๕๒ พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ราชกุมาร ! เราเล่าเรียนธรรมน้ันได้ฉับไวไม่นานเลย. ราชกุมาร ! เรานั้น กล่าวได้ท้ัง ญาณวาท และ เถรวาท ด้วยอาการมาตรว่าท่องด้วยปาก และด้วย เวลาช่ัวที่เจรจาตอบตลอดกาลเท่าน้ัน. อน่ึง เราและศิษย์อ่ืนๆ ปฏิญญาได้ว่าเรารู้ เราเห็น ดังน้ี. ราชกุมาร ! ความรู้สึกเกิดขึ้นแก่เราว่า \"อาฬารผู้กาลามโคตร ประกาศให้ผู้อ่ืนทราบว่า \"เราทําให้แจ้งธรรมน้ีด้วยป๎ญญาอันย่ิงเองแล้วแลอยู่\" ดว้ ยคณุ สักวา่ ศรัทธาอย่างเดียวก็หามิได้, ที่แท้อาฬารผู้กาลามโคตรคงรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่งธรรมน้ีเป็นแน่\" ราชกุมาร ! คร้ังน้ันเราเข้าไปหาอาฬารผู้กาลามโคตรถึงที่อยู่ แล้วกล่าวว่า \"ท่านกาลามะ ! ท่านทําให้แจ้งธรรมนี้ด้วยป๎ญญาอันย่ิงเองแล้ว ประกาศได้เพียงเท่าไรหนอ?\" คร้ันเรากล่าวอย่างนี้ อาฬารผู้กาลามโคตรได้ ประกาศให้รูถ้ ึง อากิญจัญญายตนะ แลว้ . ราชกุมาร ! ความรู้สึกได้เกิดข้ึนแก่เราว่า \"ศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ, ป๎ญญา จักมีแต่ของอาฬารผู้กาลามโคตรผู้เดียวก็หาไม่. ศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ, ปญ๎ ญา ของเรากม็ ีอยู่ ; อยา่ งไรก็ตาม เราจักต้ังความเพียรทําให้แจ้งธรรม ที่ท่านกาลามะประกาศแล้วว่า \"เราทําให้แจ้งด้วยป๎ญญาอันยิ่งเองแล้วแลอยู่\" ดังน้ี ให้จงได้\" ราชกุมาร ! เราได้บรรลุ ทําให้แจ้งธรรมนั้นด้วยป๎ญญาอันยิ่งเอง ฉับไวไม่นานเลย. ราชกุมาร ! คร้ังน้ันเราเข้าไปหาอาฬารผู้กาลามโคตร ถึงที่อยู่ แล้วกล่าวว่า \"มีเท่านี้หรือที่ท่านบรรลุถึง ทําให้แจ้งด้วยป๎ญญาอันย่ิงเองแล้ว ประกาศแก่ผู้อ่ืนอยู่?\". \"เท่านี้เองผู้มีอายุ ! ที่เราบรรลุถึง ทําให้แจ้งด้วยป๎ญญา อันยิ่งเองแล้วประกาศแก่ผู้อื่นอยู่.\" \"ท่านกาลามะ ! แม้เราก็บรรลุทําให้แจ้งด้วย ปญ๎ ญาอนั ยงิ่ เองถึงเพยี งน้นั เหมือนกนั \". ราชกมุ าร ! อาฬารผ้กู าลามโคตรได้กลา่ วกะเราว่า \"ลาภของเราแล้วท่านผู้ มอี ายุ ! เราไดด้ ีแลว้ , ทา่ นผมู้ อี ายุ ! มเิ สยี แรงทีไ่ ดพ้ บเพอื่ นรว่ มพรหมจรรย์ เช่น กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๕๓ กบั ทา่ นผทู้ ําใหแ้ จ้งธรรมทเ่ี ราร้ดู ้วยป๎ญญาอันยิง่ เอง. แมเ้ รากท็ ําใหแ้ จ้งธรรมท่ีท่าน ทําให้แจ้งด้วยป๎ญญาอันยิ่งเองน้ันอย่างเดียวกัน. เรารู้ธรรมใด ท่านรู้ธรรมน้ัน, ท่านรู้ธรรมใด เรารู้ธรรมน้ัน, เราเป็นเช่นใดท่านเป็นเช่นนั้น, ท่านเป็นเช่นใด เรา เป็นเช่นน้ัน ; มาเถิดท่านผู้มีอายุ ! เราสองคนด้วยกัน จักช่วยกันปกครองคณะน้ี ตอ่ ไป.\" ราชกุมาร ! อาฬารกาลามโคตรผู้เป็นอาจารย์ของเรา ได้ตั้งเราผู้ เป็นศิษย์ให้เสมอด้วยตนแล้ว, ได้บูชาเราด้วยการบูชาอย่างย่ิง. ราชกุมาร ! (เม่ือเราได้เสมอด้วยอาจารย์ ได้การบูชาท่ีย่ิงดังน้ัน) ได้เกิดความรู้สึกนี้ว่า \"ก็ ธรรมน้ีจะได้เป็นไปพร้อมเพื่อเบ่ือหน่าย เพื่อคลายกําหนัด เพ่ือรํางับ เพ่ือสงบ เพื่อรู้ยิ่ง เพ่ือรู้พร้อม เพ่ือนิพพาน ก็หาไม่, แต่เป็นไปพร้อม เพียงเพื่อการ บังเกิดใน อากิญจัญญายตนภพ๑เท่าน้ันเอง\". ราชกุมาร ! ตถาคต (เมื่อเห็นโทษ ในสมาบตั ิท้งั เจ็ด) จึงไม่พอใจเบ่อื จากธรรมนั้น หลกี ไปเสีย. เสดจ็ สานักอุทกดาบส ๒ ราชกุมาร ! เราน้ันแสวงหาอยู่ว่าอะไรเป็นกุศล ค้นหาแต่ส่ิงที่ประเสริฐ ฝุายสันติชนิดท่ีไม่มีอะไรย่ิงกว่า ; ได้เข้าไปหาอุทกดาบสผู้รามบุตร ถึงที่สํานักแล้ว กล่าวว่า \"ท่านรามะ ! เราอยากประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้ด้วย. \"ราชกุมาร ! ครั้นเรากล่าวดังน้ี ท่านอุทกผู้รามบุตรได้กล่าวตอบว่า \"อยู่เถิดท่าน- ผู้มีอายุ ! ธรรมน้ีเป็นเช่นนี้ๆ ; ถ้าบุรุษเข้าใจความแล้ว ไม่นานเลย คงทําให้แจ้ง บรรลุได้ด้วยปญ๎ ญาอนั ยง่ิ เอง ทั่วถึงลทั ธขิ องอาจารยต์ น\". ________________________________________________________________________ ๑. อรูปพรหมชนั้ ที่ ๓; สมาบตั ทิ ง้ั เจ็ดในท่นี ้ี คอื รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๓. ๒. ทีม่ าเหมอื นกนั กบั อาฬารดาบส. บาลี โพธิราชกมุ ารสูตร ม.ม. ๑๓/๔๔๖/๔๙๐. กลบั ไปสารบัญ
๕๔ พทุ ธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ราชกุมาร ! เราเล่าเรียนธรรมน้ันได้ฉับไวไม่นานเลย. ราชกุมาร ! เรา กลา่ วไดท้ ้ังญาณวาท และเถรวาท ดว้ ยอาการมาตรว่าท่องด้วยปาก ด้วยเวลาชั่วท่ี เจรจาตอบตลอดกาลเท่านั้น.อน่ึง เราและศิษย์อ่ืนปฏิญญาได้ว่าเรารู้เราเห็นดังนี้. ราชกุมาร ! ความรู้สึกได้เกิดข้ึนแก่เราว่า \"อุทกผู้รามบุตรได้ประกาศว่าเราทําให้ แจ้งธรรมนี้ด้วยป๎ญญาอันย่ิงเองแล้วแลอยู่\" ด้วยคุณสักว่าศรัทธาอย่างเดียวก็หา มิได้, ที่แท้อุทกผู้รามบุตรคงรู้อยู่เห็นอยู่ ซ่ึงธรรมนี้เป็นแน่\". ราชกุมาร ! คร้ังน้ัน เราเขา้ ไปหาอุทกผู้รามบุตรถึงท่อี ยู่แล้วกล่าววา่ \"ทา่ นรามะ ! ท่านทาํ ธรรมนี้ให้แจ้ง ดว้ ยปญ๎ ญาอนั ยง่ิ เองแล้วและประกาศได้เพียงเท่าไรหนอ?\" ครั้นเรากล่าวอย่างน้ี อทุ กรามบุตรได้ประกาศให้ร้ถู งึ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ แลว้ . ราชกุมาร ! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่า \"ศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ, ป๎ญญา จักมีแต่ของอุทกรามบุตรผู้เดียวก็หาไม่. ศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ, ป๎ญญา ของเราก็มีอยู่ ; อย่างไรก็ตามเราจักต้ังความเพียงทําให้แจ้ง ธรรมที่ท่านรามะประกาศแล้วว่า \"เราทําให้แจ้งด้วยป๎ญญาอันยิ่งเองแล้วแลอยู่\" ดังน้ี ให้จงได้\". ราชกุมาร ! เราได้บรรลุทําให้แจ้งซึ่งธรรมน้ัน ด้วยป๎ญญา อันย่ิงเอง ฉับไวไม่นานเลย. ราชกุมาร ! ครั้งน้ัน เราเข้าไปหาอุทกผู้รามบุตรถึง ท่ีอยู่ แล้วกล่าวว่า \"มีเท่านี้หรือ ที่ท่านบรรลุถึง ทําให้แจ้งด้วยป๎ญญาอันยิ่งแล้ว ประกาศแก่ผู้อ่ืนอยู่?\" \"เท่าน้ีเองผู้มีอายุ ! ท่ีเราบรรลุถึงทําให้แจ้งแล้วประกาศ แก่ผู้อ่ืน\". \"ท่านรามะ ! ถึงเราก็ได้บรรลุทําให้แจ้งด้วยป๎ญญาอันย่ิงเองเท่าน้ัน เหมือนกนั \". ราชกุมาร ! อุทกผู้รามบุตรได้กล่าวกะเราว่า \"ลาภของเราแล้ว ท่าน ผู้มีอายุ ! เราไดด้ แี ลว้ , ทา่ นผู้มอี ายุ ! มเิ สียแรงที่ได้พบเพ่ือนร่วมพรหมจรรย์ เช่น กบั ทา่ นผ้ทู าํ ให้แจ้งธรรมทร่ี ามะรู้ด้วยป๎ญญาอันยงิ่ เอง, แม้รามะก็ทําให้แจ้งธรรมที่ ท่านทําให้แจ้งด้วยป๎ญญาอันย่ิงเองนั้น อย่างเดียวกัน. รามะรู้ท่ัวถึงธรรมใด ท่าน รูธ้ รรมนั้น, กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๕๕ ท่านรู้ธรรมใด รามะรู้ท่ัวถึงธรรมน้ัน, รามะเป็นเช่นใด ท่านเป็นเช่นน้ัน, ท่านเป็น เช่นใดรามะเปน็ เชน่ นั้น ; มาเถิดท่านผู้มอี ายุ ! ท่านจงปกครองคณะนตี้ ่อไป\" ราชกุมาร ! อุทกรามบุตรเมื่อเป็นสพรหมจารีต่อเรา ก็ได้ต้ังเราไว้ใน ฐานะแห่งอาจารย์นั่นเทียว ; ได้บูชาเราด้วยการบูชาอันย่ิง, ราชกุมาร ! (เม่ือ เราได้เสมอด้วยอาจารย์ ได้การบูชาท่ีย่ิงดังน้ัน) ได้เกิดความรู้สึกนี้ว่า \"ธรรมนี้จะ ได้เป็นไปพร้อมเพ่ือเบ่ือหน่าย เพ่ือคลายกําหนัด เพื่อรํางับ เพ่ือสงบ เพ่ือรู้ย่ิง เพื่อรู้พร้อม เพ่ือนิพพาน ก็หาไม่, แต่เป็นไปพร้อม เพียงเพ่ือการบังเกิดใน เนวสญั ญานาสัญญายตนภพ๑ เท่าน้ันเอง\". ราชกุมาร ! ตถาคต (เมื่อเห็นโทษใน สมาบัติท้งั แปด) จงึ ไมพ่ อใจในธรรมนน้ั เบ่อื หนา่ ยจากธรรมนัน้ หลีกไปเสยี . เสดจ็ ไปอุรุเวลาเสนานคิ ม๒ ราชกุมาร ! เรานัน้ เมื่อหลีกไปจากสํานักอุทกผู้รามบุตรแล้ว แสวงหาอยู่ว่า อะไรเป็นกุศล ค้นหาแต่สิ่งท่ีประเสริฐฝุายสันติอันไม่มีอ่ืนย่ิงกว่า, เที่ยวจาริกไป ตามลําดับหลายตําบลในมคธรัฐ จนบรรลุถึงตําบล อุรุเวลาเสนานิคม พักแรมอยู่ ณ ตําบลนั้น. ณ ที่น้ัน เราได้พบภาคพ้ืนรมณียสถาน มีชัฎปุาเยือกเย็นแม่น้ําไหล ใสเย็นจืดสนิท มีท่าน้ําราบเรียบเป็นอันดีน่าเพลินใจ มีบ้านสําหรับโคจรต้ังอยู่ โดยรอบ. ราชกุมาร ! เราได้เห็นแล้ว เกิดความรูส้ กึ วา่ \"ภูมิภาคนี้ ________________________________________________________________________ ๑. อรูปพรหมชนั้ ที่ ๔; สมาบัติแปด คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔. ๒. บาลี โพธริ าชกุมารสูตร ราชวรรค ม.ม. ๑๓/๔๔๘/๔๙๑, และสคารวสตู ร พราหมณ วรรค ม.ม., ปาสราสิสูตร ม.ู ม., มหาสัจจกสูตร มู.ม. กลับไปสารบัญ
๕๖ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ นา่ ร่ืนรมยจ์ ริง ชัฎปุาเย็นเยือก แม่นํ้าไหลใสเย็นจืดสนิท มีท่านํ้าราบเรียบเป็นอันดี นา่ เพลนิ ใจ ทั้งที่โคจรกต็ ้ังอยูโ่ ดยรอบ, ทน่ี ส้ี มควรเพื่อจะต้ังความเพียรของกุลบุตร ผู้ต้องการด้วยความเพียร\" ดังน้ี. ราชกุมาร ! เรานั่งพักอยู่ ณ ตําบลน้ันเองด้วย คดิ ว่าทน่ี ้สี มควรแลว้ เพ่ือการตัง้ ความเพยี ร ดงั น้.ี ทรงประพฤตอิ ัตตกิลมถานโุ ยค (วัตรของเดียรถยี )์ ๑ สารีบุตร ! เราตถาคตรู้เฉพาะซึ่ง พรหมจรรย์อันประกอบด้วยองค์ ๔ ที่ได้ประพฤติแล้ว; ตป๎สสีวัตร เราก็ได้ประพฤติอย่างย่ิง, ลูขวัตร เราก็ได้ ประพฤติอย่างยิ่ว, เชคุจฉิวัตร เราก็ได้ประพฤติอย่างยิ่ง ปวิวิตตวัตร เราก็ได้ ประพฤตอิ ย่างยง่ิ . ในวัตร ๔ อย่างน้ัน น้ีเป็น ตป๎สสีวัตร (วัตรเพ่ือมีตบะ) ของเราคือเราได้ ประพฤติเปลือยกาย มีมรรยาทอันปล่อยทิ้งเสียแล้ว เป็นผู้ประพฤติเช็ดอุจจาระ ของตนด้วยมือ ถือเป็นผู้ไม่รับอาหารท่ีเขาร้องเชิญว่าท่านผู้เจริญจงมา ไม่รับ อาหารท่ีเขาร้องนิมนต์ว่าท่านผู้เจริญจงหยุดก่อน ไม่ยินดีในอาหารที่เขานํามา จําเพาะ ไม่ยินดีในอาหารท่ีเขาทําอุทิศเจาะจง ไม่ยินดีในอาหารท่ีเขาร้องนิมนต์ เราไม่รับอาหารจากปากหม้อ ไม่รับอาหารจากปากภาชนะ ไม่รับอาหารคร่อม ธรณีประตู ไม่รับอาหารคร่อมทอ่ นไม้ไมร่ บั อาหารคร่อมสาก ไม่รบั อาหาร ________________________________________________________________________ ๑. ตรัสเล่าแก่พระสารีบตุ ร, บาลี มหาสีหนาทสตู ร สีหนาทวรรค มู.ม. ๑๒/๑๕๕/๑๗๗, ที่ วนสณั ฑ์ ใกล้เมืองเวสาล.ี วตั รเหลา่ น้ีในบาลีไมแ่ สดงไว้ชัดว่า ทรงทาํ ก่อนหรือหลังการ ไปสาํ นัก ๒ ดาบส หรือคราวเดียวกับทุกรกิรยิ าอดอาหาร. กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๕๗ ของชนสองคนผู้บริโภคอยู่ ไม่รับอาหารของหญิงมีครรภ์ ไม่รับอาหารของหญิง ที่กําลังให้บุตรด่ืมนมอยู่ ไม่รับอาหารของหญิงผู้ไปในระหว่างแห่งบุรุษ ไม่รับ อาหารในอาหารท่ีมนุษย์ชักชวนร่วมกันทํา ไม่รับอาหารในท่ีที่มีสุนัขเข้าไปยืน เฝูาอยู่ ไม่รับอาหารในที่ท่ีเห็นแมลงวันบินไปเป็นหมู่ๆ ไม่รับปลา ไม่รับเน้ือ ไม่รับสรุ า ไมร่ ับเมรยั ไมด่ ่ืมน้ําอันดองด้วยแกลบ เรารับเรือนเดียวฉันคําเดียวบ้าง รับสองเรือนฉันสองคําบ้าง รับสามเรือนฉันสามคําบ้าง ....ฯลฯ....รับเจ็ดเรือนฉัน เจ็ดคําบ้าง, เราเล้ียงร่างกายด้วยอาหารในภาชนะน้อย ๆ ภาชนะเดียวบ้าง เลี้ยงร่างกายด้วยอาหารในภาชนะน้อย ๆ สองภาชนะบ้าง ..ฯลฯ. เล้ียงร่างกาย ด้วยอาหารในภาชนะน้อยๆ เจ็ดภาชนะบ้าง เราฉันอาหารท่ีเก็บไว้วันเดียวบ้าง ฉันอาหารที่เก็บไว้สองวันบ้าง ....ฯลฯ.... ฉันอาหารท่ีเก็บไว้เจ็ดวันบ้าง,เราประกอบ ความเพียรในภัตรและโภชนะมีปริยายอย่างน้ี จนถึงก่ึงเดือนด้วยอาการอย่างน้ี. เราน้ัน มีผักเป็นภักษาบ้าง มีสารแห่งหญ้ากับแก้เป็นภักษาบ้าง มีลูกเดือย เป็นภักษาบ้าง มีเปลือกไม้เป็นภักษาบ้าง มีสาหร่ายเป็นภักษาบ้าง มีรําข้าว เป็นภักษาบ้าง มีข้าวตัวเป็นภักษาบ้าง มีข้าวสารหักเป็นภักษาบ้าง มีหญ้า เป็นภักษาบ้าง มีโคมัย (ข้ีวัว) เป็นภักษาบ้าง มีผลไม้และรากไม้ในปุาเป็นอาหาร บ้างบริโภคผลไม้อันเป็นไป (หล่นเอง) ยังชีวิตให้เป็นไปบ้าง. เราน้ันนุ่งห่มด้วย ผ้าปุานบ้าง นุ่งห่มผ้าเจือกันบ้าง นุ่งห่มผ้าที่เขาท้ิงไว้กับซากศพบ้าง นุ่งห่ม ผา้ คลุกฝุนบา้ ง นุ่งห่มเปลือกไม้บ้าง นุ่งห่มหนังอชินะบ้าง นุ่งห่มหนังอชินะทั้งเล็บ บ้าง นุ่งห่มแผ่นหญ้าคากรองบ้าง นุ่งห่มแผ่นปอกรองบ้าง นุ่งห่มแผ่นกระดาน กรองบ้าง นุ่งห่มผ้ากัมพลผมคนบ้าง นุ่งห่มผ้ากัมพลทําด้วยขนหางสัตว์บ้าง นุ่งห่มปีกนกเค้าบ้าง (ศัพท์นี้แปลกท่ีไม่มีคําว่ากัมพล) เราตัดผมและหนวด ประกอบ ตามซึง่ ความเพียรในการตัดผมและหนวด, เราเป็นผู้ยนื กระหย่งห้ามเสียซ่ึงการน่ัง, เป็นผู้เดินกระหย่งประกอบตามซ่ึงความเพียรในการเดินกระหย่งบ้าง, เรา ประกอบ กลับไปสารบัญ
๕๘ พุทธประวตั ิจากประโอษฐ์ - ภาค ๒ การยืนการเดินบนหนาม สําเร็จการนอนบนท่ีนอนทําด้วยหนาม, เราประกอบตาม ซ่ึงความเพียรในการลงสู่น้ํา เวลาเย็นเป็นครั้งที่สามบ้าง, เราประกอบตามซ่ึง ความเพียรในการทํา (กิเลสใน) กายในเหือดแห้ง ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่นน้ี ด้วยอาการ อย่างนี้. สารบี ุตร ! นแ่ี ละปน็ วตั รเพ่อื ความเป็นผ้มู ีตบะ ของเรา. สารีบุตร ! ในวัตรส่ีอย่างน้ัน น้ีเป็น ลูขวัตร (วัตรในการเศร้าหมอง) ของเรา คอื ธลุ ีเกรอะกรังแลว้ ท่กี าย สิ้นปีเปน็ อันมากเกิดเปน็ สะเก็ดขึน้ . สารีบุตร ! เปรียบเหมือนตอตะโกนานปีมีสะเก็ดข้ึนแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น ธุลีเกรอะกรังแล้ว ท่ีกาย ส้ินปีเป็นอันมากจนเกิดเป็นสะเก็ดข้ัน. สารีบุตร ! ความคิดนึกว่า โอหนอ เราพึงลูบธุลีนี้ออกเสียด้วยฝุามือเถิด ดังนี้ ไม่มีแก่เรา, แม้ความคิดนึกว่าก็หรือ ชนเหล่าอื่นพึงลูบธุลีน้ีออกเสียด้วยฝุามือเถิด ดังนี้ ก็มิได้มีแก่เรา. ดูก่อน สารบี ุตร ! นี้แล เป็นวตั รในความเป็นผู้เศรา้ หมองของเรา. สารีบุตร ! ในวัตรส่ีอย่างนั้น นี้เป็น เชคุจฉิวัตร (วัตรในความเป็น ผู้รังเกียจ) ของเราคือ ดูก่อนสารีบุตร ! เรานั้นมีสติก้าวขาไป มีสติก้าวขากลับ โดยอาการเท่าที่ความเอ็นดูอ่อนโยนของเราพึงบังเกิดข้ึน แม้ในหยาดแห่งนํ้า ว่าเราอย่างทําสัตว์น้อยๆ ท้ังหลายที่มีคติไม่เสมอกันให้ลําบากเลย. สารีบุตร ! นี้แล เปน็ วตั รในความเป็นผรู้ งั เกียจของเรา. สารีบุตร ! ในวัตรสี่อย่างนั้น น้ีเป็น ปวิวิตตวัตร (วัตรในความเป็นผู้สงัด ท่ัวแล้ว) ของเราคือ ดูก่อนสารีบุตร ! เรานั้นเข้าสู่ราวปุาแห่งใดแห่งหน่ึงแล้ว แลอยู่ เมื่อเห็นคนเลี้ยงโค หรือคนเล้ียงปศุสัตว์ หรือคนเกี่ยวหญ้า หรือคนหาไม้ หรือคนทํางานในปุามา เราก็รีบลัดเลาะจากปุาน้ีไปปุาโน้น จากรกชัฎนี้สู่รกชัฎโน้น จากลมุ่ นี้สู่ลมุ่ โนน้ จากดอนนสี้ ูด่ อนโนน้ เพราะเหตคุ ดิ ว่า ขอคนพวกนั้นอย่าเหน็ เรา เลย และเราก็อย่าได้เห็นชนพวกนั้น. สารีบุตร ! เปรียบเหมือนเนื้ออันอยู่ในปุา เห็นมนุษยแ์ ล้วย่อมเลาะลดั จากปาุ นี้สู่ปุาโน้น จากรกชัฎน้สี ่รู กชัฎ กลบั ไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รัสรู้ ๕๙ โน้น จากลุ่มน้ีสู่ลุ่มโน้น จากดอนนี้สู่ดอนโน้น, ฉันใดก็ฉันนั้น ท่ีเราเมื่อเห็นคน เลี้ยงโค หรือคนเล้ียงปศุสัตว์ หรือคนเก่ียวหญ้า คนหาไม้ คนทํางานในปุามา ก็รีบเลาะลัดจากปุาน้ีสู่ปุาโน้น จากรกชัฎน้ีสู่รกชัฎโน้น จากลุ่มน้ีสู่ลุ่มโน้น จากดอนน้ีสู่ดอนโน้น ด้วยหวังว่าคนพวกนี้อย่าเห็นเราเลย และเราก็อย่าได้เห็น คนพวกนนั้ . สารีบุตร ! นีแ้ ล เป็นวัตรในความเป็นผู้สงดั ทั่วของเรา. สารีบุตร ! เรานั้น โคเหล่าใดออกจากคอกหาคนเล้ียงมิได้, เราก็คลานเข้า ไปในท่ีนั้น ถือเอาโคมัยของลูกโคน้อยๆท่ียังดื่มนมแม่เป็นอาหาร. สารีบุตร ! มูตร และกรสี (ป๎สสาวะและอัจจาระ) ของตนเอง ยังไม่หมดเพียงใด เราก็ถือมูตรและ กรีสนั้นเป็นอาหารตลอดกาลเพียงน้ัน. ดูก่อน สารีบุตร! น้ีแล เป็นวัตรใน มหาวิกฏโภชนวตั ร ของเรา. สารีบุตร ! เราแลเข้าไปสู่ชัฎแห่งปุาน่าพึงกลัวแห่งใดแห่งหนึ่งแล้วแลอยู่. เพราะชฎั แห่งปาุ นั้นกระทําซึ่งความกลัวเป็นเหตุ ผู้ท่ีมีสันดานยังไม่ปราศจากราคะ เข้าไปสู่ชัฎปุานั้นแล้ว โลมชาติย่อมชูชันโดยมาก. สารีบุตร ! เราน้ันในราตรี ทั้งหลายอันมีในฤดูหนาวระหว่างแปดวัน เป็นสมัยที่ตกแห่งหิมะอันเย็นเยือก กลางคืนเราอยู่ทีก่ ลางแจ้ง กลางวันเราอยูใ่ นชัฎแห่งปาุ . ครน้ั ถึงเดอื นสุดท้ายแหง่ ฤดูร้อนกลางวันเราอยู่ในที่แจ้ง กลางคืนเราอยู่ในปุา. สารีบุตร ! คาถาน่าเศร้า นี้ อนั เราไมเ่ คยฟ๎งมาแต่ก่อนมาแจ้งแก่เราวา่ :- \"เราน้ันแห้ง (ร้อน) แลว้ ผู้เดยี ว, เปยี กแลว้ ผู้เดยี ว, อยู่ในปาุ น่าพึงกลัวแตผ่ ูเ้ ดยี ว, เป็นผมู้ ีกายอนั เปลือยเปลา่ ไมผ่ งิ ไฟ, เปน็ มนุ ีขวนขวายแสวงหาความบรสิ ุทธ.ิ์ \" ดังนี.้ สารีบตุ ร ! เรานัน้ นอนในปุาชา้ ทบั กระดกู แห่งซากศพทงั้ หลายฝงู เด็กเลี้ยง โคเข้ามาใกล้เรา โห่ร้องใส่หูเราบ้าง ถ่ายมูตรรดบ้าง ซัดฝุนใส่บ้างเอา ไมแ้ หลมๆ ท่ิมชอ่ งหบู า้ ง. สารีบตุ ร ! เราไม่รูส้ ึกซ่ึงจิตอันเป็นบาปตอ่ เดก็ กลบั ไปสารบัญ
๖๐ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ เลี้ยงโคท้ังหลายเหล่านั้นแม้ด้วยการทําความคิดนึกให้เกิดข้ึน. สารีบุตร ! นี้เป็น วัตรในการอยู่อเุ บกขา ของเรา. สารีบุตร ! สมณพราหมณ์บางพวกมักกล่าวมักเห็นอย่างน้ีว่า \"ความ บริสุทธิ์มีได้เพราะอาหาร\", สมณพราหมณ์พวกนั้นกล่าวกันว่า พวกเราจงเล้ียง ชีวิตให้เป็นไปด้วยผลกะเบา๑ ทั้งหลายเถิด. สมณพราหมณ์เหล่านั้นจึงเคี้ยวกินผล กะเบาบ้าง เคี้ยวกินกะเบาตําผงบ้าง ด่ืมนํ้าค้ันจากผลกะเบาบ้าง ย่ิงบริโภคผล กะเบาอันทําให้แปลกๆ มีอย่างต่าง ๆ บ้าง. สารีบุตร ! เราก็ได้ใช้กะเบาผลหนึ่ง เป็นอาหารสารีบุตร ! คําเล่าลืออาจมีแก่เธอว่า ผลกะเบาในคร้ังนั้น ใหญ่มากข้อนี้ เธออย่าเห็นอย่างน้ัน ผลกะเบาในคร้ังน้ัน ก็โตเท่าน้ีเป็นอย่างย่ิงเหมือนในครั้งนี้ เหมือนกัน. สารีบุตร ! เมื่อเราฉันกะเบาผลเดียวเป็นอาหาร ร่างกายได้ถึงความ ซูบผอมอย่างยิ่ง. เถาวัลย์อาสีติกบรรพหรือเถากาฬบรรพมีสัณฐานเช่นไร อวัยวะ น้อยใหญข่ องเรา ก็เปน็ เหมอื นเช่นนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย. รอยเท้าอูฐ มีสัณฐานเช่นไร รอยตะโพกน่ังทับของเราก็มีสัณฐานเช่นนั้น เพราะความเป็นผู้มี อาหารน้อย. เถาวัฏฏนาวฬีมีสัณฐานเช่นใด กระดูกสันหลังของเราก็เป็นข้อๆ มี สัณฐานเช่นน้ัน เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย. กลอน (หรือจันทัน) แห่งศาลาที่ ครํ่าคร่าเกะกะมีสัณฐานเช่นไร ซ่ีโครงของเราก็เกะกะมีสัณฐานเช่นน้ัน เพราะ ความเป็นผู้มีอาหารน้อย. ดวงดาวที่ปรากฏในนํ้าในบ่อน้ําอันลึก ปรากฏอยู่ลึก ฉันใด ดวงดาวคือลูกตาของเรา ปรากฏอยู่ลึกในเบ้าตาฉันนั้น เพราะความเป็นผู้มี อาหารน้อย.น้ําเต้าท่ีเขาตัดแต่ยังอ่อน คร้ันถูกลมและแดดย่อมเห่ียวยู่ยี่ มีสัณฐาน เป็นเช่นไร หนังศีรษะแห่งเราก็เห่ียวยู่มีสัณฐานเช่นนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหาร น้อย. สารีบุตร ! เราต้ังใจว่าลูบท้อง ก็ลูบถูกกระดูกสันหลังด้วย, ตั้งใจว่าลูบ กระดูกสันหลังก็ลูบถูกท้องด้วย. สารีบุตร ! หนังท้องกับกระดูกสันหลังของเรา ชิดกันสนิท เพราะความ _____________________________________________________________ ๑. ศัพท์ โกล น้ี แปลว่า พุทราก็ได้, โกเลหติ ิ พทเรหิ, ปปญ. ๒/๖๕. กลบั ไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๖๑ เป็นผู้มีอาหารน้อย. สารีบุตร ! เรา เม่ือคิดว่าจักถ่ายอุจจาระป๎สสาวะก็ล้มพับอยู่ ตรงนั้น เพราะความเป็นผมู้ อี าหารนอ้ ย. สารีบุตร ! เรา เมื่อจะบรรเทาซ่ึงกายนั้น ให้มีความสุขบ้าง จึงลูบตัวด้วยฝุามือ,เมื่อเราลูบตัวด้วยฝุามือ ขนที่มีรากเน่าแล้ว ไดห้ ลดุ ออกจากกายรว่ งไป เพราะความเปน็ ผมู้ ีอาหารนอ้ ย. (ต่อจากนี้ มีเร่ืองการบริสุทธิ์เพราะอาหารอย่างเดียวกับการบริโภคผลกะเบา ต่างกัน แต่แทนผลกะเบา กลายเป็น ถ่ัวเขียว, งา, ข้าวสาร เท่าน้ัน. พระองค์ได้ทดลองเปลี่ยนทุกๆ อย่าง. เรื่องตั้งแต่ต้นมา แสดงว่าพระองค์ได้ทรงเคยประพฤติวัตรของเดียรถีย์ท่ีเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยคแล้วทุก ๆ อย่าง สรุปเรียกได้ว่าส่วนสุดฝุายข้างตึง ท่ีพระองค์สอนให้เว้น ในยุคหลัง. วัตรเหล่าน้ี สันนิษฐานว่าทําทีหลังการไปสํานัก ๒ ดาบส. ถ้าทีหลังก็ต้องก่อน เบญจวัคคียไ์ ปอยู่ดว้ ย ยตุ ิเป็นอยา่ งไรแลว้ แตจ่ ะวินิจฉัย เพราะระยะทําความเพียรนานถึง ๖ ปี ได้เหตุผลเป็นอย่างไรโปรดเผยแผก่ ันฟง๎ ด้วย). อปุ มาปรากฏแจ่มแจ้ง๑ ราชกุมาร ! เรือ่ งประหลาดเกดิ มีแก่เรา : อุปมาสามข้อ เป็นอัศจรรย์ท่ีไม่ เคยได้ยินมาแลว้ มาแจ่มแจ้งแกเ่ รา. (๑) ราชกุมาร ! อุปมาข้อหน่ึง ว่า เหมือนไม้สดชุ่มด้วยยาง ท้ังเขาตัดลง แช่น้าํ ไว้, ถ้าบุรุษตั้งใจว่าเราจะนําไม้สีไฟอันบน มาสีกับไม้น้ันให้ไฟเกิดปรากฏดังน้ี, ราชกุมาร ! ท่านจะเข้าใจว่าอย่างไร บุรุษน้ันจักถือไม้สีไฟอันบนมาสีไฟให้เกิด ปรากฏข้ึนได้หรือไม่ ? \"พระองค์ผู้เจริญ ! ไม่ได้เลย,เพราะเหตุว่าโน้นเป็นไม้สดชุ่ม ด้วยยาง ทั้งยังแช่อยู่ในน้ํา เขาสีตลอดกาลเพียงใด จักต้องเหน็ดเหนื่อยคับแค้น เปลา่ เพียงนนั้ \". ราชกมุ าร ! ฉนั ใดกฉ็ ันนัน้ สมณะหรอื พราหมณ์พวกใด กายยังไม่ ________________________________________________________________________ ๑. บาลี โพธริ าชกมุ ารสูตร ราชวรรค ม.ม. ๑๓/๔๔๘/๔๙๒. และ สคารวสตู ร พราหมณ วรรค ม.ม., มหาสจั จกสตู ร มหายมกวรรค มู.ม.; ความตอนน้ี ปาสราสสิ ูนร ม.ู ม. ไม่มี. กลบั ไปสารบัญ
๖๒ พุทธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ หลีกออกจากวัตถุกาม ใจก็ยังระคนด้วยกิเลสกามอันทําความพอใจ ความเยื่อใย ความเมาหมก ความกระหาย ความรุ่มร้อน ในวัตถุกามทั้งหลาย, เขายังละไม่ได้ ยังรํางับไม่ได้ ซ่ึงกิเลสกามอันเป็นภายในเหล่านั้น, ท่านสมณะหรือพราหมณ์ เหลา่ น้ัน ถึงจะไดเ้ สวยทุกขเวทนาอนั กล้าแข็งเผด็ ร้อน เพราะการทําความเพียรก็ดี หรือไม่ได้เสวยก็ดี ย่อมไม่ควรเพื่อเกิดป๎ญญารู้เห็นอันไม่มีป๎ญญาอื่นยิ่งไปกว่าได้ เลย.ราชกุมาร ! น่ีเป็นอุปมาทีแรกที่เป็นอัศจรรย์ที่เราไม่เคยได้ยินมาแล้วแต่ก่อน ไดม้ าแจม่ แจ้งแก่เราแล้ว. (๒) ราชกุมาร ! อุปมาข้อสอง เป็นอัศจรรย์ท่ีเราไม่เคยได้ยินมาแล้ว ได้มา แจ่มแจ้งแก่เรา. ราชกุมาร ! อุปมาว่าไม้สดชุ่มด้วยยาง วางอยู่บนบก ไกลจากนํ้า หากบรุ ษุ ตง้ั ใจวา่ เราจกั นาํ ไมส้ ีไฟอันบนมาสีกับไม้น้ันให้ไฟเกิดปรากฏดังนี้, ท่านจัก เข้าใจว่าอย่างไร บุรุษน้ันจักถือเอาไม้สีไฟอันบน มาสีให้เกิดไฟปรากฏข้ึนได้ หรือไม่? \"พระองค์ผู้เจริญ ! ไม่ได้เลย, เพราะเหตุว่าโน้นเป็นไม้สดชุ่มด้วยยาง แม้วางอยู่บนบกก็จรงิ เขาจะสีไปตลอดกาลเพยี งใด กจ็ ะเหน็ดเหนือ่ ยคบั แค้นเปล่า ตลอดกาลเพียงนัน้ \". ราชกุมาร ! ฉันใดก็ฉนั นั้น สมณะหรอื พราหมณ์พวกใด มีกาย หลีกออกจากวัตถุกามแล้ว แต่ใจยังระคนด้วยกิเลสกามอันทําความพอใจ ความ เย่ือใย ความเมาหมกความกระหายความรุ่มร้อน ในวัตถุกามทั้งหลาย, เขายังละ ไม่ได้ ระงับไม่ไดซ้ ง่ึ กเิ ลสกามอันเป็นภายในเหล่าน้ัน, สมณะหรือพราหมณเหล่านั้น จะได้เสวยทกุ ขเวทนาอันกล้าแข็งเผ็ดร้อน เพราะทําความเพียรก็ดี หรือไม่ได้เสวย กด็ ี ก็ไม่ควรเพอ่ื จะเกดิ ปญ๎ ญารูเ้ หน็ อันไม่มปี ญ๎ ญาอนื่ ยิ่งไปกว่าไดเ้ ลย. ราชกุมาร ! น่เี ปน็ อปุ มาที่สอง ท่เี ปน็ อศั จรรย์ อันเราไมเ่ คยได้ยินมาแล้วแต่ก่อน ได้มาแจ่มแจ้ง แกเ่ ราแลว้ . (๓) ราชกุมาร ! อุปมาข้อสาม ท่ีเป็นอัศจรรย์อันเราไม่เคยได้ยินมาแล้ว มาแจ่มแจง้ แก่เรา. ราชกมุ าร ! อปุ มาว่าไมแ้ หง้ สนทิ ทง้ั วางไว้บนบก กลบั ไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๖๓ ไกลจากน้ํา, หากบุรุษต้ังใจว่าเราจักนําไม้สีไฟอันบนมาสีกับไม้นั้น ให้ไฟเกิดปรากฏ ขน้ึ ดงั นี้, ราชกุมาร ! ท่านจะเข้าใจวา่ อย่างไร บุรุษนัน้ จาํ นําไมส้ ีไฟอันบนมาสีกับไม้ น้ันให้ไฟเกิดปรากฏขึ้นได้หรือไม่? \"พระองค์ผู้เจริญ ! ได้โดยแท้,เพราะเหตุว่าโน้น เป็นไม้แห้งเกราะ ทั้งอยู่บนบกไกลจากน้ําด้วย\". ราชกุมาร ! ฉันใดก็ฉันน้ัน สมณะ หรือพราหมณ์พวกใด มีกายละจากวัตถุกามแล้ว ท้ังใจก็ไม่ระคนอยู่ด้วยกิเลสกาม อันทําความพอใจ ความเย่ือใย ความเมาหมก ความกระหาย ความรุ่มร้อน ใน วัตถุกามท้ังหลาย, เขาเป็นผู้ละได้ ระงับได้ซึ่งกิเลสกามอันเป็นภายในเหล่านั้น. สมณะหรือพราหมณ์เหล่าน้ันจะได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแข็งเผ็ดร้อนเพราะทํา ความเพียรก็ดี หรือไม่ได้เสวยก็ดี ย่อมควรเพื่อเกิดป๎ญญารู้เห็นอันไม่มีป๎ญญา อ่ืนย่ิงไปกว่าได้. ราชกุมาร ! น่ีเป็นอุปมาท่ีสาม ท่ีเป็นอัศจรรย์อันเราไม่เคยได้ยิน มาแลว้ แตก่ ่อน ได้มาแจม่ แจ้งกะเราแล้ว. ทกุ รกริ ิยา๑ (วาระท่ี ๑) ราชกุมาร ! ความคิดข้อนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้ากระไรเราพึง ขบฟ๎นด้วยฟ๎นอัดเพดานด้วยล้ิน ข่มจิตด้วยจิต บีบให้แน่นจนร้อนจัดดูที. ราชกุมาร ! ครั้นเราคิดดังนั้นแล้ว จึงขบฟ๎นด้วยฟ๎ง อัดเพดานด้วยล้ินข่มจิต ด้วยจิต บีบให้แน่นจนร้อนจัดแล้ว เหง่ือไหลออกจากรักแร้ทั้งสอง, ราชกุมาร ! เปรียบเหมอื นคนทีแ่ ขง็ แรงจบั คนกําลังน้อยท่ีศีรษะหรือที่คอ บีบให้แน่นจนร้อนจัด ฉะนั้น. ราชกุมาร ! แตค่ วามเพยี รทเี่ ราปรารภแล้ว จะได้ยอ่ หยอ่ นกห็ าไม่ สตจิ ะฟน่๎ เฟอื นไปก็หาไม,่ เปน็ แต่กายกระสับกระส่ายไม่สงบ เพราะกําลังความเพียรท่ีทนได้ ยากเสยี ดแทงเอา. ________________________________________________________________________ ๑. บาลี โพธิราชกุมารสูตร ราชวรรค ม.ม. ๑๓/๔๕๒/๔๙๕; และสคารวสตู ร ม.ม. ๑๓/๖๗๘ /๗๔๔; มหาสจั จกสตู ร ม.ู ม. ๑๒/๔๕๐/๔๑๗. ความตอนน้ี ปาสรสิสูตรไมม่ .ี กลบั ไปสารบัญ
๖๔ พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ (วาระท่ี ๒) ราชกุมาร ! ความคิดข้อนี้ได้เกิดข้ึนแก่เราว่า ถ้ากระไรเราพึง เพ่งฌานเอาการไม่หายใจเป็นอารมณ์เถิด. ราชกุมาร ! ครั้นคิดดังนั้นแล้วเรา จึงกล้ันลมหายใจออกเข้าท้ังทางจมูกและทางปาก. ราชกุมาร ! ครั้นเรากล้ันลม หายใจท้ังทางจมูกและทางปาก เสียงลมออกทางช่องหูท้ังสองดังเหลือประมาณ เหมือนเสียงลมในสูบแห่งนายช่องทองท่ีสูบไปสูบมาฉะน้ัน. ราชกุมาร ! แต่ความ เพียรที่เราปรารภแล้ว จะได้ย่อหย่อนก็หาไม่ สติจะฟ่๎นเฟือนไปก็หาไม่ เป็นแต่กาย กระสบั กระส่ายไมส่ งบเพราะกําลังแหง่ ความเพียรทีท่ นไดย้ ากเสยี ดแทงเอา. (วาระที่ ๓) ราชกุมาร ! ความคิดข้อนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้ากระไรเราพึง เพ่งฌาน มีการไม่หายใจนั่นแหละ (ให้ย่ิงขึ้น)๑ เป็นอารมณ์เถิด. ราชกุมาร ! ครั้นคิดดงั น้ันแล้ว เราจึงกลั้นลมหายใจออกเข้า ท้ังทางจมูกทางปากและทางช่อง หูท้ังสองแล้ว. ราชกุมาร ! ครั้นเรากล้ันลมหายใจออกเข้า ทั้งทางจมูกทางปาก และทางช่องหูท้ังสองแล้ว ลมกล้าเหลือประมาณ แทงเซาะขึ้นไปทางบน กระหม่อมเหมือนถูกบุรุษแข็งแรง เชือดเอาท่ีแสกกระหม่อมด้วยมีดโกนอันคม ฉะน้ัน. ราชกุมาร ! แต่ความเพียรท่ีเราปรารภแล้วจะได้ย่อหย่อนก็หาไม่ สติจะได้ ฟ่๎นเฟือนไปก็หาไม่ เป็นแต่กายกระสับกระส่ายไม่สงบเพราะความเพียรที่ทนได้ แสนยากเสยี ดแทงเอา. (วาระที่ ๔) ราชกุมาร ! ความคิดข้อนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้ากระไรเราพึง เพ่งฌาน มีการไม่หายใจนั่นแหละ (ให้ย่ิงข้ึนไปอีก) เป็นอารมณ์เถิด.ราชกุมาร ! คร้ันคิดดังน้ันแล้ว เราได้กล้ันลมหายใจออกเข้า ท้ังทางจมูกทางปากและทางช่อง หูท้ังสองแล้ว. ราชกุมาร ! คร้ันเรากล้ันลมหายใจออกเข้า ท้ังทางจมูกทางปาก และทางช่องหูท้ังสองแลว้ รสู้ กึ ปวดศีรษะทว่ั ไปทง้ั ศีรษะ เหลือประมาณ ________________________________________________________________________ ๑. แปลกจากวาระท่สี องด้วย เอว ศพั ทศ์ พั ท์เดยี ว. กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๖๕ เปรยี บปานถูกบรุ ุษแข็งแรง รดั ศรี ษะเขา้ ทัง้ ศีรษะดว้ ยเชือกมีเกลียวอันเขม็งฉะนั้น. ราชกุมาร ! แต่ความเพียรท่ีเราปรารภแล้ว จะได้ย่อหย่อนก็หาไม่ สติจะฟ่๎นเฟือน ไปก็หาไม่ เป็นแต่กายกระสับกระส่ายไม่สงบเพราะความเพียรท่ีทนได้แสนยาก เสียดแทงเอา. (วาระท่ี ๕) ราชกุมาร ! ความคิดข้อนี้ได้เกิดข้ึนแก่เราว่า ถ้ากระไรเราพึง เพ่งฌานมีการไม่หายใจน่ันแหละ (ให้ย่ิงข้ึนไปอีก) เป็นอารมณ์เถิด. ราชกุมาร ! ครั้นคิดดังน้ันแล้ว เราได้กลั้นลมหายใจออกเข้า ทั้งทางจมูกและทางปากและทาง ช่องหูท้งั สอง. ราชกุมาร ! คร้ันเรากล้ันลมหายใจออกเข้าท้ังทางจมูกและทางปาก และทางช่องหูทั้งสองแล้ว ลมกล้าเหลือประมาณหวนกลับลงแทงเอาพื้นท้องดุจ ถกู คนฆา่ โคหรือลูกมอื ตวั ขยันของเขา เฉือนเนื้อพน้ื ทอ้ งด้วยมีดสําหรับเฉือนเนื้อโค อันคม ฉะนั้น. ราชกุมาร ! แต่ความเพียรของเราจะได้ย่อหย่อนก็หาไม่ สติจะได้ ฟ่น๎ เฟอื นไปก็หาไม่ เป็นแต่กายกระสับกระส่ายไม่สงบ เพราะกําลังแห่งความเพียร ทท่ี นไดแ้ สนยากเสยี ดแทงเอา. (วาระท่ี ๖) ราชกุมาร ! ความคิดอันนี้ได้เกิดข้ึนแก่เราว่า ถ้ากระไรเราพึง เพ่งฌานมีการไม่หายใจนั่นแหละ (ให้ย่ิงข้ึนไปอีก) เป็นอารมณ์เถิด. ราชกุมาร ! คร้ันคิดดังนั้นแล้ว เราได้กลั้นลมหายใจออกเข้าไว้ท้ังทางจมูกและทางปากและ ทางช่องหูทั้งสอง. ราชกุมาร ! คร้ันเรากล้ันลมหายใจออกเข้าไว้ท้ังทางจมูก ทางปากและทางช่องหูทั้งสอง ก็เกิดความร้อนกล้าขึ้นท่ัวกาย ดุจถูกคนแข็งแรง สองคนช่วยกันจับคนท่ีกําลังน้อยท่ีแขนข้างละคนแล้ว ย่างรมไว้เหนือหลุมถ่าน เพลิงอันระอุ ฉะนั้น. ราชกุมาร ! แต่ความเพียรท่ีเราปรารภแล้วจะได้ย่อหย่อน ก็หาไม่ สติจะฟ๎่นเฟือนไปก็หาไม่ เป็นแต่กายกระวนกระวายไม่สงบ เพราะกําลัง แหง่ ความเพยี รท่ีทนไดแ้ สนยากเสยี ดแทงเอา. กลบั ไปสารบัญ
๖๖ พทุ ธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ โอ ราชกุมาร ! พวกเทวดาเห็นเราแล้วพากันกล่าวว่า พระสมณโคดม ทํากาละเสียแลว้ , บางพวกกลา่ ววา่ พระสมณโคดมไม่ใช่ทาํ กาละแล้ว เป็นแต่กําลัง ทํากาละอยู่, บางพวกกล่าวว่า ไม่ใช่เช่นนั้น จะว่าพระสมณโคดมทํากาละแล้ว หรือกําลังทํากาละอยู่ ก็ไม่ชอบทั้งสองสถาน พระสมณโคดมเป็นพระอรหันต์ นั่น เป็นการอยขู่ องทา่ น, การอยูเ่ ช่นน้ันเปน็ การอยู่ของพระอรหนั ต์ ดังนี.้ (วาระที่ ๗) ราชกุมาร ! ความคิดอันน้ีได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้ากระไรเราพึง ปฏิบัติการอดอาหารโดยประการทั้งปวงเสีย. ราชกุมาร ! คร้ังน้ันพวกเทวดาเข้า มาหาเราแล้วกล่าวว่า \"ท่านผู้นิรทุกข์ ! ท่านอย่าปฏิบัติการอดอาหารโดยประการ ทั้งปวงเลย ถ้าท่านจักปฏิบัติการอดอาหารโดยประการท้ังปวงไซร้ พวกข้าพเจ้า จกั แทรกโอชาอนั เปน็ ทิพย์ลงตามขุมขนของท่าน ท่านจักมีชีวิตอยู่ได้ด้วยโอชาทิพย์ นั้น\". ราชกุมาร ! ความคิดน้ีได้เกิดขึ้นแก่เราว่า เราปฏิญญาการไม่บริโภคอาหาร ด้วยประการท้ังปวงด้วยตนเอง ถ้าเทวดาเหล่าน้ีแทรกโอชาอันเป็นทิพย์ลงตามขุม ขนแห่งเราแล้ว ถ้าเราจะมีชีวิตอยู่ด้วยโอชานั้น ข้อน้ันจักเป็นมุสาแก่เราไปดังน้ี. ราชกมุ าร ! เราบอกห้ามกะเทวดาเหลา่ นน้ั วา่ อย่าเลย. ราชกุมาร ! ความคิดอันน้ีได้เกิดมีแก่เราว่า ถ้ากระไรเราบริโภคอาหาร ผ่อนให้น้อยลงวันละฟายมือบ้าง เท่าเยื่อถ่ัวเขียวบ้าง เท่าเย่ือถ่ัวพูบ้าง เท่าเย่ือ ถ่ัวดําบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้างดังน้ี. ราชกุมาร ! เราได้บริโภคอาหารผ่อน นอ้ ยลง วนั ละฟายมอื บา้ ง เทา่ เยื่อถ่ัวเขียวบ้าง เท่าเย่ือถัว่ พูบ้างเท่าเย่ือถั่วดําบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้าง แล้ว. ราชกุมาร ! เม่ือเป็นเช่นน้ันร่างกายของเราได้ถึง การซูบผอมลงยิ่งนัก. เพราะโทษท่ีเรามีอาหารน้อย อวัยวะใหญ่น้อยของเราเป็น เหมือนเถาวัลย์อาสีติกบรรพ หรือเถากาฬบรรพ, เน้ือท่ีตะโพกที่น่ังทับของเรา มสี ัณฐานดังเท้าอูฐ, ขอ้ กระดูกสันหลังของเราผดุ ขึน้ ระกะราวกะ กลบั ไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รัสรู้ ๖๗ เถาวัลย์วัฎฎนาวฬี, ซ่ีโครงของเราโหรงเหรงเหมือนกลอนศาลาอันเก่าคร่ําคร่า, ดาวคือดวงตาของเรา ถล่มลึกอย่ใู นกระบอกตา ดจุ เงาแหง่ ดวงดาวที่ปรากฏอยู่ใน บ่อน้ําอันลึกฉะนั้น, ผิวหนังศีรษะของเราเหี่ยวย่นเหมือนน้ําเต้าอ่อนที่ตัดมาแต่ ยังสด ถูกแดดเผาเหี่ยวย่นเช่นเดียวกัน. ราชกุมาร ! เราคิดว่าจะจับพ้ืนท้อง คร้ันจับเข้าก็ถูกกึงกระดูกสันหลังตลอดไป, คิดว่าจะจับกระดูกสันหลัง คร้ันจับ เข้าก็ถูกถึงพื้นท้องด้วย. ราชกุมาร ! ตถาคตคิดจะถ่ายป๎สสาวะหรืออุจจาระ ก็ เซล้มราบอยู่ ณ ท่ีน้ันเอง. ราชกุมาร ! ตถาคตหวังจะให้กายมีความสุขบ้าง จึง ลูบไปตามตวั ด้วยฝาุ มือ ขนมรี ากอันเน่าหลุดตกลงจากกาย. โอ ราชกุมาร ! มนุษย์ทั้งหลายเห็นเราแล้วกล่าวว่า พระสมณโคดมดูดํา ไป, บางพวกกล่าวว่า พระสมณโคดมไม่ดํา เปน็ แตค่ ล้ําไป, บางพวกกลา่ วว่าจะดําก็ ไมเ่ ชิง จะคลา้ํ ก็ไมเ่ ชิงพระสมณโคดมมีผวิ เผือดไปเท่านั้น. ราชกุมาร ! ผิวพรรณที่ เคยบริสุทธ์ิผุดผ่องของตถาคต มากลายเป็นถูกทําลายลงแล้ว เพราะความที่ตนมี อาหารนอ้ ยนนั้ . ทรงแนพ่ ระทยั วา่ ไมอ่ าจตรัสรู้เพราะการทาทกุ รกริ ิยา๑ สารีบุตร ! ด้วยอิริยา (เคร่ืองออกไปจากข้าศึก) แม้ชนิดน้ัน ด้วยปฏิปทา ชนิดนั้น ด้วยทุกรกิริยาชนิดนั้น, เราไม่ได้บรรลุแล้วซ่ึงอลมริยญาณทัสสนวิเสส ที่ยิ่งไปกว่าธรรมดาแห่งมนุษย์เลย.ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า? ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ไม่มีการถึงทับซ่ึงอริยป๎ญญา อันเป็นอริยป๎ญญาที่ถึงทับแล้วจักเป็นนิยยานิกธรรม อนั ประเสริฐ นําผูป้ ฏบิ ตั ิตามนั้นใหถ้ ึงความสิ้นทกุ ข์โดยชอบ นน่ั เทียว. หมายเหตุ : ข้อความเหล่านี้แสดงถึงความรู้สึกที่เกิดข้ึนภายหลังจากการทรงกระทํา ทุกรกิริยาทกุ รูปแบบแล้ว ทรงเหน็ วา่ ไมเ่ ป็นทางตรัสรู้ ก็ทรงเลิกเสีย, ทรงกลับพระทัยฉันอาหาร หยาบ เพื่อบาํ เพ็ญเพียรทางจติ ตอ่ ไป. - ผรู้ วบรวม. ________________________________________________________________________ ๑. มหาสหี นาทสูตร มู.ม. ๑๒/๑๖๒/๑๘๖. ตรสั แก่พระสารีบุตร ทอ่ี ปรปรู วนสณั ฑ์ นอกนคร เวสาล.ี กลับไปสารบัญ
๖๘ พุทธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ทรงกลบั พระทันฉนั อาหารหยาบ๑ ราชกุมาร ! ความคิดอันนี้ได้เกิดข้ึนแก่เราว่า ในอดีตกาลอันยาวยืดก็ดี... ในอนาคตกาลอันยาวยืดก็ดี...แม้ในป๎จจุบันน้ีก็ดี, สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดที่ได้ เสวยทุกขเวทนากลา้ แข็งเผ็ดร้อนอันเกิดจากการทําความเพียร อย่างสูงสุดก็เท่าที่ เราได้เสวยอยู่นี้ ไม่ย่ิงไปกว่านี้ได้, ก็แต่ว่าเราหาอาจบรรลุธรรมอันย่ิงกว่าธรรม ของมนุษย์ หรืออลมริยญาณทัสสนวิเศษ ด้วยทุกรกิริยาอันกล้าแข็งแสบเผ็ดนี้ไม่. ชะรอยหนทางแห่งการตรสั รจู้ กั พงึ มโี ดยประการอ่ืน. ราชกุมาร ! ความระลึกอันนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า เออก็เรายังจําได้อยู่เม่ือ งานแรกนาแห่งบิดา เราน่ัง ณ ร่มไม้หว้ามีเงาเย็นสนิท มีใจสงัดแล้วจากกามและ อกุศลธรรมท้ังหลาย บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปิติและสุขอันเกิดแต่วิเวกแล้ว แลอยู่ ชะรอยนั่นจักเป็นทางแห่งการตรัสรู้บ้าง ดังนี้.ราชกุมาร ! วิญญาณอัน แล่นไปตามความระลึก ไดม้ ีแลว้ แกเ่ ราว่า น่ีแล แน่แลว้ หนทางแหง่ การตรสั รดู้ ังนี.้ ราชกมุ าร ! ความสงสยั อนั น้ีไดเ้ กดิ ขึ้นแกเ่ ราว่า เราควรจะกลัวต่อความสุข ชนิดที่เว้นจากกามและอกุศลธรรมหรือไม่หนอ? ราชกุมาร ! ความแน่ใจอันน้ีได้ เกิดขึ้นแก่เราว่า เราไม่ควรกลัวต่อสุขอันเว้นจากกามและอกุศลทั้งหลาย. ราชกุมาร ! ความคิดได้มีแก่เราสืบไปว่า ก็ความสุขชนิดน้ัน คนที่มีร่างกายหิวโหย เกินกว่าเหตุเช่นนี้ จะบรรลุได้โดยง่ายไม่ได้เลย ถ้าไฉนเราพึงกลืนกินอาหารหยาบ คือข้าวสุกและขนมสดเถิด. ราชกุมาร ! เราได้กลืนกินอาหารหยาบ คือข้าวสุก และขนมสดแล้ว. ________________________________________________________________________ ๑. โพธิราชกมุ ารสูตร ราชวรรค ม.ม. ๑๓/๔๕๘/๕๐๔, และสคารวสูตร พราหมณวรรค ม.ม., มหาสัจจกสตู ร มหายมกวรรค มู.ม.; ปาสราสสิ ูตร ไมม่ ขี ้อความน.ี้ กลบั ไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๖๙ ภิกษปุ ญ๎ จวัคคยี ์หลกี ๑ ราชกุมาร ! เราน้ันได้กลืนกินอาหารหยาบ คือข้าวสุกและขนมสดแล้ว. ราชกุมาร ! ก็ครั้งนั้นมีภิกษุผู้เป็นพวกกัน ๕ รูป (ป๎ญจวัคคีย์) เป็นผู้คอยบํารุงเรา ด้วยหวังอยู่ว่า พระสมณโคดมได้บรรลุธรรมใด จักบอกธรรมน้ันแก่เราท้ังหลาย. ราชกุมาร ! คร้ันตถาคตกลืนกินอาหารหยาบ คือข้าวสุกและขนมสดแล้ว ภิกษุ ผู้เป็นพวกกัน ๕ รูปน้ัน พากันหน่ายในเรา หลีกไปเสีย ด้วยคิดว่าพระสมณโคดม เปน็ คนมกั มากคลายความเพยี รเวยี นมาเปน็ คนมักมากเสยี แล้ว ดงั น้ี. ทรงตรติ รกึ เพื่อตรัสรู้๒ ภิกษุ ท.! คร้ังก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังเป็น โพธิสัตว์ ยังไม่ได้ ตรัสรู้นั่นเทียว ได้เกิดความปริวิตกข้ึนว่า อะไรหนอเป็นรสอร่อยในโลก? อะไรเป็น โทษในโลก? อะไรเป็นอบุ ายเครือ่ งออกไปจากโลก? ภิกษุ ท. ! ความร้สู กึ ได้เกิดข้ึนแก่เราวา่ สุขโสมนสั ทป่ี รารภโลกเกดิ ขึ้นน่ีเอง เป็น รสอร่อยในโลก. โลกท่ีไม่เที่ยง เป็นทุกข์ทรมาน มีการเปล่ียนแปลงเป็น ธรรมดานเ่ี อง เปน็ โทษในโลก. การนําออกและการละเสียสนิ้ เชิงซ่งึ ความกําหนัด ดว้ ยอาํ นาจความเพลนิ ในโลกนเ่ี อง เปน็ อุบายเครื่องออกไปจากโลกได้. ภิกษุ ท. ! ตลอดเวลาเพียงไร ท่ีเรายังไม่รู้จักรสอร่อยของโลกว่า เปน็ รสอรอ่ ย, ยังไม่รู้จกั โทษของโลกว่าเป็นโทษ, ยังไม่รูจ้ ักอุบายเครื่องออกว่าเป็น ________________________________________________________________________ ๑. โพธิราชกุมารสูตร ราชวรรค ม.ม. ๑๓/๔๕๙/๕๐๕, และสคารวสตู ร พราหมณวรรค ม.ม., มหาสจั จกสูตร มหายมกวรรค มู.ม.; ปาสราสสิ ตู รไมม่ ี. ๒. ปฐมสูตร สัมโพธิวรรค ตตยิ ป๎ณณาสก์ ติก. อํ. ๒๐/๓๓๒/๕๔๓. กลบั ไปสารบัญ
๗๐ พทุ ธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ อุบายเคร่ืองออก ตามท่ีเป็นจริง, ตลอดเวลาเพียงนั้น เรายังไม่รู้สึกว่าได้ตรัสรู้ พร้อมเฉพาะซ่ึงอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สตั ว์ พรอ้ มทง้ั สมณพราหมณ์ เทวดา พรอ้ มท้งั มนุษย์. ภิกษุ ท. ! เม่ือใดแล เราได้รู้จักรสอร่อยของโลกว่าเป็นรสอร่อยรู้จักโทษ ของโลกว่าเป็นโทษ รู้จักอุบายเครื่องออกว่าเป็นอุบายเครื่องออก ตามที่เป็นจริง ด้วยอาการอย่างน้ีแล้ว เม่ือนั้นเรารู้สึกว่าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่ง อนุตตร สัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมท้ังสมณ พราหมณ์ เทวดา พรอ้ มทั้งมนษุ ย.์ ก็แหละญาณทัศนะเคร่ืองรู้เคร่ืองเห็นเกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความหลุดพ้น ของเราไม่กลบั กาํ เรบิ ชาตนิ ี้เป็นชาตสิ ดุ ท้าย บัดนภี้ พเป็นท่เี กิดใหม่มิได้มีอกี ดังนี.้ ทรงเที่ยวแสวงเพอื่ ความตรสั รู้๑ ภกิ ษุ ท. ! เราได้เที่ยวไปแล้วเพื่อแสวงหา รสอร่อย (คือเคร่ืองล่อใจสัตว์) ของโลก. เราได้พบรสอร่อยของโลกน้ันแล้ว. รสอร่อยในโลกมีประมาณเท่าใด,เรา เหน็ มันอย่างดดี ว้ ยปญ๎ ญาของเรา เทา่ น้นั . ภกิ ษุ ท. ! เราได้เที่ยวไปแล้วเพื่อแสวงหา (ใหพ้ บ) โทษ (คอื ความรา้ ยกาจ) ของโลก.เราได้พบโทษของโลกน้ันแล้ว. โทษในโลกมีเท่าใด, เราเห็นมันอย่างดีด้วย ปญ๎ ญาของเรา เท่าน้นั . ________________________________________________________________________ ๑. บาลี ทตุ ิยสูตร สัมโพธวิ รรค ตตยิ ป๎ณณาสก์ ติก. อ.ํ ๒๐/๓๓๓/๕๔๔, บาลนี แี้ ละบาลตี ่อไป ทที่ รงเลา่ นเ่ี อง แสดงชดั เจนว่าทําไมจึงออกผนวช. คือทรงเหน็ ว่าถา้ ไม่ออก กไ็ ม่มโี อกาส แสวงสงิ่ ท่ที รงประสงค์จะร.ู้ กลบั ไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๗๑ ภิกษุ ท.! ตลอดเวลาเพียงไร ที่เรายังไม่รู้เท่ารสอร่อยของโลกว่าเป็นรส อร่อย (เครื่องล่อใจสัตว์), ไม่รู้จักโทษของโลกโดยความเป็นโทษ, ไม่รู้จักอุบาย เคร่ืองออกว่าเป็นอุบายเครื่องออกตามท่ีเป็นจริง, ตลอดเวลาเพียงน้ันแหละ เรายังไม่รู้สึกว่าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์พร้อมท้ังสมณพราหมณ์ เทวดา พร้อมทั้ง มนุษย์. ภิกษุ ท! เม่ือใดแล เราได้รู้ยิ่งซึ่งรสอร่อยของโลกว่าเป็นรสอร่อย,รู้โทษ ของโลกโดยความเป็นโทษ, รู้อุบายเคร่ืองออกของโลก ว่าเป็นอุบายเคร่ืองออก ตามที่เป็นจริง, เมื่อน้ันแหละ เรารู้สึกว่าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซ่ึงอนุตตรสัมมา สัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมท้ังเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมท้ังสมนพราหมณ์ เทวดา พรอ้ มท้งั มนุษย์. ก็แหละญาณทัศนะเคร่ืองรู้เครื่องเห็นเกิดข้ึนแก่เราว่า ความหลุดพ้นของ เราไมก่ ลับกําเริบ,ชาตินี้เป็นชาตสิ ุดทา้ ย, บัดนภี้ พเป็นทีเ่ กดิ ใหมไ่ ม่มอี กี ,ดังน้.ี ทรงคอยควบคมุ วิตก กอ่ นตรัสรู้๑ ภิกษุ ท.! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่, ได้เกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้นว่า เราพึงทําวิตกทั้งหลายให้เป็นสองส่วนเถิด. ภิกษุ ท.! เราได้ทํา กามวิตก พย๎ าปาทวิตก วิหิงสาวิตก สามอย่างน้ีให้เป็นส่วนหน่ึง, ได้ทํา เนกขมั มวติ ก อพั ๎ยาปาทวติ ก อวิหิงสาวติ ก สามอยา่ งนใ้ี ห้เปน็ อกี ส่วนหนงึ่ แล้ว. ________________________________________________________________________ ๑. เทวธาวิตกั กสูตร สีหนาทวรรค ม.ู ม. ๑๒/๒๓๒/๒๕๒, ตรสั ท่ีเชตวัน. กลบั ไปสารบัญ
๗๒ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ภิกษุ ท.! เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอยู่อย่างน้ี กามวิตกเกิดขึ้น เราก็รู้ชัดอย่างน้ีว่า กามวิตกเกิดแก่เราแล้ว, กามวิตกนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เบียดเบียนผู้อ่ืนบ้าง เบียดเบียนท้ังสองฝุาย (คือทั้งตนและผู้อ่ืน) บ้าง, เป็นไปเพื่อความดับแห่งป๎ญญา เป็นฝ๎กฝุายแห่ง ความคับแค้น ไม่เป็นไปพร้อมเพ่ือนิพพาน. ภิกษุ ท.! เม่ือเราพิจารณาเห็นอยู่.... ฯลฯ๑.... อย่างน้ี กามวิตกย่อมถึงซ่ึงอันต้ังอยู่ไม่ได้. ภิกษุ ท.! เราได้ละและ บรรเทากามวิตกอนั บังเกดิ ขน้ึ แล้วและบงั เกดิ แลว้ กระทําให้ส้ินสดุ ได้แล้ว. ภิกษุ ท.! เม่ือเราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไ ปอยู่อย่างนี้ พย๎ าปาทวิตกเกิดขึ้น เราก็รู้ชัดอย่างน้ีว่า พย๎ าปาทวิตกเกิดแก่เราแล้ว, ก็ พ๎ยาปาทวิตก น้ันย่อมเป็นไปเพ่ือเบียดเบียนตนบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เบียดเบียนทั้งสองฝุายบ้าง, เป็นไปเพ่ือความดับแห่งป๎ญญา เป็นฝ๎กฝุายแห่ง ความคับแคน้ ไมเ่ ป็นไปพรอ้ มเพอ่ื นิพพาน. ภกิ ษุ ท.! เมื่อเราพิจารณาเห็นอยู่...ฯลฯ... อย่างน้ี พ๎ยาปาทวิตก ย่อมถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้. ภิกษุ ท.! เราได้ละและบรรเทา พย๎ าปาทวิตก อนั บังเกดิ ขึ้นแลว้ และบงั เกดิ แล้ว กระทาํ ให้ส้ินสุดไดแ้ ลว้ . ภกิ ษุ ท.! เมอ่ื เราเปน็ ผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอยู่อย่างนี้วิหิงสาวิตก เกิดข้ึน เราก็รู้ชัดอย่างน้ีว่า วิหิงสาวิตกเกิดข้ึนแก่เราแล้ว, ก็วิหิงสาวิตกนั้น ย่อมเป็นไปเพ่ือเบียดเบียนตนบ้าง เบียดเบียนผู้อ่ืนบ้าง เบียดเบียนท้ังสอง ฝุายบ้าง, เป็นไปเพื่อความดับแห่งป๎ญญา เป็นฝ๎กฝุายแห่งความคับแค้นไม่เป็น ไปพร้อมเพื่อนิพพาน. ภิกษุ ท. ! เมื่อเราพิจารณาเห็นอยู่....ฯลฯ....อย่างนี้ วิหิงสาวิตกย่อมถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้. ภิกษุ ท.! เราได้ละและบรรเทาวิหิงสาวิตก อนั บงั เกดิ ข้ึนแล้วและบังเกิดแล้วกระทําให้สิ้นสดุ ไดแ้ ล้ว. ________________________________________________________________________ ๑. เหน็ อยา่ งน้ี คือเห็นอย่างว่ามาแล้ว เชน่ มกี ารเบยี ดเบียนตนเปน็ ต้น. กลับไปสารบัญ
ออกผนวช –จนไดต้ รสั รู้ ๗๓ ภิกษุ ท.! ภิกษุตรึกตามตรองตามถึงอารมณ์ใดๆ มาก จิตย่อมน้อมไปโดย อาการอย่างน้ันๆ :ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึงกามวิตกมาก ก็เป็นอันว่าละ เนกขัมมวิตกเสีย กระทําแล้วอย่างมากซึ่งกามวิตก; จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไป เพื่อความตรึกในกาม. ถ้าภิกษุตรึกตรองตามถึงพ๎ยาปทวิตกมาก ก็เป็นอันว่าละ อัพย๎ าปาทวิตกเสีย กระทําแล้วอย่างมากซึ่งพ๎ยาปาทวิตก, จิตของเธอน้ันย่อม น้อมไปเพ่ือความตรึกในการพยาบาท. ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึงวิหิงสาวิตก มาก กเ็ ปน็ อนั วา่ ละอวหิ งิ สาวติ กเสยี กระทาํ แล้วอย่างมากซึ่งวิหงิ สาวิตก ; จิตของ เธอนน้ั ย่อมน้อมไปเพ่ือความตรึกในการทาํ สตั วใ์ ห้ลําบาก. ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนในคราวฤดูสารท คือเดือนสุดท้ายแห่งฤดูฝนคน เล้ียงโคต้องเลี้ยงฝูงโคในที่แคบเพราะเต็มไปด้วยข้าวกล้า เขาต้องตีต้อนห้ามกัน ฝูงโคจากข้าวกล้านั้นด้วยท่อนไม้ เพราะเขาเห็นโทษ คือการถูกประหาร การถูก จับกุม การถูกปรับไหม การติเตียน เพราะมีข้าวกล้าน้ันเป็นเหตุ ข้อนี้ ฉันใด, ภิกษุ ท.! ถึงเราก็ฉันน้ัน ได้เห็นแล้วซ่ึงโทษความเลวทรามเศร้าหมองแห่งอกุศล ธรรมทั้งหลาย,เห็นอานิสงส์ในการออกจากกาม ความเป็นฝ๎กฝุายของความผ่อง แผ้วแห่งกศุ ลธรรมทั้งหลาย. ภิกษุ ท.! เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอยู่อย่างน้ี เนกขัมมวติ กยอ่ มเกิดข้ึน.๑ อัพย๎ าปาทวิตกย่อมเกิดข้ึน.... อวิหิงสาวิตกย่อมเกิดขึ้น. เราย่อมรู้แจ้งชัดว่า อวิหิงสาวิตกเกิดขึ้นแก่เราแล้ว, ก็อวิหิงสาวิตกน้ันไม่เป็นไป เพ่ือเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น หรือเบียดเบียนทั้งสองฝุาย, แต่เป็นไปพร้อม เพอ่ื ความเจริญแหง่ ป๎ญญา ไมเ่ ปน็ ฝก๎ ฝาุ ยแหง่ ความคับแค้น เปน็ ไปพร้อม ________________________________________________________________________ ๑. ที่ละด้วยจุดนี้ หมายความวา่ ตรัสทลี ะวติ ก แต่คําตรัสเหมอื นกันหมด ผิดแต่ชื่อเท่านน้ั , ทุกๆ วิตกมเี นื้อความอยา่ งเดยี วกนั . กลบั ไปสารบัญ
๗๔ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ เพ่ือนิพพาน. แม้เราจะตรึกตามตรองตามถึงอวิหิงสาวิตกน้ันตลอดคืน ก็มองไม่ เห็นภัยที่จะเกิดขึ้นเพราะอวิหิงสาวิตกนั้นเป็นเหตุ. แม้เราจะตรึกตามตรองตาม ถึงอวิหิงสาวิตกนั้นตลอดวัน, หรือตลอดท้ังกลางคืนกลางวัน ก็มองไม่เห็นภัยอัน จะเกิดข้นึ เพราะอวหิ งิ สาวิตกนัน้ เป็นเหตุ. ภิกษุ ท.! เพราะเราคิดเห็นว่า เมื่อเราตรึกตามตรองตามนานเกินไปนัก กายจะเม่ือยล้า, เม่ือกายเม่ือยล้า จิตก็อ่อนเพลีย, เมื่อจิตอ่อนเพลีย จิตก็ห่าง จากสมาธิ, เราจงึ ไดด้ าํ รงจิตใหห้ ยุดอยใู่ นภายใน กระทําใหม้ ีอารมณ์อนั เดียวตง้ั ม่ัน ไว้ ดว้ ยหวังอย่วู า่ จติ ของเราอยา่ ฟงุู ข้นึ เลย ดังน.ี้ ภิกษุ ท.! ภิกษุตรึกตามตรองตามถึงอารมณ์ใดๆมาก จิตย่อมน้อมไปโดย อาการอย่างนนั้ ๆ : ถา้ ภิกษุตรกึ ตามตรองตามถึงเนกขัมมวิตกมาก ก็เป็นอันว่าละ กามวิตกเสีย กระทําแล้วอย่างมากซ่ึงเนกขัมมวิตก ; จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไป เพ่ือความตรึกในการออกจากกาม. ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึงอัพ๎ยาปาทวิตก มากก็เป็นอันว่าละพ๎ยาปาทวิตกเสีย กระทําแล้วอย่างมากในอัพ๎ยาปาทวิตก ; จิต ของเธอน้ันย่อมน้อมไปเพ่ือความตรึกในการไม่พยาบาท. ถ้าภิกษุตรึกตามตรอง ตามถึงอวิหิงสาวิตกมาก ก็เป็นอันว่าละวิหิงสาวิตกเสีย กระทําแล้วอย่างมากใน อวิหงิ สาวติ ก; จิตของเธอน้นั ย่อมน้อมไปเพ่อื ความตรกึ ในการไมย่ งั สัตวใ์ ห้ลําบาก. ภิกษุ ท.! เปรยี บเหมือนในเดือนสุดทา้ ยแห่งฤดูร้อน ข้าวกล้าท้ังหมดเขาขน นาํ ไปในบา้ นเสรจ็ แลว้ ๑คนเลีย้ งโคพึงเลย้ี งโคได้. เม่อื เขาไปพกั ใต้ร่มไม้ ________________________________________________________________________ ๑. คาํ แปลตรงน้ี ข้าพเจ้าถือเอาตามที่ได้สอบสวนสนั นิษฐานแล้ว คือฉบับบาลเี ปน็ สพฺพปสฺเสสุ คามนตฺ สมภฺ เวสุ มผี ู้แปลกันตา่ งๆ ตามแตจ่ ะใหค้ ล้ายรูปศพั ท์เพียงใด. ข้าพเจา้ เหน็ วา่ ต้องแก้ บาลีนัน้ เป็น สพฺพสสฺเสสุ จึงจะได้ความ เพราะอรรถกถาแกค้ ําหลงั ไว้ดังนี้ คามนตฺ สมภฺ เวสตู ิ คามนตฺ อาหเฎสุ ฯ ปปญจ. ๒/๑๑๑. ขอจงใคร่ครวญดว้ ย. บาลคี อื พระไตรปฎิ กเล่ม ๑๒ หนา้ ๒๓๖ บรรทดั ๖ นับลง. กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รัสรู้ ๗๕ หรือไปกลางทุ่งแจ้งๆ พึงทําแต่ความกําหนดว่า นั่นฝูงโคดังน้ี (ก็พอแล้ว) ฉันใด ; ภิกษุ ท.! ถึงภิกษุก็เพียงแต่ทําความระลึกว่า น่ันธรรมท้ังหลายดังนี้ (ก็พอแล้ว) ฉนั นน้ั เหมือนกัน. ภิกษุ ท.! ความเพียรเราได้ปรารภแล้วไม่ย่อหย่อน สติเราได้ดํารง ไว้แล้วไม่ฟ่๎นเฟือนกายสงบระงับไม่กระสับกระส่าย จิตตั้งมั่นมีอารมณ์อันเดียว แล้ว. ภิกษุ ท.! เราน้ัน เพราะสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย ได้ เข้าถึงปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่. (คําต่อไปน้ีเหมือน ในตอนท่กี ล่าวดว้ ยการตรัสรู้ ข้างหนา้ อนั วา่ ดว้ ยรูปฌานสี)่ ทรงกาหนดสมาธินิมติ ก่อนตรสั รู้๑ อนุรุทธะ ท.! นิมิตน้ันแหละ เธอพึงแทงตลอดเถิด. แม้เราเม่ือครั้งก่อน แต่การตรัสรู้ยังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ก็จําแสงสว่างและการเห็นรูป ทั้งหลายได้. ต่อมาไม่นาน แสงสว่างและการเห็นรูปของเราน้ัน ๆ ได้หายไป. เกิดความสงสัยแก่เราว่า อะไระเป็นเหตุ อะไรเป็นป๎จจัย ที่ทําให้แสงสว่างและ การเหน็ รูปนนั้ หายไป? อนุรทุ ธะ ท.! เมื่อคดิ อยู่ ก็เกิดความรู้ (ดังตอ่ ไปนี้) วา่ : - วิจิกิจฉา (ความลังเล) แล เกิดข้ึนแก่เราแล้ว, สมาธิของเราเคลื่อนแล้วก็ เพราะมีวิจิกจิ ฉาเปน็ ตน้ เหต.ุ ครัน้ สมาธเิ คลือ่ นแลว้ แสงสวา่ งและการเห็นรูปย่อม หายไป. เราจักกระทําโดยประการที่วิจิกิจฉาจะไม่บังเกิดข้ึนแก่เราได้อีก....ฯลฯ.... (มีคําระหว่างนี้เหมือนท่อนต้น ไม่มีผิด ทุกตอน ต้ังแต่คําว่า ต่อมาไม่นาน จนถึงคําว่า เกิด ความรู้ (ดงั ต่อไปนี้) วา่ :-) ________________________________________________________________________ ๑. บาลี อุปก๎ กเิ ลสสตู ร สญุ ญตวรรค อุปริ. ม. ๑๔/๓๐๒๑๔๕๒. ตรสั แก่พระเถระ ๓ รูป คือ อนุรทุ ธะ นนั ทิยะ กิมพิละ, ทรงอาลปนะวา่ อนุรุทธทั้งหลาย ! พระบาลตี อนนี้ผศู้ ึกษา ควรใคร่ครวญเป็นพิเศษ, เฉพาะอยา่ งยง่ิ สําหรับนกั ศึกษาสมาธภิ าวนา. กลับไปสารบัญ
๗๖ พุทธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ อมนสิการ (ความไม่ทําไว้ในใจ คือไม่ใส่ใจ) แล เกิดขึ้นแก่เราแล้ว, สมาธิของเราเคลื่อนแล้ว ก็เพราะมีอมนสิการเป็นต้นเหตุ. ครั้นสมาธิเคล่ือนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูป ย่อมหายไป.เราจักกระทําโดยประการท่ีวิจิกิจฉาและ อมนสิการจะไมเ่ กิดขนึ้ แกเ่ ราได้อีก. ถีนมิทธะ (ความเคลิ้มและง่วงงุน) แล เกิดขึ้นแก่เราแล้ว, สมาธิของเรา เคล่ือนแล้ว เพราะมีถีนมิทธะเป็นต้นเหตุ. คร้ันสมาธิเคล่ือนแล้วแสงสว่างและ การเห็นรูปย่อมหายไป. เราจักกระทําโดยประการท่ีวิจิกิจฉา, อมนสิการ, และ ถีนมทิ ธะ จะไมบ่ ังเกดิ ขึน้ แก่เราไดอ้ กี . ฉัมภิตัตตะ (ความสะดุ้งหวาดเสียว) แล บังเกิดขึ้นแก่เราแล้ว, สมาธิของ เราเคลื่อนแล้ว เพราะมีฉัมภิตัตตะเป็นต้นเหตุ. ครั้นสมาธิเคล่ือนแล้วแสงสว่าง และการเห็นรูปย่อมหายไป. เหมือนบุรุษเดินทางไกล เกิดผู้มุ่งหมายเอาชีวิตข้ึน ท้ังสองข้างทาง ความหวาดเสียวย่อมเกิดแก่เขาเพราะข้อนั้นเป็นเหตุ ฉะนั้น. เราจักกระทําโดยประการที่วิจิกิจฉา, อมนสิการ, ถีนมิทธ, และฉัมภิตัตตะ จะไม่ เกดิ แกเ่ ราไดอ้ กี . อุพพิละ (ความต่ืนเต้น) แล เกิดข้ึนแก่เราแล้ว, สมาธิของเราเคลื่อนแล้ว เพราะมีอุพพิละน้ันเป็นต้นเหตุ. เม่ือสมาธิเคล่ือนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูป ย่อมหายไป. เหมือนบุรุษแสวงหาอยู่ซึ่งขุมทรัพย์ขุมเดียว เขาพบพร้อมกัน คราวเดียวต้ังห้าขุม ความตื่นเต้นเกิดขึ้นเพราะการพบน้ันเป็นเหตุ ฉะน้ัน เราจักกระทําโดยประการท่ีวิจิกิจฉา, อมนสิการ, ถีนมิทธะ, ฉัมภิตัตตะ และ อุพพลิ ะ จะไม่เกิดแกเ่ ราไดอ้ ีก. ทุฏฐุลละ (ความคะนองหยาบ) แล เกิดข้ึนแก่เราแล้ว, สมาธิของเรา เคล่อื นแล้ว เพราะมที ุฏฐลุ ละนั้นเปน็ ต้นเหตุ. เม่อื สมาธเิ คลอ่ื นแลว้ แสงสวา่ ง กลบั ไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๗๗ และการเห็นรูปย่อมหายไป. เราจักกระทําโดยประการที่วิจิกิจฉา, อมนสิการ, ถีนมทิ ธะ, ฉัมภติ ัตตะ, อุพพิละ, และทุฏฐุลละ จะไม่เกิดแก่เราได้อีก. อัจจารัทธวิริยะ (ความเพียรท่ีปรารภจัดจนเกินไป) แล เกิดข้ึนแก่เราแล้ว, สมาธิของเราเคลื่อนแล้ว เพราะมีอัจจารัทธวิริยะน้ันเป็นต้นเหตุ. เม่ือสมาธิ เคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปย่อมหายไป. เปรียบเหมือนบุรุษจับ นกกระจาบด้วยมือทั้งสองหนักเกินไป นกน้ันย่อมตายในมือ ฉะน้ัน. เราจักกระทํา โดยประการที่วิจิกิจฉา, อมนสิการ, ถีนมิทธะ, ฉัมภิตัตตะ, อุพพิละ, ทฏุ ฐุลละ, และอจั จารัทธวริ ิยะ จะไมเ่ กิดแกเ่ ราได้อกี . อติลีนวิริยะ (ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป) และ เกิดขึ้นแก่เราแล้ว, สมาธิของเราเคล่ือนแล้ว เพราะมีอติลีนวิริยะน้ันเป็นต้นเหตุ. เม่ือสมาธิเคล่ือน แล้วแสงสว่างและการเห็นรูปย่อมหายไป.เปรียบเหมือนบุรุษจับนกกระจาบ หลวมมือเกินไป นกหลุดข้ึนจากมือบินหนีเสียได้ ฉะนั้น. เราจักกระทําโดยประการ ทีว่ จิ กิ ิจฉา, อมนสิการ, ถีนมิทธะ, ฉัมภิตัตตะ, อุพพิละ, ทุฏฐุลละ, อัจจารัทธวิริยะ, และอติลนี วริ ิยะ จะไม่เกิดแกเ่ ราไดอ้ ีก. อภิชัปปา (ความกระสันอยาก) แล เกิดขึ้นแก่เราแล้ว, สมาธิของเรา เคลื่อนแลว้ เพราะมอี ภิชัปปาเปน็ ต้นเหตุ. เมื่อสมาธเิ คล่อื นแล้ว แสงสวา่ งและการ เห็นรูปย่อมหายไป. เราจักกระทําโดยประการท่ีวิจิกิจฉา, อมนสิการ, ถีนมิทธะ, ฉัมภิตัตตะ, อุพพิละ, ทุฏฐุลละ, อัจจารัทธวิริยะ, อติลีนวิริยะและอภิชัปปา จะไม่ เกดิ ขนึ้ แก่เราได้อกี . นานัตตสัญญา (ความใส่ใจไปในส่ิงต่างๆ) แล เกิดขึ้นแก่เราแล้ว, สมาธิของเราเคล่ือนแล้วเพราะมีนานัตตสัญญาน้ันเป็นต้นเหตุ. เมื่อสมาธิเคลื่อน แลว้ แสงสว่างและการเห็นรูปย่อมหายไป. เราจักกระทําโดยประการท่ี กลับไปสารบัญ
๗๘ พทุ ธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ วิจิกิจฉา, อมนสิการ, ถีนมิทธะ, ฉัมภิตัตตะ, อุพพิละ, ทุฎฐุลละ, อัจจารัทธวิริยะ, อติลนี วริ ิยะ, อภชิ ปั ปา, และนานตั ตสญั ญา จะไมเ่ กิดแก่เราได้อีก. รูปปาน อตนิ ิชฌายิตตั ตะ (ความเพ่งตอ่ รูปทง้ั หลายจนเกินไป) แล เกิดขึ้น แก่เราแล้ว, สมาธิของเราเคล่ือนแล้ว เพราะมีอตินิชฌายิตัตตะเป็นต้นเหตุ. เมื่อสมาธิเคล่ือนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปย่อมหายไป. เราจักกระทําโดย ประการที่วิจิกิจฉา, อมนสิการ, ถีนมิทธะ, ฉัมภิตัตตะ, อุพพิละ, ทุฏฐุลละ, อัจจารัทธวิริยะ, อติลีนวิริยะ, อภิชัปปา, นานัตตสัญญา, และรูปานํ อตนิ ชิ ฌายิตตั ตะ จะไมเ่ กดิ แก่เราได้อกี . ดกู ่อนอนรุ ุทธะ ท.! เรารู้แจ้งชดั วจิ ิกจิ ฉา (เปน็ ต้นเหล่านั้น) ว่าเป็นอุปกิเลส แห่งจติ แล้ว จงึ ละแล้วซงึ่ วิจิกจิ ฉา (เปน็ ตน้ เหลา่ นัน้ ) อันเป็นอปุ กิเลสแหง่ จิต เสีย. ดูก่อนอนุรุทธะ ท.! เราน้ันเม่ือไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอยู่ย่อมจํา แสงสว่างได้ แต่ไม่เห็นรูป (หรือ) ย่อมเห็นรูป แต่จําแสงสว่างไม่ได้เป็นดังน้ี ท้งั คนื บา้ ง ทัง้ วันบา้ ง ทัง้ คนื และทั้งวันบ้าง. ความสงสัยเกิดแก่เราว่าอะไรเป็นเหตุ เป็นป๎จจัย ท่ีเราจําแสงสว่างได้ แต่ไม่เห็นรูป (หรือ) เห็นรูปแต่จําแสงสว่างไม่ได้ ทง้ั คนื บา้ ง ท้งั วนั บา้ ง ท้ังคืนและทั้งวนั บ้าง? ดูก่อนอนุรุทธะ ท.! ความรู้ได้เกิดแก่เราว่า สมัยใดเราไม่ทํา รูปนิมิต ไว้ในใจ แต่ทํา โอภาสนิมิต ไว้ในใจ สมัยนั้นเราย่อมจําแสงสว่างได้ แต่ไม่เห็นรูป. สมัยใดเราไมท่ ําโอภาสนิมิตไวใ้ นใจแตท่ ํารูปนิมิตไว้ในใจ, สมัยนั้นเราย่อมเห็นรูปแต่ จาํ แสงสวา่ งไม่ได้ ตลอดทั้งคืนบ้าง ตลอดทัง้ วันบา้ งตลอดท้ังคืนและทั้งวันบา้ ง. กลบั ไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รัสรู้ ๗๙ ดูก่อนอนุรุทธะ ท.! เราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอยู่ย่อมจํา แสงสวา่ งไดน้ ิดเดียวเห็นรูปก็นิดเดียวบ้าง, จําแสงสว่างมากไม่มีประมาณเห็นรูปก็ มากไม่มีประมาณบ้าง เป็นดังน้ี ท้ังคืนบ้าง ท้ังวันบ้าง ทั้งคืนและท้ังวันบ้าง.ความ สงสัยเกิดแก่เราว่า อะไรเป็นเหตุเป็นป๎จจัย ท่ีเราจําแสงสว่างได้นิดเดียว เห็นรูป ก็นิดเดียวบ้าง, จําแสงสว่างได้มากไม่มีประมาณ เห็นรูปก็มากไม่มีประมาณตลอด ทั้งคนื บา้ งตลอดทั้งวันบา้ ง ตลอดทั้งคืนและทั้งวนั บ้าง? ดูก่อนอนุรุทธะ ท.! ความรู้ได้เกิดแก่เราว่า สมัยใดสมาธิของเราน้อย สมัยนั้นจักขุก็มีน้อย, ด้วยจักขุอันน้อย เราจึงจําแสงสว่างได้น้อย เห็นรูปก็น้อย. สมัยใดสมาธิของเรามากไม่มีประมาณ สมัยน้ันจักขุของเราก็มาก ไม่มีประมาณ, ด้วยจักขุอันมากไม่มีประมาณนั้น เราจึงจําแสงสว่างได้มากไม่มีประมาณเห็นรูป ไดม้ ากไม่มีประมาณ, ตลอดคืนบา้ ง ตลอดวนั บ้าง ตลอดทั้งคนื ทัง้ วนั บ้าง. ดูก่อนอนุรุทธะ ท.! ในกาลที่เรารู้แจ้งว่า (ธรรมมี) วิจิกิจฉา(เป็นต้น เหล่าน้ัน) เป็นอุปกิเลสแห่งจิตแล้ว และละมันเสียได้แล้ว กาลนั้นย่อมเกิด ความรู้สึกข้ึนแก่เราว่า \"อุปกิเลสแห่งจิตของเราเหล่าใด อุปกิเลสนั้น ๆ เราละได้ แลว้ , เด๋ียวน้ี เราเจรญิ แลว้ ซึง่ สมาธิโดยวธิ สี ามอยา่ ง.\" ดูก่อนอนุรุทธะ ท. ! เราเจริญแล้ว ซ่ึงสมาธิอันมีวิตกวิจาร, ซึ่งสมาธิ อันไม่มีวิตก แต่มีวิจารพอประมาณ, ซ่ึงสมาธิอันไม่มีวิตกไม่มีวิจาร, ซึ่งสมาธิอันมี ปิติ, ซ่ึงสมาธิอันหาปีติมิได้, ซ่ึงสมาธิอันเป็นไปกับด้วยความยินดี, และสมาธิอัน เป็นไปกับด้วยอุเบกขา. ดูก่อนอนุรุทธะ ท.! กาลใดสมาธิอันมีวิตกมีวิจาร(เป็นต้น เหล่าน้ันทง้ั ๗ อยา่ ง) เป็นธรรมชาติอนั เราเจริญแล้ว, กาลนน้ั ญาณเปน็ กลับไปสารบัญ
๘๐ พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ เคร่ืองรู้เคร่ืองเห็นเกิดข้ึนแล้วแก่เราว่า \"วิมุติของเราไม่กลับกําเริบ, ชาติน้ีเป็น ชาติสุดทา้ ย, บัดนภี้ พเป็นที่เกิดใหม่ไมม่ อี กี \" ดังนี.้ ๑ ทรงกั้นจิตจากกามคุณในอดตี กอ่ นตรัสร๒ู้ ภิกษุ ท. ! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์ อยู่ มีความรู้สึกเกิดขึ้นว่า กามคุณห้าที่เป็นอดีต ท่ีเราเคยสัมผัสมาแล้วแต่ก่อน ได้ดบั ไปแลว้ เพราะความแปรปรวนก็จริง แต่โดยมากจิตของเราเม่ือจะแล่น ก็แล่น ไปสูก่ ามคุณเป็นอดีตนั้น, น้อยนกั ทจ่ี ะแล่นไปสู่กามคุณในป๎จจุบันหรืออนาคต ดังนี้. ภิกษุ ท. ! ความตกลงใจได้เกิดข้ึนแก่เราสืบไปว่า ความไม่ประมาทและสติ เป็นส่ิง ซึ่งเราผู้หวังประโยชน์แก่ตนเองพึงกระทําให้เป็น เครื่องปูองกันจิต ในเพราะ กามคณุ หา้ อันเปน็ อดีต ทเ่ี ราเคยสมั ผสั มาและดับไปแลว้ เพราะความแปรปรวนนั้น. ________________________________________________________________________ ๑. สมาธเิ จ็ดอยา่ งในท่ีน้ี คงเปน็ ของแปลกและยากทจี่ ะเขา้ ใจสําหรับนกั ศกึ ษาทั่วๆ ไป เพราะ แม้ แตใ่ นอรรถกถาของพระบาลีน้ี กแ็ กไ้ วไ้ มล่ ะเอียด ทา่ นแก้ไวด้ ังน้ี :- (สมาธทิ ่มี ีทั้งวติ ก และวจิ ารทา่ นไม่แก้ เพราะไดแ้ ก่ปฐมฌานนั้นเอง จะโดยจตุกกนยั หรือป๎ญจกนยั กต็ าม). สมาธิทีไ่ มม่ ีวติ ก แต่มวี จิ ารพอประมาณ ได้แก่ ทตุ ิยฌาน สมาธใิ นป๎ญจกนัย. สมาธิทไ่ี มม่ ี วติ กไม่มี วจิ าร ไดแ้ กฌ่ านทงั้ สามเบอ้ื งปลายทั้งในจตกุ กนัยและปญ๎ จกนยั . สมาธิมปี ีติ ไดแ้ ก่ทกุ ติก- ฌานสมาธ.ิ สมาธไิ ม่มีปตี ิ ได้แกท่ กุ ทกุ ฌานสมาธ.ิ สมาธเิ ปน็ ไปกับด้วยความ ยินดีไดแ้ กต่ กิ จตกุ กฌานสมาธิ. สมาธิเปน็ ไปกับดว้ ยอเุ บกขา ได้แก่จตตุ ถฌานแห่งจตกุ กนัย หรือ ป๎ญจมฌานแหง่ ปญ๎ จกนัย. --ปปญ๎ จ. ภ. ๓. น. ๖๑๔. ผปู้ รารถนาทราบรายละเอียด พึงศึกษาจากตําราหรอื ผรู้ ู้สืบไป. สมาธเิ หล่าน้ีตาม อรรถกถากล่าวว่าทรงเจริญในคนื วนั ตรสั รทู้ ีม่ หาโพธิ. ๒. บาลี จตุตถสูตร โลกกามคณุ วรรค สฬา, ส.ํ ๑๘/๑๒๑/๑๗๓. กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๘๑ ภกิ ษุ ท. ! เพราะเหตนุ นั้ ในเร่อื งน้ี, แม้จิตของพวกเธอท้ังหลาย เม่ือจะแล่น กค็ งแล่นไปในกามคุณห้าอันเป็นอดีต ท่ีพวกเธอเคยสัมผัสมาและดับไปแล้วเพราะ ความแปรปรวน (เหมือนกัน)โดยมาก, น้อยนักที่จะแล่นไปสู่กามคุณในป๎จจุบันหรือ อนาคต. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุน้ัน ในเร่ืองน้ีความไม่ประมาทและสติ จึงเป็นสิ่งที่ พวกเธอผหู้ วงั ประโยชน์แก่ตวั เอง พงึ กระทําใหเ้ ปน็ เครื่องปูองกันจิต ในเพราะเหตุ กามคุณห้าอันเป็นอดีต ท่ีพวกเธอเคยสัมผัสมาและดับไปแล้ว เพราะความ แปรปรวนน้ัน. ทรงค้นวธิ ีแห่งอิทธบิ าท ก่อนตรัสรู้๑ ภิกษุ ท. ! คร้ังก่อนแต่การตรัสรู้ เม่ือเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็น โพธิสัตว์อยู่ มีความสงสัยเกิดขึ้นว่า อะไรหนอ เป็นหนทาง เป็นข้อปฏิบัติ ๒ เพือ่ ความเจรญิ แหง่ อิทธบิ าท? ภิกษุ ท.! ความรู้ข้อน้ีเกิดข้ึนแก่เราว่า ภิกษุ๓ น้ันๆ ย่อมเจริญอิทธิบาท อันประกอบพร้อมด้วยธรรมเครื่องปรุงแต่ง มีสมาธิอาศัยฉันทะเป็นปธาน- กิจ ว่า ด้วยอาการอย่างนี้ ฉันทะของเราย่อมมีในลักษณะที่จักไม่ย่อหย่อน,ที่จักไม่ เข้มงวดเกิน, ที่จักไม่สยบอยู่ในภายใน, ที่จักไม่ส่ายไปในภายนอก ; และเราเป็นผู้มี ความร้สู กึ ทง้ั ในกาลกอ่ นและกาลเบอื้ งหน้าอยู่ด้วย : ก่อนน้เี ป็นเช่นใด ________________________________________________________________________ ๑. ปฐมสูตร อโยคุฬวรรค มหาวาร. สํ.๑๙/๓๖๒/๑๒๐๕. ๒. มีขอ้ ความอีกสูตรหนึง่ (มหาวาร.ส.ํ ๑๙/๓๓๙/๑๑๓๖) ซง่ึ มขี อ้ ความเหมอื นกบั สตู รนีต้ ลอด เรอื่ ง, ผดิ กนั แต่ใชค้ าํ วา่ \"เปน็ เหตุ เปน็ ปจ๎ จยั \" แทนคาํ วา่ \"เป็นหนทาง เปน็ ข้อปฏิบตั ิ\" ดังที่ ปรากฏอยใู่ นสตู รนี.้ ๓. นกั บวชชนดิ ภิกษนุ นั้ มีอยูก่ อ่ นพระองคอ์ ุบัติ. กลบั ไปสารบัญ
๘๒ พทุ ธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ต่อไปก็เช่นนั้น, ต่อไปเป็นเช่นใด ก่อนนี้ก็เช่นนั้น, เบ้ืองล่างเช่นใด เบ้ืองบนก็ เช่นน้ัน, เบื้องบนเช่นใดเบื้องล่างก็เช่นน้ัน, กลางคืนเหมือนกลางวัน, กลางวัน เหมือนกลางคืน : เธอยอ่ มอบรมจิตอันมีแสงสว่างดว้ ยทัง้ จิตอันเปิดแล้ว ไม่มีอะไร พัวพนั ให้เจรญิ อยูด่ ว้ ยอาการอยา่ งน้ี. (ข้อต่อไปอีก ๓ ข้อก็เหมือนกัน แปลกแต่ช่ือแห่งอิทธิบาทเป็น วิริยะ จิตตะ วิมังสา, เท่านัน้ . พระองคท์ รงพบการเจริญอิทธิบาท ดว้ ยวธิ คี ดิ ค้นอยา่ งน)ี้ . ทรงคิดค้นเรอื่ งเบญจขนั ธ์ กอ่ นตรสั รู้๑ ภิกษุ ท. ! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เม่ือเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ความสงสัยได้เกิดขึ้นแก่เราว่า อะไรหนอ เป็นรสอร่อยของรูป, อะไรเป็นโทษ ของรปู , อะไรเป็นอุบายเคร่ืองพ้นไปได้จากรูป? อะไรหนอเป็นรสอร่อยของเวทนา ...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ, อะไรเป็นโทษของเวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ, อะไรเปน็ อุบายเครือ่ งพน้ ไปได้จากเวทนา...สัญญา...สงั ขาร...วญิ ญาณ? ภิกษุ ท. ! ความรู้ข้อนี้ได้เกิดข้ึนแก่เราว่า สุขโสมนัสใดๆ ที่อาศัยรูปแล้ว เกิดข้นึ สุขและโสมนสั น้ันและเปน็ รสอรอ่ ยของรูป; รปู ไม่เทย่ี ง เปน็ ทุกข์ทรมาน มีการแปรปรวนเปน็ ธรรมดา ดว้ ยอาการใด อาการนัน้ เป็น โทษของรูป;การนําออก เสียได้ ซึ่งความกําหนัดด้วยอํานาจความพอใจ การละความกําหนัดด้วยอํานาจ ความพอใจ ในรปู เสยี ได้ นัน้ เปน็ อุบายเครือ่ งออกไปพ้นจากรปู ได้. (ในเวทนา...สญั ญา...สังขาร...วญิ ญาณ ก็นยั เดียวกัน). ภิกษุ ท. ! ตลอดเวลาเพียงไร ที่เรายังไม่รู้จักรสอร่อยของอุปาทานขันธ์ ทัง้ หา้ วา่ เปน็ รสอรอ่ ย ไมร่ จู้ ักโทษว่าเปน็ โทษ ไมร่ ูจ้ ักอุบายเครือ่ งออกวา่ เป็น ________________________________________________________________________ ๑. บาลี ปญ๎ จมสูตร ภารวรรค ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๔/๕๙. กลบั ไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รัสรู้ ๘๓ อุบายเคร่ืองออก ตามที่เป็นจริง, ตลอดเวลาเพียงนั้น เรายังไม่รู้สึกว่าได้ตรัสรู้ พร้อมเฉพาะซ่ึงอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกนี้พร้อมท้ังเทวดา มาร พรหม หมสู่ ัตว์พรอ้ มทง้ั สมณพราหมณ์ เทวดา พร้อมทัง้ มนษุ ย.์ ภิกษุ ท.! เม่ือใดแล เรารู้จักรสอร่อยของอุปาทานขันธ์ทั้งห้าว่าเป็น รสอรอ่ ย รจู้ กั โทษว่าเปน็ โทษ รู้จักอุบายเคร่ืองออกว่าเป็นอุบายเครื่องออก ตามท่ี เป็นจริง, เมื่อนั้น เราก็รู้สึกว่าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซ่ึงอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมท้ังเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาพร้อม ทง้ั มนุษย์. ก็แหละญาณทศั นะเครอ่ื งรู้เครือ่ งเห็น เกิดขึ้นแล้วแกเ่ ราว่า ความหลุดพ้น ของเราไม่กลับกําเริบ, ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย, บัดนี้ภพเป็นท่ีเกิดใหม่ มิได้มีอีก, ดงั น.้ี นอกจากการคิดค้นเรื่องเบญจขันธ์นี้แล้ว ยังมีการคิดค้นอีก ๓ เรื่อง ด้วยวิธีการณ์ท่ี บรรยายไว้เป็นคําพูดอย่างเดียวกัน กับเรื่องน้ี ทุกระเบียบอักษร คือคิดค้นเรื่อง ธาตุสี่ (นิทาน.สํ. ๑๖/๒๐๓/๔๐๔), เร่ือง อายตนะภายในหก (สฬา.สํ.๑๘/๘/๑๓), และเรอ่ื ง อายตนะภายนอกหก (สฬา.สํ.๑๘/๙/๑๔). -ผู้รวบรวม. ทรงคดิ ค้นเรอื่ งเวทนาโดยละเอยี ด กอ่ นตรสั รู้๑ ภิกษุ ท.! คร้ังก่อนแต่การตรัสรู้ เม่ือเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่, ความสงสัยได้เกิดขึ้นแก่เราว่า อะไรหนอเป็นเวทนา? อะไรเป็นความเกิดขึ้นพร้อม แห่งเวทนา? อะไรเป็นปฏิปทาให้ถึงความเกิดขึ้นพร้อมแห่งเวทนา? อะไรเป็น ความดับไมเ่ หลือแหง่ เวทนา? อะไรเป็นปฏิปทาใหถ้ ึงความดับไม่เหลือแหง่ เวทนา? ________________________________________________________________________ ๑. บาลี สตู รที่ ๔ เวทนาสยํ ุตต์ สฬา.ส.ํ ๑๘/๒๘๙/๔๓๙. กลบั ไปสารบัญ
๘๔ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ อะไรเป็นรสอร่อยของเวทนา? อะไรเปน็ โทษของเวทนา? อะไรเปน็ อบุ ายเคร่อื งพ้น ไปไดจ้ ากเวทนา? ภิกษุ ท.! ความรู้ข้อนี้ได้เกิดข้ึนแก่เราว่า เวทนา ๓ อย่าง เหล่าน้ีคือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา, เหล่าน้ีเรียกว่า เวทนา; ความเกิด ข้ึนพร้อมแห่งเวทนา ย่อมมี เพราะความเกิดข้ึนพร้อมแห่งผัสสะ; ตัณหาเป็น ปฏิปทาให้ถึงความเกิดข้ึนพร้อมแห่งเวทนา; ความดับไม่เหลือแห่งเวทนา ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ; มรรคอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์แปด ประการนี้เอง เป็น ปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งเวทนา, ได้แก่สิ่งเหล่าน้ีคือ ความเห็นที่ถูกต้อง ความดําริท่ีถูกต้อง การพูดจาท่ีถูกต้อง การทําการงานท่ี ถูกต้อง การเล้ียงชีวิตท่ีถูกต้อง ความพากเพียรที่ถูกต้อง ความรําลึกที่ถูกต้อง ความต้ังใจม่ันคงท่ีถูกต้อง ; สุขโสมนัสใด ๆ ท่ีอาศัยเวทนาแล้วเกิดข้ึน, สุขและ โสมนัสน้ันแลเป็น รสอรอ่ ยของเวทนา; เวทนาไมเ่ ที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวน เป็นธรรมดาด้วยอาการใด,อาการน้ันเป็น โทษของเวทนา; การนําออกเสียได้ซึ่ง ความกําหนัดด้วยอํานาจความพอใจ การละความกําหนัดด้วยอํานาจความพอใจ ในเวทนาเสยี ได้น้นั เปน็ อุบายเคร่อื งออกไปพ้นจากเวทนาได้ ดังน้ี. ๑ ภิกษุ ท.! จักษุ ญาณ ป๎ญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรม ท. ท่ีไม่เคยฟ๎งมาแต่ก่อน ว่า \"เหล่านี้ คือ เวทนา ท.\":...๒ ว่า \"น้ี คือความเกิดขึ้นพร้อมแห่งเวทนา\";...ว่า \"นี้ คือปฏิปทาให้ถึงความเกิดข้ึน พร้อมแหง่ เวทนา\";...วา่ \"นี้ คอื ความดับไม่เหลอื แหง่ เวทนา\";...ว่า \"น้ี คือปฏปิ ทาให้ ________________________________________________________________________ ๑. บาลี สฬา. สํ.๑๘/๒๘๙/๔๔๐. ตรสั แก่ภกิ ษุทง้ั หลาย ๒. ทใี่ สจ่ ุดๆ (...) ไวเ้ ช่นน้ี ท้ังตรงน้แี ละต่อไป มคี ําเต็มเหมือนข้างต้น คอื เรม่ิ แต่คําวา่ \"ภกิ ษุ ท.! จกั ษุ ญาณ...(ถึงคําว่า)..มาแตก่ อ่ น\" กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๘๕ ถึงความดบั ไมเ่ หลอื แห่งเวทนา\";...ว่า \"น้ี คอื รสอรอ่ ยของเวทนา\";...ว่า \"น้ี คอื โทษของเวทนา\";...ว่า \"น้ี คอื อบุ ายเครือ่ งออกไปพน้ จากเวทนา\"; ดงั นี.้ ทรงแสวงเน่ืองด้วยเบญจขนั ธ์ กอ่ นตรัสร๑ู้ ภกิ ษุ ท. ! เราได้เทยี่ วแสวงหาแล้วซ่งึ รสอร่อยของรูป, เราได้พบรสอร่อย ของรูปน้ันแล้ว,รสอร่อยของรูปมีประมาณเท่าใด เราเห็นมันแล้วเป็นอย่างดีด้วย ป๎ญญาของเรา มีประมาณเทา่ นน้ั . ภิกษุ ท. ! เราได้เที่ยวแสวงหาให้พบ โทษของรูป, เราได้พบโทษของรูปนั้น แล้ว. โทษของรูปมีประมาณเท่าใด เราเห็นมันแล้วเป็นอย่างดีด้วยป๎ญญาของเรา เท่านัน้ . ภิกษุ ท. ! เราได้เที่ยวแสวงหาแล้ว ซึ่ง อุบายเป็นเคร่ืองออกจากรูป, เราได้พบอุบายเคร่ืองออกจากรูปนั้นแล้ว. อุบายเครื่องออกจากรูปมีประมาณ เทา่ ใดเราเหน็ มนั แล้วเป็นอยา่ งดี ด้วยป๎ญญาของเรา เทา่ นั้น. (ในเวทนาและสัญญา สังขาร วิญญาณ ก็มนี ยั อย่างเดียวกัน. และตอนท้ายก็มีว่า ยังไม่ พบโทษของรูปเป็นต้นเพียงใด ยังไม่ชื่อว่าได้ตรัสรู้เพียงนั้น. ต่อเมื่อทรงพบแล้วจึงชื่อว่าตรัสรู้ และมีชาติส้ินแล้ว ภพใหม่ไม่มีอีกต่อไป เหมือนกันทุก ๆ ส่ิงท่ีพระองค์ทรงค้น ซึ่งยังมีอีก ๓ อย่างคือเรื่อง ธาตุ ๔, เรื่อง อายตนะภายใน ๖, และ อายตนะภายนอก ๖; เห็นว่าอาการ เหมือนกันหมดตา่ งกนั แต่เพียงชื่อจึงไม่นํามาใส่ไวใ้ นทีน่ ด้ี ว้ ย). ________________________________________________________________________ ๑. บาลี ฉฏั ฐสูตร ภารวรรค ขนฺธ. สํ.๑๗/๓๖/๖๑. กลับไปสารบัญ
๘๖ พุทธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ทรงค้นลกู โซแ่ หง่ ทกุ ข์ ก่อนตรสั รู้๑ ภิกษุ ท.! คร้ังก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็น โพธิสัตว์อยู่, ได้เกิดความรู้สึกอันน้ีขึ้นว่า \"สัตว์โลกน้ีหนอ ถึงท่ัวแล้วซึ่งความ ยากเข็ญ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติ และบังเกิดอีก, ก็เมื่อสัตว์โบกไม่รู้จักอุบาย เครื่องออกไปพ้นจากทุกข์คือชรามรณะแล้ว การออกจากทุกข์ คือชรามรณะน้ี จกั ปรากฏขนึ้ ได้อยา่ งไร\". ภิกษุ ท. ! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า \"เมื่ออะไรมีอยู่หนอชรามรณะ จงึ ไดม้ ี : ชรามรณะ มเี พราะป๎จจยั อะไรหนอ\". ภิกษุ ท. ! ได้เกิดความรู้สึกด้วยป๎ญญา, เพราะการคิดโดยแยบคาย,แก่เรา วา่ \"เพราะ ชาติ น่เี องมีอยู่ ชรามรณะจงึ ได้มี : ชรามรณะมเี พราะชาติเปน็ ปจ๎ จยั ; - เพราะ ภพ น่เี องมีอยู่ ชาติจงึ ไดม้ ี : ชาตมิ ีเพราะภพเป็นปจ๎ จัย; - เพราะ อุปาทาน นี่เอง มอี ยู่ ภพจึงได้มี : ภพมเี พราะอุปาทานเปน็ ป๎จจยั ; - เพราะ ตัณหา นี่เองมีอยู่ อุปาทานจึงได้มี : อุปาทานมีเพราะตัณหาเปน็ ป๎จจยั ; - เพราะ เวทนา นเี่ องมีอยู่ ตัณหาจึงได้มี : ตณั หามเี พราะเวทนาเป็น ป๎จจยั ; - เพราะ ผัสสะ นเ่ี องมอี ยู่ เวทนาจึงได้มี : เวทนามเี พราะผสั สะเปน็ ป๎จจยั ; ________________________________________________________________________ ๑. ทสมสูตร พุทธวรรค อภิสมยสยํ ุตต์ นทิ าน. สํ. ๑๖/๑๑/๒๖. กลับไปสารบัญ
ออกผนวช - จนได้ตรสั รู้ ๘๗ - เพราะ สฬายตนะ น่ีเองมีอยู่ ผัสสะจึงได้มี : ผัสสะมีเพราะสฬายตนะ เปน็ ป๎จจยั ; - เพราะ นามรปู นี่เองมีอยู่ สฬายตนะจึงได้มี : สฬายตนะมีเพราะนามรูป เปน็ ปจ๎ จัย; - เพราะ วญิ ญาณ นี่เองมีอยู่ นามรูปจึงได้มี : นามรูปมีเพราะวิญญาณเป็น ปจ๎ จัย ; - เพราะ สังขาร นี่เองมีอยู่ วิญญาณจึงได้มี : วิญญาณมีเพราะสังขารเป็น ป๎จจยั ; - เพราะ อวิชชา น่ีเองมีอยู่ สังขาร ท. จึงได้มี : สังขาร ท. มีเพราะ อวิชชาเป็นป๎จจัย;\" ดังน้ี : เพราะอวิชชาเป็นป๎จจัย จึงเกิดสังขาร ท.; เพราะ สังขารเป็นป๎จจัย จึงเกิดวิญญาณ; เพราะวิญญาณเป็นป๎จจัย จึงเกิดนามรูป; เพราะนามรูปเป็นป๎จจัย จึงเกิดสฬายตนะ; เพราะสฬายตนะเป็นป๎จจัย จึงเกิด ผัสสะ; เพราะผัสสะเป็นป๎จจัย จึงเกิดเวทนา; เพราะเวทนาเป็นป๎จจัย จึงเกิด ตณั หา; เพราะตณั หาเป็นป๎จจัย จึงเกิดอุปาทาน; เพราะอุปาทานเป็นป๎จจัย จึงเกิด ภพ; เพราะภพเป็นป๎จจัย จึงเกิดชาติ; เพราะชาติเป็นป๎จจัย จึงมีชรามารณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส อุปายาส ท. : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ท้ังสิ้น ยอ่ มมไี ด้ด้วยอาการอยา่ งน.้ี ภิกษุ ท. ! ดวงตา ญาณ ป๎ญญา วิชชา แสงสว่าง ในส่ิงท่ีเราไม่เคยฟ๎งมา แต่ก่อน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความเกิดขึ้นพร้อม! ความเกิดขึ้นพร้อม! ย่อมมี ด้วยอาการอย่างน.้ี .... .... .... ภิกษุ ท. ! ความฉงนได้มีแก่เราอีกว่า \"เม่ืออะไรไม่มีหนอ ชรามรณะ จงึ ไมม่ ี : เพราะอะไรดบั ไปหนอ ชรามรณะจงึ ดับไป\". กลับไปสารบัญ
๘๘ พุทธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ภิกษุ ท. ! เพราะการคิดโดยแยบคาย, ได้เกิดความรู้สึกด้วยป๎ญญาแก่เรา วา่ \"เพราะชาติ นีเ่ องไมม่ ี ชรามรณะจึงไม่มี : ชรามรณะดับ เพราะชาติดบั ; - เพราะ ภพ นี่เองไมม่ ี ชาติจึงไม่มี : ชาตดิ ับเพราะภพดับ; - เพราะ อปุ าทาน นเี่ องไมม่ ี ภพจึงไม่มี : ภพดับเพราะอุปาทานดับ; - เพราะ ตัณหา นี่เองไม่มี อุปาทานจึงไม่มี : อุปาทานดับ เพราะ ตณั หาดบั ; - เพราะ เวทนา นเ่ี องไม่มี ตัณหาจงึ ไมม่ ี : ตณั หาดบั เพราะเวทนาดับ; - เพราะ ผสั สะ นีเ่ องไม่มี เวทนาจงึ ไมม่ ี : เวทนาดับเพราะผัสสะดบั ; - เพราะ สฬายตนะ นี่เองไม่มี ผัสสะจึงไม่มี : ผัสสะดับ เพราะ สฬายตนะดับ; - เพราะ นามรูป นี่เองไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี : สฬายตนะดับ เพราะ นามรปู ดบั ; - เพราะ วิญญาณ น่ีเองไม่มี นามรูปจึงไม่มี : นามรูปดับ เพราะ วญิ ญาณดบั ; - เพราะ สังขาร นี่เองไม่มี วิญญาณจึงไม่มี : วิญญาณดับ เพราะ สังขารดับ; - เพราะ อวิชชา นี่เองไม่มี สังขาร ท. จึงไม่มี : สังขารดับเพราะอวิชชา ดับ;\" ดังน้ี : เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ; เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ; เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ; เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ; เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ; เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ; เพราะเวทนาดับ ตณั หาจึงดบั ; เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดบั ; เพราะอปุ าทานดบั ภพจึงดับ; กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๘๙ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ; เพราะชาติดับ ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส อุปายาสจงึ ดับ: ความดับไม่เหลอื แหง่ กองทุกขท์ ้งั สน้ิ ยอ่ มมีได้ด้วยอาการอยา่ งนี้. ภิกษุ ท. ! ดวงตา ญาณ ป๎ญญา วิชชา แสงสว่าง ในสิ่งที่เราไม่เคยฟ๎งมา แต่ก่อน ไดเ้ กดิ ข้นึ แล้วแก่เราวา่ ความดบั ไมเ่ หลอื ! ความดับไม่เหลือ ! ย่อมมีด้วย อาการอยา่ งน้ี. ทรงคน้ ลูกโซแ่ หง่ ทกุ ข์ ก่อนตรสั รู้ (อีกนยั หนงึ่ )๑ ภิกษุ ท.! คร้ังก่อนแต่การตรัสรู้ เม่ือเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็น โพธสิ ัตว์อยู่, ได้เกิดความรู้สึกอันน้ีขึ้นว่า \"สัตว์โลกน้ีหนอ ถึงแล้วซึ่งความยากเข็ญ ย่อมเกิด ย่อมแก่ ย่อมตาย ย่อมจุติ และย่อมอุบัติ,ก็เมื่อสัตว์โลกไม่รู้จักอุบาย เครื่องออกไปพ้นจากทุกข์ คือชรามรณะแล้ว การออกจากทุกข์ คือชรามรณะนี้ จักปรากฏขึ้นไดอ้ ย่างไร.\" ภิกษุ ท. ! ความฉงนน้ีได้เกิดข้ึนแก่เราว่า \"เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชรามรณะ จึงได้มี : เพราะมอี ะไรเปน็ ป๎จจยั หนอ จงึ มชี รามรณะ\" ดงั นี้. ภิกษุ ท. ! ได้เกิดความรู้สึกด้วยป๎ญญา เพราะการทําในใจโดยแยบคาย, แก่เราว่า \"เพราะชาติ นน่ั แล มีอยู่ ชรามรณะ จึงได้มี : เพราะมีชาติเป็นป๎จจัยจึงมี ชรามรณะ\" ดังน้ี. ....๒เพราะ ภพ น่ันแล มอี ยู่ ชาติ จงึ ได้มี : เพราะมีภพเป็นป๎จจยั จึงมชี าต\"ิ ดงั น้ี. _____________________________________________________________ ๑. สตู รท่ี ๕ มหาวรรค อภิสมยสยํ ตุ ต์ นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๑๒๖/๒๕๐. ตรสั แก่ภิกษุ ท. ทเ่ี ชตวนั . ๒. ขอ้ ความตามทล่ี ะ... ไว้น้นั หมายความวา่ ได้มีความฉงนเกดิ ข้นึ ทุกๆตอน แล้วทรงทํา ในใจโดยแยบคาย จนความร้แู จ้งเกดิ ข้นึ ทกุ ๆ ตอน เปน็ ลําดบั ไปจนถงึ ทสี่ ดุ ท้ังฝุาย สมทุ ยวารและนโิ รธวาร; ในท่ีน้ลี ะไว้โดยนยั ที่ผ้อู า่ นอาจจะเข้าใจเอาเองได้; คอื เป็นการ ตัดความรําคาญในการอ่าน. กลบั ไปสารบัญ
๙๐ พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ...เพราะ อุปาทาน นั่นแล มีอยู่ ภพ จึงได้มี : เพราะมีอุปาทานเป็นป๎จจัย จงึ มภี พ\"ดังน.้ี ...เพราะ ตัณหา นั่นแล มีอยู่ อุปาทาน จึงได้มี : เพราะมีตัณหาเป็นป๎จจัย จึงมีอปุ าทาน\" ดงั น้.ี ...เพราะ เวทนา น่ันแล มีอยู่ ตัณหา จึงได้มี : เพราะมีเวทนาเป็นป๎จจัย จึงมตี ัณหา\" ดงั นี.้ ...เพราะ ผสั สะ น่ันแล มอี ยู่ เวทนา จงึ ไดม้ ี : เพราะมผี สั สะเป็นปจ๎ จัย จึงมี เวทนา\"ดังน.ี้ ...เพราะ สฬายตนะ น่ันแล มีอยู่ ผัสสะ จึงได้มี : เพราะมีสฬายตนะเป็น ป๎จจัย จงึ มีผัสสะ ดงั นี้. ...เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ สฬายตนะ จึงได้มี : เพราะมีนามรูปเป็น ปจ๎ จยั จงึ มสี ฬายตนะ\" ดงั น้.ี ...เพราะ วิญญาณ นั่นแล มีอยู่ นามรูป จึงได้มี : เพราะมีวิญญาณเป็น ป๎จจัย จึงมีนามรปู ดงั น้.ี ภิกษุ ท. ! ความฉงนนไี้ ดเ้ กิดขน้ึ แก่เราว่า \"เมือ่ อะไรมอี ยูห่ นอ วญิ ญาณ จึงไดม้ ี : เพราะมอี ะไรเป็นปจ๎ จยั จึงมวี ญิ ญาณ\" ดงั น.้ี ภิกษุ ท. ! ความรู้สึกอย่างยิ่งด้วยป๎ญญา เพราะการทําในใจโดยแยบคาย ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า \"เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ วิญญาณ จึงได้มี : เพราะมี นามรปู เปน็ ป๎จจัย จงึ มีวิญญาณ\" ดังนี้. ภิกษุ ท. ! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดข้ึนแก่เราว่า \"วิญญาณน้ี ย่อมเวียนกลับ จากนามรูป : ย่อมไม่เลยไปอ่ืน; ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พงึ ตายบา้ ง พงึ จุติบา้ ง พงึ อุบตั ิบ้าง : ข้อนไ้ี ด้แกก่ ารที่ เพราะมนี ามรปู กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รัสรู้ ๙๑ เปน็ ป๎จจัย จงึ มีวญิ ญาณ; เพราะมีวิญญาณเป็นป๎จจัย จึงมีนามรูป; เพราะมีนามรูป เป็นปจ๎ จัย จึงมีสฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเป็นป๎จจัย จึงมีผัสสะ; เพราะมีผัสสะ เป็นป๎จจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเป็นป๎จจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหาเป็น ป๎จจัย จึงมีอุปาทาน; เพราะมีอุปาทานเป็นป๎จจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเป็นป๎จจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติเป็นป๎จจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส ทง้ั หลาย จงึ เกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วย อาการอยา่ งนี.้ \" ภิกษุ ท. ! ดวงตา เกิดขึ้นแล้ว ญาณ เกิดขึ้นแล้ว ป๎ญญา เกิดข้ึนแล้ว วิชชา เกิดข้ึนแล้ว แสงสว่าง เกิดข้ึนแล้ว แก่เรา ในธรรมท้ังหลายท่ีเราไม่เคยฟ๎ง มาแต่กอ่ นว่า \"ความเกิดข้ึนพร้อม (สมุทัย) ! ความเกิดข้ึนพร้อม (สมุทยั )!” ดงั น.ี้ ... ... ... ภิกษุ ท.! ความฉงนน้ีได้เกิดข้ึนแก่เราต่อไปว่า \"เม่ืออะไรไม่มีหนอ ชรามรณะ จึงไมม่ ี : เพราะความดบั แหง่ อะไร จึงมคี วามดบั แหง่ ชรามรณะ\" ดังน.้ี ภิกษุ ท. ! ความรู้แจ้งอย่างยิ่งด้วยป๎ญญา เพราะการทําในใจโดยแยบคาย ไดเ้ กดิ ขน้ึ แก่เราว่า \"เพราะ ชาติ น่ันแล ไม่มี ชรามรณะ จึงไม่มี : เพราะความดับ แห่งชาติ จงึ มคี วามดับแห่งชรามรณะ\" ดงั น้ี. ... เพราะ ภพ นั่นแล ไม่มี ชาติ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่งภพ จงึ มีความดับแหง่ ชาติ\" ดงั น.ี้ ... เพราะ อุปาทาน นั่นแล ไม่มี ภพ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่ง อปุ าทาน จงึ มคี วามดับแหง่ ภพ\" ดังน้ี. ... เพราะ ตัณหา นั่นแล ไม่มี อุปาทาน จึงไม่มี: เพราะความดับแห่ง ตณั หา จึงมีความดับแห่งอปุ าทาน\" ดงั น้.ี กลบั ไปสารบัญ
๙๒ พุทธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ... เพราะ เวทนา น่ันแล ไม่มี ตัณหา จึงไม่มี : เพราะความดับแห่งเวทนา จงึ มคี วามดับแห่งตัณหา\" ดังน.้ี ... เพราะ ผัสสะ น่ันแล ไม่มี เวทนา จึงไม่มี : เพราะความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา\" ดงั นี.้ ... เพราะ สฬายตะ น่ันแล ไม่มี ผัสสะ จึงไม่มี : เพราะความดับ แห่งสฬายตนะ จึงมีความดบั แหง่ ผสั สะ\" ดังนี้. ... เพราะ นามรูป นั่นแล ไม่มี สฬายตนะ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่ง นามรูป จงึ มคี วามดบั แหง่ สฬายตนะ\" ดงั นี.้ ... เพราะ วิญญาณ น่ันแล ไม่มี นามรูป จึงไม่มี : เพราะความดับแห่ง วญิ ญาณ จึงมีความดับแห่งนามรปู \" ดงั นี้. ภิกษุ ท. ! ความฉงนน้ีได้เกิดข้ึนแก่เราว่า \"เมื่อะไรไม่มีหนอ วิญญาณ จึงไม่มี : เพราะความดับแหง่ อะไร จงึ มคี วามดบั แห่งวิญญาณ\" ดังน.้ี ภิกษุ ท. ! ความรู้แจ้งอย่างย่ิงด้วยป๎ญญา เพราะการทําในใจโดยแยบคาย ได้เกิดข้ึนแก่เราว่า \"เพราะ นามรูป นั่นแล ไม่มี วิญญาณ จึงไม่มี : เพราะความ ดบั แหง่ นามรปู จงึ มีความดบั แหง่ วญิ ญาณ\" ดงั น้.ี ภิกษุ ท. ! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า \"หนทางเพื่อการตรัสรู้นี้ อันเราได้ถึงทับแล้วแล : ได้แก่ส่ิงเหล่าน้ีคือ เพราะความดับแห่งนามรูป จึงมี ความดับแห่งวิญญาณ; เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป; เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ; เพราะมีความดับ แหง่ สฬายตนะจงึ มีความดับแห่งผสั สะ; เพราะมีความดับแห่งผสั สะ จงึ มีความดับ แห่งเวทนา; เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา; เพราะมีความ ดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน; เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมี ความดับแหง่ ภพ; กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๙๓ เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ; เพราะมีความดับแห่งชาติน่ันแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสท้ังหลาย จึงดับส้ิน : ความดับลง แห่งกองทุกข์ทัง้ ส้นิ น้ี ย่อมมีด้วยอาการอยา่ งนี.้ \" ภิกษุ ท.! ดวงตา เกิดข้ึนแล้ว ญาณ เกิดข้ึนแล้ว ป๎ญญา เกิดขึ้นแล้ว วิชชา เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่าง เกิดข้ึนแล้ว แก่เรา ในธรรมทั้งหลายท่ีเราไม่เคยฟ๎ง มาแตก่ อ่ นว่า \"ความดบั ไม่เหลอื (นโิ รธ) ! ความดับไมเ่ หลอื (นิโรธ)!\" ดงั นี้. ทรงพยายามในอธิเทวญาณทัศนะเป็นขัน้ ๆ กอ่ นตรสั รู้๑ ภิกษุ ท. ! ครง้ั ก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่, เรายอ่ มจาํ แสงสว่างได้ แต่ไม่เห็นรปู ทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้าเราจะจําแสงสว่างได้ด้วย เห็นรูป ท. ได้ด้วยข้อน้ันจักเป็นญาณทัศนะที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นของเรา. ภิกษุ ท. ! โดยสมัยอ่ืนอีก เราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรมีตนส่งไปอยู่ ก็จาแสงสว่างได้ด้วย เห็นรูป ท.ได้ด้วย, แต่ไม่ได้ต้ังอยู่ร่วม ไม่ได้เจรจาร่วม ไม่ได้โต้ตอบร่วม กับเทวดาท้งั หลายเหลา่ น้ันๆ. ภิกษุ ท.! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้าเราจะจําแสงสว่างเป็นต้น ก็ได้ด้วย ตลอดถึงการโต้ตอบร่วมกับเทวดา ท.เหล่านั้นๆ ก็ได้ด้วย. ข้อน้ัน จักเป็นญาณทัศนะท่ีบริสุทธ์ิยิ่งของเรา. ภิกษุ ท.! โดยสมัยอ่ืนอีก เราเป็น ผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอยู่ ก็...โต้ตอบกับเทวดา ท.เหล่าน้ันๆได้ด้วย แต่ไมร่ ไู้ ด้วา่ เทวดาเหล่าน้ี ๆ มาจากเทพนกิ ายไหนๆ. ________________________________________________________________________ ๑. ตรสั แก่ภิกษุท้ังหลาย ที่ตาํ บลคยาสสี ะ, บาลจี าลวรรค อฎฐฺ ก. อ.ํ ๒๓/๓๑๑/๑๖๑. กลับไปสารบัญ
๙๔ พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ภิกษุ ท. ! ความรู้สึกได้เกิดข้ึนแก่เราว่า ถ้าเราจะจําแสงสว่างเป็นต้น ก็ได้ด้วย ตลอดถึงการรู้ได้ว่า เทวดาเหล่านี้ๆ มาจากเทพนิกายน้ันๆ ด้วยแล้ว ข้อนั้นจักเป็นญาณทัศนะท่ีบริสุทธ์ิยิ่งข้ึน ของเราภิกษุ ท. ! โดยสมัยอ่ืนอีก เราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอยู่ ก็...รู้ได้ว่าเทวดาเหล่านี้ มาจากเทพ นิกายน้ัน ๆ แต่ไม่รู้ได้ว่า เทวดาเหล่านี้ๆ เคลื่อนจากโลกน้ีไปอุบัติในโลกน้ัน ๆ ดว้ ยวิบากแห่งกรรมอยา่ งไหน. ภิกษุ ท. ! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้าเราจะจําแสงสว่างเป็นต้น ก็ได้ด้วย ตลอดจนถึงรู้ได้ด้วยว่า เทวดาเหล่านี้ๆ เคล่ือนจากโลกน้ีไปอุบัติ ในโลกน้ันได้ด้วยวิบากของกรรมอย่างนี้ๆแล้ว ข้อน้ัน จักเป็นญาณทัศนะที่บริสุทธ์ิ ยิ่งข้ึน ของเรา. ภิกษุ ท.! โดยสมัยอ่ืนอีก เราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตน สง่ ไปแลว้ แลอยู่ ก.็ ..รู้ไดว้ ่า เทวดาเหล่านี้ ๆ เคลื่อนจากโลกนี้ไปอุบัติในโลกนั้นได้ ด้วยวิบากของกรรมอย่างน้ีๆ แต่ไม่รู้ได้ว่า เทวดาเหล่าน้ีๆ มีอาหารอย่างนี้ๆ มีปรกติเสวยสุขและทุกขอ์ ย่างน้ๆี ..เทวดาเหลา่ น้ีๆ มีอายุยืนเท่าน้ีๆ ตั้งอยู่ได้นาน เท่านี้ๆ ...เราเองเคยอยู่ร่วมกับเทวดา ท. เหล่าน้ี หรือไม่เคยอยู่ร่วมหนอ. ภิกษุ ท. ! โดยสมัยอื่นอีก เราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปแล้วแลอยู่ ก.็ ..ร้ไู ดต้ ลอดถึงข้อวา่ เราเคยอยู่ร่วมกบั เทวดา ท.เหล่านี้ๆ หรือไม่ แลว้ . ภิกษุ ท. ! ตลอดเวลาเพียงไร ท่ี ญาณทัศนะที่เป็นไปทับซึ่งเทวดา อันมี ปริวัฏฏ์แปดอย่างของเรา ยังไม่บริสุทธิ์หมดจดด้วยดีแล้ว, ตลอดเวลาเพียงนั้น เรายงั ไมป่ ฏิญญาว่า ตรัสร้พู รอ้ มเฉพาะซ่ึงอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อม ทัง้ เทวดา มาร พรหม ในหมสู่ ัตว์พร้อมทงั้ สมณพราหมณ์ เทวดาพร้อมทง้ั มนุษย์. ภิกษุ ท. ! เม่ือใดแล ญาณทัศนะที่เป็นไปทับซ่ึงเทวดา อันมีปริวัฏฏ์แปด อยา่ งของเรา บรสิ ุทธิห์ มดจดดว้ ยดแี ล้ว, เมือ่ นั้น เราก็ปฏญิ ญาวา่ กลบั ไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๙๕ ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซ่ึงอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาพรอ้ มท้งั มนุษย.์ ก็แหละ ป๎ญญาเครื่องรู้เครื่องเห็นเกิดขึ้นแก่เราว่า ความหลุดพ้นของเรา ไมก่ ลับกําเรบิ ชาตนิ ้เี ปน็ ชาติสุดท้าย บัดน้ีภพเปน็ ที่เกดิ ใหมไ่ มม่ อี ีกตอ่ ไปดังน้ี. ทรงทาลายความขลาด ก่อนตรัสรู้๑ พราหมณ์ ! คร้ังก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์ อยู่ มีความรู้สึกว่า เสนาสนะอันสงัด คือปุาและปุาเปลี่ยว เป็นเสนาสนะยากที่จะ เสพได้ ความสงัดยากท่ีจะทําได้ ยากที่จะยินดีในการอยู่ผู้เดียว ปุาท้ังหลายเป็น ประหน่ึงวา่ นาํ ไปเสยี แล้วซ่งึ ใจแหง่ ภกิ ษุผยู้ ังไมไ่ ดส้ มาธิ. พราหมณ์ ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด มี กรรมทางกาย ไม่บริสุทธิ์ เสพเสนาสนะสงัดคือปุาและปุาเปล่ียวอยู่, เพราะโทษคือกรรมทางกาย อันไม่ บริสุทธิ์ของตนแล สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นย่อมเรียกร้องมาซ่ึงความขลาด และความกลัวอย่างอกุศล. ส่วนเราเอง หาได้เป็นผู้มีกรรมทางกายอันไม่บริสุทธิ์ แล้วเสพเสนาสนะสงัดคือปุาและปุาเปลี่ยวไม่ : เราเป็นผู้มีกรรมทางกายอัน บริสุทธ์ิ.ในบรรดาพระอริยเจ้าทั้งหลายผู้มีกรรมทางกายอันบริสุทธิ์ และ เสพเสนาสนะอันสงัดคอื ปาุ และปุาเปลย่ี ว เราเป็นอรยิ เจา้ องค์หน่ึงในพระอริยเจ้า เหล่าน้ัน. พราหมณ์ ! เรามองเห็นความเป็นผู้มีกรรมทางกายอันบริสุทธิ์ในตนอยู่ จงึ ถงึ ความมีขนอนั ตกสนทิ แล้ว (ไม่ขนพอง) อยใู่ นปุาได้. ________________________________________________________________________ ๑. ภยเภรวสตู ร มูลปรยิ ายวรรค มู.ม. ๑๒/๒๙/๓๐. ทรงเล่าแกช่ าณสุ โสณพี ราหมณ์ ท่ี เชตวัน. กลบั ไปสารบัญ
๙๖ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ พราหมณ์ ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด มี วจีกรรม ไม่บริสุทธิ์. .... มีมโนกรรมไม่บริสุทธิ์, ....มีอาชีวะไม่บริสุทธ์ิ, ....มีอภิชฌามาก มีความกําหนัด แก่กล้าในกามท้ังหลาย, ....มจี ิตพยาบาทมดี าํ ริชั่วในใจ, ....มีถีนมิทธะกลมุ้ รมุ จิต, .... มีจติ ฟงูุ ขึ้นไมส่ งบ, ....มคี วามระแวง มคี วามสงสัย, ....เป็นผู้ยกตนข่มท่าน, .... เป็นผู้มักหวาดเสียว มีชาติแห่งคนขลาด, ....มีความปรารถนาเต็มที่ในลาภ สักการะและสรรเสริญ, ...เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม, ...เป็นผู้ ละสติปราศจาก สัมปชัญญะ, ...มีจิตไม่ต้ังม่ัน มีจิตหมุนไปผิด, ...มีป๎ญญาเส่ือม ทราม เป็นคนพูดบ้าน้ําลาย, .(อย่างหนึ่งๆ)๑ ...เสพเสนาสนะสงัดคือปุาและ ปุาเปลี่ยวอยู่; เพราะโทษ (อย่างหนึ่งๆ) นั้นของตนแล สมณพราหมณ์ผู้เจริญ เหล่านน้ั ยอ่ มเรียกร้องมาซ่ึงความขลาด และความกลวั อยา่ งอกศุ ล. ส่วนเราเองหา ได้เป็นผู้ (ประกอบด้วยโทษน้ันๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง) มีวจีกรรมไม่บริสุทธิ์ (เป็นต้น) ไม่ : เราเป็นผู้มีวจีกรรมอันบริสุทธิ์ (และปราศจากโทษเหล่านั้น ทุกอย่าง). ในบรรดาพระอริยเจ้าท้ังหลายผู้มีวจีกรรมอันบริสุทธิ์ (เป็นต้น) และ เสพเสนาสนะสงัดคือปุาและปุาเปล่ียวเราเป็นอริยเจ้าองค์หนึ่ง ในพระอริยเจ้า เหล่านั้น. พราหมณ์ ! เรามองเห็นความเป็นผู้มีวจีกรรมอันบริสุทธิ์ (เป็นต้น) ใน ตนอยู่จงึ ถงึ ความเปน็ ผูม้ ขี นตกสนิทแลว้ แลอยูใ่ นปาุ ได.้ พราหมณ์ ! ความตกลงใจอันน้ีได้มีแก่เราว่า ถ้ากระไรในราตรีอันกําหนด ได้แล้วว่า เป็นวัน ๑๔, ๑๕ และ ๘ ค่ํา แห่งป๎กข์; สวนอันถือกันว่าศักดิ์สิทธ์ิ ปาุ อนั ถอื กนั วา่ ศักด์สิ ิทธิ์ ตน้ ไม้อนั ถอื กันว่าศักด์ิสทิ ธ์ิ เหล่าใดเป็นท่ีน่าพึงกลัว เป็นที่ ชชู นั แห่งโลมชาติ เราพึงอยใู่ นเสนาสนะเชน่ นน้ั เถดิ บางที ________________________________________________________________________ ๑. บาลีกลา่ วทีละอยา่ ง ๆ ซาํ้ กันรวมทง้ั หมดถึง ๑๖ ครัง้ นบั ต้งั แต่ กรรมทางกาย ลงมา, ซง่ึ เขยี น เตม็ ; สว่ น ๑๕ ครั้งในที่น้ี ใช้ละคราวเดยี วกนั . กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รัสรู้ ๙๗ เราอาจเห็นตัวความขลาดและความกลัวได้. พราหมณ์ ! เราได้อยู่ในเสนาสนะ เชน่ นัน้ ในวนั อนั กําหนดน้นั แล้ว. พราหมณ์ ! เม่ือเราอยู่ในเสนาสนะเช่นนั้น สัตว์ปุาแอบเข้ามา หรือว่านกยูงทํากิ่งไม้แห้งให้ตกลงมา หรือว่าลมพัดหยากเยื่อใบไม้ให้ตกลงมา : ความตกใจกลัวได้เกิดแก่เราว่า นั่นความกลัวและความขลาดมาหาเราเป็นแน่. ความคิดค้นได้มีแก่เราว่า ทําไมหนอ เราจึงเป็นผู้พะวงแต่ในความหวาดกลัว; ถ้าอย่างไร เราจะ หักห้ามความขลาดกลัวนั้น ๆ เสีย โดยอิริยาบถที่ความ ขลาดกลวั นนั้ ๆ มาสเู่ รา. พราหมณ์ ! เมื่อเราจงกรมอยู่ ความกลัวเกิดมีมา เราก็ขืน จงกรม แก้ความขลาด นั้น,ตลอดเวลาน้ัน เราไม่ยืน ไม่นั่ง ไม่นอน. เม่ือเรายืนอยู่ ความกลัวเกิดมีมา เราก็ขืน ยืนแก้ความขลาด นั้น, ตลอดเวลาน้ัน เราไม่จงกรม ไม่นั่ง ไม่นอน. เม่ือเรานั่งอยู่ ความกลัวเกิดมีมา เราก็ขืน นั่งแก้ความขลาด น่ัน, ตลอดเวลานั้น เราไม่จงกรม ไม่ยืน ไม่นอน. พราหมณ์ ! เม่ือเรานอนอยู่ ความขลาดเกิดมีมา เราก็ขืน นอนแก้ความขลาด น้ัน. ตลอดเวลานั้น เราไม่ จงกรม ไม่ยืน ไม่นัง่ เลย. ธรรมทท่ี รงอบรมอย่างมาก ก่อนตรัสรู้๑ ภิกษุ ท. ! ครงั้ กอ่ นแต่การตรัสรู้ เม่ือเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่, เราได้อบรมทําให้มากแล้วซึ่งธรรมห้าอย่าง. ธรรมห้าอย่างอะไรบ้าง? ธรรมห้า อย่างคือ เราไดอ้ บรม อิทธิบาท อนั ประกอบพร้อมด้วยธรรม ________________________________________________________________________ ๑. บาลี อัฎฐมสูตร สัญญาวรรค ปํฺจก. อ.ํ ๒๒/๙๔/๖๘. กลับไปสารบัญ
๙๘ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ เครื่องปรุงแต่ง มีสมาธิอาศัยฉันทะ...วิริยะ...จิตตะ... วิมังสาเป็นปธานกิจ และ ความเพียรมีประมาณโดยยิง่ เปน็ ที่ห้า. ภิกษุ ท.! เพราะความท่ีเราได้อบรมทําให้มากในธรรม มีความเพียร มีประมาณโดยยิ่งเป็นที่ห้า, เราได้น้อมจิตไปเฉพาะต่อธรรมใด ๆ ซ่ึงควรทําให้แจ้ง โดยป๎ญญาอันย่ิง เพ่ือทําให้แจ้งด้วยป๎ญญาอันยิ่งแล้ว, ในธรรมน้ันๆ เราได้ ถงึ แลว้ ซึง่ ความสามารถทาไดจ้ นเปน็ สกั ขพี ยาน ในขณะท่อี ายตนะยังมอี ยู.่ ภิกษุ ท.! ถ้าเราหวังว่า เราพึงมี อิทธิวิธีมีประการต่าง ๆ : ผู้เดียว แปลงรูปเป็นหลายคน, หลายคนเป็นคนเดียว, ทําที่กําบังให้เป็นท่ีแจ้ง, ทําที่แจ้ง ให้เป็นท่ีกําบัง, ไปได้ไม่ขัดข้อง ผ่านทะลุฝาทะลุกําแพง ทะลุภูเขา ดุจไปใน อากาศว่างๆ, ผุดข้ึนและดําลงในแผ่นดินได้ เหมือนในน้ํา, เดินได้เหนือนํ้า เหมอื นเดนิ บนแผน่ ดนิ , ไปได้ในอากาศเหมอื นนกมปี ีก ทัง้ ทีย่ งั น่งั ขดั สมาธคิ ูบ้ ัลลงั ก.์ ลูบคลําดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ อันมีฤทธิ์อานุภาพมากอย่างนี้ได้ ด้วยฝุามือ, และแสดงอํานาจทางกาย เป็นไปตลอดถึงพรหมโลกได้ ดังนี้ก็ตาม, ในอิทธิวิธีน้ัน ๆ เราก็ถงึ แล้วซ่งึ ความสามารถทาํ ได้จนเปน็ สักขีพยาน ในขณะท่ีอายตนะยังมอี ย.ู่ ภิกษุ ท. ! หรือถ้าเราหวังว่า เราพึงทําให้แจ้งซ่ึง...ฯลฯ...เจโตวิมุติ ป๎ญญาวมิ ตุ ิ อนั ไม่มอี าสวะ เพราะหมดอาสวะ ด้วยป๎ญญาอันย่ิงเองในทิฏฐธรรม น้ีเข้าถึงแล้วแลอยู่ ดังน้ีก็ตาม. ในวิชชาน้ัน ๆ เราก็ถึงแล้วซึ่งความสามารถทําได้ จนเป็นสกั ขีพยาน ในขณะท่อี ายตนะยงั มอี ยู่. วิหารธรรมท่ีทรงอยู่มากทีส่ ุด กอ่ นตรสั รู้๑ ภิกษุ ท. ! ความหว่ันไหวโยกโคลงของกาย หรือความหว่ันไหวโยกโคลง ของจิตก็ตาม ย่อมมีขึ้นไม่ได้ด้วยอานาจแห่งการเจริญทาให้มาก ซ่ึงสมาธิใด สมาธนิ ัน้ ภกิ ษยุ ่อมจะได้โดยไมห่ นกั ใจ ไดโ้ ดยไม่ยาก โดยไม่ลาบากเลย. ________________________________________________________________________ ๑. บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๓๙๙, ๔๐๑/๑๓๒๔, ๑๓๒๙. ตรสั แกภ่ ิกษทุ ัง้ หลาย ที่ เชตวนั ปรารภ พระมหากปั ปินะเขา้ สมาธนิ ั่งน่ิงไม่ไหวติงจนเป็นปรกตินิสัย. กลบั ไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รัสรู้ ๙๙ ภิกษุ ท.! ความหวั่นไหวโยกโคลงของกาย หรือความหว่ันไหวโยก โคลงของจิตก็ตาม ย่อมมีข้ึนไม่ได้ ด้วยอํานาจแห่งการเจริญทําให้มากซ่ึง สมาธิไหนกันเล่า? ภิกษุ ท.! ความหว่ันไหวโยกโคลงของกาย หรือความ หวั่นไหวโยกโคลงของจิตก็ตาม ย่อมมีขึ้นไม่ได้ ด้วยอํานาจแห่ง การเจริญทาให้ มากซ่งึ อานาปานสติสมาธ.ิ ภิกษุ ท.! เม่ือบุคคลเจริญทําให้มากซึ่งอานาปานสติสมาธิอยู่อย่างไร เล่า ความหว่ันไหวโยกโคลงของกาย หรือความหว่ันไหวโยกโคลงของจิตก็ตาม ย่อมมีขึน้ ไม่ได้? ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ปุา หรือโคนไม้ หรือเรือนว่างก็ตาม แล้วน่ังคู้ขาเข้ามาโดยรอบ ต้ังกายตรง ดํารงสติเฉพาะหน้า. ภิกษุน้ันหายใจเข้า ก็มสี ติ หายใจออก กม็ สี ติ. เม่ือหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เม่ือหายใจออกยาว ก็รู้ ชัดว่าเราหายใจออกยาว. เม่ือหายใจเข้าส้ัน ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น, เม่ือหายใจออกส้ัน ก็รู้ ชัดว่าเราหายใจออกส้นั . เธอย่อมทําการสําเหนียกฝึกฝน โดยหลักว่า \"เราจักเป็นผู้รู้พร้อม เฉพาะซ่ึงกายท้ังปวงหายใจเข้าอยู่\", ว่า \"เราจักเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกาย ทั้งปวงหายใจออกอยู่\". เธอย่อมทําการสําเหนียกฝึกฝน โดยหลักว่า \"เราจักเป็นผู้ทํากายสังขาร ให้สงบรํางับอยู่หายใจเข้าอยู่\", ว่า \"เราจักเป็นผู้ทํากายสังขารให้สงบรํางับอยู่ หายใจออกอยู\"่ . กลบั ไปสารบัญ
๑๐๐ พุทธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ เธอย่อมทําการสําเหนียกฝึกฝน โดยหลักว่า \"เราจักเป็นผู้รู้สึกพร้อม เฉพาะซึ่งปีติ หายใจเข้าอยู่\", ว่า \"เราจักเป็นผู้รู้สึกพร้อมเฉพาะซ่ึงปีติหายใจ ออกอย\"ู่ . เธอย่อมทําการสําเหนียกฝึกฝน โดยหลักว่า \"เราจักเป็นผู้รู้สึกพร้อม เฉพาะซ่ึงสุข หายใจเข้าอยู่\", ว่า \"เราจักเป็นผู้รู้สึกพร้อมเฉพาะซึ่งสุขหายใจ ออกอยู\"่ . เธอย่อมทําการสําเหนียกฝึกฝน โดยหลักว่า \"เราจักเป็นผู้รู้สึกพร้อม เฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเข้าอยู่\", ว่า \"เราจักเป็นผู้รู้สึกพร้อมเฉพาะ ซ่ึงจติ ตสังขาร หายใจออกอยู\"่ . เธอย่อมทําการสําเหนียกฝึกฝน โดยหลักว่า \"เราจักเป็นผู้ทําจิตตสังขาร ให้สงบรํางับอยู่หายใจเข้าอยู่\", ว่า \"เราจักเป็นผู้ทําจิตตสังขาร ให้สงบรํางับอยู่ หายใจออกอย\"ู่ . เธอย่อมทําการสําเหนียกฝึกฝน โดยหลักว่า \"เราจักเป็นผู้รู้สึกพร้อม เฉพาะซ่ึงจิต หายใจเข้าอยู่\", ว่า \"เราจักเป็นผู้รู้สึกพร้อมเฉพาะซ่ึงจิต หายใจ ออกอยู่\". เธอย่อมทําการสําเหนียกฝึกฝน โดยหลักว่า \"เราจักเป็นผู้ทําจิตให้ ปราโมทย์บันเทิงอยู่หายใจเข้าอยู่\", ว่า \"เราจักเป็นผู้ทําจิตให้ปราโมทย์บันเทิงอยู่ หายใจออกอย\"ู่ . เธอย่อมทําการสําเหนียกฝึกฝน โดยหลักว่า \"เราจักเป็นผู้ดํารงจิตให้ ตงั้ ม่นั อยู่ หายใจเข้าอยู่\", วา่ \"เราจกั เป็นผ้ดู ํารงจติ ใหต้ งั้ มนั่ อยู่ หายใจออกอยู่\". เธอย่อมทําการสําเหนียกฝึกฝน โดยหลักว่า \"เราจักเป็นผู้ทําจิตให้ ปลดปล่อยอยู่ หายใจเข้าอยู่\", ว่า \"เราจักเป็นผู้ทําจิตให้ปลดปล่อยอยู่ หายใจ ออกอยู\"่ . กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๑๐๑ เธอย่อมทําการสําเหนียกฝึกฝน โดยหลักว่า \"เราจักเป็นผู้มองเห็นความไม่ เท่ียง หายใจเข้าอย\"ู่ , วา่ \"เราจักเป็นผมู้ องเห็นความไมเ่ ทยี่ ง หายใจออกอยู\"่ . เธอย่อมทําการสําเหนียกฝึกฝน โดยหลักว่า \"เราจักเป็นผู้มองเห็นธรรม เป็นความจางค ลาย หายใจเข้าอยู่\", ว่า \"เราจักเป็นผู้มองเห็นธรรมเป็น ความ จางคลาย หายใจออกอยู\"่ . เธอย่อมทําการสําเหนียกฝึกฝน โดยหลักว่า \"เราจักเป็นผู้มองเห็นธรรม เปน็ ความดบั สนทิ หายใจเขา้ อย่\"ู . วา่ \"เราจักเป็นผู้มองเห็นธรรมเป็นความดับสนิท หายใจออกอย\"ู่ . เธอย่อมทําการสําเหนียกฝึกฝน โดยหลักว่า \"เราจักเป็นผู้มองเห็นธรรม เป็นความสลัดก ลับหลัง หายใจเข้าอยู่\", ว่า \"เราจักเป็นผู้มองเห็นธรรมเป็นความ สลดั กลบั หลงั หายใจออกอย\"ู่ . ด งั นี้. ภิกษุ ท.! เม่ือบุคคลเจริญทําให้มากซึ่งอานาปานสติสมาธิ อยู่อย่างน้ีแล ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งกาย หรือความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตามย่อมมี ขน้ึ ไมไ่ ด.้ ---ฯลฯ--- ภกิ ษุ ท. ! แมเ้ ราเองก็เหมอื นกัน ในกาลกอ่ นแตก่ ารตรสั รู้ ยงั ไมไ่ ดต้ รัสรู้ ยังเป็นโ พธิสัตว์อยู่ ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรม คืออานาปานสติสมาธิน้ี เป็น ส่วนมาก. เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมน้ีเ ป็นส่วนมาก กายก็ไม่ลาบาก ตาก็ ไม่ลาบาก และจติ ของเราก็หลุดพน้ จากอาสวะ เพราะไมม่ อี ุปาทาน. ภิกษุ ท. ! เพราะฉะน้ันในเรื่องน้ี ถ้าภิกษุหวังว่า กายของเรา ก็อย่าลําบาก ตาของเราก ็อย่าลําบาก และจิตของเราก็จงหลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่มีอุปาทานเถิด ดังนี้แล้ว; ภิกษุนั้นจงทําในใจ ในอานาปานสติสมาธิน้ี ใหเ้ ป็นอยา่ งดี. กลับไปสารบัญ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 754
Pages: