ประวตั พิ ระนาบมี ะหะหมดั ๔๒๓ คอื นางดาดะชะบตุ รีรวยลบิ ๑ นางสดุ ะบตุ รีดำอะ ๑ นางอาวชิ าบตุ รีอาปดุ าอา ๑ นางซบั ฟาฮาบตุ รีกมุ าร ๑ นางโจมหะมนี าบตุ รอี ามศิ ฟอี าน ๑ นางเดนบั บตุ รีบดมิ า ๑ นางยาหาศบตุ รยี าเรยี ๑ นางเดนบั อกี คน ๑ นางอไุ มสะลามา ๑ นางอไุ มมนุ า ๑ นางซบั เฟยี บตุ รฮี ไู ย ๑ นางมาเรยี ๑ มะหะหมดั มบี ตุ ร ๗ คน เปน็ ชาย ๓ คน ชอ่ื เดาแซน ๑ ชอ่ื ฮบั ดาลา ๑ ปอเฮระ ๑ บตุ รหญงิ ๔ คน ชอ่ื นางนดั ๑ นางรอตยี ะ ๑ นางอไุ มดละชนุ ๑ นางฟอตมี า ๑ บตุ รชายถงึ แกก่ รรม มะหะหมดั เหลอื แตบ่ ตุ รหญงิ มะหะหมดั นน้ั มชี อ่ื อีกว่าระสู่หลุ่นหล่า ๆ๑ ยกนางฟอตีมาให้เป็นภรรยาอาลี ๆ เกิดบุตรชาย ๒ คน ชื่ออิมัมมะฮูซัน๒คน ๑ อมิ มั มะฮเู ซนคน ๑ มะหะหมดั ไมม่ บี ตุ รชาย๓ รกั หลานทง้ั สองนกั เมอ่ื หลานทง้ั สองเจรญิ ขน้ึ อมุ้ ขน้ึ นง่ั บนตกั แลว้ กส็ วดขอพระอาลา๔ พระอาลาจงึ สง่ั ให้ยบิ ราเอลเอาเสอ้ื สวรรคล์ งมาประทานให้ ๒ ตวั มะหะหมดั จึงรับเสื้อให้แก่หลาน อิมัมมะฮูซันได้เสื้อเขียว อิมัมมะฮูเซนได้เสื้อแดง แล้วยิบราเอลจึงทำนายว่า อิมัมมะฮูซันจะตายด้วยยาพิษ อิมัมมะฮูเซนจะตายด้วยอาวุธ๕ แล้วยิบราเอลเอื้อมมือไปหยิบเอาดิน ที่ทุ่งกะตะบาลา๖มาก้อนหนึ่งให้ไว้ว่า ดินนี้แดงดังโลหิตเมื่อใดแล้ว อิมัมมะฮูเซนจะตาย เมื่อ มะหะหมดั ประชวรหนกั ใกลจ้ ะถงึ แกก่ รรม พวกซนู ี ๗ เขาวา่ มอบไมเ้ ทา้ กบั แหวนตะละฟาดใหอ้ บั กบู าดา ว่าตะละฟาดแทนตัวต่อไป๘ ข้างพวกมะหนเขาว่ามะหะหมัดสั่งให้อาลีผู้บุตรเขย ว่าตะละฟาดแทน๙ ซง่ึ อบั กบู าดาไดไ้ มเ้ ทา้ กบั แหวนนน้ั เพราะบตุ รหญงิ อบั กบู าดาชอ่ื นางมะรยิ าเปน็ ภรยิ ามะหะหมดั ลกั เอามาให้ บิดาอับกูบาดาจึงได้ว่าตะละฟาดต่อมา เมื่อมะหะหมัดถึงแก่กรรมอายุได้ ๖๓ ปี ศพมะหะหมัด เขาฝังไว้ทีเ่ มืองมะกา๑๐ อับกูบาดาได้เป็นเจ้าแผ่นดิน ครั้นป่วยหนัก อุมัศคิดกบฏเอาหมอนทับจมูก ๑ ระส่หู ลนุ่ หล่า คือ รอซูลุลลอฮ์ หมายถึง ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ๒ อิมัมมะ คือ อิมาม หมายถึง ผู้นำ, ฮูซัน คือ หะซัน และฮเู ซน็ คือ หุซยั น์ ๓ มฮุ มั มดั มบี ตุ รชาย ๓ คน แตเ่ สยี ชวี ติ หมด ๔ พระอาลา ที่ถูกคือ อัลลอฮ์ ๕ ไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ ๖ กะตะบาลา ทถ่ี กู คอื กรั บะลา เป็นช่ือเมือง ๗ ซูนี หรือ สุหนี่ หมายถึง ผู้ที่ยึดถือตามแนวปฏิบัติ (ซุนนะห)์ ของนบมี ฮุ มั มดั ๘ ตะละฟาด คอื ตำแหนง่ คอลิฟะห์ ซ่ึงเป็นผู้ปกครองเมืองในสมัยหลัง ตอ่ จากนบมี ุฮมั มดั อับกูบาดา คือ อบูบักร ไดร้ บั ฉนั ทานมุ ตั ใิ หเ้ ปน็ คอลฟิ ะหค์ นแรก ๙ มะหน หมายถึง เจ้าเซ็น เรียกตามนาม หุซัยน์ หรือฮูเซ็น ไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ว่านบีมุฮัมมัดได้มอบหมายตำแหน่ง คอลิฟะห์ให้ผู้ใด แต่ทุกคนรวมทั้งอาลีเองก็เห็นชอบให้อบูบักรผู้อาวุโสเป็นคอลีฟะห์ เพียงแต่มีคนกลุ่มหนึ่งเห็นว่าน่าจะให้แก่อาลีซึ่งเป็น ลกู พล่ี กู นอ้ งและเปน็ บตุ รเขยของนบมี ฮุ มั มดั โดยทว่ั ไปเขา้ ใจวา่ อสิ ลามมี ๒ นิกาย คือ สุหนี่ ซึ่งยึดถือตามแนวปฏิบัติของนบีมุฮัมมัด และชิอะห์ ซง่ึ ยดึ ถือตามอาลแี ละลูกทั้งสอง คอื หะซนั และหซุ ยั น์ ทค่ี นไทยเรยี กกลมุ่ นว้ี า่ เจ้าเซ็น กเ็ พราะเรยี กตามชอ่ื หซุ ยั น์ (ฮเู ซน็ ) ๑๐ มะกา น่าจะหมายถึงเมอื งมกั กะห์ แตท่ ถ่ี กู ศพนบมี ฮุ มั มดั ฝงั อยทู่ เ่ี มอื งมะดนี ะห์ ตง้ั แตแ่ รกมาจนทกุ วนั น้ี
๔๒๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ อับกูบาดา๑ อับกูบาดาถึงแก่กรรม แล้วก็ได้เป็นเจ้าแผ่นดินว่าตะละฟาดอยู่ได้ ๘ ปี๒ ออกไปที่ สุเหร่าจะทำละหมาด ลูกความคนหนึ่งชื่ออับปูเล็ก๓ลอบไปแทงอุมัศถึงแก่กรรม และอุศมานได้เป็น เจ้าแผ่นดินว่าตะละฟาดได้ ๑๒ ปี ๔ จึงตั้งบุตรอับกูบาดาชื่อมะหะหมัด๕ ให้ไปเป็นเจ้าเมืองมะเซน แล้วมะอะวิยามะระวานหะติม๖ผู้เป็นคนโกง ระสู่หลุ่นหล่าไล่เสียแต่ก่อนนั้น กลับเข้ามาทำราชการ แทนตัว คนสองคนนี้เป็นคนอริอยู่กับมะหะหมัดมาแต่ก่อน๗ ครั้นอุศมานเข้าไปในห้องถ่ายอุจจาระ ถอดแหวนตะละฟาดวางไว้ที่โต๊ะ จึงลักเอาแหวนนั้นประทับหนังสือไปถึงเจ้าเมืองมะเซนคนเก่าว่า ถ้ามะหะหมัดมาถึงให้จับฆ่าเสีย มะหะหมัดจับหนังสือลับได้ ก็โกรธอุศมานว่าแกล้งล่อลวง จึงยกทัพ เขา้ เมอื งมะไดนา อศุ มานไมส่ เู้ ขา้ ทส่ี วดคลุ อี านอยู่ มะหะหมดั กฆ็ า่ อศุ มานเสยี โลหติ กระเดน็ ไปถกู สมดุ คุลีอานเปื้อนไป ทุกวันนี้พวกซูนี เขาจึงประชาดคัมภีร์คุลีอาน ครั้นถึงแก่กรรมแล้ว พวกขุนนาง จึงไปเชิญอาลีขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน๘ ครั้งนั้นมะอะวิยากับมะระวานหะติมพากันหนีไปจากเมืองมะไดนา ไปตั้งเกลี้ยกล่อมอยู่ทีเ่ มืองส่ำ๙ ได้เป็นใหญ่ในเมืองส่ำแล้ว ก็ยกทัพมารบกับอาลีที่เมืองมะไดนาถึง ๒๓ ครง้ั กไ็ มไ่ ดเ้ มอื ง ภายหลงั จงึ คดิ อบุ ายใหห้ ญงิ รปู งามไปลอ่ ลวงอะปะตะระดาน ๆ เปน็ คนเลย้ี งมา้ ของอาลี อะปะตะระดานอยากได้หญิงรูปงาม ก็รับทำการแทน ฆ่าอาลีเสียในสุเหร่าเมื่ออาลีเข้าไปทำละหมาด เมื่ออาลีถึงแก่กรรมนั้นครองเมืองมะไดนาได้ ๔ ปีกับ ๙ เดือน ครั้นมะอะวิยาได้เป็นใหญ่ในเมืองส่ำ มีอำนาจมาก ตั้งให้มะระวานหะติมเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ที่เมืองส่าน อิมัมมะฮูซัน อิมัมมะฮูเซน ๑ อุมัศ คือ อมุ รั คอลฟิ ะห์คนทส่ี อง นบมี ฮุ มั มดั เสยี ชวี ติ เมอ่ื ฮ.ศ. (ฮจิ เราะหศ์ กั ราช) ที่ ๑๐ อบูบักรเปน็ คอลิฟะหร์ ะหว่าง ฮ.ศ. ๑๑–๑๓ อุมัรเปน็ คอลฟิ ะห์ระหว่าง ฮ.ศ. ๑๓–๒๓ อบบู ักรเสียชวี ติ เองไม่ได้ถูกอุมัรฆา่ ๒ อุมัรเป็นคอลิฟะห์อยู่ ๑๑ ปี ๓ คนทฆ่ี า่ อมุ รั ชอ่ื อบลู หุ ล์ อุ ะหเ์ ปน็ พวกบชู าไฟชาวเปอรเ์ ซยี เจบ็ แคน้ ทอ่ี าณาจกั รเปอรเ์ ซยี ถกู ครอบครองโดยมสุ ลมิ ในยคุ ของอมุ รั จงึ ลอบฆา่ อมุ รั เสยี ๔ อุษมานเป็นคอลิฟะห์อยู่ ๑๒ ปี ระหว่าง ฮ.ศ.๒๓–๓๕ ๕ ทถ่ี กู ไมใ่ ชล่ กู อบบู กั ร แตเ่ ปน็ แมท่ พั ในสมยั อบบู กั ร ชอ่ื อมั รอ์ บิ นลุ อาส (ในพงศาวดารนเ้ี รยี กวา่ มะหะหมดั ) ซง่ึ ตอ่ มาอมุ รั สง่ั ใหไ้ ปปราบ ดินแดนชาม ๖ ทั้งสองคนนี้ คือ มุอาวิยะห์ และ มรั วานฮะตมิ เป็นผู้ที่นบีมุฮัมมัด มอบหมายให้บันทึกกรุ อานลงไว้เป็นหลักฐาน ในสมัยอุมัร มอุ าวยี ะหไ์ ดไ้ ปปกครองแควน้ ชาม เปน็ ตน้ ตระกูลมะอาวยิ ะหห์ รอื อุมัยยะห์ ๗ มะหะหมดั ในทน่ี ไ้ี มใ่ ชน่ บมี ฮุ มั มดั แตเ่ ปน็ ผปู้ กครองแควน้ ชาม (ดเู ชงิ อรรถท่ี ๕) ๘ อุษมานถูกฆา่ โดยผู้ที่โกรธแค้นทอ่ี ุษมานไปถอดถอนผคู้ นออกจากตำแหนง่ คนที่ฆา่ อุษมานไมป่ รากฏช่ือ คุลีอาน คือ กรุ อาน เรื่องเล่าว่าพวกสุหนี่ประชาด (ทาสีแดง) ที่คัมภีร์กุรอานเพราะเลือดอุษมานเคยกระเด็นเปื้อนกุรอานนั้น เป็นเรื่องที่เล่าแต่งเติมกัน การใชส้ แี ดงเปน็ เพยี งการตกแตง่ ใหส้ วยงามเทา่ นน้ั เมอ่ื อษุ มานตาย ผคู้ นท่ีมะดนี ะหเ์ ลือกอาลีเป็นคอลีฟะห์คนที่ ๔ (ปกครองระหว่าง ฮ.ศ. ๓๕–๔๐) ๙ มอุ าวยิ ะหซ์ ง่ึ เปน็ ใหญอ่ ยทู่ แ่ี ควน้ ชาม (พงศาวดารนเ้ี รยี กวา่ เมอื งสำ่ ) ไมย่ อมรบั อาลี เมอ่ื อาลตี าย ผคู้ นทม่ี ะดนี ะหเ์ ลอื กหะซันเปน็ คอลิฟะห์ แต่มุอาวิยะห์อยากให้ลูกของตนชื่อ ยะซรี ดำรงตำแหนง่ นน้ั
ประวตั พิ ระนาบมี ะหะหมดั ๔๒๕ พี่น้องว่าราชการเมืองมะไดนาไม่ไปขึ้นต่อมะอะวิยา ครั้นมะอะวิยาถึงแก่กรรมแล้ว ยะหริษ๑ ได้เป็น เจ้าแผ่นดินในเมืองส่ำคิดจะฆ่าอิมัมมะฮูซัน อิมัมมะฮูเซนเสียด้วยความอาฆาต แต่ก่อนยะหริษไปขอ นางไชนัน อิมัมมะฮูซันจึงไปขอเอามาเป็นภริยาเสีย ครั้งหนึ่งอุมัศจะใหน้ างชะระบานูเลือกผัว ป่าวร้อง เจา้ นายและขนุ นางฝา่ ยทหารพลเรอื นและบตุ รเจา้ ขนุ นางเศรษฐขี น้ึ มาเรยี งตวั กนั เปน็ ลำดบั นางชะระบานู ก็ไม่ชอบใจผู้ใด ครั้นมาอิมัมมะฮูเซนและยะหริษมาถึงเข้า นางชะระบานูก็รักอิมัมมะฮูเซน เอาแหวน และพลอยต่าง ๆ ขว้างสาดไปเป็นสำคัญ ชาวประโคมก็ประโคมขึ้น ยะหริษเห็นดังนั้น ก็ขัดใจเป็นข้อ อาฆาตกนั มา และนางชะระบานนู ร้ี ปู งามนกั หญงิ ทง้ั แผน่ ดนิ อาหรบั ปะตานไมม่ ใี ครเสมอ ถงึ จะมบี ตุ ร สักเท่าไรก็ดูไม่ชรา ยะหริษคิดจะฆ่าอิมัมมะฮูซัน อิมัมมะฮูเซนนั้นเสีย จึงแต่งให้คนลอบไปพบ ภรรยาน้อยอิมัมมะฮูซันชื่อนางยะดา ให้วางยาพิษอิมัมมะฮูซันเสีย การสำเร็จแล้วจะรับไปเลี้ยงเป็น ภรรยา แล้วอิมัมมะฮูเซนผู้เป็นน้องก็ได้เป็นใหญ่อยู่ในเมืองมะไดนา ยะหริษจัดกองทัพจะมาตีเมือง มะไดนา จะชิงเอานางชะระบานูซึ่งเป็นภรรยาอิมัมมะฮูเซน เห็นว่าอิมัมมะฮูเซนมีกำลังแข็งแรงมาก เมอ่ื อายุ ๗ ขวบฟนั ช้างสงู ๗ ศอกทเี ดยี วขาดลงเปน็ ๒ ทอ่ น เหน็ กำลงั พลงั เจา้ เซนมาก จะมาตเี อา เมืองก็เกรงอยู่ จึงมีหนังสือไปถึงอับดระสิยาศเจ้าเมืองกูฝ่า ให้ล่อลวงอิมัมมะฮูเซนออกไปเสียจาก เมอื งมะไดนาใหไ้ ด้ อบั ดระสยิ าศเจา้ เมอื งกฝู า่ จงึ มหี นงั สอื ไปถงึ อมิ มั มะฮเู ซนใจความวา่ ทเ่ี มอื งมะไดนา ทแกล้วทหารและเสบียงอาหารก็น้อย ถ้ายะหริษยกทัพใหญ่ไปจะสู้ไม่ได้ ขอเชิญเสด็จมาอยู่เมืองกูฝ่าเถิด ทหารก็มีถึง ๗๐,๐๐๐ เสบียงอาหารก็บริบูรณ์ ถ้ายะหริษยกทัพมาก็พอจะต่อสู้ได้ อิมัมมะฮูเซน ก็เชื่อ จึงอพยพครอบครัวของระสู่หลุ่นหล่า และของบิดาของตัวออกจากเมืองมะไดนาไปถึง ทุ่งกะตะบาลา ยะหริษแต่งให้อุไมสเอศไมสลุนเป็นแม่ทัพมาซุ่มอยู่ ครั้นเห็นเจ้าเซนยกทัพมาถึง ทุ่งกะตะบาลาแล้วก็เข้าล้อมไว้แน่นหนา ปิดธารน้ำเสียหมด และกองทัพเมืองกูฝ่าก็ยกมาช่วย อุไมสเอศไมสลุนด้วย เจ้าเซนอดน้ำอยู่ถึง ๑๐ วัน ออกสู้รบจนตัวตายในที่ล้อม และศพนั้นเขา ก็ตัดเอาศีรษะไปให้แก่พระยายะหริษ มือนั้นเขาก็ตัดเพียงข้อทิ้งไว้ริมตัว เหลืออยู่แต่ม้าวิ่งมาหา ครอบครัว ๆ ๘๐๐ คน เขาก็กวาดต้อนเอาไปเมืองซามหมด และนางชะระบานูพวกมะหรุ่มว่าขึ้นม้า มา้ พาเหาะหนไี ปบนอากาศ พวกซนู วี า่ พระยายะหรษิ จะเอาเปน็ ภรรยา นางชะระบานไู มย่ อมกจ็ ำกรากรำไว้ พอถัดนั้นมาพวกแขกเจ้าเซนก็มาถือว่า ไซดินาอาลีอิมัมมะฮูซันอิมัมมะฮูเซน เป็นเจ้าแผ่นดินเป็นนาย เป็นพระของตัว ครั้นเดือน มหรัมก็ถือว่าเป็นเดือนสะยิด๒ คือเดือนสิ้นพระชนม์ของเจ้าเซน ก็ทำการ ๑ ยะหรษิ คอื ยะซรี เปน็ อรกิ บั หะซนั และหซุ ยั น์ ๒ สะยดิ หมายถงึ สำคญั ควรแกก่ ารยกยอ่ งและระลกึ ถงึ
๔๒๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ฉลองคุณทั้งสามองค์ ๑ ประจานตัวเอาเลือดหัวออกบูชาเจ้านาย ตบอกร้องไห้แช่งชักพวกศัตรู เต้นโลดไป ทำเป็นมือเจ้าเซน และเป็นเครื่องอาวุธของเจ้าเซนขึ้นอยู่ปลายไม้ นับถือว่าเป็นมือ เปน็ เครอ่ื งอาวธุ ของเจา้ เซน ทำสะบดั ขน้ึ เปน็ ทไ่ี วม้ ะยศั ๒ คอื ศพ และเอามา้ นน้ั มาแหด่ ว้ ย ทำดงั นถ้ี อื วา่ กตญั ญฉู ลองคณุ เจา้ เซน ๑ ทั้งสามองค์ หมายถึง อาลี หะซนั และหุซัยน์ ๒ มะยัศ คือ ศพ
๔๒๗ คำใหก้ ารเฒา่ สา เรอ่ื งหนงั ราชสหี ์
๔๒๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔
คำให้การเฒ่าสา เรื่องหนังราชสีห์ ๔๒๙ คำใหก้ ารเฒา่ สา เรอ่ื งหนงั ราชสหี ์ ๑ ขา้ พระพทุ ธเิ จา้ เฒา่ ษา ๒ อายไุ ด้ ๘๕ ปี ใหก้ ารวา่ เดมิ เมอ่ื ครง้ั พระธนิ ง่ั สรู ารนิ ๓ ขา้ พเจา้ อยกู่ บั นายอผู วั ขา้ พเจา้ ณ ปา่ ทองในกรงุ เกา่ ผวั ขา้ พเจา้ เปน็ ขนุ หมน่ื อยใู่ นกรมรกั ษาพระองค์ ครน้ั พมา่ ล้อมเมืองเอาไฟเผาเมือง ผัวข้าพเจ้ากับข้าพเจ้าเข้าไปอยู่ในพระราชวัง ธินั่งสุรามริน ๔ กับพระเจา้ ลกู เธอเจา้ ชาย ๓ เจา้ หญงิ ๑ สพ่ี ระองค์ ขา้ พเจา้ จำพระนามหาไดไ้ ม่ เสดจ็ ออกมา ขา้ พเจา้ กบั ผวั ข้าพเจ้าก็ตามเสด็จออกมาด้วย ครั้นถึงประตูดินผัวข้าพเจ้าจึ่งส่งหนังอันนี้ให้ข้าพเจ้า เห็นกระดาษห่อ อยขู่ า้ งนอกหลายชน้ั ผวั ขา้ พเจา้ บอกขา้ พเจา้ วา่ เมอ่ื เสดจ็ พระดำเนนิ ออกมาจากพระมหาปราสาทนน้ั ธนิ ง่ั สรุ ามรนิ สง่ หนงั อนั นใ้ี ห้ แลว้ ตรสั วา่ หนงั ราชสหี น์ เ้ี กบ็ ไวใ้ หด้ อี ยา่ ใหพ้ มา่ เอาไปได้ ขา้ พเจา้ กร็ บั เอา หนงั ราชสหี อ์ นั นห้ี อ่ ผา้ ซอ่ นไวก้ บั ตวั ขา้ พเจา้ ผวั ขา้ พเจา้ จง่ึ เอาบาตรเหลก็ ซง่ึ ใสเ่ ครอ่ื งทรงไปซอ่ นไว้ ไวใ้ น กอไผห่ ลงั วดั หนา้ พระเมร ๕ ผวั ฯ ขา้ ฯ กก็ ลบั มาถงึ ฯ ขา้ ฯ พออา้ ยพมา่ จบั เอาธนิ ง่ั สรุ ามรนิ ไป จง่ึ ตรสั เรยี ก ผวั ฯ ขา้ ฯ ไปดว้ ย ฯ ขา้ ฯ กบั พน่ี อ้ ง ฯ ขา้ ฯ ๕ คน หนเี ขา้ ซอ่ นอยใู่ นโบสถว์ ดั ขนุ เมอื งใจ ๖ ประมาณ ๙ วนั ๑๐ วนั ครน้ั เพลาคำ่ พน่ี อ้ ง ฯ ขา้ ฯ เอาเรอื มารบั ทป่ี ระตดู นิ ฯ ขา้ ฯ กพ็ ากนั ลงเรอื หนลี งมาอยกู่ บั เฒ่าอีน ณ วดั ปากนำ้ บางหลวง ฯ ขา้ ฯ จง่ึ แกก้ ระดาษออกดู เหน็ สกั หลาดหอ่ หนงั ราชสหี ์ ฯ ขา้ ฯ ก็ คลด่ี ู เหน็ แลว้ ฯ ขา้ ฯ กห็ อ่ เขา้ ไวด้ งั เกา่ ฯ ขา้ ฯ อยปู่ ระมาณปหี นง่ึ พอผวั ฯ ขา้ ฯ ตามมาพบ ฯ ขา้ ฯ ทว่ี ดั ปากนำ้ ๗ ผวั ฯ ขา้ ฯ ถาม ฯ ขา้ ฯ วา่ หนงั ราชสหี ซ์ ง่ึ ใหไ้ วย้ งั ดอี ยหู่ รอื ฯ ขา้ ฯ บอกวา่ อยดู่ อี ยดู่ อก อยู่ประมาณ ๓ ปี ๔ ปี ผัว ฯ ข้า ฯ ศรัทธาบวช เป็นภิกขุอยู่ ณ วัดปากน้ำพอถึงแก่ความตาย อยู่ ประมาณ ๑๑ ปี ๑๒ ปี ฝนตกรว่ั ถกู หบี ทใ่ี สข่ องไว้ ฯ ขา้ ฯ ระลกึ ขน้ึ ไดจ้ ง่ึ เปดิ หบี ดขู อง แลว้ ฯ ขา้ ฯ จง่ึ เอา หนงั อนั นอ้ี อกตากแดด พอสมมี ่วงเดินลงมาเห็นหนัง ฯ ข้า ฯ ตากอยู่ ถาม ฯ ข้า ฯ ว่าหนังอะไรตากแดด อยู่นั้น ฯ ข้า ฯ บอกว่าหนังราชศรี สมมี ว่ งจง่ึ วา่ ดแี ลว้ ขา้ จะชว่ ยเกบ็ ไวใ้ ห้ แลว้ ขา้ จะเลย้ี งยายใหท้ านกนิ ไปกวา่ จะตาย ฯ ขา้ ฯ กเ็ อาหนงั ราชสหี อ์ นั นส้ี ง่ ใหแ้ กส่ มมี ว่ ง สมมี ว่ งกร็ บั เอาไวป้ ระมาณ ๙ วนั ๑๐ วนั ๑ หนังสือสมดุ ไทยดำ จดหมายเหตุ รชั กาลท่ี ๒ จ.ศ. ๑๑๗๕ ใช้ชื่อบนปกว่า “ คำใหก้ ารเถาษา ไดห้ นงั ราชสหิ ์ ” ๒ หนงั สอื ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๗ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๔๖๐ ใช้ว่า “เถา้ สา” ๓-๔ พระทน่ี ง่ั สรุ ยิ ามรนิ ทร์ หมายถงึ สมเดจ็ พระเจา้ เอกทศั พระมหากษัตริยก์ รงุ ศรอี ยธุ ยา ๕ วดั หนา้ พระเมรุ ตง้ั อยรู่ มิ คลองสระบวั ตำบลทา่ วาสกุ รี อำเภอพระนครศรอี ยธุ ยา จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ๖ วดั ขนุ เมอื งใจ ตั้งอยู่ถนนสาย ๕ ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรอี ยธุ ยา จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา เปน็ วดั สำคญั เคยเปน็ ทป่ี ระกอบพธิ ถี อื นำ้ พพิ ฒั นส์ ตั ยาในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ปจั จบุ นั เปน็ วดั รา้ ง ๗ The Reconstructed Plan of Ayudhya Sumet Jumsai 1967 ปรากฏชอ่ื วดั ปากนำ้ อยบู่ รเิ วณนอกเกาะเมอื งดา้ นตะวนั ออก รมิ แมน่ ำ้ เจา้ พระยา เหนือหมู่บ้านญี่ปุ่น
๔๓๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ สมมี ว่ งหาใหท้ านขา้ วปลา ฯ ขา้ ฯ กินไม่ ฯ ข้า ฯ โกรธ ฯ ข้า ฯ จึ่งทวงเอาหนังราชสีห์ของ ฯ ข้า ฯ ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง สมีม่วงก็หาให้ ฯ ข้า ฯ ไม่ ฯ ข้า ฯ จึงบอกนายสัง นายสังจึ่งไปต่อว่าสมีม่วง สมีม่วงก็ให้หนงั อนั นม้ี าแกน่ ายสงั นายสงั จง่ึ เอามาใหแ้ ก่ ฯ ขา้ ฯ ณ วัน ๖ เดือน ๘ แรม ๕ ค่ำ ๑ ปีระกา เบญจศก จุลศักราช ๑๑๗๕ ๒ (ในรัชกาลที่ ๒) เฒา่ ษา เฒา่ อนี เอาหนงั มา ณ เรอื นนายฤทรนณะรง๓ หาพบตวั นายฤท๔ ไม่ มาเขา้ เวรอยใู่ นพระราชวงั พบแต่บิดานายฤท บิดานายฤทจึงว่าหนังอันนี้เห็นประหลาดเกลือกจะเป็นของต้องพระราชประสงค์ เพลาเชา้ นายฤทจงึ จะลงไปเอาหนงั อนั น้ี ขน้ึ มาทลู เกลา้ ฯ ถวาย เฒา่ ษา เฒา่ อนี กพ็ าเอาหนงั อันนี้ กลับไปให้พระสมุห์ดู นายสังจึงมาบอกแก่หลวงอะณุรักผูเบด๕ หลวงอะณรุ กั ผเู บด กข็ า้ มไปดหู นงั อนั น้ี เห็นประหลาดอยู่ให้งดไว้ก่อน เพลาเช้าพบนายฤทพร้อมกันที่วัดปากน้ำ จึงจะตัว ฯ ข้า ฯ กับหนังขึ้นมา ทลู เกลา้ ฯ ถวาย ครน้ั รงุ่ เชา้ นายฤทรนณะรงกบั หลวงอะณรุ กั ผเู บดไปหา ฯ ขา้ ฯ กเ็ อาหนงั กบั ตวั ฯ ขา้ ฯ ขน้ึ ทลู เกลา้ ฯ ถวาย เปน็ ความ ฯ ขา้ ฯ เทา่ น้ี ขอเดชะ ฯ อธิบายเรื่องหนังราชสีห์ หนงั ทก่ี ลา่ วถงึ ในคำใหก้ ารน้ี ไมป่ รากฏวา่ แลว้ ไปอยทู่ ไ่ี หนตอ่ มา แตไ่ มไ่ ดใ้ ชใ้ นราชการ จงึ เขา้ ใจ วา่ เมอ่ื ถามคำใหก้ ารแลว้ จะไมท่ รงเชอ่ื ถอื วา่ เปน็ หนงั ราชสหี ์ และไมเ่ ชอ่ื คำใหก้ ารเฒา่ สาวา่ เปน็ ความจรงิ ดว้ ย เพราะทเ่ี รยี กวา่ ราชสหี น์ น้ั แตก่ อ่ นมา ถอื กนั วา่ รปู รา่ งอยา่ งทเ่ี ขยี นกนั ไวแ้ ตโ่ บราณ เชน่ เขยี นในดวง ตราพระราชสหี เ์ ปน็ ตน้ เหน็ เปน็ ของไมม่ จี รงิ หรอื ทย่ี อมรบั วา่ มี คนกเ็ ชอ่ื วา่ มใี นปา่ พระหมิ พานต์ อนั มนษุ ย์ จะพบเหน็ ไดด้ ว้ ยยาก มเี รอ่ื งราวหนงั สอื พงศาวดารเหนอื วา่ ขนุ สงิ หฬสาครไปไดห้ นงั ราชสหี ม์ าครง้ั หนง่ึ กเ็ ปน็ เรอ่ื งพลิ กึ กกึ กอื นา่ กลวั อนั ตรายมาก พน้ วสิ ยั ทใ่ี ครจะไปทำอยา่ งขนุ สงิ หฬสาครไดอ้ กี คตคิ วามคดิ ที่มาถืออย่างประเทศอื่นว่า ไลออนหรือสิงโตนี้เองคือราชสีห์ฉะนี้ พึ่งมาปรากฏต่อเมื่อในรัชกาลที่ ๔ แตม่ คี วามประหลาดอยใู่ นเรอ่ื งพระราชพงศาวดารวา่ เมอ่ื ในแผน่ ดนิ สมเดจ็ พระเจา้ เอกทศั ทเ่ี รยี ก พระทน่ี ง่ั สุริยามรินทร์นั้น แขกหรือฝรั่ง ชื่อ อะลังกะปูนี ได้เอาสิงโตเข้ามาถวาย ถ้าหากเกิด ๑ วัน ๖ เดือน ๘ แรม ๕ ค่ำ ที่ถูกควรเป็น แรม ๔ ค่ำ ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๕๖ ๒ ตน้ ฉบบั หนงั สอื สมดุ ไทยดำ ไม่ระบุข้อความว่า “จุลศกั ราช ๑๑๗๕” แต่ในหนังสอื ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗ ฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรก พ.ศ. ๒๔๖๐ เพ่ิมเตมิ ว่า “จลุ ศกั ราช ๑๑๗๕ ( ในรชั กาลที่ ๒ )” ๓ นายฤทธิรณรงค์ ๔ นายฤทธิ ๕ หลวงอนุรักษ์ภูเบศร์
คำให้การเฒ่าสา เรื่องหนังราชสีห์ ๔๓๑ ความเชื่อถือ ในครั้งนั้นว่าสิงโต หรือไลออนเป็นอย่างเดียวกับราชสีห์ หนังราชสีห์ที่มีในแผ่นดิน สมเดจ็ พระเจา้ เอกทศั กเ็ หน็ จะเปน็ หนังสิงโตตวั นน้ั เอง แตท่ ่ีเฒา่ สาวา่ ตวั ไปไดม้ าอยา่ งไรนน้ั เปน็ คนละเรอ่ื ง เหลือวินิจฉัย ฯ
๔๓๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔
๔๓๓ เรื่องตำนานพระโกศและหีบศพบรรดาศักดิ์ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเดจ็ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ ช่วยกันทรงเรียบเรียง
๔๓๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔
เรอ่ื งตำนานพระโกศและหบี ศพบรรดาศกั ด์ิ ๔๓๕ คำนำภาคท่ี ๘ ๑ ของสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ อธบิ ายพงศาวดารภาคท่ี ๘ เรอ่ื งทเ่ี ลอื กมาพมิ พเ์ ปน็ หนงั สอื ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๘ มี ๕ เรอ่ื งดว้ ยกนั คอื จดหมายเหตโุ หร เรอ่ื ง ๑ จดหมายเหตขุ องจมน่ื กง่ ศลิ ป์เรอ่ื ง ๑ พระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั พระจกั รพรรดพิ งษ์ (จาด) เรื่อง ๑ พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๔ เรื่องปฐมวงศ์ เรื่อง ๑ ตำนานพระโกศเรื่อง ๑ หนังสือ ๕ เรื่องนี้ มลี กั ษณะตา่ งกนั อยา่ งไร จะอธบิ ายตอ่ ไปโดยลำดบั ๑. หนังสือจดหมายเหตุโหรนั้น จะอธิบายถึงลักษณะที่ โหรจดหมายเหตใุ ห้ผู้ซึ่งยังไม่เคยทราบได้ ทราบกอ่ น คอื วธิ จี ดหมายเหตขุ องโหร เขาทำปฏทิ นิ บอกวนั และฤกษย์ าม เปน็ รายวนั ลว่ งหนา้ ไวต้ ลอดปี และมีที่ว่างไว้สำหรับจดเหตุการณ์ในปฏิทินนั้น โหรหรือใครที่เอาใจใส่ในฤกษ์ยามและการจดหมายเหตุ ก็มีสมุดปฏิทินเช่นนี้ไว้ทำนองเดียวกันกับทีฝ่ รั่งเรียกว่า สมุดไดเอรี เมื่อมีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้นในวันใด ซง่ึ ผเู้ จา้ ของปฏทิ นิ เหน็ ควรจะจดจำ กจ็ ดลงไวใ้ นปฏทิ นิ ตรงชอ่ งวนั นน้ั วนั ทไ่ี มม่ เี หตกุ ารณจ์ ะจด กป็ ลอ่ ย วา่ งไว้ ทำกนั เชน่ นม้ี าแตโ่ บราณ แตผ่ ทู้ ม่ี ปี ฏทิ นิ ไวจ้ ดหมายเหตมุ มี ากดว้ ยกนั ความรเู้ หน็ ความนยิ มตา่ งกนั จดหมายเหตทุ ล่ี งปฏทิ นิ จงึ ตอ้ งกนั บา้ งตา่ งกนั บา้ ง เมอ่ื นานเขา้ มผี รู้ วมปฏทิ นิ ปลี ว่ ง ๆ มาแลว้ มาจดวนั ฤกษย์ ามและเหตกุ ารณล์ งเปน็ สงั เขปอกี ชน้ั ๑ เรยี กวา่ ปมู หนงั สอื ปมู นฉ้ี บบั ทม่ี ใี นหอพระสมดุ ฯ ๒๐๘ ปี ตง้ั แตป่ ระจำปฉี ลู จลุ ศกั ราช ๑๐๗๑ พ.ศ. ๒๒๕๒ ในแผน่ ดนิ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทา้ ยสระครง้ั กรงุ เกา่ เป็นต้นมา นอกจากนี้ยังมีจดหมายเหตุก่อนเก่าขึ้นไปกว่าปูมที่มี โหรจดลงไว้เป็นจดหมายเหตุเบ็ดเตล็ด อีกหลายฉบับ กรรมการรวมหนังสือเหล่านี้มอบให้พระเทวโลก (แหยม วัชรโชติ) คัดแต่เฉพาะจดหมาย เหตุการณ์ ซึ่งปรากฏในจดหมายเหตุโหรและปูมบรรดามีในหอพระสมุด ฯ เรียบเรียงโดยลำดับเวลาก่อน และหลงั ใหร้ เู้ ฉพาะวนั เกดิ เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ซง่ึ โหรไดจ้ ดไวแ้ ตโ่ บราณมาเมอ่ื เรยี บเรยี งแลว้ เอามาดู เหน็ เปน็ หนังสือน่ารู้และน่าอ่านมาก เชื่อว่ายังไม่เคยรวบรวมได้อย่างนี้มาแต่ก่อน จึงเอามาพิมพ์ไว้ในประชุม พงศาวดารเลม่ นเ้ี รอ่ื ง ๑ ๑ คำนำฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรก ตวั สะกด การนั ต์ คงตามตน้ ฉบบั เดมิ
๔๓๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ๒. จดหมายเหตขุ องจมน่ื กง่ ศลิ ปน์ น้ั พระยาโบราณราชธานนิ ทร์ (พร เดชะคปุ ต)์ พง่ึ ไดต้ น้ ฉบบั มาใหห้ อพระสมดุ ฯ เมอ่ื จะพมิ พห์ นงั สอื เลม่ น้ี เมอ่ื ตรวจดเู หน็ หนา้ อา่ น และอยใู่ นพวกเดยี วกบั จดหมาย เหตโุ หรทพ่ี มิ พไ์ วข้ า้ งหนา้ จงึ ไดค้ ดั สง่ ลงพมิ พต์ อ่ กนั มาอกี เรอ่ื ง ๑ จมน่ื กง่ ศลิ ปค์ นน้ี ชอ่ื ตวั ชอ่ื หรนุ่ เปน็ บตุ รพระอคั เนศรมว่ ง บา้ นอยทู่ ห่ี นา้ วดั ราชบรุ ณ เปน็ ผหู้ นง่ึ ซึ่งชอบศึกษาวิชาโหร จึงมีปฏิทินและเอาใจใส่จดหมายเหตุโดยวิธีที่อธิบายมาก่อนแล้ว จดมาตั้งแต่ ปมี ะโรง จลุ ศกั ราช ๑๒๑๘ พ.ศ. ๒๓๙๙ ในรชั กาลท่ี ๔ จนปฉี ลู จลุ ศกั ราช ๑๒๕๑ พ.ศ. ๒๔๓๒ ในรชั กาลท่ี ๕ รวมเบด็ เสรจ็ ๓๓ ปี นบั วา่ เปน็ ปมู ชน้ั ใหม่ กระบวนจดอยขู่ า้ งละเอยี ดลออ มที ง้ั เหตกุ ารณ์ บา้ นเมอื งและเหตกุ ารณใ์ นตวั แมท้ ส่ี ดุ ฟนั ของตวั หกั วนั ใดเวลาใด กจ็ ดลงไวใ้ นปฏทิ นิ ขา้ พเจา้ ไดใ้ หค้ ดั จดหมายเหตสุ ว่ นตวั จมน่ื กง่ ศลิ ปอ์ อกเสยี เอาไวแ้ ตท่ เ่ี ปน็ สาธารณพมิ พไ์ วใ้ นประชมุ พงศาวดารเลม่ น้ี จดหมายเหตใุ นปมู ของโหรกด็ ี ของจมน่ื กง่ ศลิ ปก์ ด็ ี ทา่ นผอู้ า่ นจะสงั เกตเหน็ วา่ พอใจจดเหตกุ ารณ์ ซึ่งเกิดในอากาศ ที่เขาจดเช่นนั้น ด้วยเขาเชื่อว่าเหตุการณ์ในอากาศอาจจะเป็นนิมิตให้เกิดเหตุร้ายดีแก่ หมมู่ นษุ ย์ เพราะฉะนน้ั เมอ่ื เหน็ เหตกุ ารณแ์ ปลกประหลาดอนั ใดมขี น้ึ ในอากาศจงึ จดไว้ คอยดวู า่ จะมี เหตอุ ยา่ งไรแกม่ นษุ ยบ์ า้ ง เมอ่ื ไมม่ กี แ็ ลว้ ไป สว่ นจดเหตกุ ารณท์ บ่ี งั เกดิ มใี นหมมู่ นษุ ยน์ น้ั เขารมู้ าอยา่ งไร และเขาเข้าใจความอย่างไร ก็จดลงตามรู้ตามคิดเห็นด้วยเหตุนี้ ความที่จดไว้ในหมายเหตุจะถูกต้อง เท็จจริงอย่างไรก็เป็นตามความรู้เห็นของผู้ที่จดนั้น จดหมายเหตุที่คัดมาพิมพ์ไว้ในสมุดเล่มนี้คัดมาตาม ทเ่ี ขาจดไว้ แมจ้ นถอ้ ยคำกม็ ไิ ดแ้ กไ้ ข เพอ่ื จะใหท้ า่ นทง้ั หลายเหน็ วา่ พวกทเ่ี ขาจดหมายเหตกุ นั แตก่ อ่ น เขาจดกนั อยา่ งไร กรรมการหอพระสมดุ ฯ ไมร่ บั ผดิ ชอบหรอื ยนื ยนั วา่ จดหมายเหตเุ หลา่ นถ้ี กู ตอ้ งทง้ั หมด ๓. พระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั พระจกั รพรรดพิ งษ(์ จาด)ตน้ หนงั สอื เปน็ คมั ภรี ล์ าน รวม ๑๗ ผกู นายจติ ร บตุ รพระจกั รพรรดพิ งษ์ (จาด) นำมาใหแ้ ก่หอพระสมดุ วชริ ญาณ เมอ่ื ปวี อก พ.ศ. ๒๔๕๑ อทุ ศิ ใหใ้ นนามของพระจกั รพรรดพิ งษ์ ผบู้ ดิ า เมอ่ื แรกไดม้ า ตรวจสอบดขู า้ งตอนตน้ เหน็ ตรงกบั พระราช พงศาวดารฉบับพิมพ์ ๒ เล่ม ซึ่งกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสทรงชำระ เข้าใจไปเสียว่าเป็นหนังสือ ฉบับเดียวกัน ครั้นนานมาข้าพเจ้าเอามาตรวจอ่านอีกครั้ง ๑ ถึงตอนปลาย เห็นเรื่องตั้งแต่ในแผ่นดิน สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช มแี ปลกกบั ฉบบั อน่ื ๆ ไมใ่ ชแ่ ปลกโดยมผี แู้ ทรกแซงเพม่ิ เตมิ หรอื แกไ้ ขของเดมิ แปลกในตัวเนื้อเรื่องแต่แต่งมาทีเดียว อ่านตรวจดูเห็นได้ว่าผิดก็มีหลายแห่ง ที่จะถูกต้องแต่ความแปลก ออกไปกวา่ ฉบบั อน่ื กม็ หี ลายแหง่ เหน็ วา่ ควรจะพมิ พอ์ อกใหป้ รากฏแกผ่ ศู้ กึ ษาโบราณคดี จงึ ไดเ้ อามาพมิ พ์
เรอ่ื งตำนานพระโกศและหบี ศพบรรดาศกั ด์ิ ๔๓๗ ไวใ้ นประชมุ พงศาวดารเลม่ น้ี แตต่ อนตน้ ทค่ี วามตอ้ งกบั ฉบบั กรมสมเดจ็ พระปรมานชุ ติ ชโิ นรส ไมจ่ ำตอ้ ง พิมพ์ใหม่ จึงได้ตัดออกเสีย คงพิมพ์แต่ตอนที่ความแปลกกัน นึกเสียดายอยู่หน่อยที่หนังสือพระราช พงศาวดารฉบบั พระจกั รพรรดพิ งษ์ ไดม้ าไมจ่ บ อยขู่ า้ งจะขาดเปน็ กระทอ่ นกระแทน่ แตถ่ งึ กระนน้ั กน็ า่ อา่ น ขา้ พเจา้ เชอ่ื วา่ ผศู้ กึ ษาโบราณคดคี งจะชอบ ๔. เรอ่ื งปฐมวงศ์ หนงั สอื เรอ่ื งนม้ี แี พรห่ ลายมาก ทพ่ี มิ พแ์ ลว้ กม็ หี อพระสมดุ ฯ รวบรวมฉบบั เขยี น มาได้ก็มาก ทุก ๆ ฉบับอ้างว่าเป็นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๔ ข้าพเจ้าได้อ่านตรวจดู พบหลายฉบับ ทเ่ี ชอ่ื แนว่ า่ มผี อู้ น่ื แตง่ แทรกแซงเพม่ิ เตมิ พระราชนพิ นธเ์ สยี มาก และมหี ลายฉบบั ทส่ี งสยั วา่ มผี อู้ น่ื แทรก แซงเพิ่มเติม พึ่งมาพบฉบับเดียวซึ่งเห็นว่าเป็นหลักฐานยิ่งกว่าฉบับอื่น ๆ ที่ได้พบมา หนังสือปฐมวงศ์ ฉบบั น้ี เปน็ ลายมอื อาลกั ษณเ์ ขยี นในสมดุ ดำ ๒ เลม่ เดมิ เปน็ ของสมเดจ็ เจา้ ฟา้ กรมพระยาบำราบปรปกั ษ์ รบั สง่ั วา่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหอ้ าลกั ษณค์ ดั พระราชทานไป สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์ เธอ ฯ ประทานหนังสือฉบับนี้แก่หม่อมเจ้าประภากรในกรมนั้น แต่ยังทรงผนวชอยู่วัดบวรนิเวศ หอพระ สมดุ ฯ ไดม้ าจากหมอ่ มเจา้ ประภากร อา่ นตรวจดสู ำนวนเหน็ เปน็ ใกลต้ อ่ พระราชนพิ นธย์ ง่ิ กวา่ ฉบบั อน่ื ๆ จะมีขาดเกินบ้างก็เป็นแต่ถ้อยคำที่ผู้เขียนพลั้งพลาด ไม่มีสำนวนแทรกแซงจึงเห็นควรจะพิมพ์รักษาไว้ และเปน็ ฉบบั สำหรบั สอบกบั ฉบบั อน่ื ๆ ทอ่ี า้ งวา่ เปน็ หนงั สอื เรอ่ื งปฐมวงศด์ ว้ ยกนั ตำนานพระราชนพิ นธเ์ รอ่ื งปฐมวงศน์ ้ี ขา้ พเจา้ ยงั ไมท่ ราบความแนช่ ดั วา่ ทรงพระราชปรารภเหตอุ นั ใด จงึ ทรงพระราชนพิ นธห์ นงั สอื เรอ่ื งนแ้ี ละทรงพระราชนพิ นธเ์ มอ่ื ใด มหี นงั สอื ปฐมวงศ์ ทพ่ี มิ พไ์ วใ้ นหนงั สอื วชิรญาณ เมื่อปีระกา จ.ศ. ๑๒๔๗ ฉบับ ๑ อ้างว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ พระศรสี นุ ทรโวหาร (ฟกั สาลกั ษณ)์ จดหมายเหตตุ น้ พระบรมราชวงศไ์ วส้ ำหรบั แผน่ ดนิ เมอ่ื ณ วนั พฤหสั บดี เดอื น ๑๑ ขน้ึ ๕ คำ่ ปวี อก จ.ศ. ๑๒๒๒ ในหนงั สอื ปฐมวงศฉ์ บบั นน้ั ทางสำนวนกเ็ ปน็ พระราชนพิ นธ์ มใิ ชแ่ ตง่ เปน็ สำนวนผรู้ บั รบั สง่ั ความขา้ งตอนตน้ กลา่ วเรม่ิ ดว้ ยพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก เดนิ ทำนองความคลา้ ยเรอ่ื งปฐมวงศ์ ลงมาจบตอน ๑ แลว้ ขน้ึ ตอนใหมค่ ลา้ ยกบั ความในเรอ่ื ง ปฐมวงศฉ์ บบั ทพ่ี มิ พใ์ นสมดุ เลม่ น้ี เหน็ ไดว้ า่ เปน็ หนงั สอื ๒ เรอ่ื งดว้ ยมคี วามซำ้ กนั หลายแหง่ และตรง หวั ตอ่ บอกจบเรอ่ื งเกา่ และขน้ึ เรอ่ื งใหมแ่ ลเหน็ ไดช้ ดั เจน เหตใุ ดเรยี กวา่ เรอ่ื งปฐมวงศ ์ จงึ เปน็ หนงั สอื ๒ เรอ่ื ง เช่นนั้น ข้าพเจ้าก็ยังคิดไม่เห็น และไม่พร้อมที่จะวินิจฉัยในเวลานี้ จะพิมพ์ไว้ในเล่มนี้แต่ฉบับซึ่งเห็น วา่ ดที ส่ี ดุ เพอ่ื ใหป้ รากฏแกท่ า่ นทง้ั หลาย ขอใหช้ ว่ ยกนั พเิ คราะหต์ อ่ ไป
๔๓๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ๕. เรอ่ื งตำนานพระโกศนน้ั เดมิ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระสมมตอมรพนั ธ์ุ แตย่ งั ดำรงตำแหนง่ เปน็ สภานายกหอพระสมดุ สำหรบั พระนคร ทรงคน้ พบบญั ชพี ระนามทไ่ี ดท้ รงพระโกศทองใหญม่ จี ดไวใ้ นหอ้ ง อาลกั ษณ์ มรี ายพระนามตง้ั แตร่ ชั กาลท่ี ๑ ลงมาจนตน้ รชั กาลท่ี ๔ กรมพระสมมต ฯ ทรงเรยี บเรยี งเพม่ิ เตมิ ต่อมาจนถึงรัชกาลปัจจุบันนี้ ประทานไว้ในหอพระสมุด ฯ ข้าพเจ้าเห็นสมควรจะพิมพ์บัญชีนี้ให้ปรากฏ ดว้ ยเปน็ ของโจษกนั อยเู่ นอื ง ๆ วา่ พระศพเจา้ นายพระองคไ์ หนไดท้ รงพระโกศทองบา้ ง ครน้ั เมอ่ื เอาบญั ชี ของกรมพระสมมต ฯ มาตรวจดู เกิดความคิดขึ้นว่า ควรจะเรียงตำนานพระโกศอื่น ๆ ขึ้นด้วย พิมพ์รักษาไว้อย่าให้ความรู้ในเรื่องพระโกศสูญเสีย ข้าพเจ้าจึงขยายเรื่องเรียบเรียงเป็นตำนานพระโกศ เมอ่ื แตง่ แลว้ สง่ ไปถวายสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระนรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ ขอใหท้ รงชว่ ยตรวจ แก้ให้เรียบร้อย ได้ทรงพระอุตสาหเสด็จไปตรวจดูโดยทางฝีมือช่าง แล้วทรงแก้ไขเรื่องตำนานพระโกศที่ ข้าพเจ้าเรียงไป สำเร็จรูปเป็นอย่างที่พิมพ์ไว้ในประชุมพงศาวดารเล่มนี้ เรื่องตำนานพระโกศ จึงเป็น เรอ่ื งทไ่ี ดแ้ ตง่ ดว้ ยกนั ๓ คน ดงั จา่ หนา้ บอกไวใ้ นตอนตำนานดว้ ยประการฉะน้ี
เรอ่ื งตำนานพระโกศและหบี ศพบรรดาศกั ด์ิ ๔๓๙ เรอ่ื งตำนานพระโกศ และ หบี ศพบรรดาศกั ด์ิ ตำนานพระโกศ พระโกศที่ทรงพระบรมศพ และพระศพเจ้านาย กับโกศพระราชทานสำหรับศพข้าราชการผู้มี บรรดาศกั ดส์ิ งู ซง่ึ มอี ยใู่ นเวลาน้ี ๑๔ อยา่ ง โดยเรยี งลำดบั ยศเปน็ ดงั น้ี ๑ พระโกศทองใหญ่ ๒ พระโกศทองรองทรง นบั เสมอพระโกศทองใหญ่ ๓ พระโกศทองเลก็ ๔ พระโกศทองนอ้ ย ๕ พระโกศกดุ น่ั ใหญ่ ๖ พระโกศกดุ น่ั นอ้ ย ๗ พระโกศมณฑปใหญ่ ๘ พระโกศมณฑปนอ้ ย ๙ พระโกศไมส้ บิ สอง ๑๐ พระโกศพระองคเ์ จา้ เดมิ เรยี กวา่ โกศลงั กา ๑๑ โกศราชนิ กิ ลุ ๑๒ โกศเกราะ ๑๓ โกศแปดเหลย่ี ม ๑๔ โกศโถ เรอ่ื งตำนานพระโกศทง้ั ปวงน้ี มปี รากฏในหนงั สอื พระราชพงศาวดารบา้ ง บอกเลา่ ตอ่ กนั สบื มาบา้ ง ตอ้ งสนั นษิ ฐานเอาบา้ ง มเี นอ้ื ความดงั แสดงตอ่ ไปน้ี เรยี งลำดบั ตามสมยั ทส่ี รา้ ง ท่ี ๑ โกศแปดเหลย่ี ม มอี ยู่ ๔ โกศดว้ ยกนั แตโ่ กศหนง่ึ นน้ั เกา่ มากไมท่ ราบตำนานวา่ สรา้ งครง้ั ไร สงั เกตทำนองลวดลายเหน็ เปน็ อยา่ งเดยี วกบั ชา่ งครง้ั รชั กาลท่ี ๑ แตฝ่ มี อื ทำนน้ั หยาบมาก ถา้ จะกะเอาวา่ สร้างแต่ครั้งกรุงธนบุรี ก็เห็นว่าจะเป็นการสมควร ด้วยเหตุข้อ ๑ ยุคนั้นเวลาว่าง การทัพศึกมีน้อย งานพระเมรตุ อ้ งรบี ชงิ ทำในเวลาวา่ งอนั เปน็ เวลาสน้ั จงึ ตอ้ งเรง่ ทำเอาแตพ่ อใหใ้ ชไ้ ดท้ นั งาน จะใหง้ ดงาม ถงึ ทไ่ี มไ่ ด้ ขอ้ ๒ โกศแปดเหลย่ี มน้ี เปน็ อยา่ งเดยี วกนั กบั พระโกศกดุ น่ั อนั มตี ำนานปรากฏวา่ สรา้ งเปน็
๔๔๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ครั้งแรกในรัชกาลที่ ๑ โกศแปดเหลี่ยมต้องมีอยู่ก่อนแล้ว พระโกศกุดั่นทำเอาอย่างจึงจะเป็นได้ ซึ่งโกศแปดเหลี่ยมจะทำทีหลัง เอาอย่างพระโกศกุดั่นนั้นเป็นไปไม่ได้ ใช้ประกอบศพที่ต่ำศักดิ์เป็นการ เทยี มสงู เขา้ ใจวา่ โกศแปดเหลย่ี มนเ้ี กา่ แกก่ วา่ โกศชนดิ อน่ื หมด ดว้ ยยอดเปน็ หลงั คา คงเปน็ แบบแรก ทแ่ี ปลงมาจากเหมตง้ั แตค่ รง้ั กรงุ เกา่ ยงั อกี ๓ โกศนน้ั โกศหนง่ึ กไ็ มท่ ราบแนว่ า่ สรา้ งเมอ่ื ไร แตส่ งั เกต ฝมี อื เหน็ วา่ คงทำราวรชั กาลท่ี ๓ หรอื ท่ี ๔ เหตทุ ท่ี ำขน้ึ อกี กค็ งเปน็ ดว้ ยโกศเดยี วไมพ่ อใช้ อกี โกศหนง่ึ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ทำขึ้นในรัชกาลที่ ๕ ใช้ประกอบศพหม่อมแม้น ในสมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมพระยา ภาณพุ นั ธวุ งศว์ รเดช เปน็ คราวแรก ดว้ ยประสงคใ์ หง้ ามสะอาด เพราะโกศเกา่ ใชม้ านานยบั เยนิ มาก อกี โกศหนง่ึ กรมหลวงสรรพสาตรศภุ กจิ ขอพระบรมราชานญุ าตทำถวายในรชั กาลน้ี ใชป้ ระกอบศพเจา้ จอม มารดาสงั วาล เปน็ ประเดมิ ดว้ ยประสงคค์ วามงามเชน่ เดยี วกนั ที่ ๒ โกศโถ มีอยู่ ๒ โกศ โกศหนึ่งนั้นเก่ามาก ลวดลายและฝีมือเหมือนกับโกศแปดเหลี่ยม ใบเก่า เห็นได้ว่าทำรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่ปรากฏตำนานว่าสร้างเมื่อไร ได้ยินแต่กล่าวกันว่าเป็นโกศ เกา่ แก่ ใชม้ าแตใ่ นรชั กาลท่ี ๑ แลว้ คำกลา่ วเชน่ นป้ี ระกอบกบั ฝมี อื ทท่ี ำรนุ่ เดยี วกบั โกศแปดเหลย่ี ม ชกั ให้ นา่ เชื่อขึ้นอีกว่าโกศแปดเหลี่ยมและโกศโถทั้ง ๒ อย่างนี้ สร้างแต่ครั้งกรุงธนบุรี เหตุใดจึงเรียกโกศโถ ก็เข้าใจไม่ได้ รูปก็ไม่เห็นเหมือนโถ ทรงอย่างโกศแปดเหลี่ยมนั้นเอง แต่เหลากลมยอดเป็นทรงมงกุฎ เหมือนชฎาละคอนคงทำทีหลังโกศแปดเหลี่ยม และเห็นจะใช้เป็นยศสูงกว่าโกศแปดเหลี่ยม ทุกวันนี้ ใชส้ ำหรบั พระราชทานพระราชาคณะและขา้ ราชการทม่ี บี รรดาศกั ด์ไิ ดร้ บั พระราชทานโกศเปน็ ชน้ั ตน้ อกี โกศ หนึ่งเป็นของทำเติมขึ้นใหม่ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอลังการ เป็นผู้ทำ โดยรับสั่งสมเด็จพระเจ้า บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมพระยาบำราบปรปกั ษ์ เมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๕ เพราะโกศเดยี วไมพ่ อใช้ ท่ี ๓ พระโกศกดุ น่ั ๒ พระโกศ สรา้ งในรชั กาลท่ี ๑ เมอ่ื ปมี ะแม จลุ ศกั ราช ๑๑๖๑ (พ.ศ. ๒๓๔๒) ทรงพระศพสมเดจ็ พระพน่ี างเธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยาเทพสดุ าวดี และเจา้ ฟา้ กรมพระศรสี ดุ ารกั ษ์ เมอ่ื ทรง พระศพสมเดจ็ พระพน่ี าง หมุ้ ทองคำทง้ั ๒ พระโกศ ตามคำทว่ี า่ กนั วา่ พระโกศกดุ น่ั นน้ั ชำรดุ หายไปเสยี องคห์ นง่ึ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมพระยาบำราบปรปกั ษ์ ทรงคน้ หาไดม้ าแตต่ วั พระโกศ จึงทรงทำฝาและฐานใหม่ประกอบเข้า พระโกศองค์นี้เรียกว่า “ กุดั่นใหญ่ ” ฝีมือทำซึ่งปรากฏอยู่ที่ กาบพระโกศนน้ั งามอยา่ งยง่ิ สมกบั ทม่ี ตี ำนานวา่ เปน็ ของทำในรชั กาลท่ี๑ อกี องคห์ นง่ึ เรยี กวา่ “ กดุ น่ั นอ้ ย ” องคน์ ้ี ทว่ี า่ ไมไ่ ดช้ ำรดุ สญู หาย แตด่ ทู ำนองลายในกาบไมค่ อ่ ยเทยี มทนั เสมอกนั กบั พระโกศกดุ น่ั ใหญ่ อนั มตี ำนาน วา่ ทำพรอ้ มกนั อาจจะเปน็ ตวั แทนเสยี แลว้ กไ็ ด้ พระโกศทง้ั ๒ องคน์ เ้ี กยี รตยิ ศใชต้ า่ งกนั ทกุ วนั นถ้ี อื วา่
เรอ่ื งตำนานพระโกศและหบี ศพบรรดาศกั ด์ิ ๔๔๑ พระโกศกุดั่นใหญ่เกียรติยศสูงกว่าพระโกศกุดั่นน้อย และพระโกศกุดั่นน้อยนี้ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ ไดท้ รงสรา้ งขน้ึ เมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๕ อกี องคห์ นง่ึ ท่ี ๔ พระโกศไมส้ บิ สอง มตี ำนานวา่ สรา้ งในรชั กาลท่ี ๑ เมอ่ื ปกี นุ จลุ ศกั ราช ๑๑๖๕ (พ.ศ. ๒๓๔๖ ) ทรงพระศพกรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สงิ หนาท ครง้ั นน้ั หมุ้ ทองคำ ในบดั นพ้ี ระโกศไมส้ บิ สอง มี ๒ องค์ วา่ เปน็ ของเกา่ ๑ องค์ เปน็ ของสรา้ งเตมิ ขน้ึ ใหมอ่ กี ๑ องค์ แตไ่ มไ่ ดค้ วามวา่ สรา้ งเตมิ ขน้ึ เมอ่ื ไร และทั้ง ๒ องค์นั้นรูปทรงก็ไม่เหมือนกัน องค์หนึ่งยอดเป็นทรงมงกุฎ อีกองค์หนึ่งยอดเดิมเป็นทรงปริก ต่อแก้เป็นทรงมงกุฎ เห็นได้ว่าทำใช้ต่างคราวต่างชั้นมิได้ถ่ายอย่างออกจากกัน และมิได้มีประสงค์จะใช้ แทนกันหรือตั้งคู่กัน แต่หากคราวใดคราวหนึ่งต้องการตั้งคู่จึงจะต่อยอดขึ้นพอให้ดูเทียมทันกันไปได้ สงั เกตดรู ปู ทรงลวดลายทง้ั ๒ องค์ ไมเ่ หน็ สมเปน็ ฝมี อื ชา่ งในรชั กาลท่ี ๑ สกั องคเ์ ดยี ว ที่ ๕ พระโกศทองใหญ่ สร้างในรัชกาลที่ ๑ เมื่อปีมะโรง จุลศักราช ๑๑๗๐ (พ.ศ.๒๓๕๑) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดให้รื้อทองที่หุ้มพระโกศกุดั่นมาทำพระโกศทองใหญ่ขึ้นไว้ สำหรบั พระบรมศพของพระองค์ เมอ่ื ทำพระโกศองคน์ ส้ี ำเรจ็ แลว้ โปรดใหเ้ อาเขา้ ไปตง้ั ถวายทอดพระเนตร ในพระทน่ี ง่ั ไพศาลทกั ษณิ ในปนี น้ั สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมหลวงศรสี นุ ทรเทพ สน้ิ พระชนม์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระอาลัยมาก และจะใคร่ทอดพระเนตรพระโกศทองใหญ่ ออกพระเมรุตั้งพระเบญจา จึงโปรดให้เชิญพระโกศทองใหญ่ไปประกอบพระศพ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมหลวงศรสี นุ ทรเทพเปน็ ครง้ั แรก จงึ เลยเปน็ ประเพณใี นรชั กาลตอ่ มา ทพ่ี ระราชทานพระโกศ ทองใหญใ่ หท้ รงพระศพอน่ื เปน็ พเิ ศษนอกจากพระบรมศพได้ มบี ญั ชจี ดไวใ้ นหอ้ งพระอาลกั ษณ์ ลงมาจนถงึ รชั กาลท่ี ๔ กรมพระสมมตอมรพนั ธพ์ุ บบญั ชนี น้ั ไดท้ รงจดตอ่ มาอกี ชน้ั หนง่ึ และไดจ้ ดตอ่ เมอ่ื จะพมิ พอ์ กี จนถงึ ปจั จบุ นั มอี ยา่ งน้ี ในรชั กาลท่ี ๑ ๑ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงศรสี นุ ทรเทพ ในรชั กาลท่ี ๒ ๒ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ๓ สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาเสนานรุ กั ษ์ ๔ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สกุ เดมิ เปน็ สมเดจ็ พระญาณสงั วร อยูว่ ดั ราชสทิ ธาราม) เปน็ พระอาจารย์ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั
๔๔๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ๕ พระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงพทิ กั ษมนตรี ๖ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ประไพวดกี รมหลวงเทพยวดี ในรชั กาลท่ี ๓ ๗ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ๘ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื สรุ นิ ทรรกั ษ์ ๙ พระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมขนุ อศิ รานรุ กั ษ์ ๑๐ สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาศกั ดพิ ลเสพ ๑๑ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ลกั ขณานคุ ณุ ๑๒ สมเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทรา บรมราชนิ ี ๑๓ สมเดจ็ พระศรสี ลุ าลยั ๑๔ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงเทพพลภกั ด์ิ ๑๕ สมเดจ็ พระบรมราชมาตามหยั กาเธอ กรมหมน่ื มาตยาพทิ กั ษ์ ๑๖ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื อปั สรสดุ าเทพ ในรชั กาลท่ี ๔ ๑๗ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ๑๘ สมเดจ็ พระนางโสมนสั วฒั นาวดี ๑๙ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส ๒๐ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระพพิ ธิ โภคภเู บนทร์ เมอ่ื ชกั พระศพ ๒๑ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดศิ ร ๒๒ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงมหศิ วรนิ ทรามเรศ เมอ่ื ชกั พระศพ ๒๓ สมเดจ็ พระเทพศริ นิ ทรา บรมราชนิ ี ๒๔ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื วษิ ณนุ าถนภิ าธร พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระพทิ กั ษเทเวศร์ จะพระราชทานพระโกศทองใหญ่ แตข่ ดั ขอ้ งดว้ ย กรมพระพิทักษ์ ฯ พระรูปใหญ่โต ต้องต่อลองสี่เหลี่ยมทรงพระศพ และสร้างพระโกศมณฑปประกอบ จงึ ทรงพระโกศมณฑปตลอดงาน
เรอ่ื งตำนานพระโกศและหบี ศพบรรดาศกั ด์ิ ๔๔๓ ๒๕ พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ๒๖ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื มเหศวรศวิ วลิ าส ในรชั กาลท่ี ๕ ๒๗ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ๒๘ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงวงศาธริ าชสนทิ เมอ่ื ชกั พระศพ ๒๙ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระเทเวศรว์ ชั รนิ ทร์ เมอ่ื ชกั พระศพ ๓๐ สมเดจ็ พระนางเจา้ สนุ นั ทากมุ ารรี ตั น์ ๓๑ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอเจา้ ฟา้ กรมพระเทพนารรี ตั น์ ๓๒ พระอคั รชายาเธอ พระองคเ์ จา้ เสาวภาคนารรี ตั น์ ๓๓ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมพระยาบำราบปรปกั ษ์ ๓๔ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ ๓๕ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ มหาวชริ ณุ หศิ สยามมกฎุ ราชกมุ าร ๓๖ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาสดุ ารตั นราชประยรู ๓๗ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมพระจกั รพรรดพิ งศ์ ๓๘ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมขนุ ศรธี รรมราชธำรงฤทธ์ิ ๓๙ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ศริ าภรณโ์ สภณ ในรชั กาลท่ี ๖ ๔๐ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ๔๑ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงวรเสรฐสดุ า ๔๒ พระอคั รชายาเธอ ฯ กรมขนุ อรรควรราชกลั ยา ๔๓ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมขนุ พจิ ติ รเจษฎจ์ นั ทร์ ๔๔ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมขนุ สวรรคโลกลกั ษณวดี ๔๕ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงนครไชยศรสี รุ เดช เมอ่ื ชกั พระศพ ๔๖ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระสมมตอมรพนั ธ์ุ เมอ่ื ชกั พระศพ ๔๗ สมเดจ็ พระศรพี ชั รนิ ทรา บรมราชนิ นี าถ ๔๘ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมหลวงพษิ ณโุ ลกประชานาถ
๔๔๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ๔๙ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส เมอ่ื ออกพระเมรุ ๕๐ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงศรรี ตั นโกสนิ ทร เมอ่ื ออกพระเมรุ ๕๑ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมขนุ เพช็ รบรู ณอ์ นิ ทราชยั เมอ่ื ออกพระเมรุ ๕๒ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเทวะวงศว์ โรปการ เมอ่ื ออกพระเมรุ ๕๓ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมหลวงนครราชสมี า เมอ่ื ออกพระเมรุ ๕๔ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมขนุ ศรสี ชั นาลยั สรุ กญั ญา เมอ่ื ออกพระเมรุ ในรชั กาลท่ี ๗ * ๕๕ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ๕๖ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระนเรศรว์ รฤทธ์ิ เมอ่ื ออกพระเมรุ ๕๗ สมเดจ็ พระนางเจา้ สขุ มุ าลยมารศรี พระอคั รราชเทวี ๕๘ สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุ วงศว์ รเดช ๕๙ พระวมิ าดาเธอ กรมพระสทุ ธาสนิ นี าฏ ปยิ มหาราชปดวิ รดั า เมอ่ื ออกพระเมรุ ๖๐ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ มหดิ ลอดลุ เดช กรมหลวงสงขลานครนิ ทร์ ๑ เมอ่ื ออกพระเมรุ ๖๑ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมหลวงลพบรุ รี าเมศวร์ เมอ่ื ออกพระเมรุ ในรชั กาลท่ี ๘ ๖๒ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมขนุ อทู่ องเขตขตั ตยิ นารี เมอ่ื ออกพระเมรุ ๖๓ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระกำแพงเพชรอคั รโยธนิ เมอ่ื ออกพระเมรุ ๖๔ สมเดจ็ พระราชปติ จุ ฉา เจา้ ฟา้ วไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบรุ สี ริ นิ ธร ในรชั กาลท่ี ๙ ๖๕ พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ล ๖๖ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ เมอ่ื ออกพระเมรุ * บญั ชตี อ่ ไปน้ี จดเพม่ิ เตมิ ขน้ึ ใหม่ ๑ ในรชั กาลท่ี ๙ ทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระมหติ ลาธเิ บศร อดลุ ยเดชวกิ รม พระบรมราชชนก
เรอ่ื งตำนานพระโกศและหบี ศพบรรดาศกั ด์ิ ๔๔๕ ๖๗ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมพระนครสวรรคว์ รพนิ ติ เมอ่ื ออกพระเมรุ ๖๘ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาชยั นาทนเรนทร เมอ่ื ออกพระเมรุ ๖๙ สมเดจ็ พระศรสี วรนิ ทริ า บรมราชเทวี พระพนั วสั สาอยั ยกิ าเจา้ ๗๐ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์ พระราชอปุ ชั ยาจารย์ เมอ่ื ออกพระเมรุ ๗๑ สมเดจ็ พระนางเจา้ รำไพพรรณี บรมราชนิ ี พระอคั รมเหสี ๗๒ สมเดจ็ พระศรนี ครนิ ทราบรมราชชนนี ท่ี ๖ พระโกศพระองคเ์ จา้ * เรยี กกนั แตแ่ รกวา่ โกศลงั กา พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชดำรสิ รา้ งขน้ึ ทรงพระศพสมเดจ็ เจา้ ฟา้ อาภรณ์ แตค่ รง้ั ยงั ทรงผนวช เปน็ ลองสเ่ี หลย่ี มหมุ้ ผา้ ขาว ยอดเปน็ ฉตั รระบายผา้ ขาว เมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๔ โปรด ฯ ใหใ้ ช้ ทรงพระศพพระเจา้ ลกู เธอทย่ี งั ทรงพระเยาว์ ครน้ั มีพระโกศมณฑปนอ้ ย พระโกศนใ้ี ชส้ ำหรบั ทรงพระศพพระองคเ์ จา้ วงั หนา้ และพระองคเ์ จา้ ตง้ั มาถงึ ในรัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า ฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ จึงทรงคิดทำประกอบ นอกขึ้น มีรูปทรงคงเดิม แปลงแต่ยอดเป็นทรงชฎาพอก ต่อมากรมหมื่นปราบปรปักษ์ทำเติมขึ้นใหม่ อกี พระโกศหนง่ึ จงึ มอี ยใู่ นเวลาน้ี ๒ พระโกศดว้ ยกนั ท่ี ๗ พระโกศทองนอ้ ย พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหก้ รมพระเทเวศรว์ ชั รนิ ทร์ สร้างขึ้นตามแบบอย่างพระโกศทองใหญ่เมื่อในรัชกาลที่ ๔ ปีกุน จุลศักราช ๑๒๑๓ (พ.ศ. ๒๓๙๔) สำหรับทรงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อผลัดพระโกศทองใหญ่ไปแต่งก่อนออกงาน พระเมรุ เมอ่ื ทรงพระบรมศพหรอื ตง้ั งานพระศพคกู่ บั พระโกศทองใหญแ่ ลว้ หมุ้ ทองคำ ถา้ ใชง้ านอน่ื ไมห่ มุ้ กรมพระสมมตอมรพนั ธ์ุ ทรงจดคราวทไ่ี ดห้ มุ้ ทองคำไว้ มอี ยใู่ นทา้ ยบญั ชพี ระโกศทองใหญ่ อยา่ งน้ี ทรงพระโกศทองน้อยหุ้มทองชั่วคราว ในรชั กาลท่ี ๔ ๑ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ในรชั กาลท่ี ๕ ๒ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ๓ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรรณาภรณเ์ พช็ รรตั น์ ๑ ปัจจุบันเรียกว่า พระโกศราชวงศ์
๔๔๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระโกศทองน้อยนี้ เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล ณ อยุธยา ) สร้างเมื่อ ในรชั กาลท่ี ๕ อกี องคห์ นง่ึ ท่ี ๘ พระโกศมณฑปนอ้ ย พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหส้ มเดจ็ เจา้ พระยาบรม มหาพิชัยญาติสร้างขึ้นตั้งแต่ในรัชกาลที่ ๔ สำหรับทรงพระศพพระเจ้าลูกเธอที่ยังทรงพระเยาว์ เมื่อครั้ง พระศพสมเดจ็ เจา้ ฟา้ ฯ กรมหลวงวสิ ทุ ธกิ ระษตั รยิ ์ พระโกศนห้ี มุ้ ทองคำเฉพาะงาน ท่ี ๙ พระโกศมณฑปใหญ่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหก้ รมขนุ ราชสหี วกิ รม คิดอย่างสร้างขึ้นแต่ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อปีกุน จุลศักราช ๑๒๒๕ (พ.ศ.๒๔๐๖ ) เอาแบบมาแต่พระโกศ มณฑปน้อย ทรงพระศพกรมพระพิทักษเทเวศร์ก่อน ด้วยกรมพระพิทักษเทเวศร์ พระรูปใหญ่โต พระศพลงลองพระโกศสามญั ไมไ่ ด้ ตอ้ งทำลองสเ่ี หลย่ี มขน้ึ โดยเฉพาะ จงึ โปรดใหส้ รา้ งพระโกศมณฑปน้ี สำหรับประกอบลองสี่เหลี่ยม พระโกศมณฑปใหญ่นี้ต่อมาสร้างขึ้นอีกองค์หนึ่ง แต่จะสร้างขึ้นเมื่อใด ไมท่ ราบแน่ ท่ี ๑๐ โกศเกราะ สรา้ งขน้ึ แตใ่ นรชั กาลท่ี ๔ เมอ่ื ปกี นุ จลุ ศกั ราช ๑๒๒๕ ( พ.ศ. ๒๔๐๖ ) สำหรบั ศพ เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ด้วยท่านอ้วน ศพลงลองสามัญไม่ได้ ต้องทำลองสี่เหลี่ยม จงึ โปรดใหท้ ำโกศขน้ึ ประกอบทเ่ี รยี กวา่ “ โกศเกราะ ” เพราะลายสลกั เปน็ เกราะรดั ท่ี ๑๑ โกศราชนิ กิ ลุ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหก้ รมขนุ ราชสหี วกิ รมสรา้ งขน้ึ แตใ่ นรชั กาลท่ี ๔ เมอ่ื ปขี าล จลุ ศกั ราช ๑๒๒๘ (พ.ศ. ๒๔๐๙ ) พระราชทานใหป้ ระกอบศพพระยามนตรี สรุ ยิ วงศ์ (ชมุ่ บนุ นาค ) กอ่ นผอู้ น่ื ท่ี ๑๒ พระโกศทองเลก็ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดให้กรมหมน่ื ปราบปรปกั ษ์ สรา้ งขน้ึ ในรชั กาลท่ี ๕ เมอ่ื ปกี นุ จลุ ศกั ราช ๑๒๔๙ (พ.ศ. ๒๔๓๐) ทรงพระศพสมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ ศริ ริ าชกกธุ ภณั ฑ์ เปน็ ทแี รก แลว้ ไดใ้ ชท้ รงพระศพเจา้ นายตอ่ มา มบี ญั ชกี รมพระสมมตอมรพนั ธ์ุ ทรงจดไวใ้ นทา้ ยบญั ชพี ระโกศทองใหญอ่ ยา่ งน้ี พระโกศทองเล็ก ๑ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ ศริ ริ าชกกธุ ภณั ฑ์ ๒ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ ตรเี พช็ รตุ มธ์ ำรง
เรอ่ื งตำนานพระโกศและหบี ศพบรรดาศกั ด์ิ ๔๔๗ ๓ เจา้ ฟา้ นภาจรจำรสั ศรี ๔ กรมขนุ สพุ รรณภาควดี ๕ พระองคเ์ จา้ อรุ พุ งศร์ ชั สมโภช ที่ ๑๓ พระโกศทองรองทรง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้กรมหมื่น ปราบปรปักษ์ สร้างขึ้นแต่ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อปีชวด รัตนโกสินทรศก ๑๑๙ (พ.ศ. ๒๔๔๓ ) พระโกศองค์นี้ นบั เหมอื นกบั พระโกศทองใหญ่ สำหรบั ใชแ้ ทนพระโกศทองนอ้ ย เวลาทจ่ี ะตอ้ งหมุ้ ทองคำ เพอ่ื จะไมใ่ หต้ อ้ ง หมุ้ เขา้ และรอ้ื ออกบอ่ ย ๆ นบั ศกั ดเ์ิ สมอพระโกศทองใหญ่ มบี ญั ชคี ราวทไ่ี ดใ้ ชท้ รงพระบรมศพ และพระศพกรมพระสมมตอมรพนั ธ์ุ ทรงจดไวท้ า้ ยบญั ชี พระโกศทองใหญอ่ ยา่ งน้ี พระโกศทองรองทรง ในรชั กาลท่ี ๕ ๑ กรมสมเดจ็ พระสดุ ารตั นราชประยรู ๒ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ กรมพระจกั รพรรดพิ งษ์ ๓ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ ศริ าภรณโ์ สภณ ในรชั กาลท่ี ๖ ๔ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เวลาแตง่ พระโกศทองใหญ่ ๕ พระอคั รชายาเธอ พระองคเ์ จา้ อบุ ลรตั นนารนี าค ๖ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ กรมขนุ สวรรคโลกลกั ษณวดี ยังมีเครื่องประดับสำหรับพระโกศอีกหลายอย่าง เช่น พระโกศทองใหญ่ มีดอกไม้เพชรเป็น พมุ่ ขา้ วบณิ ฑ์ ดอกไมไ้ หว เฟอ่ื ง ดอกไมเ้ อว ของเหลา่ นป้ี ระดบั ครบทกุ อยา่ งแตพ่ ระบรมศพ ถา้ พระราชทาน ให้ทรงพระศพเจ้านายโดยปรกติไม่มีเครื่องประดับ ถ้าพระราชทานเครื่องประดับด้วย มีเป็นชั้น ๆ กัน ชั้นต้นประดับพุ่มข้าวบิณฑ์กับเฟื่อง ชั้นสูงรองแต่พระบรมศพประดับดอกไม้เอวด้วยอีกอย่างหนึ่ง พระโกศเจา้ นายกม็ เี ครอ่ื งประดบั คอื ยอดพมุ่ ขา้ วบณิ ฑแ์ ละเฟอ่ื ง ตอ่ ทท่ี รงบรรดาศกั ดส์ิ งู จงึ ใชเ้ ครอ่ื งประดบั ถา้ พระราชทานใหท้ รงศพเจา้ นายชน้ั ตำ่ ลงมาหรอื ขนุ นาง ไมใ่ ชเ้ ครอ่ื งประดบั
๔๔๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระโกศทองใหญ่ พระโกศทองเล็ก พระโกศทองน้อย พระโกศกุดั่นใหญ่
เรอ่ื งตำนานพระโกศและหบี ศพบรรดาศกั ด์ิ ๔๔๙ พระโกศกุดั่นน้อย พระโกศมณฑปใหญ่ พระโกศมณฑปน้อย พระโกศไม้สิบสอง
๔๕๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระโกศราชวงศ์ โกศราชินิกุล โกศเกราะ โกศแปดเหลี่ยม
เรอ่ื งตำนานพระโกศและหบี ศพบรรดาศกั ด์ิ ๔๕๑ โกศโถฝาทรงมงกุฎ ลองในพระโกศ ลองในพระโกศ
๔๕๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระบรมโกศ พระบรมศพสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
เรอ่ื งตำนานพระโกศและหบี ศพบรรดาศกั ด์ิ ๔๕๓ พระโกศทองน้อย พระศพสมเด็จเจ้าฟ้ามาลินีนพดารา กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา พระบรมโกศ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระโกศพระศพสมเด็จพระปิยะมาวดี (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม)
๔๕๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ตำนานหีบศพบรรดาศักดิ์ นอกจากโกศตา่ ง ๆ ยงั มีหบี หลวงสำหรบั พระราชทานรองศพขา้ ราชการโดยชน้ั ยศบรรดาศกั ดเ์ิ ปน็ อนั ดบั กนั มกี ำหนดศกั ดเ์ิ ปน็ ๓ ชน้ั คอื ชน้ั ท่ี ๑ “ หบี ทอง ” เดมิ เปน็ หบี ทองทบึ อยา่ งเดยี ว แตภ่ ายหลงั ทำขน้ึ เมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๕ อกี ๓ อยา่ ง เรยี กหบี ทองทรายอยา่ ง ๑ หบี ทองเครอ่ื งองั หงนุ่ อยา่ ง ๑ กบั หบี ทองลายกา้ นขดอกี อยา่ ง ๑ นบั ศกั ดเ์ิ สมอกนั ทง้ั ๔ อยา่ ง เปน็ หบี ชน้ั สงู สดุ รองโกศลงมา ชน้ั ท่ี ๒ “ หบี กดุ น่ั ” ของเกา่ มี ๒ อยา่ ง เรยี กวา่ หบี ลายทรงขา้ วบณิ ฑอ์ ยา่ ง ๑ หบี ลายมงั กรอยา่ ง ๑ ทำเตมิ ขน้ึ ใหมเ่ มอ่ื ในรชั กาลท่ี ๔ เรยี กวา่ หบี กดุ น่ั ซง่ึ ควรจะมคี ำตอ่ วา่ ลายเทศอกี อยา่ ง ๑ ชน้ั ท่ี ๓ “ หบี เชงิ ชาย ” มอี ยา่ งเดยี ว ตำนานหบี ทง้ั ปวงน้ี ไมพ่ บจดหมายเหตมุ แี หง่ ใดเลย ทราบไดแ้ ตด่ ว้ ยคำบอกเลา่ กบั สงั เกตตวั หบี สนั นษิ ฐานประกอบ คงไดต้ ำนานดงั จะกลา่ วตอ่ ไปนเ้ี รยี งตามสมยั ทส่ี รา้ ง ที่ ๑ หีบทองทึบ เข้าใจว่าหีบชนิดนี้มีมานานตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และทำใช้สืบประเพณีมาจน ทกุ วนั น้ี แตเ่ ดย๋ี วนค้ี น้ หาหบี เกา่ จะดสู กั ใบหนง่ึ กไ็ มม่ ี มแี ตห่ บี ทำใหม่ ๆ อยมู่ ากมาย เหตดุ ว้ ยหบี ทองทบึ เป็นหีบชั้นสูง ผู้ที่ได้รับพระราชทานไปประดับเกียรติยศย่อมล้วนแต่เป็นผู้ที่สูงศักดิ์ กอปรด้วยกำลัง และทรพั ย์ บตุ รหลานเหน็ หบี หลวงเกา่ ครำ่ ครา่ ไมพ่ อแกใ่ จ มกี ำลงั สามารถทำไดก้ ท็ ำขน้ึ แทนใหม่ เมอ่ื เสรจ็ งานศพแลว้ กม็ อบใหแ้ กเ่ จา้ พนกั งานผรู้ กั ษาหบี หลวง สำหรบั ไวใ้ ชส้ ำรองราชการตอ่ ไป เพราะนอกจาก ได้พระราชทานแล้ว ใครจะใช้หีบอย่างนั้นไม่ได้ เจ้าพนักงานได้หีบใหม่แล้วก็ทิ้งหีบเก่า ไม่คิดที่จะ ซอ่ มแซม เลยสญู หายไปหมด หบี เกา่ รปู พรรณสณั ฐานเปน็ อยา่ งไร ถามใครกไ็ มไ่ ดค้ วามแน่ กลา่ วกนั แตว่ า่ “ โต ” นกึ สงสยั วา่ หบี เกา่ จะเปน็ รปู อยา่ งกน้ สอบปากผาย หบี เดย๋ี วนเ้ี ปน็ รปู ไดเ้ หลย่ี ม มฝี าเหลาเกลย้ี ง ปดิ ทองทบึ มฐี านสลกั ปดิ ทองประดบั กระจก แตก่ อ่ นนม้ี าจนกระทง่ั ในรชั กาลท่ี ๔ ตอนแรก พระศพ พระองค์เจ้าวังหน้าก็ยังว่าใช้หีบทองทึบ มาบัดนี้ใช้สำหรับพระราชทานประดับเกียรติยศศพหม่อมเจ้า กบั ขา้ ราชการอนั มบี รรดาศกั ดเ์ิ ปน็ พระยาสามญั และพระซง่ึ เปน็ ราชนกิ ลุ หมอ่ มราชนกิ ลุ กบั ทง้ั ขา้ ราชการ อนั มยี ศเปน็ นายพล ทหารบก ทหารเรอื เจา้ กรมพระตำรวจ และหวั หมน่ื มหาดเลก็ ท่ี ๒ หบี เชงิ ชาย เปน็ หบี รปู กน้ สอบปากผาย พน้ื ทาแดงขอบสลกั เปน็ ลายปดิ ทองประดบั แววกระจก ไมม่ ฝี า ไมม่ ฐี าน ตามทร่ี กู้ นั มาวา่ สรา้ งแตค่ รง้ั รชั กาลท่ี ๑ สงั เกตลวดลายประกอบทง้ั รปู เหน็ จรงิ ไมม่ สี งสยั
เรอ่ื งตำนานพระโกศและหบี ศพบรรดาศกั ด์ิ ๔๕๕ ยังได้ยินเล่าต่อกันขึ้นไปอีกว่าหีบเชิงชาย หีบลายทรงข้าวบิณฑ์ เดิมทีเป็นผนังแผงหุ้มสักหลาดสี ตรงึ ลายทองแผน่ ลวดฉลเุ หมอื นอยา่ งมา่ นเรอื ทำไวเ้ ปน็ สก่ี ระแบะ เวลาจะประกอบศพผกู สม่ี มุ หมุ้ นอก ลองใน แตค่ วามขอ้ นเ้ี ทจ็ จรงิ ประการใดอยแู่ กผ่ กู้ ลา่ ว ถา้ หากวา่ เปน็ อยา่ งนน้ั คงเปน็ มาแตค่ รง้ั กรงุ ธนบรุ ี หรือเป็นประเพณีมาแต่ครั้งกรุงเก่า แต่อย่างไรก็ดี ข้อที่กล่าวเช่นนี้เป็นความงามสมจริงยิ่งนัก สมัยนี้ ใช้หีบนี้สำหรับพระราชทานประดับศพข้าราชการอันมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงเป็นขุน กับทั้งเถ้าแก่พนักงาน ฝา่ ยใน หบี เชงิ ชายน้กี รมหมน่ื ปราบปรปกั ษท์ ำขน้ึ ใหมเ่ มอ่ื ในรชั กาลท่ี ๕ อกี ใบ ๑ แตผ่ ดิ กนั กบั ของเกา่ ทร่ี ปู เป็นหีบก้นปากเท่ากันไม่ผาย มีฝาฐานกับมีลายดอกไม้ร่วงฉลุทองแถมลงในที่พื้นแดงด้วย สำหรับ พระราชทานไปประดบั บรรดาศกั ดศ์ิ พขา้ ราชการชน้ั ทเ่ี ปน็ หลวงขนุ กบั ขา้ ราชการอนั มยี ศในกรมมหาดเลก็ ชน้ั หมุ้ แพร และฝา่ ยทหารชน้ั นายรอ้ ยกบั ทง้ั เถา้ แกพ่ นกั งานฝา่ ยในและภรรยาขา้ ราชการซง่ึ ไดร้ บั พระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายในชั้นตติยจุลจอมเกล้าและจตุตถจุลจอมเกล้า ที่ ๓ หีบลายทรงข้าวบิณฑ์ เป็นรูปก้นสอบปากผาย สลักเป็นลายทรงข้าวบิณฑ์มีขอบอย่าง มา่ นดอกปดิ ทองฝงั แววกระจก พน้ื ลอ่ งชาด ฝมี อื ทำรนุ่ เดยี วกบั หบี เชงิ ชายสรา้ งในรชั กาลท่ี ๑ ดว้ ยกนั เขา้ ใจ วา่ ทำพรอ้ มกนั เปน็ หบี คู่ สำหรบั เกยี รตยิ ศชน้ั กลางใบหนง่ึ ชน้ั ตำ่ ใบหนง่ึ แตจ่ ะสงู ตำ่ เพยี งไรทไ่ี ดพ้ ระราชทาน อยแู่ ตก่ อ่ นนน้ั หาทราบไม่ ในทกุ วนั นใ้ี ชพ้ ระราชทานประดบั บรรดาศกั ดศ์ิ พขา้ ราชการชน้ั พระ กบั ขา้ ราชการ อนั มยี ศเปน็ ปลดั กรมพระตำรวจและจา่ มหาดเลก็ ท่ี ๔ หบี ลายมงั กร ทกุ วนั นใ้ี ชส้ ำหรบั พระราชทานประดบั บรรดาศกั ดศ์ิ พขา้ ราชการชน้ั พระชน้ั หลวง แตเ่ จา้ พนกั งานจำเพาะจะจดั ใหแ้ กศ่ พพระหลวงทเ่ี ปน็ เชอ้ื จนี มขี นุ นางเจา้ ภาษเี ปน็ ตน้ ไดใ้ ชน้ อกไปจากทเ่ี ปน็ จนี บา้ งกเ็ ปน็ แตบ่ างคราว เมอ่ื มงี านศพพรอ้ มกนั มากจนหบี ไมพ่ อจา่ ย เปน็ ความคดิ ของเจา้ พนกั งานจะเลน่ ให้เป็นกลเม็ด ด้วยสำคัญใจว่าลายมังกรเป็นลายจีนเหมาะแก่ข้าราชการที่เป็นจีน แต่ความสำคัญ เช่นนั้นผิด เพราะมังกรในลายนั้นหาใช่มังกรจีนไม่ เป็นมังกรไทยสองตัวหันหน้าเข้าหากัน ดั้นอยู่ใน กนกเครอื เหมอื นลายพนกั พระแกลทพ่ี ระวมิ านในพระราชวงั บวร หรอื ทห่ี อพระมนเทยี รธรรม งามไมม่ ี ทเ่ี ปรยี บ หบี หลวงทง้ั หมดใบไหนจะงามเสมอใบนไ้ี มม่ ี ไมม่ ที ส่ี งสยั วา่ จะสรา้ งรชั กาลไหน นอกไปจาก รชั กาลท่ี ๑ เพราะรปู หบี กเ็ ปน็ รปู ชนดิ กน้ สอบ ปากผาย ไมม่ ฝี าไมม่ ฐี านสมอยา่ งรชั กาลท่ี ๑ ลายมงั กร ๑ หบี ลายทรงขา้ วบณิ ฑ์ และ ๔ หบี ลายมงั กร ชำรดุ และใชร้ าชการไมไ่ ด้ เจา้ พระยาวรพงศพ์ พิ ฒั น์ (ม.ร.ว. เยน็ อศิ รเสนา) เมื่อครั้ง เป็นเสนาบดีกระทรวงวังในรัชกาลที่ ๗ ได้ขอพระบรมราชานุญาตทำขึ้นใหม่เรียกว่าหีบลายก้านแย่ง ใช้แทนหีบลายทรงข้าวบิณฑ์และหีบ ลายมงั กร
๔๕๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ (ไทย) ก็เป็นลายที่ถนัดทำอยู่ในรัชกาลที่ ๑ ยุคเดียว หีบใบนี้เดิมทีเห็นจะใช้เป็นเกียรติยศสูงเหนอื หบี ลายทรงขา้ วบณิ ฑข์ น้ึ ไปเหน็ ไดท้ ฝ่ี มี อื ทำประณตี กวา่ และปดิ ทองทง้ั ตวั พน้ื กป็ ระดบั กระจกแววกฝ็ งั กระจก ท่ี ๕ หบี กดุ น่ั พดู กนั วา่ กรมขนุ ราชสหี วกิ รมสรา้ งขน้ึ โดยพระบรมราชโองการเมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๔ สำหรบั พระราชทานประดบั เกยี รตยิ ศศพเจา้ จอม ผซู้ ง่ึ ไดร้ บั พระราชทานหบี หมากกาไหลท่ อง แลว้ ภายหลงั ใชพ้ ระราชทานมหาดเลก็ หมุ้ แพรผซู้ ง่ึ เปน็ ราชนิ กิ ลุ ดว้ ย เปน็ หบี ชนดิ มฝี า มฐี านรปู ไมผ่ าย ตวั หบี สลกั เปน็ ลายเทศปดิ ทองทง้ั พน้ื ทง้ั ลาย ฝงั แววกระจก ดฝู มี อื สมควรกนั แลว้ กบั ทว่ี า่ สรา้ งในรชั กาลท่ี ๔ ที่ ๖ หีบทองทราย คือหีบทองทึบนั่นเอง แต่โรยทรายเม็ดหยาบเสียก่อนแล้วจึงปิดทองทับ กรมหมื่นปราบปรปักษ์สร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๕ พระราชทานรองศพหม่อมทับ ในกรมหมื่นปราบ ฯ มารดา เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์เป็นทีแรก เมื่อเวลาสร้างขึ้นนั้นสำหรับพระราชทานประดับเกียรติยศรองจากโกศ นบั วา่ บรรดาศกั ดส์ิ งู กวา่ หบี ทองทบึ เดย๋ี วนใ้ี ชส้ ำหรบั หมอ่ มหา้ มและภรรยาขา้ ราชการชน้ั ไดร้ บั พระราชทาน เครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณท์ ตุ ยิ จลุ จอมเกลา้ ฝา่ ยใน * กบั ทง้ั ขา้ ราชการฝา่ ยหนา้ ชน้ั ทไ่ี ดร้ บั พระราชทานโตะ๊ ทอง กาทอง ท่ี ๗ หบี ทองลายเครอื องั หงนุ่ แบบหบี ทองทบึ นน่ั เอง แตต่ วั หบี สลกั เปน็ ลายเครอื องั หงนุ่ นบั เปน็ หีบต่อโกศเกียรติยศเสมอกันกับหีบลายก้านขด สำหรับใช้แทนกัน กรมหมื่นปราบปรปักษ์สร้างขึ้นเมื่อใน รัชกาลที่ ๕ ทราบว่าพระราชทานรองศพพระยาอรรคราชนาถภักดี (หวาด บุนนาค) เป็นทีแรก ศพนั้นไว้ ทเ่ี มอื งจนั ทบรุ ีชา้ นานจงึ ไดฝ้ งั เพราะฉะนน้ั หบี ใบนจ้ี งึ ไดเ้ งยี บหายไปเสยี หลายปี ท่ี ๘ หบี ทองลายกา้ นขด แบบหบี ทองทบึ นน้ั เองแตต่ วั หบี สลกั เปน็ ลาย ตง้ั ใจจะใหเ้ ปน็ กนก กา้ นขด ปดิ ทองลว้ น ทกุ วนั นใ้ี ชเ้ ปน็ หบี รองโกศ ถา้ ผใู้ ดทม่ี เี กยี รตยิ ศสงู ไมไ่ ดพ้ ระราชทานโกศ กไ็ ดร้ บั พระราชทานหบี น้ี ตกอยใู่ นขา้ ราชการชน้ั ทไ่ี ดร้ บั พระราชทานพานทองเปน็ พน้ื บรรดาหบี ทกุ อยา่ งตามทก่ี ลา่ วมาน้ี ยงั ตอ้ งมเี ครอ่ื งประกอบอกี สง่ิ หนง่ึ คอื ผา้ เยยี รบบั คลมุ บน หลังหีบ หีบเชิงชาย หีบลายมังกร หีบลายทรงข้าวบิณฑ์ จำเป็นอยู่ที่จะต้องมีผ้าคลุมเพราะไม่มี ฝาหบี อน่ื นอกนน้ั ไมจ่ ำเปน็ เลยทจ่ี ะตอ้ งคลมุ ผา้ เพราะมฝี าแลว้ ทำดว้ ยหลงกนั เลย ๆ มา ศพราษฎรบางราย ยงั หลงกนั สนกุ ยง่ิ ขน้ึ ไปกวา่ นน้ั อกี ตอ้ งมไี มไ้ ผจ่ กั ผกู เปน็ คน่ั เหมอื นบนั ไดวางลงไวบ้ นหลงั หบี กอ่ น แลว้ จงึ * ปัจจุบัน พระราชทานหีบทองลายสลัก เชน่ เดยี วกบั ฝา่ ยหนา้ ท.จ. ๗…๘ ปจั จบุ นั เรยี กรวมวา่ หบี ทองลายสลกั
เรอ่ื งตำนานพระโกศและหบี ศพบรรดาศกั ด์ิ ๔๕๗ คลมุ ผา้ ทบั เคยมคี นสงสยั คดิ ไมเ่ หน็ ประโยชน์ ถามกนั วา่ สำหรบั อะไร เคยไดย้ นิ มคี นแปลวา่ สำหรบั ให้ คนตายกา้ วขน้ึ สวรรค์ ทแ่ี ทน้ น้ั คอื เคยทำมาแตค่ รง้ั หบี ยงั ไมม่ ฝี า ใชผ้ า้ คลมุ แทน ถา้ เปน็ ผา้ ชนดิ ทห่ี นาหนกั ก็ตกท้องช้างเลยหลุดลงไปเสียในหีบ จึงต้องผูกไม้เป็นคานพาดปากหีบรับผ้าไว้ กันไม่ให้ตกลงไป ทกุ วนั นม้ี กี ารเปลย่ี นแปลงไป ศพทเ่ี จา้ ภาพมกี ำลงั มกั ใชด้ อกไมส้ ดกรองปกแทนผา้ ในเวลาออกงาน
๔๕๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ หบี ทองทบึ หีบกุดั่น
เรอ่ื งตำนานพระโกศและหบี ศพบรรดาศกั ด์ิ ๔๕๙ หีบเชิงชายล่องชาด หีบเชิงชายล่องชาดดอกไม้ร่วง
๔๖๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ หีบลายมังกรปากผาย หีบลายมังกรปากผาย (ด้านข้าง)
เรอ่ื งตำนานพระโกศและหบี ศพบรรดาศกั ด์ิ ๔๖๑ หีบทองลายเครืออังหงุ่น หีบทองลายก้านขด
๔๖๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๖๓ ตำนานการเลิกบ่อนเบี้ยและเลิกหวย สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ ทรงพระนิพนธ์
๔๖๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๖๕ คำนำ๑ เรื่องตำนานการเลิกหวยแลบ่อนเบี้ยที่พิมพ์ในสมุดเล่มนี้ ข้าพเจ้าเก็บเนื้อความจากหนังสือ จดหมายเหตุต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ในหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร คือหนังสือราชกิจจานเุ บกษา เปนต้น มาเรียบเรียงขึ้นเปนเรื่องตำนาน เพื่อจะให้ทราบเรื่องราวของอากรหวยแลอากรบ่อนเบี้ย ตั้งแต่แรกมีขึ้นในเมืองไทย จนกระทั่งได้เลิกหมดมิให้เล่นกันต่อไป ความข้อใดไม่มีหนังสือจะสอบสวน ก็ได้ไต่ถามตามผู้รู้เห็นซึ่งยังมีตัวอยู่ แลถามเจ้าพนักงานในกระทรวงพระคลังบ้าง แต่งประกอบกับ ความรู้แลความคิดเห็นของข้าพเจ้าเองจนตลอดเรื่อง ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านทั้งหลายที่ได้ช่วย สงเคราะหน์ น้ั ทว่ั กนั หนังสือเรื่องนี้เห็นว่าเปนเรื่องพงษาวดาร จึงได้ให้พิมพ์รวมไว้ในหนังสือประชุมพงษาวดาร นับเปนภาคที่ ๑๗ แต่การที่แต่งหนังสือเรื่องนี้ใกล้กระชั้นกับการพิมพ์ ไม่มีเวลาพอจะตรวจตราสอบสวน ให้ถ่องแท้ เพราะฉนั้นน่าที่จะยังวิปลาศขาดเกินอยู่หลายแห่ง ถ้าพลาดพลั้งบ้างอย่างไรต้องขออภัย แกท่ า่ นผอู้ า่ นดว้ ย ส่วนการพิมพ์หนังสือเรื่องนี้ พระโสภณเพ็ชรรัตนจะทำการศพสนองคุณหลวงอุดรภัณฑ์พานิช ( เต็ง โสภโณดร ) ผู้บิดา มาขอให้กรรมการหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครเลือกเรื่องหนังสือ ให้พิมพ์สำหรับเปนหนังสือแจก ข้าพเจ้าจึงได้เลือกตำนานเรื่องเลิกหวยแลบ่อนเบี้ยให้พิมพ์ตาม ประสงค์ด้วยเห็นว่าเหมาะแก่งานศพหลวงอุดร ฯ เพราะเหตุที่หลวงอุดร ฯ ได้เคยทำทั้งอากรหวย แลอากรบอ่ นเบย้ี นน้ั อย่าง ๑ แลยังมีเหตุอิกอย่าง ๑ ซึ่งข้าพเจ้าทราบอยู่แก่ใจว่า หลวงอุดร ฯ อยู่ในพวกซึ่งเห็นว่า ควรจะเลิกหวยแลบ่อนเบี้ยเสีย อย่าให้มีในเมืองไทยจึงจะดี เพราะได้เคยพูดชี้แจง ความขอ้ น้ี แกข่ า้ พเจา้ เนอื ง ๆ ตง้ั แตแ่ รกคนุ้ เคยกนั มา โดยถา้ หลวงอดุ ร ฯ สามารถจะทราบไดว้ า่ พมิ พห์ นงั สอื เรื่องนี้ในงานศพก็เห็นจะชอบใจ จึงเห็นว่าเหมาะด้วยประการทั้งปวง ทีนี้จะกล่าวถึงเรื่องประวัติของ หลวงอดุ รภณั ฑพ์ านชิ ตอ่ ไป ๑ คำนำฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรก ตวั สะกด การนั ต์ คงตามตน้ ฉบบั เดมิ
๔๖๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ประวัติหลวงอุดรภัณฑ์พานิช หลวงอุดรภัณฑ์พานิช เปนจีนแต้จิ๋ว แซ่เตีย เดิมชื่ออูเต็ง ได้พระราชทานนามสกุลว่า โสภโณดร เกดิ ในเมอื งจนี เมอ่ื เดอื น ๓ แรม ๓ คำ่ ปขี าล จลุ ศกั ราช ๑๒๐๔ พ.ศ. ๒๓๘๕ อยเู่ มอื งจนี จนอายุ ๑๘ ปี จึงเข้ามาเมืองไทยในรัชกาลที่ ๔ เมื่อปีมะแม พ.ศ. ๒๔๐๒ หลวงอดุ ร ฯ ชอบเลา่ เรอ่ื งเมอ่ื แรกเขา้ มาทำมาหากนิ ในเมอื งไทย เคยเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเนือง ๆ วา่ เมื่อมานั้นมีแต่เสื้อตัว ๑ กังเกงตัว ๑ กับเสื่อปูนอนผืน ๑ ต้องขอยืมเงินเขาเสียค่าโดยสานมา เมื่อแรกเข้ามาถึงเมืองไทยรับจ้างเขาเปนจับกังพายเรือ ด้วยในสมัยนั้นถนนรนแคมยังไม่ใคร่มี ไปไหน ไปเรือกันเปนพื้น พวกจีนที่เปนเฒ่าแก๋มักใช้เรือสำปั้น ๓ กระทง เวลาไปไหนตัวเฒ่าแก๋นั่งคัดท้าย มจี บั กงั พายจำ้ ไปขา้ งหวั ๒ คน เขามกั จา้ งจนี ใหม่ใหค้ า่ จา้ งถกู ๆ เพราะจบั กงั พายเรอื ไมต่ อ้ งรภู้ าษาไทย แล้วแต่เฒ่าแก่สั่งให้พายก็พายไป รับจ้างพายเรืออยู่จนได้เงินใช้หนี้ที่เขาทดรองค่าโดยสานหมดแล้ว จงึ คดิ อา่ นไปรบั จา้ งเขาหงุ เขา้ กะทะในโรงกงสสี ำหรบั เลย้ี งจบั กงั ไดค้ า่ จา้ งมากขน้ึ กวา่ แตก่ อ่ น คอ่ ยสะสม ค่าจ้างไว้เปนทุนจนพอจะออกค้าขายโดยลำพังได้ มีพวกจีนบอกว่าทางข้างหัวเมืองเหนือมีทำเลค้าขาย สดวกดีกว่าในกรุงเทพ ฯ ถึงรัชกาลที่ ๕ จึงออกจากกรุงเทพ ฯ อาไศรยพวกจีนที่ค้าขายทางเมืองเหนือ ขน้ึ ไปถงึ เมอื งตาก อยทู่ เ่ี มอื งตากไมช่ า้ นกั กเ็ ลยขน้ึ ไปเมอื งเชยี งใหม่ ไปตง้ั คา้ ขายอยทู่ น่ี น่ั พอมกี ำลงั ขน้ึ ได้เข้าเฝ้าแหนพระเจ้าอินทวิชยานนท์ แต่เมื่อยังเปนเจ้านครเชียงใหม่คุ้นเคยเปนลำดับมา ครั้นเมื่อ ทรงพระกรุณาโปรด ฯ ให้เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ แต่เมื่อยังเปนพระนรินทรราชเสนี เปนข้าหลวงขึ้น ไปอยู่ประจำเมืองเชียงใหม่ เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์มาคุ้นเคยก็มีความเมตตาช่วยอุปการะด้วย จงึ คอ่ ยวฒั นาการ จนไดร้ บั ทำภาษอี ากร คนทง้ั หลายจงึ เรยี กวา่ “อากรเตง็ ” ตอ่ มาคดิ ขยายการคา้ ขายลงมา ถงึ เมอื งตาก ไดล้ งมาพกั อยเู่ มอื งตากเนอื ง ๆ จงึ มาไดน้ างกอ้ นทองชาวเมอื งตากเปนภรรยา มบี ตุ รชาย ด้วยกันคน ๑ ให้ชื่อ กิ๊ คือพระโสภณเพ็ชรรัตน ที่ได้รับสกุลแลจัดการศพสนองคุณหลวงอุดร ฯ บัดนี้ เมื่อหลวงอุดร ฯ ลงมาค้าขายอยู่ที่เมืองตาก มาได้สมาคมเปนมิตรกับพ่อค้าที่เมืองตาก ๒ คน ชื่อนายบุญเย็น ภายหลังได้เปนหลวงจิตรจำนงวานิชในกรมท่าซ้ายคน ๑ นายทองอยู่ ภายหลัง ไดเ้ ปนหลวงบรริ กั ษป์ ระชากร กรมการพเิ ศษในเมอื งตากคน ๑ จงึ เขา้ ทนุ ทำการ คา้ ขายดว้ ยกนั ใชย้ ห่ี อ้ วา่ “กิมเสงหลี” ทำการภาษีอากรที่เมืองเชียงใหม่แลค้าขายสินค้าต่าง ๆ ตั้งแต่เมืองเชียงใหม่ ลงมาจน ปากนำ้ โพธเิ มอื งนครสวรรค์
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๖๗ ครั้นเมื่อรัตนโกสินทรศก ๑๑๒ ตรงกับปีมะเสง พ.ศ. ๒๔๓๖ เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ ขึ้นไป เปนข้าหลวงประจำอยู่เมืองเชียงใหม่คราวหลังกลับลงมากรุงเทพ ฯ หลวงอุดร ฯ จึงตามลงมา ตั้งห้างกิมเสงหลีในกรุงเทพ ฯ ตั้งแต่ตอนนี้ผู้ที่เข้าหุ้นส่วนกัน ๓ คน ก็แบ่งน่าที่กันทำการบริษัท อยคู่ นละแหง่ หลวงอดุ ร ฯ อยใู่ นกรงุ เทพ ฯ หลวงจติ รจำนงวานชิ อยเู่ มอื งเชยี งใหม่ หลวงบรริ กั ษป์ ระชากร อยทู่ เ่ี มอื งตาก ห้างกิมเสงหลีในกรุงเทพ ฯ ได้สร้างโรงสีไฟ ๕ โรง โรงเลื่อยจักร ๓ โรง ทำอู่เรือแห่ง ๑ ประกอบการสีเข้าเลื่อยไมข้ าย แลรับผูกภาษีอากรด้วย ห้างกิมเสงหลีที่เชียงใหม่เลิกการผูกภาษีอากร ไปทำการปา่ ไม้ในมณฑลพายพั หา้ งกมิ เสงหลที เ่ี มอื งตากทำการรบั สง่ สนิ คา้ ทง้ั ๓ แหง่ ทำการเจรญิ ขน้ึ โดยลำดบั มาจนเปนหา้ งสำคญั อนั ๑ ในเมอื งไทย ห้างกิมเสงหลีสร้างสพานข้ามคลองสามเสนถวายเมื่อในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งโปรดพระราชทาน นามวา่ สพานกมิ เสงหลแี หง่ ๑ แลไดส้ นองพระเดชพระคณุ ในการอน่ื อกิ หลายอยา่ ง หลวงอุดร ฯ จัดการห้างกิมเสงหลีมาจนแก่ชรา จึงมอบการงานแก่พระโสภณเพ็ชรรัตน แลว้ ออกไปอยเู่ มอื งจนี คราว ๑ ไปจดั การเกอ้ื กลู บา้ นเดมิ แลสรา้ งทส่ี ำหรบั ฝงั ศพของตนอยใู่ นเมอื งจนี หลายปี จงึ กลบั เขา้ มากรงุ เทพ ฯ แตใ่ นตอนหลงั นช้ี รามากเสยี แลว้ หาใครจ่ ะไดท้ ำการงานอนั ใดไม่ อยทู่ ห่ี า้ งกมิ เสงหลี ที่สามเสนมาจนถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๔ กันยายน ปีมะแม พ.ศ. ๒๔๖๒ คำนวณอายุได้ ๗๘ ปี สน้ิ เนอ้ื ความในประวตั ขิ องหลวงอดุ รภณั ฑพ์ านชิ เตง็ โสภโณดร เทา่ น้ี ขา้ พเจา้ ขออนโุ มทนากศุ ลบญุ ราษที กั ษณิ านปุ ทาน ซง่ึ พระโสภณเพช็ รรตั น ไดท้ ำการศพสนองคณุ หลวงอุดรภัณฑ์พานิชผู้บิดาด้วยความกตัญญูกตะเวที ทั้งได้พิมพ์หนังสือเรื่องนี้ให้ได้อ่านกันแพร่หลาย เชื่อว่าท่านทั้งหลายที่ได้รับสมุดเล่มนี้ไปอ่านคงจะอนุโมทนาทั่วกัน สภานายก หอพระสมดุ วชริ ญาณ วนั ท่ี ๑๗ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๖๒
๔๖๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๖๙ คำนำ๑ เรอ่ื งเลกิ บอ่ นเบย้ี แลเลกิ หวยในเมอื งเราน้ี ขา้ พเจา้ คดิ เหน็ วา่ เปนเรอ่ื งสำคญั ในพงศาวดาร เรอ่ื ง ๑ ซึ่งสมควรจะเรียบเรียงจดหมายเหตุไว้ แลควรเรียบเรียงเสียแต่ในเวลายังสามารถจะ ไต่ถามผู้ชำนาญการอากรทั้ง ๒ อย่างนั้น ถ้าช้าไปจนผู้ชำนาญหลงลืมฤๅเหลือน้อยตัวลงก็จะรู้เรื่อง ใหช้ ดั เจนยากขน้ึ ทกุ ที ดว้ ยคดิ เหน็ ดงั น้ี ข้าพเจ้าจึงได้ลองแต่งเรื่องตำนานการเลิกบ่อนเบี้ยแลเลิกหวย พิมพ์ไว้ในหนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑๗ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑ การที่แต่งตำนานครั้งนั้นข้าพเจ้า ไดอ้ าศรยั สอบจดหมายเหตเุ กา่ คอื หนงั สอื ราชกจิ จานเุ บกษาเปนตน้ แลไดอ้ าศรยั ไตถ่ ามผชู้ ำนาญหลายคน คือ พระเจนจีนอักษร (สุดใจ ตัณฑากาศ) ในหอพระสมุด ฯ ได้ช่วยแปลจดหมายเหตุจีนให้ทราบ เรื่องมูลเหตุที่เกิดการเล่นถั่วโปแลหวยที่ในเมืองจีนคน ๑ พระยาสุนทรพิมล (เผล่ วสุวัต) ซึ่งได้ เคยเปนตำแหน่งเจ้าจำนวนในกระทรวงพระคลัง ฯ พระอักษรสมบัติ (เปล่ง ธนะโกเศศ) ซึ่งได้ เคยเปนตำแหนง่ พนกั งานทำทอ้ งตราตง้ั นายอากรบอ่ นเบย้ี มาแตก่ อ่ น พระอนวุ ตั นร์ าชนยิ ม (ฮง เตชะวณชิ ) ซึ่งได้เคยทำทั้งอากรบ่อนเบี้ยแลอากรหวย นายฮวด กระแสเวศ ซึ่งได้เคยเปนหลงจู๊ใหญ่ในโรงหวย ทั้ง ๔ นี้ ได้ชี้แจงลักษณการอากรบ่อนเบี้ยแลอากรหวยในประเทศนี้ให้ทราบ ข้าพเจ้ารู้สึกขอบใจ เปนอนั มากทง้ั ๕ คน แตข่ า้ พเจา้ แตง่ ครง้ั นน้ั ประจวบมผี ตู้ อ้ งการจะพมิ พใ์ หแ้ ลว้ ทนั เวลาอนั มกี ำหนด น้อยวัน การตรวจสอบหนังสือเก่าจึงมิได้มีโอกาศที่จะทำได้โดยเลอียด ครั้นเมื่อพิมพ์หนังสือแล้ว พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) ได้ไปอ่านทักท้วงมา ว่ายังมีกฎหมายเก่าอันเนื่องด้วย อากรบ่อนเบี้ย ดูเหมือนข้าพเจ้าจะยังไม่ได้สอบอยู่หลายบท ข้าพเจ้าไปตรวจดูก็เห็นว่าหนังสือ ที่แต่งไว้ยังคลาศเคลื่อนในทางตำนานอยู่หลายแห่ง จึงได้ตั้งใจไว้ว่าถ้ามีโอกาศเมื่อไร จะแต่งแก้ไข เสียใหม่ให้เรียบร้อย บัดนี้เจ้าภาพงานศพพระยาสุนทรพิมล (เผล่ วสุวัต) มาแจ้งความว่า มีศรัทธา จะพิมพ์หนังสือเปนของแจกในงานพระราชทานเพลิงศพสักเรื่อง ๑ ขอให้กรรมการหอพระสมุดวชิรญาณ สำหรับพระนครช่วยเลือกเรื่องหนังสือให้ ข้าพเจ้าจึงได้แนะนำให้พิมพ์หนังสือประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๑๗ อันว่าด้วยตำนานการเลิกบ่อนเบี้ยแลเลิกหวยที่ได้แต่งแก้ไขใหม่ ด้วยเห็นว่าหนังสือเรื่องนี้ พระยาสุนทรพิมล (เผล่ วสุวัต) เสมอได้เปนผู้ช่วยแต่งมาแต่เดิมคน ๑ ถ้าทราบว่าพิมพ์ใหม่ให้ดียิ่งขึ้น ๑ คำนำฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒ (ฉบับทรงแก้ไขใหม)่ พ.ศ. ๒๔๖๕
๔๗๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ กว่าเก่าก็เห็นจะพอใจ อิกประการ ๑ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าหนังสือเรื่องนี้ผู้ที่ยังไม่เคยอ่านก็เห็น จะมีมาก ถึงผู้ที่ได้เคยอ่านแล้วถ้าอ่านฉบับนี้ก็จะได้ประโยชน์เปนทางความรู้เพิ่มเติมอิกบ้างไม่เสียเวลา อ่านเปลืองเปล่าไปทีเดียว เพราะเรื่องตำนานที่พิมพ์ครั้งนี้ข้างตอนต้นผิดกับฉบับก่อนทั้งหมด แม้ตอนอื่นก็ได้ตรวจแก้ไขซ่อมแซมตลอดทั้งเรื่อง จึงเปนเหตุให้หวังว่าจะพอใจอ่านกันโดยมาก อนึ่งเจ้าภาพได้ส่งหัวข้อเรื่องประวัติมา ขอให้ข้าพเจ้าเรียบเรียงประวัติของพระยาสุนทรพิมล (เผล่ วสุวัต) พิมพ์ไว้ในท้ายคำนำนี้พอเปนที่ระฦกด้วย ประวัติของพระยาสุนทรพิมล (เผล่ วสุวัต) มเี รอ่ื งราวดงั จะกลา่ วตอ่ ไปน้ี ประวตั ิพระยาสนุ ทรพมิ ล (เผล่ วสวุ ตั ) พระยาสุนทรพิมล (เผล่ วสุวัต) เกิดในรัชกาลที่ ๔ เมื่อวันอังคาร เดือน ๑๐ ปีกุญ พ.ศ.๒๔๐๖ เปนบุตรหลวงสุนทรพิมล จุ้ย มารดาชื่อพา เปนธิดาพระยาเพทราชา ทัด บ้านเดิมของบิดา อันเปนที่เกิดอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่น่าวัดสัมพันธวงศ์ หลวงสุนทรพิมล จุ้ย นั้น เดิมเปนปลัดกรมในพระเจ้าบรมวงศเธอ ชั้น ๔ กรมหมื่นมเหศวร ศิววิลาศ ๆ ได้ทรงบัญชาการพระคลังมหาสมบัติในรัชกาลที่ ๔ หลวงสุนทรพิมล จุ้ย เมื่อยังเปนที่ หมื่นราชดนยานุรักษ์ปลัดกรม เปนผู้ซึ่งทรงไว้วางพระหฤทัย จึงโปรดให้ไปมีตำแหน่งอยู่ในกรมพระคลัง มหาสมบตั ดิ ว้ ย ครน้ั กรมหมน่ื มเหศวร ฯ สน้ิ พระชนม์ กเ็ ลยรบั ราชการอยใู่ นกรมพระคลงั มหาสมบตั สิ บื มา ได้รับพระราชทานสัญญาบัติเปนที่ขุนพรสมบัติ แล้วเลื่อนขึ้นเปนที่หลวงสุนทรพิมล มีตำแหน่งเปน เจา้ จำนวนภาษอี ากร เมอ่ื สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยาบำราบปรปกั ษท์ รงบญั ชาการ พระคลังมหาสมบัติในรัชกาลที่ ๕ รับราชการมาจนตลอดอายุ นา่ ท่เี จา้ จำนวนในสมยั เมอ่ื การเกบ็ ภาษอี ากรยงั มเี จา้ ภาษนี ายอากรรบั ผกู ขาดไปเกบ็ จากราษฎรนน้ั ต้องดูแลเลือกหาผู้ซึ่งสมควรจะเปนเจ้าภาษีนายอากร ทั้งตรวจตราการว่าประมูลแลเร่งเรียกเงินหลวง ส่งพระคลัง ฯ เพราะฉนั้นผู้ที่เปนเจ้าจำนวนจำต้องสมาคมคุ้นเคยกับพวกพ่อค้าแลชำนิชำนาญ วธิ กี ารทำภาษอี ากรตา่ ง ๆ หลวงสนุ ทรพมิ ล จยุ้ เปนคนกวา้ งขวางมผี นู้ บั หนา้ ถอื ตามาก ดว้ ยเหตทุ เ่ี ปน เจา้ จำนวนอยา่ ง ๑ แลยงั มเี หตอุ กิ อยา่ ง ๑ คอื เมอ่ื กรมหมน่ื มเหศวร ฯ ทรงบญั ชาการพระคลงั มหาสมบตั ิ
ตำนานการเลกิ บอ่ นเบย้ี และเลกิ หวย ๔๗๑ ในรัชกาลที่ ๔ นั้น เวลามีงานพระราชพิธีโสกันต์ พระเจ้าลูกเธอ ฯ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงรับเลี้ยงน้ำชาแลเครื่องว่างเปนนิจ ทรงใช้ข้าราชการในกรมพระคลังมหาสมบัติเปนพนักงานเลี้ยง หลวงสุนทรพิมล จุ้ย ได้เปนหัวน่าพนักงานนั้น จึงเลยเปนน่าที่ติดตัวต่อมาจนรัชกาลหลัง แม้มีการหลวงก็ดีฤๅมีการงานตามวังเจ้านายแลข้าราชการผู้ใหญ่ ตลอดจนผู้น้อยที่เปนมิตรสหายก็ดี หลวงสนุ ทรพมิ ล จยุ้ มกั รบั เลย้ี งนำ้ ชา จงึ เปนผซู้ ง่ึ เจา้ นายโปรดปราณแลขา้ ราชการกค็ นุ้ เคยชอบพอ โดยมาก ทน่ี ำเรอ่ื งประวตั ขิ องหลวงสนุ ทรพมิ ล จยุ้ มากลา่ วกอ่ นในตอนน้ี เพราะพระยาสนุ ทรพมิ ล เผล่ กับพี่น้องอิก ๓ คน คือ ขุนพรสมบัติ (โม้) หลวงศิริสมบัติ (เชย) แลพระยาสุนทรพิมล (เขียว) ซง่ึ เปนบตุ รของหลวงสนุ ทรพมิ ล จยุ้ ไดร้ บั ความฝกึ หดั อบรมในสำนกั บดิ า ไดใ้ ชส้ อยใหช้ ว่ ยธรุ ะในนา่ ท่ี มาทง้ั ๔ คน บตุ รทง้ั ๔ คนนน้ั จงึ เขา้ ใจการทำภาษอี ากร แลเปนผซู้ ง่ึ เจา้ นายแลขา้ ราชการตลอดจน พวกพ่อค้ารู้จักคุ้นเคยกว้างขวางมาตั้งแต่บิดายังมีชีวิตอยู่ แต่ขุนพรสมบัติถึงแก่กรรมเสียแต่ยังหนุ่ม หลวงศิริสมบัตินั้นย้ายจากกระทรวงพระคลัง ฯ ไปรับราชการในกระทรวงมหาดไทย ได้เปน ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั พงั งา เมอ่ื กอ่ นจะถงึ แกก่ รรม พระยาสนุ ทรพมิ ล เขยี ว กไ็ ปรบั ราชการกระทรวงนครบาล อยู่นาน จึงกลับมาอยู่กระทรวงพระคลังอิก แต่พระยาสุนทรพิมล เผล่ นั้น รับราชการอยู่ในกระทรวง พระคลงั ฯ ตง้ั แตเ่ ดมิ มากระทรวงเดยี ว จนไดเ้ ปนตำแหนง่ เจา้ จำนวนทบ่ี ดิ าไดเ้ คยเปน แลตำแหนง่ อน่ื ๆ ในกระทรวงพระคลัง ฯ ดังจะกล่าวต่อไปข้างน่า พระยาสุนทรพิมล (เผล่) เล่าเรียนอักขรสมัยที่วัดสัมพันธวงศ์โดยอยู่ใกล้บ้านบิดา แลเมื่อถึง ปีบวชก็บวชอยู่วัดสัมพันธวงศ์ทั้งคราวเปนสามเณรแลคราวเปนพระภิกษุ เพราะเหตุนั้นพระสงฆ์ วัดสัมพันธวงศ์ จึงได้เลือกพระยาสุนทรพิมล (เผล่) ให้เปนมรรคนายกมาจนตลอดอายุ ส่วนพระยาสุนทรพิมล (เผล่) ก็ได้สร้างตึกโรงเรียนพระปริยัติธรรมถวายวัดสัมพันธวงศ์หลัง ๑ สร้างถังน้ำใหญ่ด้วยสิเมนต์สำหรับขังน้ำใช้ในวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยเมื่อยังมิได้สร้างประปา) ถัง ๑ แลติดไฟฟ้าถวายในวัดสัมพันธวงศ์ด้วย พระยาสนุ ทรพมิ ล (เผล)่ เขา้ รบั ราชการกระทรวงพระคลงั ฯ อยกู่ บั บดิ าแตร่ นุ่ หนมุ่ ชน้ั แรก เปนเสมียน แล้วได้เลื่อนขึ้นเปนขุนหมื่นมีนามว่าหมื่นพิมลสมบัติ เมื่อบิดาถึงแก่กรรมแล้วได้รับ พระราชทานสัญญาบัตรเปนที่ขุนศรีสมบัติ ตำแหน่งเจ้าจำนวนอากรค่าน้ำ ครั้นตั้งกรมราชพัศดุขึ้น ในกระทรวงพระคลังฯ เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๔ ได้เปนตำแหน่งนายเวรกรมราชพัศดุอยู่ ๒ ปี จนจัดตั้ง กรมเจา้ จำนวนขน้ึ จงึ ยา้ ยไปมตี ำแหนง่ ในกรมเจา้ จำนวน เมอ่ื พ.ศ.๒๔๓๖ ไดร้ บั พระราชทานสญั ญาบตั ร
๔๗๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เลอ่ื นบนั ดาศกั ดข์ิ น้ึ เปนหลวงมนศั มานติ เมอ่ื พ.ศ.๒๔๔๐ ตอ่ มาไดร้ บั พระราชทานสญั ญาบตั รเลอ่ื น บันดาศักดิขึ้นเปนพระสุนทรพิมลเมอ่ื พ.ศ ๒๔๔๘ ถงึ พ.ศ. ๒๔๔๙ กระทรวงพระคลงั จดั ตง้ั กรมอากรฝน่ิ ขน้ึ จงึ ไดย้ า้ ยมาเปนผชู้ ว่ ย อธบิ ดกี รมอากรฝน่ิ รับราชการในตำแหน่งนี้มาจนสิ้นรัชกาลที่ ๕ ในรัชกาลปัจจุบันนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนบันดาศักดิ์ ขน้ึ เปนพระยาสนุ ทรพมิ ล เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๔ รบั ราชการในตำแหนง่ ผชู้ ว่ ยอธบิ ดกี รมฝน่ิ ในกระทรวงพระคลงั ตอ่ มาจนตลอดอายุ นอกจากรับราชการประจำตำแหน่งต่าง ๆ ที่กล่าวมา พระยาสุนทรพิมล (เผล่ วสุวัต) ได้รับราชการจรเปนการพิเศษก็หลายอย่างหลายคราว คือได้เป็นข้าหลวงขึ้นไปจัดการภาษีไม้ขอนสัก ในหัวเมืองเหนือคราว ๑ เปนนายด้านทำการสร้างพระราชฐานที่เกาะสีชังคราว ๑ แลได้เปนหัวน่า พนักงานเลี้ยงน้ำชาแลเครื่องว่าง อย่างบิดาได้เคยเปนมาแต่ก่อน ในงานพระราชพิธีโสกันต์ ครั้งรัชกาลที่ ๕ ก็หลายคราวตลอดจนเมื่องานพระบรมศพสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเปนที่สุด พระยาสุนทรพิมล (เผล่ วสุวัต) ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์โดยมีบำเหน็จ ความชอบหลายครง้ั จะกลา่ วแตท่ เ่ี ปนชน้ั สงู สดุ ซง่ึ ไดร้ บั พระราชทาน คอื เครอ่ื งราชอศิ รยิ าภรณช์ า้ งเผอื ก แลมงกุฎสยามชั้นที่ ๓ ทั้ง ๒ อย่าง กับเหรียญจักรพรรดิมาลา แลเหรียญที่ระฦกในงานพระราชพิธี อิกหลายอย่าง แล้วยังได้รับพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ โดยพระมหากรุณาใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบันนี้ เปนส่วนพิเศษเฉภาะตัว อันพระยาสุนทรพิมล รสู้ กึ พระเดชพระคณุ เปนลน้ เกลา้ ฯ เรอ่ื งประวตั ขิ องพระยาสนุ ทรพมิ ล (เผล่ วสวุ ตั ) นอกจากทางราชการ ถา้ จะกลา่ วถงึ อธั ยาศรยั ในส่วนตัว ตามความคิดของข้าพเจ้าซึ่งได้คุ้นเคยมาช้านาน เห็นว่าดูเหมือนจะตรงกับที่มักเรียกกันว่า “เปนคนใจใหญ่แลใจนักเลง” ที่ว่าเปนคนใจใหญ่นั้น คือลงจะทำอะไรฤๅเล่นอะไร คงจะพยายาม ทำให้ได้ดีดังประสงค์ ถึงจะต้องลงทุนรอนมากก็ไม่รู้สึกเสียดาย ดังเช่นครั้งเล่นเครื่องโต๊ะตั้งบูชากัน เมื่อในรชั กาลท่ี ๕ พระยาสนุ ทรพมิ ลเลน่ ลายสฤ่ี ดู นอกจากโตะ๊ หลวงแลว้ ลายนน้ั กไ็ มม่ ขี องใครสู้ ไดท้ รง พระกรุณาโปรด ฯ ให้พระยาสุนทรพิมลเปนกรรมการตรวจโต๊ะด้วยผู้หนึ่งในครั้งนั้น ครั้นมาชั้นหลัง เมื่อเล่นเครื่องแก้วแลถ้วยชามของเก่า เครื่องลายน้ำทองแลเครื่องแก้วของพระยาสุนทรพิมล กเ็ ปนเยย่ี มกวา่ ของผอู้ น่ื โดยมาก มขี องตา่ ง ๆ ทร่ี วบรวมจดั ตง้ั ไวม้ ากมายหลายอยา่ ง จนนบั วา่
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 575
Pages: