Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๔

ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๔

Description: ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๔

Search

Read the Text Version

ปฐมวงศ์ ๒๓ ในราชสมบตั บิ า้ ง มากมายหลายพระองค์ สน้ิ พระชนมเ์ สยี แตย่ งั ทรงพระเยาวบ์ า้ ง ไดท้ รงพระเจรญิ อยมู่ านาน ได้เป็นใหญ่ในราชการแผ่นดินต่อ ๆ มาบ้าง คงอยู่แต่ตามบรรดาศักดิ์พระองค์เจ้าไม่ได้ทรงทำ ราชการเปน็ แผนกบา้ ง ครน้ั จะออกพระนามนน้ั ไปเปน็ ลำดบั ทางกถาน้ี กจ็ ะพสิ ดารมากไปแลว้ จะสบั สน ขวกั ไขวข่ า้ งในขา้ งหนา้ และพระองคท์ ป่ี รากฏควรปรากฏ และพระองคท์ ไ่ี มป่ รากฏไมค่ วรจะปรากฏนน้ั กจ็ ะ สบั สนพลั วนั กนั นกั จะสงั เกตยาก เพราะฉะนน้ั จะขอกำหนดออกพระนามแตพ่ ระองคท์ ไ่ี ดเ้ ปน็ ใหญใ่ น ตำแหนง่ ในราชการปรากฏ และไมม่ คี วามผดิ ในราชการควรจะนบั ถอื วา่ พระนามนน้ั เปน็ มงคล พระราชโอรส ซึ่งได้เป็นเจ้าต่างกรมมีราชการอยู่ได้บังคับงานในแผ่นดินนั้นและแผ่นดินลำดับมานั้นที่ควรนับแต่ ๑๑ พระองค์ คอื ๑. พระองค์เจ้าทับทิม เป็นกรมหมื่นอินทรพิพิธได้ว่ากรมพระนครบาล แล้วภายหลังได้ว่า กรมแสงใหญ่ ๒. พระองคเ์ จา้ อภยั ทตั เปน็ กรมหมน่ื แลว้ เปน็ กรมหลวงเทพพลภกั ด์ิ เจา้ จอมมารดาเปน็ พระสนม เอก บตุ รพี ระยาจกั รเี มอื งนครศรธี รรมราช ครง้ั เจา้ เมอื งขงึ แขง็ ตง้ั ตวั เปน็ เจา้ นน้ั ไดว้ า่ กรมคชบาลและ การอน่ื ๆ บา้ ง ๓. พระองคเ์ จา้ อรโุ ณทยั เปน็ กรมหมน่ื ศกั ดพ์ิ ลเสพย์ เจา้ จอมมารดาเปน็ พระสนมเอกไดเ้ ปน็ เจา้ ไดเ้ วลาหนง่ึ เพราะเปน็ บตุ รเี จา้ พระยาสธุ รรมมนตรี (พดั ) และมารดานน้ั เปน็ บตุ รเจา้ พระยานครศรธี รรมราช ซง่ึ ตง้ั ตวั เปน็ เจา้ นครนน้ั ครง้ั กรงุ เทพทวาราวดศี รอี ยธุ ยาแตกทำลายแลว้ ใหมน่ น้ั และพระองคเ์ จา้ พระองคน์ ้ี ไดเ้ ปน็ ใหญเ่ ปน็ อธบิ ดี วา่ ราชการกรมพระกลาโหมและหวั เมอื งปากใตท้ ง้ั ปวง ในแผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ครั้นถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จเถลิงเป็น กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล ๔. พระองคเ์ จา้ ทบั เปน็ กรมหมน่ื จติ รภกั ดีวา่ ราชการชา่ งสบิ หมู่ ๕. พระองค์เจ้าสุริยา เป็นกรมหมื่นแล้วเป็นกรมขุนแล้วภายหลังเลื่อนเป็นกรมพระรามอิศเรศ ไดว้ า่ ราชการตา่ ง ๆ ไมเ่ ปน็ ตำแหนง่ วา่ ความรบั สง่ั บา้ ง เปน็ แมก่ องทำการงานบา้ ง ๖. พระองคเ์ จา้ วาสกุ รที รงผนวชได้ ๔ พรรษา แลว้ ไดเ้ ปน็ อธบิ ดสี งฆ์ แลว้ ไดเ้ ลอ่ื นเจา้ ตา่ งกรม มีพระนามว่ากรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัติยวงศ์ พระองค์นั้นเป็นอัจฉริยมนุษยบุรุษรัตนอันพิเศษ ทรงพระปรชี าฉลาดรใู้ นพระพทุ ธศาสนแ์ บบอยา่ งโบราณราชประเพณตี า่ ง ๆ และไดเ้ ปน็ อปุ ชั ฌายอ์ าจารยิ เ์ จา้ ฟา้

๒๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ทรงพระปรชี าฉลาดรใู้ นพระพทุ ธศาสนแ์ บบอยา่ งโบราณราชประเพณตี า่ ง ๆ และไดเ้ ปน็ อปุ ชั ฌายอ์ าจารยิ เ์ จา้ ฟา้ และพระองค์เจ้า หม่อมเจ้าในพระบรมราชวงศ์นี้มากหลายพระองค์ ภายหลังเมื่อในแผ่นดินปัจจุบันนี้ ๑ ไดเ้ ลอ่ื นเปน็ กรมสมเดจ็ พระปรมานชุ ติ ชโิ นรส ศรสี คุ ตขตั ยิ วงศ์ มหาปาโมขประทานวโรดมบรมนารถบพติ ร เสดจ็ สถติ ย ณ วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม ราชวรมหาวหิ ารพระอารามหลวงพระองคห์ นง่ึ ๗. พระองคเ์ จา้ ฉตั ร เปน็ กรมหมน่ื สรุ นิ ทรรกั ษ์ ไดว้ า่ ราชการกรมพระนครบาล ในแผน่ ดนิ พระบาท สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ครั้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ว่าราชการ มหาดไทยกลาโหม เปน็ ทท่ี รงปฤกษาวา่ ราชการแผน่ ดนิ ๘. พระองค์เจ้าสุริยวงศ์ เป็นพระองค์เจ้าพระเคราะห์ร้ายสบายบ้างไม่สบายบ้างแต่เดิมมา ครน้ั ถงึ แผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั สมคั รไปทำราชการในบวรราชวงั ไดเ้ ปน็ กรมหมน่ื สวัสดิวิไชย ว่าราชการแทบทุกตำแหน่ง ครั้นอยู่มาในแผ่นดินปัจจุบันนี้ ๒ กลับลงมาทำราชการใน พระบรมมหาราชวงั ไดเ้ ปน็ กรมหลวงพเิ ศษศรสี วสั ดส์ิ ขุ ขวฒั นวไิ ชย ๙. พระองคเ์ จา้ ดารากร เปน็ กรมหมน่ื ศรสี เุ ทพวา่ ราชการกรมชา่ งสบิ หมู่ ๑๐. พระองคเ์ จา้ ดวงจกั ร กเ็ ปน็ พระองคเ์ จา้ พระเคราะหร์ า้ ย สบายบา้ งไมส่ บายบา้ งแตแ่ ขง็ แรง ไดร้ าชการเปน็ กรมหมน่ื ณรงคห์ รริ กั ษ์ วา่ ราชการชา่ งหลอ่ ๑๑. พระองค์เจ้าสุทัศน์ เป็นกรมหมื่นไกรสรวิชิต ได้ว่าราชการคลังเสื้อหมวก คลังสุภรัตน และกรมสงั ฆการี กรมธรรมการ พระราชธดิ าซง่ึ ควรจะกำหนดออกพระนามนน้ั ควรนบั ๙ พระองค์ คอื ๑. พระองค์เจ้านุ่ม เป็นผู้ใหญ่กว่าทุกพระองค์บรรดาซึ่งมีพระชนม์อ่อนกว่าเจ้าฟ้ากรมหลวง เทพยวดลี งมา เจา้ จอมมารดาเปน็ เจา้ จอมขา้ หลวงเดมิ เปน็ ญาตพิ ระยานครราชสมี า (ทองอนิ )๓ พระองคเ์ จา้ พระองคน์ ไ้ี ดท้ ำราชการขา้ งใน ในแผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ๒. พระองคเ์ จา้ พลบั พระองคห์ นง่ึ เปน็ กำพรา้ ไมม่ เี จา้ จอมมารดา พระราชทานมอบใหก้ รมสมเดจ็ พระศรสี ดุ ารกั ษ์ ทำนบุ ำรงุ มามพี ระชนมย์ นื นานไดเ้ ปน็ พระบรมวงศเ์ ธอผใู้ หญข่ า้ งใน ในแผน่ ดนิ ปจั จบุ นั น้ี ๔ ๑ หมายถงึ แผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ๒ หมายถงึ แผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ๓ พระยานครราชสมี า (ทองอนิ ณ ราชสมี า)

ปฐมวงศ์ ๒๕ ๓. พระองคเ์ จา้ เกสรไดท้ ำราชการขา้ งใน ในแผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ๔. พระองคเ์ จา้ จงกล เปน็ พระเชษฐภคนิ ขี องกรมหมน่ื สรุ นิ ทรรกั ษ์ รว่ มเจา้ จอมมารดาไดท้ ำราชการ สดงึ ในแผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ๕. พระองคเ์ จา้ มณฑา ๖. พระองคเ์ จา้ มณี ๗. พระองคเ์ จา้ ดวงสดุ า ๓ พระองคม์ พี ระชนมย์ นื อยมู่ านาน ไดเ้ ปน็ พระบรมวงศเ์ ธอผใู้ หญใ่ น แผน่ ดนิ ปจั จบุ นั น้ี ๑ ๘. พระองคเ์ จา้ ศศธิ รไดท้ ำราชการเปน็ ครชู กั และสอนพระองคเ์ จา้ สวดมนต์ ในหอพระพทุ ธรปู ขา้ งใน ๙. พระองคเ์ จา้ จนั ทบรุ ี ภายหลงั เลอ่ื นเปน็ เจา้ ฟา้ กณุ ฑลทพิ ยวดี เพราะเจา้ จอมมารดาซง่ึ ไดเ้ ปน็ พระสนมเอกนั้นเป็นเชื้อเจ้าเมืองลาวคือเป็นพระธิดาเจ้าเวียงจันทน์ เจ้าฟ้าพระองค์นี้ได้เป็นพระบรมราช ชายานารี ในแผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั มเี จา้ ฟา้ ๔ พระองค์ ซง่ึ จะนบั เอาพวก ขา้ งหนา้ ตอ่ ไป ๕. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในแผ่นดินพระบาทสมเด็จ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกนน้ั เมอ่ื กอ่ นกรงุ ศรอี ยธุ ยายงั ไมแ่ ตกทำลายนน้ั กย็ งั ไมม่ พี ระโอรสพระธดิ าครน้ั มา เมอ่ื แผน่ ดนิ เจา้ กรงุ ธนบรุ ี ไดม้ นี ารหี นง่ึ มาเปน็ พระชายา ประสตู พิ ระโอรสและพระธดิ าพระองคห์ นง่ึ หรอื สองพระองค์ สน้ิ พระชนมเ์ สยี แตย่ งั พระเยาว์ แลว้ นารนี น้ั กเ็ ลกิ รา้ งรา้ วฉานไปไมไ่ ดอ้ ยดู่ ว้ ยกนั ครั้นภายหลังจึงได้นารีสาวชาวเชียงใหม่ ชื่อเจ้ารจจาเป็นธิดาเจ้าเชียงใหม่คนเก่า มาเป็น พระอรรคชายาประสูติพระธิดาพระองค์หนึ่ง ชื่อเจ้าฟ้าพิกุลทอง ซึ่งภายหลังเป็นกรมขุนศรีสุนทร ควรจะนบั วา่ เปน็ พระธดิ าผใู้ หญก่ วา่ ทง้ั ปวง และไดม้ พี ระราชบตุ รและพระราชบตุ รี แตน่ ารบี าทบรจิ ารกิ าและ พระสนมนางในอกี หลายพระองค์ แตค่ รน้ั ยงั ไมไ่ ดเ้ ฉลมิ อปุ ราชาภเิ ษกบา้ ง เมอ่ื เฉลมิ อปุ ราชาภเิ ษกแลว้ บา้ ง จะขอออกพระนามแต่พระองค์ที่เป็นสำคัญปรากฏ ควรเป็นที่นับถือหรือควรเป็นต้นวงศ์ของเจ้าฟ้าและ พระองคเ์ จา้ หมอ่ มเจา้ ตอ่ ลงมาในชน้ั หลงั ๆ นน้ั ๑ แผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั

๒๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระราชบตุ รนน้ั คอื กรมหมน่ื เสนเี ทพ ๑ กรมขนุ นรานชุ ติ ๑ สองพระองคน์ ไ้ี ดเ้ ปน็ เจา้ ตา่ งกรม มพี ระบตุ รพระบตุ รี เปน็ หมอ่ มเจา้ ชายหมอ่ มเจา้ หญงิ สบื ลงมามาก พระราชบตุ รนี น้ั คอื พระองคเ์ จา้ ดวงจนั ทร์ พระองค์ ๑ เปน็ ผใู้ หญ่ กบั พระองคเ์ จา้ ดสุ ดิ าอบั สร ๑ สองพระองคน์ ้ี ในแผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ เลศิ หลา้ นภาลยั ไดท้ ำราชการอยใู่ นพระบวรราชวงั ครน้ั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั กรมพระราชวงั เสดจ็ สวรรคตแลว้ ไดล้ งมาทำราชการอยใู่ นพระบรมมหาราชวงั อยจู่ นสน้ิ แผน่ ดนิ พระองคเ์ จา้ ดาราอกี พระองค์ หนง่ึ เมอ่ื แผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ไดท้ ำราชการอยใู่ นพระบวรราชวงั เหมอื นกนั กบั พระองคเ์ จา้ ดวงจนั ทร์ ครน้ั กรมพระราชวงั เสดจ็ สวรรคตแลว้ จงึ กรมพระราชวงั ในแผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซง่ึ ในเวลานน้ั ยงั เปน็ กรมหมน่ื ศกั ดพิ ลเสพย์ ไดใ้ หก้ ราบทลู ขอแตพ่ ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ไปเปน็ พระชายา ประสตู บิ ตุ รพระองคห์ นง่ึ คอื เจา้ ฟา้ อศิ ราพงศ์ ครน้ั เมอ่ื กรมพระราชวงั พระองคน์ น้ั ไดอ้ ปุ ราชาภเิ ษกแลว้ พระองคเ์ จา้ ดารากไ็ ดม้ อี ำนาจเปน็ ใหญก่ ารขา้ งในทง้ั ปวงใน กรมพระราชวงั จงึ ไดป้ รากฏพระนามตอ่ ภายหลงั รเู้ รยี กกนั วา่ เจา้ ขา้ งในบา้ ง เสดจ็ ขา้ งในบา้ ง แตพ่ วกใน พระบวรราชวงั เวลานน้ั เรยี กกนั ทลู กระหมอ่ มขา้ งใน พระองคเ์ จา้ ประทมุ ราชพระองคห์ นง่ึ เจา้ จอมมารดา เป็นพระน้านางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวัง ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจา้ อยหู่ วั ๖. กรมหลวงนรนิ ทรเทวนี น้ั เมอ่ื แผน่ ดนิ กรงุ ธนบรุ ี ไดก้ รมหมน่ื นรนิ ทรพทิ กั ษ ซง่ึ คนเปน็ อนั มากเรยี กวา่ กรมหมน่ื มกุ นน้ั เปน็ ภสั ดา ไดป้ ระสตู พิ ระบตุ รพระองคห์ นง่ึ คอื กรมหลวงนรนิ ทรเทพย์ แลว้ มาในแผน่ ดนิ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ประสูติพระบุตรอีกพระองค์หนึ่ง คือกรมหมื่นนเรนทรบริรักษ์ กรมหมน่ื ซง่ึ เปน็ บตุ รนน้ั กไ็ ดเ้ ปน็ ตน้ วงศ์ ของหมอ่ มเจา้ ชายหญงิ เปน็ อนั มากสบื ลงมา ๗. กรมหลวงจักรเจษฎานั้นไม่ได้มีพระชายาเป็นสำคัญ มีแต่หญิงบาทบริจาริกาเป็นอันมาก ประสตู หิ มอ่ มเจา้ ชายหมอ่ มเจา้ หญงิ กเ็ ปน็ อนั มาก แตค่ วรจะออกชอ่ื อยอู่ งคห์ นง่ึ คอื หมอ่ มเจา้ สวนซง่ึ ทรงผนวช มาแตอ่ ายุ ๒๐ ปี ไดเ้ ลา่ เรยี นพระคมั ภรี พ์ ทุ ธวจนะอยบู่ า้ ง ภายหลงั ไดเ้ ลอ่ื นเปน็ หมอ่ มเจา้ ราชาคณะปรากฏ นามว่าหม่อมเจ้าพระสิลวราลังการ ได้เป็นอธิบดีสงฆ์ในวัดชนะสงครามด้วยทางกถามีประมาณเท่านี้ เปน็ อนั พรรณนาถงึ พระบรมวงศานวุ งศซ์ ง่ึ ออกจากพระโอรสพระธดิ าของสมเดจ็ พระบรมมหาไปยกาธบิ ดที ง้ั ๗ พระองค์ ซึ่งเป็นต้นแซ่ต้นสกุลสืบลงมานับว่าเป็นชั้นสาม เพราะสมเด็จพระบรมมหาไปยกาธิบดี ถ้านับว่าเป็นชั้นต้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและพระญาติเสมอยุคหกพระองค์นั้น ก็ควรนับว่าเป็นชั้นสอง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระบรมวงศานุวงศ์ซึ่งเป็น

ปฐมวงศ์ ๒๗ สนามยคุ พวกนจ้ี งึ ควรนบั วา่ เปน็ ชน้ั สามดงั พรรณนามานแ้ี ล จะขอกลา่ วถงึ ความประวตั เิ ปน็ ไปตา่ ง ๆ ในโลกน้ี จนถงึ กาลเมอ่ื ลว่ งไปปรโลกของพระองค์ ทา่ นซง่ึ เปน็ บรุ พบรุ ษุ ในพระบรมราชวงศอ์ นั น้ี ซง่ึ เปน็ ชน้ั ตน้ คอื สมเดจ็ พระบรมมหาไปยกาธบิ ดี และสมเดจ็ พระไปยิกาใหญแ่ ละสมเดจ็ พระไปยกิ านอ้ ย ๓ พระองค์ และพระโอรสพระธดิ าของสมเดจ็ พระบรมมหา ไปยกาธิบดีทั้ง ๗ พระองค์ ดังออกพระนามมาแต่ก่อนนั้น ตามกำหนดประวัติเวลาของพระองค์นั้น ๆ เรยี งไปในลำดบั โดยสงั เขป เพอ่ื จะใหผ้ อู้ า่ นผฟู้ งั ไดส้ ตปิ ลงพระไตรลกั ษณป์ ญั ญา ปลงเหน็ อนจิ จงั ลกั ษณะ ทกุ ขลกั ษณะ อนตั ตลกั ษณะ เพราะไดส้ ดบั นบ้ี า้ งไมป่ ราศจากประโยชนใ์ นทางภาวนามยั กศุ ล ซง่ึ เปน็ กศุ โลบายอนั ใหญอ่ นั งามกวา่ กศุ ลอน่ื สมเดจ็ พระบรมมหาไปยกาธบิ ดนี น้ั ทราบแตว่ า่ เมอ่ื ครง้ั กรงุ ทวาราวดศี รอี ยธุ ยา ไดเ้ ปน็ ทพ่ี ระอกั ษร สนุ ทรสาสนอยใู่ นกรมมหาดไทย จนตลอดเวลาพมา่ ขา้ ศกึ ลอ้ มกรงุ ศรอี ยธุ ยาในคราวทก่ี รงุ จะแตกทำลายนน้ั แต่สมเดจ็ พระไปยกาพระองคใ์ หญน่ น้ั ไดม้ พี ระโอรสพระธดิ าหา้ พระองค์ แลว้ กส็ น้ิ พระชนม์ ลว่ งไปโดยนบั ทก่ี ลา่ วมาแลว้ แตเ่ มอ่ื สน้ิ พระชนมน์ น้ั พระชนมายเุ ทา่ ใดไมท่ ราบถนดั พระไปยกิ าพระองค์ นอ้ ยนน้ั ไดร้ บั ปรนนบิ ตั ิ สมเดจ็ พระบรมมหาไปยกาธบิ ดมี าไดป้ ระสตู พิ ระธดิ าพระองคห์ นง่ึ จะสน้ิ พระชนม์ เมอ่ื ใดกห็ าไดค้ วามเปน็ แนไ่ ม่ ไดค้ วามเปน็ แนแ่ ตว่ า่ เมอ่ื พมา่ เขา้ กรงุ ศรอี ยธุ ยาเวลาทส่ี ดุ นน้ั สมเดจ็ พระบรม มหาไปยกาธบิ ดี มพี ระดำรจิ ะออกจากกรงุ ศรอี ยธุ ยาหลกี หนขี า้ ศกึ ไปอยใู่ หห้ า่ งไกล จะชกั ชวนพระโอรส พระธิดาทั้งปวงตามเสด็จไปด้วยพร้อมกัน พระโอรสพระธิดาทั้งหกพระองค์ที่ทรงพระเจริญแล้วนั้น ได้แยกย้ายไปตั้งสกุลอื่นมีพระบุตรพระบุตรี เกี่ยวข้องพัวพันมากมายจะรวบรวมพร้อมเพรียงกันแล้ว และพวกใหญ่ออกโดยง่ายหาได้ไม่ เมื่อได้ช่องจึงได้พาแต่พระกุมารพระองค์น้อยกับหญิงบาทบริจาริกา ซง่ึ เปน็ พระมารดาของพระกมุ ารนน้ั ไปอาศยั อยู่ ณ เมอื งพษิ ณโุ ลก ไดท้ รงปรนนบิ ตั แิ กเ่ จา้ เมอื งพษิ ณโุ ลก ซง่ึ ทราบไปวา่ กรงุ ศรอี ยธุ ยาอยใู่ นเงอ้ื มอื พมา่ ขา้ ศกึ แลว้ กถ็ อื อำนาจตง้ั ตนเปน็ เจา้ แผน่ ดนิ ใหญข่ น้ึ ในเวลานน้ั ตั้งขุนนางอย่างกรุงเทพมหานครทุกตำแหน่ง ตั้งสมเด็จพระบรมมหาไปยกาธิบดีเป็นเจ้าพระยาจักรีในที่ สมหุ นายกอรรคมหาเสนาบดี เจา้ เมอื งพษิ ณโุ ลกมจี ติ กำเรบิ บงั คบั ใหถ้ อดโฉนดหมายอา้ งบงั คบั ตนเรยี กวา่ พระราชโองการ โดยไม่มีการพิธีราชาภิเษก อยู่ได้เจ็ดวันก็ถึงแก่พิราลัย แล้วองค์สมเด็จพระบรมมหาไปยกาธิบดี ก็มิได้มีความมักใหญ่ใฝ่สูงตั้งตัวเป็นใหญ่ต่อไป แอบอาศัยอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก ซึ่งครั้งตกอยู่ใน

๒๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ อำนาจพระทากุลเถรเมืองฝาง ตัวชื่อเรือน ซึ่งตั้งตัวเป็นใหญ่ในเมืองฟากเหนือ แผ่อำนาจลงมาจนถึง เมืองพิจิตรข้างตะวันตกไปถึงเมืองสวรรคโลกและเมืองสุโขทัย สมเด็จพระบรมมหาไปยกาธิบดอี าศัยอยู่ ณ เมอื งพษิ ณโุ ลกไมช่ า้ กท็ รงพระประชวรแลว้ เสดจ็ สวรรคตอยใู่ นเมอื งพษิ ณโุ ลกนน้ั เมอ่ื เวลากรงุ ศรอี ยธุ ยา แตกทำลายแลว้ มไิ ดช้ า้ นาน กำลงั การบา้ นเมอื งยงั เปน็ จลาจลอยนู่ น้ั จงึ พระโอรสคอื กรมหลวงจกั รเจษฎา กับมารดาซึ่งตามเสด็จไปด้วยนั้น ได้มีความกตัญญูกตเวที จัดการถวายพระเพลิงตามกำลังที่จะทำให้ แลว้ เชญิ พระบรมอฐั กิ บั สงั ขพระมหาอตุ ราวฏั ซง่ึ เปน็ ของสำหรบั สกลุ สบื มาแตก่ อ่ นเปน็ สำคญั คอื นำกลบั ลงมาแล้วไปทูลเกล้า ฯ ถวายแกพ่ ระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อครั้งเสด็จอยู่วังบ้านหลวง ในกรุงเมืองธนบุรี เมื่อแผ่นดินเจ้ากรุงธนบุรีนั้น เป็นความชอบอันใหญ่ยิ่งของกรมหลวงจักรเจษฎาและ คุณมา ซึ่งเป็นหม่อมมารดานั้นอยู่ ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้เสด็จ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั บิ รมราชาภเิ ษกแลว้ จงึ ไดเ้ ชญิ พระบรมอฐั สิ มเดจ็ พระบรมชนกนารถนน้ั ลงในพระโกศ ทองคำประดับพลอยทับทิม ตั้งประดิษฐานในหอพระที่นมัสการในบรมราชวัง สำหรับทรงสักการบูชา ทกุ คำ่ เชา้ มไิ ดข้ าด และสำหรบั ใหพ้ ระราชวงศานวุ งศ์ และขา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาท ไดก้ ราบถวายบงั คมใน วันถือน้ำพระพิพัฒสัตยาแทนธรรมเนียมเดิมซึ่งเป็นโบราณจารีตมีนิยมให้คำนับพระเชษฐบิดร สร้างเป็น พระราชปฏมิ ากรรปู ของพระเจา้ รามาธบิ ดเี ปน็ ปฐมคอื พระองคซ์ ง่ึ สรา้ งกรงุ เกา่ แตก่ อ่ นนน้ั ไดเ้ ปน็ ทน่ี มสั การ ของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน และเป็นที่ถวายบังคมของพระราชวงศานุวงศ์ และข้าราชการในวันถือน้ำ พระพพิ ฒั สตั ยาในพระนครนน้ั สบื มาจนสน้ิ แผน่ ดนิ กรงุ ศรอี ยธุ ยา กลา่ วดว้ ยประวตั ขิ องทา่ นซง่ึ เปน็ บรุ พบรุ ษุ ชน้ั ตน้ สน้ิ แตเ่ ทา่ น้ี กรมสมเด็จพระเทพสุดาวดีนั้น กับทั้งพระภัสดาพระโอรสพระบุตรี เมื่อกรุงศรีอยุธยาเก่า ยังไม่แตกทำลายจะตั้งตำบลใดไม่ทราบถนัด ทราบแต่ว่าพระภัสดาของท่านนั้นมีนามว่าหม่อมเสม ได้ปรนนิบัติในราชการแผ่นดินเป็นที่พระอินทรักษา เจ้ากรมตำรวจใหญ่ซ้ายฝ่ายพระบวรราชวัง ได้ประสูติพระโอรสสาม พระธิดาหนึ่ง ซึ่งออกพระนามมาแล้วนั้นก่อนแต่กรุงศรีอยุธยายังไม่แตกทำลาย ก็ฝ่ายพระภัสดานั้นจะถึงแก่พิราลัยเมื่อใดไม่ทราบเป็นแน่ เป็นแต่เมื่อครั้งกรุงธนบุรีไม่มีมาแล้ว มีแต่กรมสมเด็จพระเทพสุดาวดีกับพระโอรสพระธิดาเสด็จมาประทับตั้งอยู่ที่ตำบลสวนมังคุด ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นที่วังเก่าของเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ และกรมหมื่นเทวานุรักษ และหม่อมเจ้าใน กรมขนุ อศิ รานรุ กั ษย์ งั ครอบครองอยนู่ น้ั แตเ่ วลานน้ั เรยี กวา่ บา้ นปนู ตามนามสถานทโ่ี บราณมา กรมสมเด็จพระเทพสุดาวดีได้ถวายพระโอรสพระธิดา ทำราชการฝ่ายหน้าฝ่ายใน

ปฐมวงศ์ ๒๙ ในแผน่ ดนิ กรงุ ธนบรุ ี และไดพ้ ง่ึ พระบารมใี นพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก และพระเจา้ อยหู่ วั กรมพระราชวัง ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้นทั้งสองพระองค์ ซึ่งได้ทำราชการ เปน็ ใหญใ่ นเวลานน้ั ดว้ ย จงึ ไดค้ นุ้ เคยเขา้ เฝา้ แหนไดใ้ นเจา้ กรงุ ธนบรุ เี นอื ง ๆ กรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์นั้น เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาได้พระภัสดาเป็นบุตรที่ ๔ ของ มหาเศรษฐี ซง่ึ เปน็ ผสู้ บื เชอ้ื วงศล์ งมาแตม่ หาเสนาบดีเมอื งปกั กง่ิ แตค่ รง้ั แผน่ ดนิ เจา้ ปกั กง่ิ เมง่ ไทโ้ จ ซง่ึ เปน็ พระเจา้ ปกั กง่ิ ทส่ี ดุ ในวงศห์ มงิ ครน้ั พระเจา้ กรงุ ปกั กง่ิ เมง่ ไทโ้ จ เสยี เมอื งแกพ่ วกตาดแลว้ ทา่ นเสนาบดนี น้ั กบั เสนาบดอี น่ื หลายนาย ไมย่ อมตดั ผมมวยไวห้ างเปยี ตามพวกตาด จงึ ไดห้ นอี อกจากแผน่ ดนิ จนี มาอยใู่ น แผน่ ดนิ ญวนบา้ ง แผน่ ดนิ ไทยบา้ ง สบื สกลุ ตอ่ มาเปน็ จนี อยา่ งเกา่ ไมไ่ ดไ้ วห้ างเปยี พระภัสดาในกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์นั้นมีนามว่าเจ้าขรัวเงิน มีพี่หญิงชื่อท่านนวล ๑ ทา่ นเอย้ี ง ๑ มพี ช่ี ายชอ่ื ทา่ นทอง ๑ ไดต้ ง้ั นเิ วศนส์ ถานอยตู่ ำบลถนนตาล เปน็ พานชิ ในกรงุ ศรอี ยธุ ยามหานคร พระมารดาของพระภัสดาในกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์นั้น เป็นน้องร่วมพระมารดากับภรรยาเจ้าพระยา ชำนาญบริรักษ์ว่าที่โกษาธิบดี ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระบรมธรรมมิกมหาราชาธิราช ภรรยา เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ซึ่งเป็นป้าของพระภัสดาในกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์นั้น มีบุตรกับเจ้าพระยา ชำนาญบริรักษ์ผู้หนึ่ง ชื่อนายฤทธิ์ นายฤทธิ์เมื่อเป็นหนุ่มเจริญแล้ว เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ ผบู้ ดิ าไดส้ ขู่ อหมอ่ มบญุ นาค เปน็ บตุ รีพระยาวชิ ติ รณรงคเ์ จา้ กรมเขนทองซา้ ยมาใหเ้ ปน็ ภรรยา ไดแ้ ตง่ งาน อาวาหวิวาหมงคลกัน พระยาวิชิตรณรงค์นั้นเป็นพี่ชายร่วมบิดามารดากับเจ้าพระยานครศรีธรรมราช อยตู่ ลอดเวลากรงุ ศรอี ยธุ ยา ครง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยาเสยี แลว้ ไดต้ ง้ั ตนเปน็ เจา้ นน้ั กรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์นั้น เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยายังไม่แตกทำลายได้มีพระโอรส ๒ พระธดิ า ๑ ซง่ึ ออกพระนามในขา้ งตน้ แลว้ นน้ั ครน้ั ปกี นุ นพศก จลุ ศกั ราช ๑๑๒๙ พระพทุ ธสาสนกาล ๒๓๑๐ พรรษา พวกพมา่ ขา้ ศกึ รกุ รานทำลายกรงุ ศรอี ยธุ ยาเสยี ได้ ชาวพระนครทง้ั ปวงซง่ึ มคี รอบครวั สกลุ ต่าง ๆ พากันแตกแยกย้ายกระจัดกระจายหนีไป ครั้งกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ทรงพระครรภ์อยู่ได้ ๔ เดอื นเศษแลว้ พรอ้ มกนั กบั พระภสั ดาตามเสดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ออกไปอาศยั อยดู่ ว้ ย ในนิเวศน์สถานที่เดิม ของกรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ ณ ตำบลอัมพวาพานิรุทธยานประเทศ ครั้นถึงวันกาฬปักษดิถีสิบสองนับเบื้องหน้าแต่โปฐปทปุณมีอาทิตยวานเป็นกำหนด จึงได้ประสูติพระธิดา พระองคห์ นง่ึ ซง่ึ ไดน้ บั โดยลำดบั วา่ เปน็ ทส่ี ่ี คอื กรมสมเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทรามาตย์

๓๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ครั้งนั้นเจ้าคุณชีโพผู้น้องนางของกรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ ได้รับอุปถัมภ์บำรุงเลี้ยง เปน็ เหตใุ หก้ รมสมเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทรามาตย์ ไดท้ รงนบั ถอื วา่ เปน็ พระมารดาเลย้ี งมา ครน้ั เมอ่ื แผน่ ดนิ กรุงธนบุรตี ั้งขึ้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จเข้าไปปรนนิบัติราชการ กรมสมเด็จ พระศรีสุดารักษก์ ับพระภัสดาและพระโอรสพระธิดา ก็ได้ตามเสด็จเข้ามาตั้งนิเวศน์สถานบ้านเรือนโรงแพ อยู่ตำบลกระฎีจีน ที่นั้นบัดนี้เป็นพระวิหารและหอไตรวัดกัลยาณมิตร แพลอยลงในคลองบางกอกใหญ่ ตรงวดั โมลโี ลกขา้ มไปขา้ งใต้ ฝ่ายนายฤทธิบุตรเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ เมื่ออยู่กับหม่อมบุญนาคภรรยามีบุตรีหนึ่ง ชื่อหม่อมอำพัน ครั้นเมื่อกรุงแตกทำลายแล้วพาบุตรภรรยาหนีไปเมืองนครศรีธรรมราชเข้าพึ่งอาศัย เจา้ พระยานครศรธี รรมราชอยตู่ ง้ั บา้ นเรอื นอยตู่ ำบลบา้ นสามอู่ เหนอื เมอื งนครศรธี รรมราชมาประมาณทาง ๑๐๐ เส้น ครั้งนั้นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช เมื่อจะตั้งตัวเป็นเจ้าก็ได้ปรึกษาขนบธรรมเนียมต่าง ๆ กับนายฤทธิผู้หลานเขย เพราะนายฤทธิเป็นบุตรท่านเสนาบดีผู้ใหญ่ รู้ขนบธรรมเนียมราชการแผ่นดิน เจ้าพระยานครศรีธรรมราช มีความยินดีต่อสติปัญญาความคิดของนายฤทธิมากนัก เมื่อตั้งตนเป็น เจา้ แผน่ ดนิ ขน้ึ แลว้ จงึ ตง้ั ใหน้ ายฤทธเิ ปน็ วงั หนา้ เรยี กวา่ วงั หนา้ เมอื งนครศรธี รรมราช ทา่ นบญุ นาคภรรยา เรียกว่าเจ้าครอกข้างใน หม่อมอำพันนั้นเป็นพระองค์เจ้าอำพัน กิตติศัพท์นั้นทราบถึงพระภัสดาของ กรมสมเดจ็ พระศรสี ดุ ารกั ษ์ จงึ มคี วามดำรไิ มเ่ หน็ ชอบดว้ ยนายฤทธผิ เู้ ปน็ ญาติ ซง่ึ เปน็ หลานเขยเจา้ พระยา นครศรธี รรมราชน้ี มใิ ชญ่ าตอิ นั สนทิ เขา้ ไปทร่ี บั ตำแหนง่ ใหญน่ กั นานไปภายหนา้ เกลอื กวา่ ภยั จะบงั เกดิ มี อนง่ึ ครง้ั นน้ั กไ็ ดท้ ราบความประสงคข์ องเจา้ กรงุ ธนบรุ ี วา่ จะยกกองทพั ออกไปตปี ราบปรามเมอื งนครศรธี รรมราช สักเวลาหนึ่ง เมื่อว่างราชการทัพกับพม่ากลัวว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริง นายฤทธิก็จะพลอยตายด้วย เจ้านครศรีธรรมราช มีความปรารถนาจะออกไปลองใจนายฤทธิ ซึ่งเป็นวังหน้าเมืองนครศรีธรรมราช นั้นยังจะนับถือว่าเป็นญาติอยู่หรือไม่ ถ้านับถือรับรองดีก็จะว่ากล่าวให้สติเสียให้รู้รักษาตัว ด้วยเหตุนี้ พระภัสดาในกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ จึงได้มอบถิ่นฐานบ้านเรือนทาสกรรมกรทั้งปวงให้กรมหลวง เทพหรริ กั ษ ซง่ึ เปน็ บตุ รผใู้ หญอ่ ยรู่ กั ษา แลว้ พากรมสมเดจ็ พระศรสี ดุ ารกั ษก์ บั พระธดิ าใหญน่ อ้ ยสองพระองค์ กับทาสชายทาสหญิงสองสามคน ลงเรือออกทะเลแล่นล่องไปเมืองนครศรีธรรมราช ในฤดูลมว่าวใน ปีชวดสัมฤทธิศกจุลศักราช ๑๑๓๐๑ ครั้นถึงแล้วก็ขึ้นไปเมืองนครศรีธรรมราช นั่งอยู่ริมทางเมื่อวังหน้า เมืองนครศรีธรรมราชจะมีที่ไป ครั้นเสลี่ยงวังหน้าเมืองนครศรีธรรมราชมาใกล้ก็กระแอมไอให้เสียงเป็น ๑ พ.ศ. ๒๓๑๓

ปฐมวงศ์ ๓๑ สำคญั วงั หนา้ เมอื งนครศรธี รรมราชไดเ้ หน็ แลว้ กม็ คี วามยนิ ดลี งจากเสลย่ี งออกมารบั แลว้ ปราศรยั โดยฉนั ญาติ แล้วพาไปที่อยู่พร้อมกับกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์และพระธิดาสองพระองค์ ครั้งนั้นวังหน้าเมือง นครศรีธรรมราชเห็นชอบด้วย แล้วว่าจะพาไปให้เข้าเฝ้าเจ้านครศรีธรรมราช พระภัสดาในกรมสมเด็จ พระศรีสุดารักษ์ไม่เห็นด้วย ไม่ยอมเข้าไปหาเจ้านครศรีธรรมราชและไม่ยอมอยู่ด้วย ขอให้ปิดความนั้น เสียแล้วได้ให้สติดังที่คิดไปนั้นทุกประการ วังหน้าเมืองนครศรีธรรมราชเห็นชอบด้วย ได้รับว่าภายหลัง ค่อยคิดเอาตัวออกหากให้พ้นภัยตามความคิดนั้น ครั้งนั้นชาวเมืองนครศรีธรรมราชบางพวกเล่าลือกันว่า ผซู้ ง่ึ ออกมาจากกรงุ ธนบรุ เี ปน็ ผอู้ าสาเจา้ กรงุ ธนบรุ ไี ปเกลย้ี กลอ่ มวงั หนา้ เมอื งนครศรธี รรมราช ใหเ้ ปน็ ไสศ้ กึ ดว้ ยเหตฉุ ะน้ี กรมสมเดจ็ พระศรสี ดุ ารกั ษก์ บั พระภสั ดา มคี วามสะดงุ้ สะเทอื นรบี ลาวงั หนา้ เมอื ง นครศรีธรรมราชกลับลงมากรุงธนบุรี ในฤดูลมสำเภาปลายปีชวดสัมฤทธิศก กับปีฉลูเอกศกต่อกัน ครั้งนั้นเจ้ากรุงธนบุรีทราบว่าพระภัสดากรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ ออกไปเมืองนครศรีธรรมราช กลบั เขา้ มาถงึ ใหม่ กใ็ หม้ ผี รู้ บั สง่ั ไปหาตวั มาซกั ไซรไ้ ตถ่ ามขอ้ ราชการ กไ็ ดใ้ หก้ ารวา่ เปน็ แตย่ ากจนกห็ าสง่ิ ของ เปน็ สนิ คา้ ออกไปคา้ ขาย และไดใ้ หข้ า่ วบา้ นเมอื งแตต่ ามเหน็ เลก็ นอ้ ยโดยสมควร ความซง่ึ วา่ ไดไ้ ปพบวงั หนา้ เมืองนครศรีธรรมราชนั้นไม่ได้ให้การ เจ้ากรุงธนบุรีดำริไว้ว่าเมื่อว่างราชการรบกับทัพพม่าจะได้ยกไปตี เมืองนครศรีธรรมราช จะให้พระภัสดากรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์เป็นผู้นำทัพทำทาง ฝ่ายพระภัสดา กรมสมเดจ็ พระศรสี ดุ ารกั ษ์ ไมป่ รารถนาจะอาสาเจา้ กรงุ ธนบรุ จี งึ บอกปว่ ยวา่ เปน็ งอ่ ยเสยี แตก่ อ่ นเรม่ิ การทพั เมอื ง นครศรธี รรมราช ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ ไมไ่ ดท้ ำราชการเปน็ ตำแหนง่ ใดในแผน่ ดนิ นน้ั เลย กรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ในแผ่นดินกรุงธนบุรี ได้ประสูติพระโอรสอีกสองพระองค์ ซง่ึ ออกพระนามมาขา้ งหลงั แลว้ นน้ั ในปขี าลโทศก จลุ ศกั ราช ๑๑๓๒๑ พระองคห์ นง่ึ ปมี ะเสง็ เบญจศก จุลศักราช ๑๑๓๕๒ พระองค์หนึ่ง พระภัสดากรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์สิ้นพระชนม์เสีย แต่ในเวลา เปน็ กลางแผน่ ดนิ กรงุ ธนบรุ ี ครน้ั เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ไดเ้ สดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ บรมราชาภิเษกแล้ว กรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ กรมสมเด็จพระเทพสุดาวดี ทั้งสองพระองค์ก็ได้ ตามเสด็จเข้ามาอยู่ในพระบรมมหาราชวังก่อน กรมสมเด็จพระเทพสุดาวดี มีพระตำหนักอยู่ข้างหลัง พระบรมมหาราชวงั เรยี กวา่ พระมหาตำหนกั ใหญ่ * ไดว้ า่ ราชการทว่ั ไปแทบทกุ อยา่ ง และวา่ การวเิ สศใน พระคลงั เงนิ ทองสง่ิ ของตา่ ง ๆ ในพระราชวงั ชน้ั ในทง้ั สน้ิ ๑ พ.ศ. ๒๓๑๓ *๒ พ.ศ. ๒๓๑๖ หรอื เรยี กวา่ พระตำหนกั เขยี ว เพราะทาสเี ขยี ว

๓๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ กรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์นั้น มีพระตำหนักอยู่เบื้องหลังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทและ พระวมิ านรตั ยาเรยี กวา่ พระทน่ี ง่ั ตำหนกั แดง * ไดท้ รงทำราชการทรงกำกบั เครอ่ื งใหญใ่ นโรงวเิ สศตน้ และ การสดึงและอื่น ๆ เป็นหลายอย่าง กรมสมเด็จพระเทพสุดาวดี และกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ทั้งสอง พระองค์นั้น ได้เสด็จดำรงทรงพระชนม์อยู่มานานในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ถึง ๑๕ ปี ครั้นถึงปีมะแมเอกศกจุลศักราช ๑๑๖๑๑ ทั้งสองพระองค์นั้นทรงพระประชวรพระโรคชรา กรมสมเดจ็ พระศรสี ดุ ารกั ษพ์ ระชนมายุ ๖๐ ปเี ศษ ยงั ไมถ่ งึ ๗๐ เสดจ็ ทวิ งคตลว่ งไปได้ ๓ เดอื นเศษ กรมสมเดจ็ พระเทพสดุ าวดมี พี ระชนมายไุ ด้ ๗๐ ปเี ศษ ยงั ไมถ่ งึ ๘๐ เสดจ็ ทวิ งคตพระศพไดไ้ วบ้ นพระทน่ี ง่ั ดสุ ติ มหาปราสาทดว้ ยกนั ไดถ้ วายพระเพลงิ พรอ้ มกนั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกนน้ั เมอ่ื ครง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยานน้ั หาไดท้ รงทำราชการหลวง ไม่ เพราะเสดจ็ ไปอยกู่ บั กรมสมเดจ็ พระอมรนิ ทรามาตย์ ณ ตำบลอมั พวาดงั ทก่ี ลา่ วมาแตห่ ลงั เปน็ แตเ่ ขา้ แอบอิงอาศัยมีสังกัดอยู่ในพระองค์เจ้าอาทิตย์ ซึ่งเป็นพระเจ้าหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระบรม ธรรมมิกมหาราชาธิราช เป็นโอรสของในกรมพระราชวังในแผ่นดินนั้น ครั้นเมื่อแผ่นดินสุริยามรินทร พระองคเ์ จา้ อาทติ ยไ์ ดเ้ ปน็ พระองคเ์ จา้ โปรดปรานในแผน่ ดนิ มผี นู้ ยิ มนบั ถอื มาก ครน้ั มาถงึ แผน่ ดนิ กรงุ ธนบรุ ี พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกไดท้ รงทำราชการเปน็ ตำแหนง่ ทพ่ี ระราชวรนิ ทรเจา้ กรมพระตำรวจนอกขวา แล้วเลื่อนที่เป็นพระยาอนุชิตชาญไชย๒ แล้วเลื่อนที่ต่อขึ้นไปเป็นเจ้าพระยายมราช๓ เสนาบดีในกรม พระนครบาล แล้วจึงได้เลื่อนที่เป็นเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษสมุหนายกเอกอุ เป็นแม่ทัพทำการสงคราม กบั พมา่ และเขมรและลาว มคี วามชอบไดร้ าชการมากหลายครง้ั ภายหลงั จงึ ไดเ้ ลอ่ื นทเ่ี ปน็ สมเดจ็ เจา้ พระยา มหากษตั รยิ ศ์ กึ พลิ กึ มหมิ า ทกุ นครารอาเดชสรรพเทเวศรานรุ กั ษ์ เอกอคั รบาทมลุ กิ า กรงุ เทพธนบรุ ศี รอี ยธุ ยา มหาดลิ กภพ นพรตั นราชธานบี รุ รี มยอ์ ดุ มราชนเิ วศมหาสถานอวตารสถติ ย์ บพติ รพไิ ชย อภยั พริ ยิ ปรากรมพาหุ ได้ทรงเสลี่ยงงากั้นพระกลด และมีเครื่องทองต่าง ๆ เป็นเครื่องยศเสมอเจ้าต่างกรม เมื่อปีกุนเอกศก * พระตำหนกั แดงน้ี เดมิ ทรงสรา้ งเปน็ พระตำหนกั หมใู่ หญท่ ใ่ี นพระราชวงั หลวง เรยี กวา่ ตำหนกั แดง เพราะทาสแี ดงตอ่ มาในรชั กาลท่ี ๓ โปรดให้ย้ายไปปลูกถวายกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ ซึ่งเป็นพระธิดากรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ไว้ในพระราชวังเดิมธนบุรี ครั้นกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์สวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ โปรดให้รื้อส่วนที่กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ เคยประทับไปปลูกเป็นกุฎีพระที่วัดโมฬีโลกย์ ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ โปรดให้ย้ายไปปลูกเป็นกุฎีเจ้าอาวาสวัดเขมาภิรตาราม ส่วนตำหนักแดง สว่ นทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ ฯ ประทบั นน้ั โปรดใหย้ า้ ยมาปลกู ไวใ้ นพระราชวงั ปจั จบุ นั อยใู่ นพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ ๑ พ.ศ. ๒๓๔๒ ๒ ในพระราชพงศาวดารทกุ ฉบบั วา่ เปน็ พระยาอภยั รณฤทธิ สงสยั วา่ ตรงนอ้ี าลกั ษณจ์ ะเขยี นผดิ และสรอ้ ยชาญไชยนน้ั กน็ า่ จะเขยี นเพลนิ ไป เพราะในเวลานน้ั ใชว้ า่ อนุชิตราชา พง่ึ มาเปลย่ี นเปน็ อนชุ ติ ชาญไชย เมื่อรัชกาลที่ ๔ ๓ ในพระราชพงศาวดารวา่ เปน็ พระยายมราช สมดว้ ยแบบแผนในครง้ั นน้ั สงสยั วา่ ทน่ี จ่ี ะเขยี นเกนิ ไป

ปฐมวงศ์ ๓๓ จลุ ศกั ราช ๑๑๔๑๑ เจา้ กรงุ ธนบรุ มี คี วามตอ้ งการจะตอ้ งไปรบเมอื งเวยี งจนั ทน์ แกแ้ คน้ เจา้ เมอื งเวยี งจนั ทน์ บญุ สารยกมาทำแกเ่ มอื งจำปาศกั ด์ิ ซง่ึ ไดม้ าขน้ึ แกก่ รงุ ธนบรุ แี ลว้ และเจา้ เวยี งจนั ทนบ์ ญุ สารไปขอกำลงั พมา่ มาชว่ ยดว้ ยนน้ั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ซง่ึ เปน็ สมเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั รยิ ศ์ กึ ในเวลานน้ั กบั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล ในแผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกซึ่งเป็นเจ้าพระยาสุรสีหพิษณุวาธิราช ในเวลานั้นต้องยกพยุหโยธาขึ้นไปรบเมืองเวียงจันทน์ มไี ชยชำนะตเี อาเมอื งเวยี งจนั ทนไ์ ดข้ นเชลยและสง่ิ ของมาเปน็ อนั มาก ครง้ั นน้ั ได้ พระพทุ ธปฏมิ ากรแกว้ มณี สเี ขยี วทเ่ี รยี กวา่ แกว้ มรกต ซง่ึ ประดษิ ฐานอยใู่ นวดั พระศรรี ตั นศาสดารามในกาลบดั นน้ี น้ั มายงั กรงุ ธนบรุ ี ด้วยนั้นเป็นเหตุมหัศจรรย์ยิ่งนัก เพราะพระแก้วพระองค์นี้ยังไม่มีผู้ใดในเมืองไทยไปได้มาตลอดเวลา แผน่ ดนิ กรงุ ศรอี ยธุ ยา และแผน่ ดนิ เมอื งเหนอื ซง่ึ ลว่ งแลว้ หลายรอ้ ยปี ครน้ั เมอ่ื ปฉี ลตู รศี ก ๑๑๔๓๒ แผน่ ดนิ กรงุ เขมรซง่ึ มาขน้ึ กรงุ ธนบรุ อี ยแู่ ตก่ อ่ นนน้ั กำเรบิ พระยา พระเขมรลกุ ขน้ึ จบั พระองคร์ าม ซง่ึ เปน็ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดเี จา้ กรงุ กมั พชู าฆา่ เสยี แลว้ แขง็ เมอื งกระเดอ่ื ง กระดา้ งไป เพราะฉะนน้ั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ซง่ึ เปน็ สมเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั รยิ ศ์ กึ ในเวลานั้นกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ซง่ึ เปน็ เจา้ พระยาสรุ สหี พษิ ณวุ าธริ าชในเวลานน้ั ตอ้ งยกพยหุ โยธาออกไปยงั การทพั ทำสงครามปราบปรามพวกเขมรอยู่ ฝา่ ยเจา้ กรงุ ธนบรุ ตี ง้ั แตไ่ ดพ้ ระพทุ ธปฏมิ ากรแกว้ มณพี ระองคน์ ม้ี าถงึ กรงุ ธนบรุ แี ลว้ กม็ จี ติ กำเรบิ เตบิ โตในการอนั ใชท่ ่ี คอื มสี ญั ญาวปิ ลาศวา่ ตนมบี ญุ หนกั ศกั ดใ์ิ หญ่ เปน็ พระโพธสิ ตั วจ์ ะสำเรจ็ พระพทุ ธภมู ิ ได้ตรัสเป็นพระชนะแก่มาร เป็นองค์พระศรีอาริยเมตไตรยกัลปนี้ ก็คิดอย่างนั้นบ้าง ตรัสอย่างนี้บ้าง ทำไปตา่ ง ๆ บา้ ง จนถงึ พระเจา้ แผน่ ดนิ เสยี จรติ ทำการผดิ ๆ ไป ใหแ้ ผน่ ดนิ เปน็ จลาจลรอ้ นรนทว่ั ไปทง้ั ไพรแ่ ละผดู้ ี สมณชีพราหมณ์ เป็นความผิดใหญ่ยิ่งหลายอย่างหลายประการยิ่งกว่า การร้อนในแผ่นดินซึ่งเคยมีมา แตก่ อ่ นพน้ ทจ่ี ะพรรณนา จงึ เกดิ ขา้ ศกึ เขา้ มาลอ้ มวงั เจา้ กรงุ ธนบรุ ตี อ้ งยอมแพแ้ กข่ า้ ศกึ ขอแตช่ วี ติ ออกบรรพชา ฝ่ายพวกข้าศึกเข้ารักษาแผ่นดินอยู่ก็รักษาไปไม่ได้ การบ้านเมืองในกรุงธนบุรีก็ป่วนปั่นวุ่นวายไปต่าง ๆ ครั้งนั้นกรมพระราชวังหลัง ซึ่งเป็นโอรสใหญ่ของกรมสมเด็จพระเทพสุดาวดี เวลานั้นเป็นที่พระยา นครราชสีมา ได้ยกพวกพลเข้ามาปราบปรามเสี้ยนหนามแผ่นดินรักษากรุงธนบุรีไว้ พระบาทสมเด็จ ๑ พ.ศ. ๒๓๒๒ ๒ พ.ศ. ๒๓๒๔

๓๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อได้ทรงทราบเหตุนั้นไปแล้วก็ยกกองทัพเสด็จเข้ามายังกรุงธนบุรี ครั้งนั้น ผู้มีบรรดาศักดิ์ข้างหน้าข้างในทั้งปวงพร้อมทั้งสมณพราหมณาจาริย์อาณาประชาราษฎรก็มีความสโมสร โสมนัสพร้อมกัน เชิญเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นที่พึ่งสืบไป จึงได้เสด็จ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั เิ ปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ ใหญใ่ นปขี าลจตั วาศก จลุ สกั ราช ๑๑๔๔๑ พระชนมายไุ ด้ ๔๖ พรรษา จึงได้ตั้งการสร้างพระมหานครใหญ่ฝ่ายฝั่งฟากคงคาข้างปราจิณทิศของเมืองธนบุรี มีป้อมค่ายเชิงเทิน ปราการทวารนิเวศวัง ทั้งพระมหามณเฑียรปราสาทอาวาศน้อยใหญ่ ทั้งภายในภายนอกพระนคร ให้นามบัญญัติพระนครว่า กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทรมหินทรายุธยา แล้วตั้งการพระราชพิธี ปราบดาภเิ ษกในวนั จนั ทร์ เดอื น ๘ ขน้ึ ๑ คำ่ ๒ ถวายพระนามวา่ พระบาทสมเดจ็ พระบรมราชาธริ าช รามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาศกรวงศ องคป์ รมาธเิ บศ ตรภี วู เนตรวรนายกดลิ กรตั นราช ชาตอิ าศวไศรย สมทุ ยั คโรมนต สกลจกั รวาฬา ธิเบนทร สุริเยนทราธิบดินทร หริหรินทราธาดาธิบดี ศรีวิบุลยคุณอัคกนิฐ ฤทธิราเมศวร มหนั ตบรมธรรมกิ ราชาธริ าชเดโชไชย พรหมเทพาดเิ ทพยนฤบดนิ ทร ภมู นิ ทรปรมาธเิ บศ โลกเชษฐ วสิ ทุ ธรตั น มกฎุ ประเทศดตามหาพทุ ธางกรู บรมบพติ รพระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั ครน้ั ภายหลงั ถวายพระนาม เพม่ิ เขา้ วา่ พระบาทสมเดจ็ พระปรโมรรุ าชา มหาจกั รบี รมนารถ นเรศวรราชววิ ฒั นวงศ์ ประถมพงศา ธริ าชรามาธบิ ดนิ ทร สยามชวิ ติ นิ ทรวโรดม บรมบพติ ร พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ทรงตง้ั สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าชเปน็ พระมหาอปุ ราชรบั พระราชบณั ฑรู ทรงตั้งสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอทั้งสองพระองค์ องค์ใหญ่เป็นกรมสมเด็จพระเทพสุดาวดี พระองคน์ อ้ ยเปน็ กรมสมเดจ็ พระศรสี ดุ ารกั ษ์ โปรดใหพ้ ระโอรสในกรมสมเดจ็ พระเทพสดุ าวดี เปน็ สมเดจ็ พระเจา้ หลานเธอ เจา้ ฟา้ กรมพระอนรุ กั ษ เทเวศ ๑ เจา้ ฟา้ กรมหลวงธเิ บศบดนิ ทร ๑ เจา้ ฟา้ กรมหลวงนรนิ ทรนเรศ ๑ เจา้ ฟา้ กรมพระอนรุ กั ษเทเวศ ๑ นน้ั ยกไปตพี มา่ ปากทงึ มไี ชยกลบั มาจงึ ทรงสถาปนาเปน็ กรมพระราชวงั บวรสถานภมิ ขุ ฝา่ ยหลงั รบั พระราชบญั ชา โปรดใหเ้ จา้ ตนั พระโอรสพระองคใ์ หญข่ องกรมสมเดจ็ พระศรสี ดุ ารกั ษ์ เปน็ สมเดจ็ พระเจา้ หลานเธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงเทพหรริ กั ษ์ ๑ พ.ศ. ๒๓๒๕ ๒ ตรงกับวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๕

ปฐมวงศ์ ๓๕ เจา้ ลาพระอนชุ าตา่ งพระมารดาเปน็ สมเดจ็ พระเจา้ หลานเธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงจกั รเจษฎา ทรงตง้ั พระขนฐิ ภคนิ ตี า่ งพระมารดาเปน็ สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งนางเธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงนรนิ ทรเทวี ทรงตง้ั นายกวดมหาดเลก็ ซง่ึ เปน็ พระภสั ดากรมหลวงนรนิ ทรเทวเี ปน็ กรมหมน่ื นรนิ ทรพทิ กั ษ์ ทรงตง้ั สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟา้ พระองคใ์ หญเ่ ปน็ เจา้ ฟา้ กรมหลวงอศิ รสนุ ทร ฝ่ายสมณพราหมณาจาริย และข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อย ก็ทรงตั้งแต่งตามสมควร แก่ความชอบ บรมกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ทรงพระราชศรัทธาอุปถัมภ์ยกพระพุทธศาสนา ให้จัดสรร พระภกิ ษสุ งฆอ์ นั ทรงพระปรญิ ตั ธิ รรมได้ ๒๑๘ รปู มสี มเดจ็ พระสงั ฆราชาธบิ ดีเปน็ ประธาน อกี ราช บณั ฑติ าจารยิ ๓๒ คน ใหท้ ำสงั คายนาชำระพระไตรปฎิ กธรรม อนั พริ ธุ ใหถ้ กู ถว้ นดว้ ยทบอกั ขระพยญั ชนะ บรบิ รู ณใ์ นกาลเมอ่ื จลุ ศกั ราช ๑๑๔๖ ปมี ะโรงโทศก วนั พธุ เดอื น ๔ แรม ๑๔ คำ่ ๑ ทรงพระกรณุ า โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ชญิ พระพทุ ธปฏมิ ากรแกว้ มรกตจากโรงในวงั เกา่ ฟากตะวนั ตกแหม่ าประดษิ ฐานไวใ้ นพระอโุ บสถ ณ พระอาราม ซึ่งทรงสถาปนาไว้ในพระราชนิเวศ และพระราชทานนามว่าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ศักราช ๑๑๔๗๒ ปีมะเส็งสัปตศกเดือนสิบสอง น้ำมากลึกถึงแปดศอกคืบสิบนิ้ว ข้าวกล้าในท้องนาเสีย เป็นอันมากบังเกิดทุพภิกขภัยข้าวแพงถึงเกวียนละชั่ง ประชาราษฎรทั้งหลายได้ความขัดสนด้วยอาหาร กันดารนกั จงึ มพี ระบรมราชโองการให้กรมนาจำหน่ายข้าวเปลือกในฉางหลวงออกจ่ายแจกราษฎรทั้งปวง เป็นอันมาก ทรงตั้งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพระองค์น้อยเป็นเจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ โปรดให้ พระโอรสพระองค์กลางของกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ เป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้ากรมขุนพิทักษ มนตรี เจา้ บำเรอภธู รเปน็ กรมขนุ สนุ ทรภเู บศ ครน้ั เมอ่ื จลุ ศกั ราชได้ ๑๑๖๓ ปรี ะกาตรศี ก๓ พระองคไ์ ด้ เศวตกิริณีทั้งสอง ให้นามพระอินทไอยรา ๑ พระเทพกุญชร ๑ กาลเมื่อจุลศักราช ๑๑๖๕ ปีกุญ เบญจศก๔ สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าชมหาอปุ ราชเสดจ็ สวรรคตพระชนมายไุ ด้ ๖๑ พรรษา ครน้ั อยมู่ าในประภาคสมยั สมเดจ็ พระภาคไิ นยราช กรมพระราชวงั บวรสถานภมิ ขุ เสดจ็ ทวิ งคต จึงทรงตั้งสมเด็จพระราชโอรสเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเป็นพระมหาอุปราชต่อไป ๑ ตรงกับวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๒๗ ๒ พ.ศ. ๒๓๒๘ ๓ พ.ศ. ๒๓๔๔ ๔ พ.ศ. ๒๓๔๖

๓๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เลื่อนสมเด็จพระอนุชาเป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ รับพระบัณฑูรน้อยตั้งสมเด็จพระราชธิดาเจ้าฟ้า ทั้งสองพระองค์ ๆ ใหญ่เป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพย์ พระองค์น้อยเป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพยวดี เลื่อนกรมขุนพิทักษมนตรีเป็นกรมหลวงพิทักษมนตรี โปรดให้พระราชโอรสพระองค์น้อยใน กรมสมเดจ็ พระศรสี ดุ ารกั ษเ์ ปน็ สมเดจ็ พระเจา้ หลานเธอเจา้ ฟา้ กรมขนุ อศิ รานรุ กั ษ์ โปรดใหพ้ ระราชนดั ดา เจ้าฟ้าอภัยธิเบศเป็นกรมขุนกระษัตรานุชิต ทรงตั้งพระราชธิดาในพระบวรวงศ์เจ้าฟ้าพิกุลทอง เปน็ กรมขนุ ศรสี นุ ทร ทรงตง้ั พระธดิ าพระองคใ์ หญใ่ นกรมสมเดจ็ พระศรสี ดุ ารกั ษเ์ ปน็ เจา้ ฟา้ กรมขนุ อรรคนารี โปรดตั้งพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าอภัยทัตเป็นกรมหมื่นเทพพลภักดี พระองค์เจ้าอรุโณทัยเป็น กรมหมื่นศักดิพลเสพย์ พระองค์เจ้าอสุนีในพระบวรวงศ์เป็นกรมหมื่นเสนีเทพย์ ทรงตั้งพระองค์เจ้า ในพระบวรสถานพมิ ขุ ๓ พระองค์ เปน็ กรมหมน่ื นราเทเวศร ๑ กรมหมน่ื นเรศรโยธี ๑ กรมหมน่ื เสนบี รริ กั ษ์ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระองค์ได้ดำรงอยู่ในสิริราชสมบัติโดยผาสุกสวัสดิ์ภาพ และทรงประพฤติราชกิจนั้น ๆ บรรดาที่กล่าวในแผ่นดินนั้นทุกประการว่ายุติธรรม เป็นไปตลอดเวลา พระชนมายขุ องพระองค์ ไดท้ รงพระประชวรพระโรคชราเสดจ็ สวรรคต ณ วนั พฤหสั บดี เดอื น ๙ แรม ๑๓ คำ่ ปมี ะเสง็ เอกศกจลุ ศกั ราช ๑๑๗๑๑ อยใู่ นราชสมบตั ิ ๒๗ พรรษา พระชนมายไุ ด้ ๗๓ พรรษา ลำดบั นน้ั สมเดจ็ พระมหาอปุ ราชราโชรส ไดเ้ สวยราชสมบตั สิ บื ตอ่ ไป เจา้ ฟา้ กรมขนุ กระษตั รานชุ ติ คดิ ประทษุ รา้ ยตอ่ แผน่ ดนิ จงึ ใหเ้ อาไปสำเรจ็ โทษเสยี ครน้ั ถงึ ณ วนั อาทติ ย์ เดอื น ๑๐ ขน้ึ ๙ คำ่ ปมี ะเสง็ เอกศกจลุ ศกั ราช ๑๑๗๑๒ ตง้ั การพระราชพธิ ปี ราบดาภเิ ษกถวายพระนามวา่ พระบาทสมเดจ็ พระมหา ธรรมิกราชาธิราช ครั้นนานมาถวายพระนามเพิ่มเข้าอีกว่า พระบาทสมเด็จพระบรมพงศ์เชษฐ์ มเหศวรสนุ ทร ไตรยเศวตรคชาดศิ รมหาสวามนิ ทร สยามรษั ฎนิ ทรวโรดม บรมจกั รพรรดริ าชพลิ าศ ธาดาราชาธิราช บรมนารถบพิตร พระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงตั้งสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์เป็นพระมหาอุปราชรับพระราชบัณฑูร ทรงตั้งสมเด็จพระพันปีหลวงเป็น กรมสมเดจ็ พระอมรนิ ทรามาตย์ พระองคไ์ ดพ้ ระยาเศวตรคเชนทรชาตเิ ผอื กผู้ ๓ ชา้ ง ใหน้ ามพระยาเศวตร กุญชร ๑ พระยาเศวตรไอยรา ๑ พระยาเศวตคชลักษณ ๑ ได้พระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกองค์ ๑ ให้ช่างเอาสุวรรณรัตนประดับเป็นผ้าทรงและพระสกทรงสร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์ทรงเครื่องต้นอีก องค์ ๑ ประดบั ดว้ ยรตั นาเอนกตา่ งสเี สรจ็ แลว้ กก็ ระทำหตั กรรมการสมโภชถวายทานเปน็ อนั มาก แลว้ เชญิ ประดษิ ฐานไวใ้ นมหาสรุ าลยั พมิ าน พระเกยี รตคิ ณุ แผไ่ ปในนานาประเทศ ทง้ั ปจั จามติ รกเ็ กรงพระเดชานภุ าพ ๑ ตรงกับวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๒ ๒ ตรงกับวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๒

ปฐมวงศ์ ๓๗ ครวั มอญมะตะมะเปน็ อนั มากอพยพจากเมอื งมาพง่ึ พระบารมี อนง่ึ พวกพานชิ นานาประเทศกน็ ำเครอ่ื งราช บรรณาการมาถวายขอคา้ ขายในพระนครสมบรู ณข์ น้ึ ดว้ ยพสั ดเุ ปน็ อนั มาก และทรงพระราชศรทั ธาบำเพญ็ พระราชกศุ ล เปน็ ตน้ วา่ ถวายไตรจวี รปรกิ ขารอนั มรี าคาแกพ่ ระราชาคณะถานานกุ รมเปรยี ญทกุ ปมี ากขน้ึ ไป เปน็ อนั มากกวา่ แตก่ อ่ น ทรงตง้ั กรมพระเชษฐราโชรสเปน็ กรมหมน่ื เจษฎาบดนิ ทร พระเจา้ นอ้ งยาเธอพระองคเ์ จา้ ทบั ทมิ เปน็ กรมหมน่ื อนิ ทรพพิ ธิ พระองคเ์ จา้ ทบั เปน็ กรมหมน่ื จติ รภกั ดี พระองคเ์ จา้ คนั ธรศเปน็ กรมหมน่ื ศรสี เุ รนทร พระองคเ์ จา้ ฉตั รเปน็ กรมหมน่ื สรุ นิ ทรรกั ษ์ พระองคเ์ จา้ ไกรสรเปน็ กรมหมน่ื รกั ษรณเรศ พระองคเ์ จา้ สรุ ยิ าเปน็ กรมหมน่ื รามอศิ เรศ พระองคเ์ จา้ วาสกุ รอี นั ทรงผนวชเปน็ กรมหมน่ื นชุ ติ ชโิ นรส ทรงตง้ั พระเจา้ ลกู เธอ พระองคเ์ จา้ กลว้ ยไมเ้ ปน็ กรมหมน่ื สนุ ทรธบิ ดี พระองคเ์ จา้ มง่ั เปน็ กรมหมน่ื เดชอดศิ ร พระองค์เจ้าพนมวันเป็นกรมหมื่นพิพิธภูเบนทร ทรงตั้งพระองค์เจ้ายงในบวรวงศ์เธอที่สอง เป็นกรมหมื่นธิเบศรบวร ทรงตั้งหม่อมเจ้านิ่มบุตรกรมหมื่นนรินทรพิทักษ์เป็นกรมหมื่นนรินทรเทพ ทรงสรา้ งวดั อรณุ ราชวรารามใกลพ้ ระราชวงั เดมิ เสรจ็ แลว้ กก็ ระทำมหกรรมการฉลอง ถวายทานพระภกิ ษสุ งฆ์ เปน็ อนั มาก กาลเมอ่ื จลุ ศกั ราช ๑๑๗๙ ปฉี ลนู พศก วนั พธุ เดอื น ๘ หลงั ขน้ึ ๓ คำ่ ๑ สมเดจ็ พระ อนชุ าธริ าชเสดจ็ สวรรคต พระชนมายุ ๔๕ พรรษา จลุ ศกั ราช ๑๑๘๒ ปมี ะโรงโทศก เดอื น ๗ ขา้ งขน้ึ ตั้งแต่ ๘ และ ๙ ค่ำ๒ ไปจนถึงข้างแรม ประชุมชนเป็นโรคลงรากตายเป็นอันมาก ซากศพลอย เกลอ่ื นกลาดอยใู่ นแมน่ ำ้ ณ วนั จนั ทร์ เดอื น ๗ ขน้ึ ๑๐ คำ่ ๓ ตง้ั พธิ อี าฏานา กลางวนั แหเ่ ปน็ กระบวนทพั ขบั ผี พระสงฆป์ ระนำ้ พระพทุ ธมนตโ์ ปรยทราย ครน้ั จลุ ศกั ราช ๑๑๘๖ ปวี อกฉศก สมเดจ็ พระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงพระประชวรถงึ ณ วนั องั คาร เดอื น ๘ ขน้ึ ๑๑ คำ่ ๔ เสดจ็ สวรรคต อยใู่ นราชสมบตั ิ ๑๔ พรรษา ๑ ตรงกับวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๐ ๒ ตรงกับวันที่ ๒๐ และ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๖๓ ๓ ตรงกับวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๖๓ ๔ ตรงกับวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗

๓๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ กบั ๑๑ เดอื น พระชนมายไุ ด้ ๕๘ พรรษา ลำดับนั้นพระเชษฐราชโอรส ทรงพระนามกรมหมื่นเจษฎาบดินทร ได้เสวยราชสมบัติตั้งการ พระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษกวนั อาทติ ย์ เดอื น ๙ ขน้ึ ๗ คำ่ ๑ พระนามวา่ พระบาทสมเดจ็ พระปรมาธวิ รเสฐ มหาเจษฎาธบิ ดนิ ทร สยามนิ ทรวโรดม บรมธรรมกิ มหาราชาธริ าช บรมนารถบพติ รพระนง่ั เกลา้ เจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระเจ้าอากรมหมื่นภักดีพลเสพยเป็นพระมหาอุปราช ทรงตั้งพระพันปีหลวงเป็น กรมสมเดจ็ พระศรสี รุ าลยั จลุ ศกั ราช ๑๑๘๘ ปจี ออฐั ศก๒ เจา้ เวยี งจนั ทน์เปน็ ขบถยกกองทพั ลงมาตง้ั อยู่ ณ เมอื งนครราชสมี า กวาดครวั ลาวเมอื งสระบรุ ขี น้ึ ไปเมอื งเวยี งจนั ทน์ จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดใหส้ มเดจ็ พระมหาอุปราช กับพระราชประยูรวงศ์เป็นทัพหลวง พระยาราชสุภาวดเี ป็นทัพหน้ายกไปตีเจ้าอนแุ ตก พา่ ยหนไี ป ตดิ ตามจบั ตวั ไดแ้ ลว้ ยกทพั กลบั มาพระนคร จงึ โปรดใหเ้ ลอ่ื นพระยาราชสภุ าวดเี ปน็ เจา้ พระยา บดนิ ทรเดชาวา่ ทส่ี มหุ นายก ทรงตง้ั พระบรมวงศเ์ ปน็ กรม ๔ พระองค์ พระองคเ์ จา้ สรุ ยิ วงศเ์ ปน็ กรมหมน่ื สวสั ดวิ ไิ ชย พระองคเ์ จา้ สทุ ศั นเ์ ปน็ กรมหมน่ื ไกรสรวชิ ติ พระองคเ์ จา้ ดารากรเปน็ กรมหมน่ื ศรสี เุ ทพย์ พระองคเ์ จา้ ดวงจกั รเปน็ กรมหมน่ื ณรงคห์ รริ กั ษ ทรงตง้ั พระเจา้ นอ้ งยาเธอเปน็ กรม ๕ พระองค์ พระองคเ์ จา้ กญุ ชรเปน็ กรมหมน่ื พทิ กั ษเทเวศร พระองคเ์ จา้ กสุ มุ าเปน็ กรมหมน่ื เสพยสนุ ทร พระองคเ์ จา้ ไพฑรู ยเ์ ปน็ กรมหมน่ื สนทิ นเรนทร พระองคเ์ จา้ โตเปน็ กรมหมน่ื อนิ ทรอมเรศ พระองคเ์ จา้ นวมเปน็ กรมหมน่ื วงศาสนทิ จลุ ศกั ราช ๑๑๙๓ ปเี ถาะ ตรศี ก๓ นำ้ มากทว่ มพระนคร เรอื ๑๑ ศอก เรอื สามวาเดนิ ไดใ้ นกำแพงพระนคร ขา้ วเปลอื กราคาเกวยี นละแปดตำลงึ จลุ ศกั ราช ๑๑๙๔ ๑ ตรงกบั วนั ที่ ๑ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๓๖๗ ๒ พ.ศ. ๒๓๖๙ ๓ พ.ศ. ๒๓๗๔

ปฐมวงศ์ ๓๙ ปมี ะโรงจตั วาศก วนั องั คาร เดอื น ๖ ขน้ึ ๒ คำ่ ๑ สมเดจ็ พระมหาอปุ ราชราชปติ จุ ฉาสวรรคต พระชนมายไุ ด้ ๔๗ ปี ทรงเลื่อนกรมหมื่นเทพพลภักดีเป็นกรมหมื่นรักษรณเรศ กรมหมื่นเสนีบริรักษ์ขึ้นเป็นกรมหลวง ทรงตง้ั สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอเจา้ ฟา้ จฑุ ามณเี ปน็ เจา้ ฟา้ กรมขนุ อศิ เรศรงั สรรค์ เลอ่ื นกรมหมน่ื รามอศิ เรศ กรมหมื่นเดชอดิศร กรมหมื่นพิพิธภูเบนทรขึ้นเป็นกรมขุน โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้า ลำภเู ปน็ กรมขนุ กลั ยาสนุ ทร พระเจา้ ลกู เธอฝา่ ยในพระองคเ์ จา้ วลิ าศเปน็ กรมหมน่ื อปั ษรสดุ าเทพ ตง้ั พระเจา้ ลกู เธอฝา่ ยหนา้ พระองคเ์ จา้ ศริ วิ งศเ์ ปน็ กรมหมน่ื มาตยาพทิ กั ษ์ พระองคเ์ จา้ สงั กะทตั ในพระบวรวงศท์ ่ี ๑ เปน็ กรมหมน่ื นรานชุ ติ พระองคเ์ จา้ กลางในพระบวรวงศท์ ่ี ๒ เปน็ กรมหมน่ื อมรมนตรี ทรงตง้ั หมอ่ มเจา้ เจง่ ในกรมนรินทรพิทักษ์เป็นกรมหมื่นนเรนทรบริรักษ์ ภายหลังจึงทรงตั้งพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าคเนจร เป็นกรมหมื่นอมเรนทรบดินทร์ พระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นอันมาก คือทรงสร้างปฏิสังขรณ์ พระอารามใหญ่น้อยเป็นต้นว่าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และวัดพระเชตุพนและพระอารามใหญ่น้อย ซง่ึ สมเดจ็ พระอยั กาธริ าชและสมเดจ็ พระชนกาธบิ ดที รงสรา้ งไวอ้ กี ทง้ั พระอารามทรงสรา้ งใหมแ่ ละพระอาราม หลวงซง่ึ พระราชทานพระกฐนิ ทาน กใ็ หบ้ ำรงุ ขน้ึ หมดจดงดงามทกุ ๆ พระอาราม แลว้ ทรงสรา้ งพระพทุ ธ ปฏมิ ากร หลอ่ พระทองสำฤทธแิ ละทองเหลอื งใหญน่ อ้ ยหลายพระองค์ ทรงสรา้ งพระพทุ ธรปู มพี ระพทุ ธรปู หน้าตักกว้าง ๑๑ ศอก ในพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวรารามเป็นต้น ทรงสร้างอีกทั้งพระพุทธปฏิมากร ฉลองพระองคท์ รงพระราชอุทิศสนองพระคุณสมเด็จพระอัยกาธิบดี และสมเด็จพระชนกาธิบดี ซึ่งเสด็จ สวรรคตล่วงไปแล้วนั้นหุ้มทองคำทรงเครื่องประดับด้วยรัตนาเนกต่างสีเสร็จก็กระทำมหกรรมการสมโภช ถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก แล้วประดิษฐานไว้ในอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม อนึ่ง พระพุทธรูปหุ้มทองคำทรงเครื่องก็ทรงสร้างไว้หลายพระองค์ และพระพุทธปฏิมากรหล่อด้วยเงินเท่า พระชนม์พรรษา และพระพุทธไสยาสนยาว ๙ ศอกเป็นต้น และทรงสร้างพระปริยัติธรรมก็วิจิตร ด้วยผ้าห่อและสายรัด กรอบและฉลากแล้วด้วยมหัคฆวัตถุต่าง ๆ และทรงทำมหกรรมการสมโภชพระ อาวาศ ทรงบริจาคไตรจีวรบริขารแก่พระภิกษุเป็นอันมาก พระองค์ยิ่งด้วยพระราชศรัทธาธิคุณควรจะ สรรเสริญ ในการที่บำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ พระองค์ไดค้ ามหัสดี ให้นามว่าพระยามงคลหัศดินทร ไดเ้ ศวตรหัสดีให้นามว่าพระยามงคลนาคินทร จุลศักราช ๑๒๑๒ ปีจอโทศก๒ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระประชวรหนักจึงทรงพระมหาบริจาคพระราชทรัพยอุทิศถวายพระภิกษุสงฆ์ซึ่งอยู่ในพระอารามหลวง ๑ ตรงกับวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๗๕ ๒ พ.ศ. ๒๓๙๓

๔๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ในกรงุ ๗๓ หวั เมอื ง ๑๑ รวม ๘๔ พระอาราม เปน็ พระสงฆ์ ๗๔๘๔ สามเณรเปรยี ญ ๓๐ รวม ๗๕๑๔ รปู ถวายเปน็ คา่ จตั ปุ จั จยั รปู ละ ๕ ตำลงึ เปน็ พระราชทรพั ย์ ๑๘๗๘ ชง่ั ๑๐ ตำลงึ ครน้ั ถงึ วนั พธุ เดอื น ๕ ขน้ึ ๑ คำ่ ๑ ปกี นุ ยงั เปน็ โทศก เสดจ็ สวรรคตอยใู่ นราชสมบตั ิ ๒๖ พรรษา กบั ๘ เดอื น พระชนมายุ ๖๕ พรรษา ครั้งนั้นมหาชนทั้งหลายมีเสนาบดีเป็นต้น พร้อมกันไปกราบทูลเชิญเสด็จสมเด็จพระอนุชาธิราช อสมั ภนิ ชาตสิ มมตุ วิ งศ์ ทรงนามเจา้ ฟา้ มกฎุ สมมตุ เิ ทพยพงศ์ ใหล้ าผนวชออกเสวยราชสมบตั ใิ นกาลเมอ่ื จลุ ศกั ราช ๑๒๑๓ ปกี นุ ตรศี ก ณ วนั พฤหสั บดี เดอื น ๖ ขน้ึ ๑๕ คำ่ ๒ พรอ้ มดว้ ยวสิ าขนกั ขตั มงคลฤกษ์ กต็ ง้ั การพระราชพธิ ี พระบรมราชาภเิ ษกถวายพระนามตามคณุ ปกาสติ วา่ พระบาทพระสมเดจ็ ปรเมนทร มหามกฎุ สทุ ธสมมตุ เิ ทพยพงศว์ งศาดศิ วรกษตั รยิ ว์ รขตั ยิ ราชนกิ โรดม จาตรุ นั ตบรมมหาจกั รพรรดิ ราชสงั กาศ อภุ โิ ตสชุ าตสิ งั สทุ ธเคราหณจี กั รบี รมนารถอดศิ วรราชรามวรางกรู สจุ รติ มลู สลุ าธติ อุกฤษฐวิบุลย บุรพาดุลยกฤดาภินิหาร สุภาธิการรังสฤดิ ธัญลักษณวิจิตร โสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตตมางคประนต บาทบงกชยคุ ล ประสทิ ธสิ รรพศภุ ผลอดุ มบรมสขุ มุ าลยม์ หาบรุ ษุ ยรตั น ศกึ ษาพพิ ฒั สรรพโกศล สจุ รติ วมิ ลศภุ ศลิ สมาจาร เพช็ รญาณประภาไพโรจน์ เอนกโกฎสิ าธคุ ณุ วบิ ลุ ยสนั ดานทพิ ยเทพาวตารไพศาลเกยี รตคิ ณุ อดลุ ยพเิ ศษสรรพเทเวศรานรุ กั ษ เอกอรรคมหาบรุ ษุ ย สตุ พทุ ธมหากระวี ตรปี ฏิ กาธโิ กศลวมิ ล ปรชี ามหาอดุ ม บณั ฑติ ยสนุ ทรวจิ ติ รปฏภิ าณ บรบิ รู ณคณุ สารสยามาทโิ ลกยดลิ ก มหาปรวิ ารนายก อนนั ตมหนั ตวรฤทธเิ ดช สรรพวเิ ศษศริ นิ ทร มหาชน นิกรสโมสรสมมุติ ประสิทธวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพดลเศวตรฉัตราดิฉัตร ศิริรัตนโน ประลกั ษณมหาบรมราชาภเิ ษกาภสิ ติ สรรพทศวชิ ติ รไชยสกลมไหสวรยิ มหาสวามนิ ทร มเหศวร มหนิ ทรมหารามาธริ าช วโรดมบรมนารถชาตอิ าชาวไศรย พทุ ธวทไิ ตรยรตั นสรณารกั ษ อกุ ฤษฐศกั ด์ิ อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสิตนหฤทัย อโนปไมยบุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิเบนทร ปรเมนทรธรรมกิ มหาราชาธริ าช บรมนารถบพติ ร พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ครน้ั เสดจ็ เถลงิ ถวลั ย ราชสมบัติแล้ว จึงทรงตั้งสมเด็จพระอนุชาธิราช ทรงพระนามเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เปน็ พระมหาอปุ ราชบวรราชาภเิ ษก รบั พระบวรราชโองการมพี ระนามวา่ พระบาทสมเดจ็ พระปวเรนทรา เมศวรมหิศรังสรรค มหันตวรเดโชไชยมโหฬารคุณอดุลยเดช สรรพเทเวศรานุรักษ บวรจุลจักร ๑ ตรงกับวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔ ๒ ตรงกับวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๔

ปฐมวงศ์ ๔๑ พรรดริ าชสงั กาศ อภุ โตสชุ าตสิ งั สทุ ธเคราหณี จกั รบี รมนารถ อศิ วรราชรามวรรงั กลู บรมกฎุ นเรนสรู โสทรานุราชาธิบดินทร เสนางคนิกรินทรปวราธิเบศร พลพยุหเนตรนเรศวรมหิศริวรนายก สยามาธิโลกยดิลก มหาบุรุษยรัตน์ ไพบูลยพิพัฒสรรพศิลาปาคมสุนทโรดมกิจโกศล สปั ตดลเศวตรฉตั ราดฉิ ตั ร ศริ ริ ตั โนปลกั ษณมหาปวรราชาภเิ ษกาภสิ ติ สรรพทศพธิ วชิ ติ รไชยอดุ ม มไหสวรยิ มหาสวามนิ ทรสเมกธรณนิ ทรานรุ าช บวรนารถชาตอิ าชาศยั ศริ ริ ตั นไตรยสรณารกั ษ อกุ ฤษฐศกั ดส์ิ กลรษั ฎาธเิ บนทร ปวเรนทรธรรมมกิ ราชบพติ ร พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ถวลั ยราช พระบวรราช พระองค์ทรงตั้งอยู่ในสัปปุริษธรรมคือกตัญญูกตเวที มีพระอนุสรณ์คำนึงถึงพระคุณแห่ง สมเด็จพระบรมราชชนนี ซึ่งเป็นพระบรมราชอรรคชายา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นพระธิดาในกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ มีพระคุณาปการเหลือที่จะปฏิการสนองพระคุณได้ ซึ่งเสด็จ ทิวงคตล่วงไปแล้วได้ ๑๕ พรรษา จึงทรงสมมุติสถาปนาพระอัฐิ ถวายพระนามว่ากรมสมเด็จ พระศรสี รุ เิ ยนทรามาตย์ สมเด็จพระบรมบพิตรพระองค์ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม กอบด้วยเมตตากรุณาแก่พระบรม วงศานุวงศ และพระญาติสัมพันธ อันสืบเนื่องมาแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสด็จสวรรคต ล่วงไปแล้วนั้น จึงทรงพระราชอุทิศสถาปนาสมณุตมาภิเษกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นนุชิตชิโนรส เปน็ กรมสมเดจ็ พระปรมานชุ ติ ชโิ นรส ศรสี คุ ตขตั ยิ วงศ บรมพงศาธบิ ดี จกั รบี รมนารถ ปฐมพนั ธุ มหาราชวรงั กรู ปรเมนทรนเรนสรู สมั มานาภสิ กั กาโรดมสถาน อรยิ สมั ศลิ าจารพเิ ศษ มหามงคล ธรรมเจฎยิ ยตุ มตุ วาทสิ รู รมิ นญู อดลู ยคณุ คณาธานมโหฬาร เมตตยาพทิ ยาไศรยไตรยปฎิ กกลาโกศล เบญ็ จปดลเศวตรฉตั รศริ ริ ตั โนปลกั ษณ มหาสมณตุ มาภเิ ษกาภสิ ติ บรมกฤษฐสมณศกั ดธิ ำรงค์ มหาสงั ฆบรนิ ายกพทุ ธสาสนดลิ ก โลกตุ ตมมหาบณั ฑติ ย สนุ ทรวจิ ติ รปฏภิ าณวยั ตญิ าณมหากระวี พทุ ธาทศิ รรี ตั นไตรยคณุ ารกั ษ์ เอกอรรคมหาอนาคารยิ รตั น สยามาพโิ ลกประฏพิ ทั ธบรษิ ทั ยเนตร สมณคณนิ ทราธเิ บศร สกลพทุ ธจกั โรปการกจิ สฤษศภุ การ มหาปาโมกขประธานวโรดมบรมนารถ บพติ ร เสดจ็ สถติ ย ณ วดั พระเชตพุ น วมิ ลมงั คลารามราชวรมหาวหิ ารเปน็ ประธาน แกส่ มณบรษิ ทั ทว่ั พระราชอาณาเขต ทรงตั้งสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ปริยัติวรสังฆาธิบดีศรีสมณุตมบรินายก ตรีปิฎกโกศลวิมลปรีชามหาอุตร คณฤษรสฤทธุสังฆารามคามวาศรี อรัญวาศรี คณะ ๑ ตั้งสมเด็จ พระวนรตั นปรยิ ตั พิ พิ ฒั พงษ์ วสิ ทุ ธส์ิ งฆปรนิ ายก ตรปี ฎิ กโกศลวมิ ลญาณสนุ ทร มหาทกั ษณิ คณฤษรบวร สงั ฆาราม คามวาศรี อรญั วาศรี คณะ ๑ เปน็ คณะใหญใ่ นกรมสมเดจ็ พระปรมานชุ ติ ทรงตง้ั พระบวรวงศ์

๔๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ท่ี ๒ พระองคเ์ จา้ ฤกษอันทรงผนวช เปน็ กรมหมน่ื บวรรงั ษสี รุ ยิ พนั ธ์ ปยิ พรหมจรรยธ์ รรมวรยตุ ปฏบิ ตั สิ ทุ ธ คณนายก พทุ ธสาสนดลิ ก ปวรยั ยบรรพชติ สรรพธรรมกิ กจิ โกศลสวุ มิ ลปรชี าปญั ญา อรรคมหาสมณตุ ม บรมบพติ รเปน็ เจา้ คณะ ๑ ในพระบรมวงศสองพระองค์ ทรงเลอ่ื นกรมขนุ รามอศิ วเรศเปน็ กรมพระรามอศิ วเรศ สรรพเชษฐบรมวงศ์ปฐมพงศภูวนารถ วรราชศักดิสมมุตวิสุทธิเกียรติคุณวิบุลยเดชบดินทรนรินทรบพิตร เลอ่ื นกรมหมน่ื สวสั ดวิ ไิ ชยเปน็ กรมหลวงพเิ ศษศรสี วสั ดสิ ขุ วฒั นวไิ ชย ในพระเจา้ พย่ี าเธอ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ นน้ั ทรงเลอ่ื นกรม ๕ พระองค์ กรมขนุ เดชอดศิ รเปน็ กรมสมเดจ็ พระเดชาดศิ ร เทพนกิ รยานรุ กั ษ์ วรศกั ดพิ เิ สศ บรมเชษฐวราทวิ งศ พงศานพุ งศประดษิ ฐาน สนุ ทรปรชี านภุ าพศภกาพ ปฏภิ าณสตุ ไพศาลอรรถธรรถสาตร ธรรมกิ นารถบพติ ร กรมขนุ พพิ ธิ ภเู บนทร เปน็ กรมพระพพิ ธิ โภคภเู บนทร นเรนสรุ วิ งษอดศิ วร พงศพรพพิ ฒั นศกั ด์ิ รตั นตรงั คคณุ าเกยี รตวิ บิ ลุ ย อดลุ ยเดชบพติ ร กรมหมน่ื พทิ กั ษเทเวศรเปน็ กรมพระเทเวศร นเรศราชรววิ งศ์ อศิ วรพงศพพิ ฒั นศกั ด์ิ อดุ มอรรควรยศ วงประนตนารถนเรนทรพาหเนนทรบพติ ร กรมหมน่ื อนิ ทรอมเรศเปน็ กรมหลวงมหศิ วรนิ ทรามเรศ กรมหมน่ื วงษาสนทิ เปน็ กรมหลวงวงษาธริ าชสนทิ ทรงตง้ั กรม ๙ พระองค์ พระองคเ์ จา้ ทนิ กรเปน็ กรมหลวงภวู เนตรนรนิ ทรฤทธ์ิ พระองคเ์ จา้ กลางเปน็ กรมหลวงเทเวศรวชั รนิ ทร พระองคเ์ จา้ ชมุ แสงเปน็ กรมหลวงสรรพศลิ ปปรชี า พระองคเ์ จา้ มรกฎ เปน็ กรมขนุ สถติ สถาพร พระองคเ์ จา้ ขตั ยิ าเปน็ กรมหมน่ื ถาวรณว์ รยศ พระองคเ์ จา้ นลิ รตั นเปน็ กรมหมน่ื อลงกฎกจิ ปรชี า พระองคเ์ จา้ อรณุ วงศเปน็ กรมหมน่ื วรศกั ดาพศิ าล พระองคเ์ จา้ กปติ ถาเปน็ กรมหมน่ื ภบู าลบรริ กั ษ พระองคเ์ จา้ ปราโมชเปน็ กรมหมน่ื วรจกั รธรานภุ าพ ทรงตง้ั พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ พระองคก์ ลาง เปน็ สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ มหามาลา อศิ วราธริ าชรววิ งศ์ บรมพงศปฏพิ ทั ธบรุ ษุ รตั นวโรภโตสชุ าติ บรษิ ทั ยนารถนรนิ ทราธบิ ดี

ปฐมวงศ์ ๔๓ ในพระบวรวงศท์ ่ี ๑ ทรงเลอ่ื นกรมหมน่ื นรานชุ ติ ขน้ึ เปน็ กรมขนุ ในพระบวรวงศท์ ่ี ๒ ทรงเลอ่ื น กรมหมื่นธิเบศรบวรขึ้นเป็นกรมขุน ทรงตั้งกรมพระเจ้าราชวงศ์เธอ ๖ พระองค์ พระองค์เจ้าโกเมน เป็นกรมหมื่นเชษฐาธิเบนทร พระองค์เจ้าลัดดาวันเป็นกรมหมื่นภูมินทรภักดี พระองค์เจ้าชุมสาย เป็นกรมหมื่นราชสีหวิกรม พระองค์เจ้าอุไรเป็นกรมหมื่นอดูลลักษณสมบัติ พระองค์เจ้าอรรณนพ เป็นกรมหมื่นอุดมรัตนราษี พระองค์เจ้าอมฤตยเป็นกรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย ทรงตั้งพระองค์เจ้าน้อย ในบวรวงศ์ท่ี ๓ เปน็ เจา้ ฟา้ อศิ ราพงศเกาวงศวสิ ทุ ธสิ รสหี คมศกั ด์ิ อภลิ กั ษณะวโรภโตสชุ าติ บรษิ ทั นารถ นราธบิ ดี ฝา่ ยอภมิ ขุ มาตยาธบิ ดสี ององคน์ น้ั ทรงตง้ั เจา้ พระยาพระคลงั ผวู้ า่ ทส่ี มหุ พระกลาโหมเปน็ สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาประยรุ วงศ วรตุ มพงศนายกสยามดลิ ก โลกานปุ าลนนารถ สกลราชวราจกั รา ธิเบนทร ปรเมนทรมหาราชานุกูล สรรพกิจมูลมเหศวร เชษฐามาตยาธิบดี ตรีสรณรัตนธาดาดุลย เดชานุภาพบพิตร ทรงตั้งพระยาศรีพิพัฒรัตนราชโกษา เป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีไชญาติ นรเนตรนารถราชสุริยวงศ์ ตระกูลพงศประดิษฐามุขมาตยาธิบดี ไตรยสรณศรีรัตนธาดาสกลมหาราชา ธเิ บนทร ปรเมนทรมหาราชวโรประการ มโหฬารเดชานภุ าพบพติ รฝา่ ยเสนาบดี ทรงตง้ั พระยาราชสภุ าวดี เป็นเจ้าพระยานิกรบดินทร มหินทรมหากัลยาณมิตร เอนกบุญฤทธิประสิทธิ สาธุคุณวิบุลยศุภผล นพิ ทั ยกศุ ลกรยิ าภริ ตั ธญธนสารสมบตั ปิ รวิ ารสมบรุ ณ อดลุ ยเมตยาชอาทยาไศรย ศรรี ตั นไตรยสรนารกั ษ อดุ มศกั ดพิ เิ ศษ นาครามายตเชษฐมสมหุ นายก สยามโลกยดลิ ก บรมราชมหศิ รสกโลตรทศิ ประเทศาธบิ ดี มหาราชสหี มรุ ธาธรอรรคมหาทยั วโรศวรเสนาธบิ ดี อภยั พริ ยิ ปรากรมพาหทุ ส่ี มหุ นายก สำเรจ็ ราชการทง้ั ปวง ในกรมมหาดไทย พระประยรุ วงศานวุ งศแลขา้ ทลู ละอองพระบาทนอกน้ี กพ็ ระราชทานยศศกั ดโ์ิ ดยสมควร แกค่ ณุ แลความชอบเปน็ อนั มากยง่ิ กวา่ ทกุ แผน่ ดนิ อนง่ึ ในการพระบรมศพสกั การ กย็ ง่ิ กวา่ พระบรมศพ ทกุ ครง้ั สนองพระคณุ สมเดจ็ พระบรมเชษฐาธริ าช บดั นพ้ี ระองคท์ รงพระอนสุ รณค์ ำนงึ ถงึ สมเดจ็ พระบรม ไอยกาธริ าช และสมเดจ็ พระบรมชนกาธบิ ดี ซง่ึ เคยทรงสกั การบชู าพระธรรมเทศนาดว้ ยจตั ปุ จั จยั โลกามสิ เป็นอุทิศทานใหญ่หลวง จึงทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระราชทรัพย์ให้สมเด็จเจ้าพระยาทั้งสอง พระองค์ กบั เจา้ พระยานกิ รบดนิ ทรทำกระจาดใหญ่บชู าธรรมเพอ่ื จะทรงพระราชอทุ ศิ ถวายเปน็ ปรทิ านธรรม บรรณาการ แด่สมเด็จพระบรมไอยกาธิราช สมเด็จพระบรมชนกาธิบดีแลสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ซง่ึ เสดจ็ สวรรคตลว่ งไปแลว้ นน้ั พระราชกศุ ลสรรพทกุ ประการ ซง่ึ ทรงบำเพญ็ มาแตก่ อ่ นกด็ ี และพระราช กศุ ล ซง่ึ ทรงถวายจตั ปุ จั จยั ปรกิ ขารตง้ั แตพ่ ระบรมราชาภเิ ษกมาจนกาลบดั น้ี ทรงพระกตเวทพี ระราชอทุ ศิ สนองพระคณุ สมเดจ็ พระบรมกษตั รยิ ทกุ ๆ พระองค์ ซง่ึ ดำรงแผน่ ดนิ สบื ๆ มา ตง้ั แตส่ มเดจ็ พระเจา้ รามาธิบดีปฐมกษัตริย์ซึ่งดำรงกรุงศรีอยุธยา ข้อซึ่งบำเพ็ญพระราชกุศลนั้น ด้วยทรงสังเวชเหตุระลึก

๔๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ มาตามพระราชพงศาวดารเห็นว่าเป็นอนิจจังโดยแท้ ด้วยความที่มิได้ล่วงพ้นซึ่งที่สุดคือความพินาศ และทรงปฏกิ ารพระบรมญาตบิ รมวงศกษตั รยิ ์ สบื กนั มาดว้ ยกตญั ญกู ตเวทอี ยา่ งยง่ิ อนง่ึ กรงุ ตา่ งประเทศกน็ ำพระราชสาร และเครอ่ื งราชบรรณาการมาเจรญิ ทางไมตรี พวกพานชิ นานา ประเทศกเ็ ขา้ มาคา้ ขายในพระนครสมบรู ณข์ น้ึ ดว้ ยพสั ดเุ ปน็ อนั มาก จบเรอ่ื งปฐมวงศ์ พระราชพงศาวดารยอ่ เพยี งน้ี

๔๕ ตำนานวงั หนา้

๔๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔

ตำนานวงั หนา้ ๔๗ คำนำภาคท่ี ๑๓๑ หนงั สอื ทร่ี วบรวมพมิ พเ์ ปน็ ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๑๓ นม้ี ีตำนานวงั หนา้ เรอ่ื ง ๑ เทศนาบวรราช ประวตั เิ รอ่ื ง ๑ พระนามเจา้ นายในพระราชวงั บวร ฯ เรอ่ื ง ๑ รวม ๓ เรอ่ื งดว้ ยกนั เปน็ เรอ่ื งขา้ งฝา่ ยวงั หนา้ ทั้งนั้น ที่รวบรวมพิมพ์ไว้ในภาคเดียวกันเพื่อจะให้เรื่องอยู่เป็นหมวดหมู่สะดวกแก่ผู้อ่าน และหนังสือ ทง้ั ๓ เรอ่ื งนน้ั มอี ธบิ ายเฉพาะเรอ่ื งดงั จะกลา่ วตอ่ ไปน้ี เรื่องตำนานวังหน้า ข้าพเจ้าแต่งใหม่ ประสงค์จะอธิบายเรื่องประวัติและแผนที่วังหน้า เวลาเป็นพระราชวังของพระมหาอุปราชว่าเป็นอย่างไร เหตุที่จะแต่งหนังสือเรื่องนี้ เพราะได้ยินผู้ศึกษา โบราณคดีปรารภกันถึงวัตถุสถานของโบราณ ซึ่งคนภายหลังรู้ไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร เช่นวังหลังเป็นต้น เพราะไม่มีผู้ใดได้จดเรื่องราวเล่าแถลงไว้และปรารภต่อไปถึงวังหน้า ว่าแม้ตัวผู้ที่เคยเห็นเมื่อบริบูรณ์ ยงั มอี ยมู่ ากในบดั น้ี ถา้ ไมม่ ใี ครแตง่ เรอ่ื งตำนานไว้ ยง่ิ นานไปกจ็ ะยง่ิ รยู้ ากเขา้ ทกุ ทวี า่ ของเดมิ เปน็ อยา่ งไร ความอันนี้เตือนใจข้าพเจ้าเวลาผ่านวังหน้ามาหอพระสมุด ฯ เนือง ๆ ครั้นเมื่อหาเรื่องหนังสือสำหรับ พิมพ์แจกในงานศพหม่อมเทวาธิราช ( ม.ร.ว. แดง อิศรเสนา ณ กรุงเทพ ) อยากจะให้เป็นเรื่อง เนอ่ื งดว้ ยสกลุ อศิ รเสนา ขา้ พเจา้ จงึ ไดแ้ ตง่ เรอ่ื งตำนานวงั หนา้ ตามทป่ี รารภไวใ้ หพ้ มิ พเ์ ปน็ ครง้ั แรก เรื่องเทศนาบวรราชประวัตินั้น เป็นเทศนาถวายในรัชกาลที่ ๕ ในงานสมโภชพระนคร อมร รัตนโกสินทร์ เมื่อสร้างมาได้ถึง ๑๐๐ ปี เมื่อปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๒๕ ในงานพระราชกุศลส่วน บุพเปตะพลีครั้งนั้น โปรดให้ขอแรงข้าราชการผู้ใหญ่ทำกระจาดใหญ่ ตั้งที่ท้องสนามชัยบูชากัณฑ์เทศน์ ถวายทใ่ี นพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคมองคเ์ กา่ ๔ กระจาด คอื เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี ทำกระจาดบูชากัณฑ์เทศน์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ถวายเทศนาพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เนอ่ื งดว้ ยอปจายนจรยิ า กณั ฑ์ ๑ เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ รัตนราชโกษาธิบดี ทำกระจาดบูชากัณฑ์เทศน์หม่อมเจ้าพระประภากร บวรวิสุทธิวงศ์ วัดบวรนิเวศน์ ถวายเทศนาพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เนอ่ื งดว้ ยสจุ รติ จรยิ ากถา กณั ฑ์ ๑ ๑ คำนำฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรก ตวั สะกด การนั ต์ คงตามตน้ ฉบบั เดมิ

๔๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เจ้าพระยารัตนบดินทร แต่ยังเป็นเจ้าพระยาพลเทพทำกระจาดบูชากัณฑ์เทศน์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากรวัดราชบพิธ ถวายเทศนาพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจา้ อยหู่ วั เนอ่ื งดว้ ยญาตธิ รรมจรยิ า กณั ฑ์ ๑ เจ้าพระยามหินทรศักดิธำรง ทำกระจาดบูชากัณฑ์เทศน์ สมเด็จพระมหาสมณะแต่ยังเสด็จ ดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ถวายเทศนา พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจา้ อยหู่ วั เนอ่ื งดว้ ย บพุ พทสิ านมสั น ธรรมจรยิ า กณั ฑ์ ๑ ในข้างขึ้นเดือน ๘ ปีมะเมียนั้น โปรดให้ข้าราชการผู้ใหญ่ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล เข้ากันทำกระจาดใหญ่บูชากัณฑ์เทศน์กระจาด ๑ ตั้งที่หน้าพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ในพระราชวังบวร ฯ แล้วพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลบุพเปตะพลี ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พร้อมด้วยกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ และพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งปวง สมเด็จพระวันรัต (ทับ) วัดโสมนัสวิหารถวายเทศนา พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า เจ้าอยู่หัวและกรมพระราชวังบวร ฯ ในรัชกาลที่ล่วงมาแล้วทั้ง ๓ พระองค์ เนื่องด้วยกตัญญูกตเวทีกถา กัณฑ์ ๑ เทศนากัณฑ์หลังนี้ที่พิมพ์ไว้ในสมุดเล่มนี้ เพราะเทศนาพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทั้ง ๔ รัชกาลที่กล่าวมาก่อนได้พิมพ์แล้วทั้ง ๔ กัณฑ์ แต่เทศนากัณฑ์บวรราช ประวัติยังหาได้เคยพิมพ์ไม่ แม้แต่ต้นฉบับเขียนหอพระสมุด ฯ ก็พึ่งไปได้มาจากสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วดั โสมนสั วหิ ารในไมช่ า้ นกั จงึ เหน็ ควรจะพมิ พร์ กั ษาไวอ้ ยา่ ใหส้ ญู ไปเสยี พระนามเจ้านายในพระราชวังบวร ฯ นั้น คือบัญชีพระโอรสธิดาพระมหาอุปราชทั้ง ๕ รัชกาล เป็นหนังสือหาฉบับยาก ไม่เคยพิมพ์มาแต่ก่อน ได้รวบรวมฉบับที่มีในหอพระสมุด ฯ มาสอบกัน แลว้ คดั เรยี บเรยี งตามทเ่ี ขา้ ใจวา่ ถกู ตอ้ ง พมิ พใ์ หป้ รากฏเปน็ ครง้ั แรก สภานายก หอสมดุ วชริ ญาณ วนั ท่ี ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๒

ตำนานวงั หนา้ ๔๙ คำนำ (ฉบบั พมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๐๙) * เนอ่ื งในงานพระราชทานเพลงิ ศพ พลโท พระยาศรสี รราชภกั ดี (ม.ร.ว. ฉาย กำภ)ู กำหนดงาน วนั ท่ี ๑๗ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๐๙ ณ เมรหุ นา้ พลบั พลาอศิ รยิ าภรณ์ วดั เทพศริ นิ ทราวาส เจา้ ภาพไดม้ าแจง้ แก่ เจ้าหน้าที่กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ว่าประสงค์จะจัดพิมพ์หนังสือ เรื่องประชุม พงศาวดารภาคท่ี ๑๓ แจกเปน็ อนสุ รณใ์ นงานน้ี กรมศลิ ปากรยนิ ดอี นญุ าตใหพ้ มิ พไ์ ดต้ ามความประสงค์ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๑๓ นี้ มีเรื่องต่าง ๆ รวม ๓ เรื่อง คือ เรื่องตำนานวังหน้าเรื่องหนึ่ง เทศนาบวรราชประวตั เิ รอ่ื งหนง่ึ และเรอ่ื งพระนามเจา้ นายในพระราชวงั บวรอกี เรอ่ื งหนง่ึ ประชมุ พงศาวดาร ภาคน้ี ไดต้ พี มิ พค์ รง้ั แรก เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๖๒ แจกในงานศพนางสนุ่ ชาตโิ อสถ ตอ่ มาเมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้พิมพ์เป็นครั้งที่สองในงานศพนายเลียบ แสวงธรรม แล้วได้พิมพ์ครั้งที่สามเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ โดยสำนกั พมิ พก์ า้ วหนา้ ขออนญุ าตจดั พมิ พจ์ ำหนา่ ยเปน็ หนงั สอื ชดุ ประชมุ พงศาวดาร รวมอยใู่ นเลม่ ท่ี ๕ ฉะนน้ั ฉบบั พมิ พค์ รง้ั น้ี จงึ นบั เปน็ ครง้ั ทส่ี ่ี เฉพาะเรอ่ื งตำนานวงั หนา้ นน้ั สมเดจ็ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ ไดท้ รงเรยี บเรยี งใหพ้ มิ พค์ รง้ั แรก เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๖๑ ในงานพระราชทานเพลงิ ศพ หมอ่ มเทวาธริ าช (แดง อศิ รเสนา ณ อยธุ ยา) ทรงปรารภไว้ ในคำนำเมื่อพิมพ์ครั้งแรกว่า \"เรื่องตำนานวังหน้า ข้าพเจ้าแต่งใหม่ ประสงค์จะอธิบายเรื่องประวัติ และแผนที่วังหน้า เวลาเป็นพระราชวังของพระมหาอุปราชว่าเป็นอย่างไร เหตุที่จะแต่งหนังสือนี้ เพราะได้ยินผู้ศึกษาโบราณคดีปรารภกันถึงวัตถุสถานของโบราณ ซึ่งคนภายหลังรู้ไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร เชน่ วังหลังเป็นต้น เพราะไม่มีผู้ใดได้จดเรื่องราวเล่าแถลงไว้ และปรารภต่อไปถึงวังหน้า ว่าแม้ตัวผู้ที่เคย เห็นเมื่อบริบูรณ์ ยังมีมากอยู่ในบัดนี้ ถ้าไม่มีใครแต่งเรื่องตำนานไว้ ยิ่งนานไปก็จะยิ่งรู้ยากเข้าทุกที วา่ ของเดมิ เปน็ อยา่ งไร ความอนั นเ้ี ตอื นใจขา้ พเจา้ เวลาผา่ นวงั หนา้ มาหอพระสมดุ เนอื ง ๆ ครน้ั เมอ่ื หาเรอ่ื ง หนงั สอื สำหรบั พมิ พแ์ จกในงานศพ หมอ่ มเทวาธริ าช (ม.ร.ว. แดง อศิ รเสนา ณ อยธุ ยา) อยากจะใหเ้ ปน็ เรอ่ื ง เนื่องด้วยสกุลอิศรเสนา ข้าพเจ้าจึงได้แต่งเรื่องตำนานวังหน้า ตามที่ปรารภไว้ ให้พิมพ์เป็นครั้งแรก\" ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๖๒ ได้ทรงชำระแก้ไขแล้วให้ตีพิมพ์รวมกับเรื่องเทศนาบวรราชประวัติ และพระนาม เจ้านายในพระราชวังบวร เรียกว่าประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑๓ แจกงานศพนางสุ่น ชาติโอสถ * อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลโท พระยาศรีสรราชภักดี ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วนั ท่ี ๑๗ มนี าคม ๒๕๐๙

๕๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ดังกล่าวแล้ว ต่อมาได้ทรงชำระแก้ไขตัดทอนและต่อเติมใหม่ แล้วให้พิมพ์แจกในงานพระราชทาน เพลิงศพอำมาตย์เอก หม่อมเจ้าโกสิต เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ อีกครั้งหนึ่ง จึงนับว่าเรื่องตำนานวังหน้านั้น ได้แยกพิมพ์เฉพาะเรื่องมาแล้วสองครั้ง อนึ่ง ขอถือโอกาสแจ้งแก่ท่านผู้อ่านด้วยว่า ที่เคยกล่าวไว้ ในคำนำหนงั สอื ประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๑๓ ฉบบั สำนกั พมิ พก์ า้ วหนา้ พมิ พจ์ ำหนา่ ย เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๗ ว่า สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงชำระแก้ไขหนังสือประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๑๓ ค้างไว้ถึงเพียงตอนตำนานวังหน้าในกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น ผิดไป ทั้งนี้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้ ตรวจพบหนังสือประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๑๓ ฉบับพิมพ์ครั้งที่สอง มีลายพระหัตถ์สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงชำระแก้ไขค้างไว้ดังกล่าวแล้ว แต่ความจริงปรากฏว่า ต่อมาสมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงใช้หนังสือเล่มอื่นเป็นฉบับชำระแก้ไขจนเสร็จตลอดเล่ม และให้ ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ เฉพาะเรื่องตำนานวังหน้าเรื่องเดียว ฉะนั้นจึงต้องนับว่าเรื่องตำนานวังหน้า ที่ตีพิมพ์รวมอยู่ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑๓ ฉบับพิมพ์ก่อน พ.ศ. ๒๕๐๙ ทุกครั้งยังบกพร่องอยู่ เนื่องจากมิได้พิมพ์ตามฉบับที่ทรงชำระและพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ อย่างไรก็ดี ในฉบับพิมพ์ครั้งนี้ ไดแ้ กไ้ ขเรยี บรอ้ ยแลว้ อนง่ึ นบั แตส่ มเดจ็ ฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ ไดท้ รงชำระเรอ่ื งตำนานวงั หนา้ มาจนถึงปัจจุบันนี้ นับได้ถึง ๔๐ ปีแล้ว ข้อเท็จจริงบางอย่างในเรื่องได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ฉะนน้ั เจา้ หนา้ ทก่ี องวรรณคดแี ละประวตั ศิ าสตรก์ บั นายบรรเจดิ อนิ ทจุ นั ทรย์ ง ซง่ึ ไดร้ บั ภาระจากเจา้ ภาพ จึงได้ร่วมกันทำเชิงอรรถเพิ่มเติมไว้เท่าที่จะสามารถตรวจสอบหาหลักฐานได้ เชิงอรรถที่ทำเพิ่มเติมใหม่ ได้เรียงไว้ด้วยตัวจิ๋วเอน ส่วนเชิงอรรถที่สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงไว้แต่เดิมนั้น เรยี งดว้ ยตวั จว๋ิ ธรรมดา เพอ่ื ใหเ้ หน็ แตกตา่ งกนั เรื่อง เทศนาบวรราชประวัติ นั้น เป็นเทศนาถวายในรัชกาลที่ ๕ ในงานสมโภชพระมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ เมื่อสร้างมาได้ถึง ๑๐๐ ปี เมื่อปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๔๒๕ ในงานพระราชกุศล ส่วนบุพเปตะพลีครั้งนั้น โปรดให้ขอแรงข้าราชการผู้ใหญ่ทำกระจาดใหญ่ ตั้งที่ท้องสนามไชยบูชา กณั ฑเ์ ทศน์ ถวายทใ่ี นพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคมองคเ์ กา่ ๔ กระจาด คอื เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี ทำกระจาดบูชากัณฑ์เทศน์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ถวายเทศนาพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้า จฬุ าโลกเนอ่ื งดว้ ยอปจายนจรยิ า กณั ฑห์ นง่ึ

ตำนานวงั หนา้ ๕๑ เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ รัตนราชโกษาธิบดี ทำกระจาดบูชากัณฑ์เทศน์หม่อมเจ้าพระประภากร บวรวิสุทธิวงศ์ วัดบวรนิเวศน์ ถวายเทศนาพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เนอ่ื งดว้ ยสจุ รติ จรยิ ากถา กณั ฑห์ นง่ึ เจ้าพระยารัตนบดินทร แต่ยังเป็นเจ้าพระยาพลเทพ ทำกระจาดบูชากัณฑ์เทศน์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร วัดราชบพิธ ถวายเทศนาพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จ ฯ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เนอ่ื งดว้ ยญาตธิ รรมจรยิ า กณั ฑห์ นง่ึ เจ้าพระยามหินทรศักดิธำรง ทำกระจาดบูชากัณฑ์เทศน์สมเด็จพระมหาสมณะ แต่ยังเสด็จ ดำรงพระยศเปน็ กรมหมน่ื วชริ ญาณวโรรส ถวายเทศนาพระราชประวตั ิ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เนอ่ื งดว้ ยบพุ พทสิ านมสั นธรรมจรยิ า กณั ฑห์ นง่ึ ในขา้ งขน้ึ เดอื น ๘ ปมี ะเมยี นน้ั โปรดใหข้ า้ ราชการผใู้ หญฝ่ า่ ยพระราชวงั บวรสถานมงคลเขา้ กนั ทำ กระจาดใหญ่บูชากัณฑ์เทศน์กระจาดหนึ่ง ตั้งที่หน้าพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ในพระราชวังบวร ฯ แล้ว พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลบุพเปตะพลี ณ พระทน่ี ง่ั พทุ ไธสวรรย์ พรอ้ มดว้ ยกรมพระราชวงั บวรวไิ ชยชาญ และพระบรมวงศานวุ งศท์ ง้ั ปวง สมเดจ็ พระวันรัต (ทับ) วัดโสมนัสวิหาร ถวายเทศนาพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และกรมพระราชวังบวร ฯ ในรัชกาลที่ล่วงมาแล้วทั้ง ๓ พระองค์ เนื่องด้วยกตัญญูกตเวทิกถา กณั ฑห์ นง่ึ เทศนากณั ฑห์ ลงั นท้ี พ่ี มิ พไ์ วใ้ นหนงั สอื น้ี สว่ นเทศนาพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทง้ั ๔ รชั กาลทก่ี ลา่ วมากอ่ น ไดเ้ คยตพี มิ พเ์ ปน็ เลม่ ตา่ งหากแลว้ สว่ น พระนามเจา้ นายในพระราชวงั บวร ฯ นน้ั คอื บญั ชพี ระโอรส พระธดิ า พระมหาอปุ ราช ทง้ั ๕ รชั กาล แตเ่ ดมิ มากอ่ น พ.ศ. ๒๔๖๒ ไมเ่ คยพมิ พม์ ากอ่ น สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ ได้ทรงรวบรวมฉบับที่มีในหอพระสมุดมาสอบกัน แล้วคัดเรียบเรียงตามที่ทรงเข้าใจว่าถูกต้อง แลว้ จงึ ใหจ้ ดั พมิ พร์ วมไวใ้ นประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๑๓ ในการพมิ พค์ ราวน้ี เจา้ หนา้ ทไ่ี ดพ้ จิ ารณาเหน็ วา่ พระนามพระโอรสพระธดิ าในกรมพระราชวงั บวร ฯ ซง่ึ ตพี มิ พอ์ ยใู่ นราชสกลุ วงศ์ (ฉบบั พมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๐๗) นน้ั เปน็ ฉบบั ทส่ี มบรู ณด์ กี วา่ จงึ ไดใ้ ชฉ้ บบั ในราชสกลุ วงศ์ ตรวจสอบและทำเชงิ อรรถเพม่ิ เตมิ ลงไว้

๕๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ตำนานวงั หนา้ วังหน้า คือพระราชวังอันเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราชแต่ก่อนมา เรียกในราชการว่า \"พระราชวังบวรสถานมงคล\" แต่คนทั้งหลายเรียกกันว่าวังหน้ามาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ถ้าจะค้นหาว่าเพราะเหตุใดจึงเรียกว่าวังหน้า ดูเหมือนจะอธิบายได้ไม่ยาก เพราะตามศัพท์ความ ก็หมายว่า วังที่อยู่ข้างหน้า คือหน้าของพระราชวังหลวง ตามแผนที่กรุงศรีอยุธยา วังจันทรเกษม ซึ่งเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราชก็อยู่ทิศตะวันออก อันเป็นด้านหน้าของพระราชวังหลวง อยู่ในที่ ซึ่งสมควรเรียกได้ว่าวังหน้าด้วยประการทั้งปวง แต่มีข้อประหลาดอยู่ที่ที่ประทับของพระมหาอุปราช ไม่ได้เรียกว่าวังหน้าแต่ในเมืองเรา พม่าเรียกพระมหาอุปราชของเขาว่า \"อินแซะมิน\" ภาษาพม่า อนิ แปลวา่ \"วงั \" แซะ แปลวา่ \"หนา้ \" มนิ แปลวา่ \"ผเู้ ปน็ เจา้ \" รวมความวา่ ผเู้ ปน็ เจา้ ของวงั หนา้ กต็ รงกบั วังหน้าของเรา ยังเหล่าเมืองประเทศราชข้างฝ่ายเหนือเช่นเมืองเชียงใหม่เป็นต้น เจ้าอุปราช เขาก็เรียกกันในพื้นเมืองว่า \"เจ้าหอหน้า\" มาแต่โบราณ เหตุใดจึงเรียกพ้องกันดังนี้ดูน่าประหลาดอยู่ จะว่าเพราะวังอุปราชเผอิญอยู่ข้างหน้าวังหลวงเหมือนกันทั้งนั้นก็ใช่ที่ เมื่อมาพิเคราะห์ดูตามหลักฐาน ในทางโบราณคดี เห็นว่าน่าจะเกิดขึ้นแต่ลักษณะพยุหโยธาแต่ดึกดำบรรพ์ ที่จัดเป็นทัพหน้าและ ทัพหลวง พระมหากษัตริย์ย่อมเสด็จเป็นทัพหลวง ผู้ที่รองพระมหากษัตริย์ถัดลงมา คือพระมหาอุปราช ย่อมเสด็จเป็นทัพหน้า ไปก่อนกองทัพหลวงเป็นประเพณี จึงเกิดเรียกพระมหาอุปราชว่าฝ่ายหน้า แล้วเลยเรียกที่ประทับของพระมหาอุปราชว่า วังฝ่ายหน้า และย่อลงมาเป็นวังหน้า โดยสะดวกปาก เมื่อสมัยครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี มีตำแหน่งมหาอุปราช แต่ให้ไปครองเมืองศรีสัชนาลัย อันเป็นเมืองหน้าด่านอยู่ข้างฝ่ายเหนือมาถึงสมัยแรกตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พระมหาอุปราช ก็ไปครองเมืองลพบุรี อันเป็นเมืองหน้าด่านทางฝ่ายเหนือ เมื่อขยายเขตกรุงศรีอยุธยาขึ้นไป จนได้ราชอาณาเขตของพระราชวงศ์พระร่วง ก็ให้พระมหาอุปราชขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก อันเป็น ราชธานเี กา่ เชน่ หนา้ ดา่ นทางฝา่ ยเหนอื วงั หนา้ ครง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยา เรื่องราวอันเป็นมูลประวัติของวังหน้า พึ่งมามีขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ครั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรเป็นพระมหาอุปราชเสด็จไปครองเมืองพิษณุโลก เสด็จลงมาเฝ้า

ตำนานวงั หนา้ ๕๓ สมเด็จพระชนกชนนียังกรุงศรีอยุธยาเนือง ๆ ความปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดาร (ฉบับ พระราชหัตถเลขาเล่ม ๑ หน้า ๑๐๒ ) ว่าสมเด็จพระนเรศวรเสด็จลงมาประทับที่วังใหม่ ที่เรียกว่า วงั ใหมน่ ้ี พระยาโบราณราชธานนิ ทร์ (พร เดชะคปุ ต)์ เปน็ ผไู้ ดส้ งั เกตขน้ึ กอ่ นวา่ คอื วงั จนั ทรเกษมนน้ั เอง มิใช่ที่อื่น สมเด็จพระนเรศวรทรงสร้างขึ้นเป็นที่ประทับในกรุงศรีอยุธยา จึงเรียกว่าวังใหม่ ต่อมาถึง ปีวอก พ.ศ. ๒๑๒๗ เมื่อสมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพของเมืองไทย ไม่ยอมขึ้นเมือง หงสาวดีต่อไป ต้องเตรียมต่อสู้ศึกหงสาวดีที่จะมาตีเมืองไทย สมเด็จพระนเรศวรทรงกวาดต้อนผู้คน หัวเมืองฝ่ายเหนือลงมารวบรวมกันในกรุงศรีอยุธยา ให้เป็นที่มั่นต่อสู้พม่าแต่แห่งเดียว จึงเสด็จลงมา ประทับอยู่ที่วังจันทรเกษมแต่นั้นมา ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่าเห็นจะเกิดเรียกวังจันทรเกษมว่า \"วังฝ่ายหน้า\" หรอื \"วงั หนา้ \" มาแตส่ มยั น้ี เพราะพระเกยี รตยิ ศของสมเดจ็ พระนเรศวรนน้ั ประการ ๑ เพราะวงั จนั ทรเกษม เผอิญอยู่ตรงด้านหน้าของพระราชวังหลวงด้วยอีกประการ ๑ แต่ความเข้าใจของคนทั้งหลายมายึดถือ เอาความข้อหลังนี้เป็นเหตุที่เรียกว่าวังหน้า จึงเรียกวังหลังขึ้นอีกวังหนึ่งซึ่งไม่ปรากฏว่ามีในประเทศอื่น เพราะวังหลังในกรุงศรีอยุธยาสร้างขึ้นที่สวนหลวงเดิมตรงบริเวณโรงทหารทุกวันนี้ อยู่ด้านหลัง พระราชวังหลวง ข้าพเจ้าเข้าใจว่า เห็นจะสร้างขึ้นเมื่อในแผ่นดินพระมหาธรรมราชาธิราชนั้นเหมือนกัน สร้างขึ้นให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเอกาทศรถในเวลาทำสงครามต่อสู้พม่า วังหลวงรักษาพระนคร ด้านเหนือ วังหน้ารักษาพระนครด้านตะวันออก วังหลังรักษาพระนครด้านตะวันตก รักษาลงมา บรรจบกบั วงั หนา้ ขา้ งดา้ นใต้ เพราะขา้ งดา้ นใตเ้ ปน็ ทน่ี ำ้ ลกึ ขา้ ศกึ เขา้ มายาก ใชเ้ รอื กำปน่ั รบปอ้ งกนั ไดถ้ นดั จงึ เกดิ มพี ระราชวงั หลวง วงั หนา้ และวงั หลงั แตน่ น้ั มา ครั้นพระมหาธรรมราชาธิราชสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรเสด็จผ่านพิภพแล้ว เสด็จประทับอยู่ วังหน้าอีก ๕ ปี จึงไปเฉลิมพระราชมนเทียรที่พระราชวังหลวง เหตุที่เรียกวังหน้าในกรุงศรีอยุธยาว่า \"วังจันทรเกษม\" จะเกิดขึ้นเมื่อใดข้าพเจ้ายังไม่ทราบ แต่เห็นมีเค้าเงื่อนอยู่ที่พระราชวังที่เมือง พิษณุโลกนั้นเรียกว่าวังจันทร์ แม้คนทุกวันเดี๋ยวนี้ในเมืองนั้นก็ยังทราบกันอยู่ บางทีจะเอานาม วังจันทร์เดิมมาเรียกวังหน้าในกรุงศรีอยุธยา ในเวลาเมื่อสมเด็จพระนเรศวรประทับเมื่อผ่านพิภพแล้ว ก็เป็นได้ เพราะจะเรียกว่าพระราชวังหลวง ๆ ของเดิมก็มีอยู่ จะเรียกว่าวังหน้าก็มิใช่ เป็นที่มหาอุปราช ประทบั และบางทจี ะเนอ่ื งโดยเหตอุ นั เดยี วกนั ในหนงั สอื พงศาวดารเกา่ จงึ เรยี กสมเดจ็ พระเอกาทศรถวา่ พระเจ้าฝ่ายหน้า เพราะเสด็จอยู่วังหลังในเวลานั้น ความสันนิษฐานตามเรื่องที่ปรากฏในพงศาวดาร ดังแสดงมานี้เป็นอัตโนมัติของข้าพเจ้า บางทีอาจจะผิดได้ เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งถือ เอาเปน็ หลกั ฐานไปทเี ดยี ว

๕๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จไปอยู่พระราชวังหลวงแล้ว เข้าใจว่าสมเด็จพระเอกาทศรถ เห็นจะเสด็จไปประทับอยู่ที่วังจันทรเกษมเพราะเป็นที่สำคัญในการรักษาพระนคร และสมเด็จพระนเรศวร นั้นหามีพระราชโอรสไม่ ครั้นถึงแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถมีเจ้าฟ้าราชโอรส ๒ พระองค์ เจ้าฟ้าสุทัศน์พระองค์ใหญ่ได้เป็นพระมหาอุปราชคงเสด็จอยู่วังจันทรเกษม เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ พระองค์น้อยเห็นจะประทับอยู่วังหลัง ต่อมาถึงแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม (ในจดหมายเหตุของ ฮอลันดาว่า) มีน้องยาเธอพระองค์ ๑ แต่ไม่ได้เป็นพระมหาอุปราช จะประทับอยู่ที่ไหนไม่มีเค้าเงื่อน ที่จะรู้ได้ ส่วนพระเจ้าลูกเธอ เวลาเมื่อพระเจ้าทรงธรรมสวรรคตล้วนยังทรงพระเยาว์ เข้าใจว่าประทับ อยู่ในพระราชวังหลวงทั้งนั้น แผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม วังหน้าจึงว่างตลอดทั้งรัชกาล ถึงแผ่นดิน พระเจ้าปราสาททอง มีพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์ ๑ ทรงตั้งให้เป็นพระศรีสุธรรมราชา ปรากฏว่า พระราชทานบ้านหลวงที่ตำบลข้างวัดสุทธาวาสให้เป็นวัง ส่วนพระเจ้าลูกเธอก็ล้วนยังทรงพระเยาว์ เสด็จอยู่ในพระราชวังหลวงทั้งนั้น วังหน้าจึงว่างมาอีกรัชกาลหนึ่ง เพราะไม่ได้ทรงตั้งพระมหาอุปราช จนเมื่อจะสวรรคตจึงมอบเวนราชสมบัติพระราชทานแก่ เจ้าฟ้าไชย (เชษฐา) พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ เจ้าฟ้าไชยครองราชสมบัติอยู่ได้ ๙ เดือน สมเด็จพระนารายณ์ราชอนุชาก็ลอบหนีออกจาก พระราชวังหลวง ไปคบคิดกับพระศรีสุธรรมราชาพระเจ้าอา ชิงราชสมบัติได้จากเจ้าฟ้าไชย พระศรีสุธรรมราชาขึ้นครองราชสมบัติ ทรงตั้งสมเด็จพระนารายณ์ราชภาคินัยเป็นพระมหาอุปราช เสด็จไปประทับอยู่วังหน้าตามตำแหน่ง ต่อมาไม่ช้าก็เกิดรบพุ่งกับพระศรีสุธรรมราชาธิราช เมื่อสมเด็จ พระนารายณไ์ ดร้ าชสมบตั แิ ลว้ เสดจ็ ประทบั อยทู่ ว่ี งั หนา้ ตอ่ มาอกี หลายปี บางทจี ะเรยี กวา่ \"พระราชวงั บวรสถานมงคล\" ขึ้นในตอนนี้ โดยเหตุสมเด็จพระนารายณ์มีชัยได้ราชสมบัติเพราะอาศัยวังหน้า เป็นที่มั่นก็เป็นได้ ต่อมาเมื่อโปรดให้รื้อพระที่นั่งเบญจรัตนมหาปราสาทในพระราชวังหลวงลงทำใหม่ เปลี่ยนนามเป็นพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทรแล้ว* จึงเสด็จไปเฉลิมพระราชมนเทียรในพระราชวังหลวง พระราชทานวงั หลงั ใหพ้ ระไตรภวู นาทติ ยวงศน์ อ้ งยาเธอประทบั อยู่ เมอ่ื สำเรจ็ โทษพระไตรภวู นาทติ ยวงศแ์ ลว้ พระราชทานให้เจ้าฟ้าอภัยทศน้องยาเธออีกพระองค์ ๑ เสด็จอยู่ ** แต่วังหน้านั้น ตั้งแต่สมเด็จ * พระที่นั่งเบญจรัตน ฯ มีชื่อในหนังสือพระราชพงศาวดาร จนแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแล้วเงียบหายไป สมเด็จพระ พทุ ธเจา้ หลวงทรงพระราชดำรวิ า่ จะเปน็ ชอ่ื เกา่ ของพระทน่ี ง่ั สรุ ยิ าสนอ์ มรนิ ทรนน้ั เอง พเิ คราะหด์ ฝู มี อื ทก่ี อ่ กเ็ ปน็ ของชน้ั ผผแผน่ ดนิ สมเดจ็ พระนารายณ์ และปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดาร ว่าตั้งพระบรมศพสมเด็จพระนารายณ์ที่พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร จึงรู้ได้ว่ารื้อพระที่นั่งเบญจรัตนฯ สรา้ งใหมใ่ นแผน่ ดนิ นน้ั ** ในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า เจ้าฟ้าอภัยทศ เป็นพระราชโอรสสมเด็จพระนารายณ์นั้นผิดไป สมเด็จพระนารายณ์มีแต่ พระราชธิดา พระราชบุตรหามีไม่

ตำนานวงั หนา้ ๕๕ พระนารายณม์ หาราชเสดจ็ ไปประทบั ในพระราชวงั หลวงแลว้ กว็ า่ งมา ดว้ ยไมไ่ ดท้ รงตง้ั เจา้ นายพระองคใ์ ด เปน็ พระมหาอปุ ราชจนตลอดรชั กาล ความปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า มีแบบแผนในราชประเพณีตั้งขึ้นใหม่เมื่อ ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งเรียกกันต่อมาว่า \"ตั้งกรมเจ้านาย\" แต่เดิมมาขัตติยยศ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงตั้งเจ้านายเป็นตำแหน่งเฉพาะพระองค์ เช่นเป็นพระราเมศวร พระบรมราชา พระอินทราชา พระอาทิตยวงศ์ ส่วนพระองค์หญิงก็มีพระนามปรากฏเป็น พระสุริโยทัย พระวิสุทธิกษัตรีย์เป็นต้น ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มีเหตุเป็นอริกับพระเจ้าน้องยาเธอ จึงไม่ได้ทรงสถาปนาขัตติยยศพระองค์หนึ่งพระองค์ใด พระราชโอรสก็ไม่มี (มีจดหมายเหตุฝรั่งกล่าวว่า เมื่อพระอัครมเหสีทิวงคต สมเด็จพระนารายณ์มีพระราชประสงค์จะให้ข้าราชการในพระมเหสี คงอยู่แก่เจ้าฟ้าราชธิดา) จึงโปรดให้รวบรวมข้าราชการจัดตั้งขึ้นเป็นกรม ๆ หนึ่ง เจ้ากรมเป็นที่ หลวงโยธาเทพ ให้ขึ้นอยู่ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสุดาวดีราชธิดา และให้จัดตั้งอีกกรมหนึ่ง เจ้ากรมเป็นที่หลวงโยธาทิพ ให้ขึ้นอยู่ในสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าศรีสุพรรณอย่างเดียวกัน เจ้าฟ้าทั้ง ๒ พระองค์นั้นจึงปรากฏพระนามตามกรมว่า เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพพระองค์ ๑ เจา้ ฟา้ กรมหลวงโยธาทพิ พระองค์ ๑ เปน็ ปฐมเหตทุ จ่ี ะมเี จา้ นายตา่ งกรมสบื มาจนทกุ วนั น้ี เมอ่ื สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราชเสดจ็ สวรรคต ราชสมบตั ไิ ดแ้ ก่พระเพทราชา ทรงตง้ั หลวงสรศกั ด์ิ ราชโอรสเปน็ พระมหาอปุ ราชใหเ้ สดจ็ อยวู่ งั หนา้ ตามตำแหนง่ และตง้ั นายจบคชประสทิ ธผิ มู้ คี วามชอบชว่ ย ให้ได้ราชสมบัติขึ้นเป็นเจ้าอีกพระองค์ ๑ พระราชทานวังหลังให้เป็นที่ประทับ แล้วจึงให้บัญญัตินามเรียก สงั กดั วงั หนา้ วา่ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล และใหเ้ รยี กสงั กดั วงั หลงั วา่ กรมพระราชวงั บวรสถานพมิ ขุ ตามแบบกรมหลวงโยธาทิพและกรมหลวงโยธาเทพ ซึ่งได้ตั้งขึ้นเมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช นั้น เข้าใจว่าที่วังหลัง จะได้ชื่อว่า พระราชวังบวรสถานพิมุข มีมาแต่ครั้งนี้ แต่ที่คนเรียกพระองค์ พระมหาอุปราชว่าวังหน้าก็ดี หรือกรมพระราชวังบวร ฯลฯ ก็ดี เป็นแต่เรียกกันตามสะดวกปาก เหมอื นอยา่ งเรยี กเจา้ นายในกรงุ รตั นโกสนิ ทรน์ ว้ี า่ วงั บรู พา และกรมอน่ื ๆ เชน่ กรมพระพพิ ธิ เปน็ ตน้ ในทุกวันนี้ ที่จริงในทางภาษาไม่เป็นชื่อเอกชน แต่ก่อนเขาจึงเติมคำ \"พระเจ้า\" หรือ \"เจ้า\" หรือ \"เสด็จ\" เข้าข้างหน้า ยังใช้ในราชการมาจนในรัชกาลที่ ๓ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อไทยทำหนังสือกับอังกฤษ ยงั เขยี นในบนั ทกึ วา่ \"ทำตอ่ หนา้ พระทน่ี ง่ั เจา้ กรมหมน่ื สรุ นิ ทรรกั ษ\"์ ดงั น้ี

๕๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ถงึ แผน่ ดนิ พระเจา้ เสอื ทรงตง้ั สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟา้ เพช็ รพระองคใ์ หญเ่ ปน็ พระมหาอปุ ราช กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล เสดจ็ ประทบั ทว่ี งั หนา้ ตามตำแหนง่ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟา้ พรพระองค์ นอ้ ย ทรงตง้ั เปน็ พระบณั ฑรู นอ้ ย ทำนองจะเปน็ เพราะทรงรงั เกยี จตำแหนง่ กรมพระราชวงั หลงั ดว้ ยเมอ่ื ตง้ั นายจบคชประสิทธิ เป็นอยู่ได้ไม่ยืดยาวต้องสำเร็จโทษ หรือจะยกย่องพระยศให้สูงขึ้นเสมอกับพระมหา อุปราชอย่างใดอย่างหนึ่งนี้ แต่พระบัณฑูรน้อยจะเสด็จประทับวังไหน และข้าราชการในสังกัดกรม พระบณั ฑรู นอ้ ยจะมที ำเนยี บและนามขนานอยา่ งไรหาปรากฏไม่ พระเจา้ เสอื สวรรคต พระมหาอปุ ราช คอื พระเจา้ ทา้ ยสระไดค้ รองราชสมบตั ิ (มีจดหมายเหตฝุ รง่ั วา่ เมอ่ื พระเจา้ เสอื จะสวรรคตนน้ั เปน็ เวลาทรงขดั เคอื งพระมหาอปุ ราช จงึ ทรงมอบเวนราชสมบตั พิ ระราชทาน พระบณั ฑรู นอ้ ย ครน้ั พระเจา้ เสอื สวรรคตแลว้ พระบณั ฑรู นอ้ ยถวายราชสมบตั แิ กพ่ ระเชษฐาพระมหาอปุ ราช) จงึ ทรงตง้ั พระบณั ฑรู นอ้ ยเปน็ พระมหาอปุ ราช กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล เสดจ็ ประทบั ทว่ี งั หนา้ ตอ่ มา ตามตำแหน่ง พระเจ้าท้ายสระมีพระราชโอรสเป็นเจ้าฟ้า ๓ พระองค์ พระองค์ใหญ่ทรงพระนาม เจ้าฟ้านเรนทร เป็นกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ รองลงมาถึงเจ้าฟ้าอภัย แล้วเจ้าฟ้าปรเมศวร์ สันนิษฐานว่าพระเจ้าท้ายสระกับสมเด็จพระอนุชามหาอุปราชเห็นจะเกิดหมองหมางพระราชหฤทัยต่อกัน พระเจา้ ทา้ ยสระจงึ ทรงพระราชดำรจิ ะมอบเวนราชสมบตั ใิ หแ้ กพ่ ระราชโอรส แตเ่ จา้ ฟา้ กรมขนุ สเุ รนทรพทิ กั ษ์ ไม่เต็มพระทัยที่จะเป็นผู้รับรัชทายาท ด้วยเกรงพระมหาอุปราช (ฝรั่งว่าเพราะเห็นว่าราชสมบัติเป็น ของพระเจ้าอาถวาย เมื่อสิ้นรัชกาลแล้วควรคืนเป็นของพระเจ้าอา) ครั้นออกทรงผนวชก็เลยไม่สึก เมื่อพระเจ้าท้ายสระจะสวรรคต จึงมอบราชสมบัติพระราชทานแก่เจ้าฟ้าอภัยพระราชโอรสที่ ๒ พระมหาอปุ ราชไมย่ อมเกดิ รบพงุ่ กนั ขน้ึ เปน็ ศกึ กลางเมอื ง พระมหาอปุ ราชมชี ยั ชนะจงึ ไดร้ าชสมบตั ิ เมื่อพระมหาอุปราช คือพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐเสด็จผ่านพิภพนั้น ทำพระราชพิธีปราบดาภิเษก ที่วังหน้า แล้วเสด็จประทับอยู่ที่วังหน้าต่อมาอีก ๑๔ ปี มิได้เสด็จไปประทับอยู่พระราชวังหลวง ถา้ เวลามกี ารพระราชพธิ กี เ็ สดจ็ ไปเฉพาะงาน สน้ิ งานแลว้ กเ็ สดจ็ กลบั ไปวงั จนั ทรเกษม (ความทก่ี ลา่ วขอ้ น้ี จะเห็นได้ในจดหมายเหตุงานพระศพเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ ซึ่งหอพระสมุด ฯ พิมพ์แล้วนั้น) และตำแหน่งพระมหาอุปราชก็ไม่ได้ทรงตั้ง ปล่อยให้ว่างอยู่ถึง ๑๐ ปี ชะรอยจะขัดข้องใน พระราชหฤทัยที่จะเลือกในระหว่างเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ กับพระเจ้า หลานเธอเจ้าฟ้ากรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ ซึ่งมีความชอบไม่แย่งชิงราชสมบัติเมื่อเวลามีโอกาสนั้น จงึ เปน็ แตโ่ ปรดใหต้ ง้ั กรมเจา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศร์ พระราชโอรสพระองคใ์ หญ่ เปน็ กรมขนุ เสนาพทิ กั ษ์ มาจนถงึ

ตำนานวงั หนา้ ๕๗ ปีระกา พ.ศ. ๒๒๘๔ (เจ้าฟ้ากรมขุนสุเรนทรพิทักษ์สิ้นพระชนม์) จึงได้พระราชทานอุปราชาภิเษก เจา้ ฟา้ กรมขนุ เสนาพทิ กั ษเ์ ปน็ พระมหาอปุ ราชกรมพระราชวงั บวรสถานมงคล แตเ่ สดจ็ อยใู่ นพระราชวงั หลวง เพราะสมเด็จพระราชบิดาเสด็จประทับอยู่ที่วังหน้า ครั้นปีชวด พ.ศ. ๒๒๘๗ เกิดเพลิงในวังหน้า พระราชมนเทียรไฟไหม้เสียเป็นอันมาก พระเจ้าบรมโกษฐจึงเสด็จมาอยู่พระราชวังหลวง ประทับที่ พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ เอาพระที่นั่งทรงปืนข้างท้ายวังเป็นที่เสด็จออก ครั้นปลูกสร้าง พระราชมนเทียรใหม่ในวังหน้าแล้ว จึงโปรดให้พระมหาอุปราชเสด็จไปอยู่วังหน้าตามตำแหน่ง กรมพระราชวังบวรสถานมงคล กรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์เป็นพระมหาอุปราชอยู่ ๑๔ ปี มีความผิดต้องรับพระราชอาญา เลยทิวงคตในระหว่างโทษ วังจันทรเกษมก็ว่างแต่นั้นมาจนตลอด สมยั ครง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยา เรื่องตำนานวังหน้าครั้งกรุงศรีอยุธยา ถ้ากล่าวแต่เนื้อความโดยสังเขป ก็คือวังหน้า แรกมีขึ้นใน แผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช เมื่อราวปีวอก พ.ศ. ๒๑๑๕ เข้าใจว่าแรกเรียกว่าวัง จันทรเกษมนั้น ในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แล้วมาเรียกว่าพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช วังหน้าได้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ๓ ครั้ง คือในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชครั้ง ๑ แผ่นดินพระนารายณ์มหาราชครั้ง ๑ แผ่นดินพระเจ้า บรมโกษฐครง้ั ๑ พระมหาอปุ ราชทไ่ี ดเ้ สดจ็ ประทบั ทว่ี งั จนั ทรเกษมมี ๘ พระองค์ คอื สมเดจ็ พระนเรศวร พระองค์ ๑ สมเด็จพระเอกาทศรถพระองค์ ๑ เจ้าฟ้าสุทัศน์พระองค์ ๑ สมเด็จพระนารายณ์พระองค์ ๑ พระเจา้ เสอื (เปน็ แรกทป่ี รากฏพระนามวา่ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล) พระองค์ ๑ พระเจา้ ทา้ ยสระ พระองค์ ๑ พระเจา้ บรมโกษฐพระองค์ ๑ กรมพระราชวงั บวรมหาเสนาพทิ กั ษ์ (เปน็ ทส่ี ดุ ) พระองค์ ๑ พระราชมนเทียรสถานที่ต่าง ๆ ในวังจันทรเกษม ซึ่งเป็นของเก่าสร้างแต่ครั้งสมเด็จพระนเรศวร มหาราช และสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เห็นจะเป็นอันตรายสูญไปเสียเมื่อไฟไหม้ในแผ่นดินพระเจ้า บรมโกษฐโดยมาก ที่สร้างใหม่ชั้นหลังสำหรับกรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์ เข้าใจว่าเห็นจะทำ แต่เป็นสถานประมาณพอเสด็จอยู่ได้ หมดของดีงามมาแต่ครั้งนั้นชั้นหนึ่งแล้ว ครั้นเสียกรุงศรีอยุธยา วังจันทรเกษมเป็นที่ทิ้งร้างทรุดโทรมมาอีกกว่า ๘๐ ปี ทั้งรื้อเอาอิฐมาสร้างกำแพงพระนครรัตนโกสินทร์ เมื่อในรัชกาลที่ ๑ และรื้อเอามาสร้างพระอารามเมื่อในรัชกาลที่ ๓ เสียเป็นอันมาก พึ่งมาสถาปนา เป็นพระราชวังขึ้นอีกเมื่อในรัชกาลที่ ๔ เพราะฉะนั้นแผนที่เดิมจะเป็นอย่างไรจึงทราบไม่ได้ทีเดียว สิ่งซึ่งสร้างในวังจันทรเกษมเมื่อในรัชกาลที่ ๔ ที่ทราบว่าสร้างตามแนวรากของโบราณ มีแต่หมู่พระที่นั่ง

๕๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พิมานรัตยาอันเป็นที่ว่าการมณฑลอยุธยาอยู่บัดนี้แห่ง ๑ พระที่นั่งพิไสยศัลลักษณ์ (หอสูง) อีกแห่ง ๑ พระยาโบราณราชธานินทร์ขุดพบแนวพระราชมนเทียรอยู่ตรงโรงเรียนข้างหลังวังจันทรเกษมอีก ๑ กับฐานระหัดน้ำยังอยู่ที่ริมเขื่อนตรงมุมวังข้างใต้ก็เป็นของครั้งกรุงศรีอยุธยาอีกอย่าง ๑ แต่เล่ากันมาว่า เขตวังหน้าเดิมกว้างกว่าแนวกำแพงวังเดี๋ยวนี้มาก วัดเสนาสนาราม ( แต่ก่อนเรียกว่าวัดเสื่อ) วัดขมิ้น (อยู่ในบริเวณเรือนจำใหม่) ๒ วัดนี้ว่าอยู่ในเขตวัง ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นวัดไม่มีพระสงฆ์ เรื่องตำนาน วังหน้าครั้งกรุงศรีอยุธยา มีเนื้อความตามที่ได้ทราบดังกล่าวมานี้ ต่อมาในครั้งกรุงธนบุรี ไม่มีพระมหา อปุ ราช ในกรงุ ธนบรุ จี งึ มไิ ดม้ ีวงั หนา้ ตำนานวงั หนา้ ในกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จผ่านพิภพโปรดให้สมเด็จพระอนุชาธิราชเป็น พระมหาอุปราชแล้ว ทรงสร้างพระนครใหม่ข้างฝั่งแม่น้ำฟากตะวันออก จึงสร้างพระราชวังหลวงและ พระราชวังบวร ฯ ขึ้นใหม่ เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๓๒๕ พร้อมกันทั้งสองวัง แต่ที่ซึ่งจะสร้าง พระราชวังใหม่เป็นที่มีเขตจำกัด เพราะแผนที่กรุงธนบุรีเอาแม่น้ำไว้กลาง ตั้งกำแพงเมืองทั้งสองฟาก คลองตลาด๑ ทุกวันนี้เป็นคูเมืองข้างฟากตะวันออก พื้นที่ในบริเวณกำแพงเมืองเดิมข้างฝั่งตะวันออก มีที่ผืนใหญ่พอจะสร้างพระราชวังได้แต่ ๒ แปลง คือที่แต่วัดโพธาราม๒ ยืนมาข้างเหนือจนถึงวัดสลัก๓ แปลง ๑ แต่วัดสลักขึ้นไปจนถึงปากคลองคูเมืองข้างเหนืออีกแปลง ๑ ไม่มีที่อื่นที่จะสร้างพระราชวัง นอกจากที่ ๒ แปลงนี้ จึงตั้งพระราชวังหลวงในที่แปลงใต้ และตั้งพระราชวังบวรสถานมงคลในที่แปลง ข้างเหนือ เพราะเหตุนี้พระราชวังหลวงกับวังหน้าในกรุงรัตนโกสินทร์จึงอยู่ใกล้ชิดกัน ไม่เหมือนที่ กรุงศรีอยุธยา ครั้นต่อมา เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสถาปนาสมเด็จ พระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ขึ้นเป็นกรมพระราชวังหลัง พระราชวังหลังก็ต้อง ไปตั้งที่ปากคลองบางกอกน้อยฟากข้างโน้น๔ ผิดแผนที่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นแต่เอาชื่อมาเรียกว่าวังหลัง ใหเ้ หมอื นประเพณคี รง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยาเทา่ นน้ั ๑ ชอ่ื นเ้ี คลอ่ื นไปจาก คลองคพู ระนครเดมิ กลา่ วกนั วา่ เหน็ เรยี กกนั เปน็ ๓ ชอ่ื คอื ตอนเหนอื เรยี กคลองโรงไหม ตอนกลางเรยี กคลองหลอด ตอนใต้เรียกคลองตลาด ชื่อคลองตลาดดูเรียกกันไม่เกินสะพานมอญขึ้นมา ต่อนั้นขึ้นมาเรียกคลองหลอด ส่วนชื่อคลองโรงไหมมีเขต ไมเ่ กนิ วดั บรุ ณศริ ิ และคลองนค้ี วรเรยี กโดยตลอดวา่ คลองคพู ระนครเดมิ ๒ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ๓ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ๔ คือบรเิ วณที่เป็นสถานรี ถไฟบางกอกนอ้ ย และโรงพยาบาลศริ ริ าช

ตำนานวงั หนา้ ๕๙ พระราชวังที่สร้างในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ถ่ายแบบอย่างพระราชวังในพระนครศรีอยุธยามาสร้าง ทั้งพระราชวังหลวงและวังหน้า มีคำผู้หลักผู้ใหญ่เล่ามาว่า พระราชวังหลวงสร้างหันหน้าวังขึ้นเหนือน้ำ เอาพระฉนวนนำ้ ไวข้ า้ งซา้ ยวงั ตามแผนทพ่ี ระราชวงั เกา่ กรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สงิ หนาทดำรสั วา่ ไมถ่ กู ทศิ พระราชวังเก่าหันหน้าวังไปทางทิศตะวันออก ให้สร้างพระราชวังบวร ฯ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก พระฉนวนน้ำวังหน้าจึงกลับไปอยู่ข้างหลังวัง เพราะแม่น้ำที่ในพระนครศรีอยุธยาอยู่ทางทิศเหนือพระราช วังหลวง และอยู่ทางทิศตะวันออกวังจันทรเกษม แต่แม่น้ำที่กรุงรัตนโกสินทร์อยู่ข้างทิศตะวันตก ของที่สร้างพระราชวัง จึงเป็นเหตุให้แตกต่างกันไปได้ดังกล่าวมา แต่ส่วนแผนที่ข้างภายในพระราชวัง ถ้าใครเคยได้เที่ยวเดินดูในพระราชวังหลวงที่ในพระนครศรีอยุธยา สังเกตดูก็จะเห็นได้ว่าพระบรม มหาราชวังในกรุงเทพ ฯ นี้ ถ่ายแผนที่ข้างตอนหน้ามาสร้างเหมือนกันไม่เพี้ยนผิด คือวัดพระศรีรัตน ศาสดารามอยู่ตรงที่วัดพระศรีสรรเพ็ชญ หมู่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยอยู่ตรงพระวิหารสมเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทอยู่ตรงพระที่นั่งสรรเพ็ชญปราสาท แต่เมื่อในรัชกาลที่ ๑ เว้นเสียองค์ ๑ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทอยู่ตรงพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ ถึงศาลาลูกขุนและที่ปันเขตกำแพง พระราชวังชั้นกลางชั้นในก็ตรงกัน ส่วนพระราชวังบวร ฯ นั้น จะได้ถ่ายแบบวังหน้าที่กรุงศรีอยุธยา บ้างหรืออย่างไรหาทราบไม่ ด้วยของเดิมไม่มีอะไรเหลืออยู่พอจะตรวจเทียบ แต่ทราบได้แน่ว่า ที่ตรงสิ่งสำคัญนั้นถ่ายแบบพระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยาตอนข้างด้านหลังมาสร้าง ถ้าสังเกตดูในแผนที่ วังหน้าที่พิมพ์ในสมุดเล่มนี้ ที่ตรงสระสี่เหลี่ยมมีเกาะกลาง จะเห็นได้ว่าถ่ายแบบสระพระที่นั่ง บรรยงก์รัตนาสน์มาสร้าง และพระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน (อันเป็นพิพิธภัณฑสถานทุกวันนี้) อยู่ตรงกับ แผนที่พระที่นั่งทรงปืนในพระราชวังหลวงที่กรุงศรีอยุธยา และยังมีคนเรียกพระที่นั่งศิวโมกข์ว่า พระที่นั่งทรงปืนอยู่จนทุกวันนี้ ความที่กล่าวมาว่าตามที่จะแลเห็นหลักฐานเป็นที่สังเกตได้แน่นอนใน ปัจจุบันนี้ ๑ แต่เมื่อแรกสร้างเห็นจะมีอะไรที่ถ่ายแบบอย่างมาอีกหลายสิ่ง แต่รื้อและแปลงไปเสียแล้ว จงึ รไู้ มไ่ ด้ การสร้างพระราชวังในกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งพระราชวังหลวงและวังหน้า ไม่ได้สร้างสำเร็จใน คราวเดียว แรกลงมือสร้างเมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๓๒๕ เป็นการเร่งรัดด้วยจะทำพระราชพิธีปราบดาภิเษก กำแพงพระราชวังใช้แต่ปักเสาไม้ระเนียด พระราชมนเทียรก็ทำแต่ด้วยเครื่องไม้มุงจาก พอเสด็จประทับ ชว่ั คราวทง้ั พระราชวงั หลวงวงั หนา้ พระราชวงั หลวงเวลาปลกู สรา้ งไมถ่ งึ สองเดอื น กถ็ งึ พระฤกษพ์ ระราชพธิ ี ๑ พ.ศ. ๒๔๖๘

๖๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ปราบดาภิเษก เสด็จมาเฉลิมพระราชมนเทียรเมื่อ ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๘ บุรพาสาธ ขึ้น ๔ ค่ำ๑ พระมหาอุปราชจะได้เสด็จจากพระนิเวศน์เดิม อันอยู่ตรงป้อมพระสุเมรุทุกวันนี้ มาเฉลิมพระราช มนเทียรในพระราชวังบวรสถานมงคลที่สร้างใหม่เมื่อวันใดยังไม่พบจดหมายเหตุ แต่มีหลักฐาน ทย่ี ตุ ไิ ดเ้ ปน็ แนว่ า่ เสดจ็ มาภายในเดอื น ๘ บรุ พาสาธ ปขี าล จตั วาศกนน้ั เอง ดว้ ยมจี ดหมายเหตปุ รากฏวา่ ปรึกษาความชอบตั้งกรมสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ หลานเธอ และตั้งข้าราชการทั้งหลายเมื่อเดือน ๘ อตุ ราสาธ การอนั นต้ี อ้ งอยภู่ ายหลงั พระราชพธิ อี ปุ ราชาภเิ ษก ครั้นเสด็จมาประทับอยู่ในพระราชวังใหม่แล้ว จึงลงมือปลูกสร้างสิ่งซึ่งเป็นของถาวร ต่อมา ทั้งพระราชวังหลวงและวังหน้าด้วยกัน ในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า การสร้างพระนคร อมรรัตนโกสินทร์และพระราชวังหลวง สร้างอยู่ ๓ ปี สำเร็จเมื่อในปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๒๘ จึงทำการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แล้วสมโภชพระนคร ต่อกันไป เชื่อได้ว่าพระราชวังบวร ฯ ก็คงสร้างสำเร็จ และได้มีการฉลองเนื่องในงานสมโภชพระนครคราว นั้นด้วย แต่หากไม่ปรากฏจดหมายเหตุรายการแก่ผู้แต่งหนังสือพระราชพงศาวดารจึงมิได้พรรณนาไว้ด้วย แต่การก่อสร้างในชั้นนั้น ทั้งพระนคร ฯ และพระราชวัง ก่ออิฐถือปูนเฉพาะแต่ป้อมปราการ สำหรับป้องกันข้าศึกศัตรู ส่วนพระราชมนเทียรและสถานที่นอกจากนั้นทำด้วยเครื่องไม้แทบทั้งนั้น แม้ซุ้มประตูเมืองและประตูพระราชวังก็เป็นเครื่องยอดทำด้วยไม้ ที่สุดจนพระที่นั่งอินทราภิเษก มหาปราสาทในพระราชวงั หลวง๒ ซง่ึ สรา้ งขน้ึ แตแ่ รก กเ็ ปน็ ปราสาทไม้ เพราะในเวลานน้ั อฐิ ปนู ยงั หาไดย้ าก ป้อมปราการที่สร้างในกรุงรัตนโกสินทร์ต้องไปรื้อเอาอิฐกำแพงพระนครศรีอยุธยามาก่อสร้างแทบทั้งหมด เพราะฉะนั้นสิ่งซึ่งสร้างเป็นของก่ออิฐถือปูน นอกจากป้อมปราการกับวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั้นแล้ว เปน็ ของกอ่ สรา้ งตอ่ ทหี ลงั เปน็ ลำดบั มาทง้ั นน้ั จะกล่าวเฉพาะตำนานการสร้างพระราชวังบวร ฯ ต่อไป ที่เกาะกลางสระซึ่งได้กล่าวมาแล้ว เดิม กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท จะทรงสร้างปราสาทเหมือนอย่างพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ที่กรุงศรี อยุธยา สร้างยังไม่ทันสำเร็จมีเหตุเกิดขึ้น เมื่อ ณ วันศุกร์ เดือน ๕ แรม ๒ ค่ำ๓ ปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๒๖ อา้ ยบนั ฑติ ๒ คนคดิ ขบถลอบเขา้ ไปในวงั หนา้ ไปแอบพระทวารดา้ นหลงั พระราชมนเทยี รคอยจะทำรา้ ย ๑ ตรงกับวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๕ ๒ พระทน่ี ง่ั องคน์ ไ้ี ดถ้ กู ไฟไหม้แตค่ รง้ั รชั กาลท่ี ๑ และในรชั กาลนน้ั ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งพระทน่ี ง่ั ขน้ึ ใหมใ่ นทเ่ี ดมิ พระราชทานนามวา่ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ๓ ตรงกบั วันท่ี ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๖

ตำนานวงั หนา้ ๖๑ กรมพระราชวังบวร ฯ เวลาเสด็จลงทรงบาตร แต่เผอิญเช้าวันนั้นจะเสด็จลงมาเฝ้า ฯ สมเด็จพระบรม เชษฐาธิราชที่พระราชวังหลวง เสด็จออกทางพระทวารด้านหน้า อ้ายขบถจึงทำร้ายไม่ได้ ครั้นเสด็จ ลงมาพระราชวังหลวงแล้ว ทางโน้นนางพนักงานในวังหน้าไปพบอ้ายขบถ ก็ร้องอื้ออึงขึ้น เจ้าพนักงาน ผู้รักษาหน้าที่พากันเข้าไปจับได้คน ๑ ไล่ไปฟันตายลงตรงที่สร้างปราสาทคน ๑ กรมพระราชวังบวร มหาสุรสิงหนาทมีรับสั่งว่า ที่วังจันทรเกษมซึ่งเป็นวังหน้าครั้งกรุงศรีอยุธยาไม่มีปราสาท พระองค์มา ทรงสร้างปราสาทขึ้นในวังหน้าเห็นจะเกินวาสนาไปจึงมีเหตุ จึงโปรดให้งดการสร้างปราสาทนั้นเสีย ให้เอาตัวไม้ที่ปรุงไว้ไปสร้างพระมณฑป (เก่า) ที่วัดนิพพานาราม คือวัดมหาธาตุทุกวันนี้๑ ส่วนที่ซึ่ง กะไวว้ า่ จะสรา้ งปราสาทนน้ั โปรดใหส้ รา้ งพระวมิ านถวายเปน็ พทุ ธบชู า ขนานนามวา่ \"พระพมิ านดสุ ดิ า\"* เป็นที่ไว้พระพุทธรูป พระวิมานนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทันทอดพระเนตรเห็น ทรงพรรณนาไว้ในพระราชนิพนธ์เรื่องสถานที่ซึ่งกรมพระราชวังบวร ฯ ทรงสร้าง (หอพระสมุด ฯ พิมพ์ใน ประชมุ พระบรมราชาธบิ าย เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๗) วา่ ตวั พระวมิ านกลางทเ่ี ปน็ หอพระหลงั คามงุ ดบี กุ ฝากระดาน ข้างนอกประกอบเป็นลายทรงเข้าบิณฑ์ปิดทองประดับกระจก ข้างในเขียนลายรดน้ำมีราชวัตรฉัตร รูปอย่างฉัตรเบญจรงค์ (ปักรายรอบ) เป็นเครื่องปิดทองประดับกระจกทั้งสิ้น นอกพระวิมานออกมามี พระระเบียง ฝาข้างในเขียนเรื่องพระปฐมสมโพธิและเรื่องรามเกียรติ์ \"งามนักหนา\" ข้างนอกมีลาย ประกอบปิดทองประดับกระจก เสาและหูช้างพนักข้างในก็ล้วนลายสลักปิดทองประดับกระจก มสี ะพานพนกั สลกั ปดิ ทองเปน็ ทางขา้ มสระเขา้ ไปทง้ั สท่ี ศิ ตรงสระมาทางด้านตะวันออกสร้างท้องพระโรงหลัง ๑ เป็นพระที่นั่งโถง วางแผนที่ตามแบบอย่าง พระที่นั่งทรงปืนในพระราชวังหลวงที่กรุงศรีอยุธยา จึงเป็นเหตุให้คนทั้งหลายเรียกว่าพระที่นั่งทรงปืน มาจนทุกวันนี้ แต่ที่จริงขนานนามว่า \"พระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน\"** ในจดหมายเหตุเก่าเห็นเรียก พระทน่ี ง่ั ทรงธรรมกม็ ี พระราชมนเทียรที่กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงสร้างขึ้นเป็นที่ประทับในชั้นแรก รูปสัณฐานจะเป็นอย่างไรทราบไม่ได้ แม้ที่สร้างจะอยู่ตรงไหนก็สงสัยอยู่ สันนิษฐานว่าจะเป็นตำหนัก เจ้าฟ้าพิกุลทอง ที่ปรากฏอยู่ในแผนที่นั้นเอง ซึ่งเป็นพระราชมนเทียรเดิม พระราชมนเทียรที่สร้างเป็นตึก *๑ ดูอนุสรณ์ ๒๕ พุทธศตวรรษ วดั มหาธาตยุ วุ ราชรงั สฤษฎ์ิ หนา้ ๑๐๕ - ๑๑๐ พบนามพระพิมานที่กล่าวนี้ในหนังสือนิพพานวังหน้า ** เร่อื งพระนามพระทน่ี ง่ั ในวงั หนา้ มขี ้อสงสัยอยบู่ ้าง จะกล่าวตอ่ ไปในตอนอธบิ ายแผนท่ี

๖๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เปน็ ทเ่ี สดจ็ ประทบั ตอ่ มา เปน็ ของสรา้ งในชน้ั หลงั ประมาณวา่ ราวปรี ะกา จลุ ศกั ราช ๑๑๕๑ พ.ศ. ๒๓๓๒ ในคราว ๆ เดียวกับสร้างหอพระมนเทียรธรรมในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ด้วยแบบอย่างลวดลาย คลา้ ยคลงึ กนั สอ่ ใหเ้ หน็ วา่ สรา้ งในคราวเดยี วกนั พระราชมนเทยี รทส่ี รา้ งใหมน่ ส้ี รา้ งเปน็ พระวมิ าน ๓ หลงั เรยี งกนั เขา้ ใจวา่ จะมแี บบอยา่ งในกรงุ ศรอี ยธุ ยามาแตค่ ตทิ ว่ี า่ ปราสาทเปน็ ทป่ี ระทบั ๓ ฤดกู าล แม้ตำหนกั สมเด็จพระสังฆราชครั้งกรุงศรีอยุธยาก็ทำเป็น ๓ หลัง จึงเรียกว่า \"ไตรโลกมนเทียร\" ในศุภอักษรที่มีไป เมืองลังกาครั้งแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ แต่ข้าพเจ้าได้ไปเดินตรวจดูในพระราชวังหลวง ที่กรุงศรีอยุธยากับพระยาโบราณราชธานินทร์ ๑ ด้วยกันหลายครั้ง ยังไม่พบที่สร้างพระวิมาน ๓ หลัง ทต่ี รงไหน มปี รากฏแตใ่ นหนงั สอื คำใหก้ ารชาวกรงุ เกา่ (ซง่ึ หอพระสมดุ พมิ พแ์ ลว้ เมอ่ื ปขี าล พ.ศ. ๒๔๕๗ ) วา่ พระวมิ าน ๓ หลงั มที ว่ี งั จนั ทรเกษมตรงพระทน่ี ง่ั พมิ านรตั ยา ทส่ี รา้ งเปน็ ทว่ี า่ การมณฑลอยธุ ยาทกุ วนั น้ี ๒ ในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ พระราชมนเทียรที่ประทับสร้างเป็นพระวิมาน ๓ หลัง ทั้งในพระราชวังหลวงและ ทีว่ ังหน้า ในพระราชวังหลวงคือหมู่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานนั้น แต่สร้างผิดกัน พระวิมานวังหลวงสร้าง ตดิ กนั ทง้ั ๓ หลงั พระวมิ านวงั หนา้ สรา้ งหา่ งกนั มชี าลาคน่ั กลาง จะกลา่ วเฉพาะพระวมิ านวงั หนา้ ตวั พระวมิ าน ๓ หลงั ทำเปน็ สองชน้ั หลงั ใตข้ นานนามวา่ \"พระทน่ี ง่ั วสนั ตพมิ าน\" ทำนองความวา่ เปน็ ทป่ี ระทบั ฤดูฝน หลังกลางขนานนามว่า \"พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ\" ทำนองความว่า เป็นที่ประทับฤดูหนาว แต่หลังเหนือขนานนามว่า \"พระที่นั่งพรหเมศรังสรรค์\" ทำนองความแปลกไป จะเป็นด้วยเหตุใด ไมม่ เี คา้ เงอ่ื นทจ่ี ะทราบ ไดแ้ ตส่ นั นษิ ฐาน ๆ วา่ เดมิ เหน็ จะมนี ามอน่ื ซง่ึ ทำนองความวา่ เปน็ ทป่ี ระทบั ฤดรู อ้ น แต่มีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงเปลี่ยนนามนั้นเสีย และที่ชาลาระหว่างพระวิมาน ข้างหนึ่งมีตึกห้องสรง อีกข้างหนึ่งมีตึกที่ลงพระบังคน สร้างต่างหากข้างละหลัง ต่อพระวิมานออกมาทั้งข้างหน้าข้างหลัง สร้างพระราชมนเทียรชั้นเดียวเป็นหลังขวาง ตลอดแนวพระวิมานทั้งสองด้าน ตรงพระวิมานหลังกลาง ทำเป็นมุขผ่านหลังขวางตรงออกไปทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ที่สุดมุขด้านหน้า มีพระที่นั่งบุษบกมาลา เป็นที่เสด็จออกแขกเมือง มุขนี้เรียกว่าท้องพระโรงหน้า มุขหลังพระวิมานเรียกว่า ท้องพระโรงหลัง และมีปราสาททองสร้างไว้ที่มุขหลังหนึ่ง เป็นที่สรงพระพักตร์ เล่ากันมาว่า กรมพระราชวังบวร มหาสุรสิงหนาทนั้น มีที่พระบรรทมทั้งที่บนพระวิมาน และที่ห้องพระราชมนเทียรหลังขวางหลายแห่ง ไม่บรรทมที่ใดแห่งเดียวเป็นนิตย์ แต่ถึงจะบรรทมที่ใด คงจะเสด็จมาสรงพระพักตร์ที่ปราสาททองนั้น กลา่ วกนั มาดงั น้ี ๑ พระยาโบราณราชธานนิ ทร์ (พร เดชะคปุ ต)์ พ.ศ. ๒๔๑๔ - ๒๔๗๙ ๒ หมายถึงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ แต่ปัจจบุ ันนเ้ี ปน็ ทที่ ำการพพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ วงั จนั ทรเกษม

ตำนานวงั หนา้ ๖๓ พระราชมนเทยี รหลงั ขวาง ขา้ งหนา้ ขา้ งหลงั พระวมิ านทก่ี ลา่ วมาน้ี มนี ามขนานเรยี กเปน็ มขุ ดา้ น ตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกพระที่นั่งบุรพาพิมุข ตะวันออกเฉียงใต้ เรียกทักษิณาพิมุข ตะวันตกเฉียงใต้ เรยี กปจั ฉมิ าพมิ ขุ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื เรยี กอตุ ราพมิ ขุ นามเหลา่ นส้ี งสยั วา่ จะมาขนานตอ่ เมอ่ื ในรชั กาล ที่ ๓ พร้อมกับขนานนามมุขหน้าว่า พระที่นั่งพิมุขมนเทียร และมุขหลังว่า พระที่นั่งปฤษฎางค์พิมุข ก็เป็นได้ มุขหน้าเมื่อเป็นท้องพระโรงครั้งแรกสร้างในรัชกาลที่ ๑ เข้าใจว่าเรียกพระที่นั่งพรหมพักตร์ ตรงหน้ามุขพระที่นั่งบุษบกมาลาออกมาข้างนอกเดิมเป็นชาลา ที่แขกเมืองเฝ้า พ้นชาลาออกมามีทิมคด บังหน้ามุขท้องพระโรงทั้งสามด้าน ทิมคดนี้ต่อมามีชื่อเรียกว่า \"ทิมมหาวงศ์\" เพราะประชุมนักปราชญ์ แปลหนงั สอื มหาวงศพ์ งศาวดารลงั กาทต่ี รงนน้ั เลา่ กนั มาวา่ กรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สงิ หนาทโปรดเสดจ็ ออกทร่ี โหฐานทท่ี มิ มหาวงศน์ ้ี เมื่อปีมะแม พ.ศ. ๒๓๓๐ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จขึ้นไปตั้งเมืองเชียงใหม่ ซึ่งร้างมาแต่ครั้งกรุงธนบุรี เมื่อเสด็จกลับเชิญพระพุทธรูปพระพุทธสิหิงค์ อันเป็นพระพุทธรูปสำคัญ ในพระราชพงศาวดารลงมาด้วย* เรื่องตำนานของพระพุทธสิหิงค์นี้ ว่าเดิมพระเจ้ากรุงลังกาองค์ ๑ ทรงสร้างขึ้นไว้ พระเจ้านครศรีธรรมราชไปขอมาถวายสมเด็จพระร่วง (รามราช) พระเจ้ากรุงสุโขทัย ๆ ทรงปฏิบัติบูชามาหลายรัชกาล จนสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ กรุงศรีอยุธยาได้เมืองสุโขทัยเป็น เมืองขึ้น จึงเชิญพระพุทธสิหิงค์ลงมาไว้ในกรุงศรีอยุธยา อยู่ได้หน่อย ๑ พระมเหสีคิดอุบายทูลขอให้ พระยาญาณดิศผู้เป็นบุตรไปไว้ ณ เมืองกำแพงเพ็ชร อยู่นั่นไม่ช้า พระยามหาพรหมเจ้าเมืองเชียงราย ยกกองทัพมาตีเมืองกำแพงเพ็ชร พระยาญาณดิศสู้ไม่ได้ยอมเป็นไมตรี พระยามหาพรหมจึงขอ พระพุทธสิหิงค์ไปไว้เมืองเชียงราย ต่อมาพระยามหาพรหมเกิดวิวาทกับพระเจ้าแสนเมืองมา เจา้ นครเชยี งใหม่ผเู้ ปน็ หลาน พระเจา้ แสนเมอื งมายกกองทพั ไปตไี ดเ้ มอื งเชยี งราย จงึ เชญิ พระพทุ ธสหิ งิ ค์ ลงมากับพระแก้วมรกตด้วยกัน พระพุทธสิหิงค์อยู่มาในเมืองเชียงใหม่ จนสมเด็จพระนารายณ์ มหาราชเสด็จไปตีเมืองเชียงใหม่ได้ เมื่อปีขาล จุลศักราช ๑๐๒๔ พ.ศ. ๒๒๐๕ จึงเชิญพระพุทธสิหิงค์ ลงมากรุงศรีอยุธยา ประดิษฐานไว้ในวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ พระพุทธสิหิงค์อยู่ในกรุงศรีอยุธยาต่อมา ตลอดเวลา ๑๐๕ ปี จนเสียพระนครแก่พม่าข้าศึก สมัยนั้นชาวเชียงใหม่ยังเป็นพวกพม่า จึงเชิญ พระพุทธสิหิงค์กลับไปไว้เมืองเชียงใหม่ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงพระราชดำริว่า พระพุทธ สิหิงค์เคยเป็นพระพุทธรูปสำคัญในกรุงศรีอยุธยา โดยมีตำนานดังแสดงมา จึงได้โปรดให้เชิญลงมายัง * ในหนงั สอื พระราชพงศาวดาร ลงศกั ราชปที ่กี รมพระราชวงั บวร ฯ เชญิ พระพทุ ธสหิ งิ ค์ ลงมาช้าไป ๘ ปี

๖๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ กรุงเทพ ฯ ประจวบเวลากำลังทรงสร้างพระราชมนเทียรที่กล่าวมาแล้ว จึงโปรดให้สร้างพระวิมาน ถวายเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์องค์ ๑ ต่อออกมาข้างด้านหน้าพระราชมนเทียรทางตะวันออก ขนานนามว่าพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ๑ ฝาผนังข้างในเขียนรูปเทพชุมนุม และเรื่องพระปฐมสมโพธิเป็น พุทธบูชา ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์นี้ เป็นที่สำหรับทำการพระราชพิธีตรุษสารท และโสกนั ตล์ กู เธอดว้ ย ในพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปรากฏว่ากรมพระราชวังบวร มหาสุรสิงหนาททรงสร้างเขาไกรลาส บนยอดเขามีบุษบก สำหรับเป็นที่ลูกเธอสรงเวลาโสกันต์อีกสิ่ง ๑ เรยี กในหนงั สอื นพิ พานวงั หนา้ วา่ เขาแกว้ แตจ่ ะอยทู่ ต่ี รงไหนไมป่ รากฏในพระราชนพิ นธ์ และวา่ มเี ขากอ่ เปน็ ฐานรองหอแกว้ ศาลพระภมู อิ ีกเขา ๑ ยังอยู่ข้างหลังพระทน่ี ง่ั อศิ เรศรราชานสุ รจนทกุ วนั น้ี กระบวนพระราช มนเทยี รในพระราชวงั บวร ฯ ทส่ี รา้ งเมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๑ ไดค้ วามดงั กลา่ วมาน้ี สถานที่ต่าง ๆ ในพระราชวังบวร ฯ นอกพระราชมนเทียรจะมีสิ่งใดสร้างเมื่อในรัชกาลที่ ๑ บ้างทราบไม่ได้แน่ ด้วยของที่สร้างในครั้งนั้นสร้างด้วยเครื่องไม้ หักพังรื้อถอนและสร้างใหม่ เปลี่ยนแปลงในชั้นหลังเสียแล้วแทบทั้งหมด ได้แต่ประมาณว่า บรรดาสถานที่สำหรับราชการ อยา่ งใดมใี นพระราชวงั หลวงกค็ งมใี นวงั หนา้ ทำนองเดยี วกนั คอื โรงชา้ ง โรงมา้ ศาลาลกู ขนุ คลงั เปน็ ตน้ ที่ทราบว่าผิดกับพระราชวังหลวงมีอยู่บางอย่าง คือตำหนักข้างใน ในพระราชวังหลวงสร้างเป็นตำหนัก เครื่องไม้ทั้งนั้น พึ่งมาเปลี่ยนเป็นตึกเมื่อในรัชกาลที่ ๓ แต่ตำหนักในวังหน้าสร้างเป็นตึกมาแต่ใน รัชกาลที่ ๑ และมีตำหนักหมู่หนึ่ง ยกหลังคาเป็นสองชั้น คล้ายพระวิมาน เป็นที่ประทับของเจ้ารจจา๒ ผู้เป็นพระอัครชายา และเป็นพระมารดาของเจ้าฟ้าพิกุลทอง๓ บางทีตำหนักหลังนี้จะเป็นพระราช มนเทียรแต่ก่อนสร้างวิมานก็เป็นได้ อีกอย่างหนึ่งนั้น มีปรากฏในจดหมายเหตุเก่าว่า ที่ลาน พระราชวังบวร ฯ ชั้นนอกข้างด้านเหนือ ตรงที่สร้างวัดบวรสถานสุทธาวาสเมื่อในรัชกาลที่ ๓ (และยัง ปรากฏเรียกว่าพระเมรุพิมานอยู่บัดนี้) เมื่อแต่แรกเป็นสวนที่ประพาสของกรมพระราชวังบวร ฯ มีตำหนักสร้างไว้ในสวนนั้นหลัง ๑ ต่อมากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงพระราชอุทิศ ให้เป็นบริเวณที่หลวงชีจำศีลภาวนา เหตุเพราะมารดาของนักองค์อีธิดาสมเด็จพระอุไทยราชา ๑ พระที่นั่งองค์นี้ ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้เปลี่ยนเป็นพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๓๙๖ ๒ เจา้ รจจา บางแหง่ ขนานพระนามวา่ เจา้ ศริ ริ จจา เปน็ พระภคนิ พี ระเจา้ กาวลิ ะเมอื งเชยี งใหม่ ๓ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก รชั กาลท่ี ๑ โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ถาปนาขน้ึ เปน็ กรมขนุ ศรสี นุ ทร (พ.ศ. ๒๓๒๐ - ๒๓๖๓)

ตำนานวงั หนา้ ๖๕ พระเจ้ากรุงกัมพูชา ซึ่งเป็นพระสนมเอก ชื่อนักนางแม้น บวชเป็นรูปชี เรียกกันว่านักชี มาอยู่ในกรุง ฯ จงึ โปรดใหม้ าอยใู่ นพระราชวงั บวร ฯ กบั พวกหลวงชที เ่ี ปน็ บรษิ ทั ทต่ี รงนน้ั จงึ เลยเรยี กกนั วา่ \"วดั หลวงช\"ี ว่าด้วยเขตพระราชวังบวร ฯ เขตวังปันเป็นชั้นใน ชั้นกลาง ชั้นนอก เหมือนอย่างพระราชวัง ครง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยามาแตเ่ ดมิ แตเ่ ขตพระราชวงั บวร ฯ ชน้ั ในกบั ชน้ั กลาง เมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๑ จะอยเู่ พยี งไหน จะทราบโดยแผนที่ที่มีอยู่ไม่ได้แน่ ด้วยเมื่อในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าทรงขยาย เขตวังชั้นกลางออกไปข้างด้านตะวันออก เขตวังชั้นในก็ขยายออกไปข้างด้านเหนือ แต่มีของควรสังเกต อยู่อย่างหนึ่งว่า ที่ในพระราชวังบวร ฯ ไว้ที่เป็นสนามใหญ่กว่าในพระราชวังหลวงทั้งชั้นกลางและชั้นนอก คงจะเป็นเช่นนี้มาแต่เดิม เพราะการฝึกหัดช้างม้าผู้คนพลทหารฝ่ายพระราชวังบวร ฯ มักฝึกหัดอยู่ได้ แต่ในบริเวณพระราชวัง จะออกมาฝึกหัดตามท้องถนนและสนามหลวงเหมือนอย่างข้างวังหลวงไม่ได้ แตเ่ ขตพระราชวงั บวร ฯ ชน้ั นอกตามแนวปอ้ มปราการทป่ี รากฏในแผนท่ี เปน็ ของคงตามเมอ่ื แรกสรา้ งครง้ั รชั กาลท่ี ๑ มไิ ดเ้ ปลย่ี นแปลงในชน้ั หลงั ป้อมรอบพระราชวังบวร ฯ มี ๑๐ ป้อม เป็นของสร้างในรัชกาลที่ ๑ ทั้งนั้น รูปป้อม ๔ มุมวัง ทำเป็นแปดเหลี่ยม หลังคากระโจม นอกนั้นทำเป็นรูปหอรบ มีป้อมซึ่งมีเรื่องตำนานอยู่ป้อม ๑ ชื่อป้อมไพฑูรย์อยู่ข้างทิศใต้ เป็นรูปหอรบยาวตามกำแพงวัง ทางปืนตรงเฉพาะพระราชวังหลวง ประหนึ่งว่าสร้างไว้สำหรับยิงพระราชวังหลวง เหตุใดจึงได้สร้างป้อมนี้ก็หาปรากฏไม่ ปรากฏในหนังสือ พระราชพงศาวดารแตว่ า่ เคยเปน็ เหตถุ งึ ใหญโ่ ตครง้ั หนง่ึ เมอ่ื ปมี ะโรง พ.ศ. ๒๓๓๙ คราวนน้ั กรมพระราชวงั บวรมหาสุรสิงหนาทเกิดขัดพระทัยกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ถึงไม่เสด็จลงมาเฝ้า ฯ ความปรากฏในหนงั สอื นพิ พานวงั หนา้ วา่ มขี า้ ราชการวงั หนา้ กราบทลู กรมพระราชวงั บวร ฯ วา่ พวกวงั หลวง ให้เอาปืนใหญ่ขึ้นป้อมจะยิงวังหน้า กรมพระราชวังบวร ฯ รับสั่งให้นักองค์อีแต่งข้าหลวงลอบลงมาสืบ พวกเขมรทล่ี ากปนื ทว่ี งั หลวง กไ็ ดค้ วามแตว่ า่ เอาปนื ขน้ึ ปอ้ มเมอ่ื ยงิ อาฏานาพธิ ตี รษุ กรมพระราชวงั บวร ฯ จะมีรับสั่งอย่างไรหาปรากฏไม่ ปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารแต่ว่า พวกข้าราชการวังหน้า มีพระยาเกษตร (บุญรอด) เป็นต้น ให้เอาปืนขึ้นป้อมไพฑูรย์นี้ และตระเตรียมจะต่อสู้วังหลวง พวกขา้ ราชการวงั หลวงเหน็ ขา้ งวงั หนา้ เตรยี มกำลงั กเ็ ตรยี มบา้ ง เกอื บจะเกดิ รบกนั ขน้ึ ความทราบถงึ สมเดจ็ พระพี่นางทั้งสองพระองค์ ๑ จึงเสด็จขึ้นไปวังหน้า มีรับสั่งเล้าโลมสมเด็จพระอนุชาธิราชจนสิ้นทิฐิมานะ แลว้ พาพระองคล์ งมาเฝา้ สมเดจ็ พระบรมเชษฐาธริ าช การทท่ี รงขดั เคอื งกนั จงึ ระงบั ไปได้ ๑ คอื สมเดจ็ เจา้ ฟา้ กรมพระยาเทพสดุ าวดี และสมเดจ็ เจา้ ฟา้ กรมพระศรสี ดุ ารกั ษ์

๖๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ภายนอกบริเวณกำแพงพระราชวังบวร ฯ ด้านใต้และด้านตะวันออก แต่เดิมมีคูทั้งสองด้าน คูไม่ลึกและกว้างเท่าใดนัก พอน้ำไหลขึ้นขังอยู่ได้ พ้นคูออกมามีถนนรอบวัง ถนนด้านใต้ คือถนน พระจันทร์ทุกวันนี้ ยืนขึ้นไปทางตะวันออกจดถนนหน้าวังใกล้ถนนราชดำเนินในทุกวันนี้ ส่วนด้านเหนือ เพราะคลองคูเมืองเดิมเป็นคู ถนนอยู่ข้างใน ใกล้แนวถนนราชินีทุกวันนี้ปลายไปลงท่าช้างวังหน้า ดา้ นตะวนั ตกเปน็ ลำแมน่ ำ้ เอากำแพงพระนครเปน็ กำแพงวงั ชน้ั นอก ยังมีถนนผ่านพระราชวังบวร ฯ ตามยาวเหนือลงมาใต้อีกสามสาย คือริมกำแพงข้างในพระนคร สาย ๑ ข้างเหนือวังมีสะพานช้างข้ามคลองคูเมืองเดิม ตรงสะพานเจริญสวัสดิทุกวันนี้ ถนนสายกลาง คือถนนหน้าพระธาตุทุกวันนี้นั้นเอง ตรงประตูพรหมทวารวังหน้า เป็นทางเสด็จลงมาพระราชวังหลวง ถนนสายตะวนั ออกกค็ อื อยา่ งถนนราชดำเนนิ ในทกุ วนั น้ี แตอ่ ยคู่ อ่ นมาทางตะวนั ตก ตอ่ จากถนนสนามชยั ตรงไปหาสะพานเสย้ี วซง่ึ เปน็ สะพานชา้ งวงั หนา้ อกี สะพานหนง่ึ พน้ ถนนรอบพระราชวงั บวร ฯ ออกมาขา้ งดา้ นใตต้ อ่ เขตวดั มหาธาตเุ ดมิ ชอ่ื วดั สลกั กรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สงิ หนาท ทรงสถาปนาในคราวเดยี วกบั สรา้ งวงั หนา้ แตแ่ รกทรงขนานนามวา่ วดั นพิ พานาราม ครน้ั จะทำสงั คายนาพระไตรปฎิ ก เมอ่ื ปวี อก พ.ศ. ๒๓๓๑ เปลย่ี นนามวา่ วดั พระศรสี รรเพช็ ญ และไดเ้ สดจ็ ออกทรงผนวชอยู่คราวหนึ่ง ๑๕ ราตรี เมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๓๘ ต่อมาเมื่อกรมพระราชวังบวร มหาสุรสิงหนาทเสด็จสวรรคตแล้วจึงเปลี่ยนนามอีกครั้งหนึ่งว่าวัดมหาธาตุ หน้าวัดมหาธาตุเป็น ทอ้ งสนามหลวง อยรู่ ะหวา่ งพระราชวงั หลวงกบั พระราชวงั บวร ฯ เวลาทำพระเมรใุ นทอ้ งสนามหลวงพระเมรุ อยู่กลาง พลับพลาวังหลวงตั้งข้างใต้ พลับพลาวังหน้าตั้งข้างเหนือ เครื่องมหรสพของวังหลวงกับ วงั หนา้ เลน่ กนั คนละฝา่ ยสนามหลวง ทางด้านตะวันออกตรงหน้าวังข้ามถนนไปสร้างวังลูกเธอ (ตั้งแต่ตรงถนนพระจันทร์ไปจน น้ำพุนางพระธรณี) ๔ วัง เรียงแต่ข้างใต้ไปข้างเหนือ คือวังพระองค์เจ้าลำดวนวัง ๑ วังพระองค์เจ้า อินทปัตวัง ๑ วังพระองค์เจ้าอสุนีภายหลังได้เป็นกรมหมื่นเสนีเทพวัง ๑ วังพระองค์เจ้าช้างวัง ๑ ด้านเหนือข้ามฟากถนนไปริมคลองคูเมืองเดิมเป็นโรงไหม และโรงช้างตลอดท่าช้าง ฟากคลองข้างเหนือ สร้างวังกรมขุนสุนทรภูเบศร์ (ทีหลังเป็นวังเจ้าฟ้าอิศราพงษ์ อยู่ตรงระหว่างโรงกระสาปน์กับ โรงพยาบาลทหารทุกวันนี้)๑ ด้านตะวันตกพระราชวังบวร ฯ ประตูวังทางลงท่า ทำเป็นประตูยอดปรางค์ ๑ หมายถึงเม่อื พ.ศ. ๒๔๖๘ แต่ปจั จุบันนีค้ ือ ท่ีทำการของหน่วยงานทหารบก เลขที่ ๒ ถนนพระอาทิตย์

ตำนานวงั หนา้ ๖๗ เรียกประตูฉนวน (วังหน้า) ประตู ๑ ที่ท่าพระฉนวนมีแพจอดเป็นที่ประทับประจำท่า และเรียกว่า ตำหนักแพเหมือนวังหลวง แต่ที่วังหลวงทำเป็นอย่าง \"เรือนแพ\" ข้างใต้ท่าพระฉนวนเป็นโรงเรือ และศรีสำราญของชาววัง มีอุโมงค์เป็นทางเดินออกไปได้แต่ในวัง ใต้อุโมงค์ลงไปเป็นโรงวิเสทจน สุดเขตวัง ข้างเหนือตำหนักแพเป็นโรงฝีพาย และเข้าใจว่าท่าตำรวจต่อขึ้นไป แล้วมีโรงช้างอยู่ริมน้ำ หลัง ๑ ต่อโรงช้างถึงประตูท่าช้างวังหน้า เหนือประตูว่าเป็นบ้านข้าราชการจนปากคลองคูเมืองเดิม เหนือคลองคูเมืองเดิมขึ้นไปทางริมน้ำนอกกำแพงเมืองเป็นบ้านรับแขกเมือง และบ้านขุนนางตอนใน กำแพงเมอื งเปน็ บา้ นเสนาบดวี งั หนา้ และมคี กุ วงั หนา้ อยตู่ รงหนา้ วดั ชนะสงครามแหง่ ๑ ดว้ ยทอ้ งทก่ี ำหนด เป็นแขวงอำเภอพระราชวังบวร ฯ กึ่งพระนครตามแบบครั้งกรุงศรีอยุธยา มาจนถึงราววัดเทพธิดา ภมู แิ ผนทว่ี งั หนา้ เปน็ ดงั พรรณนามาฉะน้ี มีคำกล่าวกันมาแต่ก่อนว่า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงสร้างพระราชมนเทียรและ สถานที่ต่าง ๆ ในพระราชวังบวร ฯ ทรงทำโดยประณีตบรรจงทุก ๆ อย่าง ด้วยตั้งพระราชหฤทัยว่า เมื่อสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชสิ้นพระชนมายุขัยสวรรคต ถึงเวลาพระองค์ทรงครอบครองราชสมบัติ จะเสด็จประทับอยู่พระราชวังบวร ฯ ตามแบบอย่างพระเจ้าบรมโกษฐ ไม่เสด็จลงมาอยู่วังหลวง เปน็ คำเลา่ กนั มาดงั น้ี แตพ่ ระราชประวตั มิ ไิ ดเ้ ปน็ ไปตามธรรมดาอายขุ ยั กรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สงิ หนาท เสด็จดำรงพระยศมาได้ ๒๑ พรรษา ถึงปีจอ พ.ศ. ๒๓๔๕ มีพระอาการประชวรเป็นนิ่วในเวลา เมื่อเสด็จเป็นจอมพลไปรบพม่าที่มาตีเมืองเชียงใหม่ เสด็จขึ้นไปถึงกลางทางประชวรลงในเดือน ๓ ตอ้ งประทบั อยทู่ ่เี มอื งเถนิ ใหก้ รมพระราชวงั หลงั เสดจ็ ขน้ึ ไปบญั ชาการรบแทนพระองค์ เมอ่ื มชี ยั ชนะขา้ ศกึ เสร็จสงคราม เสด็จกลับมาถึงกรุงเทพ ฯ พระอาการค่อยทุเลาขึ้นคราวหนึ่ง ครั้นถึงเดือน ๘ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๔๖ พระโรคกลบั กำเรบิ อกี คราวนพ้ี ระอาการมแี ตท่ รงอยกู่ บั ทรดุ ลงโดยลำดบั มา จนถงึ เดอื น ๑๒ ประชวรหนัก พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปช่วยรักษาพยาบาล* มาจนถึงวัน พฤหัสบดี เดือน ๑๒ แรม ๔ ค่ำ๑ เวลาเที่ยงคืน กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จสวรรคต ในพระที่นั่งบุรพาพิมุข คำนวณพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ครั้นรุ่งขึ้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกเสด็จไปพระราชทานน้ำสรงพระศพพร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ์ ทรงเครื่องพระศพตาม พระเกยี รตยิ ศเสรจ็ แลว้ เชญิ ลงพระลองประกอบดว้ ยพระโกศไมส้ บิ สองหมุ้ ทองคำ ซง่ึ โปรดใหส้ รา้ งขน้ึ ใหม่ * ในหนงั สอื พระราชพงศาวดารท่ีเจา้ พระยาทพิ ากรวงศแ์ ตง่ วา่ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกเสดจ็ ขน้ึ ไปประทบั แรมอยู่ ๖ ราตรี ขา้ พเจา้ สงสยั วา่ จะเอาคราวรัชกาลที่ ๒ มาลงผดิ ไป ดว้ ยในหนงั สอื เรอ่ื งนพิ พานวงั หนา้ ไมป่ รากฏวา่ เสดจ็ ไปประทบั แรม ๑ ตรงกับวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๔๖

๖๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ แห่ไปประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน พร้อมด้วยเครื่องประดับตามสมควรแก่พระเกียรติยศ พระมหาอปุ ราช แลว้ โปรดใหม้ หี มายประกาศใหค้ นโกนหวั ไวท้ กุ ขท์ ว่ั พระราชอาณาเขต ตรงนี้จะต้องกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกรมพระราชวังบวร ฯ ทรงพระประชวรจะสวรรคต ด้วยเกี่ยวเนื่องกับตำนานวังหน้าในชั้นหลังต่อมา เรื่องเหตุการณ์ครั้งนั้นมีปรากฏอยู่ในหนังสือพระราช พงศาวดาร และพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับทั้งในเรื่องนิพพานวังหน้า พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร พระราชธิดากรมพระราชวังบวร ฯ ซึ่งนักองค์อีเป็นเจ้าจอมมารดาได้ทรง นพิ นธไ์ ว้ พมิ พแ์ ลว้ ทง้ั ๓ เรอ่ื ง พเิ คราะหเ์ นอ้ื เรอ่ื งทย่ี ตุ ติ อ้ งกนั ไดค้ วามดงั น้ี เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงสังเกตเห็นอาการที่ทรงพระประชวรมีแต่ทรงอยู่กับ ทรุดลงเป็นลำดับมา จนพระสิริรูปซูบผอมทุพพลภาพ ทรงรำคาญด้วยทุกขเวทนาที่มีในอาการพระโรค วนั หนง่ึ จงึ ทรงอธษิ ฐานเสย่ี งทายพระสธุ ารสวา่ ถา้ หากพระโรคทป่ี ระชวรจะหายไซร้ ขอใหเ้ สวยพระสธุ ารส นน้ั ใหไ้ ดโ้ ดยสะดวก พอเสวยพระสธุ ารสเขา้ ไปกม็ อี าการทรงพระอาเจยี น พระสธุ ารสไหลกลบั ออกมาหมด แต่นั้นกรมพระราชวังบวร ฯ ก็ปลงพระราชหฤทัยว่าคงจะสวรรคต มิได้เอาพระหฤทัยใส่ที่จะเสวย พระโอสถรักษาพระองค์ และทรงสั่งเสียพระราชโอรสธิดาข้าราชการในวังหน้าตามพระอัธยาศัย ใหท้ ราบทว่ั กนั วา่ พระองคค์ งจะเสดจ็ สวรรคตในไมช่ า้ แลว้ อยมู่ าวนั หนง่ึ ทรงระลกึ ถงึ วดั พระศรสี รรเพช็ ญ ซึ่งไฟไหม้เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๓๔๔ แล้วทรงสถาปนาใหม่ การยังค้างอยู่ จึงดำรัสสั่งให้เชิญพระองค์ ขึ้นทรงพระเสลี่ยง เสด็จออกมายังวัดพระศรีสรรเพ็ชญ ว่าจะทรงนมัสการลาพระพุทธรูป ครั้นเสด็จ ถึงหน้าพระประธานในพระอุโบสถ ดำรัสเรียกพระแสงว่า จะจบพระหัตถ์อุทิศถวายเป็นพุทธบูชา เพื่อให้ทำราวเทียน ครั้นพนักงานถวายพระแสงเข้าไป ทรงเรียกเทียนมาจุดเรียบเรียงติดเข้าที่พระแสง ทำเป็นพุทธบูชาอยู่ครู่หนึ่ง ขณะนั้นพออาการพระโรคเกิดทุกขเวทนาเสียดแทงขึ้นเป็นสาหัส ก็ทรงหุนหันจะเอาพระแสงแทงพระองค์ถวายพระชนม์ชีพเป็นพุทธบูชา พระองค์เจ้าชายลำดวนลูกเธอ องค์ใหญ่ที่ตามเสด็จไปด้วย เข้าแย่งพระแสงไปเสียจากพระหัตถ์ กรมพระราชวังบวร ฯ ทรงโทมนัส ทอดพระองค์ลงทรงพระกรรแสงแช่งด่าพระองค์เจ้าลำดวนต่าง ๆ ในที่สุดเจ้านายและข้าราชการ ที่ไปตามเสด็จ ต้องช่วยกันปล้ำปลุกเชิญพระองค์ขึ้นทรงพระเสลี่ยงกลับคืนเข้าพระราชวังบวร ฯ ตอ่ นน้ั มาในไมช่ า้ อกี วนั หนง่ึ กรมพระราชวงั บวร ฯ มรี บั สง่ั วา่ พระราชมนเทยี รสถานไดท้ รงสรา้ งไวใ้ หญโ่ ต มากมาย เป็นของประณีตบรรจง ประชวรมาช้านานไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นให้รอบคอบ จะใคร่ทอด พระเนตรให้สบายพระราชหฤทัย จึงโปรดให้เชิญพระองค์ขึ้นทรงพระเสลี่ยงบรรทมพิงพระเขนย

ตำนานวงั หนา้ ๖๙ เชิญเสด็จไปรอบพระราชมนเทียร กระแสรับสั่งของกรมพระราชวังบวร ฯ เมื่อเสด็จประพาสพระราช มนเทยี รครง้ั นเ้ี ลา่ กนั มาเปน็ หลายอยา่ ง บางคนเลา่ วา่ กรมพระราชวงั บวร ฯ ทรงบน่ วา่ \"ของนก้ี อู ตุ สา่ หท์ ำ ด้วยความคิดแลเรี่ยวแรงเป็นหนักหนา หวังว่าจะได้อยู่ชมให้สบายนาน ๆ ก็ครั้งนี้จะไม่ได้อยู่แล้ว จะได้เห็นวันนี้เป็นที่สุด ต่อไปก็จะเป็นของท่านผู้อื่น\" เล่ากันแต่สังเขปเท่านี้ก็มี เล่ากันอีกอย่างหนึ่ง ยิ่งไปกว่านี้ว่ากรมพระราชวังบวร ฯ ตรัสบ่นว่า \"ของใหญ่ของโตดีดีของกูสร้าง ใครไม่ได้ช่วยเข้าทุน อดุ หนนุ กสู รา้ งขน้ึ ดว้ ยกำลงั ขา้ เจา้ บา่ วนายของกเู อง นานไปใครมใิ ชล่ กู กู ถา้ มาเปน็ เจา้ ของเขา้ ครอบครอง ขอผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข\" แล้วก็ทรงแช่งสาปสาบานไปต่าง ๆ ตามพระหฤทัยที่โทมนัส เลา่ กนั อยา่ งหลงั นโ้ี ดยมาก* ปรากฏในหนงั สอื พระราชพงศาวดารวา่ กรมพระราชวงั บวร ฯ ประชวรครง้ั นน้ั พระบาทสมเดจ็ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปเยี่ยมประชวรเมื่อแรกเสด็จกลับลงมาจากเมืองเถินครั้ง ๑ ต่อมา เมื่อทรงทราบว่าพระอาการหนัก จะเสด็จขึ้นไปช่วยรักษาพยาบาล ครั้งหลังนี้พวกข้าราชการวังหลวง จะขนึ้ ไปต้ังกองรกั ษาพระองค์ พวกวังหน้ามากีดกนั หา้ มปราม ไมย่ อมให้พวกข้าราชการวังหลวงเขา้ ไปตง้ั กองลอ้ มวงลงได้ เจ้าพระยารัตนาพพิ ธิ ๑ ทีส่ มหุ นายกตอ้ งเชญิ เสดจ็ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลัย เมื่อยังเสด็จดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จขึ้นไป เปน็ ประธานจดั การตง้ั กองลอ้ มวง เจา้ พระยารตั นาพพิ ธิ พระยายมราชเดนิ ตามเสดจ็ ไปสองขา้ งพระเสลย่ี ง พวกวงั หนา้ ยำเกรงพระบารมจี งึ ยอมใหต้ ง้ั กองลอ้ มวง เรื่องตั้งกองล้อมวงที่ปรากฏตรงนี้ บางทีท่านผู้อ่านจะมีความสงสัยว่า พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปเยี่ยมประชวรกรมพระราชวังบวร ฯ ถึง ๒ ครั้ง ครั้งก่อนก็เป็นการ เรียบร้อย เหตุใดจึงมาเกิดการเกี่ยงแย่งเรื่องล้อมวงขึ้นต่อครั้งหลัง ข้อนี้อธิบายว่าที่จริงการที่วังหลวง เสด็จขึ้นไปวังหน้านั้น โดยปกติย่อมมีเนือง ๆ เหมือนดังเช่นเสด็จในงานพระราชพิธีโสกันต์ลูกเธอวังหน้า เป็นต้น แต่การเสด็จโดยปกติจัดเหมือนอย่างเสด็จวังเจ้านายต่างกรม ไม่มีจุกช่องล้อมวงเป็นการพิเศษ อย่างใด แต่ครั้งหลังนั้น เพราะจะเสด็จขึ้นไปรักษาพยาบาลกรมพระราชวังบวร ฯ ซึ่งประชวรหนักจวน จะสวรรคต จะประทับอยู่เร็วหรือช้าหรือจนถึงแรมค้างคืนวันก็เป็นได้ เป็นการผิดปกติ จึงต้อง จัดการจุกช่องล้อมวงรักษาพระองค์ให้มั่นคงกวดขัน ฝ่ายข้างพวกวังหน้าถือว่าพวกวังหลวงเข้าไป * ความตรงนม้ี ใี นพระราชนพิ นธพ์ ระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ๑ สน ตน้ สกลุ สนธริ ตั น์ ดูประวัติในหนังสือเรื่องตง้ั เจา้ พระยากรงุ รตั นโกสนิ ทร์

๗๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ทำละลาบละลว้ งในรว้ั วงั ลบหลเู่ จา้ นายของตน จงึ พากนั ขดั แขง็ เกะกะ เพราะขา้ ราชการวงั หลวงกบั วงั หนา้ มที ฐิ ถิ อื เปน็ ตา่ งพวกตา่ งฝา่ ยกนั อยแู่ ลว้ และในครง้ั นน้ั ยงั มเี หตอุ น่ื อกี ซง่ึ ทำใหพ้ วกวงั หนา้ กระดา้ งกระเดอ่ื ง เนอ่ื งมาจากครง้ั รบพมา่ ทเ่ี มอื งเชยี งใหม่ เมอ่ื ปมี ะเสง็ พ.ศ. ๒๓๔๐ คราวนน้ั โปรดให้กรมพระราชวงั บวร ฯ เสด็จเป็นจอมพล เจ้านายที่ไปตามเสด็จมีกรมพระราชวังหลัง เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์และ กรมขุนสุนทรภูเบศร์ กับพระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัต ๒ องค์นี้เป็นลูกเธอชั้นใหญ่ของ กรมพระราชวงั บวร ฯ พง่ึ จะออกทำการสงครามในครง้ั นน้ั กรมพระราชวงั บวร ฯ เสดจ็ ขน้ึ ไปถงึ เมอื งเถนิ ทรงจัดกองทัพที่จะยกไปรบพม่าที่มาตั้งล้อมเมืองเชียงใหม่เป็น ๔ ทัพ ให้เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ กบั พระยายมราชคมุ กองทพั วงั หลวงยกไปทพั ๑ ใหก้ รมขนุ สนุ ทรภเู บศรก์ บั พระองคเ์ จา้ ลำดวน พระองคเ์ จา้ อินทปัตคุมกองทัพวังหน้ายกไปทัพ ๑ ให้เจ้าอนุอุปราชซึ่งยกกองทัพเมืองเวียงจันทน์มาช่วยยกไปทัพ ๑ แล้วให้กรมพระราชวังหลังคุมกองทัพวังหลังยกไปเป็นทัพหนุนอีกทัพ ๑ การสงครามครั้งนั้นต่างทัพ ต่างทำการรบพุ่งประชันกัน มีชัยชนะตีกองทัพพม่าแตกยับเยิน จนจับได้อุบากองตัวนายทัพพม่าคน ๑ ต่อมาถึงปีจอ พ.ศ. ๒๓๔๕ พม่ายกกองทัพมาตีเมืองเชียงใหม่อีก จึงโปรดให้กรมพระราชวังบวร ฯ เสด็จ เป็นจอมพล และจัดกองทัพไปเหมือนกับครั้งก่อน เว้นแต่กรมพระราชวังหลังไม่ได้เสด็จขึ้นไปในชั้นแรก กรมพระราชวงั บวร ฯ เสดจ็ ขน้ึ ไปถงึ เมอื งเถนิ ไปประชวรในคราวทจ่ี ะสวรรคตน้ี กองทพั เจา้ อนเุ วยี งจนั ทน์ ก็ยกมาไม่ทันกำหนด กรมพระราชวังบวร ฯ จึงทรงจัดให้เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์กับพระยายมราช คุมกองทัพวังหลวงยกขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ทางเมืองลีท้ ัพ ๑ ให้กรมขุนสุนทรภูเบศร์กับพระองค์เจ้าลำดวน พระองคเ์ จา้ อนิ ทปตั และพระยาเสนหาภธู ร ชอ่ื ทองอนิ ภายหลงั ไดเ้ ปน็ พระยากลาโหมราชเสนา เปน็ คนซง่ึ กรมพระราชวังบวร ฯ ทรงพระเมตตาเหมือนอย่างเป็นพระราชบุตรบุญธรรม คุมกองทัพวังหน้าขึ้นไป เมืองเชียงใหม่ทางเมืองนครลำปางอีกทัพ ๑ ฝ่ายข้างกรุงเทพ ฯ พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลก ทรงทราบว่ากรมพระราชวังบวร ฯ ประชวร โปรดให้กรมพระราชวังหลังเสด็จตามขึ้นไป กรมพระราชวังบวร ฯ จึงให้กรมพระราชวังหลังคุมกองทัพหนุนขึ้นไปอีกทัพ ๑ กองทัพที่ยกขึ้นไป เมืองเชียงใหม่ครั้งนี้ ทัพวังหลวงที่ไปทางเมืองลี้ไปเข้าใจผิดถอยลงมาเสียคราวหนึ่ง จนทัพวังหน้าตีได้ เมืองลำพูน จึงยกตามขึ้นไปตั้งประชิดค่ายพม่าที่ล้อมเมืองเชียงใหม่ ครั้นกรมพระราชวังหลังเสด็จ ขึ้นไปถึง มีรับสั่งให้กองทัพยกเข้าระดมตีค่ายพม่าพร้อมกัน กองทัพวังหน้าก็ตีได้ค่ายพม่าก่อน ต่อพวกวังหน้าชนะแล้วทัพวังหลวงจึงตีค่ายได้ กรมพระราชวังบวร ฯ ทรงขัดเคืองกองทัพวังหลวง ดำรัสบริภาษต่าง ๆ แล้วปรับโทษให้ขึ้นไปตีเมืองเชียงแสนแก้ตัวด้วยกันกับกองทัพเจ้าอนุเวียงจันทน์ ซึ่งยกมาถึงไม่ทันรบพม่าที่เมืองเชียงใหม่ การสงครามคราวนี้จึงเป็นเหตุให้พวกวังหน้าที่เป็นตัวสำคัญ

ตำนานวงั หนา้ ๗๑ คอื พระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัต และพระยากลาโหมทองอิน ซึ่งเป็นพวกรุ่นหนุ่มไปมีชื่อเสียง มาในคราวน้ี เกดิ ดหู มน่ิ พวกวงั หลวงวา่ ในการรบพงุ่ ทำศกึ สงครามสพู้ วกวงั หนา้ ไมไ่ ด้ ขา้ งพวกวงั หลวงเมอ่ื เห็นพวกวังหน้าดูหมิ่นก็คงต้องขัดเคือง จึงเลยเป็นเหตุให้ไม่ปรองดองกันในเวลาเมื่อจะตั้งกองล้อมวง เตรยี มรบั เสดจ็ ดงั กลา่ วมา แต่เมื่อพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปถึงพระราชวังบวร ฯ ทอดพระเนตร เห็นสมเด็จพระอนุชาธิราชประชวรมาก ก็ทรงพระอาลัย และทรงพระกรรแสงรำพันต่าง ๆ พระองค์ เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรเฝ้าอยู่ในที่นั้น ได้ทรงพรรณนาไว้ในกลอนเรื่องนิพพานวังหน้าเป็นที่น่าจับใจ จงึ คดั มาลงไวต้ อ่ ไปน้ี ‘‘ พระบติ ลุ าปรชี าเฉลยี วแหลม ขยายแยม้ สง่ั ใหห้ อ้ ยมณฑาหอม พระโองการรำ่ วา่ นจิ าจอม ถนอมขวญั ตรสั โอพ้ ระอนชุ า วา่ พอ่ ผกู้ ภู้ พทง้ั เมอื งพง่ึ จงขา้ มถงึ พน้ โอฆสงสาร์ ดำรงจติ คดิ ทางพระอนตั ตา อนาคตนำสตั วเ์ สวยรมย์ ครน้ั ทรงสดบั โอวาทประสาทสอน คอ่ ยเผยผอ่ นเคลอ่ื นคลอ้ งอารมณส์ ม แตห่ นกั หนว่ งหว่ งหลงั ยงั เกรงกรม ประนมหตั ถร์ ำ่ วา่ ฝา่ ลออง บญุ นอ้ ยมไิ ดร้ องยคุ ลคนื ยง่ิ ทรงสอน้ื โศกสง่ั กนั ทง้ั สอง จงึ ทลู ฝากพระนเิ วศนท์ เ่ี คยครอง ประสทิ ธปิ องมอบไวใ้ ตธ้ ลุ ี ฝากหนอ่ ขตั ตยิ านชุ าดว้ ย จงเชญิ ชว่ ยโอบออ้ มถนอมศรี แตพ่ น้ื พงศจ์ ะพง่ึ พระบารมี จงปรานนี ดั ดาอยา่ ราคนิ เหมอื นเหน็ แกน่ ชุ หมายถวายมอบ จะนกึ ตอบแตบ่ ญุ การญุ ถวลิ กจ็ ะงามฝา่ ยคุ ลไมม่ ลทนิ กเ็ ชญิ ผนิ นกึ นอ้ งเมอ่ื ยามยงั อนง่ึ หนอ่ วรนารถผสู้ บื สนอง โปรดใหค้ รองพระนเิ วศนเ์ หมอื นปางหลงั อยา่ บำราศใหน้ ริ าแรมวงั กร็ บั สง่ั อวยเออพระโองการ จงึ ตรสั ปลอบพระบณั ฑรู อาดรู ดว้ ย วา่ จะชว่ ยเอาธรุ ะแสนสงสาร เปน็ หว่ งไปไยพอ่ ใหท้ รมาน จะอมุ้ หลานจงู ลกู ไมล่ มื คำ อนั เยาวยอดสบื สายโลหติ พอ่ พต่ี ง้ั ตอ่ สจุ รติ อปุ ถมั ภ์ ครน้ั ทรงสดบั แนน่ กึ สำเนาคำ กค็ ลายรำ่ ทกุ ขถ์ อ้ ยบรรเทาทน\"

๗๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เนื้อความตามที่ปรากฏในกลอนของพระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรก็ตรงกับคำที่เล่ากันมาว่า เมื่อ พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปเยี่ยมประชวร กรมพระราชวังบวร ฯ กราบทูลฝาก พระโอรสธิดา แล้วกราบทูลขอให้ได้อยู่อาศัยในวังหน้าต่อไป บางทีความข้อหลังนี้เองจะเป็นเหตุให้ พระองค์เจ้าลำดวน และพระองค์เจ้าอินทปัตเข้าพระทัยไปว่า พระราชบิดาได้ทูลขอให้ลูกเธอได้ครอง วังหน้าอย่างรับมรดกกันในสกุลคนสามัญ ไม่รู้สึกว่าเป็นพระราชวังสำหรับพระมหาอุปราช ครั้นเมื่อ กรมพระราชวงั บวร ฯ เสดจ็ สวรรคตแลว้ ไมไ่ ดเ้ ขา้ ไปครองวงั หนา้ ดงั ปรารถนา จงึ โกรธแคน้ คบคดิ กนั ซอ่ งสมุ หา กำลงั จะกอ่ การกำเรบิ ในชั้นแรกความปรากฏทราบถึงพระกรรณแต่ว่า พระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัต เกลี้ยกล่อมหาคนดีมีวิชาอยู่คงไปลองวิชากันที่วังในเวลากลางคืนเนือง ๆ บางทีลองวิชาพลาดพลั้งถึง ผู้คนล้มตายก็เอาศพซ่อนฝังไว้ในวังนั้น เพื่อจะปิดความมิให้ผู้ใดรู้ พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกยังทรงแคลงพระราชหฤทัยอยู่ ให้แต่งข้าหลวงปลอมไปเข้าเป็นสมัครพรรคพวกของพระองค์เจ้า ทั้งสองนั้นก็ได้ความสมจริงดังคำที่กล่าว จึงโปรดให้จับมาชำระ ได้ความว่าคบคิดกับพระยากลาโหม ทองอินด้วย ครั้นจับพระยากลาโหมกับพรรคพวกที่เข้ากันมาชำระ จึงให้การรับเป็นสัตย์ว่าคบคิดกัน จะทำร้ายพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเมื่อวันเสด็จพระราชทานเพลิงพระศพ กรมพระราชวังบวร ฯ และทำนองถ้อยคำซึ่งกรมพระราชวังบวร ฯ ได้ตรัสว่าประการใด ๆ ในเวลาทรง พระประชวร ก็เห็นจะปรากฏขึ้นในเวลาชำระกันนี้ จึงเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกทรงน้อยพระทัยในสมเด็จพระอนุชาธิราช ว่าเพราะผู้ใหญ่พูดจาให้ท้ายเช่นนั้นเด็กจึงกำเริบ แต่แรกดำรัสว่าจะไม่ทำพระเมรุพระราชทานเพลิงพระศพกรมพระราชวังบวร ฯ แต่ครั้นคลายพระพิโรธลง ก็โปรดให้ทำพระเมรุใหญ่ตามเยี่ยงอย่างพระเมรุพระมหาอุปราชครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่ดำรัสให้เชิญ พระบรมสารีริกธาตุออกสมโภชที่พระเมรุให้เป็นพุทธบูชาเสียก่อน ไม่ให้เสียพระวาจาที่ว่าจะไม่ทำ พระเมรกุ รมพระราชวงั บวร ฯ เมื่องานพระศพเสร็จแล้ว พระอัฐิกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจะประดิษฐานอยู่ที่ไหน ข้อนี้นึกฉงนอยู่ ถ้าว่าโดยสถานซึ่งควรเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิกรมพระราชวังบวรฯที่ในวังหน้าก็คือ พระวิมานองค์ใดองค์หนึ่ง แท้จริงตามที่ปรากฏจนชั้นหลัง พระอัฐิกรมพระราชวังบวร ฯ ทั้ง ๓ รัชกาล ก็ประดิษฐานในพระวิมานองค์กลาง คือ พระที่นั่งวายุสถานอมเรศร์ แต่ความปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุ และพงศาวดาร ว่าเมื่อครั้งอุปราชาภิเษกกรมพระราชวังบวร รัชกาลที่ ๒ ตั้งพิธีเฉลิมพระราชมนเทียร