พระนามสกลุ รายพระนามบวรราชสกุล ตำนานวงั หนา้ ๑๗๓ กลั ยาณะวงศ์ กาญจนะวชิ ยั ตน้ บวรราชสกลุ หน้า กำภู กรมหมน่ื กวพี จนส์ ปุ รชี า ๑๖๘ เกสรา กรมหมน่ื ชาญไชยบวรยศ ๑๖๗ จรญู โรจน์ พระองคเ์ จา้ กำภู ๑๕๔ โตษะณยี ์ กรมหมน่ื อานภุ าพพศิ าลศกั ด์ิ ๑๕๕ นวรตั น กรมหมน่ื จรสั พรปฏภิ าณ ๑๖๖ นนั ทวนั พระองคเ์ จา้ โตสนิ ี ๑๖๓ นนั ทศิ กั ด์ิ กรมหมน่ื สถติ ยธ์ ำรงสวสั ด์ิ ๑๖๑ นรี สงิ ห์ พระองคเ์ จา้ นนั ทวนั ๑๖๓ บรรยงกะเสนา พระองคเ์ จา้ เรงิ คนอง ๑๕๗ ปทั มสงิ ห์ พระองคเ์ จา้ ชายเณร ๑๔๖ พยคั ฆเสนา กรมขนุ ธเิ บศรบ์ วร ๑๔๗ พรหเมศ พระองคเ์ จา้ บวั ๑๔๔ ภาณมุ าศ พระองคเ์ จา้ เสอื ๑๔๙ ภมุ รนิ ทร พระองคเ์ จา้ พรหเมศ ๑๖๕ ยคุ นธรานนท์ พระองคเ์ จา้ ภาณมุ าศ ๑๖๐ ยคุ นั ธร พระองคเ์ จา้ ภมุ รนิ ทร ๑๔๘ รองทรง พระองคเ์ จา้ ยคุ นธร ๑๖๑ รงั สเิ สนา กรมหมน่ื อนนั ตการฤทธ์ิ ๑๕๑ รชั นกิ ร กรมหมน่ื สทิ ธสิ ขุ มุ การ ๑๕๓ รชั นี พระองคเ์ จา้ ใย ๑๔๙ รจุ จวชิ ยั พระองคเ์ จา้ รชั นกิ ร ๑๕๒ วรรตั น กรมหมน่ื พทิ ยาลงกรณ์ ๑๗๐ พระองคเ์ จา้ รจุ าวรฉวี ๑๗๐ กรมหมน่ื พศิ าลบวรศกั ด์ิ ๑๖๐
๑๗๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระนามสกลุ ตน้ บวรราชสกลุ หนา้ วรวฒุ ิ พระองคเ์ จา้ วรวฒุ อิ าภรณร์ าชกมุ าร ๑๖๙ วไิ ลยวงศ์ พระองคเ์ จา้ วไิ ลยวรวลิ าศ ๑๖๗ วบิ ลู ยพรรณ พระองคเ์ จา้ วบิ ลู ยพรรณรงั ษี ๑๗๐ วสิ ทุ ธิ พระองคเ์ จา้ วสิ ทุ ธ์ิ ๑๗๑ สหาวธุ พระองคเ์ จา้ ชมุ แสง ๑๕๑ สังขทัต กรมขนุ นรานชุ ติ ๑๔๓ สายสนน่ั พระองคเ์ จา้ ชายสายสนน่ั ๑๖๖ สีสังข์ พระองค์เจ้าสีสังข์ ๑๕๒ สทุ ศั นยี ์ พระองคเ์ จา้ สทุ ศั นภิ าธร ๑๖๙ สธุ ารส พระองคเ์ จา้ สธุ ารส ๑๕๙ หสั ดนิ ทร กรมหมน่ื บรริ กั ษน์ รนิ ทรฤทธ์ิ ๑๖๐ อนชุ ะศกั ด์ิ พระองคเ์ จา้ นชุ ๑๕๖ อสนุ ี กรมหมน่ื เสนเี ทพ ๑๔๑ อศิ รศกั ด์ิ เจา้ ฟา้ อศิ ราพงศ์ ๑๕๖ อศิ รเสนา กรมหมน่ื กษตั รยิ ศ์ รศี กั ดเ์ิ ดช ๑๔๘
ตำนานวงั หนา้ ๑๗๕
๑๗๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๑๗๗ บุรพภาคพระธรรมเทศนา เฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเดจ็ ฯ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
๑๗๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๑๗๙ คำนำ๑ พระวมิ าดา ฯ กรมพระสทุ ธาสนิ นี าฏ ปยิ มหาราชปดวิ รดั า ทรงพระปรารภวา่ ในปขี าล พ.ศ. ๒๔๖๙ น้ี ถึงวันที่ ๔ กันยายน จะทรงเจริญพระชันษาเสมอด้วยพระชนมายุกาลแห่งสมเด็จพระบรมอัยกาธิราช พระบาทสมเดจ็ ฯ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ อภลิ กั ขติ มงคล มพี ระประสงคจ์ ะทรงบำเพญ็ พระกศุ ล สนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระบรมอัยกาธิราช ทรงพระดำริว่าวัดราชโอรส ซึ่งพระบาทสมเด็จ ฯ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงสถาปนากอ่ นวดั อน่ื แลเปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานพระบรมอฐั ไิ วใ้ หม้ หาชนสกั การบชู า บัดนี้มีที่ชำรุดทรุดโทรมอยู่หลายแห่ง อีกประการหนึ่งวัดราชโอรสนี้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่น ภูมินทรภักดี พระบิดา ก็ได้เคยสนองพระเดชพระคุณทรงอำนวยการบุรณะปฏิสังขรณ์มาแต่ครั้งรัชกาล สมเดจ็ พระบรมอยั กาธริ าช จงึ ทรงพระศรทั ธาทจ่ี ะชว่ ยเกอ้ื กลู การปฏสิ งั ขรณ์ และจะเสดจ็ ไปทรงบำเพญ็ ทักษิณานุปทาน อุทิศถวายสมเด็จพระบรมอัยกาธิราชที่วัดราชโอรส ในวันที่ ๕ กันยายน เป็นงาน พระชนมายสุ มมงคลในครง้ั น้ี พระวิมาดาเธอ ฯ มีพระประสงค์จะทรงพิมพ์หนังสือมิตรพลี สำหรับประทานแก่พระญาติและ อมาตยมิตรซึ่งไปช่วยงาน หรือที่มีศรัทธาช่วยการพระกุศลด้วยประการอย่างอื่น พอเป็นที่ระลึกและ อนุโมทนา ได้ทรงตรวจหาเรื่องหนังสือซึ่งมีฉบับอยู่ ณ พระตำหนัก พบพระราชนิพนธ์ในพระบาท สมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแต่งเป็นบุรพภาคแห่งพระธรรมเทศนาเฉลิมพระเกียรติพระบาท สมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวกัณฑ์ ๑ ซึ่งพระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร ถวายเทศนาในการทรง บำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อจำนวนปีแต่พระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ครบ ๑๐๐ ปี ในปชี วด ยงั เปน็ นพศก พ.ศ. ๒๔๓๑ พระวมิ าดาเธอ ฯ ทรงพระดำรเิ หน็ วา่ สมควรพมิ พ์ แจกเป็นมิตรพลีได้ ได้ส่งหนังสือนั้นไปถวายทูลหารือสมเดจ็ พระราชปติ ลุ า บรมพงศาภมิ ขุ เจา้ ฟา้ ฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระองค์ทรงสอบสวนได้ความว่าเทศนาเฉลิมพระเกียรติพระบาท สมเดจ็ ฯ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื ปชี วดนน้ั มี ๓ กณั ฑด์ ว้ ยกนั พระองคเ์ จา้ พระอรณุ นภิ าคณุ ากร ถวายเทศนากัณฑ์ที่ ๑ ความในบุรพภาคว่าด้วยพระราชสันตติวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ๑ คำนำฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรก ตวั สะกด การนั ต์ คงตามตน้ ฉบบั เดมิ
๑๘๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ กรมหลวงชนิ วรสริ วิ ฒั น์ เมอ่ื ยงั ดำรงพระยศเปน็ หมอ่ มเจา้ พระสถาพรพริ ยิ พรต ถวายเทศนากณั ฑท์ ่ี ๒ ความในบรุ พภาควา่ ดว้ ยพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ ฯ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื กอ่ นเสดจ็ เถลงิ ถวลั ย ราชสมบัติ สมเด็จพระวันรัตน (แดง) เมื่อยังเป็นที่พระธรรมวโรดม ถวายเทศนากัณฑ์ที่ ๓ ความในบรุ พภาควา่ ดว้ ยพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ ฯ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราช สมบตั แิ ลว้ สมเดจ็ พระราชปติ ลุ า ฯ ทรงสบื หาหนงั สอื เทศนากณั ฑท์ ่ี ๒ กณั ฑท์ ่ี ๓ ไดม้ าอกี ๒ กณั ฑ์ ทรงพิจารณาดูเห็นว่าเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เหมือนกัน กับเทศนากัณฑ์ที่ ๑ จึงโปรดให้คัดสำเนาถวายพระวิมาดาเธอ ฯ แลทรงแนะนำว่า ถ้าจะทรงพิมพ์ เทศนาเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ควรจะพิมพ์ให้ครบบริบูรณ์ทั้ง ๓ กณั ฑ์ แตค่ วามในพระราชนพิ นธเ์ ปน็ เรอ่ื งในพงศาวดาร แลเปน็ การเกย่ี วขอ้ งกบั รฏั ฐาภปิ าลโนบายมอี ยู่ ควรจะประทานให้ราชบัณฑิตยสภาตรวจเสียก่อน อาศัยเหตุนี้ พระวิมาดาเธอ ฯ จึงประทาน ฉบบั มายงั ราชบณั ฑติ ยสภา เพอ่ื ใหต้ รวจฉบบั และจดั การพมิ พถ์ วาย ขา้ พเจา้ รบั ตรวจฉบบั ถวายดว้ ยความยนิ ดอี นโุ มทนาในพระประสงคข์ องพระวมิ าดาเธอ ฯ ดว้ ยเหน็ ประโยชน์ในการที่พิมพ์พระราชนิพนธ์บุรพภาคแห่งพระธรรมเทศนาเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ ฯ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทง้ั ๓ กณั ฑน์ ม้ี หี ลายประการ แมว้ า่ แตท่ เ่ี ปน็ ประโยชนส์ ำคญั จะไดค้ วามรเู้ รอ่ื ง พงศาวดารซึ่งยังไม่รู้กันอยู่โดยมากประการ ๑ และจะรักษาพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง เรื่องนี้อันเป็นหนังสือหายาก แม้ตัวข้าพเจ้าเองก็พึ่งทราบว่าได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ให้ปรากฏอยู่ยั่งยืน ตอ่ ไป เชอ่ื วา่ บรรดาผทู้ ไ่ี ดร้ บั ไปอา่ นคงจะยนิ ดถี วายอนโุ มทนาในการทพ่ี ระวมิ าดาเธอ ฯ ไดโ้ ปรดใหพ้ มิ พ์ พระราชนพิ นธเ์ รอ่ื งนข้ี น้ึ ไมม่ เี วน้ แตพ่ ระราชนพิ นธเ์ รอ่ื งน้ี ทรงแตง่ แตส่ ว่ นบรุ พภาคแหง่ เทศนา สว่ น ธรรมปรยิ ายขา้ งตอนปลายนน้ั เปน็ ของพระผเู้ ทศนแ์ ตง่ เองจงึ หาปรากฏในตน้ ฉบบั ไม่ แตค่ วามบกพรอ่ ง ขอ้ นก้ี ไ็ มส่ ำคญั อนั ใด ดว้ ยรไู้ ดใ้ นคาถานเิ ขป บททม่ี อี ยู่ วา่ เทศนากณั ฑไ์ หนแสดงธรรมปรยิ ายบทใด ถา้ ผใู้ ดปรารถนาจะทราบ กพ็ อจะศกึ ษาทราบไดใ้ นทอ่ี น่ื กรรมการราชบณั ฑติ สภา ขอถวายอนโุ มทนาในพระกศุ ลบญุ ราศพี ระชนมายสุ มมงคล ซง่ึ พระ วมิ าดาเธอ ฯ กรมพระสทุ ธาสนิ นี าฏปยิ มหาราชปดวิ รดั า ไดท้ รงบำเพญ็ ในวารน้ี พรอ้ มดว้ ยพระกศุ ล บญุ นธิ ปี ฏสิ งั ขรณกจิ มกี ตญั ญตุ าธรรมเปน็ ปจั จยั สำเรจ็ เปน็ ปตั ตทิ านมยั ทต่ี ง้ั แหง่ บญุ กริ ยิ า ทง้ั เปน็
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๑๘๑ มงคลสว่ นกลุ วงศส์ ถาปนาเนอ่ื งในมาตาปติ ปุ ฏั ฐาก หากใหส้ ำเรจ็ เปน็ ปฏพิ าหโนบาย ปอ้ งกนั อนั ตราย พุทธเจดียสถานโบราณวัตถุไว้สืบอายุพระศาสนา ขออำนาจพระกุศลจริยาที่ได้ทรงบำเพ็ญในวาระนี้ จงบนั ดาลใหส้ ำเรจ็ วบิ ากสขุ สมพระประสงคท์ กุ ประการ เทอญ ฯ หอพระสมดุ วชริ ญาณ วนั ท่ี ๒๖ สงิ หาคม พระพทุ ธศกั ราช ๒๔๖๙ นายกราชบณั ฑติ ยสภา
๑๘๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ บรุ พภาคพระธรรมเทศนา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว การพระราชกุศล ในสมยั พระชนมายุ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรจบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ๑ ทรงพระปรารภถงึ วารดถิ ซี ง่ึ นบั แตว่ นั พระบรมมหาประสตู กิ าลแหง่ สมเด็จพระบรมปิตุลาแลพระบรมไปยกาธิราชพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ครบ ๑๐๐ ปี ตาม สรุ ยิ คตกิ าล ในวนั เสาร์ เดอื น ๕ แรม ๔ คำ่ ๒ ปชี วด ยงั เปน็ นพศกศกั ราช ๑๒๔๙ แลว้ ทรงพระราช ดำรจิ ะทรงบำเพญ็ พระราชกศุ ลเปน็ การฉลองพระเดชพระคณุ ในสมยั กาลพเิ ศษน้ี จงึ มพี ระบรมราชโองการ โปรดเกลา้ ฯ ดำรสั สง่ั เจา้ พนกั งานใหจ้ ดั การทจ่ี ะทรงบำเพญ็ พระราชกศุ ล ณ พระทน่ี ง่ั สทุ ไธสวรรยป์ ราสาท ตามกาลกำหนด ณ วันศุกร์ เดือน ๕ แรม ๓ ค่ำ ๓ เจ้าพนักงานเชิญพระพุทธปฏิมากรนาคสวาดพระองค์ ๑ พระพุทธปฏิมากรห้ามสมุทรประจำวันพระชนมพรรษาพระองค์ ๑ พระพุทธปฏิมากรประจำปีพระชนม พรรษา ๖๕ พระองค์ มาตั้งบุษบกดอกไม้สด แล้วเชิญพระบรมอัฐิ และพระบรมทนต์ในพระบาท สมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั มาสถติ ในบษุ บกทองคำประดษิ ฐานเหนอื พระแทน่ แวน่ ฟา้ ทองคำในพระทน่ี ง่ั สทุ ไธสวรรยป์ ราสาท เวลา ๒ ทุ่ม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพระทวารพระที่นั่งอนันตสมาคมประทับ ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล พระสงฆ์ราชาคณะฐานานุกรมเปรียญ ๑๐๐ รปู สวดพระพทุ ธมนตส์ ตั ตปรติ จบแลว้ ทรงทอดผา้ ไตรสดปั กรณ์ แบง่ พระสงฆเ์ ปน็ ๓ ภาค ภาคหนง่ึ เท่าปีที่เสด็จดำรงสิริราชสมบัติ ผ้าไตรสลับแพร กราบพระแพรต่วนตีพิมพ์แสดงการพระกุศล ๒๗ รูป ภาคหนง่ึ เทา่ ปพี ระชนมพรรษาเมอ่ื ยงั ไมไ่ ดเ้ สดจ็ ดำรงสริ ริ าชสมบตั ิ ไตรผา้ ลว้ นกราบพระแพรตพี มิ พ์ ๓๘ รปู ๑ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ๒ ตรงกับวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๐ ๓ ตรงกับวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๐
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๑๘๓ ภาคหนึ่งเท่าปีนับแต่หน้าปีสวรรคตมาจนบรรจบพระชนมพรรษาครบ ๑๐๐ ปี ไตรผ้ากราบพระผ้าตีพิมพ์ ๓๕ รูป แล้วพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร ๑ ถวายเทศนาพระไตรลักษณแสดง พระราชสนั ตตวิ งศแ์ หง่ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ในเบอ้ื งตน้ จบแลว้ ทรงทอดผา้ ไตรสดบั ปกรณ์ และทรงประเคนเครื่องบริขารภัณฑ์กับพระราชทานจตุปัจจัยมูลราคา ๑๐ ตำลึง แล้วทรงทอดผ้าขาวพับ พระราชาคณะ ฐานานกุ รมเปรยี ญอนั ดบั สดบั ปกรณ์ ๑๐๐ รปู แลว้ ทรงจดุ ดอกไมเ้ พลงิ และทอดพระเนตร การมหรสพซง่ึ มที ่ที อ้ งสนามไชย มโี ขนหนา้ จอโรง ๑ หนงั โรง ๑ สงิ โต มงั กร รำโคม และดอกไมเ้ พลงิ ตา่ ง ๆ ตามธรรมเนยี ม เวลา ๒ ยามเศษเสดจ็ ขน้ึ วันเสาร์ เดือน ๕ แรม ๔ ค่ำ เวลาเช้า ๕ โมง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรง ประเคนขชั ชโภชาหาร พระสงฆร์ บั พระราชทานฉนั บนพระทน่ี ง่ั สทุ ไธสวรรยป์ ราสาทบา้ ง แบง่ ไปฉนั ในท่ี อน่ื บา้ ง ครน้ั พระสงฆฉ์ นั แลว้ ทรงประเคนเครอ่ื งไทยธรรมเปน็ ภาคเอก ๒๗ ภาคโท ๓๘ ภาคตรี ๓๕ แลว้ พระสงฆส์ วดทกั ขณิ านโุ มทนา ฐานาถวายอนโุ มทนาแลว้ พระสงฆส์ ดบั ปกรณอ์ กี ๕๐๐ รปู หมอ่ มเจ้า พระสถาพรพริ ยิ พรต ๒ถวายเทศนาธรรมจรยิ าสมจรยิ าบรรยายพระราชประวตั ใิ นพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ในเวลาเมอ่ื ยงั ไมไ่ ดเ้ สดจ็ ดำรงสริ ริ าชสมบตั ใิ นเบอ้ื งตน้ จบแลว้ ทรงทอดผา้ ไตรสดบั ปกรณแ์ ละ ทรงประเคนเครอ่ื งบชู ากณั ฑเ์ ทศนา และพระราชทานวตั ถเุ ปน็ มลู กปั ปยิ ภณั ฑร์ าคา ๑๐ ตำลงึ แลว้ เสดจ็ ขน้ึ เวลาบา่ ย ๕ โมงเศษ โปรดเกลา้ ฯ ให้สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชเจา้ ฟา้ มหาวชริ ณุ หศิ ๓ สยาม มกฎุ ราชกมุ าร เสดจ็ ออกทรงโปรยทพ่ี ระทน่ี ง่ั สทุ ไธสวรรยป์ ราสาท มะนาวผลละสลงึ ๒๐๐ ผล ผลละ เฟอ้ื ง ๓๐๐ ผล รวม ๕๐๐ ผล มกี ารมหรสพเวลากลางวนั ไมล้ อย ญวนหก ตามธรรมเนยี ม เวลา ๒ ทุ่ม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก พระธรรมวโรดม (แดง) ถวายเทศนา โภชนทาน พรรณนาพระราชประวตั แิ หง่ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ตง้ั แตเ่ สดจ็ เถลงิ ถวลั ยราช สมบตั จิ นเสดจ็ สวรรคต จบแลว้ ทรงทอดผา้ ไตรสดบั ปกรณแ์ ละทรงประเคนเครอ่ื งวรามศิ ตา่ ง ๆ และมลู คา่ ปัจจัยทั้ง ๔ ราคาชั่ง ๑๐ ตำลึงเป็นธรรมเนียมเทศน์บูชา แล้วทรงทอดผ้าขาวพับสดับปกรณ์ ๑๐๐ รูป แลว้ ทรงจดุ ดอกไมเ้ พลงิ และทอดพระเนตรการมหรสพ เสดจ็ ขน้ึ ๒ ยามเศษ ๑ พระองค์เจ้าหลานเธอ ในรัชกาลที่ ๓ ๒ พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหลวงชนิ วรสริ วิ ฒั น์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ราชสกลุ วงศ์ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ หน้า ๑๑๘ และเฉลมิ พระยศเจา้ นาย เล่ม ๒ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๑๓ หน้า ๑๐ ว่า “ ชินวรศิริวัฒน์ ” ๓ ราชสกลุ วงศฉ์ บับพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๖ วา่ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชริ ณุ หสิ สยามมกฎุ ราชกมุ าร
๑๘๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ อนึ่ง ในการพระราชกุศลครั้งนี้โปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้พระบรม วงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายในส่วนเงินเรี่ยรายในการพระราชกุศลเป็นการฉลองพระเดช พระคณุ ในพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ จำนวนเงนิ เปน็ อนั มาก เงนิ รายนจ้ี ะโปรดเกลา้ ฯ ให้ ทำการปฏสิ งั ขรณพ์ ระอโุ บสถเจดยี ส์ ถานและเสนาสนะในวดั ราชโอรส ซง่ึ เปน็ พระอารามพระบาทสมเดจ็ พระ นั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาขึ้นไว้ เพื่อเป็นการรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนา และปรากฏพระเกียรติยศ ไปสน้ิ กาลนาน โคลงพระราชนิพนธ์ ตผู แู้ ตง่ เทศนเ์ ออ้ื น อนสุ รณ์ นฤ้ี ๅ ชอ่ื จฬุ าลงกรณ์ เนอ่ื งเชอ้ื สำหรบั แตก่ ารจร คราวหนง่ึ แลนา ยน่ ยอ่ พอแตเ่ นอ้ื เรอ่ื งตง้ั ฟงั เอง ฯ เทศนากณั ฑท์ ่ี ๑ เรอ่ื ง พระราชสนั ตตวิ งศ์ บัดนี้จะได้รับพระราชทานถวายวิสัชนา ในพระไตรลักษณและลำดับพระราชสันตติวงศ์ แห่ง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉลองพระเดชพระคุณประดับพระปัญญาบารมี อนุโมทนาใน พระราชกุศลบุญนิธีอนวัชกิจ ซึ่งสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ทรงบำเพ็ญเป็นญาติธรรมจริยา ทกั ษณิ านปุ ทานมยั ฉลองพระเดชพระคณุ ในสมเดจ็ พระบรมปติ ลุ า แลพระบรมไปยกาธริ าช พระบาท สมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั อนั ไดเ้ สดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั สิ บื ขตั ตยิ สนั ตตวิ งศเ์ นอ่ื งมา นบั เปน็ รชั กาลท่ี สามในพระบรมราชวงศป์ จั จบุ นั นด้ี ว้ ยทรงพระปรารภคำนวณวนั ตง้ั แตพ่ ระบรมมหาประสตู กิ าล แหง่ พระบาท สมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซง่ึ ไดม้ ใี นวนั ค๒ำ่๑ฯ๒๐๔ปชีควำ่ ด๑ยงั ปเปมี น็ะแนมพศกนพศจกลุ ศกัจรลุ าศชกั ร๑าช๒๔๑๙๑๔น๙บั วเาปรน็ ดปถิ ที ตี ่ี า๖ม ในรชั กาลเปน็ ประถม มาจนถงึ วนั ๗ ๔ฯ ๕ สรุ ยิ คตกิ าลบรรจบครบรอ้ ยปเี ตม็ บรบิ รู ณม์ ไิ ดย้ ง่ิ หยอ่ น เปน็ อภลิ กั ขติ กาลพเิ ศษ สมควรทพ่ี ระบรมวงศานวุ งศ์ ๑ ตรงกับวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๓๓๐ ๒ ตรงกับวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๓๐
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๑๘๕ และขา้ ราชการ ซง่ึ ไดพ้ ง่ึ พระบารมมี าแตก่ าลกอ่ น และทไ่ี ดร้ บั ประโยชนอ์ นั เนอ่ื งมาแตพ่ ระบรมเดชานภุ าพ และพระราชอุตสาหะของพระองค์ คือที่ได้ทรงปกป้องพระราชอาณาเขตขอบขัณฑสีมาให้อยู่เย็นเป็นสุข ดำรงเปน็ เอกราชนครมาถงึ ๒๗ ปี เปน็ ตน้ แลว้ บำเพญ็ การกศุ ลฉลองพระเดชพระคณุ โดยความชน่ื ชม ยนิ ดตี ามควรแกก่ าลสมยั ฯ จง่ึ มพี ระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั การบำเพญ็ พระราชกศุ ลสว่ นพเิ ศษ อนั น้ี ณ พระทน่ี ง่ั สทุ ไธสวรรยป์ ราสาท อนั เปน็ ราชกฏุ าคารสถาน ซง่ึ พระองคไ์ ดท้ รงสถาปนาขน้ึ ไวเ้ ปน็ พระเกียรติยศอยู่ในแผ่นดิน โปรดให้เชิญพระพุทธปฏิมากรนาคสวาดองค์ ๑ พระพุทธปฏิมากรประจำ พระชนมพรรษาวันองค์ ๑ พระชนมพรรษาสมปฏิมากร ๖๕ พระองค์ มาประดิษฐานเป็นที่ทรงนมัสการ แล้วโปรดเกล้า ฯ ให้เชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมาสถิตในบุษบกทองคำ ประดิษฐานเหนือพระแท่นแว่นฟ้ากาญจนไมย แล้วโปรดให้นิมนต์พระสงฆ์ราชาคณะฐานานุกรมเปรียญ ๑๐๐ รปู แบง่ เปน็ สามภาค ภาคหนง่ึ เทา่ จำนวนปซี ง่ึ ไดเ้ สดจ็ ดำรงสริ ริ าชสมบตั ิ พระราชทานผา้ ไตรจวี ร สลบั แพร ผา้ กราบแพรตว่ นตตี รา แสดงการพระราชกศุ ล ๒๗ รปู ภาคหนง่ึ เทา่ พระชนมพรรษา ซง่ึ ยงั มิได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระราชทานไตรจีวรผ้าล้วน ผ้ากราบแพรต่วน ๓๘ รูป อีกภาคหนึ่ง เทา่ พรรษากาลนบั แตห่ นา้ ปเี สดจ็ สวรรคตมาจนกาลบดั น้ี พระราชทานไตรจวี รและผา้ กราบผา้ ลว้ น ๓๕ รปู รวมสามภาคครบพระสงฆ์ ๑๐๐ รูป สดับปกรณ์พระบรมอัฐิสวดพระพุทธมนต์เวลาเช้ารับพระราชทานฉัน พระราชทานเครอ่ื งไทยธรรมตา่ ง ๆ ทง้ั ของหลวงและของพระบรมวงศานวุ งศ์ ซง่ึ ทรงจดั มาถวายชว่ ยการ พระราชกุศลแล้วสดับปกรณ์พระสงฆ์ ๗๐๐ รูป มีพระธรรมเทศนาสามกัณฑ์ มีการมหรสพสมโภช พระบรมอัฐิตามสมควรแก่กาลสมัย และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ พระเจา้ ลกู เธอ และพระองคเ์ จา้ หม่อมเจ้าซึ่งเป็นพระเจ้าหลานเธอและหลานหลวง ในรัชกาลที่สามนั้น ได้บำเพ็ญพระกุศลเป็นการฉลอง พระเดชพระคุณ ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวตามควรแก่ความประสงค์ ทรงพระราชอุทิศ ส่วนพระราชกุศลทั้งนี้ ถวายแด่สมเด็จพระบรมปิตุลาและบรมไปยกาธิราช เป็นการฉลองพระเดช พระคณุ ในอภลิ กั ขติ สมยั ในปจั ฉมิ กาล ดว้ ยประการฉะน้ี บัดนี้จะได้รับพระราชทานพรรณนาความ ตามลำดับในพระราชสันตติวงศ์ อันเนื่องมาแต่องค์ สมเดจ็ พระประถมบรมมหาไปยกาธบิ ดี อนั เปน็ บรรพบรุ ษุ ตน้ พระบรมราชวงศ์ อนั ไดป้ ระดษิ ฐานและดำรง กรุงรัตนโกสินทรมหินทรายุทธยา ได้ประดิษฐานพระบรมวงศ์สืบเนื่องมาโดยความเจริญแพร่หลาย เป็น พระบรมราชวงศ์อันใหญ่ มีพระเจ้าแผ่นดินและพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งได้เสด็จดำรงแผ่นดินและได้รับ
๑๘๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ราชการ โดยกำลังพระสติปัญญาและกำลังพระกาย ปราบปรามและป้องกันสรรพความร้ายและภัยพิบัติ อันจะมาตกต้องแก่สมณาจารย์ประชาราษฏร์ อันเป็นชาวสยามและชาวต่างประเทศ ซึ่งได้อาศัยอยู่ใน พระราชอาณาเขตรพง่ึ พระบารมี ไดอ้ ยเู่ ยน็ เปน็ สขุ สบื มา ลว่ งกาลไดก้ วา่ รอ้ ยปเี ปน็ กำหนด ควรทม่ี หาชน จะนบั ถอื สกั การบชู าแลว้ ตง้ั จติ คดิ ฉลองพระเดชพระคณุ โดยความกตญั ญกู ตเวที ใหพ้ ระบรมราชประเพณวี งศ์ ดำรงยนื ยาวสบื ไปในภายหนา้ ฯ สมเดจ็ พระปฐมบรมมหาไปยกาธบิ ดพี ระองคน์ น้ั ไดเ้ สดจ็ อบุ ตั ใิ นมหามาตย ตระกลู โบราณ ในครง้ั กรงุ ทวาราวดศี รอี ยธุ ยา ไดท้ ำราชการสบื ตระกลู ตง้ั นวิ าสสถานอยใู่ นกำแพงพระนคร พระองคม์ พี ระโอรสพระธดิ า ซง่ึ รว่ มพระมารดาเดยี วกนั หา้ พระองค์ ท่ี ๑ คอื กรมสมเดจ็ พระเทพสดุ าวดี ๑ อนั เปน็ ตน้ เชอ้ื วงศแ์ หง่ เจา้ นายวงั หลงั เพราะเปน็ พระมารดาของกรมพระราชวงั บวรสถานพมิ ขุ และเจา้ ฟา้ กรมหลวงธเิ บศรบดนิ ทร์ ๒ เจา้ ฟา้ กรมหลวงนรนิ ทรนเรศ ๓ ซง่ึ ยงั มพี ระนดั ดาปนดั ดา ปรากฏอยจู่ นกาล ทุกวันนี้ ฯ ที่ ๒ พระเจ้าขุนรามณรงค์ ซึ่งสิ้นพระชนม์เสียแต่ครั้งกรุงทวาราวดีศรีอยุธยา เหลือแต่ พระธดิ าไดเ้ สดจ็ อยจู่ นถงึ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์น้ี มพี ระนามปรากฏภายหลงั วา่ กรมขนุ รามนิ ทรสดุ า ๔ กเ็ ปน็ อนั หมดเชอ้ื พระวงศอ์ ยเู่ พยี งนน้ั ฯ ท่ี ๓ กรมสมเดจ็ พระศรสี ดุ ารกั ษ ๕ อนั เปน็ ตน้ เชอ้ื วงศข์ องเจา้ นายอกี หมหู่ นง่ึ ซึ่งเรียกตามคำสามัญว่าเจ้ากรมหลวงกรมขุน เพราะเป็นพระมารดาของเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ๖ เจา้ ฟา้ กรมหลวงพทิ กั ษมนตรี ๗ เจา้ ฟา้ กรมขนุ อศิ รานรุ กั ษ์ ๘ ซง่ึ ยงั มพี ระนดั ดาปนดั ดาปรากฏอยจู่ นกาลทกุ วนั นโ้ี ดยมาก และพระองคเ์ ปน็ พระมารดาของกรมสมเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทรามาตย์ ๙ ซง่ึ เปน็ สมเดจ็ พระบรม ราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันยังมีพระราชนัดดา ปนัดดาปรากฏอยู่อีกแผนก หนึ่งด้วย ฯ ที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ ๑๐ อันเป็นปฐมรากเง่าแห่งพระบรมราชวงศ์ ซง่ึ ประดษิ ฐานและดำรงกรงุ รตั นโกสนิ ทรน์ โ้ี ดยทางตรง ซง่ึ จะไดร้ บั พระราชทานพรรณนาสบื ไปในเบอ้ื งหนา้ ฯ ๑ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยาเทพสดุ าวดี บางแหง่ เรยี กวา่ “เจา้ คณุ พระตำหนกั ใหญ”่ ๒ เฉลมิ พระยศเจา้ นาย เลม่ ๑ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๒ หน้า ๓๐ ว่า “กรมหลวงธเิ บศรบ์ ดนิ ทร”์ ๓ เฉลมิ พระยศเจา้ นาย เลม่ ๑ ฉบบั พมิ พ์ พ.ศ. ๒๔๗๒ หน้า ๓๐ ว่า “กรมหลวงนรนิ ทรรณเรศร”์ ราชสกลุ วงศ์ฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๖ หนา้ ๓ วา่ “กรมหลวงนรนิ ทรร์ ณเรศ” ๔ คนทง้ั หลายเรยี กวา่ เจา้ ครอกชี ๕ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระศรสี ดุ ารกั ษ์ บางแหง่ เรยี กวา่ “เจา้ คณุ พระตำหนกั แดง” ๖ พระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงเทพหรริ กั ษ์ ๗ พระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงพทิ กั ษมนตรี ต้นสกุล มนตรกี ลุ ๘ พระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมขนุ อศิ รานรุ กั ษ์ ต้นสกุล อศิ รางกรู ๙ พระนามเดิมว่า “บุญรอด” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เปลี่ยนการออกขานพระนามาภิไธยใหม่ เป็น “สมเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทรา บรมราชนิ ี ” ๑๐ คณะรัฐมนตรีมมี ตถิ วายพระนามวา่ “พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช” เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๕
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๑๘๗ ที่ ๕ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ๑ ซึ่งเป็นต้นเชื้อวงศ์ของเจ้านายหมู่หนึ่งซึ่งเรียกโดยคำ สามญั วา่ เจา้ นายวงั หนา้ พระพทุ ธยอดฟา้ ฯ และสมเดจ็ พระประถมบรมมหาไปยกาธบิ ดนี น้ั มพี ระธดิ า อันประสูติด้วยพระมารดาอื่นอีกพระองค์ ๑ ซึ่งปรากฏพระนามในภายหลังว่ากรมหลวงนรินทรเทวี ๒ เพราะไดก้ รมหมื่นนรินทรพิทักษเ์ ป็นพระภัสดา ก็นับเป็นต้นตระกูลแห่งเจ้านายสืบมาอีกตระกูลหนึ่ง ซึ่ง เรยี กวา่ เปน็ ตน้ ตระกลู เจา้ ครอกวดั โพ กย็ งั มนี ดั ดาปนดั ดาปรากฏอยจู่ นกาลทกุ วนั น้ีฯ โอรสสมเดจ็ พระประถม บรมมหาไปยกาธิบดีอีกพระองค์ ๑ นั้น คือ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา ๓ ต่างพระมารดากับกรมหลวง นรินทรเทวี เป็นต้นตระกูลเจ้านายอีกพวกหนึ่ง ซึ่งเรียกกันว่าพวกเจ้ากรมหลวงจักรเจษฎา ก็ยังมีนัดดา ปนดั ดาปรากฏอยจู่ นทกุ วนั นบ้ี า้ ง ฯ จงึ ควรนบั วา่ บรมราชตระกลู อนั สบื มาแตอ่ งคส์ มเดจ็ พระประถมบรมมหา ไปยกาธบิ ดี ไดม้ าประดษิ ฐานเปน็ ขตั ตยิ ราชตระกลู ในกรงุ รตั นโกสนิ ทรมหนิ ทรายทุ ธยาน้ี เปน็ เจด็ สายเจด็ พวกดว้ ยประการฉะน้ี บดั นจ้ี ะไดร้ บั พระราชทานพรรณนาลำดบั พระบรมราชวงศ์ เฉพาะแตส่ ายทต่ี รงลงมาจากพระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ อันเป็นพระบรมราชวงศ์ซึ่งดำรงแผ่นดินสืบมาแล้ว และจะสืบต่อไป ในภายหนา้ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกยน์ น้ั พระองคไ์ ดก้ รมสมเดจ็ พระอมรนิ ทรามาตย์ ๔ ซง่ึ เปน็ พระธดิ าแหง่ สมเดจ็ พระรปู ศริ โิ สภาคมหานาคนารี ๕ อนั มนี วิ าสสถานอยพู่ าหริ ทุ ยานแขวงเมืองสมุทร สงครามเรยี กวา่ ตำบลบางชา้ ง เปน็ พระราชเทวี แตย่ งั ไมไ่ ดเ้ ถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ มพี ระราชโอรสพระราช ธิดาถึงสิบพระองค์ ฯ พระองค์ที่ ๑ นั้นเป็นพระบุตรี พระองค์ที่ ๒ เป็นพระกุมาร ทั้งสองพระองค์นี้ สิ้นพระชนม์เสียแต่กรุงทวาราวดียังมิได้แตกทำลาย ฯ พระองค์ที่ ๓ เป็นพระบุตรี มีพระนามปรากฏ ในปจั จบุ นั นว้ี า่ สมเดจ็ พระประถมบรมไอยกิ าเธอ๖ ไดเ้ ปน็ พระชายาเจา้ กรงุ ธนบรุ ี มพี ระโอรสมนี ามวา่ เจา้ ฟา้ สพุ นั ธวงษ แลว้ เปน็ เจา้ ฟา้ อภยั ธเิ บศรกรมขนุ กษตั รานชุ ติ ๗ ภายหลงั ตอ้ งถอดเรยี กชอ่ื เดมิ วา่ หมอ่ มเหมน ๑ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ๒ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงนรนิ ทรเทวี คนทง้ั หลายเรยี กวา่ “เจา้ ครอกวดั โพธ”์ิ เป็นต้นสกุล “นรนิ ทรกลุ ” ๓ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงจกั รเจษฎา เปน็ ตน้ สกลุ “เจษฎางกูร” เฉลมิ พระยศเจา้ นาย เลม่ ๑ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๒ หนา้ ๓๐ วา่ “จกั รเ์ จษฎา” ๔ สมเดจ็ พระอมรนิ ทรา บรมราชนิ ี พระนามเดมิ วา่ นาก ๕ อธิบายราชินิกุลบางช้าง ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๑ หน้า ๑ และราชสกลุ วงศ์ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ ว่า สมเด็จพระรูปศิริ โสภาคย์ มหานาคนารี ๖ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ฉมิ ใหญ่ กลา่ วกนั อกี นยั หนง่ึ วา่ พระนามเดมิ วา่ “หวาน” แตจ่ ารกึ ทพ่ี ระโกศพระอฐั ิ ว่า “เจ้าครอกฉิมใหญ่” ๗ พระนามเดมิ เจา้ ฟา้ สพุ นั ธวุ งศ์ บางแหง่ ออกพระนามวา่ “เจา้ ฟา้ เหมน็ ” พระราชวจิ ารณเ์ รอ่ื งจดหมายเหตคุ วามทรงจำของกรมหลวง นรินทรเทวี ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๖ และราชสกุลวงศ์ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ ว่า “กรมขนุ กระษตั รานชุ ติ ”
๑๘๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ แตก่ ย็ งั ควรจะนบั วา่ เปน็ ตน้ ตระกลู ของกง่ิ หนง่ึ ตา่ งหาก ผดิ กบั พระวงศก์ ง่ิ อน่ื ๆ เดย๋ี วนก้ี จ็ ะสญู อยแู่ ลว้ ฯ พระราชโอรสซง่ึ นบั เปน็ ท่ี ๔ คอื พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาไลย ๑ อนั ไดเ้ สดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ สืบพระวงศ์ตรงเนื่องมาแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ อันจะได้รับพระราชทานพรรณนา สืบไปในเบื้องหน้า ฯ พระราชธิดาอีกพระองค์หนึ่งนับเป็นที่ ๕ ปรากฏพระนามในบัดนี้ว่าสมเด็จพระเจ้า อัยยิกาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพ ฯ ๒ พระราชโอรสนับเป็นที่ ๖ คือ กรมพระราชวังบวรมหา เสนานุรักษ๓ อันนับเป็นต้นตระกูลแห่งพระเจ้าบวรวงศ์เธอชั้นสอง อันยังเสด็จปรากฏอยู่ ณ บัดนี้ และมหี มอ่ มเจา้ หมอ่ มราชวงศ์ หมอ่ มหลวงอกี เปน็ อนั มาก ฯ พระราชธดิ านบั เปน็ ท่ี ๗ ซง่ึ ปรากฏพระนาม ในบดั นว้ี า่ สมเดจ็ พระเจา้ อยั ยกิ าเธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงเทพยวดี ฯ ๔ ยงั มอี กี สามพระองค์ สน้ิ พระชนม์ เสียแต่ยังทรงพระเยาว์ มิได้ปรากฏพระนาม และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์นั้น ยังมี พระราชบตุ ร พระราชบตุ รี อนั เกดิ ดว้ ยพระสนมเปน็ พระราชบตุ ร ๑๓ พระองค์ พระราชบตุ รี ๒๐ พระองค์ และเจ้านายทุกพระองค์นั้นก็นับว่าเป็นต้นตระกูลของพระองค์เจ้า หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นพระบวรวงศ์เธอชั้นที่สาม และพระวรวงศ์เธอ และหม่อมเจ้าชั้นที่ ๑ มีหม่อมราชวงศ์ หมอ่ มหลวงสบื ประพนั ธก์ นั ไปเปน็ อนั มาก นบั เปน็ ตระกลู หนง่ึ ๆ อนั เนอ่ื งในพระบรมราชวงศ์ ดว้ ยประการ ฉะนี้ บดั นจ้ี ะไดร้ บั พระราชทานพรรณนา ในพระราชโอรสพระราชธดิ าของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาไลย อนั นบั วา่ เปน็ สายใหญซ่ ง่ึ ไดด้ ำรงสริ ริ าชสมบตั มิ าแลว้ และจะสบื ไปภายหนา้ ฯ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาไลยนน้ั มพี ระราชโอรสพระองคใ์ หญ่ คอื พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว อันได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบสนองพระองค์มา ซึ่งจะได้รับพระราชทาน พรรณนาสืบไปในภายหลัง ฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลยมพี ระบรมราชเทวีพระองค์หนึ่ง ซึ่งปรากฏพระนามในภายหลังว่า กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ มีพระราชโอรสพระองค์ที่ ๑ สน้ิ พระชนมเ์ สยี แตแ่ รกประสตู ิ ฯ พระราชโอรสท่ี ๒ คอื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั อนั ไดเ้ สดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ สบื พระบรมราชสนั ตตวิ งศเ์ ปน็ สายตรงสบื มา มพี ระราชโอรสพระราชธดิ าเปน็ เจา้ ฟา้ ๑ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั พระนามเดมิ เจา้ ฟา้ ฉมิ พ.ศ.๒๓๒๕ ทรงสถาปนาเป็น กรมหลวงอศิ รสนุ ทร ๒ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า กรมหลวงศรีสุนทรเทพ ชุมนุมพระบรมราชาธิบายในรัชกาลที่ ๔ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๐๑ หน้า ๑๐ ออกพระนามว่า “เจา้ ฟา้ แจม่ กระจา่ งฟา้ ” ๓ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ ๔ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ประไพวดี กรมหลวงเทพยวดี
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๑๘๙ แตเ่ ดมิ หา้ พระองค์ คอื สมเดจ็ พระเจา้ พย่ี าเธอเจา้ ฟา้ โสมนศั ๑ สน้ิ พระชนมเ์ สยี แตว่ นั ประสตู ิ และสมเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจา้ ซง่ึ ไดเ้ สดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ ดำรงพระบรมราชวงศอ์ ยใู่ นปจั จบุ นั นน้ี บั เปน็ ทส่ี อง สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งนางเธอเจา้ ฟา้ จนั ทรมณฑลโสภณภควดี กรมหลวงวสิ ทุ ธกิ ษตั รยิ ์ ๒ นบั เปน็ ทส่ี าม สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ จาตรุ นตร์ ศั มี กรมพระจกั รพรรดพิ งษ์ ๓ นบั เปน็ ทส่ี ่ี สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ ภาณรุ งั ษสี วา่ งวงษ กรมพระภาณพุ นั ธวุ งษว์ รเดช ๔ นบั เปน็ ทห่ี า้ และมพี ระราชโอรส พระราชธดิ าเปน็ เจา้ ฟา้ ภายหลงั อกี สองพระองค์ มพี ระราชบตุ ร ๓๕ พระองค์ พระราชบตุ รี ๔๒ พระองค์ ตกเสยี สองพระองค์ และมพี ระราชนดั ดา ปนดั ดา เปน็ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ พระเจา้ ลกู เธอ พระ วรวงศ์เธอ หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์อีกเป็นอันมาก ฯ พระราชโอรสที่ ๓ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธ เลิศหล้านภาไลย และกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระราชบุตร พระราชบุตรี นับว่าเป็นพระเจ้าบวรวงศ์เธอชั้นที่ ๔ และมีพระราชนัดดาปนัดดา นบั วา่ เปน็ พระบวรวงศเ์ ธอ และหมอ่ มเจา้ หมอ่ มราชวงศแ์ ผนกหนง่ึ เปน็ อนั มาก พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ เลิศหล้านภาไลย มีพระราชโอรสพระราชธิดาเป็นเจ้าฟ้าชายอีกสามพระองค์ หญิงอีกพระองค์ ๑ มี พระราชบุตร ๓๖ พระองค์ พระราชบุตรี ๓๐ พระองค์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งได้ออกพระนาม และนับเป็นหมวด ๆ มานี้ ล้วนเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ อันติดเนื่องประพันธ์สนิทกันทั้งสิ้น ได้นามว่า พระบรมราชวงศซ์ ง่ึ ประดษิ ฐาน และดำรงกรงุ รตั นโกสนิ ทรมหนิ ทรายทุ ธยา ดว้ ยประการฉะน้ี บดั น้ี จะไดร้ บั พระราชทานพรรณนาความแตเ่ ฉพาะพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซง่ึ เปน็ เหตุอันสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ทรงพระปรารภเพื่อจะบำเพ็ญพระราชกุศลฉลองพระเดช พระคณุ พระองคน์ น้ั ไดร้ บั พระราชทานพรรณนาพระบรมราชวงศฝ์ า่ ยพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาไลย ซึ่งเป็นสมเด็จพระบรมชนกนาถมาแล้ว บัดนี้จะได้รับพระราชทานพรรณนาลำดับพระวงศ์ ฝ่ายกรมสมเด็จพระศรีสุลาไลย ๕ ซึ่งเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนี เพื่อให้เป็นที่ทรงระลึกถึงพระคุณแห่ง บรรพบรุ ษุ และเปน็ ทท่ี รงสงั เวชตามพระบรมราชประสงค์ กแ็ ละลำดบั เชอ้ื วงศซ์ ง่ึ สบื เนอ่ื งกนั มาอยา่ งไรนน้ั ทา่ นผซู้ ง่ึ เปน็ ใหญใ่ นตระกลู แตก่ อ่ น ๆ มกั จะปดิ ปอ้ งมใิ หผ้ นู้ อ้ ยในตระกลู ทราบ ดว้ ยรงั เกยี จวา่ จะไปออกนาม ๑ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ โสมนสั ๒ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ จนั ทรมณฑลโสภณภควดี กรมหลวงวสิ ทุ ธกิ ษตั รยี ์ ๓ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ จาตรุ นตร์ ศั มี กรมพระจกั รพรรดพิ งศ์ เปน็ ตน้ สกลุ จกั รพนั ธ์ุ ๔ จอมพล สมเดจ็ พระราชปติ ลุ าบรมพงศาภมิ ขุ เจา้ ฟา้ ภาณรุ งั ษสี วา่ งวงศ์ กรมพระยาภาณพุ นั ธวุ งศว์ รเดช เฉลมิ พระยศเจา้ นาย เลม่ ๒ ฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๕๑๓ หนา้ ๑๗ ว่า “ภาณุรงั สีสวา่ งวงศ์” เปน็ ต้นสกลุ ภาณพุ ันธ์ุ ๕ ราชินิกูล รัชกาลที่ ๓ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๑ หน้า ๗ ว่า “ศรสี รุ าไลย” เฉลมิ พระยศเจา้ นาย ฉบบั มพี ระรปู วา่ “ศรสี รุ าลยั ”
๑๙๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เลน่ ในเวลาไมค่ วร ในทไ่ี มค่ วรบา้ ง กลวั วา่ ผนู้ อ้ ยจะกำเรบิ เยอ่ หยง่ิ วา่ ตวั เนอ่ื งประพนั ธส์ นทิ ในทา่ น ผมู้ เี กยี รตยิ ศอนั ยง่ิ ใหญใ่ นแผน่ ดนิ แลว้ ประพฤตกิ ารทจุ รติ ผดิ ๆ ไปตา่ ง ๆ ดว้ ยความทะนงใจบา้ ง ครน้ั เมอ่ื ทา่ นผใู้ หญล่ ว่ งไปแลว้ ผนู้ อ้ ยในตระกลู นน้ั กไ็ มไ่ ดท้ ราบเชอ้ื สายวา่ มาอยา่ งไร ไมส่ ามารถทจ่ี ะเลา่ บอกกนั ตอ่ ๆ ไปได้ ดงั นเ้ี ปน็ คตโิ บราณเคยประพฤตมิ าโดยมาก กแ็ ละราชนิ กิ ลู ขา้ งฝา่ ยกรมสมเดจ็ พระศรสี ลุ าไลย อนั เปน็ สมเดจ็ พระบรมราชชนนี พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั นน้ั เมอ่ื ไตถ่ ามดกู ไ็ มไ่ ดค้ วามตลอด ถว้ นถ่ี มเี คา้ มลู เพยี งดงั จะไดร้ บั พระราชทานพรรณนาสบื ไปน้ี มคี วามวา่ พระชนกของกรมสมเดจ็ พระศรี สลุ าไลยนน้ั มนี ามบญุ จนั ไดท้ ำราชการแผน่ ดนิ เปน็ ทพ่ี ระยานนทบรุ ศี รมี หาอทุ ยาน ตง้ั เคหสถานอยใู่ นท่ี ซึ่งได้ทรงสถาปนาเป็นวัดเฉลิมพระเกียรติ ณ เมืองนนทบุรี มีภรรยาใหญ่ซึ่งเป็นพระชนนีกรมสมเด็จพระ ศรีสุลาไลย มีนามว่าท่านเพ็งมีแต่พระธิดาองค์เดียว คือกรมสมเด็จพระศรีสุลาไลย ได้ทำราชการใน พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาไลย แตย่ งั เปน็ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เสดจ็ ประทบั อยู่ ณ บา้ นหลวง เดมิ แหง่ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกย์ ครน้ั เมอ่ื เสดจ็ ลงไปประทบั อยทู่ พ่ี ระราชวงั เดมิ กต็ าม เสด็จลงไป ได้ประสูติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระราชวังเดิม แล้วมีพระราชโอรสอีก สองพระองค์ ทรงพระนามพระองคเ์ จา้ ปอ้ ม๑ พระองค์ ๑ อกี พระองค์ ๑ ทรงพระนามพระองคเ์ จา้ หนดู ำ๒ สน้ิ พระชนมเ์ สยี แตก่ อ่ นแลว้ ทง้ั สองพระองค์ ครน้ั เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาไลย ไดเ้ สดจ็ เถลิงถวัลยราชสมบัติ ก็เสด็จเข้ามาประทับในพระบรมมหาราชวัง ได้ดำรงที่พระสนมเอก บังคับการ ห้องเครื่อง ชนทั้งปวงออกพระนามว่าเจ้าคุณ และได้เสด็จออกไปประทับอยู่ที่พระราชวังแห่งพระบาท สมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั แตย่ งั เปน็ กรมนน้ั บา้ งเปน็ ครง้ั เปน็ คราว จนพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดเ้ สดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ และพระชนกในกรมสมเดจ็ พระศรสี ลุ าไลยนน้ั มบี ตุ รดว้ ยภรรยาเดมิ อนั มไิ ด้ ปรากฏชอ่ื อกี คน ๑ ชอ่ื นายนาก เปน็ คนไมเ่ รยี บรอ้ ยจง่ึ มไิ ดท้ ำราชการ นายนากมบี ตุ รสามคน คน ๑ รบั ราชการไดเ้ ปน็ พระยารตั นอาภรณ์ บตุ รหญงิ คน ๑ ชอ่ื มี บตุ รชายอกี คน ๑ ชอ่ื นายทอง และบตุ รชายหญงิ ของท่านทั้งสามยังมีปรากฏอยู่จนบัดนี้บ้าง นับว่าเป็นราชินกิ ูลสายหนึ่ง ฯ ฝ่ายพระชนนีในกรมสมเด็จ พระศรสี ลุ าไลยนน้ั มนี อ้ งนางอกี สองคนชอ่ื มไิ ดป้ รากฏแนช่ ดั นอ้ งนางท่ี ๑ นน้ั มบี ตุ รผี ู้ ๑ ชอ่ื ทา่ นผอ่ ง ได้หม่อมทับซึ่งเป็นหลานท้าวทรงกันดารทองมอญ ครั้งกรุงธนบุรีผู้มีความชอบในรัชกาลที่ ๑ เป็นสามี มีบุตรชายหญิงถึงหกคน ที่ ๑ ชื่อท่านฉิม ที่ ๒ ชื่อท่านป้อม ได้รับราชการมาแต่ในรัชกาลที่ ๓ จึงถึง ๑ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ปอ้ ม ๒ ราชสกุลวงศ์ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ หน้า ๑๖ ว่า พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ดำ ราชินิกูล รัชกาลที่ ๓ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๑ หน้า ๑๒ ว่า “หนูดำ” แต่ราชินิกูล รัชกาลที่ ๕ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๑๐ หน้า ๑๖ ว่า “หนูคำ”
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๑๙๑ รชั กาลท่ี ๔ เปน็ ทา่ นเถา้ แกอ่ ยใู่ นพระบรมมหาราชวงั และไดท้ ำนบุ ำรงุ เลย้ี งสมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอเจา้ ฟา้ จาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ มาแต่ยังทรงพระเยาว์ ครั้นเมื่อถึงแก่กรรม พระบาทสมเด็จ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงยกยอ่ งวา่ เปน็ ราชนิ กิ ลู และเปน็ เชอ้ื สายทา้ วทรงกนั ดารทองมอญผมู้ คี วามชอบ จง่ึ โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั การศพอยา่ งทา้ วสนองพระโอษฐ์ และไวศ้ พในพระบรมมหาราชวงั ฯ บตุ รที ่ี ๓ ได้รับ ราชการในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเจ้าจอมมารดาแห่งสมเด็จพระบรมราชมาตา มหัยยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ ๑ และพระเจ้ามหัยยิกาเธอ กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร ๒ ถึงแก่กรรมเสียแต่ในรัชกาลที่ ๒ ฯ บุตรีที่ ๔ ชื่อน้อยไม่ได้ทำราชการ มีบุตรชายหญิงถึง ๗ คน คือ จางวางพว่ ง และพระยาพพิ ธิ ไอสรู ย์ พระยาอาหารบรริ กั ษเปน็ ตน้ ฯ บตุ รท่ี ๕ ชอ่ื นายแขก ถงึ แกก่ รรม เสยี แตย่ งั หนมุ่ ไมไ่ ดร้ บั ราชการ มบี ตุ ร ๔ คน คอื ทา้ วสภุ ตั กิ ารภกั ดี และจางวางหนเู ปน็ ตน้ ฯ บตุ รท่ี ๖ ชอ่ื นายฝรง่ั เปน็ คนสบู ฝน่ิ ไมไ่ ดร้ บั ราชการมบี ตุ รหญงิ ชายหลายคน ทไ่ี ดร้ บั ราชการคอื หลวงอรรคนารรี ตั นา มาตย์ (เอม) เป็นต้น ฯ พระน้องนางของพระชนนีในกรมสมเด็จพระศรีสุลาไลย ที่ ๒ นั้น มีบุตรหญิง หลายคน บตุ รชายคนท่ี ๑ ชอ่ื นายบญุ มี นายบญุ มี มบี ตุ รชายคนท่ี ๑ ชอ่ื นายสี นายสมี บี ตุ รชอ่ื คำ ไดท้ ำ ราชการอยใู่ นพระบรมมหาราชวงั เปน็ พนกั งานเฝา้ หอพระ บตุ รของนายบญุ มคี น ๑ ชอ่ื นายสงั ข์ นายสงั ข์ มบี ตุ รหญงิ ชอ่ื สวน ชอ่ื พลบั ซึ่งได้สืบเชื้อวงศ์ไปจนถึงหลวงฤทธินายเวรมหาดเล็กทุกวันนี้ นายบุญมี มีบุตรหญิงอีกคน ๑ ชื่อมากได้ทำราชการเป็นพนักงานเฝ้าหอพระอยู่จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ในพวกซึ่งเป็น เชอ้ื วงศอ์ นั สบื มาแตพ่ ระนอ้ งนางของพระชนนใี นกรมสมเดจ็ พระศรสี ลุ าไลยทง้ั สองคนน้ี กน็ บั วา่ เปน็ ราชนิ กิ ลู ในรัชกาลที่ ๓ ทั้งสิ้น บัดนี้จะได้รับพระราชทานพรรณนา ในจำนวนพระราชโอรสพระราชนัดดา ของพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซง่ึ เวน้ ไวย้ งั มไิ ดพ้ รรณนามาแตห่ ลงั นน้ั พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั มี พระราชบตุ ร พระราชบตุ รี อนั เกดิ ดว้ ยพระสนมตง้ั แตย่ งั มไิ ดเ้ สดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั โิ ดยมาก ครน้ั เมอ่ื เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั แิ ลว้ กม็ พี ระราชบตุ ร พระราชบตุ รี อกี เพยี งหา้ ปเี ปน็ กำหนด แลว้ กม็ ไิ ดม้ สี บื ไป ฯ พระราชบตุ รองคเ์ ปน็ ประถม ทรงพระนามพระองคเ์ จา้ กระววี งษ ๓ ถดั นน้ั มาเปน็ พระราชบตุ รยี งั ไมม่ พี ระนาม เรยี กแตว่ า่ พระองคเ์ จา้ หญงิ ใหญ่ พระองคเ์ จา้ สองพระองคน์ ้ี มพี ระชนมพ์ รรษาเพยี ง ๙ ปี ๑๐ ปี กส็ น้ิ ๑ เปน็ ตน้ สกลุ ศริ วิ งศ์ ๒ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาสดุ ารตั นราชประยรู ๓ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ กระววี งศ์
๑๙๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระชนมเ์ สยี แตย่ งั มไิ ดเ้ สดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ ท่ี ๓ เปน็ พระราชบตุ รี ทรงพระนามพระองคเ์ จา้ วลิ าศ๑ เป็นพระปิยราชธิดา ภายหลังมาพระราชทานอิสริยยศเป็นกรมหมื่นอับศรสุดาเทพ ๒ ได้ทรงรับราชการ เป็นพนักงานพระสุคนธ์ ต่อพระองค์เจ้าวงษ ๓ ซึ่งได้ทรงทำมาแต่ก่อน และเป็นผู้กำกับแจกเบี้ยหวัด ฝา่ ยใน ครน้ั เมอ่ื ประชวรสน้ิ พระชนม์ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระโศกาลยั เปน็ อนั มาก โปรดใหต้ ง้ั พระเมรุ ณ ทอ้ งสนามหลวงพระราชทานเพลงิ เปน็ การใหญ่ ท่ี ๔ เปน็ พระราชบตุ ร ทรงพระนาม พระองคเ์ จา้ ชายดำ ๔ สน้ิ พระชนมเ์ สยี แตย่ งั ทรงพระเยาว์ ท่ี ๕ พระราชบตุ รี มนี ามพระองคเ์ จา้ ดวงเดอื น ๕ ในรัชกาลที่ ๔ ได้เป็นพนักงานพระสุคนธ์ เป็นหัวหน้าในพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ ๖ ฝ่ายใน สิ้นพระชนม์ ในรัชกาลปัจจุบันนี้ ที่ ๖ พระองค์เจ้าหญิง สิ้นพระชนม์เสียแต่ยังทรงพระเยาว์ยังมิได้มีพระนาม ที่ ๗ พระราชบตุ รทรงพระนามพระองคเ์ จา้ สริ ิ แลว้ โปรดใหเ้ ปน็ กรมหมน่ื มาตยาพทิ กั ษ ไดท้ รงบงั คบั บญั ชากรม ชา่ งมกุ ทำบานวดั พระเชตพุ นและการอน่ื ๆ และไดท้ รงเปน็ นายดา้ นทำการทว่ั ไปในพระอโุ บสถวดั พระเชตพุ น และได้ทรงเป็นนายด้านทำการวัดหนังจนแล้วสำเร็จ ครั้นเมื่อสิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจา้ อยหู่ วั ทรงพระอาลยั เปน็ อนั มาก ดว้ ยเปน็ พระราชโอรสพระองคใ์ หญใ่ นขณะนน้ั จงึ โปรดใหจ้ ดั การปลกู พระเมรุ พระราชทานเพลงิ ณ ทอ้ งสนามหลวงเปน็ การใหญ่ แลว้ ใหเ้ ชญิ พระอฐั บิ รรจใุ นพระโกศทองคำ มาประดิษฐานไว้ ณ ตำหนักกรมสมเด็จพระศรีสุลาไลยใ์ นพระบรมมหาราชวัง ครั้นภายหลังเมื่อสมเด็จ บรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ จึ่งโปรดให้ช่างทำพระโกศจำหลักลายลง ยาราชาวดเี ปลย่ี นถวายใหม่ แลว้ กป็ รากฏพระนามวา่ สมเดจ็ พระบรมราชมาตามหยั ยกาเธอ มาจนกาล บัดนี้ สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยยกาเธอพระองค์นั้น มีพระโอรสและพระธิดาหลายพระองค์ ในเวลาเมอ่ื พระบดิ าสน้ิ พระชนมน์ น้ั ยงั ทรงพระเยาว์ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซง่ึ เปน็ พระอยั กา โปรดใหเ้ สดจ็ มาอยใู่ นพระบรมมหาราชวงั พระองคใ์ หญ่ ๆ ไดร้ บั ราชการฉลองพระเดชพระคณุ ในทใ่ี กลช้ ดิ ตามเสดจ็ อยา่ งพระเจา้ ลกู เธอตลอดมา พระโอรสพระองคใ์ หญ่ สมเดจ็ พระบรมอยั กาพระราชทานนามวา่ มงคลเลิศ ๗ ในรัชกาลที่ ๔ ก็โปรดให้เป็นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า ทรงพระเมตตาเป็นอันมาก ๑ ราชสกลุ วงศ์ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ หน้า ๒๘ ว่า “พระองคเ์ จา้ หญงิ วลิ าส” ๒ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื อบั สรสดุ าเทพ ๓ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ วงศ์ ๔ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ดำ ๕ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ดวงเดอื น ๖ คำนำพระนามนี้ใช้มาจนถึงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั จงึ มพี ระบรมราชโองการ ให้เปลย่ี นเป็น “พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ” แทน ๗ พระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ มงคลเลศิ
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๑๙๓ พระองคเ์ จา้ มงคลเลศิ มบี ตุ รและบตุ รี ไดร้ บั ราชการฉลองพระเดชพระคณุ หลายคน มีพระยาไชยสรุ นิ ทร์ เป็นต้น ฯ พระธิดาพระองค์ใหญ่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาใช้สอยสนิท โปรดว่าอยู่งานพัดดี จึ่งพระราชทานนามว่า รำเพย ภายหลังมาได้เป็นสมเด็จพระบรมราชเทวี ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปรากฏพระนามว่า สมเด็จพระนางเจ้ารำเพยภมราภิรม ๑ มีพระบรมราชโอรสสามพระองค์ และพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง ซึ่งได้รับพระราชทานออกพระนามมา แต่เบื้องต้นแล้วนั้น พระองค์ได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งพระอัครมเหษีถ้วน ๙ ปี เป็นกำหนด ครั้นเมื่อ เสดจ็ สวรรคตแลว้ กไ็ ดท้ รงรบั พระเกยี รตยิ ศยง่ิ ใหญใ่ นการพระศพตามอยา่ งสมเดจ็ พระบรมราชเทวี ครน้ั ใน รชั กาลปจั จบุ นั น้ี จง่ึ ทรงสถาปนาพระอฐั เิ ปน็ กรมสมเดจ็ พระเทพศริ นิ ทรามาตย์ ๒ สมเดจ็ พระบรมราชชนนี ตามโบราณราชประเพณสี บื มา ฯ ท่ี ๓ เปน็ พระธดิ าทรงนามหมอ่ มเจา้ ชมชน่ื ๓ ท่ี ๔ เปน็ พระธดิ า ไดส้ นอง พระเดชพระคุณมาแต่ยังทรงพระเยาว์จนปัจจุบันนี้ มีความชอบเป็นอันมาก จึ่งพระราชทาน พระสุพรรณบัฏให้เป็นพระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพื้นพงษ์ประยุรวงษสนิท ฯ๔ พระธิดาที่ ๕ มีนามหม่อมเจ้าประสงค์สรรพ์ พระธิดาที่ ๖ มีนามหม่อมเจ้าสารพัดเพชร พระธิดาที่ ๗ นาม หม่อมเจ้าพรรณราย๕ ได้ทำราชการฉลองพระเดชพระคุณในรัชกาลที่ ๔ มีพระองค์เจ้าสองพระองค์ อันสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ทรงพระมหากรุณา ยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้าปรากฏพระนามว่า พระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้ากรมขุนขัตติยกัลยา๖ และพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขนุ นรศิ รานวุ ตั วิ งษ ฯ๗ พระองคท์ ่ี ๘ เปน็ พระโอรส นามเดมิ หมอ่ มเจา้ ฉายเฉดิ ๘ ทรงผนวชได้แปลพระปริยัติธรรมได้แปดประโยค ดำรงยศเป็นหม่อมเจ้าพระเปรียญ ครั้นเมื่อลาผนวชแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรง พระมหากรุณาพระราชทานหีบทองเป็นเครื่องยศ ครั้นถึงในรัชกาลปัจจุบันนี้ พระราชทานพระสพุ รรณบฏั ให้เป็นพระองค์เจ้า ภายหลังเลื่อนเป็นพระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนฤบาลมุขมาตย์ ได้บังคับการ ในกรมราชบัณฑิต มีบุตรได้รับราชการฉลองพระเดชพระคุณเป็นที่หม่อมนเรนทรราชา ราชินิกูล ฯ ที่ ๙ เป็นพระโอรส ได้สนองพระเดชพระคุณมาแต่เดิมมาก ครั้นเมื่อได้เถลิงถวัลยราชสมบัติ จึ่งพระราชทานพระสุพรรณบัฏให้เป็นพระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประเสริฐศักดิ ได้ว่าการ ๑-๒ สมเดจ็ พระเทพศริ นิ ทรา บรมราชนิ ี ๓ พระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ชมชน่ื ๔ ราชสกลุ วงศ์ ฉบบั พมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ หน้า ๑๑๖ วา่ “พระสมั พนั ธวงศ์เธอ พระองคเ์ จา้ พนื้ พงศป์ ระยุรวงศส์ นิท” เฉลมิ พระยศ เจ้านาย เล่ม ๑ ว่า ประยรู วงศส์ นิท และ ประยรุ วงศส์ นทิ ราชนิ ิกูล รัชกาลท่ี ๓ พ.ศ. ๒๔๗๑ หน้า ๔๗ ว่า ประยรุ วงศสนิท ๕ พระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ พรรณราย ๖ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมขนุ ขตั ตยิ กลั ยา ๗ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ เปน็ ตน้ สกลุ จติ รพงศ์ ๘ ราชินิกูล รัชกาลที่ ๓ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๑ หน้า ๔๘ ว่า ฉายฉันเฉิด
๑๙๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ กรมช่างประดับกระจกและมหาดเล็กช่าง สิ้นพระชนม์เสียในระหว่างกาลซึ่งจะโปรดให้เป็นพระองค์เจ้า ต่างกรม มีบุตรและบุตรีมาก ได้รับราชการเป็นนายจ่าเรศอยู่นายหนึ่ง และพระธิดาแห่งสมเด็จ พระบรมราชมาตามหัยยกาเธอซึ่งมิได้เป็นพระองค์เจ้านั้น ก็ทรงยกย่องเป็นหม่อมเจ้าสัมพันธวงศ์ มีเกียรติยศและประโยชน์ยิ่งกว่า หม่อมเจ้าสามัญทุกพระองค์ พระราชบุตรพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ท่ี ๘ ทรงพระนามพระองคเ์ จา้ ลกั ขณานคุ ณุ ๑ เปน็ ปยิ ราชโอรส แตห่ าไดท้ รงรบั ราชการอนั ใดไม่ เมอ่ื สน้ิ พระชนม์ก็ได้พระราชทานพระเกียรติยศในการพระศพพระเมรุท้องสนามหลวง พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ มพี ระธดิ าพระองคเ์ ดยี ว ซง่ึ ประสตู กิ อ่ นพระบดิ าสน้ิ พระชนมไ์ มช่ า้ นกั พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ ทรง พระมหากรุณาแก่หม่อมเจ้าองค์นั้นยิ่งนัก ด้วยเป็นกำพร้าแต่ยังเยาว์ จึ่งพระราชทานพระสุพรรณบัฏ ใหเ้ ปน็ พระเจา้ หลานเธอ พระองคเ์ จา้ โสมนศั วฒั นาวดี ๒ ครน้ั เมอ่ื ครบปกี ำหนดโสกนั ตก์ โ็ ปรดใหม้ กี ระบวน แห่อย่างโสกันต์ใหญ่ ยกเสียแต่เขาไกรลาส ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จ เถลิงถวัลยราชสมบัติ ก็ได้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระบรมราชเทวี มีพระราชโอรสประสูติสิ้นพระชนม์ ในวนั นน้ั อนั ปรากฏพระนาม ณ บดั นว้ี า่ สมเดจ็ พระเจา้ พย่ี าเธอเจา้ ฟา้ โสมนศั ๓ เมอ่ื ประสตู แิ ลว้ ไมน่ าน สมเดจ็ พระนางเจา้ โสมนศั วฒั นาวดกี ส็ น้ิ พระชนม์ ไดพ้ ระราชทานเพลงิ ณ ทอ้ งสนามหลวง ตามอยา่ ง สมเด็จพระบรมราชเทวี ฯ พระบุตรีที่ ๙ ทรงพระนามพระองค์เจ้ากระมุท ๔ สิ้นพระชนม์เสียแต่ยังทรง พระเยาว์ พระราชบุตรีที่ ๑๐ ทรงพระนามพระองค์เจ้ามาลี ๕ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ ข้างเบื้องต้น ท่ี ๑๑ พระราชบตุ รทรงพระนามพระองคเ์ จา้ โกเมน ๖ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหเ้ ปน็ กรมหมื่นเชษฐาธิเบนทร์ มีพระโอรสและธิดาหลายองค์ เชือนแชเสียโดยมาก ยังได้รับราชการอยู่ก็มี คอื หมอ่ มเจา้ ศกั ดศิ รี และหมอ่ มเจา้ อา่ งเปน็ ตน้ พระราชบตุ รท่ี ๑๒ มพี ระนามพระองคเ์ จา้ คเนจร ๗ เปน็ กรมหมื่นอมเรนทรบดินทรแต่ในรัชกาลที่ ๓ ได้ทรงกำกับช่างมุกต่อสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยยกาเธอ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลปัจจุบันนี้ มีพระโอรสพระธิดาเป็นอันมาก ได้รับราชการแต่หม่อมเจ้าจังหวัด ๑ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ลกั ขณานคุ ณุ ๒ สมเดจ็ พระนางเจา้ โสมนสั วฒั นาวดี เฉลมิ พระยศเจา้ นาย เลม่ ๑ และราชสกลุ วงศ์ สะกดวา่ “ โสมนสั วฒั นาวดี ” ๓ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ โสมนสั ๔ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ กมทุ ๕ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ มาลี ๖ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื เชษฐาธเิ บนทร์ ๗ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื อมเรนทรบดนิ ทร์ เปน็ ตน้ สกลุ คเนจร ตั้งแตส่ มยั อยธุ ยา จนถึงต้นรัชกาลที่ ๓ แห่งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ คำนำพระนามพระราชโอรสและพระราชธดิ า ใชเ้ หมอื นกนั วา่ “สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ” และ “พระเจา้ ลกู เธอ” หลงั จากไดม้ คี ำจารกึ พระนาม ในพระสุพรรณบัฏว่า “พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากรมหมื่นอมเรนทรบดินทร ครุฑนาม” ในครั้งนั้นแล้วจึงได้แยกการใช้คำนำพระนาม พระราชโอรส อยา่ งหนง่ึ และพระราชธดิ าอยา่ งหนง่ึ นบั เปน็ ครง้ั แรกทม่ี คี ำบญั ญตั คิ ำนำพระนามพระโอรสขน้ึ ใหม่
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๑๙๕ ซึ่งถึงชีพตักษัย ได้กำกับช่างมุกต่อมา โอรสและธิดานอกนั้นยังอยู่อีกหลายองค์ คือ หม่อมเจ้าเมฆิน เปน็ ตน้ พระราชบตุ รท่ี ๑๓ พระองคเ์ จา้ ชายไมม่ พี ระนาม สน้ิ พระชนมเ์ สยี แตย่ งั ทรงพระเยาว์ พระราช บตุ รท่ี ๑๔ พระองคเ์ จา้ เงนิ ยวง ๑ สน้ิ พระชนมใ์ นรชั กาลปจั จบุ นั น้ี พระราชบตุ รท่ี ๑๕ พระองคเ์ จา้ งอนรถ๒ สน้ิ พระชนมใ์ นรชั กาลท่ี ๓ มพี ระโอรสยงั อยใู่ นบดั น้ี คอื หมอ่ มเจา้ ชายแดง พระราชบตุ รท่ี ๑๖ พระองค์ เจา้ ลดั ดาวลั ๓ ในรชั กาลท่ี ๔ ไดเ้ ปน็ กรมหมน่ื ภมู นิ ทรภกั ดี ไดร้ บั ราชการเปน็ นายดา้ นทำการวหิ ารพระพทุ ธ ไสยาสน์วัดพระเชตุพนแต่ในรัชกาลที่ ๓ ครั้นถึงในรัชกาลที่ ๔ ก็ได้เป็นนายด้านทำการวัดราชโอรสและ วดั มหาพฤฒาราม และไดฉ้ ลองพระเดชพระคณุ ในการชา่ งตา่ ง ๆ อยเู่ นอื งนจิ มไิ ดข้ าด และเปน็ ผกู้ ำกบั แจกเบย้ี หวดั จนตลอดเวลาสน้ิ พระชนมใ์ นรชั กาลปจั จบุ นั น้ี มพี ระโอรสและพระธดิ าเปน็ อนั มาก พระโอรส องค์ใหญ่ทรงผนวชแปลพระปริยัติธรรม ดำรงสมณศักดิ์เป็นเปรียญมาแต่ในรัชกาลที่ ๔ ครั้นในรัชกาล ปัจจุบันนี้ ได้ดำรงสมณศักดิ์เป็นที่พระราชาคณะนามหม่อมเจ้าพระอรุณนิภาคุณากร โปรดให้มาครอง วดั ราชบพธิ ซง่ึ เปน็ พระอารามหลวงทรงสถาปนาขน้ึ ใหม่ ภายหลงั พระราชทานพระสพุ รรณบฏั เลอ่ื นขน้ึ เปน็ พระวรวงศเ์ ธอพระองคเ์ จา้ พระอรณุ นภิ าคณุ ากร มสี รอ้ ยพระนามตามสมณศกั ด์ิ ตง้ั ฐานานกุ รมไดเ้ สมอ ตำแหน่งที่พระพรหมมุนีมีพระโอรสอีกองค์หนึ่งชื่อหม่อมเจ้าฉาย ได้รับราชการเป็นนายด้านทำวัดมหา พฤฒารามและการช่างต่าง ๆ ต่อมา และหม่อมเจ้าเพิ่มได้รับราชการขึ้นอยู่ในกรมว่าการต่างประเทศ หม่อมเจ้าปานได้รับราชการเป็นช่างเขียนในพระบรมมหาราชวัง หม่อมเจ้าพร้อมทรงผนวชเป็นสามเณร ได้แปลพระปริยัติธรรมดำรงสมณศักดิ์เป็นหม่อมเจ้าสามเณรเปรียญอยู่ในกาลบัดนี้ ฯ ฝ่ายพระธิดานั้นได้ ดำรงตำแหน่งพระอัครชายาเธอในรัชกาลปัจจุบันนี้สามพระองค์ พระองค์ใหญ่มีพระราชธิดาพระองค์ ๑ ทรงพระนามพระองคเ์ จา้ เยาวมาลนฤมล ๔ พระองคก์ ลางมพี ระราชธดิ าพระองค์ ๑ ทรงพระนามพระองค์ เจ้าจันทราสรัทวาร ๕ พระองค์น้อยมีพระราชโอรส ๑ พระราชธิดา ๓ คือพระองค์เจ้ายุคลฑิฆัมพร ๖ ๑ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ เงนิ ยวง ๒ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ งอนรถ เป็นต้นสกุล งอนรถ ๓ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหมนื่ ภูมนิ ทรภกั ดี เป็นต้นสกุล ลดาวลั ย์ ราชสกลุ วงศ์ ฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๖ หน้า ๓๐ ว่า “พระองค์ เจา้ ชายลดาวลั ย์” ๔ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมขนุ สวรรคโลกลกั ษณวดี ราชสกลุ วงศ์ ฉบบั พมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ หนา้ ๖๐ วา่ “เยาวมาลยน์ ฤมล” ๕ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมขนุ พจิ ติ รเจษฎจ์ นั ทร์ ๖ พลโท สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ยคุ ลทฆิ มั พร กรมหลวงลพบรุ รี าเมศวร์ เปน็ ตน้ สกลุ ยคุ ล
๑๙๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระองคเ์ จา้ นภาจรจำรสั ศรี ๑ พระองคเ์ จา้ มาลนิ นี ภดารา ๒ พระองคเ์ จา้ นภิ านภดล ๓ พระอคั รชายาเธอ พระองคเ์ จา้ เสาวภาคนารรี ตั น ซง่ึ สน้ิ พระชนมไ์ ปแลว้ นน้ั ไดพ้ ระราชทานเพลงิ ณ พระเมรทุ อ้ งสนามหลวง ตามตำแหน่งพระอัครชายา ที่ยังดำรงอยู่อีกสองพระองค์นั้น คือ พระอัครชายาเธอหม่อมเจ้าอุบลรัตน นารนี าค ๔ และพระอคั รชายาเธอหมอ่ มเจา้ สาย ๕ จะทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหด้ ำรงตำแหนง่ พระอคั ร ชายาเธอมกี รม และพระเจา้ ลกู เธอนน้ั กจ็ ะโปรดใหเ้ ปน็ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอเจา้ ฟา้ ทกุ พระองค์ และ พระธิดานอกจากนี้ก็ได้รับราชการอยู่ในพระบรมมหาราชวังเป็นอันมาก ฯ พระราชบุตรีที่ ๑๗ พระองค์เจ้า เสงี่ยม ๖ ยังเสด็จดำรงอยู่ ณ บัดนี้ พระราชบุตรีที่ ๑๘ พระองค์เจ้าพงา ๗ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ พระราชบุตรีที่ ๑๙ พระองค์เจ้าแสงจันทร์ ๘ ได้รับราชการเป็นพนักงานพระสุคนธ์ และสิ้นพระชนม์ ในรชั กาลปจั จบุ นั น้ี พระราชบตุ รที ่ี ๒๐ พระองคเ์ จา้ นเิ วศ ๙ ยงั เสดจ็ ดำรงอยณู่ บดั น้ี พระราชบตุ รท่ี ๒๑ พระองคเ์ จา้ ชมุ สาย ๑๐ ในรชั กาลท่ี ๔ ไดเ้ ปน็ กรมหมน่ื แลว้ ภายหลงั เลอ่ื นขน้ึ เปน็ กรมขนุ ราชสหี วกิ รม เมอ่ื รชั กาลท่ี ๓ ไดเ้ ปน็ นายดา้ นทำวดั นางนองการไมส่ ำเรจ็ ครน้ั ถงึ ในรชั กาลท่ี ๔ ไดท้ รงบงั คบั การชา่ งสบิ หมู่ ทำราชการฉลองพระเดชพระคณุ ในการชา่ งเปน็ อนั มาก สน้ิ พระชนมใ์ นทา้ ยรชั กาลท่ี ๔ นน้ั มพี ระโอรส ไดร้ บั ราชการหลายองค์ คอื หมอ่ มเจา้ ระเบยี บ และหมอ่ มเจา้ ประวชิ ไดร้ บั ราชการในการชา่ ง หมอ่ มเจา้ ปฤษฎางค์ ไดร้ บั ราชการในการตา่ งประเทศหลายอยา่ งมคี วามชอบ จง่ึ โปรดพระราชทานพระสพุ รรณบตั ร ใหเ้ ปน็ พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ปฤษฎางค์ เปน็ อคั รราชทตู สำหรบั คอนตเิ นน็ ตป์ ระเทศยโุ รป ประจำอยู่ ในกรุงฝรั่งเศส แล้วได้มารับราชการเป็นไดเร็กเตอเยเนอราลในกรมโทรเลขและไปรษณีย์ในกาลบัดนี้ พระราชบตุ รท่ี ๒๒ พระองคเ์ จา้ ชายยงั ไมม่ พี ระนาม สน้ิ พระชนมเ์ สยี แตย่ งั ทรงพระเยาว์ พระราชบตุ รี ท่ี ๒๓ พระองคเ์ จา้ สบุ งกช๑๑ ไดท้ รงรบั ราชการเปน็ ผกู้ ำกบั แจกเบย้ี หวดั และสน้ิ พระชนมใ์ นรชั กาลปจั จบุ นั น้ี ๑ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ นภาจรจำรสั ศรี ๒ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ มาลนิ นี ภดารา กรมขนุ ศรสี ชั นาลยั สรุ กญั ญา ราชสกลุ วงศ์ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ หนา้ ๗๑ วา่ “นพดารา” ๓ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ นภานภดล กรมขนุ อทู่ องเขตขตั ตยิ นารี ๔ พระอคั รชายาเธอ พระองคเ์ จา้ อบุ ลรตั นนารนี าค กรมขนุ อรรควรราชกลั ยา ๕ พระวมิ าดาเธอ พระองคเ์ จา้ สายสวลภี ริ มย์ กรมพระสทุ ธาสนิ นี าฎ ปยิ มหาราชปดวิ รดั า ๖ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ เสงย่ี ม ๗ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ พงา ๘ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ แสงจนั ทร์ ๙ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ นเิ วศ ราชสกลุ วงศ์ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ หน้า ๓๑ วา่ “นิเวศน”์ ๑๐ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมขนุ ราชสหี วกิ รม เป็นตน้ สกุล ชุมสาย ๑๑ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ สบุ งกช
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๑๙๗ พระราชบุตรีที่ ๒๔ พระองค์เจ้าหญิง สิ้นพระชนม์แต่ยังทรงพระเยาว์ พระราชบุตรีที่ ๒๕ พระองค์ เจา้ เลขา ๑ สน้ิ พระชนมใ์ นรชั กาลท่ี ๓ พระราชบตุ รที ่ี ๒๖ ในรชั กาลปจั จบุ นั น้ี เดมิ เปน็ พระเจา้ ราชวรวงศเ์ ธอ กรมพระสดุ ารตั นราชประยรู ภายหลงั เลอ่ื นขน้ึ เปน็ พระเจา้ มหยั ยกิ าเธอ กรมสมเดจ็ พระสดุ ารตั นราชประยรู ด้วยสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ทรงระลึกถึงพระคุณซึ่งท่านได้ทรงอภิบาลบำรุงพระองค์มา จำเดิมแต่เวลาแรกพระบรมประสูติกาลจนเจริญวัย จึ่งทรงยกย่องไว้ในตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ เสมอด้วย สมเดจ็ พระบรมราชชนนี ฯ พระราชบตุ รท่ี ๒๗ พระองคเ์ จา้ ชายเปยี ก ๒ สน้ิ พระชนมใ์ นรชั กาลท่ี ๔ มพี ระ โอรสอยู่ ณ บัดนี้ คือหม่อมเจ้านิสากร พระราชบุตรีที่ ๒๘ พระองค์เจ้าเกษนี ๓ สิ้นพระชนม์ในรัชกาล ที่ ๓ พระราชบุตรที่ ๒๙ พระองค์เจ้าอุไร ๔ ได้รับราชการในการช่างเบ็ดเตล็ดมาแต่รัชกาลที่ ๓ ครั้น รชั กาลท่ี ๔ ไดเ้ ปน็ กรมหมน่ื อดลุ ยลกั ษณสมบตั ิ ไดบ้ งั คบั การในวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม และกำกบั การกรมแสง และไดร้ บั ราชการตา่ ง ๆ หลายอยา่ ง ภายหลงั ไดก้ ำกบั ชา่ งศลิ า และสน้ิ พระชนมใ์ นรชั กาล ปัจจุบันนี้ มีพระโอรสและธิดาได้รับราชการอยู่หลายองค์ คือหม่อมเจ้านิลวรรณ ๕ และหม่อมเจ้าดุษฎี เปน็ ตน้ พระราชบตุ รที ่ี ๓๐ พระองคเ์ จา้ กนิ นรี ๖ ในรชั กาลปจั จบุ นั น้ี ไดเ้ ปน็ ผนู้ ง่ั เบย้ี หวดั ยงั เสดจ็ ดำรง อยู่ ฯ พระราชบตุ รที ่ี ๓๑ พระองคเ์ จา้ หญงิ สน้ิ พระชนมแ์ ตย่ งั ทรงพระเยาว์ พระราชบตุ รที ่ี ๓๒ พระองค์ เจา้ ชายอรรณพ ๗ ในรชั กาลท่ี ๓ ไดว้ า่ กรมมหาดเลก็ และกรมสงั ฆการี ครน้ั ในรชั กาลท่ี ๔ ไดเ้ ปน็ กรมหมน่ื อดุ มรตั นราษี คงวา่ กรมสงั ฆการี และสน้ิ พระชนมใ์ นรชั กาลนน้ั มโี อรสธดิ ายงั อยใู่ นบดั น้ี คอื หมอ่ มเจา้ พรประสทิ ธิ และหมอ่ มเจา้ อมรอำนวย เปน็ ตน้ ฯ พระราชบตุ รที ่ี ๓๓ พระองคเ์ จา้ หญงิ เลก็ ๘ สน้ิ พระชนม์ แตย่ งั พระเยาว์ พระราชบตุ รที ่ี ๓๔ พระองคเ์ จา้ พวงแกว้ ๙ สน้ิ พระชนมใ์ นรชั กาลท่ี ๓ พระราชบตุ รที ่ี ๓๕ พระองคเ์ จา้ ประไพภกั ตร์ ๑๐ ท่ี ๓๖ พระองคเ์ จา้ ฉววี รรณ ๑๑ สน้ิ พระชนมใ์ นรชั กาลปจั จบุ นั น้ี พระราชบตุ รี ๑ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ เลขา ๒ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ เปยี ก เปน็ ตน้ สกลุ ปยิ ากร ๓ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ เกษนี ราชสกลุ วงศ์ ฉบับพมิ พ์ พ.ศ.๒๕๓๖ หนา้ ๓๓ ว่า “เกศน”ี ๔ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื อดลุ ยลกั ษณสมบตั ิ ๕ พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ นลิ วรรณ ๖ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ กนิ รี ๗ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื อดุ มรตั นราษี เปน็ ต้นสกุล อรณพ ๘ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ เลก็ ๙ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ พวงแกว้ ๑๐ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ประไพภกั ตร์ ราชสกลุ วงศ์ ฉบบั พมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ หนา้ ๓๔ วา่ ประไพพกั ตร์ ๑๑ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ฉววี รรณ
๑๙๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ที่ ๓๗ ที่ ๓๘ สิ้นพระชนม์แต่ยังทรงพระเยาว์ พระราชบุตรที่ ๓๙ พระองค์เจ้าลำยอง ๑ สิ้นพระชนม์ ในรชั กาลท่ี ๔ มีพระโอรสพระธิดายังอยู่บ้าง แต่เกะกะไม่เป็นราชการ พระราชบุตรีที่ ๔๐ พระองค์เจ้า กัลยานี ๒ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลปัจจุบันนี้ พระราชบุตรีที่ ๔๑ พระองค์เจ้านรลักษณ์ ๓ สิ้นพระชนม์ ในรัชกาลที่ ๔ พระราชบตุ รท่ี ๔๒ พระองคเ์ จา้ เฉลมิ วงษ ๔ สน้ิ พระชนมใ์ นรชั กาลท่ี ๓ พระราชบตุ รที ่ี ๔๓ พระองคเ์ จา้ จามรี ๕ ไดท้ รงบงั คบั การในพระพทุ ธรตั นสถานอยใู่ นปจั จบุ นั น้ี พระราชบตุ รที ่ี ๔๔ พระองคเ์ จา้ กฤษณา๖ สน้ิ พระชนมใ์ นรชั กาลท่ี ๔ พระราชบตุ รท่ี ๔๕ พระองคเ์ จา้ อมฤตย ๗ เปน็ กรมหมน่ื ภบู ดรี าชหฤทยั ในรชั กาลท่ี ๔ แลว้ ไดบ้ งั คบั การกรมหมอ และสน้ิ พระชนมใ์ นรชั กาลปจั จบุ นั น้ี พระราชบตุ รท่ี ๔๖ พระองค์ เจา้ สบุ รรณ๘ ในรชั กาลท่ี ๔ ไดท้ รงกำกบั ชา่ งทำการในพระพทุ ธรตั นสถานและพระพทุ ธมณเฑยี ร โปรดให้ เปน็ กรมหมน่ื ภูวไนยนฤเบนทราธิบาล ครั้นในรัชกาลปัจจุบันนี้ได้ทรงกำกับช่างทำการซ่อมวัดพระศรีรัตน ศาสดารามในคราวแรก และเป็นนายด้านปฏิสังขรณ์วัดสังเวชวิสยาราม แล้วเลื่อนขึ้นเป็นกรมขุน สน้ิ พระชนมใ์ นรชั กาลปจั จบุ นั น้ี มพี ระโอรสและพระธดิ าหลายองค์ คอื หมอ่ มเจา้ เทโพ และหมอ่ มเจา้ หญิงรศคนธ์ เปน็ ตน้ พระราชบตุ รท่ี ๔๗ พระองคเ์ จา้ ชาย สน้ิ พระชนมแ์ ตย่ งั ทรงพระเยาว์ พระราชบตุ ร ท่ี ๔๘ พระองคเ์ จา้ สงิ หรา ๙ ในรชั กาลท่ี ๔ เปน็ กรมหมน่ื อกั ษรสาสนโสภณ ไดก้ ำกบั กรมพระอาลกั ษณ์ ครั้นในรัชกาลปัจจุบันนี้ ได้บังคับการโรงพิมพ์ แล้วเปลี่ยนไปบังคับการศาลราชตระกูล เลื่อนขึ้นเป็น กรมขนุ บดนิ ทรไพศาลโสภณ มพี ระโอรสพระธดิ ามาก ไดร้ บั ราชการ คอื หมอ่ มเจา้ วชั รนิ ทร์ เปน็ ตน้ พระราชบุตรที่ ๔๙ พระองค์เจ้าชมพูนุท ๑๐ ในรัชกาลที่ ๔ ได้รับราชการเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ เป็นกรมหมื่น เจรญิ ผลพนู สวสั ด์ิ ครน้ั ในรชั กาลปจั จบุ นั น้ี ไดท้ รงบงั คบั การในวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม และพระคลงั พมิ านอากาศ และมหาดเลก็ ชา่ ง เปน็ นายดา้ นทำวดั เทพศริ นิ ธราวาศ และปฏสิ งั ขรณว์ ดั ราชโอรส ๑ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ลำยอง เปน็ ตน้ สกลุ ลำยอง ๒ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ กลั ยานี ราชสกลุ วงศ์ ฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๖ หน้า ๓๔ วา่ กัลยาณี ๓ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ นรลกั ษณ์ ๔ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ เฉลมิ วงศ์ ๕ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ จามรี ๖ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ กฤษณา ๗ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ภบู ดรี าชหฤทยั ราชสกลุ วงศ์ ฉบบั พมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ และเฉลมิ พระยศเจา้ นายฉะบบั มพี ระรปู พมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๓๕ หน้า ๑๑ ว่า พระองคเ์ จา้ อมฤตย์ ๘ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมขนุ ภวู มยั นฤเบนทราธบิ าล เปน็ ตน้ สกลุ สบุ รรณ ๙ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงบดนิ ทรไพศาลโสภณ เป็นต้นสกุล สงิ หรา ๑๐ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมขนุ เจรญิ ผลพนู สวสั ด์ิ เป็นต้นสกุล ชมพูนุท ราชสกลุ วงศ์ ฉบบั พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ หนา้ ๓๖ ว่า “พลู สวสั ดิ” เฉลมิ พระยศเจา้ นายฉะบบั มพี ระรปู พมิ พ์ พ.ศ.๒๕๓๘ หนา้ ๑๓๘ วา่ “พลู สวสั ด์ิ”
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๑๙๙ แล้วโปรดให้เลื่อนขึ้นเป็นกรมขุน มีพระโอรสทรงผนวชได้แปลพระปริยัติธรรม ดำรงสมณศักดิ์เป็น หมอ่ มเจา้ เปรยี ญ แลว้ ภายหลงั ไดเ้ ลอ่ื นสมณศกั ดเ์ิ ปน็ หมอ่ มเจา้ พระราชาคณะ มนี ามวา่ หมอ่ มเจา้ พระสถาพร พริ ยิ ะพรต * พระราชบตุ รท่ี ๕๐ พระองคเ์ จา้ จนิ ดา ๑ สน้ิ พระชนมแ์ ตใ่ นรชั กาลท่ี ๓ มพี ระโอรสองคเ์ ดยี ว คอื หมอ่ มเจา้ ดารารตั น ซง่ึ ถงึ ชพี ตกั ษยั ไปแลว้ นน้ั พระราชบตุ รที ่ี ๕๑ พระองคเ์ จา้ บตุ รี ๒ ไดร้ บั ราชการ เป็นที่สนิทชิดใช้มา แต่ในรัชกาลที่ ๓ ได้ทรงรักษาประแจพระราชวัง ภายหลังได้ทรงบังคับการ ในพนกั งานนมสั การและกำกบั แจกเบย้ี หวดั นบั เปน็ พระราชบตุ รที ส่ี ดุ ในรชั กาลนน้ั เปน็ จำนวนพระราชบตุ ร ๒๓ พระองค์ พระราชบตุ รี ๒๘ พระองค์ รวม ๕๑ พระองค์ ดงั น้ี ฯ กแ็ ละพระราชบตุ ร พระราชบตุ รี ในพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทง้ั ๕๑ พระองคน์ ้ี มนี ามปรากฏวา่ พระเจา้ ราชวรวงศเ์ ธอ มพี ระ โอรสพระธดิ าสบื ๆ ลงไป นบั วา่ เปน็ เจา้ นายแผนกหนง่ึ ซง่ึ เรยี กโดยสามญั วา่ เจา้ นายพวกราชวรวงศ์ ดว้ ยประการฉะน้ี ฯ กแ็ ละพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั นน้ั ถงึ วา่ ไมไ่ ดม้ พี ระราชโอรสและพระราชธดิ า เปน็ เจา้ ฟา้ และมไิ ดส้ บื สนั ตตวิ งศเ์ ปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ กด็ ี กย็ งั มพี ระราชโอรสทไ่ี ดด้ ำรงพระเกยี รตยิ ศใหญ่ เปน็ สมเดจ็ พระบรมราชมาตามหยั ยกาเธอ และมพี ระธดิ าเปน็ กรมสมเดจ็ พระสดุ ารตั นราชประยรู มีพระราช นดั ดาเปน็ สมเดจ็ พระบรมราชเทวีถงึ สองพระองค์ เปน็ พระอคั รชายาสามพระองค์ และมพี ระราชปนดั ดา เปน็ เจา้ ฟา้ แลว้ และจะเปน็ ตอ่ ไปอกี ถงึ ๑๓ พระองค์ ดงั น้ี ฯ บัดนี้จะได้รับพระราชทานพรรณนาข้อความ ซึ่งควรเป็นที่ยินดีชื่นชมของพระบรมวงศานุวงศ์ บรรดาซึ่งปรากฏว่าเป็นพวกราชวรวงศ์และข้าราชการทั้งปวงอันมีความนิยมยินดีระลึกถึงพระเดชพระคุณ ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามความที่เป็นจริงประการใดนั้น และเมื่อพระบาทสมเด็จ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดเ้ สดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ ดำรงแผน่ ดนิ สบื เนอ่ื งตอ่ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจ้าอยู่หัวนั้น ทรงพระราชดำริว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จดำรงราชสมบัติมาถึง ๒๗ ปี มขี า้ ราชการทน่ี ยิ มยนิ ดตี อ่ พระองคม์ าแตเ่ ดมิ กม็ าก และขา้ ราชการในภายหลงั กเ็ ปน็ คนเกดิ ในรชั กาล ของพระองค์ทั้งสิ้น ย่อมจะเป็นที่นับถือติดมั่นในใจอยู่ทั่วหน้า บางทีจะมีความเดือดร้อนรำคาญว่าราช ตระกลู ของพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั นน้ั เสอ่ื มสญู ไปทกุ ที กจ็ ะเปน็ ทป่ี น่ั ปว่ นรำคาญใจไปตา่ ง ๆ จึ่งทรงพระราชดำริจะรำงับข้อรำคาญนั้นให้เสื่อมหาย จึ่งได้ทรงรับสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัศวัฒนาวดี * คอื พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหลวงชนิ วรสริ วิ ฒั น์ ฯลฯ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ๑ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ จนิ ดา ๒ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงวรเสรฐสดุ า
๒๐๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ เป็นพระบรมราชเทวี ก็ได้มีพระราชโอรสสมดังพระราชประสงค์ แต่ไม่ดำรงพระชนม์อยู่ได้ทั้งพระโอรส และพระชนนี จง่ึ ไดท้ รงรบั กรมสมเดจ็ พระเทพศริ นิ ธรามาตย์ เปน็ สมเดจ็ พระบรมราชเทวีตอ่ มา กไ็ ดม้ ี พระราชโอรสพระราชธิดาสมดังพระราชประสงค์ เพราะพระราชดำริดังนี้ จึ่งได้ดำรัสประภาษยกย่อง สมเดจ็ พระบรมราชโอรสพระราชธดิ าทง้ั ๔ พระองคน์ ้ี วา่ เปน็ พวกราชวรวงศเ์ นอื ง ๆ ตลอดมา กแ็ ละการ ซง่ึ เปน็ เชน่ น้ี กน็ บั วา่ เปน็ การอศั จรรย์ ดว้ ยพระบรมราชโอรสพระราชธดิ าทง้ั ๔ พระองคน์ น้ั นบั วา่ เปน็ พระราชวรวงศ์แห่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ถึงสามสายสามทาง คือถ้าจะนับตามลำดับ พระบรมราชวงศซ์ ง่ึ ตรงมาแต่พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กน็ บั วา่ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ สมเดจ็ พระบรมปติ ลุ าธริ าช ทา่ นทง้ั ๔ พระองคน์ ้ี เปน็ พระราชภาคไิ นยทางหนง่ึ ถา้ จะ นับฝ่ายสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยยกาเธอ และกรมสมเด็จพระเทพศิรินธรามาตย์ พระบาทสมเด็จ พระนง่ั เกลา้ อยหู่ วั กน็ บั วา่ เปน็ สมเดจ็ พระบรมราชไปยกาธบิ ดี ทง้ั ๔ พระองคน์ น้ี บั วา่ เปน็ พระราชปนดั ดา ทางหนึ่ง ถ้าจะนับข้างฝ่ายเจ้าจอมมารดาแห่งสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยยกาเธอ ซึ่งสืบเนื่องมาแต่ พระน้องนางของพระชนนีในกรมสมเด็จพระศรีสุลาไลย ก็นับเนื่องอยู่ในประพันธ์ ไม่ห่างไกลกว่าทาง ทส่ี องนกั ควรนบั วา่ สนทิ กวา่ สมเดจ็ พระเจา้ พย่ี าเธอ เจา้ ฟา้ ชายโสมนศั ดว้ ยประการฉะน้ี ฯ ซง่ึ สมเดจ็ บรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ดำรงราชตระกูลมานี้ นับว่า เป็นอันได้ดำรงพระวงศ์ทั้งสองฝ่าย ให้เจริญยืนยาวสืบไป ราชตระกูลของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจา้ อยหู่ วั มไิ ดเ้ สอ่ื มสญู มแี ตท่ รดุ ไป เชน่ คดิ เหน็ โดยงา่ ย ๆ ดว้ ยพระบรมราชโอรสและพระราชนดั ดา ซง่ึ จะสืบไปภายหน้ามากน้อยเท่าใด ก็คงนับเนื่องประพันธ์ในพระราชวงศ์ทั้งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจา้ อยหู่ วั และพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ตลอดไปไมม่ ที างทจ่ี ะหลกี ละไปอยา่ งอน่ื ได้ ควรท่ี พระบรมวงศานวุ งศ์ ซง่ึ นบั วา่ เปน็ ฝา่ ยพระเจา้ ราชวรวงศ์ ทง้ั น้ี จะมคี วามชน่ื ชมนยิ มตอ่ พระบารมี ใหเ้ ปน็ ท่ี ยินดีแห่งตน ๆ เมื่อสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้าทรงทราบพระราชประพันธ์อันสนิท เนื่องใน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวดังนี้ จง่ึ ได้มีพระราชหฤทัยระลึกถึงพระเดชพระคุณแห่งพระองค์ ซง่ึ ไดด้ ำรงเปน็ บรรพบรุ ษุ อนั ยง่ิ ใหญ่ จง่ึ ทรงบำเพญ็ พระราชกศุ ลฉลองพระเดชพระคณุ ในอภลิ กั ขติ กาล พิเศษครั้งนี้ ฯ อนึ่งเมื่อได้ทรงพิจารณาถึงพระราชสันตติวงศ์ซึ่งเป็นบรรพบุรุษอันเสด็จล่วงไปแล้วนั้น กจ็ ะ ทรงสงั เวชพระราชหฤทยั ในการทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปเปน็ ธรรมดา จะไดท้ รงเจรญิ สญั ญาทง้ั สามมอี นจิ จสญั ญา เปน็ ตน้ ใหบ้ รบิ รู ณเ์ ปน็ ภาวนามยั บญุ กริ ยิ า อนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ กศุ ลราศตี อ้ งตามพทุ ธภาษติ อนั ทรงแสดง ลกั ษณะทง้ั สามประการนน้ั ฯ
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๒๐๑ คาถานเิ ขปบทเทศนากณั ฑท์ ่ี ๒ ธมโฺ ม หเว รกขฺ ติ ธมมฺ จาริ ธมโฺ ม สจุ ณิ โฺ ณ สขุ มาวหาติ เอสานสิ โํ ส ธมเฺ ม สจุ ณิ เฺ ณ น ทคุ คฺ ติ คจฉฺ ติ ธมมฺ จารตี ิ !!ตผู แู้ ตง่ เทศนเ์ ออ้ื น อนสุ รณ์ นฤ้ี ๅ ชอ่ื จฬุ าลงกรณ์ เนอ่ื งเชอ้ื สำหรบั แตก่ ารจร คราวหนง่ึ แลนา ยน่ ยอ่ พอแตเ่ นอ้ื เรอ่ื งตง้ั ฟงั เอง ฯ เทศนากณั ฑท์ ่ี ๒ พระราชประวตั ิ กอ่ นเสดจ็ ดำรงสริ ริ าชสมบตั ิ บัดนี้จะได้รับพระราชทานถวายวิสัชนาในธรรมจริยาสมจริยาและพรรณนาพระราชประวัติ แหง่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในเวลาเมื่อพระองค์ยังไม่ได้เสด็จดำรงสิริราชสมบัติในเบื้องต้น เพื่อให้เป็นที่ทรงระลึกถึงพระเดชพระคุณ ซึ่งพระองค์ได้ทรงประพฤติราชกิจและการพระราชกุศลทั้งปวง เพอ่ื ใหเ้ ปน็ ประโยชนแ์ กป่ ระชมุ ชนเปน็ อนั มาก และการซง่ึ พระองคไ์ ดท้ รงพระอตุ สาหะจดั การทง้ั ปวงนน้ั ๆ ไวย้ งั ไดป้ รากฏเปน็ คณุ แกช่ นภายหลงั จนกาลปจั จบุ นั นเ้ี ปน็ อเนกประการ ควรทส่ี าธชุ นบณั ฑติ ยชาตจิ ะยกยอ่ ง สรรเสรญิ แลว้ ระลกึ ถงึ พระเดชพระคณุ โดยความกตญั ญกู ตเวทเี ปน็ นจิ กาล ก็และพระราชประวัติในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระองค์ได้เสด็จมายังโลกนี้ ในอัชชสังวัจฉรผคุณมาศกาฬปักษ์ทสมีดิถีศศิวาร พระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ในพระบาท สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย แต่เมื่อยังเสด็จดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรมหลวง อิศรสุนทร สมเด็จพระบรมอรรคราโชรส แห่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งเสด็จดำรง ราชมไหสุริยสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ในขณะนั้น กรมสมเด็จพระศรีสุลาไลยเป็นพระบรมราชชนนี ได้เสด็จประสูติ ณ พระราชวังเดิม ซึ่งเป็นพระราชวังเก่าแห่งเจ้ากรุงธนบุรี ณ ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
๒๐๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ฝา่ ยตะวนั ตก พระองคท์ รงพระเจรญิ ขน้ึ โดยลำดบั ไดร้ บั พระมหากรณุ าและพระเมตตาแหง่ สมเดจ็ พระบรม อัยกาธิราชแต่ทรงพระเยาว์มา จนตลอดถึงเวลาพระชนมายุครบกำหนดโสกันต์ ในขณะนั้นยังหาได้มี ธรรมเนียมพระหน่อเจ้าต่างกรมโสกันตใ์ นพระบรมมหาราชวังดังในปัจจุบันนี้ไม่ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ ยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระมหากรุณาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระราชนัดดา จึงโปรดเกล้า ฯ ให้โสกันต์ทีพ่ ระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวังเป็นการพิเศษ แล้วก็ได้ทรง บรรพชาและอปุ สมบท เฉพาะพระพกั ตรส์ มเดจ็ พระบรมอยั กาธริ าชในวดั พระศรรี ตั นศาสดารามทง้ั สองสมยั ครน้ั เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาไลยไดเ้ สดจ็ เถลงิ ถวลั ราชอปุ ราชาภเิ ษก เปน็ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล ในท้ายรัชกาลที่ ๑ นั้น พระองค์ก็ได้ดำรงพระยศเป็นพระเจ้าหลานเธอ และได้รับ ราชการในพระบรมชนกนาถทั่วไป เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยอันสนิท ยิ่งกว่าพระราชโอรสพระองค์อื่น จนถึงสมัยเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จสวรรคต ทรงมอบสิริราชสมบัติพระราชทาน แด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย ในขณะนั้นมีหนังสือทิ้งกล่าวโทษ เจ้าฟ้าอภัยธิเบศร กรมขนุ กษตั รานชุ ติ ผเู้ ปน็ พระราชโอรสแหง่ เจา้ กรงุ ธนบรุ ี ๑ วา่ จะคดิ ประทษุ รา้ ยตอ่ พระองค์ เมอ่ื ไดท้ รงทราบแลว้ กท็ รงพระราชดำรดิ ว้ ยพระวจิ ารณปญั ญาอนั อดุ ม ทรงเหน็ วา่ พระบรมวงศานวุ งศแ์ ละขา้ ราชการผอู้ น่ื จะไมม่ ี ผู้ใดกอปรด้วยสติปัญญาและกล้าหาญ ซื่อตรงจงรักภักดีต่อพระองค์ยิ่งขึ้นไปกว่าพระเชษฐราโชรส พระองค์นี้ได้ ถ้าจะให้ผู้อื่นชำระเนื้อความจะยืดยาว ฤๅเคลื่อนคลายไป ไม่เป็นการจับมั่นทั่วถึงโดย รอบคอบ กจ็ ะเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ เสย้ี นศตั รลู กุ ลามมากไป ฤๅเปน็ เชอ้ื สายใหเ้ กดิ เหตอุ นั ตรายสบื ไปภายหนา้ ดว้ ยเหตวุ า่ ในเวลานน้ั ขา้ ราชการซง่ึ เปน็ คนเกา่ ไดท้ ำราชการมาแตค่ รง้ั เจา้ กรงุ ธนบรุ ี กย็ งั มปี ะปนอยโู่ ดยมาก ทม่ี คี วามนยิ มนบั ถอื ตอ่ พระบารมพี ระบรมเดชานภุ าพในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกทว่ั หนา้ กนั นน้ั ก็จริงอยู่ แตท่ ม่ี คี วามนยิ มยนิ ดตี อ่ พระบรมเดชานภุ าพและพระบารมขี องพระองคก์ ม็ โี ดยมาก ทม่ี คี วาม นิยมยินดีต่อบุญบารมีของเชื้อวงศ์เจ้ากรุงธนบุรี อันเนื่องประพันธ์ด้วยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลก แล้วคิดเห็นว่าถ้าได้เจ้านายเช่นนั้นเป็นเจ้าแผ่นดินจะเป็นอันได้ฉลองพระเดชพระคุณทั้งเจ้า กรุงธนบุรีที่เป็นเจ้าเก่านายแก่ และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกซึ่งเป็นเจ้าใหม่นายใหม่ ทั้ง สองฝา่ ยดงั นก้ี ม็ อี ยโู่ ดยมากทค่ี ดิ เหน็ แกป่ ระโยชนต์ นทจ่ี ะไดโ้ อกาสทำการทจุ รติ เพราะจะไดเ้ ปน็ ผมู้ คี วามชอบ ต่อผู้ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินก็จะมีบ้าง จึงเป็นการยากที่จะไว้วางพระราชหฤทัยในท่านผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจำเป็น จะตอ้ งใหป้ ระกอบพรอ้ มทง้ั สตปิ ญั ญาและความกลา้ หาญและความจงรกั ภกั ดที ง้ั สามประการ จง่ึ จะสามารถ ๑ คณะรัฐมนตรไี ด้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ ให้ถวายพระนามว่า “สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช”
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๒๐๓ ทจ่ี ะชำระเสย้ี นศตั รทู ง้ั นใ้ี หส้ น้ิ รากเงา่ ระงบั การจลาจล ซง่ึ จะเกดิ ขน้ึ ในพระนครในเวลาทต่ี ง้ั พระราชธานใี หม่ ยงั ไมม่ ง่ั คง่ั สมบรู ณ์ ฉะนน้ั ใหค้ วามสงบเรยี บรอ้ ยตง้ั อยไู่ มเ่ ปน็ ทเ่ี ดอื ดรอ้ นแกส่ มณาจารยป์ ระชาราษฎรภาย ในพระนคร แลไมเ่ ปน็ ทห่ี มน่ิ ประมาทแกร่ าชดสั กรภายนอกซง่ึ จะพลอยซำ้ เตมิ ได้ เพราะทรงพระราชดำริ เห็นการเป็นข้อสำคัญยิ่งใหญ่ดังนี้ จึ่งทรงมอบให้พระบรมเชษฐราโชรสอันทรงทราบพระราชหฤทัยชัดว่า ประกอบพร้อมด้วยคุณสามประการดังพรรณนามาแล้วนั้น ให้ทรงพิจารณาข้อความทั้งปวง แต่ในเวลา ซึ่งพระองค์ยังตั้งอยู่ในปฐมวัย มีพระชนมายุเพียง ๒๓ พรรษา พระองค์ก็ได้ทรงพิจารณาตัดรอน เลอื กฟน้ั ไดต้ วั ผซู้ ง่ึ มคี วามเหน็ อนั วปิ รติ ทง้ั หลายทว่ั ทกุ คนมไิ ดเ้ หลอื หลง แลว้ นำความขน้ึ กราบทลู แดพ่ ระบาท สมเดจ็ พระบรมชนกนาถ จง่ึ โปรดใหล้ งโทษระงบั เหตกุ ารณท์ ง้ั ปวงไดโ้ ดยเรว็ พลนั การกเ็ รยี บรอ้ ยมไิ ดม้ เี หตุ อนั ตรายแกค่ วามสงบเรยี บรอ้ ยเกดิ ขน้ึ อยา่ งหนง่ึ อยา่ งใดไดอ้ กี เปน็ ความชอบอนั ยง่ิ ใหญซ่ ง่ึ พระองคไ์ ดท้ ำไว้ ในแผน่ ดนิ เปน็ ปฐม เปน็ การทไ่ี ดฉ้ ลองพระเดชพระคณุ พระบรมชนกนาถ และไดร้ ะงบั อนั ตรายซง่ึ จะเกดิ มีแก่ประชาชนทั้งปวงทั่วหน้า ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลยได้เสดจ็ เถลิงถวัลยราช ปราบดาภิเษกแล้ว จึ่งได้พระราชทานพระสุพรรณบัฏเลื่อนพระเกียรติพระองค์ขึ้น เป็นพระเจ้าลูกเธอ กรมหมน่ื เจษฎาธบิ ดนิ ทร์ ๑ พระราชทานทว่ี งั และเครอ่ื งอปุ โภคศฤงคารบรวิ ารของหมอ่ มเหมน็ ใหเ้ ปน็ บำเหนจ็ ทไ่ี ดท้ รงทำความชอบไวใ้ นแผน่ ดนิ นน้ั ฯ กแ็ ลในเวลารชั กาลท่ี ๒ นน้ั พระองคไ์ ดท้ รงรบั ราชกจิ นอ้ ยใหญใ่ หส้ ำเรจ็ ไปเปน็ อนั มากมไิ ดเ้ วน้ วา่ ง ในราชการซึ่งเป็นการประจำนั้น พระองค์ได้ทรงบังคับบัญชาราชการในกรมท่าสิทธิ์ขาดทั่วไป แต่ใน ขณะนน้ั ราชการกรมทา่ หาสจู้ ะมคี นตา่ งประเทศไปมาคา้ ขายมากนกั ไม่ ดว้ ยมไิ ดม้ หี นงั สอื สญั ญาทางพระราช ไมตรกี บั นานาประเทศ ซง่ึ จะเปน็ เหตใุ หม้ รี าชการมากเหมอื นปจั จบุ นั น้ี พระราชทรพั ยซ์ ง่ึ จะจบั จา่ ยราชการ แผ่นดินที่ได้แต่ค่านาอากรสมพักสรในพื้นบ้านพื้นเมืองก็มีน้อย ไม่พอที่จะจ่ายราชการ เพราะฉะนั้น พระเจ้าแผ่นดินจึ่งต้องทรงแต่งสำเภา บรรทุกสินค้าออกไปค้าขายยังประเทศจีน เมื่อได้ประโยชน์กำไร กพ็ อไดม้ าเจอื จานใชใ้ นราชการซง่ึ จะรกั ษาพระนคร และการแตง่ สำเภาออกไปคา้ ขายเมอื งจนี น้ี ตกเปน็ หนา้ ทใ่ี นพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงจดั การแตง่ สำเภาหลวงตลอดมา จง่ึ เปน็ พนกั งาน ของพระองค์ที่จะต้องทรงขวนขวายหาพระราชทรัพย์ ถวายสมเด็จพระบรมชนกนาถที่จะได้ทรงใช้จ่าย ในราชกจิ ทง้ั ปวง ถงึ แมว้ า่ เปน็ เวลาซง่ึ การคา้ ขายมไิ ดบ้ รบิ รู ณ์ พระราชทรพั ยซ์ ง่ึ จะไดจ้ ากสว่ นกำไรการคา้ ขายบกพร่อง ไม่พอจ่ายราชการ พระองค์ก็ทรงพระอุตสาหะขวนขวายมิให้เป็นที่ขุ่นเคืองฝ่าละอองธุลี ๑ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
๒๐๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกนาถ ด้วยในเวลานั้นเจ้านายและข้าราชการ ที่มีทุนรอนพอจะแต่งสำเภา ไปค้าเมืองจีนได้ ก็ได้แต่งสำเภาไปค้าขายอยู่ด้วยกันโดยมาก พระองค์ก็ได้ทรงแต่งสำเภาไปค้าขาย ในส่วนของพระองค์อีกส่วนหนึ่งต่างหาก จึ่งถึงซึ่งความบริบูรณ์ด้วยทรัพย์พอที่จะฉลองพระเดชพระคุณ มใิ หข้ ดั ขวางในทางราชการได้ เปน็ เหตใุ หส้ มเดจ็ พระบรมชนกนาถทรงพระกรณุ า แลว้ ตรสั ประภาษออก พระนามพระองคว์ า่ เจา้ สวั เสมอมา ฯ สว่ นราชการงานโยธากอ่ สรา้ ง ซง่ึ พระองคไ์ ดท้ รงทำการฉลองพระเดชพระคณุ ในรชั กาลท่ี ๒ นน้ั พระองค์ได้ทรงทำการ ทั้งการที่จะป้องกันพระนครและการซึ่งจะเป็นที่เจริญพระราชหฤทัย เกื้อกูลแก่ พระบรมสุขแห่งสมเด็จพระบรมชนกนาถทั้งสองประการ คือ พระองค์ได้ทรงรับหน้าที่เป็นแม่การสรา้ งป้อม ประโคนชยั ๑ ปอ้ มนารายณป์ ราบศกึ ๑ ปอ้ มปราการ ๑ ปอ้ มกายสทิ ธ์ิ ๑ และปอ้ มซง่ึ ตง้ั อยู่ ณ เกาะกลาง น้ำชื่อ ป้อมผีเสื้อสมุทร ทั้งป้อมนาคราชซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกทั้งหกป้อม พระองค์เสด็จลงไปประทับอยู่ ณ เมอื งสมทุ รปราการ ทรงบงั คบั จดั การกอ่ สรา้ งปอ้ มทง้ั ปวงนเ้ี นอื ง ๆ มไิ ดข้ าด เปน็ ราชกจิ ตดิ พระองค์ อยจู่ นตลอดสน้ิ ทตุ ยิ รชั กาล ฯ สว่ นการซง่ึ เปน็ ทส่ี ำราญพระราชหฤทยั นน้ั พระองคไ์ ดท้ รงเปน็ แมก่ องจดั การ ขดุ สระทำสวนสรา้ งเกง๋ นอ้ ยใหญใ่ นพระราชอทุ ยานเบอ้ื งบรุ พาแหง่ พระมหามณเฑยี ร ซง่ึ ปรากฏในขณะนน้ั ว่าสวนขวาให้เป็นที่เสด็จประพาสรื่นรมย์สำราญพระราชหฤทัยเป็นอันมาก ฯ ครั้นเมื่อปีมะโรงโทศก จุลศักราช ๑๑๘๒ ๑ ได้ข่าวพม่าข้าศึกยกล่วงเข้ามาตั้งยุ้งฉางอยู่ ณ ปลายด่านเมืองกาญจนบุรี เพื่อ จะก่อการสงครามแกพ่ ระนคร พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย ทรงพระราชดำริปรึกษาพร้อม ดว้ ยพระบรมวงศานวุ งศแ์ ละทา่ นเสนาบดี คดิ จดั กองทพั ออกไปตง้ั รบั พมา่ ขา้ ศกึ ทรงพระราชดำรเิ หน็ วา่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบด้วยพระสติปัญญาชำนิชำนาญในการพิชัยสงคราม แกลว้ กลา้ สามารถอาจจะปอ้ งกนั อรริ าชดสั กร มใิ หเ้ ขา้ มายำ่ ยใี นพระราชอาณาเขตได้ จง่ึ ทรงพระกรณุ า โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ สดจ็ ยกพยหุ โยธาหาญออกไปตง้ั ขดั ทพั อยู่ ณ ตำบลปากแพรก เมอื งกาญจนบรุ ี ตง้ั ทพั อยถู่ งึ ปี ๑ กม็ ไิ ดม้ พี มา่ ขา้ ศกึ ยกลว่ งเขา้ มาในพระราชอาณาเขต ฯ และในเวลาเมอ่ื เสดจ็ แรมทพั อยู่ ณ ปาก แพรกนั้น พระองค์ก็ได้ทรงเป็นแม่กองจัดการส่งศิลาก้อนใหญ่ ๆ เข้ามาก่อเขาในพระราชอุทยานอยู่เสมอ มไิ ดข้ าด อนง่ึ พระองคท์ รงประกอบไปดว้ ยพระศรทั ธาเลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนายง่ิ นกั ไดท้ รงสรา้ ง พระพุทธปฏิมากรเป็นหลายพระองค์ และพระธรรมไตรปิฎกทั้งคำอรรถคำแปล มีมงคลลัตถทีปนีแปล ๑ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๖๓
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๒๐๕ ทย่ี งั ปราฏอยู่ ณ บดั น้ี เปน็ ตน้ และทรงบำเพญ็ พระราชกศุ ล ทรงปฏบิ ตั เิ ลย้ี งพระสงฆแ์ ละมพี ระธรรม เทศนาทว่ี งั ทกุ วนั มไิ ดข้ าด และพระราชทานเงนิ เดอื นใหอ้ าจารยบ์ อกพระคมั ภรี พ์ ทุ ธวจนแกพ่ ระภกิ ษสุ ามเณร เปน็ อนั มาก แลว้ ใหต้ ง้ั โรงทานไวท้ ว่ี งั สำหรบั เลย้ี งยาจกวนพิ กทว่ั หนา้ ถงึ วนั พระกท็ รงปลอ่ ยสตั วแ์ ละแจก เงินคนที่สูงอายุและคนจนยากเป็นนิจมิได้ขาด เป็นพระราชกุศลนิพัทธทานเสมอมา ส่วนพระราชกุศล ซึ่งเป็นการจรตามกาลสมัย พระองค์ก็ได้ทรงบำเพ็ญเนือง ๆ แต่ในคราวซึ่งปรากฏเป็นการใหญ่นั้น คือ เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงผนวชเปน็ สามเณร พระองคไ์ ดท้ รงแตง่ กระจาดใหญ่อัน งามวจิ ติ ร เปน็ เครอ่ื งบชู าพระธรรมเทศนา แลว้ เชญิ เสดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มาทรง เทศนาพระมหาเวสสันดรชาดกกัณฑ์มัทรี ทรงถวายเครื่องไทยธรรมกระจาดใหญ่ ในครั้งนั้นพระบรม วงศานวุ งศแ์ ละขา้ ราชการราษฎรทง้ั ปวง กพ็ ากนั ชน่ื ชมยนิ ดอี นโุ มทนาเปน็ การเอกิ เกรกิ ยง่ิ ใหญ่ ในกจิ การ ซึ่งพระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทั้งปวงนี้ ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย กท็ รงอนโุ มทนาและสรรเสรญิ เปน็ อนั มาก แลว้ ดำรสั วา่ แตพ่ ระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ แต่ พระเจา้ ลกู เธอยงั ทำทานอยเู่ นอื งนจิ ดงั น้ี ควรทพ่ี ระองคจ์ ะทรงบำเพญ็ ทานใหย้ ง่ิ กวา่ นน้ั บา้ ง จง่ึ มพี ระบรม ราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งโรงทานหลวงเลี้ยงพระสงฆ์และยาจกวนิพกทั้งปวง แล้วให้มีธรรมเทศนา แจกเงนิ คนชราพกิ าร เปน็ แบบอยา่ งมาจนทกุ วนั น้ี ฯ อนง่ึ พระองคป์ ราศจากความมจั ฉรยิ ะตระหนเ่ี หนยี วแนน่ โอบออ้ มอารเี จอื จานทว่ั ไป ในพระบรม วงศานุวงศ์และข้าราชการ บรรดาซึ่งเข้ามาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทและอยู่ประจำราชการในพระบรม มหาราชวงั กไ็ ดไ้ ปรบั พระราชทานอาหารทว่ี งั พระองคแ์ ทบจะทว่ั หนา้ ทกุ วนั ทกุ เวลามไิ ดข้ าด พระองคก์ ถ็ งึ ซง่ึ ความสรรเสรญิ และเปน็ ทน่ี ยิ มรกั ใคร่ ในพระบรมวงศานวุ งศแ์ ละขา้ ราชการผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ยทว่ั หนา้ และ ในขณะเมอ่ื กรมพระราชวงั บวรสถานมงคลยงั ดำรงพระชนมอ์ ยนู่ น้ั เสดจ็ ลงมาประทบั พพิ ากษาคดีใหญ่ ๆ และความรบั สง่ั ทโ่ี รงละครหนา้ วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม พระองคก์ ไ็ ดเ้ สดจ็ อยใู่ นทป่ี ระชมุ พพิ ากษาคดี ทง้ั ปวง เปน็ ประธานดว้ ยพระองคห์ นง่ึ มไิ ดข้ าด ครน้ั เมอ่ื กรมพระราชวงั บวรสถานมงคลเสดจ็ สวรรคตแลว้ พระองคจ์ ง่ึ ไดท้ รงรบั ตำแหนง่ บงั คบั การสทิ ธขิ าดในกรมพระตำรวจ วา่ ความรบั สง่ั ทง้ั ปวงดว้ ยอาศยั พระเมตตา พระกรุณาของพระองค์ต่อราษฎรทั้งปวงทั่วหน้า และพระปรีชาญาณประกอบด้วยพระเดชานุภาพ ทรง พจิ ารณาไตส่ วนขอ้ ความของราษฎรใหแ้ ลว้ ไปโดยยตุ ธิ รรมโดยเรว็ เปน็ ทช่ี น่ื ชมนยิ มยนิ ดขี องประชาราษฎร ทง้ั ปวง ตา่ งคนมจี ติ คดิ สวามภิ กั ดต์ิ อ่ พระองคเ์ ปน็ อนั มาก ทง้ั เปน็ ทเ่ี บาพระราชหฤทยั ในพระบรมชนกนาถ มไิ ดม้ พี ระราชกงั วลอนั ใดใหเ้ ปน็ ทข่ี นุ่ เคอื งพระราชกมล พระองคท์ รงอตุ สาหะเสดจ็ เขา้ มาเฝา้ ทลู ละอองธลุ ี
๒๐๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พระบาท ในเวลาซึ่งเสด็จพระราชดำเนินออกประทับ ณ ท้องพระโรงและพระบัญชร ทุกเวลามิได้ขาด ทั้งเช้าค่ำ ทั้งเสด็จเข้ามาประจำว่าราชกิจการต่าง ๆ ตามตำแหน่งของพระองค์อยู่เนืองนิจเช่นนั้น เม่ือถึงวสั สานรดู ถงึ เป็นเวลาฝนตกมากนอ้ ยเท่าใดก็ดี พระองค์ก็มิได้รั้งรออยู่จนฝนหายให้เคลื่อนคลาด จากเวลาราชการ จง่ึ เปน็ การลำบากแกพ่ ระองค์ ซง่ึ ทรงพระเสลย่ี งมาในทโ่ี ถง ตอ้ งผลดั พระภษู าในเวลา เมื่อเสด็จมาประทับถึงที่ในพระบรมมหาราชวัง จึ่งทรงพระราชดำริแปลงแคร่กันยา ซึ่งเป็นของสำหรับ ขา้ ราชการใชใ้ นขณะนน้ั ใหเ้ ปน็ พระวอขนาดนอ้ ยหมุ้ ดว้ ยผา้ ขผ้ี ง้ึ สำหรบั ทรงเสดจ็ เขา้ ในพระบรมมหาราชวงั ในฤดูฝน ครั้นเมื่อได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว จึ่งพระราชทานนามพระวอนั้นว่า วอประเวศวัง และได้เป็นแบบอย่างสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งเป็นกรมทรงทำตามอย่างนั้นสำหรับทรงเข้าเฝ้าทูล ละอองธุลีพระบาทสืบมา พระองค์ทรงพระอุตสาหะในราชกิจมิได้ย่อหย่อนถึงเพียงนี้ จึ่งเป็นที่ต้อง พระราชอัธยาศัยเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยแห่งสมเด็จพระบรมชนกนาถยิ่งกว่าพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ อน่ื ๆ ก็ได้ทรงบังคับกิจราชการทั้งปวงมากขึ้นเกือบจะทั่วไปในกาลครั้งนั้น ฯ รับพระราชทานพรรณนา พระราชประวตั ใิ นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังมิได้เสด็จดำรงสิริราชสมบัติ สิ้นความ เพียงนี้ ฯ ก็และการที่พระองค์ทรงประพฤติในการพระราชกุศลทั้งปวงก็ดี ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงก็ดี ซง่ึ ไดร้ บั พระราชทานพรรณนามาแลว้ นน้ั ลว้ นเปน็ ไปโดยธรรมจรยิ าสมจรยิ า ตอ้ งตามพระพทุ ธภาษติ ฯ ( ตอ่ นไ้ี ปแสดงอธบิ ายธรรมตามนเิ ขปบท ) !!ตผู แู้ ตง่ เทศนเ์ ออ้ื น อนสุ รณ์ นฤ้ี ๅ ชอ่ื จฬุ าลงกรณ์ เนอ่ื งเชอ้ื สำหรบั แตก่ ารจร คราวหนง่ึ ผลนา ยน่ ยอ่ พอแตเ่ นอ้ื เรอ่ื งตง้ั ฟงั เอง ฯ
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๒๐๗ คาถานเิ ขปบทเทศนากณั ฑท์ ่ี ๓ ภตุ ตฺ า โภคา ภตา ภจจฺ า วติ ณิ ณฺ า อาปทาสุ เม อทุ ธฺ คคฺ า ทกขฺ ณิ า ทนิ นฺ า อโถ ปญจฺ พลี กตา อปุ ฎฐฺ ติ า สลี วนโฺ ต สญญฺ ตา พรฺ หมฺ จารโย ยทตถฺ ํ โภคมจิ เฺ ฉยยฺ ปณฑฺ โิ ต ฆรมาวสํ โส เม อตโฺ ถ อนปุ ปฺ ตโฺ ต กตํ อนนตุ าปยิ ํ เอตํ อนสุ สรํ มจโฺ จ อรยิ ธมโฺ ม ฐโิ ต นโร อเิ ธว นํ ปสสํ นตฺ ิ เปจจฺ สคเฺ ค ปโมทตตี ิ เทศนากณั ฑท์ ่ี ๓ พระราชประวตั เิ มอ่ื เสดจ็ ดำรงสริ ริ าชสมบตั ิ บดั นจ้ี ะไดร้ บั พระราชทาน ถวายวสิ ชั ชนาในคหิ สิ ามจิ ิ ปฏบิ ตั ยานโุ มทนากถา และพระราชประวตั ใิ น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จำเดิมแต่ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัตบิ รมราชาภิเษก และทรง ประพฤติราชกิจน้อยใหญ่ในการที่จะรักษาพระนครขอบขัณฑสีมา ปกป้องพระบรมวงศานุวงศ์เสนา พฤฒามาตย์ราษฎรประชาให้เป็นผาสุกสวัสดิทั่วหน้า จนตลอดเวลาเสด็จสู่สวรรคต พรรณนาข้อความ ในพระราชกรณยี กจิ และเหตกุ ารณอ์ นั เกดิ ในรชั กาลนน้ั จำแนกเปน็ หมวด ๆ โดยยอ่ พอเปน็ ทท่ี รงระลกึ ถงึ พระเดชพระคุณและทรงประสาทสังเวค ดำเนินความว่า ฯ เมื่อปีวอก ฉศก จุลศักราช ๑๑๘๖ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย ทรงพระประชวรไข้พิษอันแรงกล้ามิได้รู้สึกพระองค์ ไม่ได้ทรง ดำเนนิ พระบรมราชโองการพระราชทานมอบเวนสริ ริ าชสมบตั ิ แกส่ มเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชอยา่ งพระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ด้วยทรงพระประชวรอยู่เพียงสามเวลาก็เสด็จสวรรคต ในขณะนั้น เจา้ ฟา้ กรมหลวงพทิ กั ษมนตรี ซง่ึ เปน็ ประธานในราชการแผน่ ดนิ สน้ิ พระชนมล์ ว่ งไปกอ่ นแลว้ ยงั แต่ พระบรมวงศานวุ งศแ์ ละทา่ นเสนาบดซี ง่ึ เปน็ ประธานในราชการ กล็ ว้ นแตเ่ ปน็ ผชู้ น่ื ชมนยิ มยนิ ดตี อ่ พระปรชี า ญาณของพระองค์ จึ่งได้ปรึกษาพร้อมกันเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ยังมีพระชนมายุน้อย และเสด็จออกทรงผนวชในพระพุทธศาสนา ๑ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๖๗
๒๐๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ โดยทรงพระศรัทธาเลื่อมใส มิได้ทรงพระดำริมุ่งหมายที่จะให้มีเหตุการบาดหมางในพระบรมราชวงศ์ ใหเ้ ปน็ การจลาจลขน้ึ ในบา้ นเมอื ง ไดท้ ราบความชดั ในพระดำรพิ ระประสงคด์ งั นแ้ี ลว้ เหน็ วา่ ในเวลานน้ั พระนครก็ยังตั้งขึ้นไม่สู้ช้านาน การสงครามฝ่ายพม่าปัจจามิตร ก็ยังมุ่งหมายจะทำลายล้างกรุงสยาม อยู่มิได้ขาด จึ่งเห็นพร้อมกันว่าถ้าอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งมีพระชนมายุมาก และทรงพระกจิ ใหญน่ อ้ ยทว่ั ถงึ ทง้ั ในการทจ่ี ะรกั ษาพระนครภายใน และจะปอ้ งกนั อรริ าชศตั รหู มปู่ จั จามติ ร ภายนอกไดใ้ นเวลาเมอ่ื เกดิ การสงคราม จะเปน็ เหตใุ หพ้ ระบรมราชวงศแ์ ละพระนครตง้ั มน่ั เปน็ อนญั สาธารณ์ สบื ไปภายหนา้ จง่ึ ยนิ ยอมพรอ้ มกนั ถวายสริ ริ าชสมบตั แิ ดพ่ ระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั อญั เชญิ ขน้ึ เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั บิ รมราชาภเิ ษก เฉลมิ พระราชมณเฑยี รตามราชประเพณแี ตโ่ บราณมไิ ดย้ ง่ิ หยอ่ น การพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษกนน้ั ไดส้ ำเรจ็ ลง ในวนั ๑๗ฯ ๙ ๑ คำ่ ปวี อกฉศก จารกึ พระนามในพระสพุ รรณบฏั วา่ พระบาทสมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชรามาธบิ ดี ศรสี นิ ทรมหาจกั รพรรดริ าชาธบิ ดนิ ทร์ ธรณนิ ทราธริ าช รตั นากาศภาสกรวงษ องคป์ รมาธเิ บศร ตรภี วู เนตรวรนายก ดลิ กรตั นราชชาตอิ าชาวไสย สมไุ ทยดโรมน สกลจักรวาฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทราธาดาธิบดี ศรีบุลยคุณอคนิฐฤทธิราเมศวร ธรรมกิ ราชาธริ าชเดโชไชย พรหมเทพาดเิ ทพนฤบดนิ ทร์ ภมู นิ ทรปรมาธเิ บศร โลกเชษฐวสิ ทุ ธมิ กฎุ ประเทศ ตามหาพทุ ธางกรู บรมบพติ รพระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ กรงุ เทพมหานครบวรรตั น โกสนิ ทร์ มหทิ รายทุ ธนา มหาดลิ กภพนพรตั นราชธานบี รุ รี มย์ อดุ มราชนเิ วศมหาสถาน เมื่อได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว ทรงยกพระราชชนนี ขึ้นเป็นกรมสมเด็จพระศรีสุลาไลย ตำแหน่งที่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง และทรงตั้งพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นศักดิพลเสพ๒ ซึ่งเป็นประธานในราชการพระกลาโหม อันเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ให้ดำรงที่พระมาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ครั้นเมื่อกรมพระราชวังบวรสถานมงคลสิ้นพระชนม์แล้ว ทรงเลื่อน กรมหมน่ื เทพพลศกั ดิ ๓ กรมหมน่ื รกั ษรณเรศ๔ กรมหมน่ื เสนบี รริ กั ษ ๕ ขน้ึ เปน็ กรมหลวงทง้ั ๓ พระองค์ ๑ ตรงกับวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๖๗ ๒ สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ กรมพระราชวงั บวรมหาศดั พิ ลเสพ ๓ เฉลมิ พระยศเจา้ นาย เลม่ ๑ และราชสกลุ วงศ์ ปรากฏพระนามเปน็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงเทพพลภกั ด์ิ เมอ่ื ทรงพระเยาว์ เรยี กกนั วา่ “พระองค์เสือ” ๔ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงรกั ษร์ ณเรศ เฉลมิ พระยศเจา้ นาย เลม่ ๑ หนา้ ๓๕ วา่ “รกั ษรณเรศ” หนา้ ๓๗ วา่ “รกั ษรณเรศร” ต้นสกุล พง่ึ บญุ ๕ พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหลวงเสนีบริรักษ์ พระนามเดิมในหนังสือราชสกุลวงศ์ว่า พระองค์เจ้าแตงในหนังสือชุมนุมพระบรม ราชาธิบายในรัชกาลที่ ๔ ว่า พระองคเ์ จา้ ฉมิ เป็นต้นสกุล เสนวี งศ์
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๒๐๙ ทรงเลอ่ื นกรมหมน่ื รามอศิ เรศ ๑ กรมหมน่ื เดชอดศิ ร ๒ กรมหมน่ื พพิ ธิ ภเู บนทร์ ๓ ขน้ึ เปน็ กรมขนุ แลว้ ทรงตง้ั สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอเจา้ ฟา้ พระองคน์ อ้ ยขน้ึ เปน็ กรมขนุ อศิ เรศรรงั สรรค์ ๔ ทรงตง้ั พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เปน็ กรมหมน่ื ๔ พระองค์ คอื กรมหมน่ื สวสั ดวิ ไิ ชย๕ กรมหมน่ื ไกรสรวชิ ติ ๖ กรมหมน่ื ศรสี เุ ทพ ๗ กรมหมน่ื ณรงคห์ รริ กั ษ ๘ ทรงตง้ั พระเจา้ นอ้ งยาเธอเปน็ กรมหมน่ื ๕ พระองค์ คอื กรมหมน่ื พทิ กั ษเทเวศร ๙ กรมหมน่ื เสพยสุนทร ๑๐ กรมหมื่นสนิทนเรนทร ๑๑ กรมหมื่นอินทรอมเรศ ๑๒ กรมหมื่นวงษาสนิท ๑๓ ทรงตั้งพระเจ้า น้องนางเธอฝ่ายใน เป็นกรมขุนกัลยาสุนทร ๑๔ พระองค์ ๑ พระเจ้าลูกเธอฝ่ายใน เป็นกรมหมื่นอับศร สุดาเทพ ๑๕ พระองค์ ๑ พระเจา้ ลกู เธอฝา่ ยหนา้ เปน็ กรมหมน่ื มาตยาพทิ กั ษ์ ๑๖ พระองค์ ๑ เปน็ กรมหมน่ื อมเรนทรบดนิ ทรพระองค์ ๑ ทรงตั้งพระองค์เจ้าในกรมพระราชวังที่ ๑ เป็นกรมหมื่นนรานุชิต ๑๗ พระองค์ ๑ พระองค์เจ้าในกรมพระราชวังที่ ๒ เป็นกรมหมื่นอมรมนตรี ๑๘ พระองค์ ๑ ทรงตั้งพระองค์เจ้าเจ่งใน กรมหมน่ื นรนิ ทรพทิ กั ษ เปน็ กรมหมน่ื นเรนทรบรริ กั ษ ๑๙ พระองค์ ๑ อนง่ึ กรมหมน่ื สรุ นิ ทรรกั ษ ๒๐ ซง่ึ เปน็ ท่ี ทรงปรึกษาไว้วางพระราชหฤทัยอันสนิทมาแต่ในรัชกาลที่ ๒ ครั้นเมื่อได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว ก็ได้ตั้งอยู่ในที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน แต่สิ้นพระชนม์ไปเสียโดยเร็วยังหาได้ทนั เลื่อนกรมไม่ จึ่งทรงตั้ง ๑ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระรามอศิ เรศ เฉลมิ พระยศเจา้ นาย เลม่ ๑ ว่า “ รามอศิ เรศร์ ” ตน้ สกลุ สรุ ยิ กลุ ๒ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดศิ ร ต้นสกุล เดชาตวิ งศ์ ๓ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระพพิ ธิ โภคภเู บนทร์ ต้นสกุล พนมวนั ๔ พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ๕ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงพเิ ศษศรสี วสั ดสิ ขุ วฒั นวไิ ชย ๖ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ไกรสรวชิ ติ ต้นสกุล สุทัศน์ ๗ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ศรสี เุ ทพ ต้นสกุล ดารากร ๘ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ณรงคห์ รริ กั ษ ราชสกลุ วงศว์ า่ “ณรงคหรริ กั ษ์” เฉลมิ พระยศเจา้ นาย เลม่ ๑ วา่ “ณรงคห์ รริ กั ษ”์ ต้นสกลุ ดวงจักร ๙ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระพทิ กั ษเทเวศร ราชสกลุ วงศว์ า่ “ พทิ กั ษเทเวศร์ ” ตน้ สกลุ กญุ ชร ๑๐ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื เสพสนุ ทร เฉลิมพระยศเจ้านาย เล่ม ๑ และราชสกุลวงศ์ สะกดตรงกันว่า “ เสพสุนทร ” ตน้ สกลุ กสุ มุ า ๑๑ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื สนทิ นเรนทร์ เฉลมิ พระยศเจา้ นาย เลม่ ๑ วา่ “สนทิ นเรนทร” ตน้ สกลุ ไพฑรู ย์ ๑๒ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงมหศิ วรนิ ทรามเรศ เฉลมิ พระยศเจา้ นาย เลม่ ๑ วา่ “มหศิ วรนิ ทรามเรศร”์ ตน้ สกลุ มหากลุ ๑๓ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงวงศาธริ าชสนทิ ตน้ สกลุ สนทิ วงศ์ ๑๔ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมขนุ กลั ยาสนุ ทร ๑๕ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื อบั สรสดุ าเทพ เฉลมิ พระยศเจา้ นาย เลม่ ๑ และราชสกลุ วงศ์ สะกดตรงกนั วา่ “อบั สรสดุ าเทพ” ๑๖ สมเดจ็ พระบรมราชมาตามหยั กาเธอ กรมหมน่ื มาตยาพทิ กั ษ์ ต้นสกุล ศริ วิ งศ์ ๑๗ พระเจา้ ราชวรวงศเ์ ธอ กรมขนุ นรานชุ ติ ต้นสกุล สงั ขทัต ๑๘ พระเจา้ ราชวรวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื อมรมนตรี ๑๙ พระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื นเรนทรบรริ กั ษ์ ราชสกลุ วงศว์ า่ “นเรนทรบ์ รริ กั ษ์” ๒๐ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมื่นสุรินทร์รักษ เฉลิมพระยศเจ้านาย เล่ม ๑ และราชสกุลวงศ์ สะกดตรงกันว่า “สุรินทรรักษ์” ตน้ สกลุ ฉตั รกลุ
๒๑๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ หมอ่ มเจา้ มหาหงษผเู้ ปน็ พระโอรสใหเ้ ปน็ พระองคเ์ จา้ ภายหลงั ไดท้ รงตง้ั เจา้ หลานเธอซง่ึ เปน็ พระธดิ าพระองค์ เจ้าลักขณานุคุณ ๑ อันพระบิดาสิ้นพระชนม์เสียแต่ยังทรงพระเยาว์อยู่นั้น ให้เป็นพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจา้ โสมนศั วฒั นาวดี ส่วนข้าทูลละอองธุลีพระบาทในชั้นต้น เสนาบดีมีเต็มตัวตามตำแหน่ง อยู่ยังหาได้ทรงตั้งไม่ ครั้นเมื่อขาดว่างตำแหน่งลงพระองค์ก็ได้ทรงตั้งขึ้นตามความชอบและคุณวุฒิ ตำแหนง่ ทส่ี มหุ นายก เมอ่ื เจา้ พระยาอภยั ภธู ร ๒ ถงึ แกอ่ สญั กรรมแลว้ ไดท้ รงตง้ั เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชา ๓ เป็นที่สมุหนายก เมื่อเจ้าพระยาบดินทรเดชาถึงอสัญกรรมแล้ว ก็หาได้ทรงตั้งตำแหน่งที่สมุหนายกไม่ โปรดใหเ้ จา้ พระยานกิ รบดนิ ทร ๔ แตย่ งั เปน็ พระยาราชสภุ าวดี วา่ การในตำแหนง่ นน้ั ทส่ี มหุ พระกลาโหมนน้ั เมอ่ื เจา้ พระยาอคั รมหาเสนา (สงั ข)์ ถงึ อสญั กรรมแลว้ จง่ึ โปรดให้เจา้ พระยายมราช (น้อย) เปน็ เจา้ พระยา อัครมหาเสนา ครั้นเจ้าพระยาอัครมหาเสนา (น้อย) ถึงอสัญกรรม จึ่งโปรดให้เจ้าพระยาพระคลัง๕ ว่าที่ สมุหพระกลาโหมและคงว่าการกรมท่าด้วย ตำแหน่งกรมท่าไม่ได้ทรงตั้งใหม่จนตลอดรัชกาล ตำแหน่ง กรมวังนั้นเมื่อเจ้าพระยาธรรมา (เทศ ) ถึงอสัญกรรมแล้ว จึ่งทรงตั้งพระยาบำเรอภักดิ (สมบุญ ) เป็น เจา้ พระยาธรรมา ครน้ั เมอ่ื ถงึ อสญั กรรมแลว้ ทน่ี น้ั กว็ า่ งอยู่ ตำแหนง่ กรมเมอื งเจา้ พระยายมราช (นอ้ ย ) เลอ่ื นไป เปน็ เจา้ พระยาอคั รมหาเสนา จง่ึ ทรงตง้ั พระยามหาอำมาตย์ ( ทองพนู ) เปน็ ท่เี จา้ พระยายมราช ครน้ั ถงึ อสญั กรรมแลว้ จง่ึ ทรงตง้ั พระยาทพิ โกษา๖ เปน็ เจา้ พระยายมราชตอ่ มา เมอ่ื ชราแลว้ เลอ่ื นเปน็ เจา้ พระยา สุธรรมมนตรี จึ่งทรงตั้งพระยาอภัยรณฤทธิ (บุญนาก ) เป็นเจ้าพระยายมราช ครั้นเมื่อถึงอสัญกรรม แล้วที่นั้นก็ว่างมา ตำแหน่งที่กรมนา เจ้าพระยาพลเทพซึ่งเดิมเป็นที่พระยาศรีสรไกร (ฉิม) เป็นมาแต่ แผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาไลย ในแผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื เจ้าพระยาพลเทพถึงอสัญกรรมแล้ว โปรดให้กรมสมเด็จพระเดชาดิศร เมื่อยังเป็นกรมขุนเดชอดิศร ทรงบงั คับการมาจนตลอดรัชกาลตำแหน่งราชการซึง่ เป็นตำแหน่งใหญ่ในครั้งนั้นถึงว่าจะมีตัวเสนาบดีอยู่ พระบรมวงศานวุ งศก์ ไ็ ดท้ รงกำกบั บงั คบั บญั ชาโดยมาก ในกรมมหาดไทยนน้ั เมอ่ื กรมหลวงพทิ กั ษมนตรี สิ้นพระชนม์แล้ว กรมขุนอิศรานุรักษได้ทรงกำกับบังคับบัญชาต่อมา ครั้นเมื่อกรมขุนอิศรานุรักษ สน้ิ พระชนมแ์ ลว้ หมอ่ มไกรสรซง่ึ เปน็ กรมหลวงรกั ษรณเรศ ไดช้ ว่ ยราชการมาจนตลอด และวา่ การตลอดถงึ ๑ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ลกั ขณานคุ ณุ ๒ นอ้ ย บุญยรัตพนั ธุ์ ๓ สงิ ห์ สงิ หเสนี ๔ โต กลั ยาณมติ ร ๕ ดศิ บนุ นาค ๖ ฉมิ
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๒๑๑ กรมวังด้วย ในกรมพระนครบาล กรมหมื่นสุรินทรรักษได้ทรงบังคับบัญชา ครั้นเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร เมื่อยังเป็นกรมขุนพิพิธภูเบนทร ได้ทรงกำกับช่วยราชการในกรมนั้น ด้วย เหตุฉะนั้นเสนาบดีว่างตำแหน่งอยู่ช้านานเท่าใด ราชการนั้นก็ไม่เสียไป เพราะมีพระบรมวงศานุวงศ์ทรง กำกบั อยู่ และไดท้ รงยกยอ่ งตง้ั แตง่ ขา้ ราชการผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ยนอกนน้ั ทง้ั ในกรงุ หวั เมอื ง เตม็ ตามตำแหนง่ การศกึ สงครามซง่ึ มใี นรชั กาลนน้ั เรม่ิ ตน้ แตเ่ มอ่ื ปรี ะกา สปั ตศก จลุ ศกั ราช ๑๑๘๗ ๑ อนเุ จา้ เมอื ง เวียงจันทน์ลงมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในการพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย มขี อ้ บาดหมางดว้ ยโลภเจตนา ครน้ั เมอ่ื กลบั ขน้ึ ไปยงั เมอื งเวยี งจนั ทนแ์ ลว้ จง่ึ ปรกึ ษาพรอ้ มดว้ ยบตุ รหลาน แสนทา้ วพระยาลาว วา่ ในกรงุ พระมหานครในเวลาน้ี เจา้ นายทม่ี พี ระชนมพ์ รรษามากเปน็ ผใู้ หญก่ ล็ ว่ งไป เสียโดยมาก ยังมีแต่เจ้านายซึ่งมีพระชนม์พรรษาน้อย ไม่แคล่วคล่องชำนิชำนาญในการสงคราม ฝา่ ยองั กฤษกม็ ารบกวนอยู่ เหน็ วา่ จะหกั หาญเอาพระนครไดโ้ ดยงา่ ย จง่ึ ไดค้ ดิ อา่ นเกลย้ี กลอ่ มและกดข่ี หวั เมอื งลาว ซง่ึ ยงั มไิ ดอ้ ยใู่ นอำนาจ ใหย้ นิ ยอมเขา้ เปน็ พวกตวั ไดต้ ลอดลงมาจนจดแดนเขมรปา่ ดง แลว้ จดั กองทัพตระเตรียมไว้พรักพร้อม ครั้นเดือนยี่ ปีจอ อัฐศก จุลศักราช ๑๑๘๘ ๒ จึ่งให้ราชวงศ์ผู้บุตรเป็น ทัพหน้า คุมคนสามพันคนลงมาโดยทางเมืองนครราชสีมา ลวงเบิกเสบียงอาหารที่เมืองนครราชสีมา ไดแ้ ลว้ ลงมาตง้ั อยู่ ณ ตำบลขอนขวา้ งใกลเ้ มอื งสระบรุ ี ใหล้ งมาเกลย้ี กลอ่ มพระยาสระบรุ ี ซง่ึ เปน็ ลาวพุงดำและนายครัวลาวพุงขาวเข้าด้วย กวาดครัวอพยพไทยจีนลาวซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองสระบุรี ได้เป็นอันมาก ฝา่ ยอนกุ บั สทุ ธสิ ารผบู้ ตุ รกย็ กกองทพั ใหญต่ ามลงมาตง้ั คา่ ย ตำบลทะเลหญา้ ใกลเ้ มอื ง นครราชสมี า ในขณะนน้ั เจา้ พระยานครราชสมี าและพระยาปลดั ไปราชการเมอื งเขมรปา่ ดง จง่ึ ใหห้ าตวั พระยายกกระบตั รและกรมการออกไปบงั คบั ใหก้ วาดตอ้ นครวั เมอื งนครราชสมี าขน้ึ ไปเมอื งเวยี งจนั ทน์ กรมการ ทั้งนั้นมิอาจที่จะขัดขวางได้ พวกลาวก็ควบคุมครอบครัวอพยพเดินไปโดยระยะทาง ในขณะนั้นพระยา ปลัดทราบเหตุการณ์ จึ่งรีบกลับมาทำเป็นสามิภักดิ์ยินยอมจะไปเมืองเวียงจันทน์ด้วย แล้วจึ่งขอเครื่อง ศัสตราวุธซึ่งอนุให้เก็บเสียแต่ชั้นพร้าก็มิให้เหลือนั้น พอไปหาเสบียงตามทางได้บ้างเล็กน้อย ครั้นเมื่อ เดินครัวไปถึงทุ่งสำริดหยุดพักอยู่ เวลากลางคืนพวกครัวกลับต่อสู้ลาว แย่งชิงได้ศัสตราวุธฆ่าลาวตาย เป็นอันมาก พวกลาวก็พากันแตกตื่นลงมายังเมืองนครราชสีมา ฝ่ายพระยาปลัดก็ตั้งค่ายมั่นอยู่ ณ ทุ่งสำริดคอยต่อสู้ ครั้นอนุได้ทราบความแล้ว แต่งให้ขุนนางลาวขึ้นไปปราบปราม พวกเมือง ๑ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๖๘ ๒ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๖๙
๒๑๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ นครราชสมี ากต็ อ่ สพู้ วกลาวแพพ้ า่ ยมา ฝา่ ยราชวงศซ์ ง่ึ ลงมากวาดตอ้ นครวั อยู่ ณ เมอื งสระบรุ ี ทราบขา่ ววา่ กองทพั กรงุ เทพมหานครจะขน้ึ ไปเปน็ หลายทพั หลายทาง กร็ บี เรง่ เดนิ ครวั ขน้ึ ไปยงั เมอื งนครราชสมี า แจง้ เหตุการณ์ให้อนุทราบ ด้วยเดชะอำนาจพระบารมี อนุก็ให้เกิดความหวาดหวั่นครั่นคร้าม มิอาจจะยก รุดรีบลงมา ด้วยสำคัญใจว่าครัวเมืองนครราชสีมาต่อสู้แข็งแรงนั้น จะเป็นกองทัพใหญ่ของเจ้าพระยา นครราชสีมา จึ่งคิดว่าจะรับกองทัพกรุงเทพ ฯ ที่เมืองนครราชสีมามิได้ ด้วยกลัวจะเป็นศึกขนาบ ครน้ั ณ เดอื น ๔ แรม ๑๑ คำ่ ๑ กเ็ ลกิ กองทพั กลบั ขน้ึ ไป ใหร้ าชวงศแ์ ยกทางไปกดขเ่ี มอื งหลม่ ศกั ด์ใิ หอ้ ยู่ ในอำนาจ แลว้ ตง้ั อยใู่ นทน่ี น้ั สว่ นตวั อนถุ อยขน้ึ ไปตง้ั คา่ ยทห่ี นองบวั ลำพู ให้พระยานรนิ ทรค์ มุ พลสามพนั อยรู่ กั ษา แลว้ ยกขน้ึ ไปตง้ั คา่ ยชอ่ งเขาสารเปน็ ทางแยก ใหพ้ ระยาสโุ พ เพย้ี ชานนคมุ พลสองหมน่ื เปน็ ทพั ใหญ่ ตง้ั อยสู่ กดั ตน้ ทาง ตวั อนยุ กขน้ึ ไปตง้ั คา่ ยอยบู่ นเขาสาร แลว้ ใหพ้ ระยาเชยี งสาตง้ั คา่ ยตำบลสนมแหง่ ๑ กองคำตั้งค่ายตำบลช่องวัวแตกตำบล ๑ แต่ส่วนเจ้าอุปราชซึ่งให้ไปกวาดต้อนผู้คนตามหัวเมืองลาวนั้น ตง้ั อยเู่ มอื งสวุ รรณภมู ิ ฝา่ ยขา้ งกรงุ เทพมหานครไดท้ รงทราบขา่ วศกึ กท็ รงพระวติ กเปน็ อนั มาก ดว้ ยตอ้ ง กับคำซึ่งมีผู้ทำนายไว้แต่ก่อนมา และประจวบกันกับเวลาซึ่งมีผู้สบประมาทคาดหมายอายุแผ่นดินไว้ด้วย จง่ึ ดำรสั ใหเ้ สนาบดขี า้ ราชการผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ยเกณฑก์ นั ตง้ั คา่ ยรายตามทอ้ งทงุ่ หลงั พระนคร ตง้ั แตท่ งุ่ ววั ลำพอง ไปจนทงุ่ บางกระปจิ นตกลำนำ้ ปอ้ งกนั พระนครเปน็ สามารถ แลว้ โปรดใหก้ รมพระราชวงั บวรสถานมงคล เปน็ แมท่ พั ใหญ่ เสดจ็ ยกยาตราจากกรงุ เทพมหานคร ในเดอื น ๔ ขน้ึ ๖ คำ่ ๒เสดจ็ ไปประชมุ ทพั ทท่ี า่ เรอื พระบาท จง่ึ โปรดใหพ้ ระยาจา่ แสนยากร พระยากลาโหมราชเสนา พระยาพไิ ชยบรุ นิ ทรา พระยาณรงคว์ ไิ ชย สน่ี ายเปน็ ทพั หนา้ ท่ี ๑ กรมหมน่ื นเรศรโยธี ๓ กรมหมน่ื เสนบี รริ กั ษ เปน็ ทพั หนา้ ท่ี ๒ กรมหมน่ื เสนเี ทพ ๔ เปน็ ทพั หนา้ ทพั หลวง กรมหมน่ื นรานชุ ติ กรมหมน่ื สวสั ดวิ ไิ ชย เปน็ ปกี ซา้ ยปกี ขวา กรมหมน่ื รามอศิ เรศร เปน็ ยกระบตั ร กรมหมน่ื ธเิ บศรบวร ๕ เปน็ จเรทพั กรมหมน่ื เทพพลภกั ด์ิ ๖ เปน็ เกยี กกาย พระนเรนทรราชา เปน็ ทพั หลงั ทพั หลวงเสดจ็ ขน้ึ ทางดงพระยาไฟ โปรดใหเ้ จา้ พระยามหาโยธา๗ คมุ คนกองมอญแยกขน้ึ ทางดงพระยากลางทัพ ๑ เจ้าพระยาอภัยภูธรคุมทัพหัวเมืองเหนือห้าพันขึ้นทางเมืองเพชรบูรณ์ทัพ ๑ ๑ ตรงกับวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๓๖๙ ๒ ตรงกับวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๖๙ ๓ พระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื นเรศรโ์ ยธี ๔ พระเจา้ ราชวรวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื เสนเี ทพ ต้นสกุล อสุนี ๕ พระเจา้ ราชวรวงศเ์ ธอ กรมขนุ ธเิ บศบวร ราชสกลุ วงศ์ วา่ “ธเิ บศรบ์ วร” เฉลมิ พระยศเจา้ นาย เลม่ ๑ หนา้ ๔๑ วา่ “ธเิ บศรบวร” หน้า ๖๒ ว่า “ธิเบศบวร” ต้นสกุล บรรยงกะเสนา ๖ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงเทพพลภกั ด์ิ เฉลมิ พระยศเจา้ นาย เลม่ ๑ วา่ “เทพพลภกั ด”ิ ๗ ทอเรยี ะ คชเสนี
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๒๑๓ พระยาไกรโกษาคุมทัพหัวเมืองสามพัน ขึ้นทางเมืองพิษณุโลก เมืองนครไทยทัพ ๑ กองทัพทั้งสองนี้ ให้พร้อมกันยกขึ้นไปตีทัพราชวงศท์ เ่ี มอื งหลม่ ศกั ด์ิเปน็ ศกึ ขนาบ แลว้ โปรดให้พระยาราชวรานุกูล พระยา รามกำแหง พระยาราชรองเมอื ง พระยาจนั ทบรุ ี คมุ กองทพั ออกไปทางเมอื งพระตะบอง ขน้ึ ไปเกณฑค์ น เมอื งสรุ นิ ทร์ เมอื งสงั ขะเขมรปา่ ดง ตขี น้ึ ไปทางเมอื งนครจำปาศกั ด์ิอกี ทพั ๑ แลว้ โปรดใหม้ กี องทพั อกี สก่ี องออกทาง เมอื งปราจนี บรุ ี ยกขน้ึ ทางชอ่ งเรอื แตก ทพั ท่ี ๑ พระยาราชสภุ าวดี ทพั ท่ี ๒ เจา้ พระยา พระคลงั ทพั ท่ี ๓ กรมหมน่ื พพิ ธิ ภเู บนทร์ กรมหมน่ื พทิ กั ษเทเวศร ทพั ท่ี ๔ กรมหมน่ื สรุ นิ ทรรกั ษ ใหม้ ี อำนาจบงั คบั ไดส้ ทิ ธข์ิ าดทง้ั ๔ ทพั แตค่ รน้ั เมอ่ื เจา้ พระยานครศรธี รรมราช ๑ ไดท้ ราบทอ้ งตราใหห้ าแลว้ มี ใบบอกมาวา่ องั กฤษมเี รอื รบมาทอดอยทู่ แ่ี หลมมลายสู ล่ี ำทราบวา่ จะไปแหง่ ใด เจา้ พระยานครศรธี รรมราช อยู่รักษาเมือง จัดให้พระยาพัทลุงกับพระเสนหามนตรีคุมคนเมืองตะวันตกสองพันเข้ามาช่วยราชการ กโ็ ปรดใหม้ ตี ราใหห้ ากองทพั ท่ี ๒ ท่ี ๓ ท่ี ๔ กลบั ใหล้ งไปรกั ษาปากนำ้ เจา้ พระยา คงแตก่ องทพั พระยา ราชสุภาวดี ยกขึ้นไปบรรจบทัพหลวงทีเ่ มืองนครราชสีมา กรมพระราชวังจึ่งโปรดให้พระยาราชสุภาวดี ยกแยกไปตเี มอื งนครจำปาศกั ด์ิ เมอ่ื ไปถงึ เมอื งพมิ าย พบกองทพั เจา้ โถง กองทพั ไทยตแี ตก แลว้ ยกไป ตีเวยี งคกุ ทเ่ี มอื งยโสธรแตกพา่ ยอกี กอง ๑ ฝา่ ยทพั หนา้ ท่ี ๑ กบั กองโจรพระองคเ์ จา้ ขนุ เนน ยกขน้ึ ไปตีคา่ ย หนองบัวลำพูแตก กองทัพหลวงก็ยกตามขึ้นไป ข้างกองทัพเจ้าพระยาอภัยภูธรและพระยาไกรโกษา เขา้ ระดมตกี องทพั ราชวงศเ์ มอื งหลม่ ศกั ดแ์ิ ตกหนขี น้ึ ไปหาอนทุ เ่ี ขาสาร อนไุ ดท้ ราบความกองทพั ใหญแ่ ตก ถึง ๒ ตำบล ก็ยิ่งมีความหวาดหวั่นย่อท้อต่อพระบารมี จึ่งได้คุมไพร่พลรีบหนีขึ้นไป แกล้งทำอุบาย ให้ปรากฏว่า จะไปตกแต่งเมืองเวียงจันทน์ไว้คอยรับกองทัพ แต่ครั้นเมื่อไปถึงเมืองเวียงจันทน์แล้ว กร็ บี เกบ็ ทรพั ยส์ มบตั แิ ละครอบครวั ยกหนไี ปอาศยั อยใู่ นแขวงเมอื งญวนทเ่ี มอื งลา่ นำ้ ซง่ึ ญวนเรียกว่าเมอื ง แงอ่ าน ฝา่ ยกองทพั ไทยยกขน้ึ ตง้ั อยู่ ณ ทงุ่ สม้ ปอ่ ย พระยาสโุ พแมท่ พั ทช่ี อ่ งเขาสารยกพลลาวมาลอ้ มคา่ ยทพั หน้าที่ ๑ ไว้ถึง ๗ วัน ได้ต่อสู้กันเป็นสามารถ จะหักเอาค่ายยังมิได้ ฝ่ายกรมหมื่นนเรศวรโยธีทัพ หน้าที่ ๒ ทราบ ก็รีบยกพลลำลองร้อยเศษขึ้นไปช่วย พลลาวมากตกอยู่ในที่ล้อมจวนจะเสียที พอ กรมหมน่ื เสนบี รริ กั ษย์ กตามขน้ึ ไปทนั เขา้ แกก้ รมหมน่ื นเรศรโยธอี อกมาจากทล่ี อ้ มได้ แลว้ ระดมกนั ตกี องทพั ลาวทง้ั สองทพั เปน็ ศกึ ขนาบ ทพั ลาวแตกกระจดั กระจายไปคมุ กนั ไมต่ ดิ ทพั หนา้ กย็ กขน้ึ ไปตง้ั อยใู่ นเมอื ง เวียงจันทน์ ทัพหลวงไปตั้งอยู่ ณ เมืองพานพร้าว ตรงเมืองเวียงจันทน์ข้าม ฝ่ายอุปราชซึ่งเป็นน้อง มิได้ปลงใจเป็นขบถด้วยอนุแต่เดิมมานั้น ก็เข้าอ่อนน้อมต่อกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในขณะนั้น ๑ น้อย ณ นคร
๒๑๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ พอทพั เมอื งเชยี งใหม่ เมอื งนครลำปาง เมอื งลำพนู เมอื งหลวงพระบาง เมอื งนา่ น เมอื งแพร่ มาถงึ พร้อมกันที่พานพร้าว จึ่งดำรัสใหห้ ัวเมืองลาวทั้งหกออกเที่ยวตีต้อนกวาดครัวที่กระจัดกระจายไปซุ่มซ่อน อยใู่ นทท่ี ง้ั ปวง ฝา่ ยพระยาราชสภุ าวดยี กเขา้ ตที พั เจา้ ปานสวุ รรณบตุ รอนุ ซง่ึ คมุ กองทพั เมอื งนครจำปาศกั ด์ิ มาตั้งรับที่เมืองยโสธรแตกอีกทัพ ๑ แล้วยกลงไปตีกองราชบุตรบุตรอนุซึ่งเป็นเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ ซึ่งตั้งรับอยู่ ณ เมืองอุบลราชธานี แตกหนีไป ณ เมืองนครจำปาศักดิ์ ฝ่ายคนครัวซึ่งกวาดต้อนเข้าไป ไว้ในเมืองนครจำปาศักดิ์เห็นได้ที ก็คุมกันลุกขึ้นต่อสู้พวกราชบุตรแตกหนีข้ามฟากมาฝั่งโขงตะวันออก กองทัพไทยก็ได้เมืองนครจำปาศักดิ์ พระยาราชสุภาวดีก็ให้ติดตามจับได้ตัวราชบุตรและเจ้าปานสุวรรณ สง่ ลงมากรงุ เทพ ฯ ครน้ั เมอ่ื เสรจ็ ราชการแลว้ พระยาราชสภุ าวดกี ร็ บี ยกขน้ึ ไปเฝา้ กรมพระราชวงั ณ เมอื ง พานพรา้ ว ในครง้ั นน้ั กรมพระราชวงั หาไดเ้ สดจ็ ขา้ มไปเมอื งเวยี งจนั ทนไ์ ม่ ดำรสั ใหท้ ำลายเมอื งเสยี ดว้ ย เหน็ วา่ จะเปน็ ทล่ี อ่ แหลมไปภายหนา้ แลว้ จง่ึ โปรดใหส้ รา้ งพระเจดยี อ์ งค์ ๑ ถวายนามวา่ พระเจดยี ป์ ราบเวยี ง ทรงมอบราชการใหพ้ ระยาราชสภุ าวดอี ยจู่ ดั การตอ่ ไป แลว้ เลกิ ทพั หลวงเสดจ็ กลบั ยงั กรงุ เทพ ฯ ในราชการ เวยี งจนั ทนค์ รง้ั น้ี พระยาราชสภุ าวดไี ดท้ ำการศกึ เขม้ แขง็ มากอยผู่ เู้ ดยี ว จง่ึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหม้ ตี ราขน้ึ ไปใหเ้ ปน็ เจา้ พระยาราชสภุ าวดวี า่ ทส่ี มหุ นายก ดว้ ยเจา้ พระยาอภยั ภธู รปว่ ยถงึ อสญั กรรมเสยี ท่ี เมอื งเวยี งจนั ทนใ์ นขณะไปราชการทพั นน้ั แลว้ ครน้ั เจา้ พระยาราชสภุ าวดจี ดั การเรยี บรอ้ ยลงไดแ้ ลว้ กก็ ลบั ลงมา แจง้ ราชการ ณ กรงุ เทพ ฯ ในครง้ั นน้ั ยงั มไิ ดโ้ ปรดใหเ้ จา้ พระราชสภุ าวดรี บั ยศบรรดาศกั ดเ์ิ ปน็ เจา้ พระยาจกั รี เต็มตำแหน่ง ด้วยทรงขัดเคืองว่าไม่ทำลายเมืองเวียงจันทน์ให้สิ้นสูญ ยังซ้ำตั้งนายหมวดนายกองให้อยู่ เกลย้ี กลอ่ มรวบรวมผคู้ นจะตง้ั เปน็ บา้ นเมอื งตอ่ ไป เหน็ วา่ ตวั อนแุ ละราชวงศก์ ย็ งั อยู่ ฝา่ ยญวนกเ็ อาเปน็ ธรุ ะ เกย่ี วขอ้ ง ถา้ อนกุ ลบั มาตง้ั เมอื งเวยี งจนั ทนอ์ กี กจ็ ะไดย้ ากแกไ่ พรพ่ ลทหาร จง่ึ ไดโ้ ปรดใหเ้ จา้ พระยาราช สภุ าวดยี กกลบั ขน้ึ ไปอกี ในปชี วด สมั ฤทธศิ ก จลุ ศกั ราช ๑๑๙๐ ๑ นน้ั ไปตง้ั อยทู่ ่ีหนองบวั ลำพู แตง่ ให้ พระยาราชรองเมอื ง พระยาพไิ ชยสงคราม คมุ กองทพั ลว่ งหนา้ ขน้ึ ไปถงึ เมอื งพานพรา้ ว จง่ึ สง่ั ใหห้ าตวั เพย้ี เมอื งจนั ทนม์ าจะไตถ่ ามดว้ ยราชการ ผซู้ ง่ึ ไปเหน็ ลาวตระเตรยี มอาวธุ สบั สนอยู่ และลาวยดึ เอาตวั คนไทยไว้ ๗ คน จึ่งเอาความมาแจ้งต่อพระยาพิไชยสงคราม พระยาพิไชยสงครามให้บอกข่าวลงมายังเจ้าพระยา ราชสภุ าวดี แลว้ กแ็ บง่ คนนายไพร่ ๓๐๐ คน พระยาพไิ ชยสงครามกข็ า้ มฟากไปเมอื งเวยี งจนั ทนต์ ง้ั ทพั อยู่ ณ วดั กลาง ในขณะนน้ั ญวนกพ็ าอนแุ ละราชวงศม์ าถงึ เมอื งเวยี งจนั ทน์ มญี วน ๘๐ คน กบั ไพรพ่ ลลาว ประมาณ ๑๐๐๐ ครน้ั รงุ่ ขน้ึ วนั ๗ฯ ๘ คำ่ ๒ ญวนจง่ึ พาอนมุ าพรอ้ มดว้ ยพระยาพไิ ชยสงครามทศ่ี าลาลกู ขนุ ๑ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๗๑ ๒ ตรงกับ วันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๗๑
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๒๑๕ ญวนแจง้ ความวา่ เจา้ เวยี ดนามใหพ้ าตวั อนมุ าออ่ นนอ้ มขอพระราชทานโทษ ทไ่ี ดท้ ำผดิ ลอ่ งไปแลว้ แตห่ ลงั ขอให้ได้ตั้งเมืองเวียงจันทน์ทำราชการฉลองพระเดชพระคุณสืบไป ฝ่ายอนุและราชวงศ์ก็อ่อนน้อมโดยดี นายทพั ฝา่ ยไทยมไิ ดม้ คี วามสงสยั ครน้ั เวลาเยน็ ลงอนกุ ลบั ใชใ้ หไ้ พรพ่ ลฝา่ ยลาวเอาปนื มาระดมยงิ นายทพั และไพรพ่ ลไทยตายสน้ิ ทง้ั นน้ั เหลอื ขา้ มนำ้ มาไดแ้ ตส่ กั สส่ี บิ หา้ สบิ คน ฝา่ ยเจา้ พระยาราชสภุ าวดไี ดท้ ราบ ข่าวกองหน้าบอกลงมา ก็รีบยกขึ้นไปถึงเมืองพานพร้าวในขณะเมื่อลาวกำลังยิงไทยอยู่นั้น เห็นที่หาด หน้าเมืองเวียงจันทน์ชุลมุนกันอยู่ ก็รู้ว่ากองทัพไทยเห็นจะเสียที จะข้ามไปก็ไม่มีเรือ ครั้นคนที่ว่ายน้ำ กลบั มาแจง้ ความทราบแลว้ ตรวจดคู นในกองทพั กต็ น่ื หนไี ปโดยมาก จะตง้ั รบั อยทู่ พ่ี านพรา้ วกไ็ มเ่ ปน็ ทไ่ี ว้ ใจเกรงจะเสยี ที ดว้ ยไมท่ ราบวา่ จะเปน็ กลอบุ ายลาวหรอื ญวนคดิ อา่ นประการใด จง่ึ ไดย้ กกองทพั ถอยลง ไปตง้ั มน่ั อยเู่ มอื งยโสธร ใหก้ ะเกณฑไ์ พรพ่ ล และสะสมเสบยี งอาหารจะกลบั ขน้ึ ไปตเี มอื งเวยี งจนั ทนอ์ กี ฝ่ายญวนซึ่งพาอนุเข้ามาเมืองเวียงจันทน์ เห็นว่าลาวทำวุ่นวายขึ้นเป็นข้อวิวาทกับไทยต่อไปอีก ผิดกับ คำสง่ั ทไ่ี ดร้ บั มา กท็ ง้ิ อนเุ สยี ยกกลบั ไปเมอื งแงอ่ าน ฝา่ ยอนตุ ง้ั อยใู่ นเมอื งเวยี งจนั ทนร์ วบรวมผคู้ นไดแ้ ลว้ ยกข้ามฟากมายังเมืองพานพร้าว รื้อพระเจดีย์ซึ่งกรมพระราชวังบวรทรงสร้างไว้นั้นเสีย แล้วให้ราชวงศ์ ยกกองทพั ตดิ ตามไปตที พั เจา้ พระยาราชสภุ าวดถี งึ เมอื งยโสธร เจา้ พระยาราชสภุ าวดคี มุ พลทหารออกตอ่ รบ เปน็ สามารถ จนถงึ ไดร้ บกนั ตวั ตอ่ ตวั กบั ราชวงศ์ ราชวงศแ์ ทงเจา้ พระยาราชสภุ าวดดี ว้ ยหอกถกู ตง้ั แตอ่ ก แฉลบลงไปจนถงึ ทอ้ งนอ้ ยลม้ ลง หลวงพพิ ธิ นอ้ งชายจะเขา้ แก้ ราชวงศฟ์ นั หลวงพพิ ธิ ตาย พอทนายเจา้ พระยาราชสภุ าวดยี งิ ปนื ถกู เขา่ ขวาราชวงศล์ ม้ ลง บา่ วไพรส่ ำคญั วา่ ตายกอ็ มุ้ ขน้ึ แครพ่ าหนไี ป เจา้ พระยาราช สภุ าวดคี ลำดแู ผลเหน็ วา่ ไมท่ ะลภุ ายใน ตกแตง่ แผลเสรจ็ แลว้ ขน้ึ แครข่ บั พลไลต่ ดิ ตามไป ฝา่ ยราชวงศไ์ ปถงึ เมืองพานพร้าวข้ามฟากไปแจ้งการแก่อนุ ว่าแม่ทัพและพลทหารไทยต่อสู้เข้มแข็งนัก เห็นจะรับมิอยู่ อนตุ กใจรบี พาบตุ รภรรยาไดบ้ า้ งแลว้ ลอบหนไี ป พอรงุ่ ขน้ึ กองทพั ไทยถงึ เมอื งเวยี งจนั ทน์ อนหุ นไี ปเสยี กอ่ น วันหนึ่งแล้ว จับได้แต่สุทธิสารบุตรภรรยาบ่าวไพร่หลายคน เจ้าพระยาราชสุภาวดีก็แต่งกองทัพให้ไป ตดิ ตามอนุ ซง่ึ หนเี ขา้ ไปในเมอื งพวน ยงั หาไดต้ วั ไม่ ฝา่ ยพระวชิ ติ สงคราม ซง่ึ ตง้ั อยเู่ มอื งนครพนม มหี นงั สอื บอกขอ้ ราชการมาวา่ ญวนแตง่ ใหน้ ายไพร่ หา้ สบิ คน ถอื หนงั สอื เขา้ มาวา่ ดว้ ยเรอ่ื งเมอื งเวยี งจนั ทนแ์ ละขอโทษอนุ ไมพ่ บตวั อนจุ ง่ึ จะนำหนงั สอื มาสง่ ท่ี พระวิชิตสงคราม จะโปรดประการใด เจ้าพระยาราชสุภาวดี ตอบไปว่าครั้งก่อนซึ่งเสียท่วงทีแก่อนุ กเ็ พราะญวนเขา้ มาเปน็ นายหนา้ ครง้ั นจ้ี ะมาลอ่ ลวงอกี ประการใด ใหจ้ บั ฆา่ เสยี ใหส้ น้ิ พระวชิ ติ สงคราม จง่ึ ใหไ้ ปรบั ญวนมาในคา่ ยทง้ั หา้ สบิ คน แลว้ ฆา่ เสยี เหลอื แตส่ ามคนสง่ มายงั กองทพั ใหญ่ การทท่ี ำนน้ั
๒๑๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ จึ่งเป็นเหตุสำคัญ ซึ่งให้เกิดหมองหมางทางพระราชไมตรีในระหว่างกรุงสยามกับกรุงเวียดนามสืบไป ภายหนา้ ฝา่ ยกองทพั ซง่ึ ไปตดิ ตามตวั อนถุ งึ เขตแดนเมอื งพวน ไดร้ บั หนงั สอื เจา้ นอ้ ยเมอื งพวนมมี าหา้ ม ขออย่าให้กองทัพเข้าไปในเขตแดนจะจับตัวอนุส่ง ภายหลังพระลับแล และพวกเมืองหลวงพระบาง เมืองน่าน จับตัวอนุได้ที่น้ำไฮ้เชิงเขาไก่ เจ้าพระยาราชสุภาวดีก็ให้คุมตัวส่งลงมาทำโทษประจานที่ท้อง สนามไชยในกรุงเทพมหานคร จนอนุป่วยถึงแก่ความตาย บุตรภรรยาญาติวงศ์อนุนั้นหาได้ลงพระราช อาญาแกผ่ หู้ นง่ึ ผใู้ ดถงึ สน้ิ ชวี ติ ไม่ ฝา่ ยเมอื งเวยี งจนั ทนน์ น้ั เจา้ พระยาราชสภุ าวดกี ใ็ หร้ อ้ื ทำลายปอ้ มกำแพง และที่สำคัญทั้งปวงเสียสิ้น เว้นไว้แต่พระอาราม แล้วก็ยกกองทัพกลับลงมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ กรงุ เทพ ฯ จง่ึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ จา้ พระยาราชสภุ าวดเี ปน็ ทเ่ี จา้ พระยาบดนิ ทรเดชาทส่ี มหุ นายก ตามสมควรแกค่ วามชอบซง่ึ ไดฉ้ ลองพระเดชพระคณุ ในราชการแผน่ ดนิ นน้ั ฝา่ ยราชการขา้ งเมอื งญวน ซง่ึ เกดิ เปน็ การสงครามสบื มา จนเกอื บจะตลอดรชั กาลท่ี ๓ นน้ั จำเดมิ แต่เมื่อพระยาราชสุภาวดีไปตีเมืองนครจำปาศักดิแ์ ล้ว จะกลับขึ้นมาเฝ้ากรมพระราชวังบวรสถานมงคลท่ี เมอื งพานพรา้ วนน้ั ญวนมหี นงั สอื มาหา้ มอยา่ ใหร้ อ้ื ทำลายเมอื งเวยี งจนั ทน์ วา่ เจา้ เวยี ดนามมพี ระราชสาสน์ เขา้ มาขอพระราชทานโทษอนทุ ก่ี รงุ เทพ ฯ แลว้ ถา้ ไทยขนื ทำลายเมอื งเวยี งจนั ทน์ จะยกทพั พลสองหมน่ื เขา้ มาตอ่ รบดว้ ยไทย พระยาราชสภุ าวดหี าไดต้ อบหนงั สอื ไปไม่ และในขณะเมอ่ื พระยาราชสภุ าวดยี งั มไิ ด้ กลบั ลงมาถงึ กรงุ เทพ ฯ นน้ั เจา้ เวยี ดนามแตง่ ใหร้ าชทตู เชญิ พระราชสาสนเ์ ขา้ มาขอโทษอนฉุ บบั ๑ จะตอบ พระราชสาสน์ราชทูตไม่รับ จึ่งโปรดให้เจ้าพระยาพระคลังมีหนังสือชี้แจงโทษอนุไปถึงองเลโบเสนาบดี ฝา่ ยญวนสองฉบบั ครน้ั เมอ่ื เจา้ พระยาราชสภุ าวดยี กกองทพั กลบั ขน้ึ ไปตดิ ตามจบั ตวั อนมุ าไดแ้ ละใหพ้ ระวชิ ติ สงครามฆ่าญวนผู้ถือหนังสือเสียในครั้งนั้น ฝ่ายญวนขัดเคืองว่าเจ้าน้อยเมืองพวนจับตัวอนุส่งให้แก่ กองทพั ไทย จง่ึ ไดห้ าตวั ขน้ึ ไปประหารชวี ติ เสยี แลว้ จง่ึ ใหร้ าชทตู เชญิ พระราชสาสนม์ าอกี ใหม่ ในจลุ ศกั ราช ๑๑๙๐ ในพระราชสาสนน์ น้ั วา่ ทงุ วไิ ชยฆา่ ญวนผถู้ อื หนงั สอื และชดิ ชมุ กม่ิ หลวงนราเขา้ ไปเกบ็ สว่ ยใน แขวงถตู อื จะขอผมู้ ชี อ่ื ทง้ั นอ้ี อกไปชำระ ณ เมอื งญวน และวา่ ฝา่ ยญวนใหพ้ าตวั อนเุ ขา้ มาออ่ นนอ้ มตอ่ ไทย ฝา่ ยไทยไมจ่ า่ ยเสบยี งใหแ้ ลว้ ซำ้ ยงิ พวกลาว จง่ึ ไดเ้ กดิ เปน็ ความววิ าทขน้ึ ขอใหต้ ง้ั เมอื งเวยี งจนั ทนข์ น้ึ ไวใ้ ห้ คงคืนดังเก่าภายหลังมีญวนถือหนังสือองเลโบ ถึงเจ้าพระยาพระคลังเข้ามาทางเมืองเขมรอีกฉบับ ๑ เนื้อ ความกค็ ลา้ ยคลงึ กนั กบั ในพระราชสาสน์ ครน้ั จะโปรดใหต้ อบพระราชสาสนไ์ ปทตู ญวนไมร่ บั ขอใหแ้ ตง่ ราชทูตไปต่างหาก จึ่งโปรดให้แต่เจ้าพระยาพระคลังมีหนังสือตอบไปถึงองเลโบ ว่าผู้ซึ่งกล่าวโทษมานั้น จะเป็นผู้ใดก็ไม่ชัด ด้วยเรียกชื่อผิดเพี้ยนกันไป เมื่อกองทัพกลับลงมาจึ่งจะไต่สวนดูก่อน ภายหลังจึ่ง
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๒๑๗ โปรดให้พระอนุรักษภูธรเป็นราชทูต เชิญพระราชสาสน์ตอบออกไปมีเนื้อความอย่างเดียวกันกับหนังสือ เจา้ พระยาพระคลงั ครน้ั เมอ่ื ราชทตู กลบั เขา้ มา มพี ระราชสาสนต์ อบเปน็ คำพอ้ ตดั และคนื ของราชบรรณาการ ที่เกินกำหนดแต่ก่อนนั้นเข้ามา จะขอตัวผู้ซึ่งฆ่าญวนและให้ตั้งเมืองเวียงจันทนด์ ังแต่ก่อน ทรงพระราช ดำรเิ หน็ วา่ ทางพระราชไมตรกี บั ญวนชำ้ ชอกมวั หมองมากอยแู่ ลว้ ควรจะแตง่ ทตู ออกไปเกลย่ี ไกลเ่ สยี ใหด้ อี กี ในจลุ ศกั ราช ๑๑๙๑ ๑ ปฉี ลเู อกศก จง่ึ โปรดใหพ้ ระจกั ราเปน็ ราชทตู เชญิ พระราชสาสนอ์ อกไป ในพระราช สาสนน์ น้ั วา่ ญวนพาอนเุ ขา้ มาฆา่ นายทพั และไพรพ่ ลไทยตายถงึ สองรอ้ ยหา้ สบิ คนเศษ นายทพั นายกอง ฝา่ ยไทยจง่ึ ไดม้ คี วามนอ้ ยใจจบั ผถู้ อื หนงั สอื ฝา่ ยญวนฆา่ เสยี บา้ ง ชวนใหเ้ ปน็ เลกิ แลว้ ตอ่ กนั ในครง้ั นน้ั เจา้ เวยี ดนามคนื เครอ่ื งบรรณาการเสยี สน้ิ ไมร่ บั ไวเ้ ลย จะขอใหท้ ำโทษทงุ วไิ ชยและชดิ ชมุ กม่ิ ฆา่ เสยี ในกลางตลาด ให้จงได้ มีข้อความพ้อตัดลำเลิกถึงการเก่า เป็นคำหยาบ ๆ ก็มีบ้าง มีพระราชสาสน์โต้ตอบไปมาอีก หลายฉบับ ครั้นการไม่ได้สมปรารถนาก็เป็นอันขาดทางพระราชไมตรี มิได้มีราชทูตไปมาสืบไป ครั้น จลุ ศกั ราช ๑๑๙๕๒ ปมี ะเสง็ เบญจศก ฝา่ ยแผน่ ดนิ ญวนเกดิ ขบถขน้ึ ทเ่ี มอื งไซง่ อน ครน้ั เมอ่ื ไดท้ รงทราบ จึ่งทรงพระราชดำริว่าฝ่ายญวนมีความกำเริบ คอยแต่จะเอารัดเอาเปรียบอยู่ทุกครั้งทุกคราว เมื่อครั้ง รชั กาลท่ี ๒ กม็ าขอเอาเมอื งพทุ ไทมาศกลบั คนื ไป ครน้ั องคจ์ นั ทรเ์ จา้ เขมรเปน็ ขบถหนไี ปกร็ บั ไว้ แลว้ มา ครอบงำเอาเมืองเขมรเป็นสิทธิ์แต่ฝ่ายเดียว ครั้นอนุเป็นขบถหนีเข้าไปอยู่ในเขตแดนญวนก็รับเอาไว้ แล้วคิดเอิบเอื้อมจะมาครอบงำเอาเมืองเวียงจันทน์และเมืองขึ้นทั้งปวง อนึ่งเมื่อตั้งตัวขึ้นเป็นดี้กว่างเด เขา้ มาขอใหล้ งชอ่ื ในราชสาสน์ เรยี กดก้ี วา่ งเด ฝา่ ยเราผอ่ นใหแ้ ลว้ ยงั มคี วามกำเรบิ จะใหเ้ อาตราหลวง ประทบั สำเนาพระราชสาสนอ์ กี เลา่ เหน็ วา่ ถา้ จะเปน็ พระราชไมตรไี ป ญวนกจ็ ะมคี วามกำเรบิ หนกั ขน้ึ ทกุ ที ครง้ั นเ้ี ปน็ โอกาสทจ่ี ะไดย้ ำ่ ยเี มอื งญวน คนื เมอื งเขมรมาเปน็ พระราชอาณาเขตได้ จง่ึ มพี ระบรมราชโองการ โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ จา้ พระยาบดนิ ทรเดชาคมุ กองทพั บก คนสห่ี มน่ื ออกไปตเี มอื งเขมรไดแ้ ลว้ ใหย้ กลงไปชว่ ย ญวนขบถที่เมืองไซ่ง่อน โปรดให้เจ้าพระยาพระคลังคุมทัพเรือ พลหมื่นหนึ่ง ไปตีเมืองพุทไทยมาศ แล้วเข้าทางคลองขุดไปบรรจบทัพบกที่เมืองไซ่ง่อน โปรดให้พระมหาเทพ (ป้อม) พระราชวรินทร์ (ขำ) ยกกองทพั บกไปตเี มอื งลา่ นำ้ ซง่ึ เรยี กวา่ เมอื งแงอ่ าน โปรดให้เจา้ พระยาธรรมา (สมบญุ ) คมุ พลเมอื งแพร่ และเมอื งไทยขา้ งฝา่ ยเหนอื ขน้ึ ทางเมอื งหลวงพระบางราชธานี ตีเมอื งหวั พนั ทง้ั หก กองทพั เจา้ พระยา พระคลงั ยกไปตไี ดเ้ มอื งพทุ ไธมาศและเมอื งโจดก ตง้ั ทพั อยเู่ มอื งโจดก เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชายกเขา้ ไป ในเมอื งเขมร องคจ์ นั ทร์ มไิ ดต้ อ่ รบ หนลี งไปเมอื งไซง่ อ่ น เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชาจง่ึ ใหอ้ งคอ์ ม่ิ องค์ดว้ ง ๑ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๗๒ ๒ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๗๖
๒๑๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ ตั้งอยู่เมืองพนมเปญ แล้วยกกองทัพลงไปบรรจบกับเจ้าพระยาพระคลังที่เมืองโจดกปรึกษากันตกลงวา่ เจา้ พระยาพระคลงั ยงั ไมเ่ คยการทพั ศกึ เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชาจะไปทางเรอื ดว้ ย จง่ึ จดั ใหพ้ ระยานครราชสมี า และนายทัพนายกองอีกหลายนายคุมกองทัพบกเดินทางบาพนมไปเมืองไซ่ง่อน เจ้าพระยาบดินทรเดชา เจา้ พระยาพระคลงั พากองทพั ไปทางคลองวามงาว ตคี า่ ยญวนปากคลองขา้ งใตแ้ ตกรน่ ไปรบั อยปู่ ากคลอง ขา้ งเหนอื ซง่ึ เปน็ คา่ ยเดมิ เมอ่ื ครง้ั ญวนตง้ั รบั ทพั เจา้ ฟา้ กรมหลวงเทพหรริ กั ษน์ น้ั ทพั เรอื กใ็ หต้ ง้ั ตดิ ลำคลอง อยู่ ฝา่ ยเจา้ พระยาบดนิ ทรเดชากบั เจา้ พระยาพระคลงั ปนั หนา้ ทก่ี นั เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชาจะยกขน้ึ บกตี คา่ ยกองทพั บก ใหเ้ จา้ พระยาพระคลงั ตกี องทพั เรอื ใหพ้ รอ้ มกนั ทง้ั สองทพั ในขณะเมอ่ื เจา้ พระยาบดนิ ทร เดชายกกองทัพเข้าตีค่ายญวนอยู่นั้น เจ้าพระยาพระคลังสั่งให้กองทัพเรือฝ่ายไทยเข้าตีทัพเรือฝ่ายญวน นายทพั นายกองตา่ งคนยอ่ ทอ้ บดิ พลว้ิ ไปตา่ ง ๆ หาไดย้ กเขา้ ตกี องทพั เรอื ตามสญั ญาไม่ ฝา่ ยกองทพั เรอื ญวน เหน็ วา่ ไมม่ กี องทพั ไทยมาตแี ลว้ กข็ น้ึ ชว่ ยคา่ ยบกระดมรบเจา้ พระยาบดนิ ทรเดชาเปน็ ศกึ ขนาบ เจา้ พระยา บดินทรเดชาเห็นผิดที่นัดหมายเหลือกำลังก็ล่าถอยมา ได้ทราบความจากเจ้าพระยาพระคลังว่า นายทัพ นายกองพากนั ยอ่ ทอ้ ตอ่ การสงคราม กจ็ ะใหล้ งโทษตามพระอยั การศกึ เจา้ พระยาพระคลงั วา่ ถา้ จะลงโทษ นายทพั นายกองแลว้ จะทำการตอ่ ไปเสบยี งอาหารกข็ ดั สน และจวนถงึ ฤดฝู นอยแู่ ลว้ ถา้ ทำการไมส่ ำเรจ็ ก็จะต้องมีโทษเหมือนนายทัพนายกองทั้งปวงนั้น เจ้าพระยาบดินทรเดชาเห็นว่าไม่พร้อมมูลกันจะทำการ ไมส่ ำเรจ็ แลว้ กใ็ หล้ า่ ทพั มาตามลำคลอง ญวนกต็ ามตจี นตลอดถงึ เมอื งโจดก เจา้ พระยาพระคลงั ออก จากเมืองโจดก กลับโดยทางเมืองพุทไทมาศ เจ้าพระยาบดินทรเดชาตั้งต่อรบญวนอยู่ที่เมืองโจดกจนส่ง กองทพั เรอื ไปหมดแลว้ จง่ึ ไดเ้ ดนิ กองทพั บกมาทางเมอื งเขมร ในขณะนน้ั เขมรพากนั กำเรบิ ลอบฟนั แทงคน ในกองทัพไทยเนือง ๆ เจ้าพระยาบดินทรเดชาก็ให้ตั้งทัพลงจับตัวพวกเขมรคนร้ายมาลงโทษประหารชีวิต เสียเป็นอันมาก แล้วให้รื้อกำแพงเมืองพนมเปญ และกวาดต้อนครอบครัวเข้ามาตั้งกองทัพอยู่ที่เมือง โพธิสัตว์ ภายหลังขัดสนด้วยเสบียงอาหารจึ่งถอยเข้ามาตั้งอยู่เมืองพระตะบอง ฝ่ายกองทัพบกซึ่งไป ทางบาพนมนั้น เห็นกิริยาเขมรญวนกำเริบขึ้นผิดปรกติ และได้ทราบว่ากองทัพใหญ่และกองทัพเรือ ถอยไปแล้ว ก็ล่าทัพกลับมาถึงแม่น้ำโขง เห็นเขมรเผาเรือเสียสิ้น จึ่งให้ผูกไม้ไผ่เป็นแพตะพานข้าม แมน่ ำ้ โขงมาได้ เวน้ แตก่ องทพั พระยานครสวรรคไ์ มข่ า้ มมาโดยตะพานเรอื ก เดนิ เลยี บนำ้ ขน้ึ ไป เขมรฆา่ เสียสิ้นทั้งกองทัพ ฝ่ายกองทัพพระมหาเทพยกไปประชุมทัพ ณ เมืองนครพนม จะออกทางด่านกีเหิบ เปน็ ชอ่ งเขาขบั ขนั ออกไมไ่ ด้ จง่ึ ไดต้ แี ตเ่ มอื งรายทาง ไดเ้ มอื งมหาไชย เมอื งพอง เมอื งพลาน เมอื งชมุ พร กวาดต้อนครอบครัวส่งมาเมืองนครราชสีมาหกพันคน ฝ่ายพระราชวรินทร์ไปตั้งอยู่ ณ เมืองหนองคาย ให้กองทัพขึ้นไปตั้งบ้านโพงาม มีหนังสือขึ้นไปเกลี้ยกล่อมพวกเมืองพวน ยอมสวามิภักดิ์รับกองทัพ
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๒๑๙ พระราชวรินทร์เข้าไปตีค่ายญวน ซึ่งมาตั้งรักษาอยู่ที่เมืองเชียงขวาง ๓๐๐ คน กับทั้งแม่ทัพ จับได้ เปน็ บา้ งทต่ี ายเสยี มาก หนไี ปไดบ้ า้ ง ขา้ งฝา่ ยเจา้ พระยาธรรมาซง่ึ ยกกองทพั ขน้ึ ไปทางเมอื งหลวงพระบาง แต่งนายทัพนายกองไปเกลี้ยกล่อมเมืองพวนอีกทาง ๑ เมืองพวนยอมสามิภักดิ์ต่อพระราชวรินทร์แล้ว จึ่งแต่งให้มารับกองทัพพาไปตญี วนที่ค่ายเมืองสุย ๑๐๐ คนแตกยับเยินไป แล้วญวนไปตั้งรับอยู่ที่น้ำงึม อกี แหง่ ๑ กต็ แี ตกไป เมอื งพวนกก็ ลบั ไดเ้ ปน็ พระราชอาณาเขตสบื มา แลว้ เจา้ พระยาธรรมากแ็ ตง่ ใหค้ น ขึ้นไปเกลี้ยกล่อมเมืองหัวพันทั้งหก ก็ยอมว่าจะลงมาสามิภักดิ์ พอเจ้าพระยาธรรมาป่วยกลับลงมา กรุงเทพ ฯ เสียคราว ๑ ฝ่ายราชการข้างเมืองเขมร เมื่อกองทัพไทยถอยลงมาแล้ว ญวนให้แม่ทัพพาองคจ์ นั ทรม์ าตง้ั อยู่ ณ เมืองพนมเปญอีก ขณะนั้นพระยาอภัยภูเบศรเจ้าเมืองพระตะบองถึงแก่กรรม จึ่งโปรดให้องค์อิ่ม เปน็ เจา้ เมอื งพระตะบอง องคด์ ว้ งไปเปน็ เจา้ เมอื งมงคลบรุ ี ฝา่ ยองคจ์ นั ทรท์ เ่ี ปน็ เจา้ เมอื งเขมรถงึ แกพ่ ริ าลยั ญวนยกบุตรหญิงขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินแล้วอยู่กำกับว่าราชการ คิดเกลี้ยกล่อมบ้างกดขี่บ้าง จะให้เมือง เขมรเป็นของญวนแท้จนถึงกลับชาติเป็นญวน พวกเขมรพากันได้ความเดือดร้อน มีหนังสือเข้ามาขอ สามภิ กั ดเ์ิ ปน็ ขา้ กรงุ เทพ ฯ ในครง้ั นน้ั องคอ์ ม่ิ ซง่ึ เปน็ เจา้ เมอื งพระตะบอง บอกสง่ ตวั องคด์ ว้ งซง่ึ เปน็ เจา้ เมอื ง มงคลบรุ เี ขา้ มา วา่ คดิ จะหนไี ปเมอื งพนมเปญ ถามใหก้ ารวา่ ไดท้ ราบความวา่ ญวนมหี นงั สอื มาเกลย้ี กลอ่ ม องคอ์ ม่ิ ใหห้ นไี ป จะตง้ั ใหเ้ ปน็ เจา้ เมอื งเขมร แตพ่ วกพระยาเขมรไมช่ อบใจ อยากจะได้องค์ด้วงไปเป็น เจ้าเมือง จะช่วยกันรบญวนให้แตกไป องค์ด้วงจงึ ได้คิดอ่านการที่จะหนีออกไป ครั้นไม่ช้านักองค์ อม่ิ จะใครไ่ ดเ้ ปน็ เจา้ เมอื งเขมร กลวั ญวนจะไมไ่ วใ้ จ จง่ึ ไดจ้ บั พระยาปลดั และกรมการผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ย และ ตปี ลน้ ทรพั ยส์ มบตั กิ วาดครอบครวั เมอื งพระตะบองประมาณหา้ พนั หนไี ปเมอื งพนมเปญเขา้ หาแมท่ พั ญวน ณ เมอื งโพธสิ ตั ว์ ญวนรบั เอาครวั เหลา่ นน้ั ไว้ แลว้ สง่ ตวั องคอ์ ม่ิ ลงไปไว้ ณ เมอื งพนมเปญ หาใหเ้ ปน็ เจา้ เมอื งเขมรตามทว่ี า่ ไม่ ในขณะนน้ั เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชาเขา้ มาอยใู่ นกรงุ เทพ ฯ จงึ โปรดใหร้ บี กลบั ออกไป ณ เมืองพระตะบอง เจ้าพระยาบดินทรเดชาเกณฑ์คนในหัวเมืองเขมรป่าดงและเมืองลาวได้แล้ว ให้ไป ตง้ั รกั ษาอยเู่ มอื งระสอื กอง ๑ ทค่ี า่ ยกะพงพระ กอง ๑ ทเ่ี มอื งนครเสยี มราฐ กอง ๑ และจดั กองลาดตระเวน ๔๐๐ คน ใหล้ งเรอื รบลาดตระเวนในทอ้ งทะเลสาบ แตต่ วั เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชาตง้ั อยเู่ มอื งพระตะบอง ถ่ายลำเลียงเสบียงอาหารตระเตรียม ซึ่งจะทำการในเมืองเขมรต่อไป ในขณะนั้นฝ่ายญวนเกิดความ สงสัยกันขึ้นว่าองค์แบนเจ้าหญิงบุตรองค์จันทร์นั้นคิดจะหนีมาหาไทย ญวนจึ่งให้จับตัวจำไว้ในค่าย ภายหลงั กใ็ หเ้ อาไปถว่ งนำ้ เสยี และเจา้ หญงิ ซง่ึ ยงั เหลอื อยอู่ กี ทง้ั องคอ์ ม่ิ และมารดาบตุ รภรรยา ครอบครวั
๒๒๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ องค์อิ่มองค์ด้วงซึ่งตกอยู่กับญวนนั้น ก็เอาส่งลงไปเมืองญวนทั้งสิ้น แล้วให้หาขุนนางผู้ใหญ่ในเมือง เขมรจะให้ลงไปเมืองญวน ขุนนางเขมรก็ต่างคนต่างหลบหนีไปตั้งกองส้องสุมผู้คนเป็นหมวดเป็นกอง พอมกี ำลงั แลว้ กเ็ ขา้ รบสดู้ ว้ ยญวน เมอ่ื ไมม่ กี ำลงั กซ็ มุ่ ซอ่ นอยใู่ นปา่ ญวนจะไปมาน้อยกว่าก็ฆ่าเสียทั้งสิ้น ในครั้งนั้นพวกเขมรเป็นขบถก่อการจลาจลไปทุกแห่งทุกตำบล ญวนก็มิอาจจะปราบปรามให้สงบระงับ ลงได้กำลังที่จะรักษาบ้านเมืองนั้นก็อ่อนลง ฝ่ายพระยาพระเขมรทั้งปวงก็มีหนังสือเข้ามาอ่อนน้อมต่อเจา้ พระยาบดินทรเดชา ที่พาครอบครัวเข้ามาพึ่งอยู่ในพระราชอาณาเขตก็มีโดยมากเจา้ พระยาบดนิ ทรเดชา มีใบบอกเข้ามาขอกองทัพ และศาตราอาวุธออกไป ครั้นกองทัพพร้อมแล้ว เจ้าพระยาบดินทรเดชา ก็ให้ยกไปช่วย พระยาเดโชเจ้าเมืองกะพงสวาย ตีค่ายกะพงทมและค่ายญวนเมอื งชแี ครง ญวนแตกไป แลว้ จง่ึ ยกไปตคี า่ ยญวนทเ่ี มอื งโพธสิ ตั ว์ ไดส้ รู้ บกบั ญวน ญวนหนเี ขา้ คา่ ยตง้ั ลอ้ มไวเ้ ปน็ หลายวนั จนญวน ออกออ่ นนอ้ มยอมรบั แพ้ และทำหนงั สอื สญั ญาใหว้ า่ จะถอยกองทพั แลว้ กป็ ลอ่ ยไป ในขณะเมอ่ื เมอื งเขมร กำลงั เปน็ จลาจลอยนู่ น้ั พระยาพระเขมรทง้ั ปวงมายน่ื เรอ่ื งราว และมหี นังสือมาถึงเจ้าพระยาบดินทรเดชา จะขอองคด์ ว้ งออกไปเปน็ เจา้ กรงุ กมั พชู าเปน็ หลายฉบบั เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชาบอกเขา้ มา ทรงทราบแลว้ จึ่งโปรดให้องค์ด้วงพ้นโทษ พระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคเป็นอันมาก แลว้ ใหส้ ง่ องคด์ ว้ งออกไปอยู่ ณ เมอื งพระตะบอง เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชากม็ หี มายประกาศใหพ้ ระยาพระเขมรทง้ั ปวงมารบั นำ้ ทำสตั ยต์ อ่ องคด์ ว้ ง ในขณะนน้ั ขา้ งแผน่ ดนิ ญวนเปลย่ี นแผน่ ดนิ ใหม่ กองทพั ญวนซง่ึ ตง้ั อยใู่ นเมอื งเขมรเกดิ ไขป้ จั จบุ นั ไพร่พลล้มตายมาก ญวนจึ่งได้คิดอ่านจะพูดจากับกองทัพไทยโดยทางไมตรี แม่ทัพญวนชื่อองเกรินตา เตืองกุน ซึ่งตั้งอยู่เมืองพนมเปญมีหนังสือมายังเจ้าพระยาบดินทรเดชา กล่าวความข้างเบื้องต้นว่า ฝา่ ยไทยรกุ รานขม่ เหงญวนตา่ ง ๆ ญวนกเ็ ปน็ แตส่ รู้ บปอ้ งกนั รกั ษาเขตแดนไว้ หาได้ล่วงพระราชอาณาเขต เข้ามาจนก้าวหนึ่งไม่ แล้วกล่าวถึงเรื่องเมืองเขมร ว่าญวนคิดจะทะนุบำรุงเมืองเขมรและเจ้านายให้มี ความสุข ฝ่ายเขมรกลับคิดประทุษร้ายต่อญวน องค์อิ่มองค์ด้วงก็มีหนังสือไปสามิภักดิ์ต่อญวน ชวนให้ไปตีเมืองพระตะบองซึ่งเป็นของฝ่ายไทย ญวนก็หาได้ทำตามไม่ บัดนี้เพราะเขมรคิดการทรยศ ลกุ ลามขน้ึ ญวนจง่ึ ตอ้ งยกกองทพั มาปราบปราม แตถ่ า้ รสู้ กึ ตวั วา่ ผดิ กลบั มาอ่อนน้อมก็จะชุบเลี้ยงต่อไป ทางพระราชไมตรีกรุงสยามกับกรุงเวียดนามนั้น ก็อยากจะให้เป็นไมตรีดกี นั สบื ไป ขอใหไ้ ทยมรี าชสาสน์ ไปกอ่ น ซง่ึ จะถอื ตามคำสญั ญาซง่ึ นายทพั เมอื งโพธสิ ตั วท์ ำใหไ้ วแ้ ตก่ อ่ นนน้ั ไมไ่ ด้ หนังสือฉบับนี้แม่ทัพไทย หาไดต้ อบไปไม่ เมอ่ื ญวนไมไ่ ดห้ นงั สอื ตอบฝา่ ยไทยดงั นน้ั เหน็ วา่ จะยงั มเิ ปน็ ไมตรี กย็ กกองทพั เขา้ ตคี า่ ย เขมรเมืองบาที ซึ่งพระยาเสนาภูเบศรไปตั้งกำกับอยู่ด้วย เขมรเหน็ ญวนมากกห็ นี พระยาเสนาภเู บศร ก็ถอยมา ณ เมืองโพธิสัตว์ ญวนก็ตามมาตีค่ายปีกกานอกเมือง ได้สู้รบกันอยู่และผ่อนคนค่ายกะพงทม
บรุ พภาคพระธรรมเทศนา ๒๒๑ ลงมาที่พนมเปญอีก เจ้าพระยาบดินทรเดชาเห็นว่าญวนทำการแข็งแรงขึ้น จึ่งได้พาองค์ด้วงยกออก ไปตั้ง ณ เมืองโพธิสัตว์ ญวนก็มิอาจตีตอบเข้ามา เจ้าพระยาบดินทรเดชาก็ให้ตัดไม้แก่นปักเป็นค่าย ระเนียดทำเมืองให้องค์ด้วง อยู่ทีป่ ระไทเลียดเหนือเมืองโพธิสัตว์เป็นที่ดอน ในขณะนั้นฝ่ายแม่ทัพญวน คิดกันไปขอหนังสือเจ้าหญิงและมารดาองค์จันทร์ อนุญาตให้องคอ์ ม่ิ เปน็ เจา้ เมอื งเขมร แลว้ ใหอ้ งคอ์ ม่ิ ซึ่งญวนจำไว้นั้นพ้นโทษลงมาด้วย เจ้าพระยาบดินทรเดชาได้ทราบดังนั้น เห็นว่าองค์ด้วงตั้งอยู่เมือง โพธสิ ตั วล์ บั เขา้ มามากนกั กลวั วา่ พวกเขมรจะไปเขา้ ดว้ ยองคอ์ ม่ิ เสยี มาก จง่ึ ใหพ้ ระพรหมบรริ กั ษนายทพั นายกอง พาตวั องคด์ ว้ งลงไปตง้ั อยู่ ณ ทอ่ี ดุ งฦๅไชย แขวงเมอื งประไทเพชร ฝ่ายญวนได้ทราบดังนั้น ก็ให้ไปรับเจ้าหญิงอีก ๓ คนลงมา ณ เมืองพนมเปญ มอบตราสำหรับแผ่นดินและพระขรรค์ให้นักองค์มี นักองค์มีก็ตั้งขุนนางเต็มตามตำแหน่ง แล้วให้แต่งหนังสือออกเกลี้ยกล่อมราษฎร กไ็ มม่ ผี ใู้ ดสามภิ กั ด์ิ ข้างฝ่ายนักองค์ด้วงก็ตั้งขุนนางขึ้นเต็มตำแหน่งบ้าง ในครั้งนั้นขุนนางเขมรมีเต็มตำแหน่งเป็นสองฝ่าย แลว้ แตง่ กองทพั ออกเทย่ี วรกั ษาตามหวั เมอื งทว่ั ไป ไดต้ อ่ รบกบั ญวนเปน็ หลายครง้ั แลว้ แตง่ กองโจรออกอกี ๑๑ กอง กองละพันคนบ้าง หกร้อยคนบ้าง ห้าร้อยคนบ้าง ให้ซุ่มซ่อนอยู่ในป่า ถ้าญวนมากก็ให้ หลบหนี ถา้ เหน็ มานอ้ ยกเ็ ขา้ ตฆี า่ เสยี บา้ ง จบั เปน็ มาบา้ ง กองใดไดญ้ วนมากใ็ หบ้ ำเหนจ็ รางวลั ตามสมควร แล้วส่งญวนเชลยนั้นมา ณ กรุงเทพ ฯ ในระหว่าง ๗ ปี ๘ ปีนั้น ได้ญวนส่งเข้ามากว่าสองพันคน ฝ่ายเจ้าหญิงทั้ง ๓ คนนั้นมีหนังสือมาถึงองค์ด้วงว่าจะขอมาอยู่เมืองอุดงฦๅไชยด้วย ขอให้แต่งกองทัพ ขน้ึ ไปรบั ญวนไดท้ ราบเหตดุ งั นน้ั กใ็ หร้ กั ษากวดขนั ขน้ึ กวา่ แตก่ อ่ น แลว้ ใหส้ ง่ องคอ์ ม่ิ ลงมาเมอื งพนมเปญ ปลูกเรือนให้อยู่หลังหนึ่งกับเจ้าหญิงทั้ง ๓ คนนั้น ฝ่ายองค์อิ่มก็ให้มีหนังสือออกไปเกลี้ยกล่อมพระยา พระเขมรทุกแห่งทุกตำบล ก็ไม่มีผู้ใดเข้าเกลี้ยกล่อม แต่คนถือหนังสือไปก็มิได้กลับมา ในขณะนั้น บังเกิดความไข้ขึ้นในกองทัพญวนเสียไพร่พลเป็นอันมาก เสบียงอาหารก็ขัดสนข้าวราคาถึงถังละห้าบาท เกลือถังละกึ่งตำลึง เขมรอยู่ที่กว้างพอหาเสบียงอาหารได้ ฝ่ายญวนจะออกไปเทย่ี วลาดหาเสบยี งไมไ่ ด้ จง่ึ ไดพ้ าเจา้ หญงิ ๓ คน และองคอ์ ม่ิ กวาดตอ้ นครอบครวั ไดป้ ระมาณสองพนั คนลงไปตั้งอยู่ ณ เมืองโจดก ครั้งนั้นแม่ทัพญวนมีความเสียใจกินยาพิษตาย แม่ทัพคนใหม่ให้ยกลงไปตีเมืองป่าสัก เมืองพระตะพัง ได้แล้วก็ตั้งอยู่ในเมืองโจดก ครั้งนั้นเมืองเขมรแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ข้างฝ่ายใต้เมืองกรังเกรยกราด เมอื งตกึ เขมา เมอื งประมวนสอ เมอื งมจั รคุ เมอื งปาสกั เมอื งพระตะพงั เป็นขององค์อิ่ม เมืองเขมร ฝ่ายเหนือเป็นขององค์ด้วง ฝ่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชาทราบว่ากองทัพญวนเลิกลงไปแล้ว จึ่งได้พา องค์ด้วงยกลงไปตั้งอยู่ ณ เมืองพนมเปญ ด้วยเป็นทางร่วมฟังราชการได้โดยรอบทุกทิศ แลว้ มีใบบอก เข้ามายังกรุงเทพ ฯ เมื่อได้ทรงทราบว่าเมืองเขมรขัดด้วยเสบียงอาหารดังนั้น จึ่งโปรดใหพ้ ระอนุรักษโยธา
๒๒๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๔ คมุ เรอื ลำเลยี งเสบยี งอาหารออกไปสง่ กองทพั เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชาโดยทางทะเล และทรงพระราชดำรวิ า่ เมอื งเขมรเดย๋ี วนก้ี เ็ ปน็ สทิ ธแิ กอ่ งคด์ ว้ งแลว้ ถา้ ถมคลองขดุ เสยี ได้ อยา่ ให้ ญวนสง่ ลำเลยี งเสบยี งอาหารกนั ไดถ้ นดั ตดั ทางอยา่ ใหก้ องทพั ญวนมาตง้ั ในเมอื งเขมรได้ เมอื งเขมรกจ็ ะเปน็ สทิ ธแิ ก่ไทยฝ่ายเดียว จึ่งได้ มีท้องตราไปให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาถมคลองเสียให้ได้ จะโปรดใหม้ กี องทพั เรอื ออกไปตเี มอื งประไทมาศ ถว่ งไวใ้ หญ้ วนพะวา้ พะวงั ในครง้ั นน้ั เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชาปว่ ย จง่ึ ขอแมท่ พั บกเขา้ มาโปรดให้เจา้ พระยา ยมราชออกไปเปน็ แมท่ พั เจา้ พระยายมราชและองคด์ ว้ งกบั พระพรหมบรริ กั ษ์ คุมไพร่พลหมื่นพันเก้าร้อยคน ลงไปตามคลองขุดใหม่ ตั้งค่าย ณ เขาเชิงกระชุม แล้วทำค่ายตับเข้าประชดิ คา่ ยญวน แลว้ ใหพ้ นู ดนิ ขน้ึ เปน็ ปอ้ มเอาปนื ใหญ่ขน้ึ ยงิ ไดต้ อ่ รบกนั อยเู่ ปน็ สามารถ ฝา่ ยกองทพั เรอื โปรดใหเ้ จา้ ฟา้ กรมขนุ อศิ เรศ รงั สรรค์เปน็ แมท่ พั ใหญ่ จมน่ื ไวยวรนารถเปน็ แมท่ พั หนา้ คมุ กองทพั กรงุ เทพ ฯ พระยาอภัยพิพิธคุมกองทัพ หวั เมอื งฝา่ ยตะวนั ออกรวมสามทพั เปน็ คนหา้ พนั เศษ และใหค้ มุ เสบยี งอาหารไปสง่ กองทพั เจา้ พระยาบดนิ ทร เดชาทางเมืองกำปอดด้วย กองทัพพระยาอภัยพิพิธไปก่อน ได้รบกับเรือลาดตระเวนญวน ญวนแตกไป แลว้ จง่ึ ไดย้ กขน้ึ ตเี มอื งประไทมาศ พระยาอภยั พพิ ธิ ขน้ึ ทางบก พระยาราชวงั สรรตปี อ้ มปากนำ้ ทพั จมน่ื ไวยวรนารถอยทู่ ป่ี ากนำ้ ทพั หลวงตง้ั อยู่ ณ เกาะกระทะควำ่ ไดต้ อ่ รบกบั ญวนประมาณหกเจด็ วนั จมน่ื ไวยวรนารถกลบั มาเฝา้ เจา้ ฟา้ กรมขนุ อศิ เรศรงั สรรค์ ปรกึ ษากนั วา่ เหน็ ญวนตอ่ รบเปน็ สามารถเกรงวา่ ทพั เมอื งโจดกจะยกมาชว่ ย ตกลงกนั เลกิ ทพั กลบั เขา้ มา จมน่ื ไวยวรนารถแวะไปตรวจการท่พี ระราชวรนิ ทร์ สง่ ลำเลยี งกองทพั ทางบกทเ่ี มอื งกำปอด เหน็ วา่ สง่ ไดก้ ง่ึ หนง่ึ แลว้ จะตง้ั สง่ ตอ่ ไปก็ไม่เป็นที่ไว้ใจแก่ญวน จึงได้เลิกทัพพาเสบียงกลับเข้ามา ณ กรุงเทพ ฯ พร้อมด้วยกองทัพหลวง ฝา่ ยญวนทเ่ี มอื งประไทมาศ เหน็ วา่ กองทพั เรอื ถอยมาแลว้ กย็ กไพรพ่ ลไปตคี า่ ยทพั บกทค่ี ลองขดุ ใหม่ กองทัพไทยเหลือกำลังก็แตก เสียพระยาอภัยสงครามและพระองค์แก้วเขมรกับทั้งนายทัพนายกองเป็นอันมาก เจ้าพระยายมราชก็ถูกปืน กองทัพแตกขึ้นไปเมืองพนมเปญ ครั้งนั้นญวนหาได้ติดตามไม่ เสบยี งอาหารทเ่ี มอื งพนมเปญขดั สนนกั เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชาจง่ึ ใหร้ อ้ื เกง๋ และโรงปนื โรงเรอื ของญวนทเ่ี มอื งพนมเปญเสยี แลว้ ตง้ั คา่ ยรายกองทพั ไว้สี่ค่าย แล้วถอยขึ้นมาตั้งเมืองอุดงฦๅไชย ให้สร้างเมืองให้องค์ด้วงใหม่ที่ตำบลคลองพระยาฦๅ และ โปรดใหไ้ ปสง่ ลำเลยี งเสบยี งอาหารทเ่ี มอื งกะพงโสมตอ่ ไป ฝ่ายฟ้าทะละหะและสมเด็จเจ้าพระยากลาโหม ซึ่งรับอาสาญวนจะมาเอาเมืองเขมรให้เป็นของญวนจงไดน้ น้ั กพ็ าองคอ์ ม่ิ ขน้ึ มาตง้ั คา่ ยอย่ตู ำบลกระพง กระสงั แลว้ เลอ่ื นขน้ึ มาตง้ั ทค่ี า่ ยจะโรยตามา ญวนกส็ ง่ กองทพั ตดิ ตามมาเปน็ อนั มาก องคอ์ ม่ิ และฟา้ ทะละหะ สมเดจ็ เจา้ พระยา กม็ หี นงั สอื มาเกลย้ี กลอ่ มพระยาพระเขมรเป็นหลายฉบับ หามีผู้ใดไปเข้าด้วยไม่ ภายหลังนักองค์อิ่มถึงแก่พิราลัย นักองค์มีเจ้าหญิงมีหนังสือถึงองค์ด้วงขอให้ขึ้นมาอยู่ด้วย ฝ่ายกองทัพ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 575
Pages: