Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๔

ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๔

Description: ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๔

Search

Read the Text Version

จดหมายเหตหุ อสาตราคม ๒๗๓ เชา้ ๓ โมง เวลาเชา้ ๕ โมง เสดจ็ ขน้ึ โปรดใหม้ ีละครสมโภชพระเจา้ ลกู เธอ พระองคอ์ ณุ ากรรณขา้ งใน จนเวลาบา่ ย ๕ โมง รบั สง่ั โปรดใหเ้ ลกิ วนั ศกุ ร์ เดอื น ๕ ขน้ึ ๙ คำ่ ปวี อกยงั เปน็ เอกศก๑ เสดจ็ ออกพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคมเวลา ๘ ทมุ่ เศษ พระพรหมบรริ กั ษน์ ำเรอ่ื งความขน้ึ กราบบงั คมทลู ดว้ ยหมอ่ มเจา้ วรลกั ษณตง้ั อา้ ยนกั โทษหนไี ปจากเรอื นจำ ในระหวา่ งโทษ หมอ่ มเจา้ วรลกั ษณตง้ั ใหเ้ ปน็ นายกองเกลย้ี กลอ่ มคนไวเ้ ปน็ อนั มากท่พี ระพทุ ธบาท ใหท้ รง ทราบแลว้ ไมท่ รงพระกรณุ าโปรด จงึ รบั สง่ั ใหพ้ ระพรหมบรริ กั ษจ์ ำหมอ่ มเจา้ วรลกั ษณ ใหร้ บั พระราชอาญา ต้องมาจำไว้ ณ ทิมสนม แต่อ้ายนักโทษที่เป็นนายกองนั้น รับสั่งให้สักหน้าส่งไปจำไว้ที่ ณ คุก บุตรภรรยาอ้ายนักโทษรับสั่งให้ส่งไปเป็นวิเสทโรงสี อ้ายอีผู้มีชื่อที่รู้เห็นเป็นใจยินดีด้วยอ้ายนักโทษรับสั่ง ใหล้ งพระราชอาญาจำไว้ ณ คกุ บา้ ง เปน็ วเิ สทโรงสบี า้ ง พระพรหมบรริ กั ษเ์ ปน็ ผตู้ น้ รบั สง่ั วนั ศกุ ร์ เดอื น ๕ ขน้ึ ๙ คำ่ ปวี อกยงั เปน็ เอกศก๒ เสดจ็ ออกพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคมเวลาบา่ ย ๓ โมงเศษ หม่อมราโชทัยนำหนังสืออังกฤษมเกาถวายฝากมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เวลาบ่าย ๕ โมงเยน็ เสดจ็ ขน้ึ วันศุกร์ เดือน ๕ แรม ๒ ค่ำ ปีวอกยังเป็นเอกศก๓ เสด็จพระราชดำเนินพระที่นั่งทรงธรรม ทงุ่ ทอ้ งสนามหลวง ทรงปฏบิ ตั พิ ระสงฆฉ์ นั เพล แลว้ โปรดใหส้ ดบั ปกรณพ์ ระสงฆ์ ๓๐ รปู แลว้ ทรงถวาย ผา้ นสิ ที นสงั เคด็ ๓๐ ผนื เวลาบา่ ยโมงเศษเสดจ็ พระราชดำเนนิ กลบั พระมหาราชวงั เวลาบา่ ย ๔ โมงเศษ เสด็จพระราชดำเนินประทับพระที่นั่งพลับพลาหน้าพระเมรุ ทรงโปรยทาน แล้วทรงพระกรุณาโปรดให้ ผหู้ ญงิ ฝรง่ั ขม่ี า้ รำทวนถวายหนา้ พระทน่ี ง่ั ๒ คู่ ขา้ ราชการในพระบวรราชวงั คหู่ นง่ึ เวลายามเศษทรงจดุ ดอกไมแ้ ลว้ เสดจ็ พระราชดำเนนิ กลบั ยงั พระมหาราชวงั วนั ศกุ ร์ เดอื น ๕ แรม ๒ คำ่ ปวี อกยงั เปน็ เอกศก๔ เวลาบา่ ย ๔ โมงเศษ เสดจ็ พระราชดำเนนิ พระทน่ี ง่ั พลบั พลาหนา้ โรงโขนทงุ่ ทอ้ งสนามหลวงทอดพระเนตรผหู้ ญงิ ฝรง่ั และขา้ ราชการในพระบวรราชวงั ขม่ี า้ รำทวนถวายหนา้ พระทน่ี ง่ั พระยาราชวรานกุ ลู นำเจา้ อปุ ราชเมอื งนา่ นเฝา้ ถวายบงั คม ทรงพระกรณุ า ๑ ตรงกบั วันศกุ รท์ ่ี ๓๐ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๐๒ ๒ ตรงกบั วันศุกรท์ ่ี ๓๐ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๐๒ ๓-๔ น่าจะเป็นวนั ศกุ ร์ เดอื น ๕ แรม ๑ คำ่ ปวี อกยงั เปน็ เอกศก ตรงกบั วันศกุ ร์ที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๒ ถา้ แรม ๒ ค่ำ จะตรงกับ วนั เสารท์ ่ี ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๒ ในพระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลท่ี ๔ เลม่ ๑ กบ็ นั ทกึ ไวว้ า่ วนั ศกุ ร์ เดอื น ๕ แรม ๑ คำ่ พระราชทานเพลิงพระศพกรมสมเด็จพระเดชาดิศร

๒๗๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ โปรดพระราชทานเสอ้ื ครยุ ๓ เสอ้ื ผา้ ลาย ๓ ผา้ เวลายามเศษเสดจ็ พระราชดำเนนิ กลบั พระมหาราชวงั วนั ศกุ ร์ เดอื น ๕ แรม ๒ คำ่ ปวี อกยงั เปน็ เอกศก๑ เวลาบา่ ยโมงเศษ อสนบี าตตกถกู พระเจดยี ์ วดั บวรนเิ วศ วันอาทิตย์ เดือน ๕ แรม ๑๐ ค่ำ๒ เวลาเช้า ๓ โมงเศษ เสด็จพระราชดำเนินยังพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงปฏิบัติพระสงฆ์ ๓๐ รูป แล้วทรงถวายเครื่องไทยทานต่าง ๆ เวลาบ่าย โมงเศษ เสดจ็ พระราชดำเนนิ มาประทบั ทอดพระเนตรแรดท่โี รงชา้ งหนา้ ประตวู เิ ศษไชยศรี แลว้ เสดจ็ พระราช ดำเนนิ กลบั พระมหาราชวงั วันจันทร์ เดือน ๖ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีวอก โทศก๓ เวลาเช้า ๓ โมงเศษ เสด็จพระราชดำเนิน ประทบั พระทน่ี ง่ั พลบั พลาทุ่งทอ้ งสนามหลวง ทรงปฏบิ ตั พิ ระสงฆ์ ๑๗ รปู แลว้ ทรงถวายผา้ สบงและ ธูปเทียน แล้วโปรดให้มีละครสมโภชนังคัลพิธีแรกนา ทรงทอดพระเนตรอยู่จนเวลา ๕ โมงเย็น แลว้ เสดจ็ พระราชดำเนนิ กลบั ยงั พระมหาราชวงั วนั ศกุ ร์ เดอื น ๖ ขน้ึ ๘ คำ่ ปวี อก โทศก๔ เวลาบา่ ย ๓ โมงเศษ เสดจ็ ออกพระทน่ี ง่ั อนนั ต- สมาคม ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ทรงตง้ั หมน่ื จำเนยี รภษู า ขา้ หลวงเดมิ เปน็ ขนุ ราชสมบตั ิ นายเวรกรม พระมาลาภษู า ถอื ศกั ดนิ า ๖๐๐ พระราชทานถมปกั ลอ่ งจวน ทำราชการฉลองพระเดชพระคณุ ตามตำแหนง่ วนั เสาร์ เดอื น ๖ ขน้ึ ๙ คำ่ ปวี อก โทศก๕ เวลาบา่ ย ๓ โมงเศษ เสดจ็ ออกพระทน่ี ง่ั อนนั ต- สมาคม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินตรา ๑๐ ตำลึง เป็นรางวัลแก่นายพึ่ง ปลัด กรมชา่ งสลกั เวลาบา่ ย ๔ โมงเศษ เสดจ็ ขน้ึ วนั เสาร์ เดอื น ๖ ขน้ึ ๙ คำ่ ปวี อก โทศก๖ เวลาบา่ ย ๕ โมงเศษ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ออกจากพระมหาราชวงั เสดจ็ พระราชดำเนนิ ทางชลมารค ทรงเรอื พระทน่ี ง่ั กลไฟมณเี มขลา ๑ นา่ จะเป็นวันศุกร์ เดือน ๕ แรม ๑ ค่ำ ปีวอกยงั เป็นเอกศก ตรงกบั วันศุกร์ที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๒ ถ้าแรม ๒ ค่ำ จะตรงกบั วนั เสาร์ท่ี ๗ เมษายน พ.ศ.๒๔๐๒ ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ เล่ม ๑ ก็บันทึกไว้ว่า วันศุกร์ เดือน ๕ แรม ๑ ค่ำ พระราชทานเพลิงพระศพกรมสมเด็จพระเดชาดิศร ๒ ตรงกบั วนั อาทติ ยท์ ่ี ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๐๓ ๓ ตรงกับวนั จนั ทรท์ ี่ ๒๓ เมษายน พ.ศ.๒๔๐๓ ๔ ตรงกบั วนั ศกุ รท์ ่ี ๒๗ เมษายน พ.ศ.๒๔๐๓ ๕-๖ ตรงกับวันเสาร์ท่ี ๒๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๐๓

จดหมายเหตหุ อสาตราคม ๒๗๕ ใชจ้ กั รไปยงั กรงุ เกา่ พรอ้ มดว้ ยขา้ ราชการฝา่ ยหนา้ และฝา่ ยในตามเสดจ็ วนั เสาร์ เดอื น ๑๑ ขน้ึ ๗ คำ่ ปวี อก โทศก๑ สวดมนตใ์ นพระทน่ี ง่ั บรมพมิ านฉลองพระพทุ ธรปู ๗ องค์ เวลาเชา้ ๘ คำ่ ฉนั มีดอกไมพ้ มุ่ ดอกไมก้ ระถาง วนั อาทติ ย์ เดอื น ๑๒ ขน้ึ ๑๔ คำ่ ปวี อก โทศก๒ เวลา ๔ ทมุ่ กลางคนื เสดจ็ ออกทป่ี ระทบั ราชวรดษิ ฐ์ ทอดพระเนตรเรอื ถวายลำทอดพระกฐนิ เรอื ดง้ั ๓ คู่ เรอื ชลพมิ านชยั ใสผ่ า้ ไตร เรอื บษุ บก พศิ าลเปน็ เรอื พระทน่ี ง่ั เรอื วมิ านอมรนิ ทรพ์ ระทน่ี ง่ั รอง เรอื ทนิ กรสอ่ งศรเี ปน็ เรอื ประเทยี บ เรอื มณจี กั รพรรดิ เปน็ เรอื ประเทยี บ เรอื กราบ ๒ ลำใสอ่ า่ งมงั กร จดุ เทยี นใหญท่ กุ ลำตลอดศรี ษะจนทา้ ย ลอยลงไปสดุ ทนุ่ แล้วกลับขึ้นมาแล้วลงไป เรือผ้าไตรผู้หญิงพายแล้วเห่ แล้วทรงลอยประทีปหลวงจนหมด เสด็จไป ทอดพระกฐนิ วดั ชโิ นรสาราม แลว้ เสดจ็ กลบั ขน้ึ ๗ ทมุ่ วนั จนั ทร์ เดอื น ๑๒ ขน้ึ ๑๕ คำ่ ปวี อก โทศก๓ ทรงธรรมบนพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคมกณั ฑ์ ๑ แลว้ เสดจ็ ออกทางพระทน่ี ง่ั อมรนิ ทรวนิ จิ ฉยั ทรงลอยประทปี ตามเคย วนั ขน้ึ ๒ คำ่ เดอื นย่ี ปวี อก โทศก๔ มีละครใหแ้ ขกเมอื งดู วนั พธุ ขน้ึ ๗ คำ่ ๕ ไฟไหมว้ ดั ราชบรุ ณ กฎุ ขิ รวั หมอหลงั ๑ เสดจ็ ทรงมา้ พระทน่ี ง่ั กบั ขา้ ราชการ ตามเสดจ็ เปน็ อนั มาก เสดจ็ กลบั มาพระราชทานเงนิ ตราคนละ ๑ บาท สน้ิ เงนิ ๕๐๐ บาททว่ั กนั ทกุ คน ณ วันอังคาร เดือน ๓ ขึ้น ๔ ค่ำ๖ เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ เสด็จพระราชดำเนินทรงม้า พระทน่ี ง่ั ทอดพระเนตรเมรทุ ว่ี ดั บวรนเิ วศ เวลาพลบคำ่ เสดจ็ กลบั มาถงึ พระบรมมหาราชวงั แลว้ เสดจ็ ขน้ึ ณ วันจันทร์ เดือน ๓ ขึ้น ๑๐ ค่ำ๗ ฝรั่งเมืองเดนมาร์กเข้าเฝ้า ขุนนางข้าราชการใส่เสื้อสี ตา่ ง ๆ เฝา้ ๑ ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๐๓ ๒ ตรงกบั วนั อาทติ ยท์ ่ี ๒๘ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๐๓ ๓ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๓ ๔ ตรงกบั วนั ศกุ รท์ ่ี ๑๔ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๐๓ ๕ ตรงกบั วันพธุ ท่ี ๑๙ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๐๓ ๖ ตรงกับวันอังคารที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๓ ๗ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๓

๒๗๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ณ วนั องั คาร เดอื น ๓ ขน้ึ ๑๑ คำ่ ๑ เวลาบา่ ย ๔ โมง เสดจ็ ออกพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม ขุนนางข้าราชการเฝ้าตามตำแหน่ง เวลา ๕ โมง เสด็จพระราชดำเนินไปประทับอยู่หน้าเกยพระที่นั่ง สทุ ไธสวรรย์ มรี าชการถวายฎกี าเรอ่ื งหนง่ึ พระราชทานให้เจา้ พระยาธรรมาธกิ รณต์ ดั สนิ แลว้ เสดจ็ ขน้ึ ณ วนั องั คาร เดอื น ๓ แรม ๓ คำ่ ๒ เวลาบา่ ย ๓ โมง ออกขนุ นาง ณ พระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม ทรงตั้งขุนนาง นายใบ นายท้าย นายร่องน้ำ ๓ คน พระราชทานเสื้อผ้า เงินเบี้ยหวัด แล้วเสด็จ พระราชดำเนนิ ทรงมา้ พระทน่ี ง่ั แลว้ เสดจ็ กลบั มารบั ฎกี า เวลาพลบเสดจ็ ขน้ึ ณ วนั องั คาร เดอื น ๓ แรม ๑๐ คำ่ ๓ เวลาบา่ ยโมง ๑ เสดจ็ ออกพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม เจา้ ลาว เขา้ เฝา้ แลว้ ผหู้ ญงิ ฝรง่ั เขา้ เฝา้ แลว้ เสดจ็ กลบั พาเขา้ ไปขา้ งใน เวลา ๑๐ ทมุ่ ทรงพระราชสาสน์ ตอบไป เมอื งอเมรกิ ายงั หาจบไม่ ณ วันอังคาร เดือน ๔ แรม ๗ ค่ำ๔ เสด็จออกพระที่นั่งอนันตสมาคม ทอดพระเนตร เครอ่ื งราชบรรณาการทจ่ี ะสง่ ไปเมอื งฝรง่ั เศส แลว้ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มหามาลา๕กราบบงั คมทลู วา่ ชา้ งเผอื กลม้ ณ วนั อาทติ ย์ เดอื น ๔ แรม ๗ คำ่ ๖ ทกี่ รงุ เทพ ฯ ในพระมหาราชวงั ปนื ใหญล่ น่ั เวลา ๕ โมงเศษ เสดจ็ ขน้ึ ณ วันอาทิตย์ เดือน ๔ แรม ๑๔ ค่ำ๗ เวลาเช้าโมง ๑ เสด็จพระราชดำเนินม้าพระที่นั่ง ไปโสกันต์พระวรวงศ์เธอ ๔ องค์ในพระบวรราชวัง ประทับพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ แล้วเสด็จกลับมา ประทบั พระทน่ี ง่ั ดสุ ติ มหาปราสาท โสกนั ตห์ มอ่ มเจา้ ๗ องค์ เสดจ็ ขน้ึ ณ วนั จนั ทร์ เดอื น ๔ แรม ๑๕ คำ่ ๘ เวลาพลบ กงสลุ ฝรง่ั เศสมาเฝา้ ทเ่ี กง๋ เทพยสถาน ณ วนั องั คาร เดอื น ๕ ขน้ึ ๑ คำ่ ปรี ะกา๙ ยงั เปน็ โทศก เวลาเชา้ เสดจ็ ออกพระทน่ี ง่ั อมรนิ ทร ๑ ตรงกับวนั อังคารที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๓ ๒ ตรงกับวันอังคารท่ี ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๓ ๓ ตรงกับวันอังคารที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๐๓ ๔ น่าจะเป็นวันอังคาร เดือน ๔ แรม ๒ ค่ำ ตรงกับวันอังคารที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๐๓ แรม ๗ คำ่ เปน็ วนั อาทิตย์ ๕ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ มหามาลา กรมพระยาบำราบปรปกั ษ์ ๖ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๐๓ ๗ ตรงกบั วนั อาทติ ยท์ ่ี ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๐๓ ๘ ตรงกบั วนั จนั ทรท์ ่ี ๑๑ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๐๓ ๙ ตรงกับวันอังคารที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๐๓

จดหมายเหตหุ อสาตราคม ๒๗๗ วนิ จิ ฉยั ปฏบิ ตั พิ ระสงฆแ์ ลว้ ถวายไทยทานพระราชาคณะฐานารวม ๒๗ รปู แลว้ สดบั ปกรณ์ ๑๐๐ รปู แลว้ เสดจ็ ไปประทบั ทเ่ี กง๋ ราชานรุ าชอาสน์ แลว้ เสดจ็ กลบั ทางประตสู นามราชกจิ เขา้ ขา้ งใน เวลาคำ่ เสดจ็ ออก พระทน่ี ง่ั ดสุ ติ มหาปราสาท พระราชทานเครอ่ื งเลย้ี งโตะ๊ กงสลุ ทกุ ประเทศตามบรรดาเขา้ มาอยใู่ นกรงุ เทพ ฯ มีละครขา้ งในเรอ่ื งรามเกยี รต์ิ ๒ ยามเศษเสดจ็ ขน้ึ เสดจ็ ออกพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคมทรงพระราชนพิ นธ์ พระราชสาสน์ จนเวลา ๙ ทมุ่ เศษเสดจ็ ขน้ึ ณ วนั พธุ เดอื น ๕ ขน้ึ ๒ คำ่ ปรี ะกายงั เปน็ โทศก๑อยู่ เลย้ี งทตู ฝรง่ั เศสเวลาเยน็ เวลาทมุ่ เสดจ็ วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม สวดพธิ ถี อื นำ้ เวลา ๑๐ ทมุ่ ไฟไหมส้ ำเพง็ ตรอกอำแดงแฟง ณ วันพุธ เดือน ๕ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีระกายังเป็นโทศก๒ ผู้ว่าการแทนกงสุลชื่อไวสเกานลีโดอิก แซกดลิ นออสิ เกาว์ ไดพ้ ากบั ตนั ชอ่ื โตยอน เรอื รบกลไฟของสมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ฝรง่ั เศส ยโิ รนเด กบั ขนุ นาง อน่ื ในเรอื รบนน้ั ๕ นาย กบั บาทหลวงลยุ อสิ เปน็ ลา่ มเขา้ มาเฝา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาท แลว้ จะไดร้ บั ทตู านทุ ตู ออกไปจนถงึ กรงุ ปารสี เขา้ เฝา้ ณ พระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม ณ วนั ศกุ ร์ เดอื น ๕ ขน้ึ ๔ คำ่ ปรี ะกายงั เปน็ โทศก๓ เวลาเชา้ ๔ โมง เสดจ็ ออกพระทน่ี ง่ั พุทไธสวรรย์ ปฏิบัติพระสงฆ์พระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน พอพระฉันแล้ว พวกทูตานุทูตเข้าเฝ้าทูลลา แลว้ พระราชทานเครอ่ื งยศตามฐานาศกั ดผ์ิ ใู้ หญผ่ นู้ อ้ ยเปน็ อนั มาก แลว้ เสดจ็ ขน้ึ บา่ ย ๒ โมง เวลาเยน็ แห่ ตามเคย แลว้ มพี ระบรมราชโองการสง่ั ให้กรมมา้ ผกู เครอ่ื งมา้ อยา่ งฝรง่ั เศส และเครอ่ื งอน่ื ๆ เปน็ หลายเครอ่ื ง กรมมา้ กไ็ มผ่ กู ตามรบั สง่ั ใหก้ รมถาวรวรยศทอดพระเนตร สง่ั ตำรวจลงพระราชอาญาคนละ ๑๐ ที รงุ่ ขน้ึ ณ วนั เสาร์ เดอื น ๕ ขน้ึ ๕ คำ่ ๔ มพี ระบรมราชโองการใหต้ ง้ั กระบวนแหห่ มาย เวลา ๓ โมง เสด็จออกพระที่นั่งอนันตสมาคม ทรงพระราชสาส์นที่จะไปฝรั่งเศส แล้วเสด็จพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ๑ ตรงกบั วันพุธท่ี ๑๓ มีนาคม พ.ศ.๒๔๐๓ ๒ ตรงกบั วนั พธุ ที่ ๑๓ มนี าคม พ.ศ.๒๔๐๓ ๓ ตรงกบั วนั ศกุ รท์ ่ี ๑๕ มนี าคม พ.ศ.๒๔๐๓ ๔ ตรงกบั วนั เสารท์ ่ี ๑๖ มนี าคม พ.ศ.๒๔๐๓ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งคณะราชทูตไทยประกอบด้วย พระยาศรีพิพัฒนรัตนราชโกษาธิบดี (แพ บุนนาค) เปน็ ราชทตู เจา้ หมน่ื ไวยวรนารถเปน็ อปุ ทตู พระณรงคว์ ชิ ติ (จอน บนุ นาค) เป็นตรที ตู อญั เชญิ พระราชสาสน์ และเครอ่ื งราชบรรณาการออกไป เจรญิ ทางพระราชไมตรกี บั พระเจา้ นโปเลยี นท่ี ๓ แหง่ ฝรง่ั เศส มกี ระบวนแหพ่ ระราชสาสน์ จากพระบรมมหาราชวงั ไปลงเรอื พระทน่ี ง่ั มณเี มขลา (Ocean Goddess) เพ่อื นำไปสง่ ยงั เรอื รบฝรง่ั เศสชื่อ จริ องเดอ (Gironde) ซึ่งทอดสมออยู่ที่นอกสันดอน

๒๗๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ทอดพระเนตรกระบวนแห่ แล้วโปรยทาน แล้วเอาช้างมาพาน เวลาพลบเสด็จขึ้น เวลา ๕ ทุ่มเศษ เสด็จออกพระที่นั่งเย็นทรงเครื่องใหญ่แล้วทรงพระราชนิพนธพ์ ระราชสาสน์ ทจ่ี ะไปถงึ สังโตปาปามิคาบริสุทธิ์ เวลา ๗ ทมุ่ เสดจ็ ขน้ึ วันอังคาร เดือนอ้าย แรม ๙ ค่ำ ปีกุน เบญจศก๑ เวลาบ่าย ๓ โมงเศษ เสด็จออก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม หลวงศักดิ์เสนีอ่านบอกถวายเรื่องนายสังสมุทมุนี มีพระบรมราชโองการ ดำรสั เหนอื เกลา้ ฯ สง่ั ใหม้ ที อ้ งตราขน้ึ ไปถอดหลวงนายสทิ ธิ จมน่ื รตั นโกษา แลว้ ใหเ้ อาตวั หลวงนายสทิ ธิ จมน่ื รตั นโกษากบั นายสดุ ใจมหาดเลก็ ลงมา ณ กรงุ เทพฯ ครน้ั เวลา ๒ ทมุ่ เศษ เสดจ็ ออก ณ พระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม มพี ระบรมราชโองการโปรดให้พระยาอภยั รณฤทธ์ิ ขน้ึ ไปเปน็ ตลุ าการชำระหลวงนายสทิ ธิ กบั จมน่ื รตั นโกษา นายสดุ ใจมหาดเลก็ ทก่ี รงุ เกา่ แลว้ ทรงแตง่ หมายประกาศทองเหรยี ญทองแป ครน้ั เวลา ๘ ทมุ่ เศษเสดจ็ ขน้ึ ณ วันพุธ เดือน ๑๐ แรม ๑๐ ค่ำ ปีกุน เบญจศก๒ เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จโดยทาง ชลมารคไปพระราชทานเพลงิ ศพพระยามหานภุ าพ ณ วดั อรณุ ฯ เวลาพลบคำ่ กเ็ สดจ็ กลบั วนั พธุ เดอื น ๙ แรม ๑๑ คำ่ ปกี นุ เบญศก๓ ฉลองเรอื พระทน่ี ง่ั พระบรมราชวรฤทธิ มพี ระสวด พระพุทธมนต์ ๑๐ รูป เวลาทุ่มเศษสวดพระพุทธมนต์จบแล้ว มีละครชั้นเล็กเรื่องอิเหนาบนพระที่นั่ง ราชกจิ วนิ จิ ฉยั ทา่ ราชวรดษิ ฐ์ พรอ้ มดว้ ยพระราชวงศานวุ งศข์ า้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาทผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ยฝา่ ยหนา้ ฝา่ ยใน มีแขกเมอื งลาวเจา้ เมอื งนา่ นเฝา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาท พระราชทานเลย้ี งสรุ าเครอ่ื งบรโิ ภคตา่ ง ๆ ตลอดไปจนเพล ครั้นรุ่งขึ้นวันพฤหัสบดี เดือน ๙ แรม ๑๒ ค่ำ๔ ทรงประเคนเลี้ยงโต๊ะพระสงฆ์ ๑๐ รูปแล้ว ทรงถวายไทยทานตา่ ง ๆ พระฉนั แลว้ มลี ะครเลน่ เรอ่ื งอเิ หนาสมโภชเรอื พระทน่ี ง่ั วนั องั คาร เดอื น ๑๐ ขน้ึ ๓ คำ่ ปกี นุ เบญจศก๕ เวลาบา่ ย ๓ โมง เสดจ็ ออกพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม พระยาราชวรานุกูลเอาชามศิลาเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายสำรับเข้ามาถวาย เวลาเย็นเสด็จพระราชดำเนิน ๑ น่าจะเปน็ วนั อาทิตย์ เดือนอ้าย แรม ๙ ค่ำ ปีกุน เบญจศก ตรงกับวันอาทิตยท์ ี่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๖ ถ้าเป็นวนั องั คาร จะเป็น แรม ๑๑ คำ่ ตรงกบั วนั ท่ี ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๖ ๒ ตรงกบั วนั พธุ ท่ี ๗ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๐๖ ๓ ตรงกับวนั พุธที่ ๙ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๐๖ ๔ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๐๖ ๕ ตรงกบั วนั องั คารที่ ๑๕ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๐๖

จดหมายเหตหุ อสาตราคม ๒๗๙ ไปทอดพระเนตรชา้ งทเ่ี จบ็ เสดจ็ ประทบั ทโ่ี รงชา้ ง แลว้ เสดจ็ กลบั ออกไปหา้ งฝรง่ั แลว้ เสดจ็ กลบั รบั ฎกี า แลว้ เสดจ็ ขน้ึ ขา้ งใน วนั พธุ เดอื น ๑๐ ขน้ึ ๔ คำ่ ๑ เวลาเชา้ มพี ระบรมราชโองการใหเ้ จา้ พนกั งานพระคลงั มหาสมบตั ิ แจกเบย้ี หวดั แกข่ า้ ราชการ วันอังคาร เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๐ ค่ำ ปีกุน เบญจศก๒ เวลาบ่าย ๒ โมงเศษ เสด็จออก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พร้อมด้วยข้าราชการเจ้าต่างกรมหากรมมิได้ แล้วมีพระบรมราชโองการให้ เจา้ พนกั งานแจกเบย้ี หวดั วนั จนั ทร์ เดอื น ๑๐ แรม ๑ คำ่ ปกี นุ เบญจศก๓ เวลาบา่ ย ๔ โมงเศษ เสดจ็ ออกพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม ประโคม ขา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาทพรอ้ มจนี เอาผา้ มว่ งดอกมาถวาย พระเจา้ ลกู เธอชงิ กนั กริ้วสั่งให้เขียนประกาศ ฝรั่งห้างเอาสิ่งของที่ทรงสั่งเป็นเงินบ้างกะไหล่บ้างมาถวายทอดพระเนตร แลว้ รบั สง่ั ใหพ้ นกั งานคลงั คดิ ราคาใหแ้ ลว้ รบั สง่ั ใหห้ ากรมหมน่ื วรจกั รดว้ ยพระบงั คน วนั พธุ เดอื น ๑๐ แรม ๓ คำ่ ปกี นุ เบญจศก๔ เวลา ๕ โมงเศษ เสดจ็ ออกพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม ทำขวญั นาคองคศ์ รสี วสั ดเ์ิ จา้ เขมรทพ่ี ระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม เวลากลางคนื ปนื ใหญก่ ระสนุ ๓ นว้ิ มาถงึ ดว้ ย วนั จนั ทร์ เดอื น ๑๐ แรม ๘ คำ่ ปกี นุ เบญจศก๕ เสดจ็ ออกพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม เวลาบา่ ย ๓ โมงเศษ แลว้ เสดจ็ ไปตกึ ทฝ่ี รง่ั เชา่ กลบั เยน็ กรว้ิ มาลาภษู า วันพุธ เดือน ๑๐ แรม ๑๐ ค่ำ ปีกุน เบญจศก๖ เวลาบ่าย ๕ โมง เสด็จพระราชดำเนิน พระราชทานเพลิงที่ศพพระยามหานุภาพ กริ้วพวกทิ้งลูกกัลปพฤกษ์ยังไม่มีพระบรมราชโองการ ใหท้ ง้ิ ไปทง้ิ เสยี กอ่ น รบั สง่ั ใหล้ งพระราชอาญาคนละ ๒๐ ที เวลาทมุ่ เศษ เสดจ็ กลบั พระราชวงั ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๑๐ แรม ๑๑ ค่ำ๗ มีพระบรมราชโองการให้เจ้าพนักงาน ๑ ตรงกบั วันพธุ ท่ี ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๐๖ ๒ ตรงกับวันอังคารที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๐๖ ๓ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๐๖ ๔ ตรงกับวันพุธที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๐๖ ๕ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๖ ๖ ตรงกับวันพุธที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๖ ๗ ตรงกบั วันพฤหสั บดที ี่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๖

๒๘๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ จดั การเปน็ ของหลวงอกี วนั หนง่ึ เกณฑเ์ จา้ พนกั งานใหค้ รบทกุ พนกั งานเปน็ การกวดขนั แขง็ แรง เวลาบา่ ย ๓ โมงเศษ เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคอีกเวลาหนึ่ง มีของเครื่องไทยทานต่างๆ เป็นของหลวง มีลกู กลั ปพฤกษ์ เปน็ ตน้ ครน้ั เวลา ๔ โมงเศษเสดจ็ กลบั ประทบั สวนนนั ทอทุ ยาน แลว้ เวลาเยน็ เสดจ็ กลบั พระมหาราชวงั ครน้ั รงุ่ ขน้ึ วนั ศกุ ร์ เดอื น ๑๐ แรม ๑๒ คำ่ ๑ เวลาเชา้ ทรงปฏบิ ตั พิ ระในพระทน่ี ง่ั ไพศาลทกั ษณิ พธิ พี ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ๑ ตรงกับวันศุกร์ที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๖

จดหมายเหตเุ สดจ็ หวา้ กอ ๒๘๑ จดหมายเหตเุ สดจ็ หวา้ กอ

๒๘๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔

จดหมายเหตเุ สดจ็ หวา้ กอ ๒๘๓ จดหมายเหตเุ สดจ็ หวา้ กอ๑ ปมี ะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงคำนวณไว้แต่เมื่อปีขาลอัฐศก๒ ว่า ในปีมะโรง สัมฤทธิศ๑ก๘ จุลศักราช ๑๒๓๐๓ จะมีสุริยุปราคาจับหมดดวงเมื่อเดือน ๑๐ ขึ้นค่ำ ๑๔ ซึ่งยากนัก ทจ่ี ะไดเ้ หน็ ในพระราชอาณาจกั ร ดว้ ยวธิ โี หราศาสตรไ์ ดท้ รงสะสมมานานตามสารมั ภไ์ ทยสารมั ภม์ อญ แตต่ ำราอเมรกิ นั ฉบบั เกา่ และตำราองั กฤษเปน็ หลายฉบบั ไดท้ รงคำนวณสอบสวนตอ้ งกนั ไดท้ รงกะการ ตามในแผนทว่ี า่ จะมเี ปน็ แน่ ทวปี ขยิ อดุ ร อง๑ศ๑า ลปิ ด๔๑า พลิ ปิ ด๔๐า เปน็ ตะวนั ตกกรงุ เทพพระมหานคร เพียงลิปด๕า๐ เวลา กับในกรุงเทพพระมหานครเพียง ๓ นาทีกับ ๒๐ วินาที ได้ทรงพิจารณาละเอียด ถ้วนถี่แล้ว ว่าพระอาทิตย์จะจับหมดดวง และจะเห็นบนหน้าแผ่นดินไปไกลถึงลิปดา ต่อ ลิปดา ๑๓๐ ๑๔๐ ที่ตำบลหว้ากอแขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ ตรงเกาะจานเข้าไปเป็นท่ามกลางที่มืดหมดดวง ขึ้นมา ขา้ งบนถงึ เมอื งปราณบรุ ี ลงไปขา้ งใตถ้ งึ เมอื งชมุ พร ไดท้ ราบการเปน็ แนด่ งั นแ้ี ลว้ จงึ มพี ระบรมราชโองการ ดำรสั สง่ั เจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศท์ ส่ี มหุ พระกลาโหม๕ ใหจ้ ดั การจา้ งคนในหวั เมอื งเพชรบรุ ี เมอื งปราณบรุ ี เมอื งประจวบครี ขี นั ธ์ เมอื งกำเนดิ นพคณุ เมอื งปะทวิ และนายงานหลายนาย ใหจ้ ดั การทำคา่ ยหลวง และพลบั พลาทป่ี ระทบั แรมทต่ี ำบลหวา้ กอ ตรงเกาะจานเขา้ ไปใตค้ ลองวาฬลงไปทาง ๒๔ เสน้ แลว้ โปรด ใหแ้ ตง่ คำประกาศตพี มิ พแ์ จกใหท้ ราบทว่ั กนั ในครง้ั นพ้ี วกนกั ปราชญฝ์ รง่ั เศสไดท้ ราบวา่ สรุ ยิ ปุ ราคาจะมใี นพระราชอาณาจกั รแผน่ ดนิ สยาม มี หนังสือมาถึงกงสุลฝรั่งเศสที่อยู่ในพระนครนี้ให้กราบทูลขอพระราชทานอนุญาตที่จะเข้ามาดูสุริยุปราคา ก็โปรดพระราชทานตามประสงค์ พวกฝรั่งเศสมาเที่ยวค้นหาที่จะดูเป็นหลายตำบล ค้นลงไปถึง เมืองชุมพรก็ไม่ได้ตำบลซึ่งจะชี้ให้ตรงที่กึ่งทางกลางพระอาทิตย์ ครั้นเมื่อท่านสมุหพระกลาโหม ๑ โปรดดคู ำนำภาคที่ ๑๙ (ฉบับพมิ พ์คร้งั แรก เม่อื พ.ศ. ๒๔๖๓ ทีเ่ รอ่ื งจดหมายเหตหุ อสาตราคม หนา้ ๒๖๕) ๒ ตรงกับ จ.ศ. ๑๒๒๘ พ.ศ.๒๔๐๙ ๓ ตรงกบั พ.ศ. ๒๔๑๑ ๔ ตรงกบั วนั องั คารท่ี ๑๘ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๕ ต่อมาเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) รับราชการตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๒ ต่อมาจนในรัชกาลที่ ๓ ได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสิทธิ์นายเวรมหาดเล็ก เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทรงตั้งให้ เปน็ เจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศว์ า่ ทส่ี มหุ พระกลาโหม โปรดใหส้ รา้ งตราศรพระขรรคพ์ ระราชทาน ตอ่ มาเมอ่ื ไดเ้ ปน็ ทส่ี มหุ พระกลาโหมเตม็ ตำแหนง่ แลว้ จึงโปรดให้ใช้ตราศรพระขรรค์คู่กับตราพระคชสีห์ และได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั กิ อ่ นพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษกครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๑๖

๒๘๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ กะการใหต้ ง้ั ท่คี า่ ยหลวงทต่ี ำบลหวา้ กอตรงเกาะจานเขา้ ไป พวกนกั ปราชญฝ์ รง่ั เศสจงึ มาขอตง้ั โรงทจ่ี ะดนู น้ั แห่งหนึ่งต่ำลงไปข้างใต้พลับพลาที่ค่ายหลวงทาง ๑๘ เส้น ตั้งเครื่องกล้องใหญ่น้อยหลายอย่าง ประมาณ ๕๐ คนั เศษ ครั้น ณ วันศุกร์ เดือน ๙ แรม ๔ ค่ำ๑ เวลาเช้า ๔ โมง ๕๐ นาที เสด็จพระราชดำเนิน โดยเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดช ออกจากท่านิเวศวรดิษฐ ใช้จักรไปถึงเมืองสมุทรปราการเวลาเที่ยง แล้ว ๑๕ นาที ทอดสมออยู่ ๓ ชั่วโมงเศษ เวลาบ่าย ๔ โมง ๑๕ นาที ใช้จักรออกจากที่ทอดสมอ แลว้ ขา้ มสนั ดอนตกนำ้ ลกึ ๓ วา เยน็ ๕ โมง ๔๓ นาที แลว้ ยงิ สลตุ รบั ๓ นดั เรอื สยามมปู สดมั ภ์ กย็ งิ รบั ๑๒ นดั จนถงึ เวลา ๖ โมง ๑๒ นาที รุ่งขึ้นวันเสาร์ เดือน ๙ แรม ๕ ค่ำ๒ เวลาย่ำรุ่งแล้วถึงเขาสามร้อยยอด ใช้จักรไปเวลา ๔ โมงเช้าถึงเกาะหลัก เวลาเที่ยงถึงที่ทอดสมอหน้าค่ายหลวงตำบลหว้ากอ ที่ตรงนั้นน้ำลึก ๘ ศอก อยู่ใต้คลองวาฬเหนือเกาะจาน แต่อากาศมืดคลุ้ม มีแต่เมฆคลุมไปทุกทิศทุกแห่งไม่เห็นแดด และเดอื นดาวเลย พระอาทติ ยพ์ ระจนั ทรเ์ หน็ บา้ งราง ๆ บาทนาฬกิ าหนง่ึ บา้ งกง่ึ บาทบา้ ง และทท่ี อดเรอื หน้าค่ายหลวง ที่ตรงตำบลหว้ากอนั้นคลื่นใหญ่ เรือโคลงอยู่เสมอ เรือพระที่นั่งทอดสมออยู่ที่ หน้าค่ายหลวงประมาณ ๖ ชั่วโมง ครั้นเวลาย่ำค่ำมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้ถอยเรือพระที่นั่ง กลับไปทอดประทับแรมอยู่ที่อ่าวมะนาว อันเป็นที่ลับบังลมไม่มีคลื่นใหญ่ เหนือที่พลับพลาไปทาง ประมาณ ๒๐๐ เสน้ เศษ ทอดประทบั แรมอยู่ ๒ วนั ณ วันจันทร์ เดือน ๙ แรม ๗ ค่ำ๓ เวลาเย็น เสด็จพระราชดำเนินขึ้นจากเรือพระที่นั่ง อรรคราชวรเดชขึ้นฝั่ง ทรงม้าพระที่นั่ง ตั้งแต่อ่าวมะนาวลงไปถึงพลับพลาค่ายหลวงตำบลหว้ากอ เวลาย่ำค่ำ เรือพระที่นั่งก็ถอยลงไปทอดอยู่ที่หน้าค่ายหลวงห่างฝั่งประมาณ ๒๐ เส้นเศษ เรอื อคั เรศรตั นาศน์ เรอื สยามปู สดมั ภ์ และเรอื อน่ื ๆ กท็ อดลอ้ มวงอยชู่ น้ั นอกพรอ้ มกนั รุ่งขึ้น ณ วันอังคาร เดือน ๙ แรม ๘ ค่ำ๔ เวลาเช้า ๓ โมงเศษ ได้พระฤกษ์ยกเสาธง และฉัตร ชักธงพระจอมเกล้าขึ้นที่พลับพลาค่ายหลวง รับสั่งให้ประโคม แล้วทรงจุดปืนใหญ่ด้วย ๑ ตรงกับวันศุกร์ที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๒ ตรงกบั วนั เสารท์ ่ี ๘ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๓ ตรงกบั วนั จนั ทรท์ ่ี ๑๐ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๔ ตรงกับวันอังคารที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑

จดหมายเหตเุ สดจ็ หวา้ กอ ๒๘๕ พระหตั ถ์ สลตุ ธงสลบั กนั กบั ทหารปนื ใหญฝ่ า่ ยละนดั ครบ ๒๑ นดั ทง้ั ๒ ขา้ ง๑ ปนื เรอื สยามปู สดมั ภ์ ได้ยิงอีก ๒๑ นัด รวมเป็น ๖๓ นัด เวลาบ่าย ๑ โมง พวกนักปราชญ์ฝรั่งเศสมาเฝ้าที่พลับพลา ๘ นายพระราชทานทองคำบางสะพาน๒ ทกุ นาย รุ่งขึ้น ณ วันพุธ เดือน ๙ แรม ๙ ค่ำ๓ เวลาย่ำค่ำ พวกออฟิเซอร์ในเรือรบ ๑๒ นาย ขน้ึ มาเฝา้ ทพ่ี ลบั พลา พระราชทานทองคำบางสะพานทกุ นาย ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๙ แรม ๑๐ ค่ำ๔ เวลาเช้า กัปตันนายเรือรบฝรั่งเศสขอเชิญ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานารถ๕ ให้เสด็จลงไปเที่ยวในเรือรบ โปรดเกล้า ฯ ให้พณหัวเจ้าท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ลงไปด้วย กัปตันจัดการรับเสด็จเหมือนอย่าง รับกษัตริย์ในประเทศยุโรป มีทหารทอดกริบและยืนเพลา แล้วยิงปืนใหญ่รับ ๒๑ นัด ทหารประจุปืน ปัศตันลุกขึ้นลากกระชากเอาแขนขาดตายคน ๑ ครั้นเวลาค่อนเที่ยงทรงวัดแดดสอบแผนที่ที่ตั้ง ค่ายหลวง ครั้นเวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จพระราชดำเนินไปที่โรงนักปราชญ์ฝรั่งเศสมาตั้งอยู่ เวลาจวนคำ่ เสดจ็ กลบั ณ วันศุกร์ เดือน ๙ แรม ๑๑ ค่ำ๖ เวลาเช้า ๓ โมงเศษ มิสเตอร์อัลบาสเตอร์ ๗ ผวู้ า่ ราชการแทนกงสลุ องั กฤษขน้ึ ไปเฝา้ ทพ่ี ลบั พลา โปรดใหย้ งิ ปนื รบั ๗ นดั ณ วันเสาร์ เดือน ๙ แรม ๑๒ ค่ำ๘ เวลาเช้า ๓ โมง เรือเจ้าพระยามาถึงที่ค่ายหลวง ได้ทรงรับหนังสือข่าวต่าง ๆ หลายฉบับ กับของที่สั่งไปจัดซื้อมาแต่เมืองลอนดอนสำหรับแจกใน ๑ ในงานพระราชพิธีที่สำคัญกำหนดให้มีการยิงสลุตถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามธรรมดายิงจำนวน ๒๑ นัด เรียกว่า สลตุ หลวง ๒ จากหลักฐานในพงศาวดารหลายฉบับบันทึกว่า ใน พ.ศ. ๒๒๙๐ รัชสมัยพระเจ้าบรมโกศ ได้พบทองคำที่ตำบลบางสะพาน จงึ เกณฑไ์ พรไ่ ปรอ่ นทอง นำเขา้ มาถวาย ๙๐ ชง่ั เศษ มพี ระราชศรทั ธาใหน้ ำไปปดิ มณฑปพระพทุ ธบาท ทองคำบางสะพานจงึ เรม่ิ เปน็ ทร่ี จู้ กั รชั กาลท่ี ๓ ทรงยกฐานะบางสะพานเปน็ เมอื งพระราชทานนามวา่ เมอื งกำเนดิ นพคณุ แปลวา่ เปน็ ทเ่ี กดิ แหง่ ทองเนอ้ื ดี ๓ ตรงกบั วนั พธุ ท่ี ๑๒ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๔ ตรงกบั วนั พฤหสั บดที ่ี ๑๓ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๕ คือ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กอ่ นขน้ึ ครองราชย์ ๖ ตรงกบั วนั ศกุ รท์ ่ี ๑๔ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๗ มิสเตอร์อัลบาสเตอร์ (Mr. Henry Alabaster) เป็นชาวอังกฤษเดินทางมายังกรุงเทพ ฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๙ เพื่อฝึกเรียน ภาษาไทย จนได้เป็นล่ามของกงสุลอังกฤษ เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๐ มิสเตอร์นอกส์ (Mr.Knox) กงสุลอังกฤษไปเมืองนอก มิสเตอร์อัลบาสเตอร์ จงึ รบั หนา้ ทร่ี กั ษาการแทนกงสลุ องั กฤษ และไดเ้ ดนิ ทางไปเฝา้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทห่ี ว้ากอดว้ ย ๘ ตรงกบั วนั เสารท์ ่ี ๑๕ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๑๑

๒๘๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ การพระราชพธิ โี สกนั ตอ์ กี มาก * ณ วนั อาทติ ย์ เดอื น ๙ แรม ๑๓ คำ่ ๑ เซอรแ์ ฮรี ออรด์ ๒ เจา้ เมอื งสงิ คโปร์มาดว้ ยเรอื กลไฟ ๓ ลำ ถงึ หวา้ กอเวลา ๓ โมงเชา้ โปรดใหห้ ลวงพเิ ศษพจนการ** เปน็ ขา้ หลวงไปเยย่ี มเยอื น ครน้ั ณ วนั จนั ทร์ เดอื น ๙ แรม ๑๔ คำ่ ๓ เจา้ เมอื งสงิ คโปร์ ขน้ึ มาเฝา้ ทพ่ี ลบั พลาคา่ ยหลวง โปรดใหย้ งิ ปนื สลตุ รบั ๑๑ นดั ใหพ้ ระราชทานทองคำบางสะพาน ตง้ั แตเ่ จา้ เมอื งสงิ คโปรแ์ ละพวกออฟเิ ซอร์ ทข่ี น้ึ มาเฝา้ ทกุ คน แลว้ ใหไ้ ปอยทู่ เ่ี รอื นพกั ซง่ึ ทำไวร้ บั เขา รงุ่ ขน้ึ ณ วนั องั คาร เดอื น ๑๐ ขน้ึ คำ่ ๑๔ เวลา ๒ โมงเชา้ เจา้ พนกั งานเตรยี มกลอ้ งใหญน่ อ้ ย เครื่องทรงทอดพระเนตรสุริยุปราคา เวลาเช้า ๔ โมง ๓ นาที เสด็จออกทรงกล้อง แต่ท้องฟ้า เป็นเมฆฝนคลุมไปในด้านตะวันออกไม่เห็นอะไรเลย ต่อเวลา ๔ โมง ๑๖ นาที เมฆจึงจาง สว่างออกไปเห็นดวงพระอาทิตย์ไร ๆ แลดูพอรู้ว่าจับแล้ว จึงประโคม เสด็จสรงมุรธาภิเษก ครั้นเวลา ๕ โมง ๒๐ นาที แสงแดดอ่อนลงมา ท้องฟ้าตรงดวงพระอาทิตย์สว่างไม่มีเมฆเลย ที่อื่นแลเห็น ดาวใหญด่ า้ นตะวนั ตกและดาวอน่ื ๆ มากหลายดวง เวลา ๕ โมง ๓๖ นาที ๒๐ วนิ าที จบั สน้ิ ดวง เวลานั้นมืดเป็นเหมือนกลางคืนเวลาพลบค่ำ คนที่นั่งใกล้ ๆ ก็แลดูไม่รู้จักหน้ากัน พระราชทานเงิน แจกพระราชวงศานวุ งศ์ และขา้ ราชการผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ย ซง่ึ ตามเสดจ็ พระราชดำเนนิ ออกไปทว่ั กนั รุ่งขึ้น ณ วันพุธ เดือน ๑๐ ขึ้น ๒ ค่ำ๕ เวลาเช้า ๓ โมงเศษ เจ้าเมืองสิงคโปร์ขอ ถา่ ยพระรปู แลว้ โปรดใหม้ ลี ะครขา้ งในใหพ้ วกองั กฤษและฝรง่ั เศสดู ใหพ้ าภรรยาเจา้ เมอื งสงิ คโปรเ์ ขา้ ไปขา้ งใน ไดพ้ ระราชทานทองและกา๊ ศ *** พระเจา้ ลกู เธอฝา่ ยในทกุ พระองค์ เวลาบา่ ย ๓ โมง ๑๕ นาที เสดจ็ ลง เรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดช พวกทหารปืนใหญ่ยิงสลุตส่งเสด็จ ๒๑ นัด ทหารที่ยิงปืนปัศตันลุกขึ้น ลากพุ่งออกมากระชากเอาแขนขาดไปข้างหนึ่งตายในที่นั้น เรือพระที่นั่งออกจากที่ทอดหน้าค่ายหลวง ใชจ้ กั รมากรงุ เทพมหานคร * คอื เตรยี มการโสกนั ตส์ มเดจ็ เจา้ ฟา้ กรมพระจกั รพรรดพิ งศ์ ๑ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ **๒ Sir Harry Ord ข้าหลวงองั กฤษประจำสงิ คโปร์ ปกครองระหว่าง พ.ศ. ๒๔๑๐ - ๒๔๑๖ ๓ ชอ่ื หวาด บนุ นาค ในรชั กาลท่ี ๕ ไดเ้ ปน็ พระยาอรรคราชนารถภกั ดี ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๔ ตรงกับวนั อังคารที่ ๑๘ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ***๕ ตรงกับวันพุธที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ คือ การ์ด

เรอ่ื ง เซอร์ แฮรี ออรด์ เจา้ เมอื งสงิ คโปร์ ฯ ๒๘๗ เรอ่ื ง เซอร์ แฮรี ออรด์ เจ้าเมืองสิงคโปร์ ไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยาม ในรชั กาลกอ่ นทต่ี ำบลหวั วาฬ

๒๘๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔

เรอ่ื ง เซอร์ แฮรี ออรด์ เจา้ เมอื งสงิ คโปร์ ฯ ๒๘๙ เรอ่ื ง เซอร์ แฮรี ออรด์ เจา้ เมอื งสงิ คโปร์ ไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามในรัชกาลก่อน ทต่ี ำบลหวั วาฬ เมอ่ื เดอื นสงิ หาคม ค.ศ. ๑๘๖๘ (ปมี ะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ ) สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยาม (คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) พระองค์นี้ คนทั้งหลายย่อมทราบกันดีว่าพระองค์ทรงเชี่ยวชาญในวิทยาศาสตร์ ทรงใฝ่พระราชหฤทัยอย่างยิ่ง ในเรื่องสุริยุปราคาอันได้ทรงคำนวณไว้ว่าจะปรากฏขึ้นในวันที่ ๑๘ สิงหาคม และโดยที่เส้นศูนย์ ของสุริยุปราคาจะผ่านมาใกล้ที่สุด ณ ตำบลหัววาฬ๑ เป็นหมู่บ้านอยู่ในพระราชอาณาเขตสยาม ทางฝั่งทะเลตะวันออกของแหลมมลายู ตรงเส้นวิตถันดร ( แลตติดจูต ) ๑๑ องศา ๓๘ ลิปดา ทิศเหนือ และเส้นทีรฆันดร (ลองติดจูต) ๙๙ องศา ๓๙ ลิปดาทิศตะวันออก อยู่เกือบชิด เชิงเขาหลวงสูง ๔๒๓๖ ฟิต อันเป็นที่บนพื้นโลกซึ่งสุริยุปราคาจะปรากฏหมดดวงนานที่สุดด้วย พระองคต์ ง้ั พระราชหฤทยั จะเสดจ็ พระราชดำเนนิ ไปยงั ทน่ี น้ั และทรงเลอื กสรรสถานทป่ี ระทบั ในทใ่ี กลแ้ ถบนน้ั เพอ่ื ทอดพระเนตรสง่ิ อนั จะไดป้ รากฏขน้ึ ในโลกน้ี จงึ เสดจ็ พรอ้ มดว้ ยพระบรมวงศานวุ งศ์ ขา้ ทลู ละอองธลุ ี พระบาทมุขมาตยมนตรีโดยเสด็จเป็นพระราชบริพารเสด็จพระราชดำเนินยังหัววาฬในต้นเดือนสิงหาคม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งที่ประทับ (ค่ายหลวง) ที่ริมฝั่งทะเลลงไปทางทิศใต้ ๒-๓ ไมล์ ตรงเส้นศูนย์แห่งวิถีดวงอาทิตย์ และทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ รัฐบาล ฝรง่ั เศสสง่ พวกตรวจการวทิ ยาศาสตรอ์ นั ไดจ้ ดั สง่ มาจากกรงุ ปารสี มาเฝา้ ยงั ทน่ี น้ั เพอ่ื ดสู รุ ยิ ปุ ราคาใหใ้ กลท้ ส่ี ดุ และซง่ึ สรุ ยิ ปุ ราคาจะจบั อยนู่ านทส่ี ดุ ดว้ ย สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยาม ยังทรงพระกรุณาเอื้อเฟื้อแนะนำนายอัลบาสเตอร์ ผู้รั้งตำแหน่ง กงสุลของพระนางเจ้ากรุงเกรตบริเตน๒ประจำกรุงสยามว่า บางทีท่านเซอร์แฮรี ออร์ด ผู้ว่าราชการ สเตรทเซทเติลเมนต์ ๓ จะรู้สึกเต็มใจถือเอาโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับอยู่ ๑ ปจั จบุ นั อยใู่ นเขตตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง จังหวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ ๒ สมเดจ็ พระราชนิ วี กิ ตอเรยี ๓ Straits Settlement คือเขตปกครองของอังกฤษในช่องแคบมะละกา ประกอบด้วย ปีนัง โปรวินซ์เวลสลีย์ มะละกา สิงคโปร์ ระยะแรกเมอื งหลวงอยทู่ ป่ี นี งั ภายหลงั ยา้ ยเมอื งหลวงไปยงั สงิ คโ์ ปร์ การปกครองสเตรตส์ เซทเตลิ เมนต์ ในระยะแรกขน้ึ กบั รฐั บาลองั กฤษทอ่ี นิ เดยี ต่อมาได้โอนไปขึ้นกับกระทรวงอาณานิคมที่ลอนดอน ข้าหลวงคนแรกแห่งกระทรวงอาณานิคม คือ เซอร์แฮรี ออร์ด ปกครองระหว่าง พ.ศ. ๒๔๑๐ - ๒๔๑๖

๒๙๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ในระหวา่ งทไ่ี มส่ หู้ า่ งไกลจากเมอื งสงิ คโปร์ ๑ นกั มาเฝา้ ทต่ี ำบลหวั วาฬ จะไดด้ ูสรุ ยิ ปุ ราคาไดเ้ หมาะทส่ี ดุ และกระทำความคุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการด้วย และยังทรงพระกรุณามีพระราชดำรัสเพิ่มเติมว่ามีพระราชประสงค์ใคร่ทรงพบปะเซอร์แฮรี ออร์ด และจะทรงต้อนรับเพื่อให้ได้รับความสุขสมแก่เกียรติยศทุกอย่าง ก็ในขณะนั้นมีเรื่องที่เซอร์แฮรี ออร์ด จะต้องไปพบกับรายาเมืองปาหังและเมืองตรังกานูทางฝ่ายตะวันออกแหลมมลายูอยู่ด้วย ครั้นทราบว่า ถ้ายืดระยะทางของตนยาวออกไปอีกหน่อยก็จะสามารถดูสุริยุปราคาได้ชัดเจน และได้เฝ้ากระทำ ความคุ้นเคยกับสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินและพระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการกรุงสยาม เซอร์แฮรี ออร์ด จึงตอบไปยังกงสุลทันที ขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า ท่านรู้สึก เปน็ เกยี รตยิ ศในการทท่ี รงพระมหากรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ชญิ นย้ี ง่ิ นกั จะขน้ึ ไปเฝา้ ตามพระราชประสงค์ การที่เซอร์แฮรี ออร์ดจะไปหัววาฬครั้งนี้ มีเวลาที่จะจัดเตรียมตรวจการวิทยาศาสตร์ ในสิ่งที่จะปรากฏขึ้นในโลกเนื่องด้วยสุริยุปราคานี้น้อยนัก ได้อาศัยความช่วยเหลือของนายพันตรีแมกแนร์ นายช่างประจำเมือง (โคโลเนียล อินชิเนียร์)๒ จึงจัดหาได้เครื่องมือต่าง ๆ เท่าที่พอจะหาได้ โดยตง้ั ใจวา่ จะไมใ่ หเ้ สยี โอกาสทจ่ี ะใชเ้ ครอ่ื งมอื เหลา่ นใ้ี หเ้ ปน็ ประโยชน์ ครั้นถึงวันที่ ๑๒ สิงหาคม เวลาค่ำ ท่านเจ้าเมืองลงเรือ “ไปโห” ๓ เป็นเรือราชการ ประจำหวั เมอื งประเทศราช ออกจากเมอื งสงิ คโปรพ์ รอ้ มดว้ ยนายพนั ตรแี มกแนร์ กรมทหารปนื ใหญห่ ลวง นายรอ้ ยเอกมอยเสย์ กรมทหารชา่ งหลวง นาย ห.ฟ.เปลา เลขานกุ ารสว่ นตวั และนายรอ้ ยโท ช.ท. คมั มนิ ส์ นายทหารคนสนิท คุณหญิงออร์ดได้ตามท่านเจ้าเมืองมาด้วย ตั้งแต่ออกจากเมืองสิงคโปร์มาแล้วไม่มี คลื่นลม นับว่าได้เดินทางมาสะดวก ในคืนวันที่ ๑๕ สิงหาคม เรือกลไฟท่านเจ้าเมืองขึ้นไปถึง ได้ทอดสมอใต้หัววาฬลงมาประมาณ ๔๕ ไมล์ เช้าวันรุ่งขึ้นจึงเลื่อนขึ้นไปที่ตำบลหัววาฬ พบเรือหลวง (ฝรั่งเศส) สารถิ์ ๔ และเรือเฟรลอง๕ เรือหลวงสยามอิมเพรกนะบล๖ (ยงยศอโยชฌิยา) เรือสยามสับปอรเตอร์ ๗ (สยามูปสดัมภ์) เรือเจ้าพระยา (ลำนี้ไม่ใช่เรือหลวง เป็นเรือค้าขายของ ๑ เมอื งหลวงของสเตรตส์ เซทเตลิ เมนต์ ๒ Colonial Engineer ๓ Peiho ๔ Sarthe ๕ Frelon ๖ Impregnable ๗ Siam Supporter

เรอ่ื ง เซอร์ แฮรี ออรด์ เจา้ เมอื งสงิ คโปร์ ฯ ๒๙๑ พระยาพิสณฑ์ เจ้าสัวยิ้ม) เรือพระที่นั่ง (อรรคราชวรเดช) เรือปืนขนาดเล็กและเรืออื่น ๆ อีกหลายลำ เรือหลวง (อังกฤษ) สเตลไลต์ ๑ ในบังคับบัญชาของนายนาวาเอกเอดีย์ และเรือกราสฮอปเปอร์ ๒ ในบังคับบัญชาของนายเรือเอกฟิลปอต ก็ได้มาถึงในเช้ารุ่งขึ้น นายนาวาเอกเอดีย์ ซึ่งเดินทางจะไป เมอื งฮอ่ งกงไดร้ บั คำชกั ชวนของทา่ นเจา้ เมอื ง จงึ แปรทางมาประสงคใ์ หม้ เี รอื รบองั กฤษ มาอยดู่ ว้ ยในโอกาสนน้ั เพอ่ื ชกั ธงแสดงความยนิ ดยี งิ สลตุ ตอบ สถานที่ซึ่งสร้างไว้เป็นที่พักอาศัยเป็นที่อยู่ริมหาดตอนหนึ่งซึ่งเป็นที่ป่าไม้อยู่ก่อน มาแผ้วโก่นโค่น สร้างในคราวนี้ แล้วปลูกพลับพลาและทำเนียบเป็นอันมากสำหรับข้าราชการต่าง ๆ ในราชสำนัก และแขกเมอื งชาวยโุ รปพกั อาศยั สมเดจ็ พระเจา้ แผน่ ดนิ ประทบั ในคา่ ยหลวง ตำหนกั ทป่ี ระทบั ทำดว้ ยไม้ ชั่วคราวเป็นตำหนัก ๓ ชั้น ด้วยธรรมเนียมไทยผู้มีศักดิ์ต่ำจะอยู่ในที่สูงกว่าไม่ได้ หรือในส่วน พระเจ้าแผ่นดินจะอยู่ในที่เสมอกันกับใคร ๆ ก็ไม่ได้ ทำเนียบแห่งอื่นปลูกเป็นเรือนชั้นเดียว แต่ยกพื้น ในประดนสูงพ้นจากพื้นดินสัก ๓ ฟิตทุกหลัง ทำเนียบเหล่านี้สร้างด้วยไม้ไผ่ผ่าซีกแทบทั้งหมด มุงด้วยจากบ้างใบตาลแห้งบ้างตามนิยมของประเทศ ทำเนียบหมู่หนึ่งก็มีรั้วทำด้วยกิ่งไม้อย่างเรียบร้อย ลอ้ มรอบมดิ ชดิ มองไมเ่ หน็ และในบรเิ วณหรอื ลานทำเนยี บมโี รงทอ่ี ยสู่ ำหรบั คนใชแ้ ละบรวิ ารเปน็ อนั มาก ท่านเจ้าเมืองกับคณะที่มาด้วยมี นายพันตรีแมกแนร์ นายร้อยเอกมอยเสย์ กรมทหารช่างหลวง นายร้อยโทคัมมิน์ส นายทหารคนสนิท นายนาวาเอกเอดีย์ นายเรือเอกออสโบน กับนายทหาร ราชนาวีอังกฤษอื่น ๆ อีกหลายนาย ขึ้นบกเวลาเช้าวันที่ ๑๗ นั้น มีทหารกองปืนใหญ่สนาม ซึ่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินโปรดให้มาจากกรุงเทพฯ ตั้งยิงสลุตรับนายอัลบาสเตอร์ ผู้รั้งกงสุลของ พระนางเจ้ากรุงเกรตบริเตนประจำกรุงเทพฯ กับคณะพวกกงสุล และข้าราชการสยามบางคน ก็พากันมาต้อนรับพาไปยังที่พักของท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุหพระกลาโหม (สมเด็จเจ้าพระยา บรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ - ชว่ ง บนุ นาค ) หรอื อยา่ งทเ่ี รยี กกนั วา่ อคั รมหาเสนาบดี ตามธรรมเนยี มของชาวสยาม แขกเมืองต้องไปหาเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศก่อน ภายหลังจึงไปเยี่ยมอัครมหาเสนาบดี ถ้าผู้นั้น มียศศักดิ์เพียงพอกันก็จะได้นำขึ้นเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน แต่โดยเหตุที่เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๒ กรมขุนวรจักร๓ ฯลฯ) พักอยู่ห่างจากที่พักกลาโหมไปไกล และด้วยความ ๑ Satelite ๒ Grasshopper ๓ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมขนุ วรจกั รธรานภุ าพ

๒๙๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เอื้อเฟื้อของท่านกลาโหม ท่านได้จัดการต้อนรับ เซอร์แฮรี ออร์ด เสียพร้อมกันทั้งสองท่านในเวลาเดียว ณ บา้ นทพ่ี กั ของทา่ นสมหุ พระกลาโหม ทา่ นกลาโหมผนู้ ม้ี อี ายปุ ระมาณ ๕๕ ปี (ตามความจรงิ ๖๐ ป)ี รปู ทรงออกจะเตย้ี ดวงตาคม มสี งา่ อปุ นสิ ยั ใจคอของทา่ นผนู้ ้ี เซอรจ์ อหน์ เบาวรงิ ๑ ไดพ้ รรณนาไวใ้ นหนงั สอื เรอ่ื งท่ี เซอรจ์ อหน์ เบาวรงิ เปน็ ราชทตู มากรงุ สยามเมอ่ื (ค.ศ.) ๑๘๕๕๒ ซง่ึ วา่ “ อัธยาศัยในส่วนตัวของท่านอัครมหาเสนาบดีนั้นน่าชมมาก ทา่ นเปน็ คนสำคญั ทส่ี ดุ ของ คหบดีสกุลมหาศาลในพระราชอาณาจักร เป็นคนสำคัญที่ยกย่องพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ ขึ้นครองราชสมบัติ ป้องกันความมุ่งหมายของพระราชบุตรในรัชกาลก่อนมิให้สำเร็จได้ จงึ ไดท้ รงพระกรณุ าตง้ั แตง่ ใหเ้ ปน็ อคั รมหาเสนาบดี ทา่ นไดก้ ลา่ วกบั ขา้ พเจา้ หลายครง้ั หลายหนวา่ ถา้ ทางดำเนนิ การของขา้ พเจา้ เปน็ ไปเพอ่ื ชว่ ยราษฎรใหห้ ลดุ พน้ จากความกดขบ่ี บี คน้ั และใหป้ ระเทศ พ้นจากการผูกขาดปิดประตูค้าแล้ว ท่านจะร่วมมือทำการด้วยข้าพเจ้า และถ้าข้าพเจ้าทำการ ไปสำเร็จ ชื่อเสียงของข้าพเจ้าก็จักปรากฏไปตลอดยุคกาล ท่านได้แสดงข้อเสียหายต่าง ๆ ให้ข้าพเจ้าฟังมิได้ปกปิดอย่างไร และมักกล่าวด้วยวาจาไพเราะเฉียบขาด ถ้าท่านเป็นผู้มั่นคง ตอ่ หนา้ ทจ่ี รงิ แลว้ ทา่ นกเ็ ปน็ ผทู้ ร่ี กั ชาตอิ ยา่ งเอก และมปี ญั ญาสวา่ งอยา่ งยง่ิ อนั จะไดเ้ คยพบปะ ในโลกภาคบรู พทศิ น้ี ” คำของ เซอรจ์ อหน์ เบาวรงิ น้ี จะกลา่ วใหถ้ กู ตอ้ งยง่ิ กวา่ ไดโ้ ดยยาก ทา่ นกลาโหมไดร้ บั ตำแหนง่ บริบูรณ์ล่วงมา ๑๓ ปี นับตั้งแต่เวลาที่เซอร์จอห์น เบาวริงได้เขียนเรื่องที่อ้างนี้ ก็ต้องถือว่า ท่านเป็นผู้รักชาติอย่างสูงและเรืองปัญญา ท่านมีอำนาจสิทธิ์ขาดเพราะเป็นที่ถูกพระอัธยาศัย ของพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ทรงจัดทำสิ่งไรก่อนที่ท่านลงความเห็นพ้องด้วย ท่านก็ได้รักษาราชการ บ้านเมืองอย่างพอดีพองามและด้วยความปรีชาสามารถ คอยเอาใจใส่ในเรื่องต่าง ๆ ทั้งสิ้นที่เป็นไป ในประเทศอื่น ๆ โดยละเอียด ท่านเป็นผู้ผูกพันรักใคร่ชาวอังกฤษอย่างประจักษ์แจ้ง พูดภาษานั้น ๑ Sir John Bowring อัครราชทูตผู้อัญเชิญพระราชสาส์นสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรีย มาเจรจาทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรี กับไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ ที่เรียกกันว่า สนธิสัญญาเบาวริง อันมีความสำคัญ ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างเศรษฐกิจไทยจากเศรษฐกิจแบบพอยังชีพมาเป็นเศรษฐกิจการค้า ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๑๐ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มฝ่ายไทยคนแรกประจำอยู่ที่ลอนดอน มอี ำนาจเตม็ ในการเจรญิ สมั พนั ธไมตรกี บั ประเทศอน่ื ๆ ในยโุ รป และพระราชทานบรรดาศกั ดใ์ิ หเ้ ปน็ พระยาสยามานกุ ลู กจิ สยามมติ รมหายศ ๒ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๙๘

เรอ่ื ง เซอร์ แฮรี ออรด์ เจา้ เมอื งสงิ คโปร์ ฯ ๒๙๓ ได้คล่องแคล่วมาก มีกิริยามารยาทสุภาพ และตรงไปมาในที่ออกความเห็นของท่าน และแสดงวิริยะ ยอดยง่ิ ในเรอ่ื งทำกจิ ธรุ ะของมหาชน ท่านกลาโหม เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ ออกมาต้อนรับท่านเจ้าเมืองกับพวกในคณะ ณ ปากทางจะเขา้ ไปบรเิ วณบา้ นและนำเขา้ ไปในบา้ น จดั หาทน่ี ง่ั ใหพ้ วกทม่ี า เลย้ี งนำ้ ชาและเครอ่ื งดม่ื ทา่ นเสนาบดกี บั ผวู้ า่ ราชการไดส้ นทนากนั อยนู่ าน ระหวา่ งนน้ั ตระเตรยี มการทพ่ี ระเจา้ แผน่ ดนิ จะเสดจ็ ออกรบั เจ้าเมืองกับพวกที่มาจากเมืองสิงคโปร์ มิสเตอร์อัลบาสเตอร์ ผู้แทนกงสุลเป็นผู้พูดภาษาไทย ได้คล่องนั้นเป็นล่าม แต่โดยมากท่านกลาโหมตอบเซอร์แฮรี ออร์ด โดยไม่ต้องให้นายอัลบาสเตอร์ช่วย เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศนั้นได้เข้าสนทนาด้วยน้อย เรื่องที่สนทนาหารือกันเลยไปถึงเรื่องอาวุธปืน ท่านกลาโหมนำเอาตัวอย่างปืนสไนเดอร์ ปืนมอนต์สตอม และปืนที่บรรจุท้ายอย่างใหม่อื่น ๆ ออกมา แสดงใหเ้ หน็ วา่ ตวั ทา่ นเองเปน็ ผชู้ ำนาญในเรอ่ื งกลไกของอาวธุ เหลา่ นน้ั ไดด้ ี ในตอนนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้สังเกตเห็นการถือธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดของชาวสยาม ในเรื่อง ผู้ที่มียศต่ำกว่าจะยืนอยู่ต่อหน้าผู้ที่มียศสูงกว่าไม่ได้ เพราะผู้น้อยทั้งหมดนั่งหรือหมอบอยู่กับพื้น และคนใชเ้ มอ่ื ถอื ถาดนำ้ เครอ่ื งดม่ื เขา้ มาเลย้ี ง ตอ้ งเขยบิ เลอ่ื นไปบนพน้ื ดว้ ยเขา่ (คลานเขา่ ) เปน็ การแปลกอยู่ ที่ได้เห็นกิริยาอาการของชาวสยามเปลี่ยนได้ทันที เวลาเมื่ออยู่ภายนอกยังไม่ทราบว่าท่านผู้ใดอยู่ข้างใน ก็เดินไปมากันตามสบายใจ แต่พอเห็นท่านกลาโหมเข้า พวกผู้น้อยก็ยอบตัวลงท่าคุกเข่าทันที ประสานมอื ไวต้ รงหนา้ และกม้ หนา้ ลงกบั พน้ื หมอบอยตู่ ามบรรดาศกั ดข์ิ องตนนง่ิ อยู่ ตอ่ เมอ่ื ทา่ นพดู ดว้ ย จึงตอบด้วยความเคารพและกราบกรานเช่นเดียวกัน แม้เมื่อจะออกไปโดยธรรมดาต้องลุกขึ้นเดิน จะยดื ตวั ใหต้ รงกไ็ มไ่ ด้ ตอ้ งระวงั ตวั ใหย้ อบอยเู่ สมอ เมื่อเจ้าเมืองสิงคโปร์รออยู่สักหน่อย ก็ได้รับคำบอกว่าพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกคอยต้อนรับอยู่ แลว้ พวกเรากพ็ ากนั ไปยงั พลบั พลาอนั เปน็ พระราชวงั ชว่ั คราว ตรงปากทางจะเข้าไปในบริเวณพระราชฐาน มีกองทหารเกียรติยศเข้าแถวกระทำคำนับ และเมื่อเข้าไปในพระราชฐาน มีเจ้าพนักงานผู้ใหญ่สองสามนายออกมารับแล้วพร้อมกับด้วย ท่านกลาโหมและเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศและในพวกคณะได้นำหน้าเราเข้าไปยังท้องพระโรง ห้องนี้เห็นจะยาวราว ๘๐ ฟิต และกว้าง ๓๐ ฟิต เป็นด้านทางตะวันออกของวัง (พลับพลา)

๒๙๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ มีพระทวารสองข้างกับทั้งมีพระทวารที่ตรงกลาง ทางด้านยาวซึ่งเป็นทางที่ได้นำเราเข้าไปอีกช่องหนึ่ง เมอ่ื เขา้ ไปขา้ งในเหน็ ทอ้ งพระโรงทง้ั หมดเตม็ ไปดว้ ย (ขา้ ราชการ) ชาวสยามหมอบอยกู่ บั พน้ื มอื (ประสาน) ตรงไปทางพระเจา้ แผน่ ดนิ ซึ่งเสด็จประทับอยู่บนพระเก้าอี้อันตั้งอยู่บนราชบัลลังก์ ยกขึ้นสูงจากพื้นราว ๓ ฟิตและใกล้ชิดกับพระทวารทางที่จะเข้าไปข้างในของวัง (พลับพลา) ที่ยกพื้นกับรั้วลูกกรง ทั้งเสา และผนงั หอ้ งทอ้ งพระโรงดาดดว้ ยผ้าสแี ดง และทางเบ้อื งพระหัตถ์ขวาของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ แผน่ ดนิ มีโต๊ะเล็กเต็มไปด้วยหีบทองและภาชนะบรรจุพระศรี พระโอสถ พระสุธารส และสิ่งเครื่องราชูปโภค ตา่ ง ๆ ทางในระหวา่ งพระทวารหนา้ และทป่ี ระทบั กนั ไวเ้ ปน็ ชอ่ งวา่ งสำหรบั แขกเมอื งเฝา้ และสองขา้ งชอ่ งน้ี ในระยะประมาณครง่ึ ทาง ทา่ นเสนาบดผี ใู้ หญท่ ง้ั สองทา่ นหมอบเฝา้ อยตู่ ามแบบประเพณขี องพระราชฐาน ตำแหน่งที่เฝ้าของแขกเมืองอยู่ในแถวระหว่างข้าราชการเหล่านี้ เพราะไม่ยอมอนุญาตให้ใคร เข้าใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินยิ่งไปกว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของพระองค์ ด้วยประเพณีเป็นฉะนี้ พวกเรา จึงหยุดอยู่ที่นั้น แต่พระเจ้าแผ่นดินทรงพระกรุณาโปรดกวักพระหัตถ์ทันทีให้เซอร์แฮรี ออร์ด เข้าไปเฝ้าถึงที่ประทับ และเมื่อพระราชทานพระราชหัตถ์มาสัมผัสแล้ว รับสั่งให้พวกของเซอร์แฮรี ออร์ด เข้าเฝ้าถวายตัวต่อไป เจ้าพนักงานผู้หนึ่งเรียกว่าสนองพระโอษฐ์ของพระเจ้าแผ่นดินก็ดำเนินเรื่อง กราบทูลเบิกด้วยเสียงดังถึงเรื่องราวและความประสงค์ของท่านผู้ว่าราชการที่มาเฝ้า แต่ต่อมาสักครู่ พระเจา้ แผน่ ดนิ มรี บั สง่ั วา่ พอแลว้ และตรสั เปน็ ภาษาองั กฤษวา่ พระองคท์ รงพอพระราชหฤทยั ทไ่ี ดท้ รงตอ้ นรบั ผู้ว่าราชการเมืองสิงคโปร์ และรับสั่งถึงทางพระราชไมตรีอันมีอยู่อย่างสนิทสนมในระหว่างประเทศของ พระองคแ์ ละประเทศเกรตบรเิ ตน๑ และมพี ระราชหฤทยั หวงั วา่ พระราชไมตรนี ค้ี งถาวรอยสู่ บื ไป เมื่อจบกระแสพระราชดำรัสแล้ว พระเจ้าแผ่นดินเสด็จลงจากพระที่นั่ง ประทับยังพระที่ อีกแห่งหนึ่ง (คือ เกย) ซึ่งยกขึ้นไว้นอกพระราชสถานหน้าพระทวารทางเข้า ทรงพระกรุณาโปรด ให้ช่างถ่ายรูปที่เราพามาด้วยทั้งกล้องถ่ายรูป * ครั้นเสร็จการเฝ้า ฯ แล้ว เมื่อจะกราบบังคมทูลลามา ก็มีพิธีอย่างเดียวกันกับเมื่อเข้าเฝ้า ฯ แล้วพระเจ้าแผ่นดินทรงแสดงพระราชประสงค์จะให้ท่านผู้ว่า ราชการเขา้ เฝา้ เปน็ พเิ ศษในตอนเยน็ วนั นน้ั ดว้ ย ครั้นเฝ้าแล้ว เราก็มายังทำเนียบซึ่งได้จัดเตรียมไว้สำหรับพวกเราพัก ได้พบคุณหญิงออร์ด และนายเปลา ซึ่งขึ้นบกมาภายหลังเราในเวลาไม่ช้านักคอยอยู่ที่ทำเนียบแล้ว ทำเนียบที่พักนี้ ๑ สหราชอาณาจกั ร (Great Britain) * คอื รปู ทพ่ี มิ พใ์ นสมดุ เลม่ น้ี

เรอ่ื ง เซอร์ แฮรี ออรด์ เจา้ เมอื งสงิ คโปร์ ฯ ๒๙๕ ยาวประมาณ ๑๔๐ ฟิต และกว้าง ๕๐ ฟิต เป็น ๒ หลังโดด หลังใหญ่มีห้องโถงอยู่กับพื้น อาจจุคนในเวลาเลี้ยงกันได้ ๔๐ หรือ ๕๐ คน และสองข้างยกพื้นขึ้นสูงประมาณ ๓ ฟิต ทำเป็น ห้องเล็ก ๆ เป็นแถว เบ็ดเสร็จด้วยกัน ๑๒ ห้อง สำหรับเป็นที่พักอาศัยของพวกผู้ว่าราชการ มุมสุดเป็นสถานที่เล็ก ๆ หลังหนึ่ง มีห้องนอน ๒ ห้องและห้องแต่งตัว ๒ ห้อง มีระเบียง เป็นห้องนั่งเล่นสำหรับรับแขกได้สบาย เรือนตอนนี้ตีฝาและยกพื้นด้วยไม้จริง นอกนั้นทำด้วยไม้ไผ่ซีก ทั้งสิ้น เมื่อผู้ว่าราชการมาถึง พระภาษีสมบัติบริบูรณ์ข้าราชการสยามกับนายเล่าพ่อยิ้ม (ที่จริงเป็น คนเดียวกัน) ซึ่งรับหน้าที่จัดอาหารเลี้ยงแขกเมืองมาคอยรับรองและแจ้งให้ท่านเจ้าเมืองทราบว่า ถ้าต้องการโต๊ะสำหรับเลี้ยงมากน้อยกี่คนสุดแล้วแต่จะเชิญมา จะได้จัดหามาให้ตามเวลาที่กำหนดไว้ และแสดงความหวังว่าคงไม่มีอะไรขาดเหลือในการปฏิบัติเพื่อให้ท่านเจ้าเมืองและพวกได้รับความสบาย แล้วนำเอาพ่อครัวฝรั่งเศสเข้ามาให้รู้จักพร้อมด้วยชาวอิตาลีหนึ่งคน และลูกมือชาวเมืองอีกหลายคน ซึ่งได้รับคำสั่งให้คอยระวังปฏิบัติความประสงค์ทุกอย่างของพวกแขกเมืองที่มา และการเลี้ยงดูได้จัดหา มาเลี้ยงอย่างฟุ่มเฟือยบริบูรณ์ บรรดาของอร่อยที่อาจจะหามาถึงแถบประเทศแถวนี้ก็ได้พยายาม สบื เสาะหามาจากเมอื งสงิ คโปร์และกรงุ เทพ ฯ และการทำกบั ขา้ วกท็ ำอยา่ งประณตี มที ง้ั เหลา้ และนำ้ องนุ่ ต่าง ๆ น้ำแข็งก็บริบูรณ์ อาจจะกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรที่ต้องการอีก นายนาวาเอกเอดีย์ กับนายทหารเรือ อีกหลายนาย นายอัลบาสเตอร์ และนางอัลบาสเตอร์ นางแคมบ์เบล ภรรยาหมอในสถานกงสุล กับทั้งพวกคณะกงสลุ ก็ได้มาเข้าพวกด้วยอย่างสนิทสนมกับพวกเรา แท้จริงพวกที่มาไม่มีใครได้นึกคาดว่า จะไดพ้ บทพ่ี กั อาศยั อนั อดุ มเชน่ นใ้ี นปา่ แหง่ ประเทศสยามเลย วนั ทล่ี ว่ งไปวนั นน้ั เปน็ เวลาจดั เตรยี มการทจ่ี ะดสู รุ ยิ ปุ ราคาในวนั รงุ่ ขน้ึ และทา่ นเจา้ เมอื งไดร้ บั เยย่ี ม จากทา่ นกลาโหมและขา้ ราชการสยามผใู้ หญใ่ นแผน่ ดนิ ในวนั นน้ั เมอ่ื เวลาคำ่ ประมาณ ๙ ล.ท. ( ๒๑.๐๐ น.) ท่านเจ้าเมืองกับพวกที่มาด้วยทั้งชายหญิงทั้งหมดได้รับเชิญให้ไปทคี่ ่ายหลวง เมื่อไปถึงตรงทางที่จะเข้าไป ในท้องพระโรง พระเจ้าแผ่นดินทรงพระกรุณาโปรดเสด็จออกมาทรงต้อนรับ และทรงพาเข้าไปใน พระห้องที่เฝ้ารโหฐานแห่งหนึ่ง ทรงแนะนำให้รู้จักกับข้าราชการฝ่ายในและพระองค์เจ้าหญิงซึ่งยังทรง พระเยาว์

๒๙๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ในขณะนี้สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินไม่มีพระมเหสี พระมเหสีพระองค์ก่อน๑ ได้สิ้นพระชนม์เสีย เมื่อ ค.ศ. ๑๘๖๒๒ และแม้พระเจ้าแผ่นดินจะมบี าทบริจาริกาเป็นอันมาก ก็ยังไม่มีใครที่ได้ทรงยกย่อง ตง้ั ขน้ึ ในตำแหนง่ พระมเหสี สว่ นพระราชกมุ ารและพระราชกมุ ารีมจี ำนวนในระหวา่ ง ๖๐ หรอื ๗๐ พระองค์ ที่ทรงพระชนมพรรษาแก่กว่าทั้งหมด ๔ พระองค์ คือ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ ๓ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าทักษิณชา๔ และพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าโสมาวดี ๕ มีพระชนมายุในราว ๑๖ พรรษาทกุ พระองค์ และสมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ จฬุ าลงกรณ์ ๖ มพี ระชนมายรุ าว ๑๕ พรรษา ย่อมเป็นที่เข้าใจกันว่า พระองค์นี้จักได้เป็นผู้สืบราชสมบัติ ด้วยเวลานี้ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่ ๒ แต่ก็ยังไม่แน่ทีเดียวว่าเป็นเช่นนั้น เพราะในกรุงสยามแม้จะถือกันว่าพระราชโอรสผู้เป็นมกุฎราชกุมาร เป็นทายาทที่จะสืบพระราชวงศ์ก็ดี แต่ใช่ว่าตำแหน่งจักตกแก่พระราชโอรสพระองค์ใหญ่เสมอไปหามิได้ พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชอำนาจสิทธิ์ขาดที่จะทรงเลือกตั้งแต่งใครเป็นรัชทายาทของพระองค์ก็ได้ ถึงกระนั้นที่พระองค์จักทรงกระทำไปโดยขัดต่อความนิยมของข้าราชการผู้เป็นมุขมนตรีก็ไม่ได้ มีตัวอย่างเช่นครั้งพระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลที่ล่วงแล้วมา (หมายว่ารัชกาลที่ ๓) มีพระราชประสงค์ จะให้พระราชบุตรของพระองค์เป็นผู้รับราชสมบัติ แต่พวกสกุลใหญ่ของท่านผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ทั้ง ๒ (คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ) ได้ขัดต่อการที่จะทรงตั้งแต่งนั้น และพระเจ้าแผ่นดินปัจจุบันนี้ อันเป็นรัชทายาทแท้ของพระราชบิดา ของพระองค์ก็ได้ (ขึ้นรับราชสมบัติ) แทนที่ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลก่อนได้ทรงมุ่งหมายไว้ โดยมิได้เกิดการจลาจลอย่างไร สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์เป็นพระราชกุมาร ที่ทรงพระปัญญาเฉลียวฉลาดยิ่งนัก พระรูปทรงสูงและท่วงทีกล้าหาญเกินแก่พระชนมายุ ส่วนพระเจ้าลูกเธอพระองค์หญิง ๓ พระองค์ที่มีพระชนมายุสูงกว่าก็ทรงพระโฉมศุภลักษณ์ เสียแต่เสวยหมาก ถ้าไม่ย้อมพระทนต์ (ให้ดำ) ตามธรรมเนียมของชาวสยามแล้วต้องชมว่า เป็นสตรีที่ทรงกัลยาณีเลิศลักษณ์ทีเดียว พระกิริยามารยาทก็น่าชมและตรัสภาษาอังกฤษได้ทุก พระองค์ แทจ้ รงิ พระราชโอรสพระราชธดิ าโดยมากตรสั ภาษาองั กฤษได้ เพราะพระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงจดั หา พระพเ่ี ลย้ี งเปน็ ชาวองั กฤษไว้ ๑ สมเดจ็ พระเทพศริ นิ ทรา บรมราชนิ ี ๒ เสด็จสวรรคตในวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๐๔ ๓ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ยง่ิ เยาวลกั ษณ์ อรรคราชสดุ า ๔ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ทกั ษณิ ชา ๕ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงสมรรตั นสริ เิ ชษฐ ๖ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ก่อนขึ้นครองราชย์

เรอ่ื ง เซอร์ แฮรี ออรด์ เจา้ เมอื งสงิ คโปร์ ฯ ๒๙๗ เมอ่ื ไดท้ รงแนะนำใหท้ า่ นเจา้ เมอื งกบั พวกผหู้ ญงิ รจู้ กั กบั ฝา่ ยในแลว้ โปรดใหพ้ วกเรานง่ั ลงรอบโตะ๊ ที่กลางห้อง พระราชทานเลี้ยงน้ำชากาแฟและขนมหวาน เมื่ออยู่ได้สักครึ่งนาฬิกาพวกเราก็ลงจากห้อง (ซง่ึ อยบู่ นชน้ั สงู ของวงั พลบั พลา) กลบั ออกมายงั ทอ้ งพระโรงซง่ึ มกี ารเตน้ รำ (ระบำ) วธิ อี อกจะคลา้ ยคลงึ กับเต้นรำนัจ (นฤตย์) ในอินเดีย ผู้เต้นรำเป็นสตรีรุ่น ๆ ของหลวงหลายคนแต่งตัวอย่างวิจิตร และได้รับความฝึกฝนพิเศษสำหรับการนี้ ดนตรีใช้เครื่องของสยาม มีขลุ่ยกลองกระจับปี่ชนิดหนึ่ง อย่างกระจับปี่คีตา (เห็นจะเป็นจะเข้) และเครื่องดนตรีทำด้วยไม้แผ่นแบน ๆ ตีด้วยไม้เป็นปุ่มเสียงดัง ฟงั กเ็ พราะดี (ระนาด) ประมาณ ๑๑ ล.ท. (๒๓.๐๐ น.) พระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงพระกรณุ าโปรดพระราชทาน โอกาสใหพ้ วกเรากราบบงั คมลากลบั มา รุ่งเช้าวันที่ ๑๘ สิงหาคม เป็นวันที่จะมีสุริยุปราคา แต่ถ้ามีเมฆปรากฏเป็นก้อนหนามาทาง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ และเป็นอย่างนี้เรื่อยมาไม่ขาดจน ๙ นาฬิกา ก็มีฝนตกลงมาประปราย ดวงอาทติ ยซ์ ง่ึ ขน้ึ อยถู่ งึ เวลานพ้ี ยบั มวั ทเี ดยี ว และอากาศกอ็ อกจะปรวนแปรมาก จนนกึ กนั วา่ ความหวงั นอ้ ย ในที่อากาศอาจจะเปลี่ยนไปอย่างใดอย่างหนึ่งได้ก่อนเที่ยง แต่อย่างไรก็ดี ล่วงมาประมาณนาฬิกา ๑ ก็มีลมพัดมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้แรงขึ้น ถึงเวลา ๑๐ นาฬิกา ๕ นาที สังเกตเห็นเมฆเกลื่อน ออกจากกันทีละน้อย ๆ ไปทางด้านตะวันตก ต่อมาไม่ช้าอากาศทางด้านนั้นเริ่มแจ่มกระจ่างขึ้น และถึงเวลา ๑๐ นาฬิกา ๓๕ นาที ดวงอาทิตย์ซึ่งแต่แรกบดบังหมดดวงก็สว่างจ้า แต่ขณะนั้น สุริยุปราคาจับขอบทางตะวันตกไปเกือบส่วนหนึ่งของขนาดกว้างแห่งดวงอาทิตย์แล้ว เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถจะจดเวลาแท้ที่สุริยุปราคาเริ่มจับ ซึ่งคาดไว้ว่าจะจับในเวลา ๑๐ นาฬิกา ๔ นาที อากาศแต่นั้นมาค่อยปรกติ เมฆที่ลงมาต่ำหรือเมฆฝน (นิมบัส)๑ ก็สูญหายไปหมด และอากาศ ตอนส่วนสูงสุดในท้องฟ้าก็แจ่มสว่าง แต่เห็นเมฆบางตอนที่เหนือขอบฟ้าขึ้นมา ๓๐ องศา เป็นชนิดมีสัณฐานปุยยาวและเป็นก้อนโต (เฟอร์รูสกุมุลัส)๒ เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นเป็นที่พอใจว่า อยา่ งนอ้ ยอากาศคงจะแจม่ อยอู่ กี นาน เครื่องมือที่พวกเราพอจะหาเอามาได้ คือ กล้องส่องดูไกลชนิดของคัลแคน มีปากช่องกว้าง ๔ ๓/๔ นิ้วหนึ่งกล้อง กล้องส่องดูไกลที่ฉายกลับมีปากช่องกว้าง ๓ ๑/๔ นิ้ว กับมีแรงฉายดูได้ไกล ๑ Nimbus ๒ Cirrocumulus

๒๙๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ กว้างขวางหนึ่งกล้อง เครื่องกำหนดความหนักเบาของอากาศ (พาโรเมตร)๑ สำหรับเขาอย่างประณีต หนง่ึ เครอ่ื ง เครอ่ื งอนั นริ อยดพ์ าโรเมตรอยา่ งดที ส่ี ดุ ๒ เครอ่ื ง เครอ่ื งวดั ความหนาวรอ้ นขนาดตา่ ง ๆ กนั ๓ เครอ่ื ง และนาฬิกาอยา่ งเดนิ เทย่ี งตรง ๑ เรอื น หน้าที่ซึ่งกะให้ในคณะส่วนฝ่ายอังกฤษ คือ นายพันตรีแมกแนร์ กรมทหารปืนใหญ่หลวง เป็นผู้ตรวจดูผลของสุริยุปราคาในเวลาใกล้จะหมดดวง หรือถ้าสามารถก็ให้สาวหาสิ่งที่ปรากฏขึ้น ในท้องฟ้า ตามที่เรียกว่า “เบลลีเบกส” ๒ จะมีหรือไม่ และให้พรรณนาเรื่องสำหรับคราวประชุมของ สมาคมดาราศาสตร์ นายร้อยเอกมอยเสย์ กรมทหารช่างหลวง มีหน้าที่สำหรับจดเวลาและหน้าที่ กะวดั ดว้ ยเครอ่ื งวดั อากาศตลอดเวลาสรุ ยิ ปุ ราคา ทา่ นเจา้ เมอื งเองสอ่ งกลอ้ งดไู กลสองตา ตรวจดสู ณั ฐาน และตำแหน่งของรัศมีที่เป็นลำพุ่งออกมาจากดวงอาทิตย์อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งอาจเห็นด้วยตาได้ และ เวลาที่ปรากฏเห็น ส่วนพวกในคณะนอกนั้นรับธุระสังเกตดูผลต่าง ๆ อันจักปรากฏขึ้น เนื่องด้วย สรุ ยิ ปุ ราคาในทางอากาศทางทะเลและประเทศทใ่ี กลเ้ คยี ง โอกาสครั้งแรกที่สุดที่ได้กำหนด คือสังเกตจุดดำในดวงอาทิตย์ซึ่งได้สังเกตเห็นในเวลา ๑๐ นาฬิกา ๔๕ นาที ดังแสดงไว้ในแผนที่แล้ว การกะจดเครื่องวัดอากาศซึ่งได้เริ่มจดเป็นระยะละ ๑ ชั่วนาฬิกา เริ่มตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ขึ้น ก็ได้จดทุก ๆ ชั่ว ๑๐ นาที ตั้งแต่เวลาสุริยุปราคา จบั ครง้ั แรก กบั ไดต้ กลงไวก้ อ่ นหนา้ กบั หมอลองฟลิ ด์ ประจำ ร.ร.ล. “สเตลไลต์” ๓ ใหเ้ ปน็ ผจู้ ดขนาด ความหนาวรอ้ นของอากาศนำ้ ทะเลตลอดเวลาสรุ ยิ ปุ ราคา เพลา ๑๐ นาฬิกา ๑๐ นาที หรือก่อนสุริยุปราคาจะจับหมดดวง ๒๐ นาที สังเกตเห็น ได้ชัดเจนมากถึงความเปลี่ยนแปลงแห่งสีท้องฟ้าในด้านทิศใต้ ซึ่งเดิมเป็นสีน้ำเงินใส ได้เปลี่ยนเป็น สีม่วงแก่แล้วแปรเป็นสีตะกั่วแก่และมีเมฆชนิดมีสัณฐานเป็นก้อนใหญ่ ซึ่งแตกออกจากกันหลายก้อน ในทางนั้น ลอยเด่นอยู่ข้างบน ต่อมาสักครู่ขณะเงามืดของดวงจันทร์ค่อยบดบังดวงอาทิตย์หรือในเวลา ๑๑ นาฬิกา ๒๐ นาที ท้องฟ้าทั้งหมดก็ดำคล้ำลงและวัตถุต่าง ๆ ซึ่งอยู่ไกลก็ปรากฏรูปมัวลง ทะเลก็เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีม่วงแก่ และเรือกำปั่นซึ่งทอดอยู่ห่างจากฝั่งในระยะ ๓ ไมล์ก็เห็นไม่ได้ชัด ๑ Barometer ๒ Baily’s Beads คือปรากฏการณ์ของดวงอาทิตย์ในช่วงสั้น ๆ ก่อนจะถูกบังมิดดวง เป็นแสงสว่างกลม ๆ คล้ายลูกปัดเรียงกัน ตรงขอบของดวงจันทรด์ ้านที่เคลื่อนเข้าบังดวงอาทิตย์ ๓ Satelite

เรอ่ื ง เซอร์ แฮรี ออรด์ เจา้ เมอื งสงิ คโปร์ ฯ ๒๙๙ เครื่องวัดอากาศในบัดนี้ลดลงได้ ๖ องศาจากขนาดความหนาวร้อนของอากาศ รู้สึกอากาศเย็นอย่าง ประจกั ษด์ ว้ ยกนั ทกุ คน เวลา ๑๑ นาฬกิ า ๒๕ นาที มคี วามมดื จดั วตั ถทุ อ่ี ยบู่ นบกแตไ่ กลแทบสงั เกตไมไ่ ด้ ตน้ ไมใ้ นท่ีใกลบ้ า้ นกม็ ดื เปน็ กอ้ นดำ ดวงดาวกป็ รากฏขน้ึ ทางสงู สดุ ของขอบฟา้ ทางโนน้ ทางน้ี เรอื กำปน่ั ในทะเล กห็ ายไปมองไมเ่ หน็ ในเวลาดวงอาทติ ย์ มดื หมดซง่ึ ปรากฏในเวลา ๑๑ นาฬกิ า ๓๐ นาที มคี วามมดื มาก จนรูปหน้าคนซึ่งอยู่ในระยะ ๒-๓ ฟิตก็สังเกตไม่ได้ และการคาดคะเนระยะทางว่าใกล้ไกลเพียงไร กด็ เู หมอื นหมดไปดว้ ย เครอ่ื งวดั อากาศกม็ องดไู มเ่ หน็ นอกจากมแี สงไฟสอ่ งใหใ้ กล้ ทอ้ งฟา้ มดี าวพราว เหมอื นในเวลาสนธยาอยา่ งจดั แหง่ ราตรี นายพันตรีแมกแนร์ ได้คอยสังเกตอย่างละเอียดดูขอบพระจันทร์ค่อยล้ำเข้าในมณฑล ดวงอาทิตย์จนมืดหมดดวง และไม่สังเกตเห็นว่าขอบดวงจันทร์หรือขอบดวงอาทิตย์ จะหลุดเลื่อน ออกเปน็ ดวงสวา่ งเลก็ ๆ อยา่ งทน่ี ายเบลลไี ดพ้ รรณนาไว้ เวลา ๑๐ นาฬกิ า ๒๘ นาที ๓๐ วนิ าที นายพนั เอก แมกแนร์ ได้เห็นรัศมีเป็นลำพุ่งออกมาจากขอบดวงจันทร์ ๒ แห่งเข้าไปยังขอบดวงอาทิตย์อย่างชัด ดังได้แสดงไว้ในแผนที่ แต่รัศมีเป็นลำพุ่งออกมานี้ปรากฏอยู่ไม่นานกว่า ๒ หรือ ๓ วินาที แสงอาทิตย์ซึ่งเป็นรูปแหว่งแคบ ๆ เล็ก ๆ ก็เห็นเป็นเส้นเดียวตลอดเรื่อยไปจนแสงสว่างของดวงอาทิตย์ ครง้ั หลงั ทส่ี ดุ ไดห้ มดไป การสงั เกตในตอนน้ี อยา่ งทไ่ี ดต้ กลงกนั มาแตแ่ รกแลว้ ทา่ นเจา้ เมอื งเปน็ ผรู้ บั ธรุ ะ ทา่ นไดส้ งั เกตเหน็ เหมือนดวงอาทิตย์มืดหมดดวง มีรัศมีสว่างปรากฏขึ้นโดยรอบดวงจันทร์ มีรัศมีเป็นลำพุ่งออกมาด้วย เป็นสีแดงจัด สว่างอยู่เสมอตรงที่ (ก) ดังแจ้งไว้ในแผนที่ต่อท้ายนี้ * แทบอยู่ในเส้นศูนย์ของดวงจันทร์ เมื่อดูจากทิศใต้ ตรง (ข) มีแสงเป็นเส้นสีคล้ายคลึงกัน ในเบื้องสุดนั้นไม่ประจักษ์ชัดเจนเหมือนอย่าง (ก) นัก รัศมีที่เป็นลำพุ่งออกมาเหล่านี้ดูเหมือนจะพุ่งออกมาจากดวงจันทร์เข้าไปในรัศมีที่ล้อมรอบ เวลา ๑๑ นาฬิกา ๓๑ นาที คือล่วงมาสักนาที ๑ รัศมีที่เป็นลำพุ่งออกมาที่ (ก) ลดขนาดความยาว ลงบ้างเล็กน้อย แต่ออกจะดำจัด ที่ (ข) มีรูปชัดดีกว่าและดูเหมือนจะปรากฏอยู่นานกว่า แต่สังเกต ไม่เห็นแปรสี ถึงตอนนี้สังเกตเห็นว่ามีแสงดำคล้ำพุ่งออกมาจากมณฑล ดวงจันทร์หลายแห่งแผ่ไปใน ระยะที่ว่างไกลมาก แลดูเหมือนเป็นอะไรดูไม่ชัด คล้ายกับเงาฉายเข้าไปในระยะที่ว่าง ได้สังเกตเห็น สง่ิ เหลา่ นส้ี ง่ิ หนง่ึ ตลอดเวลาสรุ ยิ ปุ ราคากเ็ พราะดว้ ยมเี วลาปรากฏอยนู่ านเทา่ นน้ั คอื ท่ี (ข) เวลา ๑๑ นาฬกิ า * เรอ่ื งนแ้ี ปลจากหนงั สอื บางกอกกาลนั เดอร์ ของหมอบรดั เล ไมม่ ีแผนท่ี จงึ มไิ ดต้ พี มิ พแ์ ผนทม่ี าตง้ั แตเ่ มอ่ื ตพี มิ พค์ รง้ั แรก

๓๐๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ๓๒ นาที ความยาวท่ี (ก) ลดลง เบอ้ื งสดุ ของ (ข ) กก็ ำหนดไดช้ ดั ขน้ึ (ฃ) มอี าการเปลย่ี นแปลง ก็แต่น้อย เวลา ๑๑ นาฬิกา ๓๓ นาที (ก) สูญหายไป (ข) ลุถึงความเต็มเปี่ยมเป็นที่สุด กเ็ รม่ิ ลดหายไปในระหวา่ งระยะเวลานน้ั (ฃ) ถา้ จะเปลย่ี นไปบา้ ง กไ็ ดท้ วขี น้ึ เลก็ นอ้ ย เวลา ๑๐ นาฬกิ า ๓๔ นาที (ข) ยังคงลดถอยลงอีก และสังเกตดูเหมือนว่าเข้าไปติดฝังอยู่กับดวงจันทร์ อันเป็นรูป ที่สังเกตไม่เห็นในเวลา (ก) หายไป (ฃ) ยังอยู่อย่างเดิมตรง (ค) รัศมีที่เป็นลำพุ่งออกมาซึ่งคู่กับ (ก) อย่างชัด ตรงที่เส้นศูนย์ได้แตกออกคล้าย (ก) มาก แต่ความยาวออกจะน้อยและเป็นสีจาง แท้จริง ขาดความสว่างเรืองความลึกและความแปรสีซึ่งมีปรากฏอยู่ที่ (ก) เวลา ๑๑ นาฬิกา ๓๕ นาที (ข) ยังคงลดถอยลงอีก และที่เข้าไปฝังอยู่ในดวงจันทร์ก็ออกลึกลง (ฃ) ลดลงแต่มีส่วนน้อย ส่วน (ค) ดเู หมอื นจะทวขี น้ึ แตว่ า่ นอ้ ยนกั และไมถ่ งึ ขนาดอยา่ งทส่ี ดุ ของ (ก) สกั เวลาเดยี ว สขี อง (ข) ดไู มแ่ ปร คลา้ ย (ค) มากกวา่ (ก) ตลอดไป ระหวา่ งนน้ี ายอลั บาสเตอร์ รง้ั กงสลุ ประจำกรงุ สยามกไ็ ดเ้ ฝา้ ตรวจดู ดวงอาทติ ยด์ ว้ ยกลอ้ งดไู กล ๒ ตา ผลทไ่ี ดส้ งั เกตไว้ เมอ่ื เทยี บกนั ดเู หมอื นจะตรงกนั ในขอ้ ใหญ่ ทท่ี า่ นเจา้ เมอื งไดส้ งั เกตไว้ แตน่ ายอลั บาสเตอร์ คดิ วา่ รศั มที เ่ี ปน็ ลำพงุ่ ออกมาท่ี (ข) ไมส่ วา่ งเรอื งเทา่ กบั (ก) เมื่อเห็นในตอนแรก มีสีเหลืองประจักษ์แจ้งมาก นายอัลบาสเตอร์เห็นว่าริมขอบปรากฏชัด เด่นกว่ารัศมีที่เป็นลำพุ่งออกมาอื่น ๆ และดูเหมือนจะพุ่งออกมาจากดวงจันทร์คล้ายกับเขาสัตว์สั้น ๆ ที่เป็นสี นายแคนเนดีแห่งสถานกงสุล ซึ่งเป็นผู้สังเกตดูสุริยุปราคาด้วยเหมือนกัน ยืนยันการสังเกต ตรวจดูเหล่านี้เกือบทุกอย่าง แต่นายแคนเนดีสังเกตว่า (ค) เมื่อปรากฏในตอนแรกเป็นสีเขียวจัด ซง่ึ คอ่ ยเปลย่ี นเปน็ สเี นอ้ื คนอยา่ งออ่ น ลกั ษณะอนั นท้ี น่ี ายพนั ตรแี มกแนรแ์ ละผอู้ น่ื กไ็ ดส้ งั เกตเหน็ ดว้ ย เป็นที่น่าเสียใจมากที่เราไม่มีเครื่องโปลาริสโคป ๑ หรือเครื่องอย่างใดอย่างหนึ่งสำหรับพิสูจน์ แสงสว่างที่ฉายพุ่งลงมาถึงพิภพในระหว่างสุริยุปราคาหมดดวง อาศัยแต่กล้องส่องชนิดแก้วสามเหลี่ยม อย่างธรรมดา จึงสังเกตได้ว่าแสงสว่างในเวลา ๑๐ นาฬิกาที่ฉายเข้ามาในกระจกสามเหลี่ยม ของกล้องส่องเป็นสีแดงสีน้ำเงินและสีเขียว ระหว่างสุริยุปราคาจับหมดดวงเป็นสีแดงอย่างเดียว สจี ำปา ( โอเรนช์ ) ๒ และสเี หลอื งกอ็ าจสาวเหน็ ไดบ้ า้ ง แตบ่ างทกี ไ็ มค่ วรจะยดึ ถอื ตามความสงั เกตน้ี สุริยุปราคาจับหมดดวงในเวลานี้กินเวลาได้ ๖ นาที กับ ๔๕ วินาที แล้วทันใดนั้นก็มี แสงสว่างจัดพุ่งแปลบออกมาจากดวงอาทิตย์เหมือนแสงสว่างเรืองอย่างจัด รัศมีที่อยู่รอบดวงและรัศมี ๑ Polariscope เครอ่ื งวดั แสงวน ๒ Orange

เรอ่ื ง เซอร์ แฮรี ออรด์ เจา้ เมอื งสงิ คโปร์ ฯ ๓๐๑ ทเ่ี ปน็ ลำพงุ่ ออกมากอ็ นั ตรธานไปทนั ที การที่ดวงอาทิตย์กลับปรากฏขึ้นอีก ก็ได้คอยสังเกตดูอย่างถี่ถ้วนโดยใช้กล้องส่องขนาดใหญ่ แตถ่ งึ พจิ ารณาละเอยี ดทส่ี ดุ กไ็ มส่ ามารถพบเหน็ อะไรแปลกพเิ ศษในดวงจนั ทรห์ รอื ดวงอาทติ ยใ์ นเวลานน้ั เรามีความเสียใจไม่สามารถสาววิถีของเงาแห่งสุริยุปราคา เพราะแม้จะไปทางด้านตะวันตก กเ็ หน็ ทข่ี อบฟา้ เพยี งเลก็ นอ้ ย แมก้ ระนน้ั ทางดา้ นตะวนั ออกอากาศจะไดโ้ ปรง่ และแจม่ และเปน็ การแปลก ทไ่ี มส่ งั เกตเหน็ แต่นี้สุริยุปราคาก็เริ่มคลาย และคลายไปจนโมกขบริสุทธิ์ ๑ ในเวลา ๑ นาฬิกา ๓๗ นาทีกับ ๔๕ วนิ าที ในเยน็ วนั นน้ั พวกเราพากนั มคี วามแปลกใจดว้ ยไดร้ บั ขา่ วอยา่ งปจั จบุ นั ทนั ดว่ นวา่ พระเจา้ แผน่ ดนิ จะทรงพระกรุณาโปรดเสด็จมาทรงเยี่ยมตอบท่านเจ้าเมือง ท่านกลาโหมซึ่งดูเหมือนจะได้รับข่าว เรื่องมีพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเวลาอันน้อยอย่างเดียวกับเซอร์แฮรี ออร์ด และตกตะลึงมากเหมือนกับพวกเราในข้อที่ทรงประพฤติแปลกจากธรรมเนียมประเพณีของชาวสยามนี้ กเ็ ขา้ มาอยดู่ ว้ ยกบั ผวู้ า่ ราชการเพอ่ื คอยรบั เสดจ็ ไมม่ เี วลาจะจดั เตรยี มการอยา่ งไรได้ และพวกเรากจ็ ำเปน็ ต้องแต่งตัวอยู่อย่างธรรมดา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึงเวลา ๕ ล.ท. ทรงพระเก้าอี้ หรือแท่นสั้นมีคนหาม ๘ คน ( พระราชยาน ) เสด็จประทับไขว้พระบาททางข้างหน้า (ขัดสมาธิ ) มีพระเจ้าลูกเธอเล็ก ๆ ๒ พระองค์ประทับสองข้าง แตรวง ๑ วง และกองทหารเกียรติยศ ๑ กอง มปี นื ใหญภ่ เู ขา ๒ บอกนำเสดจ็ สองขา้ งมเี จา้ นายหลายพระองคท์ รงพระดำเนนิ ดว้ ยพระบาทตามเสดจ็ กบั มพี ระเจา้ ลกู เธอโดยเสดจ็ ดว้ ยรถหลายพระองค์ มขี า้ ราชการและบรวิ ารเปน็ อนั มาก ทต่ี รงทางจะเขา้ ทำเนียบ ได้จัดตั้งพระเก้าอี้ไว้ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเลยเข้าไปในทำเนียบทีเดียว เสด็จพระราชดำเนินไปยังห้องของผู้ว่าราชการตอนมุมเรือนชั้นบนและเสด็จประทับในที่ระหว่างเซอร์แฮรี กบั คณุ หญงิ ออรด์ ขา้ ราชการในราชสำนกั กห็ มอบเฝา้ กนั อยบู่ นพน้ื ตำ่ เวน้ แตท่ า่ นกลาโหมนน้ั (เอกเขนก) ตะแคงอยา่ งเคารพอยู่ ณ ขน้ั บนั ไดขา้ งลา่ งทจ่ี ะขน้ึ ไปยงั พน้ื เรอื นทย่ี กไว้ พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชหฤทัยยินดี ด้วยทรงคำนวณเวลาสุริยุปราคาได้ถูกต้องแน่นอน มีรับสั่งสนทนาอยู่นาน ตรัสเป็นภาษาอังกฤษ ทรงแสดงความหวังพระราชหฤทัยว่าท่านเจ้าเมือง ๑ คลายออกหมดดวง

๓๐๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ คงพอใจในการที่มาคราวนี้ และการที่ต้อนรับจะบริบูรณ์ทุกอย่าง ส่วนพระเจ้าลูกยาเธอเล็ก ๆ นั้น สาละวนเพลินด้วยทอดพระเนตรสมุดรูปถ่าย เมื่อเสด็จประทับอยู่สักครึ่งนาฬิกา พระบาทสมเด็จ พระเจา้ อยหู่ วั กเ็ สดจ็ พระราชดำเนนิ กลบั ไดม้ รี บั สง่ั ใหพ้ วกเราไปเฝา้ ในเยน็ วนั นน้ั เพอ่ื ดูละครอกี ครง้ั หนง่ึ ครั้นเวลาค่ำประมาณ ๑๐ นาฬิกา ท่านเจ้าเมืองกับพวกในคณะจึงพากันไปยังพลับพลา พระเจา้ แผน่ ดนิ เสดจ็ ออกอยแู่ ลว้ ประทบั ทอดพระเนตรละครชนดิ หนง่ึ ซง่ึ สตรรี นุ่ ๆ แตง่ ตวั อยา่ งฉดู ฉาดมาก เป็นผู้เล่น ค่ำวันนี้มีนายทหารเรือรบฝรั่งเศสและพวกฝรั่งเศสผู้มาตรวจสุริยุปราคาเฝ้าด้วยหลายนาย กบั ทง้ั ชาวยโุ รปทร่ี บั ราชการในรฐั บาลสยามดว้ ยหลายคน มกี ปั ตนั บชุ เจา้ พนกั งานประจำตำแหนง่ เจา้ ทา่ กรงุ เทพ ฯ กปั ตนั วลั รอนด์ ผบู้ งั คบั การเรอื รบหลวงอมิ เปรกนะบล (ยงยศอโยชฌยิ า) สวมเครอ่ื งแบบ คล้ายคลึงกับราชนาวี (อังกฤษ) มาก ละครที่เล่นวันนี้ดูเหมือนพระเจ้าแผ่นดินพอพระราชหฤทัยมาก เล่นจับระบำชนิดหนึ่ง รำให้เข้ากับจังหวะดนตรีของประเทศดังได้กล่าวไว้แล้ว นอกจากดนตรีวงนี้ พระเจ้าแผ่นดินยังมีแตรวงอย่างดีแบบยุโรปวงหนึ่ง และท่านกลาโหมก็มีวงหนึ่ง ซึ่งท่านมีความเอื้อเฟื้อ จัดส่งมาเล่นในเวลาพวกเรากินอาหารตอนเย็นในวันต้นที่เรามาถึง และได้เล่นเพลงเต้นรำและเพลงขับ ได้อย่างน่าชมที่สุด เมื่อดูละครได้สักครู่ พระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งให้เรียกผู้เป็นตัวละครเล่นต่าง ๆ เข้ามาใกล้ แล้วทรงอธิบายถึงลักษณะตัวเรื่องประทานเซอร์แฮรี ออร์ด ทรงแจ้งว่าผู้เล่นเป็นใครด้วย ทุกคราวไป เป็นการแปลกอยู่ที่ได้ทราบว่าผู้ที่เล่นนั้นโดยมากเป็นธิดาของผู้ว่าราชการหัวเมืองต่าง ๆ และธิดาข้าราชการของพระเจ้าแผ่นดิน ธรรมเนียมเมืองไทยดูเหมือนบุตรหญิงเขาไม่ถือกันว่ามีราคา ค่างวดอะไรนัก และจะยินดีที่จะปล่อยปละไปให้พ้นเสียได้ โดยเอาเข้าไปฝากไว้ในพระบรมมหาราชวัง พระเจา้ แผน่ ดนิ โปรดการมหรสพเหลา่ น้ี ในวธิ รี ำดเู หมอื น พระองคท์ รงชำนชิ ำนาญจรงิ ๆ และเราไดท้ ราบวา่ บางคราวพระองค์ทรงสำราญพระราชหฤทัย เสด็จประทับทอดพระเนตรอยู่จนดึกดื่น ในคราวนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับว่าพระองค์มีความเหน็ดเหนื่อยด้วยราชกิจที่ได้ทรงกระทำเมื่อตอน กลางวนั ทท่ี อดพระเนตรสรุ ยิ ปุ ราคา และพระราชทานโอกาส ใหเ้ รากราบถวายบงั คมลามาแตห่ วั คำ่ ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ ๑๗ สิงหาคม มีพระบรมราชโองการให้พวกเราไปยังพลับพลา ได้พยายาม ฉายพระบรมรูปและรูปพวกในคณะผู้ว่าราชการไว้อีก เพื่อเป็นที่ระลึกในการที่ได้มานี้ แต่เครื่องถ่ายชำรุด ความพยายามแหง่ คนฉายรปู ของเราในคราวนจ้ี งึ ไมส่ ำเรจ็ ประโยชนเ์ หมอื นคราวอน่ื ๆ แล้วพระเจ้าแผ่นดินพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เซอร์แฮรีกับคุณหญิงออร์ด เข้าไปลา ข้าราชการฝ่ายใน พระเจ้าแผ่นดินเสด็จทรงนำไป นายนาวาเอกเอดีย์ และนายพันตรีแมกแนร์นั้น

เรอ่ื ง เซอร์ แฮรี ออรด์ เจา้ เมอื งสงิ คโปร์ ฯ ๓๐๓ ก็โปรดให้เข้าไปด้วย เมื่อเข้าไปถึงข้างในได้พบปะเหล่าผู้เป็นประธานฝ่ายใน แต่งกายด้วยผ้าทอง อยา่ งงามมาก ประดบั เครอ่ื งอาภรณแ์ ลพราวตา พระองคเ์ จา้ หญงิ ทท่ี รงพระเจรญิ เปน็ ผทู้ รงเลย้ี งเครอ่ื งดม่ื และพระเจ้าแผ่นดินได้มีพระราชดำรัสเป็นภาษาอังกฤษกับท่านเจ้าเมืองอยู่นาน ได้ทรงแสดงความพอ พระราชหฤทัยบ่อย ๆ ถึงที่ได้ทรงกระทำความคุ้นเคยกับเซอร์แฮรีและคุณหญิงออร์ด ทรงหวังว่า พระราชไมตรีอย่างสนิทสนมในระหว่างสองประเทศจะดำรงอยู่สืบไป แล้วทรงอธิบายตอบข้อที่เซอร์แฮรี ออร์ดกราบทูลถามถึงเรื่องพระเจ้าแผ่นดินที่สองแห่งกรุงสยามว่าด้วยอย่างไร และเหตุไรจึงตั้งแต่งขึ้นไว้ ขณะเมื่อท่านเจ้าเมืองเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินอยู่นั้น พระเจ้าลูกเธอทั้งพระองค์เจ้าหญิงและพระองค์เจ้าชาย ได้ทรงต้อนรับพวกที่ไปกับท่านเจ้าเมืองที่ในท้องพระโรง ทรงแจกการ์ดและพระรูปถ่ายแก่พวกเหล่านั้น และทรงแสดงความหวงั ในทพ่ี ระเจา้ แผน่ ดนิ คงจะไดเ้ สดจ็ ประพาสเมอื งสงิ คโปร์ เมื่อพวกเรากราบถวายบังคมลามา พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงประทานพระหัตถ์ให้สัมผัสทั้งหมด และเมื่อท่านเจ้าเมืองทูลลาก็ทรงแสดงความหวังพระหฤทัยว่าเซอร์แฮรีจะสามารถมาเฝ้าถึงในกรุงเทพ ฯ สักวันหนึ่ง และมีรับสั่งถามว่า ถ้าพระองค์จะเสด็จเมืองสิงคโปร์ ท่านเจ้าเมืองจะมีความยินดี ต้อนรับเสด็จหรือไม่ ท่านเจ้าเมืองกราบทูลสนองว่าไม่มีสิ่งไรจะทำให้มีความปลื้มใจยิ่งกว่าที่จะได้รับ พระราชทานเกยี รตยิ ศในทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั จะเสดจ็ พระราชดำเนนิ ไปเยย่ี มเยอื นเมอื งสงิ คโปร์ ครั้นพวกเราออกจากวัง (พลับพลา) มา พระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จลงเรือพระที่นั่งกลับกรุงเทพ ฯ พระมหานคร ขณะเมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จห่างออกจากฝั่งทะเลแล้ว บรรดาข้าราชการสยาม คณะกงสุลและชาวยุโรปอื่น ๆ ต่างก็ลงเรือไฟต่าง ๆ ที่จัดให้ไว้ใช้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวมายังพระนครกรุงเทพฯ เรือสเตลไลต์ และเรือกราสฮอปเปอร์ ก็ออกไปเมืองฮ่องกง เรือเฟรลอง ไปเมืองไซ่ง่อน เรือสารถิ์ ใช้เป็นเรือสำหรับบรรทุกพวกนักดาราศาสตร์และเครื่องมือ วทิ ยาศาสตร์ เรอื ไปโห มที า่ นเจา้ เมอื งกบั พวกกอ็ อกจากอา่ วไปในเวลากอ่ นมดื หนอ่ ยหนง่ึ และฝง่ั ทะเล ซึ่งในเวลาก่อนหน้านี้ ๒-๓ นาฬิกาเต็มไปด้วยฝูงชน ก็คืนคงสู่สภาพแห่งความเปลี่ยวเปล่าตามเคย ในเรว็ พลนั ถ้าจะจบบรรยายเรื่องนี้เสียโดยมิได้ชมถึงการที่พระเจ้าแผ่นดินสยามและข้าราชการ ของพระองค์ได้ละขนบธรรมเนียมเก่าอันเป็นเครื่องถ่วงความเจริญเพื่อพระราชทานเกียรติยศ แก่ท่านเจ้าเมืองในครั้งนี้ด้วยนั้นหาควรไม่ (อังกฤษ ) ผู้ที่คุ้นเคยกับไทยและขนบธรรมเนียมของไทย ได้สังเกตเห็นว่า ที่ในราชสำนักจะได้เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างหมดจดเช่นทรงรับแขกเมืองครั้งนี้

๓๐๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ แต่ก่อนมามิได้เคยปรากฏ เป็นต้นว่า เปิดพระราชมนเทียรพระราชทานโอกาสให้แขกเมืองเข้าไปได้ ไม่ห้ามหวง และโปรดให้พบปะกับฝ่ายในให้ออกมารับแขกเมืองโดยเปิดเผย ส่วนเจ้านายในราชสกุล ที่ทรงพระเยาว์ก็ทรงยอมให้สมาคมกับแขกเมืองชาวอังกฤษได้อย่างกิริยาเป็นฉันทมิตรสนิทสนม เรื่องราวของคณะทูตต่าง ๆ และจดหมายเหตุของผู้ที่ได้เข้ามาเยี่ยมเยือนกรุงสยามแต่ก่อน มีแต่บันทึก เรื่องร้องทุกข์ที่ถูกขัดขวางไม่ยอมให้กระทำความคุ้นเคยพูดจากับราชสำนัก และมีการหวงห้ามตาม ขนบธรรมเนยี มและพธิ ขี องชาวสยามมากมาย นายครอฟอรด์ ๑ กด็ ี รายาปรกุ ๒ และเซอรจ์ อหน์ เบาวรงิ กด็ ี กไ็ ดก้ ลา่ วความเหลา่ นไ้ี ว้ และทา่ นเหลา่ นน้ั ไดเ้ ลา่ เรอ่ื งราวอยา่ งยดื ยาววา่ ธรรมเนยี มการกดี กนั ตา่ ง ๆ เช่นนั้น มีอยู่ทั่วไปจนกระทำความขัดข้องแก่พวกในคณะของท่านมากมาย แม้แต่เรื่องเหน็บกระบี่ เขา้ เฝา้ ก็ตอ้ งถกู หา้ มปราม แตใ่ นคราวนี้ไมม่ ีการแสดงใหแ้ ขกเมืองรู้สึกอยา่ งเชน่ น้ันเลย พระเจา้ แผน่ ดนิ และขุนนางของพระองค์กลับสมาคมกับแขกเมืองอย่างยอมให้อิสระเท่ากับเป็นผู้เสมอกัน และดูเหมือน จะมงุ่ ใหค้ ลอ้ ยตามธรรมเนยี มของแขกทม่ี าหา การเปลย่ี นแปลงเกดิ ขน้ึ ในชนชาตทิ ไ่ี มเ่ คยยอมเปลย่ี นแปลง ดังนี้ ดูเป็นเครื่องหมายว่าความไม่ยอมเขยื้อนออกจากที่ของพลเมืองนั้น ยังอาจมีทางจะได้รับความ คลอ้ ยไปตามชาตทิ ม่ี คี วามเจรญิ เพราะความคนุ้ เคยกบั ประเทศทม่ี คี วามเจรญิ ตอ่ ไปในวนั หนา้ ชาวสยามโดยปรกติเป็นคนมีอัธยาศัยสงบเสงี่ยมและน่าคบหา ทั้งเฉลียวฉลาดและว่องไว แต่ดูชอบสนุกมากกว่าทำการงาน ไม่เป็นผู้ชอบความวิวาทหรือจะเห็นชอบในการเปลี่ยนแปลง และกล่าวกันว่านิสัยใจคอของชาวสยามเกลียดชังความไม่สุจริต ชาวสยามมีรูปพรรณสัณฐานเตี้ย พวกผู้หญิงโดยมากดูเหมือนหาที่สูงกว่า ๕ ฟุตขึ้นไปก็โดยยาก เครื่องนุ่งห่มผู้ชายใช้เสื้อกระบอก หลวม ๆ (ที่จริงนิยมเสื้อที่คับ) มีแขนและตัวยาวลงมาถึงเอว และขัดดุมจนถึงคอ (ไม่เปิดแบะคอเสื้อ) กับมีนุ่งเป็นผ้าทอของพื้นเมืองยาวประมาณ ๓ หลา และกว้าง ๑ หลา พันรอบเอวแล้วม้วนเอามาไว้ ในหวา่ งขา (โจงกระเบน) เพื่อให้ได้รูปอย่างกางเกง (นิกเกอร์บอกเกอร)์ น่องและเท้าปล่อยไว้ให้เปลือย (ไม่สวมถุงน่องรองเท้า) แต่ผู้มีบรรดาศักดิ์ ถ้าจะออกนอกบ้านมักใช้สวมรองเท้าหรือรองเท้าแตะ พวกผู้หญิงแต่งตัวคล้ายพวกผู้ชายมาก ถ้าไม่ใช้เสื้อกระบอกก็ถนัดใช้ผ้าห่มคลุมพาดบ่า (สไบเฉียง) ๑ Dr.John Crawfurd ไดร้ บั แตง่ ตง้ั จากมารค์ วสิ เฮสตง้ิ (Marquis Hastings) ผสู้ ำเรจ็ ราชการแหง่ อนิ เดยี ขององั กฤษทเี่ บงกอล ให้เป็นตัวแทนมีอำนาจเต็มของข้าหลวงใหญ่ประจำกรุงสยามและญวน เดินทางเข้ามาเจรจาสัมพันธไมตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั การเจรจาไมป่ ระสบผลสำเรจ็ ๒ Sir James Brooke ทูตอังกฤษเดินทางมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเจรจาขอทำสัญญา ทางพระราชไมตรใี หม่ แตไ่ มส่ ำเรจ็

เรอ่ื ง เซอร์ แฮรี ออรด์ เจา้ เมอื งสงิ คโปร์ ฯ ๓๐๕ เป็นเครื่องคลุมร่างกายได้บางส่วนเท่านั้น ทั้งผู้หญิงผู้ชายใช้โกนศีรษะเหลือไว้แต่เบื้องบนเป็นกระเปาะ (ผมมหาดไทยผมปกี ) ประมาณยาวขนาดเทา่ กนั กบั แปรงปดั ผา้ ธรรมดา ซง่ึ ดกู แ็ ปลกอยู่ เขากลา่ วกนั วา่ ผู้ชายและผู้หญิงไว้ผมผิดกัน แต่ฝ่ายเราสังเกตไม่ออก เว้นแต่จะเป็นด้วยผู้ชายประจงในเรื่องโกน มากกว่า เด็กเล็ก ๆ เอาผมไว้จนอายุได้ ๑๐ หรือ ๑๑ ขวบก็โกนเสีย ในการโกนผมมีพิธีใหญ่โต และถ้าเป็นเจ้าก็มีการสมโภชอย่างเอิกเกริก สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงชี้ให้เซอร์แฮรี ออร์ด ดูเจ้าชายพระองค์หนึ่ง ซึ่งพระองค์มีรับสั่งว่าจะได้โกน ( โสกันต์ ) ในปีหน้า * และทรงเชิญให้ หิสเอกซเลนซิ ๑ มากรุงเทพ ฯ เพื่อดูพระราชพิธี ซึ่งทรงรับรองแก่หิสเอกซเลนซิ ว่าจะเป็นงานใหญ่ นา่ ดมู าก ประเพณีแปลกของกรุงสยามมีอย่างหนึ่ง คือมีพระเจ้าแผ่นดินสองพระองค์พร้อมกัน แต่ในเวลานี้ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่ ๒ เพราะพระองค์หลังเสด็จสวรรคตเสียเมื่อปี ค.ศ. ๑๘๖๖๒ เหตุและพงศาวดารของการที่มีพระเจ้าแผ่นดินที่ ๒ นี้ ดูเหมือนไม่ใคร่เข้าใจกันโดยมาก จึงเห็นควร จะนำพระบรมราชาธิบายซึ่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงพระกรุณาพระราชทานเมื่อเซอร์แฮรี ออร์ด กราบทูลถามนั้นมากล่าวไว้ด้วย ความว่าพระเจ้าแผ่นดินที่ ๒ เป็นผู้ซึ่งคนทั้งหลายเข้าใจกันว่า มีสิทธิ์ในราชสมบัติถัดจากพระเจ้าแผ่นดินที่ได้พร้อมกันถวายราชสมบัติ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จสวรรคต ถ้ามีพระเจ้าแผ่นดินที่ ๒ อยู่ในขณะนั้น ข้าราชการก็มักถวายราชสมบัติแก่พระเจ้าแผ่นดินที่ ๒ และ ตง้ั เจา้ นายองคท์ ม่ี สี ทิ ธด์ิ ที ส่ี ดุ ขน้ึ เปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ ท่ี ๒ ถ้าพระเจ้าแผ่นดินที่ ๒ เสด็จทิวงคต พระเจ้าแผ่นดินที่ ๑ จะทรงตั้งผู้ใดเป็นแทนได้ แต่ไม่ใคร่จะเป็นธรรมเนียมที่จะต้องทำเช่นนั้น มักปล่อยตำแหน่งให้ว่างอยู่จนพระเจ้าแผ่นดินที่ ๑ เสดจ็ สวรรคต อำนาจของพระเจา้ แผน่ ดนิ ท่ี ๒ นน้ั ดเู หมอื นแลว้ แตพ่ ระราชหฤทยั ของพระเจา้ แผน่ ดนิ ท่ี ๑ จะพระราชทานอย่างไร แต่เดิมมาดูเหมือนพระเจ้าแผ่นดินที่ ๒ มีอำนาจมากกว่าในชั้นหลังที่ล่วงมานี้ ความประสงค์ที่ตั้งแบบธรรมเนียมมีพระเจ้าแผ่นดินที่ ๒ นี้ แท้จริงคือจะป้องกันความแตกร้าว ในเมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จสวรรคต เพราะการรับราชสมบัติต้องเป็นทางทายาทในพระราชวงศ์ และการเลอื กผซู้ ง่ึ จะเปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ กอ็ าศยั ความพรอ้ มเพรยี งของขนุ นางผใู้ หญท่ ง้ั ปวง จงึ เหน็ ไดช้ ดั วา่ * คอื สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ จาตรุ นตร์ ศั มี กรมพระจกั รพรรดพิ งศ์ ๑ His Excellency หมายถงึ Sir Harry Ord ๒ พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ สวรรคต เมอ่ื วนั ท่ี ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๘

๓๐๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เมื่อเลือกพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ถ้าตั้งรัชทายาทได้ด้วย ก็จะมิใคร่มีช่องทางน้อยที่จะเกิดการวิวาท อนั จะเปน็ ภยั ตอ่ สนั ตสิ ขุ ของบา้ นเมอื งของประเทศ

กระแสรบั สง่ั รชั กาลท่ี ๔ เรอ่ื งสรุ ยิ ปุ ราคา ๓๐๗ กระแสรบั สง่ั รชั กาลท่ี ๔ เรอ่ื ง สรุ ยิ ปุ ราคา เมอ่ื ปมี ะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ ตน้ ฉบบั ของกรมขุนวรจักรธรานุภาพ

๓๐๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔

กระแสรบั สง่ั รชั กาลท่ี ๔ เรอ่ื งสรุ ยิ ปุ ราคา ๓๐๙ กระแสรบั สง่ั รชั กาลท่ี ๔ เรอ่ื ง สรุ ยิ ปุ ราคา เมอ่ื ปมี ะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ ต้นฉบับของกรมขุนวรจักรธรานุภาพ หมอ่ มอนวุ ตั รวรพงศ์ สงิ หนทั ในพระองคเ์ จา้ ปรดี า ให้หอพระสมดุ ฯ เมอ่ื วนั ท่ี ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๓ มีพระบรมราชโองการมารพระบัณฑูรสิงหนาท ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดหมายเหตุทบ่ี งั เกดิ มี เมอ่ื เวลาสรุ ยิ ปุ ราคาเปน็ ในวนั ๓๑ฯ ๑๐ คำ่ ปมี ะโรงสมั ฤทธ๑ศิ ๘ก๑ ไวใ้ หท้ า่ นทง้ั ปวงทราบดงั น้ี :- ทค่ี า่ ยหลวงหวา้ กอ เปน็ ทท่ี รงพระราชดำรวิ า่ จะเปน็ ทค่ี วรจะเหน็ เปน็ กลางคราสสรุ ยิ ปุ ราคาสน้ิ ดวง แล้วมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่ง ให้ไปตั้งแต่งไว้เป็นที่ประทับนั้นมีกำหนด ลองชิตตูด ๙๙ องศา ๔๐ ลบิ ดา ๒๐ พลิ พิ คดิ มาแตท่ ค่ี รคู รนิ วชิ ๒ เปน็ ทศิ ตะวนั ตกกรงุ เทพฯ ไปเพยี ง ๔๙ ลบิ ดากบั ๔๐ พลิ พิ เวลาผิดกันกับกรุงเทพฯ ๓ นาทีกับ ๑๖ วินาทีเศษเล็กน้อย มีลาติตุดขิปทุวิเหนือ ๑๑ องศา ๔๑ ลิบดา ๔๐ พลิ พิ เปน็ ขา้ งใตก้ รงุ เทพฯ ลงไป ๒ องศา ๓ ลบิ ดา ๒๙ พลิ พิ ที่ค่ายหลวงหว้ากอ ทรงพยากรณ์ว่าจะจับทิศพายัพ๓ เวลา ๑๐ นาฬิกา กับ ๖ นาที แต่เที่ยงคืน แต่เกิดเมฆฝนดำมืดมิดปิดเสียหมดไม่เห็นเลยเมื่อแรกจับ อยู่มาจนเวลา ๑๐ นาฬิกากับ ๔๖ นาที เมฆจงึ จางออกไปเหน็ ดวงพระอาทติ ย์ไร ๆ แลดพู อรวู้ า่ จบั แลว้ สกั สว่ นหนง่ึ ยงั เหลอื สกั สองสว่ น ดวงพระอาทิตย์ เมื่อนั้นจึงได้ประโคมสรงมุรธาภิเษก ในระหว่างนั้นเมฆขาวดำปิดดวงพระอาทิตย์ เห็นบ้างในระวาง ๆ ไม่เห็นบ้าง คราสคือที่แหว่งไม่หันไปทิศไหน เดินตรงไปทีเดียว เมื่อเวลาสรง พระมุรธาภิเษกแล้วนาฬิกาได้ ๑๑ นาฬิกากับ ๕ นาทีแต่เที่ยงคืน จึงได้ทรงประเคนสำรับพระสงฆ์ รบั สง่ั วา่ ยงั อกี กง่ึ นาฬกิ าจงึ จะสน้ิ ดวงใหร้ บี ฉนั เถดิ คราสกต็ รงเขา้ ไปแตท่ ศิ พายพั เหลอื ขา้ งทศิ อาคเนย์ ๔ ๑ ตรงกบั วนั อังคารท่ี ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๒ มาตรฐานกรีนนิช (Greenwich meridian) เป็นเส้นสมมุติมาตรฐานจากขั้วโลกเหนือลงมาขั้วโลกใต้ เส้นที่ผ่านหมู่บ้านกรีนนิช ชานเมอื งลอนดอน ประเทศองั กฤษ กำหนดใหเ้ ป็น ๐ํ longitude เสน้ ทีอ่ ยูเ่ ลยกรนี นชิ ไปกก็ ำหนดวา่ เปน็ ตะวนั ตกหรอื ตะวนั ออกโดยเทยี บจาก The Royal Greenwich Observatory เป็นมาตรฐาน นอกจากนี้ ยังใช้เป็นจุดกำหนดมาตรฐานเวลาอีกด้วย ที่เรียกว่า GMT - Greenwich Mean Time ๓ คือทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ๔ คอื ทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใต้

๓๑๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เมอ่ื เวลา ๑๑ นาฬกิ ากบั ๒๕ นาทแี ดดไมร่ อ้ น แสงรอ้ นออ่ นมาก คนรอ้ งกนั วา่ เหมอื นเดอื นหงาย ครน้ั ถงึ ๓๐ นาที ดวงพระอาทติ ยเ์ หลอื นอ้ ย ถา้ จะคดิ ดวงพระอาทติ ยแ์ บง่ สกั ๑๒ สว่ น จะเหลอื อยไู่ มถ่ งึ สว่ น ๑ เมอ่ื นน้ั ทอ้ งฟา้ ตรงดวงพระอาทติ ยไ์ ปจนขา้ งตะวนั ตก เปน็ ตน้ ลม สวา่ งไมม่ เี มฆเลยทเี ดยี ว คนรอ้ งวา่ หมดแลว้ เหน็ ดาวแลว้ ออ้ื องึ มาก แตท่ จ่ี รงิ ยงั ไมห่ มด ไปหมดตอ่ ๑๑ นาฬกิ า ๓๖ นาที ๒๒ วนิ าที เมื่อดวงพระอาทิตย์เหลือน้อย ดูในกล้องก็เห็นเป็นเส้นขอบโอบวงมืดอยู่ เพราะดูด้วยกล้อง ที่กำบังด้วยกระจกสี แต่ดูด้วยตาเปล่าวงขอบนั้นรัดกลมเข้ามาดูเหมือนดวงดาว แต่รัดเล็กเข้าไปทุกที เหมือนตัวหิ่งห้อยแล้วจึงหายไป มีแต่สีขาวหลัวคล้ายเมฆขาวล้อมรอบวงดำอยู่ ครั้นดวงพระอาทิตย์ ลับหายไป นาฬิกาคนถือดูก็ไม่เห็นมืดเหมือนกลางคืน ครั้นไปประมาณนาที ๑ หรือยังไรไม่แน่ เพราะไม่เห็นนาฬิกา ในกล้องแลเห็นเป็นกิ่งงางอน ๆ ช้อนไปข้างทิศตะวันออกของดวงดำที่ทับ พระอาทิตย์อยู่ จมอยู่ในแสงขาวหลัว ๆ รอบดวงดำนั้น เมื่อส่องด้วยกล้องใหญ่ คล้าย ๆ กิ่งลั่นทม หรือการัง ๑ เขากวางปลายป้าน ๆ ไม่แหลม แต่ดูเห็นว่าเป็นของมีตัวแท้ จะเป็นรัศมีบันดาลนั้น หามิได้ ของก็ไม่ควรจะเห็น เพราะแสงขาวชักให้เห็นออกมา เหมือนกะแปะที่วางไว้ในถ้วยใหญ่ คนอยู่ที่ข้างหนึ่งขอบถ้วยยังไม่เห็นแล้ว ครั้นน้ำเทลงในถ้วยถึงกะแปะไม่ลอยขึ้นไม่กระเทือนไป คนไม่ได้ชะเง้อขึ้นก็เห็นได้ด้วยกำลังเงาน้ำชัก ครั้นล่วงไปอีกสัก ๓ นาที จวนดวงพระอาทิตย์ จะผุดออกข้างทิศพายัพ ก็เห็นเป็นเงาเช่นนั้นเคียงติดกันเป็นคู่ออกข้างทิศพายัพอีก ของเดิมก็ ไม่หายไป ครั้นล่วงมาสัก ๕ นาทีเศษ เห็นเป็นฟันเลื่อยที่วงดำน้อย ๆ ข้างทิศประจิม๒ ค่อนหรดี ๓ ในดวงดำนั้น ครั้นแล้วพระอาทิตย์ผุดออกมา มีรัศมีเป็นแสงสว่างเห็นนาฬิกาได้ ขณะนั้น นาฬกิ าได้ ๑๑ นาฬกิ ากบั ๔๓ นาที ๗ วนิ าที ถกู ตอ้ งกบั ทท่ี รงพยากรณไ์ วไ้ มค่ ลาดเลย พน้ นน้ั ไปไมไ่ ด้ ทรงกำหนด เพราะแสงพระอาทิตย์กล้าหนักขึ้นทุกที ได้ทอดพระเนตรต่อเมื่อจวนจะหลุดคราส กค็ งอยทู่ ศิ อาคเนย์ จนหลดุ บา่ ยโมง ๑ กบั ๙ นาที เกนิ ทท่ี รงพยากรณไ์ ปนาที ๑ การครง้ั นไ้ี ดท้ รงปฏญิ ญาการฉลองการบชู าแกเ่ ทวดารกั ษาพระราชวงั และพระนคร และเทวดาเจา้ ปา่ ขอใหท้ อ้ งฟา้ สวา่ งในระหวา่ งบาทนาฬกิ าเดยี ว เทวดาอารกั ษท์ ง้ั ในกรงุ ฯ นอกกรงุ ฯ ดเู หมอื นชว่ ยทำใหส้ ำเรจ็ ๑ ปะการัง ๒ คือทิศตะวันตก ๓ คอื ทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ คำเรยี กทศิ ทง้ั ๘ ของไทยแตเ่ ดมิ เรยี กดงั น้ี พายพั อุดร อสี าน ประจิม บูรพา หรดี อาคเนย์ ทักษิณ

กระแสรบั สง่ั รชั กาลท่ี ๔ เรอ่ื งสรุ ยิ ปุ ราคา ๓๑๑ ดังพระราชประสงค์ ควรขอบใจเทวดาที่ฟังพระราชปฏิญญา ทำให้สมพระราชประสงค์เป็นอัศจรรย์ เทวดาได้เครื่องสังเวยลางคราวเล็กน้อยดอก ยังรับอาสาทำให้สำเร็จพระราชประสงค์ได้ เห็นด้วยใน พระราชดำริ กท็ า่ นผเู้ ปน็ พระราชวงศานวุ งศ์ ขา้ ราชการผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ยฝา่ ยหนา้ ฝา่ ยใน ไดร้ บั พระราชทาน เบย้ี หวดั ตามยศถาบรรดาศกั ด์ิ และพระราชาคณะฐานานกุ รมเปรยี ญเลา่ กไ็ ดร้ บั นติ ยภตั มากกวา่ เทพยดา นน้ั อกี แตไ่ มม่ ใี ครคดิ ฉลองพระเดชพระคณุ เอาใจใสใ่ ห้ ละเอยี ดกำหนดใหแ้ น่ ใหส้ มพระราชประสงคบ์ า้ งเลย ที่กรุงเทพ ฯ ทรงคำนวณกะการแล้วเป็นแน่ ว่าเห็นจะจับทิศพายัพ เวลา ๑๐ นาฬิกากับ ๗ นาทีเศษ แล้วคราสจะค่อยเร่ไปทิศประจิม ทิศหรดี จนทิศทักษิณ จะจับมากที่สุดแหว่งข้าง ทิศทักษิณ เหลือข้างทิศอุดร น้อยเป็นที่สุดดวงพระอาทิตย์แบ่ง ๑๒ ส่วน จะจับเสียสัก ๑๑ ส่วนเศษ จะเหลืออยู่สักส่วนหย่อน ๆ เมื่อเวลาตี ๑๑ นาฬิกากับ ๔๔ นาทีเป็นที่สุด แล้วคราสจะเร่แต่ทักษิณ ไปอาคเนย์ คายออกหลุดทิศอาคเนย์ เวลาบ่าย ๑ โมง กับ ๑๒ นาที การนี้เป็นแต่การทรงคำนวณ ไม่ได้เห็น แต่ที่จะเป็นก็คงจะไม่คลาดกำหนดนี้นัก แต่ผู้อยู่รักษาพระนครรักษาพระราชวัง ใจสกปรก เหม่นเหม่นักไม่ละการใจไพร่ ถึงพูดด้วยก็ไม่พอใจฟังไม่เอาใจใส่ พอใจพูดถึงแต่เวลาจับว่าจับโมงนั้น บาทนี้ ถูกของโหรนายนี้นายโน้นเท่านั้นแล้ว ก็มัวแต่จะเอาเงินแจกหรือจะเอกเขนกทำยศคนผู้ใหญ่ไต่สูง ไมเ่ อาใจใสก่ ารละเอยี ดถามใครกไ็ มไ่ ดค้ วาม อนึ่งเมื่อแรกจับนั้น ถึงพอใจพูดกันว่าจับบาทนั้นโมงนั้น ก็พูดโง่ ๆ เซอะ ๆ ด้วยเหตุสองประการ ประการหนึ่ง คือนาฬิกาก็ไม่ได้ตรวจตรา ตั้งวัดวาด้วยเครื่องมือแล้วคำนวณสอบสวนให้ถูกต้อง กับเวลาพระอาทิตย์ เป็นแต่เห็นว่าสว่างแล้วก็ย่ำรุ่ง นับถือว่าเป็นต้นวัน ไม่ได้เหยียบชั้นคำนวณก่อน เวลาจับนั้นไม่ชอบกลเลย เป็นแต่ไว้ให้หัวพันและไพร่หลวงชาวนาฬิกา สมมุติว่าเป็นผู้รู้แต่ชื่อ เป็นแต่ที่นับถือของพระสงฆ์แก่ ๆ ชาววัดมักพูดกัน พนักงานนาฬิกาหลวงนั้น เขาชื่อพันทิวาทิตย์ พันพินิตจันทรา เขาดูเวลาพระอาทิตย์พระจันทร์ทั้งกลางวันกลางคืน เขาผลัดกันตื่นอยู่ไม่หลับ นับเม็ดในขันนาฬิกาว่ากี่บาทต่อกี่บาทไม่คลาดเลย ใครจะสู้เขาได้ นาฬิกาในพระราชวังแน่กว่า ทไ่ี หน ๆ หมด พระสงฆผ์ ใู้ หญ่ ๆ มกั พดู กนั อยา่ งน้ี ถงึ พวกโหรนแ้ี ตล่ ะนาย ๆ บวชแกว่ ดั มาหลาย ๆ ปี ใจหยาบคายโล้เล้เฉินเช่ยอย่างนี้เหมือนกับชาววัดสำหรับจะมานั่งรับนั่งออ ชมยศคนที่อยากอวดยศ ทำปน้ั ปง่ึ ขงึ โสไวต้ วั เปน็ ผใู้ หญผ่ เู้ ฒา่ เปลา่ ๆ ไมเ่ อาใจใสใ่ นการเปน็ วสิ ยั ของความรวู้ ทิ ยา เปน็ การละเอยี ด การประหลาด ควรเป็นที่สังเกตจดหมายเหตุไว้เป็นตัวอย่างสืบไปภายหน้า ก็เพราะนาฬิกาตั้งไม่แน่ อยา่ งวา่ มานอ้ี ยา่ งหนง่ึ เปน็ ทใ่ี หผ้ ดิ จากจรงิ อกี อยา่ งหนง่ึ เพราะดดู วงพระอาทติ ย์ ดว้ ยการดหู ยาบคายนกั

๓๑๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ คอื ตง้ั ขนั นำ้ ลงดบู า้ ง เอากระจกฉายดบู า้ ง ปอ้ งหนา้ ดบู า้ ง เอากระจกเงาหรือแวน่ ตา ลนควนั ไตค้ วนั เทยี น ดบู า้ ง เครอ่ื งมอื หยาบคายสกปรกอยา่ งน้ี แรกจบั แตน่ อ้ ยกไ็ มเ่ หน็ ไดม้ พี ระบรมราชโองการทรงดำรสั ยนื ยนั วา่ แตค่ รง้ั หลงั ๆ มามผี ดู้ สู รุ ยิ ปุ ราคาดว้ ยแวน่ สำหรบั วดั แดด มกี ระจกเขยี วกระจกแดงตา่ ง ๆ กนั กลอ้ งสอ่ งมกี ระจกเขยี วกระจกแดงเหลอื งตา่ ง ๆ บงั ตาบา้ ง เหน็ วา่ จบั แลว้ บอกแก่โหร ๆ กเ็ อามอื ปอ้ งหนา้ ดู เถียงว่ายังไม่จับช้าอยู่หลาย ๆ นาที จึงยอมให้ประโคมว่าจับ ตั้งแต่นี้ไปการหยาบ ๆ ไพร่ ๆ สกปรก อย่างใจชาววัดคนมาแต่วัดเช่นนี้ ให้พวกโหรคิดเงือดงดเสีย จงเอาใจใส่การให้ละเอียด ตามพนักงาน ของตวั อยา่ รบั เบย้ี หวดั เสยี เปลา่ ใหล้ อกเอาจดหมายเหตนุ ไ้ี วส้ ำหรบั กรมสำหรบั ตวั สบื ตอ่ ไปทกุ นายทกุ คน พระเจา้ ราชวรวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื อดลุ ยลกั ษณสมบตั ิ ทา้ วสมศกั ด์ิ (เนย) ทา้ วโสภานเิ วศ (ลม้ิ ) ทา้ วอนิ ทรสรุ ยิ า ทา้ วทรงกนั ดาล (ศร)ี ทา้ วพพิ ฒั นโ์ ภชา ทา้ วศรสี ตั ยานรุ กั ษ์ ทา้ วรกั ษามณเฑยี ร เจา้ พระยายมราช (แกว้ ) พระยาสหี ราชเดโชไชย (พณิ ) พระยาราชสภุ าวดี (ปาน) พระยาอภยั รณฤทธ์ิ (เฉย) พระยาพไิ ชยสงคราม พระยาราชสมั ภารากร พระยาพระกฤษณรกั ษ์ พระยาราชวงั สรรค์ พระยาประจกั ษว์ รวไิ ลย พระยาฤทธไิ กรเกรยี งหาญ พระยาจา่ แสนบดี (ขลบิ ) พระยาเวยี งใน

กระแสรบั สง่ั รชั กาลท่ี ๔ เรอ่ื งสรุ ยิ ปุ ราคา ๓๑๓ พระยาไพบลู ยส์ มบตั ิ (เอย่ี ม) พระยาภกั ดสี งคราม พระยาเทพมณเฑยี ร พระวชิ ติ มนตรี พระมหาบรุ รี มย์ พระกลั ยาภกั ดี จมน่ื มหาดเลก็ พระพไิ ชยสรเดช พระชนะรณชติ พระศรยี ศประเทศมนตรี พระพเิ ดชสงคราม พระพพิ ากษานานาประเทศ พระศรเี สนา หลวงพพิ ธิ มณเฑยี ร หลวงนงั คลั กจิ บรรหาร หลวงประชาฤทธฦิ ๅไชย หลวงวสิ ตู รสมบตั ิ ขนุ อกั ษรสมบตั ิ เสมยี นตรา ขนุ ธนศกั ด์ิ สมงิ สทิ ธริ าชา ขนุ รดุ อกั ษร เสมยี นตรา นายหศั บำเรอ (ชา) รายนามข้างบนนี้ ในต้นฉบับที่ได้มาหาปรากฏว่า เกี่ยวข้องแก่เรื่องที่ประกาศอย่างไรไม่ สนั นษิ ฐานวา่ เหน็ จะเปน็ ผทู้ ไ่ี ดม้ าคดั เอาจดหมายเหตุไปตามกระแสรบั สง่ั ผเู้ ปน็ ตน้ รบั สง่ั จงึ จดนามลงไว้

๓๑๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ คำกลอนเรอ่ื งสรุ ยิ ปุ ราคา จ.ศ.๑๒๓๐ มะโรงศนู ยศ์ ก เมอ่ื กลางเดอื นหก ฝนตกกวา่ พนั ขน้ึ คำ่ เดอื นสบิ มณฑลพระจนั ทร์ บังดวงสุริยัน มืดหมดสิ้นดวง เป็นสูรย์สรรพคราส ประหลาดใหญ่หลวง ฝูงชนทั้งปวง ไม่เคยเห็นฟัง นับถอยขึ้นไป ได้มีสูรย์ใหญ่ ดังนี้อยู่ครั้ง แต่ก่อนแผ่นดิน อู่ทองสร้างวัง เมืองกรุงเก่าตั้ง ก่อนนั้นขึ้นไป สักสี่สิบเศษ นักปราชญ์กล่าวไว้ สูรย์เช่นนี้ไซร้ ช้านานจงมี หา้ รอ้ ยปเี สศ ในเขตเทา่ น้ี จง่ึ มสี กั ที ยากทห่ี มชู่ น จกั ไดป้ ระสบ พบเหน็ สกั หน นานหลายชว่ั คน จง่ึ มสี กั คราว ถงึ มขี น้ึ เลา่ ถา้ ชนโงเ่ ขลา ไมร่ เู้ รอ่ื งราว ทางฟา้ อากาศ อจุ นจิ คราสคราว แผนท่ชี ก้ี ลา่ ว ตรงเยอ้ื งอยา่ งไร ในเมอื งเดยี วกนั เหน็ ตา่ งกนั ได้ ตามหา่ งตามใกล้ เหน็ ไมเ่ หมอื นกนั ตอ้ งไปเทย่ี วหา ประเทศบางอัน ถูกตรงสุริยัน จึ่งเห็นหมดดวง เป็นสูรย์อัศจรรย์ สำคัญใหญ่หลวง ฝูงชนทั้งปวง ยากจกั เลา่ เรยี น ไมใ่ ชก่ ารหยาบ ตอ้ งมากความเพยี ร ฉลาดคดิ ขดี เขยี น คณู หารการทำ บงั เวยี นเขยี นวดั ขดี กะจดจำ ตอ่ ปญั ญาลำ้ เลศิ ลน้ คณนา จง่ึ จกั รแู้ จง้ ในเรอ่ื งวชิ า ทายเหมอื นดว้ ยตา เหน็ แทอ้ ยา่ งไร มปี ราชญพ์ วกหนง่ึ ดาดฟา้ เรอื ไฟ ทายแพจ้ อมไท หลายอยา่ งเทยี วนา เมอ่ื เชา้ โมงเสศ ฝนตกลงมา เมฆคลมุ้ กลมุ้ หนา้ อาทติ ยม์ ดิ ดวง ไมเ่ หน็ เมอ่ื จบั บงั ลบั ใหญห่ ลวง แบง่ แปดสองลว่ ง จง่ึ สวา่ งออกมา สโ่ี มงเจด็ บาท เหน็ ชดั เตม็ ตา จวนเทย่ี งเวลา จบั หมดสน้ิ ดวง พอหมดมดื ประหลาด ผดิ มดื ทง้ั ปวง ทใ่ี นกลางดวง ดำทบึ อยกู่ ลาง ขา้ งรมิ ขอบนน้ั เหลอื งดำปนกนั พรอ้ มพรอ้ มรางราง เปน็ ขอบรอบวง ดำตรงอยกู่ ลาง แลว้ รมิ รอบขา้ ง แปลบปลาบออกมา สคี ลา้ ยวงขอบ แหลมแลบแปลกตา ขา้ งทศิ หนง่ึ นา เป็นติ่งไม่ยาว ตั้งอยู่ใกล้ขอบ ดูคล้ายดวงดาว แล้วแสงแวบขาว วาบวับออกมา ประเดี๋ยวก็เห็น ขอบดวงสรุ ยิ า แลบเลอ่ื นออกมา แสงวาบหายไป เมอ่ื มดื อยนู่ น้ั เหน็ ดาวกลางวนั เทย่ี วผดุ ขวกั ไขว่ บางคนว่าเห็น ดวงเล็กอยู่ใกล้ ที่ดวงใหญ่ใหญ่ สามนั้นถูกกัน บางคนว่าเห็น สองดวงเท่านั้น เป็นพวกตาสั้น เหมือนชาวในกรุง เห็นแต่หนึ่งสอง ไม่มองไม่มุ่ง ว่าลับเครื่องมุง กิ่งไม้ปิดบัง พดู ไมแ่ ยบคาย ดไู มน่ า่ ฟงั คำพดู นา่ ชงั เหมอื นของเคยมี จบโดยสงั เขป คำแสดงเทา่ น้ี เลา่ มากไมด่ ี จะเป็นปดไป เช่นพวกฝรั่ง พอมืดจุดไฟ ชักโคมขึ้นไป คลาดทั่วในเรือ จะประสงค์ไปเล่า วา่ มดื ลน้ เหลอื ทใ่ี นลำเรอื ตอ้ งจดุ โคมไฟ จะไปเลา่ บอก แกค่ นทไ่ี กล ไมใ่ หเ้ ถยี งได้ อา้ งพยานทง้ั ลำ ที่จริงนั้นมืด มัวคลุ้มสีดำ เหมือนใกล้พลบค่ำ ฤๅจวนอรุณ หน้าคนจำได้ ไม่โดนกันวุ่น ท่านผู้มีบุญ แลเห็นแต่ไกล ไม่ต้องจุดเทียน ประทีปโคมไฟ แลที่ใกล้ไกล เปนไม่เหมือนกัน ทโ่ี นน่ ฝนตก โมงเชา้ ตน้ วนั ในกรงุ เทพ ฯ นน้ั ตกบา่ ยสองโมง อกี คราวหนง่ึ นน้ั เดอื นเกา้ มีจนั ทร์

กระแสรบั สง่ั รชั กาลท่ี ๔ เรอ่ื งสรุ ยิ ปุ ราคา ๓๑๕ แต่ก่อนมะโรง มะแมฝนแล้ง น้ำแห้งขอดโอ่ง บ่นหาข้าวกิน ปีเศษจะประพาส ธรรมราชเขตถิ่น ก่อนจับมืดสิ้น ฝนตกมากมาย ต่อจวนใกล้หลุด หมุนหันถอยคลาย ฝูงชนทั้งหลาย จง่ึ เหน็ พระจนั ทร์ ในกรงุ แจม่ แจง้ ดคู ลา้ ยกลางวนั แตแ่ รกจบั นน้ั เหน็ จนหลดุ ไป สรรพคราสสองน้ี ควรจักจำไว้ ประเทศห่างไกล ยากจักรู้กัน กล่าวเสร็จสิ้นเรื่อง สรรพคราสสูรย์จันทร์ ศกั ราชสองพนั สร่ี อ้ ยสบิ เอด็ น้ี จดหมายเหตุเสรจ็ สน้ิ เรอ่ื งสรู ย์ สรรพคราสบงั บดิ หมนุ มดื แท้ ปานพลบฤๅอรณุ จวนรงุ่ มดื ดำพอจำแม้ ไมต่ อ้ งจดุ เพลงิ

๓๑๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงฉายพระรูปร่วมกับเซอร์แฮรี ออร์ด ผู้ว่าราชการสเตรทส์ เซทเติลเมนต์ และข้าราชการชาวอังกฤษ ที่เดินทางมาดูสุริยุปราคา คา่ ยหลวงหวา้ กอ คลองวาฬ ประจวบครี ขี นั ธ์

กระแสรบั สง่ั รชั กาลท่ี ๔ เรอ่ื งสรุ ยิ ปุ ราคา ๓๑๗ ค่ายหลวงหว้ากอ คลองวาฬ ประจวบคีรีขันธ์ สรุ ยิ ปุ ราคาทห่ี วา้ กอ เมอ่ื วนั ท่ี ๑๘ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๑๑

๓๑๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔

๓๑๙ เรื่องพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อก่อนเสวยราชย์ พ.ศ. ๒๓๔๗ - ๒๓๙๔ พระนพิ นธ์ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

๓๒๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔

เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นเสวยราชย์ ๓๒๑ เรื่องพระราชประวัติ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นเสวยราชย์ พ.ศ. ๒๓๔๗ - ๒๓๙๔ พระนพิ นธ์ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ สมภพในรชั กาลท่ี ๑ เมอ่ื ปชี วด วนั พฤหสั บดที ่ี ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๔๗ ในเวลานั้น สมเด็จพระบรมชนกนาถ (พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ยงั ดำรงพระยศเปน็ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงอศิ รสนุ ทร เสดจ็ ประทบั อยู่ ณ พระราชวงั เดมิ ครั้งกรุงธนบุรี ด้วยกันกับสมเด็จพระ (ศรีสุริเยนทร) บรมราชชนนี ซึ่งเป็นเจ้าฟ้าฝ่ายในด้วยเป็น พระธิดาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระยศเป็น สมเด็จเจ้าฟ้าหลานเธอ มาตั้งแต่ประสูติจนสิ้นรัชกาลที่ ๑ เมื่อพระชันษาได้ ๖ ปี ในระหว่างนั้นได้เฝ้าและทรงจำพระบรมอัยกาธิราชพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก๑ ได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อทรงสร้างพระมหาสถูปองค์ที่ ๔ ที่วัดพระเชตุพนฯ จึงมีพระราชดำรัสสั่งไว้ว่าพระเจ้า แผ่นดินภายหลังไม่ต้องทรงถือเป็นแบบอย่าง เพราะพระเจ้าแผ่นดิน ๔ พระองค์นั้นได้เคยทรงเห็น กนั และกนั ดงั น้ี ถึงรัชกาลที่ ๒ เสด็จเข้ามาอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ประทับที่ตำหนักแดง (อยู่ตรงที่สร้าง ตำหนักสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี) อันสมเด็จกรมพระศรีสุดารักษ์กับสมเด็จพระชนนี เคยเสด็จอยู่มาแต่ก่อน* ทรงพระยศเป็น สมเด็จพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ คนทั้งหลายเรียกกันว่า “ทลู กระหมอ่ มฟา้ พระองคใ์ หญ”่ แตม่ กั เรยี กกนั โดยสะดวกปากวา่ “ทลู กระหมอ่ มใหญ”่ มฉิ ะนน้ั กเ็ รยี กวา่ “เจา้ ฟา้ พระองคใ์ หญ”่ หรอื “เจา้ ฟา้ ใหญ”่ เรยี กกนั อยา่ งนส้ี บื มาจนเสวยราชย์ ** จะกล่าวถึงเรื่องพระราชทานพระนามแทรกลงตรงนี้สักหน่อย ด้วยมีผู้แต่งหนังสือเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กลา่ ววา่ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก พระราชทาน ๑ ในพ.ศ.๒๕๒๕ รฐั บาลถวายพระราชสมญั ญาวา่ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช * เมื่อสร้างพระอภิเนาวนิเวศโปรด ฯ ให้รื้อที่ตำหนักหลังที่เสด็จประทับไปสร้างเป็นตึกในบริเวณนั้น พระราชทานนามว่า พระที่นั่ง มลู มณเฑยี ร เดย๋ี วนย้ี า้ ยไปปลกู เปน็ โรงเรยี นอยหู่ นา้ วดั เขมาภริ ตาราม ** พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ตรสั เรยี กวา่ “ทา่ นฟ้าใหญ”่ ฝรง่ั เรยี กวา่ Chow fa yai เจา้ ฟา้ ใหญ่

๓๒๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระนามว่า “เจ้าฟ้ามงกุฎ” มาแต่แรกประสูติ ความจริงจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ด้วยประเพณีการ พระราชทานพระนามเจ้าฟ้ามีมาแต่โบราณ พระราชทานต่อเมื่อพระชันษาได้ ๙ ปี (หรือมิฉะนั้นก็ เมอ่ื โสกนั ต)์ มพี ธิ สี ำหรบั การนน้ั โดยเฉพาะ คำทเ่ี รยี กเมอ่ื กอ่ นไดพ้ ระราชทานพระนามเปน็ แตค่ นทง้ั หลาย เรียกกันโดยสมมติ เช่น เรียกว่า เจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่และพระองค์น้อย เป็นต้น บางทีก็ใช้คำแปล ออกไปตามเหตุ ยกตวั อยา่ งในครง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยา เชน่ เรยี กวา่ เจา้ ฟา้ เพช็ ร เจา้ ฟา้ พร เจา้ ฟา้ กงุ้ และเจา้ ฟา้ ดอกมะเดอ่ื * เปน็ ตน้ ประเพณพี ระราชทานพระนามเจา้ ฟา้ ในกรงุ รตั นโกสนิ ทรน์ ม้ี จี ดหมายเหตุ ปรากฏชัด เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จผ่านพิภพ มีพระราชโอรสธิดาเป็นเจ้าฟ้า ๔ พระองค์ ที่ทรงพระเจริญวัยแล้วพระราชทานพระนามเป็นกรมทีเดียว ๓ พระองค์ คือเจ้าฟ้า กรมหลวงอิศรสุนทร๑ พระองค์ ๑ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ ๒ พระองค์ ๑ เจ้าฟ้าหญิงกรมขุน ศรีสุนทรเทพ๓ พระองค์ ๑ เจ้าฟ้าพระราชธิดาพระองค์น้อยยังทรงพระเยาว์ พระราชทานพระนามว่า เจ้าฟ้าประภาวดี **๔ ภายหลังจึงสถาปนาเป็นเจ้าฟ้ากรมขุนเทพยวดี ต่อมาเมื่อเสวยราชย์แล้ว มีเจ้าฟ้าพระราชธิดาอีกพระองค์ ๑ พระราชทานพระนามว่า เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ๕ เมื่อรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระราชโอรสเป็นเจ้าฟ้าเมื่อก่อนเสวยราชย์ ๒ พระองค์ และมามีพระราชโอรสเมื่อเสวยราชย์แล้วเป็นเจ้าฟ้าอีก ๓ พระองค์ เจ้าฟ้า ๕ พระองค์นั้นเจริญ พระชันษาทันรับพระราชทานพระนามในรัชกาลที่ ๒ แต่ ๓ พระองค์ คือ เจ้าฟ้ามงกุฎ ฯ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ได้รับพระราชทานพระนามเมื่อทำพิธีลงสรงพระองค์ ๑ ตอ่ นน้ั มาพระราชทานพระนามเจา้ ฟา้ จฑุ ามณี (พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ) พระองค์ ๑ กบั เจา้ ฟา้ อาภรณ์ ๖ อีกพระองค์ ๑ แต่เจ้าฟ้าอีก ๒ พระองค์ยังทรงพระเยาว์ไม่ทันได้รับพระราชทานพระนาม ในรัชกาลที่ ๒ เรียกพระนามแต่ว่า เจ้าฟ้ากลาง (คือสมเด็จกรมพระยาบำราบปรปักษ)์ กับเจ้าฟ้าปิ๋ว๗ ๆ * สนั นษิ ฐานวา่ เจา้ ฟา้ เพช็ ร (คอื พระเจา้ ทา้ ยสระ) และเจา้ ฟา้ พร (คอื พระเจา้ บรมโกศ) เหน็ จะเรยี กตามพระนามเดมิ เมอ่ื กอ่ นเปน็ เจา้ เจ้าฟ้ากุ้งนั้นอาจจะมาแต่นิมิตในปีที่ประสูติเช่นกุ้งชุมผิดปกติ เหมือนอย่างเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ มาแต่นิมิตด้วยประสบเวลาต้นมะเดื่อออกดอก อันเป็นของประหลาดมิใคร่จะมี ๑ ตอ่ มาคอื พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ๒ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ ๓ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงศรสี นุ ทรเทพ ** ในหนงั สอื บางเรอ่ื งวา่ ประไพวดี ๔ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ประไพวดี กรมหลวงเทพยวดี ๕ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กณุ ฑลทพิ ยวดี ๖ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ อาภรณ์ ๗ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ปว๋ิ