ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๗๓ เปนพิพิธภัณฑ์สถานที่ไทยแลชาวต่างประเทศชอบไปดูแห่ง ๑ เมื่อก่อนน่าพระยาสุนทรพิมล จะถึงแก่กรรมสัก ๒ ปี ได้พยายามจะเขียนเครื่องถ้วยแลทำปั้นดินอย่างจีนในประเทศนี้ ถึงเรียก ช่างจีนเข้ามาทดลองทำ แต่การนั้นหาสำเร็จดังประสงค์ไม่ ถึงกระนั้นยังมักจะมีความคิด แลพยายามที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ให้เปนประโยชน์แก่บ้านเมืองอยู่เปนนิจมิใคร่ขาด ข้อที่ว่า พระยาสุนทรพิมลใจนักเลงนั้น คือที่คบคนกว้างขวาง มีผู้คุ้นเคยชอบพอทุกชาติทุกชั้นบันดาศักดิ มีอัธยาศรัยโอบเอื้อเผื่อแผ่แลไม่คิดเอาเปรียบผู้อื่นแต่ฝ่ายเดียว จึงมีมิตรสหายมาก เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๗ พระยาสนุ ทรพมิ ลไปสรา้ งบา้ นเรอื นอยทู่ ต่ี ำบลหวั ลำโพง ไดต้ ดั ถนน “สนุ ทรพมิ ล” ใหเ้ ปนทางมหาชนไปมาสาย ๑ พระยาสนุ ทรพมิ ลอยทู่ บ่ี า้ นนม้ี าจนปว่ ยถงึ แกก่ รรม เมอ่ื วนั ท่ี ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๔ คำณวนอายไุ ด้ ๕๘ ปี มบี ตุ รธดิ าเหลอื อยรู่ วม ๖ คน คอื นายศกุ รคี น ๑ นายมานติ คน ๑ หลวงกลการเจนจิต (เภา) คน ๑ นายกระเษียรคน ๑ นายกระแสคน ๑ นางสาวมาลีคน ๑ ซึ่งได้ช่วยกันเปนเจ้าภาพทำการปลงศพสนองคุณบิดา สิ้นเนื้อความตามเรื่องประวัติของพระยาสุนทรพิมล (เผล่ วสวุ ตั ) เพยี งเทา่ น้ี ข้าพเจ้าขออนุโมทนากุศลบุญราศีทักษิณานุปทาน ซึ่งบุตรแลธิดาได้ช่วยกันจัดการศพ สนองคุณพระยาสุนทรพิมล (เผล่ วสุวัต) ผู้บิดาด้วยความกตัญญูกตเวที แลทั้งได้พิมพ์หนังสือเรื่องนี้ ให้ได้อ่านกันแพร่หลาย เชื่อว่าผู้ที่ได้รับสมุดเล่มนี้ไปอ่านคงจะอนุโมทนาทั่วกัน สภานายก หอพระสมดุ วชริ ญาณ วนั ท่ี ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๕
๔๗๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๗๕ ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ตำนานเรอ่ื งเลกิ หวยและถว่ั โป ว่าด้วยมูลเหตุหวยและถั่วโปจะมีขึ้น วิธีเล่นหวยและถั่วโปเป็นของจีนคิดเล่นขึ้นก่อน แล้วพวกจีนที่ไปอยู่ต่างด้าวพาไปเล่น จึงได้มี แพร่หลายต่อไปในประเทศอื่น ๆ ข้าพเจ้าได้วานหลวงเจนจีนอักษร* ให้ช่วยค้นหาเรื่องเหตุเดิม ที่จะมีการเล่นเหล่านี้ขึ้นในเมืองจีน ได้ความในหนังสือยี่จับสี่ซื้ออ๋าวหั่งจือ เป็นเรื่องพงศาวดารจีน ตอนราชวงศ์ตั้งฮั่นว่า เมื่อครั้งราชวงศ์ตั้งฮั่นเป็นใหญ่ในเมืองจีน แผ่นดินพระเจ้าสูนฮ่องเต้อันเป็น รัชกาลที่ ๗ เสวยราชย์แต่ พ.ศ. ๖๖๙ จน พ.ศ. ๖๘๘ นั้น ขุนนางจีนคน ๑ ชื่อเลี่ยงกีคิดการเล่นพนัน ขึ้นอย่าง ๑ เดิมเรียกว่าอีจี๋ แปลว่ากระแปะคิด วิธีเล่นใช้นับ ๔ เป็นเกณฑ์ คือเอากระแปะหลายๆ สิบกระแปะมากองเข้า แล้วเอาภาชนะอันหนึ่งครอบกองกระแปะนั้นไว้ ให้คนทั้งหลายที่เล่นด้วยกัน ทายว่าจะเป็นเศษหนึ่งหรือสองหรือสามหรือครบสี่ เมื่อทายกันแล้ว จึงเปิดภาชนะที่ครอบออก แล้วนับกระแปะปัดไปทีละ ๔ กระแปะ ๆ ปัดไปจนกระแปะในกองนั้นเหลือเป็นเศษหนึ่งหรือสองหรือสาม หรือสี่ ตรงกับที่ผู้ใดทายผู้นั้นก็เป็นถูก ใครวางเงินแทงเท่าใด ถ้าถูกเจ้ามือก็ต้องใช้ให้ ใครแทงไม่ถูก เจา้ มอื กร็ บิ เงนิ ทแ่ี ทงเสยี ตอ่ มาถงึ สมยั ลำ่ ปกั เฉยี ว เวลาเมอื งจนี แตกกนั เปน็ ภาคเหนอื กบั ภาคใต้ ตา่ งรฐั บาลกนั ในระหวา่ ง พ.ศ. ๙๖๓ จน พ.ศ. ๑๑๓๒ ในสมยั นน้ั การเลน่ ทเ่ี รยี กวา่ อจี ๋ี (ทำนองจะเปน็ เพราะเอาเบย้ี หรอื สง่ิ อน่ื เชน่ เมลด็ ถว่ั เปน็ ตน้ กองแทนกระแปะใหส้ งั เกตงา่ ยขน้ึ จงึ ) เรยี กแปลงชอ่ื วา่ “ทวั ห”่ี แปลวา่ เลน่ แจง ครน้ั ตอ่ มาเมอ่ื ราชวงศถ์ งั เปน็ ใหญ่ ในระหวา่ ง พ.ศ. ๑๑๖๑ จน พ.ศ. ๑๔๕๐ มผี แู้ ปลงชอ่ื การเลน่ “ทวั ห”่ี มาเรยี กวา่ “ทวั จ”๋ี แปลวา่ แจงกระแปะ (เพราะกลบั เลน่ ดว้ ยกระแปะ) แตท่ กุ วนั นเ้ี รยี กกนั เปน็ หลายอยา่ ง เรยี กวา่ “กมิ จท๋ี วั ” แปลวา่ แจงกระแปะทอง (เพราะวา่ กระแปะทเ่ี ลน่ นน้ั ขดั ปลง่ั เหมอื นกบั ทอง) กม็ ี เรยี กวา่ “ทวั ” แปลวา่ แจง เทา่ นน้ั (ดว้ ยจะเปน็ เพราะใชแ้ จงดว้ ยเบย้ี หรอื สง่ิ อน่ื อนั มใิ ชก่ ระแปะ) กม็ ี เรอ่ื งมลู เหตุ ของการเลน่ ถว่ั ทเ่ี รามาเรยี กวา่ “ ถว่ั ” มมี าดงั น้ี * สุดใจ ศาสตราจารยภ์ าษาจีนในราชบัณฑิตยสภา
๔๗๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เรื่องเหตุเดิมที่จะเกิดการเล่นโป ซึ่งจีนเรียกว่า “ป๊อ” นั้น ยังค้นไม่พบอธิบาย ได้ความแต่ว่า เป็นของคิดขึ้นทีอ่ ำเภอเจี๊ยวอาน ในมณฑลฮกเกี้ยน และว่ามีขึ้นในสมัยเมื่อตอนปลายราชวงศ์ไต้เหมง หรือเมื่อต้นราชวงศ์ไต้เชงเป็นใหญ่ในเมืองจีน ประมาณราว พ.ศ. ๒๑๐๐ เพราะฉะนั้นโปเป็นของ มขี น้ึ ทหี ลงั ถว่ั ชา้ นาน (โปทม่ี าเลน่ ในประเทศนม้ี ี ๒ อยา่ ง เราเรยี กวา่ “โปกำ” เพราะกำเหมอื นถว่ั ผดิ กนั แต่วิธีแทงอย่าง ๑ เรียกว่า “โปปน่ั ” ใช้ครอบทองเหลือง มีลิ้นรูปเหมือนลูกบาศก์อยู่ข้างใน ปั่นครอบ ไปจนได้เหลี่ยมแล้วเปิดฝา ซีกขาวที่ลิ้นอยู่ตรงแต้มไหนถือว่าออกแต้มนั้นนี้อย่าง ๑ สันนิษฐานว่า ที่จีนเรียกป๊อ เห็นจะได้แก่โปปั่นอย่างเดียว โปกำจะเป็นของคิดเอาวิธีเล่นถั่วกับเล่นโปประสมกันปรุงขึ้น ตอ่ ภายหลงั ) ไดค้ วามในเรอ่ื งมลู เหตทุ จ่ี ะเกดิ การเลน่ โปแตเ่ ทา่ น้ี ส่วนเหตุเดิมที่จะเกิดหวยนั้น ได้ความในหนังสือ ซื่อยัง ว่าหวยเป็นของพึ่งคิดขึ้นในแผ่นดิน พระเจา้ เตากวาง รชั กาลท่ี ๖ ในราชวงศไ์ ตเ้ ชง เสวยราชยแ์ ตป่ มี ะเสง็ พ.ศ. ๒๓๖๔ จนปจี อ พ.ศ. ๒๓๙๔ (ตรงกบั รชั กาลท่ี ๒ ตอ่ รชั กาลท่ี ๓ กรงุ รตั นโกสนิ ทรน์ )้ี วา่ มผี คู้ ดิ เลน่ ทอ่ี ำเภอวา่ งงา่ มในมณฑลเจเ๊ กย๋ี งกอ่ น จีนเรียกว่า “ฮวยหวย” ลักษณะการเล่นนั้นเอาตัวหนังสือจีนเติมลง ทำป้ายเล็ก ๆ ๓๔ ป้าย เขียนชื่อ คนโบราณลงปา้ ยละชอ่ื ชอ่ื คนโบราณเหลา่ นน้ั คอื ชอ่ื วา่ สามหวย งว่ ยโป๊ เปน็ ตน้ ลว้ นเปน็ คนมชี อ่ื เสยี ง ครั้งราชวงศ์ซ้องทั้งสิ้น กระบวนเล่นนั้น เจ้ามือเลือกป้ายอัน ๑ ใส่ลงในกระบอกไม้ ปิดปากกระบอกเสีย แลว้ เอาแขวนไวก้ บั หลงั คาโรง ใหค้ นทายวา่ จะเปน็ ชอ่ื คนไหนใน ๓๔ ชอ่ื นน้ั ถา้ ทายถกู เจา้ มอื กใ็ ชใ้ ห้ ๓๐ ตอ่ ถา้ ทายผดิ เจา้ มอื กเ็ อาเดมิ พนั เสยี เรอ่ื งมลู เหตทุ ถ่ี ว่ั โปและหวยเกดิ ขน้ึ ในเมอื งจนี สบื ไดค้ วามดงั แสดงมาน้ี วา่ โดยทางตำนาน การเลน่ ถว่ั โปหวยเปน็ ของจนี คดิ ขน้ึ เลน่ กนั ในเมอื งจนี กอ่ น พวกจนี ทไ่ี ปคา้ ขาย ยงั ตา่ งประเทศพาการเลน่ ทง้ั ๓ อยา่ งนน้ั ไปเลน่ ในประเทศทต่ี นไปอยู่ การเลน่ ถว่ั โปและหวยจงึ แพรห่ ลาย ไปถึงนานาประเทศ รวมทั้งสยามประเทศของเราด้วย เพราะมีจีนมาตั้งภูมิลำเนาประกอบการค้าขาย ในประเทศน้ี และไปมาถงึ เมอื งจนี เนอื งนจิ ตง้ั แตด่ กึ ดำบรรพม์ า แตต่ ามความทป่ี รากฏในจดหมายเหตจุ นี ดงั ไดก้ ลา่ วมาขา้ งตน้ การเลน่ ทง้ั ๓ อยา่ งเกดิ ขน้ึ ในเมอื งจนี ตา่ งสมยั กนั เทยี บเวลากบั พงศาดารเมอื งไทย การเลน่ ถว่ั เกดิ มขี น้ึ ตง้ั แตร่ าว พ.ศ.๑๔๕๐ กอ่ นราชวงศพ์ ระรว่ ง ไดค้ รองสโุ ขทยั ชา้ นาน การเลน่ โปเกดิ มขี น้ึ เมอ่ื ราว พ.ศ. ๒๑๐๐ ตรงกบั สมยั เมอ่ื สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ ครองกรงุ ศรอี ยธุ ยา การเลน่ หวยเกดิ ขน้ึ เมอ่ื ราว พ.ศ. ๒๓๙๐ ตรงกบั สมยั ในรชั กาลท่ี ๓ กรงุ รตั นโกสนิ ทรน์ ี้ เหน็ ไดว้ า่ การเลน่ ถว่ั โปหวยคงเขา้ มาถงึ ประเทศนแ้ี ตท่ ลี ะอยา่ ง พวกจนี คงนำวธิ เี ลน่ ถว่ั เขา้ มากอ่ น ขอ้ นม้ี ี เคา้ เงอ่ื นอยใู่ นคำทไ่ี ทยเราเรยี กการเลน่ ถว่ั โปวา่ “เลน่ เบย้ี ” และเรยี กทเ่ี ลน่ ถว่ั โปวา่ “บอ่ นเบย้ี ” คงเปน็ เพราะ
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๗๗ เดิมมีแต่เล่นกำถั่วด้วยเบี้ยอย่างเดียว หรือมิฉะนั้น ชั้นเดิมทีเดียวจีนจะนำการเล่นที่จีนเรียก “อีจี๋” ซึ่งไทยเรามาเรียกว่า “กำตัด” เข้ามาเล่นก่อน แต่ในเมืองไทยไม่มีกระแปะอย่างที่เมืองจีน จึงเอาเบี้ย กำแทน ภายหลงั การเลน่ ทเ่ี รยี กวา่ “ทวั ” จงึ มเี ขา้ มา เมอ่ื มาเลน่ เปน็ ๒ อยา่ งขน้ึ ไทยเราจงึ เรยี กรวมกนั วา่ เลน่ เบย้ี ซง่ึ เหน็ ความขอ้ หลงั นเ้ี พราะกำตดั กเ็ ปน็ การเลน่ ทม่ี มี าเกา่ แก่ และในครง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยากน็ บั วา่ เปน็ การเลน่ สำหรบั บอ่ นเบย้ี อยา่ งหนง่ึ พเิ คราะหด์ กู ำตดั เลน่ งา่ ยไมพ่ สิ ดารชวนสนกุ เหมอื นเลน่ ถว่ั นา่ จะเปน็ ของจีนคิดขึ้นก่อนถั่ว และพามาเล่นในเมืองไทยก่อน ครั้นภายหลังมีการเล่นถั่วเข้ามา คนเล่นเห็นกำตัด ไม่สนุกเหมือนถั่ว มิใคร่มีใครชอบเล่นกำตัด บ่อนเบี้ยชั้นหลังจึงเลิกกำตัดเสีย ถ้าวินิจฉัยนี้ถูกต้อง การเล่นกำตัดเห็นจะมีมาถึงเมืองไทยแต่ดึกดำบรรพ์ บางทีจะถึงแต่ครั้งสุโขทัยก็เป็นได้ การเล่นถั่ว เห็นจะมีเข้ามาต่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี แต่การเล่นโปนั้นในหนังสือเก่าแต่ชั้นกรุงศรีอยุธยา ตลอดมาจนรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์นี้ หาพบกล่าวถึงเล่นโปในแห่งหนึ่งแห่งใดไม่ เพราะฉะนั้น ชวนให้เข้าใจว่าชะรอยจะพึ่งมีเข้ามาเล่นในชั้นรัชกาลที่ ๒ หรือรัชกาลที่ ๓ กรุงรัตนโกสินทร์ก็อาจจะ เป็นได้ ทราบได้แน่อย่างเดียวแต่ว่าหวยพึ่งมีเข้ามาเมื่อในรัชกาลที่ ๓ กรุงรัตนโกสินทร์ ดังจะแสดงใน ตอนว่าด้วยตำนานอากรหวยต่อไปข้างหน้า การเล่นถั่วโปที่พวกจีนพาเข้ามาเล่นในประเทศนี้ ชั้นเดิม คงเลน่ กนั แตใ่ นหมจู่ นี มไิ ดม้ อี ากรบอ่ นเบย้ี ตอ่ เลน่ กนั แพรห่ ลายจงึ ไดเ้ กดิ มอี ากรบอ่ นเบย้ี ขน้ึ ตำนานอากรบ่อนเบี้ย อากรบอ่ นเบย้ี ในประเทศน้ี จะเกดิ ขน้ึ อยา่ งไรและจะเกดิ เมอ่ื ไรหามหี ลกั ฐานทจ่ี ะทราบแนไ่ ม่ ตรวจดู หนังสือเก่า* พบในกฎหมายลักษณะพยานแห่ง ๑ มีความว่าห้ามมิให้ฟังคำคนเล่นเบี้ยบ่อนเป็นพยาน เว้นแต่คู่ความยินยอม อีกแห่ง ๑ พบในพระธรรมนูญ กล่าวว่าพระยาราชภักดี มีหน้าที่ออกตราปักษา วายภุ กั ษก์ ำกบั เจา้ จำนวนตง้ั นายอากรบอ่ นเบย้ี ดงั น้ี กก็ ฎหมายลกั ษณะพยานนน้ั ในบานแผนกวา่ ตง้ั เมอ่ื พ.ศ. ๑๘๙๔ และพระธรรมนญู นน้ั วา่ ตง้ั เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๖๗ ถา้ วา่ ตามความทป่ี รากฏในบานแผนก กฎหมาย บ่อนเบี้ยต้องเป็นของมีมาแต่รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีอู่ทองและอากรบ่อนเบี้ยมีเมื่อรัชกาลพระเจ้า ทรงธรรม แต่เห็นว่าจะยุติเอาตามบานแผนกกฎหมายเป็นมั่นคงไม่ได้ เพราะหนังสือกฎหมายมักมีความ เพม่ิ เตมิ เขา้ ใหมภ่ ายหลงั อนั มไิ ดแ้ กไ้ ขบานแผนก จะยกมาใหเ้ หน็ เปน็ ตวั อยา่ ง เชน่ กฎหมายตอนทำเนยี บ ศกั ดนิ าหวั เมอื ง ในบานแผนกวา่ สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถทรงตง้ั ทำเนยี บนน้ั เมอ่ื ปจี อ มหาศกั ราช ๑๒๙๘ * การตรวจหนงั สอื เกา่ หาเรอ่ื งตำนานบอ่ นเบย้ี พระยาโบราณราชธานนิ ทรไ์ ดช้ ว่ ยตรวจหา และพระอกั ษรสมบตั กิ ระทรวงพระคลงั ฯ ก็ได้ช่วยหาสำเนาตราตั้งนายอากรให้ด้วย
๔๗๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ (ตรงกับ พ.ศ. ๑๙๓๘) แต่ในทำเนียบมีชื่อเมืองที่ตั้งขึ้นต่อภายหลังมาช้านานเป็นหลายเมือง เช่น เมืองนครไชยศรี เมืองนนทบุรี เมืองสาครบุรี๑ อันปรากฏในเรื่องพระราชพงศาวดาร ว่าตั้งต่อเมื่อใน รชั กาลสมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดนิ น้ั เหน็ ไดช้ ดั วา่ เอาชอ่ื เมอื งเตมิ ลงชน้ั หลงั โดยมไิ ดแ้ กบ้ านแผนก เพราะการ รวบรวมบทกฎหมายใหมเ่ ขา้ ประมวล ทำกนั มาหลายครง้ั จนในรชั กาลท่ี ๑ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ กท็ ำเมอ่ื ปชี วด พ.ศ. ๒๓๔๗ อกี ครง้ั ๑ เขา้ ใจวา่ กฎหมายบททห่ี า้ มมใิ หน้ กั เลงเลน่ เบย้ี บอ่ นเปน็ พยาน และหนา้ ทพ่ี ระยา ราชภกั ดเี ปน็ ผอู้ อกตรากำกบั ตง้ั นายบอ่ นเบย้ี ทง้ั ๒ บทนจ้ี ะเปน็ ของเพม่ิ เตมิ เขา้ ตอ่ ชน้ั หลงั เพราะมเี คา้ เงอ่ื น ในทางอื่นทำให้เห็นว่า เมื่อรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีอู่ทองก็ดี หรือแม้มาจนชั้นรัชกาลพระเจ้า ทรงธรรมก็ดี บ่อนเบี้ยยังหามีในประเทศนี้ไม่ เค้าเงื่อนที่ว่านั้นอยู่ในหนังสือซึ่งมองซิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ อัครราชทูตฝรั่งเศสแต่งเรื่องเมืองไทยที่เขาได้เข้ามาเห็นเมื่อครั้งรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช ในตอนพรรณนาวา่ ดว้ ยการเลน่ ของไทยกลา่ วถงึ แตก่ ารพนนั อยา่ งอน่ื คอื ชนไกแ่ ละสะกาหมากรกุ เป็นต้น การเล่นถั่วโปและบ่อนเบี้ยหาได้กล่าวถึงไม่ ถ้ามีอยู่ในสมัยนั้น คงจะต้องกล่าวถึงหานิ่งไม่ อาศัยเค้าเงื่อนที่มีอยู่ดังนี้ จึงเห็นว่า บ่อนเบี้ยและอากรบ่อนเบี้ยเห็นจะเกิดขึ้นภายหลังรัชกาล สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช คอื ภายหลงั พ.ศ. ๒๒๓๑ กฎหมายทก่ี ลา่ วถงึ บอ่ นเบย้ี นอกจากในลกั ษณะพยานและพระธรรมนญู ทอ่ี ธบิ ายมาแลว้ มามใี นหมวด พระราชกำหนดเกา่ อนั ตง้ั ในรชั กาลพระเจา้ บรมโกศ ปรากฏในบทท่ี ๔๒ ซง่ึ ประกาศเมอ่ื ปชี วด พ.ศ.๒๒๙๙ วา่ ขนุ ทพิ กบั หมน่ื รดุ อกั ษร ยน่ื เรอ่ื งราวกราบบงั คมทลู ฯ ขอตง้ั บอ่ นเบย้ี ทเ่ี มอื งราชบรุ ี เมอื งสมทุ รสงคราม และเมืองสมุทรปราการ จะยอมประมูลเงินอากรปีละ ๓๗๑ ชั่ง (๒๙,๖๘๐) บาท พระเจ้าบรมโกศ ทรงพระพโิ รธดำรสั วา่ เมอื งเหลา่ นน้ั “เปน็ เมอื งใกลส้ วนบางชา้ ง ทเ่ี ปน็ อากรสวนขน้ึ พระคลงั หลวงเปน็ อนั มาก (ได้) มีกฎรับสั่งห้ามอยู่แต่ก่อนมิให้ตั้งบ่อนเบี้ย ฯลฯ (ที่จะขอตั้งบ่อนเบี้ยขึ้น) นั้นผิดอย่างธรรมเนียม แตบ่ รุ าณราชและ (จะ) กระทำใหไ้ พรฟ่ า้ อาณาประชาราษฎรท์ ง้ั ปวงไดค้ วามเดอื ดรอ้ นขดั สนสบื ไป” จงึ โปรด ฯ ให้เอาตัวผู้ถวายเรื่องราวลงพระราชอาญา และห้ามมิให้เจ้ากระทรวงรับเรื่องราวเช่นนั้นขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายอีกต่อไปเป็นอันขาด กฎหมายบทนี้เห็นชัดว่าตั้งเมื่อมีบ่อนเบี้ยและอากรบ่อนเบี้ยแล้ว เมื่อวินิจฉัย เข้ากับความที่ได้กล่าวมาก่อน เป็นอันได้หลักฐานว่าบ่อนเบี้ยและอากรบ่อนเบี้ยนั้น คงตั้งขึ้นในระหว่าง พ.ศ. ๒๒๓๑ กับ พ.ศ.๒๒๙๙ และคำที่กล่าวในพระราชกำหนดว่า “ผิดอย่างธรรมเนียมบุราณราช” ดังนี้ส่อให้เห็นว่าบ่อนเบี้ยและอากรบ่อนเบี้ยมีมาแล้วแต่ก่อนรัชกาลพระเจ้าบรมโกศ อาศัยเค้าเงื่อน ๑ เมอื งสมทุ รสาครในปัจจุบัน
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๗๙ ดังอธิบายมานี้ จึงสันนิษฐานว่าบ่อนเบี้ยและอากรบ่อนเบี้ยเห็นจะมีขึ้นเมื่อรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา หรอื พระเจา้ เสอื หรอื พระเจา้ ทา้ ยสระพระองคใ์ ดพระองคห์ นง่ึ หรอื ถา้ วา่ โดยศกั ราชกค็ อื ในระยะเวลา ๔๔ ปี ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๒๓๑ กบั พ.ศ. ๒๒๗๕ น้ี เหตุจะตั้งบ่อนเบี้ยและอากรบ่อนเบี้ยขึ้นนั้น ถึงโดยไม่มีจดหมายเหตุบอกความให้ชัดเจนก็ดี เมื่อคิดประกอบกับเค้าเงื่อนที่ปรากฏอยู่ในที่ต่าง ๆ ก็พอจะเห็นเหตุการณ์อันเป็นต้นเค้าของความดำริได้ ไมย่ ากนกั เรอ่ื งตำนานการตง้ั บอ่ นเบย้ี และอากรบอ่ นเบย้ี คงจะเปน็ ทำนองน้ี คอื เดมิ พวกจนี ทเ่ี ขา้ มาตง้ั ภมู ลิ ำเนาอยใู่ นประเทศน้ี เลน่ เบย้ี กนั ตามประเพณใี นเมอื งจนี รฐั บาลเหน็ จะปลอ่ ยใหเ้ ลน่ กนั ตามใจมาชา้ นาน จนการเล่นเบี้ยอย่างจีนรู้แพร่หลายมาถึงไทย ไทยเกิดนิยมเล่นขึ้นบ้าง รัฐบาลจึงเห็นว่าจะปล่อยให้ เล่นเบี้ยกันตามใจอย่างแต่ก่อนไม่ได้ จะห้ามเสียทีเดียวก็เห็นว่าพวกจีนได้เคยเล่นมาช้านานแล้ว จึงให้ ตง้ั บอ่ นเบย้ี คอื กำหนดทใ่ี หเ้ ลน่ เบย้ี แตบ่ างแหง่ บางตำบล (ทม่ี จี นี ตง้ั ภมู ลิ ำเนาอยมู่ าก) และใหม้ เี จา้ พนกั งาน กำกบั ดแู ลใหแ้ ตจ่ นี เลน่ เบย้ี ตามประเพณขี องจนี หา้ มมใิ หไ้ ทยเขา้ ไปเลน่ ดว้ ย ขอ้ ทห่ี า้ มไทยนน้ั มเี คา้ เงอ่ื นอยู่ ด้วยบ่อนเบี้ยแม้มาถึงชั้นหลังยังกำหนดเป็น ๒ อย่าง เรียกว่าบ่อนเบี้ยจีนอย่าง ๑ บ่อนเบี้ยไทยอย่าง ๑ บ่อนทั้ง ๒ อย่างนี้ ที่จริงก็เล่นการพนันชนิดเดียวกัน คือเล่นกำตัดอย่าง ๑ ถั่วอย่าง ๑ ไพ่งา (เขา้ ใจวา่ ไพช่ า้ งงา) อยา่ ง ๑ ทเ่ี รยี กบอ่ นเปน็ ๒ อยา่ ง คงเปน็ เพราะเดมิ ทเี ดยี วมแี ตบ่ อ่ นเบย้ี จนี อยา่ งเดยี ว ต่อมา เมื่อรัฐบาลเห็นว่าพวกนักเลงไทยลักลอบเล่นห้ามไม่หยุด จึงยอมให้ตั้งบ่อนเบี้ยสำหรับไทยเล่นขึ้น จึงเกิดเป็นบ่อนเบี้ย ๒ อย่าง แต่รัฐบาลมิได้พอใจจะอุดหนุนให้ไทยเล่นเบี้ย ข้อนี้เห็นได้ในกฎหมาย ลกั ษณะพยานทก่ี ลา่ วมา วา่ รฐั บาลเหน็ คนเลน่ เบย้ี เลวทรามเพยี งไร และมพี ระราชกำหนดในครง้ั รชั กาล พระเจ้าบรมโกศ* ห้ามมิให้ข้าราชการเล่นเบี้ยบ่อน ถ้าผู้ใดขืนเล่นต้องระวางโทษถูกเฆี่ยน ๙๐ ที และถอดลงเปน็ ไพร่ ดงั น้ี สว่ นอากรบอ่ นเบย้ี นน้ั พเิ คราะหด์ เู หน็ วา่ ในชน้ั แรกตง้ั อากรขน้ึ เหน็ จะประสงคแ์ ตจ่ ะใหไ้ ดเ้ งนิ เปน็ คา่ ใชส้ อยสำหรบั รกั ษาบอ่ น คอื ใหเ้ ปน็ ผลประโยชนค์ า่ ปว่ ยการแกผ่ ดู้ แู ลบอ่ น (เชน่ ใหเ้ งนิ เดอื นอยา่ งทกุ วนั น)้ี หาได้มุ่งหมายจะเอาเป็นผลประโยชน์สำหรับใช้ราชการแผ่นดินเช่นภาษีอากรอย่างอื่นไม่ ข้อนี้มีเค้าเงื่อน อยู่ในวิธีเก็บอากรบ่อนเบี้ย ชั้นเดิมการเล่นเบี้ยบ่อนนายบ่อนมิได้เกี่ยวข้องในการเล่น พวกนักเลง ผลัดกันเป็นเจ้ามือ** นายบ่อนเป็นแต่เก็บส่วนลดจากผู้ที่รวย เรียกว่า “เก็บหัวเบี้ย” ประเพณีอันนี้ * ตวั พระราชกำหนดนไ้ี มม่ สี ำเนาเหลอื อยู่ แตอ่ า้ งในพระราชกำหนดใหม่ บทท่ี ๒ ซง่ึ ตง้ั ครง้ั รชั กาลท่ี ๑ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เมอ่ื ปขี าล พ.ศ. ๒๓๒๕ ** ข้อนี้มีปรากฏอยู่ในพระราชกำหนดใหม่ รัชกาลที่ ๑ บทที่ ๒๖ ตั้งเมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๓๓๗
๔๘๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ใช้มาจนในชั้นกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อชั้นหลัง (เข้าใจว่าเห็นจะเป็นเมื่อเล่นโปกันขึ้น) จึงเปลี่ยนให้นายบ่อน เปน็ เจา้ มอื แตผ่ เู้ ดยี ว บ่อนเบี้ยในชั้นเมื่อแรกตั้ง คงจะมีแต่ในเขตจังหวัดพระนคร ข้อนี้มีเค้าเงื่อนปรากฏในพระราช กำหนดใหม่ บทท่ี ๒ วา่ เมอ่ื ครง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยาเปน็ ราชธานี พระศรวี โิ รจนเ์ ศรษฐีไดเ้ ปน็ ตำแหนง่ นายตรา ในกระทรวงพระคลงั ฯ สำหรบั เปน็ เจา้ พนกั งานจดั การบอ่ นเบย้ี คงเปน็ เพราะบอ่ นเบย้ี มนี อ้ ยตำบล และ เงินอากรไม่มากมายเท่าใด พระศรีวิโรจนค์ นเดียวจึงสามารถจัดการได้ตลอด แต่เป็นอยู่อย่างนั้นไม่ช้า เพราะเมื่อรัฐบาลตั้งบ่อนให้เล่นเบี้ยแล้ว ก็มีคนเล่นมากขึ้นทุกที พระศรีวิโรจน์เก็บหัวเบี้ยได้ผลประโยชน์ รวยมากกม็ ผี อู้ น่ื อยากรวยบา้ ง จงึ เกดิ การประมลู มผี ขู้ อตง้ั บอ่ นเบย้ี โดยยอมแบง่ เงนิ หวั เบย้ี สง่ พระคลงั ฯ เป็นผลประโยชน์แผ่นดิน อาศัยการประมูลนี้ จึงมีบ่อนเบี้ยแพร่หลายออกไปถึงหัวเมืองที่ติดต่อกับ เขตพระนคร คือเมืองนนทบุรี และเมืองธนบุรี เป็นต้น เงินอากรบ่อนเบี้ยจึงเพิ่มพูนเป็นผลประโยชน์ แผน่ ดนิ ขน้ึ อกี อยา่ ง ๑ วธิ จี ดั การ บอ่ นเบย้ี กเ็ กดิ เปน็ ๒ อยา่ ง เรยี กวา่ บอ่ นหลวงอยา่ ง ๑ บอ่ นผกู ขาด* อย่าง ๑ บ่อน ๒ อย่างนี้จะผิด กันอย่างไรไม่ปรากฏอธิบายโดยชัดเจน สันนิษฐานว่าบ่อนหลวงนั้น เห็นจะเป็นบ่อนที่พระศรีวิโรจน์จัดการมาแต่เดิม แต่มาถึงชั้นนี้เห็นจะยอมแบ่งส่วนกำไรถวายหลวง จึงยังได้คงทำอยู่ ที่เรียกว่าบ่อนผูกขาดนั้น คงมีผู้รับเหมาไปตั้งบ่อนเบี้ยในตำบล ๑ หรือเมือง ๑ โดยสัญญาว่าถึงจะมีนักเลงเล่นมากหรือน้อยประการใด ก็คงจะส่งเงินเข้าพระคลัง ฯ ปีละเท่านั้น ๆ เปน็ กำหนดแน่ แต่การที่ตั้งบ่อนเบี้ย ปรากฏว่ามีข้อรำคาญขุ่นเคืองเกิดมาแต่ในสมัยชั้นกรุงศรีอยุธยา เพราะ บ่อนเบี้ยที่พวกจีนเล่นกันมีปี้คะแนนและคิดบัญชีใช้ทรัพย์กันตามประเพณีในเมืองจีน ครั้นมีบ่อนเบี้ย ใหไ้ ทยเลน่ ตอ้ งเลน่ ดว้ ยเงนิ สด นกั เลงทไ่ี ปเลน่ ผลดั กนั เปน็ เจา้ มอื บางคนเสยี สน้ิ ทนุ ลงกลางคนั นายบอ่ น เกรงบ่อนแตกก็ทดรองทุนให้นักเลงเนือง ๆ จนการทดรองทุนเกิดเป็นประเพณีขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่จะเกิด มีเหตุโต้แย้งด้วยเรื่องกล่าวหากันว่าฉ้อฉล ฝ่ายนายบ่อนมีอำนาจที่จะจับกุมลูกหนี้ไว้เร่งรัดตามกฎหมาย ในสมัยนั้น ถ้าถูกบ่าวหรือทาสของผู้ใด มูลนายก็ขาดประโยชน์เสียการงาน จึงมักกล่าวหาว่านายบ่อน แกลง้ รองทนุ โดยประสงคจ์ ะใหม้ ลู นายตอ้ งใชแ้ ทน เหตอุ นั นเ้ี หน็ จะเกดิ ในเวลาบอ่ นเบย้ี มแี พรห่ ลาย ไดอ้ ากร เป็นผลประโยชน์แผ่นดินมากอยู่แล้ว รัฐบาลจะห้ามการทดรองพวกนายบ่อนก็ร้องว่าบ่อนจะร่วงโรย * ความข้อนี้มีอยู่ในพระราชกำหนดใหม่ บทที่ ๒ ตั้งในรชั กาลท่ี ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๓๒๕
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๘๑ จึงตั้งกฎหมายขึ้นเมื่อในรัชกาลพระเจ้าบรมโกศ กำหนดพิกัดอัตราการทดรองทุนให้นักเลงเล่นเบี้ยบ่อน* ใหน้ ายบอ่ นรองทนุ ตามจำนวนทรพั ยค์ อื ขา้ คน โคกระบอื ไรน่ า และขา้ วเปลอื ก หรอื เครอ่ื งใชเ้ ครอ่ื งประดบั อนั ตวั นกั เลงมเี ปน็ สมบตั ขิ องตน** กำหนดจำนวนเงนิ ใหร้ องตง้ั แต่ ๑๖๐ บาท เปน็ อยา่ งมาก ลงมาจน ๒๐ บาทเป็นอย่างน้อย ถ้าผู้ที่ไม่มีสิ่งสมบัติดังกล่าวนั้น จะรองทุนให้โดยเชื่อหน้าได้แต่เพียง ๓๐ บาท ลงมา แต่ห้ามมิให้นายบ่อนรองทุนให้แก่ทาสเป็นอันขาด เว้นแต่ไม่รู้ ถ้านายบ่อนรองทุนให้โดยไม่รู้ว่า เป็นทาส ให้นายเงินใช้หนี้แทนทาสเพียง ๑๐ บาทเป็นอย่างมาก เหลือนั้นให้เป็นพับแก่นายบ่อน อนึ่ง ถา้ หากวา่ นายเงนิ ไดใ้ ชห้ นแ้ี ทนครง้ั หนง่ึ แลว้ กด็ ี หรอื ไดพ้ าตวั ทาสไปประกาศไวแ้ กน่ ายบอ่ นกด็ ี ถา้ นายบอ่ น ขืนทดรองทุนให้ จะเรียกเร่งเอาแก่นายเงินหรือแก่ตัวทาสนั้นไม่ได้ ประเพณีอากรบ่อนเบี้ย เมื่อครั้งพระเจ้าบรมโกศทรงครองกรุงศรีอยุธยาเป็นดังแสดงมา มาถงึ สมยั ครง้ั กรงุ ธนบรุ เี ปน็ ราชธานี ปรากฏ*** วา่ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ที รงพระราชดำรวิ า่ การทย่ี อม ให้นายบ่อนทดรองทุนให้แก่นักเลงเล่นเบี้ยนั้น แม้มีพิกัดกำหนดเงินแล้วก็ยังมักเกิดถ้อยความยุ่งยากนัก จงึ โปรด ฯ ใหป้ ระกาศหา้ มมใิ หน้ ายบอ่ นทดรองทนุ ใหแ้ กน่ กั เลงเลน่ เบย้ี นน้ั ใหน้ กั เลงผเู้ ปน็ เจา้ มอื เอาทนุ ออก ใสข่ นั ไวใ้ หน้ ายบอ่ นหวั เบย้ี ดู ใหก้ ำแตพ่ อเงนิ ทนุ ทม่ี ี ฝา่ ยผแู้ ทงกใ็ หแ้ ทงดว้ ยเงนิ สด อยา่ ใหต้ ดิ คา้ งตอ้ ง เกาะกุมเร่งรัดกัน แต่มาถึงชั้นนี้เห็นได้ว่าไม่กีดกันห้ามหวงไทยมิให้เล่นเบี้ยดังแต่ก่อน ด้วยปรากฏว่า ครั้งพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จลงไปตีเมืองนครศรีธรรมราชได้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๓ เวลามีการเล่นรื่นเริง ในกองทพั โปรด ฯ ใหฝ้ พี ายทนายเลอื กกำถว่ั กนั หนา้ พระทน่ี ง่ั เลน่ กนั ถงึ กระดานละ ๕๐ ชง่ั กม็ ี ๑๐๐ ชง่ั กม็ ี เพราะคราวนั้นรวยกันมาก แต่พวกฝีพายทนายเลือกคงสันทัดเล่นถั่วมาก่อนแล้ว จึงชวนให้เห็นว่า ไทยเห็นจะเล่นถั่วกันแพร่หลายมาแต่ในรัชกาลพระเจ้าเอกทัศตอนปลายสมัยเมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เหน็ จะมบี อ่ นเบย้ี ตง้ั ตามตวั หวั เมอื งทว่ั ไป**** และคงเปน็ บอ่ นผกู ขาดเปน็ พน้ื เงนิ อากรบอ่ นเบย้ี กเ็ หน็ จะ ไดเ้ พม่ิ เตมิ ขน้ึ อกี มาก มปี ระเพณอี นั เนอ่ื งในการบอ่ นเบย้ี อยา่ ง ๑ ซง่ึ เขา้ ใจวา่ เกดิ ขน้ึ เมอ่ื ครง้ั กรงุ ธนบรุ เี ปน็ ราชธานี แตห่ า ปรากฏกล่าวไว้ในหนังสือเก่าเรื่องหนึ่งเรื่องใดไม่ คือที่ยอมอนุญาตให้ราษฎรเล่นเบี้ยกันได้ตามชอบใจ * กฎหมายที่ว่านี้จะตั้งเมื่อปีไรหาทราบไม่ ได้ความในพระราชกำหนดใหม่ บทที่ ๒๖ ซึ่งตั้งในรัชกาลที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๗ อ้างว่าเป็นพระราชกำหนดมีมาแต่รัชกาลพระเจ้าบรมโกศ ** ในกฎหมายกำหนดพกิ ดั อตั ราเปน็ หลายชน้ั พสิ ดารมาก นำมากลา่ วในทน่ี แ้ี ตเ่ นอ้ื ความเปน็ สงั เขป *** ความทีก่ ลา่ วขอ้ น้ี มีอยใู่ นพระราชกำหนดใหม่ บทท่ี ๒ **** ปรากฏในกฎหมายหมวดพระราชบญั ญตั คิ รง้ั รชั กาลท่ี ๑ วา่ บอ่ นเบย้ี ไดม้ แี ลว้ ถงึ เมอื งจนั ทบรุ ี
๔๘๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ในเวลานักขัตฤกษ์ตรุษจีนตรุษไทยและสงกรานตท์ ุก ๆ ปี เห็นเค้าเงื่อนความข้อนี้ ด้วยเมื่อครั้งกรุงธนบุรี เปน็ เวลาทำสงครามไมใ่ ครม่ ปี เี วน้ ตอ้ งเกณฑบ์ รรดาชายฉกรรจเ์ ปน็ ทหารทง้ั ไทยและจนี มคี วามจำเปน็ จะตอ้ ง บำรุงใจให้ไพร่พลรื่นเริง จึงยกหัวเบี้ยพระราชทานให้เล่นกันตามใจให้สนุกสนานในเวลานักขัตฤกษ์ คลา้ ยกบั ทโ่ี ปรดใหเ้ ลน่ เบย้ี กนั ไดห้ นา้ พระทน่ี ง่ั ดงั กลา่ วมาแลว้ มาถงึ ชน้ั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ในรชั กาลท่ี ๑ ตง้ั กฎหมายอนั เนอ่ื งดว้ ยการบอ่ นเบย้ี ปรากฏอยหู่ ลายบท ในหมวดพระราชกำหนดใหม่ บทท่ี ๒ ซง่ึ ตง้ั เมอ่ื ปขี าล จลุ ศกั ราช ๑๑๔๔ (พ.ศ.๒๓๒๕) วา่ (เมอ่ื ในรชั กาล พระเจ้าบรมโกศ) แต่ก่อนมามีพระราชกำหนดห้ามมิให้ข้าราชการเสพสุราและเล่นเบี้ยบ่อน ผู้ใดฝ่าฝืน พระราชกำหนดนั้น ให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยน ๙๐ ที และถอดจากยศบรรดาศักดิ์เอาตัวลงเป็นไพร่ ข้าราชการเก่า (ครั้งกรุงธนบุรี) ก็ยังฝ่าฝืนประพฤติอยู่ ส่วนข้าราชการใหม่ (ครั้งกรุงรัตนโกสินทร์) ก็ยัง มิทราบพระราชบัญญัตินั้น จึงโปรด ฯ ให้ออกพระราชกำหนดใหม่ว่า ถ้า (ข้าราชการ) ผู้ใดยังฝ่าฝืน ขืนเสพสุราและเล่นเบี้ยบ่อนจะลงพระราชอาญาเฆี่ยน ๓ ยก (๙๐ ที) และเพิ่มโทษสักกั๊กถั่วไว้ที่ หนา้ ผากดว้ ย สว่ นนายบอ่ นหวั เบย้ี ไทยจนี ทเ่ี ปน็ ใจใหข้ า้ ราชการเลน่ เบย้ี นน้ั จะลงพระราชอาญาเฆย่ี นยก ๑ (๓๐ ท)ี ดงั น้ี ในพระราชกำหนดใหม่ บทท่ี ๒๖ อนั ตง้ั ในปขี าล พ.ศ. ๒๓๒๕ นน้ั เหมอื นกนั กลา่ วบรรยาย ถึงประเพณีการบ่อนเบี้ยเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา ไว้ในบานแผนกหลายอย่าง ซึ่งได้ยกมาชี้แจงในตอนที่ กล่าวมาแล้ว ส่วนเนื้อความอันเป็นข้อพระราชบัญญัตินั้น ว่าทรงพระราชดำริว่าซึ่งประกาศห้ามในครั้ง กรุงธนบุรี มิให้นายบ่อนทดรองเงินทุนให้นักเลงเล่นเบี้ยนั้น หาเป็นคุณเป็นประโยชน์ได้ดังคาดไม่ เป็นแต่ทำให้บ่อนเบี้ยทรุดโทรมขาดผลประโยชน์แผ่นดิน เพราะนักเลงจำพวกที่หลงเล่นเบี้ยก็ยังคงเล่น เป็นแต่หาทุนทดรองจากนายบ่อนไม่ได้ดังแต่ก่อน ก็ขายบุตรภรรยาและทรัพย์สมบัติเอาเงินไปเล่นเบี้ย ยิ่งขัดสนยุบยากกว่าแต่เดิม จึงโปรด ฯ อนุญาตให้นายบ่อนทดรองทุนให้นักเลงเล่นเบี้ยต่อไป ตามพิกัด อตั ราอยา่ งเมอ่ื ครง้ั รชั กาลพระเจา้ บรมโกศ ดงั น้ี ในกฎหมายหมวดพระราชบัญญัติ บทที่ ๑๙ ตั้งเมื่อปีมะแม จุลศักราช ๑๑๖๑ (พ.ศ.๒๓๔๒) ความว่าเมืองจันทบุรีมีใบบอกส่งคดีเรื่องกล่าวหากันว่าเป็นหนี้ด้วยเล่นเบี้ย จะเอาสำนวนไปให้ลูกขุน ปรึกษาคู่ความติดใจว่าที่บอกส่งเข้ามานั้น มิใช่ถ้อยคำสำนวนที่แท้จริง มีรับสั่งว่าเป็นอย่างธรรมเนียม (ครง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยา) ววิ าทกนั ดว้ ยบอ่ นเบย้ี สดุ แตพ่ ระศรวี โิ รจนน์ ายตราจะวา่ กลา่ ว ซง่ึ จะเอาไปใหล้ กู ขนุ ตัดสินนั้นผิดอย่างธรรมเนียม ให้พระศรีวิโรจน์เป็นผู้ว่ากล่าวคดีด้วยเรื่องบ่อนเบี้ยต่อไป
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๘๓ ยงั มกี ฎหมายในหมวดพระราชบญั ญตั คิ รง้ั รชั กาลท่ี ๑ อกี ๒ บท บทท่ี ๘ ตง้ั เมอ่ื ปจี อ จลุ ศกั ราช ๑๑๕๒ (พ.ศ. ๒๓๓๓) ห้ามมิให้ผู้ใดเล่นพนันชนไก่ บทที่ ๒๗ ตั้งเมื่อปีขาล จุลศักราช ๑๑๕๖ (พ.ศ.๒๓๓๗) หา้ มมใิ หผ้ ใู้ ดเลน่ พนนั เดด็ ปลี แทงหว่ งและกอบขา้ วสาร ตามความในที่ปรากฏในกฎหมายซึ่งตั้งเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ ได้ความว่า บ่อนเบี้ยในชั้นนั้น ยังเหมือนกับบ่อนเบี้ยครั้งกรุงศรีอยุธยา คือในบ่อนเบี้ยยังคงเล่นแต่กำตัดอย่าง ๑ ถั่วอย่าง ๑ กับไพ่งา อยา่ ง ๑ โปหาเลน่ ไม่ มคี ำเลา่ กนั มาอกี อยา่ ง ๑ วา่ บอ่ นท่ี “กงสลี ง้ ” ในสำเพง็ เปน็ หวั หนา้ สำหรบั ให้ สัญญาอาณัติและเป็นที่ปรึกษาของบ่อนทั้งปวงเป็นต้นว่า ถึงนักขัตฤกษ์อันเป็นเวลาที่อนุญาตให้ คนทั้งหลายเล่นเบี้ยได้ตามชอบใจ นายบ่อนกงสีล้งเป็นพนักงานเอาม้าล่อเที่ยวตีบอกอย่างประกาศในวัน กำหนด เมื่อพ้นกำหนดก็ตีม้าล่อบอกเช่นนั้นอีกครั้ง ๑ ความข้อนี้ชวนให้เข้าใจว่าบ่อนกงสีล้งในสมัยนั้น พระศรีวิโรจน์เห็นจะเป็นนายบ่อนทำเป็นอย่างบ่อนหลวงตามแบบเดิมอยู่บ่อนเดียว นอกจากนั้นเห็นจะ เป็นบ่อนผูกขาดทั้งนั้น อนึ่งบ่อนเบี้ยในชั้นนี้ยังมีทั้งบ่อนเบี้ยจีนและบ่อนเบี้ยไทยเป็น ๒ อย่าง เหมือนเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา ความปรากฏในกฎหมายครั้งรัชกาลที่ ๑ อีกอย่าง ๑ ว่า พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกไม่พอพระราชหฤทัยที่จะทรงอุดหนุนการเล่นเบี้ยเหมือนเมื่อครั้งกรุงธนบุรี ที่ต้องให้มีบ่อนเบี้ย อยกู่ ค็ งเปน็ เพราะทรงพระราชดำรเิ หน็ วา่ เงนิ อากรเปน็ ผลประโยชนแ์ ผน่ ดนิ มากอยู่ จะเลกิ บอ่ นเบย้ี เสยี ทเี ดยี ว กจ็ ะขาดกำลงั แผน่ ดนิ มากนกั ในรัชกาลที่ ๒ มีปรากฏพระราชบัญญัติด้วยเรื่องการบ่อนเบี้ยบท ๑ ตั้งเมื่อปีวอก จุลศักราช ๑๑๗๔ (พ.ศ. ๒๓๕๕) เพิ่มโทษให้เฆี่ยนตัวทาสที่ไปลวงนายบ่อนให้รองทุนให้เล่นเบี้ย ๓ ยก (๙๐ ที) ทั้งเพิ่มโทษนายบ่อนที่รองทุนให้นักเลงเกินพิกัด ในพระราชบัญญัติรัชกาลที่ ๑ ว่าต้องระวางลงพระราช อาญาเฆย่ี น ๕๐ ที และจะเรยี กเงนิ คนื ไดเ้ พยี งอตั ราในพระราชบญั ญตั นิ น้ั ในพระราชบญั ญตั ริ ชั กาลท่ี ๒ เรยี กนามนายบอ่ นเบย้ี วา่ “ขนุ พฒั น”์ ปรากฏเปน็ ทแี รกทไ่ี ดพ้ บใน หนังสือเก่า นามนี้ปรากฏสร้อยในตราตั้งนายอากรชั้นหลังว่าเป็น “ขุนพัฒนสมบัติ” การที่ตั้งผู้รับ ผกู ขาดไปทำอากรบอ่ นเบย้ี เปน็ ทข่ี นุ พฒั นสมบตั นิ น้ั เหตเุ พราะประเพณใี นสมยั นน้ั ถา้ ใครเปน็ ถอ้ ยความ ในโรงศาล ตอ่ มศี กั ดนิ าแต่ ๔๐๐ ไรข่ น้ึ ไป จงึ จะแตง่ ทนายวา่ ความตา่ งตวั ได้ ถา้ คนชน้ั ตำ่ ถอื ศกั ดนิ าไมถ่ งึ ๔๐๐ ไร่ เป็นถ้อยความต้องไปว่าด้วยตนเอง ก็การที่ทำอากรบ่อนเบี้ยนั้นมักต้องเป็นถ้อยความเนือง ๆ
๔๘๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เพื่อจะป้องกันมิให้ผู้ผูกอากรหลวงต้องเดือดร้อนเสียการงานเพราะต้องไปว่าความเอง จึงตั้งให้เป็น ที่ขุนถือศักดินาพอจะแต่งทนายว่าความต่างตัวได้ เพราะฉะนั้นตำแหน่งขุนพัฒนสมบัติจึงผิดกับ ขา้ ราชการตำแหนง่ อน่ื ทม่ี นี ามพอ้ งกนั หลายคน ใครไดผ้ กู อากรบอ่ นเบย้ี ไมว่ า่ ทไ่ี หน ๆ กเ็ ปน็ ขนุ พฒั นสมบตั ิ ทั้งนั้น อีกประการ ๑ มิได้เป็นนามติดตัว เพราะออกจากตำแหน่งนายอากรบ่อนเบี้ยเมื่อใดก็ออกจาก ทข่ี นุ พฒั นสมบตั ดิ ว้ ย ดว้ ยเหตดุ งั กลา่ วมานค้ี นทง้ั หลายจงึ เรยี กบรรดาผทู้ เ่ี ปน็ นายบอ่ นเบย้ี วา่ “ขนุ พฒั น”์ แตป่ ระเพณที ต่ี ง้ั นายอากรบอ่ นเบย้ี เปน็ ขนุ พฒั นสมบตั จิ ะมมี าแตร่ ชั กาลไหนเปน็ เดมิ นน้ั หาทราบแนไ่ ม่ การอันเนื่องต่ออากรบ่อนเบี้ยมาปรากฏเค้าเงื่อนต่อในรัชกาลที่ ๒ อีกอย่าง ๑ คือเรื่องจำนวน เงินอากรบ่อนเบี้ย ในจดหมายเก่าก่อนนั้นมาไม่มีเค้าเงื่อนจะทราบได้ว่าเงินอากรบ่อนเบี้ยจะได้ในชั้นไหน สกั ปลี ะเทา่ ใด ทป่ี รากฏในพระราชกำหนดครง้ั รชั กาลพระเจา้ บรมโกศ วา่ ขนุ ทพิ กบั หมน่ื รตุ อกั ษรจะประมลู อากรบ่อนเบี้ยปีละ ๓๗๑ ชั่ง ก็เป็นแต่เฉพาะที่จะตั้งบ่อนเบี้ยขึ้นใหม่ใน ๓ เมือง เงินอากรเดิมจะเท่าใด หาปรากฏไม่ มาถึงรัชกาลที่ ๒ รัฐบาลอังกฤษในอินเดียแต่งให้หมอครอเฟิดเป็นทูตเข้ามากรุงเทพ ฯ เมอ่ื ปมี ะเมยี พ.ศ. ๒๓๖๕ มาสบื สวนการงานตา่ ง ๆ ในประเทศน้ี กลบั ไปแตง่ หนงั สอื เรอ่ื งเมอื งไทยพมิ พ์ จำหน่ายเรื่อง ๑ หนังสือนั้นในตอนที่ว่าด้วยภาษีอากรเมืองไทยกล่าวว่าอากรบ่อนเบี้ยที่รัฐบาลได้ ในสมยั นน้ั เปน็ เงนิ ปลี ะ ๒๖๐,๐๐๐ บาท คดิ ดกู เ็ หน็ จะไมม่ ากกวา่ เงนิ อากรบอ่ นเบย้ี ทไ่ี ดใ้ นตอนปลายสมยั เมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เพราะตั้งแต่เสียกรุงศรีอยุธยามาจนรัชกาลที่ ๒ ระยะเวลาเพียงราว ๕๐ ปี บา้ นเมอื งเหน็ จะยงั ไมบ่ รบิ รู ณค์ รกึ ครน้ื ยง่ิ กวา่ ครง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ถึงรัชกาลที่ ๓ ในเรื่องพงศาวดารปรากฏว่าจัดการภาษีอากรหลายอย่าง คือตั้งอากรหวยเป็นต้น ส่วนบ่อนเบี้ยแม้ไม่ปรากฏรายการที่จัดก็ดี มีเค้าเงื่อนเป็นข้อสำคัญอยู่ที่จำนวนเงินอากรบ่อนเบี้ย ได้ถึงปีละ ๔๐๐,๐๐๐ บาท* เห็นได้ว่าคงจะได้จัดการแก้ไขอากรบ่อนเบี้ยด้วย การที่จัดเมื่อรัชกาลที่ ๓ นั้นเข้าใจว่าเลิกบ่อนหลวงเป็นบ่อนผูกขาดทั้งหมดอย่าง ๑ ยอมให้เล่นโปในบ่อนเบี้ยอย่าง ๑ ยอมให้ นายอากรเป็นเจ้ามือแต่ผู้เดียว ทั้งให้เก็บหัวเบี้ยตามเดิมด้วยอย่าง ๑ แต่บ่อนเบี้ยยังคงมีทั้งบ่อนจีนและ บอ่ นไทยเปน็ ๒ อยา่ งแลว้ แตใ่ ครจะผกู อยา่ งไหน หรอื จะผกู รวมทง้ั ๒ อยา่ งกไ็ ด้ ** ถึงรัชกาลที่ ๔ มีความจำเป็นที่จะตั้งภาษีอากรเพิ่มเติมเกิดขึ้น ด้วยตั้งแต่ทำหนังสือสัญญา เปิดการค้าขายกับฝรั่งต่างประเทศ ต้องเลิกประเพณีหวงห้ามสินค้าที่สำคัญไว้สำหรับรัฐบาลค้าขายเอง * จำนวนเงนิ น้ี มปี รากฏอยใู่ นบญั ชเี งนิ ภาษอี ากรพระยาราชมนตรี (ภ)ู่ งบถวาย มสี ำเนาอยู่ในหอพระสมุด ฯ ** ประเพณผี ูกบ่อนเบ้ียอยา่ งกลา่ วนี้ยังมมี าจนปรี ะกา พ.ศ. ๒๔๒๘ ในรชั กาลท่ี ๕
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๘๕ อยา่ งเมอ่ื ครง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยา เปน็ เหตใุ หผ้ ลประโยชนแ์ ผน่ ดนิ ทเ่ี คยไดจ้ ากรฐั บาลทำการคา้ ขายเองตกขาดไป ครั้งนั้นต้องตั้งภาษีอากรขึ้นใหม่หลายอย่างสำหรับเป็นผลประโยชน์ทดแทนสำหรับใช้ราชการแผ่นดิน ครง้ั นน้ั ตง้ั อากรการพนนั เพม่ิ เขา้ ในอากรบอ่ นเบย้ี อกี อยา่ ง ๑ บญั ญตั วิ า่ ถา้ ใครจะเลน่ พนนั เอาทรพั ยส์ นิ กนั ในการเลน่ เหลา่ น้ี คอื ไพจ่ นี ๑ ไพไ่ ทย ๑ ไพแ่ ปดเกา้ ๑ ไพช่ า้ งงา ๑ ตอ่ แตม้ ๑ พงุ่ เรอื ๑ หมากรกุ ๑ สะแก ๑ สะกา ๑ ดวด ๑ วิ่งวัวคน ๑ วิ่งวัวระแทะ ๑ วิ่งม้าหรือวิ่งวัวควาย ๑ แข่งเรือ ๑ ชนไก่ ๑ ชนนก ๑ กัดปลา ๑ ต้องเสียภาษีแก่นายอากรบ่อนเบี้ยในแขวงที่จะเล่นนั้นก่อนจึงจะเล่นได้ เงินอากร การพนันบวกขึ้นในอากรบ่อนเบี้ย เพราะฉะนั้นเมื่อในรัชกาลที่ ๔ เงินอากรบ่อนเบี้ยจึงเพิ่มขึ้นเป็นปี ๑ ราว ๕๐๐,๐๐๐ บาท* ถึงรัชกาลที่ ๕ ในชั้นแรกการอากรบ่อนเบี้ยคงเป็นมาตามอย่างครั้งรัชกาลที่ ๔ ไม่ปรากฏว่า ไดจ้ ดั การเปลย่ี นแปลงอยา่ งไร มผี นู้ ำการเลน่ ของจนี อกี อยา่ ง ๑ เรยี กวา่ จบั ยก่ี เี ขา้ มาเลน่ ในประเทศน้ี มผี ู้ จะขอผกู เขา้ ในบอ่ นเบย้ี หาโปรดพระราชทานพระบรมราชานญุ าตไม่ การเลน่ พนนั ในบอ่ นเบย้ี คงเลน่ แต่ ถั่วกับโป ๒ อย่างเท่านั้น กำตัดกับไพ่งาเห็นจะเป็นของจืดจางมาเสียแต่ในรัชกาลที่ ๓ ยังคงอยู่แต่ชื่อใน ตราตั้งนายอากรแต่หาได้เล่นกันในบ่อนไม่ การเลิกบ่อนเบี้ยตั้งต้นแต่ปีชวด พ.ศ. ๒๔๓๑ เป็นต้นมา แต่วิธีที่เลิกบ่อนเบี้ยครั้งรัชกาลที่ ๕ รัฐบาลได้จัดอย่างไรจะขอรอไว้กล่าวข้างหน้า ต่อนี้จะอธิบายด้วยวิธี อากรบอ่ นเบย้ี เสยี กอ่ น ว่าด้วยลักษณะอากรบ่อนเบี้ย อากรบ่อนเบี้ยมีมาช้านาน ลักษณะการชั้นเดิมจะเป็นอย่างไรทราบได้บ้างทราบไม่ได้บ้าง ความทจ่ี ะกลา่ วในตอนน้ี จะพรรณนาวา่ ตามทเ่ี ปน็ อยใู่ นรชั กาลท่ี ๕ เมอ่ื กอ่ นจะเรม่ิ เลกิ บอ่ นเบย้ี ทเ่ี รยี กวา่ เลน่ เบย้ี นน้ั เฉพาะการเลน่ ๓ อยา่ ง คอื ถว่ั อยา่ ง ๑ โปกำอยา่ ง ๑ โปปน่ั **อยา่ ง ๑ อากรบ่อนเบี้ยคือห้ามมิให้ผู้ใดเล่นเบี้ยโดยนายอากรมิได้อนุญาต หรือถ้าจะว่าอีกอย่างหนึ่ง ว่าห้ามมิให้ ผู้อื่นเป็นเจ้ามือเล่นเบี้ยนอกจากนายอากร ว่าเช่นนี้ก็ได้เหมือนกัน เพราะการเล่นเบี้ยจำต้องมีเจ้ามือ จงึ เลน่ ได้ เมอ่ื เปน็ เจา้ มอื ไดแ้ ตน่ ายอากร ใครไมไ่ ดอ้ นญุ าตของนายอากรกเ็ ลน่ เบย้ี ไมไ่ ดอ้ ยเู่ อง * ตามบัญชีของสงั ฆราชปลั ควั มใี นหนงั สอื เซอรจ์ อหน์ เบาวรงิ ** บอ่ นเบย้ี แตโ่ บราณเลน่ ถว่ั อยา่ ง ๑ กำตดั อยา่ ง ๑ ไพง่ าอยา่ ง ๑ มาเลกิ กำตดั และไพง่ า เปลย่ี นเปน็ โปกำกบั โปปน่ั ในชน้ั หลงั
๔๘๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ลกั ษณะทจ่ี ะตง้ั นายอากรบอ่ นเบย้ี นน้ั รฐั บาลกำหนดทอ้ งทเ่ี ปน็ “แขวง” สำหรบั ทำอากร ถา้ หวั เมอื ง ก็กำหนดว่าเมือง ๑ เป็นแขวง ๑ แต่ในกรุง ฯ เป็นที่มีผู้คนมาก ต้องกำหนดท้องที่เป็นหลายแขวง แต่มีเขตเป็นกำหนด และมีชื่อเรียกโดยเฉพาะทุกแขวง ดังเรียกแขวงท่าช้าง และแขวงตลิ่งชันเป็นต้น เมอ่ื กอ่ นจะสน้ิ ปี ถา้ ผใู้ ดอยากจะเปน็ นายอากรบอ่ นเบย้ี แขวงไหนในปหี นา้ กท็ ำเรอ่ื งราวยน่ื ตอ่ เจา้ พนกั งาน พระคลงั มหาสมบตั ิ วา่ จะขอผกู อากรบอ่ นเบย้ี แขวงนน้ั และจะยอมสง่ เงนิ หลวงปลี ะเทา่ นน้ั ถา้ ไมม่ ผี อู้ น่ื ขอ ในแขวงเดยี วกนั และเจา้ พนกั งานเหน็ วา่ จำนวนเงนิ หลวงทผ่ี นู้ น้ั รบั จะสง่ สมควรแลว้ กเ็ ปน็ อนั ยตุ วิ า่ ผนู้ น้ั จะได้ ถ้าหากว่าในแขวงเดียวกันมีผู้ขอเป็นนายอากรหลายคนด้วยกันก็ต้องให้ประมูลกัน ใครรับส่งเงินหลวง มากกวา่ ผอู้ น่ื กเ็ ปน็ ยตุ ใิ หค้ นนน้ั เมอ่ื ยตุ วิ า่ ผใู้ ดจะไดท้ ำอากร ผนู้ น้ั จะตอ้ งหาผอู้ น่ื ซง่ึ เจา้ พนกั งานไวใ้ จมารบั เป็นประกันคน ๑ เป็นผู้รับเรือน (คือเป็นประกันของประกัน) อีกคน ๑ แล้วต้องส่งเงินหลวงล่วงหน้าเท่า จำนวนเงนิ งวด ๓ เดอื น เปน็ เงนิ ประกนั ๒ เดอื น เปน็ เงนิ งวดสำหรบั เดอื นตน้ เดอื น ๑ จงึ จะไดร้ บั ตราตง้ั เป็นนายอากรตลอดเวลาปี ๑ นับตั้งแต่ขึ้นปีใหม่ไปจนสิ้นปี เมื่อสิ้นปีลงถ้าไม่มีผู้ใดมาว่าประมูล นายอากรคนเก่าก็ได้ทำต่อไปอีก เว้นแต่ถ้านายอากร “ฟ้องขาด” คือไม่รับทำ หรือขอลดเงินหลวง จงึ ประกาศเรยี กประมลู ใหม่ ผู้ใดได้เป็นนายอากรบ่อนเบี้ยแขวงใด จะตั้งบ่อนเบี้ยในแขวงของตนมากน้อยสักกี่ตำบลก็ตั้งได้ ถ้าตั้งบ่อนน้อยแห่งก็ได้เงินน้อย แต่ถ้าตั้งมากเกินจำนวนคนแทงก็เปลืองโสหุ้ยเปล่า เพราะฉะนั้น นายอากรจะต้องกะประมาณการที่จะตั้งบ่อนให้พอเหมาะแก่ผู้คนในแขวงนั้นจะไปแทงได้สะดวกทั่วกัน จึงมักตั้งบ่อนเบี้ยที่ตลาดยี่สารอันเป็นที่ประชุมชนในแขวงนั้น ถ้าริมแม่น้ำก็มักใช้แพเป็นบ่อน ถ้าตั้งห่างแม่น้ำขึ้นไปก็ปลูกเป็นโรง การปลูกสร้างบ่อนนัยว่าต้องทำด้วยทุนรอนของนายอากรเองทั้งสิ้น แต่ที่จริงนั้นนายอากรหาต้อง ลงทุนรอนอย่างใดไม่เพราะบ่อนเป็นของตั้งประจำที่ประชุมชน ไม่ต้องย้าย ตำแหน่งแห่งที่ไปไหน ใครเป็นเจ้าของที่ก็ย่อมยินดีที่จะสร้างบ่อนให้นายอากรเช่า ถึงนายอากรคน ๑ ออกแล้ว นายอากรคนใหม่ก็ต้องมาขอเช่าบ่อนนั้นเล่นต่อไป และยังมีประเพณีการเล่นอีกอย่าง ๑ คือ นายอากรในแขวง ๑ ไม่ได้เป็นนายบ่อนในแขวงของตนทุกบ่อนทั่วไป เมื่อว่าอากรได้ไปแล้ว บ่อนไหน ไม่ประสงค์จะทำเองก็ขายช่วงแก่ผู้อื่นต่อไป มีผู้อยู่ประจำท้องที่ที่ตั้งบ่อน มักเป็นผู้รับช่วงโดยมาก บางคนเป็นนายบ่อนอยู่หลาย ๆ ปีก็มี ประโยชน์ของนายอากรยังมีอีกอย่าง ๑ คือในท้องที่แขวงของตน ถ้าเจ้าของบ้านแห่งใดมีการงาน ดังเช่นงานโกนจุกบุตรหลานเป็นต้น จะหาไปกำถั่วปั่นโปให้พวกพ้องเล่น เปน็ การครกึ ครน้ื ทบ่ี า้ นนน้ั กไ็ ด้ แมท้ ส่ี ดุ ถงึ ไมม่ ใี ครหา ถา้ ในทอ้ งทแ่ี หง่ ใดในแขวงนน้ั มกี ารนกั ขตั ฤกษด์ งั เชน่
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๘๗ งานฉลองวดั หรอื ไหวพ้ ระ ซง่ึ คนประชมุ กนั มาก นายอากรกม็ กั ใหเ้ อาถว่ั โปไปตง้ั ในบรเิ วณงาน ใหค้ นเลน่ ไดด้ ว้ ย นายอากรบ่อนเบี้ยมีอำนาจหลายอย่าง คืออำนาจตามบรรดาศักดิ์ที่เป็นขุนพัฒนสมบัติ เช่น แต่งทนายว่าความได้เป็นต้นอย่าง ๑ จับกุมผู้ประพฤติเกะกะในบริเวณบ่อนใส่ขื่อได้แล้วจึงส่งตัวไปให้ เจา้ พนกั งานชำระอยา่ ง ๑ ตรวจจบั ผลู้ กั เลน่ เบย้ี และการพนนั ในทอ้ งทข่ี องตน ฟอ้ งรอ้ งเรยี กเอาเงนิ สนิ ไหม เบย้ี ปรบั อยา่ ง ๑ เหลา่ นเ้ี ปน็ อำนาจสำคญั ผลประโยชน์ที่นายอากรบ่อนเบี้ยได้นั้น คือได้หัวเบี้ย ๑๐ หยิบ ๑ ในจำนวนเงินที่นักเลงเล่นถูก อย่าง ๑ ได้เงินที่กินจากนักเลงเล่นเบี้ยอย่าง ๑ ได้กำไรในการขายช่วงบ่อนเบี้ยอย่าง ๑ ค่าธรรมเนียม อนุญาตเล่นการพนันต่าง ๆ อย่าง ๑ ได้สินไหมจากผู้ล่วงละเมิดอากรบ่อนเบี้ยและการพนันอย่าง ๑ ทั้ง ๕ อย่างนี้เป็นผลประโยชน์ที่ได้โดยตรง ยังมีผลประโยชน์ที่ได้ในทางอ้อมอีกอย่าง ๑ เกิดแต่ความ ลำบากทใ่ี ชเ้ งนิ ปลกี ในบอ่ น เพราะเงนิ ปลกี เปน็ ของเลก็ จะหยบิ จะยกยาก นายอากรจงึ คดิ ทำคะแนนสำหรบั เล่นเบี้ยที่ในบ่อน เรียกว่า “ปี้สะกา” แต่เรียกกันโดยย่อว่า “ปี้” เป็นประเพณีมีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา แตป่ ช้ี น้ั แรกนน้ั หลอ่ ดว้ ยโลหะบา้ ง หลอ่ ดว้ ยแกว้ บา้ ง ตอ่ มาชน้ั หลงั ดเู หมอื นจะเปน็ แตต่ อนปลายรชั กาลท่ี ๔ นายอากรคิดสั่งให้ทำปี้ด้วยดินถ้วยชามเคลือบสีส่งมาแต่เมืองจีน ปี้ของนายอากรคน ๑ ก็ทำให้รูปและ ลวดลายผิดกับปี้ของนายอากรคนอื่น แต่คงเป็นราคาปี้ละสลึงอย่าง ๑ ปี้ละเฟื้องอย่าง ๑ ปี้ละ ๒ ไพ อยา่ ง ๑ เหมอื นกนั ทง้ั นน้ั เวลาคนเขา้ ไปเลน่ เบย้ี ถา้ แทงถกู นายบอ่ นกใ็ ชด้ ว้ ยป้ี หรอื คนเลน่ จะเอาเงนิ ปลกี ไปแลกปี้ และเอาเงินบาทแตกปี้มาแทงแต่แรกก็ได้ เมื่อคนเล่นจะกลับจากบ่อนก็เอาปี้ส่งนายบ่อนเปลี่ยน เอาเงนิ กลบั มาบา้ น การใชป้ แ้ี ตแ่ รกเปน็ แตค่ ะแนนสำหรบั เวลาเลน่ เบย้ี ดงั กลา่ วมาน้ี แตท่ หี ลงั มาคนเลน่ ขี้คร้านแลกเงินทุกวัน ๆ ก็เลยพกปี้กลับมาบ้านเรือน โดยเชื่อว่าจะไปแลกเอาเงินเมื่อใดก็ได้ แล้วเลยใช้ หนี้สินซื้อหากันด้วยปี้ โดยความไว้ใจนายอากรบ่อนเบี้ย ปี้จึงกลายเป็นอย่างธนบัตร เกิดประโยชน์แก่ นายอากรบอ่ นเบย้ี อยา่ งธนบตั รเปน็ ประโยชนแ์ กธ่ นาคารขน้ึ อกี อยา่ ง ๑ วา่ ทแ่ี ทเ้ ปน็ ประโยชนแ์ กน่ ายอากร ยิ่งกว่าธนบัตรเสียอีก เพราะมีเวลาดังเช่นนายอากรจะเปลี่ยนตัวก็ดี หรือมีผู้สั่งปี้ปลอมเข้ามาก็ดี ถา้ นายอากรจะเลกิ ปเ้ี ดมิ เมอ่ื ใด เพยี งเอามา้ ลอ่ ตที ห่ี นา้ บอ่ น ประกาศบอกวา่ จะเลกิ ปอ้ี ยา่ งนน้ั และใหเ้ วลา สักสิบสี่สิบห้าวันแล้ว พ้นไปใครจะเอาปี้ไปขอแลกเงินก็ไม่รับ นายอากรจึงได้กำไรในการใช้ปี้มาก ด้วยเหตุนี้ใครเป็นนายอากรบ่อนเบี้ยก็คิดทำปี้ขึ้นใหม่เรื่อยมา มีผู้ที่ได้ลองรวบรวมปี้ต่าง ๆ ว่ามีปี้กว่า ๕,๐๐๐ อยา่ ง จนประกาศหา้ มเมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๕ จงึ ไดเ้ ลกิ ปแ้ี ตน่ น้ั มา สว่ นความรบั ผดิ ชอบของนายอากรบอ่ นเบย้ี นน้ั นอกจากทต่ี อ้ งรบั ผดิ ชอบทำการอากรใหเ้ รยี บรอ้ ย
๔๘๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ โดยสุจริต ยังต้องถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาประจำปีทุกคราว และต้องรับผิดชอบแทนผู้ที่เข้าหุ้นส่วนด้วย เพราะถ้าหากว่าเงินหลวงติดค้าง พระคลังมหาสมบัติเร่งเอาแต่แก่ขุนพัฒน์คนเดียว ถ้าไม่ส่งเงินได้ ตามงวด เจา้ พนกั งานเอาอากรออกเลหลงั ถา้ เงนิ หลวงขาดเทา่ ใด กเ็ อาแกข่ นุ พฒั น์ ถา้ ขนุ พฒั นส์ ง่ เงนิ ที่ขาดนั้นไม่ได้ ก็ต้องติดเวรจำไปกว่าจะส่งเงินครบ หรือโปรดปล่อยโดยพระมหากรุณา เพราะแต่ก่อน ยงั ไมม่ กี ฎหมายยอมใหล้ ม้ ละลาย สว่ นผทู้ เ่ี ปน็ ประกนั นน้ั ตอ้ งใชเ้ งนิ แทนขนุ พฒั นใ์ นเวลาเงนิ หลวงขาดดว้ ย ประการทั้งปวง และเป็นผู้ทำอากรในเวลาเมื่อขุนพัฒน์ล้มตายด้วยอีกอย่าง ๑ ส่วนผู้รับเรือนก็เช่นนั้น แตเ่ ปน็ สำหรบั ตวั ผเู้ ปน็ ประกนั วา่ โดยลกั ษณะการอากรบอ่ นเบย้ี มเี นอ้ื ความดงั แสดงมาน้ี ลักษณะการในโรงบ่อนเบี้ย* ใครเป็นขุนพัฒน์ ถ้ามีทุนรอนของตัวพอเพียงแล้ว ก็ไม่ต้องหาหุ้นส่วนมาเข้ากัน ถ้าทุนน้อย ไม่พอแก่การที่จะทำอากรให้ตลอดไปได้ ก็ต้องหาผู้อื่นมาเข้าหุ้นส่วนตามแต่จะหาได้มากและน้อย ไมก่ ำหนด แลว้ เชญิ ไปประชมุ ในทอ่ี นั ควรแหง่ ๑ วา่ กลา่ วตกลงจะเขา้ ทนุ กนั คนละเทา่ ใด กท็ ำเปน็ หนงั สอื สำคัญสัญญาให้ไว้แก่กันคนละฉบับ ที่เชื่อถือกันไม่ทำหนังสือสัญญาก็มี แต่ต้องมีบัญชีกลางไว้ ๒ ฉบับ เป็นหลักฐานของการที่ประชุมนั้น ใจความก็แสดงว่า “มีคนเท่านั้นคน ออกเงินลงทุน ในครั้งแรกคนละเท่านั้น ๆ” ลงท้ายก็ขยายความกล่าวท้าไว้หน่อยว่า เมื่อทุนรอนขาดเหลือไม่พอเพียง อย่างใด ก็จะได้ประชุมกันครั้งหลังต่อไป แล้วประทับตราลงชื่อมอบให้หัวหน้าแห่งที่ประชุมรักษาไว้ ฉบับ ๑ แล้วนำเงินมาลงกันตามสัญญา มอบเงินและบัญชีฉบับ ๑ ให้แก่ผู้ที่จะเป็นขุนพัฒน์รักษาไว้ นี่แหละเป็นการสำคัญ ที่จำเป็นจะต้องจัดในคราวแรกให้เรียบร้อยตามสมควร ส่วนการนอกจากนี้ อนั เปน็ หนา้ ทใ่ี นโรงบอ่ น กม็ อบใหข้ นุ พฒั นจ์ ดั ตอ่ ไป การตั้งบ่อนในชั้นต้น ขุนพัฒน์จะต้องเลือกหาจีนที่มีความรู้ชำนาญในหน้าที่การที่จะจัดให้ครบ เตม็ ตามกำหนด คอื ข้อ ๑ จะต้องมีเสมียนเอกไว้สำหรับโรงคน ๑ เสมียนเอกนั้นต้องมีความรู้ชำนาญวิธีทำบัญชี สำหรับการบ่อนเบี้ยเป็นทุกอย่าง เมื่อเวลาถั่วโปเปิดการเล่นแล้ว จะได้ทำบัญชีรับเงินที่ได้มาหรือจ่ายเงิน ทเ่ี สยี ไปลงในบญั ชบี านใหญฉ่ บบั ๑ และทำเปน็ บญั ชรี ายละเอยี ดอกี หลายฉบบั จา่ ยไปแกจ่ นี ทำโปครบทกุ เสอ่ื เพื่อเมื่อเวลาโปกินหรือตายคือได้หรือเสียลงที่เสื่อไหน ก็จะได้จดลงเป็นรายละเอียดมีแจ้งทุกเสื่อไป * เรื่องลักษณะการในโรงบ่อนเบี้ยที่พิมพ์ตอนนี้คัดมาจากหนังสือวชิรญาณวิเศษ เล่ม ร.ศ. ๑๐๙ จะเป็นผู้ใดแต่งหาทราบไม่ ไดแ้ กไ้ ขบา้ งเลก็ นอ้ ย
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๘๙ และมีบัญชีการจรอีกฉบับ ๑ สำหรับจดหมายเหตุว่า ได้รับเงินหรือจ่ายเงินนอกจากธรรมดา ตาม เหตุการณ์อันใดที่เกิดขึ้นก็จดลงในเล่มนี้ทั้งสิ้น และบัญชีกลางที่ขุนพัฒน์รักษาไว้นั้น ก็ต้องคัดสำเนา มอบให้เสมียนรักษาไว้ด้วย เมื่อสิ้นเดือนลงหรือถึงคราวส่งบัญชีจะได้รวมบัญชีส่งแก่ขุนพัฒน์ทุกคราวไป เสมยี นมคี วามรทู้ ำไดเ้ พยี งเทา่ นจ้ี งึ จะเปน็ อนั ใชไ้ ด้ ข้อ ๒ ต้องหาคนถุงเค้า คือคนสำหรับเก็บเงินจ่ายเงินคน ๑ ต้องเป็นคนฉลาดไหวพริบดี เพราะมหี นา้ ทอ่ี ยา่ งอน่ื อกี เชน่ เหตกุ ารณอ์ นั ใดเกดิ ขน้ึ ทเ่ี สอ่ื ไหน เปน็ ตน้ วา่ ทะเลาะววิ าททมุ่ เถยี งกนั ดว้ ย ชั้นเชิงหรือเหตุใด ๆ ต้องเป็นผู้สามารถที่จะวินิจฉัยว่ากล่าวไกล่เกลี่ยให้เหตุการณ์นั้นเรียบร้อยตลอดไปได้ ไม่ต้องให้ร้อนใจถึงขุนพัฒน์ ว่าที่แท้ก็คือเป็นผู้ดูแลการแทนขุนพัฒน์ได้ตลอดทุกหน้าที่ การนอกจากนี้ กค็ อื ดเู งนิ เปน็ ดว้ ย ขอ้ ๓ ตอ้ งหาคนกำถว่ั ใหญค่ น ๑ หรอื ๒ คน ตามแตจ่ ะหาได้ มคี วามรสู้ ามญั กค็ อื แจงเบย้ี เปน็ ไม่หนักไม่เบา คือไม่ขาด ๆ เกิน ๆ ได้แล้วก็เป็นอันใช้ได้ แต่ถ้าหาได้ที่มีความรู้วิเศษแปลกจากสามัญ คือกำเบี้ยขึ้นมือรู้ว่าจะออกนั่นออกนี่ได้ หรือยิ่งได้ที่สามารถจะรู้ว่ากอบเบี้ยออกไปทีนี้จะออกประตูนั้น ประตูนี้ได้ แล้วมีอุบายถ่ายเทแก้ไขให้ออกโน่นออกนี่ หลีกเลี่ยงไปจากเค้าเงื่อนอย่าให้กินใจคนแทง ไดก้ ย็ ง่ิ ดนี กั แตค่ นมคี วามรอู้ ยา่ งนย้ี ากทจ่ี ะหาได้ ถา้ ขนุ พฒั นไ์ ดไ้ วส้ ำหรบั บอ่ นคน ๑ แลว้ กห็ วงั ใจไดว้ า่ ในปนี ก้ี ารเลน่ ถว่ั ใหญค่ งไมส่ ว่ั เสยี ขอ้ ๔ ตอ้ งหาหวั เบย้ี ถว่ั ใหญค่ น ๑ ซง่ึ มคี วามรดู้ เู งนิ เปน็ ตน้ รวู้ า่ เงนิ ดเี งนิ แดงไดร้ วดเรว็ และมี ความแม่นยำจำคนเล่นได้ถ้วนหน้า คือ ในเวลาที่มานั่งในเสื่อรู้ว่าคนนั้นคนนี้ถูกแล้วกี่ครั้ง ควรเก็บ หัวเบี้ยได้หรือยัง และจะใช้เงินเก็บเงินเมื่อเวลาถั่วออกแล้วก็คล่องแคล่ว ไม่ขัดขวางทันการทันเวลา เมื่อกล่าวโดยย่อก็คือเป็นคนฉลาดประเปรียวคล่องแคล่วไม่เสียรัดเสียเปรียบแก่คนแทง จึงจะเอามาเป็น หวั เบย้ี ได้ ข้อ ๕ ต้องหาคนทำโปปั่นกับหัวเบี้ยเสื่อ ๑ รวม ๒ คน ทำโปกำเสื่อ ๑ ก็รวม ๒ คนเหมือนกัน เมอ่ื จะตง้ั โปปน่ั และโปกำมากนอ้ ยกเ่ี สอ่ื กต็ อ้ งหาคนใหเ้ ตม็ ตามประสงค์ คนเหลา่ นจ้ี ะตอ้ งมคี วามรแู้ ละ กิริยาอาการให้คล้ายคลึงกับถั่วใหญ่ คนที่หามาเหล่านี้จะต้องเข้าใจว่าเป็นคนสำคัญที่ขุนพัฒน์ย่อมเห็น คุณวุฒิแล้ว และประกอบด้วยความซื่อตรงและหลักฐานหลายอย่าง ว่าให้เห็นกันง่าย ๆ ก็คือเหมือน ใครจะเข้ามาทำการกับขุนพัฒน์ ต้องมีประกันและรับเรือนพร้อมกันจนเป็นที่เชื่อใจของขุนพัฒน์ได้แล้ว
๔๙๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ นั่นแหละจึงจะได้เข้ามาทำการด้วยกันได้ เพราะไหนจะต้องให้เงินเดือนตามคุณวุฒิก็ชั้น ๑ แล้ว ถา้ ไมซ่ อ่ื ตรงตอ่ ขนุ พฒั นก์ ย็ งั จะตอ้ งเสยี ยบุ เสยี ยบั เขา้ ไปอกี ชน้ั ๑ เลา่ เพราะฉะนน้ั การในชน้ั ตน้ น้ี ขนุ พฒั น์ จะตอ้ งจดั ใหเ้ รยี บรอ้ ย และคนใชใ้ นโรงบอ่ นนอกจากนก้ี ย็ งั ตอ้ งมอี กี หลายคน แตไ่ มจ่ ำเปน็ จะตอ้ งจาระไน ใหท้ ว่ั ไป เพราะการนอกจากทก่ี ลา่ วมาเปน็ แตก่ ารเลก็ นอ้ ย ขาดบา้ งเหลอื บา้ งกไ็ มข่ ดั ขวางอะไรนกั เมอ่ื ขนุ พฒั นม์ คี นทำการเตม็ ตามหนา้ ทแ่ี ลว้ กล็ งมอื เปดิ การเลน่ ถว่ั โปตอ่ ไป การเลน่ ทเ่ี ลน่ ในบอ่ น มี ๓ อย่างด้วยกัน คือ ถั่วใหญอ่ ย่าง ๑ โปปั่นอย่าง ๑ โปกำอย่าง ๑ ถั่วใหญ่นับว่าเป็นประธานของ บ่อนเบี้ย เพราะเป็นการที่คนเล่นได้พร้อมกันมาก และเงินที่ได้เสียกันมากกว่าอย่างอื่น บ่อน ๑ มักจะมี ถั่วใหญ่แต่วงเดียว ปูเสื่อผืนใหญ่สำหรับเล่นไว้กลางบ่อน มีขุนพัฒน์บางคนได้ลองตั้งถั่วใหญ่เป็น ๒ วง หวงั จะใหค้ นเลน่ ไดม้ ากขน้ึ แตค่ รน้ั เลน่ ไปเหน็ เสยี เปรยี บคนแทง เพราะคนแทงเลอื กดเู หน็ วงไหนเปน็ เวลา ถั่วตาย เจ้ามือเสียก็รุมกันเล่นแต่วงนั้น ไม่ไปเล่นวงที่ถั่วกิน ด้วยเหตุนี้ขุนพัฒน์จึงมักเล่นถั่วใหญ่ แต่บ่อนละวงเดียว โปปั่นนั้นกระบวนเล่นสนุกพลิกแพลง มักชอบเล่นแต่นักเลงผู้ชาย และวง ๑ คนเล่น ไม่ได้มากเหมือนกับถั่วใหญ่ บ่อน ๑ จึงมีเล่นหลายวง แล้วแต่มีนักเลงมาเล่นพอจะตั้งวงได้ นายบอ่ นกเ็ อาเสอ่ื ปใู หเ้ ลน่ กนั วง ๑ สว่ นโปกำนน้ั เปน็ ทำนองพนั ทางในระหวา่ งถว่ั กบั โปปน่ั คอื กำดว้ ยเบย้ี เหมอื นกบั ถว่ั แตว่ ธิ แี ทงเปน็ อยา่ งโป เปน็ ของคนทม่ี ที นุ นอ้ ยชอบเลน่ เพราะถว่ั กบั โปปน่ั นายบอ่ นยอมใหเ้ ลน่ เพียงสลึง ๑ เป็นอย่างต่ำ แต่โปกำนั้นจะเล่นเพียงเฟื้องหรือ ๒ ไพก็เล่นได้ จึงมักตั้งวงตอนขอบบ่อน แลว้ แตม่ ใี ครจะเลน่ นายบอ่ นกท็ ำใหแ้ ทง* วิธีเล่นถั่วโปมีแต้มสำหรับแทงแต่ ๔ ประตูเท่านั้น คือแต้มหน่วย (คือ ๑) แต้ม ๒ แต้ม ๓ แตม้ ครบ (คอื ๔) ทส่ี ำหรบั แทงนน้ั เอาเสอ่ื ปู แลว้ หมายเสน้ เปน็ แกงแนงอยา่ งน้ี x ชอ่ งลา่ งตรงทเ่ี จา้ มอื นง่ั หมายวา่ ประตคู รบ ชอ่ งขา้ งซา้ ยเจา้ มอื หมายวา่ ประตหู นว่ ย ชอ่ งบนตรงขา้ มกบั เจา้ มอื หมายวา่ ประตู ๒ ชอ่ งขา้ งขวาเจา้ มอื หมายวา่ ประตู ๓ เขา้ ใจกนั ซมึ ทราบไมต่ อ้ งเขยี นแตม้ บอกไวท้ เ่ี สอ่ื ลกั ษณะเลน่ ถว่ั นน้ั เจา้ มอื เอาเบย้ี ราว ๑๐๐ จน ๒๐๐ เบย้ี มากองไวข้ า้ งหนา้ คนเลน่ ประมาณวา่ จะออกประตไู หน กว็ างเงนิ แทงประตูนั้น ตามวิธีแทงที่จะกล่าวต่อไปข้างหน้า เมื่อแทงแล้วเจ้ามือก็นับเบี้ยที่กองไว้แจงออก ทีละ ๔ เบี้ย ๆ แล้วปัดไปจนเหลือเศษเป็นที่สุด ถ้าเศษเป็น ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ หรือ ๔ แต้มไหนก็คือ ถว่ั ออกแตม้ นน้ั โปกำกแ็ จงเบย้ี ทำนองเดยี วกนั ผดิ กบั ถว่ั แตก่ องเบย้ี นอ้ ยกวา่ และปลอ่ ยใหค้ นแทงเหน็ กองเบย้ี * โปกำเห็นจะเล่นแทนกำตัดที่เคยเล่นกันแต่โบราณ
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๙๑ แวบหนง่ึ พอลอ่ ใหค้ าดแตม้ แลว้ เอาถว้ ยครอบกองเบย้ี เสยี มใิ หเ้ หน็ จนกระทง่ั แทงเสรจ็ แลว้ จงึ เปดิ ถว้ ย ออกนับเบี้ย ส่วนโปปั่นนั้น มีโปทองเหลืองรูป ๔ เหลี่ยม มีฝาครอบตัวมิดเหมือนกับกล่อง ที่ตัวโป มชี อ่ ง ๔ เหลย่ี มพอใสล่ น้ิ โปลงไปเตม็ พอดี ไมใ่ หล้ น้ิ โปพลกิ ไปทางไหนได้ ลน้ิ โปนน้ั รปู รา่ งเหมอื นลกู บาศก์ สลักทั้ง ๖ ด้าน และทาสีขาวซีก ๑ แดงซีก ๑ เหมือนกันทั้ง ๖ ด้าน วิธีที่เล่น เจ้ามือเอาลิ้นลงไป ในโปไม่ให้คนแทงเห็น แล้วปิดฝาโปออกมาตั้งให้คนแทง ยอมให้คนแทงปั่นโปไปตามชอบใจ จนตกลง ว่าจะตั้งตลับโปให้ด้านไหนตรงกับแต้มไหนแล้วจึงเปิด ถ้าลิ้นโปซีกขวาตรงกับช่องแต้มไหน ก็นับว่า โปออกแตม้ นน้ั วธิ เี ลน่ ถว่ั โปเปน็ ดงั กลา่ วมาน้ี ส่วนวิธีแทงถั่วโปมี ๕ อย่างด้วยกัน เรียกว่าแทงอ๋ออย่าง ๑ แทงเลี่ยมอย่าง ๑ แทงเหม็ง อยา่ ง ๑ แทงชว้ั อยา่ ง ๑ แทงกก๊ั อยา่ ง ๑ แทงออ๋ นน้ั แทงประตเู ดยี ว ถา้ ถกู เจา้ มอื ใช้ ๓ ตอ่ ถา้ ออกแตม้ อน่ื เปน็ กนิ แทงเลย่ี มนน้ั แทงประตู ๑ ตดิ เผอ่ื ประตู ๑ เชน่ แทงเลย่ี ม ๒ ตดิ ๓ ถา้ ออก ๒ เจา้ มอื ใช้ ๒ ตอ่ ถา้ ออก ๓ เปน็ เจา๊ (คอื เสมอตวั ) ถา้ ออกหนว่ ย ออกครบจงึ กนิ จะแทงแตม้ ไหนตดิ แตม้ แลว้ แตจ่ ะเลอื ก ตามชอบใจ แทงเหมง็ นน้ั แทงประตู ๑ ตดิ เผอ่ื ๒ ประตู ถา้ ถกู เจา้ มอื ใชแ้ ตต่ อ่ เดยี ว ถา้ ออกแตม้ ๒ ขา้ งเปน็ เจา๊ เจา้ มอื กนิ แตอ่ อกแตม้ ตรงกนั ขา้ มกบั ทแ่ี ทงประตเู ดยี ว เชน่ แทงเหมง็ ๒ ถา้ ออก ๒ เปน็ ถกู ออกหนว่ ย ออกสามเปน็ เจา๊ เจา้ มอื กนิ แตอ่ อกครบประตเู ดยี ว แทงชั้วนั้น แทงประตู ๑ ติดเผื่อ ๒ ประตูอย่างเหม็ง ผิดกันแต่ผู้แทงเลือกประตูให้กินเช่น แทงชว้ั ๒ ตดิ ๓ ถา้ ออก ๒ ถกู เจา้ มอื ใชต้ อ่ เดยี ว ถา้ ออก ๓ ออกครบเจา๊ กนิ แตอ่ อกหนว่ ยทต่ี รงขา้ ม กบั แตม้ ตดิ ประตเู ดยี ว แทงกั๊กนั้น แทง ๒ ประตู ถ้าถูกประตูไหนก็ใช้ต่อเดียวเหมือนกัน ถ้าออก ๒ ประตูที่ไม่ได้แทงเป็นกิน แตเ่ ดมิ วธิ เี ลน่ ถว่ั ยอมใหแ้ ทงแตเ่ หมง็ กบั กก๊ั มาชน้ั หลงั ใหแ้ ทงทง้ั ๕ อยา่ งเหมอื นกบั โป เพราะฉะนน้ั วธิ แี ทงถว่ั กบั โป จงึ ไมผ่ ดิ กนั เมื่อผู้แทงถูก เจ้ามือจะใช้ทรัพย์ให้ ชักหัวเบี้ยจากเงินที่ได้เรียกว่า ต๋ง เป็นส่วนลดร้อยละ ๑๐ ตามประเพณีเก็บอากรแต่โบราณมา ข้อนี้กล่าวกันว่า คนที่ไปเล่นถั่วโปนั้น โดยจะแทงถูกทีกินทีเสมอไป กห็ มดพก หมดทถ่ี กู ขนุ พฒั นต์ ง๋ นน้ั เอง
๔๙๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ แตฝ่ า่ ยขนุ พฒั นน์ น้ั ทจ่ี รงิ กม็ คี วามยากอยใู่ นหนา้ ท่ี และมที างเสยี ทจ่ี ะตอ้ งระวงั อยมู่ ากหลายอยา่ ง เบื้องต้นแต่จะต้องคิดอ่านให้คนชอบมาเล่นเบี้ยที่บ่อนของตนให้มาก ถ้าคนพากันเบื่อไม่มาเล่น ขุนพัฒนก็ต้องฉิบหาย เพราะฉะนั้นจึงต้องคิดล่อให้คนมาที่บ่อน เช่นติดตลาดยี่สารร้านรวงให้ครึกครื้น และหาเครื่องมหรสพ มีงิ้วและละครเป็นต้น มาเล่นให้คนดูที่หน้าบ่อน ประสงค์จะให้คนไปดูแล้วเลย เข้าไปเล่นเบี้ย แต่ก่อนมาพวกเจ้าของละครหากินได้ด้วยรับเล่นตามบ่อนโดยมาก เรียกว่าเล่นงานเหมา เพราะเขาหาไปเลน่ เหมาคา่ จา้ งกนั เปน็ คราวละ ๗ วนั หรอื ๑๐ วนั เปน็ กำหนด ขนุ พฒั นย์ งั จะตอ้ งตรวจตราดู การในบ่อนของตนด้วยต้องหมั่นไปทุกวัน ต่อมีคนถุงเค้าที่ไว้ใจได้จริง ๆ จึงเว้นได้บ้างเป็นครั้งเป็นคราว แตถ่ งึ อยา่ งไรกต็ อ้ งระวงั รกั ษาอยา่ ใหค้ วามฉบิ หายในเหตุ ๓ ประการเกดิ ขน้ึ ได้ คอื ฉบิ หายดว้ ยธรรมดาเอง ประการ ๑ ฉิบหายด้วยแพ้ความรู้ผู้อื่นประการ ๑ ฉิบหายด้วยพวกของตนเองเป็นไส้ศึกประการ ๑ เหตุ ๓ ประการนี้ ถ้าเกิดมีขึ้นแต่อย่างใดอย่าง ๑ แล้ว ขุนพัฒน์จำเป็นจะต้องแก้ไขด้วยอุบายอันใด ให้สงบเรียบร้อยโดยเร็วจงได้ ถ้าทิ้งไว้ช้าก็เหมือนแกล้งตัวเองให้รับความฉิบหายมากขึ้นทุกที อันความฉิบหายที่เกิดขึ้นโดยธรรมดาเองนั้น เช่นถั่วใหญ่ก็ดี โปปั่น โปกำก็ดี บางคราวอาจจะ ตายลง คือกำออกไปหรือครอบออกไปทีไร เขาก็พากันแทงถูกไม่มีเวลากินได้ ว่าตามที่เขาถือกัน เขาว่าเป็นเพราะถึงคราวซวย (คือคราวเสีย) ของขุนพัฒน์ เป็นเวลาเฮง (คือรวย) ของคนแทง มาประจวบกันเข้าทั้ง ๒ ฝ่าย ตามคราวตามสมัยที่อาจจะเป็นได้จริงบ้างเช่นนี้ ลักษณะการแก้ไขก็ ไม่เห็นมีอุบายอันใด เป็นแต่ขุนพัฒน์เห็นว่าเสียลงไปมาก ก็ไปนิมนต์พระมาสวดมนต์เย็นฉันเช้า สะเดาะเคราะห์หรือไหว้เจ้าเซ่นผีไปตามที ยักทำไปจนกว่าจะมีเวลารวยขึ้น ก็ได้ชื่อว่าสิ้นเคราะห์ หรอื เจา้ หรอื ผซี ง่ึ เปน็ ทน่ี บั ถอื ของเขา ทา่ นชว่ ยแลว้ กเ็ ปน็ อนั แลว้ กนั ความขอ้ นถ้ี า้ วา่ ตามความเหน็ แลว้ กเ็ หน็ วา่ ถงึ โดยจะไมต่ อ้ งแกไ้ ขอนั ใดเลยกค็ งกลบั มเี วลารวยได้ เพราะการเล่นพนันย่อมมีเวลาได้และเวลาเสียเป็นคู่กันเป็นธรรมดาเช่นนี้ทั่วไปทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ถา้ ใครเปน็ นกั เลงเลน่ ไดร้ วยแลว้ ไมเ่ ลกิ เสยี ยงั ขนื เลน่ อยรู่ ำ่ ไป กค็ งเสยี ลงบา้ งเหมอื นกนั อาศยั ความทเ่ี ปน็ ธรรมดาเท่านี้ ไม่ต้องทำอะไรเลยก็คงมีเวลารวยขึ้นเอง ขอแต่ให้คนที่เล่นรวยแล้วนั้นกลับมาเล่นร่ำไป กค็ งเสยี ลงเปน็ แทไ้ มต่ อ้ งสงสยั เลย อันฉิบหายด้วยแพ้ความรู้ผู้อื่นนั้น คือธรรมดานักเลงที่เล่นเสียลงแล้ว ก็ย่อมคิดหาอุบายอย่างใด อย่างหนึ่งไปเล่นแก้ตัวร่ำไป เมื่อมีความคิดเห็นช่องเห็นทางที่จะรอดตัวได้อย่างใดก็ฝึกหัดไว้ให้ชำนิ ชำนาญแลว้ จงึ ไปเลน่ ถา้ รวยไดส้ มประสงคก์ เ็ ลยถอื เอาความรอู้ นั นน้ั เปน็ ลทั ธทิ างทจ่ี ะเลน่ ตอ่ ไป จะยกเปน็
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๙๓ ตัวอย่าง เช่น นักเลงบางเหล่าเขามักฝึกหัดวิธีลักเปิดโป หรือเปลี่ยนโปจนชำนิชำนาญคล่องแคล่วแล้ว เมื่อไปเล่น เขาลักเปิดโปให้เห็นได้ว่าจะออกแต้มไหนเขาก็รวยทุกครั้ง กระบวนลักเปิดโปนี้คิดประดิษฐ์ เป็นท่าทางต่าง ๆ เพื่อปรารถนาจะให้พ้นความไหวพริบของขุนพัฒน์ ถ้าขุนพัฒน์รู้เท่าทันถึงเขาท่าไหน เขาก็คิดยักเป็นท่าอื่นร่ำไป จนมีชื่อเสียงต่าง ๆ สำหรับท่านั้น ๆ เรียกว่าท่ามังกรชูแก้วก็มี เสือลากหาง กม็ ี กวางเหลยี วหลงั กม็ ี บงั บดิ แกนกม็ ี ทา้ วแขนขออแี ปะกม็ ี ผา้ แตะบา่ พลดั ตกกม็ ี ยกกน้ ดหู อ้ เถากม็ ี เหลา่ นล้ี ว้ นทา่ ทางทฝ่ี กึ หดั ไวล้ กั เปดิ โปทง้ั นน้ั การลกั เปดิ โปตามทา่ ทางตา่ ง ๆ น้ี เมอ่ื คราวแรก ๆ ขนุ พฒั นห์ รอื คนทำโปคงไมร่ เู้ ทา่ ถงึ ความรขู้ อง นกั เลงเหลา่ นน้ั กอ่ น เพราะกริ ยิ าอาการทจ่ี ะลกั เปดิ โปโดยทา่ ทางอยา่ งใด กไ็ มส่ ผู้ ดิ แผกแปลกไปจากกริ ยิ า อาการของคนที่เล่นตามธรรมดานัก เพราะฉะนั้นจึงยากที่จะจับไหวพริบได้โดยเร็ว ต่อเมื่อไรได้เห็นเสีย หนหนึ่งหรือสองหนแล้ว นั่นแหละ จึงจะรู้สึกได้ว่ากิริยาอาการอย่างนั้น ๆ เป็นลัทธิสำหรับลักเปิดโป ของคนจำพวกนั้น ๆ เมื่อขุนพัฒน์คนใดถูกเข้ารู้สึกแล้ว ทางที่จะแก้ไขก็มีแต่พาลรีพาลขวางทุบตี จับเอาตัวไว้แล้วส่งไปยังเจ้าพนักงาน ไม่มีทางอื่นที่จะแก้ไขให้ดีกว่านี้ขึ้นไปได้ การลักเปิดโปนี้เป็น ทางฉิบหายของขุนพัฒน์ได้อย่างหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใคร่จะมีใครลักเปิดได้ เพราะขุนพัฒน์รู้เท่าเสียแทบ ทง้ั นน้ั แลว้ อีกอย่างหนึ่งเรียกว่าการลกั เปลย่ี นโป คือ เปลี่ยนลิ้นโปที่เล่น ถ้าเขาเปลี่ยนได้ก็เป็นทางฉิบหาย สำคัญของขุนพัฒน์เหมือนกัน แต่รอดตัวที่เป็นการเปลี่ยนได้โดยยาก เพราะต้องมีพวกของขุนพัฒน์ เป็นใจเล่นด้วย จึงจะลักเปลี่ยนได้ ถ้าลงเปลี่ยนโปได้บ่อนใด ความฉิบหายของขุนพัฒน์บ่อนนั้นก็เป็น อย่างร้ายแรงยากที่จะแก้ไขได้ เพราะจะจับไหวพริบอย่างใดก็ไม่ได้สักท่า ต่อเมื่อใดพิจารณาดูที่โป จึงจะรู้ได้ เพราะธรรมดาโปที่คนจำพวกนั้นเอามาเปลี่ยนย่อมมีกลไกทำไว้สำหรับให้เจ้าของสังเกตรู้ได้ว่า โปจะออกแตม้ ไหน เพราะฉะนน้ั ยอ่ มมที แ่ี ปลกกบั โปธรรมดา แตค่ วามรทู้ จ่ี ะลกั เปดิ โปหรอื ลกั เปลย่ี นโปน้ี เดี๋ยวนี้ขุนพัฒน์รู้เท่าถึงท่าทางของความรู้ทั้ง ๒ อย่างเสียหมดแล้ว และบอกกิริยาอาการอย่างนั้น ๆ เป็นความรู้ที่เขาจะลักเปิดโปให้คนทำโปเข้าใจรู้ไว้ทุกเสื่อ และเมื่อเวลาเลิกบ่อนก็ให้ถุงเค้าเก็บโป ลน่ั กญุ แจไวเ้ สยี ในหบี ถา้ ทำอยา่ งนท้ี กุ วนั ไปกเ็ ปน็ พน้ ความฉบิ หายทจ่ี ะมมี าโดยทางนไ้ี ด้ อันความฉิบหายเพราะพวกขุนพัฒน์เป็นไส้ศึกแก่คนแทงนั้น ก็คือ เช่นลักเปลี่ยนโปให้คนแทง หรอื ทำโปรแู้ ลว้ นดั แนะบอกใบใ้ หแ้ กค่ นแทง หรอื กำถว่ั ใหญเ่ บย้ี ขน้ึ มอื รวู้ า่ จะออกนน่ั ออกนบ่ี อกใบแ้ ยบคาย ใหแ้ กค่ นแทง เลน่ ไดเ้ งนิ ไปแลว้ แบง่ ปนั กนั ตามมากและนอ้ ย เหลา่ นก้ี เ็ ปน็ ทางความฉบิ หายอกี อยา่ งหนง่ึ
๔๙๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ซึ่งดูเหมือนจะร้ายแรงกว่าทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว เพราะคนของขุนพัฒน์แต่ละคน ๆ ก็เลือกล้วนแต่ที่ไว้ เนื้อเชื่อใจได้แล้วทั้งนั้น เมื่อมาเกิดโกงขึ้นเช่นนั้นก็เป็นอันยากที่ขุนพัฒน์จะหยั่งรู้ มักจะถูกคดโกง เสยี นานจงึ จะทราบความระแคะระคายบา้ ง แตจ่ บั ใหม้ น่ั คงกย็ าก เพราะฉะนน้ั ความฉบิ หายทางน้ี ขนุ พฒั นจ์ งึ ตอ้ งระวงั รกั ษาอยเู่ ปน็ นติ ย์ และมคี วามกลวั เกรงมากกวา่ ทางอน่ื ถ้าขุนพัฒน์มีความระวังหนทางแห่งความฉิบหายที่จะมาถึง และป้องกันไว้ได้แล้ว ถึงโดยจะได้ เสยี กนั ในกระบวนเลน่ มากนอ้ ยเทา่ ใด การเลน่ ถว่ั โปนข้ี นุ พฒั นก์ ค็ งมแี ตไ่ ดเ้ ปรยี บคนแทง ไมม่ ที จ่ี ะขาดทนุ ถ้าว่าทางข้างฝ่ายคนเล่นนั้น ธรรมดานักเลงเล่นเบี้ยลงได้เล่นแล้วมักหมกมุ่น เมื่อแทงเสียมา ก็คิดหาอุบายไปเล่นแก้ตัวอีกไม่ใคร่รู้จักเข็ด คิดจะแก้ทางนี้เมื่อไปเล่นเสียก็กลับมาคิดหาอุบาย ที่จะแก้ทางอื่นต่อไป สมกับคำที่เขาพูดกันว่า “ไม่ได้ด้วยเล่ห์สู้ด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์สู้ด้วยคาถา” คำพูดอย่างนี้เป็นตรงกันกับนักเลงเล่นถั่วโปทีเดียว ที่สุดไปเล่นโดยฝีมือเสียหนักเข้าก็หันเข้าหาผู้วิเศษ ที่ยกตนว่าสำเร็จในทางสะระตะหรือบอกกระดานชัย หรือมีน้ำมันทาตาเห็นโปและอะไรต่ออะไรอีก หลายอย่าง ใครไปเล่นตามลัทธิของผู้ใดรวยมา ก็ยกย่องสรรเสริญท่านผู้นั้นว่าวิเศษดีในทางนั้น ๆ กติ ตศิ พั ทอ์ อ้ื ฉาวไป กพ็ ากนั เอามาเลน่ ตอ่ ๆ ไปอกี ถา้ ไปเลน่ เสยี ลงสน้ิ นบั ถอื กค็ ดิ หาทางอน่ื ตอ่ ไปไมม่ ี ที่สุดลงได้ ถ้าจะมีความคิดเห็นเสียสักนิดเดียวว่า “ทางวิเศษอันใดมีจริงแล้ว ขุนพัฒน์จะกล้ายอมเสีย เงนิ อากรรบั ตง้ั โรงบอ่ นเลน่ มาไดจ้ นทกุ วนั นแ้ี ละหรอื อกี ประการ ๑ คนทไ่ี ดข้ องวเิ ศษไปเลน่ นน้ั มใี ครท่ี รำ่ รวยถงึ ตง้ั ตวั ไดบ้ า้ งหรอื ไม”่ ถา้ คดิ ไดด้ งั นก้ี จ็ ะมสี ตหิ าพากนั ฉบิ หายดว้ ยการเลน่ ถว่ั โปไม่ เรื่องเลิกบ่อนเบี้ย ในรชั กาลท่ี ๕ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงจดั แกไ้ ขวธิ กี ารปกครองพระราช อาณาจกั ร เรม่ิ ดว้ ยโปรดใหจ้ ดั การพระคลงั กอ่ นอยา่ งอน่ื พระราชประสงคซ์ ง่ึ จะเลกิ บอ่ นเบย้ี มมี าแตแ่ รก จัดการพระคลัง แต่หากขัดข้องอยู่ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือประการที่ ๑ เงินภาษีอากรผลประโยชน์ แผ่นดินยังตกเรี่ยเสียหายอยู่มาก เงินหลวงที่ส่งมาถึงพระคลังมหาสมบัติไม่พอจ่ายใช้ในราชการ จึงโปรด ใหต้ ง้ั หอรษั ฎากรพพิ ฒั นเ์ มอ่ื ปกี นุ พ.ศ. ๒๔๑๘ รวบรวมการภาษอี ากรซง่ึ แยกยา้ ยอยหู่ ลายกระทรวงตา่ งกนั มาไว้ในกระทรวงพระคลัง เพื่อจะจัดการเก็บผลประโยชน์แผ่นดินให้ได้มากขึ้น ถ้าจะเลิกหรือจะลด บ่อนเบี้ยในเวลาเงินผลประโยชน์แผ่นดินยังได้น้อย ก็จะกลับขาดผลประโยชน์แผ่นดิน เป็นปรปักษ์แก่ การทจ่ี ดั อยใู่ นเวลานน้ั จงึ ตอ้ งรอไวก้ อ่ น ประการท่ี ๒ ในเวลาตอ่ มา เมอ่ื การหอรษั ฎากรพพิ ฒั นค์ อ่ ยเปน็
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๙๕ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย เงนิ ภาษอี ากรกท็ วขี น้ึ แตก่ ารทจ่ี ะเลกิ บอ่ นเบย้ี กก็ ลบั ยากขน้ึ ดว้ ยเงนิ อากรบอ่ นเบย้ี ยง่ิ ทวขี น้ึ กลายเปน็ อากรประเภททเ่ี งนิ มากอยา่ ง ๑ เจา้ พนกั งานในกระทรวงพระคลงั ไมก่ ลา้ รบั ผดิ ชอบคดิ ลดเลกิ บอ่ นเบย้ี ดว้ ยเกรงเงนิ พระคลงั จะไมพ่ อใชจ้ า่ ยราชการแผน่ ดนิ เพราะเมอ่ื จดั การบา้ นเมอื งมาโดยลำดบั ถึงได้เงินผลประโยชน์แผ่นดินมากขึ้น รายจ่ายใช้ราชการต่าง ๆ ก็มากขึ้นเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ การทจ่ี ะเลกิ บอ่ นเบย้ี จงึ ตอ้ งรอมาอกี ตอน ๑ จนถงึ ปกี นุ พ.ศ. ๒๔๓๐ ในเวลานน้ั สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ กรมพระจกั รพรรดพิ งศ์ เสดจ็ ดำรงตำแหนง่ อธบิ ดี* กระทรวงพระคลงั พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหมน่ื นราธิปประพันธ์พงศ์ เป็นรองอธิบดี กราบบังคมทูลรับที่จะคิดอ่านลดบ่อนเบี้ยลงตามพระราชประสงค์ มใิ หข้ ดั ขวางแกป่ ระโยชนข์ องราชการบา้ นเมอื ง จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหป้ ระกาศเมอ่ื ณ วนั องั คาร เดือนอ้าย แรม ๑๓ ค่ำ ปีกุน จุลศักราช ๑๒๔๙ พ.ศ. ๒๔๓๐ กำหนดการลดบ่อนเบี้ยในปีชวด พ.ศ. ๒๔๓๑ ดงั น้ี ประกาศหอรัษฎากรพิพัฒน์ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ อธิบดีที่ ๑ ในกรม พระคลงั มหาสมบตั ิ รบั พระบรมราชโองการเหนอื เกลา้ ฯ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ สง่ั วา่ การเลน่ พนนั ต่าง ๆ ซึ่งชาวสยามเคยเล่นเป็นการสนุก และแข่งขันพนันกันด้วยทรัพย์สมบัติพัสดุเงินทองต่าง ๆ นั้น ที่เป็นการพนันของชาวสยามแท้ก็มีแต่ วิ่งม้า วิ่งวัว ชนนก ชนไก่ ชนปลา และไพ่ต่างๆ เหล่านี้ เปน็ ตน้ การเลน่ โปถว่ั นน้ั เปน็ วชิ าพนนั ของจนี พวกจนี พากนั เขา้ มาพง่ึ พระบรมเดชานภุ าพอาศยั ทำมาหากนิ อยใู่ นกรงุ สยามไดค้ วามผาสกุ หากนิ อยตู่ ามภมู ลิ ำเนาแลว้ พากนั กอ่ การเลน่ โปถว่ั ซง่ึ เปน็ วชิ าถนดั ของตนขน้ึ ชักชวนคนไทยให้หลงเล่นไปด้วย ทำให้เป็นการเสียทรัพย์เสียเวลาเสียประโยชน์การค้าขาย และทำให้ สันดานหมกมุ่นไปในสิ่งซึ่งหาประโยชน์มิได้ เป็นการร้ายแรงยิ่งกว่าการเล่นซึ่งชาวสยามเคยเล่นกันมา เพราะฉะนน้ั โปถว่ั วชิ าของจนี น้ี เปน็ วชิ าอปุ เทห่ ท์ ม่ี าชวนคนไทยใหเ้ สยี ประโยชน์ บัดนี้ในแขวงกรุงเทพ ฯ มีโรงบ่อนใหญ่น้อยตั้งเล่นโปถั่วอยู่ในถนนใหญ่น้อย และละแวกตรอก ลำน้ำลำคลองต่าง ๆ เป็นอันมาก และยังมีบ่อนย่อยเล็กน้อยเที่ยวตั้งแสวงหาผู้เล่นอยู่อีกมากกว่ามาก ไดค้ วามตามบญั ชเี จา้ พนกั งานกรมพระคลงั สนิ คา้ วา่ ในแขวงกรงุ เทพ ฯ น้ี มบี อ่ นใหญต่ ง้ั เลน่ โปถว่ั ประจำ อยู่ ๑๒๖ ตำบล และยงั มบี อ่ นยอ่ ยเลก็ ๆ อกี ประมาณ ๒๗๗ ตำบล และประมาณมไิ ดแ้ น่ เพราะบางทตี ง้ั * ตำแหนง่ เสนาบดกี ระทรวงพระคลงั เปน็ แตอ่ ธบิ ดี พง่ึ เลอ่ื นขน้ึ เปน็ เสนาบดตี อ่ ร.ศ. ๑๑๑ พรอ้ มกบั เสนาบดที ต่ี ง้ั ใหมอ่ กี หลายกระทรวง
๔๙๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เล่นอยู่แต่ ๑๕ วันบ้าง เดือนหนึ่ง ๒ เดือน ๓ เดือนบ้าง แล้วเลิกเสีย หรือบางทีเล่นอยู่ตลอดปีบ้าง อาศยั เทย่ี วเรแ่ สวงหาผเู้ ลน่ ในหมปู่ ระชมุ ชนไดค้ วามดงั น้ี จงึ ทรงพระราชดำรวิ า่ การพนนั คอื โปถว่ั วชิ าของจนี ซึ่งเห็นว่าเป็นของชั่วชวนชาวสยามให้ประพฤติตนเป็นนักเลงหลงเล่นอยู่ทำให้เสียประโยชน์นี้ ควรจะ ผันผ่อนห้ามปรามเสียให้น้อยเบาบางจนเลิกเสียทั้งสิ้นได้โดยความเรียบร้อย แต่ครั้นจะห้ามปราม ให้เป็นการเด็ดขาดให้เลิกเสียทีเดียวในขณะเดียว พวกจีนซึ่งเข้ามาพึ่งพระบรมเดชานุภาพอาศัย ทำมาหากนิ อยใู่ นกรงุ สยาม เคยประพฤตชิ อบเลน่ โปถว่ั ซง่ึ เปน็ การพนนั สำหรบั ชาตอิ ยจู่ ะไดค้ วามรอ้ นลำบาก อาศัยพระราชดำริซึ่งทรงพระมหากรุณาแก่หมู่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน เพื่อจะมิให้ชาวสยามริเป็นนักเลงหลง เล่นการพนันโปถั่วเพลิดเพลินไปให้เสียประโยชน์ และมิให้เป็นที่เดือดร้อนแก่พวกจีนซึ่งเข้ามาพึ่ง พระบรมเดชานภุ าพอาศยั ทำมาหากนิ อยใู่ นกรงุ สยามไดค้ วามเดอื ดรอ้ น จึงมีพระบรมราชโองการ มาณพระบัณฑูรสุรสิงหนาทดำรัสเหนือเกล้า ฯ สั่งให้สมเด็จพระเจ้า นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ จาตรุ นตร์ ศั มี กรมพระจกั รพรรดพิ งศ์ อธบิ ดที ่ี ๑ ในกรมพระคลงั มหาสมบตั ิ มรี บั สง่ั ให้เจ้าพนักงานกรมพระคลังสินค้า ไปกะที่โรงบ่อนซึ่งเล่นโปถั่วอยู่ในแขวงกรุงเทพ ฯ ให้คงไว้เป็นที่เล่น ของพวกจีนนักเลงซึ่งเคยเล่นบ้างพอสมควร นอกนั้นให้เลิกเสียมิให้เล่นต่อไป คือบ่อนใหญ่ตั้งเล่นโปถั่ว ๑๒๖ นน้ั ใหค้ งเลน่ อยแู่ ต่ ๖๗ ตำบล ใหเ้ ลกิ เสยี ๕๙ ตำบล และบอ่ นยอ่ ยอกี ประมาณ ๒๗๗ ตำบล ซึ่งเหลือประมาณนั้นให้เลิกเสียให้หมด ต่อไปห้ามมิให้เล่นเป็นอันขาด และโรงบ่อนซึ่งอนุญาตให้คงเล่น เคยตั้งเล่นอยู่ที่สถานใด ก็ให้ตั้งเล่นอยู่ในที่นั้น มิให้ย้ายแขวงย้ายตำบลไปได้ กำหนดให้เปิดการเล่น แต่เวลาโมงเช้าจนถึงเวลา ๕ ทุ่ม* และเวลาที่เล่นนั้นให้มีโปลิศประจำอยู่ทุกบ่อนเพื่อมิให้จีนเจ้าของบ่อน ทำความบงั อาจลว่ งเกนิ สง่ิ ใด แตโ่ ดยอำนาจของเจา้ ของบอ่ นนน้ั การที่จะจัดให้เลิกโรงบ่อนนี้ กำหนดจะได้ลงมือตั้งแต่วันขึ้นค่ำหนึ่ง เดือน ๕ ปีชวดยังเป็น นพศก จุลศักราช ๑๒๔๙ และต่อไปนั้นถ้าถึงวันกำหนดแล้ว ผู้หนึ่งผู้ใดบังอาจเล่นการพนันโปถั่วใน ที่ห้าม คือ ที่ให้เลิกเสีย หรือในที่ที่ไม่ได้อนุญาตให้เล่น จับตัวได้พิจารณาเป็นสัตย์ ให้ลงโทษตาม พระราชกำหนดกฎหมาย ประกาศมา ณ วันอังคาร เดือน ๑ แรม ๑๓ ค่ำ ปีกุนนพศก จุลศักราช ๑๒๔๙ เป็นวันที่ ๖๙๖๘ ในรชั กาลปจั จบุ นั น้ี * คือแต่ ๗ นาฬิกาก่อนเที่ยง จน ๑๑ นาฬิกาหลังเที่ยง
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๙๗ ตามประกาศปชี วด พ.ศ. ๒๔๓๑ น้ี ลกั ษณะอากรบอ่ นเบย้ี แกไ้ ขหลายอยา่ ง คอื (๑) เดิมในจังหวัดกรุงเทพ ฯ (รวมทั้งเมืองนนทบุรีอันเขตคาบเกี่ยวกับกรุงเทพ ฯ นั้น) มีจำนวน บอ่ นเบย้ี ๔๐๓ บอ่ น เลกิ เสยี ๓๓๖ บอ่ น คงใหเ้ ลน่ ตอ่ ไปแต่ ๖๗ บอ่ น และบอ่ นทง้ั ๖๗ บอ่ นนใ้ี หม้ ที ต่ี ง้ั เปน็ กำหนด คอื บอ่ นเบย้ี ในบรเิ วณพระนคร ๑๓ ตำบล* ๑. ทา่ พระ ๒. แพลอยหลงั วดั ชนะสงคราม ๓. บางลำพู ๔. รมิ โรงหวย (หนา้ วงั บรู พา) ๕. นอกกำแพง (อยตู่ รงกบั วดั ปรนิ ายก) ๖. วดั ราชบรุ ณ (ปลายถนนเฟอ่ื งนคร) ๗. ทา่ เตยี น ๘. โรงม้า (เดิมอยู่ริมสะพานช้างโรงสี แล้วย้ายไปอยู่ถนนเฟื่องนครตอนกลางเมื่อทำ โรงทหาร) ๙. ตลาดเสาชงิ ชา้ ๑๐. บา้ นลาว (สแ่ี ยกถนนเจรญิ กรงุ ) ๑๑. บา้ นหมอ้ ๑๒. คอกโค (รมิ บา้ นแขก) ๑๓. ทอ้ งนำ้ (แพจอดปากคลองหลอดรมิ ทา่ ชา้ งวงั หนา้ ) บอ่ นเบย้ี ในทอ้ งสำเพง็ ๑๐ ตำบล ๑๔. สะพานหนั ๑๕. สำเพง็ (กงสลี ง้ ) ๑๖. มาเกง๋ อา๋ ว (ตรอกเวจ็ ข)้ี ๑๗. ตลาดขา้ วสาร * ชื่อตำบลที่เรียกในหนังสือราชกิจจานุเบกษา รู้ไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหนหลายแห่ง ถามได้อธิบายจากพระยาสุนทรพิมล (เผล่) บ้าง พระอนวุ ตั นร์ าชนยิ ม (รง) บา้ ง พระอกั ษรสมบตั บิ า้ ง
๔๙๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ๑๘. ศาลเจา้ เกง็ เอยี ะ (ศาลเจา้ ตน้ ไทร) ๑๙. ศาลเจา้ เกา่ ๒๐. เลง่ บวยเอย๋ี (ตรอกเจส๊ วั เนยี ม) ๒๑. ตลาดนอ้ ย ๒๒. เซยี นกง (เหนอื วดั สำเพง็ ) ๒๓. ศาลเจา้ เนยี กง (เหนอื วดั สามจนี ) บอ่ นเบย้ี นอกพระนครขา้ งทศิ ตะวนั ออก ๘ ตำบล ๒๔. บา้ นบาตร ๒๕. รมิ วดั สระเกษ ๒๖. สวนมะลิ ๒๗. รมิ วดั สามงา่ ม ๒๘. บา้ นตากแดด (คลองผดงุ ใกลส้ แ่ี ยกมหานาค ) ๒๙. บา้ นหวั หมาก (คลองแสนแสบ) ๓๐. รมิ วดั บำเพญ็ (คลองแสนแสบ) ๓๑. คลองจน่ั (คลองแสนแสบ) บอ่ นเบย้ี นอกพระนครขา้ งทศิ ใต้ ๑๔ ตำบล ๓๒. สะพานเหลก็ (สะพานดำรงสถติ ย์ ) ๓๓. รมิ วดั สามจนี (หวั ลำโพง) ๓๔. บา้ นทวาย ๓๕. รมิ วดั แกว้ ฟา้ (เชงิ สะพานพทิ ยเสถยี ร) ๓๖. บางรกั ๓๗. รมิ วดั ทองธรรมชาติ ๓๘. บางนำ้ ชน ๓๙. ดาวคะนอง ๔๐. ทา้ ยถนนตก ๔๑. บางโคล่
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๙๙ ๔๒. บางแจงรอ้ น ๔๓. บางราชบรุ ณะ ๔๔. บางขนุ เทยี น ๔๕. บางเชอื กหนงั บอ่ นเบย้ี นอกพระนครขา้ งทศิ ตะวนั ตก ๑๓ ตำบล ๔๖. บา้ นขมน้ิ ๔๗. รมิ วดั อรณุ ๔๘. คลองบางกอกใหญ่ (ตลาดพล)ู ๔๙. คลองบางกอกนอ้ ย (แพจอดปากคลอง) ๕๐. รมิ วดั บปุ ผาราม ๕๑. หนา้ เกง๋ (แพจอดใต้วดั กลั ยาณมติ ร) ๕๒. สะพานหก (คลองบางกอกใหญ)่ ๕๓. ซนิ กง๋ั (คลองภาษเี จรญิ ) ๕๔. บา้ นหนองแขม (คลองภาษเี จรญิ ) ๕๕. บางระมาด ๕๖. รมิ วดั ไชยพฤกษมาลา ๕๗. บางคเู วยี ง บอ่ นเบย้ี นอกพระนครขา้ งดา้ นเหนอื ๑๐ ตำบล ๕๘. บางยข่ี นั ๕๙. สามเสน ๖๐. บางกระบอื ๖๑. บางโพธ์ิ ๖๒. สแ่ี ยกบางซอ่ื ๖๓. สแ่ี ยกบางเขน ๖๔. บางกรวย ๖๕. ตลาดขวญั
๕๐๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ๖๖. คลองเกรด็ ๖๗. บา้ นกระแชง (๒) เดิมอากรบ่อนเบี้ยผูกเป็นแขวง นายอากรจะตั้งบ่อนกี่บ่อนและจะตั้งที่ตำบลไหนในแขวง ของตนกต็ ง้ั ไดต้ ามชอบใจ ทแ่ี กใ้ หมใ่ หผ้ กู อากรเปน็ ตำบลและเฉพาะบอ่ นเดยี ว นายอากรผกู บอ่ นตำบลไหน เลน่ ไดแ้ ตใ่ นบอ่ นตำบลนน้ั จะไปเลน่ เบย้ี นอกบอ่ น หรอื เลน่ เปน็ หลายบอ่ นไมไ่ ด้ ฝา่ ยขา้ งราษฎรจะเลน่ เบย้ี ก็ต้องไปเล่นที่ในบ่อน จะหานายอากรไปติดบ่อนที่บ้านเรือนดังแต่ก่อนไม่ได้ การที่จะกำหนดเขตแขวง ของนายอากรบอ่ นเบย้ี ยงั คงใชแ้ ตส่ ำหรบั อนญุ าตอากรการพนนั ซง่ึ ยงั รวมอยกู่ บั อากรบอ่ นเบย้ี ดว้ ยกนั (๓) แต่ก่อนมานายอากรจะเล่นเบี้ยเวลาใดใดก็เล่นได้ ที่แก้ใหม่ให้เปิดบ่อนเล่นเบี้ยได้แต่เวลา โมงเชา้ (๗ น.) จน ๕ ทมุ่ (๒๓ น.) ตอ้ งเลกิ (๔) หา้ มไมใ่ หร้ าษฎรเลน่ ถว่ั โปกนั ในเวลานกั ขตั ฤกษ์ ตรษุ สงกรานต์ ดงั แตก่ อ่ น (๕) หา้ มมใิ หน้ ายอากรบอ่ นเบย้ี ทำปใ้ี ชใ้ นบอ่ น (๖) หา้ มมใิ หน้ ายอากรรองทนุ ใหน้ กั เลงเลน่ เบย้ี * การที่จัดแก้ไขอากรบ่อนเบี้ยเมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๔๓๑ ดังกล่าวมา เป็นการเปลี่ยนแปลงแต่เฉพาะ บ่อนเบี้ยที่ในกรุงเทพ ฯ ส่วนบ่อนเบี้ยตามหัวเมืองทั้งปวงยังให้คงเป็นไปตามเดิม เพราะเวลานั้นยังไม่ได้ ลงมอื จดั การเทศาภบิ าลในหัวเมือง และรัฐบาลประสงค์จะทดลองดูเสียชั้นหนึ่งก่อน ว่าเงินอากรบ่อนเบี้ย จะตกสักเท่าใด ถ้าไม่ตกมากเกินประมาณไป ก็จะได้คิดลดบ่อนเบี้ยให้ติดต่อกันไปอีก ครั้นจัดการแก้ไข แลว้ เหน็ เงนิ อากรบอ่ นเบย้ี ไมต่ กมากนกั จงึ ไดต้ กลงเปน็ ยตุ วิ า่ ตอ่ ไปจะเลกิ บอ่ นเบย้ี ปลี ะ ๑๐ บอ่ นเปน็ กำหนด ถึงรัตนโกสินทร์ศก ๑๐๘ ตรงกับปีฉลู พ.ศ. ๒๔๓๒ โปรดให้ประกาศเลิกบ่อนเบี้ยในจังหวัด กรงุ เทพ ฯ อกี ๑๐ ตำบล คอื ๑. ตำบลคอกโค ในบรเิ วณพระนคร ๒. ตำบลรมิ วดั บปุ ผาราม ๓. ตำบลรมิ วดั ทองธรรมชาติ ๔. ตำบลรมิ วดั บำเพญ็ * การหา้ มมใิ หน้ ายอากรรองทนุ ใหน้ กั เลงเลน่ เบย้ี บางทจี ะหา้ มมาแตร่ ชั กาลท่ี ๓ แลว้ แตไ่ มป่ รากฏกลา่ วไวท้ อ่ี น่ื จงึ ลงไวต้ อนน้ี
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๕๐๑ ๕. ตำบลบา้ นตากแดด ๖. ตำบลบา้ นหวั หมาก ๗. ตำบลบางกระบอื ๘. ตำบลบา้ นหนองแขม ๙. ตำบลบา้ นแจงรอ้ น ๑๐. ตำบลบางโคล่ คงเหลอื บอ่ นเบย้ี ในจงั หวดั กรงุ เทพ ฯ ในปฉี ลู พ.ศ. ๒๔๓๒ รวม ๕๗ ตำบล ถงึ รตั นโกสนิ ทรศ์ ก ๑๐๙ ตรงกบั ปขี าล พ.ศ. ๒๔๓๓ เลกิ บอ่ นในจงั หวดั กรงุ เทพ ฯ อกี ๑๐ ตำบล คอื ๑. ตำบลโรงมา้ ในบรเิ วณพระนคร ๒. ตำบลรมิ วดั ราชบรุ ณะ ในบรเิ วณพระนคร ๓. ตำบลแพลอยหลงั วดั ชนะสงคราม ในบรเิ วณพระนคร ๔. ตำบลบา้ นบาตร ๕. ตำบลสวนมะลิ ๖. ตำบลศาลเจา้ เนยี กง ๗. ตำบลบางนำ้ ชน ๘. ตำบลดาวคะนอง ๙. ตำบลบางเชอื กหนงั ๑๐. ตำบลสแ่ี ยกบางซอ่ื คงเหลอื บอ่ นเบย้ี ในจงั หวดั กรงุ เทพ ฯ ในปขี าล พ.ศ. ๒๔๓๓ รวม ๔๗ ตำบล ในรตั นโกสนิ ทรศ์ ก ๑๑๐ ตรงกบั ปเี ถาะ พ.ศ. ๒๔๓๔ หาไดเ้ ลกิ บอ่ นเบย้ี ไม่ เพราะรฐั บาลกำลงั คดิ วิธีใหม่ เหตุที่จะคิดวิธีใหม่นั้นเพราะมีนายอากรบ่อนเบี้ยพากันมาร้องต่อเจ้าพนักงานพระคลังว่า บ่อนที่ ให้ผูกอยู่ในท้องที่ไม่เหมาะแก่การอากรบ้าง โรงบ่อนเล็กไม่พอแก่การเล่นบ้าง นายอากรจะแก้ไขอย่างใด ก็ไม่ได้ ด้วยโรงบ่อนเป็นของเชลยศักดิ์ นายอากรเป็นแต่เช่าทำอากรไปชั่วปีหนึ่ง ๆ รัฐบาลจึงคิดจะ จัดการใหม่ คือจะทำเป็นโรงบ่อนของหลวงให้นายอากรเช่า สร้างให้ใหญ่โตมั่นคงพอแก่การ และเลือก ที่สร้างให้เหมาะแก่การอากรให้ทุกแห่ง แต่รัฐบาลคิดเห็นอยู่อีกส่วน ๑ ว่า ถ้าสร้างโรงบ่อนให้ดีขึ้น
๕๐๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เช่นนั้น คงจะยั่วให้คนเล่นเบี้ยมากขึ้น รัฐบาลสิประสงค์จะเลิกบ่อนเบี้ย จะกลับไปบำรุงให้ยิ่งเจริญขึ้นก็ หาควรไม่ จึงยุติว่าจะสร้างบ่อนหลวงให้มีแต่น้อยบ่อน แล้วเลิกบ่อนอื่นเสียให้หมด ให้เงินอากรที่ จะขึ้นทางบ่อนหลวง พอกลบลบกับจำนวนเงินที่จะขาดเพราะเลิกบ่อนอื่น โดยจะขาดก็อย่าให้มากนัก การสรา้ งบอ่ นหลวงตอ้ งทำอยตู่ ลอดปเี ถาะ พ.ศ. ๒๔๓๔ จงึ มไิ ดเ้ ลกิ บอ่ นดว้ ยเหตนุ ้ี ถงึ รตั นโกสนิ ทร์ ศก ๑๑๑ ตรงกบั ปมี ะโรง พ.ศ. ๒๔๓๕ จดั การใหมด่ งั กลา่ วมา เลกิ บอ่ นบรรดา อยใู่ นบรเิ วณพระนครทง้ั หมด และเลกิ โรงบอ่ นทอ่ี น่ื ๆ ในจงั หวดั กรงุ เทพ ฯ อกี หลายตำบล รวมจำนวน โรงบอ่ นทเ่ี ลกิ ในปนี ้ี ๓๑ ตำบล ใหค้ งเลน่ เบย้ี แตใ่ นบอ่ นของหลวง ๑๖ บอ่ น คอื ๑. บอ่ นสะพานหนั (บอ่ นหวั เมด็ ) ๒. บอ่ นทอ้ งสำเพง็ ๓. บอ่ นตลาดนอ้ ย ๔. บอ่ นตลาดขา้ วสาร ๕. บอ่ นสะพานเหลก็ ๖. บอ่ นเลง่ บวยเอย๋ี ๗. บอ่ นหวั ลำโพง ๘. บอ่ นบา้ นทวาย ๙. บอ่ นบางรกั ๑๐. บอ่ นคลองบางกอกใหญ่ (ตลาดพล)ู ๑๑. บอ่ นบางระมาด ๑๒. บอ่ นบา้ นขมน้ิ ๑๓. บอ่ นบางลำพู (ภายหลงั เรยี กบอ่ นตลาดนางเลง้ิ ) ๑๔. บอ่ นสามเสน ๑๕. บอ่ นตลาดขวญั ๑๖. บอ่ นปากเกรด็ การแกไ้ ขคราวน้ี นอกจากลดจำนวนบอ่ น เตมิ ขอ้ บงั คบั หา้ มมใิ หน้ ายอากรยอมใหเ้ ดก็ เลน่ เบย้ี ดว้ ย ในระหวา่ ง ร.ศ. ๑๑๒ จน ร.ศ. ๑๑๖ (คอื แตป่ มี ะเสง็ พ.ศ. ๒๔๓๖ จนปวี อก พ.ศ. ๒๔๓๙) ไมไ่ ดม้ ี การแกไ้ ขอากรบอ่ นเบย้ี ดว้ ยรฐั บาลเหน็ วา่ บอ่ นในกรงุ เทพ ฯ ไดล้ ดลงมากแลว้ แตบ่ อ่ นเบย้ี ทางหวั เมอื ง
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๕๐๓ ยงั ไมไ่ ดจ้ ดั การลดหยอ่ นลงอยา่ งไรเลย เหน็ วา่ ในชน้ั นค้ี วรจะจบั ลดเลกิ บอ่ นเบย้ี ออกไปถงึ หวั เมอื ง แตห่ วั เมอื ง พึ่งลงมือจัดแก้ไขวิธีปกครองเมื่อ ร.ศ. ๑๑๒ คือปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๔๓๖ จึงต้องรอการเทศาภิบาลให้พอ ลงระเบยี บเรยี บรอ้ ยกอ่ น อนึ่ง ในปีมะเส็งนี้ กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์เสด็จออกจากตำแหน่งในกระทรวงพระคลัง เสนาบดีกระทรวงพระคลังต่อมาในระหว่างนั้นรับราชการอยู่ไม่ช้าต้องย้ายไปกระทรวงอื่น จนปีวอก พ.ศ. ๒๓๔๙ ทรงพระกรุณาโปรด ฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย เป็นเสนาบดี กระทรวงพระคลงั จงึ จบั จดั การบอ่ นเบย้ี ตอ่ มาอกี ตอน ๑ ในรัตนโกสินทร์ ศก ๑๑๖ ตรงกับปีระกา พ.ศ. ๒๔๔๐ อาศัยเหตุที่ได้รวมเมืองนครเขื่อนขันธ์ เมืองสมุทรปราการ เมืองนนทบุรี เมืองปทุมธานี เข้าในเทศาภิบาลมณฑลกรุงเทพ ฯ จึงเลิกบ่อนเบี้ย ตามหวั เมอื งมณฑลกรงุ เทพ ฯ ทง้ั หมด คงไวแ้ ตท่ เ่ี มอื งสมทุ รปราการบอ่ น ๑ ทป่ี ากลดั เมอื งนครเขอ่ื นขนั ธ์ บอ่ น ๑ รวมบอ่ นทง้ั มณฑลกรงุ เทพ ฯ จงึ มแี ต่ ๑๘ บอ่ นดว้ ยกนั ถงึ รตั นโกสนิ ทร์ ศก ๑๑๗ ตรงกบั ปจี อ พ.ศ. ๒๔๔๑ ลงมอื เลกิ บอ่ นหวั เมอื งแตป่ นี ้ี คอื มณฑลนครศรธี รรมราช เลกิ บอ่ นเบย้ี หมดทง้ั มณฑล มณฑลชมุ พร เลกิ บอ่ นเบย้ี หมดทง้ั มณฑล มณฑลกรงุ เกา่ เดมิ มบี อ่ นเบย้ี ๗๑ ตำบล เลกิ เสยี ๒๒ ตำบล คงอยู่ ๔๙ ตำบล มณฑลนครไชยศรี เดมิ มบี อ่ นเบย้ี ๑๘ ตำบล เลกิ เสยี ๒ ตำบล คงอยู่ ๑๖ ตำบล มณฑลนครสวรรค์ เดมิ มบี อ่ นเบย้ี ๒๖ ตำบล เลกิ เสยี ๘ ตำบล คงอยู่ ๑๘ ตำบล มณฑลพิษณโุ ลก เดมิ มบี อ่ นเบย้ี ๑๕ ตำบล เลกิ เสยี ตำบล ๑ คงอยู่ ๑๔ ตำบล มณฑลปราจนี เดมิ มบี อ่ นเบย้ี ๓๓ ตำบล เลกิ เสยี ๗ ตำบล คงอยู่ ๒๖ ตำบล* มณฑลนครราชสมี า เดมิ มบี อ่ นเบย้ี ๑๑ ตำบล เลกิ เสยี ๔ ตำบล คงอยู่ ๗ ตำบล มณฑลจนั ทบรุ ี เดมิ มบี อ่ นเบย้ี ๒๖ ตำบล เลกิ เสยี ๒ ตำบล คงอยู่ ๒๔ ตำบล มณฑลราชบรุ ี มณฑลภเู กต็ มณฑลบรุ พา มณฑลอดุ ร ๔ มณฑลนย้ี งั หาไดล้ ดไม่ จำนวนบอ่ นเบย้ี หวั เมอื งทไ่ี ดเ้ ลกิ เมอ่ื ปจี อ พ.ศ ๒๔๔๑ รวมเลกิ หมด ๒ มณฑล กบั ลดบอ่ นอกี ๔๖ ตำบล และจดั การบอ่ นหวั เมอื งใหเ้ หมอื นกรงุ เทพ ฯ คอื ใหเ้ ลน่ ไดแ้ ตท่ ใ่ี นบอ่ นแหง่ เดยี วเปน็ ตน้ * จำนวนบอ่ นเบย้ี มอี ยเู่ ดมิ ในมณฑลนครสวรรค์ มณฑลนครไชยศรี มณฑลพษิ ณโุ ลก มณฑลปราจนี มณฑลจนั ทบรุ ี ตามทล่ี งไวไ้ มแ่ นน่ กั
๕๐๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ถึงรัตนโกสินทร์ ศก ๑๑๘ ตรงกับปีกุน พ.ศ. ๒๔๔๒ เลิกบ่อนในกรุงเทพ ฯ ๒ ตำบล คือ บอ่ นตลาดขา้ วสารตำบล ๑ บอ่ นตลาดสำเพง็ ตำบล ๑ ถึงรัตนโกสินทร์ ศก ๑๒๑ ตรงกับปีขาล พ.ศ. ๒๔๔๕ ลงมือจัดการแก้ไขอากรการพนัน ซึ่งตั้ง ขึ้นเมื่อรัชกาลที่ ๔ อากรการพนันนี้เดิมรวมอยู่ในอากรบ่อนเบี้ย คือนายอากรบ่อนเบี้ยเป็นผู้เก็บอากร การพนนั ในแขวงบอ่ นเบย้ี ของตนดว้ ย ในรชั กาลท่ี ๕ เมอ่ื ทรงแกไ้ ขลกั ษณะการปกครองพระราชอาณาจกั ร มพี ระราชประสงคจ์ ะเลกิ วธิ ที ใ่ี หม้ ผี รู้ บั เหมาผกู ขาดไปเกบ็ ภาษอี ากรเบยี ดเบยี นหากำไรจากราษฎร จงึ โปรด ให้จัดกรมสรรพากรเป็นพนักงานเก็บภาษีอากร กรมสรรพากรในเก็บภาษีอากรในมณฑลกรุงเทพ ฯ กรมสรรพากรนอกเก็บภาษีอากรในหัวเมืองมณฑลอื่นทั่วไป แล้วให้ส่งภาษีอากรอันเคยให้มีเจ้าภาษี นายอากรรับผูกขาดมายังกรมสรรพากรเป็นอย่าง ๆ โดยลำดับมา ในรัตนโกสินทร์ศก ๑๒๑ นี้ โปรดให้ ยกอากรการพนันตามหัวเมืองมาให้กรมสรรพากรนอกจัดเก็บ และต่อมาถึงรัตนโกสินทร์ศก ๑๒๒ โปรดใหย้ กอากรการพนนั ในมณฑลกรงุ เทพ ฯ มาใหก้ รมสรรพากรในเปน็ พนกั งานเกบ็ และโปรดใหแ้ กไ้ ข วิธีอากรการพนัน คงเก็บเงินอากรแต่การเล่นซึ่งได้เสียกันมาก ๆ เช่นเล่นไพ่เป็นต้น ส่วนการเล่นอันเป็น เครอ่ื งรน่ื เรงิ สำหรบั มหาชน ดงั เชน่ วง่ิ มา้ วง่ิ ววั คนและแขง่ เรอื เปน็ ตน้ นน้ั ทรงพระกรณุ าโปรดใหเ้ อาออก จากอากร ปลอ่ ยใหร้ าษฎรเลน่ ไดต้ ามชอบใจหลายอยา่ ง ถึงรัตนโกสินทร์ศก ๑๒๒ ตรงกับปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๔๖ ต้องกลับตั้งบ่อนเบี้ยขึ้นในมณฑล นครศรีธรรมราชกับมณฑลชุมพรอีก แต่ให้แก้ลักษณะบ่อนเบี้ยในมณฑลภูเก็ต อันยังมิได้ลดหย่อนมา แต่ก่อนให้เป็นแบบเดียวกันทั้ง ๓ มณฑล เหตุที่จะต้องกลับตั้งบ่อนเบี้ยและจัดการแก้ไขดังกล่าวมานี้ เกิดแต่เรื่องพวกจีนกุลีที่ทำการขุดแร่หาแร่อยู่ตามเหมืองในมณฑลทั้ง ๓ นั้น แต่ก่อนมาเวลาว่างการเคย เล่นเบี้ยเป็นการรื่นเริงสำหรับแก้รำคาญ ครั้นห้ามเล่นเบี้ยเสียพวกจีนกุลีก็พากันรวนเรไม่อยากจะอยู่ทำ เหมืองแร่ สินค้าดีบุกตกต่ำไป จึงโปรดให้จัดการใหม่ คือ ให้มีบ่อนเบี้ยแต่เฉพาะตำบลที่มีจีนกุลีอยู่ทำ เหมอื งมาก ๆ มใิ หม้ บี อ่ นในทอ่ี น่ื นอกจากนน้ั และใหเ้ ลน่ เบย้ี ไดแ้ ตจ่ นี นอกจากจนี มใิ หใ้ ครเลน่ เหมอื นกนั ทั้ง ๓ มณฑล แต่ผ่อนให้เล่นอย่างนี้เพียง ๒ ปี ต่อมาเทศาภิบาลคิดหาการเล่นอย่างอื่น มีต่อแต้ม และไพผ่ อ่ งเปน็ ตน้ ใหจ้ นี กลุ เี ลน่ แทนถว่ั โปได้ กเ็ ลกิ บอ่ นเบย้ี อกี ถงึ รตั นโกสนิ ทร์ ศก ๑๒๔ ตรงกบั ปมี ะเสง็ พ.ศ. ๒๔๔๘ จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ลกิ บอ่ นเบย้ี ตามหวั เมอื งอกี ใหเ้ ลกิ หมดทเี ดยี ว ๗ มณฑล ลดบอ่ นเบย้ี ลง ๔ มณฑล คอื
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๕๐๕ มณฑลภเู กต็ เลกิ หมดทง้ั มณฑล มณฑลนครศรธี รรมราช เลกิ หมดทง้ั มณฑล มณฑลชมุ พร (คอื มณฑลสรุ าษฎร)์ เลกิ หมดทง้ั มณฑล มณฑลพษิ ณโุ ลก เลกิ หมดทง้ั มณฑล มณฑลจนั ทบรุ ี เลกิ หมดทง้ั มณฑล มณฑลบรุ พา เลกิ หมดทง้ั มณฑล มณฑลอดุ ร เลกิ หมดทง้ั มณฑล มณฑลกรงุ เกา่ เลกิ ๒๒ ตำบล มณฑลนครไชยศรี เลกิ ๕ ตำบล มณฑลราชบรุ ี เลกิ ๗ ตำบล มณฑลปราจนี บรุ ี เลกิ ๑๐ ตำบล ในมณฑลกรงุ เทพ ฯ กโ็ ปรดใหเ้ ลกิ บอ่ นเบย้ี ในปมี ะเสง็ นน้ั อกี ๕ บอ่ น คอื ๑. บอ่ นบางระมาด ๒. บอ่ นตลาดขวญั ๓. บอ่ นปากเกรด็ ๔. บอ่ นปากลดั ๕. บอ่ นเมอื งสมทุ ปราการ ยังคงเหลือบ่อนเบี้ยในมณฑลกรุงเทพ ฯ ๑๓ บ่อน หัวเมืองยังมีบ่อนเบี้ยอยู่ ๔ มณฑล เป็น จำนวนบอ่ นเบย้ี หวั เมอื งเหลอื อยหู่ มดดว้ ยกนั ๒๒ บอ่ น ถึงรัตนโกสินทร์ศก ๑๒๕ ตรงกับปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๔๙ โปรดให้เลิกบ่อนเบี้ยที่ยังมีอยู่ใน หัวเมืองหมดทุกมณฑล คงเหลือบ่อนเบี้ยแต่ในจังหวัดกรุงเทพ ฯ ๑๓ บ่อน เพราะฉะนั้นเป็นอันหมดสิ้น บอ่ นเบย้ี ในหวั เมอื งแตป่ มี ะเมยี พ.ศ. ๒๔๔๙ มา ถงึ ตอนนท้ี รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้พระเจา้ ลกู ยาเธอ กรมหมน่ื จนั ทบรุ นี ฤนารถ เปน็ เสนาบดี กระทรวงการคลงั ฯ
๕๐๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ถึงรัตนโกสินทร์ ศก ๑๒๙ ตรงกับปีจอ พ.ศ. ๒๔๕๓ เป็นปีที่สุดในรัชกาลที่ ๕ บ่อนเบี้ยซึ่งยัง เหลอื อยแู่ ตใ่ นกรงุ เทพ ฯ ๑๑ ตำบลนน้ั โปรดใหเ้ ลกิ บอ่ นเบย้ี ทบ่ี า้ นขมน้ิ ตำบล ๑ กบั บอ่ นเบย้ี ทบ่ี า้ นทวาย ตำบล ๑ รวมเปน็ ๒ บอ่ น ยงั เหลอื บอ่ นเบย้ี มตี อ่ มาในรชั กาลปจั จบุ นั น้ี ๑ ๙ บอ่ น ในรชั กาลปจั จบุ นั น้ี พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหค้ งจดั การทจ่ี ะเลกิ บอ่ นเบย้ี ตอ่ มา ในรัตนโกสินทร์ ศก ๑๓๐ ตรงกับปีกุน พ.ศ. ๒๔๕๔ ทรงพระกรุณาโปรด ฯ ให้เลิกบ่อนเบี้ยที่ ตลาดน้อยบ่อน ๑ กับบ่อนเบี้ยที่คลองบางกอกใหญ่บ่อน ๑ รวมเป็น ๒ ตำบล ถึงปีชวด พ.ศ. ๒๔๕๕ โปรดให้เลิกบ่อนเบี้ยที่สามเสนบ่อน ๑ กับบ่อนเบี้ยที่สะพานหันอีกบ่อน ๑ รวมเป็น ๒ ตำบล จึงเหลือ บอ่ นเบย้ี ตอ่ มาแต่ ๕ ตำบล คอื ๑. บอ่ นบางรกั ๒. บอ่ นหวั ลำโพง ๓. บอ่ นเลง่ บวยเอย๋ี ๔. บอ่ นสะพานเหลก็ ๕. บอ่ นตลาดนางเลง้ิ ในระหว่างปีขาล พ.ศ. ๒๔๕๗ จนปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๕๙ หาได้เลิกบ่อนเบี้ยไม่ เพราะทรง พระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหก้ ระทรวงพระคลงั เตรยี มการทจ่ี ะเลกิ หวยและบอ่ นเบย้ี ใหห้ มดไปดว้ ยกนั จำนวน เงินหลวงจะต้องขาดถึงปีละ ๖,๗๕๕,๒๗๖ บาท จำต้องรวมเงินเหลือจ่ายประจำปีเตรียมไว้ทดแทน เงินที่จะตก จนกว่าผลประโยชน์แผ่นดินจะเจริญขึ้นในทางอื่น จึงต้องรอมาจนปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๕๙ จึงทรงพระกรุณาโปรด ฯ ให้เลิกหวย เลิกหวยแล้วปี ๑ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เลิกบ่อนเบี้ย พร้อมกันหมดทั้ง ๕ ตำบล และทรงตั้งพระราชบัญญัติห้ามมิให้ใครเล่นหวยเล่นถั่วโปในพระราช อาณาจกั รตอ่ ไปเปน็ อนั ขาด อากรบ่อนเบี้ยมีมาในเมืองไทย ตั้งแต่แรกตั้งขึ้นจนกระทั่งเลิก ถ้าจะประมาณเวลาก็ราวสัก ๒๐๐ ปี เงินอากรได้เป็นของหลวงอย่างสูงที่สุดเคยได้ในรัชกาลที่ ๕ ถึงปีละ ๖,๘๗๙,๕๒๖ บาท แต่ก็ ไม่เป็นเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงกระแสพระราชดำริที่จะเลิกบ่อนเบี้ยทั้งปวงเสีย โดยมีพระราชประสงค์ ๑ รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๕๐๗ จะให้ไพร่บ้านพลเมืองได้เงินไว้ประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพให้เป็นประโยชน์แก่ตน พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรด ฯ ให้ลดจำนวนบ่อนเบี้ยโดยลำดับมาทั้ง ๒ รัชกาล ยอมให้เงิน อากรตกต่ำลงโดยลำดับมา จนคงอยู่เพียง ๒,๘๘๖,๔๓๑ บาท ในปีที่สุดซึ่งมีบ่อนเบี้ย ก็ทรงสละขาด พระราชทานแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินโดยพระมหากรุณา อากรบ่อนเบี้ยจึงได้เลิกหมดสิ้นกรุงสยามเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ปมี ะเสง็ พระพทุ ธศกั ราช ๒๔๖๐ ดว้ ยประการฉะนแ้ี ล ตำนานเรื่องตั้งอากรหวยในประเทศสยาม วิธีเล่นหวยเกิดขึ้นในเมืองจีนดังกล่าวมาแล้วข้างต้น เกิดขึ้นแล้วไม่ช้าก็เข้ามาถึงเมืองไทยเมื่อใน รัชกาลที่ ๓ เรื่องมูลเหตุที่จะเกิดการเล่นหวยในประเทศนี้ มีในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั แสดงไวด้ งั น้ี วา่ “ครง้ั แผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื ปเี ถาะ (พ.ศ. ๒๓๗๔) น้ำมาก เมื่อปีมะโรง (พ.ศ. ๒๓๗๕) น้ำน้อยข้าวแพงถึงต้องซื้อข้าวต่างประเทศเข้ามา จา่ ยขาย คนกไ็ มม่ เี งนิ จะซอ้ื ขา้ วกนิ ตอ้ งมารบั จา้ งทำงานคดิ เอาขา้ วเปน็ คา่ จา้ ง เจา้ ภาษนี ายอากรกไ็ มม่ เี งนิ จะส่ง ต้องเอาสินค้าใช้ค่าเงินหลวง ที่สุดจนจีนผูกปี้ก็ไม่มีเงินจะให้ ต้องเข้ามารับทำงานในกรุง ฯ จงึ ทรงพระราชดำรแิ คลงไปวา่ เงนิ ตราบวั เงนิ ตราครธุ เงนิ ตราปราสาท* ไดท้ ำใชอ้ อกไปกม็ าก หายไป เสียหมด ทรงสงสัยว่าคนจะเอาเงินไปซื้อฝิ่นมาเก็บไว้ขายในนี้ จึงโปรดให้จับฝิ่นเผาฝิ่นเสียเป็นอันมาก ตวั เงนิ กไ็ มม่ ขี น้ึ มา และจนี เจห๊ งพระศรไี ชยบาน** จงึ กราบทลู วา่ เงนิ นน้ั ตกไปอยทู่ ร่ี าษฎรเกบ็ ฝงั ดนิ ไวม้ าก ไม่เอาออกใช้ ถ้าอย่างนี้ที่เมืองจีนตั้งหวยขึ้นจึงมีเงินมา จึงโปรดให้จีนหงตั้งหวยขึ้น” เป็นอากรอีก อย่าง ๑ และมีในจดหมายเหตุอีก*** ฉบับ ๑ ว่าเจ๊สัวหงแรกออกหวยเมื่อเดือนยี่ ปีมะแม ก็ต้อง ดว้ ยกระแสพระราชนพิ นธ์ จงึ ยตุ ไิ ดเ้ ปน็ แนว่ า่ การเลน่ หวยแรกมขี น้ึ ในเมอื งไทยในรชั กาลท่ี ๓ เมอ่ื ปมี ะแม จลุ ศกั ราช ๑๑๙๗ ตรงกบั พ.ศ. ๒๓๗๘ ปี เรื่องตำนานของการอากรหวย ตามที่เล่ากันมาว่าเมื่อแรกเจ๊สัวหงทำอากรนั้น ตั้งโรงหวยที่ใน กำแพงเมืองใกล้สะพานหัน แล้วเลื่อนมาอยู่ที่หน้าวังบูรพาภิรมย์เดี๋ยวนี้ โรงหวยอยู่ตรงที่ว่านี้ตลอดมา จนในรัชกาลที่ ๕ เกิดไฟไหม้เมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๑๕ จึงย้ายโรงหวยมาที่ริมสะพานข้ามคลองหลอด ใกลป้ ระตสู ามยอด และอยู่ ณ ทน่ี น้ั ตลอดจนกระทง่ั เลกิ อากรหวยในรชั กาลท่ี ๖ * คอื เงนิ บาทพดดว้ งท่ีทำในรัชกาลท่ี ๑ รัชกาลท่ี ๒ และรัชกาลที่ ๓ ** ตำแหนง่ เปน็ นายอากรสรุ า เรยี กกนั วา่ เจส๊ วั หง *** นายกลำ่ กลา่ วไวใ้ นกลอนเพลงยาวกำเนดิ หวย
๕๐๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เดมิ เจส๊ วั หงออกหวยแตเ่ วลาเชา้ วนั ละครง้ั ตอ่ มาไมช่ า้ พระศรวี โิ รจน์ ดศิ เหน็ เจส๊ วั หงมกี ำไรมาก จงึ กราบบงั คมทลู ขอตง้ั หวยอกี โรง ๑ โรงหวยของพระศรวี โิ รจนอ์ ยทู่ างบางลำพู ออกหวยเวลาคำ่ วนั ละครง้ั เพอ่ื จะใหม้ ใิ หพ้ อ้ งเวลากบั หวยโรงเจส๊ วั หง หวยจงึ มเี ปน็ ๒ โรง เรยี กกนั วา่ โรงเชา้ โรง ๑ โรงคำ่ โรง ๑ ตอ่ มาหวยโรงพระศรวี โิ รจน์ ทำการไมเ่ รยี บรอ้ ย ทส่ี ดุ อากรหวยจงึ ไปรวมอยทู่ โ่ี รงหวยของเจส๊ วั หงแหง่ เดยี ว เลยเปน็ เหตใุ หอ้ อกหวยได้ ๒ เวลา แตค่ งเรยี กตามมลู เหตเุ ดมิ วา่ หวยโรงเชา้ เวลา ๑ หวยโรงคำ่ เวลา ๑ มาจนกระทั่งเลิกอากรหวย เงินอากรหวยนั้นได้ยินว่าเมื่อแรกตั้งอากรหวยในรัชกาลที่ ๓ เงินอากรราว ปลี ะ ๒๐,๐๐๐ บาท เจส๊ วั หงจะไดท้ ำอยกู่ ป่ี ี และผใู้ ดจะไดท้ ำตอ่ มาหาทราบไม่ ปรากฏแตว่ า่ ตอ่ มาจดั ให้ว่าประมูลกันคราวละปีเหมือนกับอากรบ่อนเบี้ย และผู้ที่ได้เป็นนายอากรหวยมีบรรดาศักดิ์เป็นที่ ขุนบานเบิกบุรีรัตน คนทั้งหลายจึงได้พากันเรียกนายอากรหวยว่า “ขุนบาน”*๑ เหมือนอย่างเรียก นายอากรบอ่ นเบย้ี วา่ “ขนุ พฒั น”์ ฉะนน้ั เมอ่ื การออกหวยมกี ารประมลู กนั เปน็ อากร เงนิ หลวงกเ็ พม่ิ ทวขี น้ึ โดย ลำดบั มา เมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๔ มผี ขู้ อผกู อากรหวยออกไปตง้ั ทีเ่ มอื งเพชรบรุ อี กี แหง่ ๑ และท่พี ระนครศรอี ยธุ ยา อีกแห่ง ๑ แต่เล่นอยู่ได้ไม่ช้า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปประพาส ทรงสังเกตเห็น ราษฎรพากนั ยากจนลงไป จงึ โปรดใหเ้ ลกิ หวยทเ่ี มอื งเพชรบรุ ี และทพ่ี ระนครศรอี ยธุ ยาเสยี แตน่ น้ั รฐั บาล กม็ ไิ ดย้ อมอนญุ าตใหเ้ ลน่ หวยในหวั เมอื งอกี หวยจงึ มแี ตท่ ใ่ี นกรงุ เทพ ฯ แหง่ เดยี ว ว่าด้วยลักษณะหวยที่แรกเล่นในเมืองไทย ตามที่ได้ความในหนังสือซื่อยัง ว่าแรกจะเกิดหวยขึ้นในเมืองจีน มีผู้เอาชื่อคนมาตั้งเป็นตัวหวย ๓๔ ตัว ดังกล่าวมาข้างต้นนั้น ครั้นต่อมามีผู้คิดเพิ่มเติมหวยขึ้นอีก ๒ ตัว เมื่อแรกหวยมีเข้ามาใน เมืองไทย จึงมีจำนวนหวยเป็น ๓๖ ตัวด้วยกัน และหวย ๓๖ ตัวนั้น ในเมืองจีนเขาเรียกตามชื่อคน ที่สมมติเอามาเป็นตัวหวย ที่โรงหวยทำเป็นฉากเขียนเครื่องหมายไว้หลายอย่าง เพื่อจะให้คนแทงรู้จัก ตวั หวย คอื เขยี นภาพรปู คนซง่ึ สมมตเิ ปน็ ตวั หวยอยา่ ง ๑ เขยี นหนงั สอื จนี กำกบั รปู ภาพ บอกชอ่ื คนทเ่ี ปน็ ตวั หวยอยา่ ง ๑ เขยี นรปู สตั วอ์ นั สมมตวิ า่ เปน็ ชาตกิ อ่ นของคนทเ่ี ปน็ ตวั หวยกำกบั ไวใ้ หเ้ ปน็ ทส่ี งั เกตดว้ ยอกี อยา่ ง ๑ * ช่อื ขุนบานเบิกบรุ ีรัตน ดูทำนองเป็นชื่อคดิ ในรัชกาลท่ี ๔ ๑ บางทีกเ็ ขียนว่า “ขุนบาล”
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๕๐๙ แตเ่ มอ่ื เอาหวยเขา้ มาเลน่ ในเมอื งไทย ไทยอา่ นหนงั สอื จนี ไมอ่ อก และพดู ภาษาจนี ไมไ่ ด้ เหน็ แต่ ฉากรูปหวยก็รู้ไม่ได้ว่าเป็นตัวไหน ๆ เจ๊สัวหงจึงคิดอ่านเอาตัวอักษรไทยเข้าหมายกำกับ เพื่อให้ไทยรู้จัก ตวั หวย ดงั น้ี คอื อกั ษร ก หมายตวั อปุ ราช ชอ่ื สามหวย ชาตเิ ปน็ ชะนี อกั ษร ข หมายตวั นายทหาร ชอ่ื งว่ ยโป๊ ชาตเิ ปน็ เตา่ อกั ษร ฃ หมายตวั ขนุ นางผใู้ หญท่ จ่ี อหงวน ชอ่ื เจยี มกวย ชาตเิ ปน็ ปลา อกั ษร ค หมายตวั ผหู้ ญงิ ชาวตลาดสองคน ชอ่ื หะตง๋ั ชาตเิ ปน็ หอยแครง อกั ษร ฅ หมายตวั ภรรยาเจา้ เมอื ง ชอ่ื เมง่ จู ชาตเิ ปน็ ปลาตะเพยี น อกั ษร ฆ หมายตวั หลวงจนี ชอ่ื ยดิ ซวั ชาตเิ ปน็ ไก่ อกั ษร ง หมายตวั นายทหารโจร ชอ่ื จเี กา ชาตเิ ปน็ สงิ โต อกั ษร จ หมายตวั นางชี ชอ่ื อนั สอื ชาตเิ ปน็ แมวปา่ อกั ษร ฉ หมายตวั คนฆา่ หมขู าย ชอ่ื จตี ดิ ชาตเิ ปน็ แมวลาย อกั ษร ช หมายตวั พลเมอื ง ชอ่ื ฮกซนุ ชาตเิ ปน็ สนุ ขั อกั ษร ซ หมายตวั คนโซ ชอ่ื แชหงวน ชาตเิ ปน็ ไก่ อกั ษร ฌ หมายตวั ขนุ นาง ชอ่ื ฮวยกวั ชาตเิ ปน็ ไกฟ่ า้ อกั ษร ญ หมายตวั คนใชข้ องเจา้ เมอื ง ชอ่ื ยอ่ งเซง็ ชาตเิ ปน็ หา่ น อกั ษร ด หมายตวั หลวงจนี เปน็ ทป่ี รกึ ษา ชอ่ื กวางเหมง็ ชาตเิ ปน็ มา้ อกั ษร ต หมายตวั คนแจวเรอื จา้ ง ชอ่ื ปดิ ตดิ ชาตเิ ปน็ หมู อกั ษร ถ หมายตวั ขนุ นาง ชอ่ื พนั กยุ้ ชาตเิ ปน็ หอยสงั ข์ อกั ษร ท หมายตวั นางงาม ชอ่ื เซย่ี งเจยี ว ชาตเิ ปน็ นกอแี อน่ อกั ษร ธ หมายตวั เจา้ เมอื ง ชอ่ื ไทเ้ ผง ชาตเิ ปน็ มงั กร อกั ษร น หมายตวั หลวงจนี ชอ่ื เทยี นสนิ ชาตเิ ปน็ ปู อกั ษร บ หมายตวั หลวงจนี ชอ่ื แจหลี ชาตเิ ปน็ ตะพาบนำ้ อกั ษร ป หมายตวั พลเมอื ง ชอ่ื กงั สอื ชาตเิ ปน็ งู อกั ษร ผ หมายตวั คนตกเบด็ ชอ่ื อวิ หลี ชาตเิ ปน็ เหยย่ี ว อกั ษร ฝ หมายตวั คนโซ ชอ่ื งว่ นกยุ้ ชาตเิ ปน็ กงุ้ ฝอย อกั ษร พ หมายตวั คนโซ ชอ่ื กดิ ปน้ิ ชาตเิ ปน็ แกะ
๕๑๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ อกั ษร ฟ หมายตวั ลกู เขยเจา้ เมอื ง ชอ่ื เกากวั ชาตเิ ปน็ กา อกั ษร ภ หมายตวั โจรทเ่ี ปน็ แมท่ พั ชอ่ื คนุ ซวั ชาตเิ ปน็ เสอื อกั ษร ม หมายตวั ขนุ นางนายทหาร ชอ่ื หนั หนุ ชาตเิ ปน็ ควาย อกั ษร ย หมายตวั ขนุ นาง ชอ่ื ฮอ่ งชนุ ชาตเิ ปน็ นกยงู อกั ษร ร หมายตวั นอ้ งสาวเจา้ เมอื ง ชอ่ื กนิ เงก็ ชาตเิ ปน็ ผเี สอ้ื อกั ษร ล หมายตวั หลวงจนี ชอ่ื เทยี นเหลยี ง ชาตเิ ปน็ ปลาไหล อกั ษร ว หมายตวั หลวงจนี ชอ่ื แชหนุ ชาตเิ ปน็ นกกระสา อกั ษร ส หมายตวั ขนุ นาง ชอ่ื ฮะไฮ้ ชาตเิ ปน็ กบ อกั ษร ห หมายตวั คนขายถา่ น ชอ่ื บอ้ งหลมิ ชาตเิ ปน็ ผง้ึ อกั ษร ฬ หมายตวั คนโซ ชอ่ื งว่ นกดิ ชาตเิ ปน็ เนอ้ื ทราย อกั ษร อ หมายตวั นกั เรยี น ชอ่ื บว้ นกม่ิ ชาตเิ ปน็ งดู นิ อกั ษร ฮ หมายตวั ขนุ นางนายทหารรกั ษาดา่ น ชอ่ื เจย๊ี สนู ชาตเิ ปน็ หมปู า่ เพราะเหตุที่เอาอักษรไทยเข้ากำกับดังนี้ รัฐบาลจึงเรียกว่า “อากรหวย ก.ข.” และพวกไทยที่ เล่นหวย จึงมักเรียกตัวหวยโดยชื่อตัวอักษร และชื่อจีนกำกับกัน ดังเช่นว่า “กอสามหวย ข้อง่วยโป๊ สอฮะไฮ้” เป็นต้น บางตัวก็เอาคำไทยใช้แทนชื่อจีน เช่นว่า “จอหลวงชี ฉอขายหมู ตอเรือจ้าง” บางตัวก็เอาภาษาไทยเข้าแทนทีเดียว ดังเช่น “ผอผี ฝอฝน ฟอไฟ” ฉะนี้ก็มี แต่ส่วนจีน ถึงจีน ในเมอื งนเ้ี ขาเรยี กชอ่ื ตวั หวยแตต่ ามภาษาจนี วา่ “สามหวย” และ “งว่ ยโป”๊ เปน็ ตน้ หาไดเ้ รยี กตวั อกั ษรไทย ดว้ ยไม่ ไดย้ นิ วา่ เมอ่ื จนี เอาหวยเขา้ ไปตง้ั เลน่ ในกรงุ กมั พชู า ไมไ่ ดเ้ อาอกั ษรเขมรเขา้ กำกบั ตวั หวยอยา่ งใน เมอื งไทย เอารปู สตั วช์ าตหิ วยออกเปน็ ตวั หวยใหแ้ ทง ทำนองเขมรกเ็ หน็ จะเรยี กชอ่ื ตวั หวยตามชอ่ื สตั วน์ น้ั ๆ ในภาษาเขมร แตส่ ว่ นจนี ในเมอื งเขมรกเ็ รยี กชอ่ื หวยตามภาษาจนี เหมอื นกบั ทอ่ี น่ื ได้ยินเล่ากันมาว่า หวยครั้งเจ๊สัวหงนั้น เขียนฉากรูปตัวหวยมีเครื่องหมายพร้อมทุกอย่างแขวนไว้ ให้คนดูชุด ๑ และมีป้ายตัวหวยสำหรับออก ทำเป็นป้ายย่อม ๆ เขียนแต่ชื่อหวยด้วยอักษรจีน และเขยี นอกั ษรไทยทห่ี มายตวั หวยไวใ้ นปา้ ยนน้ั เอาเกบ็ ซอ่ นไวใ้ นหอ้ งขา้ งในโรงอกี ชดุ ๑ ถงึ เวลาจะใหค้ น แทงหวย เจส๊ วั หงกเ็ ลอื กปา้ ยใสถ่ งุ มาแขวนปา้ ย ๑ ใครจะแทงหวยตอ้ งไปแทงทโ่ี รงหวย กำหนดใหแ้ ทงได้ ตวั ละบาท ๑ เปน็ อยา่ งมาก มเี สมยี นนง่ั คอยอยหู่ นา้ โรง ใครจะแทงตวั ไหนเทา่ ไรกไ็ ปบอกเสมยี น เสมยี น รับเงินไว้แล้วก็เขียนโพยหวยให้เป็นสำคัญแก่ผู้แทง ว่าได้แทงตัวนั้น ๆ เท่านั้น ๆ ครั้นแทงกันเสร็จแล้ว
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๕๑๑ ได้เวลาเจ๊สัวหงก็ออกมาชักป้ายตัวหวยออกจากถุงให้คนรู้ว่าหวยออกตัวไหน ถ้าใครแทงถูกก็เอาโพย ไปขึ้นเอาเงินที่เสมียนใช้ให้ ๓๐ ต่อ แต่ไม่คืนทุนเดิมให้ เพราะฉะนั้นผู้ที่ถูกคงได้แต่ ๒๙ ต่อ ส่วนผู้ ทแ่ี ทงผดิ นายอากรกเ็ อาเงนิ เสยี หมด กล่าวกันว่าครั้งเมื่อคนยังต้องไปแทงหวยถึงที่โรงหวยนั้น ถึงเวลาแทงหวยมีคนไปประชุมกันอยู่ที่ หนา้ โรงหวยวนั ละมาก ๆ มกั มคี นรอ้ งขอใหน้ ายอากรบอกเคา้ เงอ่ื นบา้ ง วา่ เอาหวยตวั ไหนออก นายอากร จะเอาใจคนแทงจึงบอกใบ้พรางให้คิดบ้าง ก็ถูกใจคนแทง ทีหลังมาถ้านายอากรไม่บอกใบ้ให้ คนก็ ไม่พอใจ นายอากรจึงต้องหาคนไว้สำหรับคิดใบ้บอกคนแทงทุก ๆ วัน จนเลยเป็นประเพณีมา แต่ผู้ ทค่ี ดิ ใบก้ ห็ ารวู้ า่ นายอากรจะออกหวยตวั ไหนไม่ จงึ กลายเปน็ แตใ่ บส้ ำหรบั ลวงคนแทงเทา่ นน้ั อนึ่ง เมื่อแรกเอาหวยมาเล่นในเมืองนี้ เล่นเต็มตามแบบจีนคือในหวย ๓๖ ตัวนั้น ถ้าออก ตัวใดแล้ว ต้องเว้นหวยตัวนั้นและตัวอื่นที่มีชื่อพ้องกันเสีย ๓ วัน จึงจะเอากลับมาออกได้อีก จะยก ตวั อยา่ งดงั ออกตวั บ. แจหลแี ลว้ ตอ้ งเวน้ ตวั บ. แจหลี ตวั ผ. เอยี วหลี จะออกภายใน ๓ วนั ไมไ่ ดฉ้ ะน้ี เป็นต้น เล่ากันว่าเมื่อหวยยังมี ๒ โรง เจ๊สัวหงออกตัว ง. จีเกา มีคนแทงไม่ยอมให้เงิน ทำนองจะ หาว่าเป็นตัวพ้องกับ ฟ. เกากัว หรือ ฉ. จีติด ที่ได้ออกแล้วหรืออย่างไรอย่างหนึ่ง เกิดวิวาทถึงจะตีรัน ฟันแทงกันครั้ง ๑ ฝ่ายข้างโรงพระศรีวิโรจน์ก็เกิดเหตุด้วยเรื่องออกตัว ธ. ไท้เผง ครั้ง ๑ แต่จะเป็นเหตุ อย่างไรหาปรากฏไม่ ถึงรัฐบาลต้องว่ากล่าวจึงตกลงลดตัวหวยเสีย ๒ ตัว คงให้มีแต่ ๓๔ ตัว แต่ยอม ใหอ้ อกตดิ ตอ่ กนั ได้ ไมต่ อ้ งเวน้ ๓ วนั ตามแบบจนี จงึ ไดย้ กตวั ง. จเี กา และตวั ธ. ไทเ้ ผง อนั เปน็ ตวั เกดิ ความเสยี ไมไ่ ดอ้ อกแตน่ น้ั มา ลักษณะหวยเมื่อแรกตั้ง ได้ความดังกล่าวมานี้ ครั้นล่วงเวลามา เมื่อคนชอบเล่นมากขึ้น และ ประมูลเงินอากรมากขึ้น นายอากรขอขยายการให้คนแทงหวยได้สะดวกขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงได้เกิดมี เสมียนหวยเที่ยวตั้งร้านรับแทงหวยในที่อื่น ๆ แล้วเกิดจัดแขวงหวย มีผู้รับช่วงไปเที่ยวตั้งร้านให้ราษฎร แทงหวยทว่ั ทกุ ตำบลในจงั หวดั กรงุ เทพ ฯ การอากรหวยกค็ อ่ ยขยายรปู โดยลำดบั มา จนลกั ษณะการอากรหวย เปน็ เชน่ ปรากฏในชน้ั หลงั ดงั จะกลา่ วตอ่ ไปน้ี ว่าด้วยลักษณะอากรหวย อากรหวยผิดกับอากรอื่นเป็นข้อสำคัญในเบื้องต้นที่อากรหวยต้องว่าประมูลทีหลังภาษีอากรอย่าง อน่ื ๆ หมด มกั จะตกลงรวู้ า่ ใครจะเปน็ นายอากรกอ่ นขน้ึ ปใี หมเ่ พยี ง ๒ วนั เทา่ นน้ั เพราะถา้ ตกลงกอ่ น
๕๑๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ หลายวันนัก นายอากรเก่ากลัวคนในโรงหวยจะเอาใจออกหากไปเข้ากับนายอากรใหม่ บอกเค้าเงื่อนให้ แทงหวยถกู จงึ ตอ้ งวา่ อากรหวยทหี ลงั อากรอน่ื อนง่ึ การออกหวยมที างเสยี ทต่ี อ้ งระวงั มากกวา่ ทำบอ่ นเบย้ี หลายอยา่ ง ดว้ ยลกั ษณะการเลน่ พนนั ที่มีเจ้ามือผิดกันเป็น ๒ ชนิด ชนิด ๑ เจ้ามือไม่สามารถจะรู้ผลได้ก่อน ดังเช่นถั่วก็ดีหรือโปก็ดี เจ้ามือไม่สามารถจะรู้หรือกำหนดล่วงหน้าได้ว่าจะออกแต้มใด การเล่นชนิดนี้ที่จะได้เสียแล้วแต่ลักษณะ ของการเล่นนั้นประกอบด้วยโชคชัยทั้ง ๒ สถาน แต่การเล่นอีกชนิด ๑ เจ้ามืออาจกำหนดได้ก่อนว่า จะให้ออกแต้มใด เล่ากันมาแต่ก่อนว่าการเล่นโปปั่นชั้นเดิม เจ้ามือก็ดูลิ้นโปรู้ก่อนว่าประตูออกจะอยู่ ดา้ นไหน ทหี ลงั มนี กั เลงฉลาดขน้ึ เวลาปน่ั โปทำขยบั จะแทงดา้ นนน้ั แลว้ ดา้ นน้ี สงั เกตดสู หี นา้ เจา้ มอื ไปดว้ ย ว่าจะพอใจหรือไม่พอใจ โดยกระบวนนี้แทงโปถูกไม่ใคร่พลาด จนบางคนชื่อเสียงเลื่องลือถึงขุนพัฒน์ กลวั ไมอ่ ยากจะเลน่ ดว้ ย ถา้ ผนู้ น้ั เขา้ ไปบอ่ นไหนเปน็ บอ่ นพอดพี อรา้ ย นายบอ่ นกน็ บั เงนิ สบิ บาทสามตำลงึ ใส่พานยื่นให้เป็นของกำนัล ขออย่าให้ผู้นั้นเล่นโป ทีหลังมามีจีนเจ้าความคิดรู้อุบายของผู้แทงจึงคิดแก้ คราวนี้เอาลิ้นใส่โปไม่ให้ตัวของตัวเองรู้ว่าแต้มออกอยู่ด้านไหน เอาออกมาให้แทงก็กินผู้ชำนาญหมดพก ดว้ ยผชู้ ำนาญหมดทส่ี งั เกต แตน่ น้ั มาพวกทำโปปน่ั กเ็ อาอยา่ งกนั หลบั หหู ลบั ตาเอาลน้ิ ใสโ่ ปออกไปใหน้ กั เลง แทง โปปั่นจึงกลายเป็นได้เสียโดยลักษณะและโชคชัยเหมือนกับโปกำและถั่วใหญ่ ส่วนหวยนั้นขุนบาล ต้องเลือกตัวออก รู้ว่าจะออกตัวไหนก่อนทุกคราว ถึงนักเลงจะเข้ามาจ้องสังเกตดูหน้าขุนบาลไม่ได้ อย่างวิธีแทงโปปั่นที่ว่ามาก็ดี นักเลงยังมีวิธีคิดยิดต๊อก คือวันไหนหวยออกตัวไหนจดไว้ทุก ๆ วัน เมอ่ื หลายวนั เขา้ ตรวจพเิ คราะหด์ ลู ำดบั ตวั หวยทอ่ี อก มกั จบั วถิ จี ติ ของขนุ บาลไดว้ า่ ชอบเลอื กตวั หวยอยา่ งไร คือ ออกตัว ๑ แล้วมักเลือกข้ามลำดับไปกี่ตัว หรือมักเว้นเสียกี่วันจึงออกตัวเดิมอีกครั้ง ๑ ดังนี้ เป็นต้น เมื่อจับวิถีจิตของขุนบาลได้ก็อาจจะแทงถูกได้มาก ๆ เพราะหวยมีประตูกินมากกว่าถั่วโปก็จริง แตม่ ปี ระตถู กู มากกวา่ เหมอื นกนั เปน็ ตน้ วา่ โดยจะแทงสกั ๑๐ ตวั ถา้ ถกู ตวั ๑ กย็ งั ไดก้ ำไรมาก พวก นักเลงจึงชอบเล่นกันมาก และนักเลงที่เล่นหวยกับนักเลงที่เล่นเบี้ยมักจะผิดกัน การเล่นเบี้ยต้องไปเล่น ถึงบ่อน เพราะฉะนั้นนักเลงที่เล่นเบี้ยมักจะเป็นแต่คนชั้นต่ำ ส่วนนักเลงเล่นหวย อยู่ที่ไหน ๆ แม้ที่สุด อยู่ในมุ้งม่านบ้านช่องไม่ต้องให้ปรากฏตัวก็เล่นได้ มักเป็นคนชั้นสูงขึ้นมา จึงมีคนเจ้าความคิดที่จะคอย ต่อสู้ขุนบาลมากกว่าพวกที่จะต่อสู้ขุนพัฒน์หลายเท่า เป็นนายอากรหวยจึงต้องระวังมีไหวพริบยิ่งกว่า การพนันอย่างอื่น ๆ ข้าพเจ้าได้เคยถามพวกออกหวยว่า เหตุไรจึงไม่หลับตาออกหวยเสียเหมือนอย่าง พวกออกโปปั่นบ้าง เขาตอบว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ ด้วยเงินเดิมพันที่ได้จากพวกหลับตาแทง หรือแทง
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๕๑๓ ตามลัทธิที่เชื่อผีสาง น้อยกว่าเดิมพันที่ได้จากจำพวกที่แทงดักใจขุนบาล ถ้าไม่ให้ดักใจขุนบาลได้ เดิมพันก็คงตกมาก ขุนบาลจะใช้เงินอากรไม่ไหวจึงจำต้องล่อให้คนดักทายใจระวังยักย้ายถ่ายเท หาช่องทางตรวจวิถีจิตของคนแทง คอยหลีกเลี่ยงอย่าให้เสียทีคนแทงได้ การทำอากรหวยยากกว่า ภาษอี ากรอยา่ งอน่ื ดว้ ยเหตทุ ก่ี ลา่ วมาน้ี วธิ ขี นุ บาลจดั การอากรหวยอยา่ งไรจะอธบิ ายตอ่ ไป* ว่าด้วยจัดแขวงหวย เมื่อผู้ใดได้เป็นนายอากรหวย ในชั้นแรกเป็นแต่เอาพวกพ้องไปกำกับตรวจตราการในโรงหวย กบั เปลย่ี นปา้ ยตวั หวยและเปลย่ี นกลองสญั ญาใบ ๑ (เหตใุ ดปา้ ยตวั หวยกบั กลองสญั ญาจงึ เปน็ ของสำหรบั ตวั ผเู้ ปน็ นายอากรกห็ าทราบไม)่ แตก่ ารอน่ื ยงั ตอ้ งอาศยั คนเดมิ ครง้ั นายอากรคนเกา่ ทง้ั นน้ั เพราะอากรหวย ตกลงต่อวันจวนสิ้นปีไม่มีเวลาพอจะตระเตรียมตัว ด้วยเหตุดังกล่าวมาแล้ว ต่อเมื่อนายอากรใหม่ เข้าทำการแล้วจึงตั้งต้นจัดการอากรปีของตน เริ่มด้วยออกประกาศกำหนดวันนัดประมูลแขวงหวยก่อน อยา่ งอน่ื แขวงหวยจัดเป็น ๒ อย่าง เรียกว่าแขวงในกรุง ฯ คือแขวงท้องที่ใกล้ไปมาถึงโรงหวยได้ทุกวัน นั้นอย่าง ๑ เรียกว่าแขวงหัวเมือง คือแขวงท้องที่ไกล จะไปมากับโรงหวยไม่ได้ทุกวันนั้นอย่าง ๑ แตแ่ ขวงคง อยใู่ นมณฑลกรงุ เทพ ฯ ทง้ั ๒ อยา่ ง เพราะรฐั บาลไมย่ อมใหเ้ ลน่ หวยในมณฑลอน่ื ทเ่ี รยี กวา่ แขวง ในกรงุ ฯ มปี ระมาณ ๑๙ แขวง แขวงหวั เมอื งกม็ ปี ระมาณ ๑๙ แขวงเทา่ ๆ กนั การปนั แขวงทง้ั ปวงน้ี มีเขตแดนกันชัดเจน แต่ไม่ได้ถือเอาเขตบ้านเมือง หรือขนาดท้องที่เป็นกำหนด ถือเอาแต่จำนวน ผู้คนอันอยู่ในท้องที่เป็นประมาณ หรือว่าโดยย่อ คือให้พอเหมาะแก่จำนวนคนที่จะแทงหวย บางแห่ง ท้องที่เล็กแต่เป็นที่ประชุมชนมีคนแทงหวยมากก็แบ่งเป็นหลายแขวง ปันแขวงกันในถนนสายเดียวก็มี การกำหนดแขวงไมม่ ขี อ้ บงั คบั นายอากรจะเปลย่ี นแปลงเมอ่ื ใดกไ็ ด้ แตเ่ พราะเคยทำกนั มาเสยี จนเรยี บรอ้ ย เขา้ ใจกนั ซมึ ทราบ นายอากรจงึ มกั คงแขวงอยอู่ ยา่ งเดมิ หาใครจ่ ะเปลย่ี นแปลงไม่ หน้าที่ของแขวงหวยในกรุงเทพ ฯ กับแขวงหวยหัวเมืองผิดกัน แขวงในกรุง ฯ มีธุระเพียงเป็น ผู้รับหวยที่ราษฎรแทงในท้องที่ ทั้งเงินเดิมพันที่ราษฎรแทงหวยส่งโรงหวยทุก ๆ วัน ถ้าใครแทงถูก แขวงกร็ บั เงนิ ของนายอากรไปใชใ้ หเ้ ขาตามสญั ญา แตแ่ ขวงหวยหวั เมอื งเพราะเหตทุ อ่ี ยหู่ า่ งไกล จะรบั หวย มาส่งยังโรงหวยทุกวันไม่ได้จึงต้องจัดให้แขวงหัวเมืองเป็นเจ้ามือหวยในแขวงนั้นเอง เป็นแต่ต้อง * วธิ อี ากรหวยทจ่ี ะกลา่ วตอ่ ไปน้ี แตง่ ตามอธบิ ายของนายฮวด กระแสเวศ ซง่ึ เคยเปน็ หลงจู๊ใหญใ่ นโรงหวย
๕๑๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ถอื ตวั หวยทอ่ี อกในกรงุ เทพ ฯ เปน็ ทไ่ี ดแ้ ละเสยี จะขาดทนุ ไดก้ ำไรเปน็ ของแขวงทง้ั สน้ิ เพราะหนา้ ทข่ี องแขวง ผดิ กนั ดงั กลา่ วมาน้ี ลกั ษณะการทแ่ี ขวงเกย่ี วขอ้ งกบั นายอากรจงึ ตอ้ งจดั ผดิ กนั แขวงในกรงุ ฯ เปน็ แต่ ผู้ทำการให้ขุนบาล ขุนบาลไม่ต้องอุดหนุนทุนรอนอย่างไร แต่แขวงหัวเมืองนั้นขุนบาลต้องไปเข้าหุ้น ดว้ ยครง่ึ หนง่ึ หรอื บาทละสลงึ ตามแตจ่ ะตกลงกนั ทกุ แขวง หาไมก่ ไ็ มม่ ใี ครจะกลา้ รบั เปน็ แขวง เพราะกลวั ขนุ บาลจะลอบไปแทงเอง ผลประโยชน์ที่ขุนบาลเรียกจากแขวงทั้งปวงนั้นก็ต่างกัน แขวงในกรุง ฯ ขุนบาลเรียกเอาเงิน แปะ๊ เจย๊ี ะ แปลวา่ เงนิ กนิ เปลา่ ใครยอมใหแ้ ปะ๊ เจย๊ี ะมากกวา่ ผอู้ น่ื กใ็ หค้ นนน้ั เปน็ แขวง และเงนิ แปะ๊ เจย๊ี ะนน้ั ต้องส่งเป็นเงินสดทั้งหมดตั้งแต่แรกได้เป็นแขวง เพราะขุนบาลอาศัยเงินแป๊ะเจี๊ยะที่มาส่งเป็นเงินล่วงหน้า เขา้ พระคลงั ถ้าหากจะให้ขุนบาลผ่อนผันติดค้างบ้างก็ต้องเสียดอกเบี้ยให้ขุนบาล ส่วนแขวงหัวเมืองนั้น ขนุ บาลใหช้ ว่ ยเสยี เงนิ อากร ใครรบั เสยี เงนิ อากรมากกวา่ ผอู้ น่ื ผนู้ น้ั กไ็ ดเ้ ปน็ แขวง นอกจากเสียแป๊ะเจี๊ยะและเงินอากรดังได้กล่าวมา ผู้เป็นแขวงยังต้องหานายประกันและผู้รับเรือน ให้ขุนบาลให้มั่นคงอย่าง ๑ และต้องส่งเงินประกันไว้ด้วยอีกอย่าง ๑ เงินประกันแขวงกรุงเทพ ฯ นั้น ขุนบาลเรียกมากหรือน้อยตามที่เป็นแขวงมีผลประโยชน์มากหรือน้อย ไม่เสมอกันทุกแขวง และยังต้อง ให้แขวงทำหนังสือสัญญาให้ขุนบาล ยอมรับประพฤติ ข้อ ๑ ว่าจะไม่ฉ้อฉลปิดบังเดิมพันอากรหวย ถา้ ทำผดิ ขอ้ นย้ี อมใหข้ นุ บาลรบิ เงนิ ประกนั และถอดจากแขวง ขอ้ ๒ รบั จะเปดิ เผยบญั ชแี ละกจิ การทง้ั ปวง ให้ผู้ตรวจของขุนบาลตรวจได้ทุกเมื่อ ถ้าทำผิดข้อนี้เมื่อใดยอมให้ตัดค่าน้ำอันเป็นส่วนลดของแขวงทุกครั้ง ข้อ ๓ ยอมสัญญาว่า จะส่งโพยหวยและเงินเดิมพันให้ทันกำหนดของขุนบาลทุกเมื่อ ถ้าทำผิดข้อนี้ ยอมให้ตัดเงินค่าน้ำทุกครั้งเหมือนกัน และยังมีข้อสัญญาในการอย่างอื่นเป็นเบ็ดเตล็ดอีกหลายข้อ ที่ยกมาว่าแต่เฉพาะข้อสำคัญ ส่วนแขวงหัวเมืองนั้น ขุนบาลให้ส่งเงินอากรล่วงหน้า ๓ เดือน คิดเป็น เงินอากรสำหรับเดือนต้น คือเดือน ๕ หรือเดือนเมษายนนั้นเดือน ๑ เป็นเงินประกัน ๒ เดือน ต่อไปแขวงต้องส่งเงินอากรล่วงหน้าเป็นรายเดือน แต่ขึ้นเดือนที่ ๒ ไปเดือนละครั้ง จนถึงเดือนที่ ๑๑ ขุนบาลจึงยอมให้หักเงินประกันมาใช้เป็นเงินอากร ส่วนข้อสัญญาที่แขวงหัวเมืองต้องทำให้ขุนบาลนั้น มขี อ้ สำคญั แตท่ ต่ี อ้ งยอมใหค้ นของขนุ บาลตรวจบญั ชแี ละการงานไดท้ กุ เมอ่ื อนง่ึ แขวงหวยทง้ั ในกรงุ และหวั เมอื งตอ้ งรบั ซอ้ื สมดุ “โผ” สำหรบั จดบญั ชกี ารอากรหวยในแขวง นั้นไปจากขุนบาลแห่งเดียว จะไปใช้สมุดอื่นไม่ได้ เพราะสมุดโผเป็นหลักสำหรับตรวจสอบบัญชี ตอ้ งมตี ราขนุ บาลประทบั ประจำทกุ ใบสมดุ การจำหนา่ ยสมดุ โผน้ี กลา่ วกนั วา่ ขนุ บาลมกั ใหเ้ ปน็ ผลประโยชน์
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๕๑๕ ของภรรยา เพราะสั่งสมุดโผมาแต่เมืองจีนราคาประมาณเล่มละ ๑๕ สตางค์ เอามาประทับตราขุนบาล แล้วขายให้แขวงเล่มละบาท ๑ มีกำไรปีละมาก ๆ แขวงเอาไปขายเสมียนหวยเล่มละบาท ๑ กบั ๕๐ สตางค์ แขวงได้กำไรอีกชั้น ๑ จึงไม่รังเกียจ มีข้อบังคับอีกอย่าง ๑ ว่า ผู้ที่เป็นแขวงหวยต้องตั้งที่ทำการอยู่ในท้องที่แขวงของตนแห่ง ๑ และต้องทำป้ายปิดไว้ที่ที่ทำการนั้นเป็นสำคัญ บอกว่าแขวงหวยแขวงนั้น ๆ ให้ผู้ที่มีกิจธุระไปมารู้ได้ เสมอ อีกประการ ๑ ต้องมีดวงตรายี่ห้อประจำแขวง จะใช้ตราอย่างไรก็ได้ แต่ต้องลงทะเบียนไว้ที่ ขนุ บาลและอยา่ ใหซ้ ำ้ กบั แขวงอน่ื ใครผูกแขวงหวยแขวงใดได้ไป ก็มีอำนาจแต่ผู้เดียวที่จะอนุญาตให้ผู้อื่นตั้งม้าเขียนหวย (คือรับราษฎรแทงหวย) ในแขวงนั้น จะอนุญาตให้ตั้งม้าเขียนหวยสักกี่แห่ง ๆ ก็ได้ตามชอบใจ ใครจะ เป็นเสมียนเขียนหวยหาผลประโยชน์ในแขวงนั้น ต้องมาขออนุญาตต่อแขวงต้องตกลงยอมให้เงิน ต่อแขวงตามอัตราที่แขวงกำหนด ถ้าเป็นท้องที่มีคนแทงเงินเดิมพันมากแขวงก็เรียกค่าอนุญาตมาก ทอ้ งทเ่ี งนิ เดมิ พนั นอ้ ยแขวงกเ็ รยี กนอ้ ยลงมา อตั ราคา่ อนญุ าตทแ่ี ขวงเรยี กจากเสมยี นเขยี นหวย เรยี กเปน็ รายม้าที่ตั้งเขียน ม้า ๑ ตั้งแต่เดือนละ ๑๐ บาท ลงมาจนเดือนละ ๔ บาท ตามท้องที่ดีหรือเลว ดงั กลา่ วแลว้ ผู้ที่ได้รับอนุญาตตั้งม้าเขียนหวย ต้องมีประกันสัญญาต่อแขวงคล้าย ๆ กับที่แขวงมีต่อขุนบาล ฉะนั้น และต้องรับดวงตราสำคัญไปจากแขวงดวง ๑ ในดวงตรามีอักษรบอกว่าเป็นม้าที่เท่านั้น ๆ ใน แขวงนั้น ๆ แขวงคิดเอาค่าตราจากผู้เขียนหวยดวงละ ๒๕ สตางค์ แต่เมื่อจะไม่เขียนหวยต่อไปต้อง สง่ ตราคนื ใหแ้ ขวง อกี อยา่ งหนง่ึ ตอ้ งรบั ซอ้ื สมดุ โผไปจากแขวงดว้ ย การทก่ี ลา่ วมานเ้ี หมอื นกนั ทง้ั เสมยี น ทเ่ี ขยี นหวยแขวงในกรงุ ฯ และแขวงหวั เมอื ง อนึ่ง ผู้ที่ผูกแขวงหวยไปนั้นยังต้องมีผู้ช่วยอีกแขวงละหลายคน ที่สำคัญนั้น คือผู้ดูการต่างหู ต่างตาแขวง เรียกว่าผู้จัดการคน ๑ ผู้รักษาเงินคน ๑ และผู้ทำบัญชีคน ๑ ผู้ช่วยของแขวงในกรุง ฯ แล้วแต่ตัวนายแขวงจะเลือกหา ขุนบาลไม่เกี่ยวข้อง แต่ผู้ช่วยแขวงหัวเมืองขุนบาลต้องเห็นชอบด้วย จงึ ตง้ั ได้ เพราะขนุ บาลเปน็ ผมู้ หี นุ้ สว่ นอยดู่ ว้ ย ขนุ บาลมกั ตง้ั คนของตวั ไปอยกู่ ำกบั แขวงละคนเปน็ อยา่ งนอ้ ย ผลประโยชน์ที่แขวงหวยและเสมียนเขียนหวยได้ในการอากรหวยนั้น แขวงในกรุง ฯ ได้มี ผลประโยชน์ ๓ ทาง คอื ทางท่ี ๑ ไดค้ า่ อนญุ าตตง้ั มา้ เขยี นหวย ถา้ ในแขวงใดมรี า้ นเขยี นหวยมากกไ็ ด้
๕๑๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เดอื นละมาก ๆ ถา้ มนี อ้ ยกไ็ ดน้ อ้ ยลงมา ทางท่ี ๒ ไดค้ า่ นำ้ คอื สว่ นลดในเดมิ พนั ทน่ี ำสง่ โรงหวย ขนุ บาล ยกให้ร้อยละ ๒ ครึ่ง แต่ต้องแบ่งไปแจกร้านเขียนหวยเสียกึ่งหนึ่ง แขวงคงได้ส่วนลดแต่ร้อยละ ๑ กับเศษหนึ่งสี่ตามจำนวนเดิมพันของแขวงนั้น ทางที่ ๓ ได้กำไรค่าจำหน่ายสมุดโผ ค่าจำหน่ายตรา และถ้าแขวงต้องไปรับโพยหวยถงึ ร้านใด ยังได้คา่ เดนิ ทางจากเสมียนหวยร้านนัน้ บวกข้นึ ในค่าอนุญาต อีกเดือนละ ๖ สลึง เหล่านี้นับเป็นรายได้เบ็ดเตล็ดส่วนแขวงหัวเมือง เพราะเหมือนเป็นตัวขุนบาล ในแขวงนั้นดังกล่าวมาแล้ว มีทางที่จะได้ผลประโยชน์เป็น ๔ ทาง ผิดกับแขวงในกรุง ฯ คือทางที่ ๑ ได้เดิมพันที่หวยกิน แต่ถ้าหวยถูกก็ต้องออกเนื้อใช้เขา ทางที่ ๒ ได้ค่าน้ำชักจากผู้ถูกหวยเท่าทุนต่อ ๑ ทางที่ ๓ ได้ค่าอนุญาตร้านเขียนหวย เหมือนแขวงในกรุง ฯ ทางที่ ๔ ได้ผลประโยชน์เบ็ดเตล็ด คือ ขายสมดุ โผ เปน็ ตน้ สว่ นเสมยี นเขยี นหวยนน้ั มผี ลประโยชน์ ๒ บาท คอื ทางท่ี ๑ ไดค้ า่ นำ้ ของขนุ บาล รอ้ ยละ ๑ กบั เศษหนง่ึ สต่ี ามจำนวนเดมิ พนั ทส่ี ง่ ไป ทางท่ี ๒ ไดค้ า่ นำ้ จากผแู้ ทงหวย ถา้ ใครถกู เสมยี น หวยชกั คา่ นำ้ เทา่ ทนุ ทถ่ี กู ตอ่ ๑ เหมอื นกนั ทง้ั เสมยี นเขยี นหวยแขวงในกรงุ ฯ และแขวงหวั เมอื ง ว่าด้วยแทงหวย เครื่องล่อลวงให้คนแทงหวยมีหลายอย่าง เบื้องต้นก็คือที่เจ้ามือยอมใช้ถึง ๓๐ ต่อ ข้อนี้เป็น เหตุให้คนคิดเห็นว่าจะรวย เพราะถึงจะแทงผิดไปสัก ๑๐ ครั้ง ๒๐ ครั้ง ถูกเข้าครั้งเดียวก็ยังได้กำไร หรือมิฉะนั้นหากว่าจะแทง ๑๐ ตัว ๒๐ ตัวถูกเข้าตัว ๑ ก็ยังได้กำไร ถ้ายิ่งเป็นคนเชื่อความคิดและวิชา ของตน วา่ อาจจะแทงตวั เดยี วสองตวั ใหถ้ กู ไดใ้ นคราวเดยี ว กย็ ง่ิ เหน็ ชอ่ งทจ่ี ะรวยกวา้ งขวาง เพราะคน เล่นหวยไม่คิดเห็นความจริงว่าเหมือนตัวคนเดียวจะไปสู้คนตั้ง ๓๐ จึงพากันชอบเล่นหวยและฉิบหาย กนั เพราะแทงหวยเปน็ อนั มาก ข้อใหญ่ใจความอันสำคัญของคนแทงหวย ก็คือที่จะต้องคิดให้ถูกว่า หวยจะออกตัวใดแล้วดัก แทงหวยตัวนั้น การเลือกตัวหวยที่จะแทงนี้เรียกว่าหาหวยดี มีวิธีของนักเลงเล่นหวยหลายอย่าง บางคนกใ็ ชค้ วามคดิ บางคนกเ็ ทย่ี วหาโดยทางความรู้ จะอธบิ ายเฉพาะแตว่ ธิ ที ม่ี หี ลกั ฐานอยบู่ า้ ง วธิ หี าหวยดดี ว้ ยความคดิ นน้ั ใจความกค็ อื คดิ เดาใจขนุ บาลวา่ จะออกหวยตวั ใด เชน่ กระบวนคดิ ยิดต๊อก ดังได้กล่าวไว้ในที่อื่นแล้วนั้นเป็นต้น มีตำราของจีนตั้งไว้สำหรับให้คิดก็หลายอย่าง ดังเช่น เขารวมตวั หวยทเ่ี ปน็ คนชนดิ เดยี วกนั จดั ไวเ้ ปน็ พวก ๆ ในตำราวา่ เปน็ ๖ หมวด คอื
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๕๑๗ หมวดท่ี ๑ ตวั ถ ย ญ ซ ๔ ตวั น้ี จนี เรยี กวา่ สจ่ี อหงวน แปลวา่ หมวดขนุ นาง ๔ คน หมวดท่ี ๒ ตวั ฆ บ จ น ว ล ๖ ตวั น้ี จนี เรยี กวา่ ลกั เตา้ สอื แปลวา่ พระทง้ั ๖ หมวดท่ี ๓ ตวั ฝ ฬ พ ซ ๔ ตวั น้ี จนี เรยี กวา่ สค่ี ดิ เจย๊ี ะ แปลวา่ คนโซทง้ั ๔ หมวดท่ี ๔ ตวั ท ร ค ต ๔ ตวั น้ี จนี เรยี กวา่ สจ่ี าโบ๊ แปลวา่ ผหู้ ญงิ ทง้ั ๔ หมวดท่ี ๕ ตวั ข ม ต ฮ ภ ๕ ตวั น้ี จนี เรยี กวา่ โงว่ โฮว้ จง่ั แปลวา่ เสอื ทง้ั ๕ หมวดท่ี ๖ ตวั ช บ ด ฉ ผ ห ส อ ก ฟ ฌ ๑๑ ตวั น้ี จนี เรยี กวา่ ซุ่ยยี่ แปลวา่ หวยนอกเกณฑ์ ทจ่ี ดั เปน็ หมวดดงั นห้ี วงั จะใหเ้ ปน็ เครอ่ื งกำหนดสำหรบั สงั เกตเหตกุ ารณท์ จ่ี ะทำใหอ้ ารมณผ์ อู้ อกหวย หมกมนุ่ อยใู่ นบคุ คลจำพวกใด จะยกตวั อยา่ งดงั เชน่ วนั ใดขนุ บาลทำบญุ มกี งเตก๊ คาดวา่ เวลาขนุ บาลเลอื ก ตวั หวยในวนั นน้ั อารมณค์ งนกึ อยถู่ งึ พระ กแ็ ทง ฆ บ จ น ว ล ดกั ไว้ หรอื มฉิ ะนน้ั ถา้ วนั ใดเปน็ วนั ฤกษ์ วนั มงคลของขนุ บาล ดงั เชน่ วนั ประเดมิ ออกหวย คาดวา่ ขนุ บาลคงไมอ่ อกตวั หวยอนั เปน็ อปั มงคล ดงั เชน่ หวยในจำพวกโจรและจำพวกคนโซ ก็กันตัวหวยพวกนั้นออกเสีย แล้วคิดคาดเหตุการณ์ประกอบว่า ขนุ บาลจะเลอื กหวยตวั มงคลประเภทไหนกแ็ ทงหวยประเภทนน้ั ดกั ขนุ บาลตอ้ งมไี หวพรบิ คอยระวงั เหตกุ ารณ์ ที่เขาจะคาดอยู่เสมอ ถ้าเผลอก็อาจจะเป็นดังเขาคาดได้จริง ๆ ยังมีเกณฑ์อย่างอื่นที่จะคิดแทงดักใจ ขนุ บาลได้อกี หลายอย่าง บางทเี กดิ ไฟไหม้ในวนั นนั้ ขนุ บาลไมท่ นั คดิ เฉลียว ปลอ่ ยอารมณใ์ ห้ไปเลือกตัว ฟ ออกมา หวยกถ็ กู พวกไทยแทงดกั ไดม้ าก ๆ มเี รอ่ื ง ๑ เกดิ ขน้ึ เมอ่ื กอ่ นเลกิ หวยไมช่ า้ นกั มจี นี ผดู้ คี น ๑ ไปเลน่ เบย้ี ทบ่ี อ่ นซง่ึ ผเู้ ปน็ ขนุ บาลนน้ั รบั ผกู อยบู่ อ่ น ๑ เสยี โปกวา่ ๑๐,๐๐๐ บาท นกึ วา่ คำ่ วนั นน้ั ขนุ บาล คงเอาเรอ่ื งชนะโปเปน็ นมิ ติ ออกหวย ดกั แทงตวั ข งว่ ยโป๊ กถ็ กู ไดเ้ งนิ ขนุ บาลไปราว ๒๐,๐๐๐ บาท แต่การที่แทงจะแทงดักใจขุนบาลหรือแทงอย่างใด ๆ ก็ตาม ต่อแทงถูกจึงเกิดเล่าลือรู้เรื่องกัน ที่ดักผิด หวยกนิ ฉบิ หายนน้ั ไมม่ ใี ครเลา่ ลอื กเ็ งยี บหายไป ยังการที่หาหวยโดยกระบวนสืบสวนนั้น ก็คือการที่เที่ยวสืบถามตรวจตราหาเค้าเงื่อนว่าขุนบาล จะออกหวยตวั ไหนในวนั หนง่ึ วนั ใด มวี ธิ หี ลายอยา่ งเหมอื นกนั เบอ้ื งตน้ กค็ อื พยายามทจ่ี ะถามตวั ขนุ บาลเอง อันนี้เป็นวิธีเก่ามีมาแต่ครั้งเจ๊สัวหง ขุนบาลถูกถามรำคาญจึงจ้างคนคิดใบ้ลวงบอกไว้หน้าโรงหวยทุกวัน แต่บางทีขุนบาลถูกผู้ที่อยู่ใกล้ชิดอ้อนวอนถาม บอกใบ้ให้จริง ๆ เขาแทงถูกก็มีบ้าง มีตัวอย่างครั้ง หลวงอุดรภัณฑ์พานิช เต็ง แรกออกหวยยังไม่ชำนาญ ต้องอาศัยท่านผู้ ๑ เป็นผู้ช่วยเหลือเลือกตัวหวย วันหนึ่งมีคนที่ท่านผู้นั้นใช้สอยอยู่ในเรือนขอใบ้หวย ท่านคิดอยู่แล้วว่าวันนั้นจะออกตัวไหนจึงบอกใบ้ให้ หมายวา่ พอจะใหค้ ดิ ทายเลน่ สนกุ ๆ ครน้ั เวลาคำ่ ทา่ นผนู้ น้ั ไปโรงหวยบอกแนะนำให้ ออกหวย ตวั ทค่ี ดิ ไวแ้ ลว้
๕๑๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ กลับมาบ้านจึงรู้ความว่ามีผู้อื่นมาวานคนในเรือนให้ขอใบ้ พอรู้เข้าก็ตกใจให้คนรีบไปบอก หลวงอุดรว่า อยา่ ใหอ้ อกหวยตวั ทแ่ี นะใหเ้ ปน็ อนั ขาด คนบอกไปถงึ จวนเวลาออกหวย พอหลวงอดุ ร เปลย่ี นตวั หวยทนั หาไม่หวยคืนนั้นก็เห็นจะถูกเข้าถนัด นอกจากที่จะพยายามไต่ถามขุนบาล ยังมี พวกที่คิดลักดูเครื่องกำหนดจดจำของขุนบาล คือโพยเถาเป็นต้น เอาไปเป็นหลักคิดทายใจขุนบาล พวกนม้ี กั เปน็ คนในโรงหวยเอง หรอื มฉิ ะนน้ั กบ็ นบานคนในโรงหวยใหเ้ อาใจออกหา่ ง เพราะเหตนุ ข้ี นุ บาล จึงมิใคร่ไว้ใจคนในโรงหวย ยังพวกที่หาหวยดีโดยทางวิทยาคม เช่นบนบานขอหวยต่อวัตถุและบุคคล ที่ตนนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ก็มี วิธีที่ขอหวยจากวัตถุทั้งปวงนั้นจะยกไว้ จะยกตัวอย่างแต่ที่ขอต่อบุคคล และไมก่ ลา่ วถงึ พวกอสจั อลชั ชี ทใ่ี หห้ วยเขาโดยมจิ ฉาชพี บางทคี นดี ๆ เชน่ พระสงฆ์ ซง่ึ คนทง้ั หลาย นับถือคุณวุฒิ ถ้าองค์ใดมักชอบประพฤติแปลก ๆ ก็มักมีคนเลยเข้าใจไปว่าท่านใบ้หวยให้เป็นทาน เคยมีพระราชาคณะองค์ ๑ ที่มักประพฤติแปลก ๆ อย่างนั้น แต่งวัดรับเสด็จกฐินปี ๑ เอาตุ๊กตา กระดาษทเ่ี ขาทำเปน็ รปู ชา้ งมาตง้ั รายตามกำแพงแกว้ พวกนกั เลงหวยทไ่ี ปในกระบวนพระกฐนิ วนั นน้ั เอาชา้ ง เป็นนิมิตมาแทงตัว ฉ ช ฌ หวยเจ้ากรรมออกตัว ฌ ถูกกันได้จนเลื่องลือครั้ง ๑ ต่อมามีพระครูอีก องค์ ๑ ซึ่งมีชื่อเสียงในทางวิปัสสนาธุระผู้คนนับถือมาก พวกนักเลงหวยไปพูดจาเลียบเคียงหาเลศนัย ท่านพระครูหลงพูดด้วยโดยซื่อ ไม่รู้ว่าเขาขอหวย พวกนักเลงจับเลศนัยมาคิดแทงหวยถูกสักครั้ง ๑ หรือ ๒ ครั้ง ก็เกิดเลื่องลือว่า ท่านพระครูองค์นั้นใบ้หวยแม่น ทีนี้ก็มีแต่คนพากันไปเลียบเคียงขอหวย ทา่ นพระครจู ะพดู จาวา่ กระไร หรอื ทำอยา่ งไรกก็ ลายเปน็ ใบห้ วยไปหมด ครน้ั ทา่ นพระครรู ตู้ วั วา่ เขามาลวง ขอหวยกข็ ดั ใจ คราวนเ้ี หน็ ใครไปพดู จาเลยี บเคยี งเขา้ ใจวา่ จะไปขอหวยกข็ บั ไลเ่ สยี จากกฎุ ี การทข่ี บั ไลน่ น้ั คนกลบั เขา้ ใจวา่ ใบห้ วยใหต้ วั ล ฬ ยงั พากนั กลบั ไปขออกี ทส่ี ดุ ทา่ นพระครฉู วยพลองลากออกมาจะขู่ คนก็เข้าใจว่าใบ้ตัว ผ พ ภ จนท่านพระครูไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ต้องปิดประตูกุฎีลั่นกลอนไม่รับแขก อยเู่ ปน็ ชา้ นาน พวกศษิ ย์หาญาติโยมพากนั สงสาร คอยห้ามปรามคนไมใ่ หข้ อหวยคนจงึ ค่อยเสื่อมซาไป วิธีหาหวยดีไม่มีขีดคั่นความเชื่อของมนุษย์ แม้ที่สุดจนพระพุทธรูปหรือต้นไม้ก็มีคนไปอธิษฐานขัดถู ดรู อยตวั หวย เผอ่ื จะผดุ โผลข่ น้ึ มาใหบ้ า้ ง แตว่ ธิ ที ป่ี ระหลาดจรงิ ๆ นน้ั เกดิ ขน้ึ เมอ่ื กอ่ นจะเลกิ หวยไมก่ ป่ี นี กั ใครจะเป็นผู้คิดก็หาทราบไม่ เกิดเป็นลัทธิอันหนึ่ง ถึงวันเข้าพระวัสสา เขียนตัวหวยครบทุกตัวแล้วเอา คว่ำไว้ในที่ซ่อนเร้นเช่นในหม้อเป็นต้น ปิดผนึกเสียให้แน่นแล้ว บูชาอธิษฐานไปจนตลอดพรรษา เมื่อถึง วันก่อนจะออกพรรษาเปิดผนึกดู ถ้าหวยตัวใดหงายขึ้นในนั้นก็เชื่อว่า จะออกตัวนั้นเมื่อวันออกพรรษา คนเชื่อถือวิธีนี้แพร่หลายมาก จนเกิดเป็นประเพณี พอถึงเดือน ๑๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ มีคนเข้ามา กรุงเทพ ฯ มากมายหลายร้อยหลายพันมาทั้งทางรถไฟและทางเรือ ถึงเพลาค่ำลงคนแน่น ท้องถนน
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๕๑๙ ตั้งแต่หน้าโรงหวยลามไปจนถึงในถนนเจริญกรุงทุกปี เสมอมีงานอะไรเป็นการใหญ่ของขุนบาลอย่าง ๑ ที่แท้ก็เสมอพากันเข้ามาอำนวยพรขุนบาลนั้นเอง เพราะหวยดีโดยทางวิทยาคม ขุนบาลไม่กลัวเหมือน หวยดีโดยทางความคิด ยิ่งแทงมากก็ยิ่งชอบใจ แต่คนแทงก็ยังเชื่อถือกันอยู่นั่นเอง จำนวนคนแทง หวยจงึ ไมล่ ดถอยนอ้ ยลง มคี นแทงทกุ แขวงทกุ วนั ไมข่ าด ลักษณะแทงหวยแทงได้ ๒ อย่าง คือแทงอย่างสามัญอย่าง ๑ แทงอย่างวิสามัญเรียกว่า “แทงหิ้ง” แปลว่าแทงแขวงอย่าง ๑ จะว่าด้วยลักษณะอย่างสามัญก่อน แทงอย่างนี้ต้องไปแทงที่ เสมยี นเขยี นหวย วิธีที่เสมียนเขียนหวยมีการแปลก ซึ่งควรจะต้องอธิบายโดยเฉพาะอยู่ ๓ อย่าง คือวิธีใช้ภาษา อยา่ ง ๑ วธิ เี ขยี นหนงั สอื ไทยอยา่ ง ๑ วธิ คี ดิ เงนิ อยา่ ง ๑ วธิ ใี ชภ้ าษานน้ั ขนุ บาลยอมใหใ้ ชภ้ าษาจนี และภาษาไทยไดเ้ หมอื นกนั ทง้ั ๒ ภาษา เสมยี นหวย ร้านใดถนัดภาษาจีน จะเขียนหวยและทำบัญชีแต่ด้วยอักษรและภาษาจีนก็ได้ ถ้าเสมียนหวยร้านใด ชำนาญภาษาไทย จะเขยี นหวยและทำบญั ชดี ว้ ยอกั ษรและภาษาไทยกไ็ ดเ้ หมอื นกนั แตจ่ ะใชอ้ ยา่ งใดกใ็ ห้ ใช้แต่อย่างนั้นอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้คนแทงจะเป็นไทยหรือจีนก็เลือกร้านแทงหวยตามภาษาที่ตนเข้าใจได้ วิธีเขียนอักษรไทยในการแทงหวยนั้นไม่เหมือนกับที่เขียนกันในอักขรวิธี เพราะต้องระวังมิให้ เปลี่ยนปลอมตัวอักษรหนึ่งไปเป็นตัวอักษรอื่นได้โดยกระบวนเขียนต่อเติมแก้ไข ดังเช่นแก้อักษร ก เป็น ถ เป็น ภ เป็น ฌ เป็นต้น เล่ากันว่าเคยเกิดลักแก้ตัวอักษรตั้งแต่ครั้งเจ๊สัวหง เจ๊สัวหงจึงต้องคิด วิธีเขียนเครื่องหมายไว้สำหรับกันแก้ ดังเช่นอักษร ก ต้องให้มีไม้ไต่คู้อยู่ข้างบน ก็ ดังนี้ และตัว ข ตอ้ งใหเ้ ขยี น ขํ ดงั นเ้ี ปน็ ตวั อยา่ ง คนเขยี นหวยตอ้ งระวงั เครอ่ื งหมายเหลา่ นเ้ี ผลอไมไ่ ด้ แมเ้ สมยี นเขยี น หวยเขยี นขาดเครอ่ื งหมาย ดงั เชน่ เขยี น ก ขาด “๘” สง่ ไป ถ้าหวยออกตัว ก ขุนบาลตีกินไม่ยอมใช้ เสมยี นผเู้ ขยี นกต็ อ้ งใชผ้ แู้ ทงเอง อาจจะขาดทนุ ไดม้ าก ๆ วิธีคิดเงินในการแทงหวยนั้น ใช้เงินไทยแต่คิดตามมาตราจีน คือ ๑,๐๐๐ กระแปะต่อตำลึง ๑ คิดเอาเงนิ ไทย ๑๐ สลึงเป็นตำลึง กำหนดบาท ๑ เป็น ๔๐๐ แปะ แล้วกระจายเศษออกไป สลึง ๑ เป็น ๑๐๐ แปะ เฟื้อง ๑ เป็น ๕๐ แปะ ในบัญชีที่แทงหวยใช้จดเป็นแปะทั้งนั้น เรื่องคิดเงินเป็น มาตราจนี น้ี เหน็ จะเพอ่ื ประโยชนใ์ หด้ ดี ลกู คดิ สะดวก เพราะมาตราเงนิ ไทยในสมยั นน้ั เศษไมเ่ ปน็ สบิ เสมอกนั เหมือนมาตราจีน การที่แปลกมี ๓ อย่างดังอธิบายมานี้
๕๒๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เวลาสำหรับคนแทงหวยอย่างสามัญนั้น โดยปรกติเสมียนหวยออกนั่งม้ารับเขียนหวยตั้งแต่ตลาด ออกเวลาบ่าย ประสงค์จะให้เหมาะแก่เวลาคนไปตลาด ยอมให้คนแทงไปจนเวลา ๑๐ นาฬิกา ล.ท.๑ อนั เปน็ เวลาตอ้ งสง่ โพยไปยงั โรงหวยเปน็ ทส่ี ดุ หรอื วา่ อกี นยั หนง่ึ กร็ าววนั ละ ๖ ชว่ั โมง ถา้ แขวงทอ่ี ยไู่ กล ออกไป ตอ้ งสง่ โพยกอ่ น ๑๐ ล.ท. กเ็ ลอ่ื นเวลาออกนง่ั มา้ ใหว้ นั เขา้ คงใหไ้ ดม้ เี วลาคนแทงหวยราววนั ละ ๖ ชว่ั โมง แตแ่ ขวงทอ่ี ยใู่ กลโ้ รงหวย เชน่ แขวงประตสู ามยอดเปน็ ตน้ ยอมใหค้ นแทงจนเวลาราว ๑ ก.ท.๒ ส่งโพยต่อจวนตีกลองปุโหละ ขุนบาลก็ยอมเพราะอยากให้เดิมพันมาก ส่วนแขวงหัวเมืองนั้นไม่ต้อง สง่ โพยไปยงั แขวง จะเขยี นเวลาไรไปจน ๑๐ ล.ท. กไ็ ด้ แตพ่ น้ เวลา ๑๐ นาฬกิ า ล.ท. ไมย่ อมใหร้ บั คนแทงหวยตอ้ งแทงตง้ั แต่ ๕๐ แปะ คอื เฟอ้ื ง ๑ ขน้ึ ไป เสมยี นหวยจงึ ยอมใหแ้ ทง แต่ ๕๐ แปะ นน้ั จะแทงหวยสกั กต่ี วั ถา้ ไมต่ ำ่ กวา่ ตวั ละ ๕ แปะแลว้ กแ็ ทงได้ ฝา่ ยขา้ งมากคงกำหนดใหแ้ ทงหวยไดเ้ พยี ง ตัวละบาท ๑ เป็นอย่างมากเหมือนอย่างเมื่อครั้งเจ๊สัวหง ถ้าแทงหวยตัวใดมากกว่าบาท ๑ ขึ้นไป เสมียนไม่เขียนให้ แต่ความข้อนี้ที่จริงเป็นแต่อุบายในบัญชีเท่านั้น ถ้าหากว่าใครจะแทงหวยตัว ๑ มากกว่าบาท ๑ ขึ้นไป บอกบัญชีแทงตัวนั้นให้เป็นหลายคน แทงหนละบาท ๑ จะแทงสักกี่ร้อยบาท เสมยี นกย็ อมใหแ้ ทง ลักษณะการแทงหวย ผู้แทงต้องเอาเงินวางให้เสมียนหวยก่อน แล้วบอกว่าจะแทงหวยโรงเช้า ตวั ใดเปน็ เงนิ เทา่ ใด และโรงคำ่ จะแทงอยา่ งไร ดว้ ยลกั ษณะแทงหวยโรงคำ่ มวี ธิ แี ทงไดห้ ลายอยา่ ง เปน็ ตน้ วา่ จะแทงถูกยกผิดซ้ำ เช่นแทงตัว ก โรงเช้า ถ้าถูกเป็นเสร็จเพียงเท่านั้น ถ้ากินให้แทงซ้ำตัว ก ใน โรงคำ่ อกี ฉะนก้ี ไ็ ด้ หรอื จะแทงหู้ เชน่ แทงตวั ก ตวั ข โรงเชา้ ถา้ ถกู ตวั ใดตวั หนง่ึ ใหเ้ อาเงนิ ทข่ี นุ บาล ใช้แทงอีกตัว ๑ ทั้งหมด หรือแต่เท่าหนึ่งเท่าใด ฉะนี้ก็มี ยกมาแสดงพอเป็นตัวอย่าง เสมียนหวยเรียก เงนิ ไวแ้ ลว้ จงึ ลงมอื เขยี นบญั ชี บญั ชขี องเสมยี นเขยี นหวยมี ๓ อยา่ งดว้ ยกนั คอื สมดุ โผอยา่ ง ๑ ใบตอบอยา่ ง ๑ ใบโพยอยา่ ง ๑ สมุดโผ คือสมุดที่ขุนบาลจำหน่ายไป เป็นตัวบัญชีใหญ่สำหรับร้านเขียนหวยต้องเขียนลง เดือนวันไว้ข้างบน ใครแทงหวยตัวใดเงินเท่าใดก็จดลงไปไม่ต้องลงชื่อผู้แทง ใช้ประทับตราประจำต่อ กบั ใบตอบเปน็ สำคญั สำหรบั ตวั คน ๑ เวลา ๒๒.๐๐ นาฬกิ า ๒ เวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกา
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๕๒๑ ใบตอบนั้น คือใบสำคัญทำให้แก่ผู้แทงหวย เขียนว่าวันนั้นแทงหวยตัวนั้น ๆ เงินเท่านั้น ๆ แทงอย่างนั้น ๆ เมื่อเขียนแล้วเอาใบตอบนี้วางลงในสมุดโผประทับดวงตราประจำต่อไว้ในช่องบัญชีที่ ผนู้ น้ั แทง แลว้ มอบใบตอบใหผ้ แู้ ทงถอื ไว้ ถา้ หวยถกู จะไดน้ ำมาขน้ึ เอาเงนิ ใบโพยนน้ั ทำสำหรบั สง่ โรงหวย ตอ้ งทำเปน็ โพยหวยโรงเชา้ สว่ น ๑ โพยหวยโรงคำ่ สว่ น ๑ ไม่ ปะปนกัน ตอนหัวค่ำทำแต่โพยโรงเช้า ส่วนโพยโรงค่ำทำต่อเมื่อหวยโรงเช้าออกแล้ว ลักษณะการเขียน โพยมีข้อบังคับว่า หวยในโพยใบ ๑ ไม่ให้แทงเกินตัวละ ๔๐๐ แปะคือบาท ๑ และจำนวนเงินใน โพยใบ ๑ จะเปน็ หวยกต่ี วั กต็ าม ไมใ่ หจ้ ำนวนเงนิ เกนิ ๒,๐๐๐ แปะ คอื ๕ บาท เมอ่ื เขยี นโพยเสรจ็ แลว้ พบั เหนบ็ กระดาษเปน็ รปู สเ่ี หลย่ี มรี ยาวประมาณ ๔ นว้ิ กวา้ งประมาณนว้ิ ๑ เหมอื นกนั ทกุ ใบ ตอ้ งพบั ไม่ให้แลเห็นตัวหวยข้างใน แต่ต้องเขียนบอกจำนวนเงินไว้ข้างหลังว่าในนั้นจำนวนเงินเท่านั้นแปะ ประทับตราร้านเป็นสำคัญทุกใบ แล้วรวมโพยเข้าเป็นมัด และเขียนใบนำบอกว่าวันนั้นโพยเท่านั้นใบ รวมเปน็ เงนิ เทา่ นน้ั เหนบ็ ไวก้ บั มดั โพยสำหรบั สง่ แขวงพรอ้ มกบั โพย ครั้งถึงเวลากำหนด (ราว ๑๐ ล.ท. หรือก่อนหลังตามร้านที่ใกล้และไกล) เสมียนหวยจึงเอาโพย กบั ใบนำไปสง่ ยงั แขวง (ถา้ ขอใหแ้ ขวงไปรบั ตอ้ งเสยี เงนิ คา่ เดนิ ดงั กลา่ วมาแลว้ ) ลักษณะการที่เสมียนหวยส่งโพยไปแขวงผิดกัน คือแขวงใกล้ซึ่งอาจจะกลับไปเขียนโพยหวย โรงค่ำเมื่อหวยโรงเช้าออกแล้วได้นั้น ส่งแต่โพยหวยโรงเช้า ส่วนแขวงไกลซึ่งจะกลับไปเขียนโพยหวย โรงค่ำส่งมาไม่ทัน ส่งโพยหวยโรงเช้าแล้ว ต้องมอบโผให้แขวง แขวงเอาโผมาหาที่เขียนโพยโรงค่ำ ทใ่ี กล้ ๆ โรงหวย แขวงหัวเมืองนั้น เสมียนหวยเขียนแต่โผกับใบตอบ ไม่ต้องเขียนโพยเอาโผไปส่งแขวงแทนโพย ทกุ วนั แขวงเอาโผใสก่ ำปน่ั ลน่ั กญุ แจ ๓ ดอก คอื กญุ แจของผแู้ ทนขนุ บาล ๑ ของแขวง ๑ ของเสมยี น บญั ชดี อก ๑ รกั ษาไวจ้ นรวู้ า่ หวยออกตวั ใดแลว้ จงึ ไขกำปน่ั แขวง (ในกรงุ ฯ) รบั โพยจากเสมยี นหวยแลว้ ตรวจจดบญั ชโี พยและบญั ชเี งนิ ไวส้ ำหรบั แขวงสว่ น ๑ และรวมทำใบนำ บอกนามแขวง บอกวันเดือน บอกจำนวนโพย และบอกจำนวนเงินลงในใบนำนั้น แล้วคุมโพยกับใบนำสำหรับหวยโรงเช้ามาส่งยังโรงหวย ต้องส่งในระหว่างแต่เวลาโรงหวยตีกลองสัญญา เรยี กโพยจนตกี ลองปโุ หละบอกหา้ ม คอื ในระหวา่ งเวลาแต่ ๑๑ ล.ท. ไปจนราว ๑๒ ก.ท.
๕๒๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ วธิ แี ทงหวยหง้ิ นน้ั สำหรบั พวกนกั เลงขาใหญท่ จ่ี ะแทงดกั ใจขนุ บาลดว้ ยจำนวนเงนิ มาก ๆ ขนุ บาล ยอมให้พวกแทงหวยหิ้งเขียนโพยเอง และเอาโพยของตนไปส่งที่โรงหวยได้เหมือนอย่างกับเป็นแขวง แตว่ า่ ตอ้ งแทงคราว ๑ ไมต่ ำ่ กวา่ ๒๒ บาทลงมา และตอ้ งทำโพยใหถ้ กู ตอ้ งแบบแผนอยา่ งโพยหวยสามญั คือวิธีเขียนตัวอักษรและกำหนดในโพยใบ ๑ ไม่ให้แทงมากกว่าตัวละบาท ๑ และรวมเงินในโพยใบ ๑ ไม่ให้เกิน ๕ บาทเหล่านี้ ลักษณะแทงหวยหิ้งกับแทงหวยสามัญที่ผิดกันเป็นข้อสำคัญนั้น คือแทง หวยสามัญ เมื่อหวยโรงเช้าออกแล้ว ขุนบาลแก้โพยออกดูรู้ว่าผู้แทง ๆ หวยตัวไหนมาก อาจจะคาด ใจคนแทงว่า โรงค่ำคงจะแทงตัวไหน ๆ คิดยักย้ายตัวหวยโรงค่ำไปเสียให้ห่างได้ แต่การที่แทงหิ้ง ต่อแทงถูกผู้แทงจึงยอมให้เปิดโพยออกดูว่าแทงตัวใด ถ้าแทงผิดไม่ยอมเปิดโพยให้ขุนบาลรู้ว่าได้แทง ตวั ใดทเี ดยี ว ประสงคจ์ ะไวด้ กั แทงโรงคำ่ ตอ่ ไป บางทพี วกแทงหง้ิ อาจจะแทงถกู เอาเงนิ ขนุ บาลไดถ้ งึ ๑๐,๐๐๐ และ ๒๐,๐๐๐ บาทกม็ ี ดว้ ยเหตนุ พ้ี วกนกั เลงโตจงึ ชอบแทงหง้ิ ลักษณะการในโรงหวย ก่อนที่จะอธิบายถึงวิธีออกหวย จะกล่าวถึงลักษณะที่ขุนบาลจัดการในโรงหวยก่อน จำนวนคน ประจำการโรงหวยซึ่งขุนบาลต้องให้เงินเดือนและต้องตั้งโรงครัวเลี้ยงอาหารเวลาทำการ รวมเบ็ดเสร็จ ประมาณ ๒๐๐ คน จดั เปน็ ตำแหนง่ ผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ยมหี นา้ ทต่ี า่ งกนั ดงั น้ี คอื หลงจู๊ใหญ่มีคน ๑ เป็นผู้ดูแลการงานทั้งปวงต่างหูต่างตาของขุนบาล หลงจู๊ใหญ่นี้มักเปลี่ยน ตามตวั ขนุ บาล หลงจู๊รองมีประมาณ ๑๘ คน เป็นผู้สำหรับเที่ยวตรวจตราการตามแขวงและร้านเขียนหวยทั่วไป มกั เปน็ คนทำการอยเู่ สมอไป ไมใ่ ครต่ อ้ งผลดั เปลย่ี น คนเกบ็ เงนิ คน ๑ สำหรบั เกบ็ รกั ษาเงนิ สดและรบั เงนิ จา่ ยเงนิ มกั เปน็ คนของขนุ บาลอยา่ งหลงจใู๊ หญ่ หลงจรู๊ อง สำหรบั ตรวจตราการในโรงหวยมอี กี ๒ คน สำหรบั ตรวจการกลางคนื คน ๑ ตรวจการ กลางวนั คน ๑ หลงจู๊ ๒ คนนม้ี กั เปน็ คนทำการอยเู่ สมอ ไมใ่ ครต่ อ้ งผลดั เปลย่ี น นายเสมียน คือผู้ที่เป็นหัวหน้าทำการเสมียนมี ๓ คน เสมียนที่ ๑ สำหรับทำบัญชีเงินรับจ่าย ทั้งปวงคน ๑ เสมียนที่ ๒ สำหรับทำบัญชีโพยคน ๑ เสมียนที่ ๓ สำหรับสอบบัญชีทั้งปวงคน ๑ เสมยี นทง้ั ๓ น้ี เปน็ ผชู้ ำนาญ มกั เปน็ คนประจำอยเู่ สมอ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 575
Pages: