เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นเสวยราชย์ ๓๒๓ สิ้นพระชนม์เสียในรัชกาลที่ ๓ เหลือแต่เจ้าฟ้ากลางมาจนถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานพระนามว่าเจ้าฟ้ามหามาลา พิเคราะห์ตามเยี่ยงอย่างที่ปรากฏดังกล่าวมา เห็นได้ว่าการพระราชทานพระนามเจ้าฟ้าแต่แรกประสูตินั้น เมื่อรัชกาลที่ ๑ ยังหามีธรรมเนียมไม่ ที่จริงประเพณีพระราชทานพระนามแต่เมื่อแรกประสูติ (ได้เดือนหนึ่ง) เพิ่งมาเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๔ ด้วยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่โปรดจะให้คนสมมติเรียกกันตามชอบใจ เช่นเรียกเจ้าฟ้ากุ้ง และเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ จึงพระราชทานพระนามแต่แรกประสูติ ถึงกระนั้นก็ยังไม่พ้นคนเรียกตามสมมติ เชน่ วา่ ทลู กระหมอ่ มใหญแ่ ละทลู กระหมอ่ มเลก็ เปน็ ตน้ ดว้ ยถอื กนั วา่ เปน็ การเคารพ ทว่ี า่ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกพระราชทานพระนามพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังมีข้อค้านอีก ข้อหนึ่ง ด้วยเจ้าฟ้าชายพระเชษฐาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระองค์หนึ่ง พระองค์ นั้นเป็น “หัวปี” ก็มิได้พระราชทานพระนาม และไม่มีพระนามปรากฏเพราะสิ้นพระชนม์เสียแต่เมื่อ ยังทรงพระเยาว์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้เรียกพระนามว่า “เจ้าฟ้าราชกุมาร” อธิบายที่กล่าวมาเป็นหลักฐานให้เห็นว่าที่อ้างว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกพระราชทาน พระนามพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เจา้ ฟา้ มงกฎุ ฯ นน้ั หามมี ลู ไม่ ยงั มขี อ้ อน่ื อกี ซง่ึ กลา่ วใน หนังสือเฉลิมพระเกียรตินั้น ข้อหนึ่งว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดฯให้เอาเศวตฉัตร ไปแขวนตรงที่ประสูติ ข้อนี้ก็เกิดด้วยคนแต่งเป็นไพร่ ไม่รู้คำอธิบายของคำที่พูดกันว่าเจ้านายประสูติ “ในเศวตฉัตร” หรือ “นอกเศวตฉัตร” อันที่จริงหมายความเพียงว่าประสูติเมื่อสมเด็จพระบรมชนกนาถ เสวยราชย์แล้วหรือประสูติเมื่อก่อนเสวยราชย์เท่านั้นเอง ประเพณีเอาเศวตฉัตรไปแขวนสำหรับ ให้เจ้านายประสูติในร่มเงาหามีไม่ อีกข้อหนึ่งซึ่งว่าเมื่อสมเด็จพระศรีสุริเยนทร๑ ประชวรพระครรภ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จไปประทับอยู่ที่ตำหนักแพ ให้ข้าหลวงคอยสืบพระอาการ มากราบทูล ข้อนี้ก็เห็นได้ว่าเป็นความเท็จไม่มีมูลด้วยสมเด็จพระศรีสุริเยนทรเคยมีพระราชโอรสแล้ว หามีเหตุที่จะทรงวิตกไม่ แม้จะมีเหตุถึงต้องทรงพระวิตก ถ้าทรงวิตกมากก็คงเสด็จไปเยี่ยมถึงวัง ถา้ ไมถ่ งึ เชน่ นน้ั กค็ งเปน็ แตโ่ ปรดฯ ใหข้ า้ หลวงไปสบื พระอาการมากราบทลู ทใ่ี นพระราชวงั เหตใุ ดจงึ จะเสดจ็ ไปประทับให้สืบพระอาการอยู่ครึ่งทางที่ตำหนักแพ ข้อความเหล่านี้เป็นของผู้ที่ไม่รู้ราชประเพณี คดิ ประดษิ ฐข์ น้ึ ในหนงั สอื ทต่ี นแตง่ หวงั จะใหค้ นชมวา่ รมู้ าก แตน่ า่ อนาถใจทม่ี บี คุ คลชน้ั สงู อนั ควรจะรวู้ า่ เป็นเท็จยอมเชื่อถึงคัดเอามาลงในหนังสือที่ตนแต่งพิมพ์ในภายหลัง ฉันได้เคยต่อว่าก็แก้แต่ว่า ๑ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี
๓๒๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ว่าถึงไม่จริงนักก็เป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉันเห็นว่าแต่งหนังสือ เฉลิมพระเกียรติควรกล่าวแต่ที่เป็นความจริง ถ้าเอาความเท็จมากล่าวหาเป็นพระเกียรติไม่ หนังสือ เฉลิมพระเกียรติด้วยความเท็จที่ว่ามา มีฉบับพิมพ์แพร่หลายอยู่ ดูเหมือนผู้ที่หลงเชื่อกันว่าจริงก็มีมาก ฉนั จงึ เหน็ ควรบอกไวใ้ หท้ ราบ การศกึ ษาของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื ยงั ทรงพระเยาว์ ไดเ้ รม่ิ เรยี นอกั ขรสมยั ในสำนกั สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ขนุ ) วดั โมฬโี ลก ฯ (รว่ มกนั กบั อาจารยพ์ ระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ) แตย่ งั เสดจ็ ประทบั อยใู่ นพระราชวงั เดมิ ครน้ั เสดจ็ เขา้ มาอยใู่ นพระบรมมหาราชวงั กท็ รงศกึ ษา วิชาความรู้สำหรับพระราชกุมารต่อมา พึงสันนิษฐานได้ว่าวิชาความรู้อย่างใดที่นิยมกันในสมัยนั้นว่า สมควรแกข่ ตั ตยิ ราชกมุ ารอนั สงู ศกั ด์ิ คงไดศ้ กึ ษาตอ่ ผเู้ ชย่ี วชาญวชิ าการนน้ั ๆ ทกุ อยา่ ง ขอ้ นเ้ี หน็ ปรากฏ ในสมัยเมื่อเสวยราชย์ แม้ได้เสด็จไปทรงผนวชอยู่ถึง ๒๗ พรรษา ยังทรงม้าและยิงปืนไฟได้ไม่ลืม ถ้าว่าโดยย่อ วิชาความรู้อย่างใดซึ่งตามคติโบราณนิยมว่าพระราชกุมารอันสูงศักดิ์ควรทรงศึกษา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคงได้ทรงศึกษาสมบูรณ์ทุกอย่าง เพราะมีโอกาสในรัชกาลที่ ๒ เปน็ เวลาถงึ ๑๖ ปี ในเวลาเมอ่ื เสดจ็ ดำรงพระยศเปน็ สมเดจ็ พระราชโอรสอยนู่ น้ั สมเดจ็ พระบรมชนกนาถ ไดโ้ ปรดฯ ใหม้ กี ารพระราชพธิ เี ฉลมิ พระเกยี รตหิ ลายครง้ั เปน็ ตน้ แตเ่ มอ่ื พระชนั ษาได้ ๙ ปี มกี ารพระราชพธิ ลี งสรง ซึ่งทำเป็นครั้งแรกในกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๓๕๕ พระราชทานพระนามตามจารึกใน พระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ สมมุติเทววงศ์ พงศ์อิศวรกษัตริย์ ขตั ตยิ ราชกมุ าร” ตอ่ การพธิ ลี งสรงมาถงึ ปกี นุ พ.ศ. ๒๓๕๘ พวกมอญมณฑลเมาะตมะเปน็ ขบถตอ่ พมา่ แล้วพากันอพยพครอบครัว หนีมาขออาศัยอยู่ในประเทศสยาม เหมือนอย่างพวกพระยาเจ่งเคยอพยพ มาแต่ก่อน มอญที่อพยพมาคราวนี้ สมิงสอดเบา (ซึ่งได้มาเป็นที่พระยารัตนจักร) เป็นหัวหน้า มจี ำนวนคนราว ๔๐,๐๐๐ อพยพมาทางดา่ นพระเจดยี ส์ ามองค์ แขวงจงั หวดั กาญจนบรุ ีทาง ๑ ทางดา่ น แม่สอด แขวงจังหวัดตากทาง ๑ ทางจังหวัดอุทัยธานีก็มาบ้าง แต่จำนวนไม่มากเหมือนทางจังหวัด กาญจนบุรีและจังหวัดตาก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรด ฯ ให้กรมพระราชวัง บวรสถานมงคล๑ เสด็จไปทรงตั้งเมืองประทุมธานี ๒ เป็นที่อยู่ของมอญที่อพยพมาคราวนี้ (เรียกกันว่า ๑ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ ๒ ปจั จบุ นั เขยี นวา่ ปทมุ ธานี
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นเสวยราชย์ ๓๒๕ มอญใหม่ เรยี กพวกมอญทอ่ี พยพมากบั พระยาเจง่ (คชเสน)ี เมอ่ื ครง้ั กรงุ ธนบรุ วี า่ “มอญเกา่ ” ) และโปรดฯ ใหเ้ จา้ พระยาอภยั ภธู ร สมหุ นายก คมุ กำลงั และเสบยี งอาหารขน้ึ ไปรบั ครวั มอญทเ่ี มอื งตาก สว่ นทางดา่ น พระเจดยี ส์ ามองคน์ น้ั โปรด ฯ ให้พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เวลานน้ั พระชนั ษาไดเ้ พยี ง ๑๒ ปี มีเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ๑ เปน็ พระอภบิ าล เสดจ็ คมุ กำลงั และเสบยี งอาหาร ไปรบั ครวั มอญท่ี เมืองกาญจนบุรี การที่ต้องมีคนสำคัญคุมกำลังรี้พลออกไปรับพวกชาวต่างประเทศที่อพยพมาพึ่ง พระบรมโพธิสมภารนั้น มีความจำเป็นด้วยอาจจะมีกองทัพข้างฝ่ายโน้นยกติดตามจับพวกครอบครัว ลว่ งเลยเขา้ มาในพระราชอาณาเขต หรอื มฉิ ะนน้ั พวกครวั ทอ่ี พยพมานน้ั เองเพราะมากดว้ ยกนั อาจจะมากำเรบิ เบยี ดเบยี นประชาชน จงึ ตอ้ งแตง่ กำลงั ไปปอ้ งกนั เหตรุ า้ ยทง้ั ๒ สถาน และมเี สบยี งอาหารไปแจกจา่ ยแก่ พวกครวั มใิ หเ้ ดอื ดรอ้ น เหตใุ ดจงึ โปรด ฯ ใหพ้ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ เปน็ นายกไปในครง้ั นน้ั พิเคราะห์ดูเหมือนจะมีพระราชประสงค์ให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โอกาสทรงศึกษา กระบวนทัพศึก ทำนองเดียวกับที่พระองค์เองได้เคยเริ่มทรงศึกษาด้วยตามเสด็จสมเด็จบรมชนกนาถ ไปในการทำสงครามกับพม่ามาแต่ยังทรงพระเยาว์ อีกสถานหนึ่ง จะให้ปรากฏถึงเมืองพม่าว่าโปรดฯ ให้สมเด็จพระราชโอรสพระองค์ใหญ่เสด็จออกไปรับ ข้าศึกจะได้ครั่นคร้าม และพวกมอญที่เข้ามา สวามภิ กั ดก์ิ จ็ ะไดอ้ นุ่ ใจ สว่ นทางการนน้ั ใหเ้ จา้ ฟา้ กรมหลวงพทิ กั ษม์ นตรเี ปน็ ผบู้ งั คบั บญั ชา ต่อมาอีกปีหนึ่งถึงปีชวด พ.ศ. ๒๓๕๙ พระชันษา ๑๓ ปี มีการพระราชพิธีโสกันต์ ทำเต็มตามตำราโสกันต์เจ้าฟ้า คือปลูกเขาไกรลาสและที่สรงสนานเป็นต้น แล้วทรงผนวชเป็น สามเณรในปีฉลู พ.ศ.๒๓๖๐ ประทับอยู่วัดมหาธาตุ ฯ ๗ เดือนแล้วจึงลาผนวช กล่าวกันว่าเมื่อ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชเป็นสามเณรนั้น สมเด็จพระสังฆราช (มี) เป็น พระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระญาณสังวร (สุข)๒ เป็นพระอาจารย์ถวายศีล แต่พิเคราะห์ตามเหตุการณ์ น่าจะกลับกันกับที่กล่าว คือ สมเด็จพระญานสังวรเป็นพระอุปัชฌาย์ และสมเด็จพระสังฆราชเป็น พระอาจารยถ์ วายศลี เพราะสมเดจ็ พระญานสงั วร เปน็ ผมู้ พี รรษาอายมุ าก นง่ั หนา้ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (ม)ี ทั้งเป็นที่เคารพนับถือของพระราชวงศ์มาแต่ในรัชกาลที่ ๑ แม้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ๑ พระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงพทิ กั ษมนตรี ทรงกำกับกรมวัง และกรมมหาดไทย ๒ บางทเี ขยี นวา่ สกุ
๓๒๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เป็นศิษย์ของสมเด็จพระญาณสังวรมาแต่ก่อน* น่าจะได้ เป็นพระอุปัชฌาย์ และยังมีหลักฐานประกอบอีกอย่างหนึ่ง ด้วยถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้สร้างพระเจดีย์ขึ้น ๒ องค์เป็นคู่กันอยู่ที่ลานหน้าวัดราชสิทธาราม (อันเป็นที่สถิตของสมเด็จพระญาณสังวร) องค์หนึ่งทรงขนานนามว่า “พระสิราสนเจดีย์” ทรงอุทิศใน พระนามของพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั อกี องคห์ นง่ึ มนี ามวา่ “พระสริ จมุ ภตเจดยี ”์ เปน็ พระบรม ราชูทิศในพระนามของพระองค์เองยังปรากฏอยู่ ตรัสว่าเพราะได้เคยเป็นศิษย์สมเด็จพระญาณสังวร มาดว้ ยกนั ทง้ั ๒ พระองค์ เมอ่ื ลาผนวชสามเณรแลว้ เสดจ็ มาประทบั ในบรเิ วณพระราชวงั ขา้ งฝา่ ยหนา้ จะสรา้ งตำหนกั ขน้ึ ใหม่ หรือจะใช้สถานอันใดที่มีอยู่แล้วจัดเป็นตำหนัก ข้อนี้หาทราบไม่ ปรากฏแต่ว่าที่เสด็จประทับอยู่ข้าง ด้านหน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ใกล้ประตูสุวรรณบริบาล คงอยู่ตรงที่สร้างโรงกระษาปณ์ใหม่ใน รชั กาลท่ี ๕๑ ซง่ึ เรยี กวา่ “หอราชพธิ กี รรม” ในบดั น้ี สมเดจ็ พระบรมชนกนาถโปรด ฯ ใหท้ รงบญั ชาการ กรมมหาดเล็ก ทั้งรับราชการอย่างอื่นอยู่ใกล้ชิดติดพระองค์เป็นนิจ ทรงฝึกสอนราชศาสตร์ พระราชทานเอง และในตอนนี้คงทรงศึกษาวิชาวิสามัญต่าง ๆ สำหรับพระราชกุมารด้วย เสด็จประทับ อยู่ในพระบรมมหาราชวัง จนถึงปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๖๕ ครั้นเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรสี ิ้นพระชนม์ จึงได้พระราชทานพระราชวังเดิมครั้งกรุงธนบุรี ให้เสด็จออกอยู่ต่างวังเมื่อพระชันษาได้ ๑๘ ปี แต่ได้ทรงครอบครองพระราชวังเดิมไม่ถึง ๓ ปี พอปีวอก พ.ศ.๒๓๖๗ พระชันษาถึง ๒๑ ปี เสด็จออกทรงผนวชเป็นพระภิกษุตามประเพณี พอทรงผนวชได้ ๑๕ วัน ก็เผอิญเกิดวิบัติด้วย สมเดจ็ พระบรมชนกนาถเสดจ็ สวรรคต พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เริ่มประชวรเมื่อเดือน ๘ แรม ๔ ค่ำ (ปีวอก พ.ศ.๒๓๖๗) ๒ แตแ่ รกรสู้ กึ พระองคว์ า่ เมอ่ื ยมนึ ไปเสวยพระโอสถขา้ งทไ่ี มถ่ กู โรค เลยเกดิ พระอาการเชอ่ื มซมึ * ที่สมเด็จพระญาณสังวร ไม่ได้เป็น สมเด็จพระสังฆราช มาแต่ก่อน เพราะท่านทรงคุณทางวิปัสสนาธุระ ไม่ได้เป็นเปรียญ แต่เมื่อสมเด็จพระสังฆราช (มี) สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงตั้งสมเด็จพระญาณสังวรเป็นสมเด็จพระสังฆราช เฉลิมพระราชศรัทธา เมื่ออายุท่านถึง ๙๐ ปี เรียกกันว่า “สังฆราชไก่เถื่อน” เพราะท่านเชี่ยวชาญวิปัสสนาธุระ นัยว่าถึงอาจให้ไก่เถื่อน เชอ่ื งไดด้ ว้ ยอำนาจพรหมวหิ ารของทา่ น รปู หลอ่ สมเดจ็ พระสงั ฆราชพระองคน์ ก้ี บั ฐานจำหลกั ลายเปน็ รปู ไกเ่ ถอ่ื นมอี ยใู่ นวดั มหาธาตฯุ ๑ โรงกระษาปณส์ ทิ ธกิ ารหลงั ทส่ี รา้ งในสมยั รชั กาลท่ี ๕ ใชม้ าจนถงึ พ.ศ.๒๔๔๕ จงึ ยา้ ยไปสรา้ งใหมบ่ รเิ วณสะพานเสย้ี ว ส่วนอาคารโรงกระษาปณ์สิทธิการหลังเดิมใช้เป็นกองมหาดเล็ก ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑว์ ัดพระศรีรัตนศาสดาราม (พ.ศ.๒๕๔๒) ๒ ตรงกบั วนั พธุ ท่ี ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๖๗
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นเสวยราชย์ ๓๒๗ จนไม่สามารถจะตรัสได้ แก้อย่างไรก็ไม่ฟื้น ประชวรอยู่ ๘ วัน ถึงวันพุธ เดือน ๘ แรม ๑๑ ค่ำ๑ ก็เสด็จสวรรคต ไม่ได้ดำรัสสั่งมอบเวนราชสมบัติพระราชทานแก่เจ้านายพระองค์ใดให้เป็นที่รัชทายาท พระราชวงศ์กับเสนาบดีหัวหน้าข้าราชการทั้งปวง จึงต้องประชุมปรึกษากันตามธรรมเนียมโบราณ ว่าจะควรเชิญเจ้านายพระองค์ใดขึ้นเสวยราชย์ ครอบครองบ้านเมือง ในเวลานั้นถ้าว่าตามนิตินัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อยู่ในฐานสมควรจะได้รับราชสมบัติ เพราะเป็นสมเด็จเจ้าฟ้า ราชโอรสองค์ใหญ่อันเกิดด้วยพระอัครมเหสี แต่เผอิญในเวลานั้นมีกรมหมื่นเจษฎาบดินทร (คือพระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ซึ่งเป็นพระองค์เจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ เจริญพระชันษากว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถึง ๑๗ ปี ได้ทรงบังคับบัญชาราชการต่างพระเนตรพระกรรณ เมื่อตอนปลายรัชกาลที่ ๒ ผู้คนยำเกรงนับถืออยู่โดยมาก ที่ประชุมเห็นว่าควรถวายราชสมบัติแก่ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร บ้านเมืองจึงจะเรียบร้อยเป็นปกติ จึงอาศัยเหตุที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงผนวชอยู่ ให้ไปทูลถามว่าจะทรงปรารถนาราชสมบัติ หรือจะทรงผนวชต่อไป ฝ่าย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบกิตติศัพท์อยู่แล้ว ว่าคิดกันจะถวายราชสมบัติแก่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพิจารณาเห็นว่าถ้าพระองค์ปรารถนาราชสมบัติในเวลานั้น พระราชวงศ์คงแตกสามัคคีกัน อาจจะเลยเกิดเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมือง ตรัสปรึกษาเจ้าฟ้ากรมขุน อศิ รานรุ กั ษ์ซง่ึ เปน็ พระเจา้ นา้ พระองคน์ อ้ ย ทลู แนะนำวา่ ควรจะคดิ เอาราชสมบตั ติ ามทม่ี สี ทิ ธ์ิ พระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงเห็นชอบด้วย ไปทูลปรึกษากรมหมื่นนุชิตชิโนรส๒ พระปิตุลาซึ่ง ทรงผนวชอยู่ กับทั้งกรมหมื่นเดชอดิศร๓พระเชษฐาซึ่งทรงนับถือมาก ทั้งสองพระองค์นั้นตรัสว่า ไม่ใช่เวลาควรจะปรารถนาอย่าหวงราชสมบัติดีกว่า เพราะฉะนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงฟงั คำถาม จงึ ตรสั ตอบวา่ มพี ระประสงคจ์ ะทรงผนวชอยตู่ อ่ ไป กเ็ ปน็ อนั สน้ิ ความลำบาก ในการทจ่ี ะถวายราชสมบตั แิ กพ่ ระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั การที่ถวายราชสมบัติแก่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งนั้น เมื่อพิจารณาในเรื่อง พงศาวดารดูก็ไม่น่าพิศวง ด้วยในรัชกาลที่ ๒ นั้น มีเจ้านายเป็นหลักราชการมาแต่แรก ๓ พระองค์ คือ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์พระองค์ ๑ เจ้าฟ้ากรมหลวง พิทักษ์มนตรี พระอนุชาของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีพระองค์ ๑ และพระองค์เจ้าทับ ๑ ตรงกบั วันพธุ ท่ี ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗ ๒ ตอ่ มาทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส ๓ ทรงกำกบั กรมพระอาลกั ษณ์ ตอ่ มาทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดศิ ร
๓๒๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระเจ้าลูกยาเธอองค์ใหญ่ ซึ่งทรงสถาปนาเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทรพระองค์ ๑ พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรด ฯ ให้กรมพระราชวังบวร ฯ ทรงกำกับราชการแผ่นดินต่างพระเนตร พระกรรณทั่วไป โปรด ฯ ให้เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีทรงกำกับกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงวัง และโปรดฯ ให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทรทรงกำกับกระทรวงพระคลัง เป็นเช่นนั้นมา ๘ ปี ถึงปีฉลู พ.ศ. ๒๓๖๐ กรมพระราชวงั บวรฯ สวรรคต ตอ่ นน้ั เจา้ ฟา้ กรมหลวงพทิ กั ษม์ นตรกี เ็ ปน็ หวั หนา้ ในราชการ ต่อมาอีก ๕ ปี ถึงปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๖๕ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีสิ้นพระชนม์ เหลือแต่ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร ก็ได้รับราชการต่างพระเนตรพระกรรณต่อมาถึง ๓ ปี ในเวลาเมื่อสิ้นรัชกาล ที่ ๒ กรมหมื่นเจษฎาบดินทรได้ทรงบังคับบัญชาราชการอยู่โดยมาก ถ้าถวายราชสมบัติแก่พระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เหมือนถอดถอนพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจากอำนาจที่มี อยแู่ ลว้ ถา้ ไมท่ รงยอมจะทำอยา่ งไร พฤตกิ ารณเ์ ปน็ เชน่ น้ี จงึ ตอ้ งถวายราชสมบตั แิ กพ่ ระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่เรื่องนี้มีกระแสพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อีกอย่างหนึ่ง เคยตรัสปรารภว่า ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงรับราชสมบัติ ในครง้ั นน้ั ทจ่ี รงิ กลบั เปน็ คณุ แกป่ ระเทศสยาม เพราะในเวลานน้ั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ได้ทรงศึกษาวิชาความรู้แต่ตามแบบโบราณ การงานในบ้านเมืองก็ทรงทราบเพียงเท่ากับเจ้านายพระองค์ อน่ื ถา้ ไดร้ บั ราชสมบตั ใิ นเวลานน้ั พระบรมราโชบายในการปกครองบา้ นเมอื ง กน็ า่ จะเปน็ ทางเดยี วกนั กบั พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นเอง ที่ทรงผนวชอยู่ตลอดรัชกาลที่ ๓ ได้มีโอกาสเสด็จไป เที่ยวธุดงค์ ทอดพระเนตรเห็นภูมิประเทศและทรงทราบความสุขทุกข์ของราษฎร ตามหัวเมืองต่าง ๆ ด้วยพระองค์เองกับทั้งได้โอกาสทรงศึกษาวิชาความรู้และภาษาฝรั่ง พอทันเวลาที่ฝรั่งจะเริ่มแผ่อำนาจ มาถงึ ประเทศสยาม พเิ คราะหด์ รู าวกบั ชาตาบา้ นเมอื ง บนั ดาลใหเ้ สดจ็ รอมาเปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ ตอ่ เมอ่ื มคี วามสามารถจะอำนวยรฏั ฐาภปิ าลโนบาย ไดต้ ามความตอ้ งการของบา้ นเมอื ง กระแสพระราชปรารภทว่ี า่ มาน้ี ถา้ พจิ ารณาในเรอ่ื งพงศาวดารรชั กาลท่ี ๔ ดกู เ็ ปน็ อศั จรรยจ์ รงิ จะเล่าเรื่อง พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงผนวช จะต้องชี้แจง ให้ผู้อ่านทราบลักษณะการที่เจ้านายออกทรงผนวชเสียก่อน ตามประเพณีมีสืบมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ระเบียบการศึกษาของพระราชกุมาร เมื่อเรียนอักขรสมัยเบื้องต้นตลอดแล้ว พอพระชันษาถึง ๑๔ ปี ต้องออกทรงผนวชเป็นสามเณร เพื่อศึกษาศีลธรรมครั้งหนึ่ง และเมื่อเจริญพระชันษาถึง ๒๑ ปี ต้องทรงผนวชเป็นพระภิกษุเพื่อศึกษาพระศาสนาและวิชาชั้นสูง (ทำนองเดียวกับเข้ามหาวิทยาลัย)
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นเสวยราชย์ ๓๒๙ อกี ครง้ั หนง่ึ จงึ นบั วา่ สำเรจ็ การศกึ ษาแตน่ น้ั ไป เจา้ นายทอ่ี อกทรงผนวชนน้ั บางพระองค์ทรงผนวช เปน็ สามเณร แลว้ เกดิ นยิ มการเลา่ เรยี นในสำนกั สงฆ์ เลยทรงผนวชอยจู่ นอปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษุ แมท้ ส่ี ดุ บางพระองค์เลยอยู่ในสมณเพศต่อไปจนตลอดพระชนมายุก็มี แต่โดยมากนั้นทรงผนวชเป็นสามเณร อยู่เพียงพรรษาหนึ่งหรือสองพรรษา แล้วก็ลาผนวชกลับมาศึกษาวิชาการทางฝ่ายฆราวาส จน พระชันษาถึง ๒๑ ปี จึงออกทรงผนวชเป็นพระภิกษุตามประเพณี แต่ทรงผนวชอยู่เพียงพรรษา เดยี วแลว้ กล็ าผนวชมารบั ราชการบา้ นเมอื ง กก็ ารเลา่ เรยี นสำหรบั ผทู้ บ่ี วชเปน็ พระภกิ ษนุ น้ั มเี ปน็ ๒ อยา่ ง เรียกว่า “คันถธุระ” คือเรียนคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยพยายามอ่านพระไตรปิฎกให้รอบรู้ พระธรรมวนิ ยั อย่างหนึ่ง เรียกว่า “วปิ สั สนาธรุ ะ” คอื เรียนวธิ ที ีจ่ ะพยายามชำระใจของตนเองใหบ้ รสิ ุทธ์ิ หลุดพ้นจากกิเลสอย่างหนึ่ง การเรียนคันถธุระต้องเรียนหลายปีเพราะต้องเรียนภาษามคธก่อน ต่อรู้ ภาษามคธแล้วจึงจะอ่านพระไตรปิฎกเข้าใจได้ เจ้านายที่ทรงผนวชแต่พรรษาเดียวไม่มีเวลาพอจะเรียน คันถธุระ จึงมักเรียนวิปัสสนาธุระอันเป็นการภาวนา อาจเรียนได้ด้วยไม่ต้องรู้ภาษามคธและถือกัน อกี อยา่ งหนง่ึ วา่ ถา้ เรยี นวปิ สั สนาธรุ ะชำนาญแลว้ อาจจะทรงคณุ วเิ ศษในทางวทิ ยาคม เปน็ ประโยชน์ อย่างอื่นตลอดจนวิชาพิชัยสงคราม เพราะฉะนั้นเจ้านายซึ่งทรงผนวชแต่พรรษาเดียวจึงมักทรงศึกษา วิปัสสนาธุระมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า- นภาลัยและพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชในรัชกาลที่ ๑ ก็ทรงศึกษาวิปัสสนาธุระ เพราะฉะนน้ั เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงผนวช พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั จึงโปรด ฯ ให้ทำตามเยี่ยงอย่างครั้งพระองค์ทรงผนวช ทรงรับอุปสมบทที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว เสดจ็ ไปประทบั ณ ตำหนักในวดั มหาธาตุ ฯ ทำอปุ ชั ฌายวตั ร ๓ วนั แลว้ เสดจ็ ไปจำพรรษาทรงศกึ ษา วปิ สั สนาธรุ ะ ณ วดั สมอราย (ซง่ึ พระราชทานนามวา่ วดั ราชาธวิ าส เมอ่ื รชั กาลท่ี ๔) เมื่อแรกทรงผนวช พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เห็นจะจำนงทรงศึกษาวิปัสสนาธุระ เหมอื นเชน่ ทเ่ี จา้ นายทรงผนวชเคยศกึ ษากนั มาแตก่ อ่ น หรอื อยา่ งวา่ “พอเปน็ กริ ยิ าบญุ ” เพราะจะทรงผนวช อยู่เพียงพรรษาเดียว แต่เมื่อเกิดเหตุวิบัติด้วยสมเด็จพระบรมชนกนาถสวรรคต และพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ราชสมบัติ ส่วนพระองค์จะต้องทรงเพศเป็นสมณะต่อไปไม่มีกำหนด ทรงพระดำริเห็นว่าฐานะของพระองค์ไม่ควรจะเกี่ยวข้องกับการบ้านเมือง จึงเปลี่ยนเจตนาไปจำนง จะทรงศึกษาพระพุทธศาสนาให้รอบรู้ตามสมควรแก่หน้าที่ของพระภิกษุ ก็ในเวลานั้นได้เริ่มทรงศึกษา วิปัสสนาธุระมาแล้วแต่แรกทรงผนวช จึงตั้งพระหฤทัยขะมักเขม้นจะเรียนให้ได้ความรู้วิปัสสนาธุระอย่าง
๓๓๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ถ่องแท้ ไม่ช้าเท่าใดก็ทรงทราบสิ้นตำราที่พระอาจารย์เคยสอนเจ้านายมาแต่ก่อน ความข้อใดใน ตำราที่ทรงสงสัยตรัสถามพระอาจารย์ก็ไม่สามารถชี้แจงถวายให้สิ้นสงสัยได้ ทูลแต่ว่าครูบาอาจารย์ เคยสอนมาเพียงเท่านั้น ก็เกิดท้อพระหฤทัยในการที่ทรงศึกษาวิปัสสนาธุระ พอออกพรรษาจึงเสด็จ กลับลงมาประทับ ณ วัดมหาธาตุ ฯ ตั้งต้นเรียน คันถธุระหมายจะให้สามารถอ่านพระไตรปิฎก ศึกษา หาความรู้ได้โดยลำพังพระองค์ ได้ยินว่าพระวิเชียรปรีชา (ภู่) เจ้ากรมราชบัณฑิตย์ ซึ่งมีความรู้ เชี่ยวชาญอย่างยิ่งในสมัยนั้น เป็นพระอาจารย์สอนภาษามคธถวาย ทรงขะมักเขม้นเรียนอยู่ ๓ ปีก็ รอบรู้ภาษามคธผิดกับผู้อื่นเป็นอย่างอัศจรรย์ จนกิตติศัพท์เลื่องลือทราบถึงพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว วันหนึ่งมีพระราชดำรัสถามพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าจะแปล พระปรยิ ตั ธิ รรมถวายทรงฟงั ไดห้ รอื ไม่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ถวายพระพรรบั วา่ จะสนอง พระเดชพระคณุ ตามพระราชประสงค์ ก็ประเพณีการสอบความรู้พระปริยัติธรรมในสมัยนั้น กำหนดหลักสูตรเป็น ๙ ประโยค* ผู้ที่เข้าสอบความรู้ต้องสอบได้ตั้งแต่ ๓ ประโยคขึ้นไปจึงนับว่าเป็นเปรียญ ถ้าได้เพียง ๓ ประโยค เทียบชั้นเปรียญตรี ถ้าได้ตั้งแต่ ๔ ถึง ๖ ประโยคเทียบชั้นเปรียญโท ถ้าได้ตั้งแต่ ๗ ประโยคขึ้นไป เทียบชั้นเปรียญเอก แต่เจ้านายที่ทรงผนวชแม้ทรงผนวชอยู่นาน และได้เรียนคันถธุระ เช่นกรมหมื่น นชุ ติ ชโิ นรสเปน็ ตน้ แตก่ อ่ นมาหาเคยมพี ระองคห์ นง่ึ พระองคใ์ ดไดเ้ ขา้ สอบความรพู้ ระปรยิ ตั ธิ รรมในสนามไม่ ถ้าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ตรัสชวน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็คงไม่ เข้าสอบ เหตุใดพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชประสงค์จะให้พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เข้าสอบความรู้เป็นเปรียญพระปริยัติธรรม ข้อนี้เมื่อคิดดู เห็นว่าพระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวคงทรงพระราชดำริว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวใฝ่พระหฤทัย ศึกษาพระศาสนานั้นเป็นความดี อันสมควรจะทรงอุดหนุน จะได้เป็นกำลังช่วยทำนุบำรุงทางฝ่าย พุทธจักรและเป็นพระเกียรติแก่พระราชวงศ์ โดยไม่ขัดขวางทางการฝ่ายอาณาจักร ด้วยเหตุนี้จึงตรัส ชวนให้เข้าสอบความรู้ เพื่อจะให้ปรากฏปรีชาสามารถให้สงฆมณฑลนับถือ ฝ่ายข้างพระบาทสมเด็จ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กจ็ ะทรงพระดำรเิ ปน็ ทำนองเดยี วกนั จงึ รบั เขา้ แปลพระปรยิ ตั ธิ รรม * ประเพณีเดิมกำหนดแต่ว่า ถ้าแปลพระสุตตันตปิฎกได้ ได้เป็นเปรียญตรี ถ้าแปลพระวินัยได้ด้วยได้เป็นเปรียญโท ถ้าแปลได้ทั้งพระสุตตันตปิฎก พระวินัยและพระปรมัตถ์ได้เป็นเปรียญเอก ถึงรัชกาลที่ ๒ แก้วิธีสอบพระปริยัติธรรมเป็น ๙ ประโยค สันนิษฐานว่าสมเด็จพระสังฆราช (มี) เป็นผู้คิดจัดระเบียบใหม่ ด้วยปรารภว่าวิธีอย่างเดิมหละหลวม ผู้มีความรู้ต่ำสามารถจะเป็นเปรียญได้ จงึ จดั หลกั สตู รใหก้ วดขนั ขน้ึ
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นเสวยราชย์ ๓๓๑ เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงแปลพระปรยิ ตั ธิ รรมนน้ั พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจ้าอยู่หัวโปรดใหป้ ระชมุ คณะพระมหาเถระผู้สอบในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย และเสด็จออกทรงฟังแปล ทุกวัน* วันแรกแปลคมั ภรี ธ์ รรมบท ซึ่งเป็นหลักสูตรสำหรับสอบความรู้ชั้นประโยค ๑ ประโยค ๒ และ ประโยค ๓ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลพักเดียวได้ตลอดประโยค ไม่มีพลาดพลั้ง ให้พระมหาเถระต้องทักท้วงเลย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยินดี ดำรัสว่าเห็นความรู้ เชี่ยวชาญในคัมภีร์ธรรมบทแล้ว ไม่ต้องแปลคัมภีร์ธรรมบทส่วนประโยค ๒ และประโยค ๓ ต่อไปก็ได้ ให้แปลคัมภีร์มงคลทีปนีสำหรับประโยค ๔ ทีเดียวเถิด วันที่ ๒ เสด็จเข้าแปลประโยค ๔ และวันที่ ๓ แปลคัมภีร์บาลีมุตสำหรับประโยค ๕ ก็ทรงสามารถแปลได้โดยสะดวกอีกทั้ง ๒ คัมภีร์ แต่ใน วนั ท่ี ๓ นน้ั เมอ่ื เสรจ็ การแปลแลว้ ปรากฏวา่ กรมหมน่ื รกั ษร์ ณเรศร (ทเ่ี รยี กกนั ภายหลงั วา่ หมอ่ มไกรสร)๑ ซึ่งเป็นผู้กำกับกรมธรรมการ ถามพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมฬีโลกฯ อันเป็นผู้มีชื่อเสียงว่า เชี่ยวชาญพระปริยัติธรรม และได้นั่งเป็นผู้สอบอยู่ด้วย ว่า “นี่จะปล่อยกันไปถึงไหน” พระบาทสมเด็จ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงทราบกน็ อ้ ยพระหฤทยั ใหน้ ำความขน้ึ กราบทลู พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ในวนั นน้ั วา่ ทเ่ี ขา้ มาแปลพระปรยิ ตั ธิ รรม ทรงเจตนาแตจ่ ะสนองพระเดชพระคณุ หาไดป้ รารถนา ยศศักดิ์ลาภสักการอย่างใดไม่ ได้แปลถวายทรงฟัง ๓ วันเห็นว่า พอเฉลิมพระราชศรัทธาแล้ว ขออย่า ให้ต้องแปลต่อไปเลย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบความขุ่นหมองที่เกิดขึ้น ก็ทรงบัญชาตามพระหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระราชทานพัดยศสำหรับ เปรยี ญเอก ๙ ประโยคใหท้ รงถอื เปน็ สมณศกั ด์ติ อ่ มา เหตทุ ห่ี มอ่ มไกรสรเขา้ ไปเกยี ดกนั ครง้ั นน้ั เนอ่ื งมาจากเรอ่ื งเปลย่ี นรชั กาล ดว้ ยหมอ่ มไกรสรอยใู่ น พวกเจ้านายที่ประสงค์จะให้ราชสมบัติพลัดจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปได้แก่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อการเป็นได้ดังประสงค์แล้ว เจ้านายพระองค์อื่นก็กลับสมัคร สมานอยา่ งเดมิ แมพ้ ระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั กไ็ มท่ รงรงั เกยี จกนิ แหนงในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงอุดหนุนเพื่อจะให้เจริญพระเกียรติทางฝ่ายพุทธจักรดังกล่าวมาแล้ว แต่หม่อมไกรสรยังมีทิฏฐิถือว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อาจจะเป็นศัตรูราชสมบัติ * การแปลพระปรยิ ตั ธิ รรมตามปกติ แปล ณ วดั ท่สี ถิตของสมเดจ็ พระสงั ฆราช ๑ พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๑ พระนามเดมิ วา่ พระองคเ์ จา้ ชายไกรสร ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ทรงกำกบั กรมสงั ฆการี บางแห่งเขียนพระนามว่ากรมหมื่นรักษ์รณเรศ
๓๓๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ คอยแกลง้ เกยี ดกนั ดว้ ยอบุ ายตา่ ง ๆ เพอ่ื จะมใิ หผ้ คู้ นนยิ มนบั ถอื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จึงถูกหม่อมไกรสรเป็นตัวมารคอยใส่ร้ายต่าง ๆ ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ จนผลกรรมบันดาลให้ตัวต้อง ราชภยั เปน็ อนั ตรายไปเอง๑ การทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงศกึ ษาคนั ถธรุ ะผดิ กบั ผอู้ น่ื ดว้ ยตง้ั พระหฤทยั จำนง แตจ่ ะเรยี นพระพุทธศาสนาให้รอบรู้อย่างถ่องแท้ มิได้หมายจะมีตำแหน่งฐานันดรอย่างใดในสงั ฆมณฑล เพราะฉะนั้นเมื่อทรงทราบภาษามคธถึงสามารถจะอ่านพระไตรปิฎกเข้าพระหฤทัยได้โดยลำพังพระองค์ ก็ทรงพยายามพิจารณาหลักฐานพระพุทธศาสนาต่อมา เมื่อทรงพิจารณาถึงพระวินัยปิฎกปรากฏแก่ พระญาณว่า วัตรปฏิบัติเช่นที่พระสงฆ์ไทยประพฤติกันเป็นแบบแผนผิดพระวินัยที่พระพุทธองค์ ทรงบญั ญตั อิ ยมู่ าก ยง่ิ ทรงพจิ ารณาไป กย็ ง่ิ ทรงเหน็ วปิ ลาสคลาดเคลอ่ื นมาชา้ นานแลว้ กเ็ กดิ วติ กขน้ึ ในพระหฤทยั วา่ หรือสมณวงศ์ที่สืบเนื่องมาจากพระอริยสาวกของพระพุทธเจ้าจะสูญเสียแล้ว แต่อย่างไรก็ดีการที่ พระองค์ทรงผนวช ได้สมาทานว่าจะประพฤติตามพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ถ้าทรงประพฤติ วตั รปฏบิ ตั ติ อ่ ไปในทางทผ่ี ดิ พระพทุ ธบญั ญตั ิ เหน็ วา่ ลาผนวชออกเปน็ แตอ่ บุ าสกจะดกี วา่ “ในขณะเมอ่ื กำลงั ทรงพระวติ กดงั วา่ มาและยงั ไมเ่ หน็ ทางทจ่ี ะแกไ้ ข ไดก้ ติ ตศิ พั ทท์ ราบถงึ พระกรรณวา่ มพี ระเถระมอญองค์ ๑ ( ชอ่ื ซาย นามฉายาวา่ พทุ ธวงศ ) บวชมาแตเ่ มอื งมอญ มาอยวู่ ดั บวรมงคล ไดเ้ ปน็ พระราชาคณะทพ่ี ระสเุ มธมนุ ี เป็นผู้ชำนาญพระวินัยปิฎกและประพฤติวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จึงเสด็จไปทรงทำวิสสาสะสนทนา กับพระสุเมธมุนี ๆ ทูลอธิบายระเบียบวัตรปฏิบัติของพระมอญคณะ (กัลยาณี) ที่ท่านอุปสมบทให้ ทรงทราบโดยพิสดาร ทรงพิจารณาเห็นไม่ห่างไกลจากพระพุทธบัญญัติเหมือนอย่างวัตรปฏิบัติของ พระสงฆ์สยาม ก็ทรงยินดี ด้วยตระหนักในพระหฤทัยว่าสมณวงศ์ไม่สูญเสียแล้วเหมือนอย่างทรง พระวิตกอยู่แต่ก่อน ก็ทรงเลื่อมใสใคร่จะประพฤติวัตรปฏิบัติตามแบบพระมอญ” แต่มีความขัดข้อง ด้วยเสด็จประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุ ฯ อันเป็นที่สถิตของสมเด็จพระสังฆราช จะทรงประพฤติให้ผิดกับ ระเบียบแบบแผนของพระสงฆ์ในวัดนั้น ก็จะเป็นการละเมิดและคนทั้งหลายอาจจะเกิดความเข้าใจผิด ๑ ในรัชกาลที่ ๓ ทรงได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงรักษ์รณเรศ อยู่ในฐานะพระบรมวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ต่อมามีผู้ฎีการ้องเรียนว่าประพฤติองค์ไม่เหมาะสม เช่นการรับสินบนในการพิพากษาคดีความ การยักยอกเงินพระพุทธศาสนา ประพฤตอิ งคเ์ สอ่ื มเสยี ยงุ่ เกย่ี วกบั พวกโขนละคร ซอ่ งสมุ กำลงั มงุ่ หวงั จะเปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ให้ไต่สวนได้ความเป็นจริง จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ลงอาญาโดยถอดพระยศจากกรมหลวงเป็นหม่อมไกรสร แล้วให้สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ณ วดั ปทมุ คงคา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๑
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นเสวยราชย์ ๓๓๓ ต่อไป จึงเสด็จย้ายไปประทับ ณ วัดสมอราย๑เมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๓๗๒ เหมือนอย่างเคยเสด็จประทับ เมอ่ื พรรษาแรกทรงผนวช เวลานน้ั มพี ระภกิ ษหุ นมุ่ เปน็ เจา้ บา้ ง เปน็ ลกู ผดู้ บี า้ ง ทไ่ี ดถ้ วายตวั เปน็ สานศุ ษิ ย์ ศกึ ษาอยใู่ นสำนกั และเลอ่ื มใสในพระดำรอิ กี ราว ๖ รปู ตามเสดจ็ อยวู่ ดั สมอรายกม็ ี อยวู่ ดั อน่ื เปน็ แตไ่ ป ประชมุ ณ วดั สมอรายกม็ ี จงึ เรม่ิ เกดิ เปน็ คณะสงฆ์ ซง่ึ แสวงหาสมั มาปฏบิ ตั ิ อนั มาไดน้ ามในภายหลงั วา่ “ธรรมยตุ กิ า” แตน่ น้ั เปน็ ตน้ มา* ตรงนี้จะกล่าวถึงเรื่องวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ไทยในสมัยนั้นแทรกลงสักหน่อย มีเรื่องตำนาน เล่ากันมาแต่โบราณ (จะเป็นตำนานเกิดขึ้นในเมืองมอญ หรือในเมืองไทยหาทราบไม่) ว่าเมื่อพระสงฆ์ ลังกาวงศเ์ ชิญพระไตรปิฎกมาจากลังกาทวีปนั้น เรือมาถูกพายุพัดพลัดกันไป เรือลำที่ทรงพระวินัยปิฎก พลดั ไปเมอื งมอญ และเรอื ทท่ี รงพระสตุ ตนั ตปฎิ กพลดั มาเมอื งไทย ตำนานนอ้ี าจจะเปน็ อปุ มาไมม่ มี ลู ทางพงศาวดาร แตม่ คี วามจรงิ ประหลาดอยทู่ พ่ี ระสงฆใ์ นเมอื งมอญถอื พระวนิ ยั ปฎิ กเปน็ สำคญั ฝา่ ยพระสงฆ์ ทางเมอื งไทยถอื พระสตุ ตนั ตปฎิ กเปน็ สำคญั เพราะฉะนน้ั พระสงฆไ์ ทยชำนาญการแสดงธรรม แตม่ ใิ คร่ เอาใจใส่ในการปฏิบัติพระวินัยเคร่งครัดนัก เป็นเช่นนั้นมาแต่โบราณ ใช่ว่าพระสงฆ์ไทยจะเป็นอลัชชี หรือไม่มีความรู้นั้นหามิได้ แต่มามีเสียอยู่อย่างหนึ่งที่พระสงฆ์ไทยเชื่อถือคติปัญจอันตรธานใน บรเิ ฉททา้ ยคมั ภรี ป์ ฐมสมโพธ*ิ * เกนิ ไป ในบรเิ ฉทนน้ั อา้ งวา่ พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงพยากรณไ์ วว้ า่ เมอ่ื ถงึ กลยี คุ (คือยุคปัจจุบันนี้) พระพุทธศาสนาจะเสื่อมลงเรื่อยไป สติปัญญาและความศรัทธาอุตสาหะของคน ทง้ั หลายกจ็ ะเลวลงทกุ ที จนไมส่ ามารถรกั ษาพระธรรมวนิ ยั ไวไ้ ด้ ทส่ี ดุ เมอ่ื พทุ ธศกั ราชใกลจ้ ะถงึ หา้ พนั ปี แมพ้ ระสงฆก์ จ็ ะมแี ตผ่ า้ เหลอื งคลอ้ งคอ หรอื ผกู ขอ้ มอื ไวพ้ อรวู้ า่ เปน็ พระเทา่ นน้ั คตติ ามคมั ภรี น์ เ้ี ปน็ เหตุ ให้เชื่อกันว่า พระพุทธศาสนาที่เราถือกันมีแต่จะเสื่อมไปเป็นธรรมดา พ้นวิสัยที่จะคิดแก้ไขให้คืนดีได้ เมื่อเช่นนั้นก็พยายามรักษาพระธรรมวินัยมาแต่เพียงเท่าที่สามารถจนเกิดคำพูดว่า ”ทำพอเป็นกิริยาบุญ” ดว้ ยเชอ่ื คตทิ ก่ี ลา่ วมาน้ี *** แมป้ รากฏในเรอ่ื งพงศาวดารวา่ ไดม้ กี าร “ฟน้ื พระศาสนา” มาเปน็ ครง้ั เปน็ คราว เช่นทำสังคายนาพระไตรปิฎกเมื่อรัชกาลที่ ๑ นั้นก็ดี การฟื้นพระศาสนาที่ทำมานั้นเป็นแต่ฟื้นหาความรู้ หาได้ฟื้นถึงการปฏิบัติไม่ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งระเบียบวัตรปฏิบัติอย่าง ธรรมยตุ กิ า จงึ เปน็ การฟน้ื พระศาสนาสว่ นทบ่ี กพรอ่ งของพระสงฆส์ ยามมาแตโ่ บราณ หรอื วา่ อกี นยั หนง่ึ กค็ อื ๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามว่า วัดราชาธิวาสวรวิหาร ในพ.ศ.๒๓๙๔ * วา่ ตามพระราชวจิ ารณ์ ของพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ในหนงั สอื เรอ่ื งวดั สมอราย ** เป็นคัมภีร์แต่งในลังกาทวีป *** ขา้ พเจา้ ผแู้ ตง่ หนงั สอื น้ี ไดเ้ คยสนทนากบั พระมหาเถระทเ่ี ชอ่ื ถอื คตปิ ญั จอนั ตรธานอยา่ งวา่ หลายองค์
๓๓๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ทรงแก้ไขวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ไทยให้สมบูรณ์ทั้งพระธรรมและพระวินัย เพราะฉะนั้นคติธรรมยุติกา ทท่ี รงตง้ั ขน้ึ จงึ ดกี วา่ คตเิ ดมิ ทง้ั ทพ่ี ระมอญและพระไทยถอื กนั มาแตก่ อ่ น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับไปอยู่วัดราชาธิวาสนั้น พระสงฆ์ซึ่งถือ วตั รปฏบิ ตั อิ ยา่ งธรรมยตุ กิ ามจี ำนวนเพยี งสกั ๒๐ รปู ตามเสดจ็ ไปอยวู่ ดั ราชาธวิ าสบา้ ง คงอยู่ ณ วดั มหาธาตฯุ หรืออยู่วัดอื่นบ้าง แต่เมื่อพระเกียรติคุณที่ทรงเชี่ยวชาญพระไตรปิฎก และพระปฏิภาณในการแสดง พระธรรมเทศนา เลื่องลือแพร่หลาย ก็มีพระภิกษุสามเณรมหานิกายพากันไปถวายตัวเป็นศิษย์ แล้วเลยบวชเป็นธรรมยุติกามากขึ้น และมีพวกคฤหัสถ์พากันเลื่อมใสไปถือศีลฟังธรรมมากขึ้นโดยลำดับ จนที่วัดราชาธิวาสเกิดเป็นสำนักคณาจารย์อันหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงตั้ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระราชาคณะ* ถึงกระนั้นที่ทรงทำความเจริญให้เกิดขึ้น ณ วัดราชาธิวาส ก็เป็นเหตุให้พวกศัตรูมีจิตริษยายิ่งขึ้น ถึงกล่าวแสดงความสงสัยว่าที่คนพอใจไป วดั ราชาธวิ าสกนั มากนน้ั เพราะประสงคจ์ ะยกยอ่ งพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ในทางการเมอื ง ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ไม่ทรงระแวงสงสัยในส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่รำคาญพระราชหฤทัยที่เกิดกล่าวกันเช่นนั้นแพร่หลาย จึงตรัสปรึกษา สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาพชิ ยั ญาติ เมอ่ื ยงั เปน็ ท่ีพระยาศรพี พิ ฒั น ๆ กราบทลู ความเหน็ วา่ ถา้ โปรด ฯ ให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาอยู่เสียใกล้ ๆ ความสงสัยนั้นก็จะระงับไปเอง พระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริเห็นชอบด้วย เผอิญมีกรณีเหมาะแก่พระราชประสงค์ ดว้ ยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ พระราชาคณะแตย่ งั ไมไ่ ดค้ รองวดั และเวลานน้ั พระราชาคณะ ตำแหนง่ เจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศน ฯ ซง่ึ กรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพทรงสรา้ งใหมท่ ใ่ี นพระนครวา่ งอยู่ จึงโปรด ฯ ให้เลื่อนสมณศักดิ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเสมอเจ้าคณะรอง** แล้วเชิญ เสด็จมาครองวัดบวรนิเวศน ฯ เมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๓๗๙ เวลานั้นพระชันษาได้ ๓๒ ปี ทรงผนวชได้ ๑๒ พรรษา *** ก่อนที่จะเล่าเรื่องพระราชประวัติตอนเสด็จอยู่วัดบวรนิเวศน ฯ จะย้อนไปกล่าวถึงเรื่องพระบาท สมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ เทย่ี วธดุ งคใ์ นสมยั เมอ่ื ยงั ประทบั อยวู่ ดั ราชาธวิ าสเสยี กอ่ น เพราะการท่ี เสด็จเที่ยวธุดงค์มามีผลเป็นคุณแก่บ้านเมืองเมื่อภายหลังหลายสถาน คือในสมัยเมื่อพระบาทสมเด็จ * ทรงตง้ั เมอ่ื ปใี ดไมท่ ราบแน่ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา) วดั ราชประดษิ ฐ์ ทา่ นเลา่ วา่ วนั หนง่ึ เสดจ็ เขา้ ไปถวายเทศน์ พระบาทสมเดจ็ **พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ตรสั วา่ “ชตี น้ บวชมานานแลว้ ควรเปน็ ราชาคณะได”้ แลว้ พระราชทานพดั แฉกพน้ื ตาด ให้ทรงถือเปน็ พัดยศตอ่ มา เขา้ ใจวา่ เสมอกนั กบั กรมหมื่นนุชิตชิโนรส คือมฐี านานกุ รม ๗ รูป และลำดบั ยศอยู่ต่อพระพมิ ลธรรม *** ถา้ นบั ตง้ั แตท่ รงผนวชแปลงได้ ๑๑ พรรษา จงึ ทรงเปน็ อปุ ชั ฌายไ์ ดต้ ง้ั แตเ่ สดจ็ มาอยวู่ ดั บวรนเิ วศน ฯ
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นเสวยราชย์ ๓๓๕ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชนั้น ประเพณีที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จประพาสหัวเมืองห่างจากกรุงเทพ ฯ ถงึ ตอ้ งประทบั แรม แมเ้ พยี งเสดจ็ ไปทรงบชู าพระพทุ ธบาท หรอื ไปทรงทอดกฐนิ หลวงถงึ พระนครศรอี ยธุ ยา เปน็ ตน้ หยดุ มาตง้ั แตร่ ชั กาลท่ี ๒ นบั เวลากวา่ ๓๐ ปี เมอ่ื ไมม่ กี ารเสดจ็ พระราชดำเนนิ เจา้ นายและ ขนุ นางผใู้ หญก่ ไ็ มม่ ใี ครเสดจ็ ออกไปเทย่ี วหวั เมอื งไกล นอกจากจำเปน็ ตอ้ งไปในเวลามรี าชการ เพราะเหน็ เป็นการฝ่าฝืนพระราชปฏิบัติเกรงจะระแวงผิดทางการเมือง จึงอยู่กันแต่ในกรุงเทพ ฯ เป็นพื้น เมื่อ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงฟน้ื พระศาสนา ใครจ่ ะศกึ ษาธดุ งควตั รใหบ้ รบิ รู ณ์ ทรงพระราช ดำรวิ า่ พระองคท์ รงเพศเปน็ สมณะ ไมเ่ กย่ี วขอ้ งกบั การเมอื ง จงึ ถวายพระพรลาพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไปบชู ามหาเจดยี สถานตามหวั เมอื งตา่ ง ๆ กโ็ ปรด ฯ พระราชทานอนญุ าตไมข่ ดั ขวาง จงึ ไดเ้ สดจ็ ไป ตามหัวเมืองมณฑลนครชัยศรี มณฑลราชบุรี มณฑลอยุธยา และมณฑลนครสวรรค์ ตลอดขึ้นไปจน มณฑลพิษณุโลกทางฝ่ายเหนือ๑ ได้ทอดพระเนตรเห็นภูมิลำเนาและทรงทราบความทุกข์สุขของราษฎรใน หัวเมืองเหล่านั้นด้วยพระองค์เอง เป็นเหตุให้ทรงทราบตระหนักมาแต่เมื่อเสด็จธุดงค์นั้นว่า รัฐบาลใน กรุงเทพ ฯ มิใคร่ทราบความเป็นไปในบ้านเมืองตามที่เป็นจริง อีกสถานหนึ่งได้ทรงทราบอัชฌาสัยใจคอ ของราษฎรชาวหัวเมืองที่เสด็จไป และคนเหล่านั้นเมื่อรู้จักพระองค์ก็พากันชอบพระอัธยาศัย เกิดนิยม นับถือแพร่หลายในเหล่าประชาชนมาแต่ชั้นนั้น ยังอีกสถานหนึ่งซึ่งเป็นประโยชน์สำคัญเกิดขึ้นด้วย พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ไปธดุ งค์ คอื เมอ่ื ไดไ้ ปทอดพระเนตรเหน็ โบราณวตั ถุ เชน่ ศิลาจารึกเป็นต้น กับทั้งโบราณสถานที่มีแบบอย่างต่าง ๆ กันตามสมัย ก็เกิดใฝ่พระหฤทัยในการ ศึกษาโบราณคดีของประเทศสยามโดยทางวิทยาศาสตร์ เหมือนอย่างทรงนำทางให้ผู้อื่นทั้งไทยและ ฝรง่ั นยิ มศกึ ษาตามเสดจ็ ตอ่ มา ความรโู้ บราณคดขี องประเทศสยามจงึ ไดเ้ จรญิ แพรห่ ลาย แมจ้ นทกุ วนั น้ี ใครจะศึกษาโบราณคดีของประเทศสยามก็ยังได้อาศัยพระบรมราชาธิบายของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซง่ึ ทรงพระราชนพิ นธไ์ วแ้ ทบทกุ คน เวลาเมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรด ฯ ใหพ้ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ เขา้ มาอยวู่ ดั บวรนเิ วศนฯ นน้ั ดทู รงระวงั มากทจ่ี ะมใิ หโ้ ทมนสั นอ้ ยพระหฤทยั เปน็ ตน้ วา่ เมอ่ื แหเ่ สดจ็ มาจากวัดราชาธิวาสตามประเพณีแห่พระราชาคณะไปครองวัดนั้น โปรด ฯ ให้จัดกระบวนเหมือนอย่าง แห่เสด็จพระมหาอุปราช แล้วโปรด ฯ ให้สร้างตำหนัก (หลังที่เรียกว่า “พระปั้นหยา”) กับท้องพระโรง ๑ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเรียกนามมณฑลตามที่ทรงจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล ในสมยั รชั กาลท่ี ๔ ยงั ไมเ่ รยี กชอ่ื หวั เมอื งเปน็ มณฑล
๓๓๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ให้เสด็จอยู่เป็นผาสุก และทรงทำนุบำรุงด้วยประการอย่างอื่นอีกเป็นอันมาก* ฝ่ายพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงพอพระหฤทัย ที่ได้เสด็จมาอยู่วัดบวรนิเวศน ฯ ด้วยเหตุหลายสถาน เพราะเมื่อเสด็จประทับอยู่ที่วัดราชาธิวาส วัดนั้นมีพระราชาคณะและพระสงฆ์มหานิกายปกครอง มาแต่เดิม ทรงจัดวางระเบียบธรรมยุติกาได้สะดวกเพียงวัตรปฏิบัติส่วนตัวพระภิกษุ แต่จะจัดต่อขึ้นไป ถึงระเบียบสงฆ์เช่นทำสังฆกรรมเป็นต้นยังขัดข้อง เพราะอยู่ปะปนกับพระสงฆ์ต่างสังวาสกัน ที่สุดพระธรรมยุติกาที่มีขึ้นก็ยังต้องแยกกันอาศัยอยู่ตามวัดต่าง ๆ เพราะเสนาสนะไม่พอจะอยู่ที่ วัดราชาธิวาสได้หมด เสด็จมาอยู่วัดบวรนิเวศนฯ ได้ทรงครองวัดสามารถรับพระสงฆ์ธรรมยุติกา มาอยู่ในวัดเดียวกัน ทั้งพระที่บวชใหม่ก็บวชเป็นธรรมยุติกาทั้งนั้น ในไม่ช้าพระสงฆ์วัดบวรนิเวศน ฯ ก็เป็นธรรมยุติกาทั้งหมด จึงทรงจัดวางระเบียบการคณะสงฆ์และการปกครองวัด ตลอดจนการ สั่งสอนสัปบุรุษ ให้บริบูรณ์ตามคติธรรมยุติกาได้ดังพระประสงค์ แต่ความเดือดร้อนรำคาญก็เกิดขึ้น หลายอย่าง เพราะเสด็จเข้ามาอยู่ใกล้ถูกหม่อมไกรสรพยายามทำร้ายหนักขึ้น จนถึงหาเหตุให้สึก พระสุเมธมุนที ี่เป็นพระอุปัชฌาย์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเบียดเบียนด้วยประการ ต่าง ๆ แม้จนแกล้งใส่บาตรพระธรรมยุติกาด้วยข้าวต้มให้ร้อนมือที่อุ้มบาตร พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องทรงรับความเจ็บช้ำระกำพระหฤทัยมาตลอดอายุของหม่อมไกรสร แต่ก็ไม่ ทรงยอมหย่อนพระอุตสาหะในการฟื้นพระศาสนาด้วยทรงเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชปู ถมั ภอ์ ยู่ จงึ สามารถแสดงวตั รปฏบิ ตั ขิ องพระสงฆธ์ รรมยตุ กิ าไดโ้ ดยเปดิ เผย ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาครองวัดบวรนิเวศน ฯ พอทรงวางระเบียบ นิกายธรรมยุติกาสำเร็จแล้ว ก็ทรงพยายามฟื้นการศึกษาพระปริยัติธรรมต่อมา ทรงพระราชดำริแก้ไข วิธีเรียน ซึ่งแบบเดิมให้เรียนภาษามคธกับพระธรรมวินัยไปด้วยกัน ตามคัมภีร์ที่ใช้เป็นหลักสูตร สำหรับสอบเป็นลำดับขึ้นไป ทรงเปลี่ยนเป็นให้เรียนเป็น ๒ ชั้น ๆ ต้นเรียนแต่ไวยากรณ์ขึ้นไปจนจบ คัมภีร์มงคลทีปนี กวดขันให้รู้ภาษามคธแตกฉานเสียก่อน แล้วจึงให้ศึกษาหาความรู้พระธรรมวินัย ด้วยอ่านคัมภีร์อื่น ๆ ต่อไปเป็นชั้นหลัง ด้วยใช้วิธีนี้นักเรียนสำนักวัดบวรนิเวศน ฯ จึงรู้ภาษามคธ * กล่าวกันมาว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามวัดบวรนิเวศนฯ ในครั้งนั้นด้วย เพื่อให้เป็นพระเกียรติแก่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั แตข่ า้ พเจา้ ผแู้ ตง่ หนงั สอื นเ้ี หน็ วา่ จะพระราชทานมากอ่ นแลว้ เพราะเปน็ วดั ทส่ี ถติ ของพระราชาคณะผใู้ หญ่ แตก่ อ่ นพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ มาครอง
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นเสวยราชย์ ๓๓๗ เชย่ี วชาญถงึ สามารถพดู ภาษานน้ั * และใชห้ นงั สอื อรรถเทศนไ์ ดโ้ ดยสะดวก เมอ่ื เขา้ แปลพระปรยิ ตั ธิ รรม ก็ได้เป็นเปรียญประโยคสูงมากกว่าสำนักอื่น ๆ เล่ากันมาว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เสดจ็ ไปพระราชทานพระกฐนิ ทอดพระเนตรเหน็ พระสงฆว์ ดั บวรนเิ วศน ฯ เปน็ เปรยี ญมาก ตรสั ปราศรยั แก่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “ถ้าวัดของชีต้นเป็นเปรียญทั้งวัดก็จะดีทีเดียว” เพราะเหตุที่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสามารถจดั บำรงุ การเลา่ เรยี นไดร้ งุ่ เรอื งเชน่ นน้ั พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรด ฯ ให้มีตำแหน่งในคณะมหาเถระผู้สอบพระปริยัติธรรมในสนามหลวง แต่เผอิญไปเกิดโต้แย้งกับพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมฬีโลก ฯ (องค์ที่ออกนามมาในตอนที่ ทรงแปลพระปริยัติธรรม) ซึ่งเป็นผู้ใหญ่อยู่แต่ก่อน เรื่องที่เกิดโต้แย้งนั้นเล่ากันมาว่า พระมหาผ่อง (ภายหลังได้เป็นพระราชาคณะที่พระธรรมภาณพิลาศ อยู่วัดประยูรวงศ์) แปลความแห่งหนึ่งว่า “ตุมฺเห อนั วา่ ทา่ นทง้ั หลาย นสิ ที ถ จงนง่ั อาสเน ในอาสนะ” พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไมโ่ ปรด ทแ่ี ปลศพั ท์ อาสเน วา่ “ในอาสนะ” พระมหาผอ่ งแปลใหมว่ า่ อาสเน “เหนอื อาสนะ” พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรด แตพ่ ระพทุ ธโฆษาจารยต์ วิ า่ ไมถ่ กู พระมหาผอ่ งกไ็ มร่ ทู้ จ่ี ะแปลวา่ กระไร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกรงว่าพระมหาผ่องจะตก จึงตรัสขึ้นว่า “นั่งในอาสนะนั้น นั่งอย่างไร จะฉีกอาสนะออกแล้วเข้าไปนั่งในช่องที่ฉีกหรือ หรือจะเอาอาสนะขึ้นคลุมตัวไว้ในนั้น” พระพทุ ธโฆษาจารยโ์ กรธ บงั อาจกลา่ วคำหยาบชา้ ตอ่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ความทราบ ถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็กริ้ว ตรัสสั่งห้ามมิให้นิมนต์พระพุทธโฆษาจารย์เข้าราชการอีก และทรงมอบการสอนพระปริยัติธรรมเป็นสิทธิ์ขาดแก่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่นั้นมา จนตลอดรชั กาล** แตเ่ รอ่ื งเนอ่ื งดว้ ยพระพทุ ธโฆษาจารย์ (ฉมิ ) ยงั ไมห่ มดเพยี งนน้ั เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเสวยราชย์ พระพุทธโฆษาจารย์เกรงว่าจะถูกถอดจากพระราชาคณะด้วย ทรงอาฆาต ถึงเตรียมตัวจะกลับไปอยูเ่ มืองเพ็ชรบุรที ี่ถิ่นเดิม แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กลับทรงพระกรุณาโปรด ฯ ให้พ้นโทษ ตรัสยกย่องว่าพระพุทธโฆษาจารย์ชำนาญพระปริยัติธรรมมาก ให้เลื่อนฐานันดรขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ตำแหน่งเจ้าคณะกลางมาครองวัดมหาธาตุ ฯ * ในจดหมายรายงานหมอ่ มราโชทยั เรอ่ื งทตู ไทยไปยโุ รปเมื่อปมี ะเสง็ พ.ศ. ๒๔๐๐ ว่าเมอ่ื ไปถึงเมอื งลงั กามพี ระสงฆม์ าปราศรยั เป็นภาษามคธ เจ้าหมื่นสรรเพทภักดเี ป็นผู้พูดตอบ เจ้าหมื่นสรรเพท นั้น (ภายหลังเป็นเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง) เคยเป็นแต่มหาดเล็ก ข้าหลวงเดิมอยู่ทีว่ ัดบวรนิเวศน ฯ เพียงนั้นยังพอพูดภาษามคธได้บ้าง ส่อให้เห็นว่าคงจะพูดภาษามคธกัน ได้แพร่หลายในวัดบวรนิเวศน ฯ เมื่อครั้งนั้น ** เรื่องที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสปราศรัยกับเรื่องที่กล่าวนี้ พระสารสาสน์พลขันธ์ (สมบุญ) ซึ่งเมื่อบวชเป็นพระครู สมหุ ฐ์ านานกุ รมของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เลา่ ใหฟ้ งั
๓๓๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ฉมิ ) กเ็ กดิ เลอ่ื มใสในพระคณุ ธรรมทไ่ี มท่ รงพยาบาทวา่ พระองคท์ รงเปน็ บณั ฑติ โดยแท้ จงึ แตง่ คาถาถวายพรอนั ขน้ึ ดว้ ยบทวา่ “ยํ ยํ เทวมนสุ สฺ านํ มงคฺ ลตถฺ าย ภาสติ ”ํ ถวายสนอง พระเดชพระคณุ * พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ชอบพระราชหฤทยั จงึ โปรด ฯ ใหพ้ ระสงฆส์ วด คาถานน้ั ขา้ งทา้ ยพระปรติ ยงั สวดมาจนทกุ วนั น้ี ความเจริญที่เกิดขึ้นในสำนักวัดบวรนิเวศน ฯ ครั้งนั้นกิตติศัพท์ระบือไปถึงลังกาทวีป ว่าพระวชิรญาณมหาเถระ** อันเป็นพระอนุชาของสมเด็จพระธรรมิกราชพระเจ้าแผ่นดิน ได้ฟื้น พระธรรมวินัยให้รุ่งเรืองขึ้นในประเทศสยาม ถึงคณะสงฆ์ในลังกาแต่งสมณทูตให้เข้ามาสืบข่าว พระศาสนา*** พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงมอบการรับสมณทูตลังกาครั้งนั้น ให้เป็น พระธุระของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อาศัยเหตุที่ทรงวิสสาสะกับพระสงฆ์ลังกาที่เข้ามา ครั้งนั้น ทรงทราบเบาะแสซึ่งจะหาคัมภีร์พระไตรปิฎกอันขาดฉบับอยู่เมื่อครั้งทำสังคายนาในรัชกาลที่ ๑ จึงทูลความแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็โปรด ฯ ให้ทรงจัดสมณทูต มีพระปลัดสังข์ วัดบวรนิเวศน ฯ (ซึ่งมีนามฉายาว่า สุภูติ) กับพระปลัดเกิด วัดบรมนิวาศ (ซึ่งมีนามฉายาว่า อมโร) อันเป็นเปรียญธรรมยุติกา ๙ ประโยค ทั้งสององค์เป็นหัวหน้า****ออกไปยังลังกาทวีปเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕ เปน็ การไปเยย่ี มตอบและเสาะหาคมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กครง้ั หนง่ึ ตอ่ มาใหพ้ ระปลดั สงั ขอ์ อกไปหาพระไตรปฎิ ก เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๘๗ อกี ครง้ั หนง่ึ ไดค้ มั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กซง่ึ ยงั ขาดฉบบั มาเพม่ิ เตมิ อกี เปน็ อนั มาก พระไตรปฎิ ก ในประเทศสยามจงึ มบี รบิ รู ณแ์ ตน่ น้ั มา ตง้ั แตม่ สี มณทตู เขา้ มาแลว้ ตอ่ มากม็ ีชาวลงั กาทง้ั พระสงฆแ์ ละ คฤหัสถ์ไปมาติดต่อกับสำนักวัดบวรนิเวศน ฯ มิใคร่ขาด จนที่สุดเมื่อถึงรัชกาลที่ ๔ ชาวลังกาทูลขอ ใหส้ ง่ คณะสงฆอ์ อกไปอปุ สมบทตง้ั วงศธ์ รรมยตุ กิ าทใ่ี นลงั กาทวปี พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรด ฯ ใหพ้ ระอโนมมนุ ี (ศรี ซง่ึ ภายหลงั ไดเ้ ปน็ ทส่ี มเดจ็ พระพฒุ าจารย์ อยูว่ ดั ประทมุ คงคา) นำคณะสงฆ์ ออกไปลังกาทวีปอีกครั้งหนึ่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔ แต่การที่จะตั้งวงศ์ธรรมยุติกาหาสำเร็จตามประสงค์ไม่ เพราะพระสงฆ์ลังกาเกิดเกี่ยงแย่งกันเองด้วยพวกนิกายอุบาลีวงศ์ (เรียกในลังกาอีกอย่างหนึ่งว่า สยามวงศ)์ อ้างว่าเป็นวงศ์ของพระสงฆ์ไทยอยู่แล้ว ฝ่ายพวกนิกายพม่าซึ่งเรียกว่า มรัมวงศ์ ก็อ้างว่า พระสงฆ์ธรรมยุติการับอุปสมบทจากนิกายรามัญร่วมสมณวงศ์กับตนอยู่แล้วทั้งสองฝ่าย ไม่ปรองดองกัน * การทแ่ี ตง่ ถวายนน้ั พเิ คราะหด์ เู หมอื นจะแตง่ ถวายพรทา้ ยเทศนา เพราะมคี ำในคาถาแหง่ หนง่ึ วา่ อมิ นิ า ธมมฺ ทาเนน เปน็ อธษิ ฐาน **อ้างอานิสงส์ธรรมทานที่แสดง เปน็ พระนามฉายา ของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั *** เมอ่ื รัชกาลที่ ๒ เคยแต่งสมณทตู ไทยไปสบื ขา่ วพระศาสนาในลงั กาทวปี ครง้ั นก้ี ลบั กนั ฝา่ ยลงั กามาสบื **** พระปลดั สงั ข์ ภายหลงั เปน็ ทพ่ี ระพรหมมนุ ี พระอมโร เปน็ ทพ่ี ระอมราภริ กั ขติ ราชาคณะทง้ั ๒ องค์
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นเสวยราชย์ ๓๓๙ การทจ่ี ะตง้ั คณะสงฆธ์ รรมยตุ กิ าในลงั กาทวปี จงึ ไมส่ ำเรจ็ * เรื่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาภาษาฝรั่ง ปรากฏว่าเริ่มทรงศึกษา ภาษาละตินก่อน ด้วยเมื่อเสด็จประทับอยู่วัดราชาธิวาส เขตวัดติดต่อกับวัดคอนเซปชั่น Immaculate Conception Church ของพวกโรมนั คาทอลกิ และเวลานน้ั สงั ฆราชปาลกวั ต์ ๑ ยงั เปน็ บาดหลวงอธกิ าร ของวดั นน้ั ชอบไปเฝา้ ทลู ถามความรภู้ าษาและขนบธรรมเนยี มไทยเนอื ง ๆ จนทรงคนุ้ เคย จงึ โปรด ฯ ใหส้ อน ภาษาละตนิ ถวายเปน็ ทำนองแลกเปลย่ี นความรกู้ นั ๒ จะไดท้ รงศกึ ษาอยตู่ ลอดเวลาสกั เทา่ ใดและถงึ เพยี งไหน ไมป่ รากฏ แตส่ งั เกตในพระราชหตั ถเลขาเมอ่ื เสวยราชยแ์ ลว้ มกั ทรงใชศ้ พั ทภ์ าษาละตนิ เนอื ง ๆ เหน็ ไดว้ า่ ทรงทราบไวยากรณ์ของภาษานั้น แต่การที่ทรงศึกษาภาษาละตินคงหยุดเมื่อเสด็จย้ายจากวัดราชาธิวาส แตภ่ าษาองั กฤษนน้ั เสดจ็ กลบั มาอยวู่ ดั บวรนเิ วศน ฯ แลว้ หลายปี จงึ ไดเ้ รม่ิ ทรงศกึ ษาตอ่ มชิ ชนั นารอี เมรกิ นั พวกมิชชันนารีอเมริกันกับพวกบาดหลวงฝรั่งเศส แม้เจตนามาสอนคริสต์ศาสนาอันเดียวกันก็ดี ถอื คตติ า่ งกนั เปน็ ขอ้ สำคญั หลายอยา่ ง พวกบาดหลวงถอื ลทั ธโิ รมนั คาทอลกิ วางตวั เปน็ “พระ” พยายาม บำรุงศาสนาด้วยตั้งบริษัท และอุปถัมภ์บำรุงฝึกสอนคนที่เข้ารีตเป็นสำคัญ ฝ่ายพวกมิชชันนารีอเมริกัน ถือลัทธิโปรเตสตันส์ (ซึ่งแตกไปจากโรมันคาทอลิก) วางตัวเป็น “ครู” นำทั้งศาสนาและอารยธรรม Civilization มาสอนชาวตา่ งประเทศนท้ี ว่ั ไปไมเ่ ลอื กหนา้ ชอบใชว้ ธิ ที ำใหเ้ กดิ ประโยชนต์ า่ ง ๆ เชน่ รกั ษาโรค และสอนวิชาความรู้เป็นต้น ให้คนทั้งหลายเลื่อมใสเป็นปัจจัยต่อไปถึงการสอนศาสนา เพราะฉะนั้น พวกมิชชันนารีอเมริกันจึงเข้ากับไทยได้ ผิดกันกับพวกบาดหลวง ในครั้งนั้นมีไทยที่สูงศักดิ์เป็นชั้นหนุ่ม (เชน่ เรยี กกนั ในปจั จบุ นั นว้ี า่ “คนสมยั ใหม่” ) ปรารถนาจะศกึ ษาวชิ าอยา่ งฝรง่ั หลายคน จะกลา่ วแตผ่ ทู้ ม่ี า ปรากฏเกียรติคุณในชั้นหลังคือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังเป็นสมเด็จเจ้าฟ้า * ถึงรัชกาลที่ ๕ มีพระสงฆ์ลังกาฝ่ายมรัมวงศ์ พระเถระที่เป็นหัวหน้าชื่อสิริสุมนติสสะรูป ๑ ชื่อปัญญาเสขรรูป ๑ เข้ามาขอบวช แปลงเปน็ ธรรมยตุ กิ าที่ในกรงุ เทพ ฯ ไดแ้ ปลงตามปรารถนา สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ ทรงเปน็ พระอุปัชฌาย์ (แต่ดูเหมือนจะกลับไปตั้งคณะธรรมยุติกาไม่สำเร็จอีก) ๑ สังฆราช ฌอง แบปติสต์ ปาลเลอกัวซ์ (J.B. Pallegoix) เป็นชาวฝรั่งเศส เดินทางมาถึงกรุงสยามใน พ.ศ. ๒๓๗๓ รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เดินทางไปสอนศาสนาในเมืองต่าง ๆ ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดคอนเซ็ปชัญ ใน พ.ศ. ๒๓๘๑ ได้มีการประกอบพิธีสังฆาภิเษกท่านขึ้นเป็นสังฆราช ท่านได้ดำรงตำแหน่งประมุขมิสซังไทย ต่อมาได้สร้างสำนักพระสังฆราช ขน้ึ ทว่ี ดั อสั สมั ชญั และได้ยา้ ยจากวดั คอนเซ็ปชัญไปอยทู่ ่วี ัดอสั สัมชญั จนมรณภาพใน พ.ศ. ๒๔๐๕ ๒ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สังฆราชปาลเลอกัวซ์เข้าเฝ้าบ่อย ๆ ตั้งแต่ครั้งก่อนขึ้นครองราชย์ เพื่อสนทนา แลกเปลย่ี นความรกู้ นั และเมอ่ื สงั ฆราชปาลเลอกวั ซไ์ ดเ้ ดนิ ทางกลบั ไปเยย่ี มบา้ นทฝ่ี รง่ั เศสใน พ.ศ. ๒๓๙๕ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงฝากพระราชสาส์นถึงสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ ๙ และถึงพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ เพื่อเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตใหม่ หลังจาก หยุดชะงักไปตั้งแตส่ มเด็จพระนารายณ์มหาราชสวรรคต พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ตกลงพระทัยส่งทูตผู้มีอำนาจเต็มมากรุงเทพ ฯ เพื่อเจรจา ทำสญั ญาพระราชไมตรรี ะหวา่ งฝรง่ั เศสกบั ไทย และใหต้ ง้ั สถานกงสลุ ฝรง่ั เศสขึ้นด้วย ในพ.ศ. ๒๓๙๙
๓๔๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ใคร่จะทรงศึกษาวิชาทหารพระองค์ ๑ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เมื่อยังเป็น กรมหมื่น ใคร่จะทรงศึกษาวิชาแพทย์อย่างฝรั่งพระองค์ ๑ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เมื่อยังเป็นที่หลวงนายสิทธิ ใคร่จะศึกษาวิชาต่อเรือกำปั่นคน ๑ ได้ศึกษาวิชาเหล่านั้นต่อพวกมิชชันนารี อเมริกัน แต่ว่าสอนกันด้วยภาษาไทย ส่วนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงคุ้นเคย กับพวกมิชชันนารีอเมริกันตั้งแต่เสด็จอยู่วัดราชาธิวาส แต่หาปรากฏว่าได้ทรงศึกษาวิชาอันใดจากพวก มชิ ชนั นารอี เมรกิ นั ในชน้ั นน้ั ไม่ เหตทุ พ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงศกึ ษาภาษาอังกฤษ พเิ คราะหใ์ นเรอ่ื งพงศาวดาร ส่อให้เห็นว่าน่าจะเป็นเพราะทรงปรารภถึงการบ้านเมืองตั้งแต่จีนรบแพ้อังกฤษ ต้องทำหนังสือ สัญญายอมให้อังกฤษกับฝรั่งต่างชาติเข้าไปมีอำนาจในเมืองจีนเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕ เวลานั้นไทยโดยมาก ยังเชื่อตามคำพวกจีนกล่าวว่าแพ้สงครามด้วยไม่ทันเตรียมตัว รัฐบาลจึงต้องทำหนังสือสัญญา พอให้มีเวลาตระเตรียมรบพุ่งต่อไป แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระดำริเห็นว่า ถึงคราวโลกยวิสัยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยฝรั่งมามีอำนาจขึ้นทางตะวันออกนี้ และประเทศสยาม อาจจะมีการเกี่ยวข้องกับฝรั่งยิ่งขึ้นในวันหน้า จึงเริ่มทรงศึกษาภาษาอังกฤษ มิสเตอรแคสเวล*๑ มชิ ชนั นารอี เมรกิ นั (ซง่ึ เจา้ พระยาทพิ ากรวงศเ์ รยี กในหนงั สอื แสดงกจิ จานกุ จิ วา่ “หมอหศั กนั ”) เปน็ ผสู้ อนถวาย เลา่ กนั มาวา่ มสิ เตอรแคสเวล ไมย่ อมรบั คา่ จา้ ง ทลู ขอแตโ่ อกาสใหส้ อนครสิ ตศ์ าสนาไดท้ ว่ี ดั บวรนเิ วศน ฯ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็กล้าประทานอนุญาตให้สอนที่ศาลาหน้าวัดหลัง ๑ ตามประสงค์ เป็นทำนองเหมือนท้าให้พิสูจน์ความศรัทธาของพุทธบริษัทวัดบวรนิเวศน ฯ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงศึกษาภาษาอังกฤษกับมิสเตอรแคสเวล จนสามารถจะอ่านเขียนและตรัสภาษาอังกฤษ ไดส้ ะดวกดยี ง่ิ กวา่ ใคร ๆ ทเ่ี ปน็ ไทยดว้ ยกนั ในสมยั นน้ั ทง้ั สน้ิ ขอ้ นม้ี หี ลกั ฐานปรากฏเมอ่ื รฐั บาลองั กฤษให้ เซอรเจมส บรุ๊ค๒ เป็นทูตเข้ามาเมื่อตอนปลายรัชกาลที่ ๓ หนังสือที่มีไปมากับไทยใช้ภาษาอังกฤษ * มสิ เตอร แคสเวล เขา้ มาถงึ กรงุ เทพ ฯ เมอ่ื พ.ศ.๒๓๘๒ ๑ ศาสนาจารย์ แจส๊ ซ่ี แคสเวลล์ (Rev. Jesse Caswell) เปน็ มชิ ชนั นารชี าวอเมรกิ นั เดนิ ทางเขา้ มาถงึ กรงุ เทพ ฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งทรงดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎ ให้เป็นพระอาจารย์ถวาย การสอนภาษาองั กฤษให้ การเรยี นจดั ไวส้ ปั ดาหล์ ะสว่ี นั ศาสนาจารยแ์ คสเวลลไ์ ดจ้ ดั ทำพจนานกุ รม ภาษาสยาม-องั กฤษ และ หลกั ไวยากรณ์ ภาษาองั กฤษสำหรบั ชาวสยาม อนั นบั วา่ เปน็ ประโยชนย์ ง่ิ ๒ เซอรเ์ จมส์ บรคุ๊ (Sir James Brooke) ไดร้ บั แตง่ ตง้ั จากรฐั บาลองั กฤษใหเ้ ปน็ ทตู เขา้ มาขอแกไ้ ขหนงั สอื สญั ญากบั ไทยทเ่ี ฮนร่ี เบอรน์ ี ทำไว้ เข้ามาถึงเมืองไทยใน พ.ศ. ๒๓๙๓ ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว การเจรจาขอแก้ไขหนังสือสัญญาดังกล่าว ไม่ประสบความสำเร็จ ต้องเดินทางกลับไป ในการนี้ เซอร์เจมส์ บรุ๊ค ได้บันทึกถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่เมื่อทรงดำรง พระอิสสริยยศเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎใน The Private Letters of Sir James Brooke. London, 1853, vol.2 ซึ่งกรมศิลปากรได้แปลในชีวประวัติ เซอร์เจมส์ บรุ๊ค จดั พมิ พเ์ ผยแพรเ่ มอ่ื พ.ศ.๒๕๑๔ หนา้ ๖๖ ดงั น้ี “เจา้ ฟา้ มงกฎุ ทรงเปน็ ผมู้ คี วามรู้ ทรงอา่ นและเขยี นภาษาองั กฤษได้ และทรง รู้เรื่องวรรณคดขี องเราและวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง...”
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นเสวยราชย์ ๓๔๑ เป็นคราวแรก เวลานั้นข้างฝ่ายไทยไม่มีผู้ชำนาญภาษาอังกฤษ ต้องอาศัยมิชชันนารีอเมริกัน ชื่อ มสิ เตอรโจนส์ (เรียกกันว่า “หมอยอนส์”) คน ๑ กับฝรั่งครึ่งชาติชื่อ เจมสเฮส์ (เรียกกันว่า “เสมียนยิ้ม”) อีกคน ๑ ซึ่งไม่ชำนาญภาษาไทย เป็นผู้แปลและแต่งภาษาอังกฤษ แล้วให้ส่งไปถวายพระบาทสมเด็จ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (เรยี กในจดหมายเหตวุ า่ “ทลู กระหมอ่ มพระ”) ทรงตรวจทกุ ฉบบั พระบาทสมเดจ็ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงศึกษาภาษาอังกฤษในสมัยนั้นอีกพระองค์ ๑ แต่คงเป็นเพราะไม่ทรง ทราบลกึ ซง้ึ ถงึ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จงึ ไมป่ รากฏวา่ ไดม้ หี นา้ ทช่ี ว่ ยตรวจหนงั สอื ทม่ี ไี ปมา กบั เซอรเจมส บรคุ๊ มสิ เตอรแคสเวลถงึ แกก่ รรมเมอ่ื พ.ศ. ๒๓๙๒ ถา้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เรม่ิ ทรงศกึ ษาภาษาองั กฤษ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๘๖ กม็ เี วลาสอนอยู่ ๖ ปี แตส่ นั นษิ ฐานวา่ เหน็ จะทรงศกึ ษาตอ่ มสิ เตอรแคสเวลไมน่ านถงึ ๖ ปี พอทรงสามารถอา่ นภาษาองั กฤษเขา้ พระหฤทยั ไดค้ วามโดยสะดวกแลว้ ก็ทรงศึกษาด้วยพระองค์เองต่อมา วิธีเรียนอย่างว่านี้ยังใช้กันมาจนในรัชกาลที่ ๕ เช่นพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และสมเด็จ กรมพระยาเทววงศวโรปการกด็ ี ตลอดมาจนตวั ผแู้ ตง่ หนงั สอื นเ้ี อง กเ็ รยี นตอ่ ครเู พยี งสกั ๓ ปี แลว้ เรยี น เอาเองตอ่ มาทง้ั นน้ั แตก่ รมหลวงพชิ ติ ปรชี ากรเปน็ ประหลาดกวา่ เพอ่ื น ดว้ ยไมม่ คี รู ทรงพากเพยี รเรยี น แต่โดยลำพังพระองค์ ทรงทราบทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส อาจอ่านหนังสือ ๒ ภาษานั้น เขา้ พระหฤทยั ไดส้ ะดวก เปน็ แตต่ รสั และเขยี นไมไ่ ด้ ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาทราบภาษาอังกฤษ พระเกียรติคุณ ก็แพร่หลายไปถึงนานาประเทศ ด้วยพวกมิชชันนารีและฝรั่งที่เข้ามาถึงกรุงเทพ ฯ บอกเล่ากันต่อ ๆ ไป จนมนี กั เรยี นชาวประเทศอน่ื ทง้ั ทใ่ี กลเ้ คยี งและหา่ งไกลไปจนยโุ รปและอเมรกิ าเขยี นจดหมายมาถวาย ทลู ถาม หาความรตู้ า่ ง ๆ อนั เกย่ี วกบั ประเทศสยาม กม็ พี ระราชหตั ถเลขาตอบตามประสงค์ ลายพระราชหตั ถเลขา ครง้ั นน้ั ยงั ปรากฏอยมู่ าก มกั ทรงแตง่ ตามโวหารภาษาไทย ขอ้ นเ้ี มอ่ื เซอร จอน เบารงิ ๑ เปน็ ราชทตู เขา้ มา เวลาเสด็จเสวยราชย์แล้ว ยกเหตุที่ประเทศอื่น ๆ ทางตะวันออกนี้ไม่มีเจ้านายประเทศใดได้เรียนรู้ ภาษาอังกฤษ ทูลแนะนำให้มีพระราชหัตถเลขาไปถวายสมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย แต่พระบาทสมเด็จ ๑ เซอร์จอห์น เบาริง (Sir John Bowring) เดินทางมาประเทศไทยใน พ.ศ. ๒๓๙๘ ในฐานะอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็ม ในสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร อัญเชิญพระราชสาส์นมาเจรจาทำสนธิสัญญาทางไมตรีและการค้าฉบับใหม่ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และประสบความสำเร็จ สนธิสัญญาฉบับดังกล่าวเรียกกันว่า สนธสิ ัญญาเบารงิ (Bowring Treaty) ผลของสนธสิ ญั ญา เปน็ การเปลย่ี นโครงสรา้ งเศรษฐกจิ ไทยจากเศรษฐกจิ แบบเลย้ี งตวั เอง (Self-Sufficient Economy) มาเปน็ เศรษฐกจิ การคา้ (Trade Economy) ยงั ผลใหเ้ ปน็ การยกเลกิ ระบบการคา้ ผกู ขาดโดยพระคลงั สนิ คา้
๓๔๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรารภความขัดข้องว่าไม่สามารถจะทรงแต่งสำนวนให้เหมือนคนอังกฤษได้ เซอร จอน เบาริง ทูลว่า ถึงพระราชนิพนธ์ไม่เหมือนสำนวนคนอังกฤษแต่ง ใครอ่านก็เข้าใจความตาม พระราชประสงค์ได้ชัดเจน อย่าให้ทรงพระวิตกเลย จึงมีพระราชหัตถเลขาไปถวายสมเด็จพระราชินี วคิ ตอเรยี วชิ าความรตู้ า่ ง ๆ ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงศกึ ษาจากตำราภาษาองั กฤษจะมี อย่างใดบ้าง ข้อนี้มีหลักฐานปรากฏแต่ว่าได้ทรงศึกษาวิชาคณนาวิธีอย่าง ๑ วิชาโหราศาสตร์อย่าง ๑ ประวัติศาสตรอ์ ย่าง ๑ กับการเมืองด้วยอีกอย่าง ๑ การที่ได้ทรงศึกษาวิชาคณนาวิธีและโหราศาสตร์ ปรากฏในเรอ่ื งสรุ ยิ ปุ ราคาทก่ี ลา่ วมาแลว้ ในตอนกอ่ น การทท่ี รงศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์ มเี รอ่ื งเปน็ อทุ าหรณ์ ปรากฏอยู่ในหนังสือ เซอร จอน เบาริง แต่ง ว่า เมื่อจะเป็นอัครราชทูตเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรี ใน พ.ศ. ๒๓๙๘ นน้ั เกรงไทยจะรับรองไม่สมศักดิ์ ด้วยทูตอังกฤษที่เคยเข้ามากรุงเทพ ฯ แต่ก่อน เป็นแต่ทูตของอุปราชในอินเดีย หรือทูตของรัฐบาลอังกฤษ แต่ เซอร จอน เบาริง เป็นอัครราชทูตเชิญ พระราชสาส์นมาต่างพระองค์สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย จะต้องให้รับผิดกัน เซอร จอน เบาริง ค้นหาแบบอย่างที่ไทยเคยรับราชทูตของพระเจ้าแผ่นดิน พบในหนังสือเก่าเล่าเรื่องสมเด็จพระนารายณ์ มหาราชรับ เชวเลีย เดอโชมอง๑ ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๘ เอารายการใน หนังสือนั้นเตรียมมาเปรียบเทียบ ข้างฝ่ายไทยในเวลานั้นไม่มีใครรู้แบบแผน เพราะตำราสูญเสีย แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา มีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบพระองค์เดียว เพราะได้ทรง หนงั สอื พงศาวดารการเกย่ี วขอ้ งในระหวา่ งไทยกบั ฝรง่ั ทฝ่ี รง่ั แตง่ ไวแ้ ตโ่ บราณ ทรงคาดใจ เซอร จอน เบารงิ ว่าคงปรารถนาจะให้รับรองผิดกับทูตอังกฤษที่มาแล้วแต่ก่อน จึงโปรด ฯ ให้เอาแบบอย่างครั้ง สมเด็จพระนารายณ์มหาราชรับราชทูตฝรั่งเศสมาใช้เป็นระเบียบ ก็ถูกใจ เซอร จอน เบาริง ไม่มีทางที่ เกย่ี งงอนได้ เรื่องทรงศึกษาการเมืองที่เกี่ยวกับต่างประเทศนั้น พึงสันนิษฐานได้ว่าคงทรงหนังสือข่าว ที่ฝรั่งพิมพ์ในเมืองจีนและสิงคโปร์ ปีนัง เป็นต้น กับทั้งที่ได้ทรงสนทนาสมาคมกับฝรั่ง ทรงทราบ ประวัติการณ์ที่ฝรั่งมาทำทางตะวันออกนี้และความเห็นของฝรั่งอยู่เสมอ เมื่อครั้งทรงตรวจหนังสือ ที่ไทยโต้ตอบกับ เซอร เจมส บรุ๊ค คงตระหนักแน่พระหฤทัยตามที่ทรงคาดไว้แต่ก่อน ว่าอังกฤษ ๑ Chevalier de Chaumont นายทหารเรอื ชาวฝรง่ั เศส หวั หนา้ นำคณะทตู จากพระเจา้ หลยุ สท์ ่ี ๑๔ แหง่ ฝรง่ั เศสมาเจรญิ สมั พนั ธไมตรี กบั สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราชแหง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยา เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๘
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นเสวยราชย์ ๓๔๓ คงจะมาเกี่ยวถึงเมืองไทย เหตุการณ์ที่ปรากฏในชั้นหลังส่อให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงพระดำรเิ หน็ มาแลว้ แตย่ งั ทรงผนวช วา่ ไทยคงตอ้ งทำหนงั สอื สญั ญากบั องั กฤษดว้ ยจำเปน็ ข้อนี้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็อาจจะทรงพระราชดำริเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เห็นว่าถ้าทำ หนงั สอื สญั ญาตามขอ้ ความทอ่ี งั กฤษปรารถนา จะเกดิ ความฉบิ หายในบา้ นเมอื ง และบางทจี ะยงั เชอ่ื คำ พวกจีนว่าอังกฤษมีกำลังมากแต่ในท้องทะเล ถ้ารักษาปากน้ำให้มั่นคงอย่าให้เรือรบขึ้นมาถึงพระนคร ได้ก็จะปลอดภัย จึงไม่ยอมทำหนังสือสัญญากับ เซอร เจมส บรุ๊ค ว่าตามหลักฐานที่ปรากฏครั้งนั้น มีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียวที่ทรงพระดำริเห็นว่าประเทศสยามจะปลอดภัย ในอนาคตได้แต่ด้วยทำให้ฝรั่งนับถือ แต่ในเวลานั้นทรงผนวช ไม่มีกิจเกี่ยวข้องในราชการบ้านเมือง กน็ ง่ิ อยู่ เรื่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงรับราชสมบัตินั้น พิเคราะห์ความตาม เรื่องพงศาวดารรัชกาลที่ ๓ ดูเหมือนเมื่อตอนแรกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเสวยราชย์ จะยังมิได้ทรงพระราชดำริถึงเรื่องรัชทายาท ด้วยยังไม่แน่พระราชหฤทัยว่าราชการบ้านเมืองจะเรียบร้อย หรอื จะเปน็ อยา่ งไร เพราะผทู้ เ่ี หน็ วา่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สมควรไดร้ บั ราชสมบตั กิ ม็ มี าก จึงทรงสถาปนาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นศักดิพลเสพ๑ ซึ่งมีกำลังมาก เพราะได้กำกับราชการ กระทรวงกลาโหม๒ และเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยยิ่งกว่าเจ้านายพระองค์อื่น เป็นพระมหาอุปราช ถา้ หากพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ สวรรคตในตอนนน้ั กรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพ ก็คงจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน พฤติการณ์เป็นเช่นนั้นมาจนกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพสวรรคต เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๗๕ จงึ เรม่ิ มเี คา้ เงอ่ื นวา่ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงปรารภถงึ เรอ่ื งรชั ทายาท ดว้ ยครง้ั นน้ั พวกขา้ เจา้ ตา่ งกรมหลายพระองคค์ าดกนั วา่ เจา้ นายของตนจะไดเ้ ปน็ พระมหาอปุ ราชเหมอื นอยา่ ง กรมหมื่นศักดิพลเสพ พากันเตรียมตัวจะเป็นขุนนางวังหน้า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเจตนาจะไมต่ ง้ั พระมหาอปุ ราช จงึ ตรสั ปรกึ ษาเสนาบดบี างคน สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาพชิ ยั ญาติ เมื่อยังเป็นที่พระยาศรีพิพัฒน ฯ กราบทูลว่า ถ้าโปรด ฯ ให้เลื่อนกรมเจ้านายเหล่านั้นขึ้นเสียสักชั้นหนึ่ง ใหป้ รากฏวา่ ทรงเจตนาจะใหม้ พี ระยศแตเ่ พยี งเทา่ นน้ั พวกขา้ ในกรมเจา้ นายกค็ งจะไมท่ ะเยอทะยานตอ่ ไป ๑ พระนามเดิมว่าพระองค์เจ้าอรุโณทัย พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ประสูติแต่เจ้าจอม มารดานยุ้ ใหญ่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ถวายพระราชสมญั ญาวา่ สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาศกั ดพิ ลเสพ ๒ ในขณะนน้ั เรยี กวา่ กรมพระกลาโหม
๓๔๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริเห็นชอบด้วย จึงโปรด ฯ ให้เลื่อนกรมเจ้านาย ขึ้นเป็นกรมหลวง กรมขุน หลายพระองค์ * พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงรับกรมเป็น “กรมขุนอิศเรศรังสรรค์” ในครั้งนั้นด้วย ประหลาดอยู่ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเว้น พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไว้ ไมโ่ ปรด ฯ ใหท้ รงรบั กรม จะเปน็ เพราะเหตใุ ด จะวา่ ขดั ขอ้ ง เพราะทรงผนวชเปน็ พระภกิ ษกุ ม็ ใิ ช่ ดว้ ยเมอ่ื กรมหมน่ื นชุ ติ ชโิ นรสทรงรบั กรมกเ็ ปน็ พระภกิ ษมุ เี ปน็ ตวั อยา่ งอยู่ ขอ้ นน้ี า่ สนั นษิ ฐานวา่ คงเปน็ เพราะพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชดำรวิ า่ ตำแหนง่ พระมหา อุปราชเป็นรัชทายาท ไม่สมควรแก่เจ้านายพระองค์อื่นนอกจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ทรงผนวชอยู่ จะทรงตั้งเป็นพระมหาอุปราชก็ขัดข้องทางฝ่ายพระศาสนา จะให้ทรงรับกรมก็ไม่เข้า กบั เหตทุ เ่ี ลอ่ื นกรมเจา้ นายในครง้ั นน้ั จงึ ไดง้ ดเสยี ตอ่ มามกี รณหี ลายอยา่ งทส่ี อ่ ใหเ้ หน็ วา่ พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนงพระราชหฤทัยจะให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นรัชทายาท เชน่ โปรด ฯ ใหแ้ หเ่ สดจ็ อยา่ งพระมหาอปุ ราชเมอ่ื ยา้ ยมาประทบั ณ วดั บวรนเิ วศน ฯ ดงั กลา่ วมาแลว้ ตอ่ มา อกี ครง้ั หนง่ึ เมอ่ื จะยกยอดพระปรางคว์ ดั อรณุ ฯ เดมิ ทำเปน็ ยอดนภศลู ตามแบบพระปรางคโ์ บราณ ครน้ั ใกล้จะถึงวันฤกษ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรัสสั่งให้ยืมมงกุฎที่หล่อสำหรับพระพุทธรูป ทรงเครื่องที่จะเป็นประธานวัดนางนอง มาติดต่อบนยอดนภศูล (ดังปรากฏอยู่บัดนี้) จะเป็นด้วยทรง พระราชดำริอย่างไรจึงทำเช่นนั้น หาได้ตรัสให้ใครทราบไม่ และการที่เอามงกุฎขึ้นต่อบนยอดนภศูล ก็ไม่เคยมีแบบอย่างที่ไหนมาแต่ก่อน คนในสมัยนั้นจึงพากันสันนิษฐานว่า มีพระราชประสงค์จะให้คน ทั้งหลายเห็นเป็นนิมิตว่าสมเด็จเจ้าฟ้า “มงกุฎ” จะเป็นยอดของบ้านเมืองต่อไป** แม้เรื่องสำเร็จโทษ หมอ่ มไกรสรนั้น ๑ เมอ่ื คดิ ดกู เ็ หน็ เหมอื นหนง่ึ จะทรงปอ้ งกนั อนั ตรายมใิ หม้ แี กพ่ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เพราะความผดิ ขอ้ ใหญข่ องหมอ่ มไกรสรอยทู่ ม่ี าดหมายจะเอาราชสมบตั ิเมอ่ื สน้ิ รชั กาลท่ี ๓ แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวรในปีจอ พ.ศ. ๒๓๙๓ ก่อนจะเสด็จสวรรคต โปรดฯ ใหเ้ ขยี นกระแสรบั สง่ั ไปยงั เสนาบดสี ภาเมอ่ื วนั ท่ี ๙ กมุ ภาพนั ธว์ า่ ผทู้ จ่ี ะปกครองแผน่ ดนิ ตอ่ ไปนน้ั * เลยเปน็ ประเพณสี บื มา เมอ่ื พระมหาอปุ ราชสวรรคต คงมกี ารเลอ่ื นกรมเจา้ นายแมไ้ มม่ เี หตเุ หมอื นรชั กาลท่ี ๓ ** เรื่องนี้ เจา้ พระยาภาณวุ งศ์ ฯ และทา่ นผอู้ น่ื ทท่ี นั รบั ราชการในสมยั นน้ั เลา่ ใหฟ้ งั หลายคน ๑ หม่อมไกรสร เดิมคือ พระองค์เจ้าไกรสร พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ประสูติแต่เจ้าจอม มารดาน้อยแก้ว ในรัชกาลที่ ๒ ได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นรักษ์รณเรศ กำกับกรมสังฆการี ในรัชกาลที่ ๓ ไดร้ บั สถาปนาเปน็ กรมหลวงรกั ษร์ ณเรศกำกบั กรมวงั มีผูฎ้ ีการอ้ งเรยี นโทษ รชั กาลท่ี ๓ โปรดเกลา้ ฯ ใหไ้ ตส่ วนเพอ่ื ชำระความ ผลการไตส่ วน ได้ความตามที่มีการร้องเรียน โดยเฉพาะเรื่องการซ่องสุมกำลังมุ่งหวังจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ลงอาญา โดยถอดพระยศจากกรมหลวงเปน็ หมอ่ มไกรสร แลว้ ให้สำเรจ็ โทษดว้ ยทอ่ นจนั ทน์ ณ วดั ปทมุ คงคา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๑
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นเสวยราชย์ ๓๔๕ จะทรงมอบเวนราชสมบัติแก่พระราชวงศ์พระองค์ใดตามชอบพระราชอัธยาศัย ถ้าไม่ชอบใจผู้อื่นโดยมาก ก็จะเสียสามัคคีรส เกิดร้าวฉาน อาจจะเลยเป็นอุปัทวันตรายเดือดร้อนแก่บ้านเมือง เพราะฉะนั้น ให้เสนาบดกี ับข้าราชการทั้งปวงปรึกษากัน ถ้าเห็นว่าพระราชวงศ์พระองค์ใดสมควรจะปกครองแผ่นดิน ให้อยู่เย็นเป็นสุขได้ ก็ให้ถวายราชสมบัติแก่พระองค์นั้นเถิด ในจดหมายเหตุปรากฏว่า ในวันต่อมา พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั มรี บั สง่ั ใหห้ าพระยาศรสี รุ ยิ วงศ์ ๑ จางวางมหาดเลก็ ผเู้ ปน็ บตุ รและ เป็นที่ปรึกษาของเจ้าพระยาพระคลังหัวหน้าเสนาบดี เข้าไปเฝ้า ดำรัสถามว่า ที่มีกระแสรับสั่งไป เมอ่ื วนั กอ่ นนน้ั เสนาบดที ำอยา่ งไร พระยาศรสี รุ ยิ วงศก์ ราบทลู วา่ เสนาบดเี หน็ วา่ พระอาการประชวรไมถ่ งึ ตัดรอน ยังไม่ควรจะปรึกษาถึงเรื่องผู้รับราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสว่า ผู้ซึ่งจะรับราชสมบัตินั้น ทรงพระราชดำริเห็นสมควรแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั แตก่ ม็ ขี อ้ ทท่ี รงรงั เกยี จอยทู่ ง้ั ๒ พระองค์ ดว้ ยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “ถืออย่างมอญ ถ้าได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินขึ้นก็จะใหพ้ ระสงฆ์ห่มผ้าเป็นมอญเสีย หมดทั้งแผ่นดินดอกกระมัง” ส่วนพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นก็ทรงรังเกียจที่ “ไม่พอใจทำ ราชการ รักแต่การเล่นสนุกเท่านั้น เพราะฉะนั้น จึงมิได้ทรงอนุญาต กลัวเจ้านายข้าราชการเขาจะไม่ ชอบใจ”* แตก่ ค็ งทรงตระหนกั พระราชหฤทยั วา่ เสนาบดคี งปรกึ ษากนั ถวายราชสมบตั แิ กพ่ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ แน่ ตอ่ มาอกี วนั หนง่ึ จงึ โปรด ฯ ใหเ้ ขยี น พระราชปรารภใหก้ รมขนุ เดชอดศิ ร๒ นำความไปทลู กรมหมน่ื นชุ ติ ชโิ นรสซง่ึ เปน็ เจา้ คณะสงฆ์ ๓ เพราะทรงทราบวา่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวทรงเคารพนับถือมากทั้ง ๒ พระองค์ ว่าทรงรำคาญพระราชหฤทัยอยู่ที่มพี ระสงฆ์ไทยพากันไป เลื่อมใสห่มผ้าตามพระมอญ ดูเสียเกียรติยศของบ้านเมือง ถ้าหากสมเด็จพระบรมชนกนาถยังเสด็จอยู่ เหน็ จะไมพ่ อพระราชหฤทยั เปน็ อยา่ งยง่ิ ขอใหท้ า่ นทง้ั ๒ ชว่ ยปลดเปลอ้ื งความรำคาญพระราชหฤทยั ดว้ ย ตรงนจ้ี ะแทรกวนิ จิ ฉยั ลงสกั หนอ่ ย ตามเรอ่ื งตำนานการทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงตั้งนิกายสงฆ์ธรรมยุติกาชั้นเดิมเมื่อทรงผนวชแปลงเป็นรามัญนิกาย ทรงร่วมสังวาสแต่เฉพาะ ๑ ต่อมาคือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ * ตรงนก้ี ลา่ วตามคำในจดหมายเหตุ ซ่งึ มีอยใู่ นพงศาวดารรชั กาลท่ี ๓ ของเจา้ พระยาทพิ ากรวงศ์ ๒ พระนามเดิมว่าพระองค์เจ้าชายมั่ง พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประสูติแต่เจ้าจอมมารดานิ่ม ตอ่ มาทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดศิ ร ทรงกำกบั กรมพระอาลกั ษณ์ ตง้ั แตร่ ชั กาลท่ี ๒ จนตลอดพระชนมายุ ๓ พระนามเดมิ วา่ พระองคเ์ จา้ ชายวาสกุ รี พระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช ประสตู แิ ตเ่ จา้ จอมมารดาจยุ้ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเฉลมิ พระยศเปน็ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส ทรงผนวชตง้ั แตเ่ ปน็ สามเณร ในรัชกาลที่ ๒ ทรงสถาปนาเป็นพระราชาคณะ ในรัชกาลที่ ๓ ทรงเปน็ เจา้ คณะกลาง
๓๔๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ กบั พระมอญในคณะของพระสเุ มธมนุ ี มไิ ดร้ ว่ มสงั วาสกบั พระมอญทง้ั ปวงทว่ั ไป เปน็ แตท่ รงครองแหวก อย่างพระมอญ ครั้นต่อมาเมื่อทรงตั้งระเบียบวัตรปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์ธรรมยุติกา ทรงถือพระวินัย ตามพระไตรปิฎกเป็นหลักวัตรปฏิบัติ อย่างใดที่พระสงฆ์สยาม (มหา) นิกายหรือ พระสงฆ์รามัญนิกาย ประพฤติ ถ้าทรงสอบสวนเห็นว่าถูกต้องตามพระพุทธบัญญัติก็คงไว้ ถ้าเห็นว่าผิดก็เลิกหรือทรงแก้ไข ไปตามทท่ี รงพระดำรวิ า่ ถกู ตอ้ งตามพระพทุ ธบญั ญตั ิ ดว้ ยเหตนุ น้ั จงึ เปน็ นกิ ายธรรมยตุ กิ า เพราะวตั รปฏบิ ตั ิ ผิดกับพระมหานิกายและพระรามัญนิกาย เป็นแต่ห่มผ้าเหมือนพระมอญ การที่พระบาทสมเด็จ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงจดั ระเบยี บพระสงฆธ์ รรมยตุ กิ าอยา่ งไร พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ก็ทรงทราบ ไม่ได้ทรงรังเกียจ “ในทางธรรม” คือวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ธรรมยุติกา ข้อนี้พึงเห็นได้ ด้วยทรงตั้งพระสงฆ์ธรรมยุติกาเป็นพระราชาคณะมาแต่ก่อนก็หลายรูป ในกระแสรับสั่งทรงอ้างข้อ รังเกียจแต่ “ในทางโลก” คือที่ห่มผ้าเป็นพระมอญ แต่ข้อใหญ่ใจความที่ทรงพระราชวิตกนั้น เหน็ จะเปน็ ดว้ ยทรงเกรงวา่ เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดเ้ สวยราชย์ จะใชพ้ ระราชานภุ าพ ใหแ้ ปลงพระสงฆม์ หานกิ ายเปน็ ธรรมยตุ กิ าทง้ั บา้ นทง้ั เมอื ง จงึ รอ้ นพระราชหฤทยั เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงทราบ กเ็ ขา้ พระหฤทยั ในพระราชวติ ก จงึ ทรง เขยี นคำสารภาพถวายวา่ ทท่ี รงจดั การตา่ ง ๆ มา มพี ระประสงคแ์ ตจ่ ะประพฤตพิ ระธรรมวนิ ยั ใหถ้ กู ตอ้ ง ตามพระพทุ ธบญั ญตั ิ โดยทรงเหน็ วา่ ไมเ่ กย่ี วขอ้ งกบั ราชการบา้ นเมอื ง เมอ่ื ทราบวา่ มกี ารบางอยา่ งทไ่ี มช่ อบ พระราชอัธยาศัยก็จะไม่ฝ่าฝืน แล้วตรัสสั่งให้พระสงฆ์ธรรมยุติกากลับห่มคลุมอย่างมหานิกายตามเดิม พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั กพ็ อพระราชหฤทยั มไิ ดแ้ สดงความรงั เกยี จตอ่ ไป เมื่อเวลาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวรอยู่นั้น มีเรื่องเนื่องกับเหตุที่จะเปลี่ยน รัชกาลเกิดขึ้นหลายเรื่อง ด้วยเมื่อตอนปลายรชั กาลท่ี ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรง ตง้ั เสนาบดี ปลอ่ ยใหต้ ำแหนง่ วา่ งอยหู่ ลายกระทรวง ตรสั วา่ พระเจา้ แผน่ ดนิ ตอ่ ไปจะไดต้ ง้ั ตามพระราช อัธยาศัย ทางฝ่ายเจ้านายในตอนนี้ ตั้งแต่สำเร็จโทษหม่อมไกรสรแล้ว ก็ไม่มีต่างกรมพระองค์ใด มกี ำลงั และอำนาจมาก ทง้ั พากนั หวาดหวน่ั เกรงจะตอ้ งหาวา่ มกั ใหญใ่ ฝส่ งู อยแู่ ทบทง้ั นน้ั อำนาจในราชการ บ้านเมืองเมื่อตอนปลายรัชกาลที่ ๓ จึงตกอยู่ในเจ้าพระยาพระคลัง* ซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดวี ่าการ กระทรวงกลาโหมและกระทรวงพระคลังคน ๑ กับพระยาศรีพิพัฒน ฯ** ผู้เป็นน้องเจ้าพระยาพระคลัง * ซง่ึ เปน็ สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาประยรู วงศ์ เรยี กกนั วา่ “สมเด็จองค์ใหญ”่ ในรชั กาลท่ี ๔ ** ถึงรัชกาลที่ ๔ เป็นสมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาพชิ ยั ญาติ เรยี กกนั วา่ “สมเด็จองค์น้อย”
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นเสวยราชย์ ๓๔๗ อีกคน ๑ เมื่อตอนพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวร* เมื่อรู้กันอยู่ว่าจะไม่กลับคืนดีได้ ท่านทั้ง ๒ ก็ยังไม่ปรารภถึงกรณีที่จะเปลี่ยนรัชกาลเพราะเกรงพระราชอาญา ด้วยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวยังว่าราชการแผ่นดินอยู่ แต่การที่ท่านผู้ใหญ่ทั้ง ๒ นิ่งเฉยอยู่นั้น ต่อมา เป็นเหตุให้เกิดระแวงหวาดหวั่นกันไปต่าง ๆ ถึงกรมขุนพิพิธภูเบนทร์ ๑เรียกระดมพวกข้าในกรมเข้ามา รักษาพระองค์ ด้วยเกรงจะถูกจับเหมือนหม่อมไกรสร เจ้าพระยาพระคลังทราบความจึงปรึกษา กับพระยาศรีสุริยวงศ์ ** ซึ่งเป็นบุตรคนใหญ่และเป็นผู้เฉียบแหลมในราชการยิ่งกว่าผู้อื่นในเวลานั้น พระยาศรสี รุ ยิ วงศร์ บั จดั การแกไ้ ขใหไ้ ปเอาทหารบรรทกุ เรอื ขน้ึ มาจากปากนำ้ แลว้ ไปทลู กรมขนุ พพิ ธิ ภเู บนทร์ ให้ปล่อยข้าในกรมไปเสียให้หมด กรมขุนพิพิธภูเบนทร์ก็ต้องทำตาม เล่ากันมาว่า พระยาศรีสุริยวงศ์ กับจมื่นราชามาตย์ *** บุตรของเจ้าพระยาพระคลังอีกคน ๑ ซึ่งเฉียบแหลม เป็นผู้ตักเตือนบิดา ให้ดำริเตรียมการเรื่องเปลี่ยนรัชกาล พอเจ้าพระยาพระคลังได้กระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแสดงพระราชปรารภให้ทราบว่าจะเสด็จสวรรคต และพระราชทานอนุญาตให้ พระราชวงศ์กับเสนาบดีเลือกรัชทายาทดังกล่าวมาแล้วก็ไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กราบทลู ใหท้ รงทราบวา่ เสนาบดปี รกึ ษากนั จะเชญิ เสดจ็ ขน้ึ ครองราชสมบตั ิ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวได้เคยทรงศึกษาโหราศาสตร์ ทรงเชื่อตำราพยากรณอ์ ยู่มาก ตรัสว่าถ้าจะถวายราชสมบัติแก่ พระองค์ ขอให้ถวายแกเ่ จ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ด้วย เพราะสมเด็จพระอนุชาดวงพระชาตาดีวิเศษ ถงึ ฐานทจ่ี ะไดเ้ ปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ ถา้ ถวายราชสมบตั แิ กพ่ ระองคเ์ กรงจะเสดจ็ อยไู่ มไ่ ดเ้ ทา่ ใด เจา้ พระยา พระคลังก็ลงเรือไปเฝ้าเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ที่พระราชวังเดิม ทูลความตามที่พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรารภนั้นให้ทรงทราบ**** ความที่กล่าวมานี้เป็นมูลเหตุที่พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาพระมหาอุปราชให้ทรงศักดิ์พิเศษเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่สอง Second King ทรงพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว” เทียบเยี่ยงอย่างสมเด็จพระเอกาทศรถ ครง้ั รชั กาลสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช แตเ่ มอ่ื คนทง้ั หลายทราบวา่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จะไดท้ รงรบั ราชสมบตั ิ กพ็ ากนั ยนิ ดี ระงบั ความหวาดหวน่ั สงบไดใ้ นทนั ที * ประชวรอยถู่ งึ ๖ เดอื นจงึ เสดจ็ สวรรคต ๑ พระนามเดมิ วา่ พระองค์เจ้าชายพนมวัน พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาศิลา ในรชั กาลท่ี ๒ ทรงสถาปนาเปน็ กรมหมน่ื พพิ ธิ ภเู บนทร์ ในรชั กาลท่ี ๓ เลื่อนเปน็ กรมขุนพพิ ิธภเู บนทร์ ในรชั กาลท่ี ๔ เลอ่ื นเปน็ กรมพระพพิ ธิ โภค ภูเบนทร์ ทรงกำกบั กรมพระนครบาล กรมพระคชบาล ** ในรชั กาลที่ ๔ เป็นเจ้าพระยา ฯ ทส่ี มหุ พระกลาโหม ถงึ รชั กาลท่ี ๕ เป็น สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ *** เปน็ เจา้ พระยาทพิ ากรวงศ์ เสนาบดกี ระทรวงการตา่ งประเทศในรชั กาลท่ี ๔ **** เรื่องนี้เจา้ พระยาภาณวุ งศผ์ เู้ ลา่ ใหฟ้ งั ไดย้ นิ เจา้ พระยาพระคลงั บดิ าของทา่ น ทลู เจา้ ฟา้ กรมขนุ อศิ เรศรงั สรรค์
๓๔๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ครั้นถึงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระราชวงศแ์ ละเสนาบดจี งึ ประชมุ กนั พรอ้ มดว้ ยพระราชาคณะผใู้ หญใ่ นสงฆมณฑล ปรกึ ษาเหน็ พรอ้ มกนั วา่ ควรถวายราชสมบตั แิ กส่ มเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ มงกฎุ ฯ กบั เจา้ ฟา้ จฑุ ามณี กรมขนุ อศิ เรศรงั สรรค์ ทั้ง ๒ พระองค์ วันรุ่งขึ้นจึงเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจากวัดบวรนิเวศน ฯ แห่เสด็จโดยกระบวนเรือมาขึ้นที่ท่าตำหนักแพ* (ซึ่งขนานนามใหม่ในรัชกาลที่ ๔ ว่า “ท่าราชวรดิษฐ์”) รับเสด็จทรงพระราชยานแห่เข้าพระราชวังหลวง** เสด็จขึ้นไปยังพระมหามณเฑียร ถวายน้ำสรง พระบรมศพสมเด็จพระเชษฐาธิราช แล้วไปประทับที่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เจ้านาย และเสนาบดีเข้าเฝ้ากราบทูลเชิญเสด็จผ่านพิภพ จึงลาผนวชเมื่อวันที่ ๖ เวลา ๑ นาฬิกา นับเวลา ทรงผนวชอยู่ ๒๗ พรรษา เมื่อลาผนวชแล้วเสด็จประทับอยู่ในพระอุโบสถนั้นคืน ๑ แล้วเสด็จไป ประทับพลับพลาซึ่งสร้างขึ้นในบริเวณโรงแสงต้น*** จนถึงฤกษ์ทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และเฉลมิ พระราชมณเฑยี ร บรรยายพระราชประวตั เิ มอ่ื กอ่ นเสดจ็ เสวยราชยห์ มดความเพยี งน้ี * ทเ่ี รยี กวา่ “ตำหนกั แพ” เพราะเดมิ ตำหนกั ทร่ี มิ ทา่ เสดจ็ ลงเรอื ทำเปน็ อยา่ งเรอื นแพ คอื ปกั เสาลอยทช่ี ายเลนแลว้ ตง้ั ตำหนกั บนนน้ั ** ในรัชกาลที่ ๔ โปรดให้เรียกว่า “พระบรมมหาราชวัง” เป็นคู่กับ “พระบวรราชวัง” อันเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั แตเ่ มอ่ื ลว่ งรชั กาลท่ี ๔ แลว้ เลกิ ชอ่ื พระบวรราชวงั กลบั เรยี กวา่ “พระราชวงั บวรสถานมงคล” อย่างเดมิ *** อยตู่ รงท่สี ร้างพระทน่ี ง่ั บรมพมิ าน ในสวนศวิ าลยั
๓๔๙ เรื่องพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสวยราชย์แล้ว พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑
๓๕๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื เสวยราชยแ์ ลว้ ๓๕๑ เรื่องพระราชประวัติ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื เสวยราชยแ์ ลว้ พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระชันษาได้ ๔๗ ปี การทท่ี รงสรา้ งสมพระบารมมี าในเวลากอ่ นเสวยราชย์ ถา้ เอาระยะพระชนั ษาตง้ั เปน็ วนิ จิ ฉยั ประกอบรายการ ที่ปรากฏ ตอนพระชันษาก่อน ๒๐ ปีคงได้รับความอบรมพระจริยาและศึกษาวิชาความรู้ต่าง ๆ เช่น อักษรศาสตร์ ราชประเพณี และประวัติศาสตร์ เป็นต้น สำหรับพระราชกุมารชั้นสูงศักดิ์ตามแบบ โบราณครบทกุ อยา่ ง แตพ่ ระปรชี าญาณอนั ปรากฏในหนงั สอื ตา่ ง ๆ ซง่ึ ทรงพระราชนพิ นธเ์ มอ่ื เสวยราชยแ์ ลว้ ลกึ ซง้ึ เกนิ กวา่ หลกั สตู รการศกึ ษาของพระราชกมุ ารมาก จงึ เขา้ ใจวา่ คงทรงศกึ ษาตอ่ มาในสมยั เมอ่ื ทรงผนวช จนทรงสามารถรอบรู้ถึงปานนั้น ถึงตอนพระชันษาระหว่าง ๒๐ จน ๓๐ ปีทรงศึกษาภาษามคธจน เชี่ยวชาญ เป็นเหตุให้ทรงรอบรู้พระไตรปิฎกหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ข้อนี้ถ้าหาตัวอย่างในพงศาวดารมา เปรียบเทียบ เคยมีพระเจ้าแผ่นดินในราชวงศ์พระร่วงพระองค์ ๑ พระนามเดิมว่า “พญาลิไทย” เมอ่ื เสวยราชย์ ณ กรงุ สโุ ขทยั ใชพ้ ระนามวา่ “พระมหาธรรมราชา” (ท่ี ๑) ในพงศาวดารเหนอื เรยี กวา่ “พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก”* เพราะปรากฏพระเกียรติว่าทรงเชี่ยวชาญพระไตรปิฎกหาผู้เสมอมิได้ ในสมัยนั้น ได้ทรงแต่งหนังสือ “ไตรภูมิ” ไว้เรื่อง ๑ ยังมีฉบับที่จะพิสูจน์ได้ในประเทศอื่นที่ใกล้เคียง มีพระเจ้าแผ่นดินมอญ อีกพระองค์ ๑ เมื่อครองกรุงหงสาวดีใช้พระนามว่า “พระเจ้ารามาธิบดี” แตใ่ นหนงั สอื พงศาวดารเรยี กวา่ “พระเจา้ ธรรมเจดยี ์” เพราะปรากฏพระเกยี รตวิ า่ เชย่ี วชาญพระไตรปฎิ ก ไม่มีผู้อื่นเสมอเหมือน และมีหนังสือซึ่งพระเจ้าธรรมเจดีย์ทรงแต่งเรื่องประวัติพระพุทธศาสนาใน เมืองมอญจารึกไว้ เรียกกันว่า “จารึกกัลยาณี” ยังปรากฏอยู่พอพิสูจน์ได้เหมือนกัน พิเคราะห์ความ ในหนังสือไตรภูมิ (พระร่วง) และในจารึกกัลยาณี ส่อให้เห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินทั้ง ๒ พระองค์นั้น แม้ทรงทราบพระไตรปิฎกมากก็จริง แต่ไม่ถึงสามารถจะชี้วินิจฉัยผิดชอบในคัมภีร์อัตถกถาฎีกาได้ เหมือนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สุดแต่โบราณาจารย์ว่าไว้อย่างไรก็ทรงถือแต่อย่างนั้น จงึ ผดิ กนั ถงึ ตอนพระชนั ษาระหวา่ ง ๓๐ จน ๔๐ ปี ทรงจดั การฟน้ื พระพทุ ธศาสนา และบางทจี ะเปน็ ในตอนที่ทรงศึกษาวิชาความรู้ต่าง ๆ ของไทยเพิ่มเติมจนรอบรู้ลึกซึ้งถึงชั้นสูงสุด โบราณคดีก็เห็น * ผู้แต่งหนังสือพงศาวดารเหนือ สำคัญผิดไปว่าเดิมครองเมืองเชียงแสน เมื่อ พ.ศ.๑๕๐๐ ที่ถูกนั้นเดิมครองเมืองศรีสัชนาลัย เมื่อราว พ.ศ. ๑๙๐๐
๓๕๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ จะทรงศึกษาในตอนนี้ เพราะเสด็จไปเที่ยวธุดงค์ตามหัวเมือง ได้พบศิลาจารึกและทอดพระเนตร โบราณวัตถุสถานต่าง ๆ อยู่เนือง ๆ ถึงตอนพระชันษาระหว่าง ๔๐ กับ ๔๗ ปี เริ่มทรงศึกษา ภาษาองั กฤษกบั ทง้ั วชิ าความรตู้ า่ ง ๆ ของฝรง่ั เลยเปน็ ปจั จยั ใหเ้ อาพระหฤทยั ใส่ สอดสอ่ งการบา้ นเมอื ง ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ตา่ งประเทศในตอนน้ี ถา้ วา่ โดยยอ่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงสรา้ งสม พระบารมสี มบรู ณม์ าแลว้ ตง้ั แตก่ อ่ นเสวยราชย์ ขาดอยา่ งเดยี วแตม่ ไิ ดเ้ คยทรงบญั ชาการทพั ศกึ เหมอื นอยา่ ง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใน ๓ รัชกาลแต่ก่อนมา เพราะไม่มีโอกาส ถึงกระนั้นเมื่อเสด็จขึ้นเสวยราชย์ ก็ได้รับความนิยมนับถือของคนทั้งหลาย ว่าเป็นนักปราชญ์ทรงพระปรีชาญาณผิดกับพระเจ้าแผ่นดิน ที่ปรากฏมาในพงศาวดารโดยมาก ข้อนี้ถึงบุคคลชั้นหลังที่ไม่ทันได้เห็นพระองค์ ใครได้อ่านหนังสือ พระราชนพิ นธข์ องพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เชน่ พระบรมราชาธบิ ายและพระบรมราชวนิ จิ ฉยั ทร่ี วบรวมพมิ พไ์ ว้ กจ็ ะเหน็ ไดว้ า่ ในบรรดากจิ การและเรอ่ื งตา่ ง ๆ ซง่ึ ทรงพระราชนพิ นธน์ น้ั ทรงรอบรลู้ กึ ซง้ึ เชื่อได้ว่าในสมัยนั้นไม่มีผู้อื่นเสมอเหมือน นอกจากนั้นถ้าสังเกตในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จะเหน็ ไดต้ อ่ ไปถงึ พระราชอธั ยาศยั วา่ ไมม่ คี วามประมาท เชน่ จะทรงพระราชดำริ กจิ การอนั ใด ยอ่ มอาศยั หลกั ฐาน และคดิ ถงึ ใจผอู้ น่ื เสมอ ขอ้ นพ้ี งึ เหน็ ไดใ้ นพระราชบญั ญตั ิ และประกาศ สั่งการต่าง ๆ ทรงชี้แจงให้คนทั้งหลายเข้าใจพระราชดำริและพระราชวินิจฉัยแจ่มแจ้งเป็นนิตย์ จึงเป็นเหตุ ใหค้ นทง้ั หลายไวว้ างใจในพระคณุ ธรรมมาตง้ั แตแ่ รกเสวยราชยจ์ นตลอดรชั กาล เวลาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จผ่านพิภพนั้น ภายในประเทศสยาม บ้านเมืองเป็นปกติเรียบร้อยกว่าเมื่อเปลี่ยนรัชกาลก่อน ๆ ในกรุงรัตนโกสินทรน์ ี้ เพราะคนทั้งหลายนิยม เปน็ นำ้ หนง่ึ ใจเดยี วกนั หมด แตท่ างภายนอกมเี หตเุ ปน็ ขอ้ วติ กอยู่ ดว้ ยเมอ่ื ใกลจ้ ะสน้ิ รชั กาลท่ี ๓ รฐั บาล อังกฤษให้มาขอทำหนังสือสัญญาใหม่ ๑ แต่ข้างฝ่ายไทยไม่ยอมทำ เพราะเห็นว่าถ้าทำหนังสือสัญญา ตามขอ้ ความทอ่ี งั กฤษปรารถนา จะเกดิ ความเสยี หายในบา้ นเมอื ง ทูตอังกฤษขดั ใจกลบั ไป จงึ ระแวงกนั อยู่ว่าอังกฤษจะกลับมาอีก และคราวนี้จะมาดีหรือมาร้ายก็เป็นได้ทั้ง ๒ สถาน ก็ในเวลานั้นผู้ใหญ่ใน ราชการ มสี มเดจ็ เจา้ พระยา ฯ ทง้ั ๒ องคเ์ ปน็ ตน้ ยงั นยิ มในทางรฏั ฐาภปิ าลโนบายอยา่ งครง้ั รชั กาลท่ี ๓ อยโู่ ดยมาก ผทู้ ม่ี คี วามเหน็ เปน็ ชน้ั สมยั ใหมเ่ หมอื นอยา่ งพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มนี อ้ ยตวั ที่ชื่อเสียงปรากฏมีแตพ่ ระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์ ๑ แต่เมื่อบวรราชาภิเษกแล้วก็เอา พระองค์ออกหาก ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ด้วยเกรงจะเป็นแข่งพระบารมีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ๑ คอื เมื่อคราวทเี่ ซอรเ์ จมส์ บรคุ๊ ไดร้ บั แตง่ ตง้ั จากรฐั บาลองั กฤษใหเ้ ขา้ มาเจรจาเมอ่ื พ.ศ. ๒๓๙๓
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื เสวยราชยแ์ ลว้ ๓๕๓ เจา้ อยหู่ วั คงมแี ตก่ รมหลวงวงศาธริ าชสนทิ พระองค์ ๑ สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ เมอ่ื เปน็ เจา้ พระยาวา่ ทส่ี มหุ พระกลาโหมองค์ ๑ กบั เจา้ พระยาทพิ ากรวงศ์ เปน็ ผชู้ ว่ ยในการตา่ งประเทศคน ๑ ความเหน็ ในเรื่องทำหนังสือสัญญา จึงต่างกันเป็น ๒ อย่าง ข้างพวกสมัยเก่าเห็นว่าถ้าอังกฤษลดหย่อนผ่อนผัน ขอ้ ความทป่ี รารถนาลง อยา่ ใหข้ ดั กบั ประเพณบี า้ นเมอื งกค็ วรทำ มฉิ ะนน้ั กไ็ มค่ วรยอมทำหนงั สอื สญั ญา เพราะยงั เชอ่ื ตามคำ พวกจนี อยวู่ า่ องั กฤษมฤี ทธเ์ิ ดชแตใ่ นทอ้ งทะเล ฝา่ ยพวกชน้ั สมยั ใหมเ่ หน็ วา่ โลกยวสิ ยั ทาง ตะวันออกนี้ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงด้วยฝรั่งมามีอำนาจขึ้น จีนเป็นประเทศใหญ่อังกฤษยังบังคับได้ ไทยเป็นประเทศน้อยที่ไหนจะยอมตามใจไทย อย่างไร ๆ ไทยก็คงต้องทำหนังสือสัญญาใหม่กับอังกฤษ ผิดกันแต่เวลาช้าหรือเร็ว ถ้าไม่ยอมทำก็คงเกิดภัยอันตรายแก่บ้านเมือง ในพวกสมัยใหม่คิดเห็นกัน อยา่ งนท้ี ง้ั นน้ั แตพ่ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเหน็ กาลไกลกวา่ ผอู้ น่ื ทรงพระราชดำรวิ า่ ทางที่จะให้ปลอดภัยมีทางเดียว แต่ต้องรับทำหนังสือสัญญาโดยดีให้เกิดมีไมตรีจิตต่อกัน แล้วจึง ชี้แจงกันฉันมิตรให้ลดหย่อนผ่อนผันในข้อสัญญา อย่าให้เกิดยุคเข็ญแก่บ้านเมือง ใช่แต่เท่านั้น ทรงพระราชดำรติ อ่ ไปวา่ ประเทศทง้ั หลายทางตะวนั ออกน้ี ตอ่ ไปภายหนา้ คงจะมกี ารเกย่ี วขอ้ งกบั ฝรง่ั มากขน้ึ ทกุ ที ถา้ ไมเ่ ปลย่ี นรฏั ฐาภปิ าลโนบายของประเทศสยามใหฝ้ รง่ั นยิ มวา่ ไทยพยายามบำรงุ บา้ นเมอื ง ให้เจริญตามอริยธรรม ก็อาจจะไม่ปลอดไปได้มั่นคง คงทรงพระราชดำริเช่นว่ามาแต่ยังทรงผนวชอยู่ เพราะฉะนั้นพอสมเด็จผ่านพิภพ ตั้งแต่ก่อนทำพิธีราชาภิเษก ก็ทรงแก้ไขขนบธรรมเนียมเก่า เริ่มด้วยดำรัสสั่งให้เลิกประเพณีเข้าเฝ้าตัวเปล่าไม่ใส่เสื้อ ให้เจ้านายและข้าราชการใส่เสื้อเข้าเฝ้าต่อไป เป็นนิตย์ การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดำรัสให้ใส่เสื้อดังว่ามา คนในสมัยนี้ได้ฟังเล่า อาจจะเห็นขัน ด้วยเข้าใจว่าเป็นการเล็ก ๆ น้อย ๆ ขี้ประติ๋วไม่น่าจะยกขึ้นกล่าว ต่อไปได้อ่านหนังสือ จดหมายเหตุเก่า จึงเห็นว่าแม้เป็นการเพียงเท่านั้นก็ไม่สำเร็จได้โดยง่าย ข้อนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือ เซอร จอน เบาริง ราชทูตอังกฤษแต่งเล่าเรื่องที่เข้ามากรุงเทพ ฯ ภายหลังมาอีก ๓ ปี ว่าเมื่อไปหา สมเด็จเจ้าพระยา ฯ องค์ใหญ่ ๑ ครั้งแรกจัดรับอย่างเต็มยศ เห็นสมเด็จเจ้าพระยา ฯ องค์ใหญ่ แต่งตัวนุ่งจีบคาดเข็มขัดเพชร แต่ตัวเปล่าไม่ใส่เสื้อ ความที่กล่าวส่อให้เห็นต่อไปว่า ขุนนางผู้น้อย ซึ่งเป็นบริวารอยู่ในที่นั้น ก็คงไม่ใส่เสื้อเหมือนกันทั้งนั้น เพระถือกันว่าต้องใส่เสื้อในเวลาเข้าเฝ้า เวลาอื่นยังมีเสรีภาพที่จะรับแขกหรือไปไหนตัวเปล่า ได้เหมือนอย่างเดิม เพราะทางประเทศตะวันออกนี้ ไม่ใช่แต่ในประเทศสยามประเทศเดียว ถือกันมาแต่โบราณว่าต้องรักษาประเพณีที่มีมาแต่ก่อนมิให้ ๑ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
๓๕๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เสื่อมทราม บ้านเมืองจึงอยู่เย็นเป็นสุข ข้อนี้พึงเห็นได้ในหนังสือเก่า คำสรรเสริญของพระเจ้า แผ่นดินมักกล่าวว่า “รักษาโบราณราชประเพณีมั่นคง” หรือ “ทรงประพฤติตามโบราณราชประเพณี” แม้จนในกลอนคำเทียบเรื่องพระไชยสุริยาของสุนทรภู่ ก็ยกเหตุว่าเพราะพวกข้าเฝ้าเจ้าเมืองสาวัตถี “ดัดจริตผิดโบราณ” บ้านเมืองจึงเป็นอันตราย เมื่อคนทั้งหลายเชื่อถือกันเช่นนั้นโดยมาก การเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมที่เคยนิยมกันมาช้านานจึงเป็นการยาก เพราะฉะนั้น พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงค่อยทรงแก้ไขขนบธรรมเนียมเก่าแก่แต่เพียงที่จะทำให้สำเร็จได้เป็นอย่าง ๆ โดยลำดบั แมเ้ รอ่ื งทโ่ี ปรด ฯ ใหใ้ สเ่ สอ้ื กย็ งั ใสก่ นั แตใ่ นเวลาเขา้ เฝา้ มาจนคนสมยั เกา่ หมดตวั ไป พวกชน้ั สมยั ใหมช่ อบใสเ่ สอ้ื กม็ มี ากขน้ึ จงึ ไดใ้ สเ่ สอ้ื กนั แพรห่ ลาย เมอ่ื ถงึ งานพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษก พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงแกป้ ระเพณี เกา่ อกี อยา่ งหนง่ึ ในวนั เสดจ็ ออกมหาสมาคมในพระทน่ี ง่ั อมรนิ ทรวนิ จิ ฉยั ดว้ ยพระราชทานบรมราชานญุ าต ให้พวกฝรั่งที่อยู่ในกรุงเทพ ฯ เข้าเฝ้าด้วย เรื่องนี้ในเวลานั้นก็ไม่มีใครเห็นเป็นการแปลกประหลาดนัก เพราะเป็นแต่มีฝรั่งสัก ๑๐ คน เข้าไปยืนเฝ้าอยู่ข้างหลังแถวที่ขุนนางหมอบ แต่การนั้นมีผลมาก (ถงึ มาเปน็ ประโยชนใ์ นการเมอื งภายหลงั ดงั จะเลา่ ในทอ่ี น่ื ตอ่ ไป) เพราะฝรง่ั เหลา่ นน้ั พากนั เขยี นบอกขา่ ว ออกไปถงึ นานาประเทศ วา่ พระเจา้ แผน่ ดนิ สยามพระองคใ์ หมท่ รงเปลย่ี นขนบธรรมเนยี มหนั เขา้ หาอรยิ ธรรม อย่างฝรั่ง ผิดกับพระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่น ๆ ทางตะวันออก ฝรั่งตามต่างประเทศพากันพิศวง เรม่ิ เกดิ ไมตรจี ติ ตอ่ ประเทศสยามผดิ กวา่ แตก่ อ่ น แมด้ ว้ ยทรงเปลย่ี นแปลงประเพณเี ดมิ เพยี งเลก็ นอ้ ยเทา่ นน้ั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนแปลงประเพณีเดิมตั้งแต่แรกเสวยราชย์อีก เรอ่ื งหนง่ึ ดว้ ยทรงทราบแตย่ งั ทรงผนวชวา่ ในสมยั นน้ั ราษฎรถกู ผมู้ อี ำนาจกดขข่ี ม่ เหงชกุ ชมุ เรอ่ื งนท้ี จ่ี รงิ ราชประเพณีก็มีมาแต่โบราณ อนุญาตให้บรรดาผู้มีความทุกข์ร้อนถวายฎีกาต่อพระเจ้าแผ่นดิน ไดท้ ว่ั หนา้ เสมอกนั หมด แตว่ ธิ ที ถ่ี วายฎกี าตามแบบเกา่ ตอ้ งเขา้ ไปตกี ลองทท่ี มิ ดาบกรมวงั ใหพ้ ระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงได้ยินเสียงกลองก็โปรด ฯ ให้มารับฎีกา จึงเรียกกันว่า “ตีกลองร้องฎีกา” ครั้นนานมาผู้มี อำนาจกีดกันมิให้ราษฎรเข้าถึงกลอง ก็ถวายฎีกายากขึ้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยทรงปรารภในพระราชนิพนธ์แห่งหนึ่งว่า พระเจ้าแผ่นดินเหมือนเป็นพระประธานอยู่ในโบสถ์ ลืมพระเนตรอยู่ก็ไม่เห็นอะไร พอเสด็จเสวยราชย์บรมราชาภิเษกแล้ว ก็ทรงตั้งประเพณีเสด็จ ออกรับฎีการาษฎรด้วยพระองค์เองทุกวันโกนเดือนละ ๔ ครั้ง เวลาเสด็จออกให้เจ้าพนักงานตีกลอง วนิ จิ ฉยั เภรี * เปน็ สญั ญาใหร้ าษฎรเขา้ ถวายฎกี าไดเ้ ปน็ นติ ย์ กม็ ผี ลเหน็ ประจกั ษท์ นั ที ดว้ ยผมู้ อี ำนาจ * กลองวนิ จิ ฉยั เภรี เดย๋ี วนอ้ี ยใู่ นพพิ ธิ ภณั ฑสถาน
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื เสวยราชยแ์ ลว้ ๓๕๕ กดขี่ข่มเหงราษฎร เช่นฉุดลูกสาวหรือจับผู้คนจองจำตามอำเภอใจ ไม่มีใครกล้าทำดังแต่ก่อน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นเป็นประโยชน์ จึงโปรด ฯ ให้ประกาศขยายพระบรม ราชานุญาตต่อออกไปถึงผู้ไม่สามารถจะมาถวายฎีกาได้เอง เช่นถูกกักขังเป็นต้น ให้ฝากฎีกา ใหญ้ าตพิ น่ี อ้ งหรอื มลู นายถวายตา่ งตวั ได้ แตใ่ นการทร่ี บั ฎกี าของราษฎรนน้ั ถา้ ปรากฏวา่ ใครเอาความเทจ็ มากราบทูลเพื่อจะให้ผู้อื่นเสียหายโดยไม่มีมูล ก็ให้ลงพระราชอาญาแก่ผู้ถวายฎีกาตามประเพณีเดิม ป้องกันผู้ไม่มีผิดมิให้เดือดร้อน นอกจากเสด็จออกรับฎีกา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนประเพณีที่พระเจ้าแผ่นดินทรงติดต่อกับตัวราษฎรอีกอย่างหนึ่ง ด้วยดำรัสสั่งให้เลิก ประเพณีโบราณ (อย่างเมืองจีน) ที่ห้ามมิให้ราษฎรเข้าใกล้ชิดหนทางเมื่อเวลาเสด็จประพาส และบังคับให้ปิดประตูหน้าต่างบ้านเรือนที่อยู่ทั้ง ๒ ข้างทาง โปรด ฯ พระราชทานอนุญาตให้ ราษฎรเขา้ มาเฝา้ ไดใ้ กลห้ นทาง และใหเ้ ปดิ ประตหู นา้ ตา่ งไดต้ ามชอบใจ หากเจา้ ของบา้ นเรอื นมปี ระสงค์ จะแสดงความเคารพก็ให้แต่งเครื่องบูชาที่หน้าบ้าน แล้วคอยเฝ้าอยู่ที่เครื่องบูชานั้น จึงเกิดประเพณี ตั้งเครื่องบูชารับเสด็จแต่นั้นมา ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนประเพณีเดิม ในเรอ่ื งรบั ฎกี าราษฎร และโปรด ฯ อนญุ าตใหร้ าษฎรเฝา้ แหนไดส้ ะดวกกวา่ แตก่ อ่ นดงั กลา่ วมา กเ็ ปน็ เหตใุ ห้ ราษฎรพากนั นยิ มในพระคณุ ของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั แพรห่ ลายอกี อยา่ งหนง่ึ นอกจากเรื่องที่เล่ามาเป็นอุทาหรณ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนแปลง ขนบธรรมเนียมเดิมและทรงสถาปนาการต่าง ๆ ขึ้นเป็นแบบแผนในรัชกาลที่ ๔ อีกหลายอย่าง ถ้า พรรณนาเป็นรายเรื่องหนังสือนี้จะยืดยาวนัก จึงจะรวมความกล่าวตามประเภทของการที่ทรงจัด โดย ประสงค์จะให้เห็นเหตุและผลของการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดนั้นเป็นสำคัญ ถา้ ตง้ั เปน็ ปญั หาอยา่ งทเ่ี รยี กในสำนวนแปลหนงั สอื จนี วา่ เปน็ “คำกลาง” ถามวา่ เพราะเหตใุ ดพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเปลี่ยนขนบธรรมเนียมต่าง ๆ อธิบายข้อนี้เมื่อพิจารณาดู เห็นว่าเป็นด้วยเหตุ ๒ อย่าง อย่าง ๑ ดังได้กล่าวมาแล้วว่า เพราะทรงตระหนักพระราชหฤทัยว่า รัชกาลของพระองค์ประจวบเวลาโลกยวิสัยทางตะวันออกนี้เปลี่ยนแปลงด้วยฝรั่งมามีอำนาจขึ้น จะต้อง เปลี่ยนรัฏฐาภิปาลโนบายหันเข้าหาอริยธรรมอย่างฝรั่ง บ้านเมืองจึงจะพ้นภยันตราย แต่การต่าง ๆ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดนั้น ที่ไม่เกี่ยวกับอริยธรรมของฝรั่ง แต่เป็นการสำคัญ ในขนบธรรมเนียมไทยก็มีมาก เห็นได้ว่ามีเหตุอื่นอีกและเหตุนั้นเกิดแต่พระอุปนิสัยของพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ทำการให้ถูกต้องเป็นแก่นสาร ไม่ทรงนิยมทำตามคติที่ถือกันว่า เคยทำมาแต่โบราณอย่างไรต้องทำอย่างนั้นจึงจะเป็นการ “รักษาราชประเพณี” เพราะเมื่อพระองค์
๓๕๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ทรงผนวชได้มีโอกาสพิจารณาตำรับตำราต่าง ๆ มากทั้งทางฝ่ายพุทธศาสตร์และราชศาสตร์ เห็น ประเพณีต่าง ๆ ที่ทำกันมาผิดหลักเดิมหรือยังบกพร่องมีอยู่มาก จึงทรงพยายามแก้ไขให้เป็นแก่นสาร ใช่จะโปรดเปลี่ยนแปลงอะไร ๆ ให้เป็นอย่างใหม่ไปทั้งนั้นหามิได้ พระอุปนิสัยเช่นว่านี้พึงเห็นได้ แต่ในพระราชประวัติตอนทรงผนวช พอทรงสอบสวนพระไตรปิฎกทราบว่าพระสงฆ์ไทยปฏิบัติพระวินัย เคลื่อนคลาดจากพระพุทธบัญญัติมากนัก ก็ทรงพยายามแก้ไขให้เป็นแก่นสารดังเล่าเรื่องมาแล้วใน ตอนกอ่ น ครน้ั เสดจ็ เสวยราชยท์ รงพจิ ารณาเหน็ ขนบธรรมเนยี มอนั ใดเคลอ่ื นคลาดเคา้ มลู หรอื วา่ ยงั บกพรอ่ ง กท็ รงพระราชดำรแิ กใ้ หด้ ขี น้ึ เปน็ ลำดบั มาจนตลอดรชั กาล สมยั เปลย่ี นแปลงธรรมเนยี มของประเทศสยาม จงึ กำหนดในพงศาวดารวา่ เกดิ แตใ่ นรชั กาลท่ี ๔ เปน็ ตน้ มา แตน่ จ้ี ะกลา่ วอธบิ ายทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงแกข้ นบธรรมเนยี มตามประเภท ตา่ ง ๆ ตอ่ ไป การศาสนา ในตอนที่ ๒ ของหนังสือนี้ ได้เล่ามาแล้วถึงเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงฟื้น พระพทุ ธศาสนา และทรงตง้ั นกิ ายพระสงฆธ์ รรมยตุ กิ า๑ และทส่ี ดุ เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ประชวรทรงทักท้วงเนื่องต่อการเมือง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงดำรัสสั่งให้พระสงฆ์ ธรรมยุติกากลับห่มคลุมอย่างพระมหานิกายมาจนสิ้นรัชกาลที่ ๓ ได้ยินว่าในครั้งนั้นพระเถระธรรมยุติกา บางรปู มีสมเดจ็ พระวนั รตั (ทบั ) เมอ่ื ยงั เปน็ ทพ่ี ระอรยิ มนุ เี ปน็ ตน้ ไมท่ ำตามรบั สง่ั กม็ ี ครน้ั ถงึ รชั กาลท่ี ๔ พระเถระธรรมยุติกาทั้งปวง เข้าชื่อกันยื่นฎีกาต่อเสนาบดีขอให้นำความกราบทูลว่าที่ต้องถูกบังคับขืนใจ ใหค้ รองผา้ ตามแบบอยา่ งซง่ึ ไมเ่ ลอ่ื มใสมคี วามเดอื ดรอ้ น ขอพระราชทานพระบรมราชานญุ าตใหพ้ ระสงฆ์ ธรรมยุติกากลับครองแหวกเหมือนอย่างเดิม ก็เกิดความลำบากพระราชหฤทัยแก่พระบาทสมเด็จ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เพราะจะดำรสั ใหห้ ม่ ผา้ อยา่ งพระมหานกิ ายตอ่ ไป กผ็ ดิ กบั คตซิ ง่ึ พระองคเ์ อง ไดท้ รงตง้ั ทง้ั จะทำใหพ้ ระสงฆธ์ รรมยตุ กิ ายง่ิ รสู้ กึ เดอื ดรอ้ นหนกั ขน้ึ ถา้ หากกลบั ครองแหวกตามอำเภอใจ ๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งธรรมยุติกนิกาย ในพ.ศ.๒๓๗๒ ขณะทรงผนวชเป็นภิกษุ ทรงให้ความสนพระทัย ในวตั รปฏบิ ตั ิของพระสงฆ์ ซง่ึ ทรงเหน็ วา่ ในขณะนน้ั มคี วามเสอ่ื ม ไมส่ ามารถควบคมุ ความประพฤตขิ องพระสงฆใ์ หป้ ฏบิ ตั พิ ระวนิ ยั อยา่ งเครง่ ครดั ด้วยเชื่อคติปัญจอันตรธานที่ว่า พระพุทธศาสนาจะต้องเสื่อมลงเป็นธรรมดาและจะสิ้นสุดเมื่อครบ ๕๐๐๐ ปี จึงไม่ขวนขวายแก้ความเสื่อม พระองค์ทรงฟื้นฟพู ระพุทธศาสนาใหม่ ด้วยการบรรพชาอุปสมบทใหม่กับพระเถระรามัญ จากนิกายสีมากัลยาณีที่ถือว่าสืบเชื้อสายมาจาก พระอรหนั ตถ์ งึ ๘๘ ชว่ั คน จงึ ถอื วา่ มคี วามบรสิ ทุ ธ์ิ ถอื เรอ่ื งวตั รปฏบิ ตั ทิ เ่ี ครง่ ครดั และมคี วามสามารถดา้ นพระปรยิ ตั ธิ รรม
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื เสวยราชยแ์ ลว้ ๓๕๗ จะทรงทำอย่างไรก็ยากอยู่ แต่จะพระราชทานพระบรมราชานุญาตเล่า ก็ผิดกับที่ได้ทูลรับไว้ต่อ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เฉพาะมีทางที่จะระงับความลำบากนั้นได้ด้วยฐานะของพระองค์ เมื่อก่อนเสวยราชย์เป็นแต่สมณคณาจารย์ เมื่อทรงรับฎีกาของพระมหาเถระ ฐานะของพระองค์ เป็นพระราชามหากษัตริย์ จึงพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยว่าการปฏิบัติพระธรรมวินัยเป็นกิจของ พระสงฆผ์ ปู้ ฏบิ ตั ิ มใิ ชร่ าชกจิ ของพระเจา้ แผน่ ดนิ ทจ่ี ะทรงสง่ั ใหท้ ำประการใด เมอ่ื มพี ระบรมราชวนิ จิ ฉยั เช่นนั้น พระสงฆ์ธรรมยุติกาก็พากันกลับห่มแหวกตามเดิม แต่เรื่องที่เกี่ยวกับพระสงฆ์ธรรมยุติกา ยงั มขี อ้ อน่ื ตอ่ มาอกี ดว้ ยเมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๓ คนทเ่ี ลอ่ื มใสตอ่ คตธิ รรมยตุ กิ าอยา่ งเปดิ เผยกม็ ี ทเ่ี ลอ่ื มใส แตไ่ มก่ ลา้ แสดงโดยเปดิ เผย เพราะเกรงจะไมพ่ อพระราชหฤทยั ในพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั กม็ ี ที่ไม่เลื่อมใสก็มี ตั้งแต่เปลี่ยนรัชกาลใหม่ทรงสังเกตเห็นมีคนแสดงความเลื่อมใสในคติธรรมยุติกามากขึ้น รวดเร็ว เป็นเหตุให้ทรงพระราชวิจารณ์กว้างขวางออกไป ทรงพระราชดำริว่าถ้าทรงขวนขวายเผยแผ่ นิกายสงฆ์ธรรมยุติกาให้แพร่หลายด้วยพระราชานุภาพจะเกิดโทษแก่บ้านเมืองมากกว่าเป็นคุณ เพราะ จะทำใหพ้ ทุ ธบรษิ ทั ทง้ั พระและคฤหสั ถท์ น่ี บั ถอื คตเิ กดิ รงั เกยี จกนั และพระมหานกิ ายกจ็ ะพากนั หวาดหวน่ั ว่าจะถูกบังคับให้แปลงเป็นธรรมยุติ เหมือนเช่นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระวิตก และที่สุดพระธรรมยุติกาเองถ้ามีจำนวนมากนัก การปฏิบัติพระธรรมวินัยก็อาจจะเสื่อมทรามลง เพราะเหตุที่กล่าวมา จึงโปรด ฯ ให้พระสงฆ์ธรรมยุติกาคงขึ้นอยู่ในคณะกลางตามเดิม มิได้แยกย้าย เป็นคณะหนึ่งต่างหาก และดำรัสสั่งในราชการให้ถือว่าพระสงฆ์ ๒ นิกายนั้นเป็นอย่างเดียวกัน เป็นต้นว่าในการพิธีพระสงฆ์ก็ให้นิมนต์รวมกันทั้ง ๒ นิกาย การที่ทรงตั้งพระราชาคณะก็เลือกแต่ด้วย พรรษาอายุและคุณธรรม ไม่ถือว่าจะเป็นนิกายไหนเป็นประมาณ ใช่แต่เท่านั้น ทางฝ่ายฆราวาส สกลุ ไหนแมไ้ มใ่ ช่พระราชวงศ์ เคยบวชเรียนในนิกายไหนก็ตรัสขอให้คงอย่างเดิม แต่การฟื้นพระศาสนา กไ็ มท่ รงทอดทง้ิ เปน็ แตเ่ ปลย่ี นพระบรมราโชบายมาเปน็ ทางสมาคมกบั พระราชาคณะมหานกิ าย เปน็ ตน้ วา่ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ทูลถามอธิบายพระธรรมวินัยที่ใคร่จะทราบหรือที่ยังสงสัยได้ ตามประสงค์ และทรงชแ้ี จงพระบรมวนิ จิ ฉยั พระราชทานโดยมไิ ดร้ งั เกยี จ พระบรมราโชบายเชน่ วา่ มผี ล ทำให้พระสงฆ์มหานิกายแก้ไขวัตรปฏิบัติดีขึ้นเป็นลำดับมา และการสงฆมณฑลก็มิได้แตกร้าวตลอด รชั กาลท่ี ๔ ดว้ ยพระสงฆพ์ ากนั เลอ่ื มใสในพระปรชี าญาณทว่ั ไปทง้ั ๒ นกิ าย พระราชปฏิบัติของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเนื่องด้วยศาสนายังมีต่อไปถึงศาสนา อื่น ๆ อีก แต่ก่อนนอกจากพระสงฆ์กับพราหมณ์ นักบวชในศาสนาอื่นเช่นศาสนาคริสตังก็ดี หรือศาสนาอิสลามก็ดี แม้จนพระญวนที่ถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานก็ดี หาได้รับความยกย่อง
๓๕๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ อย่างใดไม่ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวช ได้ทรงสมาคมกับพวกบาทหลวง และพวกมิชชันนารีอเมริกันเนื่องในการทรงศึกษาภาษาฝรั่ง และทรงสมาคมกับพระญวนด้วยใคร่จะทรง ทราบคติมหายาน คุ้นเคยอยู่แล้ว เมื่อเสวยราชย์แล้วก็ทรงรักษามิตรภาพสืบต่อมาด้วยทรงยกย่อง และพระราชทานพระบรมราชานเุ คราะหต์ า่ ง ๆ ยกเปน็ อทุ าหรณ์ ดงั เชน่ เมอ่ื สงั ฆราชปาลกวั ต์ถงึ มรณภาพ โปรด ฯ พระราชทานเครื่องแห่ศพเหมือนอย่างขุนนาง และพระราชทานที่ดินให้สร้างวัดโปรเตสตันต์ กับทั้งทรงสร้างวัดญวนด้วย* การที่ทรงอุปการดังกล่าวมานี้เป็นเหตุให้พวกบาทหลวงและมิชชันนารี อเมรกิ นั เขา้ รบั ชว่ ยราชการตา่ ง ๆ ตามพระราชประสงค์ และยงั ยกยอ่ งพระเดชพระคณุ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกันอยู่จนทุกวันนี้ พวกญวนก็เริ่มได้ทำพิธีกงเต๊กในงานหลวงเมื่อรัชกาลที่ ๔ เปน็ ตน้ มา สว่ นพวกถอื ศาสนาอสิ ลามนน้ั พวกถอื ลทั ธเิ ซยี ะ (พวกเจา้ เซน) ไดร้ บั พระบรมราชานเุ คราะห์ เปน็ ประเพณมี าแตร่ ชั กาลกอ่ น ๆ แลว้ กโ็ ปรด ฯ พระราชทานตามเคย แตพ่ วกลทั ธสิ หุ นเ่ี ปน็ คนหลายชาติ หลายภาษาแยกย้ายกันอยู่ตามตำบลต่าง ๆ มีสุเหร่าและนักบวชชาติของตนเองเข้ากับพลเมืองเป็น ปกตอิ ยแู่ ลว้ จงึ ไมม่ กี จิ ทจ่ี ะตอ้ งพระราชทานพระบรมราชานเุ คราะหผ์ ดิ กบั แตก่ อ่ นประการใด การพิธีสำหรับบ้านเมือง การพิธีต่าง ๆ ที่ทำเป็นประเพณีของประเทศสยามนี้ แต่เดิมมาถ้าเป็นพิธีในทางธรรมปฏิบัติ ทำตามคตพิ ระพทุ ธศาสนา ถา้ เปน็ พธิ ใี นทางโลก ทำตามคตไิ สยศาสตรข์ องพราหมณ์ จงึ เกดิ คำพดู วา่ “พทุ ธกบั ไสยอาศยั กนั ” มาแตโ่ บราณ ถา้ ทำพธิ ตี ามพระพทุ ธศาสนา เชน่ บวชนาคเปน็ ตน้ เรยี กวา่ พธิ สี งฆ์ พราหมณ์ไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้าทำพิธีไสยศาสตร์ เช่นยกทัพจับศึกเป็นต้น เรียกว่าพิธีพราหมณ์ พระสงฆ์กไ็ ม่เข้าไปเกี่ยวขอ้ ง จำเนียรกาลนานมาเมอื่ ความเล่อื มใสในพระพุทธศาสนาเจริญขึ้น ผู้ทำพธิ ี ปรารถนาสวัสดิมงคลตามคติพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น ก็มักคิดอ่านให้มีพิธีสงฆ์ด้วยกันกับพิธีพราหมณ์ จะยกตัวอย่างเช่นพิธีบรมราชาภิเษกพระเจ้าแผ่นดิน เดิมเป็นแต่พิธีพราหมณ์ ภายหลังมาให้มีพิธีสงฆ์ เพิ่มเข้าในส่วนการ “เฉลิม (คือเสด็จขึ้นอยู่) พระราชมณเฑียร” จึงเกิดการพิธีซึ่งทำทั้งพิธีสงฆ์ และพิธีพราหมณ์ด้วยกันหลายพิธี แต่ที่ทำแยกกันอย่างเดิมยังมีมาก ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้หมดตัวพราหมณ์ที่ทรง พระเวทเสยี แลว้ ยงั เหลอื แตเ่ ชอ้ื สายทส่ี บื สกลุ มาโดยกำเนดิ แมจ้ ะหาผใู้ ดเขา้ ใจความในคมั ภรี พ์ ระเวท * ที่วัดโปรเตสตันต์ซึ่งพระราชทานอยู่ริมอู่บางกอก ถึงรัชกาลที่ ๕ วัดนั้นเล็กไป พระราชทานที่ใหม่ให้สร้างวัด Christ Church ที่ยังปรากฏอยู่บัดนี้ วัดญวนนน้ั สรา้ งคา้ งมาสำเรจ็ ในรชั กาลท่ี ๕ จงึ พระราชทานนามวา่ วัดอุภัยราชบำรุง อยรู่ มิ ถนนเจรญิ กรงุ ที่ตลาดน้อย
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื เสวยราชยแ์ ลว้ ๓๕๙ ก็ไม่ได้ ด้วยไม่ใคร่ได้เรียนภาษาสันสกฤต การทำพิธีพราหมณ์เป็นแต่ทำตามเคย ไม่เป็นแก่นสาร เหมือนเช่นเดิม แต่จะเลิกเสียก็ไม่ควรเพราะเป็นพิธีสำหรับบ้านเมืองและราชประเพณีมาช้านาน จึงทรงแก้ไขระเบียบพิธีพราหมณ์ซึ่งเคยทำมาแต่โดยลำพัง เช่นพิธีแรกนาเป็นต้น ให้มีพิธีสงฆ์ด้วย ทุกพิธี ที่สำคัญนั้นคือทรงแก้ระเบียบพิธีถือน้ำพิพัฒนสัตยาซึ่งเป็นพิธีสงฆ์กับพราหมณ์ทำด้วยกัน มาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา พิธีสงฆ์มีสวดมนต์เลี้ยงพระให้เป็นสวัสดิมงคลก่อน แล้วทำพิธีพราหมณ์ อ่านโองการแช่งน้ำสาบานและชุบพระแสงต่อไป ข้าราชการกระทำสัตย์ถือน้ำต่อหน้าพระสงฆ์ที่ใน วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วเข้าไปเฝ้าถวายบังคมพระเจ้าอยู่หัวที่ในท้องพระโรง พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ประเพณีเดิม เสด็จออกไปประทับเป็นประธานให้ข้าราชการถือน้ำ กระทำสัตย์ และถวายบังคมที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระองค์เองก็เสวยน้ำ พระพิพัฒนสัตยา ทรงปฏิญาณความซื่อตรงของข้าราชการทั้งปวงด้วย ระเบียบการพระราชพิธี บรมราชาภิเษกก็ทรงแก้ไขให้เป็นพิธีสงฆ์เป็นพื้น คงทำตามพิธีพราหมณ์แต่สรงมุรธาภิเษกทรงรับ พระราชอาณาจักรและรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นสำคัญ การพิธีสำหรับบ้านเมืองจึงเป็นการที่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงแกไ้ ขใหเ้ ปน็ แกน่ สารขน้ึ อกี ประเภทหนง่ึ ดงั พรรณนามา ระเบียบยศศักดิ์ พอทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเริ่มทรงแก้ไข ระเบียบยศศักดิ์ ด้วยมีเหตุที่จะต้องทรงพระราชดำริในการนั้น เบื้องต้นแต่ทรงตั้งแบบเรียก พระนามพระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลก่อน อธิบายข้อนี้ ตามประเพณีโบราณพระนามพระเจ้าแผ่นดิน ที่จารึกสุพรรณบัฏถวายเมื่อราชาภิเษก มักใช้พระนามเดียวกันต่อ ๆ มาด้วยถือว่าเป็นสวัสดิมงคล คนทั้งหลายจึงไม่เรียกพระนามตามที่จารึกนั้น เรียกพระเจ้าแผ่นดินที่เสวยราชย์อยู่แต่ว่า “ขุนหลวง” หรือ “พระพุทธเจ้าอยู่หัว” หรือ “พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ” แต่เมื่อมีจำนวนพระเจ้าแผ่นดิน ที่ล่วงไปแล้วมากขึ้น ก็เรียกพระนามตามพอใจสมมติกันต่าง ๆ เอาพระนามเมื่อก่อนเสวยราชย์มาเรียก เชน่ “สมเดจ็ พระเพทราชา” บา้ ง เรยี กตามพระอธั ยาศยั เชน่ “พระเจา้ เสอื ” หมายความวา่ ดรุ า้ ยบา้ ง เรยี กตามทป่ี ระทบั เชน่ วา่ “พระเจา้ ทา้ ยสระ” เพราะประทบั อยพู่ ระราชมณเฑยี รทท่ี า้ ยสระบา้ ง เปน็ อยา่ งน้ี มาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ มาจนตลอดรัชกาลที่ ๓ จารึกพระนามในพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี” เหมือนกันทุกพระองค์ เมื่อรัชกาลที่ ๒ คนทั้งหลายเรียกรัชกาลที่ ๑ ว่า “แผ่นดินสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง” ครั้นมาถึง
๓๖๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ รัชกาลที่ ๓ มีพระเจ้าแผ่นดินที่ล่วงแล้วเป็น ๒ พระองค์ คนทั้งหลายจึงมักเรียกรัชกาลที่ ๑ ว่า “แผ่นดินต้น” เรียกรัชกาลที่ ๒ ว่า “แผ่นดินกลาง” พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรงั เกยี จวา่ เปน็ อปั มงคล เพราะมตี น้ มกี ลางกต็ อ้ งมปี ลาย รชั กาลของพระองคจ์ ะเหมอื นเปน็ สดุ ทา้ ย จึงทรงบัญญัติให้เรียก ๒ รัชกาลก่อนตามนามพระพุทธรูปซึ่งทรงสร้างอุทิศถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้ง ๒ พระองค์นั้น ให้เรียกรัชกาลที่ ๑ ว่า “แผ่นดินพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก” และเรียกรัชกาลที่ ๒ ว่า “แผ่นดินพระพุทธเลิศหล้านภาลัย” ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ มีปัญหาเกิดขึ้นอีกว่าจะเรียกรัชกาล ที่ ๓ อย่างไร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริเห็นว่าควรจะวางระเบียบการเรียก นามพระเจ้าแผ่นดินเสียให้เป็นยุติ อย่าให้เกิดปัญหาต่อไป เมื่อทำพิธีบรมราชาภิเษกจึงโปรด ฯ ใหเ้ ปลย่ี นแบบคำจารกึ พระสพุ รรณบฏั เอาพระนามเดมิ ขน้ึ ตง้ั ตน้ วา่ “สมเดจ็ พระปรเมนทรมหามงกฎุ ” แทนทเ่ี คยขน้ึ ตน้ วา่ “สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชรามาธบิ ด”ี และใหเ้ พม่ิ คำสำหรบั เรยี กพระเจา้ แผน่ ดนิ วา่ “พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ลงข้างท้ายสร้อยพระนาม แล้วทรงบัญญัติให้เรียกนามรัชกาลที่ ๓ ว่า “แผน่ ดนิ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ” (คำวา่ พระนง่ั เกลา้ และพระจอมเกลา้ นน้ั ทรงอนโุ ลมตามพระนามเดมิ วา่ “ทับ” และว่า “มงกุฎ”) แล้วทรงบัญญัติให้เรียกพระนามพระเจ้าแผ่นดินในกรุงรัตนโกสินทร์ตามนาม แผ่นดินว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อป้องกันมิให้ คนภายหลงั เรยี กกนั ตามสมมตเิ หมอื นอยา่ งครง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ระเบยี บยศเจา้ นายและขา้ ราชการ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กท็ รงตง้ั แบบแผนขน้ึ ใหม่ เนื่องในงานบรมราชาภิเษกนั้นหลายอย่าง คือทรงสถาปนายศ “กรมสมเด็จ” ขึ้นใหม่ให้เป็นชั้นสูงสุด ของเจ้านายต่างกรมอย่าง ๑ ทรงสถาปนายศ “สมเด็จเจ้าพระยา” เข้าในทำเนียบให้เป็นชั้นสูงสุดใน ขนุ นางอยา่ ง ๑ ทรงสถาปนายศเจา้ ประเทศราชอยา่ ง ๑ และทรงสถาปนายศสตรมี บี รรดาศกั ดช์ิ น้ั “เจา้ คณุ ” เขา้ ในทำเนยี บอกี อยา่ ง ๑ การทท่ี รงสถาปนายศตา่ ง ๆ ทก่ี ลา่ วมาน้ี มอี ธบิ ายยศสมเดจ็ เจา้ พระยากอ่ น แต่โบราณยศขุนนางชั้นสูงสุดเป็นเพียงเจ้าพระยา ตามทำเนียบศักดินาข้าราชการในกรุงมีเจ้าพระยาแต่ ๓ คน คอื เจา้ พระยามหาอปุ ราชเปน็ ชน้ั พเิ ศษคน ๑ รองลงมาถงึ อคั รมหาเสนาบดี ๒ คน คอื เจา้ พระยาจกั รี ทส่ี มหุ นายก เปน็ หวั หนา้ ฝา่ ยพลเรอื นคน ๑ กบั เจา้ พระยามหาเสนา ทส่ี มหุ พระกลาโหมเปน็ หวั หนา้ ฝา่ ย ทหารคน ๑ ยศสมเด็จเจ้าพระยาหามีในกฎหมายไม่ มีแต่เรียกในหนังสือพงศาวดาร เช่น “สมเด็จ เจา้ พระยามหากษตั รยิ ศ์ กึ ” และในพงศาวดารรชั กาลท่ี ๑ มวี า่ พระอปุ ราชตรสั เอาพระยาพลเทพเดมิ ใหเ้ ปน็ “สมเดจ็ เจา้ พระยา” (วงั หนา้ ) ในพงศาวดารรชั กาลท่ี ๒ วา่ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื เสวยราชยแ์ ลว้ ๓๖๑ ทรงตง้ั เจา้ พระยามหาเสนา (ปน่ิ ) ทส่ี มหุ พระกลาโหมเปน็ เจา้ พระยาอภยั ราชา ไปรบั ราชการวงั หนา้ ดกู เ็ ปน็ ทำนองเดยี วกบั ทว่ี า่ ตง้ั พระยาพลเทพเปน็ เจา้ พระยาในรชั กาลท่ี ๑ และมปี รากฏในพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา อกี อยา่ งหนง่ึ วา่ เมอ่ื เจา้ พระยาชำนาญบรริ กั ษถ์ งึ แกอ่ สญั ญกรรม พระเจา้ บรมโกศโปรด ฯ ใหเ้ รยี กศพวา่ “พระศพ” อย่างเจ้า (ตามคำพวกผู้ใหญ่ในสกุลสิงหเสนีก็เล่าว่า ศพเจ้าพระยาอภัยราชา (ปิ่น) ได้ พระราชทานเกยี รตยิ ศอยา่ งเจา้ ) พจิ ารณาความทก่ี ลา่ วมาเหน็ วา่ สมเดจ็ เจา้ พระยานน้ั เดมิ จะเปน็ แตค่ ำ ที่เรียกกัน คือเจ้าพระยาคนใดมีความชอบพิเศษ ได้เลื่อนยศสูงขึ้นกว่าเจ้าพระยาอัครมหาเสนาบดี เทยี บเทา่ เจา้ พระยามหาอปุ ราชในกฎหมายอนั มยี ศบางอยา่ งเหมอื นกบั เจา้ กเ็ รยี กกนั วา่ สมเดจ็ เจา้ พระยา ๆ หาใช่ยศในกฎหมายไม่ ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงพูนบำเหน็จ เจา้ พระยาพระคลงั ซง่ึ เปน็ อคั รมหาเสนาบดีอยแู่ ลว้ จงึ โปรดฯ ใหเ้ ปน็ สมเดจ็ เจา้ พระยา และทรงบญั ญตั ยิ ศ สมเด็จเจ้าพระยาเข้าในกฎหมายเป็นชั้นสูงสุดในยศขุนนางแต่นั้นมา บางทีจะเนื่องมาจากที่ทรงตั้ง สมเดจ็ เจา้ พระยานน้ั เอง ทรงพระราชดำรติ อ่ ไปถงึ ยศเจา้ นายตา่ งกรม ซง่ึ ตามแบบโบราณมยี ศ “กรมพระ” เป็นชั้นสูงสุด จึงทรงเพิ่มยศ “กรมสมเด็จ” ขึ้นอีกชั้นหนึ่ง สำหรับทรงตั้งพระบรมวงศ์ซึ่งมีความชอบ เปน็ อยา่ งพเิ ศษนบั เปน็ ชน้ั สงู สดุ ในยศเจา้ นายตา่ งกรมแตน่ น้ั มา ทท่ี รงแกไ้ ขระเบยี บยศเจา้ ประเทศราชนน้ั แต่เดิมมารัฐบาลในกรุงเทพ ฯ ยกยศประเทศราชเป็นเจ้าแต่เมืองเวียงจันทน์กับเมืองหลวงพระบาง เพราะสืบสายมาแต่พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตแต่โบราณ ส่วนประเทศราชในมณฑลพายัพยังให้มียศ แต่เป็น “พระยา” เพราะเพิ่งตั้งเป็นประเทศราชขึ้นใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ต่อเจ้าเมืองคนใด มีความชอบมากจึงทรงตั้งให้เป็น “พระเจ้า” เฉพาะตัว เช่นพระเจ้าเชียงใหม่กาวิละในรัชกาลที่ ๑ พระเจ้านครลำปางดวงทิพและพระเจ้านครลำพูนบุญมาในรัชกาลที่ ๒ แต่ชาวเมืองประเทศราช เหลา่ นน้ั เองตลอดไปจนประเทศราชทข่ี น้ึ กบั พมา่ เชน่ เมอื งเชยี งตงุ เปน็ ตน้ นบั ถอื วา่ เปน็ เจา้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่าสกุลเจ้าเจ็ดตนที่ได้ครองเมืองเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง เมอื งนครลำพนู กบั ทง้ั สกลุ เจา้ เมอื งนา่ น ไดม้ คี วามสามภิ กั ดย์ิ ง่ั ยนื มา ทใ่ี หม้ ยี ศเปน็ แตเ่ พยี งพระยา ต่ำกว่าพวกที่ครองเมืองหลวงพระบางและประเทศราชที่ขึ้นพม่าหาสมควรไม่ จึงทรงสถาปนาให้มียศ โดยปกตเิ ปน็ เจา้ ถา้ มคี วามชอบพเิ ศษเลอ่ื นขน้ึ เปน็ “พระเจา้ ” เปน็ ระเบยี บสบื มา การตั้งกรมเจ้านายและตั้งขุนนางที่ทรงแก้ไขตั้งระเบียบใหม่นั้น ประเพณีเดิมการตั้งกรมหรือ เลื่อนกรมเจ้านาย นอกจากอุปราชาภิเษกมหาอุปราช พระเจ้าแผ่นดินเป็นแต่มีพระราชดำรัสสั่งแล้ว ก็แล้วกัน ไม่ได้ทรงเกี่ยวกับการพิธี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปในการพิธี
๓๖๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ถงึ วงั เจา้ นายทร่ี บั กรม ทรงรดนำ้ จากพระมหาสงั ขพ์ ระราชทานอยา่ งอภเิ ษก และทรงเจมิ จณุ ณใ์ หเ้ ปน็ สิริมงคล แล้วพระราชทานพระสุพรรณบัฏเอง และเมื่อก่อนพระราชทานพระสุพรรณบัฏให้อาลักษณ์ อา่ นประกาศพระเกยี รตคิ ณุ ของเจา้ นายพระองคน์ น้ั อนั เปน็ เหตใุ หไ้ ดร้ บั กรมใหป้ รากฏดว้ ย การตง้ั ขนุ นางผใู้ หญ่ ถา้ เปน็ ชน้ั สงู ถงึ สมเดจ็ เจา้ พระยา กเ็ สดจ็ ไปพระราชทานสพุ รรณบฏั ทำนอง เดยี วกบั ตง้ั กรมเจา้ นาย ถา้ ชน้ั รองลงมาเพยี งชน้ั เจา้ พระยากพ็ ระราชทานในทอ้ งพระโรง และมกี ารอา่ น ประกาศเกียรติคุณเพิ่มขึ้นด้วย การตั้งขุนนางชั้นสามัญแต่ก่อนมา เป็นแต่กรมวังผู้รับสั่งมีหมายบอก ตวั เองและบอกไปตามกระทรวงทบวงการตา่ ง ๆ วา่ ทรงตง้ั คนนน้ั เปน็ ทน่ี น้ั แลว้ กแ็ ลว้ กนั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริให้มีสัญญาบัตรลงพระราชหัตถเลขาปรมาภิไธย และประทับ พระราชลญั จกรเปน็ สำคญั และใหร้ บั สญั ญาบตั รตอ่ พระหตั ถเ์ ปน็ ประเพณสี บื มา อนง่ึ ยศของสตรมี บี รรดาศกั ด์ิชั้น “เจา้ คณุ ” แตก่ อ่ นกเ็ ปน็ คำเรยี กกนั มกั เรยี กทา่ นผใู้ หญใ่ น ราชินิกุลหรือท้าวนางที่เป็นตัวหัวหน้า และเรียกเจ้าจอมมารดาของเจ้านายต่างกรมผู้ใหญ่ แล้วแต่ ใครจะเรียก ๆ กันฟั่นเฝือไม่เป็นแบบแผน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงบัญญัติให้ยศ “เจา้ คณุ ” เปน็ ยศในกฎหมายสำหรบั พระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงตง้ั เปน็ แบบแผนสบื มา แก้พระราชานุกิจ การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแก้ไขขนบธรรมเนียมในประเภทซึ่งเรียกใน กฎหมายวา่ “พระราชานกุ จิ ” คอื ระเบยี บเวลาทพ่ี ระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงปฏบิ ตั พิ ระราชกจิ ตา่ ง ๆ กเ็ ปน็ การสำคญั อกี อยา่ งหนง่ึ ซง่ึ เปน็ ประโยชนแ์ กบ่ า้ นเมอื งมาก ตามราชประเพณมี แี ตโ่ บราณมา พระเจา้ แผน่ ดนิ ยอ่ มทรง ประพฤติพระราชกิจต่าง ๆ เป็นระเบียบและตามกำหนดเวลาแน่นอนเสมอ เช่นเสด็จออกขุนนางวันละ ๓ ครั้ง คือเวลาเช้า ๑๐ นาฬิกาเสด็จออกพิพากษาคดี เวลาบ่าย ๑๔ นาฬิกาเสด็จออกที่เฝ้ารโหฐาน เวลาค่ำ ๒๐ นาฬิกาเสด็จออกว่าราชการแผ่นดิน เป็นต้น พระราชกิจอย่างอื่นก็จัดเข้าระเบียบ ทรงประพฤตโิ ดยมกี ำหนดเวลาเปน็ ทำนองเดยี วกนั ขา้ ราชการผมู้ หี นา้ ทใ่ี นราชกจิ อยา่ งใด กเ็ ขา้ เฝา้ แหนตาม กำหนดเวลาทรงปฏิบัติราชกิจอย่างนั้นเสมอไม่ต้องนัดหมาย เห็นสะดวกแก่การงานจึงใช้เป็นตำรา ราชประเพณสี บื มาชา้ นาน แตร่ ะเบยี บพระราชานกุ จิ นน้ั สำหรบั แตเ่ วลาเสดจ็ ประทบั อยใู่ นพระนครราชธานี การที่จะเสด็จไปยังหัวเมืองไม่มีในตำรา แต่ก่อนมาการเสด็จไปหัวเมือง จึงแล้วแต่พระราชอัธยาศัย ส่วนพระองค์ของพระเจ้าแผ่นดิน ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ตั้งแต่ล่วงรัชกาลที่ ๑ ไม่มีกิจที่ต้อง
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื เสวยราชยแ์ ลว้ ๓๖๓ เสด็จไปทำศึกสงคราม พระเจ้าอยู่หัวทั้ง ๒ รัชกาล ต่อมาก็ประทับอยู่แต่ในพระราชวังเป็นพื้น เป็นเหตุให้ทรงห่างเหินกับราษฎร และมิได้ทอดพระเนตรเห็นการที่เป็นไปตามหัวเมือง พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริเห็นว่า พระราชานุกิจอย่างรัชกาลก่อนยังบกพร่องเป็นข้อสำคัญ พอเสวยราชย์ก็ทรงแก้ไข คงไว้แต่ที่เป็นแก่นสาร เช่นเสด็จออกวันละ ๓ ครั้งเป็นต้น พระราชกิจ ที่ไม่เป็นการสำคัญเช่นเสด็จลงทรงบาตรและทรงประเคนเลี้ยงพระทุกวันดังเคยมีมาในรัชกาลก่อน โปรด ฯ ใหเ้ จา้ นายทำแทนพระองค์ เอาเวลาไปใชใ้ นพระราชกจิ ทเ่ี พม่ิ ขน้ึ ใหม่ เชน่ เสดจ็ ออกรบั ฎกี าราษฎร และเสด็จประพาสพระนครให้ราษฎรได้เฝ้าเป็นต้นดังกล่าวมาแล้ว นอกจากนั้นทรงฟื้นประเพณีเสด็จ ประพาสหัวเมืองขึ้นเหมือนอย่างพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยาบางพระองค์เคยประพฤติมาแต่ก่อน มโี อกาสเมอ่ื ใดกท็ รงพระราชอตุ สาหะเสดจ็ ไปยงั หวั เมอื งตา่ ง ๆ ทางฝา่ ยเหนอื ไดเ้ สดจ็ ไปถงึ เมอื งพษิ ณโุ ลก ทางตะวันออกเสด็จไปถึงเมืองปราจิณกับทั้งหัวเมืองชายทะเลตลอดจนเมืองจันทบุรีและเมืองตราด ทางฝ่ายใต้เสด็จไปถึงเมืองนครศรีธรรมราชและเมืองสงขลา ทางฝ่ายตะวันตกเสด็จไปถึงเมืองนครชัยศรี เมอื งกาญจนบรุ ี เมอื งราชบรุ ี และเมอื งเพช็ รบรุ ี ไดท้ อดพระเนตรเหน็ ภมู ลิ ำเนาพระราชอาณาเขตและ ทรงทราบการหวั เมอื งยง่ิ กวา่ พระเจา้ แผน่ ดนิ แตป่ างกอ่ นโดยมาก ตามหวั เมอื งทเ่ี สดจ็ ประพาสนน้ั โปรดฯ ให้สร้างที่ประทับขึ้นใหม่ในวังพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยาเคยประทับก็หลายแห่ง เช่นวังบางปะอิน ของพระเจ้าปราสาททอง วังจันทรเกษมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช วังเชิงเขาพระพุทธบาท ของพระเจ้าทรงธรรม และวัง ณ เมืองลพบุรีของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่เมืองเพ็ชรบุรี และเมืองนครปฐมก็มีที่พระราชวังโบราณทั้ง ๒ แห่ง แต่โปรด ฯ ให้สร้างวังใหม่ในที่อื่น การที่ พระเจ้าแผ่นดินเสด็จประพาสตรวจการหัวเมือง จึงเกิดเป็นประเพณีอันมีประโยชน์แก่บ้านเมืองเป็น อนั มากแตใ่ นรชั กาลท่ี ๔ สบื มา แม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ไขพระราชานุกิจดังกล่าวมา เมื่อภายหลังก็ เกดิ ความลำบากแกพ่ ระองคใ์ นการทต่ี อ้ งทรงประพฤตพิ ระราชานกุ จิ เพราะในรชั กาลท่ี ๔ มกี จิ การตา่ ง ๆ ซง่ึ พระเจา้ แผน่ ดนิ แตก่ อ่ น ๆ ไมต่ อ้ งทรงทำ เกดิ เพม่ิ ขน้ึ ใหมห่ ลายอยา่ ง เปน็ ตน้ แตเ่ หตทุ เ่ี คยทรงสมาคม และมีหนังสือไปมากับฝรั่งเมื่อยังทรงผนวช ครั้นเสด็จเสวยราชย์ พวกฝรั่งต่างประเทศได้ทราบ พระเกียรติคุณ พากันเขียนหนังสือมาถวายมากขึ้น เกิดพระราชกิจที่ต้องมีพระราชหัตถเลขา เปน็ ภาษาองั กฤษถงึ ชาวตา่ งประเทศเพม่ิ ขน้ึ อนั ตอ้ งทรงแตง่ เองเขยี นเอง เพราะยงั ไมม่ ใี ครอน่ื ทร่ี อบรพู้ อ จะช่วยพระราชกิจนั้นได้ ต่อมาถึงสมัยเมื่อทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีกับฝรั่งต่างประเทศแล้ว
๓๖๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เกดิ กจิ ซง่ึ โตต้ อบกบั พวกกงสลุ ในการตา่ ง ๆ เพ่มิ ขน้ึ อกี บางทกี ็เป็นการสำคญั อันจะกราบทูลหรอื ปรึกษา โดยเปิดเผยในเวลาเสด็จออกขุนนางเหมือนอย่างแบบเก่าไม่ได้ ก็ต้องส่งหนังสือที่มีมากับทั้งร่างตอบ เข้าไปถวายทรงพระราชวินิจฉัย นอกจากนั้นการที่ทรงรับฎีกาของราษฎรก็เพิ่มพระราชกิจที่ต้อง ทรงพิจารณาฎีกาด้วยอีกอย่างหนึ่ง หรือถ้ารวมว่าโดยย่อ คือเกิดการที่ต้องทรงพระอักษรเป็น ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องทรงปฏิบัติการนั้น แทรกเขา้ ในระเบยี บพระราชานกุ จิ ประจำวนั วนั ไหนมหี นงั สอื ทเ่ี รง่ รอ้ นตอ้ งทรงมาก เวลาเสดจ็ ออกวา่ ราชการ บ้านเมืองเวลาค่ำก็มักเคลื่อนคลาดช้าไปเนือง ๆ เป็นเหตุให้ข้าราชการผู้ใหญ่ติเตียนว่าเวลาพระราชานุกิจ ไม่แน่นอนเหมือนในรัชกาลที่ ๓ บางคนก็เลยขาดเฝ้าด้วยอ้างว่าสูงอายุแล้วอยู่ดึกทนไม่ไหว แม้ผู้ที่ยัง ไม่สูงอายุก็พลอยเอาอย่าง ประเพณีที่เสนาบดีต้องเข้าเฝ้าทุกวันก็เสื่อมมา ถ้ามีราชการสลักสำคัญ มักเข้าเฝ้าเวลาเสด็จออกที่รโหฐาน ราชการสามัญที่เคยกราบทูลในเวลาเสด็จออกขุนนางมักให้แต่ปลัด ทูลฉลองกราบทูลแทน (เมื่อเริ่มรัชกาลที่ ๕ ปรึกษากันให้กลับใช้แบบพระราชานุกิจอย่างรัชกาลที่ ๓ ดงั จะปรากฏอธบิ ายในตอนอน่ื ตอ่ ไปขา้ งหนา้ ) ตเี มอื งเชยี งตงุ ในรัชกาลที่ ๔ ต้องทำสงครามครั้งเดียว และไม่เหมือนกับสงครามใน ๓ รัชกาลที่ล่วงแล้ว ดว้ ยแตก่ อ่ นพอเปลย่ี นรชั กาลใหมท่ ง้ั รชั กาลท่ี ๑ และท่ี ๒ พมา่ ขา้ ศกึ กเ็ ขา้ มารบรกุ เมอ่ื ครง้ั รชั กาลท่ี ๓ เจ้าอนุเวียงจันทน์เป็นขบถก็ยกกองทัพลงมารบรุก ไทยเป็นฝ่ายข้างต่อสู้รักษาอาณาเขตทั้ง ๓ คราว แต่คราวนี้ไทยไปตีเมืองเชียงตุงเป็นการรบรุกอาณาเขตของพม่า จึงผิดกัน ที่จริงเรื่องตีเมืองเชียงตุง เริ่มมาในรัชกาลที่ ๓ ด้วยเหตุเกิดจลาจลในอาณาเขตลื้อ*๑ สิบสองปันนาอันเป็นประเทศราชของพม่า แต่ภูมิลำเนาอยู่ต่อแดนทั้งประเทศจีนและประเทศสยาม และเคยยอมขึ้นต่อจีนหรือไทยในเวลา ได้ความลำบากมาแต่ก่อน เมื่อก่อนเกิดจลาจลครั้งนี้มีพวกเจ้านายราชวงศ์เมืองเชียงรุ้ง ซึ่งครอบครอง สิบสองปันนาพากันอพยพครอบครัวหนีภัยมาอาศัยอยู่ในแดนเมืองน่านและเมืองหลวงพระบาง * ลอ้ื เป็นชาตไิ ทยจำพวกหนง่ึ พดู ภาษาไทยสำเนยี งเหมอื นชาวนครศรธี รรมราช ๑ ดนิ แดนทางตอนใตข้ องประเทศจนี ทเ่ี รยี กวา่ สบิ สองปนั นา เปน็ ทอ่ี ยขู่ องพวกไทยลื้อ มีเมืองใหญ่คือ เชยี งรงุ้ ตั้งอยู่ริมฝั่งแมน่ ำ้ โขง ขนบธรรมเนยี มประเพณแี ละภาษาของไทยลอ้ื ใกลเ้ คยี งกบั ไทยยวนทางภาคเหนอื ของประเทศไทย แตก่ ารปกครองอยภู่ ายใตก้ ารกำกบั ดแู ลของจนี ส่วนเชียงตุงอยู่ในอาณาเขตของพม่า รัฐฉาน ดินแดนดังกล่าวนี้เป็นผืนแผ่นดินที่ติดต่อกัน ประชาชนจึงสนิทสนมถือเสมือนเป็นพี่น้องกัน มขี นบประเพณใี กลเ้ คยี งกนั การปกครองแตเ่ ดมิ แวน่ แควน้ ตา่ ง ๆ ปกครองตวั เอง แตห่ ากอาณาจกั รใดมอี ำนาจมากกต็ อ้ งสวามภิ กั ดอ์ิ าณาจกั รนน้ั จงึ เกดิ การแยง่ ชงิ อำนาจกนั ในดินแดนน้รี ะหว่างไทย พม่า จีน เป็นระยะ ๆ
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื เสวยราชยแ์ ลว้ ๓๖๕ (เมื่อยังเป็นอาณาเขตสยาม) หลายพวก เจ้าเมืองหลวงพระบางและเมืองน่านส่งตัวนายที่เป็นหัวหน้า ลงมายังกรุงเทพฯ เพื่อขอพระบารมีเป็นที่พึ่งและจะทิ้งพม่ามาขึ้นไทย ก็ในเวลานั้นทางประเทศพม่า เสื่อมกำลังตั้งแต่รบแพ้อังกฤษ (ครั้งแรก) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า เป็นโอกาสที่จะแผ่พระราชอาณาเขตไปถึงสิบสองปันนา แต่จะต้องตีเมืองเชียงตุงซึ่งพม่าให้ควบคุม ข่มหัวเมืองลื้อให้หมดกำลังเสีย ไทยจึงจะเอาเมืองสิบสองปันนาไว้ได้ ครั้งนั้นพอพวกเจ้าประเทศราช ในมณฑลพายัพทราบกระแสพระราชดำริ ก็พากันยินดีรับอาสาตีเมืองเชียงตุงด้วยเห็นแก่ประโยชน์ ที่จะได้เชลยกับทรัพย์สินเมื่อรบชนะตามประเพณีการสงครามในสมัยนั้น จึงโปรดฯ ให้พวกประเทศราช เมืองเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง และเมืองนครลำพูน ยกกองทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงตุง (ครั้งแรก) เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๓๙๒ แต่กองทัพที่ยกไปไปทำการไม่พรักพร้อมกัน ลงที่สุดขัดสนเสบียงอาหาร ก็ต้องเลิกกลับมา พอประจวบเวลาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวร เรื่องตีเมืองเชียงตุง กค็ า้ งอยเู่ พยี งนน้ั จนสน้ิ รชั กาลท่ี ๓ ถึงรัชกาลที่ ๔ มีความจำเป็นจะต้องตกลงเป็นยุติว่าจะทำอย่างไรต่อไปทั้งในเรื่องตีเมืองเชียงตุง และเมอื งสบิ สองปนั นา เพราะพวกเจา้ นายเมอื งเชยี งรงุ้ ตอ้ งคอยฟงั อยใู่ นกรงุ เทพ ฯ ถงึ ๓ ปี พรรคพวก ครอบครัวที่คอยอยู่ในแขวงเมืองน่านและเมืองหลวงพระบางก็มาก พอประจวบกับได้รับศุภอักษร ของเจ้าฟ้าแสนหวีเจ้าเมืองเชียงรุ้งมีมาให้กราบบังคมทูลว่าการที่เกิดจลาจลนั้นระงับเรียบร้อยแล้ว ขอพระราชทานอนญุ าตใหเ้ จา้ นายทม่ี าพง่ึ พระบารมกี บั พวกบรวิ ารกลบั คนื ไปบา้ นเมอื ง และเจา้ เมอื งเชยี งรงุ้ จะถวายเครอ่ื งราชบรรณาการ ๓ ปคี รง้ั ๑ เหมอื นอยา่ งประเทศราชอน่ื ตอ่ ไป พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่าพวกราชวงศ์เมืองเชียงรุ้งกับพวกบริวารหนีภัยมาพึ่งพระบารมีในเวลาบ้านเมือง เป็นจลาจล บ้านเมืองเรียบร้อยแล้วใครประสงค์จะกลับไปบ้านเมืองก็พระราชทานอนุญาตให้กลับไป ตามใจสมคั ร แตส่ ว่ นเรอ่ื งการตเี มอื งเชยี งตงุ และเรอ่ื งทผ่ี กู พนั กบั เมอื งเชยี งรงุ้ ตอ่ ไปอยา่ งไรนน้ั โปรด ฯ ให้เสนาบดีปรึกษากันทำความเห็นขึ้นกราบบังคมทูล ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงบัญชาหรือตรัสปรึกษาเสนาบดีจะเป็นเพราะเหตุใด ข้อนี้พิจารณาดูเห็นว่าคงเป็นเพราะวินิจฉัย เรื่องเมืองเชียงตุงเกี่ยวกับการทำศึกสงครามอันเป็นวิชาซึ่งพระองค์มิได้มีโอกาสทรงศึกษา* ส่วนเรื่อง เมืองเชียงรุ้งนั้น คงทรงเห็นการเหมือนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเคยทรงพระราชดำริ * ถ้าใครสังเกตดูรูปฉายาลักษณ์ในรัชกาลที่ ๔ จะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฉายพระรูปทรงแต่งพลเรือน แต่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งเป็นทหารเป็นนิจ
๓๖๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ มาแตก่ อ่ น วา่ เมอื งลอ้ื สบิ สองปนั นาเคยขน้ึ แกพ่ มา่ และจนี แม้ ไทยรบั เปน็ ทพ่ี ง่ึ ถา้ พมา่ หรอื จนี มาเบยี ดเบยี น เมืองเชียงรุ้ง ก็ยากที่ไทยจะไปช่วยป้องกัน เพราะหนทางไกลและกันดารนัก จะไม่เป็นที่พึ่งแก่ พวกลอ้ื สบิ สองปนั นาไดจ้ รงิ แตจ่ ะตรสั ปฏเิ สธโดยลำพงั พระราชดำรกิ ย็ าก จงึ ทรงอาศยั เหตทุ เ่ี ปน็ การเกา่ ซึ่งเสนาบดีเหล่านั้นได้เคยพิจารณาบัญชาการมาแล้วเมื่อรัชกาลที่ ๓ ให้ปรึกษากันอีกครั้งหนึ่งว่า จะควรทำอย่างไรต่อไปในรัชกาลใหม่ ก็ในปีชวด พ.ศ. ๒๓๙๕ นั้น เผอิญประจวบกับอังกฤษมาตี เมืองพม่าอีก (เป็นครั้งที่ ๒) พม่ากำลังติดรบพุ่งกับอังกฤษจะไปช่วยเมืองเชียงรุ้งไม่ได้ เป็นโอกาสเกิด เพม่ิ ขน้ึ เสนาบดจี งึ พรอ้ มกนั ทำความเหน็ กราบบงั คมทลู เหน็ วา่ ควรจะดำเนนิ การตอ่ ไปตามพระราชดำริ ในรัชกาลที่ ๓ คือให้ไปตีเมืองเชียงตุงอีก เมื่อได้เมืองเชียงตุงแล้วก็คงได้เมืองลื้อสิบสองปันนา เป็นของไทยโดยไม่ลำบาก แต่การที่จะตีเมืองเชียงตุงคราวนี้ควรให้มีกองทัพกรุงเทพฯ ยกขึ้นไปควบคุม กองทัพพวกมณฑลพายัพด้วยจึงจะเป็นการสะดวกและจะเป็นประโยชน์ฝึกฝนข้าราชการในกรุงให้ ชำนาญการศึกสงครามขึ้นด้วย เมื่อเสนาบดีลงมติอย่างนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงบัญชาตาม โปรด ฯ ให้เกณฑ์คนในมณฑลพายัพและหัวเมืองเหนือนอกจากมณฑลนั้นรวมจำนวน ๑๐,๐๐๐ จดั เปน็ ๒ กองทพั ใหเ้ จา้ พระยายมราช (นชุ บณุ ยรตั พนั ธ์ ซง่ึ ตอ่ มาไดเ้ ปน็ เจา้ พระยาภธู ราภยั ที่สมุหนายก) คุมกองทัพหน้ายกไปทางเมืองเชียงใหม่ทาง ๑ ให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเป็นจอมพล คุมกองทัพหลวงยกไปทางเมืองน่านอีกทาง ๑ ไปสมทบกันตีเมืองเชียงตุง กองทัพที่ยกไปครั้งนั้น ตีได้เมืองขึ้นและด่านทางที่พวกเชียงตุงมาตั้งต่อสู้เข้าไปจนถึงตั้งล้อมเมืองเชียงตุง ยังแต่จะหัก เขา้ เมอื ง เผอญิ เสบยี งอาหารขาดลงกต็ อ้ งถอยทพั กลบั มาตง้ั อยเู่ มอื งเชยี งแสน ในเวลานน้ั ประจวบกบั จัดทหารอย่างยุโรปขึ้นในกรุงเทพ ฯ เสนาบดีจึงปรึกษาเห็นกันว่าเมืองเชียงตุงก็อ่อนกำลังมากอยู่แล้ว ควรจะเพม่ิ เตมิ กำลงั กองทพั ทง้ั เสบยี งอาหารและเครอ่ื งศสั ตราวธุ ใหม้ ากขน้ึ อยา่ ใหม้ คี วามขดั ขอ้ งเหมอื น เมื่อคราวก่อน แล้วให้ยกขึ้นไปตีเมืองเชียงตุงในฤดูแล้งปีฉลู พ.ศ. ๒๓๙๖ อีกครั้งหนึ่ง แต่ในเวลา เตรียมทัพอยู่นั้น ทางเมืองพม่าเสร็จการสงครามกับอังกฤษ พม่าส่งกำลังมาช่วยรักษาเมืองเชียงตุง ทางฝ่ายไทยไม่รู้ ยกขึ้นไปคราวหลังก็เกิดลำบากตั้งแต่เข้าแดนเชียงตุง กองทัพเจ้าพระยายมราช ต้องติดขัดไปไม่ทันสมทบกองทัพหลวง กรมหลวงวงศา ฯ เสด็จขึ้นไปพบกองทัพพม่ามีกำลังมากกว่า ก็ต้องถอยทัพกลับมา การตีเมืองเชียงตุงจึงเป็นอันไม่สำเร็จ ถ้าคิดดูว่าเพราะเหตุใดเห็นว่า เพราะไปทำสงครามในดนิ แดนของขา้ ศกึ ซง่ึ ไทยไมร่ เู้ บาะแสภมู ลิ ำเนา เสยี เปรยี บศตั รอู ยโู่ ดยธรรมดาอยา่ ง ๑ เพราะฝ่ายไทยประมาทไม่ขวนขวายในการสืบสวนให้สมกับกระบวนพิชัยสงครามอย่าง ๑ เป็นข้อสำคัญ แตถ่ งึ ตเี มอื งเชยี งตงุ ไดก้ ค็ งรกั ษาไวไ้ มไ่ ด้ ดว้ ยอยใู่ กลแ้ ดนพมา่ กวา่ แดนไทย
เรอ่ื งพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื เสวยราชยแ์ ลว้ ๓๖๗ จัดทหารบกทหารเรือ ทหารบกทหารเรือที่ฝึกหัดจัดระเบียบการบังคับบัญชาตามแบบฝรั่ง ก็เกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๔ แต่นั้นมา เมื่อไทยรบกับญวนและระแวงว่าอังกฤษจะย่ำยีเหมือนอย่างเมืองจีน พระบาทสมเด็จ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรด ฯ ใหส้ รา้ งสมเครอ่ื งอาวธุ ยทุ ธภณั ฑแ์ ละสรา้ งปอ้ มรกั ษาปากนำ้ ทส่ี ำคญั ทกุ แหง่ ครั้งนั้นให้เกณฑ์พวกอาสาญวน (เข้ารีต) หัดเป็นทหารปืนใหญ่ ขึ้นอยู่ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื ยงั ดำรงพระยศเปน็ เจา้ ฟา้ กรมขนุ อศิ เรศรงั สรรค์พวก ๑ เกณฑ์พวกอาสามอญหดั เปน็ พวก ทหารปนื เลก็ ขน้ึ อยใู่ นกระทรวงกลาโหม สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศเ์ มอ่ื ยงั เปน็ ทพ่ี ระยาศรสี รุ ยิ วงศ์ เป็นผู้บังคับบัญชาพวก ๑ สำหรับรักษาป้อมที่เมืองสมุทรปราการ ทหารทั้ง ๒ พวกนี้แต่งตัวตามแบบ ทหารฝรั่ง และปรากฏว่าได้ให้มาตั้งแถวเป็นกองเกียรติยศเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสดจ็ ออกพระทน่ี ง่ั อมรนิ ทรวนิ จิ ฉยั ในวนั บรมราชาภเิ ษก* แตย่ งั ไมไ่ ดจ้ ดั ระเบยี บการบงั คบั บญั ชา ในปกี นุ พ.ศ. ๒๓๙๔ ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสวยราชยน์ น้ั มีนายรอ้ ยเอกทหารองั กฤษคน ๑ ชอ่ื อมิ เป (Impey) ทราบวา่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดเ้ สวยราชยแ์ ละโปรดขนบธรรมเนยี มฝรง่ั จึงเข้ามารับอาสาเป็นครูฝึกหัดจัดระเบียบทหารบกก็โปรด ฯ ให้จ้างไว้ แล้วเกณฑ์คนกรมอาสาลาว และเขมรเป็นทหารใหน้ ายรอ้ ยเอก อมิ เป ฝกึ หดั เรยี กวา่ “ทหารเกณฑห์ ดั อยา่ งยโุ รป” จดั เปน็ กองรอ้ ย และหมวดหมู่ มีนายร้อย นายสิบ ควบคุมตามแบบฝรั่ง และโปรด ฯ ให้สร้างโรงทหารขึ้นสำหรับพวก ทหารผลดั เวรกนั อยปู่ ระจำราชการ การฝกึ หดั และจดั ระเบยี บทหารครง้ั นน้ั เพราะทำตามแบบฝรง่ั และครกู ็ ไมร่ ้ภู าษาไทย จงึ ใชค้ ำบอกทหารและชอ่ื ตำแหนง่ นายทหารเปน็ ภาษาองั กฤษมาตลอดรชั กาลท่ี ๔ พอขา่ ว ระบือไปว่านายร้อยเอกอิมเปได้เป็นครูทหารไทย ในไม่ช้าก็มีนายร้อยเอกทหารอังกฤษชื่อ น๊อกส์ (Knox) เข้ามาอาสาอีกคน ๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า ทหารวังหลวงมี นายรอ้ ยเอกอมิ เปเปน็ ครอู ยแู่ ลว้ จงึ โปรด ฯ ใหพ้ ระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รบั นายรอ้ ยเอกนอ๊ กส์ ไปเป็นครูทหารวังหน้า และให้โอนทหารญวน (เข้ารีต) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรง บงั คบั บญั ชาอยแู่ ตก่ อ่ นไปเปน็ ทหารวงั หนา้ สว่ นทหารมอญทเ่ี คยขน้ึ อยใู่ นกระทรวงกลาโหมนน้ั กโ็ ปรด ฯ ให้คงอยู่ในบังคับบัญชาของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งเป็นผู้จัดทหารเรือ ทหารพวกนั้นจึงเปลี่ยน ไปเปน็ ทหารมรนี ๑ สำหรบั เรอื รบ ตอ่ มาโปรด ฯ ใหจ้ ดั กรมรกั ษาพระองคเ์ ปน็ ทหารอยา่ งยโุ รปขน้ึ อกี กรม ๑ และจัดพวกกรมอาสาญวน (ถือพระพุทธศาสนา ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองผะดุงกรุงเกษม) เป็นทหาร * มใี นพงศาวดารรชั กาลท่ี ๔ ของเจา้ พระยาทพิ ากรวงศ์ ๑ ทหารมรนี (Marine) คอื ทหารเรอื
๓๖๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ปืนใหญ่แทนพวกญวนเข้ารีตที่โอนไปวังหน้าอีกกรม ๑ กรมทหารบกต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้เป็นต้นเดิม ของทหารบกทม่ี ตี อ่ มาจนทกุ วนั น้ี ทหารบกที่เริ่มจัดขึ้นเมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๓๙๕ นั้นทันได้ส่งขึ้นไปเข้ากองทัพกรมหลวง วงศาธิราชสนิท เมื่อยกขึ้นไปตีเมืองเชียงตุงครั้งหลังในปีฉลู พ.ศ. ๒๓๙๖ จะเป็นจำนวนคนเท่าใด หาทราบไม่ ทราบแตว่ า่ นายรอ้ ยเอกนอ๊ กสค์ มุ ไป และไดช้ ว่ ยรบครง้ั หลงั เมอ่ื กองทพั กรมหลวงวงศา ฯ ถอยลงมา* ส่วนทหารเรือนั้น เมื่อรัชกาลที่ ๓ มีเรือรบเป็นกำปั่นใบหลายลำ เกณฑ์พวกแขก๑(เขมร) กรมอาสาจามลงประจำขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหม สำหรับลาดตระเวนในอ่าวสยาม บางทีมีราชการ ก็ให้ไปถึงเมืองต่างประเทศที่ใกล้เคียง ถึงรัชกาลที่ ๔ เมื่อเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นอัครมหาเสนาบดี กระทรวงกลาโหม ท่านชำนาญการต่อเรือกำปั่นมาตั้งแต่ยังเป็นหลวงนายสิทธิในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรด ฯ ให้จัดทหารเรือและต่อเรือกลไฟเป็นเรือรบและเรือใ่ช้ เป็นพาหนะ ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวก็โปรดการทหารเรือ ทรงต่อเรือรบและ จัดทหารเรือวังหน้าขึ้นด้วย จึงเริ่มมีเรือไฟใช้เป็นเรือรบและเรือพาหนะ ตั้งแต่ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๐๑ เป็นต้นมา** คงใช้พวกอาสาจามเป็นพนักงานเดินเรืออยู่อย่างเดิม เพิ่มพวกมอญเป็นทหารมรีน สำหรับเรือรบ แต่พวกต้นกลนั้นฝึกหัดไทยใช้มาแต่แรก ส่วนการบังคับบัญชาในเรือรบ ในสมัยนั้น ยงั ไมม่ ไี ทยใครชำนาญ จงึ ตอ้ งจา้ งฝรง่ั เปน็ กปั ตนั และตน้ หนเรอื รบมาชา้ นาน * เรอ่ื งนพ้ี ระองคเ์ จา้ สายสนทิ วงศใ์ นกรมหลวงวงศา ฯ ซง่ึ ไดต้ ามเสดจ็ พระบดิ าไปดว้ ยในครง้ั นน้ั เลา่ ใหฟ้ งั ๑ พระยาอนมุ านราชธนไดอ้ ธบิ ายไวว้ า่ แขกเปน็ คำไทยมมี าแตเ่ ดมิ หมายความวา่ คนตา่ งบา้ นตา่ งเมอื งหรอื เปน็ คนมาแตอ่ น่ื ในกรณนี ้ี เป็นชาวเขมร ** บญั ชเี รือกลไฟในรชั กาลที่ ๔ มอี ยูใ่ นหนงั สอื บางกอกคาเลนดารข์ องหมอบรัดเล เล่ม ค.ศ. ๑๘๖๘
๓๖๙ จดหมายเหตุ เรอ่ื งพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประชวร ฉบบั เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง
๓๗๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔
จดหมายเหตเุ รอ่ื งพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประชวร ๓๗๑ จดหมายเหตุ เรื่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประชวร ฉะบบั เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง คำนำ* ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระยาอุไทยธรรม (หรุ่น วัชโรทัย) และคุณหญิงอุไทยธรรม (หลี วัชโรทัย) ณ วัดมกุฎกษัตริยาราม วันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๐ บุตรธิดามีความประสงค์ จะตีพิมพ์จดหมายเหตุเรื่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประชวรแจกเป็นที่ระลึก นำตน้ ฉะบบั หนงั สอื เรอ่ื งนม้ี ามอบใหก้ รมศลิ ปากรชว่ ยจดั การให้ กรมศิลปากรเห็นว่า สกุลวัชโรทัย รับราชการฉลองพระเดชพระคุณสมเด็จพระมหากษัตริย์ ในพระราชวงศจ์ กั รี ในหนา้ ทใ่ี กลช้ ดิ เปน็ พเิ ศษสบื เปน็ ลำดบั มาหลายชว่ั คนจนถงึ ปจั จบุ นั การทค่ี ดิ ตพี มิ พ์ หนงั สอื เรอ่ื งนแ้ี จกเปน็ ทร่ี ะลกึ จงึ เหมาะดว้ ยประการทง้ั ปวง เพราะเปน็ เรอ่ื งเนอ่ื งดว้ ยพระราชประวตั ติ อนหนง่ึ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งยังมิใคร่มีใครจะได้ทราบมากนัก ด้วยเป็นเรื่องที่ยัง ไมแ่ พรห่ ลาย แมฉ้ ะบบั ทม่ี อี ยใู่ นหอสมดุ แหง่ ชาตกิ เ็ ปน็ แตฉ่ ะบบั เขยี น กรมศลิ ปากรจงึ รบั จดั การพมิ พใ์ ห้ ตามประสงค์ จดหมายเหตุเรื่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนี้ เดิมมีอยู่ ๒ ฉะบับ เจา้ พระยามหนิ ทรศกั ดธ์ิ ำรง (เพง็ เพญ็ กลุ ) แตเ่ มอ่ื ครง้ั ยงั เปน็ พระยาราชสภุ าวดี สมหุ พระสรุ สั วดี แตง่ ไว้ ฉะบบั ๑ เจา้ พระยาทพิ ากรวงศม์ หาโกษาธบิ ดี (ขำ บนุ นาค) แตง่ ไวใ้ นตอนทา้ ยพระราชพงศาวดารรชั ชกาล ท่ี ๔ ฉะบบั ๑ ทต่ี พี มิ พใ์ นสมดุ เลม่ น้ี เปน็ ฉะบบั เจา้ พระยามหนิ ทรศกั ดธ์ิ ำรงแตง่ เจา้ พระยามหนิ ทรศกั ดธ์ิ ำรง เป็นข้าหลวงเดิมในรัชชกาลที่ ๔ ในเวลาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนั้น เปน็ พระยาบรุ ษุ รตั นราชพลั ลภ จางวางมหาดเลก็ อยใู่ นผหู้ นง่ึ ซง่ึ ไดอ้ ยเู่ ฝา้ รกั ษาพยาบาลขา้ งท่ี จงึ ไดร้ เู้ หน็ เหตกุ ารเมอ่ื ทรงประชวรโดยใกลช้ ดิ ขอ้ ความท่เี จา้ พระยาทพิ ากรวงศก์ ลา่ วไวใ้ นจดหมายเหตฉุ ะบบั ของทา่ น กเ็ ขา้ ใจวา่ คงถามมาจากเจา้ พระยามหนิ ทรศกั ดธ์ิ ำรง จดหมายเหตุทั้ง ๒ ฉะบับที่กล่าวมานี้ มีข้อความสำคัญคลาดเคลื่อนกันอยู่บางแห่ง แต่อ้างถึง พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงสมรรตั นศริ เิ ชษฐ ซง่ึ เวลานน้ั ปรากฏพระนามวา่ พระเจา้ ลกู เธอ พระองคเ์ จา้ * ตวั สะกด การนั ต์ คงตามตน้ ฉบบั เดมิ
๓๗๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ โสมาวดี เป็นผู้อยู่ประจำรักษาพยาบาลข้างที่เป็นนิจพระองค์ ๑ ว่าเป็นผู้เชิญพระกระแสรับสั่งออกมา ข้างหน้าในเวลาเมื่อทรงประชวรนั้นเนือง ๆ เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงแต่งจดหมายเหตุเรื่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต ตอนพรรณนาถึงเหตุการณ์ เมอ่ื ทรงประชวร ทรงสงสยั ขอ้ ความทก่ี ลา่ วในจดหมายเหตุ ๒ ฉะบบั นน้ั จะตรสั ถามผแู้ ตง่ ทง้ั สองกไ็ มไ่ ด้ ด้วยเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ก็ถึงพิราลัยและเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงก็ถึงอสัญญกรรมไปเสียแล้ว จึงทูลถามกรมหลวงสมรรัตน ฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ อันเป็นปีที่เริ่มทรงแต่งหนังสือเรื่องนั้น ได้ความ ตามทก่ี รมหลวงสมรรตั น ฯ ตรสั เลา่ ทรงเหน็ แมน่ ยำชดั เจนสน้ิ สงสยั จงึ จดลงไวใ้ นหนงั สอื ทท่ี รงแตง่ นน้ั ตามที่ได้ทราบจากกรมหลวงสมรรัตน ฯ เว้นไว้แต่แห่งใดที่กรมหลวงสมรรัตน ฯ ไม่ทรงทราบ จึงทรงจด ตามจดหมายเหตุของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงที่ตีพิมพ์ในสมุดนี้ เพราะฉะนั้น จดหมายเหตุเรื่อง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประชวร จึงมีเป็น ๓ ฉะบับด้วยกัน ฉะบับอื่นเคย ตพี มิ พแ์ ลว้ แตฉ่ ะบบั นเ้ี พง่ิ ตพี มิ พเ์ ปน็ ครง้ั แรก อนึ่งในการตีพิมพ์หนังสือเรื่องนี้ เจ้าภาพได้เรียบเรียงประวัติพระยาอุไทยธรรม (หรุ่น วัชโรทัย) ส่งมาขอให้เรียงลงไว้ด้วย จึงได้เรียงลงไว้ต่อจากคำนำนี้ และมีข้อความที่ควรจะกล่าวเพิ่มเติมว่า สกลุ วชั โรทยั น้ี เปน็ สกลุ เกา่ สบื เชอ้ื สายมาแตค่ รง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ปรากฏในพระราชนพิ นธพ์ ระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง “พระราชพิธีสิบสองเดือน” ว่าสกุลนี้ได้เป็นภูษามาลามาแต่แผ่นดิน พระมหาบรุ ษุ เพทราชา สบื เนอ่ื งกนั มามไิ ดข้ าด พระยาอไุ ทยธรรม (เพช็ ร) ผเู้ ปน็ ปขู่ องพระยาอไุ ทยธรรม (หรนุ่ ) กไ็ ดร้ บั ราชการทรงเครอ่ื งใหญม่ าแตร่ ชั ชกาลท่ี ๑ จนถงึ รชั ชกาลท่ี ๔ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงนับถือว่าเป็นผู้รู้มาก ครั้งหนึ่งมีข้อโต้เถียงกันในเรื่องทรงพระภูษาตามสีวันในเวลาสรงมุรธาภิเษก ว่าลัทธิสีวันของกรมภูษามาลาไม่เหมือนกับที่ใช้สีตามกำลังวันของโหรอยู่สองสี คือวันพฤหัสบดี ตามทโ่ี หรวา่ เปน็ สเี หลอื ง ภษู ามาลาวา่ เปน็ สนี ำ้ เงนิ วนั ศกุ รซ์ ง่ึ วา่ เปน็ สเี ลอ่ื มประภสั สร หรอื ใชส้ นี ำ้ เงนิ กันอยู่นั้น ภูษามาลาว่าสีเหลือง เรื่องสีที่เถียงกันนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรง ซกั ไซไ้ ลเ่ ลยี งพระยาอไุ ทยธรรม (เพช็ ร) หลายครง้ั หลายคราว พระยาอไุ ทยธรรม (เพช็ ร) ไมย่ อมเลยเปน็ อันขาด ว่าตั้งแตพ่ ระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมาก็ได้เกิดถุ้งเถียงกันแล้ว ตกลงตามอย่าง ภูษามาลาเช่นนี้ และว่าเคยใช้มาแต่ครั้งกรุงเก่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงยอม ถ้าสรงมุรธาภิเษกแล้วก็ทรงพระภูษาสีวันแบบภูษามาลา เว้นไว้แต่ถ้ารับเปลี่ยนทักษาต้องตกลงยอมตาม สโี หร ดงั น้ี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 575
Pages: