจ การสัมภาษณ์ เปน็ ตน้ มีการบันทึกผลการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ทั้งข้อมูลเชิงปริมาณ และข้อมูลเชิงคุณภาพท่ีครบถ้วน สมบรู ณ์
30 6) การวิเคราะหข์ อ้ มูล เปน็ การนาข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาดาเนินการวิเคราะห์ทาง สถิติ เช่น ค่าเฉลี่ย ความถ่ี ร้อยละ เป็นต้น รวมทั้งการวิเคราะห์เนื้อหา ในกรณีท่ีเป็นข้อมูลเชิง คุณภาพ โดยมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลดิบก่อนดาเนินการวิเคราะห์ โดยที่การวิเคราะห์ ขอ้ มูลในขั้นตอนน้ี มุ่งหาข้อสรุปของข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมมาได้จานวนมาก โดยยังไม่มีการลงสรุปผล การประเมินหลกั สูตร 7) การลงสรุปผลการประเมินและให้ข้อเสนอแนะ เป็นการนาข้อสรุปของการ วิเคราะห์ข้อมูลไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์การประเมินหลักสูตรท่ีกาหนดไว้ ถ้าผลการเปรียบเทียบ ปรากฏว่าเป็นไปตามเกณฑ์ น่ันหมายความว่าผ่านเกณฑ์การประเมิน แต่ถ้าผลการเปรียบเทียบไม่ เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กาหนด แสดงว่าไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินจะต้องมีการปรับปรุงให้มี คณุ ภาพมากขึน้ 8) การรายงานผลการประเมินหลักสตู ร เป็นการส่อื สารผลการประเมินหลักสูตรไป ยงั ผู้มสี ว่ นเกีย่ วข้องทกุ ฝา่ ย เช่น ผบู้ ริหาร ผู้สอน ชุมชน ผู้ปกครอง ผู้เรียน เป็นต้น เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกบั คุณภาพของหลักสูตรในประเดน็ ต่างๆ ตรงกัน และนาไปสกู่ ารปรบั ปรงุ และพัฒนา หลกั สตู รให้มคี ณุ ภาพมากย่งิ ขนึ้ จากสาระสาคญั ขององคป์ ระกอบของการบริหารจัดการหลักสูตรที่ส่งผลต่อคุณภาพการใช้ หลกั สูตรและการจัดการเรียนการสอนที่กล่าวข้างต้น เป็นบทบาทหน้าท่ีสาคัญของผู้บริหาร และผู้ที่ เกย่ี วข้องกบั การพัฒนาหลักสูตรซง่ึ จะสะท้อนถงึ คุณภาพ ประสทิ ธภิ าพ และประสิทธิผลของหลักสูตร เน่ืองจากหลกั สูตรเปน็ หวั ใจสาคัญสาหรับการจัดการศึกษาทุกระดับ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และ พัฒนาในทุกด้าน สอดคล้องตามจุดมุ่งหมายที่พึงประสงค์ ซึ่งหลักสูตรที่ดีควรสนองตอบต่อความ ต้องการของสงั คม 2. แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั รูปแบบการประเมินหลกั สตู ร 2.1 ความหมายของการประเมินหลักสูตร การประเมินหลักสูตร หมายถึง กระบวนการรวบรวมข้อมูลสารสนเทศตลอดจน กิจกรรมต่างๆเกี่ยวกับหลักสูตรเพื่อนามาตัดสินค่าหรือคุณภาพของหลักสูตรน้ัน อย่างไรก็ตามมี นักวิชาการหลายท่านทใี่ ห้ความหมายของการประเมินหลักสูตรไว้ค่อนข้างเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ว่า การประเมินหลักสูตร หมายถงึ การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะหข์ ้อมูลเพอื่ จะดวู ่ากระบวนการการ จดั กิจกรรมหลักสูตรและการสอนได้ดาเนินไปว่ามีประสิทธิผล มีคุณค่าตามเป้าหมาย หรือมีคุณภาพ ตามมาตรฐานท่ีกาหนดไว้หรอื ไม่เพียงใดเพอ่ื นามาตดั สนิ ใจวางแผนในกจิ กรรมต่าง ๆ ในหลักสูตรให้ดี ข้ึน (Cronbach, 1970, Stufflebeam. et al., 1971, Good, 1973, วิชัย วงษ์ใหญ่, 2554, มารุต พฒั ผล, 2558) การประเมินหลักสูตรเป็นขั้นตอนหนึ่งท่ีสาคัญของการทางานด้านหลักสูตรเม่ือมีการใช้ หลักสูตรทุกครั้งจาเป็นต้องมีการประเมินหลักสูตรเพื่อให้ทราบว่าการทางานด้านหลักสูตรนั้นได้ผล ตามความมุ่งหมายที่กาหนดไว้เพียงใด มีปัญหาหรืออุปสรรคใดบ้างจะได้แก้ไข ปรับปรุงและพัฒนา ต่อไป 2.2 จดุ มุ่งหมายของการประเมนิ หลักสูตร
31 การประเมินหลักสูตรจะต้องครอบคลุมขั้นตอนของการพัฒนาหลักสูตรฉะนั้นการ ประเมินหลักสูตรจึงมีขอบเขตของการประเมินท่ีกว้าง แต่ละขั้นตอนมีจุดมุ่งหมายท่ีแตกต่างกัน แต่ สว่ นใหญ่แลว้ จะมจี ดุ มงุ่ หมายของการประเมนิ ใกล้เคียงกนั ซงึ่ มีนกั การศกึ ษาได้เสนอแนวคิดไว้ ดงั น้ี วชิ ยั วงษ์ใหญ่ (2537: 218) ได้กล่าวถงึ จุดมุ่งหมายของการประเมนิ หลกั สตู รไว้ 3 ประการคือ 1) เพื่อหาคุณค่าของหลักสูตร โดยตรวจสอบว่าหลักสูตรที่พัฒนาข้ึนมานั้นบรรลุตาม วตั ถุประสงคห์ รือไม่ 2) เพอื่ วัดผลดูว่าการวางเค้าโครงและรปู แบบระบบของหลักสตู ร รวมท้ังวัสดุประกอบ หลกั สูตร และการบรหิ ารและบริการหลักสตู ร เปน็ ไปในทางท่ถี กู ตอ้ งหรือไม่ 3) การประเมนิ จากผูเ้ รียนเอง หรือการประเมินผลผลิตเพ่ือตรวจสอบดูว่ามีลักษณะที่ พงึ ประสงค์ เป็นไปตามจดุ มุ่งหมายของหลักสตู รหรือไมเ่ พยี งใด ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539: 192) ได้กล่าวว่า การประเมินหลักสูตรใดๆ ก็ตามจะมี จดุ มุ่งหมายสาคัญที่คลา้ ยคลึงกันดังน้ี 1) เพื่อหาทางปรับปรงุ แก้ไขส่งิ บกพรอ่ งท่พี บในองค์ประกอบตา่ งๆของหลกั สตู ร 2) เพื่อหาทางปรบั ปรงุ แกไ้ ขระบบการบริหารหลักสูตร การนิเทศกากับดูแล และการ จดั กระบวนการเรียนการสอนใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพยิง่ ขน้ึ 3) เพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารว่าควรใช้หลักสูตรต่อไปอีก หรือควรยกเลิก การใชห้ ลักสตู รเพยี งบางส่วน หรอื ยกเลกิ ท้งั หมด 4) เพ่ือต้องการทราบคุณภาพของผู้เรียนซึ่งเป็นผลผลิตของหลักสูตรว่ามีการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามความมุ่งหวังของหลักสูตรหลังจากผ่านกระบวนการทางการศึกษา มาแล้วหรือไม่ อยา่ งไร สนุ ยี ์ ภู่พันธ์ุ (2546: 250) ไดก้ ล่าวถึงจดุ มงุ่ หมายของการประเมินหลกั สูตรไวด้ ังนี้ 1) เพ่ือหาคุณค่าของหลักสูตรนั้น โดยดูว่าหลักสูตรนั้นสามารถสนองวัตถุประสงค์ท่ี หลกั สูตรนนั้ ตอ้ งการหรือไม่ สนองความต้องการของผ้เู รียน และ สงั คมอย่างไร 2) เพ่อื อธิบายและพิจารณาลักษณะของส่วนประกอบต่างๆ ของหลักสูตรในแง่ต่างๆ เชน่ หลกั การ จุดม่งุ หมาย เนอ้ื หาสาระ การเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนการสอน ส่ือการเรียนการสอน และการวดั ผลว่าสอดคล้องกันหรือไม่ 3) เพอ่ื ตัดสนิ วา่ หลักสูตรมคี ุณภาพดีหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับการนาไปใช้ 4) เพ่ือตัดสินว่า การบริหารงานด้านวิชาการและการบริหารด้านหลักสูตรเป็นไปใน ทิศทางท่ถี กู ต้องหรือไม่ 5) เพอ่ื ตดิ ตามผลผลิตจากหลักสูตร คือ ผู้เรียนมีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมหลังจาก การผ่านกระบวนการทางการศกึ ษามาแลว้ ตามหลกั สูตรว่าเป็นไปตามความมงุ่ หวังหรอื ไม่ 6) เพื่อหาทางปรับปรงุ แกไ้ ขสงิ่ บกพรอ่ งทพ่ี บในองคป์ ระกอบตา่ งๆในหลกั สูตร 7) เพอ่ื ช่วยในการตัดสนิ ว่าควรใชห้ ลกั สูตรตอ่ ไปหรือไม่ หรือควรปรับปรุงพัฒนาในส่ิง ใดสิ่งหน่งึ หรือเพอื่ ยกเลิกการใชห้ ลกั สูตรนน้ั ท้ังหมด
32 จากแนวคิดดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปจุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตร ได้ 3 ประการคอื เพ่ือปรับปรงุ แกไ้ ขสงิ่ ตา่ งๆที่พบในองค์ประกอบของหลักสูตร ระบบการบริหารหลักสูตร การนิเทศกากับดูแล การจัดกระบวนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน เพื่อหาคุณค่าของ หลกั สูตรดวู า่ หลักสูตรที่จดั ทาขน้ึ นน้ั สนองวัตถุประสงค์ที่หลักสูตรน้ันต้องการหรือไม่ และช่วยในการ ตัดสินว่าควรใช้หลักสูตรต่อไปอีก หรือควรยกเลิกการใช้หลักสูตรเพียงบางส่วน หรือยกเลิกท้ังหมด และเพ่ือติดตามผลผลิตจากหลักสูตร คือ ผู้เรียนมีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมหลังจากการผ่าน กระบวนการทางการศกึ ษามาแล้วตามหลักสตู รวา่ เปน็ ไปตามความมงุ่ หวังหรอื ไม่ 2.3 ระยะเวลาของการประเมินหลกั สูตร การประเมินหลักสูตรควรมีการดาเนินเป็นระยะๆทั้งน้ีเนื่องจากข้อบกพร่องหรือ ข้อผิดพลาดของหลักสูตรอาจมสี าเหตมุ าจากหลายปจั จัยและในระยะตา่ งกนั เช่น อาจมีสาเหตุมาจาก ตอนจดั ทา หรือยกร่างหลักสูตรซึ่งทาให้ตัวหลักสูตรไม่มีคุณภาพที่ดี หรือไม่สอดคล้องกับปัญหาและ ความต้องการของผู้เรียน และสังคมที่เปลี่ยนไป หรืออาจมีสาเหตุมาจากตอนนาหลักสูตรไปใช้ การ ประเมินหลักสูตรท่ีดีจึงต้องตรวจสอบเป็นระยะเพ่ือลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้น โดยท่ัวไปจะแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 การประเมนิ หลักสูตรก่อนนาหลกั สูตรไปใช้ ในช่วงระหว่างท่ีมีการสร้างหรือพัฒนาหลักสูตรอาจมีการดาเนินการตรวจสอบทุก ข้นั ตอนของการจัดทา นับแต่การกาหนดจุดมุ่งหมายไปจนถึงการกาหนดการวัดและประเมินผลการ เรียน เม่ือสร้างหลักสูตรฉบับร่าง เสร็จแล้ว ก่อนจะนาหลักสูตรไปใช้จริง จึงควรมีการประเมิน ตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรฉบับร่างและองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตร การประเมินหลักสูตร ในระยะน้ีต้องอาศัยความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านพัฒนาหลักสูตร ทางด้านเน้ือหา ทางด้าน วิชาชีพครู ทางดา้ นการวัดผล เปน็ ตน้ ระยะที่ 2 การประเมนิ หลักสูตรระหว่างการดาเนินการใชห้ ลกั สูตร ในขณะท่ีมีการดาเนินการใช้หลักสูตรท่ีจัดทาขึ้นควรมีการประเมินเพื่อตรวจสอบว่า หลักสูตรสามารถนาไปใช้ได้ดีเพียงใดจะได้แก้ไขปรับปรุงให้เหมาะสม เช่น ประเมินกระบวนการใช้ หลักสูตรในด้านการบริหารการจัดการหลักสูตร การนิเทศกากับดูแล และการจัดกระบวนการเรียน การสอน ระยะท่ี 3 การประเมินหลักสูตรหลังการใช้หลักสูตร หลังจากทม่ี กี ารใช้หลักสตู รมาแลว้ ระยะหนึง่ หรือครบกระบวนการเรียบร้อยแล้วควรจะ ประเมินหลักสูตรทั้งระบบ ซึ่งได้แก่ การประเมินองค์ประกอบด้านต่างๆของหลักสูตรท้ังหมด คือ เอกสารหลักสูตร วสั ดหุ ลักสตู ร บคุ ลากรท่เี กย่ี วขอ้ งกบั การใชห้ ลักสูตร การบรหิ ารหลักสูตร การนิเทศ กากับติดตาม การจัดกระบวนการเรยี นการสอน ฯลฯ เพอ่ื สรุปผลตดั สนิ ว่าหลักสูตรท่ีจัดทาขึ้นนั้นควร จะดาเนินการใชต้ อ่ ไป หรือควรปรับปรุงแกไ้ ขให้ดีข้นึ หรือควรจะยกเลกิ จากแนวคิดดังกล่าวสรุปได้ว่าระยะเวลาในการประเมินหลักสูตร มีความจาเป็นทั้ง 3 ระยะ คอื ก่อนนาหลักสูตรไปใช้ ระหว่างการนาหลักสูตรไปใช้ และหลังการใชห้ ลักสตู ร 2.4 เกณฑ์ในการประเมนิ หลักสตู ร
33 เนื่องจากการประเมินหลักสูตรเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนมาก ผู้ทาหน้าที่ ประเมินผล จาเป็นต้องยึดหลักการที่สาคัญในการประเมินผลเพ่ือที่จะทาให้การประเมินผลเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลจากการประเมินหลักสูตรท่ีมีคุณค่าเพียงพอที่จะนาไปเป็นข้อมูลในการ พัฒนาหลักสูตรได้จริง เป็นข้อมูลหรือหลักฐานท่ีเช่ือถือได้สูง มีความเที่ยงตรง เราจะพบว่าในการ ประเมินหลกั สูตรผลจากการประเมนิ หลายต่อหลายเร่ืองมิไดถ้ ูกนาไปใชก้ ็ดว้ ยเหตุผลดังกล่าว ท้ัง ๆ ท่ี การประเมินผลหลักสูตรแต่ละครั้งเป็นงานใหญ่ต้องลงทุนลงแรงสูงเพราะฉะน้ันในการประเมิน หลักสูตรเพ่ือให้ได้ผลการประเมินท่ีมีคุณค่าเราจึงมีหลักเกณฑ์ท่ีจะช่วยในการประเมินดังน้ี (สุนีย์ ภู่พนั ธ์, 2546: 254) 1) มจี ดุ ประสงค์ในการประเมินที่แน่นอน การประเมินผลหลักสตู รจะตอ้ งกาหนดลงไป ใหแ้ นน่ อนชัดเจนวา่ จะประเมนิ อะไร 2) มีการจะวดั ที่เชื่อถือได้ โดยมีเคร่ืองมอื และเกณฑ์การวดั ซ่ึงเปน็ ทย่ี อมรบั 3) ข้อมูลเป็นส่งิ ที่จาเปน็ อยา่ งยิ่งสาหรับการประเมินผล ดังน้นั ขอ้ มูลจะต้องได้มาอย่าง ถกู ต้องและเช่ือถือได้ และมากพอทีจ่ ะใช้เปน็ ตัวประเมินคา่ หลกั สตู รได้ 4) มีขอบเขตที่แน่นอนชัดเจนว่าเรอื่ งตอ้ งการประเมินในเรื่องใดแค่ไหน 5) ประเดน็ ของเรอื่ งท่ีประเมนิ อยูใ่ นช่วงเวลาทีน่ า่ สนใจ 6) การรวบรวมข้อมูลมาเพ่ือกาหนดกฎเกณฑ์ และกาหนดเครือ่ งมือในการประเมินผล จะตอ้ งพจิ ารณาอย่างรอบคอบ 7) การวิเคราะห์ผลการประเมินต้องทาอย่างระมัดระวังรอบคอบ และให้มีความ เท่ียงตรงในการพจิ ารณา 8) การประเมินผลหลกั สตู รควรใช้วธิ หี ลาย ๆ วิธี 9) มีเอกภาพในการตดั สินผลการประเมิน 10) ผลต่าง ๆ ที่ได้จากการประเมินควรนาไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตรท้ังในด้านการ ปรับปรุง เปลีย่ นแปลงในโอกาสตอ่ ไป เพอ่ื ใหไ้ ด้หลกั สูตรท่ีดีและมีคณุ ค่าสงู สุดตามท่ีตอ้ งการ 11) ต้องถอื ปฏิบัติตอ่ เนื่องตลอดเวลา ทั้งน้ีวิชัย วงษ์ใหญ่ (2554: 139-141) และPhiDelta Kappa National Study Committee on Evaluation (อ้างถงึ ใน รุจิร์ ภสู่ าระ, 2546: 150-152) มีความคิดเห็นสอดคล้องกัน ว่า ผลการประเมินหลักสูตรจะมีความเชื่อถือเพียงใด อยู่ที่เกณฑ์สาหรับการใช้พิจารณาตัดสิน การ ประเมินหลักสูตรของคณะกรรมการประเมินหลักสูตรเลือกใช้ได้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการ ประเมนิ เกณฑท์ ่ใี ชพ้ ิจารณาสาหรบั การประเมินหลกั สตู ร มดี ังน้ี 1) ความเที่ยงตรงภายใน (Internal validity) หมายถึง การออกแบการประเมินเพ่ือ การเก็บรวบรวมข้อมูลทาให้ได้ข้อมูลตรงตามวัตถุประสงค์ท่ีประเมินผลของการประเมินตรงตาม ปรากฏการณ์เปน็ ตวั แทนภายในขอบขา่ ยของการพิจารณาอย่างถูกตอ้ งและเป็นจริง 2) ความเที่ยงตรงภายนอก (External validity) หมายถึง ผลการประเมินหลักสูตรท่ี ได้ สามารถนาไปอ้างองิ สรุปไดก้ ว้างขวางเพยี งใดเกยี่ วกับเรือ่ งเวลา สิง่ แวดลอ้ ม ภูมิภาค และบุคคล ที่ มสี ภาพความคล้ายคลึงกบั กลุม่ ทปี่ ระเมิน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 474
Pages: