๑๕๒ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ ในเร่ืองอันเก่ียวกับการตอบคําถาม, ทั้งตถาคตก็ไม่หวังการปูองกันจากสาวก ทัง้ หลาย ในเร่ืองอนั เกีย่ วกับการตอบคาํ ถามเลย. โมคคัลลานะ ! ตถาคตเป็นผู้ที่มี ญาณทัสสนะบริสุทธิ์ ดีอยู่เสมอ จึง ปฏิญญาว่า เราเป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์แล้ว. ญาณทัสสนะของเราบริสุทธ์ิ ขาวผ่อง ไม่เศร้าหมองเลย, สาวกท้ังหลายจึงไม่ต้องช่วยการทําการปูองกัน ให้ตถาคต ในเรื่องอันเกี่ยวกับญาณทัสสนะ, ทั้งตถาคตก็ไม่หวังการปูองกันจาก สาวกท้ังหลาย ในเร่ืองอันเกยี่ วกับณาณทสั สนะเลย, ดังน้.ี ทรงแสดงสง่ิ ที่น่าอศั จรรยอ์ นั แท้จริงของพระองค์๑ (เมื่อได้ทรงสนทนากับพระอานนท์ ถึงเร่ืองอันเป็นอิทธิปาฏิหาริย์เก่ียวกับการจุติและ การประสตู ิ เป็นตน้ ของพระองค์ ว่าเป็นสิง่ ทนี่ ่าอัศจรรย์แลว้ ได้ทรงแสดงเรื่องทเี่ ราควรจะเห็น วา่ น่าอัศจรรย์ยงิ่ ไปกว่าน้นั อีก ดังต่อไปน้ี :-) อานนท์ ! เพราะเหตนุ ้ัน ในเรื่องนี้ เธอพึงทรงจําสิ่งอันน่าอัศจรรย์ไม่เคยมี มาแต่กอ่ นของตถาคต ขอ้ นไ้ี ว.้ อานนท์ ! ในกรณนี คี้ ือ :- เวทนา เป็นของแจ่มแจ้งแก่ตถาคตแล้วจึงเกิดขึ้น แล้วจึงต้ังอยู่ แล้วจึง ลับไป. สัญญา เป็นของแจ่มแจ้งแก่ตถาคตแล้วจึงเกิดขึ้น แล้วจึงตั้งอยู่ แล้วจึง ลบั ไป. วิตก เป็นของแจ่มแจ้งแก่ตถาคตแล้วจึงเกิดข้ึน แล้วจึงต้ังอยู่ แล้วจึง ลับไป. ________________________________________________________________ ๑. บาลี อจั ฉริยอัพภตู ธัมมสูตร อุปร.ิ ม. ๑๔/๒๕๔/๓๗๙. ตรสั แกพ่ ระอานนท์ ท่อี ปุ ๎ฏฐาน ศาลา ณ เชตวนาราม. กลับไปสารบัญ
ได้ตรสั รู้แลว้ – โปรดปญ๎ จวัคคยี ์ ๑๕๓ อานนท์ ! เธอจงทรงจําสิ่งอันน่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมาแต่ก่อนของตถาคตข้อ นแ้ี ล. \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อท่ีว่า เวทนา เป็นของแจ่มแจ้งแก่พระผู้มี- พระภาคแล้วจึงเกิดขึ้นแล้วจึงต้ังอยู่ แล้วจึงลับไป, สัญญา เป็นของแจ่มแจ้งแก่ พระผมู้ พี ระภาคแล้วจงึ เกดิ ขนึ้ แล้วจงึ ตงั้ อยู่ แล้วจึงลับไป, วิตก เป็นของแจ่มแจ้ง แก่พระผู้มีพระภาคแล้วจึงเกิดข้ึน แล้วจึงต้ังอยู่ แล้วจึงลับไป, แม้ใด; ข้าแต่ พระองคผ์ ูเ้ จริญ ! ข้อนี้ ข้าพระองค์จะทรงจําไว้ว่า เป็นส่ิงอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี มาแตก่ อ่ นเก่ยี วกับพระผูม้ ีพระภาค, ดงั น.้ี \" ทรงเปน็ อจั ฉรยิ มนษุ ยใ์ นโลก๑ ภกิ ษุ ท.! บุคคลเอก เมื่อเกิดข้ึนมาในโลก ย่อมเกิดขึ้น เป็นอัจฉริยะมนุษย์. ใครกันเลา่ เป็นบุคคลเอก? ตถาคต ผเู้ ปน็ อรหนั ต์ตรัสรูช้ อบเองน้ีแลเป็นบุคคลเอก. ภกิ ษุ ท.! นีแ่ ล บุคคลเอก ซึง่ เมอื่ เกดิ ข้ึนมาในโลก ยอ่ มเกิดขึ้นเปน็ อจั ฉรยิ มนุษย์ ดังนี้. ทรงต่างจากมนุษยธ์ รรมดา๒ ภิกษุ ท.! เทวดาแลมนุษย์ทั้งหลาย มีรูปเป็นท่ียินดี กําหนัดแล้วในรูป บันเทิงด้วยรูป.เทวดาแลมนุษย์ ท. ย่อมทนทุกข์อยู่ เพราะความแปรปรวนความ กระจัดกระจาย ความแตกทําลาย ของรูป. ภิกษุ ท.! เทวดาแลมนุษย์ท้ังหลาย มี เสยี ง๓ฯลฯ, มกี ลน่ิ ฯลฯ, มีรส ฯลฯ, มีโผฏฐัพพะ ฯลฯ, ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี เอก. อ.ํ ๒๐/๒๙/๑๔๑. ตรัสแกภ่ ิกษทุ ง้ั หลาย. ๒. บาลี สฬา. สํ. ๑๘/๑๕๙/๒๑๖. ๓. มขี อ้ ความเตม็ เหมือนในข้อตน้ ทีว่ า่ ด้วยรูปเปน็ ทย่ี นิ ดจี นตลอด, แต่ในท่ีนย้ี อ่ ไว้ให้สะดวกแก่ การอ่าน ไมร่ กตา. กลบั ไปสารบัญ
๑๕๔ พุทธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ มีธรรมารมณ์เป็นที่ยินดี กําหนัดแล้วในธรรมารมณ์ บันเทิงด้วยธรรมารมณ์. เทวดาแลมนุษย์ ท. ย่อมทนทุกข์อยู่ เพราะความแปรปรวน ความกระจัดกระจาย ความแตกทาํ ลาย ของธรรมารมณ.์ ภิกษุ ท.! ส่วนตถาคตผู้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ รู้แจ้งตามเป็นจริง ซ่ึงเหตุเป็นเคร่ืองเกิดขึ้น ซ่ึงความตั้งอยู่ไม่ได้ ซึ่งรสอร่อย ซ่ึงโทษคือความ ต่ําทราม และอุบายเคร่ืองหลุดพ้นออกไปได้ แห่งรูปทั้งหลายแล้ว ; ไม่เป็นผู้มีรูป เป็นท่ียินดี ไม่กําหนัดในรูป ไม่บันเทิงด้วยรูป. ภิกษุ ท.! ตถาคตย่อมอยู่เป็นสุข เพราะความแปรปรวน ความกระจัดกระจาย ความแตกทําลาย ของรูป , ภิกษุ ท.! ตถาคตรู้แจ้งตามเป็นจริง ซึ่งเหตุเป็นเครื่องเกิดข้ึน ซ่ึงความต้ังอยู่ไม่ได้ ซ่ึงรสอร่อย ซึ่งโทษคือความตํ่าทราม และอุบายเครื่องหลุดพ้นออกไปได้แห่ง เสียง ท. แห่งกล่ิน ท. แห่งรส ท. แห่งโผฏฐัพพะ ท. และแห่งธรรมารมณ์ ท. แล้ว; ไม่เป็นผู้มีเสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เป็นที่ยินดี ไม่กําหนัด ไม่บันเทิงดว้ ยเสยี งเปน็ ต้น ภกิ ษุ ท.! ตถาคตยอ่ มอยู่เป็นสุข เพราะความแปรปรวน ความกระจัดกระจาย ความแตกทําลาย แห่งธรรมมีเสียงเป็นต้นนั้นๆ. (พระผู้มี พระภาคได้ทรงกล่าวคํานี้แล้ว, พระสุคตครั้นตรัสคํานี้แล้ว พระศาสดาได้ภาษิตคําอ่ืนอีกที่ผูก เป็นคาถาดังน้วี า่ :-) รปู ท. เสยี ง ท. กลน่ิ ท. รส ท. ผัสสะ ท. ธรรม ท. ทงั้ ส้ิน อนั น่าปรารถนา นา่ รกั ใคร่ น่าชอบใจ ยงั เปน็ สิ่งกล่าวไดว้ า่ มอี ยู่ เพียงใด มนุษยโลกพรอ้ มดว้ ยเทวโลก ก็ยังสมมติว่า \"นนั่ สุข\" อยเู่ พียงนนั้ . ถา้ เมื่อสง่ิ เหลา่ นัน้ แตกดับลงในที่ใด, สัตว์ เหลา่ น้นั ก็สมมติว่า \"นน่ั ทกุ ข์\" ในท่ีนนั้ . ส่งิ ท่ีพระอรยิ เจา้ ท. เหน็ วา่ เปน็ ความสขุ กค็ ือความดับสนิทแห่งสักกายะทัง้ หลาย, กลับไปสารบัญ
ได้ตรสั ร้แู ล้ว – โปรดปญ๎ จวคั คีย์ ๑๕๕ แตส่ ่ิงนีก้ ลับปรากฏเปน็ ข้าศึกตวั รา้ ยกาจ แกส่ ัตว์ ท. ผ้เู ห็นอยู่ โดยความเปน็ โลกทง้ั ปวง. สิ่งใด ท่ีสัตวอ์ ่นื กล่าวแล้วโดย ความเป็นสขุ , พระอริยเจา้ ท. กล่าวสิง่ นัน้ โดยความเปน็ ทกุ ข.์ สิง่ ใดทส่ี ตั ว์อ่ืนกลา่ วแล้ว โดยความเปน็ ทุกข์, พระ- อรยิ ะผรู้ ู้ กล่าวสิง่ น้ันโดยความเป็นสุข, ดังนี.้ ทรงบังคับใจได้เดด็ ขาด๑ พราหมณ์ ! เราเป็นผู้ปฏิบัติแล้วเพื่อความเกื้อกูลแก่ชนมาก เพ่ือความ สุขแก่ชนมาก.เราได้ประดิษฐานมหาชนไว้แล้วในอริยญายธรรม คือในความ เป็นผู้มีธรรมอันงดงาม มีธรรมเป็นกุศล.พราหมณ์ ! เราอยากตริตรึก (วิตก) ไปในวิตกเร่ืองใด ก็ตริตรึกในวิตกน้ันได้, เราไม่อยากตริตรึกไปในวิตกเรื่องใด ก็ไม่ตริตรึกไปในวิตกน้ันได้๒. เราอยากดําริ (สังกัปปะ) ไปในความดําริอย่างใด ก็ดําริในความดํารินั้นได้, เราไม่อยากดําริในความดําริอย่างใด ก็ไม่ดําริไปใน ความดําริอย่างนั้นได้.พราหมณ์ ! เราเป็นผู้บรรลุแล้วซึ่งความมีอํานาจเหนือ จิตในคลองแห่งวิตกท้ังหลาย, เราจึงมีธรรมดาได้ฌานท้ังสี่ อันเป็นการอยู่อย่าง ผาสุกยิ่ง ในชาตินี้, เราได้โดยง่ายดาย ไม่ยาก ไม่ลําบาก. พราหมณ์ ! เราแล, เพราะความสิ้นอาสวะ ท., ได้ทําให้แจ้งแล้วซึ่งเจโตวิมุตติ ป๎ญญาวิมุตติ อนั ปราศจากอาสวะเขา้ ถงึ วมิ ุตตินั้นแลว้ แลอย่.ู ไม่ทรงตดิ แมใ้ นนิพพาน๓ ภิกษุ ท.! แมต้ ถาคต ผูเ้ ป็นพระอรหนั ต์ตรสั รู้ชอบเอง กร็ ้ชู ดั ซ่งึ นพิ พานตาม ความเป็นนพิ พาน.ครั้นรู้นพิ พานตามความเป็นนพิ พานชดั แจงแล้ว ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี จตุ กฺก. อ.ํ ๒๑/๔๗/๓๕. ตรัสแก่วสั สการพราหมณ์ สวนไผ่, ราชคฤห์. ๒. คอื ทรงบังคับจิตให้คิดหรือไมใ่ หค้ ดิ ก็ได้ หรอื ให้คิดเฉพาะเรอ่ื งใดก็ได้. ๓. บาลี มูลปริยายสูตร มู.ม. ๑๒/๑๐/๘-๙. ตรสั แกภ่ กิ ษุท้ังหลาย ท่โี คนตน้ สาละ ในปุา สภุ ควัน ใกลเ้ มอื งอุกกฏั ฐะ. กลบั ไปสารบัญ
๑๕๖ พุทธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ ก็ไม่ทาความมั่นหมายซึ่งนิพพาน ไม่ทาความม่ันหมายในนิพพาน ไม่ทาความม่ัน หมายโดยความเป็นนิพพานไม่ทาความมั่นหมายว่า \"นิพพานเป็นของเรา\", ไม่เพลิดเพลินลุ่มหลงในนิพพาน. ข้อนี้เพราะเหตุไรเล่า? เพราะเหตุว่า นิพพาน นน้ั เปน็ ส่งิ ทต่ี ถาคตกาํ หนดรทู้ ั่วถึงแล้ว. ภิกษุ ท.! แม้ตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ชอบเอง ก็รู้ชัดซ่ึงนิพพาน ตามความเป็นนิพพาน.คร้นั รู้นพิ พานตามความเป็นนิพพานชัดแจ้งแล้วก็ไม่ทาความ ม่ันหมายซึ่งนิพพาน ไม่ทาความม่ันหมายในนิพพานไม่ทาความม่ันหมายโดย ความเป็นนิพพาน ไม่ทาความมั่นหมายว่า \"นิพพานเป็นของเรา\", ไม่เพลิดเพลิน ลุ่มหลงในนิพพาน. ข้อน้ีเพราะเหตุไรเล่า? เรากล่าวว่า เพราะรู้ว่าความ เพลิดเพลินเป็นมูลแห่งทุกข์และเพราะมีภพจึงมีชาติ, เมื่อเกิดเป็นสัตว์แล้วต้องมี แก่และตาย. เพราะเหตุน้ันตถาคตจึงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะ ตัณหาทง้ั หลายสิ้นไป ปราศไป ดบั ไป สละไป ไถ่ถอนไป โดยประการท้ังปวงดงั น้ี. ทรงมคี วามคงทีต่ อ่ วิสัยโลก ไม่มใี ครย่งิ กว่า๑ ภิกษุ ท.! สิ่งใดๆ ที่ชาวโลกรวมท้ังเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์พร้อมท้ัง สมณพราหมณ์เทวดารวมกับมนุษย์ ได้พากันเห็นแล้ว ได้ยินแล้วรู้สึกแล้ว รู้แจ้ง แล้ว พบปะแลว้ แสวงหากันแล้ว คิดคน้ กนั แล้ว, สิ่งนั้นๆ เรากร็ ู้จกั . ภิกษุ ท.! สิ่งใดๆ ที่ชาวโลกรวมท้ังเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์พร้อมทั้ง สมณพราหมณเ์ ทวดารวมกับมนุษย์ ได้พากันเห็นแลว้ ได้ยนิ แลว้ ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี จตกุ ฺก.อ.ํ ๒๑/๓๑/๒๔. ตรัสแก่ภิกษทุ ้งั หลาย ที่กาฬการาม ใกล้เมืองสาเกต. กลบั ไปสารบัญ
ได้ตรสั ร้แู ลว้ – โปรดปญ๎ จวัคคยี ์ ๑๕๗ รู้สึกแล้ว รู้แจ้งแล้ว พบปะแล้ว แสวงหากันแล้ว คิดค้นกันแล้ว, ส่ิงน้ันๆเราได้ รแู้ จ้งแล้วดว้ ยป๎ญญาอันยงิ่ . สงิ่ นน้ั ๆ เปน็ ท่ีแจม่ แจง้ แกต่ ถาคต, ส่ิงนน้ั ๆ ไมอ่ าจ เข้าไป (ติดอย่ใู นใจของ) ตถาคต. ภิกษุ ท.! ส่ิงอันเป็นวิสัยโลกต่างๆ ที่ชาวโลกรวมทั้งเทวดา มารพรหม หมู่สัตว์ พร้อมท้ังสมณพราหมณ์ เทวดารวมกับมนุษย์ ได้พากันเห็นแล้วได้ยินแล้ว ร้สู ึกแล้ว รแู้ จง้ แล้ว พบปะแล้ว แสวงหากนั แล้ว คดิ ค้นกนั แล้วนั้นๆ เราพึงกล่าวได้ ว่า เรารู้จักมันดี. มันจะเป็นการมุสาแก่เรา ถ้าเราจะพึงกล่าวว่า เรารู้จักบ้าง ไมร่ ู้จักบ้าง. และมันจะเป็นการมุสาแก่เราเหมือนกันถ้าเราจะพึงกล่าวว่า เรารู้จักก็ หามิได้, ไมร่ ู้จกั ก็หามไิ ด้, ขอ้ น้ันมนั เป็นความเสยี หายแก่เรา, ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนี้แล ตถาคตเห็นสิ่งที่ต้องเห็นแล้ว ก็ไม่ทําความมั่น หมายวา่ เหน็ แลว้ ,ไมท่ าํ ความม่นั หมายว่า ไม่ไดเ้ ห็น, ไม่ทาํ ความม่นั หมายว่า เป็นส่ิง ท่ีต้องเห็น, ไม่ทําความม่ันหมายว่าตนเป็นผู้หน่ึงท่ีได้เห็น, (ในส่ิงท่ีได้ฟ๎ง, ได้รู้สึก, ได้รูแ้ จง้ ก็มีนัยอยา่ งเดียวกนั ). ภิกษุ ท.! ดว้ ยเหตนุ ้แี ล ตถาคตชื่อว่าเป็นผูค้ งทีเ่ ปน็ ปรกติอยู่เช่นนั้นได้ในสิ่ง ทั้งหลาย ที่ได้เห็น ได้ยิน ได้รู้สึก และได้รู้แจ้งแล้ว, และเรายังกล่าวว่า จะหา บคุ คลอ่ืนทเี่ ปน็ ผ้คู งที่ ซงึ่ ย่งิ ไปกวา่ ประณตี กวา่ ตถาคตผ้คู งทน่ี ั้นเปน็ ไม่มเี ลย. ทรงอย่เู หนือการครอบงาของเวทนา มาต้ังแตอ่ อกผนวชจนตรัสรู้๑ อัคคิเวสสนะ ! ก็บุคคลมีกายอบรมแล้ว มีจิตอบรมแล้ว เป็นอย่างไร เลา่ ? อคั คเิ วสสนะ! สุขเวทนา เกิดขึน้ แก่อริยสาวกผู้มีการสดบั ในธรรมวินัยนี้; ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี มู.ม. ๑๒/๔๔๐/๔๐๙. ตรัสแก่สัจจกนคิ รนถบุตร ท่ีกฏู าคารศาลา ปุามหาวัน ใกล้เมือง เวสาล.ี กลบั ไปสารบัญ
๑๕๘ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ อริยสาวกนั้น อันสุขเวทนาถูกต้องอยู่ เป็นผู้ไม่กําหนัดยินดีในความสุข ไม่ถึงความ กําหนัดยินดีในความสุข.สุขเวทนาของอริยสาวกน้ันย่อมดับ, เพราะความดับแห่ง สขุ เวทนา ทุกขเวทนา ย่อมเกิดขึ้น; อริยสาวกน้ัน อันทุกขเวทนาถูกต้องอยู่ย่อมไม่ เศร้าโศก ไม่ลําบาก ไม่ครํ่าครวญ ไม่ตีอกร่ําไห้ ไม่ถึงซ่ึงความหลง.อัคคิเวสสนะ! สุขเวทนาน้ันแม้เกิดข้ึนแล้วแก่อริยสาวกน้ันอย่างนี้ ก็ไม่ครอบงําจิตตั้งอยู่ เพราะ ความเป็นผู้มีกายอันอบรมแล้ว; ทุกขเวทนา แม้เกิดข้ึนแล้วก็ไม่ครอบงําจิตต้ังอยู่ เพราะความเป็นผู้มีจิตอันอบรมแล้ว, อัคคิเวสสนะ! เพราะเหตุท่ีว่า สุขเวทนาก็ไม่ ครอบงาจิตตั้งอยู่ และทุกขเวทนาก็ไม่ครอบงาจิตต้ังอยู่ โดยทั้งสองประการ ดังกล่าวแล้ว เขายอ่ มชอ่ื วา่ เป็นผ้มู กี ายอนั อบรมแล้ว มีจิตอนั อบรมแล้ว ดังน.ี้ \"พระโคดมผ้เู จริญ! ข้าพเจ้ามีความเล่ือมใสแล้วในพระโคดมผู้เจริญ เพราะ เหตวุ ่าพระโคดมผเู้ จริญ เป็นผู้มีกายอนั อบรมแลว้ ด้วย มจี ติ อันอบรมแลว้ ดว้ ย\". อัคคิเวสสนะ! คํานี้ท่านกล่าวพาดพิงถึงเราโดยแท้ เราจะพูดให้แจ้งชัด เสยี เลยว่าอคั คิเวสสนะ! จําเดิมแต่เราได้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาดออก จากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือน; ข้อท่ี สุขเวทนาเกิดข้ึนแล้วจะครอบงาจิตของเรา ตั้งอยู่ หรือว่าข้อที่ ทุกขเวทนาเกิดขึ้นแล้วจะครอบงาจิตของเราต้ังอยู่ นั่น ไม่เป็นฐานะทจ่ี ะมีได้. \"ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สุขเวทนาชนิดท่ีเกิดขึ้นแล้วจะครอบงําจิตตั้งอยู่ ยอ่ มไม่เกิดแกพ่ ระสมณโคดม เป็นแน่. ทุกขเวทนาชนิดท่ีเกิดข้ึนแล้วจะครอบงําจิต ตั้งอยู่ ยอ่ มไมเ่ กดิ แกพ่ ระสมณโคดมเปน็ แน\"่ . อคั คิเวสสนะ ! ทาํ ไมมันจะมไี ม่ได้เล่า.... (ตอ่ จากนี้ ก็ทรงเล่าเรื่องการออกผนวช, การค้นหาสํานักเพ่ือการศึกษาของพระองค์ คืออาฬารดาบส กาลามโคตร อุทกดาบสรามบุตร จนกระทั่งทรงบําเพ็ญอัตตกิลมถานุโยคตามแบบฉบับท่ีเรียกกันว่าวัตรแห่งนิครนถ์, เกิดอุปมา แจม่ แจง้ กลบั ไปสารบัญ
ไดต้ รสั รแู้ ลว้ – โปรดปญ๎ จวัคคีย์ ๑๕๙ ในทางท่ีจะให้หลีกออกจากกาม, แล้วทรงบําเพ็ญทุกรกิริยาอย่างเข้มงวด มีทุกขเวทนาแก่กล้า ซึ่งทรงยืนยันว่า แม้กระน้ันก็ไม่ครอบงําจิตของพระองค์ตั้งอยู่; เม่ือเลิกทุกรกิริยาแล้ว ทรงบาํ เพ็ญเพียรทางจติ เกิดความสุขจากรปู ฌานสี่ และวิชชาสาม แม้จะเป็นสุขเวทนาอันสูงสุด ก็ไมส่ ามารถครอบงําจิตของพระองค์ตั้งอยู่ สมกับที่ทรงยืนยันว่า ไม่มีเวทนาชนิดใดเกิดข้ึนแล้ว จะครอบงาํ จิตของพระองคต์ งั้ อยูไ่ ด้ ดงั ขอ้ ความต่อไปน้ี :-) อัคคิเวสสนะ ! ...เราน้ัน ขบฟันด้วยฟัน อัดเพดานด้วยล้ิน ข่มจิตด้วยจิต บีบให้แน่นจนร้อนจัด. อัคคิเวสสนะ! คร้ันเราขบฟ๎นด้วยฟ๎น อัดเพดานด้วยลิ้น ข่มจติ ดว้ ยจติ บีบให้แน่นจนร้อนจดั แลว้ ,เหงอ่ื ไหลออกจากรกั แร้ทัง้ สอง. อัคคิเวสสนะ ! ความเพียรที่เราปรารภแล้ว จะได้ย่อหย่อนก็หาไม่ สติจะฟ๎่นเฟือนไปก็หาไม่ เป็นแต่กายกระสับกระส่ายไม่สงบ เพราะกําลังความ เพียร ที่ทนได้ยากเสียดแทงเอา. อัคคิเวสสนะ ! ทุกขเวทนาแม้เช่นน้ีเกิดข้ึนแล้ว แก่เราก็ไม่ครอบงาจิตต้งั อย่.ู .... อัคคิเวสสนะ ! เราน้ัน กล้ันลมหายใจออกเข้าทั้งทางปากและทางจมูก. อัคคิเวสสนะ ! คร้ันเรากล้ันลมหายใจทั้งทางปากและทางจมูกแล้ว, เสียงลมออก ทางชอ่ งหทู ง้ั สอง ดังเหลือประมาณเหมือนเสยี งลมในสูบแห่งนายช่างทองที่สูบไป สูบมาฉะนั้น. อัคคิเวสสนะ ! แต่ความเพียรท่ีเราปรารภแล้ว จะได้ย่อหย่อนก็หา ไม่สติจะฟ๎่นเฟือนไปก็หาไม่ เป็นแต่กายกระสับกระส่ายไม่สงบ เพราะกําลังแห่ง ความเพียรที่ทนได้ยากเสียดแทงเอา. อัคคิเวสสนะ ! ทุกขเวทนาแม้เช่นนี้เกิดขึ้น แลว้ แกเ่ รา ก็ไม่ครอบงาจติ ต้ังอยู่. .... อัคคิเวสสนะ ! เราน้ัน กล้ันลมหายใจออกเข้าทั้งทางปากทางจมูกและ ทางชอ่ งหทู ั้งสอง. อัคคเิ วสสนะ ! ครน้ั เรากลั้นลมหายใจออกเข้าทั้งทางปากทาง จมูกและทางช่องหูทั้งสองแล้ว, ลมกล้าเหลือประมาณ แทงเซาะข้ึนไปทางบน กระหม่อมเหมือนถูกบุรุษแข็งแรง เชือดเอาท่ีแสกกระหม่อมด้วยมีดโกนอันคม ฉะนั้น. อัคคิ- กลบั ไปสารบัญ
๑๖๐ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ เวสสนะ ! แต่ความเพยี รเราปรารภแล้ว จะได้ย่อหย่อนก็หาไม่ สติจะฟ่๎นเฟือนไปก็ หาไม่ เป็นแต่กายกระสับกระส่ายไม่สงบ เพราะกําลังแห่งความเพียรท่ีทนได้แสน ยากเสียดแทงเอา. อัคคิเวสสนะ ! ทุกขเวทนาแม้เช่นนี้เกิดข้ึนแล้วแก่เรา ก็ไม่ครอบงาจิตตัง้ อยู่. .... อคั คเิ วสสนะ ! ครน้ั เรากล้นั ลมหายใจออกเขา้ ทง้ั ทางปากทางจมูกและทาง ช่องหูทั้งสองแล้ว, รู้สึกปวดศีรษะท่ัวไปท้ังศีรษะเหลือประมาณ เปรียบปานถูก บุรุษแข็งแรง รัดศีรษะเข้าท้ังศีรษะด้วยเชือกมีเกลียวอันเขม็งฉะนั้น. อัคคิเวสสนะ ! แต่ความเพียรที่เราปรารภแล้ว จะได้ย่อหย่อนก็หาไม่ สติจะฟ๎่น เฟือนไปก็หาไม่ เป็นแต่กายกระสับกระส่ายไม่สงบ เพราะกําลังแห่งความเพียรที่ ทนได้แสนยากเสียดแทงเอา. อัคคิเวสสนะ ! ทุกขเวทนาแม้เช่นนี้เกิดขึ้นแล้วแก่ เรา ก็ไมค่ รอบงาจติ ตั้งอยู่.... อัคคิเวสสนะ ! ครั้นเรากล้ันลมหายใจออกเข้าทั้งทางปากทางจมูก และ ทางช่องหูทั้งสองแล้ว, ลมกล้าเหลือประมาณหวนกลับลงแทงเอาพื้นท้อง ดุจถูก คนฆ่าโคหรือลูกมือตัวขยันของเขา เฉือนเน้ือพ้ืนท้องด้วยมีดสําหรับเฉือนเน้ือโค อันคมฉะน้นั . อคั คิเวสสนะ ! แตค่ วามเพยี รท่ีเราปรารภแล้วจะได้ย่อหย่อนก็หาไม่ สตจิ ะฟน๎่ เฟอื นไปกห็ าไม่ เปน็ แต่กายกระสบั กระสา่ ยไมส่ งบ เพราะกําลังแห่งความ เพียรที่ทนได้แสนยากเสียดแทงเอา. อัคคิเวสสนะ ! ทุกขเวทนาแม้เช่นน้ีเกิดขึ้น แล้วแกเ่ รา ก็ไม่ครอบงาจิตตง้ั อยู่. .... อัคคิเวสสนะ! ครั้นเรากล้ันลมหายใจออกเข้าไว้ท้ังทางปากทางจมูกและ ทางช่องหูทั้งสอง, ก็เกิดความร้อนกล้าข้ึนทั่วกาย ดุจถูกคนแข็งแรงสองคน ช่วยกันจับคนกําลังน้อยท่ีแขนข้างละคนแล้วย่างรมไว้เหนือหลุมถ่านเพลิงอันระอุ ฉะนั้น. อัคคิเวสสนะ ! แต่ความเพียรท่ีเราปรารภแล้ว จะได้ย่อหย่อนก็หาไม่ สตจิ ะฟ่น๎ เฟือนไปกห็ าไม่ เป็นแต่กายกระสับกระสา่ ยไมส่ งบ เพราะกําลังแห่งความ เพยี รทที่ นได้ กลับไปสารบัญ
ได้ตรัสรู้แลว้ – โปรดปญ๎ จวคั คีย์ ๑๖๑ แสนยากเสียดแทงเอา. อัคคิเวสสนะ ! ทุกขเวทนาแม้เช่นน้ีเกิดข้ึนแล้วแก่เรา ก็ไมค่ รอบงาจิตตงั้ อย.ู่ ........ (ต่อไปนี้ ได้ตรัสถึงการได้รับสุขเวทนาแล้วสุขเวทนานั้นไม่ตรอบงําจิตต้ังอยู่ อีก ๗ วาระ :-) อัคคิเวสสนะ ! เรากลืนกินอาหารหยาบ ทํากายให้มีกําลังได้แล้ว,เพราะ สงัดจากกามและอกุศลธรรม ท. จึงเข้าถึง ฌานท่ีหนึ่ง อันมีวิตกวิจาร มีปีติ และสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่. อัคคิเวสสนะ ! สุขเวทนาแม้อย่างนี้เกิดข้ึน แล้วแก่เรา ก็ไมค่ รอบงาจิตตั้งอย่.ู อัคคิเวสสนะ ! เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ จึงเข้าถึง ฌานท่ีสอง เป็น เคร่ืองผ่องใสในภายใน เป็นที่เกิดสมาธิแห่งใจ ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่. อัคคิเวสสนะ ! สุขเวทนาแม้อย่างนี้เกิดขึ้นแล้วแก่ เรากไ็ มค่ รอบงาจิตตั้งอยู่. อัคคิเวสสนะ! เพราะความจางไปแห่งปีติ ย่อมอยู่อุเบกขา มี สติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย จึงเข้าถึง ฌานท่ีสาม อันเป็นฌานที่ พระอริยเจ้ากล่าวว่าผู้ได้ฌานน้ี เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข แล้วแลอยู่. อคั คิเวสสนะ ! สุขเวทนาแม้อยา่ งนเ้ี กดิ ขึ้นแล้วแก่เรา กไ็ มค่ รอบงาจิตตัง้ อย่.ู อัคคเิ วสสนะ! และเพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่ง โสมนัสและโทมนสั ในกาลกอ่ น จึงเข้าถึง ฌานที่สี่ อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่ความที่สติ เป็นธรรมชาติบริสุทธ์ิ เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่. อัคคิเวสสนะ ! สุขเวทนาแม้ อย่างนเ้ี กิดข้ึนแล้วแก่เรา ก็ไมค่ รอบงาจติ ตง้ั อย่.ู เรานั้น คร้ันเมื่อจิตตั้งมั่น บริสุทธ์ิผ่องใสไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลสเป็น ธรรมชาตอิ ่อนโยนควรแก่การงาน ถึงความไมห่ วั่นไหว ต้ังอยู่เชน่ น้แี ล้ว เราได้น้อม จิตไปเฉพาะตอ่ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ.---ฯลฯ--- อัคคเิ วสสนะ ! นเ้ี ป็น กลบั ไปสารบัญ
๑๖๒ พุทธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ วิชชาที่หน่ึง ท่ีเราได้บรรลุแล้วในยามแรกแห่งราตรี. อวิชชาถูกทําลายแล้ววิชชา เกิดขึ้นแล้ว, ความมืดถูกทําลายแล้ว ความสว่างเกิดข้ึนแทนแล้ว, เช่นเดียวกับที่ เกิดแก่ผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผาบาป มีตนส่งไปแล้วแลอยู่. อัคคิเวสสนะ ! สขุ เวทนาแม้อย่างน้ีเกิดขนึ้ แลว้ แกเ่ รา ก็ไม่ครอบงาจติ ต้งั อย่.ู เราน้ัน ครั้นเมื่อจิตตั้งม่ัน บริสุทธ์ิผ่องใสไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยนควรแก่การงาน ถึงความไม่หว่ันไหว ตั้งอยู่เช่นน้ีแล้ว เราได้น้อมจิตไปเฉพาะต่อ จุตูปปาตญาณ. .....ฯลฯ..... อัคคิเวสสนะ ! น้ีเป็น วิชชา ท่ีสอง ท่ีเราได้บรรลุแล้วในยามกลางราตรี. อวิชชาถูกทําลายแล้ว วิชชาเกิดขึ้น แล้ว, ความมืดถูกทําลายแล้ว ความสว่างเกิดข้ึนแทนแล้ว, เช่นเดียวกับท่ีเกิดแก่ผู้ ไม่ประมาท มีเพียรเผาบาป มีตนส่งไปแล้วแลอยู่. อัคคิเวสสนะ ! สุขเวทนาแม้ อยา่ งนี้เกดิ ขน้ึ แล้วแกเ่ รา กไ็ ม่ครอบงาจิตตง้ั อยู.่ เราน้ัน คร้ันจิตตั้งม่ันบริสุทธ์ิผ่องใสไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลส เป็น ธรรมชาติอ่อนโยน ควรแก่การงาน ถึงความไม่หวั่นไหว ต้ังอยู่เช่นนี้แล้ว เราได้ น้อมจิตไปเฉพาะต่อ อาสวักขยญาณ. ....ฯลฯ.... อัคคิเวสสนะ! นี้เป็น วิชชาที่สาม ที่เราได้บรรลุแล้วในยามปลายแห่งราตรี. อวิชชาถูกทําลายแล้ว วิชชาเกิดข้ึนแล้ว, ความมืดถูกทําลายแล้ว ความสว่างเกิดขึ้นแทนแล้ว, เช่นเดียวกับที่เกิดแก่บุคคลผู้ ไม่ประมาทมีเพียรเผาบาป มีตนส่งไปแล้วแลอยู่. อัคคิเวสสนะ ! สุขเวทนาแม้ อย่างนี้เกดิ ขน้ึ แล้วแกเ่ รา ก็ไม่ครอบงาจิตตง้ั อย่.ู (รายละเอียดเกี่ยวกับวิชชาทั้งสาม ท่ีกล่าวมานี้ โดยครบถ้วนพิสดารทุกตัวอักษร ผู้ประสงค์จะหาอ่านได้จากหน้า ๑๑๕ ถงึ หนา้ ๑๑๗ แห่งหนงั สอื เล่มน.ี้ ) ทรงยนื ยันในคณุ ธรรมของพระองคเ์ องได้๑ (๑) กัสสปะ! สมณพราหมณ์บางพวกเป็น สีลวาที, เขากล่าวพรรณาคุณ แห่งศีลโดยอเนกปรยิ าย. กัสสปะ! ปรมศีลอันประเสริฐ (อรยิ ะ) ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี ส.ี ท.ี ๙/๒๑๘/๒๗๑. ตรัสแกอ่ เจลกสั สปะ ท่ีกัณณกถลมิคทายวนั อุชญุ ญานคร. กลบั ไปสารบัญ
ไดต้ รสั รู้แลว้ – โปรดป๎ญจวคั คยี ์ ๑๖๓ มีได้ด้วยเหตุมีประมาณเท่าใด เราไม่มองเห็นใครจะเสมอด้วยเรา ในส่วนปรมศีล อันประเสริฐนั้น : ผู้ที่ย่ิงไปกว่าเรา จะมีมาแต่ไหนเล่า. เราแล, ที่แท้เป็น ผู้ย่ิงใน อธิศีล. (๒) กัสสปะ ! สมณพราหมณ์บางพวกเป็น ตโปชิคุจฉวาที, เขากล่าว พรรณนาคุณแห่งการเกลียดกันกิเลสด้วยตบะโดยอเนกปริยาย. กัสสปะ ! การเกียดกันกิเลสด้วยตบะ อันอย่างยิ่งและประเสริฐมีได้ด้วยเหตุมีประมาณ เท่าใดเราไม่มองเห็นใครจะเสมอด้วยเรา ในส่วนการเกียดกันกิเลสด้วยตบะอัน อย่างย่ิงและประเสริฐน้ัน : ผู้ท่ีย่ิงไปกว่าเรา จะมีมาแต่ไหนเล่า. เราแล, ท่ีแท้เป็น ผยู้ ง่ิ ใน อธเิ ชคุจฉะ (คืออธิจติ ). (๓) กัสสปะ ! สมณพราหมณ์บางพวกเป็น ป๎ญญาวาที, เขากล่าว พรรณาคุณแห่งป๎ญญาโดยอเนกปริยาย. กัสสปะ ! ปรมป๎ญญาอันประเสริฐ มีได้ด้วยเหตุมีประมาณเท่าใด เราไม่มองเห็นใครจะเสมอด้วยเรา ในส่วน ปรมป๎ญญาอันประเสรฐิ นนั้ : ผู้ท่ยี ่งิ ไปกว่าเรา จะมีมาแตไ่ หนเลา่ . เราแล, ทีแ่ ท้เป็น ผยู้ งิ่ ใน อธปิ ๎ญญา. (๔) กัสสปะ ! สมณพราหมณ์บางพวกเป็น วิมุตติวาที, เขากล่าว พรรณาคุณแห่งวิมุตติโดยอเนกปริยาย. กัสสปะ ! ปรมวิมุตติอันประเสริฐ มีได้ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าใด เราไม่มองเห็นใครจะเสมอด้วยเรา ในส่วนปรมวิมุตติ อันประเสริฐน้ัน : ผู้ที่ย่ิงไปกว่าเรา จะมีมาแต่ไหนเล่า. เราแล, ท่ีแท้เป็น ผูย้ ง่ิ ใน อธิวิมุตต.ิ ทรงยนื ยันให้ทดสอบความเป็นสัมมาสัมพุทธของพระองค์๑ ภิกษุ ท.! วิธีการทดสอบ อันเป็นส่ิงที่ภิกษุผู้มีป๎ญญาใคร่ครวญ แต่ไม่มี ญาณเป็นเครื่องรจู้ ิตแห่งผอู้ น่ื จะพึงกระทาํ ในตถาคต เพ่ือใหร้ วู้ า่ ตถาคตเปน็ ________________________________________________________________ ๑. บาลี วิมงั สกสูตร มู.ม. ๑๒/๕๗๖/๕๓๖. ตรสั แก่ภกิ ษุ ท. ท่ีเชตวนั . กลับไปสารบัญ
๑๖๔ พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ สัมมาสัมพุทธะ หรือหาไม่ ดังน้ีน้ัน มีอยู่. (ภิกษุทั้งหลาย ทูลขอให้พระผู้มีพระภาคทรง แสดง จึงไดต้ รัสถอ้ ยคาํ ต่อไปน้:ี -) ภกิ ษุ ท.! ตถาคต อนั ภกิ ษุผมู้ ีปญ๎ ญาใคร่ครวญ แตไ่ ม่มีญาณเป็นเคร่ืองรู้จิต แห่งผู้อ่ืน พึงทําการทดสอบ ในธรรมทั้งสอง คือในธรรมท่ีจะพึงรู้ได้ด้วยจักษุ และโสตะ วา่ ธรรมท่จี ะพงึ รู้ไดด้ ว้ ยจักษแุ ละโสตะ ซึ่งเปน็ ธรรมเศรา้ หมอง น้ันมี อยู่แก่ตถาคตหรือหาไม่. เมื่อทําการทดสอบในข้อนั้นอยู่ ย่อมรู้อย่างน้ีว่า ธรรมที่ จะพึงรู้ได้ด้วยจักษุและโสตะ ซ่ึงเป็นธรรมเศร้าหมองนั้น ไม่มีอยู่แก่ตถาคตเลย ดังนี้. เมอ่ื รู้อยู่อย่างนน้ั ยอ่ มทําการทดสอบใหย้ ง่ิ ขึน้ ไปกวา่ น้ัน ว่า ธรรมท่จี ะพงึ รู้ ได้ด้วยจักษุและโสตะ ซ่ึงเป็นธรรมท่ีเจืออยู่ด้วยความเศร้าหมอง น้ันมีอยู่แก่ ตถาคตหรือหาไม่. เม่ือทําการทดสอบในข้อน้ันอยู่ ย่อมรู้อย่างน้ีว่า ธรรมที่จะพึงรู้ ได้ด้วยจักษุและโสตะ ซ่ึงเป็นธรรมที่เจืออยู่ด้วยความเศร้าหมองนั้น ก็ไม่มีอยู่แก่ ตถาคตเลย ดังน้ี. เมอ่ื รอู้ ยอู่ ยา่ งนนั้ ย่อมทาํ การทดสอบให้ยงิ่ ข้ึนไปกวา่ น้นั วา่ ธรรมทจี่ ะพงึ รู้ ได้ด้วยจักษุและโสตะ ซ่ึงเป็นธรรมผ่องแผ้ว น้ันมีอยู่แก่ตถาคตหรือหาไม่. เมอ่ื ทําการทดสอบในขอ้ นนั้ อยู่ ยอ่ มรอู้ ยา่ งนวี้ า่ ธรรมท่ีจะพงึ รไู้ ด้ดว้ ยจักษแุ ละโสตะ ซ่ึงเป็นธรรมผ่องแผว้ น้ัน มีอยแู่ กต่ ถาคต ดงั น้.ี เม่ือรู้อยู่อย่างนั้น ย่อมทําการทดสอบให้ย่ิงข้ึนไปกว่าน้ัน ว่า ท่านผู้น้ีเป็นผู้ ถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นกุศลน้ี ได้ถึงพร้อมมาตลอดเวลายาวนาน หรือว่าเพ่ิง ถงึ พรอ้ มเม่ือสักครนู่ ี้เอง. เมือ่ ทําการทดสอบในข้อนั้นอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้ว่า ท่านผู้น้ี ได้ถึงพรอ้ มมาแลว้ ตลอดกาลนาน หาใช่เพ่ิงถงึ พร้อมเมื่อสกั ครู่น้ไี ม่ดงั น้ี. เมื่อรู้อยู่อย่างน้ัน ย่อมทําการทดสอบให้ยิ่งข้ึนไปกว่าน้ี ว่า ท่านผู้นี้เป็น ภิกษุผู้มียศ มีเกียรติกระฉ่อนแล้ว โทษต่าทรามบางอย่างในกรณีอันเก่ียวกับยศ นี้มอี ยูแ่ กท่ า่ นผนู้ ีห้ รอื . ภกิ ษุ ท.! (การท่ตี อ้ งทดสอบขอ้ นี้ก็เพราะวา่ ) โทษตาํ่ ทราม กลับไปสารบัญ
ได้ตรัสร้แู ลว้ – โปรดปญ๎ จวัคคีย์ ๑๖๕ บางอย่างจะยังไม่มีแก่ภิกษุ ตลอดเวลาท่ีภิกษุยังไม่รุ่งเรืองด้วยยศ มีเกียรติ กระฉ่อน; ต่อเมื่อรุ่งเรืองด้วยยศ มีเกียรติกระฉ่อน ก็จะมีโทษต่อทรามบางอย่าง เกิดข้นึ . เมอ่ื ทําการทดสอบในข้อน้ันอยู่ ย่อมรู้อย่างน้ีว่าท่านผู้น้ี แม้เป็นภิกษุเรือง- ยศ มเี กยี รตกิ ระฉ่อน ก็หามีโทษต่ําทรามอันใด ในกรณีอนั เก่ียวกับยศน้นั ไม่ ดังนี้ เม่ือรู้อยู่อย่างนั้น ย่อมทําการทดสอบให้ย่ิงข้ึนไปกว่าน้ัน ว่า ท่านผู้น้ีไม่ เป็นภยูปรัต (ยินดีในส่ิงท่ีเป็นภัย) เพราะปราศจากราคะ ไม่เสพกามเพราะสิ้น ราคะอยู่หรือ. เม่ือทําการทดสอบในข้อนั้นอยู่ย่อมรู้อย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้ ไม่เป็น ภยปู รัตเพราะปราศจากราคะ ไม่เสพกามเพราะสิน้ ราคะ อย่จู รงิ ดังน้ี. ภิกษุ ท.! ถ้ามีคนเหล่าอื่นมาถามภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ก็ท่านมีเหตุผลอย่างไร มีเร่ืองที่รู้มาอย่างไร ท่ีทําให้ท่านกล่าวว่า ท่านผู้น้ี ไม่เป็นภยูปรัต เพราะปราศจาก ราคะ ไม่เสพกามเพราะส้ินราคะดังน้ี เล่า? ภิกษุ ท.! เม่ือภิกษุจะพยากรณ์อยู่ โดยชอบ ก็จะพยากรณ์ว่า \"ข้อน้ีแน่นอน, เพราะว่าท่านผู้น้ี เม่ืออยู่ในหมู่สงฆ์ก็ดี เม่ืออยู่ผู้เดียวก็ดี ซึ่งในที่นั้น ๆ ผู้ประพฤติดีก็มี ผู้ประพฤติชั่วก็มี สอนหมู่คณะอยู่ ก็มีบางพวกพัวพันอยู่กับอามิสก็มี บางพวกไม่ติดอามิสเลยก็มี ท่านผู้นี้ ก็หาได้ดู หมิ่นบคุ คลนั้น ๆ ดว้ ยเหตุน้นั ไม.่ อกี ทางหน่ึง ข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ฟ๎งมาแล้ว ได้รับมาเฉพาะแล้ว จากที่เฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเองว่า `เราไม่ เป็นภยูปรัต; เราไม่เป็นภยูปรัต เพราะปราศจากราคะไม่เสพกามเพราะสิ้นราคะ' ดังนี.้ \" ภิกษุ ท.! ในข้อนี้ ตถาคต เป็นผู้ที่บุคคลพึงสอบถามเฉพาะให้ย่ิงข้ึนไปว่า ธรรมที่เศร้าหมองท่ีพ่ึงรู้ได้ด้วยจักษุและโสตะ มีอยู่แก่ตถาคตหรือหาไม่? ดังน้ี. ภกิ ษุ ท.! เม่อื ตถาคตจะพยากรณ์ ก็จะพยากรณ์ว่า ไมม่ .ี กลับไปสารบัญ
๑๖๖ พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ เม่ือถูกถามว่า ธรรมท่ีเจืออยู่ด้วยความเศร้าหมอง ที่พึงรู้ได้ด้วยจักษุ และโสตะ มีอยู่แก่ตถาคตหรือหาไม่? ดังน้ี. ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตจะพยากรณ์ก็จะ พยากรณว์ า่ ไม่มี. เม่ือถูกถามว่า ธรรมที่ผ่องแผ้ว ที่พึงรู้ได้ด้วยจักษุและโสตะ มีอยู่แก่ ตถาคตหรอื หาไม่? ดังน.้ี ภิกษุ ท.! เม่ือตถาคตจะพยากรณ์ ก็จะพยากรณ์ว่าธรรมที่ ผ่องแผ้ว ท่ีพึงรู้ได้ด้วยจักษุและโสตะ มีแก่ตถาคต ; ตถาคตมีธรรมท่ีผ่องแผ้วนั่น แหละเป็นหนทาง (ปถ), มีธรรมท่ีผ่องแผ้วน่ันแหละเป็นที่เที่ยว (โคจร); แต่ว่า ตถาคตมไิ ด้เป็น \"ตมฺมโย\" (ผทู้ ี่ธรรมอนั ผอ่ งแผว้ นั้นสร้างขึ้น) ด้วยเหตุน้นั . ภิกษุ ท.! สาวกควรจะเข้าไปหาพระศาสดาผู้มีวาทะอย่างน้ี เพ่ือจะฟ๎ง ธรรม; พระศาสดาน้ัน ย่อมแสดงธรรมแก่สาวกน้ัน ให้ย่ิงข้ึนไป ให้ประณีตข้ึนไปมี ส่วนเปรียบเทียบระหว่างธรรมดํากับธรรมขาว. ภิกษุ ท.! พระศาสดาย่อมแสดง ธรรมแกส่ าวกนน้ั ในลักษณะท่ีเม่ือแสดงอยู่โดยลักษณะน้ันสาวกนั้น เพราะรู้ยิ่งใน ธรรมนัน้ ยอ่ มถงึ ซงึ่ ความแน่ใจเฉพาะธรรมบางอย่าง ในธรรม ท. ที่แสดงน้ันย่อม เล่ือมใสในพระศาสดาว่า \"พระผู้มีพระภาค เป็นสัมมาสัมพุทธะ, พระธรรมเป็น สว๎ ากขาตะ, สาวกสงฆ์ของพระผ้มู พี ระภาค เป็นสุปฎิปน๎ นะ\" ดังน.้ี ภิกษุ ท.! ถ้ามีคนเหล่าอ่ืนมาถามภิกษุนั้นอย่างน้ีว่า ก็ท่านมีเหตุผลอย่างไร มีเร่ืองท่ีรู้มาอย่างไร ที่ทําให้ท่านกล่าวว่า พระผู้มีพระภาค เป็นสัมมาสัมพุทธะ, พระธรรม เป็นส๎วากขาตะ, สาวกสงฆ์ของพระผู้มีพระภาค เป็นสุปฏิป๎นนะดังน้ี เลา่ ? ภิกษุ ท.! เม่ือภิกษุจะพยากรณ์อยู่โดยชอบ ก็จะพยากรณ์ว่า \"เพ่ือนเอ๋ย ! ใน เร่ืองนี้ เราเข้าไปเฝูาพระผู้มีพระภาค เพื่อฟ๎งธรรม พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ธรรมแก่เรานั้น ให้ย่ิงขึ้นไป ให้ประณีตขึ้นไป มีส่วนเปรียบเทียบระหว่างธรรมดํา กบั ธรรมขาว. เพ่อื นเอ๋ย ! พระศาสดาย่อมแสดงธรรมแก่เรา ในลักษณะ กลับไปสารบัญ
ไดต้ รัสรู้แล้ว – โปรดปญ๎ จวัคคยี ์ ๑๖๗ ท่ีเมื่อทรงแสดงอยู่โดยลักษณะนั้น เรา เพราะรู้ยิ่งในธรรมนั้น ได้ถึงแล้วซ่ึงความ แน่ใจเฉพาะธรรมบางอย่าง ในธรรม ท. ที่ทรงแสดงนั้น เลื่อมใสแล้วใน พระศาสดาว่า `พระผู้มีพระภาค เป็นสัมมสัมพุทธะ, พระธรรม เป็นส๎วากขาตะ, สาวกสงฆ์ของพระผมู้ ีพระภาค เป็นสปุ ฏิป๎นนะ' ดังนี\"้ . ภกิ ษุ ท.! สทั ธาในตถาคตของท่านผูใ้ ดก็ตาม เป็นสทั ธาทีถ่ ูกชกั โยงแล้วด้วย อาการเหล่าน้ีด้วยบทเหล่าน้ี ด้วยพยัญชนะเหล่านี้ เป็นสัทธาที่มีมูลรากเกิดแล้ว มีฐานท่ีตั้งเกิดแล้ว; ภิกษุ ท.! สัทธาน้ี เรากล่าวว่า เป็นสัทธาที่มีอาการ มีทัสสนะ เป็นมูล เป็นสัทธาท่ีม่ันคง ที่สมณะก็ดี พราหมณ์ก็ดี เทพก็ดีมารก็ดี พรหมก็ดี หรือใคร ๆ ก็ตาม ในโลก จะชักจงู ไปไมไ่ ด้. ภิกษุ ท.! การทดสอบโดยธรรมในตถาคต ย่อมมีด้วยอาการอย่างน้ี, และตถาคตกเ็ ปน็ ผู้ถูกทดสอบแล้วด้วยดโี ดยธรรม ด้วยอาการอยา่ งน้ี แล. หมายเหตุ : ข้อความข้างบนนี้ มีประโยชน์สําหรับพวกเราท่ัวไปที่ไม่มีเจโตปริยญาณที่ จะรู้พระหฤทัยของพระองค์ ว่าเป็นสัมมาสัมพุทธะหรือไม่ ก็จะสามารถมีสัทธาแน่ใจได้ว่าทรง เป็นสัมมาสมั พทุ ธะขอให้พยายามทาํ ความเขา้ ใจในเร่อื งนีใ้ ห้ถึงท่สี ดุ ดว้ ย.อนึ่ง ข้อความเหล่านี้ จะ ฟ๎งยากสําหรับคนบางคนเพราะพระองค์ทรงใช้คําธรรมดาสามัญให้เล็งถึงพระองค์เอง ราวกะ ว่าทรงเป็นจําเลยให้สอบสวน; ผู้อ่านจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่นคําว่า \"ภิกษ\"ุ เป็นตน้ หมายถึงพระองค์เองกม็ .ี -ผู้รวบรวม. ทรงยืนยนั วา่ ไม่ได้บริสุทธ์เิ พราะตบะอน่ื นอกจากอริยมรรค๑ คร้งั นนั้ พระผมู้ พี ระภาคประทบั อยู่ในท่หี ลีกเร้น หลังจากการตรัสรู้แล้วใหม่ ๆ ได้เกิด ปริวิตกขึ้นมาว่า \"เราหลุดมาได้แล้วจากการกระทําทุกรกิริยานั้นหนอ; ดีนัก เราหลุด มาเสยี ไดแ้ ลว้ จากการกระทําทกุ รกิริยาอนั ไม่ประกอบด้วยประโยชน์น้ันหนอ; ดีนัก เราหลุดพน้ แล้ว เปน็ ผู้ถึงทบั ซึง่ โพธิญาณหนอ\"ดงั น.้ี ________________________________________________________________ ๑. บาลี สคา. ส.ํ ๑๕/๑๕๐/๔๑๘. ตรัสแกม่ าร. กลับไปสารบัญ
๑๖๘ พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ ลําดับนั้น มารผู้มีบาป ทราบความปริวิตกแห่งใจของพระผู้มีพระภาค ด้วยใจแห่งตน แล้วเขา้ ไปหาพระผมู้ ีพระภาคถึงที่ประทบั ได้กล่าวคุกคามดว้ ยคาถาวา่ :- \"มาณพทบ่ี ําเพญ็ ตบะ ย่อมไมห่ ลีกจากตบะที่ทาํ เขา ใหบ้ ริสุทธิ์ ส่วนท่านเปน็ ผู้ไมบ่ รสิ ทุ ธิ์ มาสําคญั ตนว่าบรสิ ุทธ์ิ ทอดทงิ้ เสียซ่งึ หนทางอันบรสิ ทุ ธ์ิ.\" ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบว่า น้ีเป็นมารผู้มีบาป ดังนี้แล้ว ได้กล่าวคุกคาม มารผมู้ บี าป ด้วยคาถาเหล่าน้วี ่า :- ตบะอย่างอืน่ ชนิดใดกต็ าม ทั้งหมดน้นั ไม่เปน็ ตบะนามาซ่ึงประโยชน์ เพราะเรา รแู้ ล้ววา่ ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์ เหมือนถอ่ หรอื แจวที่จะใชถ้ อ่ หรอื แจวเรือบนบกในปุา. เราเจรญิ มรรค อนั ประกอบดว้ ยศีลสมาธิ และป๎ญญา เพื่อการตรัสรู้ เราเป็นผ้ถู ึงแลว้ ซึง่ ความบริสทุ ธิอ์ ยา่ งยิง่ . มารเอ๋ย! เรา ต่างหาก เป็นผกู้ วาดล้างท่านแลว้ , ดังน้ี. ลาํ ดับน้ัน มารผ้มู ีบาป รสู้ กึ ว่า พระผมู้ ีพระภาครู้กําพืดเราเสียแล้ว พระสุคตรู้กําพืดเรา เสียแลว้ มที ุกข์โทมนัส อันตรธานไปแล้วในท่นี ั่นนัน้ เอง. ทรงยืนยนั พรหมจรรยข์ องพระองค์วา่ บรสิ ทุ ธ์ิเตม็ ท่ี๑ พราหมณ์ ! เมอ่ื ผ้ใู ดจะกล่าวให้ถูกต้อง ว่าใครประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธ์ิ บริบูรณ์ ไม่ขาดไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อยแล้ว เขาควรกล่าวเจาะจงเอาเราตถาคต. พราหมณ์! เราน่ีแหละ ย่อมประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธ์ิบริบูรณ์ ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ดา่ ง ไมพ่ ร้อยแล้ว. ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี สตั ตพั พธิ เมถุนสํโยคสตู ร สตฺตก. อํ. ๒๓/๕๕/๔๗. ตรัสแก่ชานุสโสณีพราหมณ.์ กลบั ไปสารบัญ
ไดต้ รสั รู้แลว้ – โปรดป๎ญจวคั คยี ์ ๑๖๙ \"ข้าแต่พระโคดม ! ความขาด ความทะลุ ความด่าง ความพร้อย ของพรหมจรรย์ นนั้ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ?\" พราหมณ์ ! มีสมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ปฏิญาณตัวว่าเป็น พรหมจารโี ดยชอบ เขาไม่เสพเมถุนธรรมกับด้วยมาตุคามก็จริงแล แต่ว่า เขายินดี การลูบคลา การประคบ การอาบ การนวดฟ๎้น ท่ีได้รับจากมาตุคาม. เขา ปลาบปล้ืมยินดีด้วยการบําเรอเช่นนั้นจากมาตุคาม. ดูก่อนพราหมณ์ ! นี่แล คือ ความขาด ความทะลุ ความด่าง ความพร้อยของพรหมจรรย์ เรากล่าวว่าผู้น้ี ประพฤติพรหมจรรย์ไม่บริสุทธ์ิ ยังประกอบด้วยการเก่ียวพันด้วยเมถุน, ไม่พ้นจาก ชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ไปได้, ยังไม่พ้น จากทกุ ข.์ พราหมณ์ ! สมณะหรือพราหมณ์บางพวกในโลกนี้ ปฎิญาณตัวว่า เป็น พรหมจารีโดยชอบ ไม่เสพเมถุนธรรมกับมาตุคาม และไม่ยินดีการลูบคลํา การประคบ การอาบ การนวดฟ้๎น จากมาตุคามก็จริง แต่เขายังพูดจาซิกซ้ีเล่นหัว สัพยอกกับมาตุคาม, เขาปลาบปล้ืมยินดี ด้วยการบําเรอเช่นนั้นจากมาตุคาม. ดูก่อนพราหมณ์ ! นี่แลคือความขาด ความทะลุ ความด่าง ความพร้อย ของพรหมจรรย์. เรากล่าวว่าผู้น้ีประพฤติพรหมจรรย์ไม่บริสุทธิ์ ยังประกอบด้วย การเกี่ยวกันด้วยเมถุน, ไม่พ้นจากชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขโทมนัสและ อุปายาส ไปได,้ ยังไม่พน้ จากทกุ ข.์ พราหมณ์ ! สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกน้ี ปฏิญาณตัวว่าเป็น พรหมจารีโดยชอบ ไม่เสพเมถุนธรรมกับด้วยมาตุคาม ไม่ยินดีการลูบคลํา การประคบ การอาบ การนวดฟ้๎น จากมาตุคาม ท้ังไม่ยินดีในการพูดจาซิกซ้ีเล่นหัว สพั ยอกกับมาตุคามกจ็ รงิ แตเ่ ขายงั ชอบสบตาด้วยตาของมาตคุ าม, แล้ว กลับไปสารบัญ
๑๗๐ พุทธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ ปลาบปล้ืมยินดีด้วยการทําเช่นนั้น. ดูก่อนพราหมณ์! นี่ก็คือความขาด ความทะลุ ความด่าง ความพร้อยของพรหมจรรย์. เรากล่าวว่าผู้นี้ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่บริสุทธิ์ ยังประกอบการเก่ียวพันด้วยเมถุน, ยังไม่พ้นจากชาติ ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทุกขโทมนัส และอปุ ายาส ไปได้, ยงั ไม่พน้ จากทุกข์. พราหมณ์! สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ปฏิญาณตัวว่าเป็น พรหมจารีโดยชอบ แล้วไม่เสพเมถุนธรรมกับด้วยมาตุคาม ไม่ยินดีการลูบคลํา การประคบ การอาบ การนวดฟ้๎น จากมาตุคาม ไม่ยินดีในการพูดจากซิกซ้ีเล่นหัว สพั ยอกกบั มาตุคาม ทงั้ ไม่ยินดีในการสบตาต่อตากับมาตุคามก็จริง แต่เขายังชอบ ฟ๎งเสียงของมาตุคาม ท่ีหัวเราะอยู่ก็ดี พูดจาอยู่ก็ดี ขับร้องอยู่ก็ดีร้องไห้อยู่ก็ดี ข้างนอกฝาก็ตาม นอกกาแพงก็ตาม, แล้วปลาบปลื้มยินดีด้วยการได้ฟ๎งเสียงนั้น. ดกู ่อนพราหมณ์! นีค่ ือความขาด ความทะลุความด่าง ความพร้อยของพรหมจรรย์. เรากล่าวว่าผู้นี้ประพฤติพรหมจรรย์ไม่บริสุทธิ์ ยังประกอบการเกี่ยวพันด้วยเมถุน, เขายังไม่พ้นจากชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัส และอุปายาส ไปได้, ยังไมพ่ น้ จากทุกข.์ พราหมณ์ ! สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ปฎิญาณตัวว่าเป็น พรหมจารีโดยชอบ แล้วไม่เสพเมถุนธรรมกับด้วยมาตุคาม ไม่ยินดีการลูบคลํา การประคบ การอาบ การนวดฟ๎้น จากมาตุคาม ไม่ยินดีในการพูดจาซิกซ้ีเล่นหัว สัพยอกกับมาตุคาม ไม่ยินดีในการสบตาต่อตากับมาตุคาม ทั้งไม่ยินดีในการฟ๎ง เสียงมาตุคามก็จริง แต่เขาชอบตามระลึกถึงเรื่องเก่า ที่เคยหัวเราะเล้าโลมเล่น หัวกันกับมาตุคาม แล้วก็ปลาบปล้ืมยินดีด้วยการเฝูาระลึกเช่นนั้น . ดูก่อนพราหมณ์ ! น่ีแล คือความขาด ความทะลุ ความด่าง ความพร้อย ของ พรหมจรรย์.เรากล่าวว่าผู้นี้ประพฤติพรหมจรรย์ไม่บริสุทธ์ิ ยังประกอบด้วยการ เกีย่ วพันดว้ ยเมถนุ , กลบั ไปสารบัญ
ไดต้ รัสรแู้ ลว้ – โปรดป๎ญจวคั คีย์ ๑๗๑ ยังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ไปได้, ยังไมพ่ ้นจากทกุ ข์. พราหมณ์ ! สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกน้ี ปฎิญาณตัวว่าเป็น พรหมจารี โดยชอบ แล้วไม่เสพเมถุนธรรมกับด้วยมาตุคาม ไม่ยินดีการลูบคลํา การประคบ การอาบ การนวดฟ๎้น จากมาตุคาม ไม่ยินดีการพูดจาซิกซี้เล่นหัว สัพยอกกับมาตุคาม ไม่ยินดีการสบตาต่อตากับมาตุคาม ไม่ยินดีการฟ๎งเสียง มาตุคาม และทั้งไม่ชอบตามระลึกถึงเรื่องเก่าที่เคยหัวเราะเล้าโลมเล่นหัวกับ มาตุคามก็จริง แต่เขาเพียงแต่เห็นพวกคฤหบดี หรือลูกคฤหบดีอ่ิมเอิบด้วยกาม คุณได้รับการบาเรออยู่ด้วยกามคุณ ก็ปลาบปลื้มยินดีด้วยการได้เห็นการกระทา เช่นนั้น. ดูก่อนพราหมณ์ ! นี่แลคือความขาด ความทะลุ ความด่าง ความพร้อย ของพรหมจรรย์. เรากล่าวว่าผู้นี้ประพฤติพรหมจรรย์ไม่บริสุทธ์ิ ยังประกอบด้วย การเก่ียวกันด้วยเมถุน, ยังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ไปได้, ยังไม่พน้ จากทุกข.์ พราหมณ์ ! สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ปฎิญาณตัวว่าเป็น พรหมจารี โดยชอบ แล้วไม่เสพเมถุนธรรมกับด้วยมาตุคาม ไม่ยินดีการลูบคลํา การประคบ การอาบ การนวดฟ๎้น จากมาตุคาม ไม่ยินดีการฟ๎งเสียงมาตุคามไม่ ยินดีตามระลึกถึงเรื่องเก่าท่ีตนเคยหัวเราเล้าโลมเล่นหัวกับมาตุคาม และทั้งไม่ ยินดีท่ีจะเห็นพวกคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี อิ่มเอิบด้วยกามคุณ แล้วตนพลอยนึก ปลื้มใจด้วยก็ตาม แต่เขาประพฤติพรหมจรรย์โดยต้ังความปรารถนาเพ่ือไปเป็น เทพยาดาพวกใดพวกหนึ่ง. ดูก่อนพราหมณ์ ! นี่แล คือความขาด ความทะลุ ความดา่ ง ความพรอ้ ย ของพรหมจรรย.์ เรากล่าววา่ ผ้นู ้ีประพฤตพิ รหมจรรยไ์ ม่ กลับไปสารบัญ
๑๗๒ พทุ ธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ บริสุทธิ์ ยังประกอบด้วยการเก่ียวพันด้วยเมถุน, ยังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์โทมนสั และอปุ ายาส ไปได,้ ยงั ไม่พ้นจากทุกข.์ พราหมณ์เอย ! ตลอดกาลเพียงใด ที่เรายังเห็นการเก่ียวพันด้วยเมถุน อย่างใดอย่างหน่ึงใน ๗ อย่างน้ัน ท่ีเรายังละมันไม่ได้, ตลอดกาลเพียงน้ันเรายัง ไม่ปฎญิ ญาตวั เอง วา่ เปน็ ผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมท้ังเทวดา มาร พรหม หมู่สตั ว์ พรอ้ มทงั้ สมณะและพราหมณ์ เทวดาแลมนุษย์ พราหมณ์เอย ! เม่ือใด เราไม่มองเห็นการเกี่ยวพันด้วยเมถุนอย่างใด อยา่ งหนง่ึ ใน ๗ อย่างนั้น ท่ีเรายังละมันไม่ได้, เม่ือน้ัน เราย่อมปฎิญญาตัวเองว่า เป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมท้ังเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะและพราหมณ์ เทวดาแลมนุษย์, ญาณ และทัสสนะได้เกิดขึ้นแก่ เราแล้ว. ความหลุดพ้นของเรา ไม่กลับกาเริบ. ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย.บัดนี้การ เกดิ ใหม่ไมม่ อี กี ต่อไป ทรงยนื ยนั ว่าตรัสเฉพาะเร่อื งที่ ทรงแจ่มแจ้งแทงตลอดแล้วเท่านั้น๑ ภิกษุ ท.! เรายังไม่รู้แจ้งพร้อมเฉพาะ ซึ่งกรรมอันสัตว์กระทําส่ังสมแล้ว ด้วยเจตนา ก็ยังไม่กล่าวภาวะความสิ้นสุดของกรรมน้ัน ไม่ว่าจะเป็นกรรมให้ผลใน ทิฎฐธรรม (ทันที) ในอุปะป๎ชชะ (เวลาต่อมา) หรือในอปรปริยายะ (เวลาต่อมา อีก). ภิกษุ ท.! เรายังไม่รู้แจ้งพร้อมเฉพาะ ซึ่งกรรมอันสัตว์กระทําสั่งสมแล้วด้วย เจตนา ก็ยงไมก่ ล่าวซง่ึ การกระทาํ ท่ีสดุ แหง่ ทุกข.์ ภิกษุ ท.! ในข้อน้ัน การถึงทั่วมีประการต่าง ๆ ซ่ึงโทษแห่งการงานอัน เปน็ ไปทางกาย อนั ประกอบด้วยเจตนาอนั เปน็ อกุศล มีทุกข์เป็นกําไร มที กุ ข์เป็น ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๓๑๓, ๓๑๙, ๓๒๑/๑๙๔, ๑๙๕, ๑๙๖. ตรัสแก่ภกิ ษุ ท. กลับไปสารบัญ
ได้ตรสั ร้แู ล้ว – โปรดป๎ญจวัคคยี ์ ๑๗๓ ผล มีอยู่ ๓ อย่าง; การถึงท่ัวมีประการต่าง ๆ ซ่ึงโทษแห่งการงานอันเป็นไปทาง วาจา อันประกอบด้วยเจตนาอันเป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกําไร มีทุกข์เป็นผล มีอยู่ ๔ อย่าง: การถึงท่ัวมีประการต่าง ๆ ซึ่งโทษแห่งการงานอันเป็นไปทางใจ อัน ประกอบดว้ ยเจตนาอันเปน็ อกุศล มีทกุ ข์เปน็ กาํ ไร มีทกุ ข์เปน็ ผล มอี ยู่ ๓ อยา่ ง. (ตอ่ จากน้ี ทรงจาํ แนกรายละเอยี ดของกายกรรม วจกี รรม มโนกรรม ฝาุ ยอกุศลที่ยกไว้ เป็นหัวข้อข้างต้นนั้น ทุกอย่างทุกประการ, แล้วก็ทรงแจกรายละเอียดของกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ฝุายกุศล โดยทํานองเดียวกันกับฝุายอกุศลและฝุายกุศลจริง ๆ อย่างเพียงพอที่จะ กล่าวถึงความสนิ้ แห่งกรรมและการกระทาํ ท่สี ุดแหง่ ความทกุ ข์ ดงั ทไี่ ดท้ รงปรารภไวข้ ้างต้นน้นั ) สิ่งทีไ่ มต่ อ้ งทรงรักษาอีกต่อไป๑ ภิกษุ ท.! ธรรมส่ีอย่างเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ตถาคตไม่ต้องสํารวมรักษา(ด้วย เจตนางดเวน้ อกี ตอ่ ไป). ส่อี ย่างเหลา่ ไหนเล่า? (๑) ภิกษุ ท.! ตถาคต มีมรรยาททางกาย บริสุทธ์ิสะอาด, กายทุจริตที่ ตถาคตต้องรักษา(คือปิดบัง) ว่า \"ใคร ๆ อื่น อย่าล่วงรู้ถึงกายทุจริตข้อน้ีของเรา\" ดังน้ี ยอ่ มไม่มแี กต่ ถาคต. (๒) ภิกษุ ท.! ตถาคต มีมรรยาททางวาจา บริสุทธ์ิสะอาด, วจีทุจริตท่ี ตถาคตต้องรักษาว่า \"ใคร ๆ อื่นอย่าล่วงรู้ถึงวจีทุจริตข้อน้ีของเรา\" ดังน้ีย่อมไม่มี แกต่ ถาคต. (๓) ภกิ ษุ ท.! ตถาคต มีมรรยาททางใจ บรสิ ุทธิ์สะอาด, มโนทุจรติ ทตี่ ถาคต ต้องรักษาว่า \"ใคร ๆ อ่ืนอย่าล่วงรู้ถึงมโนทุจริตข้อน้ีของเรา\" ดังนี้ย่อไม่มีแก่ ตถาคต. ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี สตฺตก. อ.ํ ๒๓/๘๔/๕๕. กลับไปสารบัญ
๑๗๔ พุทธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ (๔) ภิกษุ ท.! ตถาคต มีการเล้ียงชีพ บริสุทธิ์สะอาด, มิจาฉาชีพท่ีตถาคต ต้องรักษาว่า \"ใคร ๆ อื่น อย่าล่วงรู้ถึงมิจฉาชีพข้อนี้ของเรา\" ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่ ตถาคตเลย. ทรงฉลาดในเรือ่ งซง่ึ พน้ วสิ ยั โลก๑ ภิกษุ ท.! เราแล เป็นผู้ฉลาดในเรื่อง โลกน้ี ฉลาดในเร่ือง โลกอ่ืน, เป็นผู้ ฉลาดต่อวัฎฎะอันเป็นท่ีอยู่ของมาร ฉลาดต่อ วิวัฎฎะอันไม่เป็นท่ีอยู่ของมาร, เป็นผู้ฉลาดต่อวัฎฎะอันเป็นท่ีอยู่ของมฤตยูฉลาดต่อ วิวัฎฎะอันไม่เป็นท่ีอยู่ของ มฤตยู. ชนเหล่าใดถือว่าเร่ืองน้ีควรฟ๎งควรเชื่อ ข้อน้ัน จักเป็นไปเพ่ือประโยชน์ เกอื้ กูลเพื่อความสุข แก่ชนทง้ั หลายเหลา่ นัน้ ส้ินกาลนาน. ท้ังโลกน้ีและโลกอ่ืน ตถาคตผ้ทู ราบดอี ยู่ ได้ประกาศไว้ชัดแจง้ แลว้ ทั้งท่ีทม่ี ารไปไมถ่ ึง และท่ีทีม่ ฤตยไู ปไมถ่ งึ ตถาคตผรู้ ชู้ ัดเข้าใจชัด ไดป้ ระกาศไว้ชัดแจ้งแล้ว เพราะความรู้โลกท้งั ปวง. ประตู นครแหง่ ความไมต่ าย ตถาคตเปิดโลง่ ไวแ้ ลว้ เพื่อสตั วท์ ้ังหลาย เข้าถึงถ่นิ อนั เกษม. กระแสแห่งมารผมู้ บี าป ตถาคตปดิ กั้นเสยี แลว้ กาจัดเสยี แล้ว ทาให้หมดพษิ สงแลว้ . ภิกษุ ท.! เธอทง้ั หลาย จงเป็นผมู้ ากมูนด้วยปราโมทย์ ปรารถนาธรรมอันเกษมจากโยคะเถดิ . ทรงทราบ ทรงเปิดเผย แต่ไม่ทรงติด ซ่ึงโลกธรรม๒ ภิกษุ ท.! โลกธรรม มีอยู่ในโลก. ตถาคต ย่อมตรัสรู้ ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ซ่งึ โลกธรรมนัน้ ;ครน้ั ตรสั รแู้ ล้ว รูพ้ ร้อมเฉพาะแล้ว ยอ่ มบอก --------------------------------------------------------------------------------------------- ๑. บาลี จูฬโคลปาลสตู ร ม.ู ม. ๑๒/๔๒๑/๓๘๑. ตรสั แกภ่ กิ ษุทัง้ หลาย ท่ฝี ง่๎ นา้ํ คงคา ใกลเ้ มือง อุกกเวลา, แควน้ วชั ช.ี (เฉพาะสูตรนี้ มีอยใู่ นภาคนําดว้ ยแล้ว). ๒. บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๑๗๐/๒๔๐. ตรสั แกภ่ กิ ษุ ท. กลบั ไปสารบัญ
ได้ตรสั รู้แล้ว – โปรดป๎ญจวคั คยี ์ ๑๗๕ ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมต้ังข้ึนไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจําแนกแจกแจง ย่อมทํา ใหเ้ ปน็ เหมือนการหงายของทคี่ วํา่ . ภกิ ษุ ท.! ก็อะไรเล่า เป็นโลกธรรมในโลก? ภกิ ษุ ท.! รปู เปน็ โลกธรรมในโลก. ตถาคต ย่อมตรัสรู้ ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ซ่ึงรปู อันเป็นโลกธรรมนนั้ ; คร้ันตรัสรู้แล้ว รู้พร้อมเฉพาะแล้วย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญตั ิ ย่อมต้ังขึน้ ไว้ ย่อมเปดิ เผย ย่อมจําแนกแจกแจงย่อมทําให้เป็นเหมือน การหงายของที่ควาํ่ . ภิกษุ ท.! บุคคลบางคน แม้เราตถาคตบอก แสดง บัญญัติ ตั้งขึ้นไว้ เปิดเผย จําแนกแจกแจงทําให้เป็นเหมือนการหงายของที่ควํ่า อยู่อย่างน้ี เขาก็ยัง ไม่รู้ไม่เห็น. ภิกษุ ท.! กะบุคคลท่ีเป็นพาล เป็นปุถุชน คนมืด คนไม่มีจักษุคนไม่รู้ ไม่เหน็ เช่นนี้ เราจะกระทาํ อะไรกะเขาได.้ (ในกรณีแห่ง เวทนา, สัญญา, สังขาร และ วิญญาณ ก็ได้ตรัสไว้ด้วยถ้อยคําท่ีมี หลกั เกณฑ์ในการตรสั อยา่ งเดยี วกันกับในกรณแี หง่ รปู ที่กล่าวแล้วนน้ั ทุกประการ) ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือน ดอกอุบล หรือดอกปทุม หรือดอกบัวบุณฑริกก็ดี เกิดแล้วเจริญแล้วในน้ํา พ้นจากนํ้าแล้วดํารงอยู่ได้โดยไม่เป้ือนน้ํา,ฉันใด; ภิกษุ ท.! ตถาคตก็ฉันน้ันเหมือนกัน เกิดแล้วเจริญแล้ว ในโลกครอบงําโลกแล้วอยู่ อย่างไม่แปดเปอ้ื นด้วยโลก. ทรงทราบทิฎฐิวัตถทุ ี่ลกึ ซงึ้ ๑ (ทฎิ ฐิ ๖๒)๒ ภกิ ษุ ท.! มธี รรมทีล่ ึก ที่สตั ว์อน่ื เห็นไดย้ าก ยากทส่ี ัตวอ์ ่ืนจะรู้ตามเป็นธรรม เงยี บสงบประณีต ไมเ่ ป็นวสิ ยั ท่จี ะหยง่ั ลงง่ายแห่งความตรกึ เป็น ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี สี.ที. ๙/๑๖/๒๖. ตรัสแก่ภกิ ษทุ ้ังหลาย ทสี่ วนอมั พลัฎฐิกา. ๒. ทิฎฐิวัตถุ คือต้นเหตุเดิมอันจะให้เกิดทิฎฐิต่าง ๆ ขึ้น มีอยู่ ๖๒ วัตถุ. แต่เราเรียกกันว่าทิฎฐิ ๖๒ เฉย ๆ. ในที่น้ีย่อเอามาแตใ่ จความ จากพรหมชาลสตู ร ส.ี ที. กลบั ไปสารบัญ
๑๗๖ พทุ ธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ ของละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิตวิสัย, ซ่ึงเราตถาคตได้ทําให้แจ้งด้วยป๎ญญาอันยิ่ง เองแล้วสอบผู้อ่ืนให้รู้แจ้ง,เป็นคุณวุฒิเครื่องนําไปสรรเสริญ ของผู้ที่เม่ือจะพูด สรรเสริญเราตถาคตให้ถูกต้องตรงตามท่ีเป็นจริง. ภิกษุ ท.! ธรรมเหล่านั้นเป็น อย่างไรเล่า? ภกิ ษุ ท. ! ฯลฯ สมณะหรือพราหมณบ์ างพวกในโลกน้ี ฯลฯ (ต่างก็บญั ญัติ): ๑. เพราะระลึกชาตขิ องตนเองไดห้ ลายแสนชาติ จงึ บัญญัติตนและโลกว่า เทยี่ งทกุ อย่าง. ๒. เพราะ \" \" ๑๐ สงั วัฎฎกัปป์-วิวฎั ฎกัปป์(เปน็ อย่างสูง) \" \" เท่ียงทุกอยา่ ง. ๓. เพราะ \" \" ๔๐ \" \"( \" ) \" \" เทย่ี งทุกอย่าง. ๔. เพราะอาศัยความตริตรึกเสมอ แลว้ คะเนเอา (๔ อยา่ งข้างบนน้ี เป็น พวกสัสสตวาท - เท่ยี งทุกอย่าง) ๕. เพราะระลึกไดเ้ พยี งชาติทต่ี นเคยจตุ ไิ ปจากหัวหน้า จงึ บัญญตั ติ นและโลกวา่ เทีย่ งแต่บางอยา่ ง. ๖. เพราะ \" \" เคยเป็นเทพพวกขฑิ ฑาปโทสกิ า \" \" เทย่ี งแตบ่ างอยา่ ง. ๗. เพราะ \" \" มโนปโทสิกา \" \" เที่ยงแต่บางอยา่ ง. ๘. เพราะอาศัยความตริตรกึ อยู่เสมอ แลว้ คะเนเอา \" \" เท่ียงแต่บางอย่าง. (๔ อย่างขา้ งบนน้ี เป็น พวกเอกัจจสสั สตวาท - เทยี่ งบางอย่าง) ๙. เพราะอาศยั ความเพยี รบางอยา่ งบรรลเุ จโตสมาธิ ทาํ ความม่ันใจแล้วบญั ญตั ติ นและโลกว่ามีทสี่ ดุ . ๑๐. เพราะ \" \" \" ไมม่ ที ่สี ดุ . ๑๑. เพราะ \" \" \" มที ส่ี ดุ บางด้าน, ไมม่ บี างด้าน. ๑๒. เพราะอาศยั ความหลงใหลของตนเองแลว้ บัญญัติส่ายวาจาว่าโลกมีท่สี ดุ กไ็ ม่ใช่ ไมม่ ีกไ็ ม่เชงิ . (๔ อยา่ งข้างบนน้ี เป็น พวกอนั ตานนั ตกิ วาท - เกีย่ วดว้ ยมีทส่ี ุดและไมม่ ีท่ีสุด) ๑๓. เพราะกลวั มุสาวาท จงึ สา่ ยวาจาพดู คําทไี่ ม่ตายตวั แลว้ บัญญตั วิ ่าข้าพเจ้าเหน็ อยา่ งนั้นก็ไมใ่ ช่, --อย่างน้กี ไ็ มใ่ ช่ ฯลฯ (เก่ยี วดว้ ยกศุ ล, อกุศล). ๑๔. เพราะกลัวอปุ าทาน \" \" ฯลฯ \" \" \". ๑๕. เพราะกลัวการถกู ซักไซ้ \" \" ฯลฯ \" \" \". กลบั ไปสารบัญ
ได้ตรสั รแู้ ลว้ – โปรดปญ๎ จวคั คยี ์ ๑๗๗ ๑๖. เพราะหลงใหลฟ่๎นเฟือนในใจเอง จงึ ส่ายวาจาไมใ่ ห้ตายตัว (เกีย่ วกับโลกยิ ทฎิ ฐิ เชน่ --โลกหน้ามี ฯลฯ ผลกรรมมี เป็นตน้ ). (๔ อย่างขา้ งบนน้ี เป็น พวกอมราวิกเขปกิ วาท - พูดไมใ่ ห้ตายตัว) ๑๗. เพราะระลกึ ไดเ้ พียงชาติทตี่ นเคยเป็นอสัญญีสัตว์ แล้วต้องจุติเพราะสัญญาเกิดข้ึน-- --จึงบญั ญตั ติ นและโลกวา่ เกิดเองลอย ๆ. ๑๘. เพราะอาศัยการตรติ รกึ อยเู่ สมอ แลว้ คะเนเอา \" \" เกดิ เองลอย ๆ. (๒ อยา่ งข้างบนนี้ เป็น พวกอธจิ จสมุปป๎นนิกวาท - เกดิ เองลอย ๆ ) (ท้งั ๕ หมวด มรี วมทั้งหมด ๑๘ ทิฎฐิ ข้างบนน้ี จดั เปน็ พวกปรารภขนั ธ์ในอดีตกาล) --- --- --- --- ๑๙. บัญญัติอัตตาวา่ อตั ตาทม่ี รี ูป, เป็นอตั ตาทีไ่ มม่ ีโรคหลงั จากตายแล้ว เปน็ สตั วะมสี ญั ญา. ๒๐. \" \" ที่ไมม่ ีรูป, \" \" \" \" มสี ัญญา. ๒๑. \" \" ที่มีรปู และไม่มรี ปู , \" \" \" มสี ญั ญา. ๒๒. \" \" ทม่ี ีรปู ก็มิใช่ ไมม่ กี ไ็ มใ่ ช่, \" \" \" มีสัญญา. ๒๓. \" \" ท่มี ที ีส่ ุด, \" \" \" \" มสี ญั ญา. ๒๔. \" \" ทีไ่ มม่ ีท่สี ดุ , \" \" \" \" มสี ญั ญา. ๒๕. \" \" ทีม่ ีทส่ี ุดและท่ไี ม่มที สี่ ุด, \" \" \" มสี ญั ญา. ๒๖. \" \" ทมี่ ที ่สี ุดก็มใิ ชไ่ ม่มีกม็ ิใช่, \" \" \" มสี ัญญา. ๒๗. บัญญัติอัตตาว่า อัตตามีสัญญาเดียวกัน, เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมี สญั ญา. ๒๘. \" \" ท่ีมีสัญญาตา่ งกัน,\" \" \" มสี ัญญา. ๒๙. \" \" ทม่ี สี ัญญานอ้ ย, \" \" \" มีสญั ญา. ๓๐. \" \" ทม่ี สี ญั ญามากไมม่ ีประมาณ, \" \" มสี ัญญา. ๓๑. \" \" ทีม่ สี ุขอย่างเดียว, \" \" \" มสี ญั ญา. ๓๒ \" \" ท่มี ีทุกขอ์ ย่างเดียว, \" \" มสี ัญญา. กลบั ไปสารบัญ
๑๗๘ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ ๓๓. บญั ญัติอัตตาวา่ อัตตาท่มี ีท้ังสขุ และทุกข์, เปน็ อัตตาไมม่ ีโรคหลังจากตายแลว้ เปน็ สตั วะมีสญั ญา. ๓๔. \" \" ท่ไี ม่มที กุ ขไ์ ม่มีสุข, \"\" \" มีสัญญา. (๑๖ อย่างขา้ งบนนี้ เป็นพวกสญั ญวี าท - มีสัญญา) ๓๕. บญั ญตั อิ ตั ตาวา่ อัตตาท่ี มีรูป, เปน็ อตั ตาไม่มโี รคหลังจากตายแลว้ เป็นสตั วะไม่มีสัญญา. ๓๖. \" \" ไมม่ ีรูป, \" \" \" \" ไมม่ สี ัญญา. ๓๗. \" \" มรี ูปและไมม่ รี ูป, \" \" \" ไม่มสี ัญญา. ๓๘. \" \" มีรปู ก็มใิ ช่ ไม่มีก็มใิ ช่,\" \" \" ไม่มีสญั ญา. ๓๙. \" \" มที ส่ี ดุ , \" \" \" \" ไม่มสี ญั ญา. ๔๐. \" \" ไมม่ ที ่สี ุด. \" \" \" \" ไมม่ สี ญั ญา. ๔๑. \" \" มที ส่ี ดุ และไม่มที สี่ ดุ , \" \" \" ไมม่ สี ัญญา. ๔๒. \" \" มที สี่ ุดก็มใิ ช่ ไมม่ ีก็มใิ ช่ \" \" ไม่มีสัญญา. (๘ อยา่ งข้างบนน้ี เป็น พวกอสัญญีวาท - ไมม่ สี ญั ญา) ๔๓. ฯลฯ อัตตาท่มี รี ูป, เปน็ อัตตาไมม่ โี รคหลังจากตายแลว้ เปน็ สัตวะมีสัญญาก็มใิ ช่ ไมม่ กี ม็ ิใช.่ ๔๔. \" ไมม่ ีรปู , \"\" มสี ญั ญาก็มิใช่ ไมม่ กี ็มิใช่. ๔๕ \" มรี ูปและไมม่ รี ูป, \"\" มีสญั ญากม็ ิใช่ ไม่มกี ็มิใช่. ๔๖. \" มีรูปกม็ ิใช่ ไม่มกี ็มใิ ช่, \" \" มสี ัญญากม็ ใิ ช่ ไม่มีก็มิใช.่ ๔๗. \" มที สี่ ดุ , \"\" มสี ัญญากม็ ิใช่ ไมม่ กี ม็ ใิ ช.่ ๔๘. \" ไมม่ ที ่ีสุด, \"\" มีสัญญาก็มิใช่ ไมม่ กี ็มใิ ช่. ๔๙. \" มีที่สุดและไมม่ ีท่สี ุด, \" \" มสี ญั ญาก็มใิ ช่ ไมม่ กี ็มิใช.่ ๕๐. \" มที ีส่ ดุ กม็ ิใช่ไม่มีก็มิใช่, \" \" มสี ญั ญากม็ ิใช่ ไม่มีกม็ ใิ ช่. (๘ อยา่ งข้างบนน้ี เป็น พวกเนวสัญญีนาสญั ญีวาท - มีสญั ญาก็ไม่เชิง) ๕๑. บัญญตั วิ า่ อัตตาแห่งกายที่เกิดดว้ ยมหาภูตรปู ตายแล้วขาดสญู . ๕๒. \" \" กายทิพย์ พวกกามาวจร ตายแลว้ ขาดสูญ. ๕๓. \" \" \" พวกสาํ เรจ็ ด้วยใจคดิ ตายแลว้ ขาดสญู . ๕๔. \" \" สตั ว์พวก อากาสานญั จายตนะ ตายแลว้ ขาดสูญ. ๕๕. \" \" \" วิญญาณัญจายตนะ ตายแลว้ ขาดสูญ. กลับไปสารบัญ
ไดต้ รสั รู้แล้ว – โปรดปญ๎ จวัคคีย์ ๑๗๙ ๕๖. บัญญตั วิ ่า อัตตาแห่งสัตว์พวก อากญิ จญั ญายตนะ ตายแลว้ ขาดสญู . ๕๗. \" \" \" เนวสญั ญานาสัญญายตนะ ตายแลว้ ขาดสูญ. (๗ อยา่ งข้างบนน้ี เป็น พวกอจุ เฉทวาท - ตายแล้วสูญ) ๕๘. บัญญัตวิ ่า อตั ตาท่อี ่ิมเอิบด้วย กามคุณหา้ เป็นอตั ตาทถี่ ึงปรมนพิ พานในป๎จจุบนั . ๕๙. \" อตั ตาท่ีเขา้ ถงึ ปฐมฌาน เปน็ อตั ตาทถ่ี ึงปรมนิพพานในปจ๎ จบุ นั . ๖๐. \" \" \" ทตุ ิยฌาน เปน็ อัตตาที่ถึงปรมนพิ พานในปจ๎ จุบนั . ๖๑. \" \" \" ตติยฌาน เปน็ อตั ตาท่ีถึงปรมนิพพานในป๎จจบุ นั . ๖๒. \" \" \" จตุตถฌาน เปน็ อตั ตามี่ถึงปรมนิพพานในปจ๎ จบุ นั . (๕ อย่างข้างบนนี้ เปน็ พวกทิฎฐธัมมนพิ พานวาท - นิพพานในปจ๎ จุบัน) (ท้งั ๕ หมวดมรี วมทง้ั หมดอีก ๔๔ ทิฎฐขิ า้ งบนนี้ เป็นพวกปรารถขนั ธใ์ นอนาคตกาล) ภิกษุ ท.! สมณะหรือพราหมณ์ก็ดี เหล่าใด กําหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดีส่วน อนาคตกด็ ี หรอื ทง้ั อดีตอนาคตก็ดี มคี วามเห็นดิ่งเป็นส่วนหน่ึงแล้ว กล่าวคําแสดง ทิฎฐิต่าง ๆ ประการ, ทั้งหมดทุกเหล่า ย่อมกล่าวเพราะอาศัยวัตถุใดวัตถุหน่ึง ในวัตถุ ๖๒ อย่างนี้ ไม่นอกจากน้ีไปได้เลย- เขาเหล่าน้ัน ถูกวัตถุ ๖๒ อย่างน้ี ครอบทบั ทําใหเ้ ปน็ เหมอื นปลาติดอยู่ในอวน ถูกแวดล้อมให้อยู่ได้เฉพาะภายในวงนี้ เม่ือผุด ก็ผุดได้ในวงนี้ เช่นเดียวกับนายประมง หรือลูกมือนายประมงผู้ฉลาด ทอดครอบหว้ งนํ้านอ้ ยท้ังหมดดว้ ยอวนโดยต้งั ใจวา่ สัตวต์ ัวใหญท่ กุ ๆ ตัวในห้วงน้ํา นี้ เราจักทาํ ใหอ้ ย่ภู ายในอวนทุกตัว ฯลฯ ฉะน้นั . ภิกษุ ท.! เราตถาคตรู้ชัดวัตถุ ๖๒ อย่างน้ีชัดเจนว่า มันเป็นฐานที่ต้ัง ของทิฎฐิ, ซึ่งเม่ือใครจับไว้ ถือไว้อย่างนั้น ๆ แล้ว, ย่อมมีคติ มีภพเบ้ืองหน้าเป็น อย่างน้ัน ๆ ตถาคตรู้เห็นเหตุน้ันชัดเจนย่ิงกว่าชัด, เพราะรู้ชัดจึงไม่ยึดมั่น,เพราะ ไม่ยึดม่ันย่อมสงบเยือกเย็นในภายในเฉพาะตน, เพราะเป็นผู้รู้แจ้งความเกิด ความต้ังอยู่ไม่ได้ ความเป็นสิ่งย่ัวใจ ความต่ําทราม และอุบายเคร่ืองหลุดพ้นไปได้ แห่งเวทนาทัง้ หลาย ตถาคตจงึ เปน็ ผหู้ ลุดพน้ ไม่ถอื ม่ันด้วยอปุ าทาน. กลับไปสารบัญ
๑๘๐ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ ทรงทราบสว่ นสุดและมัชฌมิ า๑ ---บุคคล๒ ไม่พึงประกอบตนด้วยความมัวเมาในกามสุข อันเป็นสุขที่ต่ํา ทราม เปน็ ของชาวบ้าน บุถุชน มิใชข่ องพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์, และ บุคคลไม่พึงประกอบตนในความเพียรเครื่องยังตนให้ลําบากอันเป็นไปเพ่ือทุกข์ มิใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ข้อปฎิบัติที่เป็นมัชฌิมาปฎิปทา ไม่เอียงไปหาส่วนสุดทั้งสอง (ดั่งกล่าวมาแล้ว) น้ี เป็นสิ่งที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ไดเ้ ห็นแจ้งกระทาให้เป็นจักษุแล้ว ได้รู้แจ้งกระทาให้เป็นญาณแล้ว เป็นไปพร้อม เพอื่ ความสงบ เพ่ือความรู้ยิง่ เพอื่ ความรูพ้ ร้อม เพื่อนพิ พาน. ภิกษุ ท. ! ธรรมใดไม่เป็นเคร่ืองประกอบตามซ่ึงความโสมนัส ของผู้มีสุข แนบเนื่องอยู่ในกามอันเป็นสุขต่ําทราม เป็นของชาวบ้าน บุถุชน ไม่ใช่ของพระ อริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์, ธรรมน้ันไม่เป็นทุกข์ ไม่ทําความคับแค้น ไม่ทํา ความแห้งผากในใจ ไม่เผาลน แต่เป็นสัมมาปฎิปทา; เพราะเหตุน้ันธรรมน้ันช่ือว่า ไม่เป็นขา้ ศึก. ภิกษุ ท.! ธรรมใดไม่เป็นเครื่องประกอบตามซ่ึงความประกอบที่ยังตนให้ ลําบาก อันเป็นทุกข์ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์,ธรรมน้ันไม่เป็น ทุกข์ ไม่ทําความคับแค้น ไม่ทําความแห้งผากในใจ ไม่เผาลนแต่เป็นสัมมาปฏิปทา; เพราะเหตนุ นั้ ธรรมน้ัน ชื่อว่า ไม่เปน็ ขา้ ศกึ . ________________________________________________________________________ ๑. บาลี อุปร.ิ ม. ๑๔/๔๒๓/๖๕๔ และ ๖๖๓,๖๖๔,๖๖๕,๖๕๖. ตรสั แกภ่ ิกษุ ท. ทเ่ี ชตวัน. และ ๑๙/๕๒๙/๑๖๖๖. กลับไปสารบัญ ๒. บุคคลในทนี่ ี้ คือบคุ คลผมู้ งุ่ นิพพาน.
ไดต้ รัสรแู้ ล้ว – โปรดป๎ญจวัคคยี ์ ๑๘๑ ภิกษุ ท.! ในบรรดาธรรมเหล่านั้น ธรรมใดเป็นมัชฌิมาปฎิปทา ท่ีตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ได้เห็นแจ้งกระทําให้เป็นจักษุแล้ว ได้รู้แจ้งกระทําให้เป็น ญาณแล้ว ย่อมเป็นไปพร้อมเพ่ือความสงบ ความรู้ย่ิง ความรู้พร้อม และเพื่อ นิพพาน, ธรรมน้ัน ไม่เป็นทุกข์ ไม่ทําความคับแค้น ไม่ทําความแห้งผากในใจ ไมเ่ ผาลน แตเ่ ปน็ สัมมาปฎิปทา; เพราะเหตนุ น้ั ธรรมนนั้ ชอื่ วา่ ไมเ่ ป็นข้าศกึ . ก็คําที่ตถาคตกล่าวแล้วว่า มิชฌิมาปฎิปทา ไม่เอียงไปหาส่วนสุดทั้งสอง ท่ีตถาคตได้ตรัสรู้แล้วฯลฯ น้ัน หมายเอาอะไรเล่า? นี้หมายเอาอริยมรรค ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ สัมมาทิฎฐิสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากมั มันตะ สมั มาอาชีวะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สัมมาสมาธิ. ๑ภิกษุ ท.! จักขุ ญาณ ป๎ญญา วิชชา แสงสว่าง ของเราได้เกิด ข้ึนแล้วในธรรมท่ีเราไม่เคยได้ฟ๎งมาแต่ก่อน ว่า \"นี่เป็นความจริงอันประเสริฐ คือทุกข์, ---ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์นี่นั้นเป็นส่ิงท่ีควรกําหนดรอบรู้, ---ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์น่ีนั้น เราได้กําหนดรอบรู้แล้ว\"; และว่า \"นี่เป็นความจริงอันประเสริฐ คือเหตุให้เกิดทุกข์, ---ความจริงคือเหตุให้ เกิดทุกข์นี่นั้น ควรละเสีย, ---ความจริงอันประเสริฐ คือเหตุให้เกิดทุกข์นี่น้ัน เราละเสียได้แล้ว\"; และว่า \"นี่เป็นความจริงอันประเสริฐ คือความดับทุกข์, ---ความดับทุกข์น้ีควรทําให้แจ้ง, ---ความดับทุกข์น้ี เราทําให้แจ้งได้แล้ว; และว่า \"นี่เป็นความจริงอันประเสริฐ คือทางให้ถึงความดับทุกข์, ---ทางให้ถึง ความดับทุกข์นี้ ควรทําให้เจริญ, ---ทางให้ถึงความดับทุกข์น้ี เราทําให้เจริญ ได้แล้ว\" ดังน.้ี ____________________________________________________________________________ ๑. ต่อไปนเ้ี ปน็ บาลี มหาวาร.สํ.๑๙/๕๒๙/๑๖๖๖.ตรัสแก่ปญ๎ จวัคคีย์ภกิ ษุ ท่ีมฤคทายวนั พาราณสี. กลับไปสารบัญ
๑๘๒ พทุ ธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ ทรงรบั รองสขุ ลั ลกิ านโุ ยคที่เปน็ ไปเพอื่ นพิ พาน ของพวกสมณศากยปตุ ติยะ๑ จุนทะ ! ฐานะนั่นมีอยู่แน่, คือฐานะท่ีปริพพาชกผู้เป็นลัทธิอื่น ท.จะกล่าว อย่างนี้ ว่า \"พวกสมณศากยปุตติยะ อยู่กันอย่างประกอบด้วยสุขัลลิกานุโยค (พัวพันอยู่กับความสุข) ๔ อย่างเหล่านี้\" ดังน้ี. จุนทะ ! เม่ือพวกปริพพาชกผู้เป็น ลัทธิอื่นกล่าวอยู่อย่างนี้ พวกเธอพึงกล่าวกะเขาว่า ท่านอย่ากล่าวอย่างน้ันเลย. ก็ปริพพาชกเหล่าน้ัน จะพึงกล่าวกะพวกเธออยู่โดยชอบก็หามิได้ แต่จะกล่าวตู่ พวกเธอดว้ ยคาํ ไม่จริงไม่แท้ ก็หามิได้. จุนทะ ! สขุ ลั ลกิ านโุ ยค ๔ อยา่ งเหลา่ น้ี เปน็ ไปเพอ่ื ความหน่าย ความคลาย กําหนัด เป็นไปเพ่ือความดับ ความเข้าไปสงบรํางับ เป็นไปเพ่ือความรู้ ยิ่ง เพื่อความรพู้ ร้อม เพอ่ื นิพพาน, โดยส่วนเดียว. ส่ีอย่างเหล่าไหนเล่า? จุนทะ ! ส่ีอย่างคือ ภิกษุในธรรมวินัยน้ีเพราะสงัด จากกามและอกุศลธรรม ท. จึงบรรลุ ฌานที่ ๑ อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอัน เกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่ : น้ีเป็น สุขัลลิกานุโยคที่หน่ึง; จุนทะ ! ข้ออ่ืนยังมีอีก : ภิกษุ เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ จึงบรรลุ ฌานท่ี ๒ เป็น เคร่ืองผ่องใสแห่งใจใน ภายใน นําให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียว ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิด แต่สมาธิ แล้วแลอยู่ : น้ีเป็นสุขัลลิกานุโยคท่ีสอง; จุนทะ ! ข้ออ่ืนยังมีอีก: ภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ จึงอยู่อุเบกขา มีสติและสัมปชัญญะ และย่อม เสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุ ฌานที่ ๓ อนั เปน็ ฌานทีพ่ ระอริยเจา้ กล่าววา่ ผไู้ ด้ _____________________________________________________________ ๑. บาลี ปาสาทิกสตู ร ปา.ที. ๑๑/๑๔๔/๑๑๕. ตรัสแกจ่ ุนทสมณุทเทส ทีอ่ มั พวันปราสาท ของเจา้ ศากยะพวกเวธัญญา. กลับไปสารบัญ
ได้ตรัสรแู้ ลว้ – โปรดป๎ญจวัคคีย์ ๑๘๓ ฌานนี้เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข, แล้วแลอยู่ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคท่ีสาม; จุนทะ! ข้ออ่ืนยังมีอีก : ภิกษุ เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไป แห่งโสมนัสและโทมนัส ท. ในกาลก่อน จึงบรรลุ ฌานที่ ๔ อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่ ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่ : น้ีเป็น สุขัลลิกานุโยค ที่สี.่ จุนทะ ! สุขลั ลกิ านโุ ยค ๔ อยา่ งเหลา่ นแี้ ล เป็นไปเพ่ือความหน่าย ความคลาย กาํ หนดั ---ฯลฯ--- เพอื่ นพิ พาน, โดยส่วนเดยี ว. จุนทะ ! นั่นแหละ คือฐานะท่ีมีอยู่ คือฐานะที่ปริพพาชกผู้เป็นลัทธิอ่ืน ท. จะกล่าวอย่างน้ีว่า \"พวกสมณศากยปุตติยะ อยู่กันอย่างประกอบด้วยสุขัลลิกานุ โยค ๔ อย่างเหล่าน้ี\" ดังน้.ี พวกเธอพึงกล่าวกะเขาว่า อยา่ งน้นั ถูกแลว้ . ปรพิ พาชก เหล่าน้ันกล่าวกะพวกเธออยู่อย่างถูกต้อง; จะกล่าวตู่พวกเธอด้วยคําไม่จริง ไม่แท้ ก็หามไิ ด้. ทรงทราบพราหมณสัจจ์๑ ปริพพาชกทั้งหลาย ! พราหมณสัจจ์ ๔ อย่างนี้ เราทําให้แจ้งด้วยป๎ญญา อนั ย่งิ เองแล้วประกาศให้รู้ท่วั กนั . พราหมณสจั จ์ ๔ คืออะไรเล่า? ปริพพาชก ท. ! ในธรรมวินัยน้ี พราหมณ์ได้พูดกันอย่างน้ีว่า \"สัตว์ทั้งปวง ไม่ควรฆ่า\". พราหมณ์ท่ีพูดอยู่อย่างนี้ ช่ือว่าพูดคําสัจจ์ ไม่ใช่กล่าว มุสา. และพราหมณ์นั้น ไม่ถือเอาการที่พูดคําสัจจ์นั้นเป็นเหตุสําคัญตัวว่า\"เราเป็น สมณะ, เราเป็นพราหมณ์, เราดีกว่าเขา, เราเสมอกับเขา, เราเลวกว่าเขา\". เป็นแต่ วา่ ความจรงิ อนั ใดมีอยู่ในขอ้ น้นั ครนั้ รู้ความจรงิ นน้ั ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี จตุกกฺ . อํ. ๒๑/๒๓๙/๑๘๕. ตรสั แก่ที่ประชุมปริพพาชกซึ่งกําลังสนทนากันอยู่ด้วยเคร่ือง พราหมณสัจจ์ ทีร่ ปิพพาชการาม รมิ ฝ่ง๎ แม่น้าํ สปั ปนิ ี, แตน่ ่พี ราหมณสจั จอ์ ยา่ งพุทธศาสนา. กลับไปสารบัญ
๑๘๔ พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ ด้วยป๎ญญาอันย่ิงเองแล้ว ก็เป็นผู้ปฎิบัติเพื่อความเอ็นดูสงสารสัตว์ท้ังหลายเท่า น้ันเอง. ปริพพาชก ท.! อีกข้อหนึ่ง พราหมณ์ได้พู ดกันอย่างนี้ว่า \"กาม ทกุ ชนดิ ไม่เที่ยง เปน็ ทกุ ข์ มอี ันแปรปรวนเป็นธรรมดา\". พราหมณ์ที่พูดอยู่อย่าง น้ี ชื่อว่าพูดคําสัจจ์ ไม่ใช่กล่าวมุสา. และพราหมณ์น้ันไม่ถือเอาการท่ีพูดคําสัจจ์ นั้นขึ้นเป็นเหตุสําคัญตัวว่า \"เราเป็นสมณะ, เราเป็นพราหมณ์, เราดีกว่าเขา, เราเสมอกับเขา, เราเลวกว่าเขา\". เป็นแต่ว่าความจริงอันใดมีอยู่ในข้อน้ัน ครั้นรู้ ความจริงน้ันด้วยป๎ญญาอันย่ิงเองแล้ว ก็เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อหน่ายกาม เพื่อคลาย กาหนดั ในกาม เพอื่ ดบั กามทัง้ หลายเสยี เท่าน้นั เอง. ปริพพาชก ท.! อีกข้อหนึ่ง พราหมณ์ได้พูดกันอย่างน้ีว่า \"ภพทุก ภพ ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ มีอันแปรปรวนเป็นธรรมดา\". พราหมณ์ที่กล่าวอยู่ อย่างน้ี ชื่อว่าพูดคําสัจจ์ ไม่ใช่กล่าวมุสา. และพราหมณ์นั้น ไม่ถือเอาการ ที่พูดคําสัจจ์นั้นข้ึนเป็นเหตุสําคัญตัวว่า \"เราเป็นสมณะ, เราเป็นพราหมณ์, เราดีกว่าเขา, เราเสมอกับเขา, เราเลวกว่าเขา\". เป็นแต่ว่าความจริงอันใด มีอยู่ในข้อน้ัน คร้ันรู้ความจริงนั้นด้วยป๎ญญาอันยิ่งเองแล้ว ก็เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อ หนา่ ยภพ เพ่อื คลายกาหนัดในภพ เพอื่ ดบั ภพเสยี เท่านัน้ เอง. ปริพพาชก ท.! อีกข้อหน่ึง พราหมณ์ได้พูดกันอย่างน้ีว่า \"ไม่มีอะไร ท่ีเป็นตัวเรา, ความกังวลต่อสิ่งใดหรือในอะไร ๆ ก็ไม่มีว่าเป็นตัวเรา; และไม่มี อะไรที่เป็นของเรา, ความกังวลในสิ่งใด ๆ ก็ไม่มีว่าเป็นของเรา\". พราหมณ์ท่ีพูด อยอู่ ย่างน้ี ชื่อว่าพูดคําสจั จ์ ไม่ใชก่ ล่าวมุสา. และพราหมณ์นั้น ก็ไม่ถือเอาการท่ีพูด คําสัจจ์น้ัน ข้ึนเป็นเหตุสําคัญตัวว่า \"เราเป็นสมณะ, เราเป็นพราหมณ์, เราดี กวา่ เขา, เราเสมอกับเขา, เราเลวกวา่ เขา\". เปน็ แต่ว่าความจรงิ อนั ใดมีอยใู่ นขอ้ น้ัน กลบั ไปสารบัญ
ไดต้ รสั รแู้ ลว้ – โปรดปญ๎ จวัคคีย์ ๑๘๕ ครั้นรู้ความจริงนั้นด้วยป๎ญญาอันย่ิงเองแล้ว ก็เป็นผู้ปฏิบัติให้เข้าแนวทางท่ีไม่มี กงั วลใด ๆ เทา่ น้นั เอง ปริพพาชก ท. ! นี้แล พราหมณสัจจ์ ๔ ประการ ท่ีเราทําให้แจ้ง ด้วยป๎ญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้รู้ทัว่ กัน ทรงเหน็ นรกและสวรรค์ ทีผ่ สั สายตนะหก ๑ ภิกษุ ท ! ลาภของเธอท้ังหลาย ภิกษุ ท ! เป็นการได้ดีของ เธอ ท. แล้ว ภิกษุ ท. ! ขณะสําหรับการประพฤติพรหมจรรย์ พวกเธอก็ได้ โดยเฉพาะแล้ว ภกิ ษุ ท. ! นรก ชื่อว่า ผสั สายตนิกะ (เป็นไปทางอายตนะแห่งการสัมผัส) ๖ ขุม เราได้เห็นแล้ว, ในบรรดานรกนั้น บุคคลเห็นรูปใด ๆ ด้วย ตา ย่อม เห็นแต่รูปท่ีไม่น่าปรารถนาเท่านั้น ไม่เห็นรูปที่น่าปรารถนา, เห็นแต่รูปที่ ไม่น่ารักใคร่เท่าน้ัน ไม่เห็นรูปท่ีน่ารักใคร่, เห็นแต่รูปที่น่าพอใจเท่าน้ัน ไม่เห็น รูปที่น่าพอใจเลย. (ในกรณีแห่งการฟ๎งเสียงด้วย หู, ดมกล่ินด้วย จมูก, ล้ิมรสด้วย ล้ิน, ถูกต้อง โผฏฐัพพะด้วย ผิวกาย, และรู้แจ้งธัมมารมณ์ด้วย ใจ, ก็มีข้อความท่ีตรัสไว้ โดยหลักเกณฑ์อย่าง เดยี วกนั กบั ในกรณีแหง่ การเห็นรปู ดว้ ยตา ที่กลา่ วแลว้ ) ภิกษุ ท. ! ลาภของเธอท้ังหลาย ภิกษุ ท ! เป็นการได้ดีของ เธอ ท. แล้ว. ภิกษุ ท. ! ขณะสําหรับการประพฤติพรหมจรรย์ พวกเธอก็ได้ โดยเฉพาะแล้ว ภิกษุ ท ! สวรรค์ ช่ือ ผัสสายตนิกะ ๖ ช้ัน เราได้เห็นแล้ว. ในบรรดา สวรรคเ์ หล่านัน้ บุคคลเหน็ รปู ใด ๆด้วย ตา ย่อมเหน็ แตร่ ูปทีน่ า่ ปรารถนา กลับไปสารบัญ
๑๘๖ พุทธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ เท่าน้ัน ไม่เห็นรูปที่ไม่น่าปรารถนา, เห็นแต่รูปที่น่ารักใคร่เท่านั้น ไม่เห็นรูป ท่ีไม่น่ารักใคร่, เห็นแต่รูปที่น่าพอใจเท่าน้ัน ไม่เห็นรูปท่ีไม่น่าพอใจเลย. (ในกรณีแห่งการฟ๎งเสียงด้วย หู, ดมกล่ินด้วย จมูก, ล้ิมรส ด้วย ลิ้น, ถูกต้องโผฎฐัพพะด้วย ผิวกาย, และรู้แจ้งธัมมารมณ์ด้วย ใจ, ก็มีข้อความท่ีตรัสไว้ โดยหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันกับใน กรณแี หง่ การเห็นรูปด้วยตา ทกี่ ล่าวแลว้ ). ภิกษุ ท.! ลาภของเธอทั้งหลาย. ภิกษุ ท.! เป็นการได้ที่ดีของเธอท. แล้ว. ภิกษุ ท.!ขณะสําหรับการประพฤติพรหมจรรย์ พวกเธอก็ได้โดยเฉพาะแล้ว ดังนี้ แล. หมายเหตุ : ข้อความเหล่านี้ พระอรรถกถาจารย์อ ธิบายว่า นรกช่ือนั้น ก็อยู่ใต้ดิน รวมอยู่กับนรก ท. ดังที่เคยได้ฟ๎งกันอยู่ท่ัวไป สวรรค์ช่ือน้ัน ก็อยู่บนฟูา รวมอยู่กับสวรรค์ ท. ดังที่เคยได้ฟ๎งกันอยู่ท่ัวไป แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่เป็นเช่นนั้น กล่าวคือ เป็นไปทางอายตนะทั้ง ๖ ของบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ท่ีน่ี ซึ่งสามารถควบคุม หรือ ปฎิบัติต่อได้ ตามท่ีตนต้องการ พระองค์จึงตรัสว่าเป็นลาภ เป็นขณะแห่งการประพฤติ - พรหมจรรย.์ -ผู้รวบรวม. ทรงทราบพรหมโลก๑ วาเสฎฐะ ! บุรุษผู้ที่เกิดแล้วและเจริญแล้วในบ้านมนสากตคามนี้เม่ือถูก ถามถึงหนทางของบ้านมนสากตคาม บางคราวอาการอึกอักตอบได้ช้า หรือตอบ ไม่รูเ้ รื่อง กย็ งั มไี ดบ้ ้าง; ก็ยังมไี ด้บา้ ง; สว่ นเรา, เมื่อถูกใครถามถึงพรหมโลก หรือ ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี ส.ี ที. ๙/๓๐๙/๓๘๒. ตรัสแกว่ าเสฎฐะมาณพ ทบี่ า้ นมนสากตคาม. ในบาลีแหง่ อ่ืน มีกล่าวถงึ การทรงแสดงพรหมโลก และทางไปสู่พรหมโลก โดยทาํ นองเดยี วกับสูตรนี้ หากแต่ทรงแสดงโดยยอ่ ไมม่ กี ารแสดงการปฎิบตั ทิ ี่เปน็ บุพพภาคตามลาํ ดบั แต่ทรงแสดงตัว พรหมธรรมหรอื อัปปมัญญาพรหมวิหาร ๔ ประการขึน้ มาเลย มีอะไรตา่ งกนั เล็กนอ้ ยกแ็ ต่ พลความ. --ม.ม. ๑๓/๖๖๓/๗๒๙. กลับไปสารบัญ
ไดต้ รัสร้แู ลว้ – โปรดปญ๎ จวคั คยี ์ ๑๘๗ ปฎิปทาเคร่ืองทําผู้ปฎิบัติให้ถึงพรหมโลก ก็ไม่มีอาการอึกอัก หรือตอบไม่ได้เรื่อง เช่นน้ันเลย. วาเสฎฐะ ! เรารู้จักพวกพรหม รู้จักพรหมโลก และรู้จักปฎิปทา ทําบุคคลผู้ปฎบิ ัตติ าม ให้เข้าถงึ พรหมโลกน้ัน. \"ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ข้าพเจ้าได้ฟ๎งแล้วว่า พระสมณโคดม แสดง หนทางเพื่อความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพวกพรหม ท. ได้. ดังข้าพเจ้าขอโอกาส, ขอพระ โคดมผู้เจริญจงแสดงทางเพื่อความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพวกพรหม ท. นั้น. ขอ พระโคดมผเู้ จริญจงช่วยยกฐานะชนชาตพิ ราหมณ์\" วาเสฎฐมาณพ ทลู ขอ. วาเสฎฐะ ! ถ้าเช่นน้ัน ท่านจงฟ๎ง จงทําในใจให้ดี เราจักกล่าว. วาเสฎฐะ ! ตถาคตเกิดข้ึนในโลก เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ฯลฯ๑แสดงธรรม ไพเราะในเบื้องต้น - ท่ามกลาง - เบ้ืองปลาย, ประกาศพรหมจรรย์พร้อมท้ัง อรรถะพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ส้ินเชิง. คฤหบดี หรือบุตรคฤหบดี ฯลฯ ได้ฟ๎งธรรมนั้นแล้ว ฯลฯ ออกจากเรือนบวชเป็นคนไม่มีเรือน ฯลฯ เขาถึงพร้อม ด้วยศลี ฯลฯ มที วารอันสํารวมแลว้ ในอินทรีย์ทั้งหลาย ฯลฯ มีสติสัมปชัญญะ ฯลฯ เป็นผู้สันโดษ ฯลฯ เสพเสนาสนะอันสงัด ละนิวรณ์ เมื่อเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ ทั้งห้าอันตนละได้แล้วในตน ก็เกิดปราโมทย์, เม่ือปราโมทย์ย่อมเกิดปีติ, เม่ือใจ ปีติ กายก็สงบ, ผู้มีกายสงบ ย่อมเสวยสุขเวทนา, ผู้เสวยสุขเวทนา ย่อมยัง จิตให้ตั้งมั่นได้. เธอนั้น ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยเมตตา ย่อมแผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หน่ึง และทิศที่สอง ท่ีสาม ท่ีสี่ ก็เหมือนอย่างนั้น, เธอแผ่ไปตลอดโลก ท้ังส้ิน ในทีท่ ง้ั ปวง ทั้งเบื้องบนเบอ้ื งตํ่าและเบอื้ งขวาง ดว้ ยจติ อนั เปน็ ไปกบั ดว้ ย ____________________________________________________________________________ ๑. ทีล่ ะ ฯลฯ เช่นน้ี คอื มีเน้ือความพสิ ดารกว่านี้ แตไ่ ด้ตดั มาแต่พอสมควร เพราะไม่ใชต่ อน สําคญั ของในทนี่ ี้. ผู้ปรารถนาดูพิสดาร ดูได้ในสามัญญผลสตู ร, หนงั สือพิมพพ์ ุทธสาสนา เลม่ ๑ ปีที่ ๑ ภาคสง่ เสริม (บุรพภาคของการตามรอยพระอรหนั ต์). กลบั ไปสารบัญ
๑๘๘ พทุ ธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ เมตตา เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวง ไม่มขี ีดจํากดั แล้วแลอยู่. วาเสฎฐะ ! คนเปุาสังข์ที่แข็งแรง อาจเปุาสังข์ให้ได้ยินได้ ทั้งสี่ทิศโดยไม่ยาก ฉันใด; ในเมตตาเจโตวิมุตติ๑ที่เจริญแล้วอย่าง(ข้างบน) น้ี กรรมชนิดที่ทําอย่างมีขีดจํากัด๒ ย่อมไม่มีเหลืออยู่ ไม่ตั้งอยู่ใน (เมตตา-เจโต วิมุตติอันเป็นกรรมท่ีไม่มีขีดจํากัด) น้ัน, ก็ฉันน้ัน. วาเสฎฐะ ! น้ีแล เป็นทางเพ่ือ ความเป็นผู้อยรู่ ว่ มกับพรหม ท. (ตอ่ ไปน้ี ทรงแสดง ข้อ กรณุ า, มุทติ า, อเุ บกขา, อีก โดยเนื้อความอยา่ งเดยี วกัน.ทุก ๆ ข้อเป็นหนทางเหมอื นกนั โดยพระบาลีว่า แมน้ ี้ ๆ กเ็ ป็นหนทางเพอื่ ความอยู่รว่ มกับพรหม ท.) ทรงทราบคตหิ ้า และนิพพาน๓ สารีบุตร ! เหล่านี้เป็นคติ (คือท่ีเป็นท่ีไป) ห้าอย่าง. คือ นรกกําเนิด เดรัจฉาน เปรตวสิ ัย มนษุ ย์ เทพ. สารบี ุตร ! เราย่อมรู้จักนรก รู้จักทางไปสู่นรก๔รู้จักข้อปฎิบัติท่ีทําบุคคลให้ ไปสู่นรก และรู้จักบุคคลผู้ปฎิบัติแล้วอย่างใด จึงเมื่อสมัยอ่ืนจากการตายเพราะ การแตกทาํ ลายแห่งกาย ย่อมเขา้ ถึงอบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก. สารีบุตร ! เราย่อมรู้จักกําเนิดเดรัจฉาน รู้จักทางไปสู่กําเนิดเดรัจฉานรู้จัก ขอ้ ปฏิบตั ิท่ีทาํ บุคคลให้ไปสู่กําเนดิ เดรัจฉาน และร้จู ักบุคคลผปู้ ฏิบตั ิแล้วอยา่ งใด ____________________________________________________________________________ ๑. เมตตาเสโตวมิ ุตติ คืออปั ปนาสมาธิ ทปี่ ระกอบดว้ ยเมตตา. ๒. ทม่ี ขี ดี จํากัด หมายเอาเมตตา ทจี่ าํ กดั ที่, และยังเป็นกามาวจรกศุ ล, ยงั ไม่เป็นรปู าวจรกศุ ล เหมือนทีก่ ล่าวมา. สุมง.ฺ ๑/๔๖๓. ๓. บาลี มหาสหี นาทสูตร ม.ู ม. ๑๒/๑๔๘/๑๗๐. ตรัสแกพ่ ระสารบี ุตร ทีร่ าวปาุ นอกเมอื งเวสาลี. ๔. นรก หรอื เปรตเป็นตน้ นน้ั จะเป็นโลกอ่ืนจากโลกมนุษย์ หรือเปน็ แตช่ ้ันเชงิ หรือสถานะ (condition) พวกหนึง่ ๆ ในโลกมนษุ ยเ์ ทา่ น้นั นา่ คิดอย่.ู กลับไปสารบัญ
ไดต้ รัสรูแ้ ลว้ – โปรดปญ๎ จวคั คีย์ ๑๘๙ จึงเม่ือสมัยอื่นจากการตาย เพราะการแตกทําลายแห่งกาย ย่อมเข้าถึงกําเนิด เดรัจฉาน. สารีบุตร ! เราย่อมรู้จักเปรตวิสัย รู้จักทางไปสู่เปรตวิสัย รู้จักข้อปฎิบัติท่ี ทําบุคคลให้ไปสู่เปรตวิสัย และรู้จักบุคคลผู้ปฎิบัติแล้วอย่างใด จึงเม่ือสมัยอ่ืนจาก การตาย เพราะการแตกทาํ ลายแหง่ กายยอ่ มเขา้ ถึงเปรตวิสยั . สารีบุตร ! เราย่อมรู้จักมนุษย์ รู้จักทางไปสู่มนุษยโลก รู้จักข้อปฏิบัติท่ีทํา บุคคลให้ไปสู่มนุษย์โลก รู้จักบุคคลผู้ปฏิบัติแล้วอย่างใด จึงเม่ือสมัยอ่ืน จากการตาย เพราะการแตกทําลายแห่งกาย ยอ่ มเข้าถึงมนษุ ยโลก. สารีบุตร ! เราย่อมรู้จักพวกเทพ, รู้จักทางไปสู่เทวโลก รู้จักข้อปฏิบัติท่ีทํา บุคคลให้ไปสู่เทวโลก และรู้จักบุคคลผู้ปฎิบัติแล้วอย่างใด จึงเม่ือสมัยอื่น จากการตาย เพราะการแตกทําลายแหง่ กายย่อมเขา้ ถงึ สคุ ติ โลกสวรรค.์ สารีบุตร ! เราย่อมรู้จักนิพพาน รู้จักทางไปนิพพาน และข้อปฏิบัติที่ทํา บุคคลให้ไปนิพพานและรู้จักตัวบุคคลผู้ปฎิบัติแล้วอย่างใด จึงทําให้แจ้งได้ด้วย ป๎ญญาอันยิ่งเอง ซ่ึงเจโตวิมุตติ ป๎ญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ เพราะความสิ้นไป แหง่ สวะทั้งหลาย, ในธรรมอันตนเหน็ แล้ว (คือปจ๎ จบุ นั น)้ี เขา้ ถงึ แลว้ แลอย.ู่ ทรงแสดงฤทธิไ์ ด้ เพราะอทิ ธิบาทสี่๑ ภกิ ษุ ท.! พวกเธอจะสําคญั ความข้อนวี้ า่ อยา่ งไร คอื เพราะไดเ้ จริญหรือทํา ให้มากซึ่งธรรมเหล่าไหนเล่า ตถาคตจึงเป็นผู้มีฤทธ์ิมากอย่างน้ี มีอานุภาพมาก อย่างน้ี? ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๗๒/๑๒๔๕. ตรัสแก่ภิกษุท้งั หลาย. กลบั ไปสารบัญ
๑๙๐ พุทธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเป็นมูล มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นา ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงเน้ือความนี้เถิด, ภกิ ษทุ ง้ั หลายจักไดท้ รงจาไว้” ภิกษทุ ้ังหลาย ทลู ตอบ. ภิกษุ ท. ! เพราะได้เจริญ และทําให้มากซึ่งอิทธิบาทสี่ประการ,ตถาคตจึง เป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างน้ี. อิทธิบาทส่ีประการอย่างไหนเล่า? ภิกษุ ท.! ในเร่ืองนี้ตถาคต ย่อมเจริญอิทธิบาท อันประกอบพร้อมด้วยธรรม เครื่องปรุงแต่ง ซ่ึงมีสมาธิอาศัย ฉันทะ เป็นปธานกิจ ว่า ด้วยอาการอย่างนี้, ฉันทะของเราย่อมมีในลกั ษณะท่ีจกั ไมย่ ่อหยอ่ น, ท่จี กั ไมเ่ ข้มงวดเกนิ ,ทีจ่ กั ไม่สยบอยู่ ในภายใน, ท่ีจักไม่ส่ายไปในภายนอก; ตถาคตย่อมเป็นผู้มีความรู้สึกท้ังในส่วนที่จะ มีมา และส่วนท่ีล่วงมาแล้วแต่กาลก่อน : กาลก่อนก็เหมือนภายหลัง ภายหลังก็ เหมือนกาลกอ่ น, เบือ้ งล่างก็เหมือนเบื้องบน เบ้ืองบนก็เหมือนเบื้องล่าง, กลางวัน เหมอื นกลางคืน กลางคนื เหมือนกลางวัน: ยอ่ มเจริญจติ อันประกอบด้วยแสงสว่าง ด้วยจิตอันตนเปดิ แล้ว ด้วยอาการอย่างน้ี ไม่มอี ะไรหมุ้ ห่อ. (ต่อไปน้ีทรงแสดงด้วยสมาธิอันอาศัย วิริยะ...จิตตะ...วิมังสา เป็นปธานกิจ โดย เน้ือความอย่างเดยี วกนั แปลกกนั แตช่ ือ่ ของอิทธบิ าท, จนครบทัง้ ๔ อยา่ ง) ภิกษุ ท.! เพราะเจริญทําให้มากซ่ึงอิทธิบาทสี่อย่างเหล่าน้ีแล ตถาคตจึง เป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างน้ี. ตถาคตย่อมแสดงอิทธิวิธีมีอย่าง ต่าง ๆ ได้ : ผู้เดียวแปลงรูปเป็นหลายคนหลายคนเป็นคนเดียว, ทําท่ีกําบังให้เป็น ที่แจง้ ทําท่ีแจ้งให้เป็นท่ีกําบัง, ไปได้ไม่ขัดข้อง ผ่านทะลุฝา ทะลุกําแพง ทะลุภูเขา ดุจไปในอากาศว่าง ๆ, ผุดขึ้นและดําลงในแผ่นดินได้เหมือนในน้ํา, เดินได้เหนือน้ํา เหมอื นเดนิ บนแผน่ ดนิ , ไปไดใ้ นอากาศเหมือนนกมปี กี ทงั้ ทย่ี งั นงั่ ขดั สมาธคิ ้บู ลั ลังก์, ลบู คลําดวงจันทรแ์ ละดวงอาทิตย์ กลบั ไปสารบัญ
ไดต้ รัสรูแ้ ลว้ – โปรดปญ๎ จวคั คยี ์ ๑๙๑ อันมีฤทธิ์อานุภาพมาก ได้ด้วยฝุามือ และแสดงอํานาจด้วยกาย เป็นไปตลอดถึง พรหมโลกได้. ทรงมญี าณในอทิ ธบิ าทส่ี โดยปริวฏั ฏ์ ๓ อาการสิบสอง๑ ภิกษุ ท.! จักษุ ญาณ ป๎ญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดข้ึนแล้ว แก่เรา ในธรรมท่ีเราไม่เคยฟ๎งมาแต่ก่อน ว่า \"นี้คือ อิทธิบาทอันประกอบพร้อม ด้วยธรรมเคร่ืองปรุงแต่ง มีสมาธิอาศัย ฉันทะ เป็นปธานกิจ\" ดังน้ี ๑; ภิกษุ ท.! จักษุ ญาณ ป๎ญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมท่ีเรา ไม่เคยฟ๎งมาแต่ก่อน ว่า \"ก็ อิทธิบาท อันประกอบพร้อมด้วยธรรมเคร่ืองปรุงแต่ง มีสมาธิอาศัย ฉันทะเป็นปธานกิจ นี้ เป็นธรรมท่ีควรทาให้เกิดมี\" ดังนี้ ๑; ภิกษุ ท.! จักษุ ญาณ ป๎ญญา วิชชา แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรม ท่ีเราไม่เคยฟ๎งมาแต่ก่อน ว่า \"ก็ อิทธิบาท อันประกอบพร้อมด้วยธรรมเคร่ือง ปรงุ แต่ง มีสมาธิอาศัย ฉนั ทะ เปน็ ปธานกิจ นี้ เราทาใหเ้ กิดมีได้แลว้ \" ดังนี้ ๑. ภิกษุ ท.! จักษุ ญาณ ป๎ญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้ว แก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยฟ๎งมาแต่ก่อน ว่า \"นี้คือ อิทธิบาทอันประกอบพร้อม ด้วยธรรมเคร่ืองปรุงแต่ง มีสมาธิอาศัย วิริยะเป็นปธานกิจ\" ดังน้ี ๑; ภิกษุ ท.! จักษุ ญาณ ป๎ญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมท่ีเราไม่เคย ฟ๎งมาแต่ก่อน ว่า \"ก็อิทธิบาท อันประกอบพร้อมด้วยธรรมเครื่องปรุงแต่ง มี สมาธิอาศัยวิริยะเป็นปธานกิจ น้ี เป็นธรรมท่ี ควรทาให้เกิดมี\" ดังน้ี ๑; ภิกษุ ท.! จักษุ ญาณ ป๎ญญา วชิ ชา แสงสวา่ ง ไดเ้ กิดขนึ้ แลว้ แก่เรา ในธรรมท่ีเราไม่เคย ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๘/๓๓๑/๑๑๑๘-๑๑๒๒. ตรัสแกภ่ กิ ษุ ท. กลบั ไปสารบัญ
๑๙๒ พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ ฟ๎งมาแต่ก่อน ว่า \"ก็ อิทธิบาท อันประกอบพร้อมด้วยธรรมเคร่ืองปรุงแต่ง มี สมาธิอาศยั วิริยะ เป็นปธานกิจ นี้ เราทาใหเ้ กดิ มไี ด้แล้ว\" ดงั นี้ ๑. ภิกษุ ท.! จักษุ ญาณ ป๎ญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้ว แก่เรา ในธรรมท่ีเราไม่เคยฟ๎งมาแต่ก่อน ว่า \"นี้คือ อิทธิบาท อันประกอบพร้อม ด้วยธรรมเคร่ืองปรุงแต่ง มีสมาธิอาศัยจิตตะ เป็นปธานกิจ\" ดังนี้ ๑; ภิกษุ ท.! จักษุ ญาณ ป๎ญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคย ฟ๎งมาแต่ก่อน ว่า \"ก็ อิทธิบาท อันประกอบพร้อมด้วยธรรมเคร่ืองปรุงแต่ง มี สมาธิอาศัย จิตตะเป็นปธานกิจ น้ี เป็นธรรมท่ีควรทาให้เกิดมี\" ดังน้ี ๑; ภิกษุ ท.! จักษุ ญาณ ป๎ญญา วิชชา แสดงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมท่ีเราไม่เคย ฟ๎งมาแต่ก่อน ว่า \"ก็ อิทธิบาท อันประกอบพร้อมด้วยธรรมเครื่องปรุงแต่ง มี สมาธิอาศยั จิตตะเปน็ ปธานกจิ น้ี เราทาใหเ้ กิดมไี ดแ้ ลว้ \" ดังนี้ ๑. ภิกษุ ท.! จักษุ ญาณ ป๎ญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดข้ึนแ ล้ว แก่เรา ในธรรมท่ีเราไม่เคยฟ๎งมาแต่ก่อน ว่า \"นี้คือ อิทธิบาท อันประกอบพร้อม ด้วยธรรมเครื่องปรุงแต่ง มีสมาธิอาศัยวิมังสาเป็นปธานกิจ\" ดังน้ี ๑; ภิกษุ ท.! จักษุ ญาณ ป๎ญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดข้ึนแล้วแก่เรา ในธรรมท่ีเราไม่เคย ฟ๎งมาแต่ก่อน ว่า \"ก็ อิทธิบาท อันประกอบพร้อมด้วยธรรมเคร่ืองปรุงแต่ง มี สมาธิอาศัยวิมังสาเป็นปธานกิจ น้ี เป็นธรรมที่ ควรทาให้เกิดมี\" ดังนี้ ๑; ภิกษุ ท.! จักษุ ญาณ ป๎ญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดข้ึนแล้วแก่เรา ในธรรม ท่ีเราไม่เคยฟ๎งมาแต่ก่อน ว่า \"ก็ อิทธิบาท อันประกอบพร้อมด้วยธรรมเครื่อง ปรงุ แต่ง มสี มาธิอาศยั วิมังสาเปน็ ปธานกิจ น้ี เราทาให้เกิดมีได้แล้ว\" ดังน้ี ๑. กลับไปสารบัญ
ไดต้ รสั รูแ้ ลว้ – โปรดป๎ญจวัคคยี ์ ๑๙๓ ทรงมีอิทธบิ าทเพอื่ อยูไ่ ดถ้ งึ กัปป์๑ อานนท์ ! อิทธบิ าทส่ีประการ อันบคุ คลใดเจรญิ ทาํ ใหม้ าก ทาํ ใหเ้ ปน็ ดจุ ยาน ทําใหเ้ ป็นดุจทร่ี องรับ ให้เกิดข้ึนม่ันคงแล้ว อบรมท่ัวถึงดีแล้วปรารภหนักแน่นแล้ว. เม่อื บคุ คลน้ันปรารถนา เขาก็พงึ ตงั้ อยู่ได้กัปป์หน่ึง หรือยิ่งขึน้ ไปกว่ากปั ป.์ อานนท์ ! อิทธิบาทส่ีประการนั้น อันตถาคตน้ีแล ได้เจริญ ทําให้มากแล้ว ทําให้เป็นดุจยานทําให้เป็นดุนที่รองรับ ให้เกิดข้ึนม่ันคงแล้ว อบรมทั่วถึงดีแล้ว ปรารถหนักแน่นแล้ว, ถ้าตถาคตปรารถนาตถาคตก็พึงตั้งอยู่ได้กัปป์หนึ่ง หรือ ย่ิงขนึ้ ไปกว่ากปั ป์ ดงั นี.้ ทรงเปลง่ เสยี งคราวเดยี ว ไดย้ นิ ตลอด ทุกโลกธาตุ๒ อานนท์ ! ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์แผ่รัศมีส่องแสงให้สว่างไปทั่วทิศ กินเนื้อที่ประมาณเท่าใด โลกมีเนื้อที่เท่านั้น มีจํานวนพันหน่ึง. ในพันโลกน้ัน มีดวงจันทร์พันดวง ดวงอาทิตย์พันดวง ภูเขาสิเนรุพันลูกชมพูทวีปพันทวีป อมรโคยานพันทวีป อุตรกุรุพันทวีป ปุพพวิเทหะพันทวีป มหาสมุทรส่ีพัน มหาราชส่ีพันจาตุมมหาราชพันหน่ึง ดาวดึงส์พันหนึ่ง ยามาพันหนึ่ง ดุสิตพันหน่ึง นิมมานรดีพันหน่ึง ปรนิมมิตวสวัตตีพันหน่ึง พรหมพันหน่ึง นี้เรียกว่า สหัสสี- จฬู นิกาโลกธาตุ. ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี อายสุ มโอสัชชสตู ร อ.ุ ข.ุ ๒๕/๑๗๐/๑๒๗. ตรัสแกพ่ ระอานนท์ ท่ีปาวาลเจดีย์ เมอื ง เวสาลี. ๒. บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๙๒/๕๒๐. ตรัสแกพ่ ระอานนท์. กลับไปสารบัญ
๑๙๔ พุทธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุมีขนาดเท่าใด โลกธาตุขนาดเท่านั้น คํานวณทวี ขึน้ โดยส่วนพนั น้นั เรียกวา่ ทวสิ หัสสีมัชฌมิ ิกาโลกธาต.ุ ทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุมีขนาดเท่าใด โลกธาตุขนาดเท่านั้น คํานวณทวี ขึน้ โดยส่วนพัน น้ันเรียกว่า ตสิ หสั สีมหาสหัสสโี ลกธาตุ. อานนท์! ตถาคต เมื่อมีความจํานง ก็ย่อมพูดให้ติสหัสสีมหาสหัสสี- โลกธาตุ ได้ยินเสียงทั่วกนั ได,้ หรอื ว่าจาํ นงใหไ้ ด้ยนิ เพยี งเทา่ ใด ก็ได.้ \"ข้าแตพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ! เป็นไปไดด้ ว้ ยวธิ อี ย่างใด พระเจ้าข้า?\" อ า น น ท์ ! ตถา คต อ ยู่ ที่ นี่ จ ะ พึ ง แ ผ่ รั ศ มี มี โ อ ภ า ส ส ว่ า ง ไ ป ทั่ ว ติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ เสียก่อน, เมื่อสัตว์เหล่าน้ัน รู้สึกต่อแสงสว่างอันน้ัน แล้วตถาคตก็จะบันลือเสียง ให้สัตว์เหล่าน้ันได้ยิน. อย่างนี้แลอานนท์! ตถาคตจะ พูดให้ติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ ได้ยินเสียงทั่วกันได้, หรือจํานงให้ได้ยินเพียง เท่าใด ก็ได้ ทรงมปี าฏิหาริย์ชนิดทค่ี นเขลามองไมเ่ หน็ วา่ เป็นปาฏหิ ารยิ ๑์ \"ขา้ แตพ่ ระองค์ผ้เู จรญิ ! ก็พระผู้มพี ระภาคมไิ ด้ทรงกระทําอทิ ธิปาฏหิ าริย์ที่ ย่งิ กว่าธรรมดาแหง่ มนุษย์ แก่ขา้ พระองคเ์ ลย.\" สุนักขัตตะ ! เราได้กล่าวอย่างนี้กะเธอบ้างหรือว่า \"สุนักขัตตะ! เธอจงมา อยู่กะเรา, เราจักกระทําอิทธิปาฏิหาริย์ท่ีย่ิงกว่าธรรมดาแห่งมนุษย์แก่เธอ\" ดังน?ี้ \"หามไิ ด้ พระเจา้ ข้า!\" หรอื วา่ เธอได้กล่าวกะเราอยา่ งนวี้ ่า \"ข้าแตพ่ ระองค์ ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี ปาฎกิ สตู ร ปา. ที. ๑๑/๓/๒. เป็นถ้อยคาํ ในเรือ่ งท่ตี รสั เลา่ แกภ่ คั ควโคตตปรพิ พาชก ที่อารามของเขา. กลับไปสารบัญ
ไดต้ รสั รู้แลว้ – โปรดป๎ญจวคั คยี ์ ๑๙๕ ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์จักอยู่กะพระผู้มีพระภาค, พระผู้มีพระภาคจักกระทํา อิทธปิ าฏหิ าริยท์ ่ยี ิง่ กว่าธรรมดาแห่งมนุษย์แก่ขา้ พระองค\"์ ดังนี้? \"หามิได้ พระเจ้า ข้า!\"---- โมฆะบุรุษ ! เม่ือเป็นอย่างนั้น ใครมีอยู่ (ในฐานะเป็นคู่สัญญา), เธอ จักบอกคืนกะใคร. สุนักขัตตะ ! เธอจะสําคัญความข้อน้ีว่าอย่างไร : อิทธิปาฏิหาริย์ท่ียิ่งกว่าธรรมดาแห่งมนุษย์ จะเป็นส่ิงท่ีเรากระทําแล้วหรือมิได้ กระทาํ กต็ าม; ธรรมทเี่ ราแสดงแลว้ เพื่อประโยชน์แก่การส้ินทกุ ข์โดยชอบใดธรรม น้ัน จะนําผู้ปฎิบัติตาม เพ่ือความสิ้นทุกข์โดยชอบ หรือไม่? \"ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ! อิทธิปาฏิหาริย์ท่ีย่ิงกว่าธรรมดาแห่งมนุษย์ จะเป็นส่ิงที่พระผู้มี- พระภาคกระทาแล้วหรือมิได้กระทาก็ตาม; ธรรมที่พระผู้มีพระภาคแสดงแล้ว เพื่อประโยชน์แก่การสิ้นทุกข์โดยชอบใดธรรมนั้น ก็ยังคงนาผู้ปฎิบัติตาม เพอ่ื ความสน้ิ ทกุ ขโ์ ดยชอบ, พระเจา้ ขา้ \". สุนักขัตตะ ! เม่ือฟ๎งได้อย่างนี้, ในเร่ืองนั้น ใครจะทําอิทธิปาฏิหาริย์ที่ย่ิง กว่าธรรมดาแห่งมนุษย์ไปทําไม. โมฆะบุรุษ! เธอจงเห็นตามท่ีมันเป็นความผิดของ เธอเองเพียงไร. \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ก็พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงบัญญัติส่ิงที่คน ท. สมมติกันว่าเลิศ แกข่ ้าพระองคเ์ ลย\". สุนกั ขตั ตะ ! เราได้กลา่ วอยา่ งน้ีกะเธอบา้ งหรือว่า \"สุนักขัตตะ ! เธอจงมา อยู่กะเรา, เราจักบัญญัติส่ิงที่คน ท. สมมติกันว่าเลิศแก่เธอ\" ดังนี้? \"หามิได้พระ เจ้าข้า ! \" หรือว่า เธอได้กล่าวกะเราอย่างน้ีว่า \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์จักอยู่กะพระผู้มีพระภาค, พระผู้มีพระภาคจักบัญญัติสิ่งที่คน ท. สมมติกันว่าเลศิ แก่ขา้ พระองค\"์ ดังน้ี? \"หามไิ ด้ พระเจา้ ขา้ ! \"---- โมฆะบุรุษ ! เม่ือเป็นอย่างนั้น ใครมีอยู่ (ในฐานะเป็นคู่สัญญา), เธอจัก บอกคนื กะใคร. สนุ ักขตั ตะ ! เธอจะสาํ คัญขอ้ นีอ้ ย่างไร : ส่งิ ท่คี น ท. กลับไปสารบัญ
๑๙๖ พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ สมมติกันว่าเลิศ จะเป็นสิ่งท่ีเราบัญญัติแล้วหรือมิได้บัญญัติก็ตาม; ธรรมท่ีเรา แสดงแล้วเพ่ือประโยชน์แก่การส้ินทุกข์โดยชอบใด ธรรมน้ันจะนําผู้ปฎิบัติตาม เพ่ือความส้ินทุกข์โดยชอบ หรือไม่? \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สิ่งท่ีคน ท. สมมติ กนั วา่ เลิศ จะเป็นส่ิงที่พระผู้มีพระภาคบัญญัติแล้วหรือมิได้บัญญัติก็ตาม; ธรรม ท่ีพระผู้มีพระภาคแสดงแล้วเพ่ือประโยชน์แก่การสิ้นทุกข์โดยชอบใด ธรรมนั้น จะนาผปู้ ฎิบตั ิตามเพือ่ ความสน้ิ ทุกข์โดยชอบ,พระเจา้ ข้า\". สุนักขัตตะ ! เม่ือฟ๎งได้อย่างนี้, ในเรื่องน้ัน ใครจะกระทําการบัญญัติ ส่งิ ทค่ี น ท. สมมตกิ นั ว่าเลศิ ไปทําไม. โมฆะบุรุษ ! เธอจงเห็นตามท่ีมันเป็นความผิด ของเธอเองเพียงไร. หมายเหตุ : จากการโต้ตอบกันสองคร้ังน้ี มีการแสดงให้เห็นอยู่แล้วว่ามีปาฏิหาริย์ อย่างสูงสุดอยู่ในธรรมะท่ีพระองค์ทรงแสดงแล้ว; กล่าวคือจะมีการแสดงปาฏิหาริย์ในรูปแบบ อ่ืน ๆ อีกหรือไม่ก็ตาม ธรรมะนั้นย่อมดับทุกข์ได้อยู่ตลอดเวลา. พวกคนเขลาไม่มองเห็นว่า ภาวะการณ์เช่นนี้เป็นปาฏิหาริย์อันสูงสุด กลับต้องการจะให้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ชนิดท่ีควรจะ เรียกว่า \"ของแปลกประหลาดสาํ หรบั คนโง่\"เหมอื นทค่ี นทัว่ ไปเขาชอบดกู นั . แม้กระนั้นพระองค์ก็ ยังทรงมีการแสดงปาฏิหาริย์ในระดับนั้นด้วยเหมือนกัน ดังที่ได้ทรงทวงให้สุนักขัตตลิจฉวีบุตร ระลึกถึงเรอ่ื งบางเรอื่ ง ท่ีได้เป็นไปแล้วอย่างลกั ษณะของปาฏิหาริย์ เช่นเร่ืองกุกกุรวัตติกอเจลก ได้ตายลงไปจริง ๆ ภายใน ๗ วันดังท่ีพระองค์ทรงพยากรณ์; และเร่ืองกฬารมัชฌกอเจลก ผู้ แสดงการประพฤติวัตรอย่างเคร่งครัดจนคนท้ังหลายถือกันว่าเป็นพระอรหันต์, แต่ในท่ีสุดก็สึก ออกไปมภี รรยา ดังทีพ่ ระองคท์ รงพยากรณ์ไว.้ สุนกั ขตั ตลิจฉวบี ุตรก็จํานนต่อถ้อยคําของตนเอง ในการทกี่ ล่าวตดั พอ้ พระองค์ว่าไมท่ รงแสดงปาฏิหาริยเ์ สียเลย. -ผรู้ วบรวม. กลับไปสารบัญ
ไดต้ รสั รแู้ ลว้ – โปรดป๎ญจวคั คีย์ ๑๙๗ ทรงมปี าฏิหาริย์สามอย่าง๑ เกวัฎฎะ ! นี่ปาฏิหาริย์สามอย่าง ท่ีเราได้ทําให้แจ้งด้วยป๎ญญาอันยิ่งเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ได้. สามอย่างอะไรเล่า? สามอย่างคือ อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏหิ ารยิ ์ และ อนุศาสนีปาฏิหารยิ .์ (๑) เกวัฎฎะ ! อิทธิปาฏิหาริย์ นั้นเป็นอย่างไรเล่า? เกวัฎฎะ ! ภิกษุในศาสนานี้ กระทําอิทธิวิธีมีอย่างต่าง ๆ : ผู้เดียวแปลงรูปเป็นหลายคน, หลายคนเป็นคนเดียว, ทําท่ีกําบังให้เป็นท่ีแจ้ง ทําที่แจ้งให้เป็นที่กําบัง, ไปได้ ไม่ขัดข้อง ผ่านทะลุฝา ทะลุกําแพง ทะลุภูเขา ดุจไปในอากาศว่าง ๆ, ผุดข้ึน และดําลงในแผ่นดินได้เหมือนในนํ้า, เดินไปได้เหนือนํ้า เหมือนเดินบนแผ่นดิน, ไปได้ในอากาศเหมือนนกมีปีก ทั้งท่ียังน่ังสมาธิคู้บัลลังก์. ลูกคลําดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์อันมีฤทธิ์อานุภาพมาก ได้ด้วยฝุามือ. และแสดงอํานาจทางกาย เป็นไปตลอดถึงพรหมโลกได้. เกวัฎฎะ ! กุลบุตรผู้มีศรัทธาเลื่อมใสได้เห็น การแสดงนั้นแล้ว เขาบอกเล่าแก่กุลบุตรอื่นบางคน ที่ไม่ศรัทธาเลื่อมใส ว่าน่า อัศจรรย์นัก. กุลบุตรผู้ไม่มีศรัทธาเล่ือมใสนั้น ก็จะพึงตอบว่า วิชาช่ือคันธารี๒ มีอยู่ ภิกษุน้ันแสดงอิทธิวิธีด้วยวิชาน่ันเท่าน้ัน (หาใช่มีปาฏิหาริย์ไม่), เกวัฎฎะ ! ท่านจะเข้าใจว่าอย่างไร : ก็คนไม่เชื่อ ไม่เล่ือมใส ย่อมกล่าวตอบผู้เชื่อผู้เลื่อมใส ไดอ้ ยา่ งนนั้ มิใชห่ รอื ? \"พงึ ตอบได้, พระองค์ !\" เกวัฎฎะ ! เราเห็นโทษในการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ดังน้ีแล จึงอึดอัด ขยะแขยง เกลยี ดชงั ตอ่ อิทธิปาฏหิ าริย.์ ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี ส.ี ที. ๙/๒๗๓/๓๓๙. ตรัสแก่เกวัฎฎคหบดี ทปี่ าวาริกัมพวัน เมืองนาลันทา. ๒. คนั ธารี ชื่อมนต์ แต่งโดยฤษีมีนามคนั ธาระ, อีกอย่างหน่ึงว่าในแควน้ คนั ธาระ. กลับไปสารบัญ
๑๙๘ พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ (๒) เกวัฎฎะ ! อาเทสนาปาฏิหาริย์ นั้น เป็นอย่างไรเล่า? เกวัฎฎะ ! ภิกษุในศาสนาน้ีย่อมทายจิต ทายความรู้สึกของจิต ทายความตรึก ทาย ความตรอง ของสัตว์เหล่าอื่น ของบุคคลเหล่าอื่นได้ ว่า ใจของท่านเช่นนี้ ใจของท่านมีประการน้ี ใจของท่านมีดว้ ยอาการอย่างน้ี. ---ฯลฯ--- กุลบุตรผู้ไม่เช่ือ ไม่เลื่อมใส ย่อมค้านกุลบุตรผู้เชื่อผู้เลื่อมใส ว่า วิชาชื่อมณิกา มีอยู่ ภิกษุน้ัน กล่าวทายใจได้เช่นนั้น ๆ ก็ด้วยวิชานั้น (หาใช่มีปาฏิหาริย์ไม่), เกวัฎฎะ ! ท่านจะ เขา้ ใจว่าอยา่ งไร : กค็ นไมเ่ ชอื่ ไมเ่ ลื่อมใส ย่อมกลา่ วตอบผู้เชื่อผู้เล่ือมใสได้อย่างน้ัน มใิ ช่หรือ? \"พึงตอบได้, พระองค์ ! \" เกวัฎฎะ ! เราเห็นโทษในการแสดงอาเทสนาปาฏิหาริย์ดังน้ีแล จึง อึดอัด ขยะแขยง เกลียดชัง ต่ออาเทสนาปาฏิหาริย.์ (๓) เกวัฎฎะ ! อนุศาสนียปาฏิหาริย์ นั้น เป็นอย่างไรเล่า? เกวัฎฎะ ! ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมสั่งสอนว่า ท่านจงตรึกอย่างน้ี ๆ อย่าตรึกอย่างนั้น ๆ, จงทําไว้ในใจอย่างน้ี ๆ อย่าทําไว้ในใจอย่างนั้น ๆจงละส่ิงนี้ ๆ เสีย, จงเข้าถึง สิง่ นี้ ๆ แล้วแลอยู่ ดงั น้ี นี้เราเรียกวา่ อนุศาสนีปาฏหิ ารยิ ์. เกวฎั ฎะ ! ---ฯลฯ---๑เหล่านี้แล เป็นปาฏิหาริย์ ๓ อย่าง ท่ีเราได้ทําให้แจ้ง ด้วยป๎ญญาอันยิ่งเอง แลว้ ประกาศให้ผอู้ ืน่ รู้ตามดว้ ย. เหตทุ ที่ าใหไ้ ด้ทรงพระนามว่า \"ตถาคต\" ส่ี ๒ ภิกษุ ท.! โลก๓เป็นสภาพที่ตถาคตได้รู้พร้อมเฉพาะแล้ว ตถาคตจึงเป็นผู้ ถอนตนจากโลกได้แล้ว. เหตใุ หเ้ กดิ โลก เป็นสภาพท่ตี ถาคตไดร้ ้พู ร้อม ____________________________________________________________________________ ๑. ระหว่างน้ี ทรงแสดงข้อปฎิบัติ เรอ่ื งศลี สันโดษ สติสัมปชัญญะ ฯลฯ ว่าเปน็ อนศุ าสนี- ปาฏหิ ารยิ ข์ องพระองค์ อันหนึง่ ๆ ทุกอัน. ๒. บาล.ี อิตวิ ุ. ข.ุ ๒๕/๓๒๑/๒๙๓, และ จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๓๐/๒๓. ตรัสแก่ภกิ ษุทัง้ หลาย. ๓. โลก ในที่น้ี คือทกุ ข.์ กลับไปสารบัญ
ได้ตรัสร้แู ลว้ – โปรดป๎ญจวัคคีย์ ๑๙๙ เฉพาะแล้ว ตถาคตจึงละเหตุให้เกิดโลกได้แล้ว. ความดับไม่เหลือของโลกเป็น สภาพท่ีตถาคตร้พู ร้อมเฉพาะแลว้ ตถาคตจึงทําให้แจ้งความดับไม่เหลือของโลกได้ แลว้ . ทางให้ถงึ ความดับไมเ่ หลือของโลกเป็นส่ิงทตี่ ถาคตรพู้ ร้อมเฉพาะแล้วตถาคต จึงทาํ ใหเ้ กิดมีขนึ้ ไดแ้ ลว้ ซึง่ ทางให้ถงึ ความดบั ไมเ่ หลอื ของโลกนัน้ . ภิกษุ ท.! อายตนะอันใด ท่ีพวกมนุษยโลก พร้อมท้ังเทวโลก มาร , พรหม, ที่หมู่สัตว์พร้อมท้ังสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ ได้เห็น ได้ฟ๎ง ได้ดม-ลิ้ม-สัมผัส ได้รู้แจ้ง ได้บรรลุ ได้แสวงหาได้เท่ียวผูกพัน ติดตามโดยน้ําใจ, อายตนะน้ัน ตถาคตได้รู้พร้อมเฉพาะแล้วท้ังส้ิน เพราะเหตุนั้น จงึ ไดน้ ามวา่ \"ตถาคต\". ภิกษุ ท.! ในราตรีใด ตถาคตได้ตรัสรู้ และในราตรีใด ตถาคต ปรินิพพาน, ในระหว่างน้ันตถาคตได้กล่าวสอบ พร่ําสอน แสดงออก ซ่ึงคําใด, คําน้ันทั้งหมด ย่อมมีโดยประการเดียวกันทั้งสิ้น ไม่แปลกกัน โดยประการอ่นื เพราะเหตนุ ้นั จึงไดน้ ามว่า \"ตถาคต\". ภิกษุ ท.! ตถาคต กล่าวอย่างใด ทําอย่างน้ัน, ทําอย่างใด กลา่ วอยา่ งนน้ั , เพราะเหตนุ น้ั จึงไดน้ ามวา่ “ตถาคต” ภิกษุ ท.! ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มาร, พรหม, ในหมู่สัตว์ พร้อมท้ังสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ ตถาคตเป็นผู้เป็นย่ิง ไม่มี ใครครอบงํา เป็นผู้เห็นส่ิงท้ังปวงโดยเด็ดขาด เป็นผู้มีอํานาจสูงสุด (โดยธรรม) แตผ่ เู้ ดียว, เพราะเหตุนนั้ จงึ ไดน้ ามว่า \"ตถาคต\". กลับไปสารบัญ
๒๐๐ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ เหตทุ ที่ าใหท้ รงพระนามว่า \"ตถาคต\" เพราะทรงเปน็ กาลวาทีภตู วาที๑ จนุ ทะ ! แมเ้ ปน็ เรอื่ งในอดีต ถ้าไม่จรงิ ไม่แท้ ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์, ตถาคตย่อม ไม่พยากรณ์ ซึ่งเรื่องนั้น; จุนทะ! แม้เป็น เรื่องในอดีต ถ้าเป็นเรื่อง จริง เรื่องแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ย่อมไม่พยากรณ์ ซึ่งเรื่อง แมน้ ้ัน; จนุ ทะ ! แม้เป็นเร่อื งในอดีต ถ้าเป็นเรื่องจริง เร่ืองแท้ เร่ืองประกอบด้วย ประโยชน์, ตถาคตยอ่ มเป็นผู้รู้กาลอนั สมควร ในเรอื่ งน้นั เพ่ือพยากรณ์ป๎ญหานนั้ . จุนทะ ! แม้เป็น เร่ืองในอนาคต ถ้าไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วย ประโยชน์, ตถาคตย่อมไม่พยากรณ์ ซึ่งเร่ืองนั้น; จุนทะ ! แม้เป็นเร่ืองในอนาคต ถ้าเป็นเร่ืองจริง เรื่องแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์, ตถาคตก็ย่อมไม่ พยากรณ์ ซึ่งเรื่องแม้น้ัน; จุนทะ ! แม้เป็นเรื่องในอนาคต ถ้าเป็นเร่ืองจริง เรือ่ งแท้ เรอื่ งประกอบด้วยประโยชน์, ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลอันสมควรในเร่ือง นั้น เพื่อพยากรณ์ ปญ๎ หานน้ั . จุนทะ ! แม้เป็นเร่ืองในป๎จจุบัน ถ้าไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วย ประโยชน์, ตถาคตย่อมไม่พยากรณ์ ซึ่งเรื่องน้ัน! จุนทะ ! แม้เป็นเรื่องในป๎จจุบัน ถ้าเป็นเร่ืองจริง เรื่องแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์, ตถาคตก็ย่อมไม่ พยากรณ์ ซึ่งเร่ืองแม้น้ัน; จุนทะ ! แม้เป็นเรื่องในป๎จจุบัน ถ้าเป็น เร่ืองจริง เรื่องแท้ เร่ืองประกอบด้วยประโยชน์, ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลอันสมควร ใน เรอื่ งนั้น เพ่อื พยากรณ์ป๎ญหานน้ั . ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี ปาสาทกิ สตู ร ปา.ที. ๑๑/๑๔๘/๑๑๙. ตรัสแกจ่ นุ ทสมณุทเทส ทอี่ ัมพวนั ปราสาท ของเจา้ ศากยะพวกเวธญั ญา. กลับไปสารบัญ
ไดต้ รสั รู้แล้ว – โปรดปญ๎ จวัคคยี ์ ๒๐๑ จุนทะ ! ด้วยเหตุดังน้ีแล ตถาคตจึงเป็น กาลวาที สัจจวาที ภูตวาที อัตถวาที ธัมมวาที วินยวาที ในธรรม ท. ท่ีเป็นอดีต อนาคต ป๎จจุบัน; เพราะ เหตนุ ้นั จึงได้นามว่า \"ตถาคต\". หมายเหต:ุ ขอใหด้ หู วั ข้อเร่อื งว่า \"เหตทุ ่ีทําให้ไดพ้ ระนามวา่ \"ตถาคต\" ท่ีหน้า ๑๙๘, และ \"เร่ืองที่ไม่ทรงพยากรณ์\" จนถึง \"เรื่องที่ทรงพยากรณ์\" หน้า ๒๙๗-๓๐๓, แห่งหนังสือเล่มนี้, ประกอบกับเรอ่ื งน้ีดว้ ย. -ผ้รู วบรวม. ไวพจน์แหง่ คาว่า \"ตถาคต\"๑ วาเสฏฐะ ท. ! ก็ศรัทธาของผู้ใดแล ตั้งมั่นในตถาคต ฝ๎งลงรากแล้วดํารง อยู่ได้ม่ันคงอันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกก็ตาม ไม่ชักนําไปทางอื่นได้, ผู้นั้นควรจะกล่าวได้อย่างน้ีว่า \"เราเป็นบุตร เป็นโอรส เกิด จากปากของพระผู้มีพระภาค เกิดโดยธรรม อันธรรมเนรมิต เป็นทายาทแห่ง ธรรม\" ดังนี้. ข้อน้ันเพราะเหตุไร? เพราะคําว่า \"ธรรมกาย\" บ้าง \"พรหมกาย\" บ้าง \"ธรรมภตู \" บา้ ง \"พรหมภตู \" บ้าง นี้ เป็นคําสําหรับเรยี กแทนชอื่ ตถาคต แล. (อกี สตู รหนึง่ ๒) ภิกษุ ท.! คาํ ว่า \"สมณะ\" เป็นคาํ แทนชือ่ ของตถาคตฯ ภิกษุ ท.! คาํ วา่ \"พราหมณ์\" เปน็ คาํ แทนช่ือของตถาคตฯ ภิกษุ ท.! คําว่า \"เวทคู\"๓ เปน็ คาํ แทนชอ่ื ของตถาคตฯ ภกิ ษุ ท.! คาํ ว่า \"ภิสกั โก\"๔ เป็นคําแทนชอ่ื ของตถาคตฯ ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี ปา.ที. ๑๑/๙๑/๕๕. ตรสั แก่วาเสฏฐสามเณรและภารทวาชสามเณร ณ ที่บุพพาราม. ๒. บาลี อฏฐก. อ.ํ ๒๓/๓๕๒/๑๙๒. ตรสั แกภ่ ิกษุ ท. ๓. เวทคู = ผจู้ บเวท ๔. ภิสักโก = หมอผ่าตดั กลับไปสารบัญ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 754
Pages: