Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๔

ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๔

Description: ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๔

Search

Read the Text Version

จดหมายเหตเุ รอ่ื งพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประชวร ๓๗๓ กรมศิลปากรขออนุโมทนากุศลบุญราศีทักษิณานุปทานกิจซึ่งบุตรและธิดาบำเพ็ญเพื่ออุทิศ กัลปนาผลสนองคุณพระยาและคุณหญิงอุไทยธรรมด้วยความกตัญญูกตเวที ขออำนาจบุญกุศลทั้งปวงนี้ จงดลบันดาลให้สำเร็จอิฐวิบากมนุญผลแก่ท่านทั้งสองนั้นตามสมควรแก่คติวิสัยในสัมปรายภพ ทกุ ประการ เทอญ กรมศิลปากร ๑๗ มกราคม ๒๔๙๐

๓๗๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ บานแพนกเดิม วนั พฤหสั บดี เดอื นสาม แรมสบิ สองคำ่ จลุ ศกั ราช พนั สองรอ้ ยสามสบิ สาม ปมี ะแม ตรศี ก๑ ข้าพระพุทธเจ้า พระยาราชสุภาวดี ศรีสัจเทพนารายณ์ สมุหมาตยาธิบดี ศรีสุเรนทราเมศวร พระสรุ สั วดี กลาง ไดเ้ รยี บเรยี งเรอ่ื งราวในพระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหามงกฎุ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ตั้งแต่วันทรงพระประชวร จนถึงวันสวรรคต กาลก็ล่วงนานมาจะถึงสี่ปีแล้ว แต่ก่อนก็ได้ตั้งใจว่า จะเรียงไว้เป็นจดหมายเหตุ แล้วจะให้เจ้าคุณสาสนโสภณแต่งเป็นคำเทศน์ ไว้สำหรับเมื่อทำบุญฉลอง พระเดชพระคณุ ในเพญ็ เดอื นสบิ เอด็ กย็ งั หาไดเ้ รยี บเรยี งขน้ึ ไวไ้ ม่ บดั นก้ี าลกล็ ว่ งมานาน ทไ่ี ดเ้ หน็ และจำไวไ้ ด้ เกือบจะฟั่นเฟือน จะแต่งไปก็จะขาด ๆ เหลือ ๆ พลั้งพลาดบ้าง ครั้นจะไปอาศัยจดหมายเหตุ ในกรมพระอาลกั ษณ์ กจ็ ะไดแ้ ตค่ วามขา้ งหนา้ ความขา้ งในไมม่ ผี ใู้ ดจะจำได้ ดว้ ยไมไ่ ดย้ นิ ไมไ่ ดเ้ หน็ ผู้ที่ได้ยิน ได้เห็น จำได้มีน้อยตัว ด้วยความดีวิเศษเป็นอัศจรรย์ที่พระองค์รักษาพระสติดับทุกขเวทนา ในพระสรีรร่างกาย มิได้ปล่อยให้กระสับกระส่ายกระวนกระวายไป ตั้งแต่ทรงพระประชวรจนสวรรคต พระองค์ทรงปรารถนาไว้ประการใด ก็ได้ดังพระราชประสงค์ทุกประการ ความอันนี้จะไม่เรียบเรียงลงไว้ กจ็ ะสญู ไป ชนภายหนา้ และขา้ ทลู ละออง ฯ ทส่ี วามภิ กั ดก์ิ จ็ ะไมไ่ ดย้ นิ ไดร้ ู้ อนง่ึ แตก่ อ่ นพระองคก์ ไ็ ดท้ รงเทย่ี ว เสาะแสวงหาทางศาสนาทเ่ี ปน็ สมั มาปฏบิ ตั ิ พระองคก์ ไ็ ดเ้ ลอื กจดั คดั มาฝกึ หดั เลา่ เรยี นศกึ ษาทกุ ๆ ศาสนา มี ยะโฮวา และ เยซู มะหะหมดั เปน็ ตน้ พระองคก์ ไ็ ดท้ รงเลอื กสรรหาศาสนาไหนจะดจี ะเปน็ ทด่ี บั ทกุ ขไ์ ด้ ในภพนี้และภพหน้า พระองค์ได้ทรงศึกษาเสาะแสวงหาในพวกบาทหลวง และฝรั่งอังกฤษ ก็ไม่ได้มีวิเศษเลยทุกศาสนา พบแต่เรื่องศาสนาที่- - - -บังคับเกณฑ์กันให้เชื่อ ให้นับถือ ไม่ได้มีวิเศษ สิ่งใดในศาสนานั้น ๆ ได้แต่วิชาและภาษาต่าง ๆ มาไว้เป็นเครื่องประดับคดีโลกเท่านั้น คดีธรรม ที่จะเป็นเครื่องดับทุกขเวทนาในเวลาใกล้จะตาย ในศาสนาอื่นมิได้พบปะเลย พระองค์จึงได้ทรงยกย่อง ว่าศาสนาพระสมณโคดมวิเศษประเสริฐกว่าศาสนาที่มีในโลกนี้ พระองค์จึงทรงพระอุตสาหะพากเพียร ฝึกหัดชำนิชำนาญในการพระพุทธศาสนาได้แล้ว จึงได้ยกย่องขึ้นเป็นพวกธรรมยุตติกนิกายพวกหนึ่ง ลัทธิทางศาสนาของพระองค์ก็ได้แผ่สร้านกว้างขวางออกไปเป็นอันมาก ชนทั้งหลายที่ได้ยิน ได้ฟัง ก็ยินดีนับถือฝึกหัดตามเสด็จเป็นอันมาก เมื่อพระองค์เสด็จกลับเข้ามาว่าราชการแผ่นดิน ก็เพื่อจะให้ การศาสนามีกำลังขึ้น คนทั้งหลายที่ไม่รู้การในพระอัธยาศัย ก็จะสำคัญใจว่าพระองค์จะมิเบื่อหน่าย ในการศาสนาเสียแล้วหรือ จึงได้ละทิ้งลัทธิอันนี้เสีย แต่ที่จริงนั้น พระองค์มิได้มีความเบื่อหน่ายเลย ๑ เทยี บกับปฏิทนิ สำหรับคน้ วนั เดอื นจนั ทรคตกิ บั สรุ ยิ คติ ตรงกับวนั องั คารที่ ๖ กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๑๔

จดหมายเหตเุ รอ่ื งพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประชวร ๓๗๕ ตั้งแต่ได้เสวยสิริราชสมบัติมา ได้ทรงบำเพ็ญทานการพระราชกุศลก็ใหญ่ยิ่งกว่าสิ่งอื่น เหตุไรเล่า เพราะเปน็ ของทพ่ี ระองคไ์ ดท้ รงประพฤตปิ ฏบิ ตั มิ าชา้ นานแลว้ เปน็ หนทางทว่ี เิ ศษ เมอ่ื พระองคย์ งั ทรงพระชนม์ อยนู่ น้ั พระองคก์ ไ็ ดส้ ง่ั สอนชนทง้ั หลายใหร้ ทู้ างหดั ใจไวเ้ มอ่ื เขา้ ชอ่ งแคบ คอื เวลาจะใกลต้ าย หรอื ทกุ ขภ์ ยั สิ่งใดมีมา สิ้นปัญญาเข้าแล้วก็จะได้เอาไว้สำหรับเป็นเครื่องดับทุกข์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความทพ่ี ระองคไ์ ดท้ รงเผอ่ื แผไ่ วแ้ กส่ มณพราหมณาจารย์ ขา้ ราชการใหญน่ อ้ ย และอาณาประชาราษฎร ด้วยทางคดีโลกก็มี ทางคดีธรรมก็มี ด้วยสวรรคสมบัติก็มี โลกียสมบัติก็มี ที่สุดจนแผ่เมตตาจิต ทว่ั ถงึ กนั ไปไมว่ า่ ไพรก่ ระฎมุ พี ผดู้ เี ขญ็ ใจ สดุ แตค่ วามปรารถนาของคนทง้ั หลาย ปรารถนาดกี พ็ ระราชทานดี ให้ ปรารถนาชว่ั กพ็ ระราชทานชว่ั ให้ จนชบุ เลย้ี งขา้ ราชการกห็ าไดท้ รงคดิ วา่ เปน็ ขา้ กบั เจา้ เปน็ เขาเปน็ เรา เลี้ยงข้าราชการเหมือนอย่างบิดาเลี้ยงบุตร ผู้ใดทำผิดก็ลงโทษตามผิด ผู้ใดทำชอบก็โปรดพระราชทาน ตามชอบ ได้ทรงผ่อนสั้นผ่อนยาวแก่คนทั้งหลายทุกประการ ชนทั้งหลายจึงได้นิยมยินดีนับถือรักใคร่ ในพระองค์เป็นอันมาก ก็บัดนี้พระองค์สวรรคตล่วงลับไปแล้ว ชนทั้งหลายมีความนับถือ ปรารถนา จะใคร่สดับตรับฟังอิทธิปาฏิหาริย์ของพระองค์ตั้งแต่ทรงพระประชวรจนสวรรคต อยากจะใคร่ได้ยินได้ฟัง ครั้นจะไม่เรียบเรียงเรื่องราวลงไว้ ความดีวิเศษของพระองค์ก็จะเสื่อมสูญไป ครั้นจะเรียบเรียงลงไว้เล่า เกลอื กจะมคี วามผดิ ดว้ ยเกย่ี วในการแผน่ ดนิ จะทำฉนั ใดดี จะเรยี บเรยี งไปตามพระกระแสทร่ี บั สง่ั ไวอ้ ยา่ งไร จะเรียบเรียงตามไปอย่างนั้น ก็เกลือกจะเหลือเกินที่คำหนักคำเบา และคำสูงคำต่ำ ครั้นจะเรียงไป พอสมควรตามกระบวนราชการ ต้องตัดถ้อยตัดความ ยาวบั่นสั้นต่อ ขาดถ้อยขาดความอยู่ฉะนี้ ต้องขอรับพระราชทานโทษ ได้โปรดพระราชทานอภัยให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ผู้จะได้เรียบเรียง รอ้ ยกรองความทจ่ี รงิ ตามพระกระแสพระราชดำรอิ ยา่ งไร กจ็ ะตอ้ งเรยี บเรยี งลงไวใ้ หแ้ นน่ อน ไวส้ ำหรบั เปน็ เครอ่ื งประดบั ปญั ญาชนทง้ั หลายตอ่ ไปภายหนา้ วา่ พระองคเ์ ปน็ ผสู้ มั มาปฏบิ ตั ิ จะไดเ้ ปน็ ทก่ี ระทำสกั การบชู า ตอ่ ไปภายหนา้

๓๗๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ จดหมายเหตุ เรื่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประชวร สมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรตั้งแต่ ณ วนั พธุ เดอื นสบิ ขน้ึ เกา้ คำ่ จลุ ศกั ราชพนั สองรอ้ ยสามสบิ ปมี ะโรง สมั ฤทธศิ ก๑ ทรงพระประชวรเปน็ ไข้ พระองค์สะบัดร้อนสะท้านหนาวเป็นคราว ๆ พระเสโทซึมซาบออกมากกว่าที่เคยทรงพระประชวรไข้ แต่ก่อน ๆ เสวยพระโอสถข้างที่ตามเคย พระอาการก็หาถอยไม่ ไม่ได้เสด็จออกว่าราชการ ครั้น ณ วันอาทิตย์ เดือนสิบ ขึ้นสิบสามค่ำ๒ เวลาทุ่มเศษ ทรงจับสั่นไปจนถึงเวลาสองยามเศษ ครั้นสร่างจับแล้วรับสั่งให้หาพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ กับพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ เข้าไปเฝ้าในที่ทรงพระประชวร จึงรับสั่งให้ประชุมหมอหลวงที่มีชื่อประกอบพระโอสถถวาย กรมขุนวรจักรธรานุภาพก็รับพระบรมราชโองการออกมา สั่งให้หลวงทิพย์จักษุ์ประกอบพระโอสถเข้าไป ตง้ั ถวาย ณ วันพุธ เดือนสิบ แรมแปดค่ำ๓ เรือกลไฟเจ้าพระยาเข้ามาถึงกรุงเทพ ฯ เวลาบ่ายสี่โมงเศษ โปรดเกล้า ฯ ให้ขุนศรีสยามกิจเข้ามาแต่เมืองสิงคโปร์ จะทรงเลื่อนที่ขุนศรีสยามกิจให้เป็น หลวงศรสี ยามกจิ ไวซ้ ก์ งซลุ สยามเมอื งสงิ คโ์ ปร์ โปรดใหเ้ ขา้ ไปรบั สญั ญาบตั รตอ่ พระหตั ถใ์ นทท่ี รงพระประชวร แต่สัญญาบัตรนั้นให้พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอุณากรรณ๔ประทับพระราชลัญจกรแทน ด้วยทรง พระกำลงั นอ้ ย ดำรงพระองคไ์ มค่ อ่ ยจะได้ แตท่ รงพระอตุ สาหะเซน็ พระนามใหเ้ ปน็ สำคญั แลว้ รบั สง่ั ให้ หลวงศรสี ยามกจิ ไวซ้ ก์ งซลุ กลบั ไปเมอื งสงิ คโปรด์ ว้ ยเรอื เจา้ พระยา ครั้น ณ วันจันทร์ เดือนสิบ แรมสิบสามค่ำ๕ เวลาเช้าสามโมงเศษเป็นวันประชุมถือน้ำ พระบรมราชวงศานุวงศ์ และท่านเสนาบดีข้าราชการที่เป็นผู้ใหญ่พร้อมกันรับพระราชทาน นำ้ พระพพิ ฒั นส์ ตั ยาบนพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม แตข่ า้ ราชการผนู้ อ้ ย รบั พระราชทานนำ้ พระพพิ ฒั นส์ ตั ยา ในวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม แลว้ เขา้ มาถวายบงั คมพรอ้ มกนั ในพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม ๑ ตรงกบั วนั พธุ ท่ี ๒๖ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๒ ตรงกบั วนั อาทติ ยท์ ่ี ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๓ ตรงกับวันพุธที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ๔ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ อณุ ากรรณอนนั ตนรไชย พระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ประสตู แิ ต่เจา้ จอม มารดาเปย่ี ม ซง่ึ ตอ่ มาไดร้ บั สถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระปยิ มาวดี ศรพี ชั รนิ ทรมาตา ๕ ตรงกบั วนั จนั ทร์ท่ี ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๑

จดหมายเหตเุ รอ่ื งพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประชวร ๓๗๗ ทา่ นเจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศ์ ทีส่ มหุ พระกลาโหม จงึ วา่ กบั พระบรมราชวงศานวุ งศว์ า่ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระประชวรมากดังนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมขุนพินิตประชานาถ ซึ่งเป็นพระราชโอรส ผใู้ หญก่ ป็ ระชวรอยดู่ ว้ ย ไมค่ วรจะประมาทนง่ิ เพกิ เฉยเสยี ทา่ นเจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศจ์ งึ มพี ระประศาสน์ สั่งให้ล้อมวง ตั้งกองป้องกันพิทักษ์รักษาพระบรมมหาราชวังและที่ตำหนักสวนกุหลาบ มิให้ผู้ใด ทม่ี คิ วรกบั ตำแหนง่ ของตวั เขา้ ไปเปน็ อนั ขาด จงึ สง่ั ใหพ้ ระยาสหี ราชฤทธไิ กรทา้ ยนำ้ และเจา้ กรมปลดั กรม พระตำรวจนอกซ้ายขวา ทหารอย่างยุโรปประจำซองล้อมวง และข้าราชการที่มีตำแหน่งก็ให้ไปรักษา อยทู่ กุ แหง่ ทกุ ตำบล ณ วนั องั คาร เดอื นสบิ แรมสบิ สค่ี ำ่ ๑ เวลาเชา้ สโ่ี มงเศษ พระอาการมากขน้ึ ใหท้ รงเชอ่ื มกระหายนำ้ พระกระยาเสวยก็ถอยลง พระอาการแปรไปทางอุจจาระธาตุ พระบรมวงศานุวงศ์ ท่านเสนาบดี ปรกึ ษาพรอ้ มกนั วา่ หลวงทพิ จกั ษถ์ุ วายพระโอสถมากห็ ลายวนั แลว้ พระอาการหาคลายไม่ จงึ ใหป้ ระชมุ หมอหลวงว่าผู้ใดจะรับฉลองพระเดชพระคุณได้ หมอทั้งปวงก็นิ่งอยู่ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวง วงศาธริ าชสนทิ จงึ รบั เขา้ ถวายพระโอสถฉลองพระเดชพระคณุ ตง้ั พระโอสถถวายหลายเวลา พระอาการ กย็ งั ไมถ่ อย ครั้น ณ วันจันทร์ เดือนสิบเอ็ด ขึ้นห้าค่ำ๒ เวลาย่ำเที่ยงแล้ว ไปพระบังคนตกเป็นพระโลหิต ลม่ิ เหลวบา้ ง พระอาการกำเรบิ มากขน้ึ จงึ รบั สง่ั ใหห้ าพระยาบรุ ษุ รตั นราชพลั ลภ พระประเสรฐิ ศาสตรด์ ำรง เข้าไปเฝ้าในที่ จึงรับสั่งว่า พระโรคมากอยู่แล้ว ถ้าเห็นพระอาการเหลือมือ เหลือกำลังปัญญาแพทย์ ก็ให้กราบบังคมทูลแต่โดยจริง อย่าให้ปิดบังไว้ ก็จะได้ทรงทอดพระธุระเสียว่ารักษาไม่หายแล้ว แล้วรับสั่งแก่พระประเสริฐศาสตร์ดำรงว่าจะรักษาได้หรือไม่ได้ พระประเสริฐศาสตร์ดำรงกราบทูล พระกรุณาว่า จะรับฉลองพระเดชพระคุณสักสี่ห้าเวลา จึงโปรดให้พระประเสริฐศาสตร์ดำรง เข้าถวายพระโอสถต่อไป ครั้นเวลาค่ำประมาณทุ่มเศษ ไปพระบังคนครั้งไรก็มีพระโลหิตเจืออยู่ทุก ๆ ครง้ั กร็ บั สง่ั วา่ พระโรคครง้ั นเ้ี หน็ จะไมห่ าย ครั้น ณ วันอังคาร เดือนสิบเอ็ด ขึ้นหกค่ำ๓ รับสั่งให้หาพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์ วัชรินทร กรมหลวงวงศาธริ าชสนทิ ทา่ นเจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศ์ ท่ีสมหุ พระกลาโหม เขา้ ไปเฝา้ ในทท่ี รง ๑ ตรงกบั วนั องั คารท่ี ๑๕ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ๒ ตรงกบั วนั จันทร์ที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ๓ ตรงกับวันอังคารที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๑

๓๗๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระประชวร จึงมีพระราชดำรัสราชานุญาตสรรพกิจการพระนครมอบให้ปรึกษากัน อย่าให้ราษฎร ได้ความเดือดร้อน รุ่งขึ้น ณ วันพุธ เดือนสิบเอ็ด ขึ้นเจ็ดค่ำ พระราชทานพระราชหัตถเลขา ให้พระองค์เจ้าโสมาวดีศรีรัตนราชธิดา เชิญเอามายังพระที่นั่งอนันตสมาคมพระราชทานให้ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหลวง กรมขนุ และทา่ นเสนาบดอี า่ น ความในพระราชหตั ถเลขามวี า่ พระราชดำริ ทรงเหน็ วา่ ซง่ึ จะสบื พระราชสรุ ยิ วงศต์ อ่ ไปภายหนา้ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ พระเจา้ ลกู เธอ พระเจา้ หลานเธอ กไ็ ด้ ใหป้ รกึ ษากนั จงพรอ้ ม แลว้ แตจ่ ะเหน็ ทา่ นผใู้ ดทม่ี ปี รชี าควรจะรกั ษาแผน่ ดนิ ได้ ครั้น ณ วันอาทิตย์ เดือนสิบเอ็ด ขึ้นสิบเอ็ดค่ำ๑ เวลาย่ำรุ่งแล้ว มีพระบรมราชโองการให้หา พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภเข้าไปเฝ้า จึงรับสั่งว่า ทรงพระประชวรครั้งนี้เห็นจะเหลือมือหมอหลวงแล้ว ถ้าเพลี่ยงพล้ำลง ท่านผู้มีความสวามิภักดิ์และข้าหลวงเดิมก็จะเสียใจว่ารักษาพยาบาลไม่เต็มมือ จงึ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสอนญุ าตใหว้ า่ ผใู้ ดมหี มอมยี ากใ็ หถ้ วายเถดิ ขณะนน้ั พระราไชศวรรยาธบิ ดี เจ้ากรมพระคลังในซ้าย ซึ่งเป็นข้าหลวงเดิม รับฉลองพระเดชพระคุณประกอบพระโอสถไพล กับเกลือเจือด้วยเวทมนต์ถวาย ครั้นเสวยแล้วพระอาการก็เสมอคงอยู่มิได้ลดน้อยถอยลงไป ก็ทอด พระอาลยั ในพระสรรี รา่ งกาย แลว้ กท็ รงพระอตุ สาหะแกลง้ ขนื พระทยั เสวยพระกระยาหารตา่ ง ๆ จะเสวย ได้มากน้อยเท่าใด ก็รับสั่งให้ออกมาบอกกับขุนนาง จะได้ดีใจว่าเสวยพระกระยาหารได้ ครั้นเวลาค่ำ ทมุ่ เศษ จงึ รบั สง่ั ใหห้ าพระยาบรุ ษุ รตั นราชพลั ลภขน้ึ ไปเฝา้ บนพระท่ี แลว้ รบั สง่ั วา่ ตวั เจา้ กบั ขา้ กใ็ ชเ่ นอ้ื ไข แต่ได้เลี้ยงดูมาแต่เล็กรักเหมือนลูก ครั้งนี้เจ้ากับข้าจะแยกกันอยู่แยกกันไป ตัวเจ้าแต่ก่อนรักษาตัว ไม่ดีให้เป็นที่รังเกียจผู้หลักผู้ใหญ่ ต่อไปภายหน้าไม่มีข้าแล้ว แต่ทำอย่างนี้จะรักษาตัวไปไม่ได้ ให้กลับใจรักษาตัวเสียใหม่ จะทำการสิ่งใดให้เอาเสียงผู้ใหญ่เป็นที่ตั้งจึงจะดี เจ้าอย่าถือตัวว่า มั่งมีศรีสุข ข้าจะลำเลิกเจ้าเหมือนกับสมเด็จพระศรีสุริเยนทร๒ลำเลิกข้ากับหาบน๓ ว่าลูกเต้าได้ ทรัพย์สินเงินทองก็เพราะบิดามารดาไม่ใช่หรือ การต่อไปข้างหน้าไม่มีตัวข้าแล้ว เจ้าอุตส่าห์รักษาตัว ใหจ้ งดี พระยาบรุ ษุ รตั นราชพลั ลภกราบถวายบงั คมแลว้ กราบทลู พระกรณุ าวา่ ขา้ พระพทุ ธเจา้ รบั ราชการ ฉลองพระเดชพระคุณมาแต่อายุ ๑๓ ปีก็มิได้มีความข้อใหญ่ให้เคืองใต้ฝ่าละออง ฯ แต่ครั้งนี้ มีผู้กล่าวว่าข้าพระพุทธเจ้าคบคิดกับจีนต้มฝิ่นเถื่อนขาย ความเรื่องนี้ยังหาได้พิจารณาไม่ ก็เป็นที่ ขุ่นเคืองใต้ฝ่าละออง ฯ มาช้านาน การก็เป็นที่สุดลงในครั้งนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจะขอทำสัตย์สาบาน ๑ ตรงกับวนั อาทิตย์ท่ี ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ๒ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ๓ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั

จดหมายเหตเุ รอ่ื งพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประชวร ๓๗๙ ถวายจำเพาะพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า ถ้าข้าพระพุทธเจ้าคบคิดกับเจ๊กต้มฝิ่นเถื่อน ขายฝิ่นเถื่อนเป็นตั้วเหี่ยจริงดุจกล่าวแล้ว ให้พฤกษเทวดา อารักขเทวดา อากาศเทวดา พระเสื้อเมือง พระทรงเมอื ง และเทวดาทร่ี กั ษาพระมหาเศวตฉตั ร จงบนั ดาลสงั หารผลาญชวี ติ ขา้ พระพทุ ธเจา้ ใหต้ ายใน สามวันเจ็ดวันอย่าให้ได้รับราชการฉลองพระเดชพระคุณต่อไปอีกเลย จึงรับสั่งตอบว่า ข้ารู้ดอกน่า เจา้ จะดอี ยา่ งไรจะชว่ั อยา่ งไร ขา้ เลย้ี งเจา้ มาแตเ่ ลก็ แตน่ อ้ ย ขา้ เหน็ เปน็ ภยั แกต่ วั เจา้ ขา้ ชว่ ยรกั ษาภยั ให้เจ้าดอกที่ข้าสอนเจ้าเมื่อตะกี้ไม่ใช่หรือ แล้วจึงรับสั่งว่า เมื่อเจ้าไปเมืองลอนดอน เมื่อกลับเข้ามา ไดท้ ำดาบมาใหข้ า้ เลม่ หนง่ึ ราคาหา้ สบิ ชง่ั ขา้ จะไมม่ ตี วั อยรู่ กั ษาของเจา้ แลว้ ขา้ ขอคนื ดาบอนั นใ้ี หแ้ กเ่ จา้ เอาไปรกั ษาไว้ ถา้ ทา่ นพระองคใ์ ดมาเปน็ เจา้ เจา้ จะไดเ้ อาดาบเลม่ นถ้ี วายทา่ น ทา่ นจะไดช้ บุ เลย้ี งเจา้ ตอ่ ไป ณ วันอังคาร เดือนสิบเอ็ด ขึ้นสิบสามค่ำ๑ เวลาเช้าสี่โมงเศษ มีพระบรมราชโองการว่า ให้พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภไปกราบไหว้ ว่าข้าให้เรียนคุณศรีสุริยวงศ์ ข้าเป็นคนลูกมากรากดก แล้วลูกก็ยังเล็กเด็กอยู่ ไหน ๆ คุณศรีสุริยวงศ์ก็ได้อุปถัมภ์บำรุงข้ามา ถ้าข้าไม่มีตัวแล้วขอให้ คุณศรีสุริยวงศ์อุปถัมภ์บำรุงลูกข้าเหมือนอย่างตัวข้า ขออย่าให้มีภัยอันตรายเป็นที่กีดขวางด้วย การแผ่นดิน ถ้าจะมีความผิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นข้อใหญ่ ขอแต่ชีวิตไว้ ให้เป็นแต่โทษเนรเทศ ถ้าโทษ ตั้วเหี่ยแล้ว ก็ตามแต่การจะเป็นไป ถ้าไม่ถึงตั้วเหี่ยแล้วก็อย่าให้ต้องเป็นไปเลย จงออกไปกราบเรียน เดี๋ยวนี้ ในเวลานั้นพระองค์เจ้าอุณากรรณเฝ้าอยู่ที่นั้นด้วย ก็ตามมากับพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ ๆ ก็กราบเรียนตามพระกระแสรับสั่งทุกประการ ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุหพระกลาโหม ได้ฟังพระกระแสแล้ว จึงปรึกษากันกับกรมหลวงวงศาธิราชสนิทว่า ที่คิดจัดแจงการไว้แล้วนั้น จะต้องกราบทูลเสียให้ทรงทราบ ถ้าไม่กราบทูลให้ทรงทราบก็จะวุ่นวายพระทัยไป พระอาการไข้ก็จะ กำเริบมากขึ้น จึงมีบัญชาสั่งแก่พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ ให้นำข้อความขึ้นกราบทูลพระกรุณา ใหท้ ราบใตฝ้ า่ ละออง ฯ วา่ ไดป้ รกึ ษาพรอ้ มกนั เหน็ วา่ ครง้ั นพ้ี ระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระประชวร พระอาการกม็ าก สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมขุนพินิตประชานาถ ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ก็ประชวร อยู่ด้วย ไม่ควรประมาทนิ่งเพิกเฉยเสีย ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ได้สั่งให้ล้อมวงตั้งกองป้องกัน รักษาพระบรมมหาราชวังและที่พระตำหนักสวนกุหลาบ ได้สั่งให้พระยาฤทธิไกร และพนักงาน กรมพระตำรวจนอกซ้ายขวา ทหารอย่างยุโรปประจำซองล้อมวง และข้าราชการที่มีตำแหน่งก็ให้ ไปรักษาอยู่ทุกแห่งทุกหน้าที่ ให้พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภกราบทูลฉลองชี้แจงถวายให้ทรงทราบ ๑ ตรงกับวันอังคารที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๑

๓๘๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ใต้ฝ่าละออง ฯ พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภก็เข้าไปกราบทูลตามพระประศาสน์สั่งทุกประการ พอสิ้น ข้อความได้ทรงทราบ ดูพระกิริยาและพระอาการกะปรี้กะเปร่าแข็งแรงขึ้น จึงรับสั่งว่า แม่หนูโสมจ๋า ขอน้ำให้พ่อกินที เสวยน้ำแล้วก็ยังหาได้รับสั่งประการใดไม่ ทรงนิ่งอยู่ ดูพระอาการเหมือนหนึ่งว่า จะทรงตรองประมาณครู่หนึ่ง จึงรับสั่งว่าให้ไปกราบเรียนเสียใหม่ ไม่ว่าอย่างนั้นดอกน่า มิใช่จะให้ ไปเรียนฝากฝังให้ลูกเต้าได้ราชสมบัติเป็นเจ้าแผ่นดิน ให้ไปฝากให้ช่วยบำรุงรักษาตามธรรมเนียม ที่บิดาสงเคราะห์แก่บุตรดอก ด้วยว่าลูกเต้าเล่าก็ยังเด็กเล็กอยู่ จะเป็นเจ้าแผ่นดินแผ่นทรายอย่างไรได้ ธรรมดาเด็กจะแบกจะยกของที่หนักที่ใหญ่เกินกำลัง จะแบกจะยกไปได้แล้วแลหรือ เกลือกจะมีภัย ไปภายหน้า ให้ออกไปกราบเรียนเสียใหม่ในเดี๋ยวนี้ พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภก็ออกมากราบเรียน ตามพระกระแสรับสั่งทุกประการ ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุหพระกลาโหม ก็ถอนใจใหญ่นิ่งอยู่ หาได้ว่าขานประการใดไม่ พระยาบุรุษ ฯ ก็กลับเข้าไปเฝ้า แล้วรับสั่งถามว่ากราบเรียนท่านแล้วหรือ ทา่ นวา่ กะไร พระยาบรุ ษุ ฯ กราบทลู พระกรณุ าวา่ ทา่ นหาไดว้ า่ ประการใดไม่ เปน็ แตท่ า่ นถอนใจใหญ่ แล้วนิ่งอยู่ จึงรับสั่งถามต่อไปว่า ท่านได้จัดแจงการไว้ดังนี้แน่แล้วหรือ พระยาบุรุษ ฯ กราบทูล พระกรุณาว่า ท่านได้จัดแจงการไว้ดังกราบทูลพระกรุณาหลายเวลาแล้ว แล้วจึงมีพระบรมราชโองการ สั่งให้เจ้าพนักงานเอาพระหีบสำหรับทรงพระราชหัตถเลขาทำด้วยงากรอบทองคำ มีเครื่องสำหรับ เขียนหนังสือ ทำด้วยทองคำพร้อมทุกสิ่ง ประดับล้วนแล้วไปด้วยเพชรทับทิมมรกตราคาสองร้อยชั่งเศษ โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานใหเ้ จา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศ์ ทส่ี มหุ พระกลาโหม กบั เงนิ ดว้ ยพนั ชง่ั ครั้น ณ วันพุธ เดือนสิบเอ็ด ขึ้นสิบสี่ค่ำ๑ เวลาเช้าสี่โมง มีพระบรมราชโองการให้พระยาบุรุษ ฯ ออกไปเชิญท่านพระยาสุรวงศ์วัยวัฒนเ์ ข้าไปเฝ้าพร้อมด้วยพระยาบุรุษ ฯ จึงรับสั่งเรียกท่านพระยาสุรวงศ์ วยั วฒั นใ์ หข้ น้ึ ไปเฝา้ บนพระแทน่ เคยี งพระองคท์ ท่ี รงพระประชวร แลว้ จงึ รบั สง่ั ถามวา่ อาการพอ่ ใหญเ่ ดย๋ี วน้ี เปน็ อยา่ งไร พระยาสรุ วงศว์ ยั วฒั นจ์ งึ กราบทลู พระกรณุ าวา่ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอพระอาการคลายขน้ึ มากแล้ว จึงรับสั่งว่าพระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์เป็นคนมีความชอบในราชการแผ่นดินมา ก็ยังหาได้เลื่อน ยศถานาศกั ดใ์ิ หไ้ ม่ ขา้ ไดส้ ง่ั ใหเ้ ขาเอาดาบไปให้ เจา้ ไดด้ าบแลว้ หรอื ยงั พระยาสรุ วงศว์ ยั วฒั นก์ ราบบงั คมทลู พระกรุณาว่ายังมิได้รับพระราชทาน จึงรับสั่งว่าแม่หนูโสมไปสั่งให้พนักงานให้เอาดาบไปให้พระยา สุรวงศ์วัยวัฒน์เสียซิ แล้วจึงรับสั่งถามว่าการแผ่นดินเดี๋ยวนี้จัดแจงกันอย่างไร พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ กราบทูลพระกรุณาว่า บิดากระหม่อมฉันเห็นว่าพระอาการทรงพระประชวรมาก ได้ปรึกษาพระบรม ๑ ตรงกบั วนั พธุ ท่ี ๓๐ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๑๑

จดหมายเหตเุ รอ่ื งพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประชวร ๓๘๑ วงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่พร้อมกัน เห็นว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ควรจะรับสิริราชสมบัติต่อไป จะได้ทำนุบำรุงพระบรมวงศานุวงศ์ และขา้ ทลู ละออง ฯ ผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ยตอ่ ไปภายหนา้ เหน็ ดว้ ยเกลา้ ฯ ดงั น้ี บดิ ากระหมอ่ มฉนั จงึ ไดจ้ ดั การสง่ั ให้ เจา้ พนกั งานลอ้ มวงทต่ี ำหนกั สวนกหุ ลาบมาหลายเวลาแลว้ จงึ รบั สง่ั วา่ จะไมไ่ ด้ ลกู ขา้ ยงั เปน็ เดก็ เลก็ อยู่ จะวา่ การแผน่ ดนิ แผน่ ทรายอยา่ งไรได้ จะทำการไปไมต่ ลอดนน้ั ซิ มคี ำสอดเขา้ มาวา่ ทำไมจงึ ไมด่ พี ระทยั รบั สง่ั วา่ ไมไ่ ดเ้ ลา่ เพราะทรงเหน็ วา่ ยงั ไมม่ น่ั พระทยั กลวั การ จะไมแ่ น่ จึงรับสั่งต่อไปว่า เจ้านายที่เป็นผู้ใหญ่ผู้น้อยที่มีสติปัญญาก็มีอยู่เป็นอันมาก ให้เลือกเอาเถิด ลกู ขา้ ยงั เดก็ อยู่ อยา่ ใหม้ ภี ยั แกล่ กู ขา้ เลย พระยาสรุ วงศว์ ยั วฒั น์กราบบงั คมทลู พระกรณุ าวา่ ถา้ ไมย่ ก สมเด็จพระจ้าลูกยาเธอพระองค์นี้ขึ้นรับสิริราชสมบัติ กลัวจะมีเหตุไปข้างหน้า ด้วยนานาประเทศ ได้นิยมนับถือมาช้านาน ประการหนึ่ง เอมปเรอฝรั่งเศสก็ผูกไมตรี ถวายพระราชสาส์นและพระแสง องค์ใหญ่องค์เล็กเข้ามาผูกพันเป็นชั้น ๆ ไว้แล้ว จะไม่ยกสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป การภายหน้าก็จะไม่เป็นปกติเรียบร้อยได้ อนึ่ง ทุกวันนี้พระนามก็โด่งดัง ปรากฏอยใู่ นประเทศยโุ รป เปน็ ทน่ี บั ถอื คดิ เหน็ ดว้ ยเกลา้ ฯ ดงั น้ี รับสั่งว่าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้าเถิดซิ ข้าจะขอชี้แจงการเก่าแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ทรงพระประชวรจวนจะสิ้นแผ่นดิน ครั้งนั้นปู่ของเจ้าก็ยังอยู่ พระนั่งเกล้า ฯ ก็มิได้รับสั่งให้หาปู่ ของเจ้าเข้าไปเฝ้าฝากฝังสั่งเสียด้วยการแผ่นดิน ท่านก็หาแต่พ่อเจ้าเข้าไปเฝ้าฝากฝังสั่งเสียด้วย การแผ่นดิน ครั้งนี้ข้าก็เอาแบบเหมือนอย่างกาลครั้งโน้น ข้าก็หาได้สั่งเสียกับพ่อเจ้าไม่ ข้าจะขอฝาก การแผ่นดินแก่เจ้า เมื่อเจ้าจะขัดขวางอย่างไร เจ้าจงไปปรึกษากับพ่อเจ้าเอาเองเถิด ไหน ๆ ลูกข้าก็ได้เป็นลูกเขยเจ้าแล้ว ข้าขอฝากลูกข้ากับเจ้าด้วย การที่เจ้าคิดนี้ข้าก็มีความยินดีแล้ว แต่ช่วยกันรักษาไว้ให้ดีอย่าให้มีเหตุการณ์ขึ้นได้ การเปลี่ยนแผ่นดินใหม่มักเกิดรบราฆ่าฟันกันอย่าให้ เป็นเช่นอย่างพระเสนหามนตรี ถ้าเกิดขึ้นดังนั้นก็จะอายเขา พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์จึงกราบบังคมทูล พระกรุณาว่า กระหม่อมฉันจะไปคิดกันกับบิดารับฉลองพระเดชพระคุณ จะมิให้มีเหตุการณ์ให้เคือง ใต้ฝ่าละออง ฯ ขึ้นได้ จึงรับสั่งว่าข้าได้ให้เงินกับพ่อเจ้าไว้พันชั่ง ให้ไปปรึกษาหารือกัน ควรจะใช้ใน การลอ้ มวงกงกำบา้ งอยา่ งไรกต็ ามเถดิ ใหเ้ จา้ รกั ลกู ขา้ ทเ่ี ปน็ ลกู เขยเจา้ ใหม้ าก ๆ เรอื ไฟของเจา้ ลำหนง่ึ เจา้ วา่ จะขาย ขา้ จะซอ้ื เอา แตไ่ มใ่ หเ้ อาเปน็ เรอื แผน่ ดนิ ใหเ้ ปน็ เรอื สว่ นกลางในลกู ขา้ เมอ่ื มธี รุ ะไปทางไหน

๓๘๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ จะไดใ้ ชท้ ว่ั ๆ กนั ใหไ้ ปเอาเงนิ ทย่ี ายศรี แลว้ รบั สง่ั วา่ แมห่ นใู หญจ่ า๋ เอาเงนิ มาใหพ้ ระยาสรุ วงศค์ า่ เรอื ไฟ แลว้ ใหพ้ ระยาสรุ วงศไ์ ปคดิ กนั กบั แมห่ นใู หญเ่ ถดิ พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์กราบถวายบังคมออกมาแล้ว จึงโปรดเกล้า ฯ แก่เจ้าพนักงานภูษามาลา ใหไ้ ปเชญิ หบี พระเครอ่ื งออกมาแลว้ ครน้ั รงุ่ ขน้ึ วนั สบิ สค่ี ำ่ เวลาเชา้ สามโมงเศษ รบั สง่ั ใหพ้ ระองคเ์ จา้ โสมาวดีกับเจ้าพนักงานภูษามาลา เชิญหีบพระเครื่องมาจัดพระธำมรงค์กับพระประคำเครื่องแต่ครั้ง พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก พระประคำสายน้ี พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ ฯ จะพระราชทาน กรมหมน่ื อดุ มรตั นราษี บงั เอญิ ใหเ้ จา้ พนกั งานหยบิ ผดิ ไปหาใชอ่ งคน์ ไ้ี ม่ แลว้ โปรดใหพ้ ระองคเ์ จา้ โสมาวดี กับเจ้าพนักงานเอาพระธำมรงค์พระประคำไปมอบให้ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ๆ ได้นำพระธำมรงค์ พระประคำไปถวายสมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ จฬุ าลงกรณ์ กรมขนุ พนิ ติ ประชานาถ ณ พระตำหนกั สวนกุหลาบ ครั้นเวลาค่ำสองทุ่มเศษ รับสั่งให้พระองค์เจ้าโสมาวดีเชิญพระธำมรงค์เพชรใหญ่ ราคาร้อยชั่งมาถวาย ทรงรับพระธำมรงค์แล้วยกพระหัตถ์ประสานขึ้นเหนือพระนลาต ทรงอธิษฐาน บริจาคบูชาพระพุทธบุศยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย แล้วก็ได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระศรีสุนทรโวหาร จดหมายรายสง่ิ ของพระราชทานเจา้ นาย จะไดเ้ อาเกบ็ รกั ษาไวเ้ ปน็ เครอ่ื งระลกึ ตามคณุ วชิ าของทา่ นนน้ั ๆ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมขุนบำราบปรปักษ์ ได้พระราชทานตลับทองคำลงยา ใส่ทองคำบางตะพาน หนักห้าตำลึง สำหรับลงยันต์ด้วยพระดินสอเพชร กับนาฬิกาใหญ่เที่ยงอย่างดี ซุ้มหนึ่ง มีเข็มดูวันเดือนปีทุ่มโมง กับพระประทุมทำด้วยศิลาองค์หนึ่ง กรมขุนวรจักรธรานุภาพได้ พระราชทานนาฬิกาใหญ่ มีแก้วเลี่ยมครอบ มีเข็มดูวันเดือนปีทุ่มโมงพร้อม มีปรอทดูร้อนดูหนาว แต่นาฬิกาตั้งอยู่ในพระที่นั่งอนันตสมาคม มีขลุ่ยประโคม โปรดเกล้า ฯ ให้ถวายพระแก้วมรกตไว้ ในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระเจ้าลูกเธอที่ยังไม่มีวัง โปรดเกล้า ฯ พระราชทานเงิน องคล์ ะ ๓๐ ชง่ั ทกุ พระองค์ สำหรบั จะไดท้ ำวงั วันพฤหัสบดี เดือนสิบเอ็ด ขึ้นสิบห้าค่ำ เวลาเช้าสองโมง รับสั่งแก่พระยาบุรุษ ฯ ว่า วนั นเ้ี ปน็ วนั สำคญั อยา่ ไปขา้ งไหนเลย ใหค้ อยดใู จพอ่ ขา้ รเู้ วลาตายของขา้ แลว้ ถา้ ขา้ จะเปน็ อยา่ งไรลง ก็อย่าได้วุ่นวายบอกหนทางว่าอรหังพุทโธเลย ให้นิ่งดูแต่ในใจเถิด เป็นธุระของข้าเอง ความสัตย์จริง ทม่ี พี ระกระแสรบั สง่ั ดงั น้ี เวลานน้ั พระยาบรุ ษุ รตั นราชพลั ลภหาไดล้ งใจตามเสดจ็ ไม่ ดว้ ยเหน็ พระอาการ ยังปกติเรียบร้อยอยู่ หาได้เห็นสัญญาวิปลาสสิ่งใดสิ่งหนึ่งในพระองค์ไม่ ครั้นเวลาสามโมงเศษ จงึ รบั สง่ั ใหห้ าพระราชโกษากรมพระภษู ามาลาเขา้ ไปเฝา้ แลว้ รบั สง่ั วา่ เมอ่ื ขา้ ไมม่ ตี วั แลว้ เจา้ จะทำ

จดหมายเหตเุ รอ่ื งพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประชวร ๓๘๓ ในสรีรร่างกายของข้า สิ่งไรไม่เป็นที่ชอบใจอยู่แต่ก่อนขออย่าได้ทำ เป็นต้นว่า แหวนที่จะใส่ปากผี เอาเชือกผูกแหวนแขวนห้อยไว้ริมปาก กลัวผีจะกลืนแหวนเข้าไป อย่างนี้จงอย่าได้ทำแก่ข้าเลย แต่อย่าให้เสียธรรมเนียม แหวนที่จะใส่ปากนั้นให้เอาเชือกผูกแหวนแขวนที่เข็มกลัดคอเสื้อเพชรที่ข้า ได้ว่าขอไว้นานแล้ว เมื่อจะตายจะเอากลัดไปด้วย ราคาก็ไม่มากนัก เพียงห้าสิบชั่งเศษ แล้วจะได้ทำ พระฉลองพระองค์ด้วย เข็มขัดที่จะคาดนั้น อย่าให้เอาของแผ่นดิน ให้เอาของเดิมของข้าที่สมเด็จ พระศรสี รุ เิ ยนทรซอ้ื กรมหลวงพทิ กั ษม์ นตรนี น้ั แหวนทจ่ี ะใสน่ น้ั ไดจ้ ดั มอบไวแ้ ลว้ ใหไ้ ปถามพอ่ กลางดเู ถดิ สังวาลเครื่องต้นเอาสายที่ข้าทำใหม่ อย่าให้เอาสายสำหรับแผ่นดิน ให้เอาของที่ข้าทำใหม่ การอื่น ๆ นอกนน้ั กใ็ หไ้ ปปรกึ ษาพอ่ กลางดเู ถดิ แตอ่ ยา่ ใหเ้ กย่ี วขอ้ งเปน็ ของแผน่ ดนิ ของแผน่ ดนิ นน้ั เจา้ แผน่ ดนิ ใหม่ ท่านจะได้ใส่เลียบพระนคร เมื่อเอาโกศลงเปลื้องเครื่องให้ค้นดูในปาก ฟันมีก็ให้เอาไว้ให้หมด จะได้แจกลูกที่ยังไม่ได้ให้พอกัน ถ้าฟันไม่พอกันให้ถอดเอาเล็บมือ ถ้าเล็บมือไม่พอให้ถอดเอาเล็บตีน แบ่งปันกันไปกว่าจะพอ เงินก้อนจีนของข้าหาสะสมไว้ว่าจะทำลองในโกศขึ้นไว้อีกสักองค์หนึ่งก็ทำ หาทันไม่ เงินก้อนนั้นวางอยู่ที่หน้าต่างข้างโน้นหรืออย่างไรไม่รู้ได้เลย ให้กับกรมหลวงเทเวศร์ สานเสื่อปูพระรัตนสถานเสียเถิด ทองก็ได้หาสะสมไว้ว่าจะทำโกศลงยาขึ้นไว้อีกสักองค์หนึ่ง ทำก็ไม่ทัน ทองนั้นระคนปนกันอยู่กับทองอื่น ๆ ก็ให้เอาไปใช้ในการเบญจา หรือจะเอาไปใช้ในพระฉลองพระองค์ กต็ าม แต่พระเบญจานน้ั อยา่ ทำใหใ้ หญโ่ ตไปเลย ใหป้ ว่ ยการผคู้ นชา่ งเชยี ว ใหเ้ อาอยา่ งเบญจาทข่ี า้ ทำให้ วงั หนา้ นอ้ งขา้ มตี วั อยา่ งอยแู่ ลว้ ถงึ จะใชโ้ ครงอนั นน้ั กไ็ ด้ ครั้นเช้าห้าโมงเศษมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าสั่งพระยาบุรุษ ฯ ให้ไปเชิญเสด็จพระเจ้า นอ้ งยาเธอ กรมหลวงวงศาธริ าชสนทิ ทา่ นเจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศ์ ทส่ี มหุ พระกลาโหม ทา่ นเจา้ พระยา ภูธราภัย ที่สมุหนายกให้เข้ามาเฝ้า เมื่อจะเข้ามาให้คอยเวลาทุกขเวทนาน้อยจึงให้เข้ามา พระยาบุรุษ ฯ ก็ไปกราบทูล กราบเรียนตามพระกระแสพระราชโองการ ครั้นเวลาเกือบจะใกล้เที่ยง พระวาโยถอย พระอาการค่อยคลายสบายขึ้น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ทา่ นเจา้ พระยาภธู ราภยั เขา้ ไปเฝา้ รบั สง่ั เรยี กพระนามและชอ่ื เรยี งกนั ไป แลว้ รบั สง่ั ใหเ้ ขา้ ไปเฝา้ ใกลพ้ ระแทน่ ใหย้ น่ื มอื เขา้ ไปถวาย เอาพระหตั ถม์ าทรงจบั มอื ทา่ นทง้ั สามแลว้ รบั สง่ั ลาวา่ วนั นพ้ี ระจนั ทรเ์ ตม็ ดวง เปน็ วนั เพญ็ อายขุ องฉนั จะหมดจะดบั ในวนั นแ้ี ลว้ ทา่ นทง้ั หลายกบั ดฉิ นั ไดช้ ว่ ยทำนบุ ำรงุ ประคบั ประคองกนั มา บัดนี้กาลมาถึงฉันแล้ว ฉันจะขอลาท่านทั้งหลาย ด้วยฉันออกอุทานวาจาไว้เมื่อบวชอยู่นั้นว่า วันไรเป็น วันเกิดอยากจะตายในวันนั้น วันฉันเกิดเป็นวันเพ็ญ เดือนสิบเอ็ด วันมหาปวารณา เมื่อป่วยไข้จะตาย

๓๘๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ จะให้สัทธิงวิหาริกอันเตวาสิกยกลงไป จะขอตายในท่ามกลางสงฆ์ เมื่อเวลาที่พระสงฆ์กระทำ วินัยกรรมมหาปวารณา ก็บัดนี้เห็นจะไม่ได้พร้อมตามความที่ปรารถนาไว้ เพราะเป็นคฤหัสถ์เสียแล้ว ฉันจะขอลาท่านทั้งหลายไปจากภพนี้ในวันนี้แล้ว ฉันขอฝากลูกของฉันด้วย อย่าให้มีภัยอันตราย เป็นที่กีดขวางในการแผ่นดิน ถ้าจะมีความผิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นข้อใหญ่ ขอแต่ชีวิตไว้ให้เป็นแต่ โทษเนรเทศ ขอให้ท่านเป็นที่พึ่งแก่ลูกของฉันต่อไปด้วยเถิด ท่านก็พากันโศกเศร้าพากันร้องไห้ทั้งสาม จงึ รบั สง่ั หา้ มวา่ อยา่ รอ้ งไหเ้ ลยจะ้ ความตายไมเ่ ปน็ ของอศั จรรยอ์ ะไรดอก ทรงวา่ สพั เพ สงั ขารา อนจิ จา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ย่อมเหมือนกันทุกรูปทุกนาม แต่ผิดกันที่ตายก่อนตายหลัง แต่ก็ต้องตาย เหมอื นกนั ทง้ั สน้ิ กบ็ ดั นก้ี าลมาถงึ ตวั ฉนั เขา้ แลว้ ฉนั จงึ ไดอ้ ำลาทา่ น ทา่ นเหน็ วา่ ฉนั จะพลดั พรากจากไป มีความอาลัยรักใคร่ จึงได้ร้องไห้ด้วยความเสียดาย ก็บัดนี้ตัวฉันเป็นคนถึงเข้าก่อนแล้ว ท่านทั้งหลาย ก็คงจะต้องถึงเหมือนกัน ผิดกันแต่ถึงก่อนถึงหลัง คงจะต้องไปทางเดียวอย่างนี้เหมือนกันทุกรูปทุกนาม แลว้ รบั สง่ั วา่ คณุ ศรสี รุ ยิ วงศ์จา๋ ไขห้ นกั พกั ใหญ่ คนอน่ื ๆ เขาตาลอยตาคา้ ง แตต่ วั ของฉนั อาการไขก้ ม็ าก ทำไมตาจงึ ตดิ เปน็ เหตดุ ว้ ยอะไร ทา่ นเจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศ์ ทสี่ มหุ พระกลาโหม กห็ าไดก้ ราบบงั คมทลู ประการใดไม่ จึงรับสั่งเรียกแม่หนูโสมจ๋า ขอผ้าขาวชุบน้ำมาซับตาให้พ่อ ครั้นซับพระเนตรแล้วจึงได้ ทอดพระเนตรเห็นพระพักตร์พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท และท่านเจ้าพระยา ศรีสุริยวงศ์ ท่านเจ้าพระยาภูธราภัย แล้วรับสั่งว่า ฉันจะขอพูดด้วยการแผ่นดิน ยังหาได้สมาทานศีล ๕ ประการไม่ ฉันเป็นคนป่วยไข้ จะขอสมาทานศีล ๕ ประการเสียก่อนแล้วจึงจะพูดด้วยการแผ่นดิน จึงทรงตั้งนโมขึ้นสามหน ทรงสมาทานศีล ๕ ประการจบแล้ว เลยตรัสภาษาอังกฤษต่อไปอีกยืดยาว หลายองค์ แล้วรับสั่งว่า สมาทานศีลแล้วทำไมจึงพูดภาษาอังกฤษต่อไปอีกเล่า เพื่อจะสำแดง ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่าสติยังดีอยู่ ไม่ใช่ภาษาของตัวก็ยังทรงจำได้แม่นยำอยู่ สติสตังยังดีอยู่ จะพูดด้วยการแผ่นดิน ท่านทั้งหลายจะได้สำคัญว่าไม่ฟั่นเฟือนเลอะเทอะ สติยังดีอยู่ ตัวท่านกับ ฉันได้ช่วยกันทำนุบำรุงแผ่นดินมา ได้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดมาจนสิ้นตัวฉัน ถ้าสิ้นตัวฉันแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงช่วยกันทำนุบำรุงการแผ่นดินต่อไปให้เรียบร้อย สมณพราหมณ์อาณาประชาราษฎร จะได้ที่พึ่งอยู่เย็นเป็นสุข แต่ต้องรับฎีการ้องทุกข์ของราษฎรให้เหมือนฉันที่เคยรับมาแต่ก่อน อนึ่งผู้ที่จะเป็นเจ้าแผ่นดินต่อไปภายหน้า ให้พร้อมกันเลือกหาเอาเถิด จะเป็นพี่ก็ตาม จะเป็นน้องก็ตาม จะเป็นลูกก็ตาม จะเป็นหลานก็ตาม สุดแต่จะเห็นพร้อมกัน ท่านพระองค์ใดมีปรีชาญาณควรจะรักษา แผ่นดินได้ ก็ยกขึ้นเป็นเจ้าจะได้ทำนุบำรุงแผ่นดินและพระราชวงศานุวงศ์และราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข

จดหมายเหตเุ รอ่ื งพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประชวร ๓๘๕ ตอ่ ไป อยา่ หนั เหยี นตามพระกระแสพระเจา้ แผน่ ดนิ กอ่ นเลย เอาแตค่ วามดคี วามเจรญิ เปน็ ทต่ี ง้ั สน้ิ พระกระแส รับสั่งดังนี้แล้ว พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท และเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุห- พระกลาโหม เจ้าพระยาภูธราภัย ที่สมุหนายก ก็ถวายบังคมนิ่งอยู่ประมาณครู่หนึ่ง ก็หาได้รับสั่ง ประการใดตอ่ ไปไม่ กก็ ราบถวายบงั คมลาพากนั ออกมา ทา่ นเจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศ์ ทส่ี มหุ พระกลาโหม จงึ วา่ กบั พระยาบรุ ษุ รตั นราชพลั ลภวา่ พระอาการแขง็ แรงยงั จะยดื ยาวไปอีกหลายเวลา แล้วทา่ นกพ็ ากัน ออกไปอยทู่ พ่ี ระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม พรอ้ มดว้ ยพระบรมวงศานวุ งศแ์ ละขา้ ราชการผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ย เวลาบ่ายห้าโมงเศษ มีพระบรมราชโองการรับสั่งแก่พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภว่า ให้ไปหาตัว ตาฟักเข้ามา ให้เอาสมุดดินสอเข้ามาด้วย ให้เข้ามารอคอยอยู่ เมื่อเวลาไรค่อยสบายจึงค่อยเข้ามา แล้วรับสั่งกับหลวงราโชว่า หมอขา ข้ามีธุระจะทำการ หมอช่วยแก้ไขดับทุกขเวทนาลมที่เสียดแทง ให้ถอยลงสักหน่อย จะได้หรือไม่ได้ หลวงราโชรับสั่งว่าจะฉลองพระเดชพระคุณได้ด้วยเกล้า ฯ หลวงราโชก็แก้ไขถวายอยู่งาน พอพระอาการพระวาโยที่เสียดแทงขึ้นคลายลง พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ จงึ ทลู ฉลองวา่ พระศรสี นุ ทรโวหารเขา้ มาเฝา้ ทลู ละอองฯ แลว้ จงึ รบั สง่ั แกพ่ ระศรสี นุ ทรโวหารเปน็ ภาษามคธ ยดื ยาว เรอ่ื งความอนาถปณิ ฑโิ กวาทะ จบแลว้ จงึ รบั สง่ั ถามพระศรสี นุ ทรโวหารวา่ ทต่ี รสั เปน็ ภาษามคธ ดังนี้ผิดเพี้ยนอย่างไรบ้าง พระศรีสุนทรโวหารกราบทูลพระกรุณาว่า ซึ่งทรงภาษามคธนี้ไม่ผิดเพี้ยน แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เหมือนหนึ่งเมื่อไม่ทรงพระประชวร จึงรับสั่งว่า อาการก็มากถึงเพียงนี้แล้ว ยังมีสติดี ไม่ฟั่นเฟือน ให้เอาสมุดมา ข้าจะให้เขียนคาถาลาพระ ทรงแต่งเป็นภาษามคธจนจบ แจ้งอยู่ใน พระคาถาที่ทรงแต่งทุกประการแล้ว แต่คำแปลในพระคาถาที่ทรงลาพระและขอสมาสงฆ์เผดียงไปที่ วดั ราชประดษิ ฐว์ า่ ขอเผดียงพระสงฆ์จงทราบ เมื่อครั้งตัวฉันเป็นภิกขุอยู่ ฉันได้เจรจาคำนี้เนือง ๆ ว่า เราเกิดแล้วออกจากครรภ์มารดาแล้ว ในวันปวารณา คือวันพฤหัสบดี เดือนสิบเอ็ด ขึ้นสิบห้าค่ำ๑ ถา้ เมอ่ื เราจะตาย หากวา่ ปว่ ยหนกั ลง พวกศษิ ยน์ ำไปถงึ ทป่ี ระชมุ สงฆท์ ำปวารณาในโรงอโุ บสถ ยงั ประกอบดว้ ย กำลงั เชน่ นน้ั ดว้ ยกำลงั เชน่ ไรเลา่ เราจะพงึ ทำปวารณาสามจบกะสงฆแ์ ลว้ จงึ ตายกบั ทเ่ี ฉพาะหนา้ พระสงฆ์ การทไ่ี ดท้ ำนน้ั เปน็ การดี เปน็ การสมควรแกเ่ รา วาจาอยา่ งนฉ้ี นั ไดพ้ ดู เนอื ง ๆ เมอ่ื ครง้ั เปน็ ภกิ ขุ บดั นต้ี วั ฉนั เปน็ คฤหสั ถ์ จะทำอะไรไดอ้ ยา่ งทว่ี า่ ไวน้ น้ั เพราะฉะนน้ั จงึ สง่ เครอ่ื งสกั การบชู าเหลา่ นไ้ี ปยงั วหิ าร บชู าธรรมนน้ั ๑ ตรงกับวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๔๗

๓๘๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ และบูชาพระสงฆ์ซึ่งทำปวารณากรรม ด้วยเครื่องสักการบูชาเหล่านี้ ทำให้เป็นของแทนตัวฉัน วันมหาปวารณาคือวันเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำวันนี้ ก็เป็นวันพฤหัสบดีเหมือนวันฉันเกิด ความเจ็บไข้ของ ตัวฉันเจริญทวีมากขึ้น ตัวฉันกลัวว่าจะต้องตายลงในวันนี้ ฉันขอลาพระสงฆ์ ฉันขออภิวาทไหว้ต่อ พระผู้มีพระภาคผู้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ปรินิพพานแล้วนาน ฉันขอนมัสการพระธรรม ของพระผมู้ พี ระภาคนน้ั ขอนอบนอ้ มพระอรยิ สงฆด์ ว้ ย ตวั ฉนั ผไู้ ดถ้ งึ พระรตั นตรยั เปน็ ทพ่ี ง่ึ ทร่ี ะลกึ แลว้ โทษคือความล่วงเกิน ได้เป็นไปล่วงเกินข้าพเจ้าผู้เป็นคนพาลคนหลง คนไม่ฉลาดด้วยประการไร ตัวข้าพเจ้าคนไรเล่า ณ อัตภาพนี้เป็นผู้ประมาทแล้วอย่างนั้น ๆ ได้ทำกรรมเป็นอกุศลทั้งหลาย ขอพระสงฆจ์ งรบั โทษลว่ งเกนิ ของขา้ พเจา้ นน้ั เปน็ โทษลว่ งเกนิ จรงิ เพอ่ื สงั วรระวงั ตนตอ่ ไปภายหนา้ บัดนี้ตัวฉันได้ทำการอธิษฐานสังวรระวังในศีล ๕ แล้วปลุกความทำในใจดังนี้ ศึกษาอยู่ในขันธ์ ทั้งหลายห้า ในอายตนะทั้งหลายภายในหก ภายนอกหก ในวิญญาณทั้งหลายหก ในสัมผัสทั้งหลายหก ในเวทนาทั้งหลายหก ซึ่งเป็นไปในทวารทั้งหลายหก ของนั้นไม่มีในโลก ของไรเล่าเมื่อสัตว์เข้าถือเอามั่น จะพึงไม่มีโทษ อนึ่งหรือบุรุษเขาถือเอามั่นของสิ่งไรเล่าจะพึงเป็นผู้ไม่มีโทษ ตัวฉันศึกษาความไม่ ยึดหน่วงถือเอามั่น สรรพสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยงธรรม ทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตาใช่ตัวตน ย่อมเป็นไปตามปัจจัย ของนั้นใช่ของเรา ส่วนนั้นใช่เราไม่เป็นเรา ส่วนนั้นใช่ตัวใช่ตน ความตายใด ๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ความตายนั้นไม่เป็นอัศจรรย์เพราะความตายนั้นเป็นหนทางไปของสัตว์ทั้งหลาย ทั้งปวงหมดด้วยกัน ขอพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ฉันขอลา ขอไหว้นมัสการ ขอ้ ใดเปน็ ความผดิ พลง้ั ของตวั ฉนั ขอพระสงฆจ์ งงดโทษ เปน็ ความผดิ ของขา้ พเจา้ เถดิ ครั้นเมื่อกายของข้าพเจ้า แม้นถึงกระสับกระส่ายอยู่ จิตจะไม่เป็นของกระสับกระส่าย ขา้ พเจา้ ศกึ ษาอยอู่ ยา่ งน้ี ทำความไปตามคำสง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ ผตู้ รสั รู้ ทรงแตง่ พระคาถาลาพระเสรจ็ แลว้ จงึ รบั สง่ั แกพ่ ระศรสี นุ ทรโวหารวา่ ใหเ้ อาไปคดั ลอกใหอ้ า่ นออก ง่าย ๆ แล้วให้ไปสั่งมหาดเล็กให้จัดเครื่องนมัสการไปตั้งที่ในพระอุโบสถวัดราชประดิษฐ์ เมื่อสงฆ์ จะกระทำวินัยกรรมปวารณาพระวัสสา ให้จุดธูปเทียนขึ้น แล้วจึงอ่านคาถาลาพระในท่ามกลางสงฆ์ แทนตวั ขา้ พระศรสี นุ ทรโวหารกก็ ราบถวายบงั คมลามาทำตามพระกระแสรบั สง่ั ทกุ ประการ เมื่อพระศรีสุนทรโวหารเข้าไปเขียนหนังสือแต่งพระคาถาลาพระแล้วก็พอพลบย่ำค่ำ ครั้นเวลา สองทุ่มหกบาท จึงรับสั่งเรียกพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ ว่าพ่อเพ็งเอาโถมารองเบาให้พ่อที

จดหมายเหตเุ รอ่ื งพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประชวร ๓๘๗ พระยาบรุ ษุ รตั นราชพลั ลภ จงึ เชญิ เอาโถพระบงั คนขน้ึ ไปบนพระแทน่ ถวายลงพระบงั คนแลว้ กพ็ ลกิ พระองค์ ไปข้างทิศตะวันออก รับสั่งบอกว่า จะตายเดี๋ยวนี้แล้ว แล้วพลิกพระองค์หันพระพักตร์สู่เบื้องตะวันตก ก็รับสั่งบอกอีกว่า จะตายเดี๋ยวนี้แล้ว แล้วก็ทรงภาวนาว่า อรหัง สัมมาสัมพุทโธ ทรงอัดนิ่งไปแล้ว ผ่อนอัสสาสะปัสสาสะเป็นคราว ๆ ยาวแล้วผ่อนสั้นเข้าทีละน้อย ๆ หางพระสุรเสียงมีสำเนียงดังโธ ๆ ทุกครั้ง สั้นเข้าโธก็เบาลงทุกที ตลอดไปจนยามหนึ่งก็ดังครอกเบา ๆ พอระฆังยามหอภูวดลทัศไนย์ ย่ำก่าง ๆ นกตุ๊ดก็ร้องขึ้นตุ๊ดหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสู่สวรรคต เวลาเต็ม ปฐมยาม ท่าบรรทมเมื่อสวรรคตเหมือนกับท่าพระไสยาสน์ในวัดบวรนิเวศ ฯ พระสรีรร่างกายและ พระหตั ถพ์ ระบาทจะไดก้ ระดกิ กระเดย้ี เหมอื นสามญั ชนทง้ั หลายนน้ั หาบมไิ ด้ แลว้ กม็ หี มอกคลมุ้ มวั เขา้ ไปใน พระที่นั่งเวลานั้น พระเจ้าลูกเธอและท่านข้างในที่ห้อมล้อมกราบถวายบังคมอยู่นั้น สงบสงัดเงียบไป จนยามเศษ พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภจึงทูลกับพระเจ้าลูกเธอและบอกกับท่านข้างในว่าพระเจ้าอยู่หัว สวรรคตแลว้ ราชการรกั ษาพระอาการทท่ี รงพระประชวรสน้ิ แลว้ ราชการตอ่ ไปเปน็ ของทา่ นเสนาบดผี ใู้ หญ่ ต้องเอาข้อความไปแจ้งกราบเรียนแก่ท่านอธิบดีเสียก่อน แต่ขอให้งดไว้อย่าเพ่อร้องไห้เกรียวกราวไป ด้วยพระสตินั้นดีเป็นที่สุด จะหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้แล้ว พระเจ้าลูกเธอและท่านข้างในก็รับตามคำ พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภก็ลงมาจากพระที่นั่ง จะมีผู้ใดที่อยู่ชั้นล่างจะได้รู้ว่าสวรรคตแล้วแต่สักคนเดียว ก็มิได้มี พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภไปกราบเรียนท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุหพระกลาโหม ท่านยังหาอยู่ไม่ ได้กราบทูลแต่สมเด็จกรมขุนบำราบปรปักษ์ และกราบเรียนท่านเจ้าพระยาภูธราภัย เจ้านายท่านเสนาบดีผู้ใหญ่ก็จัดการไปตามพนักงานทุก ๆ หน้าที่ พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภก็กลับไปเฝ้า พระบรมศพอยู่บนพระแท่นอย่างเดิม เกือบจะใกล้สี่ทุ่ม เห็นว่าสิ้นกำหนดสวรรคตแล้ว ก็คุกเข่า ขึ้นกราบถวายบังคม พระเจ้าลูกเธอและท่านข้างในก็พากันร้องไห้เซ็งแซ่ขึ้นพร้อมกันทั้งข้างหน้า ขา้ งในตง้ั แตเ่ วลาสท่ี มุ่ จนยำ่ รงุ่ เสยี งดงั สนน่ั หวน่ั ไหวไปในพระบรมมหาราชวงั มีคำกลางสอดแทรกว่า ชนทั้งหลายทั้งชายหญิงซึ่งร้องไห้มาก ก็เพราะรักใคร่นับถือความดี ในพระองคด์ ว้ ยประการใดประการหนง่ึ จงึ ไดร้ อ้ งไหเ้ ศรา้ โศกถงึ พระองคม์ าก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร ณ วันอาทิตย์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๓ ค่ำ๑ เวลาทมุ่ เศษ ถงึ ณ วนั พฤหสั บดี เดอื น ๑๑ ขน้ึ ๑๕ คำ่ ๒ สวรรคตเวลายามหนง่ึ ดำรงอยใู่ นสริ ริ าชสมบตั ิ ๑๘ พรรษา ๑ ตรงกับวนั อาทติ ย์ท่ี ๓๐ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๒ ตรงกับวนั พฤหสั บดีที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑

๓๘๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประสูติ ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีชวด ฉศก ศักราช ๑๑๖๖ ปี๑ พระชนม์ได้ ๖๕ พรรษา มีพระราชโอรสฝ่ายใน ๔๑ ฝ่ายหน้า ๓๕ รวม ๗๖ พระองค์ * ตั้งแต่สวรรคตแล้ว ต่อมาเวลาสี่ทุ่มเศษ ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุหพระกลาโหม จงึ เขา้ มาในพระบรมมหาราชวงั สง่ั ใหจ้ ดั การรกั ษาพระทน่ี ง่ั ทง้ั ขา้ งหนา้ ขา้ งใน ให้องครกั ษแ์ ละกรมอาสา แปดเหล่า กรมทหารอย่างยุโรปทั้งในพระบรมมหาราชวังและพระราชวังบวรฯ ตั้งกองจุกช่องล้อมวง ทง้ั นอกในเสรจ็ แลว้ จงึ มบี ญั ชาสง่ั ใหส้ งั ฆการไี ปเชญิ เสดจ็ กรมหมน่ื บวรรงั ษสี รุ ยิ พนั ธ์ุ และพระราชาคณะ ฐานานุกรม ๒๕ องค์ อาราธนามาประชุมในพระที่นั่งอนันตสมาคมตรงหน้าพระมหาเศวตฉัตร นง่ั ฟงั เปน็ ประธานพรอ้ มดว้ ยพระบรมวงศานวุ งศ์ ขา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาทผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ยพรอ้ มกนั ฯพณฯ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุหพระกลาโหมจึงกล่าวขึ้นในท่ามกลางประชุมว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรยังมีพระชนม์อยู่ ได้ทรงอนุญาตโปรดเกล้า ฯ ว่าผู้ที่จะดำรงรักษาแผ่นดินต่อไป ให้พร้อมเพรียงปรึกษาหารือกัน สุดแต่จะเห็นพร้อมยอมกัน จะเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ หรือพระเจ้าลูกยาเธอ หรือพระเจ้าหลานเธอ พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ซึ่งทรงพระสติปัญญาวัยวุฒิรอบรู้สรรพสิ่งทั้งปวง ควรจะปกป้อง สมณพราหมณาจารยอ์ าณาประชาราษฎรได้ กส็ มมตยกพระองคน์ น้ั ขน้ึ เปน็ เจา้ เถดิ มไิ ดท้ รงรงั เกยี จทจ่ี ะ ให้ราชสมบัติแก่พระเจ้าลูกยาเธอนั้นหามิได้ ตามแตพ่ ระบรมวงศานุวงศแ์ ละท่านเสนาบดี บัดนี้สมเด็จ พระพุทธเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว แผ่นดินว่างอยู่ ท่านทั้งหลายทั้งปวงแต่บรรดาอยู่ในที่ประชุมนี้ จะเหน็ วา่ เจา้ นายทา่ นพระองคใ์ ด จะเปน็ เจา้ เปน็ ทพ่ี ง่ึ แกพ่ ระบรมวงศานวุ งศแ์ ละเสนาบดอี าณาประชาราษฎร อาจดบั ยคุ เขญ็ ได้ กใ็ หว้ า่ ขน้ึ ในทา่ มกลางประชมุ น้ี อยา่ ไดห้ วน่ั หวาดเกรงขาม ขณะนน้ั พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหลวงเทเวศรว์ ชั รนิ ทร ซง่ึ มพี ระชนมก์ วา่ พระบรมวงศานวุ งศท์ ง้ั ปวง จึงรับสั่งขึ้นท่ามกลางประชุมว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระเดชพระคุณได้ทำนุบำรุง ๑ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๔๗ * จำนวนพระราชโอรสและพระราชธิดาที่กล่าวนี้ผิดกับในพระราชพงศาวดารฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์และที่อื่น ๆ ในที่นั้น ๆ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชโอรสและพระราชธิดา เป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าชาย ๔ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟา้ หญงิ ๑ พระองคเ์ จา้ ชาย ๓๕ พระองคเ์ จา้ หญงิ ๔๒ รวม ๘๒ พระองค์ ปรากฏพระนามโดยละเอียด ในหนงั สอื เรอ่ื ง “ราชสกลุ วงศ์”

จดหมายเหตเุ รอ่ื งพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประชวร ๓๘๙ และชุบเลี้ยงมุขมนตรีใหญ่น้อยขึ้นเป็นอันมาก มีพระคุณเหลือล้น ไม่มีสิ่งไรจะทดแทนพระคุณนั้นได้ ขอให้ยกสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพินิตประชานาถ ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เหมือนหนึ่งได้ทดแทนพระคุณท่าน เมื่อเห็นว่ายังทรงพระเยาว์อยู่ ก็ให้ช่วยกัน ทำนุบำรุงกว่าจะทรงพระเจริญขึ้น แล้วท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงซ้ำถามพระบรมวงศานุวงศ์ และมุขมนตรีทั้งหลายว่า ท่านกรมหลวงเทเวศร์วัชรินทรตรัสดังนี้ ท่านทั้งปวงจะเห็นควรหรือไม่ควร ประการใดก็ให้ว่าขึ้น แต่บรรดาข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนที่มาประชุม กราบเรียนด้วยวาจาก็มี ทำกิริยายินยอมพร้อมกันก็มี ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงว่าขึ้นอีกว่า แผ่นดินที่ล่วงแล้วแต่ก่อน ๆ มา มีพระมหากษัตริย์แล้วก็ต้องมีอุปราชฝ่ายหน้า เป็นเยี่ยงอย่างมาทุก ๆ แผ่นดิน ก็ครั้งนี้จะควรแก่ ทา่ นผใู้ ดทจ่ี ะเปน็ อปุ ราชฝา่ ยหนา้ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทรจึงกล่าวขึ้นอีกว่า เห็นแต่กรมหมื่นบวรวิชัยชาญควรจะรับราชการใน ที่อุปราชได้ ด้วยได้ศึกษาวิชาการทหารอย่างประเทศยุโรปชำนิชำนาญ และการช่างต่าง ๆ ก็ได้เรียนรู้ ตามแบบอย่างพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงมาแต่ก่อน และจะได้คุ้มครองข้าไทยในกรม นน้ั ดว้ ย ขอใหย้ กกรมหมน่ื บวรวชิ ยั ชาญขน้ึ เปน็ กรมพระราชวงั บวร ฯ เถดิ ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ได้ซ้ำถามพระบรมวงศานุวงศ์ และท่านเสนาบดี ก็เห็นพร้อมกัน แลว้ ทา่ นเจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศจ์ งึ วา่ ขน้ึ วา่ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มหามาลา กรมขนุ บำราบปรปกั ษ์ ทรงพระสตปิ ญั ญา รอบรู้ราชการแผ่นดิน ด้วยได้เคยทำราชการในตำแหน่งกรมวังมาช้านานถึงสองแผ่นดินแล้ว ขอให้เป็น ผู้สำเร็จราชการในพระคลังมหาสมบัติและพระคลังต่าง ๆ และสถานราชกิจ และเป็นผู้อุปภัมภ์ใน การพระเจ้าแผ่นดินด้วย การปรึกษาตกลงยินยอมพร้อมกันในที่ประชุมแล้ว กรมหมื่นบวรรังษี ฯ และพระราชาคณะฐานานุกรมก็สวดถวายชัยมงคลขึ้นพร้อมกัน การประชุมก็สำเร็จในวันเดียวนั้น สองยามเศษ รงุ่ ขน้ึ เวลาเชา้ ไดจ้ ดั การสรงนำ้ พระบรมศพ พระบรมวงศานวุ งศ์ และ ฯ พณ ฯ สมหุ พระกลาโหม จึงให้พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ไปรับเสด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพินิตประชานาถ ในเวลานั้น พระอาการไข้เพิ่งจะคลายขึ้นใหม่ ๆ พระกำลังยังน้อย จะทรงพระดำเนินเข้าไปกลัวพระอาการจะ กำเริบ จึงได้ทรงพระเสลี่ยงอย่างใหม่คล้ายพระเก้าอี้เสด็จเข้าไปในพระมหามณเฑียร ถวายสรงน้ำ พระบรมศพแล้ว ก็ทรงมอบการไว้ให้พระบรมวงศ์เธอ สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมขุนบำราบปรปักษ์

๓๙๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ให้ทรงจัดการพระบรมศพและถวายพระมหาชฎาแทนพระองค์ รับสั่งเสร็จก็เสด็จมาประทับที่ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมวงศ์เธอ สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมขุนบำราบปรปักษ์ ถวายเครื่องพระบรมศพเสร็จแล้ว เชิญเข้าประดิษฐานในพระโกศทองคำจำหลักลายกุดั่นประดับพลอย แล้วตั้งกระบวนแห่ออกประตูสนามราชกิจ ไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตามอย่าง ราชประเพณพี ระบรมศพสมเดจ็ พระเจา้ แผน่ ดนิ แตก่ อ่ นมา เรียบเรียงเรื่องราวในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กส็ น้ิ ขอ้ ความแตเ่ พยี งน้ี

๓๙๑ จดหมายเหตุ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต

๓๙๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔

จดหมายเหตเุ มอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคต ๓๙๓ จดหมายเหตุ เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคต แตก่ อ่ นแตไ่ รมาไมป่ รากฏวา่ ไดเ้ คยเหน็ สรุ ยิ ปุ ราคาถงึ หมดดวงทใ่ี นประเทศสยามน้ี จนถงึ กลา่ วใน ตำราโหราศาสตร์บางฉบับ ซึ่งแต่งไว้แต่โบราณว่า มีหมดดวงแต่จันทรุปราคา แต่สุริยุปราคา นั้นหามีที่จะถึงหมดดวงไม่ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์ ทั้งตามตำราไทยและตำราฝรั่งจนชำนาญ ทรงคำนวณทราบว่าในปีมะโรงสัมฤทธิศก พ.ศ.๒๔๑๑ จะเห็นสุริยุปราคาหมดดวงในประเทศสยามนี้ เมื่อวันอังคาร ขึ้นค่ำ ๑ เดือน ๑๐๑ และทางโคจรของ ดวงอาทติ ย์ จะใหเ้ หน็ สรุ ยิ ปุ ราคาหมดดวงไดท้ ต่ี ำบลหวา้ กอแขวงจงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ อยใู่ ต้คงุ้ มะนาว ที่ตั้งสถานีอากาศยานเดี๋ยวนี้ไม่ห่างนัก มีพระราชดำรัสแถลงแก่พวกโหรไทยในสมัยนั้น ก็มิใคร่มีใคร เห็นพ้องด้วยเพราะผิดกับที่กล่าวไว้ในตำรา สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ๒ ตรัสเล่า เมอ่ื ภายหลงั วา่ แมพ้ ระองคท์ า่ นเองกไ็ มท่ รงเชอ่ื แตห่ ากเกรงพระราชอธั ยาศยั กร็ บั จะตามเสดจ็ ไปดดู ว้ ย จึงโปรด ฯ ให้ตั้งพลับพลาสถานที่สำหรับทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอนั้น แล้วเสด็จ ทรงเรือพระที่นั่งอัครราชวรเดชออกจากกรุงเทพ ฯ เมื่อวันศุกร์ เดือน ๙ แรม ๔ ค่ำ๓ ประทับ ณ ทบ่ี างแหง่ ในระยะทาง เสดจ็ ไปถงึ พลบั พลาทต่ี ำบลหวา้ กอเมอ่ื วนั จนั ทร์ เดอื น ๙ แรม ๗ คำ่ ๔ ครง้ั นน้ั เซอร์ แฮรี ออร์ดเจ้าเมืองสิงคโปร์ขึ้นมาเฝ้า ฯ และรัฐบาลฝรั่งเศสก็แต่งให้พวกโหรมาดูสุริยุปราคาด้วย ที่หว้ากอมีการรับแขกเมืองมีบรรดาศักดิ์สูงด้วยอีกอย่าง ๑ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตรากตรำทำการคำนวณสุริยุปราคามาตั้งแต่ก่อนเสด็จไปจากกรุงเทพฯ ชั้นหนึ่งแล้ว ด้วยเกรงว่า ถ้าไม่เป็นจริงดังทรงพยากรณ์จะถูกพวกโหรหมิ่น ครั้นเมื่อเสด็จไปประทับอยู่ที่พลับพลาหว้ากอ ก็ยังทรงตรากตรำด้วยการรับแขกเมือง กับทั้งทรงคำนวณสุริยุปราคา คือพยากรณ์เวลาที่จะเริ่มจับ เวลาที่จะหมดดวง และเวลาที่ดวงพระอาทิตย์จะเป็นโมกขบริสุทธิ์เป็นต้น บรรดาผู้ซึ่งไปโดยเสด็จ และอยู่ใกล้ชิดพระองค์ ได้สังเกตเห็นพระสิริรูปซูบลงและพระฉวีก็มัวคล้ำไม่ผ่องใส ตั้งแต่เสด็จไปจาก กรุงเทพฯ แล้ว เวลาเสด็จประทับอยู่ที่หว้ากอก็ยังเป็นเช่นนั้นและมีอาการทรงพระกรรสะ๕ เพิ่มขึ้น ๑ ตรงกับวันอังคารที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๒ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ในรัชกาลที่ ๔ รับราชการในกรมวัง กรมพระคชบาล และกรมสังฆการีธรรมการ ๓ ตรงกบั วนั ศกุ รท์ ่ี ๗ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๔ ตรงกบั วนั จนั ทรท์ ่ี ๑๐ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๕ ไอ

๓๙๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ด้วยอีกอย่างหนึ่ง แต่บางทีจะเป็นเพราะพระปีติปราโมทย์ด้วยสุริยุปราคา เมื่อวันอังคาร เดือน ๑๐ ขึ้นค่ำ ๑๑ นั้น หมดดวงดังทรงพยากรณ์ และตรงเวลาดังได้ทรงคำนวณมิได้เคลื่อนคลาด เป็นเหตุ ให้ทรงเป็นปกติอยู่ตลอดเวลาเสด็จประทับอยูห่ ว้ากอ ๙ วัน ครั้น ณ วันพุธ เดือน ๑๐ ขึ้น ๒ ค่ำ๒ เสดจ็ ลงเรอื พระทน่ี ง่ั กลบั คนื มายงั พระนคร เสดจ็ ถงึ กรงุ เทพ ฯ เมอ่ื ณ วนั ศกุ ร์ เดอื น ๑๐ ขน้ึ ๔ คำ่ ๓ ตอ่ มาอกี ๕ วนั ถงึ วนั พธุ เดอื น ๑๐ ขน้ึ ๙ คำ่ ๔ กเ็ รม่ิ มพี ระอาการประชวรไขจ้ บั ตง้ั แตจ่ บั ประชวรไดไ้ มช่ า้ พระองค์ก็ทรงทราบโดยพระอาการว่าประชวรครั้งนั้นเห็นจะเป็นที่สุดพระชนมายุสังขาร ได้มีรับสั่งแก่ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ๕ ให้ทรงทราบ* มพี ระราชดำรสั สง่ั พระราชประสงคแ์ ละพระราชทานพระบรมราโชวาทแกส่ มเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมขนุ พนิ ติ ประชานาถแลว้ จงึ มรี บั สง่ั แก่พระเจ้านอ้ งยาเธอ กรมขนุ วรจักรธรานุภาพ๖ อธบิ ดกี รมหมอ ว่าพระอาการประชวรครั้งนี้มากอยู่ให้ประชุมแพทย์ปรึกษากันตั้งพระโอสถ และมีรับสั่งให้ สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมขนุ บำราบปรปกั ษ์ ๗ กบั พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมขนุ วรจกั รธรานภุ าพ เสดจ็ เขา้ ไปอยปู่ ระจำกำกบั หมอทใ่ี นพระบรมมหาราชวงั ตั้งแต่พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรเสด็จออกไม่ได้ สมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้า ฯ กรมขุนพินิตประชานาถ ก็เสด็จเข้าไปพยาบาลอยู่ข้างที่ ทรงพยาบาล สมเด็จพระบรมชนกนาถอยู่ได้วัน ๑ จับมีพระอาการไข้ไม่ทรงสบาย แต่ถึงเวลาก็ยังอุตส่าห์ เสด็จเข้าไปเฝ้าพยาบาลอยู่ข้างที่ตามเคย ต่อถึงวันที่ ๒ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยกพระหัตถ์ลูบพระพักตร์สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ฯ เห็นร้อนผิดปรกติก็ทรงทราบว่าประชวรไข้ด้วย จึงตรัสสั่งให้เสด็จกลับไปพักรักษาพระองค์ที่พระตำหนักสวนกุหลาบ อย่าให้ทรงเป็นกังวลถึงการ ทจ่ี ะเขา้ ไปเฝา้ รกั ษาพยาบาลเลย ใหเ้ รง่ รกั ษาพระองคใ์ หห้ าย สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ ฯ เสดจ็ กลบั ออกมา ถึงพระตำหนัก พระโรคไข้ป่าก็กำเริบมากขึ้น ประชวรไข้อยู่หลายวัน พอพระอาการไข้ค่อยคลาย ๑ ตรงกบั วันองั คารที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๒ ตรงกบั วนั พธุ ท่ี ๑๙ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๓ ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๔ ตรงกบั วนั พธุ ท่ี ๒๖ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๕ คอื พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นขน้ึ ครองราชย์ * ขอ้ นเ้ี ขยี นตามทพ่ี ระบาทสมเดจ็ ฯ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ดำรสั เลา่ ๖ ในรชั กาลท่ี ๔ ได้กำกับกรมพระนครบาล และวา่ ราชการกรมหมอ กรมช่างเคลอื บ ชา่ งหงุ กระจก กรมญวนหก ๗ ในรชั กาลท่ี ๔ ไดว้ า่ กรมวัง กรมพระคชบาล และกรมสงั ฆการธี รรมการ

จดหมายเหตเุ มอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคต ๓๙๕ กเ็ กดิ พระยอดมพี ษิ ขน้ึ ทพ่ี ระศอ พระอาการกลับทรุดลงไปอีกจนถึงประชวรเพียบหนักอยู่เป็นหลายเวลา พระอาการจึงค่อยคลายขึ้น แต่พระกำลังยังอ่อนเพลียมากนัก จึงต้องปกปิดมิให้ทรงทราบพระอาการ ของสมเดจ็ พระบรมชนกนาถตลอดมา จนพระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคต ตั้งแต่พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรพระอาการทรุดลงโดยลำดับ * ครน้ั ถงึ วนั จนั ทร์ เดอื น ๑๐ แรม ๑๓ คำ่ ๑ เปน็ วนั พระราชพธิ ศี รสี จั ปานกาล เสดจ็ ออกไมไ่ ด้ ขา้ ราชการ ประชุมถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม** แล้วจึงพร้อมกันมาถวายบังคมที่ ในท้องพระโรงพระอภิเนาวนิเวศ*** และในที่นั้นพระราชวงศานุวงศ์ประชุมกันถือน้ำตามประเพณี ที่ไม่เสด็จออกวัด ฯ ในเวลาที่พระราชวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยประชุมพร้อมกันที่ พระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคมนน้ั **** เจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศ์ ท่ีสมหุ พระกลาโหม๒ ซง่ึ เปน็ หวั หนา้ ในขา้ ราชการ ทง้ั ปวง กลา่ วในทป่ี ระชมุ วา่ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระประชวรพระอาการมากอยู่ ทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ก็ประชวรอยู่ด้วย ไม่ควรจะประมาท แล้วจึงสั่งให้จัดการรักษา พระบรมมหาราชวงั กวดขนั ขน้ึ กวา่ ปกติ และให้ตง้ั กองลอ้ มวงพระตำหนกั สวนกหุ ลาบ อนั เปน็ ทป่ี ระทบั สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอฯ ดว้ ย ตง้ั แตว่ นั นน้ั มาเจ้านายและเสนาบดีขา้ ราชการผใู้ หญก่ เ็ ขา้ มาอยปู่ ระจำท่ี ในพระบรมมหาราชวงั * จดหมายเหตุเรื่องพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประชวรมีอยู่ ๒ ฉบับ เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) ข้าหลวงเดิม เวลานั้นเป็นพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ จางวางมหาดเล็ก อยู่ในผู้หนึ่งซึ่งได้อยู่เฝ้ารักษาพยาบาลข้างที่ แต่งไว้ฉบับ ๑ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์แต่งไว้ในตอนท้ายพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๔ อีกฉบับ ๑ ความที่เจ้าพระยาทิพากรวงศ์กล่าวนั้นเข้าใจว่า ท่านคงถามมาจากเจ้าพระยามหินทรฯ ด้วยตัวท่านเองเป็นเวลาอยู่นอกราชการ ไม่ได้เข้าวัง จดหมายเหตุทั้ง ๒ ฉบับที่กล่าวมานี้ ความข้อสำคัญคลาดเคลื่อนกันอยู่บางแห่ง แต่อ้างถึงพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตนศิริเชษฐ์ เวลานั้นปรากฏพระนามว่า พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดี เป็นผู้อยู่ประจำรักษาพยาบาลข้างที่เป็นนิจพระองค์ ๑ ว่าเป็นผู้เชิญกระแสรับสั่งออกมา ข้างหน้าในเวลาเมื่อทรงประชวรนั้นเนือง ๆ เวลาข้าพเจ้าแต่งหนังสือพระราชพงศาวดารฉบับนี้ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ก็ถึงพิราลัย เจ้าพระยา มหินทรศักดิ์ธำรงก็ถึงอสัญกรรมไปเสียแล้ว จะถามข้อสงสัยในจดหมายเหตุต่อท่านทั้ง ๒ นั้นไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงกราบทูลถาม กรมหลวง สมรรัตน์ ฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ ในปีที่เริ่มแต่งหนังสือนี้ ได้ความตามที่กรมหลวงสมรรัตน์ฯ ตรัสเล่า ข้าพเจ้าเห็นแม่นยำ ได้ความชัดเจนสิ้น สงสัย สมควรจะจดไว้ให้ปรากฏ ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวเนื้อความในหนังสือนี้ ตามที่ได้ทราบจากกรมหลวงสมรรัตน์ฯ เว้นไว้แต่แห่งใด ที่ท่านไม่ทรงทราบ ข้าพเจ้าจึงกล่าวตามจดหมายเหตุของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง ๑ ตรงกับวนั จนั ทรท์ ี่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ** แต่ก่อนถือน้ำปีละ ๒ ครั้ง ถือน้ำตรุษเดือน ๕ ขึ้น ๓ ค่ำ ครั้ง ๑ ถือน้ำสารท เดือน ๑๐ แรม ๑๓ ค่ำ ครั้ง ๑ *** พระอภิเนาวนิเวศอยู่ตรงที่สวนศิวาลัยบัดนี้ เดิมเป็นสวนที่เสด็จประพาสครั้งรัชกาลที่ ๒ ถึงรัชกาลที่ ๔ โปรด ฯ ให้สร้าง พระราชมนเทียรขึ้นใหม่ ทำอย่างแบบตึกฝรั่ง มีชื่อพระที่นั่งหลายองค์ เรียกรวมกันว่าพระอภิเนาวนิเวศ ต่อมาเมื่อในรัชกาลที่ ๕ พระราช มนเทยี รหมนู่ ช้ี ำรดุ ทรดุ โทรมลง เพราะเปน็ ตกึ มเี สาไมเ้ ปน็ โครง ไมผ้ เุ หลอื ทจ่ี ะซอ่ มแซมใหค้ นื ดี จงึ ตอ้ งรอ้ื เสยี ทง้ั หมู่ **** พระที่นงั่ อนันตสมาคมองคแ์ รก เปน็ ทอ้ งพระโรงในพระอภเิ นาวนเิ วศ อยตู่ รงหลงั พระทน่ี ง่ั สทุ ไธศวรรย์ ๒ ตอ่ มาคอื สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ (ชว่ ง บนุ นาค)

๓๙๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ถึง ณ วันอังคาร เดือน ๑๑ ขึ้น ๖ ค่ำ๑ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้ หาพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ ๒ ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญโ่ ดยเจริญพระชนมายุกว่า พระองค์อื่น ๆ พระองค์ ๑ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ในราชการพระองค์ ๑ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์อัครมหาเสนาบดีที่สมุหพระกลาโหม ซึ่งเป็นหัวหน้าในข้าราชการทั้งปวงคน ๑ เขา้ ไปเฝา้ พรอ้ มกนั แลว้ มพี ระบรมราชโองการมอบพระราชกจิ ในการปกครองพระราชอาณาจกั ร ใหท้ า่ น ทั้ง ๓ ปรึกษาหารือกันบังคับบัญชาการต่างพระองค์ในเวลาทรงพระประชวร อย่าให้ราชการบ้านเมือง ตดิ ขดั ผนั แปรเปน็ เหตใุ หไ้ พรฟ่ า้ ขา้ แผน่ ดนิ ไดค้ วามเดอื ดรอ้ น และในวันอังคาร เดือน ๑๑ ขึ้น ๖ ค่ำนั้น๓ มีรับสั่งให้ภูษามาลาเชิญหีบพระเครื่องมาถวาย แล้วทรงเลือกพระประคำทองสาย ๑ อันเป็นของพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก* กับ พระธำมรงคเ์ พชรองค์ ๑ ให้พระราชโกษา** เชญิ ตามเสดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ พระองคเ์ จา้ หญงิ โสมาวดี ๔ ไปพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพินิตประชานาถ พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดี เสด็จออกมาทูลกรมหลวงวงศาธิราชสนิท และบอกให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ซึ่งพร้อมกันอยู่ที่ ทอ้ งพระโรงพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคมใหท้ ราบตามกระแสรบั สง่ั กรมหลวงวงศาธริ าชสนทิ และเจา้ พระยา ศรีสุริยวงศ์ก็ไปยังพระตำหนักสวนกุหลาบ ด้วยเวลานั้นปิดความไม่ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอฯ ทรงทราบว่าสมเด็จพระบรมชนกนาถประชวรพระอาการมาก เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงแนะพระองค์ เจ้าหญิงโสมาวดีให้ทูลสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ฯ ว่าของทั้ง ๒ สิ่งนั้น พระราชทานเป็นของขวัญ โดย ทรงยินดีที่ได้ทรงทราบว่าพระอาการที่ประชวรค่อยคลายขึ้น เมื่อพระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีไปทูล สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ฯ ดำรัสถามว่า ของขวัญเหตุใดจึงพระราชทานพระประคำพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกด้วย แต่ก็ไม่มีผู้ใดทูลตอบว่ากระไร เมื่อถวายสิ่งของแล้วต่างก็กลับมา ในเวลานั้นเห็นจะเป็นด้วยเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เห็นว่าพระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีได้เสด็จออกไป ๑ ตรงกับวันอังคารที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ.๒๔๑๑ ๒ พระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ตอ่ มาทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระเทเวศรว์ ชั รนิ ทร์ ว่าความศาลราชตระกูล ๓ ตรงกับวันอังคารที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๑ * พระประคำทองสายน้ี เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ ฯ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั จะสวรรคต จะพระราชทานพระเจา้ ลกู ยาเธอ พระองคเ์ จา้ อรรณพ ซึ่งได้เป็นกรมหมื่นอุดมรัตนราศีในรัชกาลที่ ๔ แต่บังเอิญเจ้าพนักงานหยิบผิดสาย กรมหมื่นอุดมไม่ได้ไปจึงถือว่าเป็นของสิริมงคล สำหรับแต่ผู้มีบุญญาภินิหาร ** ชื่อจัน ในรัชกาลที่ ๕ เปน็ พระยา เปน็ บดิ าพระยาอทุ ยั ธรรม (หรนุ่ วชั โรทยั ) เดย๋ี วน้ี ๔ พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดี ศรีรัตนราชธิดา พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาทรงได้รับสถาปนาเป็น พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงสมรรตั นสริ เิ ชษฐ

จดหมายเหตเุ มอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคต ๓๙๗ ทอดพระเนตรเห็นการที่จัดตั้งกองล้อมวงแล้ว กลับเข้าไปข้างในก็คงจะกราบทูลพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้นเมื่อกลับมาถึงพระที่นั่งอนันตสมาคม เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์กับกรมหลวง วงศาธิราชสนิทปรึกษากันว่า ควรจะกราบทูลพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบถึง การทจ่ี ดั ไว้ จงึ สง่ั พระองคเ์ จา้ หญงิ โสมาวดเี ขา้ ไปกราบบงั คมทลู วา่ เจา้ นายผใู้ หญก่ บั เสนาบดปี รกึ ษากนั เหน็ วา่ พระอาการทท่ี รงพระประชวรมากอยู่ ไมค่ วรจะประมาทแกเ่ หตกุ ารณ์ ไดส้ ง่ั ใหจ้ ดั การจกุ ชอ่ งลอ้ มวงรกั ษา พระบรมมหาราชวังให้กวดขันขึ้น และได้ตั้งกองล้อมวงรักษาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ฯ ที่พระตำหนัก สวนกุหลาบดว้ ย* เมื่อพระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีกราบทูลความนี้ให้ทรงทราบ มีรับสั่งถามว่าได้เห็นผู้คน ล้อมวงที่สวนกุหลาบจริงหรือ และมีผู้หลักผู้ใหญ่ใครดูแลการล้อมวงอยู่ที่นั่น เมื่อได้ทรงทราบแล้วจึง ดำรัสสั่งให้พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีกลับออกไปทูลกรมหลวงวงศา ฯ และแจ้งแก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ว่าการที่จะสืบสนองพระองค์นั้น ขอให้คิดมุ่งหมายเอาแต่ความเรียบร้อยมั่นคงของพระราชอาณาจักร เป็นประมาณ พระองค์ไม่ได้ตั้งพระราชหฤทัยมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างไรดอก ผู้ที่จะรับราชสมบัติจะเป็น น้องยาเธอก็ได้ หลานเธอก็ได้ ขอแต่ให้ได้ร่มเย็นเป็นสุขแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้า ลกู ยาเธอฯ พระชนั ษายงั ทรงพระเยาวน์ กั จะทรงบงั คบั บญั ชาราชการบา้ นเมอื งไดแ้ ละหรอื ขอใหค้ ดิ กนั ดใู หด้ ี เมื่อพระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีเชิญพระกระแสออกมาทูลกรมหลวงวงศา ฯ และเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ท่านทั้งสองนั้นจึงเชิญสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนบำราบปรปักษ์มาปรึกษาอีกพระองค์หนึ่ง แล้วสั่งให้เข้าไป กราบบังคมทูลว่า ได้ปรึกษาเห็นพร้อมกันว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอฯ สมควรจะรับราชสมบัติ สืบสนองพระองค์ ราชการบ้านเมืองจึงจะเรียบร้อยเป็นปกติ ข้อซึ่งทรงพระปริวิตกว่ายังทรงพระเยาว์ นั้น สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมขุนบำราบปรปักษ์ รับจะสนองพระเดชพระคุณช่วยดูแลประคับประคอง ในส่วนพระองค์มิให้เสื่อมเสียได้ เมื่อพระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีนำความเข้าไปกราบบังคมทูล ฯ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงพระปริวิตกว่า พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีจะเชิญ กระแสรับสั่งออกไปแจ้งไม่ถูกถ้วนตามพระราชประสงค์ ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันพุธ เดือน ๑๑ ขึ้น ๗ ค่ำ๑ จึงดำรัสสั่งให้พระศรีสุนทรโวหาร** เขียนกระแสรับสั่งพระราชทานให้พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีเชิญ * ประเพณีการตั้งกองล้อมวงรักษาพระองค์เจ้านายพระองค์ใด ในเวลาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประชวรหนัก เป็นการแสดงว่าเจ้านาย พระองคน์ น้ั จะเปน็ ผรู้ บั ราชสมบตั ิ เคยตง้ั กองลอ้ มวงพระบาทสมเดจ็ ฯ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั และพระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มา แตก่ อ่ น ๑ ตรงกับวันพุธที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ** พระศรีสุนทรโวหาร ฟัก ต้นสกุล สาลักษณ์ เป็นศิษยข์ ้าหลวงเดิม เมื่อบวชได้เป็นเปรียญ ๙ ประโยค และเป็นพระราชาคณะ ที่พระศรวี สิ ทุ ธวิ งศ์ อยวู่ ดั บวรนเิ วศ แลว้ จงึ ลาสกิ ขาบทเมอ่ื ในรัชกาลที่ ๓

๓๙๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ออกมายังที่ประชุมพระราชวงศ์และเสนาบดี ว่าผู้ซึ่งจะครองราชสมบัติสืบพระบรมราชวงศ์ต่อไปนั้น ให้ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ปรึกษากันแล้วแต่จะเห็นว่าเจ้านายพระองค์ใดจะเป็นพระเจ้าน้องยาเธอก็ดี พระเจ้าลูกยาเธอก็ดี พระเจ้าหลานเธอก็ดี สมควรจะเป็นผู้ใหญ่ เมื่อพร้อมกันเห็นว่าพระองค์ใด จะปกครองรักษาแผ่นดินได้ ก็ให้ถวายราชสมบัติแก่พระองค์นั้นสืบสนองพระองค์ต่อไป กระแสรับสั่ง ซง่ึ โปรด ฯ ใหเ้ ขยี นออกไปอา่ นในทป่ี ระชมุ เสนาบดนี ้ี ไมป่ รากฏวา่ มคี ำทป่ี ระชมุ ตอบประการใด ในระหว่างนั้น เห็นจะเป็นด้วยพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระปริวิตกถึง สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ ฯ ยง่ิ ขน้ึ ดว้ ยเมอ่ื สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ ฯ ประชวรพระอาการมากอยนู่ น้ั ไมไ่ ด้ กราบบงั คมทลู ฯ ใหท้ รงทราบ เพราะเกรงกนั วา่ ถา้ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงทราบ กจ็ ะ ทรงพระปรวิ ติ กวนุ่ วาย พระอาการจะทรดุ หนกั ไปจงึ ปดิ ความเสยี ครน้ั ณ วนั พธุ เดอื น ๑๑ ขน้ึ ๑๔ คำ่ ๑ จงึ โปรดฯ ใหพ้ ระองค์เจ้าหญิงโสมาวดถี วายปฏญิ าณก่อนแลว้ จึงดำรสั ถามวา่ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ ฯ กรมขุนพินิตประชานาถ ซึ่งรับสั่งเรียกว่า “พ่อใหญ่” นั้นสิ้นพระชนม์เสียแล้วหรือยังมีพระชนม์อยู่* ขอให้กราบทูลแต่โดยสัตย์จริง ถ้าสิ้นพระชนม์เสียแล้วก็จะได้หมดห่วง พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดี กราบบงั คมทลู ฯ วา่ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอนน้ั เดมิ ประชวรไข้ ครน้ั ไขค้ อ่ ยคลายเกดิ พระยอด มพี ษิ ขน้ึ ทพ่ี ระศอพระอาการมากอยคู่ ราวหนง่ึ แตเ่ ดย๋ี วนค้ี อ่ ยคลายขน้ึ แลว้ เปน็ ความสตั ยจ์ รงิ ดงั น้ี มพี ระราช ดำรัสว่า ถ้าเช่นนั้นให้ไปทูลสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ฯ ว่าถ้าพระอาการค่อยคลายพอจะมาเฝ้าได้ ใหเ้ สดจ็ มาเสยี กอ่ นวนั ขน้ึ ๑๕ คำ่ ๒ ถา้ รอไปจนถงึ วนั แรมคำ่ ๑๓ กจ็ ะไดแ้ ตส่ รงพระบรมศพไมท่ นั สง่ั เสยี อนั ใด พระองคเ์ จา้ หญงิ โสมาวดี เชญิ พระกระแสออกมาทลู กรมหลวงวงศา ฯ และเจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศ์ ท่านทั้งสองปรึกษากันเห็นว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ฯ พระกำลังยังอ่อนนัก ถ้าเชิญเสด็จเข้าไปเฝ้า ในเวลานน้ั คงจะทรงพระโศกาดรู แรงกลา้ นา่ กลวั พระโรคจะกลบั กำเรบิ ขน้ึ เหน็ ควรจะระวงั รกั ษาอยา่ ให้ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ ฯ มภี ยั อนั ตรายจะดกี วา่ จงึ พรอ้ มกนั หา้ มเสยี ไมใ่ หไ้ ปทลู ใหท้ ราบพระราชประสงค์ และให้กราบทูลพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอฯ พระอาการ คอ่ ยคลายแลว้ แตพ่ ระกำลงั ยงั นอ้ ยนกั เสนาบดปี รกึ ษากนั เหน็ วา่ ยงั จะเชญิ เสดจ็ มาเฝา้ ไมไ่ ด้ ๑ ตรงกับวันพุธที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๑ * ขา้ พเจา้ เคยไดย้ นิ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ดำรสั เลา่ ตรงกนั ๒ ตรงกบั วนั พฤหสั บดที ่ี ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ๓ ตรงกบั วนั ศกุ รท์ ่ี ๒ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๑๑

จดหมายเหตเุ มอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคต ๓๙๙ ใน วนั พธุ เดอื น ๑๑ ขน้ึ ๑๔ คำ่ ๑ นน้ั จงึ มรี บั สง่ั ใหห้ าพระยาสรุ วงศว์ ยั วฒั น์ * จางวางมหาดเลก็ เขา้ ไปเฝา้ พรอ้ มกบั พระยาบรุ ษุ ฯ ดำรสั ถามพระยาสรุ วงศว์ ยั วฒั น์ วา่ พระอาการสมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอฯ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรบ้าง พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์กราบบังคมทูลว่าพระอาการค่อยคลายขึ้นแล้ว ตรัสถาม ต่อไปว่าการแผ่นดินเดี๋ยวนี้จัดกันอย่างไร พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์กราบบังคมทูล ว่าเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ผบู้ ดิ าเหน็ วา่ อาการทท่ี รงพระประชวรมาก ไดป้ รกึ ษากบั พระราชวงศแ์ ละขา้ ราชการผใู้ หญเ่ หน็ พรอ้ มกนั วา่ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพินิตประชานาถเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ควรจะรับ สิริราชสมบัติสืบสนองพระองค์ต่อไป เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงได้สั่งให้เจ้าพนักงานตั้งกองล้อมวง ท่พี ระตำหนกั สวนกหุ ลาบหลายเวลามาแลว้ มพี ระราชดำรสั วา่ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอฯ พระชนั ษายงั เยาว์ จะทรงบงั คบั บญั ชาราชการแผน่ ดนิ อยา่ งไรได้ เกรงจะทำการไปไมต่ ลอด เจา้ นายผใู้ หญท่ ท่ี รงพระสตปิ ญั ญา กม็ อี ยมู่ าก พระองคใ์ ดควรจะวา่ ราชการแผน่ ดนิ ได้ จะเลอื กพระองคน์ น้ั กค็ วร อยา่ ใหเ้ กดิ เปน็ ภยั อนั ตราย แก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอฯ ซึ่งยังทรงพระเยาว์อยู่ พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์กราบบังคมทูลว่า ถ้าไม่ยกสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ฯ ขึ้นครองราชสมบัติ น่ากลัวจะมีเหตุร้ายไปภายหน้า ด้วยคนทั้งหลาย ตลอดจนชาวนานาประเทศก็นิยมนับถือสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพินิตประชานาถ ว่าเป็นรัชทายาท แม้สมเด็จพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ เอมปเรอฝรั่งเศส๒ ก็ได้มีพระราชสาส์นทรงยินดี ประทานพระแสงมจี ารกึ ยกยอ่ งพระเกยี รตยิ ศเปน็ รชั ทายาทมาเปน็ สำคญั ถา้ ไมย่ กสมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพินิตประชานาถ ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป การภายหน้าเห็นจะไม่ปกติเรียบร้อยได้ มีพระราชดำรัสว่าเมื่อเห็นพร้อมกันเช่นนั้นก็ตามใจ แล้วทรงชี้แจงต่อไปถึงครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มิได้มีรับสั่งให้หาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ เข้าไปทรงฝากฝังสั่งเสีย ราชการแผ่นดิน รับสั่งให้หาแต่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์แต่ยังเป็นจางวางมหาดเล็กเข้าไปทรงสั่ง ครั้งนี้ พระองค์ทรงประพฤติตามแบบอย่างพระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมิได้มีรับสั่งให้หา เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เข้ามาสั่งเสีย ให้พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์เป็นผู้รับสั่ง เมื่อจะขัดขวางอย่างใดก็จง ปรึกษากับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ผู้เป็นบิดาเถิด ไหน ๆ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ฯ ก็ได้เป็นเขย การที่ *๑ ตรงกบั วนั พธุ ท่ี ๓๐ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๑๑ พระยาสรุ วงศว์ ยั วฒั น์ (วร) เปน็ บตุ รเจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศ์ ตอ่ มาในรัชกาลที่ ๕ ไดเ้ ปน็ เจา้ พระยาสรุ วงศว์ ยั วฒั น์ ทีส่ มหุ พระกลาโหม เวลานั้นธิดาของเจ้าพระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ คือเจ้าคุณพระประยูรวงศ ์เป็นอัครบริจาริกาในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพินิตประชานาถ ๒ หรอื เรยี กกนั วา่ Louis - Napolean มพี ระนามเตม็ วา่ Charles - Louis - Napolean Bonaparte เปน็ จกั รพรรดขิ องราชอาณาจกั ร ฝรง่ั เศสระหว่าง พ.ศ. ๒๓๙๕ - ๒๔๑๓

๔๐๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ปรึกษาเห็นพร้อมกันว่าจะให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ฯ ครองราชสมบัติต่อไปนั้นขอทรงฝากฝัง ให้ช่วยกันทำนุบำรุงให้ดีอย่าให้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นได้ การเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ถ้าไม่ระวังให้ดี อาจจะ เกิดรบพุ่งฆ่าฟันกัน ต้องระวังอย่าให้มีเหตุเช่นพระเสนหามนตรี* ถ้าเกิดเหตุขึ้นเช่นนั้นจะอายเขา พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์กราบบังคมทูลฯ รับว่าจะไปคิดอ่านกับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ผู้บิดาสนองพระเดช พระคณุ มใิ หเ้ กดิ เหตกุ ารณข์ น้ึ ได้ ถึงวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ๑ เวลา ๕ โมงเช้า ดำรัสสั่งใหพ้ ระยาบุรุษ ฯ ออกไป เชิญเสด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ที่สมุหพระกลาโหม เจ้าพระยาภูธราภัยที่สมุหนายก เข้าไปเฝ้าถึงข้างที่พระบรรทม มีพระราชดำรัสว่าเห็นจะเสด็จสวรรคต ในวันนั้น ท่านทั้ง ๓ กับพระองค์ได้ทำนุบำรุงประคับประคองกันมา บัดนี้กาละจะถึงพระองค์แล้ว ขอลาทา่ นทง้ั หลายในวนั น้ี ขอฝากพระราชโอรสธดิ าอยา่ ใหม้ ภี ยั อนั ตรายหรอื เปน็ ทก่ี ดี ขวางในการแผน่ ดนิ ถ้าจะมีความผิดสิ่งไรเป็นข้อใหญ่ ขอแต่ชีวิตไว้ให้เป็นแต่โทษเนรเทศ ขอให้ท่านทั้ง ๓ จงเป็นที่พึ่งแก่ พระราชโอรสธดิ าตอ่ ไปดว้ ยเถดิ ทา่ นทง้ั ๓ เมอ่ื ไดฟ้ งั กพ็ ากนั รอ้ งไหส้ ะอกึ สะอน้ื อาลยั จงึ ดำรสั หา้ มวา่ อยา่ รอ้ งไห้ ความตายไมเ่ ปน็ อศั จรรยอ์ นั ใด ยอ่ มมยี อ่ มเปน็ เหมอื นกนั ทกุ รปู ทกุ นาม ผดิ กนั แตท่ ต่ี ายกอ่ น และตายทีหลัง แต่ก็อยู่ในต้องตายเหมือนกันทั้งสิ้น บัดนี้เมื่อกาละมาถึงพระองค์เข้าแล้ว จึงได้ลา ท่านทั้งหลาย แล้วมีพระราชดำรัสต่อไปว่า มีพระราชประสงค์จะรับสั่งด้วยราชการแผ่นดิน แต่จะทรง สมาทานเบญจศีลเสียก่อน ครั้นทรงสมาทานศีลแล้ว ตรัสภาษาอังกฤษหลายองค์ แล้วจึงมี พระราชดำรสั วา่ ทพ่ี ดู ภาษาองั กฤษนเ้ี พอ่ื จะใหท้ า่ นทง้ั หลายเหน็ วา่ สตสิ มั ปชญั ญะยงั เปน็ ปกติ ถงึ ภาษาอน่ื มิใช่ภาษาของตนก็ยังทรงจำได้ด้วยสติยังดีอยู่ ท่านทั้งปวงจะได้สำคัญในข้อความที่จะสั่งว่ามิได้สั่ง โดยฟน่ั เฟอื น เมอ่ื ตรสั ประภาษดงั นแ้ี ลว้ จงึ มพี ระราชดำรสั ตอ่ ไป วา่ ทา่ นทง้ั ๓ กบั พระองคไ์ ดช้ ว่ ยกนั ทำนุบำรุงแผ่นดินมาได้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดมาจนถึงเวลาสิ้นพระชนมายุ ถ้าสิ้นพระองค์ล่วงไปแล้ว * เหตุเรื่องพระเสนหามนตรีนั้น คือเมื่อเจ้าพระยานคร(น้อยกลาง) ถึงอสัญกรรมในรัชกาลที่ ๔ พระเสนหามนตรี (หนูพร้อม) ผู้เป็นบุตรใหญ่อายุยังเยาว์ยังไม่ได้บวช มีผู้ซึ่งเป็นเชื้อวงศ์เจ้าพระยานคร(น้อย) คิดปรารถนาจะเป็นพระยานครศรีธรรมราชหลายคน แต่พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริจะโปรดฯ ให้พระเสนหามนตรีเป็นพระยานครฯ จึงยังรอการตั้งพระยานครไว้ ครน้ั พระเสนหามนตรมี อี ายคุ รบอปุ สมบทเขา้ มาบวชอยวู่ ดั พชิ ยั ญาตกิ าราม เมอ่ื ปเี ถาะ พ.ศ. ๒๔๑๐ คนื วนั หนง่ึ พระเสนหามนตรไี หวพ้ ระอยใู่ น กฏุ ิ มผี รู้ า้ ยเอาปนื ยงิ เขา้ ไปในทางชอ่ งฝา บงั เอญิ ปนื ลน่ั ออกเมอ่ื ขณะพระเสนหามนตรกี ราบพระ กระสนุ ปนื ขา้ มไปจงึ ไมถ่ กู การไตส่ วนตอ่ มา ก็ไม่ได้ตัวผู้ร้าย พอพระเสนหามนตรีลาสิกขาบท ก็ทรงตั้งให้เป็นพระยานครฯ พระยานคร(หนูพร้อม) อยู่มาจนชรา ได้เลื่อนเป็น เจา้ พระยาสธุ รรมมนตรเี มื่อในรัชกาลที่ ๕ ๑ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑

จดหมายเหตเุ มอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคต ๔๐๑ ขอให้ท่านทั้งปวงจงช่วยกันทำนุบำรุงแผ่นดินต่อไปให้เรียบร้อย ให้สมณพราหมณ์อาณาประชาราษฎร ได้พึ่งอยู่เย็นเป็นสุขทั่วกัน ขอให้ทูลพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ให้เอาเป็นพระธุระรับฎีกาของ ราษฎรอันมีทุกข์ร้อนให้ร้องได้สะดวกเหมือนพระองค์ได้ทรงเป็นพระธุระรับฎีกามาแต่ก่อน* อนึ่ง ผซู้ ง่ึ จะเปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ สบื พระบรมราชวงศไ์ ปภายหนา้ นน้ั ใหป้ รกึ ษากนั เลอื กดแู ตท่ ส่ี มควร จะเปน็ พระเจ้าน้องยาเธอก็ตาม พระเจ้าลูกยาเธอหรือพระเจ้าหลานเธอก็ตาม เมื่อปรึกษาเห็นพร้อมกันว่า พระองค์ใดมีปรีชาสามารถควรจะรักษาแผ่นดินได้ ก็จงยกย่องพระองค์นั้นขึ้นจะได้ทำนุบำรุงแผ่นดิน ให้พระราชวงศานุวงศ์ข้าราชการและอาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขต่อไป อย่าได้หันเหียนเอาตาม เห็นว่าจะชอบพระราชหฤทัยเป็นประมาณเลย เอาแต่ความดีความเจริญของบ้านเมืองเป็นประมาณเถิด มีพระราชดำรัสสั่งดังนี้แล้ว ก็มิได้ตรัสสั่งถึงราชการแผ่นดินอีกต่อไป เวลาเย็นวันนั้นได้ทรง พระราชนิพนธ์คำขอขมาและลาพระสงฆ์โดยภาษาบาลีแล้วทรงพระปริวิตกว่าพระองค์ทรงพระประชวร พระอาการมากถึงเพียงนั้น พระสติสัมปชัญญะจะฟั่นเฟือนไป จึงมีรับสั่งให้หาพระศรีสุนทรโวหาร ฟัก เปรียญ เข้าไปเฝ้าที่ข้างที่พระบรรทมท่องพระราชนิพนธ์ให้ฟัง แล้วตรัสถามว่ายังทรงภาษาบาลี ถูกต้องอยู่หรือประการใด พระศรีสุนทรโวหารกราบทูลว่า ยังถูกต้องจะหาวิปลาสแต่แห่งใดนั้นมิได้ จงึ มรี บั สง่ั ใหพ้ ระศรสี นุ ทร ฯ เขยี นพระราชนพิ นธน์ น้ั ดงั ตอ่ ไปน้ี พระราชนพิ นธข์ มาพระสงฆ์ ยกเฺ ฆ ภนเฺ ต สงโฺ ฆ ชานาตุ มยหฺ ํ ภกิ ขฺ กุ าเล ปนุ ปปฺ นุ ํ เอสา วาจา ภาสติ า ยโตหํ มหาปวารณาย ชาโต กาลํ กรุ มุ าโน สเจ มหาปวารณาทวิ เส พาฬหฺ คลิ าโน อโุ ปสถาคาเร มหาปวารณาสนนฺ ปิ าตํ นโี ต ตถารเู ปน พเลน สมนนฺ าคโต ยถารเู ปน พเลน สงฆฺ ํ เตวาจกิ ํ ปวาเรตวฺ า สงฆฺ สสฺ สมมฺ ขุ า กาลํ กเรยยฺ ํ ตํ สาธวุ ตสสฺ ตํ เม อนรุ ปู ํ อสสฺ อติ ิ เอวรปู ี วาจา ปนุ ปปฺ นุ ํ ภกิ ขฺ กุ าเล ภาสติ า อทิ านมหฺ ิ คหฎโฺ ฐ กยฺ าหํ กาหามิ เตนาหํ อเิ ม สกกฺ าเร วหิ ารํ ปหนิ ามิ อเิ มหิ สกกฺ าเรหิ มหาปวารณากมมฺ ํ กโรนตฺ ํ สงฆฺ ํ ธมมฺ เมว ปเู ชมิ อตตฺ านํ วยิ กตวฺ า อยํ มหาปวารณา ครุ วุ ารกิ า ยถา มม ชาตทวิ โส อาพาโธ เม * ประเพณีราษฎรถวายฎีกามาแต่ก่อน เป็นที่เข้าใจกันว่าถ้าใครมีความทุกข์ร้อนให้เข้าไปตีกลองใบ ๑ ซึ่งแขวนไว้ที่ทิมดาบกรมวัง เมอ่ื เสยี งกลองถงึ พระกรรณกโ็ ปรดฯ ให้ราชบรุ ษุ ออกมารบั ฎกี า เรยี กกันวา่ ”ตกี ลองรอ้ งฎกี า” เหน็ จะเปน็ ประเพณมี าแตโ่ บราณ แตต่ ามการ ที่เป็นจริงไม่ใคร่มีใครกล้าเข้าไปตีกลองร้องฎีกา ถ้ามีทุกข์ร้อนจะถวายฎีกา ก็ถวายในเวลาเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปยังที่ไหน ๆ นอกพระราชวงั เมอ่ื ในรัชกาลท่ี ๓ มใิ ครจ่ ะมเี วลาเสดจ็ ไปไหน ราษฎรทถ่ี กู ผมู้ อี ำนาจกดขข่ี ม่ เหงจะถวายฎกี าไดด้ ว้ ยยาก พระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบพฤติการณ์อันนี้มาแต่พระองค์ยังทรงผนวชอยู่ ครั้นเสด็จผ่านพิภพ จึงเอาพระราชหฤทัยใส่ที่จะเสด็จออก พระราชทานโอกาสให้ราษฎรถวายฎีกาได้โดยสะดวกมาตลอดรัชกาล

๔๐๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ อภวิ ฑฒฺ ติ เอวํ ภายามิ อชชฺ กาลํ กเรยยฺ ํ อาปจุ ฉฺ ามหํ ภนเฺ ต สงฆฺ ํ จริ ปรนิ พิ พฺ ตุ มปฺ ิ ตํ ภควนตฺ ํ อภวิ าเทมิ อรหนตฺ ํ สมมฺ าสมพฺ ทุ ธํ ตสสฺ ธมมฺ ํ นมสสฺ ามิ อรยิ ญจฺ สงฆฺ ํ นมามิ ยมหํ รตนตตฺ ยํ สรณํ คโตมหฺ ิ อจจฺ โย มํ ภนเฺ ต อจจฺ คคฺ มา ยถาพาลํ ยถามฬุ หฺ ํ ยถาอกสุ ลํ โยหํ ภนเฺ ต อมิ สมฺ ึ อตตฺ ภาเว ตถา ตถา ปมตโฺ ต อกสุ ลานิ กมมฺ านิ อกาสึ ตสสฺ เม ภนเฺ ต สงโฺ ฆ อจจฺ ยํ อจจฺ ยโต ปฏคิ คฺ ณหฺ ตุ อายตึ สวํ ราย อทิ านิ มยา ปญจฺ สุ สเี ลสุ สวํ ราธฏิ ฐฺ านํ กตํ ตสสฺ มยหฺ ํ เอวรโู ป มนสกิ าโร อนฏุ ฐฺ หยิ ติ สิกฺขิยติ ปญฺจสุ ขนฺเธสุ ฉสุ อชฺฌตฺติเกสุ อายตเนสุ ฉสุ พาหิเรสุ อายตเนสุ ฉสุ วิญฺญาเณสุ ฉสุ สมฺผสฺเสสุ ฉสุ ฉทฺวาริเกสุ เวทนาสุ นตฺเถตํ โลกสฺมึ ยํ อุปาทิยมานํ อนวชฺชํ อสฺส ยํ วา ปรุ โิ ส อปุ าทยิ นโฺ ต อนวชชฺ วา อสสฺ อนปุ าทานํ สกิ ขฺ ามิ สพเฺ พ สขํ ารา อนจิ จฺ า สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ า ยถาปจจฺ ยํ ปวตตฺ นตฺ ิ เนตํ มม เนโสหมสมฺ ิ น เม โส อตตฺ า อติ ิ ยํ ยํ มรณํ สตตฺ านํ ตํ อนจฉฺ รยิ ํ ยโต เยตํ สพเฺ พสํ มคโฺ ค อปปฺ มตตฺ า โหนตฺ ุ ภนเฺ ต อาปจุ ฉฺ ามิ วนทฺ ามิ ยํ เม ปราธํ สพพฺ ํ เม สงโฺ ฆ ขมต.ุ อาตรุ สมฺ ปึ ิ เม กาเย จติ ตฺ ํ น เหสสฺ ตาตรุ ํ เอวํ สกิ ขฺ ามิ พทุ ธฺ สสฺ สาสนานคุ ตึ กร.ํ คำแปลพระราชนพิ นธข์ มาสงฆ์ * ขอเตือนสงฆ์จงรู้ เมื่อครั้งดีฉันเป็นภิกษุอยู่ ดีฉันได้กล่าววาจานี้เนือง ๆ ว่า เพราะดีฉัน ไดเ้ กดิ แลว้ ในวนั มหาปวารณา เมอ่ื จะทำกาละ ถา้ ในวนั มหาปวารณาปว่ ยหนกั ลง ภกิ ษสุ ามเณรชว่ ยนำ ไปยังที่สงฆ์ประชุมทำมหาปวารณา ณ โรงอุโบสถ ประกอบไปด้วยกำลังเช่นนั้น ด้วยกำลังเช่นใดเล่า ดฉี นั จะพงึ ปวารณากะสงฆถ์ ว้ นกำหนดสามคำไดแ้ ลว้ ทำกาละ ณ ทเ่ี ฉพาะหนา้ สงฆ์ ความทด่ี ฉี นั ทำได้ ดังนี้จะเป็นกรรมดีเทียวหนอ ความทำได้ดังนี้จะเป็นกรรมสมควรแก่ดีฉันเทียวหนอ วาจาเช่นนี้ ดฉี นั ไดก้ ลา่ วแลว้ เนอื ง ๆ เมอ่ื ครง้ั เปน็ ภกิ ษุ บดั นด้ี ฉี นั เปน็ คฤหสั ถเ์ สยี แลว้ จกั ทำอะไรได้ เพราะเหตนุ น้ั ดฉี นั จงึ สง่ เครอ่ื งสกั การะเหลา่ นไ้ี ปยงั วหิ ารบชู าสงฆซ์ ง่ึ ทำปวารณากรรมกบั ทง้ั พระธรรม ดว้ ยเครอ่ื งสกั การะ * คำแปลนแ้ี ปลขน้ึ ภายหลงั

จดหมายเหตเุ มอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคต ๔๐๓ เหล่านี้ทำให้เป็นประหนึ่งตน วันมหาปวารณาวันนี้ก็เป็นวันพฤหัสบดี เช่นกับวันดีฉันเกิดเหมือนกัน อาพาธของดีฉันก็เจริญกล้า ดีฉันกลัวอยู่ว่าจะทำกาลเสีย ณ เวลาวันนี้ ดีฉันขอลาพระสงฆ์ อภิวาท พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธ แม้ปรินิพพานแล้วนาน นมัสการพระธรรม นอบน้อมพระอริยสงฆ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดีฉันได้ถึงพระรัตนตรัยไรเล่าว่าเป็น สรณะทพ่ี ง่ึ โทษลว่ งเกนิ ไดเ้ ปน็ ไปลว่ งดฉี นั ผพู้ าลอยา่ งไร ผหู้ ลงอยา่ งไร ผไู้ มฉ่ ลาดอยา่ งไร ดฉี นั ผใู้ ด ไดป้ ระมาทไปแลว้ ดว้ ยประการนน้ั ๆ ทำอกศุ ลกรรมไวแ้ ลว้ ณ อตั ภาพน้ี พระสงฆจ์ งรบั โทษทเ่ี ปน็ ไปลว่ ง โดยความเปน็ โทษเปน็ ไปลว่ งจรงิ ของดฉี นั ผนู้ น้ั เพอ่ื สำรวมระวงั ตอ่ ไป บัดนี้ดีฉันได้ทำความอธิษฐานการสำรวมในศีลห้าแล้ว มนสิการความทำในใจเช่นนี้ดีฉันได้ ให้เกิดขึ้นศึกษาอยู่ในขันธ์ทั้ง ๕ อายตนภายใน ๖ อายตนภายนอก ๖ วิญญาณ ๖ สัมผัส ๖ เวทนาที่เป็นไปในหกทวาร ๖ สิ่งใดที่สัตว์มาถือเอามั่นจะพึ่งเป็นของหาโทษมิได้ อนึ่งบุรุษมายึดมั่น สิ่งไรไว้จะเป็นผู้หาโทษมิได้ สิ่งนั้นไม่มีเลยในโลก ดีฉันมาศึกษาการไม่ยึดมั่นอยู่ว่าสังขารทั้งหลาย ทง้ั ปวงไมเ่ ทย่ี ง ธรรมทง้ั หลายทง้ั ปวงใชต่ วั ตน ยอ่ มเปน็ ไปตามปจั จยั สง่ิ นน้ั ใชข่ องเรา สว่ นนน้ั ไมเ่ ปน็ เรา ส่วนนั้นมิใช่ตัวตนของเรา ดังนี้ ความตายใด ๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ความตายนั้นไม่น่าอัศจรรย์ เพราะความตายนั้นเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งหลาย ขอพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นผู้ไม่ประมาทแล้วเถิด ดีฉัน ขอลา ดฉี นั ไหว้ สง่ิ ใดดฉี นั ไดผ้ ดิ พลง้ั สงฆจ์ งอดสง่ิ ทง้ั ปวงนน้ั แกด่ ฉี นั เถดิ เมอ่ื กายของดฉี นั แมก้ ระสบั กระสา่ ยอยู่ จติ ของดฉี นั จกั ไมก่ ระสบั กระสา่ ย ดฉี นั มาทำความไปตามคำสง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ ศกึ ษาอยดู่ ว้ ยประการดงั น้ี ฯ แล้วโปรดฯ ให้พระศรีสุนทรโวหาร เชิญพระราชนิพนธ์นี้ไปพร้อมด้วยเครื่องสักการะ ไปอ่านใน ที่ประชุมพระสงฆ์ มีกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ ๑ เป็นประธาน ที่ในพระวิหารหลวงวัดราชประดิษฐ์ เมอ่ื เวลาคำ่ กอ่ นพระสงฆท์ ำพธิ ปี วารณา พอถงึ เวลา ๙ นาฬกิ า พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว เสดจ็ สวรรคต ณ พระทน่ี ง่ั ภาณมุ าศจำรญู จดหมายเหตทุ รงพระประชวร ยงั มคี วามขอ้ อน่ื อกี ปรากฏ อยู่ในท้ายพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๔ คัดเนื้อความมากล่าวไว้ในที่นี้เฉพาะแต่ข้อความอันเกี่ยวเนื่อง ดว้ ยเรอ่ื งพระราชพงศาวดารรชั กาลท่ี ๕ ๑ ต่อมาได้ทรงรับมหาสมณุตมาภิเษกเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ดำรงพระเกียรติยศเป็นสมเด็จ พระมหาสังฆปรินายกทั่วทั้งพระราชอาณาเขต ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงผนวชเป็นสามเณรมา ตง้ั แตค่ รง้ั รชั กาลท่ี ๒ และทรงดำรงอยใู่ นสมณเพศตลอดพระชนมช์ พี

๔๐๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เมื่อพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ก็สั่งให้เจ้าพนักงานล้อมวงรักษาพระราชมนเทียรทั้งข้างหน้าข้างใน แล้วสั่งให้นิมนต์พระสงฆ์ ราชาคณะฐานานุกรมรวม ๒๕ รูป มีกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์เป็นหัวหน้ามานั่งเป็นประธาน ในทป่ี ระชมุ พระราชวงศานวุ งศแ์ ละขา้ ราชการผใู้ หญ่ ซง่ึ ประชมุ กนั อยใู่ นพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม พระราชวงศานุวงศ์ซึ่งประทับอยู่ในที่ประชุมเวลานั้น พระเจ้าน้องยาเธอ ๗ พระองค์ คือ ๑ กรมหลวงเทเวศรว์ ชั รนิ ทร์ ๑ ๒ กรมหลวงวงศาธริ าชสนทิ ๒ ๓ กรมหมน่ื ถาวรวรยศ๓ ๔ กรมหมน่ื วรศักดาพิศาล๔ ๕ กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ ๕ ๖ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ๗ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนบำราบปรปักษ์ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ ๖ พระองค์* คือ ๑ กรมหมื่นภูมินทรภักดี๖ ๒ กรมหมน่ื อดลุ ยลกั ษณสมบตั ิ๗ ๓ กรมหมน่ื ภบู ดรี าชหฤทยั ๘ ๔ กรมหมน่ื ภวู นยั นฤเบนทราธบิ าล๙ ๕ กรมหมน่ื อกั ษรสารโสภณ๑๐ ๖ กรมหมน่ื เจรญิ ผลพลู สวสั ด์ิ ๑๑ พระเจา้ บวรวงศเ์ ธอ ๓ พระองค์ คอื ๑ กรมหมน่ื บวรรงั ษสี รุ ยิ พนั ธ์ุ ๒ กรมหมน่ื อนนั ตการฤทธ์ิ ๑๒ ๓ กรมหมน่ื สทิ ธสิ ขุ มุ การ ๑๓ นอกจากน้ี พระเจ้าลูกยาเธอที่เป็นชั้นใหญ่ที่ทรงผนวชเป็นสามเณรอยู่ ๗ พระองค์ คือ ๑ พระองค์เจ้า กฤษฎาภินิหาร๑๔ ๒ พระองค์เจ้าคัคณางคยุคล๑๕ ๓ พระองค์เจ้าสุขสวัสดิ์ ๑๖ ๔ พระองค์เจ้า ๑ ตอ่ มาทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระเทเวศรว์ ชั รนิ ทร์ ทรงกำกบั กรมชา่ งทอง และวา่ ความศาลราชตระกลู ๒ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงวงศาธริ าชสนทิ ทรงกำกบั กรมหมอ กำกับราชการมหาดไทย วา่ พระคลงั สนิ คา้ และเปน็ ที่ปรึกษา ราชการแผ่นดิน ๓ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ถาวรวรยศ ว่ากรมฝีพายและชา่ งเหลารางปนื ๔ ตอ่ มาทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงวรศกั ดาพศิ าล วา่ กรมกองแกว้ จินดาและกรมชา่ งหลอ่ *๕ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ภบู าลบรริ กั ษ์ วา่ กรมพระอาลกั ษณ์ เมื่อในรัชกาลที่ ๔ โปรดฯ ให้ใช้คำนำพระเจ้าลูกเธอ ในพระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พง่ึ มาเปลย่ี นเปน็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอชน้ั ๓ และใชค้ ำนำพระนามเจา้ นายวงั หนา้ วา่ ราชวรวงศ์ เมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๖ ๖ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ภมู นิ ทรภกั ดี ทรงกำกับกรมชา่ งสบิ หมู่ ๗ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื อดลุ ยลกั ษณสมบตั ิ ทรงกำกับกรมแสงและกรมชา่ งศลิ า ๘ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ภบู ดรี าชหฤทยั ทรงกำกบั กรมอกั ษรพมิ พการ ๙ ตอ่ มาทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมขนุ ภวู นยั นฤเบนทราธบิ าล ในรชั กาลท่ี ๔ ทรงกำกับชา่ งทำการ ๑๐ ตอ่ มาทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงบดนิ ทรไพศาลโสภณ ฯ ในรัชกาลที่ ๔ ทรงกำกับกรมพระอาลกั ษณ์ ๑๑ ต่อมาทรงได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนเจริญผลพูลสวัสดิ ทรงกำกับมหาดเล็กช่างกระดาษ ช่างเขียนผู้หญิง และคลังพิมานอากาศ ๑๒ ตอ่ มาทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ พระเจา้ ราชวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ยคุ นั ธร ว่ากรมชา่ งทหารในญวน ๑๓ พระเจา้ ราชวรวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื สทิ ธสิ ขุ มุ การ ทรงบงั คบั การโรงทอง ๑๔ ตอ่ มาทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระนเรศรว์ รฤทธ์ิ ๑๕ ตอ่ มาทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงพชิ ติ ปรชี ากร ๑๖ ตอ่ มาทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงอดศิ รอดุ มเดช

จดหมายเหตเุ มอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคต ๔๐๕ ทวถี วลั ยลาภ๑ ๕ พระองคเ์ จา้ ทองกองกอ้ นใหญ่ ๒ ๖ พระองคเ์ จา้ เกษมสนั ตโสภาคย์ ๓ ๗ พระองคเ์ จา้ กมลาศเลอสรรค์ ๔ เจ้านายทั้งปวงนี้เวลาประชุมประทับทางด้านตะวันตก แต่ตรงหน้าพระแท่น เศวตฉัตรเรียงไปข้างด้านเหนือ ข้างด้านเหนือพระสงฆ์นั่ง กรมหมื่นบวรรังษี ฯ ประทับเป็นประธาน อยู่ข้างหน้า ส่วนพระสงฆ์ที่มานั่งในที่ประชุมนั้น มีพระราชาคณะ ๒ รูป คือ พระสาสนโสภณ (สา) วดั ราชประดษิ ฐ์ ๑ พระอมรโมลี (นพ) วดั บบุ ผาราม ๑ นอกนน้ั เปน็ ฐานานกุ รมและเปรยี ญ ลว้ นคณะ ธรรมยุติกาที่มาประชุมฟังพระอาการอยู่ทีว่ ัดราชประดิษฐ์ทุก ๆ วัน* สังฆการีไปนิมนต์จึงได้มาพร้อมกัน โดยเร็ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สั่งให้นิมนต์พระราชาคณะฝ่ายมหานิกายด้วย แต่มาไม่ทันประชุม ส่วนขุนนางนั้นนั่งด้านตะวันออก จางวางมหาดเล็กอยู่ทางด้านใต้ ขุนนางผู้ใหญ่ที่เข้าประชุมเวลานั้น ข้าราชการฝ่ายพระบรมมหาราชวัง คือ ๑ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ที่สมุหพระกลาโหม ๒ เจา้ พระยาภธู ราภยั (นชุ บณุ ยรตั พนั ธ)์ุ ท่ีสมหุ นายก ๓ พระยามหาอำมาตย์ (ลมง่ั สนธริ ตั น)์ ๔ พระยา ราชภักดี (ช้าง เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ๕ พระยาศรีพิพัฒน์ (แพ บุนนาค) ๖ พระยาเพชรพิชัย (หนู เกตทุ ตั ) ๗ พระยาสหี ราชเดโช (พณิ ) ๘ พระยาสหี ราชฤทธไิ กร (บวั ) ๙ พระยาราชวรานกุ ลู (บญุ รอด กลั ยาณมติ ร) ๑๐ พระยาเทพประชนุ (ทว้ ม บนุ นาค)** ๑๑ พระยาอภยั รณฤทธ์ิ (เฉย ยมาภยั ) ๑๒ พระยาอนชุ ติ ชาญชยั (อนุ่ ) ๑๓ พระยาสรุ วงศว์ ยั วฒั น์ (วร บนุ นาค) ๑๔ พระยาบรุ ษุ รตั นราชพลั ลภ (เพ็ง เพ็ญกุล) ๑๕ พระยาศรีเสาวราช (ภู่) ข้าราชการผู้ใหญ่ฝ่ายพระบวรราชวัง ๑๖ เจ้าพระยา มขุ มนตรี (เกต สงิ หเสน)ี ๑๗ พระยามณเฑยี รบาล (บวั ) ๑๘ พระยาเสนาภเู บศ (กรบั บณุ ยรตั พนั ธ)์ุ ๑๙ พระยาศิริไอศวรรย์ ๒๐ พระยาสุรินทรราชเสนี (ชื่น กัลยาณมิตร)*** นอกจากขุนนางผู้ใหญ่ ยงั มเี จา้ กรมปลดั กรมตำรวจขดั กระบน่ี ง่ั ประจำอยขู่ า้ งหลงั เสนาบดขี า้ งมขุ ตะวนั ออกอกี หลายคน แตไ่ มไ่ ดม้ ี หนา้ ทใ่ี นการประชมุ พอเวลาเที่ยงคืนที่ประชมุ พรอ้ มแล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศล์ ุกขึ้นนั่งคุกเข่าประสานมือ หันหน้า ไปทางเจ้านายกล่าวในท่ามกลางประชุม ว่าด้วยพระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหามงกฎุ ฯ พระจอมเกลา้ ๑ ต่อมาทรงได้รับสถาปนาเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ ๒ ตอ่ มาทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงประจกั ษศ์ ลิ ปาคม ๓ ต่อมาทรงได้รับสถาปนาเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ ๔ ตอ่ มาทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ราชศกั ดส์ิ โมสร * ดว้ ยเปน็ สานศุ ษิ ยข์ องพระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เพราะพระองคท์ รงตง้ั ลทั ธธิ รรมยตุ กิ าแตเ่ ดมิ มา ** คือเจ้าพระยาภาณุวงศ์ ท่านว่าตัวท่านก็ได้อยู่ในที่ประชุมแต่ในจดหมายเหตุอาลักษณ์หาปรากฏชื่อไม่ *** เสนาบดที ม่ี ตี วั อยแู่ ตม่ ไิ ดป้ รากฏวา่ ไดอ้ ยใู่ นทป่ี ระชมุ ๓ คน คอื เจา้ พระยายมราช ( แกว้ สงิ หเสนี ) เห็นจะป่วย เจา้ พระยาธรรมา (บญุ ศรี ตน้ สกลุ บรุ ณศริ )ิ เจา้ พระยาพลเทพ (หลง) ชราทพุ พลภาพทงั้ ๒ คน

๔๐๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเมื่อเวลายาม ๑ บัดนี้แผ่นดินว่างอยู่ การสืบพระบรมราชสันตติวงศ์ ตามราชประเพณีเคยมีมาแต่ก่อนนั้น เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจะเสด็จ สวรรคต ได้ทรงมอบราชสมบัติพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล คือพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย จะสวรรคต ไม่ได้ทรงสั่งมอบราชสมบัติแก่เจ้านายพระองค์ใด ด้วยอาการพระโรคตัดตรัสสั่งไม่ได้ เสนาบดีจึงพร้อมกันถวายราชสมบัติแก่พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้นเมื่อพระบาท สมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จสวรรคต มีรับสั่งคืนราชสมบัติแก่เสนาบดีตามแต่จะปรึกษา กันให้เจ้านายพระองค์ใดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดีปรึกษากันถวาย ราชสมบัติแด่พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรอยู่ได้มีรับสั่งให้หากรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ และเจ้าพระยาภูธราภัยเข้าไปเฝ้า พระราชทานพระบรมราชานุญาตไว้ ว่าผู้ที่จะดำรงรักษาแผ่นดิน ต่อไปนั้น ให้พระราชวงศานุวงศ์และข้าราชการปรึกษาหารือ สุดแต่จะเห็นพร้อมกันว่าพระราชวงศ์ พระองค์ใดจะเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ หรือพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าหลานเธอ ซึ่งทรงพระสติปัญญา รอบรู้สรรพสิ่งทั้งปวงสมควรจะปกป้องสมณพราหมณาจารย์อาณาประชาราษฎรได้ ก็ให้ยกพระราชวงศ์ พระองค์นั้นขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์มิได้ทรงรังเกียจ บัดนี้ท่านทั้งหลายทั้งปวงบรรดาอยู่ในที่ ประชุมนี้ จะเห็นว่าเจ้านายพระองค์ใดสมควรจะเป็นที่พึ่งแก่พระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการและอาณา ประชาราษฎรดบั ยคุ เขญ็ ไดก้ ใ็ หว้ า่ ขน้ึ ในทา่ มกลางประชมุ น้ี อยา่ ไดม้ คี วามหวาดหวน่ั เกรงขาม ขณะนน้ั พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหลวงเทเวศรว์ ชั รนิ ทร์ ซง่ึ มพี ระชนมายยุ ง่ิ กวา่ พระราชวงศานวุ งศ์ ทั้งปวง จึงเสด็จลุกคุกพระชงฆ์หันพระพักตร์ไปทางข้างตะวันออก ประสานพระหัตถ์ตรัสขึ้นใน ท่ามกลางประชุมว่า พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระเดชพระคุณได้ทรงทำนุบำรุงเลี้ยง พระบรมวงศานุวงศ์และมุขมนตรีผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงมาเป็นอันมาก พระคุณเหลือล้น ไม่มีสิ่งใด จะทดแทนใหถ้ งึ พระคณุ ได้ ขอใหย้ กสมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ จฬุ าลงกรณ์ กรมขนุ พนิ ติ ประชานาถ ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เหมือนหนึ่งได้ทดแทนพระคุณพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กรมหลวงเทเวศรฯ์ ตรสั ดงั นแ้ี ลว้ เจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศจ์ งึ ถามทป่ี ระชมุ เรยี งพระองคเ์ จา้ นาย และเรยี งตวั ขา้ ราชการผใู้ หญ่ แตส่ ว่ นพระถามเฉพาะกรมหมน่ื บวรรงั ษี ฯ พระองคเ์ ดยี ว ถามตง้ั แต่

จดหมายเหตเุ มอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคต ๔๐๗ กรมหลวงวงศาฯ เปน็ ตน้ มา ทกุ พระองคท์ กุ ทา่ นประสานพระหตั ถแ์ ละประสานมอื ยกขน้ึ รบั วา่ “สมควร” เมอ่ื เหน็ ชอบพรอ้ มกนั แลว้ เจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศจ์ งึ อาราธนาพระสงฆส์ วดชยนั โตและถวายอตเิ รก* เมื่อประชุมเห็นพร้อมกันว่า ควรถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขนุ พนิ ติ ประชานาถ แลว้ เจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศจ์ งึ กลา่ วถามตอ่ ไปในทป่ี ระชมุ วา่ เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรอยู่นั้น ท่านได้กราบบังคมทูลฯ ให้ทรงทราบว่าปรึกษากัน จะถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพินิตประชานาถ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รบั สง่ั วา่ ทรงพระวติ กอยู่ ดว้ ยสมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอฯ พระชนั ษายงั ทรงพระเยาว์ จะไม่ทรงสามารถว่าราชการแผ่นดินให้ร่มเย็นเป็นสุขแก่พระราชวงศานุวงศ์ข้าทูลละอองธุลีพระบาท สมณพราหมณาจารยอ์ าณาประชาราษฎรไดด้ งั สมควร พระกระแสทท่ี รงประปรวิ ติ กเชน่ นจ้ี ะคดิ อา่ นกนั อยา่ งไร กรมหลวงเทเวศร์ฯ ตรัสว่า ขอให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ว่าราชการแผ่นดินไปกว่าสมเด็จพระเจ้า ลกู ยาเธอฯ จะทรงผนวชพระ** เจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศถ์ ามความขอ้ นแ้ี กท่ ป่ี ระชมุ กใ็ หอ้ นมุ ตั เิ หน็ สมควร พร้อมกัน เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงว่าส่วนตัวท่านเองนั้นจะรับสนองพระเดชพระคุณโดยเต็มสติปัญญา แต่ในเรื่องการพระราชพิธีต่าง ๆ ท่านไม่สู้เข้าใจ ขอให้เจ้าฟ้า ฯ กรมขุนบำราบปรปักษ์ช่วยในส่วนการ พระราชนเิ วศดว้ ยอกี พระองคห์ นง่ึ ทป่ี ระชมุ กอ็ นมุ ตั เิ หน็ ชอบดว้ ย เมื่อเสร็จการปรึกษาตอนถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพินิต ประชานาถแลว้ เจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศจ์ งึ กลา่ วขน้ึ อกี วา่ แผน่ ดนิ ทล่ี ว่ งแลว้ แตก่ อ่ น ๆ มา มพี ระมหากษตั รยิ ์ แลว้ กต็ อ้ งมมี หาอปุ ราชฝา่ ยหนา้ เปน็ เยย่ี งอยา่ งมาทกุ ๆ แผน่ ดนิ ครง้ั นท้ี ป่ี ระชมุ จะเหน็ ควรมพี ระมหาอปุ ราช ฝา่ ยหนา้ ดว้ ยหรอื ไม่ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์เสด็จลุกคุกพระชงฆ์ประสานพระหัตถ์ตรัสขึ้นอีกว่า พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระเดชพระคุณมาแก่พระบรม วงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นอันมาก ควรจะคิดถึงพระเดชพระคุณของพระบาทสมเด็จ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ยกกรมหมน่ื บวรวชิ ยั ชาญพระโอรสพระองคใ์ หญ่ ขน้ึ เปน็ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล * ธรรมเนียมถวายอติเรกนั้น พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงบัญญัติไว้ว่าควรจะถวายต่อเมื่อสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ได้ราชาภิเษกแล้ว ยังเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้ การที่ถวายอติเรกในที่ประชุมครั้งนั้น เห็นจะเป็นด้วยเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ไม่ทราบ พระราชนยิ ม และกรมหมน่ื บวรรงั ษฯี กไ็ มก่ ลา้ ทรงทดั ทาน ** คือเม่อื พระชนั ษาครบ ๒๐ ในปรี ะกา พ.ศ. ๒๔๑๖ เป็นเวลาทจ่ี ะตอ้ งมีผสู้ ำเรจ็ ราชการแผน่ ดนิ อยู่ ๕ ปี

๔๐๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ สนองพระเดชพระคณุ พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั กรมหมน่ื บวรวชิ ยั ชาญกท็ รงชำนชิ ำนาญการ ต่าง ๆ ซึ่งได้ทรงศึกษามาตามแบบอย่างพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จะได้ทรงปกครอง พวกขา้ ไทยฝา่ ยพระราชวงั บวรและคงจะเปน็ ความยนิ ดขี องพวกวงั หนา้ ดว้ ย เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ถามที่ประชุมเรียงไปดังแต่ก่อน โดยมากรับว่า “สมควร” หรือให้อนุมัติ โดยอาการไม่คัดค้าน แต่กรมขุนวรจักรฯ ตรัสขึ้นว่า “ผู้ที่จะเป็นตำแหน่งพระราชโองการมีอยู่แล้ว ตำแหน่งพระมหาอุปราชควรแล้วแต่พระราชโองการจะทรงตั้ง เห็นมิใช่กิจของที่ประชุมที่จะเลือก พระมหาอุปราช” เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ซักไซ้กรมขุนวรจักรฯ ว่าเหตุใดจึงขัดขวาง กรมขุนวรจักรฯ ทรงชี้แจงต่อไปว่า เห็นราชประเพณีเคยมีมาแต่ก่อนอย่างนั้น ครั้งรัชกาลที่ ๑ เมื่อพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จปราบดาภิเษก ก็ทรงตั้งสมเด็จพระอนุชาธิราชเป็นกรมพระราชวังบวร สถานมงคล รชั กาลท่ี ๒ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั กท็ รงตง้ั สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าชเปน็ กรมพระราชวงั บวร ถงึ รชั กาลท่ี ๓ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั กท็ รงตง้ั กรมหมน่ื ศกั ดพิ ลเสพ เป็นกรมพระราชวังบวร มาในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงตั้งสมเด็จ พระอนุชาธิราชเป็นพระบาทสมเด็จฯ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เห็นเคยทรงตั้งมาทุกรัชกาลจึงเห็นว่า มิใช่หน้าที่ของที่ประชุมจะเลือกพระมหาอุปราช เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ขัดเคือง ว่ากล่าวกรมขุนวรจักรฯ ตา่ ง ๆ ลงทส่ี ดุ ทลู ถามวา่ “ทไ่ี มย่ อมนน้ั อยากจะเปน็ เองหรอื ” กรมขนุ วรจกั ร ฯ จงึ ตอบวา่ “ถา้ จะใหย้ อม กต็ อ้ งยอม” การกเ็ ปน็ ตกลง เปน็ อนั ทป่ี ระชมุ เหน็ สมควรทก่ี รมหมน่ื บวรวชิ ยั ชาญ จะเปน็ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล เจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศจ์ งึ อาราธนาใหพ้ ระสงฆส์ วดชยนั โตและอตเิ รกอกี ครง้ั หนง่ึ * เจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศก์ ลา่ วในทป่ี ระชมุ ตอ่ ไปวา่ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มหามาลา กรมขนุ บำราบปรปกั ษ์ ทรงพระสติปัญญารอบรู้ราชการแผ่นดินด้วยได้เคยทำราชการในตำแหน่งกรมวังมาช้านานถึง ๒ แผ่นดิน * เรื่องตอนประชุมถวายราชสมบัติที่กล่าวมานี้ ได้ทูลถามกรมหมื่นราชศักดิสโมสรท่านตรัสเล่าให้ฟัง ด้วยเวลานั้นท่านทรงผนวช เป็นสามเณรได้ประทับอยู่ในที่ประชุม ทรงจำความที่กล่าวกันในที่ประชุมถ้วนถี่ละเอียดกว่าจดหมายเหตุที่เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ และเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงได้จดไว้ เนื้อความก็ไม่เคลื่อนคลาดกัน ความในจดหมายเหตุของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ และเจ้าพระยา มหินทรศักดิ์ธำรงกล่าว ถึงการเลือกกรมพระราชวังบวร ฯ แต่ตอนปลาย ว่าที่ประชุมยอมพร้อมกัน เห็นจะเป็นเพราะแต่งหนังสือนั้น ในเวลาผู้ซึ่งเกี่ยวข้องยังอยู่จึงไม่กล้ากล่าวถึงการที่มีผู้คัดค้าน แต่ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งเจ้านายและขุนนางผู้อยู่ในที่ประชุมนั้น ท่านเล่าเป็นอย่างที่กล่าวมานี้ ทราบด้วยกันโดยมาก ต่อมาได้ฟังเจ้าพระยาภาณุวงศ์ ฯ เล่าเมื่อก่อนจะอสัญกรรมไม่ช้านักอีกครั้งหนึ่ง ว่าการเลือกกรมพระราชวังบวรฯ ครั้งนั้น ถ้อยคำที่กรมหลวงเทเวศร์ ฯ ตรัส เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จดถวาย ให้เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ (พุ่ม) แต่ยังเป็นขุนสมุทโคจรนั่งเขียนที่พระทวารเมื่อก่อนเวลาประชุม และในเมื่อปรึกษากันนั้น ในข้อจะถวายราชสมบัติแด่พระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ยินยอมพร้อมกันด้วยความยินดีจริง แต่เมื่อเลือกพระมหาอุปราช ท่านสังเกตดูผู้ที่อยู่ในที่ประชุมไม่เห็นชอบ โดยมาก ทย่ี อมเปน็ ดว้ ยกลวั เจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศเ์ ทา่ นน้ั

จดหมายเหตเุ มอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคต ๔๐๙ ขอให้สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนบำราบปรปักษ์สำเร็จราชการพระคลังมหาสมบัติและพระคลังต่าง ๆ และสำเร็จราชการในสถานราชกิจเป็นผู้อุปถัมภ์ในส่วนพระองค์พระเจ้าแผ่นดินด้วย ที่ประชุมก็เห็นชอบ พร้อมกัน เป็นเสร็จการประชุมเวลาราว ๗ ทุ่มเศษ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงให้อาลักษณจ์ ดคำปรึกษา แลว้ นำขน้ึ ทลู เกลา้ ฯ ถวายแดส่ มเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เจา้ ฟา้ ฯ กรมขนุ พนิ ติ ประชานาถ ดงั น้ี * “ศรีศยุภมัศดุ พระพุทธศักราชอดีตกาล ชมัยสหัสสสังวัจฉรจตุสตาธฤก เอกาทศสังวัจฉร ปัตยุบันกาล มังกรสังวัจฉรอัสยุชมาสศุกรปักษ์ บรรณสิยดฤถีคุรุวาร บริเฉทกาลอุกฤษฐ เวลา ๔ ทมุ่ ทตุ ยิ บาท กรมหมน่ื บวรรงั ษสี รุ ยิ พนั ธ์ุ พระราชาคณะ พระวงศานวุ งศข์ า้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาทผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ย ปรกึ ษาพรอ้ มกนั กรมหมน่ื บวรรงั ษสี รุ ยิ พนั ธ์ุ พระสาสนโสภณ พระอมรโมลี พระราชาคณะคามวาสแี ละ อรญั วาสี กบั พระครฐู านานกุ รมเปรยี ญทง้ั ปวงขา้ งฝา่ ยพทุ ธจกั ร และฝา่ ยขา้ งพระราชอาณาจกั ร กรมหลวง เทเวศร์วัชรินทร์ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท กรมหมื่นถาวรวรยศ กรมหมื่นวรศักดาพิศาล กรมหมื่น ภูบาลบริรักษ์ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนบำราบปรปักษ์ กรมหมื่นภูมินทรภักดี กรมหมื่นอดุลยลักษณสมบัติ กรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย กรมหมื่นภูวนัยนฤเบนทราธิบาล กรมหมื่น อักษรสารโสภณ กรมหมื่นเจริญผลพูนสวัสดิ์ กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์ กรมหมื่นสิทธิสุขุมการ พระวงศานุวงศ์ผู้น้อยที่ยังไม่ได้รับกรม กับข้าทูลละอองฯ ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ทีส่ มหุ พระกลาโหม ทา่ นเจา้ พระยาภธู ราภยั ทส่ี มหุ นายก พระยามหาอำมาตย์ พระยาราชภกั ดี พระยาศรพี พิ ฒั น์ พระยา เพ็ชรพิชัย พระยาสีหราชเดโช พระยาสีหราชฤทธิไกร พระยาราชวรานุกูล (พระยาเทพประชุน) พระยาอภยั รณฤทธ์ิ พระยาอนชุ ติ ชาญชยั พระยาสรุ วงศว์ ยั วฒั น์ พระยาบรุ ษุ รตั นราชพลั ลภ พระยา ศรีเสาวราช ท่านเจ้าพระยามุขมนตรี พระยามณเฑียรบาล พระยาเสนาภูเบศร์ พระยาศิริไอศวรรย์ พระยาสุรินทรราชเสนี และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายทหารและพลเรือน ทั้งพระพุทธจักรและ พระราชอาณาจักร ประชุมในพระที่นั่งอนันตสมาคมปรึกษาพร้อมกันว่า พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ บรมบพติ ร พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ สสู่ วรรคตแลว้ และสมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ จฬุ าลงกรณ์ กรมขนุ พนิ ติ ประชานาถ ทรงกอปรดว้ ยพระวยั วฒุ ปิ รชี าญาณสรุ ภาพ และทรงพระสตปิ ญั ญาพระเมตตา มหาปรกมอนั ประเสรฐิ สามารถเปน็ บรมศาสนปู ถมั ภกพระพทุ ธศาสนา สมควรทจ่ี ะดำรงราชสมบตั ปิ กปอ้ ง * คำปรึกษานี้ได้มาแต่กรมราชเลขาธิการ และการที่เขียนคำปรึกษาขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายเช่นนี้ ทำตามเยี่ยงอย่างครั้งรัชกาลที่ ๓ และรชั กาลท่ี ๔

๔๑๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระมหานครขอบขัณฑเสมาสมณพราหมณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขได้ด้วยพระบุญฤทธิมหาบารมี อนั สำ่ สมมา หาผจู้ ะเสมอมไิ ด้ จงึ กราบทลู อญั เชญิ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ จฬุ าลงกรณ์ กรมขนุ พนิ ติ ประชานาถ ขน้ึ ผา่ นพภิ พมไหศวรรยาธปิ ตั ิ ถวลั ยราชประเพณสี บื ศรสี รุ ยิ สนั ตวิ งศ์ ดำรงพภิ พมณฑล สกลกรงุ เทพมหานคร อมรรตั นโกสนิ ทร มหนิ ทราโยธยามหาดลิ กภพนพรตั นราศี มหานครบวรราชธานี บุรีรมย์ อุดมราชนิเวศมหาสถานอันอำพลด้วยสามนตประเทศนานา มหาไพบูลยพิศาลราชเจ้าสีมา อาณาเขตมณฑลทง้ั ปวงโดยบรุ พประเพณพี ระมหากษตั ราธริ าชเจา้ สบื ๆ มา” ในกลางคืนวันนั้น เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สั่งให้ตั้งกองล้อมวงที่วังใหม่เหนือพระราชวังบวรฯ อันเป็นที่ประทับกรมหมื่นบวรวิชัยชาญอีกแห่งหนึ่ง* และสั่งให้เชิญเสด็จพระองค์เจ้าเณรคัคณางคยุคล กับพระองค์เจ้าเณรทวีถวัลยลาภลาผนวช เพื่อจะได้ประคองพระโกศพระบรมศพในกระบวนแห่ เมอ่ื วนั รงุ่ ขน้ึ ** ณ วันศุกร์ เดือน ๑๑ แรมค่ำ ๑๑ เจ้าพนักงานจัดเตรียมการสรงสการพระบรมศพ และเตรียมกระบวนแห่และที่ประดิษฐานพระบรมศพพร้อมเสร็จ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย ประชุมพร้อมกัน ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมแต่เวลาเช้า เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงให้พระยา สรุ วงศว์ ยั วฒั นไ์ ปเชญิ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เจา้ ฟา้ ฯ กรมขนุ พนิ ติ ประชานาถทพ่ี ระตำหนกั สวนกหุ ลาบ*** ในเวลานน้ั สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ฯ กำลงั ยงั ออ่ นเพลยี มากดว้ ยทรงพระประชวรมากวา่ เดอื น และซำ้ ประสบ ทรงโศกศัลย์แรงกล้าไม่สามารถจะทรงพระราชดำเนินได้ ต้องเชิญเสด็จทรงพระเก้าอี้หามขึ้นไป จนในพระที่นั่งภานุมาศจำรูญที่สรงพระบรมศพ พอทอดพระเนตรเห็นพระบรมศพสมเด็จพระบรม ชนกนาถ ไดแ้ ตย่ กพระหตั ถข์ น้ึ ถวายบงั คมเทา่ นน้ั แลว้ กท็ รงสลบนง่ิ แนไ่ ป เจา้ นายผใู้ หญซ่ ง่ึ เสดจ็ อยทู่ น่ี น่ั * วงั ใหมท่ ก่ี ลา่ วนอ้ี ยรู่ มิ คลองโรงไหมฝง่ั เหนอื ตรงทส่ี รา้ งโรงพยาบาลทหารบกบดั น้ี ** พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจำนงจะให้พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กับเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ประคองโกศพระบรมศพ ได้ดำรัสสั่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพินิตประชานาถแต่วันแรกทรงพระประชวร ผู้อื่นหาได้ทราบ พระราชประสงค์ไม่ แต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาประชวรเสียด้วยตลอดมา การเรื่องนี้จึงมิได้เป็นไปตามพระราชประสงค์ ในเวลานั้น พระเจ้าลูกยาเธอที่โสกันต์แล้วทรงผนวชเป็นสามเณรอยู่ทั้ง ๗ พระองค์ ที่เลือก ๒ พระองค์ นั้นเพราะพระองค์เจ้าคัคณางคยุคล คือ กรมหลวงพชิ ติ ปรชี ากร เปน็ หลานเลย้ี งของเจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศ์ ทส่ี มหุ พระกลาโหม พระองคเ์ จา้ ทวถี วลั ยลาภ คอื กรมหมน่ื ภธู เรศธำรงศกั ด์ิ เป็นหลานตัวเจ้าพระยาภูธราภัยทีส่ มุหนายก ๑ ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ *** การที่ให้พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ไปเชิญเสด็จนั้น ทำตามแบบอย่างครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จผ่านพิภพ สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาประยรู วงศ์ เวลานน้ั เปน็ เจา้ พระยาพระคลงั หวั หนา้ ขา้ ราชการทง้ั ปวง ใหเ้ จา้ พระยาทพิ ากรวงศซ์ ง่ึ เปน็ บตุ ร เวลานน้ั เปน็ จมน่ื ราชามาตย์ ไปเชญิ เสดจ็ ทว่ี ดั บวรนเิ วศ

จดหมายเหตเุ มอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคต ๔๑๑ กับหมอที่ตามเสด็จกำกับเข้าไป ช่วยกันแก้ไขพอฟื้นคืนได้สมประฤดี แต่พระกำลังยังอ่อนนักไม่สามารถ จะเคลอ่ื นพระองคจ์ ากเกา้ อไ้ี ด้ จงึ มรี บั สง่ั ขอให้สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมขนุ บำราบปรปกั ษ์ ถวายน้ำสรงทรงเครื่องพระบรมศพแทนพระองค์ เจ้านายผู้ใหญ่เห็นว่าจะให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับ อยทู่ น่ี น่ั ตอ่ ไป เกรงพระอาการประชวรจะกลบั กำเรบิ ขน้ึ จงึ สง่ั ใหเ้ ชญิ เสดจ็ มายงั พระทน่ี ง่ั อมรนิ ทรวนิ จิ ฉยั ซึ่งได้จัดห้องในพระฉากข้างด้านตะวันออกไว้เป็นที่ประทับ ระหว่างเวลากว่าจะได้ทำการพระราชพิธี บรมราชาภเิ ษกเฉลมิ พระราชมนเทยี ร* ทางโนน้ เจา้ ฟา้ ฯ กรมขนุ บำราบปรปกั ษ์สรงนำ้ ทรงเครอ่ื งพระบรมศพ แล้วเชิญลงพระลองเงินแห่พระบรมศพเป็นกระบวนมา ออกประตูสนามราชกิจ เชิญพระโกศขึ้นตั้งบน พระยานนมุ าศสามลำคาน ประกอบพระโกศทองใหญ่ มีพระมหาเศวตฉตั รกน้ั แหก่ ระบวนใหญไ่ ปยงั พระทน่ี ง่ั ดสุ ติ มหาปราสาท เชญิ พระโกศพระบรมศพขน้ึ ประดษิ ฐานเหนอื แวน่ ฟา้ ทองคำ ในมหาปราสาท ด้านตะวันตกตั้งเครื่องสูง เครื่องราชูปโภค ตั้งเตียงพระสงฆ์สวดอภิธรรม ๒ เตียง และมีนางร้องไห้มี เครื่องประโคมตามอย่างพระบรมศพแต่ก่อน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จไปถวายบังคมพระบรมศพ และบำเพญ็ พระราชกศุ ลสนองพระเดชพระคณุ ดว้ ยประการตา่ ง ๆ ทกุ วนั มา พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสมภพในรัชกาลที่ ๑ เมื่อ ณ วันพฤหัสบดี เดอื น ๑๑ ขน้ึ ๑๔ คำ่ ปชี วด ตรงกบั วนั ท่ี ๑๘ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๓๔๗ เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ เมอ่ื ณ วนั พธุ เดอื น ๕ ขน้ึ คำ่ ๑ ปกี นุ พ.ศ. ๒๓๙๔๑ เสดจ็ สวรรคตเมอ่ื วนั พฤหสั บดี เดอื น ๑๑ ขน้ึ ๑๕ คำ่ ปมี ะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑๒ พระชนมายุ ๖๕ ปี * สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ในรชั กาลท่ี ๒ ท่ี ๓ ท่ี ๔ เวลากอ่ นทำพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษก กป็ ระทบั ทพ่ี ระทน่ี ง่ั อมรนิ ทรวนิ จิ ฉยั เหมอื นกนั แต่เมื่อในรัชกาลที่ ๔ เวลาระหว่างเฉลิมพระราชมนเทียรถึงเดือนครึ่ง จึงปลูกพลับพลาถวายเป็นที่ประทับที่โรงแสงใน เพื่อให้ทรงสำราญ กว่าประทับพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ๑ ตรงกับวันพุธที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔ ๒ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑

๔๑๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔

๔๑๓ ประวตั ิพระนาบมี ะหะหมดั

๔๑๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔

ประวตั พิ ระนาบมี ะหะหมดั ๔๑๕ คำนำภาคท่ี ๒๘ ๑ หนังสือซึ่งอำมาตย์เอก พระยาประมูลธนรักษ์ (ผูก ผโลประการ) ตช. ตม. ตจว. ได้นำมาถวายไว้แก่หอพระสมุด ฯ ได้แก่คำให้การเก่า ๒ เรื่อง คือคำให้การเรื่องพงศาวดารญวน เรื่อง ๑ คำให้การเรื่องประวัติพระนาบีมะหะหมัดเรื่อง ๑ ซึ่งเดิมเป็นหนังสือในทางราชการ รัฐบาล ใหถ้ ามคำชแ้ี จงของผรู้ ไู้ ว้ พงศาวดารญวนนั้นปรากฏในบานแผนกว่า ได้เก็บรวบรวมจากฉบับเก่าซึ่งได้จดไว้แต่ปีฉลู พ.ศ. ๒๓๓๖ สว่ นประวตั เิ รอ่ื งพระนาบมี ะหะหมดั นน้ั ปรากฏในบานแผนกวา่ รวบรวมเมอ่ื วนั องั คารเดอื นย่ี ขน้ึ ๒ คำ่ ปฉี ลู พ.ศ. ๒๔๐๘ ในรชั กาลท่ี ๔ แตฉ่ บบั ทม่ี กี ไ็ มจ่ บ ถงึ กระนน้ั เรอ่ื งราวเพยี งทม่ี อี ยกู่ น็ า่ อา่ น จงึ ไดร้ วมพมิ พเ์ ปน็ ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๒๘ สภานายก หอพระสมดุ วชริ ญาณ วนั ท่ี ๑๐ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ๑ คำนำฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรก ตวั สะกด การนั ต์ คงตามตน้ ฉบบั เดมิ

๔๑๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ประวัติเรื่องพระนาบีมะหะหมัด๑ ณ วัน ๓ ๒ฯ ๒ ค่ำ จุลศักราช ๑๒๒๗ ปีฉลูสัปตศ๕ก๒ ข้าพระองค์ได้เชิญโต๊ะอันตนีแขก มาถามถึงเรื่องพงศาวดารมะหะหมัด ผู้เป็นที่นับถือของพวกแขกได้ความว่า มะหะหมัดนั้นเกิดที่ เมืองมะกา๓ บิดาชื่ออับดุลตะหล่า๔ ตาชื่ออับดุลนะมุตะเหล็บ๕ บิดามารดาเป็นพลเรือน ครั้นมารดา มีครรภ์ได้ ๗ เดือน บิดาก็ถึงแก่กรรม มะหะหมัดอยู่ในครรภ์ ๙ เดือนจึงคลอด ครั้งนั้นตาของ มะหะหมดั มานมสั การพระพทุ ธรปู ๖ อยทู่ ว่ี หิ าร พระทอ่ี บั ดลุ นะมตุ ะเหลบ็ ไหวน้ น้ั กล็ ม้ ลง และมผี มู้ าบอกวา่ อัมมินา๗ คลอดบุตรแล้ว ตาก็วิ่งไปดูเห็นหลานเป็นชาย จึงให้ชื่อว่ามะหะหมัด ครั้นมะหะหมัด อายุได้ ๓ ขวบมารดาก็ถึงแก่กรรม๘ ตากับอาจึงเอามะหะหมัดไปเลี้ยงไว้ แล้วจึงจ้างแม่นมให้เลี้ยง มะหะหมัด แม่นมนั้นชื่อว่าหะลีมา๙ หะลีมาจึงรับเอาไปเลี้ยงที่บ้านอันต่างเมือง มาวันหนึ่ง มะหะหมดั กไ็ ปเลย้ี งแพะกบั บตุ รแมน่ ม ยบิ ราเอล๑๐คอื เทวดาผใู้ หญ่ กล็ งมาจบั เอาตวั มะหะหมดั ขน้ึ ไป บนภูเขา ให้นอนหงายผ่าท้อง จึงควักเอาเลือดก้อนหนึ่งออกทิ้งเสียว่าเป็นส่วนของมาร๑๑ แล้วจึง เอาน้ำสะด่ำ๑๒ล้างเสีย แล้วจึงปิดท้องไว้ดังเก่า แล้วมะหะหมัดจึงเดินลงมาจากภูเขามีหน้าเป็นแสง จงึ บตุ รแมน่ มจงู มอื มาบา้ น และถามวา่ เจบ็ หรอื ไม่ มะหะหมดั วา่ ไมเ่ จบ็ ดอก ครน้ั แมน่ มรคู้ วามนน้ั แลว้ ๑ คำวา่ “นบี” (พยางคแ์ รกเสยี งสน้ั ) หมายถงึ ผทู้ ไ่ี ดร้ บั คำสง่ั จากพระผเู้ ปน็ เจา้ ใหเ้ ผยแพรศ่ าสนา “มะหะหมดั ” ที่ถูกต้องคือ “มฮุ ัมมดั ” เป็นชอื่ นบีคนสดุ ทา้ ยในศาสนาอสิ ลาม ๒ คำเรียกชื่อ “นบมี ุฮัมมดั ” ไมน่ ยิ มใสค่ ำวา่ “พระ” เพราะถอื วา่ ทา่ นเปน็ คนสามญั ตรงกับวันองั คารท่ี ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๐๘ ๓ มะกา คือ เมอื งมกั กะห์ ปัจจุบันอยู่ในประเทศซาอดุ ีอาระเบีย ในสมยั โบราณมกั กะหเ์ ปน็ เมอื งศนู ยก์ ลางการคา้ ทส่ี ำคญั ๔ อบั ดลุ ตะหลา่ คอื อบั ดลุ เลาะห์ ๕ อบั ดลุ นะมตุ ะเหลบ็ ทถ่ี กู เปน็ ปู่ (ไมใ่ ชต่ า) และชอ่ื อบั ดลุ มตุ ตอลบิ ๖ หมายถงึ เทวรปู ๗ อัมมินา คือ อามนี ะห์ มารดาของมฮุ มั มดั ๘ มารดาเสยี ชวี ติ เมอ่ื มฮุ มั มดั อายไุ ด้ ๖ ขวบ ๙ หะลีมา คือ ฮาลีมะห์ แม่นมรับมุฮัมมัดไปเลี้ยงดูตั้งแต่แรกเกิดจนถึง ๔ ขวบ เป็นธรรมเนียมของชาวมักกะห์ ที่มักให้ทารกไปอยู่กับแม่นมที่นอกเมือง เพื่อให้ห่างจากความจอแจและความสับสนของสังคมเมือง มุฮัมมัดอยู่กับแม่นมจนถึง ๔ ขวบ แลว้ จงึ กลบั มาอยกู่ บั มารดา เมอ่ื อายไุ ด้ ๖ ขวบ มารดากเ็ สยี ชวี ติ มฮุ มั มดั จงึ ไปอยกู่ บั ปคู่ อื อบั ดลุ มตุ ตอลบิ ตอ่ มาเมอ่ื มฮุ มั มดั อายคุ รบ ๘ ขวบ ปู่เสียชีวิต อบูตอลิบผู้เป็นลุงจึงรับมุฮัมมัดไปเลี้ยงดูจนโตเป็นหนุ่ม เมื่ออบูตอลิบเดินทางไปค้าขายต่างเมือง ก็ได้พามุฮัมมัดไปด้วย จนมฮุ มั มดั มคี วามชำนาญในการคา้ เมอ่ื อายุ ๒๕ ปี กไ็ ปรบั จา้ งคา้ ขายกบั นางคอดยี ะห์ ๑๐ ยบิ ราเอล คอื ยบิ รลี เป็นทูตทำหนา้ ทส่ี อ่ื กลางระหวา่ งพระเจา้ กบั มนษุ ย์ ๑๑ หมายถงึ ทำใหบ้ รสิ ทุ ธ์ิ ปราศจากอำนาจชว่ั รา้ ยตา่ ง ๆ ๑๒ น้ำสะด่ำ น่าจะหมายถึง น้ำซัมซัม เป็นน้ำจากตาน้ำโบราณที่พระเจ้าบันดาลให้มีขึ้นตั้งแต่สมัยนบีอิบรอฮีม (นบีคนที่ ๔) ปจั จบุ นั ยงั มนี ำ้ นอ้ี ยา่ งไมข่ าดสาย

ประวตั พิ ระนาบมี ะหะหมดั ๔๑๗ จึงว่าลูกคนนี้มีผู้ริษยาเอาไว้ไม่ได้จึงส่งมาให้กับตา ครั้นอยู่กับตาได้ ๓ ปี๑ ตาก็จวนจะถึงแก่กรรม จึงให้หาบรรดาญาติพี่น้องมาพร้อมกันถามว่า มะหะหมัดจะอยู่กับใครดี จึงวางมะหะหมัดไว้ท่ามกลาง มะหะหมดั กล็ กุ ขน้ึ ไปกอดคออบั ปมู ะตะเหลบ็ ๒ ผเู้ ปน็ ลงุ อบั ปมู ะตะเหลบ็ จงึ เอาไปเลย้ี งไว้ ครน้ั มะหะหมดั เจริญวัยได้อายุ ๑๕ ปี๓ อาตะดาผู้เป็นอาหญิงไปหาลุงว่ามะหะหมัดเติบใหญ่แล้วจะคิดอ่านอย่างไรดี ๔ ให้มีภรรยาเสียเถิดหรือ ครั้นจะให้มีภรรยาก็ยังหามีทรัพย์สินอะไรไม่ จึงให้ไปรับจ้างดาดะชะ๕ ผู้เป็น หญิงม่ายเป็นคนมั่งมีค้าอูฐ ครั้นดาดะชะเห็นมะหะหมัดก็มีจิตรักใคร่ แล้วก็เปิดเต้าเหร็ด๖ คือคัมภีร์ พวกยูดายดูเห็นว่ามะหะหมัดนี้แหละจะเป็นครูสอนศาสนาในประเทศอาหรับ ด้วยเห็นมีเมฆคุมตัว มะหะหมัดอยู่ ดาดะชะจึงว่าให้คอยท่าพ่อค้าอูฐเขามาอีกทีเถิด แล้วจึงสั่งให้พาตัวมะหะหมัดมาดูว่า จะทำการได้หรือไม่ได้ อาจึงพามะหะหมัดมาให้แก่หญิงม่าย มะหะหมัดจึงอยู่กับหญิงม่ายได้ ๗ วัน จะเดนิ ไปขา้ งไหนกห็ อมเนอ้ื ไมไ้ ปทน่ี น่ั ครน้ั อยไู่ ด้ ๗ วนั แลว้ จงึ สง่ คนื ไปหาอา ครน้ั อยมู่ าพอ่ คา้ อฐู กก็ ลบั มา หญิงม่ายจึงให้คนไปบอกมะหะหมัดว่า พ่อค้าอูฐกลับมาแล้ว จะรับจ้างก็มาเถิด อาก็ส่งมะหะหมัด มาใหห้ ญงิ มา่ ย หญงิ มา่ ยจงึ เตรยี มการจะใหเ้ ปน็ ลกู จา้ งไปคา้ ณ เมอื งสำ่ ๗ แตบ่ รรดาคนทร่ี บั จา้ งเหลา่ นน้ั มีญาติพี่น้องมาเยี่ยมเยียน แต่มะหะหมัดนั้นหามีพี่น้องผู้ใดมาเยี่ยมเยียนไม่ อารู้ดังนั้นแล้วก็ร้องไห้ ฝ่ายหญิงม่ายจึงให้ผ้าทองสองผืน ผ้านุ่งผืน ๑ ผ้าห่มผืน ๑ แก่มะหะหมัด๘ แล้วสั่งระหัสนายอูฐ๙ ว่า ๑-๓ หะลีมา คือ ฮาลีมะห์ แม่นมรับมุฮัมมัดไปเลี้ยงดูตั้งแต่แรกเกิดจนถึง ๔ ขวบ เป็นธรรมเนียมของชาวมักกะห์ ที่มักให้ทารกไปอยู่กับแม่นมที่นอกเมือง เพื่อให้ห่างจากความจอแจและความสับสนของสังคมเมือง มุฮัมมัดอยู่กับแม่นมจนถึง ๔ ขวบ แลว้ จงึ กลบั มาอยกู่ บั มารดา เมอ่ื อายไุ ด้ ๖ ขวบ มารดากเ็ สยี ชวี ติ มฮุ มั มดั จงึ ไปอยกู่ บั ปคู่ อื อบั ดลุ มุตตอลบิ ต่อมาเมื่อมุฮัมมัดอายุครบ ๘ ขวบ ปู่เสียชีวิต อบูตอลิบผู้เป็นลุงจึงรับมุฮัมมัดไปเลี้ยงดูจนโตเป็นหนุ่ม เมื่ออบูตอลิบเดินทางไปค้าขายต่างเมือง ก็ได้พามุฮัมมัดไปด้วย จนมฮุ มั มดั มคี วามชำนาญในการคา้ เมอ่ื อายุ ๒๕ ปี กไ็ ปรบั จา้ งคา้ ขายกบั นางคอดยี ะห์ ๔ เรื่องที่เล่าว่าอาหญิงคิดหาภรรยาให้ ไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ ๕ ดาดะชะ คอื นางคอดยี ะห์ เป็นหญงิ มา่ ยทม่ี ฮุ ัมมดั ไปทำงานอยูด่ ้วย ตอ่ มาเปน็ ภรรยาคนแรกของมุฮมั มัด ๖ เตา้ เหรด็ คอื คมั ภรี เ์ ตารอต หรอื พระคมั ภรี เ์ ดมิ (The Old Testament) ของชาวยวิ หรือผู้นับถือศาสนายดู าย ที่ศาสดามซู า ( Moses) ได้รับจากพระเจ้า การอ้างคัมภีร์เตารอตนี้เกิดขึ้น ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อมุฮัมมัดอายุ ๑๐ ขวบและเดินทางไปกับลุง นักบวชผู้หนึ่ง เห็นว่ามุฮัมมัดมีลักษณะที่สอดคล้องกับคำทำนายในคัมภีร์เตารอตถึงผู้ที่จะมาเป็นนบีหรือศาสดาคนสุดท้าย จึงบอกให้ลุงรู้ ต่อมาเมื่อ มุฮัมมัดอายุ ๔๐ ปี และได้แต่งงานกับนางคอดียะห์แล้ว วันหนึ่งขึ้นไปบนภูเขาเพื่อปลีกตัวอย่างสงบ มุฮัมมัดได้รับนิมิตจากพระเจ้า เมื่อกลับลงมาได้เล่าให้นางคอดียะห์ฟังด้วยความตกใจกลัว นางคอดียะห์จึงไปปรึกษาญาติผู้หนึ่งซึ่งรู้คัมภีร์เตารอตดี ญาติผู้นั้นได้เล่า คำทำนายในคัมภีร์ทำให้นางคอดียะห์รู้ว่ามุฮัมมัดคือผู้ที่มีลักษณะที่จะเป็นศาสดาตามคำทำนาย ตามคำบอกเล่านี้ การอ้างคัมภีร์ เตารอตจึงไม่น่าจะปรากฏในตอนนี้ ๗ เมืองส่ำ คือ แควน้ ชาม ปัจจุบันคือซเี รยี จอรแ์ ดน เลบานอน ปาเลสไตน์ และอิสราเอลรวมกนั ๘ เรอ่ื งทว่ี า่ มฮุ มั มดั ไปอยกู่ บั นางคอดยี ะห์ ๗ วนั เรอ่ื งการใหผ้ า้ ทอง ไมป่ รากฏในประวตั ศิ าสตร์ ๙ นายอูฐ คือ คนรับใช้ของคอดียะห์ เป็นชายชื่อ มัยซาเราะห์ เมื่อมุฮัมมัดรับจ้างคอดียะห์คุมกองคาราวานไปค้าขาย นางได้ให้ มัยซาเราะห์ติดตามไปสังเกตการณ์ด้วย เมื่อกลับมามัยซาเราะห์รายงานว่ามุฮัมมัดเป็นคนดี ซื่อสัตย์ รับผิดชอบดี มีความสามารถใน การค้าขาย

๔๑๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ถ้าไปถึงที่หยุดแล้วให้มะหะหมัดนุ่งห่มเถิด มะหะหมัดจึงว่าคนทุกวันนี้ ถึงจะมีคนรักสัก ๑๐ คน ก็คงจะมีคนชังสักคนหนึ่ง มะหะหมัดก็ไม่ยอมนุ่งผ้านั้น ครั้นไปถึงเมืองส่ำก็ได้กำไร ด้วยไปถูก วันที่ชาวเมืองส่ำทำบุญเป็นการใหญ่ มะหะหมัดจึงพักอูฐอยู่ตรงหน้ากระฏีเมืองส่ำ๑ พอมะหะหมัด แลดูในกระฏีนั้น บรรดาโคมและเครื่องบูชาก็แตกดับไปหมด และสมภารในกระฏีนั้นจึงเปิดดูในตำรา แจ้งว่าจะมีผู้มาล้างศาสนาเมืองส่ำ จึงคิดจะจับมะหะหมัดฆ่าเสีย ครั้นนายอูฐรู้ความนั้นแล้ว จึงให้ มะหะหมดั ถอื หนงั สอื เรว็ มายงั หญงิ มา่ ย๒ ขณะนน้ั หญงิ มา่ ยขน้ึ อยบู่ นทน่ี ง่ั เยน็ พอเหน็ มะหะหมดั มากด็ ใี จ มะหะหมัดก็ส่งหนังสือนั้นให้หญิงม่ายแล้ว ก็เลยมาหาลุง ฝ่ายสมภารเจ้ากระฏี ณ เมืองส่ำนั้น ก็ค้นดูในเหล่าพวกพ่อค้า ไม่เห็นมีใครที่ต้องในตำรานั้น จึงหาได้จับใครมาไม่ แล้วหญิงม่ายก็ให้ มะหะหมัดถือหนังสือมาถึงพ่อค้าอูฐให้กลับ จึงพวกพ่อค้าอูฐพากันกลับมา มะหะหมัดก็ไปบ้านลุง ฝ่ายหญิงม่ายก็จัดแจงดูในสินค้าอันมาแต่เมืองส่ำนั้น ครั้นอยู่มาอาของมะหะหมัดไปหาลุงถามว่า เปน็ อยา่ งไรหญงิ มา่ ยหาไดใ้ หเ้ งนิ คา่ จา้ งนน้ั ไม่ ลงุ จงึ หา้ มวา่ อยา่ เพอ่ ไปขอเลย ครน้ั มาหลายวนั อาจงึ ไป ถามอกี ลงุ จงึ วา่ ไปเถดิ แตอ่ ยา่ ออกชอ่ื วา่ เปน็ คา่ จา้ งคา่ ขาย แลว้ อากไ็ ปหาหญงิ มา่ ย แตพ่ อหญงิ มา่ ยเหน็ ก็ดีใจ ต้อนรับพาเข้าไปยังที่นอนแล้ว จึงถามถึงมะหะหมัดว่าสบายอยู่ดอกหรือ อาว่าสบายอยู่ดอก แตฉ่ นั มาจะขอเงนิ คา่ จา้ งของมะหะหมดั หญงิ มา่ ยจงึ ถามวา่ จะตอ้ งประสงคเ์ งนิ ไปทำอะไร อาวา่ จะเอาไป ทำสนิ สอดหาภรรยาใหม้ ะหะหมดั หญงิ มา่ ยจงึ ถามวา่ จะใหม้ ะหะหมดั แตง่ งานกบั ฉนั ไมไ่ ดห้ รอื อาไดฟ้ งั ดังนั้นก็ร้องไห้สำคัญว่าหญิงม่ายนั้นพูดประชด หญิงม่ายก็ร้องไห้ด้วย แล้วบอกว่า ฉันไม่ได้พูด ประชดดอก ฉันรักจริง ๆ ฉันรู้อยู่ว่า มะหะหมัดจะได้สร้างศาสนาในอิสลาม๓ อาจึงว่าถ้าอย่างนั้นให้ บดิ าทา่ นจดั แจงยกใหต้ ามธรรมเนยี ม ฝา่ ยบดิ านน้ั ไมย่ อม หญงิ มา่ ยจงึ เอาสรุ าใหบ้ ดิ ากนิ จนเมาถงึ ขนาด หญิงม่ายจึงอ้อนวอนบิดาให้ยอมอยู่ด้วยกัน บิดาจึงยอมให้ด้วยกำลังเมาสุรา๔ แล้วมะหะหมัดจึงได้เป็น สามภี รรยากนั กบั หญงิ มา่ ย ครน้ั อยมู่ ามะหะหมดั จงึ วา่ แกภ่ รรยาวา่ ทรพั ยส์ นิ ทง้ั ปวงนจ้ี ะเอาไปขา้ งไหน จะพาให้บริสุทธิ์ไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ดาดะชะผู้ภรรยาจึงได้สละทรัพย์ของตัว ให้เป็นทานแก่คนทั้งปวง ๑ ในดินแดนชามขณะนั้นมีอิทธิพลวัฒนธรรมโรมันเข้ามามาก จึงมีวิหารและเทวรูปบูชา กระฏีในที่นี้คือวิหาร ๒ เรื่องที่ว่าเครื่องบูชาแตกดับเมื่อมุฮัมมัดไปถึง ทำให้เกิดความแค้นเคืองจนคิดจะจับฆ่า และที่นายอูฐให้มุฮัมมัดถือหนังสือ ไปสง่ คอดียะห์ ไมป่ รากฏในประวตั ศิ าสตร์ ๓ เรอ่ื งทว่ี า่ อามาขอเงนิ คา่ จา้ งของมฮุ มั มดั เพอ่ื ไปเปน็ สนิ สอด และคอดยี ะหข์ อแตง่ งานกบั มฮุ มั มดั จากอานน้ั ตามประวตั ศิ าสตรเ์ ลา่ วา่ เมื่อคอดียะห์เห็นว่ามุฮัมมัดเป็นคนดี ก็ให้คนไปเจรจากับลุงของมุฮัมมัดเพื่อจะขอแต่งงานกับมุฮัมมัด โดยที่ยังไม่รู้ว่ามุฮัมมัดจะเป็น ศาสดาในศาสนาอิสลาม ๔ เรอ่ื งทว่ี า่ คอดยี ะหม์ อมสรุ าบดิ า จนยอมใหแ้ ตง่ งานกบั มฮุ มั มดั ไมป่ รากฏในประวตั ศิ าสตร์

ประวตั พิ ระนาบมี ะหะหมดั ๔๑๙ ทม่ี ารบั กะลมี า๑ มะหะหมดั นน้ั ตง้ั แตอ่ ายุ ๑๕ ปี จนถงึ อายุ ๔๐ ปี ในระหวา่ งนน้ั ยบิ ราเอลลงมาเตอื น มะหะหมดั ใหห้ า่ งไกลจากของทห่ี า้ ม๒ ยบิ ราเอลเมอ่ื ลงมาทแี รกนน้ั ไดว้ า่ กะมะหะหมดั ดว้ ยคำวา่ “ ฮี ” ว่าเป็นคำของพระผู้เป็นเจ้า แล้วว่า “อะหวัน”๓ คำแรกนั้นเป็นคำอะไร เฮ้ย มะหะหมัดเอ็งอ่านไป มะหะหมัดจึงถามว่าจะให้ข้าอ่านอะไร๔ แต่นั้นไปมะหะหมัดจะไปข้างไหน ยิบราเอลก็ตามไปด้วย อยู่มาภายหลังก็ไปซ่อนตัวถือศีลอดอยู่ทีภ่ ูเขายับปันโนน เวลาเย็นทุกวัน ๆ ไม่บริโภคสิ่งใด ยิบราเอล จึงลงมาอีกทีหนึ่งจึงเตือนว่า คำนั้นเป็นคำมั่นคงนัก แล้วจึงส่งให้ไปจำศีลที่เขาหะรอ๕ ว่าทำในที่นี้ ชาวเมอื งมะกาเขาจะรเู้ ขา้ มะหะหมดั จงึ ไปอยเู่ ขาหะรอเพลากลางคนื ใหเ้ อาเสบยี งไปดว้ ยบา้ ง มะหะหมดั ไปอยู่ยังที่นั้นแล้วก็กลับมาหาภรรยายังเรือน ยิบราเอลจึงลงมาบอกอีกว่า ผู้เป็นเจ้านั้นยิ่งยวดนัก สง่ั ใหเ้ อง็ เทย่ี วสอนศาสนาแกค่ นทง้ั ปวง๖ ยบิ ราเอลวา่ เทา่ นแ้ี ลว้ กห็ ายไป ครง้ั นน้ั มะหะหมดั จติ ใจหวน่ั ไหวไป จงึ กลบั เขา้ ไปนอนคลมุ ศรี ษะอยใู่ นทน่ี อน ยบิ ราเอลจงึ ลงมาวา่ เฮย้ คนนอนคลมุ หวั อยนู่ น้ั ลกุ ขน้ึ ไป กราบพระทง้ั ๕ องค์ ๗ เสยี เมอ่ื จะกราบนน้ั ใหเ้ อานำ้ ละหมาดลา้ งหนา้ หนา้ นน้ั จะไดเ้ ปน็ แสงเมอ่ื ไปเฝา้ ผเู้ ปน็ เจา้ ชำระมอื เพยี งขอ้ ศอกแทนกำไล ชำระศรี ษะแทนมงกฎุ ลา้ งหแู ทนจอนหู ลา้ งเทา้ แทนรองเทา้ เมื่อจะไหว้กราบพระให้ตั้งอยู่ในธาตุทั้ง ๔ คือ ยืนเป็นธาตุไฟ ก้มลงเป็นธาตุลม กราบลงเป็นธาตุน้ำ นง่ั ลงเปน็ ธาตดุ นิ จะไหวพ้ ระเพลาเชา้ ตรใู่ หไ้ หว้นาบอี าดมั เวลาบา่ ยไหวน้ าบยี บิ ราเฮม เวลาเยน็ ไหว้ นาบนี ดุ เวลาพลบใหไ้ หวน้ าบมี ชุ า เวลาจะเขา้ นอนใหไ้ หวน้ าบอี ชิ า๘ แลว้ ยบิ ราเอลจงึ ลงมาบอกอกี วา่ ๑ กะลีมา คือ กะลีมะห์ หมายถึงคำปฏิญาณตนเมื่อเข้ารับอิสลาม เรื่องที่ว่าคอดียะหส์ ละทรัพย์ให้เป็นทานแก่คนที่รับอิสลามนั้น หมายถงึ การใหค้ วามชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู แตเ่ ปน็ เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ภายหลงั ไมใ่ ชใ่ นตอนนซ้ี ง่ึ มฮุ มั มดั ยงั ไมไ่ ดร้ บั คำสง่ั จากพระเจา้ ๒ ตั้งแต่อายุ ๑๕ จนถึง ๔๐ ปี ยิบรีลยังไม่ได้ลงมาพบมุฮัมมัด และไม่ปรากฏว่าได้มาเตือนมุฮัมมัดให้ห่างไกลจากของที่ห้าม เพราะมุฮัมมัดเป็นคนที่ปฏิบัติตนดีอยู่แล้ว ๓ วา่ “ฮ”ี หมายถงึ “วะฮยี ”์ คอื คำสง่ั จากพระเจา้ “อะหวนั “ คอื “เอาวลั ” แปลวา่ เรม่ิ ตน้ หรอื คำแรก ๔ ยิบรีลให้มุฮัมมัดอ่านกุรอานบทแรกที่พระเจ้าประทานลงมา มุฮัมมัดถามว่าจะให้อ่านอย่างไรเพราะอ่านเขียนหนังสือไม่ได้เลย คำ่ คนื ทพ่ี ระเจา้ ประทานกรุ อานบทแรกลงมานน้ั เปน็ คนื ในเดือนรอมฎอน (เดอื นท่ี ๙ ของปอี าหรบั ) ๕ ทว่ี า่ มุฮัมมดั ไปซอ่ นตัวถอื ศีลอดนัน้ หมายถึง ปลกี ตวั ไปอย่อู ยา่ งสงบ ยับปันโนน คือ ยะบลั นูร หรือ ภเู ขานรู เป็นภูเขาที่มีถ้ำชื่อหริ อ (ในพงศาวดารนว้ี า่ หะรอ) ๖ ในเหตุการณ์ตอนนี้ พระเจ้ายังไม่ได้สั่งให้มุฮัมมัดเที่ยวสอนศาสนาแก่คนทั้งปวง แต่ให้อ่านโองการแรกของอัลกุรอาน (คัมภีร์ของอิสลาม) ๗ ทว่ี า่ มฮุ มั มดั ลกุ ขน้ึ ไปกราบพระทง้ั ๕ องคน์ น้ั ทถ่ี กู คอื สง่ั ให้ละหมาด โดยกอ่ นจะละหมาดใหช้ ำระรา่ งกายสว่ นตา่ ง ๆ ดงั น้ี ลา้ งมอื ล้างหน้า ล้างแขน เช็ดใบหู ลูบศีรษะ และล้างเท้า ท่าละหมาดได้แก่ท่ายืนตรง โน้มตัวลงก้มกราบและนั่ง ทั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับธาตุ ทง้ั สแ่ี ตอ่ ยา่ งใดทง้ั สน้ิ ๘ การละหมาดมี ๕ เวลา คอื เชา้ ตรู่ บา่ ย เยน็ พลบคำ่ และคำ่ ไมเ่ กย่ี วกบั ไหว้นบอี าดมั (Adam) นบีอิบรอฮีม (Abraham) นบนี หุ ์ (Noah) นบีมูซา (Moses) และนบีอีซา (Jesus) ตามที่กล่าว และการละหมาด ๕ เวลา ก็ไม่ได้บัญญัติลงมาในครั้งนั้น แต่เป็น คำสง่ั ทป่ี ระทานลงมาหลงั จากนน้ั อกี ๑๒ ปี

๔๒๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เฮ้ย มะหะหมัด เอ็งนั้น พระเจ้าให้เอ็งเกิดมาด้วยเลือดก้อนหนึ่ง๑ ให้เอ็งตั้งศาสนาในอิสลาม๒ ให้รับกะลีมาสองกะลีมา๓ อาลอพระองค์เดียวที่เอ็งไหว้ แล้วอย่าไหว้เป็นสองเป็นสาม๔ เอ็งเป็น ผู้รับใช้ของพระอาลอ๕ ให้เอ็งสร้างคัมภีร์กรอ่าม๖ แล้วยิบราเอลจึงว่าอีกว่า ศาสนาเอ็งเข้มแข็งนัก ใครจะนบั ถอื ได้ ยบิ ราเอลจงึ บนั ดาลใหบ้ รรดาสตั วท์ ง้ั หลายใหม้ านอนยอมตวั เปน็ ภกั ษาหารแกม่ ะหะหมดั ก็มีสัตว์ลางอย่างที่หาได้มาไม่ คือ เสือ ช้าง แรด เป็นต้น ก็สัตว์มิได้มานั้นใครจะมากินก็บาป เวน้ แตส่ ตั วท์ ท่ี ำอนั ตรายแกม่ นษุ ยน์ น้ั ฆา่ ไมบ่ าป๗ ตง้ั แตน่ น้ั มา มะหะหมดั กเ็ ทย่ี วไปเกลย้ี กลอ่ มสง่ั สอน ชาวเมืองมะกาว่า ยิบราเอลลงมาบอกให้ตนสร้างศาสนาในอิสลาม ให้รับกะลีมาสองกะลีมา ครั้งนั้น ชาวเมอื งบางจำพวกกไ็ ดม้ ารบั บางพวกหาไดร้ บั ไม่ พวกทไ่ี มร่ บั นน้ั พากนั หนจี ากเมอื งมะกาไปอยู่ เมืองอื่น๘ ฝ่ายว่าอาบูบาฮัม๙ ผู้เป็นลุงมะหะหมัด เห็นมะหะหมัดทำดังนั้นก็ไม่เชื่อ ไม่ชอบด้วย กลวั ความผดิ จะมี ๑๐ จงึ ไปฟอ้ งกบั เจา้ เมอื งมะกาวา่ มะหะหมดั เทย่ี วออกตวั วา่ เปน็ คนใชข้ องพระเปน็ เจา้ สำคัญอะไรก็ไม่เห็นมี ๑๑ นาบีแต่ก่อน ๆ มีสำคัญสำหรับตัวทุกคน นาบีอาดัมมีสำคัญคือได้สร้าง ลูกหลานมา นาบีนุดได้ต่อกำปั่นใหญ่ นาบียิบราเฮมตำรวจเจ้าเมืองเอาทิ้งในไฟก็ไม่ตาย นาบีมุชา มีรองเท้าเป็นนาค ไม้เท้าเป็นแมงป่อง นาบีอีชาพูดกะคนตายได้ แต่มะหะหมัดนี้ไม่มีสำคัญ อะไรเลย เจา้ เมอื งมะกาจงึ วา่ ใหห้ าตวั มะหะหมดั เขา้ มา ใหผ้ า่ ดวงเดอื นลองดู ทา่ นจะเหน็ เปน็ อยา่ งไร ลุงจึงว่าชอบแล้วที่ไหนมันจะทำได้ ลุงจึงเตรียมมูลอูฐมูลลามูลม้าไว้ หมายว่ามะหะหมัดทำไม่ได้ ๑ เปน็ ความเชอ่ื ขอ้ หนง่ึ ของศาสนาอสิ ลามทว่ี า่ มนษุ ยท์ ง้ั มวลมาจากนบีอาดัม ๒ หมายถงึ ใหเ้ ผยแพรศ่ าสนาอสิ ลาม ๓ หมายถงึ กะลมี ะห์ทั้งสอง คือ คำปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจา้ อ่ืนใดนอกจากอัลลอฮ์ และมฮุ มั มดั เปน็ นบีคนสดุ ทา้ ย ๔ อาลอ ท่ถี กู คอื อลั ลอฮ์ มุสลิมศรทั ธาในพระเจ้าองคเ์ ดียว ไมม่ ีการตงั้ ภาคี (การถอื สิ่งอ่ืนเสมอเทา่ อัลลอฮ)์ ๕ หมายถงึ เปน็ ศาสนทตู ของอลั ลอฮ์ ๖ กรอาม ที่ถูกคือกุรอาน เปน็ คมั ภรี ข์ องอสิ ลาม มฮุ มั มดั ไมไ่ ดเ้ ปน็ ผสู้ รา้ งแตเ่ ปน็ ผทู้ ร่ี บั คำสง่ั จากพระเจา้ การประทานกรุ อานลงมาแก่ มวลมนษุ ยชาติ ไมไ่ ดล้ งมาทง้ั หมดในคราวเดยี ว แตล่ งมาเปน็ บทเปน็ ตอนตามวาระตา่ ง ๆ เมอ่ื เกดิ เหตกุ ารณข์ น้ึ ๗ มุสลิมเชื่อว่าพระเจ้าสร้างสัตว์ต่าง ๆ มา ให้เป็นพาหนะและเป็นอาหารแก่มนุษย์ สัตว์ชนิดใดที่เป็นอันตราย มนุษย์ก็สามารถ ขจดั ไดเ้ พอ่ื ปอ้ งกนั ตวั ๘ ทถ่ี กู นน้ั พวกทร่ี บั อสิ ลามเปน็ ฝา่ ยถกู กลน่ั แกลง้ จนตอ้ งหนไี ปอยทู่ อ่ี น่ื ๙ อบบู าฮมั ทถ่ี กู คอื อบูละฮับ เปน็ หวั หนา้ ชมุ ชนตอ่ จากอบตู อลบิ ลงุ ของนบมี ฮุ มั มดั เมอ่ื มกี ารเผยแพรศ่ าสนาอสิ ลามในเมอื งมกั กะห์ คนส่วนใหญ่ในมักกะห์ไม่ยอมรับ มีเฉพาะมิตรสหายของนบีมุฮัมมัดเพียงกลุ่มเดียว อบูตอลิบผู้เป็นลุงก็ไม่ยอมรับเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง ยังคงให้ความคุ้มครองนบีมุฮัมมัดอยู่ จนกระทั่งเมื่ออบูตอลิบเสียชีวิต อบูละฮับก็เป็นหัวหน้าชุมชนต่อมา นอกจากปฏิเสธอิสลามแล้วยัง ขัดขวางนบีมุฮัมมัดอีกด้วย ๑๐ ความผดิ ในทน่ี ้ี หมายถงึ การกราบไหวบ้ ชู าเจวด็ ซง่ึ ชาวเมอื งบางกลมุ่ ยงั ปฏบิ ตั อิ ยู่ แตต่ ามคำสอนของศาสนาอสิ ลามถอื วา่ เปน็ สง่ิ ผดิ ๑๑ หมายถึงไม่มีอะไรพิเศษกว่าคนธรรมดา เหมือนอย่างที่นบีคนก่อน ๆ มี เช่น นบีอาดัมเป็นต้นกำเนิดของมนุษย์ นบีนุห์ สรา้ งเรอื ใหญบ่ รรทกุ มนษุ ยแ์ ละสตั วเ์ มอ่ื ครง้ั นำ้ ทว่ มโลก นบีอิบรอฮีมไมต่ ายทง้ั ๆ ทถ่ี กู นำไปโยนในกองไฟ นบมี ซู ามไี มเ้ ทา้ เปน็ งู (ไมป่ รากฏวา่ มรี องเทา้ เปน็ นาค แตม่ ไี มเ้ ทา้ เปน็ งู ไมใ่ ชเ่ ปน็ แมงปอ่ ง) นบีอีซาทำใหค้ นตายฟน้ื ได้

ประวตั พิ ระนาบมี ะหะหมดั ๔๒๑ แล้วจะทำตอบมะหะหมัดด้วยมูลสัตว์เหล่านั้นให้อายเขา๑ เจ้าเมืองจึงให้หาตัวมะหะหมัดมา สั่งให้ ผ่าดวงเดือนให้ดู มะหะหมัดจึงเอื้อมมือไปหยิบดวงเดือนมาผ่าออกเป็นสองซีกแล้วทิ้งไปตะวันออก ซีกหนึ่ง ทิ้งไปตะวันตกซีกหนึ่ง แล้วจึงหยิบดวงเดือนนั้นให้ต่อติดกันเข้าดังเก่า แล้วเข้าตามมือเสื้อ โดยแขนซา้ ยออกแขนขวา แลว้ ใหด้ วงเดอื นรบั กะลมี าวา่ ๒ ผเู้ ปน็ เจา้ มแี ตอ่ งคเ์ ดยี วดอกไมม่ เี ปน็ สองสาม เจา้ เมอื งไดเ้ หน็ ดงั นน้ั ยงั ไมเ่ ชอ่ื แตเ่ จา้ เมอื งมบี ตุ รไมเ่ ปน็ รปู มนษุ ย์ เปน็ ลกู ฟกั อยู่ เจา้ เมอื งจงึ ใหม้ ะหะหมดั ลองทำบุตรลูกฟักนั้นให้เป็นมนุษย์ขึ้น มะหะหมัดจึงเอาน้ำละหมาดสวดขอพร ลูกฟักนั้นก็กลายเป็น มนษุ ยไ์ ป เจา้ เมอื งไดเ้ หน็ จรงิ มคี วามเชอ่ื กย็ อมเขา้ ในศาสนาอสิ ลาม๓ แตล่ งุ ของมะหะหมดั นน้ั โกรธแลว้ จึงหนีไปเสีย๔ แต่นั้นมามะหะหมัดก็เที่ยวสั่งสอนคนทั้งปวงได้ศิษย์ที่สนิท ๔ คน ชื่อ กูมาดา ๑ กูมาร ๑ อุสมาร ๑ อาลี ๑๕ ศิษย์ ๔ คนนี้ก็รับเป็นผู้ช่วยสั่งสอน ชาวเมืองมะกาที่ไม่รับคำสอน มะหะหมัดโดยเห็นว่าเป็นคนโกหกหลอกลวงคิดจะจับฆ่าเสีย มะหะหมัดรู้ตัวก็หนีไปอยู่เมืองมะไดนา๖ ชาวเมอื งมะกาทร่ี บั คำสอนกพ็ ลอยตามไปดว้ ย มะหะหมดั กเ็ ทย่ี วสง่ั สอนชาวเมอื งมะไดนา มคี นเขา้ รตี ดว้ ยมาก มกี ำลงั ขน้ึ จงึ กลบั เขา้ มารบเมอื งมะกา ไดเ้ มอื งมะกาแลว้ จงึ ยกไปตเี มอื งมะเซน ไดเ้ มอื งมะเซน แล้วยกไปตีเมืองหรุ่ม แล้วมะหะหมัดก็ตั้งตัวเป็นใหญ่ จึงตั้งลูกศิษย์ ๔ คน เป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ บ้านใดเมืองใดที่ไม่เชื่อก็ใช้ศิษย์ทั้ง ๔ คนนั้นไปเที่ยวปราบปรามบ้านนั้นเมืองนั้น๗ อยู่มาคืนหนึ่ง ๑ ไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ ๒ ทว่ี า่ หยบิ ดวงเดอื นมาผา่ และใสเ่ ขา้ ไปในแขนเสอ้ื และใหด้ วงเดอื นกลา่ วปฏญิ านนน้ั ไมป่ รากฏตามนน้ั มแี ตว่ า่ นบมี ฮุ มั มดั ชี้มือไปยัง ดวงเดอื น ดวงเดอื นกแ็ ยกเปน็ สองซกี ๓ เรอ่ื งการอภนิ หิ ารใหล้ กู ฟกั เปน็ มนษุ ย์ ไมป่ รากฏในประวตั นิ บมี ฮุ มั มดั ๔ อบบู าฮมั ทถ่ี กู คอื อบูละฮับ เปน็ หวั หนา้ ชมุ ชนตอ่ จากอบตู อลบิ ลงุ ของนบมี ฮุ มั มดั เมอ่ื มกี ารเผยแพร่ศาสนาอสิ ลามในเมอื งมกั กะห์ คนส่วนใหญ่ในมกั กะหไ์ ม่ยอมรับ มีเฉพาะมิตรสหายของนบีมุฮัมมัดเพียงกลุ่มเดียว อบูตอลิบผู้เป็นลุงก็ไม่ยอมรับเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง ยังคงให้ความคุ้มครองนบีมุฮัมมัดอยู่ จนกระทั่งเมื่ออบูตอลิบเสียชีวิต อบูละฮับก็เป็นหัวหน้าชุมชนต่อมา นอกจากปฏิเสธอิสลามแล้วยัง ขัดขวางนบีมุฮัมมัดอีกด้วย ๕ สหายของนบีมุฮัมมัดที่เข้ารับอิสลามและคอยให้กำลังใจตลอดมา คืออบูบักร (ตามพงศาวดารนี้เรียกเพี้ยนไปว่ากูมาดา) อุมัร (ตามพงศาวดารนี้เรียกว่ากูมาร) อุสมานและอาลี ๖ เมื่อเผยแพร่อิสลามได้ ๗ ปี กลุ่มผู้ต่อต้านได้ต่อต้านนบีมุฮัมมัดและพวกจนต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวถึง ๓ ปี ต่อมาแม้จะมีการ ประกาศยกเลิกมาตรการโดดเดี่ยว ชาวเมืองมักกะห์ก็ยังต่อต้านนบีมุฮัมมัดอยู่ ท่านจึงเดินทางไปเมืองตออิฟซึ่งอยู่ใกล้มักกะห์และอยู่ติด ทะเลแดง อยู่เพียงเดือนเดียวก็รู้ว่าไม่ประสบความสำเร็จในการเผยแพร่อิสลาม เพราะผู้คนพากันกลั่นแกล้งไม่ยอมรับ นบีมุฮัมมัด จงึ พาพรรคพวกกลบั มาทม่ี กั กะหอ์ กี ครง้ั หนง่ึ และอกี ๒ ปตี อ่ มาจงึ อพยพไปยงั เมอื งยษั รบิ ซง่ึ ตอ่ มาเรยี กวา่ มะดนี ะห์ (ตามพงศาวดารนเ้ี รยี กวา่ มะไดนา) การอพยพไปมะดีนะห์เป็นไปตามคำสั่งของพระเจ้า วันที่ออกเดินทางตรงกับวันที่ ๒๐ กันยายน ค.ศ. ๖๒๒ ซึ่งอีก ๑๗ ปีต่อมา อมุ รั ผดู้ ำรงตำแหนง่ ผนู้ ำ (เรยี กวา่ คอลฟิ ะหห์ รอื ทภ่ี าษาองั กฤษเรยี กเพย้ี นไปเปน็ CALIPH – กาหลบิ ) จงึ ใหถ้ อื วา่ ปนี น้ั เปน็ ปเี รม่ิ ตน้ ฮจิ เราะหศ์ กั ราช (ฮิจเราะหแ์ ปลว่าการอพยพ) ๗ ในสมัยของนบมี ฮุ ัมมัด นอกจากทำสงครามกบั ชาวมักกะหเ์ พอ่ื ปอ้ งกนั ตวั เอง และการเผยแผอ่ สิ ลามไปยงั เมอื งตา่ ง ๆ ในคาบสมทุ ร อาหรับแลว้ ไมม่ กี ารทำสงครามทใ่ี ชก้ ำลงั เพอ่ื ตง้ั ตวั เปน็ ใหญ่ การทำสงครามปรากฏในสมยั หลงั จากทน่ี บมี ฮุ มั มดั เสยี ชวี ติ ไปแลว้

๔๒๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ยบิ ราเอลพามะหะหมดั ขน้ึ ไปบน ๗ ชน้ั ฟา้ ไปถงึ ชน้ั อารดั ๑ เฝา้ พระเปน็ เจา้ พระเปน็ เจา้ จงึ สง่ั มะหะหมดั ใหก้ ราบพระทง้ั ๕ องค์ ๆ ละเวลา ๆ๒ ดงั กลา่ วมาแลว้ กอ่ น แลว้ มะหะหมดั กก็ ลบั ลงมาจาก ๗ ชน้ั ฟา้ แตน่ น้ั มาถา้ มผี มู้ าถามดว้ ยขอ้ ความสง่ิ ใด มะหะหมดั กเ็ คลม้ิ หลบั ไป แลว้ มอี กั ษรผดุ ขน้ึ ทต่ี วั ศษิ ยท์ ง้ั ๔ คนก็เข้ามาอ่านดูและถามความในใจที่ยิบราเอลลงมาบอกนั้น๓ เห็นถูกต้องกันแล้ว จึงจารึกลงไว้เป็น คัมภีร์หนึ่ง ก็แลคัมภีร์เดิมนาบีอาดัมลงไว้ ๑๐ เล่ม ในภาษาเทศ นาบีเซดลง ๕๐ เล่มในภาษาจีน อดิ ดรศิ ลงไว้ ๓๐ เลม่ อบิ ราเฮมลงไว้ ๑๐ เลม่ นาบมี ชุ า ๑ เลม่ ชอ่ื เตา้ เหรด็ ลงเปน็ รอ้ ยคมั ภรี ์ นาบอี ดุ ลงไว้ ๑ เล่มในภาษาอิบรานี ชื่อว่าดาวโปน นาบีอิชาลงไว้ ๑ เล่ม ชื่ออินเซม มะหะหมัดลงไว้ ๑ เล่มชื่อกรอ่าม๔ มะหะหมัดมีกำลังมากขึ้น ก็ให้ศิษย์ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนเที่ยวปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวง ฝ่ายใต้ฝ่ายเหนือตะวันตกตะวันออก จนถึงแผ่นดินฮินดูสุลต่านตลอดถึงชวามลายู ผู้ใดรับคำสอน ก็ไว้ชีวิต ผู้ใดไม่เชื่อด้วยก็ฆ่าเสียไว้แต่เด็ก ๆ ให้ครูสอนศาสนาต่อไป มะหะหมัดมีภรรยา ๑๒ คน๕ ๑ เอารัด คือ อะรัช หมายถึงบัลลังก์ เป็นเหตุการณ์ตอนที่ยิบรีลลงมานำนบีมุฮัมมัดไปเยรูซาเล็ม ไปหาบรรดานบีก่อนหน้านี้ มกี ารละหมาดรว่ มกนั ตอ่ จากนัน้ ยิบรีลพาขน้ึ ไปบนฟากฟ้า ผ่านฟา้ ๗ ชัน้ ไปสุดทบ่ี ัลลังก์อะรชั อลั ลอฮท์ รงบนั ดาลใหน้ บมี ฮุ มั มดั เหน็ สญั ญาณ ตา่ ง ๆ เพอ่ื ยนื ยนั วา่ เปน็ ทตู ของอลั ลอฮจ์ รงิ ๆ นบมี ฮุ มั มดั ไดร้ บั บญั ญตั เิ รอ่ื งการละหมาดวนั ละ ๕ เวลาลงมาในครง้ั นน้ั ๒ ไมใ่ ชก่ ารกราบพระทง้ั ๕ องค์ แตเ่ ปน็ การละหมาดเพอ่ื รำลกึ ถงึ อลั ลอฮ์ วนั ละ ๕ เวลา ๓ น่าจะหมายถึงการรับวะฮีย์หรือคำสั่งจากพระเจ้า ๔ กอ่ นหนา้ นบมี ฮุ มั มดั ไดม้ กี ารรบั บญั ญตั จิ ากพระเจา้ ลงมาบนั ทกึ ในคมั ภรี แ์ ลว้ ไดแ้ ก่ นบีมูซา (ในพงศาวดารนเ้ี รยี กมชุ า) ได้รับคมั ภรี ์ เตารอต (ในพงศาวดารเรยี กเตา้ เหรด็ ) นบดี าวดู (ในพงศาวดารนเ้ี รยี กดาอดุ ภาษาอิบรานี คือ ภาษาฮบี รู และคัมภีร์ดาวโปน คือ คัมภีรซ์ ะบูร) นบีอีซา (ในพงศาวดารนี้เรียกอีชา) ได้รับคัมภีร์อินญีล (ในพงศาวดารนี้เรียกอินเซม) และนบีมุฮัมมัดได้รับคัมภีร์กุรอาน (ในพงศาวดารนี้ เรยี กกรอา่ ม) ๕ ภรรยาทั้ง ๑๒ คน ของนบีมุฮัมมัดมีนางอาอีชะห์เพียงคนเดียวที่เป็นหญิงสาว นอกนั้นเป็นหญิงม่ายที่ขาดที่พึ่งและผู้คุ้มครอง การแตง่ งานแตล่ ะครง้ั จงึ เปน็ การดแู ลคมุ้ ครองสตรดี ว้ ย ชอ่ื ภรรยาและชอ่ื ตา่ ง ๆ ทถ่ี กู ตอ้ งมดี งั น้ี ๑. นางดาดะชะ บตุ รรี วยลิบ ที่ถูกคือ นางคอดียะห์ บตุ รีควุ ยั ลดิ ๒. นางสดุ ะ บุตรีดำอะ ที่ถูกคือ นางเซาดะห์ บตุ รีฮัมซะห์ ๓. นางอาวิชา บุตรีอาปุดาอา ที่ถูกคือ นางอาอิชะห์ บุตรีอบบู กั ร ๔. นางซบั ฟาฮา บตุ รีกมุ าร ที่ถูกคือ นางฮบั เซาะห์ บตุ รีอุมัร ๕. นางโจมหะมนี า บุตรีอามศิ ฟอี าน ที่ถูกคือ นางรอมละห์ บุตรีอบซู ฟุ ยาน ๖. นางเดนบั บุตรบี ดมิ า ที่ถูกคือ นางซยั นบั บตุ รีคซุ ยั มะห์ ๗. นางยาหาศ บตุ รียาเรีย ที่ถูกคือ นางยวุ ยั รยี ะห์ บตุ รีฮารษิ ๘. นางเดนับ ที่ถูกคือ นางซัยนับ ๙. นางอุไมสะลามา ที่ถูกคือ นางอมุ มสุ ลามะห์ ๑๐. นางอุไมมุนา ที่ถูกคือ นางมยั มนู ะห์ ๑๑. นางซับเฟีย บตุ รฮี ไู ย ที่ถูกคือ นางซอฟียะห์ บตุ รีฮยุ ยั ๑๒. นางมาเรีย ที่ถูกคือ นางมารยี ะห์ ชอ่ื บตุ รและบตุ รที ถ่ี กู ตอ้ งเปน็ ดงั น้ี เดาแซน คอื กอเซ็ม รอตียะ คือ รกุ อ็ ยยะห์ ฮบั ดาลา คือ อบั ดลุ เลาะห์ อไุ มดละชนุ คือ อมุ มกุ ลั โซม ปอเฮระ คือ อบิ รอฮมี ฟอตมี า คือ ฟาติมะห์ นัด คือ ซัยนับ