Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๔

ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๔

Description: ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๔

Search

Read the Text Version

ตำนานวงั หนา้ ๗๓ ทพ่ี ระวมิ านองคเ์ หนอื คอื พระทน่ี ง่ั พรหมเมศรธาดา และกรมพระราชวงั บวรพระองคน์ น้ั เสดจ็ สวรรคต ในพระวิมานองค์กลาง เหตุทั้ง ๒ อย่างนี้ ขัดกับจะเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิกรมพระราชวังบวร มหาสรุ สงิ หนาท สว่ นพระวมิ านองคใ์ ต้ คอื พระทน่ี ง่ั วสนั ตพมิ านนน้ั กป็ รากฏวา่ เปน็ ทเ่ี ฉลมิ พระราชมนเทยี ร ครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวบวรราชาภิเษกขัดกับเป็นที่ไว้พระอัฐิอีก พระอัฐิกรมพระราชวัง บวร ฯ รัชกาลที่ ๒ เดิมประดิษฐานอยู่ในพระราชวังหลวง พึ่งเชิญขึ้นไปไว้วังหน้าเมื่อรัชกาลที่ ๔ ดังนี้ หรือพระอัฐิกรมพระราชวังบวรรัชกาลที่ ๑ เดิมพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจะโปรด ให้เชิญมาไว้ด้วยกันกับพระอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกที่ในพระราชวังหลวง จะพึ่งเชิญกลับขึ้นไป ประดิษฐานไว้วังหน้าเมื่อรัชกาลที่ ๓ หรือรัชกาลที่ ๔ ดอกกระมัง ถ้าจะเชิญไปแต่รัชกาลที่ ๓ ก็มีเหตุอันสมควรเพราะกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ได้ทรงปฏิสังขรณ์พระราชมนเทียรสถาน ในวงั หนา้ ใหค้ นื ดอี ยา่ งเกา่ อกี ประการ ๑ เปน็ พระราชบตุ รเขยของกรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สงิ หนาทดว้ ย ขอ้ นข้ี อใหผ้ ศู้ กึ ษาสำเนยี กดเู ถดิ ส่วนการพระเมรุแต่นั้นก็เลยเป็นประเพณี เวลามีงานพระเมรุท้องสนามหลวงจึงเชิญพระบรม สารรี กิ ธาตอุ อกสมโภชกอ่ นงานพระศพสบื มาจนรชั กาลหลงั ๆ วงั หนา้ ในกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ตอนท่ี ๒ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทสวรรคตแล้ว ๓ ปี ถึงปีขาล พ.ศ.๒๓๔๙ กรมพระราชวังหลัง ทิวงคต พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงพระราชทานอุปราชาภิเษกแก่สมเด็จพระเจ้า ลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร คือพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยให้เป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ความปรากฏในพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าครั้งนั้นคณุ เสอื * กราบทูลว่าพระราชวังบวร ฯ ร้างไม่มีเจ้าของ ทรุดโทรมยับเยินไป เหย้าเรือนข้างในก็ ว่างเปล่ามาก ขอพระราชทานให้เชิญเสด็จกรมพระราชวังบวร ฯ พระองค์ใหม่ขึ้นไปทรงครอบครองจึงจะ สมควร พระบาทสมเดจ็ ฯพระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกดำรสั วา่ \"ไปอยบู่ า้ นชอ่ งของเขาทำไม เขารกั แตล่ กู เตา้ * คุณเสือนี้ ชื่อเจ้าจอมแว่น เป็นบาทบริจาริกามาแต่ยังไม่ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ครั้นเสด็จผ่านพิภพ ได้รับราชการ ในหน้าที่ราชูปฐาก จึงได้เป็นพระสนมเอก เป็นผู้มีอุปการะแก่พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาแต่ก่อน ที่เรียกว่า คุณเสือเห็นจะเป็นด้วยพระเจ้าลูกเธอพระองค์น้อย ๆ เวลาเสด็จขึ้นไปเฝ้าอยู่ในความดูแลของเจ้าจอมแว่น ถูกว่ากล่าวรบกวน เห็นว่าดุจึง เรยี กวา่ \"คณุ เสอื \" จงึ เลยเปน็ นามทเ่ี รยี กกนั อยา่ งนน้ั ทว่ั ไป

๗๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ของเขา เขาแช่งเขาชักไว้เป็นนักเป็นหนา\" และมีรับสั่งว่า พระองค์ก็ทรงพระชรามากอยู่แล้ว กรมพระราชวงั บวร ฯ พระองคใ์ หมอ่ ยา่ ตอ้ งเสดจ็ ไปอยพู่ ระราชวงั บวร ฯ เลย คอยเสดจ็ อยพู่ ระบรมมหาราชวงั ทีเดียวเถิด อย่าต้องประดักประเดิดยักแล้วย้ายเล่าเลย เมื่อทำพระราชพิธีอุปราชาภิเษกแล้ว จึงโปรดให้ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั เสดจ็ คงประทบั อยทู่ พ่ี ระราชวงั เดมิ * ที่ใตว้ ดั อรณุ ราชวราราม ตอ่ มาจนสน้ิ รชั กาลท่ี ๑ ตรงนี้จะต้องกล่าวถึงเรื่องพระราชพิธีอุปราชาภิเษกพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ให้พิสดารสักหน่อย ด้วยเกี่ยวเนื่องถึงตำนานวังหน้าในรัชกาลหลัง ๆ ต่อไป คือ เมื่อแรกสร้างกรุง รัตนโกสินทร์นั้น แบบตำราราชประเพณีสำหรับราชการครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นอันตรายหายสูญไปเสีย เมอ่ื กรงุ เสยี แมก้ ารพระราชพธิ ปี ราบดาภเิ ษกพระบาทสมเดจ็ ฯ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก กต็ อ้ งทำแตพ่ อ เป็นสังเขป ส่วนพระราชพิธีอุปราชาภิเษกกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ก็ต้องทำแต่อย่างสังเขป เหมือนกัน ลักษณะการพระราชพิธีอุปราชาภิเษกครั้งนั้น ถึงไม่มีจดหมายเหตุปรากฏก็มีหลักในทาง สันนิษฐาน พอคาดได้ไม่ห่างไกลว่าทำอย่างไร เพราะเนื่องด้วยพระราชพิธีเฉลิมพระราชมนเทียร ในพระราชวังบวร ฯ ที่สร้างใหม่ ในเวลานั้นกรมพระราชวังบวร ฯ ประทับอยู่ที่พระนิเวศน์เดิมตรงป้อม พระสุเมรุเดี๋ยวนี้ คงเสด็จโดยกระบวนแห่ทางชลมารค มาทรงสดับพระปริตรที่พระราชมนเทียรใหม่ ในพระราชวังบวร ฯ ๓ วัน ถึงวันพระฤกษ์เสด็จมาสรงอภิเษกในพระราชวังบวร ฯ แล้วเสด็จลงมารับ พระราชทานพระสุพรรณบัฏที่พระราชวังหลวง แล้วจึงเสด็จกลับขึ้นไปเฉลิมพระราชมนเทียร รูปการ พระราชพธิ อี ปุ ราชาภเิ ษกครง้ั แรกคงจะเปน็ เชน่ วา่ มาน้ี ไมผ่ ดิ ไปนกั แบบอย่างพระราชพิธีอุปราชาภิเษกครั้งกรุงศรีอยุธยา ที่พระมหาอุปราชเฉลิมพระราชมนเทียร ที่วังจันทรเกษมด้วย ก็น่าจะเป็นทำนองเดียวกับที่กล่าวมานี้ คือทำการพิธีที่วังหน้า เสด็จไปทรงฟัง สวด ๓ วัน เช้าวันที่ ๔ สรงอภิเษกแล้วเสด็จลงมารับพระราชทานพระสุพรรณบัฏที่พระราชวังหลวง แลว้ จงึ กลบั ไปเฉลมิ พระราชมนเทยี ร สนั นษิ ฐานวา่ จะพง่ึ มามแี บบแปลกขน้ึ เมอ่ื ในแผน่ ดนิ พระเจา้ บรมโกษฐ ครั้งพระราชทานอุปราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ เป็นกรมพระราชวัง บวร ฯ ด้วยเวลานั้นพระเจ้าบรมโกษฐประทับอยู่วังจันทรเกษม เจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ เสด็จอยู่ใน * ที่เรียกว่าพระราชวังเดิม มีบางคนเข้าใจว่า เพราะพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จประทับอยู่ที่นั่นก่อน พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชาธิบายว่า ที่จริงเขาหมายความว่า เป็นพระราชวังครั้งกรุงธนบุรี ปจั จบุ นั เปน็ ทท่ี ำการของกองเรอื ยทุ ธการ

ตำนานวงั หนา้ ๗๕ พระราชวังหลวง (เข้าใจว่าที่ตำหนักสวนกระต่าย) จึงโปรดให้ทำการพิธีอุปราชาภิเษกในพระราชวังหลวง แล้วให้เสด็จประทับอยู่ตำหนักที่เดิมต่อไป ไม่มีพิธีเฉลิมพระราชมนเทียรด้วย ต่อมาในแผ่นดินนั้นเอง เมื่อจะพระราชทานอุปราชาภิเษกแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต ครั้งหลังนี้ เป็นเวลาวังจันทรเกษมว่าง ด้วยพระเจ้าบรมโกษฐเสด็จไปประทับอยู่พระราชวังหลวงแล้ว แต่มีเหตุ อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งไม่พอพระราชหฤทัยจะให้เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตเสด็จไปเฉลิมพระราชมนเทียร ประทับที่วังหน้า และเวลานั้นเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตก็ประทับอยู่ที่ตำหนักสวนกระต่ายในพระราชวังหลวง จึงโปรดให้ทำการพิธีอุปราชาภิเษกในพระราชวังหลวงเป็นครั้งที่ ๒ จัดพระที่นั่งสรรเพ็ชญ์ปราสาทเป็นที่ ทำการพิธี ตั้งพระแท่นสรงในบริเวณพระมหาปราสาทนั้น แล้วจัดทางเดินแห่ ตั้งราชวัติฉัตรเบญจรงค์ รายแต่ตำหนักสวนกระต่ายมาจนถึงบริเวณที่ทำการพิธีอย่างพิธีโสกันต์ใหญ่ ครั้นถึงวันงาน เวลาบ่าย แห่เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตมาทรงฟังสวด ๓ วัน เช้าเสด็จมาเลี้ยงพระแต่ลำพังพระองค์ ถึงวันที่ ๓ เวลาเช้าแห่เสด็จมาสรงอภิเษกแล้ว สันนิษฐานว่าเสด็จเข้าไปรับพระราชทานพระสุพรรณบัฏที่ พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ อันเป็นที่พระเจ้าบรมโกษฐประทับเป็นพระราชมนเทียร แล้วก็แห่เสด็จ กลบั ไปยงั ตำหนกั สวนกระตา่ ย การอปุ ราชาภเิ ษกพระบาทสมเดจ็ ฯ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั เหตกุ ารณเ์ หมอื นกบั อปุ ราชาภเิ ษก เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต ทั้งที่เป็นสมเด็จพระราชโอรส และที่จะไม่โปรดให้เสด็จไปอยู่วังหน้าอย่างเดียวกัน จึงโปรดให้ถ่ายแบบอย่างครั้งการอุปราชาภิเษกเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตมาเป็นตำราในครั้งนี้ ให้ทำพิธีที่ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตั้งพระแท่นมณฑลเหมือนอย่างบรมราชาภิเษก และตั้งพระแท่นสรงที่ชาลา พระมหาปราสาทข้างด้านตะวันออก แต่ต้องแก้ไขที่ผิดกันมีอยู่อย่างหนึ่ง ด้วยเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตประทับอยู่ที่ตำหนักสวนกระต่ายในพระราชวังหลวง แต่พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จประทับอยู่ที่พระราชวังเดิมฟากข้างโน้น จึงปลูกพลับพลาเป็นที่ประทับ ชว่ั คราวขน้ึ ทส่ี วนกหุ ลาบ ในพระบรมมหาราชวงั ดา้ นตะวนั ออก แทนตำหนกั สวนกระตา่ ย ใหเ้ ปน็ ทป่ี ระทบั แรมของพระบาทสมเดจ็ ฯ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ในเวลางานอปุ ราชาภเิ ษก แตง่ ทางแหเ่ สดจ็ จากพลบั พลา สวนกหุ ลาบมาทางถนนรมิ กำแพงพระราชวงั เขา้ ประตสู วุ รรณบรบิ าล๑ ตง้ั ราชวตั ฉิ ตั รเบญจรงคร์ ายตลอดทาง เวลาบ่ายแห่เสด็จมาทรงฟังสวดที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ครั้นเวลาเช้าเสด็จทรงพระเสลี่ยงน้อยมา ๑ ในทำเนียบนามภาค ๑ ว่า นามประตูนี้พบในหมายอุปราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เป็น กรมพระราชวงั บวร ใชว้ ่าประตู “วเิ ศษบรบิ าล” ตอ่ มาเรยี กวา่ “สวุ รรณบรบิ าล” ดว้ ยเหตใุ ดยงั ไมไ่ ดค้ วาม

๗๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เลี้ยงพระ ครั้นถึงฤกษ์วันอาทิตย์ เดือน ๔ ขึ้น ๗ ค่ำ๑ ปีขาล จุลศักราช ๑๑๖๘ พ.ศ. ๒๓๔๙ เวลาเช้าแห่เสด็จมาสรงอภิเษก พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จออกพระราชทาน น้ำมูรธาภิเษก ครั้นเลี้ยงพระแล้วโปรดให้พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จเข้าไปรับ พระราชทานพระสุพรรณบัฏที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เมื่อเสด็จกลับออกมาจึงแห่เสด็จเป็นกระบวน สถลมารคไปถึงท่าตำหนักแพ แล้วมีกระบวนเรือพระที่นั่งดั้งกันตามพระเกียรติยศอย่างพระมหาอุปราช รับเสด็จไปส่งที่พระราชวังเดิม รายการโดยละเอียดของพระราชพิธีอุปราชาภิเษกที่กล่าวมานี้ มีอยู่ใน หนงั สอื พระราชพงศาวดารรชั กาลท่ี ๑ และจดหมายเหตเุ รอ่ื งตง้ั พระบรมวงศานวุ งศ์ พมิ พแ์ ลว้ ทง้ั ๒ เรอ่ื ง เอาเนื้อความมากล่าวไว้ในที่นี้ ด้วยลักษณะการพระราชพิธีอุปราชาภิเษกที่ทำต่อมาถ่ายแบบอย่าง จากครั้งนี้ แต่ต้องแก้ไขตามเหตุการณ์มากบ้างน้อยบ้าง จะปรากฏต่อไปในตำนานวังหน้าในตอนอื่น เมอ่ื อา่ นถงึ ตรงนน้ั จะไดเ้ ขา้ ใจมลู เหตเุ ดมิ ของการทต่ี อ้ งแกไ้ ขนน้ั เมื่อพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระราชทานอุปราชาภิเษกแก่พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดให้สถาปนาพระเกียรติยศสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงเสนานรุ กั ษเ์ ปน็ พระบณั ฑรู นอ้ ย แตก่ ารทท่ี รงสถาปนาพระบณั ฑรู นอ้ ย ไมป่ รากฏวา่ มพี ธิ ี อย่างใด พระนามที่ขานในราชการก็ยังคงขานว่า สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เป็นแต่เติมคำ “พระบณั ฑรู นอ้ ย” ตอ่ เขา้ ขา้ งทา้ ยพระนาม และไมป่ รากฏวา่ มที ำเนยี บขา้ ราชการในทำเนยี บพระบณั ฑรู นอ้ ย อย่างไร ที่ทราบได้เป็นแน่แต่ว่าเวลาบัตรหมายอ้างรับสั่งของพระบัณฑูรน้อยใช้ว่า “มีพระบัณฑูร” เหมอื นอยา่ งกรมพระราชวงั บวรสถานมงคล พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราช อยู่ ๓ ปี ถึงปีมะเส็ง จุลศักราช ๑๑๗๑ พ.ศ. ๒๓๕๒ พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จสวรรคต ระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จผ่านพิภพ จึงโปรดให้สถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราช พระบัณฑูรน้อย เป็นพระมหาอุปราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เวลานั้นที่วังหน้าว่างมา ๗ ปี ทรงระราชดำริว่า เป็นพระราชวังสำหรับพระมหาอุปราชสร้างไว้ใหญ่โต เป็นของสำคัญสำหรับแผ่นดิน หาควรจะทิ้งให้ร้างอยู่ไม่ ควรจะให้พระมหาอุปราชพระองค์ใหม่เสด็จขึ้นไปครอบครองรักษาพระราชวัง บวร ฯ มีคำผู้หลักผู้ใหญ่เล่ากันมาว่า เมื่อทรงพระราชดำริจะให้กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ เสด็ขึ้นไปอยู่วังหน้าครั้งนั้น มีเสียงผู้โต้แย้งอ้างถึงความเก่าที่กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ๑ ตรงกับวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๔๙

ตำนานวงั หนา้ ๗๗ ทรงแช่งสาปไว้ และมีเสียงผู้ที่คิดแก้กล่าวว่า ถ้ากรมพระราชวังบวร ฯ พระองค์ใหมคิดอ่านให้ เกี่ยวดองในพระวงศ์ของกรมพระราชวังบวร ฯ พระองค์แรกไว้แล้ว ก็เห็นจะพ้นพระวาจาที่ทรงสาปนั้น ความอนั นส้ี มดว้ ยพระราชนพิ นธใ์ นพระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงไวว้ า่ เมอ่ื กรมพระราชวงั บวร ฯ ในรัชกาลที่ ๒ เสด็จขึ้นไปประทับอยู่ที่พระราชวังบวร ฯ มีผู้คิดอ่านจะให้อภิเษกกับเจ้าฟ้า พิกุลทอง พระราชธิดาในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท แต่เผอิญเจ้าฟ้าพิกุลทองประชวร สน้ิ พระชนมเ์ สยี จงึ ไดแ้ ตพ่ ระราชธดิ าพระองคอ์ น่ื การอุปราชาภิเษกพระบัณฑูรน้อยเมื่อในรัชกาลที่ ๒ เหตุการณ์ไม่เหมือนครั้งอุปราชาภิเษก พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เพราะเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช และจะเสด็จไปอยู่ พระราชวังบวร ฯ เหตุการณ์ที่แท้เป็นอย่างเดียวกับกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท และเวลานั้น พระบัณฑูรน้อยเสด็จประทับอยู่พระราชนิเวศน์เดิมของพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่ริมอู่กำปั่นตรงหน้าตำหนักแพข้าม ที่เป็นโรงทหารเรือทุกวันนี้* ถ้าแห่เสด็จโดยกระบวนเรือพระที่นั่ง ไปยังพระราชวังบวร ฯ ในการพิธีดูก็จะเป็นการสะดวกดี แต่คงเป็นด้วยพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชประสงค์จะให้เป็นสิริมงคลและเป็นพระเกียรติยศพิเศษแก่สมเด็จ พระอนุชาธิราชพระบัณฑูรน้อย จึงโปรดให้จัดการพระราชพิธีตามแบบอย่างครั้งพระองค์ทรงรับ อุปราชาภิเษก ให้แก้ไขลักษณะการแต่ที่จำเป็น จึงให้ปลูกพลับพลาที่ริมโรงละครข้างด้านตะวันตก วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นที่สนามอยู่หน้าหอสหทัยบัดนี้ เชิญเสด็จพระบัณฑูรน้อยเข้ามา ประทบั แรมอยทู่ พ่ี ลบั พลาในพระบรมมหาราชวงั เวลางานอปุ ราชาภเิ ษก ถงึ เวลาบา่ ยโปรดใหเ้ สดจ็ เขา้ ไป ทรงเครื่องที่พระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ แล้วทรงพระยานุมาศแห่ออกประตูวิเศษไชยศรขี ึ้นไปพระราชวังบวร ฯ สองข้างทางตั้งราชวัติปักฉัตรเบญจรงค์รายตลอด ส่วนที่พระราชวังบวร ฯ นั้น ปรากฏว่าจัดที่ทำพิธี ๒ แห่ง ตั้งพระแท่นมณฑลเหมือนอย่างครั้งอุปราชาภิเษกพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทีพ่ ระที่นั่งสุทธาศวรรย์ ** เป็นที่พระสงฆ์หมู่ใหญ่สวดมนต์แห่ง ๑ ที่ในห้องพระบรรทมที่วิมานองค์กลาง อนั ชอ่ื วา่ พระทน่ี ง่ั วายสุ ถานอมเรศร์ *** จัดเป็นที่พระสงฆ์ฝ่ายสมถะ สวดภาณวารอีกแห่ง ๑ * เมื่อสร้างกำแพงโรงทหารเรือในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดำรัสสั่งให้ทำเป็นกำแพงใบเสมา ไวเ้ ปน็ ทร่ี ะลกึ วา่ เปน็ พระราชนเิ วศนข์ องพระบาทสมเดจ็ ฯ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ยงั ปรากฏอย่จู นทกุ วนั น้ี ** พระทน่ี ง่ั องคน์ ภ้ี ายหลงั เรยี กวา่ พระทน่ี ง่ั พทุ ไธศวรรย์ *** ในหมายรับสั่งเรียกพระที่นั่งพรหมพักตร์ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าพระที่นั่งพรหมพักตร์นั้นเป็นบุษบกอยู่มุขเด็จหน้าพระที่นั่งวายุสถาน อมเรศรอ์ อกมา หาใช่ที่บรรทมไม่

๗๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ การพระราชพธิ ี ตง้ั ตน้ แต่ ณ วนั องั คาร เดอื น ๑๐ แรม ๓ คำ่ ๑ เวลาบา่ ยแหเ่ สดจ็ พระบณั ฑรู นอ้ ย จากพระบรมมหาราชวังขึ้นไปยังพระราชวังบวร ฯ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการทีพ่ ระที่นั่งสุทธาศวรรย์ และทรงศีลแล้ว เสด็จเข้าไปประทับทรงสดับภาณวารในห้องที่พระบรรทมที่พระที่นั่งพรหเมศรังสรรค์ ครั้นพระสงฆ์สวดมนต์จบแห่เสด็จกลับมายังพระบรมมหาราชวัง รุ่งเช้าทรงพระเสลี่ยงเสด็จโดย กระบวนน้อยขึ้นไปเลี้ยงพระที่พระราชวังบวร ฯ ครั้นสวดมนต์ครบ ๓ วัน ถึงวันศุกร์ เดือน ๑๐ แรม ๖ ค่ำ๒ เวลาเช้าพระบัณฑูรน้อยเสด็จโดยกระบวนแห่ขึ้นไปยังพระราชวังบวร ฯ สรงอภิเษกแล้ว เลย้ี งพระ แลว้ แหเ่ สดจ็ ลงมายงั พระบรมมหาราชวงั เขา้ เฝา้ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั รบั พระราชทานพระสพุ รรณบฏั ท่ีพระทน่ี ง่ั อมรนิ ทรวนิ จิ ฉยั ถวายดอกไมธ้ ปู เทยี นแลว้ แหเ่ สดจ็ กลบั ขน้ึ ไป เฉลิมพระราชมนเทียรในพระราชวังบวร ฯ เวลาบ่ายมีสมโภชเวียนเทียนแล้วเป็นเสร็จการ ลักษณะการ พระราชพิธีอุปราชาภิเษกครั้งรัชกาลที่ ๒ ตามที่กล่าวมานี้ เลยเป็นตำราอุปราชาภิเษกใน กรงุ รตั นโกสนิ ทรไ์ ดท้ ำตอ่ มาในรชั กาลท่ี ๓ และท่ี ๕ เปน็ แตแ่ กไ้ ขบา้ งเลก็ นอ้ ย ดงั จะกลา่ วตอ่ ไปขา้ งหนา้ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ เมื่ออุปราชาภิเษก พระชนมายุได้ ๓๖ พรรษา เมื่อเสด็จไป ประทับอยู่พระราชวังบวร ฯ ไม่ปรากฏว่าได้ทรงสถาปนาการอย่างใดเพิ่มเติมขึ้นใหม่ในวังหน้า ถ้าจะมีก็ เห็นจะเพียงซ่อมแซมพระราชมนเทียรบ้างเล็กน้อย ด้วยพระราชวังบวร ฯ ว่างมาเพียง ๗ ปี สิ่งของ ที่สร้างไว้ในครั้งรัชกาลที่ ๑ เห็นจะยังบริบูรณ์อยู่โดยมาก ปรากฏในพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่การที่กรมพระราชวังบวร ฯ ในรัชกาลที่ ๒ ได้ทรงแก้ไขรื้อถอนของเก่าเสีย บางอยา่ ง คอื พระพมิ านดสุ ดิ าทส่ี รา้ งไวเ้ ปน็ หอพระแทนปราสาททก่ี ลางสระเหน็ จะชำรดุ โปรดใหร้ อ้ื ทง้ั พระวมิ าน และพระระเบียง เอาตัวไม้ที่ยังใช้ได้ไปทำในวัดชนะสงคราม ซึ่งกรมพระราชวังบวร ฯ ในรัชกาลที่ ๑ ไดท้ รงสถาปนาไว้ สะพานขา้ มสระ ๔ สะพานกร็ อ้ื เหมอื นกนั ทน่ี น้ั ทำสวนเลย้ี งนกเลย้ี งปลา เปน็ ทป่ี ระพาส ที่พระที่นั่งสุทธาศวรรย์ เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดให้เชิญพระพุทธสิหิงค์ลงมาไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งตรงที่ตั้งพระสัมพุทธพรรณีทุกวันนี้ ที่พระที่นั่งสุทธาศวรรย์ ยังเหลือแต่ปราสาทปรางค์ ๕ ยอด ซึ่งกรมพระราชวังบวร ฯ ในรัชกาลที่ ๑ ทรงสร้างเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ กรมพระราชวังบวร ฯ ๑ ตรงกับวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๔๙ ๒ ตรงกับวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๔๙

ตำนานวงั หนา้ ๗๙ รัชกาลที่ ๒ โปรดให้ย้ายปราสาทนั้นไปเสีย ตั้งพระที่นั่งเศวตฉัตรแทน เป็นที่เสด็จออกแขกเมือง และพระสงฆถ์ วายพระธรรมเทศนา ปราสาททองที่สรงพระพักตร์ของกรมพระราชวังบวร ฯ ในรัชกาลที่ ๑ ซึ่งสร้างไว้ที่มุขหลัง พระวมิ านกย็ า้ ยไปเสยี เมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๒ เขาไกรลาสยอดมบี ษุ บกสรา้ งไวเ้ ปน็ ทส่ี รงลกู เธอโสกนั ต์ รอ้ื เสยี อกี อยา่ ง ๑ เขา ศาลพระภมู ิ ขา้ งพระราชมนเทยี รทางดา้ นเหนอื เมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๒ รอ้ื กำแพงแกว้ รอบบรเิ วณ ปลกู โรงละครขน้ึ แทนตรงนน้ั ท่ีวัดหลวงชี ครั้งรัชกาลที่ ๑ ทำนองจะไม่มีหลวงชีอยู่ดังแต่ก่อน กุฏิหลวงชรี ้างชำรุดทรุดโทรม จงึ โปรดใหร้ อ้ื กฏุ หิ ลวงชเี สยี หมด ทำทน่ี น้ั เปน็ สวนเลย้ี งกระตา่ ย เขา้ ใจวา่ ทต่ี รงนแ้ี ตเ่ ดมิ กเ็ หน็ จะเปน็ สวน เลย้ี งกระตา่ ย เอาอยา่ งพระราชวงั หลวงทก่ี รงุ ศรอี ยธุ ยาจงึ ปรากฏวา่ มตี ำหนกั อยใู่ นนน้ั กรมพระราชวงั บวร มหาสรุ สงิ หนาทเหน็ จงึ ทรงพระราชอทุ ศิ พระราชทานใหเ้ ปน็ วดั หลวงชตี อ่ ภายหลงั กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์เสด็จดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราชมาได้ ๘ ปี ถึงปีฉลู จุลศักราช ๑๑๗๙ พ.ศ. ๒๓๖๐ ประชวรเป็นพระยอดตรงที่ประทับ ให้ผ่าพระยอดนั้นเลยเกิดบาดพิษ อาการพระโรคกำเริบขึ้น พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จขึ้นไปเยี่ยมประชวรทุก ๆ วัน ด้วยกรมพระราชวังบวร ฯ พระองค์นี้ตั้งแต่ทรงพระเยาว์มา พระอัธยาศัยทรงชอบชิดสนิทเสนหา กับสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชยิ่งนัก ถึงเมื่อเป็นพระมหาอุปราชแล้วก็เสด็จลงมารับราชการใน พระราชวงั หลวง ไมเ่ ปลย่ี นแปลงพระอธั ยาศยั พระบาทสมเดจ็ ฯ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั โปรดใหท้ รง กำกบั ตรวจตราราชการตา่ งพระเนตรพระกรรณทว่ั ไป เลา่ กนั วา่ ครง้ั นน้ั กรมพระราชวงั บวร ฯ เสดจ็ ลงมา พระราชวังหลวงเพลาเช้า ประทับที่โรงละครเก่า ที่อยู่ข้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงตรวจตราข้อ ราชการต่าง ๆ แล้วจึงเสด็จเข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชทุกวันมิได้ขาด แม้จนในการเล่นหัว เครื่องสำราญพระราชอิริยาบถก็โปรดที่จะทรงด้วยกัน เป็นต้นว่าในฤดูลมสำเภา ถ้าปีใดทรงว่าว วังหลวงทรงว่าวจุฬา ชักที่สนามหน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วังหน้าทรงว่าวปักเป้า ชักที่สนามหลวง เล่ากันมาแต่ก่อนดังนี้ ครั้นพระอาการกรมพระราชวังบวร ฯ ประชวรหนักลง พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จขึ้นไปประทับแรมที่ในพระราชวังบวร ฯ ทรงรักษาพยาบาลสมเด็จ

๘๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระอนุชาธิราชอยู่หลายราตรี จนถึง ณ วันพุธ เดือน ๘ อุตราสาธ ขึ้น ๓ ค่ำ๑ เพลาเช้า ๕ โมงเศษ (๑๑ ก.ท.) กรมพระราชวงั บวรมหาเสนานรุ กั ษป์ ระชวรมาเดอื นเศษ เสดจ็ สวรรคต ทพ่ี ระทน่ี ง่ั วายสุ ถานอมเรศร์ พระชนมายุได้ ๔๔ พรรษา พระราชทานน้ำสรง ทรงเครื่องพระศพเสร็จแล้ว เชิญลงพระลอง ประกอบพระโกศทองใหญ่ แหม่ าประดษิ ฐานไว้ ณ พระทน่ี ง่ั สทุ ธาศวรรย์ แตห่ มายประกาศใหค้ นโกนหวั ไว้ทุกข์คราวนี้ ให้เอาแบบอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา โกนแต่ผู้ที่มีสังกัดฝ่ายพระราชวังบวร ฯ เท่านั้น มิได้ให้โกนทั้งแผ่นดินเหมือนอย่างครั้งกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทสวรรคตเมื่อในรัชกาลที่ ๑ ต่อมาถึงเดือน ๕ ปีขาล จุลศักราช ๑๑๘๐ พ.ศ. ๒๓๖๑ พระเมรุที่ท้องสนามหลวงสร้างสำเร็จ และเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาสมโภชตามประเพณีงานพระเมรุใหญ่เสร็จแล้ว ถึง ณ วันศุกร์ เดือน ๕ ขึ้น ๑๑ ค่ำ๒ จึงโปรดให้เชิญพระศพกรมพระราชวังบวร ฯ แห่โดยกระบวนน้อยจากพระราชวังบวร ฯ ลงมายังหน้าวัดพระเชตุพนแล้ว เชิญขึ้นพระมหาพิไชยราชรถ แห่โดยกระบวนใหญ่ไปยังพระเมรุ มีงานมหรสพสมโภชและทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบ ๗ วันแล้ว ถึง ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๕ แรม ๒ ค่ำ๓ จึงพระราชทานเพลิงพระศพกรมพระราชวังบวร ฯ ครั้นพระราชทานเพลิงพระศพเสร็จแล้ว โปรดให้เชิญพระอัฐิมาไว้ในหอพระธาตุมนเทียรที่ในพระราชวังหลวง ด้วยทรงพระเสนหาอาลัยใน สมเด็จพระอนุชาธิราช พระอัฐิกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์อยู่ในพระบรมมหาราชวังมาจนใน รชั กาลท่ี ๔ จงึ ไดโ้ ปรดใหเ้ ชญิ ไปประดษิ ฐานไวท้ พ่ี ระวมิ าน อนั เปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานพระอฐั กิ รมพระราชวงั บวร สถานมงคล ในพระราชวงั บวร ฯ เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์สวรรคตแล้ว วังหน้าว่างมาอีก ๗ ปี ด้วยไม่ได้ทรงตั้ง พระมหาอปุ ราชมาจนตลอดรชั กาลท่ี ๒ ในระหวา่ งนน้ั เจา้ นายฝา่ ยในพระราชวงั บวร ฯ ทง้ั ทเ่ี ปน็ พระราชธดิ า ในกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ เสด็จลงมาอยู่ตำหนักในพระราชวังหลวงหลาย พระองค์ แต่พระองค์เจ้าดาราวดีพระราชธิดากรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๑ นั้น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมน่ื ศกั ดพิ ลเสพทลู ขอไปเปน็ พระชายา พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จสวรรคตเมื่อปีวอก จุลศักราช ๑๑๘๖ พ.ศ. ๒๓๖๗ พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ราชสมบัติ ทรงพระราชดำริว่า กรมหมื่น ๑ ตรงกบั วันท่ี ๑๖ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๓๖๐ ๒ ตรงกบั วนั พฤหสั บดที ่ี ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๖๑ ๓ ตรงกับวนั พธุ ที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๓๖๑

ตำนานวงั หนา้ ๘๑ ศักดิพลเสพมีบำเหน็จความชอบมาก จะโปรดให้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล และมีรับสั่งว่า วังหน้าเป็นพระราชวังใหญ่โต หาควรจะทิ้งไว้ให้เป็นวังร้างไม่ กรมหมื่นศักดิพลเสพก็เป็นพระราช บุตรเขยของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พ้นข้อรังเกียจที่กล่าวกันว่าทรงแช่งสาปไว้แต่ก่อน จึงโปรดให้เสด็จไปเฉลิมพระราชมนเทียร ประทับอยู่ในพระราชวังบวร ฯ ได้ทำการพระราชพิธี อปุ ราชาภเิ ษกเมอ่ื ณ วนั อาทติ ย์ เดอื น ๑๐ แรม ๖ คำ่ ๑ ลกั ษณะการพธิ ที ท่ี ำครง้ั รชั กาลท่ี ๓ คราวน้ี โดยยุติว่าแบบอย่างครั้งกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์เป็นตำราอุปราชาภิเษก จึงปลูกพลับพลา ที่ข้างโรงละคร ฯ ให้กรมหมื่นศักดิพลเสพเสด็จเข้ามาประทับแรมอยู่ในพระบรมมหาราชวังตลอดเวลาพิธี และเสด็จไปทรงเครื่องที่พระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ แล้วแห่ขึ้นไปทรงฟังสวดที่พระราชวังบวร ฯ เหมือนเมื่อ ครง้ั รชั กาลท่ี ๒ แปลกกบั อปุ ราชาภเิ ษกครง้ั รชั กาลท่ี ๒ แตท่ พ่ี ระสงฆส์ วดมนตใ์ นพระราชวงั บวร ฯ เปน็ ๔ แห่ง คือ พระวิมานทั้ง ๓ องค์ และพระที่นั่งสุทธาศวรรย์อีกแห่ง ๑ กับดูเหมือนจะลดถาดทอง และดั่งไม้มะเดื่อที่สรง และลดกระบวนที่แห่เสด็จลงบ้าง ด้วยปรากฏในหมายกรมวังตรง ๒ ข้อนั้นว่า “ให้ไปทูลถามกรมหมื่นรักษ์รณเรศ” แต่จะยุติเป็นอย่างไรหาทราบไม่ กรมหมื่นศักดิพลเสพเป็น กรมพระราชวงั บวรสถานมงคลเมอ่ื พระชนมายไุ ด้ ๔๐ พรรษา กรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพไดท้ รงสถาปนาการในพระราชวงั บวร ฯ หลายอยา่ ง ทราบไดโ้ ดย จดหมายเหตุบ้าง โดยสังเกตฝีมือช่างบ้าง เวลานั้นพระราชมนเทียรสถานเห็นจะชำรุดทรุดโทรมมาก เข้าใจว่ากรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพทรงซ่อมแซมพระวิมานทั้ง ๓ หลัง แต่กรมพระราชวัง บวรมหาศักดิพลเสพ หาเสด็จขึ้นประทับบนพระวิมานไม่ ประทับอยู่ที่พระที่นั่งบุรพาภิมุขมาตลอด พระชนมายุ และในคราวทซ่ี อ่ มแซมน้ี ทรงสรา้ งเพม่ิ เตมิ ขน้ึ ใหมด่ ว้ ย คอื ในหมพู่ ระวมิ าน ตอ่ มขุ หลงั ตรงพระวมิ านองคก์ ลางออกไปเปน็ ทอ้ งพระโรงหลงั มขุ ๑ ขนามนามวา่ พระทน่ี ง่ั ปฤษฎางคภ์ มิ ขุ สว่ นมขุ หนา้ ของเดมิ แปลงเปน็ มขุ กระสนั ขนานนามวา่ พระทน่ี ง่ั ภมิ ขุ มณเฑยี ร ให้รื้อทิมมหาวงศ์ด้านตะวันออกเสียทั้งด้าน แล้วสร้างพระที่นั่งเป็นท้องพระโรงขึ้นใหม่อีกองค์ ๑ ตอ่ จากมขุ ของเดมิ ใหพ้ ระทน่ี ง่ั บษุ บกมาลาทม่ี ขุ เดจ็ เดมิ อยเู่ ปน็ ประธานในทอ้ งพระโรงนน้ั หนา้ ทอ้ งพระโรง พอต่อถึงบริเวณพระที่นั่งสุทธาศวรรย์ ท้องพระโรงที่ทำใหม่นี้เอาอย่างพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยใน พระราชวงั หลวง ขนานนามวา่ พระทน่ี ง่ั อศิ ราวนิ จิ ฉยั ยงั ปรากฏอยจู่ นทกุ วนั น้ี ๑ ตรงกับวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๓๖๗ แต่เป็นวันจันทร์

๘๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ สร้างหอพระขึ้นสองข้างมุขกระสันที่ต่อกับท้องพระโรง รูปหลังคาเป็นทรงเก๋งจีน หอหลังเหนือ เป็นที่ไว้พระอัฐิ เหมือนอย่างหอพระธาตุมณเฑียรในพระราชวังหลวง หอหลังใต้เป็นที่ไว้พระพุทธรูป เหมอื นอยา่ งหอพระสรุ าไลยพมิ านทเ่ี ปน็ คกู่ นั พระที่นั่งสุทธาศวรรย์ เครื่องบนซ่อมใหม่ ต่อเฉลียงเสาลอยรอบและทำซุ้มพระแกลใหม่ อยา่ งทป่ี รากฏอยทู่ กุ วนั น้ี พระทน่ี ง่ั ศวิ โมกขพ์ มิ าน ทเ่ี ปน็ หอ้ งพพิ ธิ ภณั ฑท์ กุ วนั น้ี เขา้ ใจวา่ กรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพ โปรดให้รื้อของเดิมทำใหม่ทั้งหลัง ด้วยของที่ยังปรากฏอยู่ เป็นฝีมือช่างครั้งรัชกาลที่ ๓ ทั้งนั้น ของเดิม เหน็ จะเลก็ ขนาดเทา่ พระทน่ี ง่ั ทรงปนื ทก่ี รงุ ศรอี ยธุ ยา และบางทจี ะสรา้ งเปน็ เครอ่ื งไมด้ ว้ ยซำ้ ไป ทก่ี ลางสระซง่ึ รอ้ื พระทน่ี ง่ั พมิ านดสุ ดิ าเสยี เมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๒ นน้ั กรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพ ทรงสร้างพระที่นั่งขึ้นใหม่อีกองค์ ๑ ขนานนามว่า “พระที่นั่งรังสรรค์จุฬาโลกย์” แต่เห็นจะสร้างเป็น เครอ่ื งไม้ ตอ่ มาจงึ หกั พงั เสยี หมด ทราบไมไ่ ดใ้ นเวลานว้ี า่ รปู สณั ฐานเปน็ อยา่ งไร ทท่ี ราบวา่ สรา้ งพระทน่ี ง่ั ขน้ึ ใหมต่ รงนน้ั เพราะนามพระทน่ี ง่ั ยงั ปรากฏอยเู่ ทา่ นน้ั สิ่งสำคัญซึ่งกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพทรงสร้างขึ้นใหม่ในพระราชวังบวร ฯ มีอีกสิ่งหนึ่ง คอื วดั บวรสถานสทุ ธาวาส* เรยี กกนั เปน็ สามญั แตก่ อ่ นวา่ “วดั พระแกว้ วงั หนา้ ” เพราะอยใู่ นวงั เหมอื นกบั วัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระราชวังหลวง ทรงอุทิศที่สวนกระต่ายเดิมสร้างวัดถวายเป็นพุทธบูชา เหตุที่จะสร้างวัดบวรสถานสุทธาวาส เล่ากันมาเป็นหลายอย่าง แต่ไม่ยุติว่าจะเป็นความจริงได้แน่ กล่าวกันว่าทรงสร้างแก้บนครั้งเสด็จยกกองทัพไปปราบขบถเวียงจันทน์ เล่ากันอีกอย่างหนึ่งว่า แตเ่ ดมิ จะทรงสรา้ งเปน็ ยอดปราสาท จนปรงุ ตวั ไมแ้ ลว้ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงทราบ มีรับสั่งให้ไปห้ามว่าในพระราชวังบวร ฯ ไม่มีธรรมเนียมที่จะมีปราสาท กล่าวกันว่าเป็นเหตุให้ กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพน้อยพระทัยมาก จึงโปรดให้แก้เป็นหลังคาจตุรมุข อย่างเช่นปรากฏ อยู่ทุกวันนี้ มีสิ่งต่าง ๆ ที่ทรงสร้างในวัดบวรสถานสุทธาวาสโดยประณีตบรรจงหลายอย่าง แล้วเสาะหา พระพุทธรูปที่เป็นของงามของแปลก และเครื่องศิลาโบราณต่าง ๆ มาตกแต่ง พระเจดีย์ก็ถ่ายแบบอย่าง พระเจดีย์สำคัญ เช่นพระธาตุพนมเป็นต้น มาสร้างขึ้นหลายองค์ แต่การที่สร้างวัดบวรสถานสุทธาวาส ไมท่ นั แลว้ สำเรจ็ ทเ่ี ลา่ กนั มาเปน็ แนน่ อนนน้ั วา่ กรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพทรงสรา้ งพระพทุ ธรปู ยนื * นามวา่ “บวรสถานสทุ ธาวาส” น้ี สงสยั วา่ จะพระราชทานตอ่ ในรัชกาลที่ ๔

ตำนานวงั หนา้ ๘๓ องค์หนึ่ง สำหรับจะประดิษฐานที่ในพระอุโบสถ ยังไม่ทันแล้วพอประชวรหนักใกล้จะสวรรคต จึงทรงจบพระหัตถ์ผ้าห่มพระประทานพระองค์เจ้าดาราวดีไว้ ดำรัสสั่งว่าต่อไปถ้าท่านผู้ใดเป็นใหญ่ ได้ทรงบูรณะวัดนั้น ให้ถวายผ้าผืนนี้ ทูลขอให้ช่วยทรงพระให้ด้วย พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวได้ทรงรับผ้าผืนนั้น ทรงพระพุทธรูปถวายสมดังพระราชอุทิศของกรมพระราชวังบวร มหาศกั ดพิ ลเสพ จงึ ไดป้ รากฏความทก่ี ลา่ วมาน้ี กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราชอยู่ ๘ ปี ประชวร โรคมานน้ำ สวรรคตเมื่อ ณ วันอังคาร เดือน ๖ ขึ้น ๒ ค่ำ๑ ปีมะโรง จุลศักราช ๑๑๙๔ พ.ศ. ๒๓๗๕ พระชนมายุได้ ๔๘ พรรษา พระศพประดิษฐานไว้ที่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ถึงเดือน ๕ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๗๖ เชิญพระศพแห่ออกพระเมรุที่ท้องสนามหลวง* มีงานมหรสพ ๕ วัน (ลดลงกว่าครั้ง รัชกาลที่ ๒ ) พระราชทานเพลิงเมื่อวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๕๒ แล้วเชิญพระอัฐิไปประดิษฐานไว้ใน พระราชวงั บวร ฯ แตน่ น้ั วงั หนา้ กว็ า่ งมา วา่ งคราวนถ้ี งึ ๑๘ ปี ถึงปีกุน จุลศักราช ๑๒๑๓ พ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ โปรดให้สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์เป็นพระมหาอุปราช แต่ให้มีพระเกียรติยศเป็นอย่างพระเจ้าแผ่นดิน เหมือนเมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกย่องสมเด็จพระเอกาทศรถราชอนุชามหาอุปราชครั้ง กรุงศรีอยุธยา จึงโปรดให้แก้ไขประเพณีการฝ่ายพระราชวังบวร ฯ ให้สมกับพระเกียรติยศที่ทรงยกย่อง สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าชนน้ั หลายประการ เปน็ ตน้ วา่ นามวงั หนา้ ซง่ึ เคยเรยี กในราชการวา่ “พระราชวงั บวร สถานมงคล” ใหเ้ ปลย่ี นนามเรยี กวา่ “พระบวรราชวงั ” พระราชพธิ อี ปุ ราชาภเิ ษกใหเ้ รยี กวา่ “พระราชพธิ ี บวรราชาภเิ ษก” พระนามทจ่ี ารกึ ในพระสพุ รรณบฏั แบบเดมิ วา่ “พระมหาอปุ ราช กรมพระราชวงั บวร สถานมงคล” พระราชทานพระนามอย่างพระเจ้าแผ่นดินว่า “สมเด็จพระปวเรนทราเมศมหิศเรศรังสรรค์ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ” และขานคำรบั สง่ั กรมพระราชวงั บวร ฯ ซง่ึ เคยใชว้ า่ “พระบณั ฑรู ” โปรดใหเ้ ปลย่ี นเปน็ “พระบวรราชโองการ” วา่ โดยยอ่ เตมิ คำ “บรม” เปน็ ฝา่ ยวงั หลวง และคำ “บวร” เปน็ ฝา่ ยวงั หนา้ เปน็ คกู่ นั เกดิ ขน้ึ ในคราวนเ้ี ปน็ ปฐม ๑ ตรงกับวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๗๕ * การแห่พระศพกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๓ เข้าใจว่าแห่จากวังหน้าลงมาพระเมรุ เหมือนครั้งรัชกาลที่ ๕ แตย่ งั ไมพ่ บจดหมายเหตทุ จ่ี ะสอบ ๒ ตรงกบั วนั เสารท์ ่ี ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๗๖

๘๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เพราะเหตุที่เปลี่ยนพระราชพิธีอุปราชาภิเษกเป็นบวรราชาภิเษกดังกล่าวมานี้ ลักษณะการพิธีจึง เอาแบบอย่างพิธีบรมราชาภิเษกทางวังหลวง ไปแก้ไขลดลงเป็นตำราพิธีบวรราชาภิเษก ตั้งต้นแต่เชิญ พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไปประทบั อยใู่ นพระราชวงั บวร ฯ แตก่ อ่ นงานพระราชพธิ บี วรราชาภเิ ษก เสด็จประทับแรมอยู่ในพระฉากที่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย เหมือนอย่างทางวังหลวงเสด็จประทับแรมอยู่ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยฉะนั้น ครั้นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จฯพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว โปรดให้รื้อมณฑปพระกระยาสนานที่พระองค์สรงมุรธาภิเษกไปปลูกพระราชทานให้เป็นที่สรง ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนที่ทำการพระราชพิธีนั้น ที่พระที่นั่งพุทไธศวรรย์* จัดตั้งเทียนไชยและเตียงพระสงฆ์สวดภาณวาร (อย่างที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระราชวังหลวง) ที่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัยจัดตั้งพระแท่นมณฑล และเป็นที่พระราชาคณะผู้ใหญ่สวดมนต์ (อย่างที่พระที่นั่ง ไพศาลทักษิณ ในพระราชวังหลวง) แต่งดพระที่นั่งอัฐทิศและพระที่นั่งภัทรบิฐหาตั้งไม่ ที่พระที่นั่ง วสนั ตพมิ านในหอ้ งพระบรรทม จดั เปน็ ทป่ี ระทบั ทรงสดบั พระสงฆธ์ รรมยตุ กิ าเจรญิ พระปรติ ร (อยา่ งพระทน่ี ง่ั จักรพรรดิพิมานในพระราชวังหลวง**) โรงพิธีพราหมณ์ปลูกในสนามหน้าพระที่นั่งพุทไธศวรรย์ ตามอย่างอุปราชาภิเษก แต่ไม่มีกระบวนแห่เสด็จเหมือนอุปราชาภิเษกแต่ก่อน เพราะพระบาทสมเด็จ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ไปประทบั อยใู่ นพระราชวงั บวร ฯ แลว้ พระราชพิธีบวรราชาภิเษก ตั้งสวดเมื่อ ณ วันอาทิตย์ เดือน ๖ แรม ๑๐ ค่ำ๑ เป็นวันแรก พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จโดยกระบวนพยุหยาตราแห่สี่สาย ขึ้นไปยังพระบวรราชวัง ในเวลาบ่ายทั้ง ๓ วัน ครั้น ณ วันพุธ เดือน ๖ แรม ๑๓ ค่ำ๒ เป็นพระฤกษ์บวรราชาภิเษก เสด็จขึ้นไป ในเวลาเช้า พระราชทานน้ำอภิเษกและพระสุพรรณบัฏ กับทั้งเครื่องราชูปโภคแก่พระบาทสมเด็จ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ครน้ั เสดจ็ กลบั แลว้ (ในจดหมายเหตขุ องเจา้ พระยาทพิ ากรวงศว์ า่ ) พระบาทสมเดจ็ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมาถวายดอกไม้ธูปเทียนที่ในพระบรมมหาราชวัง และวันรุ่งขึ้น พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปพระราชทานต้นไม้เงินทองของขวัญ ในการเฉลิม พระราชมนเทียรที่พระบวรราชวังอีกครั้งหนึ่ง และในการพระราชพิธีเฉลิมพระราชมนเทียรครั้งนั้น โปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์เสนาอำมาตย์ราชเสวกทั้งฝ่ายวังหลวงวังหน้าถวายดอกไม้ธูปเทียน * เดมิ เรยี กพระทน่ี ง่ั สทุ ธาศวรรย์ เขา้ ใจวา่ เปลย่ี นเปน็ พทุ ไธศวรรย์ เมอ่ื ครง้ั กรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพ ดงั จะอธบิ ายตอ่ ไปขา้ งหนา้ ** ในจดหมายเหตเุ กา่ กลา่ วแตว่ า่ พระสงฆส์ วดมนตใ์ นพระทน่ี ง่ั ทง้ั ๓ องค์ ทก่ี ลา่ วนามมานน้ั แตร่ ายการทก่ี ลา่ ว ๆ ตามสนั นษิ ฐาน เชื่อว่าไม่ผิด ๑ ตรงกับวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๔ ๒ ตรงกับวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๔

ตำนานวงั หนา้ ๘๕ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ส่วนพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงประพฤติ ตามแบบอย่างเจ้านายรับกรม คือ ถวายดอกไม้ธูปเทียนแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งเจริญพระชนมายุ ยิ่งกว่าพระองค์ทุก ๆ พระองค์ ครั้นเสร็จการพระราชพิธีเฉลิมพระราชมนเทียรแล้ว โปรดให้แห่เสด็จ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเลียบพระนครทางสถลมารคอีกวันหนึ่ง จึงเสร็จการพระราชพิธี บวรราชาภเิ ษก พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวบวรราชาภิเษก พระชนมายุได้ ๔๓ พรรษา เสด็จขึ้นไป ประทับที่พระบวรราชวังเวลากำลังปรักหักพังทรุดโทรมทั่วไปทั้งวัง ข้าราชการวังหน้าที่ได้ตามเสด็จไป แต่แรก เล่ากันว่า ถึงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวออกพระโอษฐ์ว่า “เออ อยู่ดีดีก็ให้มาเป็น สมภารวัดร้าง” ความข้อนี้สมกับคำพระครูธรรมวิธานาจารย์สอน* เล่าว่า เมื่อก่อนพระบาทสมเด็จ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ไปประทบั ทว่ี งั หนา้ นน้ั วงั หนา้ รกรา้ งหกั พงั มาก ซมุ้ ประตแู ละหลงั คาปอ้ มปราการ รอบวงั หกั พงั เกอื บหมด กำแพงวงั ชน้ั กลางกไ็ มเ่ หน็ มี ทอ้ งสนามในวงั หนา้ ชาวบา้ นเรยี กกนั วา่ “สวนพนั ชาต”ิ เพราะพันชาติตำรวจปลูกเหย้าเรือนอาศัยและขุดร่องทำสวนเต็มตลอดไปจนหน้าพระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน และพระที่นั่งพุทไธศวรรย์ สถานที่ต่าง ๆ เช่นศาลาลูกขุนและโรงช้างเป็นต้น ของเดิมหักพังหมด มีแต่รอยเหลืออยู่ตรงที่ที่สร้างขึ้นใหม่ พระครูธรรมวิธานาจารย์ว่าสถานที่ต่าง ๆ ที่เห็นกันในชั้นหลัง เป็นของสร้างครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวแทบทั้งนั้น ความที่พระครูธรรมวิธานาจารย์ กล่าวนี้ยุติต้องด้วยเหตุการณ์ คิดดูแต่สร้างวังหน้ามาจนเวลานั้นได้ถึง ๖๙ ปี ปรากฏว่าได้ซ่อมแซม ปฏิสังขรณ์แต่พระราชมนเทียรเมื่อในรัชกาลที่ ๓ นอกจากพระราชมนเทียรเห็นจะชำรุดทรุดโทรม ทั่วไปทั้งวัง และคงเป็นด้วยเหตุที่วังหน้ารกร้างทรุดโทรมนี้เอง จึงมีหมายรับสั่งปรากฏอยู่ว่าเมื่อก่อน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จขึ้นไปประทับที่วังหน้านั้น ให้ทำพิธีฝังอาถรรพ์ใหม่เมื่อ เดือน ๖ ขึ้นค่ำ ๑ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้แห่พระพุทธสิหิงค์กลับไป สถิตประดิษฐานในพระราชวังบวรฯ และในวันนั้นเวลาบ่าย พระสงฆ์ ๒๐ รูปสวดมนต์ในพระที่นั่ง อศิ ราวนิ จิ ฉยั รงุ่ ขน้ึ วนั ขน้ึ ๒ คำ่ เวลาเชา้ พราหมณฝ์ งั หลกั อาถรรพท์ กุ ปอ้ มและประตพู ระราชวงั บวร ฯ รวม ๘๐ หลัก เข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปประทับที่พระราชวังบวร ฯ ในวนั แรม ๒ คำ่ เดอื น ๖ นน้ั * พระครูธรรมวิธานาจารย์ได้อยู่วัดมหาธาตุมาแต่เป็นเด็กศิษย์วัด จนอายุกว่า ๘๐ ได้เคยเดินผ่านไปมาทางวังหน้าเสมอ ตง้ั แตใ่ นรชั กาลท่ี ๓

๘๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ตามทไ่ี ดค้ วามในจดหมายเหตแุ ละทพ่ี ระครธู รรมวธิ านาจารยเ์ ลา่ ใหฟ้ งั ดงั กลา่ วมา เปน็ อนั ยตุ ไิ ดว้ า่ พระราชมนเทียรและสถานที่ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในแผนที่วังหน้า เป็นของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาใหม่เมื่อในรัชกาลที่ ๔ โดยมาก แต่การที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนานั้น ถ้าจะกำหนดโดยเหตุต่างกันเป็น ๓ ประการ คือ ก่อสร้างเฉลิมพระเกียรติยศ ที่เสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดินนั้นประการ ๑ ก่อสร้างแทนของเดิมซึ่งปรักหักพังไปให้บริบูรณ์ดังแต่ก่อน ประการ ๑ ก่อสร้างตามลำพังพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกประการ ๑ จะอธบิ ายตอ่ นไ้ี ปทลี ะอยา่ ง สิ่งซึ่งสร้างขึ้นเฉลิมพระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เล่ากันมาว่า พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริเกือบจะทั้งนั้น ทั้งพระราชมนเทียรสถานและ เครื่องราชูปโภคทั้งปวงตลอดจนตำแหน่งขุนนาง ยกตัวอย่างเช่นว่าจ่าตำรวจ ทรงตั้งขึ้นใหม่ในทำเนียบ ข้าราชการวังหลวง ก็โปรดให้ตั้งขึ้นใหม่ในทำเนียบข้าราชการวังหน้าด้วยฉะนี้เป็นต้น ว่าโดยย่อเครื่อง เฉลิมพระเกียรติยศสำหรับวังหลวงมีอย่างไร ก็ทรงพระราชดำริให้มีขึ้นทางวังหน้าในครั้งนั้นโดยมาก จะกลา่ วแตเ่ ฉพาะพระราชมนเทยี รกอ่ น คอื ข้อสำคัญ ปราสาทไม่เคยมีในพระราชวังบวรสถานมงคล จึงโปรดให้สร้างปราสาทขึ้น ข้างหน้ามุขพระที่นั่งพุทไธศวรรย์องค์ ๑ ขนาดและรูปสัณฐานอย่างพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ในพระบรม มหาราชวงั ขนานนามวา่ “พระทน่ี ง่ั คชกรรมประเวศ” มเี กยสำหรบั ขน้ึ ทรงชา้ งอยขู่ า้ งหนา้ สร้างพระที่นั่งโถง ทำนองพระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ในพระราชวังหลวง ตรงมุมกำแพงบริเวณหน้า พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย มุมข้างใต้องค์ ๑ มุมข้างเหนือองค์ ๑ มีเกยสำหรับทรงพระราชยาน ขนานนามว่า “พระทน่ี ง่ั มงั คลาภเิ ษกองค์ ๑ พระทน่ี ง่ั เอกอลงกฎองค์ ๑” ยงั อยจู่ นทกุ วนั นท้ี ง้ั ๒ องค์ ในชาลาขา้ งทอ้ งพระโรง สรา้ งพระทน่ี ง่ั โถงองค์ ๑ เหมอื นอยา่ งพระทน่ี ง่ั สนามจนั ทร์ และเรยี กวา่ พระทน่ี ง่ั สนามจนั ทรอ์ ยา่ งเดยี วกบั ในพระบรมมหาราชวงั พระทน่ี ง่ั องคน์ ย้ี งั อยู่ แตช่ ำรดุ จวนพงั อยแู่ ลว้ สร้างพลับพลาสูงที่ทอดพระเนตรฝึกซ้อมทหารบนกำแพงพระบวรราชวังด้านตะวันออกองค์ ๑ อย่างพระที่นั่งสุทไธศวรรย์ในพระราชวังหลวง แต่เป็นพลับพลาโถง เสาไม้หลังคาไม่มียอด เข้าใจว่า จะเหมอื นอยา่ งพระทน่ี ง่ั สทุ ไธศวรรยเ์ มอ่ื แรกสรา้ ง กอ่ นแกเ้ ปน็ ปราสาทเมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๓

ตำนานวงั หนา้ ๘๗ สร้างพระตำหนักน้ำที่ท่าตำหนักแพหมู่ ๑ เป็นเครื่องไม้ทำนองพระที่นั่งสร้างที่ท่าราชวรดิษฐ์ เมื่อในรัชกาลที่ ๔ ขนานนามว่า พระที่นั่งมหรรณพพิมานองค์ ๑ พระที่นั่งชลสถานทิพอาสน์องค์ ๑ พระทน่ี ง่ั ประพาสคงคาองค์ ๑ พระทน่ี ง่ั นทที ศั นาภริ มย์องค์ ๑ วา่ สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาพไิ ชยญาติ สรา้ งถวายพระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั สิ่งซึ่งสร้างขึ้นแทนของเก่า แต่ถ่ายแบบอย่างของในพระราชวังหลวงไปสร้างเฉลิมพระเกียรติยศ ก็มีหลายอย่าง เช่นโรงช้างต้น ม้าต้น และประตูมหาโภคราชสร้างใหม่เป็นประตูชั้นกลาง ทำเป็นประตู สองชั้นอย่างประตูพิมานไชยศรีในพระราชวังหลวงนั้นเป็นต้น การชักธงตราแผ่นดินที่ในพระราชวัง มขี น้ึ ในรชั กาลท่ี ๔ ในพระราชวงั หลวงตง้ั เสาชกั ธงพระมหามงกฎุ ทพ่ี ระบวรราชวงั กโ็ ปรดใหต้ ง้ั เสาชกั ธง พระจฑุ ามณอี ยา่ งเดยี วกนั สิ่งซึ่งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้นให้บริบูรณ์ตามของเดิมนั้น เช่นสร้าง ทิมดาบ เขื่อนเพ็ชร โรงช้าง โรงม้า ศาลาลูกขุนเป็นต้น ตลอดจนก่อสร้างป้อมประตูที่ปรักหักพังให้ กลับดีขึ้นดังเก่า ของเหล่านี้ที่ของเดิมเป็นเครื่องไม้ สร้างใหม่เป็นเครื่องก่ออิฐถือปูนโดยมาก ตำหนกั ขา้ งในกซ็ อ่ มใหมท่ ง้ั หมดในครง้ั นน้ั สิ่งซึ่งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างตามพระราชหฤทัยของพระองค์เองนั้น คือ พระราชมนเทียรที่เสด็จประทับในพระบวรราชวัง ไม่พอพระราชหฤทัยที่จะประทับพระวิมานของเดิม จะสรา้ งพระราชมนเทยี รใหมเ่ ปน็ ทป่ี ระทบั แตท่ พ่ี ระบวรราชวงั ชน้ั ในคบั แคบ จงึ โปรดใหข้ ยายเขตชน้ั ในขน้ึ ไป ข้างด้านเหนือ (เขตเดิมอยู่ตรงแนวถนนแต่ประตูสุดายุรยาตรมาทางตะวันออก ในแผนที่) และให้รื้อ โรงละคร ซง่ึ กรมพระราชวงั บวรมหาเสนานรุ กั ษท์ รงสรา้ งไวแ้ ตเ่ ดมิ นน้ั เสยี แลว้ สรา้ งพระราชมนเทยี รใหม่ ในที่บริเวณนั้นองค์ ๑ สร้างเป็นเก๋งจีนโดยฝีมืออย่างประณีตบรรจง ครั้นสำเร็จเสด็จขึ้นประทับ เผอิญ ประชวรเสาะแสะติดต่อมาไม่เป็นปกติ จีนแสมาดูกราบทูลว่า เพราะพระที่นั่งเก๋งที่ประทับนั้นสร้างในที่ ฮวงจุ๊ยไม่ดีเป็นอัปมงคล จึงโปรดให้รื้อพระที่นั่งเก๋งนั้นไปปลูกที่วังใหม่ (ตรงที่สร้างโรงกษาปณ์เดี๋ยวนี้)๑ ถงึ รชั กาลท่ี ๕ เก๋งนี้ว่างอยู่ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เคยทอดพระเนตรเหน็ แตย่ งั ทรง พระเยาว์ โปรดว่าฝีมือที่ทำประณีตน่าเสียดาย จึงให้ย้ายเอาไปปลูกไว้ในพระราชวังดุสิต เป็นที่สำหรับ เจ้านายวังหน้าไปประทับเวลาเสด็จขึ้นไปเฝ้า ฯ ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ ครั้นเมื่อรื้อพระที่นั่งเก๋งออกไป จากพระบวรราชวังแล้ว จึงทรงสร้างพระที่นั่งอีกองค์ ๑ ในบริเวณอันเดียวกัน เป็นแต่เลื่อนไป ๑ ปัจจุบันคือ หอศิลปแหง่ ชาติ กรมศิลปากร

๘๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ข้างตะวันออกหน่อยหนึ่ง พระที่นั่งองค์ใหม่นี้ทำเป็นตึกอย่างฝรั่ง สร้างโดยประณีตบรรจงเหมือนกัน ขนานนามว่า “พระที่นั่งอิศเรศรราชานุสร” พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับ อยทู่ พ่ี ระทน่ี ง่ั องคน์ ต้ี ลอดมาจนเสดจ็ สวรรคต พระทน่ี ง่ั อศิ เรศรราชานสุ รยงั อยจู่ นทกุ วนั น้ี อีกอย่างหนึ่งโปรดให้รื้อพระตำหนักแดงที่พระราชวังเดิม มาปลูกไว้ในพระบวรราชวังข้างด้าน ตะวันตก ตรงมุมวังที่ขยายใหม่ พระตำหนักแดงนี้เข้าใจว่าเป็นพระตำหนักเดิมของพระบาทสมเด็จ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั มเี รอ่ื งตำนานจะกลา่ วทอ่ี น่ื ตอ่ ไปขา้ งหนา้ อนึ่งเมื่อในรัชกาลที่ ๓ นั้น พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้พระบาทสมเด็จ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบังคับบัญชาทหารปืนใหญ่ จึงทรงศึกษาวิชาทหารอย่างยุโรป แล้วเอาเป็น พระธุระฝึกหัดจัดทหารตลอดมา และอีกประการ ๑ โปรดวิชาต่อเรือกำปั่นรบ ได้ทรงศึกษาตำรา เครื่องจักรกลกับมิชชันนารี จนทรงสร้างเครื่องเรือกลไฟขึ้นได้ในเมืองไทยเป็นครั้งแรก จึงเป็นเหตุให้โปรด ทั้งวิชาการทหารบกทหารเรือมาแต่เมื่อในรัชกาลที่ ๓ ครั้นเสด็จเฉลิมพระยศบวรราชาภิเษกแล้ว ก็ทรง จัดตั้งทหารวังหน้าขึ้นทั้งทหารบกทหารเรือ จ้างนายร้อยเอกน็อกซ์นายทหารอังกฤษ๑ ซึ่งภายหลัง ไดเ้ ปน็ กงสลุ เยเนอราลองั กฤษในกรงุ เทพฯ และเปน็ เซอรธ์ อมมสั นอ็ กซ์นน้ั มาเปน็ ครฝู กึ หดั ตามแบบองั กฤษ ส่วนทหารเรือก็ให้พระเจ้าลูกเธอเป็นนายทหารเรือหลายพระองค์ และทรงต่อเรือรบกลไฟ มีเรือ อาสาวดีรส และเรือยงยศอโยชฌิยาเป็นต้น สั่งสมปืนใหญ่น้อยและเครื่องสาตราวุธยุทธภัณฑ์ สำหรับการทหารนั้นมากมาย จึงต้องสร้างสถานที่เพิ่มเติมขึ้นในวังหน้า เช่น โรงปืนใหญ่ โรงทหาร คลังสรรพยุทธและตึกดิน ที่ปรากฏในแผนที่วังหน้าล้วนเป็นของสร้างขึ้นในครั้งพระบาทสมเด็จ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทง้ั นน้ั สว่ นโรงทหารเรอื นน้ั จดั ตง้ั ทร่ี มิ แมน่ ำ้ ขา้ งใตต้ ำหนกั แพ ตรงทเ่ี ปน็ โรงทหาร เดย๋ี วน้ี พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสรา้ งวงั ใหมว่ งั ๑ ทร่ี มิ คลองคเู มอื งเดมิ ขา้ งฝง่ั เหนอื ตรงท่ี เปน็ โรงกษาปณท์ กุ วนั น้ี วา่ จะเปน็ ทเ่ี สดจ็ ไปประทบั สำราญพระราชอริ ยิ าบถ ไดโ้ ปรดใหร้ อ้ื พระทน่ี ง่ั เกง๋ ที่ทรงสร้างในพระบวรราชวังไปปลูกไว้ แต่การค้างมาหาได้เสด็จไปประทับไม่ และได้โปรดให้สร้างวัง (ตรงที่โรงพยาบาลทหารบกทุกวันนี้)๒ พระราชทานให้เป็นวังกรมหมื่นบวรวิไชยชาญ พระเจ้าลูกเธอ พระองคใ์ หญอ่ กี วงั หนง่ึ ๑ ดูประวัติในหนังสือ เรื่อง สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ ของ นายณฐั วฒุ ิ สทุ ธสิ งคราม ๒ หมายถึงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ ปัจจุบันคือ หน่วยงานของกองทัพบก เลขที่ ๒ ถนนพระอาทิตย์

ตำนานวงั หนา้ ๘๙ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เล่ากันมาว่า พระอัธยาศัยไม่โปรดที่จะแสดงยศศักดิ์ โดยปกตเิ สดจ็ ออกใหข้ า้ ราชการเฝา้ กอ็ อกท่โี รงรถ ตอ่ เวลามกี ารพธิ จี งึ เสดจ็ ออกทอ้ งพระโรง จะเสดจ็ ทใ่ี ด ถา้ มไิ ดเ้ ปน็ ราชการงานเมอื ง กม็ กั จะเสดจ็ แตโ่ ดยลำพงั พระองค์ บางทีทรงมา้ ไปกบั คนตามเสดจ็ คนหนง่ึ สองคน โดยพอพระราชหฤทัยที่จะเที่ยวประพาสมิให้ใครรู้ว่าพระองค์เสด็จ แม้จะเสด็จไปตามวังเจ้านาย ก็ไม่ใคร่ให้รู้พระองค์ก่อน พระองค์เจ้าประดิษฐวรการเคยตรัสเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เมื่อแรกได้บังคับ ช่างสิบหมู่แต่ยังเป็นหม่อมเจ้าอยู่นั้น ครั้งหนึ่งเวลาค่ำแล้ว ได้ยินเสียงคนมาร้องเรียกที่ประตูวัง ให้คนเปิดประตูออกมา พบพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปที่วัง พระองค์เจ้าประดิษฐ ฯ ตกพระทัยออกไปเชิญเสด็จมาประทับบนหอนั่ง เวลานั้นมีแต่ไต้จุดอยู่ใบหนึ่ง จะเรียกพรมเจียม มาปูรับเสด็จก็รับสั่งห้ามเสีย ประทับยอง ๆ ดำรัสเรื่องที่โปรดให้ทำสิ่งของถวายไปพลางและทรงเขี่ยไต้ ไปพลาง จนเสร็จพระราชธุระจึงเสด็จทรงม้ากลับไปพระบวรราชวัง อันเรื่องทรงม้า เล่ากันว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดนัก ประทับอยู่พระบวรราชวังเสด็จทรงม้าเล่นในสนามไม่ขาด บางทีก็ทรงคลี บางทีเวลากลางคืนให้เล่นขี่ม้าซ่อนหา วิธีเล่นนั้น ให้มีคนขี่ม้าตะพายย่ามติ้ว แต่งตัว เหมอื นกบั คนอยโู่ ยงอกี คนหนง่ึ คนขม่ี า้ หนตี อ้ งไดต้ ว้ิ กอ่ นจงึ จะเขา้ โยงได้ ความสนกุ อยทู่ ร่ี ไู้ มไ่ ดว้ า่ มา้ ไหน เป็นม้าติ้ว และม้าไหนเป็นม้าอยู่โยง เพราะแต่งตัวเหมือนกัน บางทีคนขี่ม้าติ้วแกล้งไล่ ผู้ที่ไม่รู้หลงหนี เลยเข้าโยงไม่ได้ก็มี เล่ากันว่าสนุกนัก บางทีก็ถึงทรงม้าเข้าล่อช้างน้ำมัน ครั้งหนึ่งว่าทรงม้าผ่านตัวโปรด ขึ้นระวางเป็นเจ้าพระยาสายฟ้าฟาด เข้าล่อช้างพลายแก้วซึ่งขึ้นระวางเป็นพลายไฟภัทกัลป์เวลาตกน้ำมัน พอช้างไล่ ทรงกระทบพระบาทจะให้ม้าวิ่ง ม้าตัวนั้นเป็นม้าเต้นน้อยดีไปเต้นน้อยเสีย เล่ากันว่าวันนั้น หากหมออาจ ซึ่งเป็นหมอตัวดีขี่พลายแก้ว เอาขอฟันที่สำคัญเหนี่ยวพลายแก้วไว้อยู่โดยฝีมือ อีกนัยหนึ่งว่าปิดตาช้างแล้วเบนไปเสียทางอื่นทัน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงไม่เป็นอันตราย เห็นจะเป็นเพราะเหตุที่โปรดการทแกล้วทหารและสนุกคะนองต่าง ๆ ดังกล่าวมานี้ จึงเกิดเสียงกระซิบ ลือกันว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวิชาอาคม บางคนว่าหายพระองค์ได้ บ้างว่า เสด็จลงเหยียบเรือกำปั่นฝรั่งเอียงก็มี กระบวนทรงช้างก็ว่าแข็งนัก ของที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า เจา้ อยหู่ วั โปรดทรงเลน่ ทเ่ี ลา่ ลอื กนั อกี อยา่ งหนง่ึ กแ็ อว่ ลาว วา่ ทรงไดส้ นั ทดั ทง้ั แคนทง้ั แอว่ คำแอว่ เปน็ พระราช นิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมีปรากฏอยู่จนบัดนี้หลายเล่มสมุด เซอร์ยอนเบาริง ราชทูตอังกฤษเข้ามากรุงเทพ ฯ แต่งหนังสือกล่าวไว้ว่า เมื่อวันพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานเลย้ี งนน้ั เมอ่ื เสรจ็ การเลย้ี งแลว้ ทรงแคนใหฟ้ งั เซอรย์ อนเบารงิ ชมไวใ้ นหนงั สอื วา่ ทรงเพราะนกั

๙๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ดำรงราชสมบตั อิ ยู่ ๑๕ ปี ในตอนปลายเกดิ วณั โรคขน้ึ ภายในพระองค์มีพระอาการประชวรกระเสาะกระแสะมาหลายปี ต้องเสด็จไปเที่ยวรักษาพระองค์ตาม หัวเมืองเนือง ๆ กล่าวกันว่ามักเสด็จไปประทับตามถิ่นที่มีบ้านลาว เพราะโปรดแอ่วลาว เสด็จไปประทับ ทบ่ี า้ นสมั ปะทวน แขวงจงั หวดั นครไชยศรีบา้ ง๑ ทางเมอื งพนสั นคิ มบา้ ง๒ แตไ่ ปประทบั ท่ีตำหนกั บา้ นสที า แขวงจังหวัดสระบุรีโดยมาก จนปีฉลู จุลศักราช ๑๒๒๗ พ.ศ. ๒๔๐๘ พระอาการที่ประชวรหนักลง ต้องเสด็จกลับกรุงเทพ ฯ และในเดือนยี่ ปีฉลูสัปตศกนั้น เป็นกำหนดพระฤกษ์จะได้ทำการพระราชพิธี โสกันต์พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง พระราชดำริว่าสมเด็จพระอนุชาธิราชประชวรมากอยู่ จะโปรดให้เลื่อนงานโสกันต์ไป ความทราบถึง พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กราบทูลขออย่าให้เลื่อนงาน ว่าพระองค์ประชวรมากอยู่แล้ว จะไมไ่ ดม้ โี อกาสสมโภช จงึ ตอ้ งโปรดใหค้ งงานไวต้ ามพระฤกษเ์ ดมิ ครน้ั ถงึ งานพระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจ้าอยู่หัวดำรัสสั่งให้เจ้าพนักงานเตรียมกระบวนจะเสด็จลงมาจรดพระกรรไกรพระราชทาน พระบาท สมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ต้องรับสั่งให้ทอดที่ราชอาสน์เตรียมไว้รับเสด็จตามเคย ทั้งทรงทราบ อยู่ว่าพระอาการมากจะไม่เสด็จลงมาได้โดยจะมิให้สมเด็จพระอนุชาธิราชโทมนัสน้อยพระทัย ด้วย พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระเมตตาพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาก ข้าพเจ้าเคยได้ยินพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสเล่าว่าเมื่อยังทรงพระเยาว์อยู่นั้น เสด็จขึ้นไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อใด มักดำรัสเรียกเข้าไปให้ใกล้แล้วยกพระหัตถ์ ลบู รบั สง่ั วา่ “เจา้ ใหญน่ แ่ี หละตอ่ ไปจะเปน็ ทพ่ี ง่ึ ของญาตไิ ด”้ ในเวลาเมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวรหนักนั้น พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปทรงรักษาพยาบาลทั้งกลางวันกลางคืน ประชวรมาจนวันอาทิตย์ เดือนยี่ แรม ๖ ค่ำ๓ พอเป็นวันสุดงานพระราชพิธีโสกันต์พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จสวรรคตที่พระที่นั่งอิศเรศรราชานุสร พระชนมายุได้ ๕๘ พรรษา การพระศพโปรดให้เรียกว่า พระบรมศพ จดั เหมอื นอยา่ งพระบรมศพสมเดจ็ พระเจา้ แผน่ ดนิ ทกุ อยา่ ง เวน้ แตม่ ไิ ดป้ ระกาศใหค้ นโกนหวั ไวท้ กุ ขท์ ง้ั เมอื ง เปน็ แตท่ ม่ี สี งั กดั ในพระบวรราชวงั เหมอื นอยา่ งกรมพระราชวงั บวร ฯ แตก่ อ่ นมา ๑ เป็นอำเภอหนึ่งในเขตจังหวัดนครปฐม ๒ อำเภอในเขตจงั หวดั ชลบรุ ี ๓ ตรงกบั วนั ท่ี ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๘

ตำนานวงั หนา้ ๙๑ ครง้ั ถงึ ปขี าล พ.ศ. ๒๔๐๙ โปรดใหท้ ำพระเมรุทท่ี อ้ งสนามหลวงตามแบบอยา่ งพระเมรพุ ระบรมศพ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน และจัดการแห่พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำนองครั้ง กรมพระราชวงั บวรมหาเสนานรุ กั ษใ์ นรชั กาลท่ี ๒ แตเ่ พม่ิ เตมิ พระเกยี รตยิ ศพเิ ศษขน้ึ เปน็ หลายประการ ปรากฏรายการงานพระเมรุครั้งนั้นว่า ณ เดือน ๓ ขึ้น ๔ ค่ำ๑ เชิญพระบรมธาตุแห่แต่พระที่นั่ง อิศราวินิจฉัยในพระบวรราชวัง ออกประตมู หาโภคราช และประตบู วรยาตรา ด้านตะวนั ออก มาสมโภชที่ พระเมรวุ นั กบั คนื หนง่ึ แหพ่ ระบรมธาตกุ ลบั แลว้ ถงึ เดอื น ๓ ขน้ึ ๖ คำ่ * เพลาบา่ ย ๒ โมง เชญิ พระบรมศพ แห่ออกประตูโอภาสพิมานชั้นกลางด้านเหนือ และประตูพิจิตรเจษฎาด้านตะวันตกพระบวรราชวัง ไปถึงตำหนักแพ เชิญพระบรมโกศประดิษฐานเหนือพระแท่นแว่นฟ้าในเรือพระที่นั่งกิ่งไกรสรมุข แห่ล่องลงมาประทับที่พระราชวังเดิม ด้วยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประทับอยู่ ตลอดในรัชกาลที่ ๓ มีมหรสพสมโภชคืนหนึ่ง ครั้นเวลาดึกเคลื่อนเรือพระบรมศพมาประทับที่ท่าฉนวน วัดพระเชตุพน รุ่งขึ้น ขึ้น ๖ ค่ำ เวลาเช้าแห่กระบวนน้อยไปยังที่ตั้งกระบวนใหญ่ที่ถนนสนามไชย เชิญพระบรมโกศขึ้นพระมหาพิไชยราชรถแห่ไปยังพระเมรุมาศ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล และมีมหรสพ สมโภช ๗ วัน แล้วพระราชทานเพลิงเมื่อขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๓** เมื่อเสร็จการสมโภช พระบรมอฐั แิ ลว้ โปรดใหเ้ ชญิ ไปประดษิ ฐานไวท้ ่พี ระทน่ี ง่ั อศิ เรศรราชานสุ รทใ่ี นพระบวรราชวงั เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคตนน้ั ๒ วงั หนา้ ผดิ กบั เวลาเมอ่ื กรมพระราชวงั บวร ฯ รัชกาลที่ ๒ ที่ ๓ สวรรคตหลายอย่าง เป็นต้นว่า พระราชวังบวร ฯ ที่เคยชำรุดทรุดโทรม พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิสังขรณ์ให้กลับบริบูรณ์ดีแล้วทั้งข้างหน้า ข้างในทั่วไป และเจ้านายฝ่ายในพระบวรราชวัง ก็มีมากขึ้น มีพระองค์เสด็จอยู่ทั้ง ๔ รัชกาล พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า ไม่ควรจะทิ้งพระบวรราชวังให้เป็นวังร้างว่างเปล่าเหมือนอย่าง แต่ก่อน และตามราชประเพณีครั้งกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปประทับอยู่วังหน้า กเ็ คยมี ดงั กลา่ วมาแตก่ อ่ นแลว้ จงึ เสดจ็ ขน้ึ ไปประทบั เปน็ ประธานในพระบวรราชวงั เนอื ง ๆ บางทกี เ็ สดจ็ ไปเยย่ี มเยอื นเฉพาะเวลา บางทปี ระทบั แรมอยกู่ ม็ บี า้ ง และเวลานน้ั มเี กง๋ พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ๑ ตรงกับวนั ศุกรท์ ี่ ๘ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๐๙ * ตรงกับวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๐๙ ** ตรงกบั วันท่ี ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๐๙ ๒ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวรอยู่บนพระที่นั่งอิศเรศรราชานุสร ซึ่งเวลานั้นเรียกว่าพระที่นั่งวังจันทร์ ชั้นบน ด้านตะวันตกและได้เสด็จสวรรคต ณ ที่นี้

๙๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ โปรดให้พระวิสูตรวารี (มลิ) สร้างถวายตรงหน้าพระที่นั่งอิศเรศรราชานุสร ยังค้างอยู่ จึงโปรด ใหส้ รา้ งตอ่ มาจนสำเรจ็ ขนานนามวา่ “พระที่นั่งบวรบริวัติ”๑ เปน็ ทป่ี ระทบั เวลาเสดจ็ ไปอยพู่ ระบวรราชวัง ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ แต่ต่อมา ดำรัสว่าที่พระที่นั่งบวรบริวัติถูกแดดบ่ายร้อนจัดนัก โปรดให้สร้างตึก อกี หลงั ๑ ตอ่ ไปขา้ งเหนอื การยงั ไมส่ ำเรจ็ จนตลอดรชั กาลท่ี ๔ ตรงนี้ควรจะกล่าวถึงเรื่องข้าราชการวังหน้าแทรกลงสักหน่อย ด้วยเนื่องในเรื่องตำนานของวังหน้า มาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาจนกรุงรัตนโกสินทร์ ตำแหน่งข้าราชการฝ่ายพระราชวังบวร ฯ ไม่ปรากฏทำเนียบ ในกฎหมายเดมิ (ทพ่ี มิ พ์ ๒ เลม่ นน้ั ) แตม่ ขี า้ ราชการบางตำแหนง่ ในทำเนยี บเดมิ เชน่ หลวงมหาอำมาตย์ วา่ เปน็ สมหุ มหาดไทยฝา่ ยเหนอื หลวงธรรมไตรโลก วา่ เปน็ สมหุ พระกลาโหมฝา่ ยเหนอื คำวา่ “ฝา่ ยเหนอื ” ที่กล่าวในทำเนียบ หมายความว่าราชธานีฝ่ายเหนือ คือเมืองพิษณุโลกเป็นแน่ไม่มีที่สงสัย คือเป็น อคั รมหาเสนาบดขี องเจา้ ทค่ี รองเมอื งพษิ ณโุ ลก ถงึ เจา้ กรมพระตำรวจ ตำแหนง่ ขนุ ราชนรนิ ทร์ ขนุ อนิ ทรเดช ที่เรียกว่า “กรมพระตำรวจนอก” นั้น ก็เป็นตำแหน่งตำรวจฝ่ายเหนืออย่างเดียวกัน ด้วยมีปรากฏ ในเรื่องพระราชพงศาวดารว่า เมื่อครั้งพระเจ้าหงสาวดีมาล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ พระมหาธรรมราชา ทค่ี รองเมอื งพษิ ณโุ ลกมาในกองทพั กบั พระเจา้ หงสาวดี เสดจ็ เขา้ มาวา่ กลา่ วชาวเมอื งใหย้ อมแพ้ ชาวเมอื ง ไม่เชื่อ กลับเอาปืนยิงพระมหาธรรมราชา ขุนอินทรเดชเข้าอุ้มพระองค์พาหนีปืนไป ความอันนี้เป็น หลักฐานว่า ตำแหน่งขุนอินทรเดชเป็นตำรวจพิษณุโลก เลยส่อให้เห็นต่อไปว่า ที่เรียกในทำเนียบว่า “ตำรวจสนม” ซง่ึ ขนุ พรหมบรริ กั ษ์ ขนุ สรุ ยิ ภกั ดีเปน็ เจา้ กรมนน้ั เดมิ เหน็ จะเปน็ ตำรวจสำหรบั พระอคั รมเหสี ตำรวจสำหรับสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน เดิมมีแต่ ๔ ตำรวจเท่านั้น ตำแหน่งข้าราชการฝ่ายเหนือ ที่กล่าวมานี้ เห็นจะรวมสมทบเข้าในทำเนียบข้าราชการวังหลวง เมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระมหา ธรรมราชาธิราชนั้นเอง หรือมิฉะนั้นก็ในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่จริงตำแหน่งข้าราชการ ตามทำเนียบฝ่ายพระราชวังบวร ฯ ที่ปรากฏในชั้นหลัง เช่นพระยาจ่าแสนยากร และพระยากลาโหม ราชเสนาเป็นต้น น่าจะเกิดขึ้นเมื่อครั้งสมเด็จพระเอกาทศรถเป็นพระมหาอุปราช ด้วยมีพระเกียรติยศ เหมอื นอยา่ งพระเจา้ แผน่ ดนิ แตไ่ มป่ รากฏหลกั ฐาน ในหนงั สอื พระราชพงศาวดารมามชี อ่ื ขนุ นางวงั หนา้ ตามทำเนียบใหม่บางตำแหน่งปรากฏ ต่อเมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นพระมหาอุปราช ในแผ่นดินพระศรีสุธรรมราชา จึงสันนิษฐานว่า จะพึ่งตั้งทำเนียบข้าราชการวังหน้าสังกัดเป็นหมวดหมู่ ๑ ในทำเนยี บนามภาค ๑ เรียกว่า “พระทน่ี ง่ั บวรปรวิ ตั ร” พระทน่ี ่งั องค์นถี้ ูกร้ือลงเม่อื พ.ศ. ๒๕๐๘ เพ่ือสร้างอาคารพพิ ิธภณั ฑสถาน แหง่ ชาติ พระนคร

ตำนานวงั หนา้ ๙๓ เมอ่ื ตง้ั กรมพระราชวงั บวรสถานมงคลในแผน่ ดนิ พระเพทราชาเปน็ เดมิ มา ขา้ ราชการฝา่ ยพระราชวงั บวร ฯ ที่มาตั้งในกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ นั้น เอาทำเนียบอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยามาตั้ง แล้วมา เพิ่มเติมขึ้นเมื่อในรัชกาลที่ ๔ ครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ตรงกับทำเนียบวังหลวง เหตดุ ว้ ยมพี ระเกยี รตยิ ศเปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ ตำแหนง่ ขา้ ราชการวงั หนา้ จงึ มมี ากขน้ึ กวา่ แตก่ อ่ นมาก อนง่ึ ตามประเพณมี แี ตโ่ บราณมา เวลาวา่ งพระมหาอปุ ราช จะเปน็ เพราะเหตพุ ระมหาอปุ ราชเสดจ็ ผา่ นพภิ พเปน็ สมเดจ็ พระเจา้ แผน่ ดนิ กด็ ี หรอื พระมหาอปุ ราชสวรรคตกด็ ี ขา้ ราชการวงั หนา้ ตอ้ งมาสมทบ เปน็ ขา้ ราชการวงั หลวง ผทู้ ร่ี บั ราชการกรมไหนในวงั หนา้ กม็ ารบั ราชการในกรมนน้ั ในพระราชวงั หลวง แต่นั้นสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงตั้งทั้งตำแหน่งข้าราชการฝ่ายวังหลวงและวังหน้า จนทรงตั้งพระมหา อุปราชเมื่อใด ข้าราชการที่ตำแหน่งเป็นฝ่ายพระราชวังบวร ฯ ก็กลับไปรับราชการในพระมหาอุปราช เปน็ ประเพณมี มี าดงั น้ี พิเคราะห์ในทางพงศาวดารของข้าราชการวังหน้าในชั้นกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เมื่อแรกตั้ง กรุงรัตนโกสินทร์ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงเลือกสรรผู้ซึ่งทรงคุ้นเคยใช้สอยในพระองค์มา แตก่ อ่ น มาตง้ั เปน็ ขา้ ราชการวงั หนา้ ตามพระอธั ยาศยั ขา้ ราชการวงั หลวงกบั วงั หนา้ ครง้ั นน้ั เสมอเปน็ ตา่ งพวก มาในตอนปลายจึงมีเหตุเกิดเป็นอริกันดังอธิบายมาแล้ว เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท สวรรคตแล้ว ข้าราชการวังหน้ามาสมทบอยู่ในพระราชวังหลวง ๓ ปี ขุนนางครั้งกรมพระราชวัง บวรมหาสุรสิงหนาท ที่ร้ายก็ถูกกำจัดไป ที่ดีก็ย้ายไปรับราชการตำแหน่งในพระราชวังหลวง เมื่อ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ไดอ้ ปุ ราชาภเิ ษกเปน็ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล ขา้ ราชการ วังหน้าชั้นเดิมเห็นจะเหลืออยู่น้อย จึงปรากฏว่าทรงตั้งข้าหลวงเดิมเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ฝ่ายพระราช วังบวร ฯ โดยมาก ครั้นเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ มีพระราชประสงค์ตัวคนที่ได้ทรงตั้งเป็นตำแหน่ง ขุนนางวังหน้าไว้รับราชการในพระราชวังหลวง จึงต้องจัดหาข้าราชการวังหน้าขึ้นใหม่สำหรับสมเด็จ พระอนชุ าธริ าชพระบณั ฑรู นอ้ ย ทไ่ี ดอ้ ปุ ราชาภเิ ษกเปน็ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล ในครง้ั นน้ั เหน็ จะทรง พระราชดำริปรึกษากัน จะป้องกันมิให้ข้าราชการวังหน้ากับวังหลวงเกิดเป็นต่างพวกต่างเหล่าดังแต่ก่อน จงึ โปรดใหจ้ ดั บตุ รหลานขา้ ราชการผใู้ หญใ่ นพระราชวงั หลวง แบง่ ไปรบั ราชการมตี ำแหนง่ ในฝา่ ยพระราช วังบวร ฯ ทุกๆ ตระกูล ยกตัวอย่างดังเช่นในตระกูลเจ้าพระยามหาเสนา บุนนาค สมเด็จเจ้าพระยา บรมมหาประยรู วงศ์ ผพู้ ่ี ไดเ้ ปน็ จมน่ื ไวยวรนารถในพระราชวงั หลวง สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาพชิ ยั ญาติ ผู้น้อง ได้เป็นจมื่นเด็กชาในพระราชวังบวร ฯ เป็นต้น ในสกุลอื่น ๆ ก็แบ่งไปในทำนองเดียวกัน

๙๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ครน้ั กรมพระราชวงั บวรมหาเสนานรุ กั ษส์ วรรคต ขา้ ราชการวงั หนา้ มาสมทบในพระราชวงั หลวง กเ็ ขา้ กนั ได้ เป็นอันหนึ่งอันเดียว ได้ย้ายมาเป็นตำแหน่งข้าราชการฝ่ายวังหลวงในระหว่างเวลาว่างพระมหาอุปราช อยู่ ๗ ปีนั้นโดยมาก ยกตัวอย่างเช่นสมเด็จเจ้าพระยาทั้ง ๒ องค์ที่กล่าวมาแล้ว สมเด็จเจ้าพระยา องค์ใหญ่ได้เป็นพระยาสุริยวงศ์มนตรีจางวางมหาดเล็กแล้ว สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยก็ได้เป็นพระยา ศรีสุริยวงศ์จางวางมหาดเล็ก ถึงรัชกาลที่ ๓ เมื่อข้าราชการฝ่ายพระราชวังบวร ฯ กลับไปรับราชการ ในกรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพ เหน็ จะเหลอื ขา้ ราชการวงั หนา้ ครง้ั กรมพระราชวงั บวร ฯ ในรชั กาลท่ี ๒ กลบั ไปไมเ่ ทา่ ไร แตต่ อ่ มาไมช่ า้ เมอื งเวยี งจนั ทนเ์ ปน็ ขบถ กรมพระราชวงั บวร ฯ ตอ้ งเสดจ็ เปน็ จอมพลไป ปราบปรามเมอื งเวยี งจนั ทน์ เหน็ จะโปรดใหเ้ ลอื กสรรผทู้ ม่ี คี วามสามารถไปเปน็ ขนุ นางผใู้ หญฝ่ า่ ยพระราช วงั บวร ฯ คราวไปทพั นน้ั หลายคน ปรากฏขา้ ราชการผใู้ หญใ่ นตารางเกณฑท์ พั หลายตำแหนง่ แตช่ น้ั ผนู้ อ้ ย พระบาทสมเดจ็ ฯ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไมไ่ ดท้ รงจดั คนพระราชทานอยา่ งเมอ่ื ครง้ั รชั กาลท่ี ๒ กรมพระราช วังบวร ฯ ต้องทรงเลือกหาเอง ได้ยินเล่ากันว่า ครั้งนั้นพวกข้าราชการวังหลวงไม่ใคร่มีใครสมัครขึ้นไป อยู่วังหน้า ได้แต่ผู้ซึ่งกรมพระราชวังบวร ฯ ทรงคุ้นเคยชอบพอในส่วนพระองค์มาแต่ก่อน หรือที่ไม่ ใคร่มีช่องทางที่จะได้ดีทางวังหลวงไปเป็นข้าราชการวังหน้า เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ สวรรคตแลว้ ตำแหนง่ พระมหาอปุ ราชวา่ งอยถู่ งึ ๑๘ ปี ขา้ ราชการวงั หนา้ ทม่ี าสมทบอยใู่ นพระราชวงั หลวง ก็หมดตัวแต่ในรัชกาลที่ ๓ ครั้นมาถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ สมเด็จพระอนุชาธิราชบวรราชาภิเษก เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องหาข้าราชการ วังหน้าใหม่ทั้งชุด จึงโปรดให้จัดบุตรหลานข้าราชการผู้ใหญ่ในพระราชวังหลวง แบ่งไปรับราชการฝ่าย พระราชวังบวร ฯ เหมือนอย่างครั้งรัชกาลที่ ๒ ข้าราชการวังหน้าครั้งรัชกาลที่ ๔ จึงอยู่ในสกุลเดียวกับ ขา้ ราชการวงั หลวงโดยมาก พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว ข้าราชการฝ่ายพระบวรราชวังก็ลงมาสมทบ รับราชการในพระราชวังหลวง ตำแหนง่ สังกดั กรมไหนก็ไปรบั ราชการในกรมทตี่ รงกนั ตามประเพณีโบราณ ทุก ๆ กรม มีที่ต้องจัดเป็นพิเศษอยู่ ๒ กรม คือกรมทหารบกกับทหารเรือ ด้วยพึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ในครั้ง พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และในครั้งนั้นการบังคับบัญชาทหารอย่างยุโรปยังไม่ได้รวม ขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหมทุกกรมทั่วไป พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบัญชาการทหารบกวังหน้า และโปรดให้กรมหมื่น บวรวไิ ชยชาญพระเจา้ ลกู เธอพระองคใ์ หญข่ องพระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงบญั ชาการทหารเรอื วงั หนา้ ตอ่ มา

ตำนานวงั หนา้ ๙๕ พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคตได้ ๓ ปี ถงึ ปมี ะโรง จลุ ศกั ราช ๑๒๓๐ พ.ศ. ๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็สวรรคต พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ กรมหมน่ื บวรวไิ ชยชาญไดเ้ ปน็ พระมหาอปุ ราช กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล การพระราชพิธีอุปราชาภิเษกครั้งรัชกาลที่ ๕ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ทรง จดั การพธิ ี เอาแบบอยา่ งครง้ั อปุ ราชาภเิ ษกกรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพเปน็ ตำรา คอื ปลกู พลบั พลา ที่ประทับของกรมหมื่นบวรวิไชยชาญที่หน้าโรงละคร รมิ วัดพระศรีรัตนศาสดารามตามเคย แต่กรมหมื่น บวรวไิ ชยชาญเสดจ็ มาประทบั เฉพาะเวลาเมอ่ื จะแห่ หาไดม้ าประทบั แรมทพ่ี ลบั พลาไม่ การทแ่ี หก่ แ็ หจ่ าก พลับพลาไปยังพระราชวังบวร ฯ ไม่ได้ไปทรงเครื่องและขึ้นพระราชยานทีพ่ ระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ดังแต่ก่อน สองขา้ งทางแหต่ ง้ั ราชวตั ฉิ ตั รเบญจรงคต์ ามเคย สว่ นทใ่ี นพระราชวงั บวร ฯ ทท่ี ำพธิ จี ดั แต่ ๒ แหง่ คอื ท่ี พระทน่ี ง่ั อศิ ราวนิ จิ ฉยั ตง้ั ทง้ั พระแทน่ มณฑลและเทยี นไชย เปน็ ทพ่ี ระสงฆห์ มใู่ หญส่ วดมนตแ์ ละสวดภาณวาร แหง่ ๑ ในหอ้ งพระบรรทมทพ่ี ระทน่ี ง่ั วสนั ตพมิ านจดั เปน็ ทท่ี รงฟงั พระสงฆธ์ รรมยตุ กิ า ๕ รปู สวดพระปรติ ร อีกแห่ง ๑ มีการที่ต้องแก้ไขเป็นข้อสำคัญอย่างหนึ่ง คือ ตามประเพณีเดิม กรมพระราชวังบวร ฯ ต้องเสด็จเข้าไปรับพระราชทานพระสุพรรณบัฏที่ในพระบรมมหาราชวัง แต่เมื่อในรัชกาลที่ ๔ พระบาท สมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปพระราชทานพระสุพรรณบัฏเจ้านายตั้งกรมที่วังทุก ๆ พระองค์ อปุ ราชาภเิ ษกครง้ั นจ้ี งึ ตอ้ งเอาแบบการเสดจ็ พระราชดำเนนิ ครง้ั บวรราชาภเิ ษกพระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั มาเปน็ ตำรา เริ่มการพิธีวันแรกเดือนอ้าย ขึ้น ๘ ค่ำ๑ ปีมะโรงสัมฤทธิศก เพลาบ่ายพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จโดยกระบวนราบไปประทับที่พระที่นั่งคชกรรมประเวศ แล้วกระบวนแห่กรมหมื่น บวรวิไชยชาญตามขึ้นไป ผ่านหน้าพระที่นั่งถวายบังคมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วไปประทับ พระราชยานทเ่ี กยพระทน่ี ง่ั มงั คลาภเิ ษก เปลย่ี นเครอ่ื งแตง่ พระองคท์ รงเขยี นทองพน้ื ขาว ฉลองพระองคค์ รยุ ไปทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการ ทรงศีลที่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ซึ่งจัดเป็นที่ประทับพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวด้วย ครั้นจุดเทียนไชยแล้วเสด็จเข้าไปทรงฟังสวดที่พระที่นั่งวสันตพิมาน จนสวดมนต์จบ เสด็จพระราชดำเนินกลับแล้วจึงแห่กลับ รุ่งเช้ากรมหมื่นบวรวิไชยชาญเสด็จจากวังใหม่ไปเลี้ยงพระ ที่ในพระราชวังบวร ฯ ครั้นสวดมนต์ครบ ๓ วัน ถึงวันพุธ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๑ ค่ำ๒ เพลาเช้า ๑ ตรงกับวันที่ ๒๑ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ๒ ตรงกับวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑

๙๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญเข้าที่สรง แล้วเสด็จมารับพระราชทานพระสุพรรณบัฏและเครื่องบวรราชูปโภค ที่ในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ครั้นเสด็จพระราชดำเนินกลับแล้ว กรมพระราชวังบวร ฯ เสด็จออกโปรยทาน ทพ่ี ระทน่ี ง่ั คชกรรมประเวศ* และเวลาบา่ ยมกี ารสมโภชเวยี นเทยี น เปน็ เสรจ็ การพระราชพธิ อี ปุ ราชาภเิ ษก กรมหมน่ื บวรวไิ ชยชาญ เปน็ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล พระชนมายไุ ด้ ๓๑ พรรษา ในเวลานน้ั พระราชมนเทียรและสถานที่ต่าง ๆ ในวังหน้า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงซ่อมแซม สรา้ งไวย้ งั บรบิ รู ณด์ ี มสี ง่ิ สำคญั ซง่ึ ปรากฏวา่ สรา้ งใหมค่ รง้ั กรมพระราชวงั บวรวไิ ชยชาญ แตท่ ว่ี งั ซง่ึ เสดจ็ อยู่ แตก่ อ่ น (ตรงท่โี รงพยาบาลทหารบกทกุ วนั น)้ี ๑ รอ้ื สรา้ งใหมท่ ง้ั วงั ทำเปน็ ตกึ อยา่ งฝรง่ั มีเขอ่ื นเพช็ รรอบวงั และทำทางฉนวน มสี ะพานขา้ มคลองเขา้ มาถงึ พระราชวงั บวร ฯ เลา่ กนั มาวา่ เปน็ ความคดิ ของสมเดจ็ เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศใ์ ห้สร้างจะให้ประทับอยู่ที่วังนั้น โดยปกติใช้พระราชวังบวร ฯ แต่สำหรับ การพธิ แี ละรบั แขกเมอื ง เพราะเหน็ วา่ กรมพระราชวงั บวร ฯ รชั กาลท่ี ๒ ท่ี ๓ เสดจ็ อยใู่ นพระราชวงั บวร ฯ พระชันษาสั้น แต่การสร้างวังนั้นค้างมา กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญหาได้เสด็จไปประทับไม่ ที่สุด จงึ ประทานใหเ้ ปน็ วงั ลกู เธอ พระองคเ์ จา้ วลิ ยั วรวลิ าศ พระองคเ์ จา้ ไชยรตั นวโรภาศ แบง่ กนั องคล์ ะครง่ึ ส่วนที่ในพระราชวังบวร ฯ เป็นแต่ทรงสร้างพระที่นั่ง ซึ่งพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างค้างไว้ให้สำเร็จเสด็จไปประทับอยู่ ณ ที่นั้น ทรงขนานนามว่า “พระที่นั่งสาโรชรัตนประพาส” ส่วนที่พระวิมานเดิมนั้นโปรดใหเ้ จ้าคุณจอมมารดาเอม พระชนนี ขึ้นมาอยู่ที่มุขตะวันออก อันเรียกว่า พระทน่ี ง่ั บรุ พาภมิ ขุ เมื่อกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญอุปราชาภิเษกนั้น มีตำแหน่งข้าราชการฝ่ายพระบวรราชวัง เพิ่มเติมขึ้นครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวมาก และมีทั้งทหารบกทหารเรือก็จัดขึ้นเป็นของ ฝ่ายวังหน้า ผิดกับครั้งพระมหาอุปราชแต่ก่อน ๆ ข้าราชการวังหน้ายังมีตัวอยู่มาก เพราะลงมาสมทบ รบั ราชการวงั หลวงเพยี ง ๓ ปี ครง้ั นน้ั สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ ซง่ึ เปน็ ผสู้ ำเรจ็ ราชการแผน่ ดนิ ในสมยั เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ ฯ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ยงั ทรงพระเยาวพ์ ระชนมายอุ ยู่ บญั ชาสง่ั ใหบ้ รรดา ขา้ ราชการทม่ี สี งั กดั วงั หนา้ กลบั คนื ไปอยใู่ นกรมพระราชวงั บวร ฯ ตามแบบโบราณ รวมทง้ั กรมทหารบกทหารเรอื ที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดขึ้นใหม่ด้วยทั้งสิ้น ไม่ได้ดำริให้ลดลง คงแต่ตามอย่าง * ทท่ี รงโปรยทาน คงมที กุ คราวอปุ ราชาภเิ ษกแตก่ อ่ นมา แตห่ ากในจดหมายเหตกุ ลา่ วถงึ บา้ งไมก่ ลา่ วบา้ ง อนง่ึ เมอ่ื ครง้ั พระบาทสมเดจ็ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวบวรราชาภิเษก ปรากฏว่าเสด็จลงมาถวายดอกไม้ธูปเทียนที่พระราชวังหลวง แต่ครั้งนี้เข้าใจว่ากรมพระราชวังบวร ฯ เหน็ จะทลู เกลา้ ฯ ถวายทพ่ี ระราชวงั บวร ฯ เมอ่ื รบั พระราชทานพระสพุ รรณบฏั เหมอื นอยา่ งตง้ั กรมเจา้ นายในครง้ั รชั กาลท่ี ๔ ๑ หมายถึงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ ปัจจุบันคือกรมขา่ วทหารบก

ตำนานวงั หนา้ ๙๗ กรมพระราชวงั บวร ฯ แตก่ อ่ นมา เพราะฉะนน้ั ทง้ั ขา้ ราชการและกำลงั ไพรพ่ ลฝา่ ยวงั หนา้ ในเวลากรมพระราช วงั บวรวไิ ชยชาญอปุ ราชาภเิ ษกจงึ มมี ากกวา่ ครง้ั ไหน ๆ ทเ่ี คยปรากฏมาแตก่ อ่ น ดเู หมอื นความประสงคใ์ น ครั้งนั้นจะให้กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงรักษาระเบียบแบบแผนการงานทั้งปวงที่พระบาทสมเด็จ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงจดั ไวใ้ หค้ งทถ่ี าวรสบื ไป กรมพระราชวงั บวรวไิ ชยชาญจงึ ทรงพยายามทจ่ี ะเจรญิ รอย รักษาแบบอย่างของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อมา ทั้งขนบธรรมเนียมในพระราชวังบวร ฯ มเี สดจ็ ออกท่ี โรงรถแทนทอ้ งพระโรงเปน็ ตน้ ตลอดจนการฝกึ หดั จดั ทหารบกทหารเรอื กจ็ ดั ตอ่ มาอยา่ งครง้ั พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่เพราะฐานะผิดกัน ด้วยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระเกียรติยศเป็นอย่างพระเจ้าแผ่นดิน และเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เป็นแต่กรมพระราชวังบวร ฯ และเป็นแต่พระเจ้าบวรวงศ์เธอในชั้นราชตระกูล การที่ส่ำสมกำลังพลทหาร จะให้เหมือนแบบอย่างครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะเรียก ระดมทหารวังหน้า เมื่อปีจอ จุลศักราช ๑๒๓๖ พ.ศ. ๒๔๑๗ ต้องจัดวางกำหนดอัตราเป็นยุติที่ กรมพระราชวงั บวร ฯ จะมที หารไดเ้ พยี งเทา่ ใด เมอ่ื เปน็ ยตุ แิ ลว้ จงึ เรยี บรอ้ ยเปน็ ปกตติ อ่ มา กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญโปรดในการช่างต่าง ๆ มาแต่เดิม ทรงจัดตั้งโรงงานการช่างขึ้นใน วังหน้าหลายอย่าง ทั้งช่างหล่อ ช่างกลึง ช่างเคลือบ ของที่ทรงประดิษฐ์คิดทำขึ้นล้วนเป็นฝีมืออย่าง ประณตี จะหาเสมอไดโ้ ดยยาก แตโ่ รงงานการชา่ งในครง้ั กรมพระราชวงั บวรวไิ ชยชาญ ใชแ้ กไ้ ขสถานทซ่ี ง่ึ มมี า แต่เดิมแล้วโดยมาก ปลูกสร้างใหม่ก็แต่ของเล็กน้อย มาในตอนหลังทรงหัดงิ้วขึ้นโรงหนึ่ง ก็ใช้สถานที่ ของเดมิ ใหเ้ ปน็ ทพ่ี วกงว้ิ อาศยั กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราชอยู่ ๑๗ ปี ประชวรพระโรควักกะ พกิ าร เสดจ็ ทวิ งคตทพ่ี ระทน่ี ง่ั บวรบรวิ ตั ิ เมอ่ื ณ วนั ศกุ ร์ เดอื น ๙ แรม ๓ คำ่ ๑ ปรี ะกา จลุ ศกั ราช ๑๒๔๗ พ.ศ. ๒๔๒๘ พระชนมายไุ ด้ ๔๘ พรรษา ประดษิ ฐานพระศพประกอบพระโกศทองนอ้ ย ไวใ้ นพระทน่ี ง่ั อิศราวินิจฉัยและโปรดให้ประกาศสั่งคนโกนหัวไว้ทุกข์เฉพาะที่สังกัดฝ่ายพระราชวังบวร ฯ เหมือนอย่าง กรมพระราชวงั บวร ฯ สวรรคตแตก่ อ่ นมา ครน้ั ถงึ เดอื น ๗ ปจี อ พ.ศ. ๒๔๒๙ พระเมรุทท่ี อ้ งสนามหลวง สร้างเสร็จแล้ว จึงแห่พระศพจากพระราชวังบวร ฯ มายังพระเมรุ มีการมหรสพสมโภชและทรงบำเพ็ญ พระราชกุศลตามพระราชประเพณี พระราชทานเพลิงเมื่อวันจันทร์ เดือน ๗ ขึ้น ๑๓ ค่ำ๒ แล้วให้เชิญ ๑ ตรงกับวันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ๒ ตรงกับวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๙

๙๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระอัฐิไปประดิษฐานไว้ที่พระที่นั่งอิศเรศรราชานุสรกับพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ดว้ ยกนั เมื่อกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทิวงคตแล้ว ในปีจอ จุลศักราช ๑๒๔๘ พ.ศ. ๒๔๒๙ นั้น พระบาทสมเดจ็ ฯ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสถาปนาสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เปน็ มกฎุ ราชกมุ าร อย่างสมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า ตามราชประเพณีเดิม จึงประกาศพระราชกฤษฎีกาเลิกตำแหน่ง พระมหาอปุ ราชฝา่ ยหนา้ แตน่ น้ั มา๑ สว่ นวงั หนา้ เมอ่ื มไิ ดเ้ ปน็ พระราชวงั ดงั แตก่ อ่ นแลว้ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชดำรจิ ะไมใ่ หเ้ ปน็ ทร่ี า้ ง จงึ โปรดใหจ้ ดั ทใ่ี นเขตวงั ชน้ั นอกเปน็ โรงทหาร รักษาพระองค์ คือราบท่ี ๑๑ ทุกวันนี๒้ ด้วยทหารบกวงั หนา้ มาสมทบอยใู่ นกรมนน้ั วงั ชน้ั กลางโปรดให้ จัดเป็นที่พิพิธภัณฑสถานที่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พระที่นั่งพุทไธศวรรย์ และพระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน สว่ นชน้ั ในยงั มเี จา้ นาย ทง้ั พระราชธดิ าในพระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั และพระธดิ ากรมพระราช วงั บวรวไิ ชยชาญเสดจ็ อยดู่ ว้ ยกนั มาก จงึ โปรดใหค้ งจดั รกั ษาเปน็ พระราชวงั ใหม้ เี จา้ พนกั งานรกั ษาหนา้ ท่ี อยู่อย่างเดิม ทรงมอบหมายการปกครองให้พระองค์เจ้าดวงประภา พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ของ พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสำเรจ็ ราชการฝา่ ยในทว่ั ไป และโปรดใหเ้ สดจ็ ขน้ึ มาประทบั อยู่ที่พระที่นั่งสาโรชรัตนประพาส พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระอุตสาหะเสด็จ ฯ ขึ้นไปเยี่ยมเยือนเนือง ๆ ด้วยพระองค์ทรงเคารพนับถือในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวมาก ทรงอุปการะแก่พระราชบุตรพระราชธิดามาทุกพระองค์ ถึงลูกเธอในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ซึ่งยังทรงพระเยาว์อยู่โดยมากนั้น ก็ทรงจัดการให้เล่าเรียนและเป็นพระราชธุระทำนุบำรุงต่อมา ที่เป็น พระองค์ชายเมื่อทรงพระเจริญขึ้นได้มีตำแหน่งรับราชการแทบทุกพระองค์ เมื่อพระองค์เจ้าดวงประภา สิ้นพระชนม์ โปรดให้พระองค์เจ้าสุดาสวรรค์ พระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว รองลงมา ทรงสำเร็จราชการฝ่ายในวังหน้า ต่อมาเหมือนอย่างพระองค์เจ้าดวงประภา และโปรดให้ พระองคเ์ จา้ วงจนั ทรพ์ ระเจา้ นอ้ งนางรว่ มพระชนนกี บั กรมพระราชวงั บวรวไิ ชยชาญเสดจ็ ขน้ึ มาประทบั ทพ่ี ระทน่ี ง่ั บวรบรวิ ตั ิ มาจนตลอดรชั กาลท่ี ๕ เมอ่ื เลกิ ตำแหนง่ กรมพระราชวงั บวร ฯ แลว้ ครน้ั ลว่ งเวลามาหลายปี ปอ้ มปราการสถานทใ่ี นวงั หนา้ ก็ชำรุดทรุดโทรมลงโดยลำดับ ด้วยตั้งแต่ก่อสร้างซ่อมแซมครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ๑ พระบรมราชโองการเลกิ ตำแหนง่ วงั หนา้ เมื่อวันศุกร์ เดือน ๙ แรม ๑๐ ค่ำ ปีระกาสัปตศก ศักราช ๑๒๔๗ ตรงกับวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๒๘ ๒ หมายถึงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ แต่ปัจจุบันคือบริเวณมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์

ตำนานวงั หนา้ ๙๙ แลว้ ตอ่ มาหาไดบ้ รู ณปฏสิ งั ขรณอ์ กี ไม่ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชดำรวิ า่ สถานทต่ี า่ ง ๆ ในวงั หนา้ ทไ่ี มเ่ ปน็ สง่ิ สำคญั จะลงทนุ บรู ณปฏสิ งั ขรณข์ น้ึ กไ็ มเ่ ปน็ ประโยชนอ์ นั ใด ควรรกั ษาไว้ แต่ที่เป็นสิ่งสำคัญ จึงโปรดให้รื้อป้อมปราการสถานที่ต่าง ๆ ส่วนชั้นนอกข้างด้านตะวันออกลงเปิดที่เป็น ทอ้ งสนามหลวง ตอ่ มาเมอ่ื เสดจ็ กลบั จากประพาสนานาประเทศในยโุ รปครง้ั แรก เมอ่ื รตั นโกสนิ ทรศ์ ก ๑๑๖ พ.ศ. ๒๔๔๐ ทรงจัดการตกแต่งพระนครให้ไพบูลย์ขึ้น โปรดให้ข้างด้านตะวันออกทำถนนราชดำเนินใน และท้องสนามหลวงขยายต่อขึ้นไปข้างเหนือ จึงรื้อป้อมปราการสถานที่ต่าง ๆ ต่อไปอีก คงไว้แต่ พระอโุ บสถวดั บวรสถานสทุ ธาวาส แลว้ จงึ โปรดใหส้ รา้ งตกึ ขน้ึ ในสนามขา้ งดา้ นเหนอื ๓ หลงั เปน็ ทว่ี า่ การ กระทรวงธรรมการ แล้วเปลี่ยนมาใช้ราชการกระทรวงยุติธรรมอยู่จนบัดนี๑้ และสร้างโรงไว้พระมหา พไิ ชยราชรถ ตอ่ ลงมาขา้ งใต้ ทร่ี มิ นำ้ ขา้ งดา้ นตะวนั ตกกร็ อ้ื สถานทข่ี องเดมิ สรา้ งโรงทหารราบท่ี ๑๑ ขน้ึ ใหม่ สว่ นขา้ งในพระราชวงั บวร ฯ นานมามคี นอยลู่ ดนอ้ ยลง ตำหนกั ขา้ งในรา้ งวา่ งเปลา่ มาก จงึ โปรดใหก้ นั ตำหนักตอนข้างด้านใต้ออกเป็นข้างหน้าตอน ๑ ให้จัดเป็นคลังเครื่องสรรพยุทธ ทำประตูใหม่ขึ้นตรง มุมถนนพระจันทร์ และรื้อเขื่อนเพ็ชรเดิมก่อเป็นกำแพงใบเสมาเหมือนกำแพงเดิมต่อไปข้างด้าน ตะวนั ออกจนจรดกำแพงรว้ั เหลก็ ซง่ึ ทำใหมใ่ นตอนเขตพพิ ธิ ภณั ฑสถาน วา่ โดยยอ่ อยา่ งทเ่ี ปน็ อยทู่ กุ วนั น้ี ถงึ รชั กาลท่ี ๖ เมอ่ื พระองคเ์ จา้ สดุ าสวรรคส์ น้ิ พระชนม์ โปรดใหพ้ ระองคเ์ จา้ วงจนั ทรท์ รงสำเรจ็ ราชการฝา่ ยในวังหน้าแทนพระองคเ์ จา้ สดุ าสวรรคต์ อ่ มา จนปมี ะโรง พ.ศ. ๒๔๕๙ พระองคเ์ จา้ วงจนั ทร์ สิ้นพระชนม์ เจ้านายข้างในยังเหลืออยู่น้อยพระองค์ สมัครจะเสด็จไปอยู่ในพระบรมมหาราชวัง จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานพระบรมราชานญุ าตใหเ้ จา้ นายฝา่ ยในพระราชวงั บวร ฯ เสดจ็ ลงไปอยใู่ นพระราชวงั หลวง และทรงพระราชดำรวิ า่ พระราชมนเทยี รสถานในพระราชวงั บวร ฯ ซง่ึ เปน็ ท่ี ประดษิ ฐานพระอฐั กิ รมพระราชวงั บวร ฯ แตก่ อ่ นมา ชำรดุ ทรดุ โทรมมากนกั ไมส่ มควรจะเปน็ ทป่ี ระดษิ ฐาน พระอฐั ติ อ่ ไป จงึ โปรดใหเ้ ชญิ พระบรมอฐั พิ ระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั กบั พระอฐั กิ รมพระราช วังบวร ฯ ทั้ง ๔ พระองค์ แห่มาจากพระราชวังบวร ฯ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๔๖๐ มาประดิษฐานไว้ที่วิหารพระธาตุ* ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนที่วังหน้านอกจากบริเวณ พพิ ธิ ภณั ฑสถานนน้ั โปรดให้ กระทรวงกลาโหมดแู ลปกครองรกั ษาตอ่ มาจนทกุ วนั น้๒ี *๑ หมายถงึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๖๘ ตอ่ มาเปน็ ทท่ี ำการกระทรวงคมนาคม แลว้ ภายหลงั ไดร้ อ้ื ลง สรา้ งโรงละครแหง่ ชาตขิ ึ้นแทน หอพระนากในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ๒ หมายถึงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ ปัจจุบันคือมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์

๑๐๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ อธิบายแผนที่วังหน้า ไดก้ ลา่ วมาขา้ งตน้ วา่ จะอธบิ ายดว้ ยแผนทพ่ี ระราชวงั บวร ฯ ในตอนหนง่ึ ตา่ งหาก จะอธบิ ายตอ่ ไป ในตอนน้ี พระราชวงั บวร ฯ ดตู ามแผนท่ี แนวกำแพงวงั ไมเ่ ทา่ กนั ทกุ ดา้ น เขา้ ใจวา่ เมอ่ื ลงมอื สรา้ งแลว้ จงึ ตอ่ กำแพงดา้ นตะวนั ตกขน้ึ ไปขา้ งเหนอื ใหไ้ ดแ้ นวคลองคเู มอื งเดมิ เอาเปน็ ควู งั ดา้ นเหนอื กำแพงวงั ดา้ นเหนอื จงึ ตอ้ งชกั เปรตามออกไป วดั ตามแนวกำแพงวงั ประมาณ ดา้ นตะวนั ออก ๗ เสน้ ดา้ นใต้ ๙ เสน้ ดา้ นตะวนั ตก ๑๒ เสน้ ดา้ นเหนอื ๑๐ เสน้ กำแพงวงั ชน้ั นอกสรา้ งเปน็ กำแพงใบเสมาเหมอื นพระราชวงั หลวง มปี อ้ มประจำกำแพงวงั ๑๐ ปอ้ ม๑ ดา้ นตะวนั ออก ๑ ปอ้ มมกุ ดาพศิ าล (อสิ าน) ปอ้ มมมุ เหนอื ๒ ปอ้ มเพช็ รบรู พา กลาง ๓ ปอ้ มวเิ ชยี รอาคเณย์ มมุ ใต้ ดา้ นใต้ ๔ ปอ้ มไพฑรู ย์ ๒ ๕ ปอ้ มเขอ่ื นเพช็ ร ๖ ปอ้ มเขอ่ื นขนั ธ์ อยตู่ รงวดั มหาธาตุ ดา้ นตะวนั ตก ๗ ปอ้ มพระจนั ทร์ มมุ ใต้ ๘ ปอ้ มพระอาทติ ย์ มมุ เหนอื ดา้ นเหนอื ๙ (สบื ไมไ่ ดช้ อ่ื บางคนวา่ มใิ ชป่ อ้ ม) ๑๐ ปอ้ มนลิ วตั ถา ชอ่ื ปอ้ มพระราชวงั บวร ฯ ไมค่ ลอ้ งสมั ผสั กนั ตลอดเหมอื นปอ้ มพระราชวงั หลวง เขา้ ใจวา่ แตเ่ ดมิ ชื่อจะไม่คล้องกัน จะเรียกสั้น ๆ แต่ว่าป้อมพระจันทร์ ป้อมพระอาทิตย์ ป้อมเพ็ชร ป้อมนิล ป้อมมุกดา ปอ้ มวเิ ชยี ร ปอ้ มไพฑรู ย์ ปอ้ มเขอ่ื นขนั ธ์ ปอ้ มเขอ่ื นเพช็ ร ดงั น้ี ๑ ปอ้ มและประตใู นปจั จบุ นั ไดร้ อ้ื ลงหมดแลว้ สว่ นกำแพงวงั ชน้ั นอกคงเหลอื บางสว่ นทางทศิ ใตต้ ามแนวถนนพระจนั ทรเ์ ทา่ นน้ั ๒ ในทำเนยี บนามภาค ๑ เรยี กวา่ ปอ้ มเพชรฑ์ รู ยิ ์

ตำนานวงั หนา้ ๑๐๑ ประตูพระราชวังบวร ฯ ชั้นนอกมี ๑๓ ประตู ชื่อคล้องสัมผัสกันหมด ขึ้นต้นแต่ด้านใต้เวียน ไปเหนอื คอื ดา้ นใต้ ๑ ประตพู รหมทวาร ของเดมิ ตรงถนนหนา้ พระธาตุ ทางเสดจ็ พระราชวงั หลวง ดา้ นตะวนั ออก ๒ ประตพู ศิ าลสนุ ทร ของเดมิ ๓ ประตบู วรยาตรา ทำใหมใ่ นรชั กาลท่ี ๔ เหนอื พลบั พลาสงู ใหเ้ ปน็ คกู่ บั ประตพู ศิ าลสนุ ทร ๔ ประตศู กั ดาพไิ ชย ของเดมิ ดา้ นเหนอื ๕ ประตอู ำไพพมิ ล ของเดมิ เรยี กกนั วา่ ประตโู รงเหลก็ ๖ ประตมู งคลสถติ เปน็ ทางฉนวนออกวงั ใหมแ่ ตจ่ ะทำครง้ั ไหนหาทราบไม่ ดา้ นตะวนั ตก ๗ ประตพู จิ ติ รเจษฎา ของเดมิ ๘ ประตไู อยราสนาน ประตสู กดั เหนอื เขา้ ใจวา่ ทำใหม่ ในรชั กาลท่ี ๔ ๙ ประตสู ารซบั มนั ของเดมิ ประตทู า่ ขนุ นาง เปน็ ทางชา้ งระวางในลงนำ้ แตก่ อ่ น ๑๐ ประตอู นนั ตโสภา ของเดมิ ทางพระฉนวนลงตำหนกั แพ ๑๑ ประตกู ลั ยาประพาส ของเดมิ ทางฉนวนขา้ งใน ๑๒ ประตสู อาดชลธาร ของเดมิ เปน็ ทางไขนำ้ เขา้ วงั ดา้ นใต้ ๑๓ ประตตู ระการไพจติ ร สกดั ใต้ เขา้ ใจวา่ ทำในรชั กาลท่ี ๔ นา่ จะมอี กี ประตหู นง่ึ จะมชี อ่ื เชน่ วา่ “ววิ ธิ บวร” หรอื อะไรทำนองน้ี แตอ่ ดุ เสยี กอ่ น ทำแผนท่ี เพราะชอ่ื ขาดสมั ผสั อยชู่ อ่ื ๑ ๑๔ ประตไู กรสรลลี าส ของเดมิ ทางเสดจ็ ออกวดั มหาธาตุ ประตชู น้ั กลางมี ๘ ประตู ขนานนามคลอ้ งกนั อกี ชดุ ๑ ตง้ั ตน้ แตป่ ระตกู ลางดา้ นตะวนั ออก คอื ดา้ นตะวนั ออก ๑ ประตมู หาโภคราช เรยี กประตสู องชน้ั สรา้ งในรชั กาลท่ี ๔ แตจ่ ะมปี ระตเู ดมิ อยแู่ ลว้ หรอื อยา่ งไรสงสยั อยู่ ดา้ นเหนอื ๒ ประตโู อภาสพมิ าน ของเดมิ ๓ ประตอู ลงการโอฬาร์ ๑ ทางออกวดั บวรสถาน ฯ เขา้ ใจวา่ ของเดมิ สำหรบั ออกสวน ๑ ในทำเนยี บนาม ภาค ๑ เรียกว่า ประตอู ลงั การโอฬาร์

๑๐๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ดา้ นตะวนั ตก ๔ ประตสู ดุ ายรุ ยาตร เรยี กประตฉู นวนใหม่ ทางลงตำหนกั แพ สรา้ งในรชั กาลท่ี ๔ ๕ ประตนู าฏจรล๑ี ของเดมิ ประตฉู นวนเกา่ ๖ ประตนู ารจี รจรลั ๒ ของเดมิ เรยี กประตดู นิ ดา้ นใต้ ๗ ประตสู วรรยาภริ มย์ เรยี กกนั วา่ ประตผู ี ๘ ประตอู ดุ มโภไค เหน็ จะเปน็ ของเดมิ ประตชู น้ั ในมี ๕ ประตู ชอ่ื คลอ้ งกนั อกี ชดุ ๑ คอื ๑ ประตพู รหมพกั ตร์ อยขู่ า้ งใต้พระทน่ี ง่ั ศวิ โมกข์ สงสยั วา่ ทำใหม่ ในรชั กาลท่ี ๔ ๒ ประตจู กั รมหมิ า อยขู่ า้ งหลงั พระทน่ี ง่ั ศวิ โมกข์ จะเปน็ ของเดมิ หรอื อยา่ งไรสงสยั อยู่ ๓ ประตสู นธยายน๓ เรยี กประตยู ามคำ่ เขา้ ใจวา่ สรา้ งในรชั กาลท่ี ๓ อยใู่ ตพ้ ระทน่ี ง่ั อศิ ราวนิ จิ ฉยั ๔ ประตสู ถลศวิ าลยั ตรงกบั ประตสู นธยายน อยขู่ า้ งเหนอื เขา้ ใจวา่ สรา้ งในรชั กาลท่ี ๓ ๕ ประตสู ถานมนเทยี ร ทางเขา้ โรงรถทเ่ี สดจ็ ออก ในรชั กาลท่ี ๔ และท่ี ๕ เหน็ จะทำใหมใ่ นรชั กาลท่ี ๔ ประตูวังหน้าเป็นของเดิมก็มี สร้างใหม่ชั้นหลังก็มี ที่มีชื่อเข้าสัมผัสคล้องต่อกันหมดทั้งเก่าใหม่ เหน็ ไดว้ า่ ชอ่ื ทค่ี ลอ้ งกนั นเ้ี ปน็ ของตง้ั ขน้ึ ใหมใ่ นรชั กาลท่ี ๔ ชอ่ื เดมิ จะเปน็ อยา่ งไร จงึ สงสยั อยู่ แตส่ งั เกต ได้ว่าเอาชื่อประตูพระราชวังกรุงศรีอยุธยามาใช้โดยมาก เช่นประตูจักรมหิมา ประตูมหาโภคราช ๒ ประตนู ้ี เหมอื นกบั ชอ่ื ประตพู ระราชวงั หลวงกรงุ ศรอี ยธุ ยาทเี ดยี ว นอกนน้ั แกไ้ ขใหผ้ ดิ กนั แตพ่ อรเู้ คา้ ได้ ดงั จะเทยี บใหเ้ หน็ ตอ่ ไปน้ี ๑ ในทำเนียบนาม ภาค ๑ เรยี กวา่ ประตวู รนาฏจรลี ๒ ในทำเนยี บนาม ภาค ๑ เรยี กวา่ ประตนู ารจี รจรณั ย์ ๓ ในทำเนยี บนาม ภาค ๑ เรยี กวา่ ประตยู ำ่ สนธยายน

ตำนานวงั หนา้ ๑๐๓ ชอ่ื ประตพู ระราชวงั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ชอ่ื ประตพู ระราชวงั บวร ฯ ประตพู รหมสคุ ต ประตพู รหมทวาร ประตมู งคลสนุ ทร ประตพู ศิ าลสนุ ทร ประตนู ครไชย ประตศู กั ดาพไิ ชย ประตนู เิ วศนว์ มิ ล ประตอู ำไพพมิ ล ประตทู วารเจษฎา ประตพู จิ ติ รเจษฎา ประตชู า้ งระวางใน ประตสู ารซบั มนั ประตอู ดุ มคงคา ประตสู อาดชลธาร ประตทู วารวจิ ติ ร ประตตู ระการไพจติ ร ประตโู อฬารกิ ฉตั ร ประตอู ลงการโอฬาร์ ประตกู ลั ยาภริ มย์ ประตสู ดุ ายรุ ยาตร ประตมู หาไพชยนต์ ประตสู ถานมนเทยี ร สถานที่ต่าง ๆ มีในพระราชวังบวร ฯ ชั้นนอก ตามที่ปรากฏอยู่ในแผนที่ข้างด้านตะวันออก จะวา่ แตเ่ หนอื ลงมาใต้๑ คอื ๑ โรงรถ เปน็ ของสรา้ งใหม่ สรา้ งในรชั กาลท่ี ๔ หรอื ท่ี ๕ หาทราบไม่ ๒ ศาลาลกู ขนุ มหาดไทยหลงั ๑ กลาโหมหลงั ๑ สรา้ งเปน็ เครอ่ื งไมใ้ นรชั กาลท่ี ๔ ตามของเดมิ ๓ ศาลาสารบาญชสี ำหรบั สสั ดี สรา้ งเปน็ เครอ่ื งไมใ้ นรชั กาลท่ี ๔ ตามของเดมิ ๔ โรงรวมปนื ใหญ่ ๒ โรง สรา้ งในรชั กาลท่ี ๔ ๕ โรงปนื เลก็ สรา้ งในรชั กาลท่ี ๔ ๖ โรงชา้ งระวางใน ๓ โรง ของเดมิ เปน็ โรงเครอ่ื งไม้ สรา้ งใหมใ่ นรชั กาลท่ี ๔ เปน็ ตกึ ๗ โรงหดั ทหาร ๒ โรง สรา้ งในรชั กาลท่ี ๔ ๘ พลบั พลาโถง ขนาดพระทน่ี ง่ั ไชยชมุ พล สำหรบั ทอดพระเนตร หดั ทหาร สรา้ งในรชั กาลท่ี ๔ ๑ สว่ นใหญร่ อ้ื ลงหมดเมอ่ื คราวขยายเขตทำสนามหลวง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐

๑๐๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ๙ โรงมา้ แซง ๒ หลงั สรา้ งในรชั กาลท่ี ๔ ๑๐ พลับพลาสูง สรา้ งบนกำแพงวงั สรา้ งในรชั กาลท่ี ๔ ดงั กลา่ วมาแลว้ ๑๑ โรงปนื ใหญส่ องขา้ งประตชู น้ั นอก มที กุ ประตู เขา้ ใจวา่ สรา้ งใหมใ่ นรชั กาลท่ี ๔ ใหเ้ หมอื นอยา่ งพระราชวงั หลวง สถานทต่ี า่ ง ๆ มใี นพระราชวงั บวร ฯ ชน้ั นอก ขา้ งดา้ นเหนอื คอื ๑๒ วดั บวรสถานสทุ ธาวาส กรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพทรงสรา้ ง ไดแ้ สดงตำนาน มาแตก่ อ่ นตอน ๑ แลว้ ยงั มเี รอ่ื งตำนานตอ่ มา ในรชั กาลท่ี ๔ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชดำริจะให้เชิญพระพุทธสิหิงคไ์ ปประดิษฐานเป็นประธานในพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส อยา่ งเดยี วกบั พระแกว้ มรกตเปน็ ประธานในวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ในพระราชวงั หลวง โปรดใหก้ อ่ ฐาน ชุกชีที่จะตั้งบุษบกกลางพระอุโบสถ และเขียนเรื่องตำนานพระพุทธสิหิงคท์ ี่ฝาผนัง แต่การค้างอยู่จนสิ้น รชั กาลท่ี ๔ จงึ หาไดเ้ ชญิ พระพทุ ธสหิ งิ คไ์ ปไม่ ถงึ รชั กาลท่ี ๕ เมอ่ื รอ้ื กำแพงพระราชวงั บวร ฯ แลว้ นน้ั ในรตั นโกสนิ ทรศ์ ก ๑๑๙ พ.ศ. ๒๔๔๓ จะพระราชทานเพลงิ พระบรมศพสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชริ ณุ หศิ โปรดใหแ้ ตง่ พระอโุ บสถ วดั บวรสถานสทุ ธาวาสเปน็ พระเมรพุ มิ าน ทป่ี ระดษิ ฐานพระบรมศพเวลาสมโภชและทรงบำเพญ็ พระราชกศุ ล แทนพระเมรุใหญ่ท้องสนามหลวงอย่างแต่ก่อน ปลูกพระเมรุน้อยที่พระราชทานเพลิงต่อออกมาข้างเหนือ จึงเปลี่ยนนามเรียกว่า “พระเมรุพิมาน” โปรดให้ทำการพระศพสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระบรมราชอปุ ธั ยาจารยก์ อ่ น แลว้ จงึ ทำงานพระบรมศพสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช ตอ่ มาทำงานพระศพ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟา้ กรมขนุ ศรธี รรมราชธำรงฤทธ์ิ และเจา้ ฟา้ ศริ าภรณโ์ สภณงาน ๑ แลว้ งานพระศพ สมเด็จพระมาตามไหยิกาเธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร กับสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้า กรมพระจกั รพรรดพิ งษอ์ กี งาน ๑ ซง่ึ มงี านในปเี ดยี วกนั นน้ั กป็ ระดษิ ฐานพระศพในพระเมรพุ มิ านน้ี อีกอย่างหนึ่ง ที่วัดบวรสถานสุทธาวาสนี้ มีเก๋งเป็นที่ไว้พระศพเจ้านายฝ่ายในพระบวรราชวัง อย่างหอพระธรรมสงั เวชในพระราชวงั หลวง และทางดา้ นตะวนั ตกมหี อหลงั ๑ หลงั คาเปน็ ทรงจนี สรา้ งไว้ แตใ่ นรชั กาลท่ี ๓ เหมอื นกนั เรยี กวา่ หอพระมณเฑยี รธรรม แตใ่ ชเ้ ปน็ ทไ่ี ว้พระอฐั เิ จา้ นายฝา่ ยพระราชวงั บวร ฯ อย่างหอพระนากในพระราชวังหลวง มาจนโปรดให้สร้างที่ประจุที่หลังพระประธาน ณ วัดชนะสงคราม ในรชั กาลท่ี ๖

ตำนานวงั หนา้ ๑๐๕ สถานทอ่ี ยา่ งอน่ื ในพระราชวงั บวร ฯ ชน้ั นอกดา้ นเหนอื อนั ปรากฏอยใู่ นแผนท่ี สบื ไมไ่ ดค้ วามวา่ เดมิ สรา้ งสำหรบั การอยา่ งใดหลายหลงั ดว้ ยผรู้ เู้ หน็ ทม่ี ตี วั อยู่ เคยเหน็ แตเ่ มอ่ื มาใชก้ ารอน่ื ในชน้ั หลงั มปี รากฏ ชดั แตโ่ รงกลน่ั ลมประทปี สำหรบั จดุ ใชใ้ นพระราชวงั อนั ไฟแกส๊ นเ้ี ปน็ ของแรกมขี น้ึ ในเมอื งไทยในรชั กาลท่ี ๔ จึงเข้าใจว่าโรงกลั่นลมประทีปในพระราชวังบวร ฯ เห็นจะสร้างขึ้นเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า เจา้ อยหู่ วั หรอื จะมาสรา้ งตอ่ ครง้ั กรมพระราชวงั บวรวไิ ชยชาญกเ็ ปน็ ได้ ลานพระราชวังบวร ฯ ด้านใต้กับด้านตะวันตกกระชั้นชิดกำแพงวังชั้นนอก ด้านใต้มีแต่ทางเดิน ดา้ นตะวนั ตกกเ็ หน็ จะเปน็ เรอื นพวกขอเฝา้ ชาววงั ทำนองอยา่ งขา้ งพระราชวงั หลวง มสี ง่ิ ซง่ึ ควรกลา่ วอยู่ ขา้ งดา้ นตะวนั ตกแต่ ๒ อยา่ ง คอื ทอ่ นำ้ อยา่ ง ๑ ศรสี ำราญอยา่ ง ๑ ทอ่ นำ้ นน้ั กค็ อื ประปา ในชน้ั แรกสรา้ ง พระราชวังบวร ฯ ถึงพระราชวังหลวงก็เหมือนกัน ขุดเป็นเหมืองให้น้ำไหลเข้าไปได้แต่แม่น้ำ ตอนปาก เหมืองข้างนอกก่อเป็นท่อกรุตารางเหล็ก ข้างบนถมดิน แต่ข้างในวังเปิดเป็นเหมืองน้ำมีเขื่อนสองข้าง ตกั นำ้ ใชไ้ ดต้ ามตอ้ งการ ศรสี ำราญนน้ั คอื เวจ็ ของผหู้ ญงิ ชาววงั ปลกู เวจ็ ไวท้ ร่ี มิ แมน่ ำ้ แลว้ ทำทางเดนิ เปน็ อุโมงค์ คือก่อผนังทั้งสองข้างมีหลังคาคลุมแต่ประตูวังไปจนเว็จ ที่ถนนข้างนอกวังตรงผ่านอุโมงค์ก็ทำ สะพานขา้ ม ผหู้ ญงิ ชาววงั ลงไปศรสี ำราญไดแ้ ตเ่ ชา้ จนคำ่ เหมอื นกบั เดนิ ในวงั ไมม่ ผี ชู้ ายมาปะปน ในกำแพงพระราชวงั บวร ฯ มเี ขตกน้ั เปน็ ชน้ั ในอกี ชน้ั หนง่ึ เขตทก่ี น้ั ทำเปน็ เขอ่ื นเพช็ ร หนั หนา้ เขา้ ข้างในทั้งสี่ด้าน จะเป็นของเดิมสร้างครั้งรัชกาลที่ ๑ เพียงใด สร้างใหม่ในรัชกาลที่ ๔ เพียงใด ทราบไมไ่ ดแ้ น่ ภายในเขอ่ื นเพช็ รเปน็ ลานพระราชวงั ชน้ั กลางทผ่ี ชู้ ายอยู่ แตต่ อนขา้ งตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ประมาณสกั เสย้ี วของทว่ี งั ใน นอกจากนน้ั เปน็ พระราชวงั ชน้ั ในทผ่ี หู้ ญงิ อยทู่ ง้ั นน้ั เขอ่ื นเพช็ รดา้ นตะวนั ออกตอนเหนอื เปน็ ทมิ ดาบตำรวจและโรงทหารปนื ใหญ่ ๒ ตอน ตอ่ มาขา้ งใต้ เปน็ คลงั ราชการและคลงั เครอ่ื งสรรพยทุ ธ มีตกึ ดนิ อยใู่ นนน้ั ดว้ ย เขอ่ื นเพช็ รดา้ นเหนอื เปน็ โรงมา้ ระวางใน และโรงหมอ เขอ่ื นเพช็ รนอกจากทก่ี ลา่ วมานอ้ี ยชู่ น้ั ในเปน็ ทอ่ี ยขู่ องผหู้ ญงิ ฝา่ ยในทง้ั นน้ั สถานทต่ี า่ ง ๆ ในลานพระราชวงั บวร ฯ ชน้ั กลาง ขา้ งดา้ นใตต้ อ่ มมุ พระทน่ี ง่ั ศวิ โมกขพ์ มิ าน เปน็ โรง ทหารรักษาพระองค์หลัง ๑ โรงชาวที่หลัง ๑ มีศาลาโถงที่ขุนนางเฝ้าอยู่หน้าพระที่นั่งคชกรรมประเวศ เหมือนศาลาหน้าพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์แต่ก่อน ๒ หลัง ริมศาลาข้างใต้ตั้งเสาธงสำหรับพระบวรราชวัง เสาธงนี้ครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ชักธงพระจุฑามณี แต่ในรัชกาลที่ ๕ ชักธงช้างจนตลอดสมัยกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ข้างด้านเหนือมีตึกสองชั้น สร้างในรัชกาลที่ ๔

๑๐๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ สำหรับรับแขกเมืองหลัง ๑ เรียกว่าโฮเตล ต่อมาทางตะวันตกตรงพระที่นั่งพุทไธศวรรย์ไปข้างเหนือ มี โรงไวส้ บู นำ้ ดบั ไฟหลงั ๑ เขา้ ใจวา่ สรา้ งในรชั กาลท่ี ๕ หลงั โรงสบู นำ้ ไปขา้ งเหนอื เปน็ โรงงว้ิ หลงั ๑ ในเรอ่ื งงว้ิ วงั หนา้ เคยไดส้ ดบั มาวา่ แรกมขี น้ึ เมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๒ กรมพระราชวงั บวร ฯ ในรชั กาลนน้ั โปรดใหห้ ดั ทง้ั ละครและงว้ิ ผหู้ ญงิ ผทู้ ไ่ี ดเ้ ปน็ งว้ิ ยงั มตี วั เปน็ เถา้ แกอ่ ยใู่ นพระราชวงั หลวงมาจนในรชั กาลท่ี ๕ ครง้ั กรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพ มแี ตล่ ะครผหู้ ญงิ ทรงพระราชนพิ นธบ์ ทละครขน้ึ ใหม่ ยงั มปี รากฏ อยู่หลายเรื่อง พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีงิ้วผู้ชายโรง ๑ แต่เข้าใจว่าจะเป็นงิ้วข้าหลวงเดิม คอื งิ้วจีนนอกทถ่ี วายตวั พง่ึ พระบารมที ง้ั โรง เจา้ นายใหญโ่ ตแตก่ อ่ นมงี ว้ิ เชน่ นน้ั เกอื บจะทกุ พระองค์ หาได้ ทรงฝกึ หดั ขน้ึ เองไม่ ปรากฏวา่ ทรงแตป่ พ่ี าทยม์ โหรแี ละสกั วากบั โปรดแอว่ ลาวดงั กลา่ วมาแลว้ มาในครง้ั กรมพระราชวงั บวรวไิ ชยชาญ ละครเปน็ ของเจา้ คณุ จอมมารดาเอมหดั ขน้ึ กรมพระราชวงั บวรฯ เปน็ แตท่ รง แตง่ บทประทานบา้ ง สว่ นทท่ี รงเองนน้ั แตแ่ รกสรา้ งหนุ่ เลก็ ขน้ึ โรง ๑ ทำโรงคลา้ ย ๆ โรงละครฝรง่ั แตเ่ ลน่ อย่างหนุ่ ไทย ไดเ้ คยมามถี วายพระบาทสมเดจ็ ฯ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทอดพระเนตร ในงานสมโภช ช้างเผือกที่หน้าพระที่นั่งสุทไธศวรรย์ครั้ง ๑ ต่อมาทรงสร้างหุ่นจีนอย่างหุ่นไหหลำขึ้นอีกโรง ๑ ว่าสร้าง ประทานพระองค์เจ้าไชยรัตนวโรภาษลูกเธอ ซึ่งทรงพระเมตตามาก ทรงพระนิพนธ์บทให้เป็นภาษาจีน แปลเป็นไทย ยังปรากฏอยู่หลายตอน ทีหลังจึงทรงหัดงิ้วจีนผู้ชายขึ้นโรง ๑ เอางิ้วของพระบาทสมเด็จ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวมาเป็นครู แต่ตัวงิ้วเป็นไทยทั้งนั้น เป็นผู้ดีก็มีมาก วิธีเล่น ๆ เต็มตำราอย่างจีน แต่กระบวนตกแต่งเครื่องอานดีกว่างิ้วโรงอื่น ๆ ทั้งนั้น งิ้วโรงนี้อยู่มาจนกรมพระราชวังบวร ฯ ทิวงคต โรงงว้ิ ทป่ี รากฏในแผนทพ่ี ระราชวงั บวร ฯ คอื งว้ิ ของกรมพระราชวงั บวรวไิ ชยชาญทก่ี ลา่ วมาน้ี ตอ่ โรงงว้ิ มาทางตะวนั ตก ฟากถนนขา้ งเหนอื เปน็ โรงพระยาชา้ ง สรา้ งเปน็ ตกึ ในรชั กาลท่ี ๔ แตจ่ ะ มขี องเดมิ อยกู่ อ่ นหรอื อยา่ งไรไมท่ ราบแน่ ฟากถนนขา้ งใตเ้ ปน็ โรงทหารรกั ษาพระองค์ ๓ หลงั เขา้ ใจวา่ สรา้ ง ในรชั กาลท่ี ๔ ตอ่ มาทางตะวนั ตกถงึ ทมิ มหาวงศว์ า่ เปน็ ของเดมิ ซง่ึ เหลอื รอ้ื คราวสรา้ งพระทน่ี ง่ั อศิ ราวนิ จิ ฉยั เมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๓ อยตู่ อน ๑ เปน็ เขตตอ่ กบั พระราชวงั ชน้ั ใน ตำหนกั ขา้ งใน สรา้ งเปน็ ตำหนกั หมอู่ ยา่ ง ๑ เปน็ เรอื นแถวอยา่ ง ๑ วา่ มเี ตม็ ทม่ี าแตร่ ชั กาลท่ี ๑ พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเปน็ แตท่ รงซอ่ มแซม มตี ำหนกั พเิ ศษทค่ี วรกลา่ วโดยเฉพาะแต่ ๒ หมู่ คอื ตำหนกั เจา้ ฟา้ พกิ ลุ ทองหมู่ ๑ กบั ตำหนกั แดงอกี หมู่ ๑ ตำหนกั เจา้ ฟา้ พกิ ลุ ทองนน้ั คอื ตำหนกั เจา้ รจจาผเู้ ปน็ พระชนนี ทเ่ี ปน็ พระอคั รชายาของกรมพระราช วังบวรมหาสุรสิงหนาท เจ้ารจจาเป็นน้องของพระเจ้ากาวิละพระเจ้าเชียงใหม่ ในพงศาวดารเชียงใหม่

ตำนานวงั หนา้ ๑๐๗ เรียกว่า “เจ้าศรีอโนชา” กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสู่ขอต่อพี่ชายได้มาเป็นพระอัครชายา แตเ่ มอ่ื ยงั ดำรงพระยศเปน็ เจา้ พระยาสรุ สหี ์ ฯ มจี ดหมายเหตปุ รากฏวา่ เมอ่ื ครง้ั พระยาสรรคข์ น้ึ นง่ั กรงุ ธนบรุ ี กรมพระราชวงั หลงั เสดจ็ ยกกองทพั เขา้ มาแตเ่ มอื งนครราชสมี า พระยาสรรคป์ ลอ่ ยเจา้ รามลกั ษณอ์ อกไปรบ กรมพระราชวังหลัง เวลานั้นกรมพระราชวังบวร ฯ เสด็จไปการสงครามเมืองเขมรกับพระบาทสมเด็จฯ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ทางนเ้ี จา้ รจจารวบรวมกำลงั พวกลาวบา่ วไพรอ่ อกชว่ ย กรมพระราชวงั หลงั รบพงุ่ เปน็ สามารถ เจ้ารจจามีลูกเธอแต่เจ้าฟ้าพิกุลทอง ทรงยกย่องเป็นเจ้าฟ้าแต่พระองค์เดียวในพระราชบุตร พระราชธดิ าในกรมพระราชวงั บวร ฯ ในรชั กาลท่ี ๑ ครน้ั กรมพระราชวงั บวรฯ เสดจ็ สวรรคต พระบาทสมเดจ็ ฯ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกโปรดใหส้ ถาปนาเปน็ เจา้ ฟา้ กรมขนุ ศรสี นุ ทร แตเ่ จา้ รจจานน้ั สน้ิ ชพี เมอ่ื ปไี รหาปรากฏ ไม่ ตำหนกั นน้ั ทำใหญโ่ ตและยกหลงั คาเปน็ สองชน้ั มมี ขุ ทง้ั ขา้ งหนา้ ขา้ งหลงั คลา้ ยพระพมิ าน พเิ คราะห์ ตามภมู แิ ผนท่ี เขา้ ใจวา่ เดมิ พระราชมนเทยี รของกรมพระราชวงั บวร ฯ เหน็ จะอยตู่ รงตำหนกั น้ี ครน้ั ทรงสรา้ ง พระวมิ านใหมแ่ ลว้ จงึ พระราชทานใหเ้ ปน็ ตำหนกั ของเจา้ รจจา เจา้ ฟา้ พกิ ลุ ทองจงึ ไดเ้ สดจ็ อยตู่ อ่ มา เมอ่ื เจา้ ฟา้ พิกุลทองสิ้นพระชนม์แล้ว ท่านผู้ใดจะอยู่ที่ตำหนักนี้ต่อมาในรัชกาลที่ ๒ หาทราบไม่ ในรัชกาลที่ ๓ ครั้นกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ กล่าวกันว่าไม่มีผู้ใดอยู่ แต่ในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เจ้าคุณจอมมารดาเอมอยู่ที่ตำหนักนี้ และพระองค์เจ้าวงจันทร์เสด็จอยู่ ตอ่ มาในรชั กาลท่ี ๕ จนเสดจ็ ขน้ึ ไปอยทู่ พ่ี ระทน่ี ง่ั บวรบรวิ ตั ิ ตำหนักแดงนั้น เดิมพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสร้างเป็นตำหนักหมู่ใหญ่ที่ ในพระราชวังหลวง ถวายเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ คู่กับ ตำหนกั เขยี ว ซง่ึ ทรงสรา้ งถวายสมเดจ็ พระเจา้ พน่ี างเธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยาเทพสดุ าวดี ทเ่ี รยี กวา่ ตำหนกั แดง ตำหนกั เขยี ว* เพราะเหตทุ ท่ี าสแี ดงตำหนกั ๑ ทาสเี ขยี วตำหนกั ๑ สมเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทราบรมราชนิ ี เปน็ พระธดิ าของสมเดจ็ เจา้ ฟา้ กรมพระศรสี ดุ ารกั ษ์ ไดป้ ระทบั อยตู่ ำหนกั แดงแตเ่ ดมิ มา ครง้ั ถงึ รชั กาลท่ี ๓ สมเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทร ฯ เสดจ็ ออกไปประทบั อยพู่ ระราชวงั เดมิ กบั พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เหน็ จะเปน็ เมอ่ื รอ้ื ตำหนกั เครอ่ื งไมใ้ นพระราชวงั หลวงสรา้ งเปน็ ตำหนกั ตกึ พระราชทานตำหนกั แดงของเดมิ ให้ไปปลูกถวายสมเด็จพระศรีสุริเยนทร ฯ ที่พระราชวังเดิม เมื่อสมเด็จพระศรีสุริเยนทร ฯ สวรรคตแล้ว ตำหนกั แดงสว่ นทส่ี มเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทร ฯ เสดจ็ ประทบั พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหร้ อ้ื ไปปลกู ถวายเปน็ กฏุ พิ ระราชาคณะวดั โมฬโี ลก (ธนบรุ )ี ตำหนกั แดง ซง่ึ พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั * บางคนว่า ตำหนักแดงเป็นของสมเด็จพระพี่นางพระองค์ใหญ่ ตำหนักเขียวเป็นของสมเด็จพระพี่นางพระองค์น้อย ข้าพเจ้า สอบพบหนงั สอื เกา่ เรยี กตรงกนั หลายฉบบั จงึ อนมุ ตั ติ าม

๑๐๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ประทบั ยงั คงอยใู่ นพระราชวงั เดมิ ถงึ รชั กาลท่ี ๔ จงึ ไดโ้ ปรดใหย้ า้ ยมาไวใ้ นพระบวรราชวงั ๑ สว่ นตำหนกั แดง ซึ่งไปปลูกถวายพระไว้ที่วัดโมฬีโลกนั้น พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ย้ายไปปลูก เปน็ กฏุ เิ จา้ อาวาสวดั เขมาภริ ตาราม (นนทบรุ ี) ซง่ึ เปน็ วดั สมเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทร ฯ ทรงสรา้ ง ยงั ปรากฏ อยู่จนทุกวันนี้ และทรงสร้างกุฏิตึกแทนพระตำหนักแดงของเดิมพระราชทานให้เป็นกุฏิพระราชาคณะ วดั โมฬโี ลก ยงั ปรากฏอยเู่ หมอื นกนั พระราชมนเทยี รในพระราชวงั บวร ฯ ขนานนามคลอ้ งกนั เปน็ ๒ ชดุ พระราชมนเทยี รครง้ั รชั กาลท่ี ๑ นามคลอ้ งกนั ๕ องค์ คอื ๑ พระทน่ี ง่ั พมิ านดสุ ดิ า หอพระกลางสระ ๒ พระทน่ี ง่ั สทุ ธาศวรรย์ ทป่ี ระดษิ ฐานพระพทุ ธสงิ ค์ ๓ พระทน่ี ง่ั วสนั ตพมิ าน๒ พระวมิ านหลงั ใต้ ๔ พระทน่ี ง่ั วายสุ ถานอมเรศร์ พระวมิ านหลงั กลาง ๕ พระทน่ี ง่ั พรหเมศรงั สรรค์ พระวมิ านหลงั เหนอื มพี ระทน่ี ง่ั อกี ๒ องค์ นามไมเ่ ขา้ ลำดบั คลอ้ งสมั ผสั ดว้ ยเหตใุ ดจะอธบิ ายตอ่ ไปขา้ งหนา้ คอื ๖ พระทน่ี ง่ั พรหมพกั ตร์ ทอ้ งพระโรงหนา้ เดมิ ๗ พระทน่ี ง่ั ศวิ โมกขพ์ มิ าน สรา้ งอยา่ งพระทน่ี ง่ั ทรงปนื กรงุ ศรอี ยธุ ยา เรยี กกนั วา่ พระทน่ี ง่ั ทรงธรรม ถึงรัชกาลที่ ๓ กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพทรงปฏิสังขรณ์พระราชมนเทียรของเดิมทั่วไป แลว้ ทรงสรา้ งเพม่ิ เตมิ ขน้ึ ใหมบ่ า้ ง จงึ แกไ้ ขระเบยี บนามพระราชมนเทยี ร จดั ใหมเ่ ปน็ ชดุ ๗ องคด์ งั น้ี ๑ พระทน่ี ง่ั วสนั ตพมิ าน ๒ พระทน่ี ง่ั วายสุ ถานอมเรศร์ ๓ พระทน่ี ง่ั พรหเมศธาดา ๔ พระทน่ี ง่ั อศิ ราวนิ จิ ฉยั ๕ พระทน่ี ง่ั พทุ ไธศวรรย์ ๖ พระทน่ี ง่ั รงั สรรคจ์ ฬุ าโลก ๗ พระทน่ี ง่ั ศวิ โมกขพ์ มิ าน ๑ ปัจจุบันได้รื้อมาปลูกไว้ที่หลังพระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน ๒ ในทำเนยี บนามภาค ๑ เรียกวา่ พระทน่ี ง่ั วสั สนั ตพมิ าน

ตำนานวงั หนา้ ๑๐๙ พระราชมนเทยี รสรา้ งตอ่ มาในรชั กาลท่ี ๔ ท่ี ๕ นามตอ่ กนั อกี ชดุ หนง่ึ ๖ องค์ คอื ๑ พระทน่ี ง่ั มงั คลาภเิ ศก ๒ พระทน่ี ง่ั เอกอลงกฎ ๓ พระทน่ี ง่ั คชกรรมประเวศ ๔ พระทน่ี ง่ั อศิ เรศรราชานสุ ร ๕ พระทน่ี ง่ั บวรบรวิ ตั ิ ๖ พระทน่ี ง่ั สาโรชรตั นประพาส เหตุใดนามพระที่นั่งชุดหลังจึงไม่ต่อสัมผัสกับพระที่นั่งชุดก่อน ข้อนี้สงสัยอยู่ จะว่าจงใจขนานให้ เหน็ เปน็ ของสรา้ งตา่ งยคุ กนั กใ็ ชท่ ่ี ไดย้ นิ วา่ พระทน่ี ง่ั สนามจนั ทรใ์ นวงั หนา้ มนี ามอกี นาม ๑ แตไ่ มม่ ใี ครเรยี ก ก็เลยสูญไปเสีย จึงเข้าใจว่า นามพระที่นั่งสนามจันทร์นั้นเอง ที่เชื่อมสัมผัส คงจะมีนามทำนองว่า “พระทน่ี ง่ั สำราญราชจรรยา” ตอ่ สมั ผสั กบั พระทน่ี ง่ั ศวิ โมกขพ์ มิ าน และตอ่ หนา้ พระทน่ี ง่ั มงั คลาภเิ ศก พระทน่ี ง่ั ตำหนกั แพนามเขา้ สมั ผสั คลอ้ งกนั อกี ชดุ หนง่ึ ๔ องค์ คอื ๑ พระทน่ี ง่ั มหรรณพนมิ าน ๒ พระทน่ี ง่ั ชลสถานทพิ ยอาสน์ ๓ พระทน่ี ง่ั ประพาสคงคา ๔ พระทน่ี ง่ั นทที ศั นาภริ มย์ พระทน่ี ง่ั ชดุ นส้ี มั ผสั กไ็ มต่ อ่ กบั ชดุ อน่ื เหน็ จะเปน็ เพราะอยเู่ ปน็ เอกเทศแหง่ ๑ ตา่ งหากจงึ ไมน่ ยิ มท่ี จะใหน้ ามคลอ้ งสมั ผสั กบั พระทน่ี ง่ั องคอ์ น่ื ทนี จ้ี ะอธบิ ายถงึ พระราชมนเทยี รในพระราชวงั บวร ฯ ทไ่ี ดก้ ลา่ วนามมาแลว้ ตอ่ ไปทลี ะองค์ ใหผ้ อู้ า่ น เขา้ ใจลกั ษณะและประวตั ขิ องพระทน่ี ง่ั นน้ั ๆ ถว้ นถด่ี ขี น้ึ กวา่ ทไ่ี ดอ้ า่ นมาในตอนตำนาน ในบรรดาพระราชมนเทียรในพระราชวังบวร ฯ พระวิมาน ๓ หลัง ที่กรมพระราชวังบวร มหาสรุ สงิ หนาททรงสรา้ ง เปน็ สำคญั ยง่ิ กวา่ พระราชมนเทยี รองคอ์ น่ื ๆ ทง้ั สน้ิ เพราะใหญโ่ ตรวมพระทน่ี ง่ั อยู่ในหมู่เดียวกันถึง ๑๑ องค์ ฝีมือที่สร้างก็ประณีตบรรจง ลวดลายและฝีมือแกะไม้ที่พนักกับหูช้าง กรอบพระบัญชร ยังเป็นความพิศวงอยู่จนทุกวันนี้ ด้วยยักเยื้องแบบอย่างต่าง ๆ เกือบไม่มีซ้ำกันสัก ชอ่ งหนง่ึ

๑๑๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ตัวพระวิมานนั้นยาว ๗ ห้องเป็นพื้นสองชั้น ปลูกเรียงกัน หันด้านสกัดมาข้างหน้าทั้ง ๓ หลัง หลังใต้ชื่อพระที่นั่งวสันตพิมาน หลังกลางชื่อพระที่นั่งวายุสถานอมเรศร์ และหลังเหนือชื่อพระที่นั่ง พรหเมศธาดา มีมุขพื้นชั้นเดียวต่อออกจากพระวิมานหลังกลางเป็นมุขยาว ๑๐ ห้องเหมือนกันทั้งข้างหน้า ขา้ งหลงั มขุ นน้ั ปนั เปน็ ๒ ตอน ตอนใน ๕ หอ้ งทต่ี อ่ กบั พระวมิ านกน้ั เปน็ หอ้ งยาว เหมอื นกบั เปน็ หอ้ งนอก ของพระวมิ าน บนั ไดพระวมิ านลงหอ้ งนน้ั ทง้ั สองดา้ น คงเปน็ ทเ่ี สวยและทพ่ี ระสนมกำนลั เฝา้ มนี ามขนาน ห้องด้านหน้าพระวิมานว่า พระที่นั่งพิมุขมณเฑียร ด้านหลังขนานว่า พระที่นั่งปฤษฎางค์ภิมุข มุขด้าน หน้า ๕ ห้องตอนต่อพระที่นั่งพิมุขมณเฑียรออกไปข้างนอกเป็นมุขโถง ท้องพระโรงที่เสด็จออกแขกเมือง มีพระที่นั่งบุษบกราชบังลังก์ตั้งตรงพระทวารในออกมา ท้องพระโรงหน้าที่กล่าวมานี้เรียกว่า “พระที่นั่ง พรหมพกั ตร”์ นามนพ้ี บในหนงั สอื เกา่ หลายฉบบั แตเ่ ดมิ ขา้ พเจา้ เขา้ ใจวา่ จะเรยี กรวมหมดทง้ั หมพู่ ระวมิ าน เหมอื นอยา่ งพระวมิ านวงั หลวง แตก่ อ่ นเรยี กรวมกนั วา่ “พระทน่ี ง่ั จกั รพรรดพิ มิ าน” ฉะนน้ั แตม่ าเหน็ ใน หนังสือนิพพานวังหน้า ซึ่งแต่งแต่ในรัชกาลที่ ๑ มีนามทั้งพระที่นั่งพรหมพักตร์ พระที่นั่งวสันตพิมาน พระที่นั่งวายุสถานอมเรศร์ พระทน่ี ง่ั พรหเมศรงั สรรค์ แยกกันอยู่ชัดเจน จึงเข้าใจว่าพระที่นั่งพรหมพักตร์ นน้ั มอี ยอู่ งค์ ๑ ตา่ งหาก พจิ ารณาไปถงึ ขา้ งตอนทา้ ยหนงั สอื นพิ พานวงั หนา้ นน้ั พบอกี แหง่ ๑ กลา่ วถงึ เวลาเมอ่ื กรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สงิ หนาทสวรรคตแลว้ เจา้ นายวงั หนา้ จะเสดจ็ ลงมาถอื นำ้ ทพ่ี ระราชวงั หลวง เมอ่ื ผา่ นพระวมิ านในกลอนกลา่ วไวด้ งั น้ี “โอพ้ ระมง่ิ มงกฎุ อยทุ ธเยศ ไยทเุ รศแรมรา้ งพระวงศา กระทง่ั ถอื นำ้ พพิ ฒั สตั ยา มาหยดุ หนา้ มขุ นอ้ มศโิ รเรยี ง ครง้ั นย้ี งั แตท่ พ่ี รหมพกั ตร์ ไมป่ ระจกั ษส์ งิ หนาทประพาสเสยี ง อนั อนงคช์ ดิ เชยทเ่ี คยเคยี ง บำราศเวยี งจากพระอฐั เิ ธอ” ความในกลอนตอนนใ้ี หเ้ หน็ ไดช้ ดั วา่ ทเ่ี รยี ก “พรหมพกั ตร”์ นน้ั หมายความวา่ พระทน่ี ง่ั บษุ บก ราชบลั ลงั กท์ เ่ี สดจ็ ออกแขกเมอื ง อนั ตง้ั อยมู่ ขุ หนา้ ชะรอยแตเ่ ดมิ จะมหี นา้ พรหมทำไวท้ ย่ี อด (ตรงเหมตน้ บวั กลมุ่ ตอ่ กบั บลั ลงั ก์ เหมอื นทป่ี ราสาททองทต่ี ง้ั พระอฐั กิ รมพระราชวงั บวร ฯ ซง่ึ สรา้ งไวใ้ นพระวมิ านกลางเมอ่ื รัชกาลที่ ๔) อันนี้เองเป็นเหตุให้เรียกนามท้องพระโรงหน้าว่า “พระที่นั่งพรหมพักตร์” ความที่กล่าวนี้ มหี ลกั ฐานประกอบ ดว้ ยทอ้ งพระโรงในพระราชวงั หลวง เมอ่ื กอ่ นขนานนามวา่ พระทน่ี ง่ั อมรนิ ทรวนิ จิ ฉยั ในรัชกาลที่ ๓ ก็เรียกว่า “พระที่นั่งบุษบกมาลา” ตามนามบุษบกราชบัลลังก์ซึ่งตั้งในท้องพระโรงนั้น อยา่ งเดยี วกนั มปี รากฏอยใู่ นบานแพนกหนงั สอื เกา่ หลายฉบบั ครน้ั กรมพระราชวงั บวร ฯ ในรชั กาลท่ี ๓

ตำนานวงั หนา้ ๑๑๑ ทรงสรา้ งทอ้ งพระโรงใหม่ ขนานนามวา่ พระทน่ี ง่ั อศิ ราวนิ จิ ฉยั ทอ้ งพระโรงเดมิ ถกู แกไ้ ขคงเปน็ แตม่ ขุ กระสนั นามพระที่นั่งพรหมพักตร์จึงสูญไปจากทำเนียบนามพระราชมนเทียร ส่วนมุขข้างด้านหลังพระวิมาน ก็มีท้องพระโรงเหมือนกับด้านหน้า เรียกแต่ว่าท้องพระโรงหลัง เป็นที่เสด็จออกให้ผู้หญิงชาวนอกวังเฝ้า ตง้ั พระแทน่ พระราชบลั ลงั กเ์ ปน็ แตอ่ ยา่ งสามญั ไมเ่ หมอื นทอ้ งพระโรงหนา้ ในหมู่พระวิมานมีพระที่นั่งหลังขวางพื้นชั้นเดียวสร้างต่อจากพระที่นั่งพิมุขมณเฑียรมุขพระวิมาน กลางมาขา้ งใตจ้ นตลอดหนา้ พระทน่ี ง่ั วสนั ตพมิ านองค์ ๑ ไปขา้ งเหนอื จนตลอดหนา้ พระทน่ี ง่ั พรหเมศธาดา องค์ ๑ ดา้ นหลงั กม็ พี ระทน่ี ง่ั หลงั ขวางตอ่ ออกไปจากมขุ กลางอยา่ งเดยี วกนั จงึ เปน็ พระทน่ี ง่ั ขวาง ๔ องค์ ด้วยกัน ต่อหลังคาพระวิมานหลังเหนือหลังใต้เป็นมุขออกมาเชื่อมกับหลังคาพระที่นั่งหลังขวางเป็น ๔ มุข จงึ เรยี กพระทน่ี ง่ั หลงั ขวางวา่ มขุ องคต์ ะวนั ออกเฉยี งเหนอื ขนานนามวา่ พระทน่ี ง่ั บรุ พาภมิ ขุ องคต์ ะวนั ออก เฉียงใต้ขนานนามว่า พระที่นั่งทักษิณาภิมุข องค์ตะวันตกเฉียงใต้ขนานนามว่า พระที่นั่งปัจฉิมาภิมุข องค์ตะวันตกเฉียงเหนือขนานนามว่า พระที่นั่งอุตราภิมุข จึงมีพระที่นั่งรวมเป็น ๑๑ องค์ ทั้ง (พระที่นั่ง พรหมพักตร)์ ท้องพระโรงหน้าและท้องพระโรงหลังอยู่ในหมู่เดียวกัน มีเฉลียงรอบเป็นทางเดินได้ในร่ม ตลอดถงึ กนั ทกุ องค์ พระที่นั่งวสันตพิมาน พระวิมานหลังใต้ เห็นจะจัดเป็นที่พระบรรทมของกรมพระราชวังบวร ฯ ในรชั กาลท่ี ๑ ดว้ ยในหนงั สอื นพิ พานวงั หนา้ วา่ ดว้ ยกรมพระราชวงั บวร ฯ ทรงอาลยั กลา่ วเปน็ กลอนไว้ ดังนี้ “ ตรสั สง่ั วสนั ตพมิ านแกว้ จะลาแลว้ แรมรา้ งอยา่ หมางหมอง เคยสำราญเนาสถานพมิ านทอง จะไกลหอ้ งทพิ เยศนเิ วศนว์ งั ” แตพ่ ระวมิ านอกี ๒ หลงั ในกลอนเปน็ แตว่ า่ พระแกลเปดิ ดงั เปน็ ลาง หาไดแ้ สดงวา่ ทรงอาลยั อยา่ งไร โดยเฉพาะไม่ อกี ประการ ๑ ความปรากฏในหนงั สอื พระราชพงศาวดาร วา่ กรมพระราชวงั บวร ฯ ใน รัชกาลที่ ๒ สวรรคตที่พระที่นั่งวายุสถานอมเรศร์ พระวิมานหลังกลาง ข้อนี้ชวนให้เห็นว่าเสด็จมาอยู่ พระวิมานหลังกลาง* เพราะจะไม่ให้ร่วมที่ประทับของกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๑ พระวิมานหลังใต้ * ในหนงั สอื พระราชพงศาวดารวา่ เมอ่ื พธิ อี ปุ ราชาภเิ ษกกรมพระราชวงั บวร ฯ รชั กาลท่ี ๒ สวดมนตท์ พ่ี ระทน่ี ง่ั พรหมพกั ตรอ์ กี แหง่ ๑ แตก่ อ่ นขา้ พเจา้ เขา้ ใจวา่ จะหมายความวา่ พระทน่ี ง่ั พรหเมศธาดา จงึ สนั นษิ ฐานวา่ จะจดั ทพ่ี ระวมิ านขา้ งเหนอื อนั เรยี กวา่ พระทน่ี ง่ั พรหเมศธาดา เปน็ ทพ่ี ระบรรทม พง่ึ มาเหน็ แนใ่ จวา่ กรมพระราชวงั บวร ฯ รชั กาลท่ี ๒ ประทบั ทพ่ี ระทน่ี ง่ั วายสุ ถานอมเรศร์ พระวมิ านองคก์ ลางทเ่ี สดจ็ สวรรคต นั้นมาแต่แรกอุปราชาภิเษก

๑๑๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ วา่ งมาจนถงึ รชั กาลท่ี ๔ จงึ จดั เปน็ ทพ่ี ระบรรทมของพระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระวมิ านวงั หนา้ เดิมใช้กั้นม่านแทนฝาประจันห้อง เหมือนพระที่นั่งครั้งกรุงศรีอยุธยา ต่อเมื่อจัดเป็นที่พระบรรทม พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั จงึ กน้ั ฝาเฟย้ี มตามยาวตลอดพระทน่ี ง่ั วสนั ตพมิ าน แลว้ ตง้ั พระแทน่ แขวนเศวตฉตั รขา้ งในเหมอื นหอ้ งพระบรรทมท่พี ระทน่ี ง่ั จกั รพรรดพิ มิ านในพระราชวงั หลวง สว่ นพระวมิ าน หลังกลางและหลังเหนือไม่มีฝาประจันห้องมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทบั อยพู่ ระทน่ี ง่ั วสนั ตพมิ าน จนสรา้ งพระราชมนเทยี รใหมท่ างในสวน แลว้ กเ็ สดจ็ ไปประทบั ทพ่ี ระราช มนเทียรใหม่ต่อมาจนตลอดพระชนมายุ เมื่อกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ อุปราชาภิเษกก็ประทับที่ พระทน่ี ง่ั วสนั ตพมิ าน แตเ่ ลา่ กนั วา่ ประทบั อยพู่ ระทน่ี ง่ั วสนั ตพมิ าน ๓ วนั แลว้ กเ็ สดจ็ ไปประทบั อยทู่ ช่ี น้ั ตำ่ ในพระทน่ี ง่ั บวรบรวิ ตั ิ จนสรา้ งพระทน่ี ง่ั สาโรชรตั นประพาสเสรจ็ แลว้ จงึ เสดจ็ ไปประทบั ทน่ี น้ั พระที่นั่งวายุสถานอมเรศร์ พระวิมานกลาง มีปราสาททองที่ประดิษฐานพระอัฐิอยู่องค์ ๑ ยัง ปรากฏอยู่ในบัดนี้ เป็นปราสาทยาว ๓ ห้อง ห้องกลางที่ตรงยอดเป็นที่ตั้งพระอัฐิกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๑ ยกพื้นสูงกว่าห้อง ๒ ข้าง อันเป็นที่ตั้งพระอัฐิกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๒ ข้าง ๑ กรมพระราชวงั บวร ฯ รชั กาลท่ี ๓ ขา้ ง ๑ ลกั ษณะปราสาททองทป่ี ระดษิ ฐานพระอฐั เิ ชน่ กลา่ วมาน้ี เหน็ ไดว้ า่ ต้องเป็นของสร้างเมื่อในรัชกาลที่ ๔ จึงจัดที่ตั้งพระอัฐิกรมพระราชวังบวร ฯ ซึ่งสวรรคตก่อนนั้นมา ๓ พระองค์ จึงมีข้อต้องสันนิษฐานว่า แต่ก่อนนั้นมาพระอัฐิกรมพระราชวังบวร ฯ ประดิษฐานไว้ที่ไหน ความที่ผู้หลักผู้ใหญ่เล่ากันมา ปรากฏว่าพระอัฐิกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๒ แต่เดิมอยู่ในหอ พระธาตมุ ณเฑยี รในพระราชวงั หลวง พง่ึ เชญิ ขน้ึ ไปวงั หนา้ เมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๔ อนั นก้ี ส็ มดว้ ยเรอ่ื งปราสาททอง ที่กล่าวมาแล้ว คือเชิญไปเมื่อสร้างปราสาททองนั้นเอง อนึ่ง ความที่ปรากฏว่า กรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๒ เสด็จอยู่ที่พระที่นั่งวายุสถานอมเรศร์ พระวิมานกลาง ข้อนี้ก็เป็นหลักฐานให้เห็นว่า พระอฐั กิ รมพระราชวงั บวร ฯ รชั กาลท่ี ๑ แตเ่ ดมิ หาไดป้ ระดษิ ฐานไวท้ พ่ี ระวมิ านกลางไม่ ยงั ขอ้ ทป่ี รากฏวา่ เมอ่ื บวรราชาภเิ ษกพระบาทสมเดจ็ พระป่ินเกล้าเจา้ อยู่หวั จดั พระทน่ี ่ังวสันตพมิ านหลงั ใต้เป็นที่พระบรรทม กน็ า่ จะเปน็ หลกั ฐานวา่ ไมไ่ ดป้ ระดษิ ฐานพระอฐั กิ รมพระราชวงั บวร ฯ รชั กาลท่ี ๑ ไวใ้ นพระทน่ี ง่ั วสนั ตพมิ าน เพราะที่ไหนจะให้ย้ายพระอัฐิไปสำหรับจะเอาพระวิมานเป็นที่บรรทม เพราะฉะนั้นจึงเห็นว่าแต่เดิมมา พระอัฐิกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๑ เห็นจะประดิษฐานไว้ที่พระที่นั่งพรหเมศธาดา พระวิมาน หลังเหนือ แต่พระอัฐิกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๓ เห็นจะประดิษฐานไว้ในหอพระอัฐิ ซึ่งทรงสร้าง ไวข้ า้ งเหนอื พระทน่ี ง่ั อศิ ราวนิ จิ ฉยั ดว้ ยเหตใุ ดจะอธบิ ายตอ่ ไปขา้ งหนา้ ครน้ั ถงึ รชั กาลท่ี ๔ เพราะมพี ระราช

ตำนานวงั หนา้ ๑๑๓ ประสงค์จะเฉลิมพระเกียรติยศกรมพระราชวังบวร ฯ แต่ก่อนมา จึงถวายพระวิมานกลางอันเป็นสำคัญ ยิ่งกว่าพระราชมนเทียรทั้งปวง เป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิ จึงได้ทรงสร้างปราสาททองแล้ว เชิญพระอัฐิ กรมพระราชวังบวร ฯ มาไว้พระวิมานกลางทั้ง ๓ พระองค์ พระวิมานกลางจึงเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิ ตลอดมา จนเชญิ พระอฐั ไิ ปไวท้ ว่ี หิ ารพระธาตใุ นพระบรมมหาราชวงั ดงั กลา่ วมาแลว้ พระที่นั่งพรหเมศธาดา พระวิมานหลังเหนือ เดิมชื่อพระที่นั่งพรหเมศรังสรรค์ (ด้วยเหตุใดได้ อธบิ ายแลว้ ) มาเปลย่ี นสรอ้ ยเปน็ พระทน่ี ง่ั พรหเมศธาดาเมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๓ เพอ่ื จะใหช้ อ่ื ไดส้ มั ผสั คลอ้ งกบั พระทน่ี ง่ั อศิ ราวนิ จิ ฉยั พระทน่ี ง่ั พรหเมศธาดาองคน์ ้ี ไมม่ เี รอ่ื งราวปรากฏมาวา่ ไดใ้ ชเ้ ปน็ ทส่ี ำหรบั การอยา่ งไร พึ่งมาคิดเห็นว่า จะเป็นที่ไว้พระอัฐิดังได้กล่าวมาแล้ว สันนิษฐานต่อไปว่า บางทีกรมพระราชวังบวร มหาสรุ สงิ หนาท จะทรงอทุ ศิ เปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานพระอฐั มิ าแตใ่ นรชั กาลท่ี ๑ แลว้ กจ็ ะเปน็ ได้ ดว้ ยไมป่ รากฏวา่ ใน วังหน้า หอพระอัฐิมีที่อื่น เพราะฉะนั้นเมื่อกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๑ สวรรคตแล้ว จึงเชิญพระอัฐิ ไปไว้ในพระที่นั่งพรหเมศธาดา โดยเป็นหอพระอัฐิอยู่แต่ก่อนแล้ว และด้วยเหตุที่เป็นหอพระอัฐิ กรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๑ ดังกล่าวมานี้ ในเวลาต่อมาจึงไม่ปรากฏว่าได้จัดพระวิมานองค์นี้เป็น ทป่ี ระทบั ของกรมพระราชวงั บวร ฯ พระองคห์ นง่ึ พระองคใ์ ด แมจ้ นครง้ั พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมื่อจัดที่ประดิษฐานพระอัฐิกรมพระราชวังบวร ฯ ทั้ง ๓ พระองค์ เป็นยุติแล้ว พระวิมานหลังเหนือนี้ก็ใช้ เปน็ แตท่ เ่ี กบ็ ของตอ่ มาจนตลอด อนึ่งได้กล่าวมาแต่ก่อนว่า เมื่อครั้งกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๑ นั้นไม่บรรทมแห่งใดเป็น ยุติแต่แห่งเดียว มีที่พระบรรทมทั้งที่บนพระวิมานและที่มุข ในหนังสือพระราชพงศาวดารของเจ้าพระยา ทพิ ากรวงศว์ ่า สวรรคตทีพ่ ระท่นี ัง่ บรุ พาภมิ ุข คือมุขทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แตช่ าววังหน้าเขายืนยันว่า สวรรคตท่พี ระทน่ี ง่ั อตุ ราภมิ ขุ คอื มขุ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ในพระราชนพิ นธพ์ ระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวว่ามีปราสาททองที่สรงพระพักตร์ของกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๑ อยู่ที่มุของค์ ๑ ถึงจะบรรทมที่ไหนคงเสด็จมาสรงพระพักตร์ที่ปราสาททองนั้นเป็นนิตย์ แต่ปราสาททองนี้จะอยู่ที่มุขไหน ไม่มีหลักที่จะสันนิษฐาน เพราะที่เรียกว่ามุขในหมู่พระวิมานซึ่งอาจจะตั้งปราสาททองนั้นได้มีถึง ๖ มุข ด้วยกัน อีกอย่าง ๑ เมื่อครั้งกรมพระราชวังบวร ฯ ในรัชกาลที่ ๑ นั้น ที่สรง ที่ลงพระบังคน ก็สร้างเป็น หลงั ๑ ตา่ งหาก อยทู่ ช่ี าลาระหวา่ งพระวมิ าน ในชาลาขา้ ง ๑ สรา้ งทส่ี รง อกี ขา้ ง ๑ สรา้ งทล่ี งพระบงั คน และในชาลาทั้ง ๒ ข้างนั้นยังมีเกย ก่อเป็นแท่นมีพนักเป็นที่ประทับสำราญพระราชอิริยาบถด้วยอีก อยา่ ง ๑ ตามแบบโบราณดงั มอี ยใู่ นคำสำหรบั รอ้ งกนั เลน่ วา่ “เสดจ็ ขน้ึ เกย เสวยนำ้ ชา” นน้ั

๑๑๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เมอ่ื รชั กาลท่ี ๓ กรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพไมไ่ ดเ้ สดจ็ ขน้ึ ไปประทบั บนพระวมิ าน ใหแ้ กม้ ขุ ด้านหน้าทั้งพระที่นั่งบุรพาภิมุขและทักษิณาภิมุขเป็นที่ประทับ เสด็จประทับที่มุขจนสวรรคตที่พระที่นั่ง บุรพาภิมุข ลักษณะการที่แก้ไขครั้งนั้น ให้ยกพื้นขึ้นตามยาวตลอดข้างด้านตะวันออกจนกลางห้อง แล้วกั้นฝาเฟี้ยมเป็นห้องที่ประทับบนตอนยกพื้นและสร้างที่สรงขึ้นใหม่ในพระที่นั่งทักษิณาภิมุข ทำห้อง ลงพระบงั คนในพระทน่ี ง่ั บรุ พาภมิ ขุ ถงั นำ้ สรงและฐานทล่ี งพระบงั คนยงั ปรากฏอยจู่ นทกุ วนั น้ี กลา่ วกนั วา่ เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๓ นั้น พระองค์เจ้าดาราวดี พระอัครชายาของกรมพระราชวังบวร ฯ ก็เสด็จอยู่ที่ พระราชมนเทียรเห็นจะประทับอยู่ ๒ มุขข้างด้านตะวันตก ในรัชกาลที่ ๔ มุขพระวิมานพระที่นั่ง ปัจฉิมาภิมุขด้านตะวันตกเฉียงใต้ เป็นที่พักของเจ้าคุณจอมมารดาเอม นอกนั้นใช้เป็นที่เก็บเครื่อง แต่งพระองค์และสิ่งของ ด้วยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดทรงส่ำสมสิ่งของต่าง ๆ เชน่ เครอ่ื งลายครามเปน็ ตน้ ทง้ั ของจนี ของฝรง่ั หลายอยา่ ง ถงึ รชั กาลท่ี ๕ กรมพระราชวงั บวรวไิ ชยชาญ โปรดใหเ้ จา้ คณุ จอมมารดาเอม พระชนนยี า้ ยไปอยทู่ พ่ี ระทน่ี ง่ั บรุ พาภมิ ขุ อยมู่ าจนถงึ อสญั กรรมทน่ี น้ั มีข้อความซึ่งควรจะต้องกล่าวในเรื่องหมู่พระวิมานวังหน้าอีกอย่าง ๑ คือเมื่อกรมพระราชวังบวร มหาศักดิพลเสพทรงปฏิสังขรณ์ใหม่เมื่อในรัชกาลที่ ๓ นั้น เครื่องบนของเดิมเห็นจะชำรุดมาก ต้องรื้อ เครื่องบนทำใหม่หมด สงสัยว่าทรวดทรงหลังคาของเดิมจะงามกว่าที่กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ทรงสรา้ งใหม่ อยา่ งทแ่ี ลเหน็ อยทู่ กุ วนั น้ี พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพทรงสร้างในรัชกาลที่ ๓ พร้อมกับ เมอ่ื ทรงปฏสิ งั ขรณพ์ ระวมิ านวงั หนา้ เหตทุ ส่ี รา้ งเหน็ จะเปน็ เพราะเสดจ็ ลงมาประทบั อยทู่ ม่ี ขุ หนา้ พระวมิ าน ท้องพระโรงหน้าของเดิมกระชั้นชิดที่ประทับนัก จึงสร้างพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยขึ้นเป็นท้องพระโรงใหม่ ต่อออกไปข้างหน้า แก้ท้องพระโรงเดิมเป็นมุขกระสันในระหว่างท้องพระโรงใหม่กับพระวิมาน พระที่นั่ง อิศราวินิจฉัยนี้เอาอย่างพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในพระราชวังหลวงไปสร้างหมดทุกอย่าง เป็นแต่ลด ใหเ้ ลก็ ลง กบั ไมท่ ำซมุ้ พระแกลและพระทวาร พระทน่ี ง่ั บษุ บกทท่ี อ้ งพระโรงเดมิ กย็ า้ ยไปไวเ้ ปน็ ประธานใน พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย เหมือนอย่างพระที่นั่งบุษบกมาลาในพระราชวังหลวง ลักษณะที่ใช้พระที่นั่ง อิศราวินิจฉัยก็เป็นอย่างเดียวกับพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย คือ เป็นที่เสด็จออกแขกเมืองและบำเพ็ญ พระราชกุศล เช่นมีเทศน์มหาชาติ เป็นต้น ส่วนการพระราชพิธีเช่นพิธีตรุษสารทและโสกันต์ ซึ่งทาง วังหลวงทำที่พระมหาปราสาท วังหน้าก็ทำที่พระที่นั่งพุทไธศวรรย์ แต่ผิดกันอย่าง ๑ ที่พระที่นั่ง อศิ ราวนิ จิ ฉยั เปน็ ทต่ี ง้ั พระศพกรมพระราชวงั บวร ฯ และเปน็ ทท่ี ำพธิ อี ปุ ราชาภเิ ษกในเวลาตอ่ มาทกุ รชั กาล

ตำนานวงั หนา้ ๑๑๕ สองข้างพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย กรมพระราชวังบวร ฯ ในรัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างหอข้างละหลัง ขา้ งขวาเปน็ หอพระเจา้ ขา้ งซา้ ยเปน็ หอพระอฐั ิ เหมอื นอยา่ งหอพระสรุ าไลยพมิ านและหอพระธาตมุ ณเฑยี ร ในพระราชวงั หลวง ผดิ กนั แตเ่ อาดา้ นสกดั ของหอเขา้ หาพระทน่ี ง่ั อศิ ราวนิ จิ ฉยั และหลงั คาหอทำเปน็ ทรง เกง๋ จนี แตเ่ ขา้ ใจวา่ มไิ ดเ้ ชญิ พระอฐั กิ รมพระราชวงั บวร ฯ รชั กาลท่ี ๑ มาไวห้ อซง่ึ สรา้ งใหมน่ ้ี หอพระเจา้ คงเป็นที่ไว้พระพุทธรูปของในพระองค์ เช่นพระฉลองพระองค์เป็นต้น หอพระอัฐิก็คงจะเป็นที่ประดิษฐาน พระบรมอฐั แิ ละพระอฐั ทิ เ่ี ชญิ มาจากวงั เดมิ และทม่ี ขี น้ึ ใหม่ อนั สมควรเกบ็ รกั ษาไวใ้ นพระราชวงั และทส่ี ดุ อาจจะดำรัสสั่งให้ไว้พระอัฐิพระองค์เองในหอนั้นด้วยก็จะเป็นได้ เพราะเวลาเสด็จดำรงพระชนม์อยู่ก็ไม่ เสดจ็ ขน้ึ ไปอยบู่ นพระวมิ าน ทง้ั หอพระเจา้ และหอพระอฐั ใิ นวงั หนา้ มาถงึ รชั กาลท่ี ๔ ทรงจดั การใหม่ มหี มายรบั สง่ั ปรากฏวา่ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระแก้ว (ผลึก) ซึ่งอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ขึ้นไปไว้ในพระบวรราชวังองค์ ๑ แห่ขึ้นไปเมื่อเดือนอ้าย แรม ๘ ค่ำ ปีฉลู๑ พ.ศ. ๒๓๙๖ เข้าใจว่า คงพระราชทานไปให้ประดิษฐานในหอพระเจ้าให้เหมือนอย่างประดิษฐานพระพุทธบุษยรัตน ฯ ไว้ในหอ พระสรุ าไลยพมิ าน สว่ นหอพระอฐั นิ น้ั เมอ่ื เชญิ พระอฐั กิ รมพระราชวงั บวร ฯ ไปประดษิ ฐานทป่ี ราสาททอง บนพระวมิ านกลางทง้ั ๓ พระองคแ์ ลว้ เขา้ ใจวา่ โปรดใหเ้ ชญิ พระอฐั เิ จา้ นายวงั หนา้ ไปไวท้ ่หี อพระมณเฑยี ร ธรรมวดั บวรสถานสทุ ธาวาสในคราวนั้นเอง แลว้ จงึ จดั หอพระอัฐิวังหน้าให้เปน็ ทำนองเดยี วกับหอพระธาตุ มณเฑียรในพระราชวังหลวง ความปรากฏว่าพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เชิญ พระอัฐิพระชนกสมเด็จพระศรีสุริเยนทรกับทั้งพระอัฐิเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ เจ้าฟ้ากรมหลวง พทิ กั ษมนตรี เจา้ ฟา้ กรมขนุ อศิ รานรุ กั ษ์ ซง่ึ เปน็ พระภาดาสมเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทรไปไวท้ ห่ี อพระอฐั วิ งั หนา้ * ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้พระบาทสมเดจ็ ฯ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงรบั พระอฐั พิ ระชนกสมเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทรมาไวท้ ่ี พระตำหนกั เดมิ ในพระราชวงั หลวง สว่ นพระอฐั เิ จา้ ฟา้ ๓ พระองคย์ งั คงไวท้ ห่ี อพระอฐั วิ งั หนา้ จนหอชำรดุ รอ้ื ในรชั กาลท่ี ๕ จงึ ไดเ้ ชญิ มาไวใ้ นหอพระนาก วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ๑ ตรงกับวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๙๖ * พระอัฐิพระชนกสมเด็จพระศรีสุริเยนทร แต่ก่อนเห็นจะอยู่ที่พระราชวังเดิม พระอัฐิอีก ๓ พระองค์นั้นแต่ก่อนคงอยู่ที่หอพระนาก ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

๑๑๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระทน่ี ง่ั พทุ ไธศวรรย์ อยตู่ รงหนา้ พระทน่ี ง่ั อศิ ราวนิ จิ ฉยั ออกไป เปน็ ของสรา้ งครง้ั รชั กาลท่ี ๑ เดมิ ชอ่ื วา่ พระทน่ี ง่ั สทุ ธาศวรรย์ มาเปลย่ี นเปน็ พระทน่ี ง่ั พทุ ไธศวรรยเ์ มอ่ื กรมพระราชวงั บวร ฯ ในรชั กาลท่ี ๓ ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่ พระที่นั่งองค์นี้ยกพื้นสูง และเชิงผนังข้างนอกทำเป็นฐานบัทม์ ทำนองพระมหา ปราสาทในพระราชวังหลวง เข้าใจว่าเดิมกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเห็นจะทรงพระราชดำริ จะสร้างขึ้นสำหรับทำการพระราชพิธี มีพระราชพิธีตรุษสารทและโสกันต์ลูกเธอเป็นต้น อย่างเช่นทำที่ พระมหาปราสาทในพระราชวังหลวง แต่ในเวลาที่ยังไม่ได้ลงมือสร้างหรือกำลังสร้างอยู่นั้น เสด็จขึ้นไป เมืองเชียงใหม่ ได้พระพุทธสิหิงค์ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำคัญลงมา จึงทรงพระราชอุทิศพระที่นั่งองค์นี้ ถวายเปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานพระพทุ ธสหิ งิ ค์ จงึ ใหเ้ ขยี นฝาผนงั ขา้ งในเปน็ รปู เทพชมุ นมุ ขา้ งบน และเขยี นเรอ่ื ง พระปฐมสมโพธิที่ผนังหว่างพระแกลเป็นพุทธบูชา แต่คงทำการพระราชพิธีต่าง ๆ ที่พระที่นั่งองค์นี้ ตามพระราชดำริเดิมด้วย พระที่นั่งสุทธาศวรรย์จึงเป็นที่สำหรับทำการพระราชพิธีเหมือนอย่างพระมหา ปราสาทในวงั หนา้ มาตง้ั แตร่ ชั กาลท่ี ๑ ตลอดจนรชั กาลท่ี ๕ ในรชั กาลท่ี ๑ เมอ่ื กรมพระราชวงั บวร ฯ สวรรคตแลว้ เวลาวงั หนา้ วา่ งอยนู่ น้ั ทำนองจะมผี รู้ า้ ย ลอบงัดพระที่นั่งสุทธาศวรรย์หรืออย่างไร ความปรากฏว่าพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรง พระราชดำริว่า พระพุทธรูปเงินทองและของพุทธบูชามีอยู่ในพระที่นั่งสุทธาศวรรย์มาก ทิ้งไว้ผู้ร้ายจะลัก เอาไปเสีย จึงโปรดให้เชิญพระพุทธสิหิงค์กับทั้งพระพุทธรูปอื่น ๆ กับของพุทธบูชาลงมาไว้ในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ไว้บนฐานชุกชีด้านหน้าในพระอุโบสถ ตรงที่ตั้ง พระสมั พทุ ธพรรณที กุ วนั นอ้ี ยตู่ ลอดรชั กาลท่ี ๑ ท่ี ๒ ท่ี ๓ จนรชั กาลท่ี ๔ จงึ โปรดใหเ้ ชญิ พระพทุ ธ สิหิงค์กลับไปวังหน้า ครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวดังกล่าวมาแล้วในที่อื่น เมื่อเชิญ พระพุทธสิหิงค์ลงมาพระราชวังหลวงแล้ว ทางโน้นในพระที่นั่งสุทธาศวรรย์เหลืออยู่แต่ปราสาทปรางค์ ห้ายอด ซึ่งกรมพระราชวังบวร ฯ ทรงสร้างไว้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ ปรากฏในพระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ถึงรัชกาลที่ ๒ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ โปรดให้รื้อปราสาทปรางค์ห้ายอดนั้นเสีย แล้วให้ตั้งพระแท่นเศวตฉัตรที่ในพระที่นั่งสุทธาศวรรย์เป็นที่ เสดจ็ ออกแขกเมอื งและพระสงฆถ์ วายพระธรรมเทศนาตอ่ มา กค็ อื วา่ คงเปน็ แตท่ ท่ี ำการพระราชพธิ เี หมอื น อย่างพระมหาปราสาท ครั้นเมื่อกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๒ สวรรคต จึงประดิษฐานพระศพไว้ ในพระทน่ี ง่ั สทุ ธาศวรรย์ เหมอื นอยา่ งพระมหาปราสาททางพระราชวงั หลวงฉะนน้ั

ตำนานวงั หนา้ ๑๑๗ พระแทน่ เศวตฉตั รวงั หนา้ ทป่ี รากฏในพระราชนพิ นธพ์ ระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั นน้ั เห็นจะสร้างขึ้นไว้แต่เมื่อในรัชกาลที่ ๑ แล้ว แต่เมื่อก่อนย้ายมาตั้งที่พระที่นั่งสุทธาศวรรย์ จะตั้งไว้ ที่ไหนสงสัยอยู่ เพราะที่ซึ่งอาจจะตั้งมีหลายแห่ง แบบตั้งพระแท่นเศวตฉัตรครั้งกรุงศรีอยุธยาเข้าใจว่า ตง้ั กลางพระมหาปราสาทตรงยอดลงมา ทำนองเชน่ ทพ่ี ระทน่ี ง่ั ดสุ ติ มหาปราสาทในพระราชวงั หลวง ทว่ี งั หนา้ ครั้งรัชกาลที่ ๑ ไม่มีปราสาท อาจจะตั้งพระแท่นเศวตฉัตรไว้ที่ในพระที่นั่งวายุสถานอมเรศร์ พระวิมาน องค์กลางสมมติแทนปราสาทก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นเมื่อกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๒ จะเสด็จไป เฉลิมพระราชมนเทียร ประทับพระวิมานองค์กลาง จึงให้ย้ายพระที่นั่งเศวตฉัตรออกมาตั้งที่พระที่นั่ง สุทธาศวรรย์ ถ้ามิได้เป็นดังกล่าวมานี้ พระแท่นเศวตฉัตรวังหน้าแต่เดิมเห็นจะตั้งอยู่ทพี่ ระที่นั่งศิวโมกข์ พมิ าน อนั เปน็ ทอ้ งพระโรงเดมิ กอ่ นสรา้ งพระวมิ าน ครน้ั สรา้ งพระวมิ านแลว้ ปรากฏวา่ เปน็ พระทน่ี ง่ั ทรงธรรม พระสงฆ์เห็นจะถวายเทศน์บนพระแท่นเศวตฉัตรที่ตั้งอยู่นั้น ครั้นถึงรัชกาลที่ ๓ เมื่อสร้างพระที่นั่ง อิศราวินิจฉัยแล้ว จึงย้ายพระแท่นเศวตฉัตรมาตั้งในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยบังหน้าพระที่นั่งบุษบก เหมือนอย่างพระแท่นเศวตฉัตรในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยแต่ก่อนนี้ แต่พิจารณาดูรูปสัณฐานพระแท่น เศวตฉัตรวังหน้าที่ยังอยู่ในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยทุกวันนี้ ดูทำเอาอย่างพระแท่นเศวตฉัตรวังหลวง และมีตราพระจุฑามณีปั้นไว้ที่พนัก จึงสงสัยว่าจะเป็นของสร้างขึ้นใหม่ครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า เจา้ อยหู่ วั พระแทน่ องคเ์ ดมิ เหน็ จะสญู ไปเสยี แลว้ ในรชั กาลท่ี ๓ กรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพทรงซอ่ มแปลงปฏสิ งั ขรณพ์ ระทน่ี ง่ั สทุ ธาศวรรย์ ใหม่ การปฏิสังขรณ์ครั้งนั้นแก้ไขของเดิมหลายอย่าง สังเกตได้โดยแบบอย่างฝีมือช่างที่ทำ คือรื้อ เครอ่ื งบนทำใหมห่ มด เปลย่ี นหลงั คาพาไลของเดมิ ตอ่ เปน็ เฉลยี งเสาลอย ไวผ้ นงั ขา้ งบนเปน็ คอสองรอบ ซุ้มพระแกลของเดิมเห็นจะไม่มี ทำซุ้มขึ้นใหม่ทั้งหมด การปฏิสังขรณ์ครั้งนั้นน่าชมอย่างหนึ่งที่ของเดิม สิ่งใดดีเอาไว้หมดทุกอย่าง เป็นต้นว่าเครื่องไม้กรอบและบานพระแกล ทวยที่รับชายคา คงใช้ของเดิม ไม่เปลี่ยน ข้างในลายที่เขียนผนังและลายเพดาน รักษาของเดิมไว้ไม่แก้ไข เป็นแต่ซ่อมแซมที่ชำรุด จงึ ยงั แลเหน็ ของเดมิ ทท่ี ำโดยประณตี บรรจงมาไดจ้ นทกุ วนั น้ี ทเ่ี ปลย่ี นนามพระทน่ี ง่ั สทุ ธาศวรรยเ์ ปน็ พทุ ไธศวรรย์ เหน็ จะเปน็ ดว้ ยเหตุ ๓ ประการ คอื ประการ ที่ ๑ เมื่อสร้างพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยขึ้น และย้ายพระแท่นเศวตฉัตรไปไว้พระที่นั่งอิศราวินิจฉัยแล้ว กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพคงจะทรงพระราชดำริ จะจัดให้กลับเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ให้ต้องตามที่มีลายเขียนผนังเป็นเครื่องพุทธบูชามาแต่เดิม ประการที่ ๒ ชื่อเดิมว่าพระที่นั่งสุทธาศวรรย์

๑๑๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ จะเห็นว่าใกล้กับชื่อพระที่นั่งสุทไธศวรรย์ ที่พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างทางพระราช วงั หลวงนกั จงึ เปลย่ี นใหห้ ลกี ไปเสยี ประการท่ี ๓ จะใหช้ อ่ื คลอ้ งสมั ผสั กบั พระทน่ี ง่ั อศิ ราวนิ จิ ฉยั ทส่ี รา้ งใหม่ แต่ไม่ได้พระราชทานพระพุทธสิหิงค์ขึ้นไป จะตั้งพระพุทธรูปองค์ใดเป็นประธาน ข้อนี้หาทราบไม่ แต่มี ตู้พระธรรมสร้างขึ้นสำหรับตั้งในพระที่นั่งพุทไธศวรรย์เหมือนอย่างฝาประจันห้อง ๓ ตู้ ลงรักเขียนทอง ลายรดน้ำด้าน ๑ เขียนสีเรื่องรามเกียรติ์ ๓ ด้านทุกใบ เก็บคัมภีร์พระธรรมวังหน้าไว้ในตู้ทั้ง ๓ นี้ และเขา้ ใจวา่ โดยปกตคิ งโปรดใหอ้ าจารยบ์ อกหนงั สอื พระสงฆส์ ามเณรในพระทน่ี ง่ั พทุ ไธศวรรย์ เหมอื นอยา่ ง ทางวงั หลวงโปรดใหบ้ อกหนงั สอื พระสงฆส์ ามเณรทใ่ี นพระมหาปราสาทนน้ั ดว้ ย สว่ นการพระราชพธิ ตี า่ ง ๆ กค็ งทำในพระทน่ี ง่ั พทุ ไธศวรรยด์ งั แตก่ อ่ นตอ่ มาตลอดจนในรชั กาลท่ี ๔ และท่ี ๕ พระทน่ี ง่ั รงั สรรคจ์ ฬุ าโลก กรมพระราชวงั บวร ฯ ในรชั กาลท่ี ๓ ทรงสรา้ งใหมท่ เ่ี กาะกลางสระ ตรงทก่ี รมพระราชวงั บวรมหาสรุ สงิ หนาทจะทรงสรา้ งปราสาท แลว้ เปลย่ี นเปน็ พระพมิ านดสุ ดิ า ซง่ึ รอ้ื เสยี เมอ่ื ในรัชกาลที่ ๒ ดังได้บรรยายมาแล้วนั้น เหตุที่สร้างพระที่นั่งองค์นี้ขึ้น เพราะที่บริเวณสระนั้น ถึงเมื่อมี หอพระอยใู่ นรชั กาลท่ี ๑ ทจ่ี รงิ เปน็ ทส่ี วนสำหรบั เสดจ็ ประพาสสำราญพระราชอริ ยิ าบถ อยใู่ กลก้ บั พระราช มนเทยี ร มคี วามพรรณนาไวใ้ นหนงั สอื นพิ พานวงั หนา้ ชดั เจนดงั น้ี “โอพ้ มิ านอมรนิ ทร์ * ดงั อนิ ทรส์ วา่ ง เดน่ อยกู่ ลางสระรอบกระสนิ ธส์ุ ม รำเพยลมกลน่ิ แกว้ ผการาย มโี ศกเรยี งเคยี งหนา้ ลำดวนดม แตง่ เครอ่ื งนมสั การทกุ วนั ถวาย ทรงไวพ้ ระเนาวโลกโมฬเี ลอ่ื ง ดงั จะหมายนอ้ มรสเรณนู วล มณฑาหอมนอ้ มกา้ นบานขจาย ขยายกลบี แยม้ พมุ่ โกสมุ สงวน บชู าพระสพั พญั ญคู ทู่ วปี สง่ั ประมวลหมสู่ นมหนง่ึ บตุ รี เคยมสี หี โนภาสบณั ฑรู ชวน ตามบญั ญตั เิ พศพทุ ธชนิ ศรี ใหส้ วดมสั การพระชนิ รตั น์ จบแลว้ กช็ ลุ บี รมญาณ ประทานทง้ั แตรดงั ระฆงั ตี ทรงคำนบั นอ้ มรสพระกรรมฐาน เคยถวายพระกศุ ลศรทั ธารบั มจั ฉซอ้ งสาธกุ ารถงึ เมอื งพรหม เคยประสาทโภชาพระราชทาน ทอดพระเนตรระงบั รอ้ นแรมปฐม ประกอบหมมู่ จั ฉาในสาคเรศ * หมายว่าพระพิมานดุสิดา

ตำนานวงั หนา้ ๑๑๙ แขยงแยง่ แยง้ เยา้ ยวนนยิ ม เนอ้ื ออนออ่ นออ้ นระทมบา้ บม่ ใจ เหน็ กระแหแหแ่ หโ้ บกหางเหนิ แกว้ ลองลอ่ งลอ้ งเดนิ สายชลไหล แมลงภทู่ องทอ่ งทอ้ งมากนิ ไคล สวายหวา่ ยหวา้ ยไปแสวงรอย จะหาเหยอ่ื เผอื เผอ่ื เผอ้ื ภกั ษา เหลา่ เทพาพา่ พา้ สอ่ื สนสรอ้ ย กระทงิ หลายหลา่ ยหลา้ ยกรายกรดี ลอย นกเขาเขา่ เขา้ คอยชมอ้ ยดู ไดเ้ คยรบั ประทานอาหารหาย ตะวนั บา่ ยวา่ ยเวยี นมาเปน็ หมู่ ไมย่ ลพระมง่ิ มนเทยี รยกเศยี รชู เหมอื นจะรวู้ า่ พระราชบดิ า เสรจ็ นริ าศแรมรา้ งมไหสรู ย์ โออ้ าดรู ทกุ ขท์ ว่ั ถงึ มจั ฉา ประพาสสวนเสรจ็ สรวลชวนพะงา นำยพุ าเคยพายพุ นิ ชม คณานางลว้ นนางอนงคแ์ นน่ ประดบั แสนนบั แสนพระสนม สำราญรน่ื เรงิ รน่ื ชน่ื อารมณ์ ถวายลมโบกลมอยงู่ านงาม เหน็ กาหลงเพลนิ หลงประสงคห์ อม ลกู จนั ทนน์ อ้ มกง่ิ นอ้ มเหลอื งอรา่ ม ระยา้ แกว้ แสงแกว้ ออกแวววาม กหุ ลาบหนามหลกี หนามเดด็ ดอกดม เสาวคนธร์ ะคนกลน่ิ บหุ งา จำปาแขกเมอ่ื แขกมาถวายถม มณฑาหอมหวนหอมยง่ิ ตรอมตรม จะจากชมชวนชมระบมทรวง ยห่ี บุ หมุ้ กลบี หมุ้ ขยายแยม้ ลำเจยี กแหลมกลน่ิ แหลมลว้ นของหลวง ลำดวนเยน็ หอมเยน็ ดเู ดน่ ดวง พกิ ลุ รว่ งดอกรว่ งลงดาดดนิ เสาวรสทรงรสตลบฟงุ้ ดงั จนั ทนป์ รงุ ประปรงุ ระคนกลน่ิ การะเกดแกว้ เกดอนิ ทนลิ บหุ รงบนิ รบี บนิ ไปจากรงั ใหห้ นกั จติ จติ หวนรญั จวนโหย ฤดโี ดยโดยดน้ิ ถวลิ หวงั เหมอื นอกเราเราจะรา้ งนริ าศวงั จงึ โศกสง่ั สง่ั สวนอยธุ ยา” ปรากฏในพระราชนพิ นธพ์ ระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั วา่ เมอ่ื รอ้ื พระทน่ี ง่ั พมิ านดสุ ดิ า ไปแลว้ กรมพระราชวงั บวร ฯ ในรชั กาลท่ี ๒ ยงั เสดจ็ ประพาสสวนนน้ั ตอ่ มา กรมพระราชวงั บวร ฯ ใน รชั กาลท่ี ๓ กค็ งเสดจ็ ประพาสทส่ี วนนน้ั จงึ ทรงสรา้ งพระทน่ี ง่ั รงั สรรคจ์ ฬุ าโลกขน้ึ เปน็ ทป่ี ระทบั เวลาเสดจ็ ลงประพาสสวน แตก่ อ่ นมเี กง๋ จนี รปู เปน็ ตรมี ขุ พน้ื ชน้ั เดยี ว อยทู่ เ่ี กาะกลางสระหลงั หนง่ึ ขา้ พเจา้ สำคญั วา่ พระที่นั่งรังสรรค์จุฬาโลกจะเป็นเก๋งจีนนั้นเอง แต่พวกชาววังหน้าบอกว่าเก๋งจีนนั้นพระบาทสมเด็จ

๑๒๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง ถ้าความจริงเป็นเช่นนั้น พระที่นั่งรังสรรค์จุฬาโลกทีก่ รมพระราชวังบวร มหาศกั ดพิ ลเสพทรงสรา้ งคงเปน็ เครอ่ื งไม้ ผพุ งั สญู ไปเสยี หมดแลว้ พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั จงึ ทรงสรา้ งเกง๋ จนี ใหม่ เพราะสวนนน้ั ยงั เปน็ ทป่ี ระพาสตอ่ มาจนในรชั กาลท่ี ๔ ไดก้ ลา่ วมาแตก่ อ่ นวา่ พระทน่ี ง่ั ทส่ี รา้ งครง้ั รชั กาลท่ี ๑ มชี อ่ื ไมค่ ลอ้ งกนั อยู่ ๒ องค์ คอื พระทน่ี ง่ั พรหมพกั ตรอ์ งค์ ๑ พระทน่ี ง่ั ศวิ โมกขพ์ มิ านองค์ ๑ สว่ นพระทน่ี ง่ั พรหมพกั ตรไ์ ดอ้ ธบิ ายมาแลว้ วา่ เปน็ ชอ่ื บุษบกราชบัลลังก์ ซึ่งตั้งอยู่ในท้องพระโรงหน้า มิใช่พระราชมนเทียร แต่ส่วนพระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน ขา้ พเจา้ คดิ ไมเ่ หน็ วา่ เหตใุ ดนามจงึ ไมค่ ลอ้ งกบั พระทน่ี ง่ั องคอ์ น่ื ไดน้ กึ สงสยั วา่ หรอื จะเปน็ นามตง้ั ขน้ึ ใหมต่ อ่ เมื่อรัชกาลที่ ๓ ของเดิมจะเรียกแต่ว่าพระที่นั่งทรงธรรม แต่มามีข้อสังเกต ด้วยนามพระที่นั่งรังสรรค์ จฬุ าโลก สงั เกตดคู วามไมเ่ หมาะแกพ่ ระราชมนเทยี รทส่ี รา้ งตรงนน้ั เหน็ วา่ ทข่ี นานนามวา่ พระทน่ี ง่ั รงั สรรค์ จฬุ าโลก เพราะจะใหค้ ลอ้ งสมั ผสั กบั นามพระทน่ี ง่ั ศวิ โมกขพ์ มิ านของเดมิ เปน็ ตน้ เหตุ ขอ้ นเ้ี ปน็ หลกั ฐานวา่ นามพระที่นั่งศิวโมกข์พิมานมีมาแล้วแต่ในรัชกาลที่ ๑ จึงมานึกขึ้นว่าหรือนามเดิมเป็น “พระที่นั่ง ศวิ โมกขส์ ถาน” อยหู่ นา้ พระทน่ี ง่ั พมิ านดสุ ดิ าดอกกระมงั ถา้ เชน่ นน้ั นามพระราชมนเทยี รครง้ั รชั กาลท่ี ๑ กค็ ลอ้ งกนั ไดห้ มด พระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน นี้ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสร้างเป็นท้องพระโรง ตั้งแต่แรกสร้างพระราชวงั บวร ฯ ตามแบบอยา่ งพระที่นั่งทรงปืนทพ่ี ระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยา ดังกล่าว มาแลว้ องคเ์ ดมิ เขา้ ใจวา่ เปน็ เครอ่ื งไม้ และเลก็ กวา่ พระทน่ี ง่ั ศวิ โมกขพ์ มิ านทป่ี รากฏอยทู่ กุ วนั น้ี แตแ่ รกคง เป็นที่เสด็จออกขุนนางและทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอย่างพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในพระราชวังหลวง ครั้นเมื่อสร้างพระวิมานแล้วมาเสด็จออกที่พระวิมาน พระที่นั่งศิวโมกข์ ฯ เห็นจะเป็นแต่ที่ทรงบำเพ็ญ พระราชกศุ ล เชน่ มเี ทศนม์ หาชาตเิ ปน็ ตน้ เพราะเหตนุ จ้ี งึ เรยี กกนั วา่ พระทน่ี ง่ั ทรงธรรม เมอ่ื กรมพระราชวงั บวรมหาสุรสิงหนาทสวรรคต ประดิษฐานพระศพไว้ในพระที่นั่งศิวโมกข์พิมานนี้ ครั้นรัชกาลที่ ๓ กรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพทรงรอ้ื ของเดมิ สรา้ งใหมเ่ ปน็ เครอ่ื งกอ่ อฐิ ถอื ปนู ขยายใหใ้ หญโ่ ตขน้ึ เปน็ พระทน่ี ง่ั โถงมฝี าแตด่ า้ นใตก้ บั ดา้ นตะวนั ตก เพราะเปน็ เขตตอ่ กบั ขา้ งใน แตจ่ ะใชเ้ ปน็ ทส่ี ำหรบั ราชการ อย่างไรสืบไม่ได้ความ เพราะกิจต่าง ๆ ทีเ่ คยทำท่ีพระท่ีน่ังศวิ โมกข์ ฯ มาแต่ก่อน มพี ระที่นั่งอิศราวินิจฉัย เปน็ ทท่ี ำแทนหมดทกุ อยา่ ง สบื ถามผทู้ ม่ี อี ายทุ นั ไดเ้ หน็ ไดค้ วามแตว่ า่ เคยเหน็ ทำกงเตก๊ ทพ่ี ระทน่ี ง่ั ศวิ โมกข์ ฯ เมื่องานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และใช้เป็นที่หัดทหารแตรต่อมาในครั้ง กรมพระราชวงั บวรวไิ ชยชาญ ได้ความแต่เท่านี้ เป็นที่ว่างมาจนจัดเป็นพิพิธภัณฑสถานเมื่อในรัชกาลที่ ๕

ตำนานวงั หนา้ ๑๒๑ พระที่นั่งสนามจันทร์ในพระราชวังหลวงเป็นของพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรง พระราชดำริสร้างขึ้นไว้ เห็นจะเป็นด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้นเฉลิมพระเกียรติยศในพระบวรราชวัง เพราะฉะนั้น รูปสัณฐานพระที่นั่งสนามจันทรว์ ังหน้า จึงถ่ายแบบองค์ในพระราชวังหลวงไปทำหมดทุกอย่าง ผิดกันแต่ ลวดลายที่เขียนทองนั้นเล็กน้อย และไม่หากระดานใหญ่แผ่นเดียวทำพื้นเหมือนพระที่นั่งสนามจันทร์ใน พระราชวังหลวง ที่ตั้งก็ตั้งที่ชาลาข้างซ้ายท้องพระโรงอย่างเดียวกัน กล่าวกันว่าแต่เดิมขนานนามหนึ่ง ต่างหาก แต่ไม่มีใครเรียกนามนั้นก็สูญ คงเรียกกันแต่ว่าพระที่นั่งสนามจันทร์ มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จออกพระที่นั่งสนามจันทร์โดยกำหนดอย่างใดหาทราบไม่ ได้ยินแต่ว่าเมื่อพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปประทับที่พระบวรราชวังในตอนหลัง เวลานั้นพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระเจริญเสด็จออกไปประทับอยู่ที่พระตำหนัก สวนกหุ ลาบแลว้ เวลาเสดจ็ ขน้ึ ไปเฝา้ สมเดจ็ พระบรมชนกนารถทพ่ี ระบวรราชวงั เสดจ็ ประทบั ทพ่ี ระทน่ี ง่ั สนามจนั ทรเ์ ปน็ ทพ่ี กั พระทน่ี ง่ั มงั คลาภเิ ษก พระทน่ี ง่ั เอกอลงกฎ ๒ องคน์ ้ี สรา้ งในรชั กาลท่ี ๔ เปน็ พระทน่ี ง่ั โถง คู่กัน อยู่บนกำแพงแก้วหน้าท้องพระโรง ตรงมุขข้างใต้องค์ ๑ ข้างเหนือองค์ ๑ มีเกยสำหรับ ทรงพระราชยานอยู่ข้างหน้าทั้ง ๒ องค์ แบบอย่างพระที่นั่ง ๒ องค์นี้ก็ทำตามทำนองพระที่นั่ง ดสุ ดิ าภริ มยใ์ นพระราชวงั หลวง แตไ่ มถ่ งึ ถา่ ยแบบไปทเี ดยี ว พระทน่ี ง่ั อยา่ งนเ้ี รยี กกนั แตก่ อ่ นวา่ พระทน่ี ง่ั เยน็ หมายความวา่ เปน็ พระทน่ี ง่ั โถง สำหรบั ประทบั ตากอากาศ มใี นบานแพนกพระราชปจุ ฉาครง้ั รชั กาลท่ี ๑ เสดจ็ ออกประทบั พระทน่ี ง่ั ดสุ ดิ าภริ มย์ มรี บั สง่ั ใหร้ าชบณั ฑติ ไปเผดยี งพระราชปจุ ฉา ในบานแพนกใชว้ า่ “เสดจ็ ออกประทบั พระทน่ี ง่ั เยน็ ” ในพระราชวงั หลวงกม็ ี ๒ ขา้ งทอ้ งพระโรงเปน็ พระทน่ี ง่ั ดสุ ดิ าภริ มยข์ า้ ง ๑ เป็นหอสาตราคมข้าง ๑ แต่หอสาตราคม ลวดลายที่ปรากฏทุกวันนี้เป็นของแก้ไขใหม่ในรัชกาลที่ ๔ หรอื เดมิ จะเปน็ พระทน่ี ง่ั เยน็ เหมอื นกนั ทง้ั ๒ ขา้ ง อยา่ งไปสรา้ งทว่ี งั หนา้ ไดด้ อกกระมงั นามพระทน่ี ง่ั เยน็ ทว่ี งั หนา้ เอานามของพระทน่ี ง่ั โบราณมาขนานองค์ ๑ คอื พระทน่ี ง่ั มงั คลาภเิ ษก เปน็ นามพระมหาปราสาทครง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ซง่ึ มาแปลงนามเปน็ พระวหิ ารสมเดจ็ เมอ่ื ไฟไหม้แลว้ สรา้ งใหม่ ครง้ั แผน่ ดนิ พระเจา้ ปราสาททอง พระที่นั่งคชกรรมประเวศ ซึ่งสร้างเมื่อในรัชกาลที่ ๔ เพราะจะให้มีปราสาทในพระบวรราชวัง วเิ ศษกวา่ พระราชวงั บวรสถานมงคลแตก่ อ่ นมา รปู สณั ฐานอยา่ งไร ไดพ้ รรณนามาแลว้ ไมต่ อ้ งอธบิ ายซำ้ อกี

๑๒๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ควรกลา่ วในทน่ี แ้ี ตว่ า่ ปราสาทองคน์ เ้ี พราะเปน็ เครอ่ื งไมอ้ ยมู่ าผหุ กั ชำรดุ ทรดุ โทรม จงึ โปรดใหร้ อ้ื เสยี เมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๕ ยงั คงแตฐ่ านปราสาทกบั เกยชา้ งอยขู่ า้ งหนา้ พระทน่ี ง่ั พทุ ไธศวรรยจ์ นทกุ วนั น้ี มีของที่น่าสังเกตอยู่ที่พระราชมนเทียรในวังหน้าอย่าง ๑ คือ มีศิลาจารึกนามพระที่นั่งติดไว้ ขา้ งหนา้ พระทน่ี ง่ั ในหมพู่ ระวมิ านทกุ องค์ ตง้ั แตพ่ ระทน่ี ง่ั วสนั ตพมิ านและมขุ ทง้ั ปวง ออกมาจนถงึ พระทน่ี ง่ั มังคลาภิเษก พระที่นั่งเอกอลงกฎ และพระที่นั่งพุทไธศวรรย์เป็นที่สุด เข้าใจได้ว่าเป็นของติดเมื่อใน รชั กาลท่ี ๔ คงเปน็ เพราะคนเรยี กนามพระทน่ี ง่ั ทง้ั เกา่ ใหมไ่ มถ่ กู จงึ โปรดใหจ้ ารกึ นามตดิ ไวใ้ หเ้ หน็ พระทน่ี ง่ั อศิ เรศรราชานสุ ร พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสรา้ งตามแบบอยา่ งตกึ ฝรง่ั (แม้ปล่อง ชิมนี เตาผิงไฟก็ยังคงรูปมีอยู่ที่สุดอกไก่หลังคาทั้งสองข้าง) เป็นตึกเก้าห้อง พื้น ๒ ชั้น รปู ๔ เหลย่ี มรี มบี นั ไดทำเปน็ มขุ ขน้ึ ขา้ งนอก เพราะในสมยั นน้ั ยงั ถอื กนั อยวู่ า่ ถา้ ขน้ึ ทางใตถ้ นุ เปน็ อปั มงคล ตวั พระทน่ี ง่ั ดา้ นหนา้ มเี ฉลยี งโถง ๗ หอ้ งขา้ งในประธาน ตอนกลาง ๓ ชอ่ งกน้ั เปน็ หอ้ งเสวย หอ้ งตอ่ มาขา้ งใต้ ๒ ชอ่ งเปน็ หอ้ งพระบรรทม มฝี าเฟย้ี มกระจกกน้ั ขวางอกี ชน้ั ๑ ตอ่ มาถงึ ทส่ี ดุ ดา้ นใตเ้ ปน็ หอ้ งเลก็ ชว่ั ชอ่ ง ๑ ยาวตลอดในประธาน เปน็ ห้องแต่งพระองค์ แตเ่ ลา่ กันวา่ พระบาทสมเด็จพระป่นิ เกล้าเจ้าอยู่หัวดำรัสว่า ในห้องพระบรรทมร้อนนัก ให้ตั้งพระแท่นเล็กบรรทมที่ห้องแต่งพระองค์นี้ ที่มุมตะวันตกเฉียงใต้กั้นเป็น ห้องสรง ด้านหลังเป็นเฉลียงทึบกั้นเป็นห้องเก็บของ มีบันไดเล็กสำหรับพนักงานขึ้นลง และมีห้อง อุ่นเครื่องอยู่ข้างหลังห้องเสวย ในประธานอีก ๒ ช่องต่อห้องเสวยไปทางเหนือเป็นห้องรับแขก เมื่อ พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ประชวรหนกั เสดจ็ แปรสถานมาประทบั ในหอ้ งนจ้ี นสวรรคต ตอ่ หอ้ ง รับแขกไปถึงห้องยาวข้างด้านสกัดเป็นห้องทรงพระอักษร และห้องพระสมุด อยู่สุดพระที่นั่งข้างด้านเหนือ ชน้ั ลา่ งเปน็ แตท่ พ่ี นกั งานอาศยั หาไดใ้ ชก้ ารอน่ื ไม่ ลกั ษณะทต่ี กแตง่ พระทน่ี ง่ั อศิ เรศรราชานสุ รเปน็ แบบฝรง่ั ทง้ั สน้ิ พระแท่นบรรทมสั่งมาแต่เมืองนอก เป็นพระแท่นคู่ มีรูปช้างเผือกสลักอยู่ที่พนัก พระบาทสมเด็จ ฯ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหย้ กไปตง้ั ทพ่ี ระทน่ี ง่ั ในพระราชวงั บางประอนิ ยงั ปรากฏอยจู่ นทกุ วนั น๑้ี เวลามีแขกเมืองฝรั่งต่างประเทศ เช่นราชทูตเข้ามา ก็ทรงรับรองเลี้ยงดูที่พระที่นั่งอิศเรศรราชานุสรนี้ เลา่ กนั วา่ ถงึ ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ อยทู่ พ่ี ระทน่ี ง่ั อศิ เรศรราชานสุ รกเ็ สดจ็ อยอู่ ยา่ งฝรง่ั มบี อ๋ ยผชู้ าย และพนกั งานขา้ งในเปน็ สาวใชอ้ ยจู่ ำกดั พอสำหรบั รบั ใช้ แมเ้ จา้ จอมกอ็ ยเู่ ฉพาะผทู้ เ่ี ปน็ ราชปู ฐาก พระเจา้ ลกู เธอและพระสนมกำนลั ขน้ึ เฝา้ แตเ่ ฉพาะเวลาเสวยเทา่ นน้ั เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้จัดห้องกลาง อันเป็นห้องเสวยเดิม ๑ หมายถงึ ฉบบั พมิ พเ์ มอ่ื พ.ศ. ๒๔๖๘ ปจั จบุ นั พระแทน่ บรรทมคนู่ ้ี กลบั คนื มาอยทู่ เ่ี ดมิ แลว้