ลาดบั เรือ่ ง (๔๗) หนา้ เคยทรงบงั เกิดเปน็ มหาพรหม, สกั กะ, ฯลฯ (พ.ม.อ.) ๕๘๗ ครั้งมพี ระชาติเป็น โชตปิ าลมาณพ ๕๘๘ ครงั้ มพี ระชาติเปน็ พระเจา้ มหาสทุ ศั น์ ๕๙๑ ครง้ั มีพระชาตเิ ปน็ ปโุ รหิต สอนการบชู ายญั ญ์ ๕๙๔ ครั้งมพี ระชาติเป็น พระเจา้ มฆเทวราช ๕๙๖ คร้ังมีพระชาตเิ ป็น มหาโควนิ ทพราหมณ์ ๕๙๙ ครง้ั มีพระชาติเป็น รถการ ช่างทํารถ (พ.ม.) ๖๐๐ ครั้งมีพระชาตเิ ป็น อกิตติดาบส ๖๐๓ ครง้ั มพี ระชาติเปน็ พระจันทกุมาร ๖๐๔ ครั้งมพี ระชาตเิ ป็น สังขพราหมณ์ ๖๐๕ ครั้งมีพระชาติเปน็ เวลามพราหมณ์ (พ.ม.) ๖๐๕ ครงั้ มีพระชาติเปน็ พระเวสสันดร ๖๐๗ ครง้ั มพี ระชาติเปน็ มาตังคชฎิล ๖๑๑ ครั้งมีพระชาติเป็น จฬู โพธิ ๖๑๑ ครง้ั มพี ระชาตเิ ปน็ เจ้าชายยธุ ัญชยะ ๖๑๒ ทส่ี ุดแห่งการท่องเที่ยวของพระองค์ ๖๑๓ ปทานุกรม เริ่มแตห่ น้า ๖๑๕ กขคฆงจฉชฌญฐดตถทธน บปผฝพฟภมยรฤลวศสหอ ลําดบั หมวดธรรม เรมิ่ แต่หน้า ๖๙๓ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๖ ๑๘ ๒๒ ๒๖ ๓๐ ๓๒ ๓๗ ๔๑ ๖๒ ๖๓ ๑๐๐ ---------------------------------
(วิธใี ชห้ นังสือเลม่ น้ี) (ก) มวี ิธลี ัดและไม่ชวนเบ่อื สาหรับผู้ทีเ่ ป็นนกั ธรรม หรอื นักเทศน์อยู่ก่อน แลว้ ในการท่ีจะให้ไดร้ บั ประโยชนจ์ ากหนังสอื เลม่ นี้ ใหย้ งิ่ ขึน้ ไป คอื :- (๑) อ่านเร่ืองท่ีมีอยู่ในเล่ม เฉพาะตอนที่รู้สึกว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนอย่าง สนใจ ให้ตลอดเสยี เทีย่ วหนึง่ กอ่ น. (๒) แลว้ ใช้เวลาคร้ังต่อ ๆ ไป เพียงแต่เปิดดูเฉพาะปทานุกรมท้ายเล่มไปทีละ คําตามลําดับของปทานุกรม เม่ือดูถึงคําใด ต้องให้เน้ือความหรือ ความหมายของคํา ๆ นั้นปรากฏแจ่มแจ้งแก่ท่านท้ังหลาย อย่างทั่วถึง และถูกต้องทันที, เพราะท่านเคยศึกษาธรรมะมามากแล้ว.ถ้าเนื้อความ ไม่ปรากฏแจ่มแจ้งออกมาได้ ซึ่งจะเป็นในตอนแรก ๆ ก็หมายความว่า ท่านยงั ไมค่ นุ้ เคยกับหนังสือเล่มนี้ก็ได้ หรือเพราะท่านยังไม่รู้ความหมาย แห่งคํา ๆ นั้นก็ได้ ท่านต้องเปิดดูเนื้อเร่ืองในเล่ม ตามตัวเลขซึ่งบอก หนา้ หนังสืออยทู่ ้ายคําน้นั แล้ว. บางคาํ จะถงึ กับทาํ ให้ทา่ นฉงน คดิ ไม่ออก เช่นคําว่า การไถนา, เครื่องดักปลา, ความมีขนตกราบแล้ว, ปู, ปูก้าม หัก, ร้องเจ๊ียบ ๆ, ดังนี้เป็นต้น, ท่านไม่ควรคิดเสียว่าเป็นเรื่องไม่สําคัญ สําหรับท่าน.ท่านจะต้องศึกษาจนทราบความหมายอันเร้นลับของคําให้ จนได้,เช่นคําว่า ปู หมายถึงคนเจ้าทิฏฐิอวดดีด้วยลัทธิของตน ได้แก่ เดียรถีย์อื่นบางคนที่มีทิฏฐิยักไปยักมา เหมือนปูชูก้าม ดังนี้เป็นต้น.ซ่ึง สรุปความได้ว่า คําว่า ปู น้ัน พระองค์ตรัสใช้เป็นคําเปรียบเรียกคน เจ้าทิฏฐอิ วดดี. ถ้าทา่ นดูปทานุกรมไปตามลําดบั แลว้ ไม่มี ๑
๒ พทุ ธประวตั ิจากพระโอษฐ์ – วธิ ีใชห้ นงั สือเล่มนี้ อะไรท่ีรบกวนประสาทหรือรบกวนความสงสัยของท่านเลย ก็แปลว่า ท่านมีความรู้ธรรมะในแนวนี้อย่างลึกซึ้งและท่ัวถึง ชนิดท่ีผู้รวบรวมขอ ยอมเป็นศิษย์. (๓) เมอ่ื ท่านจะเทศน์ หรอื จะเขียนบทความบรรยายธรรมะ ท่านอาจจะไปติด อยู่ที่ความหมายของคําบางคํา ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะมีความหมายอันแท้จริง อย่างไร ท่านอาจใช้การค้นดูได้ง่าย ๆ จากปทานุกรมนี้, หรือเมื่อท่าน สงสัยว่าคํา ๆ น้ัน หรือเรื่องเร่ือง ๆ นั้น มีที่มาในเร่ืองอะไรหรือสูตรใด กันแน่ ทั้งที่ท่านเข้าใจความหมายดีแล้ว แต่อยากจะได้ที่มาอันเป็น หลักฐาน หรืออยากทราบว่าพระองค์ได้ตรัสไว้เองอย่างไรท่านสมควรท่ี จะเปิดดูจนพบที่มา หรือพบพระพุทธภาษิตเร่ืองนั้น ๆ, ไม่นานเท่าใด ท่านจะมคี วามคล่องแคลว่ ต่อการเทศน์ หรือการเขียนท่มี หี ลักฐาน. (ข) สาหรับผู้ท่ีเป็นนักปฏิบัติธรรมทางใจโดยเฉพาะ ท่านมีวิธีใช้หนังสือ เลม่ น้ี ชนิดทเี่ พื่อนฝูงของท่านได้เคยใชเ้ ปน็ ประโยชน์มาแล้วดังนีค้ ือ:- (๑) เลือกอ่านเฉพาะเรื่องที่ท่านเห็นว่าเป็นเรื่องการปฏิบัติธรรม ตามรอย พระยุคลบาทโดยตรง ให้ท่ัวถึงทุกเร่ือง ด้วยความสนใจเป็นพิเศษเสีย เที่ยวหน่ึงก่อน เพราะอย่างน้อย จะต้องมีเร่ืองท่ีท่านไม่เคยได้ยินได้ฟ๎ง อยู่บางเรื่อง (๒) ใช้เวลาเป็นประจําวัน ทบทวนความจําและความเข้าใจของท่านโดยใช้คํา ในปทานุกรมเป็นหลัก แต่ต้องเป็นคํา เฉพาะของเร่ืองที่เกี่ยวกับการ เจริญภาวนาโดยตรง. ซงึ่ อาจจะจัดทําในรปู การ
วิธีใช้หนงั สอื เลม่ นี้ ๓ สากัจฉา หรือให้ผู้อ่ืนช่วยต้ังคําถาม แล้วให้ท่านตอบ. เช่นเขาจะเปิด ปทานุกรมแล้วเลือกคําข้ึนถามท่านว่า คําเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร : การกาหนดรู้กามสัญญา, ข้อปฏิบัติเพ่ือความเจริญแห่งอิทธิบาท, ความปรากฏแห่งแสงสว่างอันใหญ่หลวง, ความเพ่งรูปจนเกินไป, ความมีอานาจเหนือจิตในคลองแห่งวิตกทั้งหลาย, จงกรมแก้ความ ขลาด, จาแสงสว่างได้แต่ไม่เห็นรูป,จับนกกระจาบหลวมมือเกิน, ตรึก ตามตรองตามนานเกินไปนัก,“จับนกตายในมือ”, สมาธิเคลื่อน, สมาธิ น้อย, อพุ พิละ,ฉมั ภติ ัตตะ, ฯลฯ. (๓) เลือกอ่านเฉพาะเร่ือง ท่ีอาจตอบป๎ญหา ทางภาวนาได้เป็นอย่างดีอยู่ เสมอ ๆ โดยเฉพาะคือเร่ืองต่าง ๆ ที่ทรงขวนขวายก่อนหน้าการตรัสรู้ และเร่ืองคุณธรรมต่าง ๆ ที่เกิดมีในพระองค์. คําบัญญัติบางคําเช่นคํา ว่า ปฐมฌาน เป็นต้น ต้องอ่านคําที่เป็นคําอธิบายด้วยการขบคิดไป อย่างละเอียดทีละคํา ๆ ทุก ๆ คํา จนกว่าจะหมดคําอธิบายของคํา บญั ญัตคิ าํ เดียวนัน้ . มผี ู้อ่านหนงั สอื เล่มนี้ ตามปุาตามเขาได้ผลดีกว่าการ อ่านตามบ้านเมอื ง (ค) สาหรับนักศึกษาท่ัวไป โดยเฉพาะพวกที่ไม่คุ้นกับวัด หรือไม่เคย บวชเรยี น จะตอ้ งศึกษาด้วยวธิ ดี งั นีค้ อื :- (๑) ศึกษาเล่าความเร่ืองราวแห่งพุทธประวัติทั่ว ๆ ไป จากหนังสือชั้นต้น ๆ เล่มอ่นื เสยี ก่อนพอสมควร, เพราะในหนังสือเล่มนี้ เรียงไว้แต่เรื่องท่ีเป็น การตรัสเล่าประเภทเดียวเท่านั้น ถา้ ท่านไมเ่ คยศึกษาพุทธประวตั มิ าก่อน เลย ท่านอาจจะงงไปบ้างในท่ีบางแห่ง. แต่ก็ไม่เหลือวิสัยพุทธประวัติ จากพระโอษฐ์
๔ วธิ ใี ชห้ นังสือเล่มน้ี ที่ท่านจะเข้าใจ ถ้าพยายามต่อไปอีกเพียงเล็กน้อย ในการสังเกต ข้อความท่ีเนื่องกันอยู่, หรือไต่ถามผู้ท่ีเคยเรียนพุทธประวัติชั้นต้น ๆ มาแล้วกไ็ ด.้ (๒) อ่านหนังสือเล่มน้ีอย่างคร่าว ๆ เสียช้ันหนึ่งก่อน เพื่อให้รู้แนวความของ เร่ือง เฉพาะส่วนท่ีเป็นท้องเร่ือง หรือประวัติ ว่ามีอยู่อย่างไรวิธีที่ สะดวกก็คือ อ่านสารบาญเรื่องดูหลาย ๆ เท่ียวก่อน แล้วจึงเปิดอ่าน เร่อื งบางเรอ่ื งทีช่ วนสงสัย ดเู รือ่ ย ๆ ไป. (๓) ใช้ปทานุกรมท้ายเล่ม เป็นการออกป๎ญหาถามท่านเองอยู่เสมอคําใด สงสยั หรือชวนคดิ ก็เปดิ ดบู อ่ ย ๆ จนไม่มคี ํา ที่ชวนสงสยั มากเกนิ ไป. (ง) สาหรับอุบาสกอุบาสิกา ท่ีเคยชินกับการฟ๎งเร่ืองปฐมสมโพธิมามาก แล้ว จะต้องอ่านดว้ ยใจที่เปน็ อสิ ระพอที่จะฟ๎งเร่ืองที่แปลกไปจากท่ีตนเคยได้ยิน ไดฟ้ ๎ง ไมป่ ิดประตขู ังตวั เองอยูแ่ ต่ในห้องทมี่ ีอะไรซา้ ซากเพียงอยา่ งเดียว. (จ) สาหรับนักประพันธ์ ที่จะต้องบรรยายชีวิตคนในแง่ต่าง ๆ จะต้องอ่าน ด้วยความระมัดระวัง เพ่ือจะได้ไม่ระบายสีที่ผิดพลาดลงไปในชีวประวัติ ของพระพุทธองค์ ในเม่ือจะมีการเปรียบเทียบหรืออ้างถึง เม่ือทาได้ดีที่สุด ในเรื่องน้ีแล้ว นักประพันธ์จะเป็นพวกท่ีทาคาสอนหรือเร่ืองราวของพระองค์ ใหแ้ พร่หลายไดด้ ีท่สี ุดกว่าพวกอน่ื . .... .... ....
ภาคนา ข้อความใหเ้ กิดความสนใจในพทุ ธประวัต.ิ ๕
ภาคนา มเี รอ่ื ง:- โลกธาตหุ นงึ่ มีพระพุทธเจา้ เพียงองค์เดียว - - การปรากฏของพระตถาคตมไี ด้ยาก -- โลกท่ีกําลงั มัวเมา ก็ยังสนใจ ในธรรมของพระตถาคต -- การมีธรรมของพระตถาคตอย่ใู นโลก คือความสุขของโลก -- พระตถาคตเกิดขน้ึ เพอ่ื ความสุขของโลก -- พระตถาคตเกิดขึน้ ในโลก เพ่อื แสดงแบบแหง่ การครองชีวติ อนั ประเสรฐิ แกโ่ ลก - - พระตถาคตเกิดขนึ้ แสดงธรรมเพอื่ ความ รํางับ, ดบั , รู้ --ธรรมชาติ ๓ อย่าง ทาํ ใหพ้ ระองคเ์ กดิ ขนึ้ เป็นประทปี ของโลก -- ผ้เู ช่ือฟ๎งพระตถาคตจะได้รับประโยชนส์ ุข สน้ิ กาลนาน -- ทรงขนานนามพระองค์เองวา่ \"พทุ ธะ\" -- เรอ่ื งย่อ ๆ ท่ีควรทราบกอ่ น - - เรอื่ งส้นั ๆ ทีค่ วรทราบกอ่ น. ๖
พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ ภาคนา ข้อความให้เกิดความสนใจในพระพุทธประวัติ. ______________________ โลกธาตหุ น่ึง มพี ระพุทธเจา้ เพียงองค์เดยี ว๑ อานนท์ ! ภกิ ษผุ ู้ฉลาดในฐานะและอฐานะนั้น ย่อมรู้ว่า ข้อนี้มิใช่ฐานะ ข้อ น้ีมิใช่โอกาสที่จะมี คือข้อท่ีในโลกธาตุอันเดียว จะมีพระตถาคตผู้อรหันต สัมมา สัมพทุ ธะ สององค์ เกดิ ข้ึนพรอ้ มกนั ไมก่ ่อน ไมห่ ลังกัน.น่ันมิใช่ฐานะทจ่ี ะมไี ด้. สว่ นฐานะ อันมีได้น้ัน คือข้อท่ีใน โลกธาตุอันเดียว มีพระตถาคตผู้อรหันต สมั มาสมั พุทธะองค์เดยี ว เกดิ ข้นึ . นัน่ เปน็ ฐานะทีจ่ ะมีได.้ _______________________________________________________________________ ๑. บาลี พหุธาตกุ สูตร อปุ ริ. ม. ๑๔/๑๗๑/๒๔๕. ตรสั แกพ่ ระอานนท์ ทีเ่ ชตวัน. ๗ กลบั ไปสารบัญ
๘ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ – ภาคนา การปรากฏของพระตถาคต มไี ดย้ ากในโลก๑ ภิกษุ ท. ! การมาปรากฏของ บุคคลเอก (ไม่มีใครซ้ําสอง)มีได้ยากใน โลก. ใครเล่า เป็นบุคคลเอก? ตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ชอบเอง เป็น บุคคลเอก (ไม่มีใครซ้ําสอง). ภิกษุ ท. ! การมาปรากฏของบุคคลเอกน้ีแล มีได้ ยากในโลก. โลกทีก่ าลงั มวั เมา กย็ ังสนใจในธรรมของพระตถาคต๒ ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุที่ตถาคต ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะเกิดข้ึนจึงเกิดมี ของนา่ อัศจรรย์ไม่เคยมี สีอ่ ย่างนป้ี รากฏขนึ้ . ส่ีอยา่ งอะไรเล่า? ๑. ภิกษุ ท. ! ประชาชนท้ังหลาย พอใจในกามคุณ ยินดีในกามคุณ บันเทิงอยู่ในกามคุณ, ครั้นตถาคตแสดง ธรรมท่ีไม่เกี่ยวข้องกับกามคุณ ประชาชนเหล่าน้ันก็ฟ๎ง เง่ียหูฟ๎ง ต้ังใจฟ๎ง เพ่ือให้เข้าใจท่ัวถึง. ภิกษุ ท. ! น่ีคือ ของน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี อย่างที่หนึ่ง, มีข้ึนมา เพราะการบังเกิดของตถาคต ผู้ อรหนั ตสมั มาสัมพทุ ธะ. ๒. ภิกษุ ท. ! ประชาชนทั้งหลาย พอใจในการถือตัว ยินดีในการถือตัว บันเทิงอยู่ในการถือตัว, ครั้นตถาคตแสดง ธรรมท่ีกาจัดการถือตัว ประชาชนเหล่านั้นก็ฟง๎ เงีย่ หูฟ๎ง ต้งั ใจฟง๎ เพ่ือให้เขา้ ใจท่วั ถงึ . ภกิ ษุ ท. ! นี่คือของ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี อย่างที่สอง, มีข้ึนมา เพราะการบังเกิดของตถาคต ผอู้ รหันตสัมมาสัมพุทธะ. _______________________________________________________________________ ๑. บาลี เอก, อํ. ๒๐/๒๙/๑๔๐. ตรัสแก่ภิกษทุ ้ังหลาย. ๒. บาลี จตุกฺก. อ.ํ ๒๑/๑๗๗/๑๒๘. ตรัสแกภ่ กิ ษุท้ังหลาย ทเี่ ชตวัน. กลับไปสารบัญ
ข้อความให้เกิดความสนใจในพุทธประวัติ ๙ ๓. ภิกษุ ท. ! ประชาชนทั้งหลาย พอใจในความวุ่นวายไม่สงบ ยินดีในความวุ่นวายไม่สงบ บันเทิงอยู่ในความวุ่นวายไม่สงบ, ครั้นตถาคต แสดงธรรมท่ีเป็นไปเพ่ือความสงบ ประชาชนเหล่าน้ันก็ฟ๎ง เงี่ยหูฟ๎ง ตั้งใจฟ๎ง เพ่ือให้เข้าใจทั่วถึง. ภิกษุ ท.! น่ีคือของน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี อย่างที่สาม,มี ขึน้ มา เพราะการบังเกดิ ของตถาคต ผอู้ รหันตสัมมาสัมพทุ ธะ. ๔. ภิกษุ ท. ! ประชาชนท้ังหลาย ประกอบอยู่ด้วยอวิชชา เป็น คนบอด ถูกความมืดครอบงําเอาแล้ว, คร้ันตถาคตแสดง ธรรมท่ีกาจัดอวิชชา ประชาชนเหล่านั้นก็ฟ๎ง เงี่ยหูฟ๎ง ตั้งใจฟ๎ง เพื่อให้เข้าใจทั่วถึง. ภิกษุ ท.! นี่คือของน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี อย่างที่สี่, มีข้ึนมา เพราะการบังเกิดของตถาคต ผู้อรหันตสมั มาสมั พทุ ธะ. การมธี รรมของพระตถาคตอยใู่ นโลก คือความสุขของโลก๑ ภิกษุ ท. ! เม่ือพระสุคตก็ดี ระเบียบวินัยของพระสุคตก็ดี ยังคงมีอยู่ ในโลกเพียงใด อันน้ันก็ยังเป็นไปเพื่อความเก้ือกูลแกชนเป็นอันมาก เพ่ือความสุข ของชนเป็นอันมาก เพ่ืออนุเคราะห์แก่โลก, เพ่ือประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพอ่ื ความสขุ แกเ่ ทวดาและมนุษยท์ ั้งหลาย, อยเู่ พียงนน้ั . ภิกษุ ท. ! พระสุคตนั้นคือใครเล่า? คือตถาคต บังเกิดข้ึนในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ผู้ตรัสรู้ชอบเอง ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปดี รู้แจ้ง โลก เป็นสารถีฝึกคนควรฝึกไม่มีใครย่ิงกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้ เบกิ บานแล้ว จาํ แนกธรรมออกสอนสตั ว์. นี้คอื พระสคุ ต. ภิกษุ ท. ! ระเบียบวินัยของพระสุคตนั้นคืออะไรเล่า? คือตถาคตน้ัน แสดงธรรมไพเราะในเบ้อื งตน้ ท่ามกลาง และที่สดุ , ประกาศพรหมจรรย์ _______________________________________________________________________ ๑. บาลี จตุกฺก. อ.ํ ๒๑/๑๙๗/๑๖๐. กลบั ไปสารบัญ
๑๐ พุทธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ – ภาคนา พร้อมท้ังอรรถะ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธ์ิบริบูรณ์ส้ินเชิง. ธรรมที่ตถาคต แสดง พรหมจรรยท์ ีต่ ถาคตประกาศ น้ีแล คือ ระเบยี บวินยั ของพระสคุ ต. ภิกษุ ท. ! เม่ือพระสุคตก็ดี ระเบียบวินัยของพระสุคตก็ดี ยังคงมีอยู่ ในโลกเพียงใด อันน้ัน ก็ยังเป็นไปเพ่ือความเก้ือกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อ ความสุขของชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก, เพื่อประโยชน์ เพ่ือความ เกือ้ กูล เพ่อื ความสุข แกเ่ ทวดาและมนษุ ย์ทั้งหลาย, อยู่เพยี งน้ัน. พระตถาคตเกดิ ขนึ้ เพอื่ ความสขุ ของโลก๑ พราหมณ์เอย ! มีสมณพราหมณ์พวกหน่ึง กลางคืนแท้ ๆ ก็เข้าใจ ไปว่ากลางวัน๒กลางวันแท้ ๆ ก็เข้าใจไปว่ากลางคืน. ข้อน้ี เรากล่าวว่า เปน็ เพราะสมณพราหมณเ์ หล่านน้ั เป็น ผูอ้ ยูด่ ว้ ยความหลง. พราหมณ์เอย ! ส่วนเราตถาคต ย่อมเข้าใจกลางคืนเป็นกลางคืน กลางวนั เปน็ กลางวัน. พราหมณ์เอย ! เม่ือใครจะเรียกผู้ใดให้เป็นการถูกต้องว่า เป็นสัตว์ผู้ มีความไม่หลงอยู่เป็นปรกติ และเกิดข้ึนเพ่ือความเก้ือกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพ่ือความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพ่ืออนุเคราะห์โลก, เพ่ือประโยชน์ เพ่ือความ เกื้อกูล เพื่อความสุข ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายแล้ว; เขาเมื่อจะเรียก ให้ถูกต้องเช่นน้ัน พึงเรียกเราตถาคตน้ีแล ว่าเป็นสัตว์ผู้มีความไม่หลงอยู่เป็น ปรกติ เกิดขึ้นเพ่ือความเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพ่ือความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก. เพื่อประโยชน์ เพ่ือความเก้ือกูล เพื่อความสุข ของเทวดา และมนุษยท์ ้งั หลาย. _______________________________________________________________________ ๑. บาลี ภยเภรวสูตร มู.ม. ๑๒/๓๗/๔๖. ตรสั แก่ชาณสุ โสณพี ราหมณ์ ที่เชตวนั . ๒. คาํ วา่ กลางคนื กลางวนั ในท่ีนี้ มิได้มคี วามหมายตามตวั หนังสอื . กลบั ไปสารบัญ
ข้อความใหเ้ กิดความสนใจในพุทธประวัติ ๑๑ พระตถาคตเกิดขน้ึ ในโลก เพ่ือแสดงแบบแห่งการครองชวี ติ อนั ประเสริฐแกโ่ ลก๑ ภิกษุ ท. ! ตถาคตเกิดขึ้นในโลก นี้ เป็นพระอรหันต์ ผู้ตรัสรู้ชอบด้วย ตนเอง สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ ดําเนินไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกคนควร ฝึกไม่มีใครย่ิงกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้เบิกบานแล้วจําแนกธรรม ออกสั่งสอนสตั ว.์ ภิกษุ ท. ! ตถาคตน้ัน ได้ทําให้แจ้งซงึ่ โลกน้ี กับท้ังเทวดา มาร พรหมซ่ึง หมสู่ ัตว์กับท้งั ส มณพราหมณ์ พร้อมทงั้ เทวดาและมนุษย์ ด้วยป๎ญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศใหผ้ ู้อ่นื ร้แู จ้งตาม. ตถาคตน้ัน แสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง และท่ีสุดประกาศ พรหมจรรยพ์ รอ้ มทั้งอรรถะ พร้อมทัง้ พยัญชนะ บริสทุ ธิบ์ รบิ ูรณส์ ิน้ เชงิ . คฤหบดี หรือลูกคฤหบดี หรือคนที่เกิดในตระกูลอ่ืนใดในภายหลังย่อม ฟ๎งธรรมน้ัน. ครั้นฟ๎งแล้ว ย่อมเกิดศรัทธาในตถาคต. กุลบุตรนั้นผู้ประกอบอยู่ ด้วยศรัทธา ย่อมพิจารณาเห็นว่า \"ฆราวาส คับแ คบ เป็นทางมาแห่งธุลี; ส่วน บรรพชา เป็นโอกาสวา่ ง. มนั ไมเ่ ป็นไปได้โดยง่ายท่ีเราผู้อยู่ครองเรือนเช่นนี้ จะ ประพฤติพรหมจรรย์น้ัน ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส่วนเดียวเหมือนสังข์ที่เขาขัด สะอาดดีแล้ว.ถ ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาด ออกจาก เรอื นไป, บวชเป็นผู้ไม่มีเรอื นเถิด.\" .... _______________________________________________________________________ ๑. บาลี มู.ม. ๑๒/๔๘๙/๔๕๔. ตรัสแกภ่ ิกษุ ท. ทเี่ ชตวนั , และบาลอี ืน่ ๆ อีกเป็นอนั มาก. กลบั ไปสารบัญ
๑๒ พุทธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ – ภาคนา พระตถาคตเกิดขน้ึ แสดงธรรมเพือ่ ความรางบั , ดบั , รู้.๑ ภิกษุ ท. ! ตถาคต เกิดข้ึนแล้ว ในโลกน้ี เป็นพระอรหันต์ ผู้ตรัสรู้ชอบ ด้วยตนเอง สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ ดําเนินไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกคน ควรฝึก ไม่มีใครย่ิงกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้เบิกบานแล้วจําแนก ธรรมออกส่ังสอนสตั ว.์ ธรรมที่ตถาคตแสดง นั้น เป็นธรรมที่เป็นไปเพ่ือความสงบ รํางับ,เป็น ธรรมที่เป็นไปเพื่อความดับเย็นสนิท, เป็นธรรมท่ีเป็นไปเพื่อความรู้ครบถ้วน,เป็น ธรรมทป่ี ระกาศไว้โดยพระสคุ ต. ธรรมชาติ ๓ อย่าง ทาให้พระองคเ์ กดิ ขนึ้ เป็นประทีปของโลก๒ ภิกษุ ท. ! ถ้าธรรมชาติ ๓ อย่างเหล่านี้ ไม่พึงมีอยู่ในโลกแล้วไซร้, ตถาคตก็ไม่ต้องเกิดข้ึนในโลก เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ; และธรรมวินัยที่ ตถาคตประกาศแล้ว ก็ไม่ต้องรุ่งเรืองไปในโลก. ธรรมชาติ ๓ อย่างนั้น คืออะไร เลา่ ? คอื ชาติ ด้วย ชรา ด้วย มรณะ ดว้ ย. ภิกษุ ท. ! ธรรมชาติ ๓ อยา่ งเหล่านี้ แล ถ้าไม่มีอยู่ในโลกแล้วไซร้, ตถาคตก็ไม่ต้องเกิดขึ้นไปโลกเป็นอรหันตสัมมา สัมพุทธะ; และธรรมวนิ ยั ที่ตถาคตประกาศแล้ว กไ็ ม่ตอ้ งร่งุ เรืองไปในโลก. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุใดแล ท่ีธรรมชาติ ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่ในโลก. เพราะเหตุน้ัน ตถาคตจึงต้องเกิดขึ้นในโลกเป็นอ รหันตสัมมาสัมพุทธ; และธรรม วนิ ัยที่ตถาคตประกาศแลว้ จงึ ตอ้ งรุง่ เรืองไปในโลก. _______________________________________________________________________ ๑. บาลี อฎฐก. อํ. ๒๓/๒๒๙/๑๑๙. ตรัสแก่ภกิ ษุ ท. ทปี่ าุ มะม่วงของหมอชวี ก ใกล้กรุงราชคฤห.์ ๒. บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๑๕๔/๗๖. ตรัสแก่ภิกษุ ท. กลับไปสารบัญ
ข้อความให้เกดิ ความสนใจในพุทธประวตั ิ ๑๓ ผ้เู ชื่อฟง๎ พระตถาคต จะได้รบั ประโยชนส์ ขุ สน้ิ กาลนาน๑ ภกิ ษุ ท. ! เราแล เป็นผ้ฉู ลาดในเรอื่ ง โลกนี้ ฉลาดในเร่ือง โลกอ่ืน, เป็น ผู้ฉลาดต่อ ว ัฎฎะอันเป็นท่ีอยู่ของมาร ฉลาดต่อ วิวัฎฎะอันไม่เป็นที่อยู่ของ มาร,เป็นผู้ฉลาดต่อ วัฎฎะอันเป็นที่อยู่ของมฤตยู ฉลาดต่อ วิวัฎฎะอันไม่เป็นที่ อยู่ของมฤตยู. ชนเหล่าใดถือว่าเรื่องนี้ควรฟ๎งควรเช่ือ ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อ ประโยชน์เกอื้ กลู เพอ่ื ความสุข แกช่ นท้งั หลายเหล่าน้ันส้นิ กาลนาน. (คร้ันพระผูม้ ีพระภาคไดต้ รัสคาํ นแ้ี ลว้ พระสุคตได้ตรัสคําอ่นื อีกดังนีว้ า่ :-) ทั้งโลกนี้แลโลกอนื่ ตถาคตผูท้ ราบดอี ยู่ ได้ประกาศไว้ ชดั แจง้ แลว้ . ทั้งที่ที่มารไปไมถ่ ึง และที่ท่ีมฤตยู ไปไม่ถงึ ตถาคตผรู้ ชู้ ัดเขา้ ใจชดั ไดป้ ระกาศไวช้ ดั แจ้ง แล้ว เพราะความรูโ้ ลกทง้ั ปวง. ประตนู ครแห่งความ ไมต่ าย ตถาคตเปดิ โลง่ ไวแ้ ลว้ เพอ่ื สัตวท์ ัง้ หลาย เข้าถึงถิน่ อนั เกษม. กระแสแหง่ มารผู้มีบาป ตถาคต ปิดก้ันเสยี แล้ว กาจดั เสียแลว้ ทาใหห้ มดพิษสงแล้ว. ภกิ ษุ ท. ! เธอทงั้ หลายจงเปน็ ผมู้ ากมมู ด้วยปราโมทย์ ปรารถนาธรรมอันเกษมจากโยคะเถดิ . ทรงขนานนามพระองคเ์ องว่า \"พทุ ธะ\"๒ (การสนทนากบั โทณพราหมณ์, เริม่ ในที่น้ดี ้วยพราหมณท์ ูลถาม) \"ท่านผูเ้ จริญของเรา ! ท่านเปน็ เทวดาหรอื ?\" พราหมณเ์ อย ! เราไม่ได้เปน็ เทวดาดอก. _______________________________________________________________________ ๑. บาลี จูฬโคปาลสตู ร มู.ม. ๑๒/๔๒๑/๓๙๑. ตรสั แกภ่ กิ ษุ ท. ท่ีฝ๎ง่ แมน่ า้ํ คงคาใกล้เมือง อกุ ก เวลา. ๒. บาลี จตุกกฺ . อํ. ๒๑/๔๙/๓๖. ตรสั แก่โทณพราหมณ์ ทโี่ คนไมร้ ะหว่างทางแห่งหน่ึง. กลบั ไปสารบัญ
๑๔ พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ – ภาคนา \"ท่านผู้เจริญของเรา ! ท่านเป็นคนธรรพ์หรือ ?\" พราหมณเ์ อย ! เราไมไ่ ด้เปน็ คนธรรพ์ดอก. \"ท่านผเู้ จรญิ ของเรา ! ทา่ นเปน็ ยกั ษ์หรอื ?\" พราหมณเ์ อย ! เราไม่ได้เปน็ ยกั ษ์ดอก. \"ท่านผู้เจริญของเรา ! ทา่ นเปน็ มนษุ ย์หรอื ?\" พราหมณ์เอย ! เราไม่ไดเ้ ป็นมนษุ ย์ดอก. \"ท่านผู้เจริญของเรา ! เราถามอย่างไร ๆ ท่านก็ตอบว่ามิได้ เป็นอย่างน้นั ๆ, ถา้ เช่นน้ันทา่ นเป็นอะไรเล่า?\" พราหมณ์เอย ! อาสวะ เหล่าใด ที่จะทําให้เราเป็น เทวดา เพราะยังละ มันไม่ได้, อาสวะเหล่าน้ันเราละได้ขาด ถอนข้ึนทั้งรากแล้ว ทําให้เหมือนตาลยอด ด้วน ไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้น อีกต ่อไปแล้ว, พราหมณ์เอย ! อาสวะเหล่าใดที่จะทําให้ เราเป็น คนธรรพ์ เป็น ยักษ์ เป็น มนุษย์ เพราะยังละมันไม่ได้, อาสวะเหล่าน้ัน เราละได้ขาด ถอนข้ึนท้ังรากแล้ว ทําให้เหมือนตาลยอดด้วน ไม่ให้มีไม่ให้เกิดขึ้น อีกต่อไปแล้ว. พราหมณ์ ! เปรยี บเหมือนดอกบัวเขยี ง บวั หลวง หรือบัวขาว, มันเกิดใน นํา้ เจรญิ ในนํ้าโผลข่ ้นึ พน้ นาํ้ ต้ังอยู่ นาํ้ ไม่เปียกติดมนั ได้ ฉนั ใดก็ฉันนน้ั นะพราหมณ์ ! เรานี้เกิดในโลก เจริญในโลก ก็จ ริง แต่เราครอบงําโลกเสียได้แล้ว และอยู่ในโลก โลกไม่ฉาบทาแปดเป้อื น เราได.้ พราหมณ์ ! ทา่ นจงจาํ เราไวว้ ่า เป็น \"พุทธะ\" ดงั นเี้ ถิด. กลับไปสารบัญ
ข้อความให้เกดิ ความสนใจในพทุ ธประวัติ ๑๕ เร่ืองย่อ ทีค่ วรทราบก่อน๑ บัดนี้ เราผู้ โคตมโคตร เจริญแล้วใน สากยะตระกูล เคยต้ังความเพียร ไวไ้ ดบ้ รรลสุ ัมมาสมั โพธิญาณอันสงู สุด เป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า .... นครของเราช่ือ กบิลพัสดุ์, บิดาของเราเป็นราชาช่ือ สุทโธทนะ, มารดาผู้ให้กําเนิดเราช่ือ มายาเทวี, เราอยู่ครองเรือน ๒๙ ปี มี ปราสาทสูงสุด ๓ หลัง ชื่อ สุจันทะ โกกนุทะ และโกญจะ ม ีหญิงประดับดีแล้วสี่หมื่นนาง, นารีผู้ เปน็ ชายาชอื่ ยโสธรา, ลกู เราชือ่ ราหุล. เพราะได้เห็น นิมิตทั้งสี่ เราจึงออกด้วยม้าเป็นพาหนะ ทํา ความเพียร ถึงหกปี, เราได้ทําสิ่งที่ใคร ๆ ทําได้โดยยาก. เราเป็น ชินะ (ผู้ชนะ) ประกาศ ธรรมจักร ที่ปุา อิสิปตนะ เมือง พาราณสี, เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าช่ือ โคตมะ เป็น ท่พี ง่ึ ของสตั ว์ท้งั หลาย. ภิกษุผู้เป็นอัครสาวกสองรูป ชื่อ โกลิตะ และ อุปติสสะ, อุป๎ฐฐากผู้ ใกล้ชิดของเราชื่อ อานนท์, ภิกษุณีผู้เป็นอัครสาวิกาสองรูป ชื่อ เขมา และ อุบล วณั ณา, อุบาสกผเู้ ปน็ อคั รอปุ ฎ๎ ฐากสองคน ชื่อ จิตตะ และ หัตถาฬวกะ, อุบาสิกา ผ้เู ป็นอัครอปุ ๎ฎฐายิกาสองชื่อ นันทมาตา และ อุตตรา. เราได้บรรลุสัมมาสัมโพธิ ณาณอันสงู สดุ ณ ควงแหง่ ไม้อสั สัตถะ.... . ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี พุทธว. ขุ. ๓๓/๕๔๓/๒๖. กลับไปสารบัญ
๑๖ พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ – ภาคนา เรอื่ งส้นั ๆ ทค่ี วรทราบก่อน (อีกหมวดหน่ึง)๑ ภิกษุ ท. ! ในภัททกัปป์นี้ ในบัดนี้ เราผู้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้ บงั เกดิ ข้นึ แล้วในโลก. ภิกษุ ท. ! ในบัดน้ี เราผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ เป็นกษัตริย์โดยชาติ บงั เกิดแลว้ ในขตั ตยิ สกลุ . ภกิ ษุ ท. ! ในบดั นี้ เราผอู้ รหันตสัมมาสมั พุทธะ โดยโคตร เปน็ โคตม โคตร. ภิกษุ ท. ! ในบัดนี้ ประมาณอายุขัย (แห่งสัตว์ในยุค) ของเราสั้นมาก : ผทู้ เ่ี ปน็ อย่ไู ดน้ าน ก็เพยี งรอ้ ยปเี ปน็ อย่างย่ิง, ท่เี กินร้อยปีขน้ึ ไปมนี ้อยนกั . ภิกษุ ท. ! ในบัดนี้ เราผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะได้ตรัสรู้ ณ ควงแห่งไม้ อัสสตั ถะ.๒ _______________________________________________________________________ ๑. บาลี มหาปทานสูตร มหา. ที. ๑๐/๒-๘/๑-๙. ตรัสแก่ภิกษุ ท. ณ กุฎีใกล้ไม้กุ่ม ในอาราม เชตวัน. เป็นข้อความที่ตรัสเปรียบเทียบเร่ืองราวของพระองค์เอง กับพระพุทธเจ้าองค์อื่น อกี ๖ พระองค์. ๒. คือ ไม้ Ficus religiosa ซ่ึงเรียกกันในบัดนี้ ตามมูลเหตุท่ีพุทธองค์ได้ตรัสรู้ใต้โคนของมัน ว่า \"ตน้ โพธ์\"ิ ในที่นี้ ทที่ รงเรียกวา่ ไมอ้ ัสสัตถะนน้ั เรียกชือ่ พืน้ เมอื งเดมิ . ต้นไม้จะเป็นไม้ประเภท ใดก็ตาม หากมีพระพุทธเจ้าองค์ใด ใช้เป็นต้นตรัสรู้แล้ว ไม้ประเภทน้ันพลอยได้เกียรตินาม ใหม่ในพุทธกาลของพระพุทธเจ้าองค์น้ัน ว่า \"ไม้โพธิ์\" ท้ังสิ้น. ในพุทธกาลน้ี ไม้อ ัสสัตถะซึ่ง เป็นไมต้ ระกลู มะเด่อื ชนิดหน่งึ , มเี กยี รตไิ ดน้ ามใหมว่ ่า \"ไม้โพธ์ิ\" มาจนบัดน.้ี กลบั ไปสารบัญ
ขอ้ ความให้เกิดความสนใจในพทุ ธประวัติ ๑๗ ภิกษุ ท. ! ในบัดน้ี สาวกสองรูปมีนามว่า สารีบุตร และ โมคคัลลานะ เปน็ อัครสาวกคเู่ ลิศของเรา. ภิกษุ ท. ! ในบัดน้ี สาวกสันนิบาตของเรา มีเพียงครั้งเดียว และมีภิกษุ ถึง ๑๒๕๐ รูป.สังฆสันนิบาตแห่งสาวกของเราในครั้งนี้ ผู้เข้าประชุมล้วนแต่เป็น พระขีณาสพทงั้ สน้ิ . ภิกษุ ท. ! ในบัดน้ี ภิกษุผู้เป็นอุป๎ฎฐากใกล้ชิดของเรา คือ อานนท์ จดั เปน็ อปุ ฎ๎ ฐากอันเลศิ . ภิกษุ ท. ! ในบัดน้ี พระราชานามว่า สุทโธทนะ เปน็ บิดาของเรา,พระเทวี นามว่า มายาเป็นมารดาผู้ให้กําเนิดแก่เรา, นครชื่อ กบิลพัสด์ุ เป็นราชธานี (แห่ง บดิ าของเรา). จบภาคนา. กลับไปสารบัญ
ภาค ๑ เรม่ิ แต่การเกิดแหง่ สากยวงศ์ เรอ่ื งก่อนประสตู ิ จนถงึ ออกผนวช. ๑๙
ภาค ๑ มีเรื่อง :- การเกิดแห่งวงศ์สากยะ - - พวกสากยะอยู่ใต้อาํ นาจ พระเจา้ โกศล - - แดนสากยะขน้ึ อยใู่ นแควน้ โกศล - - การอย่ใู นดุสิต - - การจตุ ิจากดุสติ - - เกดิ แสงสวา่ งเน่อื งด้วยการจุติ - - แผ่นดนิ ไหวเนอ่ื งดว้ ยจตุ ิ - - การลงส่คู รรภ์ - - การอยูใ่ นครรภ์ - - การ ประสูติ - - เกิดแสงสวา่ งเนื่องด้วยการประสูติ - - แผน่ ดนิ ไหว เนอื่ งด้วยการประสตู ิ - - ทรงประกอบดว้ ยมหาปุรสิ ลักษณะสาม สบิ สอง - - บุรพกรรมของการได้มหาปรุ ิสลกั ษณะ - - ประสตู ิ ได้เจด็ วันพระชนนีทิวงคต - - ทรงได้รับการบําเรอในราชสํานกั - - กามสขุ กบั ความหนา่ ย - - หลงกามและหลุดกาม - - ความรู้สึก ท่ถี ึงกับทาํ ให้ออกผนวช - - การออกผนวช - - ออกผนวช เมื่อ พระชนมายุยีส่ บิ เกา้ . ๒๐
พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ภาค ๑ เริ่มแต่การเกิดแหง่ วงศส์ ากยะ, เรอ่ื งก่อนประสูต,ิ จนถึงออกผนวช. -------------------- การเกดิ แหง่ วงศส์ ากยะ ๑ อัมพัฎฐะ ! เร่ืองดึกดําบรรพ์, พระเจ้า อุกการาช ปรารถนาจะยกราช สมบัติประทานแก่โอรสของพระมเหสีที่โปรดปรานต้องพระทัย จึงได้ทรงขับราช กุมารผู้มีชนมายุแก่กว่า คือเจ้า อุกกามุข, กรกัณฑุ, หัตถินีกะ, สินีปุระ, ออกจาก ราชอาณาจักร ไปตั้งสํานักอยู่ ณ ปุาสากใหญ่ ใกล้สระโบกขรณีข้างภูเขา หิมพานต์. เธอเหล่านั้น กลัวชาติจะระคนกัน จึงสมสู่กับพี่น้องหญิงของเธอเอง. ต่อมาพระเจา้ อกุ การาชตรสั ถามอาํ มาตย์ว่า \"บัดนก้ี ุมารเหล่าน้นั อยทู่ ไ่ี หน?\" _______________________________________________________________________ ๑. ความตอนน้ี ตรสั แกอ่ ัมพฎั ฐมาณพ ศษิ ยพ์ ราหมณโ์ ปกขรสาติ ที่ปาุ อิจฉานังคละ. บาลี อัมพฎั ฐสตู รท่ี ๓ ส.ี ที.๙/๑๒๐/๑๔๙ ๒๑ กลับไปสารบัญ
๒๒ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๑ กราบทูลว่า บัดน้ีกุมารเหล่าน้ันเสด็จอยู่ ณ ปุาสากใหญ่ ซึ่งอยู่ใกล้สระโบกขรณี ขา้ งภเู ขาหิมพานต์ พระกุมารทงั้ หลายกลัวชาตริ ะคนกัน จงึ สมสกู่ ับภคินีของตนเอง. ขณะน้ัน พระเจ้าอุกการทรงเปล่งพระอุทานว่า \"กุมารผู้อาจหาญหนอ, กุมารผู้อาจหาญอย่างยิ่งหนอ \". เพราะเหตุนั้นเป็นเดิม จึงเป็นพวกที่ได้ ช่ือวา่ \"สากยะ\"๑ สืบมา.... . พวกสากยะอยู่ใต้อานาจพระเจ้าโกศล ๒ ....วาเสฎฐะ ! พระราชา ปเสนทิโกศล ย่อมทราบว่า \"พระสมณโคดมผู้ ยอดเยี่ยม บวชแล้วจากสากยตระกูล\". วาเสฎฐะ ! ก็แหละพวกสากยะ ท. เป็นผู้ อยู่ใกล้ชิด และอยู่ในอํานาจของพระราชาปเสนทิโกศล. วาเสฎฐะ! ก็พวกสากยะ ท. ย่อมทําการต้อนรับ, ทําการอภิวาท ลุกข้ึนยืนรับทําอัญชลีกรรมและสามีจิกรรม ใน พระราชา ปเสนทิโกศล. วาเสฎฐะ ! พวกสากยะกระทําการต้อนรับ เป็นต้น แก่ พระราชา ปเสนทิโกศลอย่างไร, พระราชาปเสนทิโกศลย่อมกระทําการต้อนรับเป็น ตน้ แกต่ ถาคต (เมื่อออกบวชแล้ว) อย่างนั้น๓. _______________________________________________________________________ ๑. ชื่อน้ีมีมูลมาจากต้นสากก็ได้,แห่งคําว่ากล้าหาญก็ได้,เพราะสักก-กล้าหาญ, สักกเราเรียกใน เสียงภาษาไทยกันว่า สากยะ, เรื่องเกิดวงศ์สากยะมีกล่าวไว้อย่างพิสดารในอรรถกถาของ อัมพฎั ฐสูตรนีเ้ อง เช่นเรอ่ื งไม้กะเบาเปน็ ต้น จะกล่าวในโอกาสหลัง. ๒. บาลี อัคคญั ญสูตร ปา. ที. ๑๑/๙๑/๕๔. ตรัสแก่วาเสฎฐะกับเพ่ือน. ๓. ความข้อน้ีเราไม่อยากจะเชื่อกันโดยมากว่าจะเป็นอย่างนี้โดยที่เราไม่อยากให้ตระกูลของ พระองค์เป็นเมืองขึ้นของใคร แต่พระองค์เองกลับตรัสตรงไปทีเดียวว่าเป็นเมืองข้ึนของ โกศล, ต้องนอบน้อมต่อพระเจ้าปเสนทิ. แต่เมื่อพระองค์ออกบวชเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว. พระเจา้ ปเสนทโิ กศลกลับทําตรงกนั ขา้ ม คอื นอบน้อมต่อพระองค์ เช่นเดยี วกับท่ีพวกสากยะ เคยนอบน้อมต่อพระเจ้าปเสนทิ. บาลีตรงน้ี คือ รํฺโญ ปเสนทิสฺส โกสลสฺส อนนฺตรา อนุยนฺตา. คําว่า อนุยนฺตา อรรถกถาแก้ดังน้ี อนุยนฺตาติ วสวตฺติโน, (สุมัง. ๓, น.๖๒), แปลว่า อย่ใู นอํานาจ. กลบั ไปสารบัญ
การเกิดแหง่ วงศส์ ากยะ – ออกผนวช ๒๓ แดนสากยะขน้ึ อยใู่ นแคว้นโกศล๑ ตรสั ตอบแกพ่ ระเจ้าพิมพิสารวา่ :- \"ราชะ ! ชนบทตรงข้างภูเขาหิมพานต์ สมบูรณ์ด้วยความเพียรเคร่ือง หาทรพั ย์ เปน็ เมอื งขน้ึ ๒ แห่งโกศล มพี วกช่อื อาทิตย์โดยโคตร ชื่อ สากยะ โดยชาติ. อาตมาภาพออกบวชจากตระกูลนั้น จะปรารถนากามก็หามิได้...\" การอยใู่ นหม่เู ทพชนั้ ดสุ ิต๓ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อนี้ ข้าพระองค์ได้ฟ๎งมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มี พระภาคเจ้า ได้จํามาแต่ที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า \"ดูก่อนอานนท์ ! โพธิสัตว์ มีสติ รู้ตวั ท่ัวพร้อม บังเกดิ ขน้ึ ในหมู่ เทพชั้นดสุ ติ \" ดงั น,ี้ ข้าแต่พระองค์ ___________________________________________________________________ ๑. บาลี ปพ๎ พชาสตู ร มหาวคั ค์ ส.ุ ข.ุ ๒๕/๔๐๗/๓๕๔. ๒. ศัพท์น้ีว่า นิเกติโน, พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เคยทรงแปลไว้ในพุทธ ประวัติเล่ม ๑ ว่า \"เป็นถ่ิน\", ในอรรถกถาแก้ศัพท์น้ีไว้ ส่อความว่าเป็นเมืองขึ้นน้ันเอง. คํา ว่าถน่ิ กค็ อื เมืองข้นึ เหมือนกัน. ๓. บาลี อัจฉริยอัพภูตธัมมสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๒๔๗/๓๖๐-๑-๒, เป็นคําที่พระอานนท์เล่า แก่ ภิกษุทั้งหลาย ต่อพระพักตร์พระผู้มีพระภาคถึงเร่ืองท่ีเคยได้ฟ๎งมาจากพระผู้มีพระภาค เอง, นบั ว่าเปน็ ข้อความจากพระโอษฐ์ เฉพาะตอนทอี่ ยู่ในอัญญประกาศ. บาลีอัจฉริยอัพภูตธัมมสูตร อันว่าด้วยเรื่องอยู่ในดุสิต เร่ืองจุติ เรื่องประสูติ เหล่าน้ี ซ่ึงล้วนแต่เป็นปาฏิหาริย์, จะเป็นเรื่องที่ควรถือเอาตามน้ันตรงตามตัวอักษรไป ทงั้ หมด หรือ วา่ เป็นเรื่องท่ีท่านแฝงไว้ในปุคคลาธิษฐาน จะต้องถอดให้เป็นธรรมาธิษฐาน เสียก่อนแล้วจึงถือ เอาเป็นเร่ืองที่ต้องวินิจฉัยกันอีกต่อหน่ึง, ข้าพเจ้าผู้รวบรวม สังเกตเห็นความแปลกประหลาด ของเรื่องเหล่านี้ ตอนที่ไม่ตรัสเล่าเสียเอง ยกให้เป็น หน้าที่ของพระอานนท์ เป็นผู้เล่ายืนยัน อีกต่อหนึ่ง ขอให้วินิจฉัยกันดูเถิด. ท่ีนํามารวมไว้ ในท่ีน้ีด้วย ก็เพราะมีอยู่ในบาลี เป็น พุทธภาษิตเหมือนกัน แม้จะโดยอ้อม โดยผ่านทาง ปากของพระอานนท์อกี ตอ่ หน่ึง ซงึ่ ลักษณะเชน่ น้ีมแี ต่เรื่องตอนน้ีเทา่ นน้ั . กลบั ไปสารบัญ
๒๔ พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ - ภาค ๑ ผู้เจริญ ! ข้อที่พระโพธิสัตว์ มีสติ รู้ตัวท่ัวพร้อม บังเกิดขึ้นในหมู่เทพช้ันดุสิต นี้ ขา้ พระองคย์ อ่ มถือไว้ว่าเปน็ ของนา่ อัศจรรย์ ไมเ่ คยมี เกีย่ วกับพระผู้มีพระภาค. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อน้ี ข้าพระองค์ได้ฟ๎งมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระ- ภาคเจ้า ได้จํามาแต่ที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า \"ดูก่อนอานนท์ ! โพธิสัตว์มี สติ รู้ตัวทั่วพร้อม ดํารงอยู่ในหมู่เทพช้ันดุสิต\" ดังนี้. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อที่พระโพธิสัตว์ มีสติ รู้ตัวท่ัวพร้อม ดํารงอยู่ในหมู่เทพ ช้ันดุสิต นี้ ข้าพระองค์ย่อมถือ ไวว้ า่ เป็นของนา่ อัศจรรย์ ไมเ่ คยมี เกีย่ วกบั พระผูม้ พี ระภาค. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อน้ี ข้าพระองค์ได้ฟ๎งมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มี พระภาคเจา้ ได้จาํ มาแต่ท่ีเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า \"ดูก่อนอานนท์ ! โพธิสัตว์ มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม ดํารงอยู่ในหมู่เทพช้ันดุสิต จนกระทั่งตลอดกาลแห่งอายุ\" ดังน.้ี ขา้ แตพ่ ระองค์ผู้เจริญ ! ขอ้ ทพี่ ระโพธสิ ัตว์ มีสติ รู้ตัวท่ัวพร้อม ดํารงอยู่ในหมู่เทพช้ันดุสิต จนกระทัง่ ตลอดกาลแห่งอายุ น้ี ข้าพระองค์ย่อมถือไว้ว่า เป็นของน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีเกี่ยวกับ พระผมู้ ีพระภาค. การจตุ จิ ากดสุ ิตลงสคู่ รรภ์ ๑ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อน้ี ข้าพระองค์ได้ฟ๎งมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระ- ภาคเจ้าได้จํามากแต่ท่ีเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า \"ดูก่อนอานนท์! โพธิสัตว์ มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม จุติจากหมู่เทพชั้นดุสิต ก้าวลงสู่ครรภ์แห่งมารดา\" ดังน้ี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! แม้ข้อนี้ ข้าพระองค์ย่อมถือไว้ว่าเป็นของน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีเก่ียวกับ พระผมู้ ีพระภาค. ____________________________________________________________ ๑. บาลี อัจฉรยิ อพั ภูตธัมมสูตร อปุ ริ. ม. ๑๔/๒๔๘/๓๖๓. กลับไปสารบัญ
การเกิดแห่งวงศส์ ากยะ – ออกผนวช ๒๕ เกิดแสงสว่างเนอ่ื งดว้ ย การจุติจากดสุ ิต๑ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ข้อนี้ ข้าพระองค์ได้ฟ๎งมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มี พระภาคเจ้า ได้จํามาแต่ท่ีเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า \"ดูก่อนอานนท์ ! โพธิสัตว์ มีสติ รู้ตัวท่ัวพร้อม จุติจาก หมู่เทพช้ันดุสิตแล้ว ก้าวลงสู่ครรภ์แห่งมารดา ในขณะนั้น แสงสว่างอันโอฬารจนหาประมาณมิได้ ยิ่งใหญ่กว่าอานุภาพ ของเทวดาทั้งหลายจะบันดาลได้, ได้ปรากฏข้ึนในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก. พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมท้ังสมณพราหมณ์พร้อมทั้งเทวดาแลมนุษย์ ถึงแม้ใน โลกนั ตรกิ นรก อนั โล่งโถงไม่มีอะไรปิดกั้น แต่มืดมน หาการเกิดแห่งจักขุวิญญาณมิได้ อนั แสงสวา่ งแห่งดวงจนั ทร์และดวงอาทติ ย์ อันมีฤทธิอานุภาพอย่างน้ี ส่องไปไม่ถึงน้ัน แม้ในท่ีนั้น แสงสว่างอันโอฬารจนหาประมาณมิได้ยิ่งใหญ่กว่าอานุภาพของเทวดา ทั้งหลายจะบันดาลได้ ก็ได้ปรากฏขึ้นเหมือนกันสัตว์ท่ีเกิดอยู่ ณ ท่ีน้ัน รู้จักกันได้ด้วย แสงสว่างนั้น พากันร้องว่า \"ท่านผู้เจริญทั้งหลายเอ๋ย ผู้อื่นอันเกิดอยู่ในท่ีน้ี นอกจาก เรา ก็มอี ยเู่ หมอื นกัน\" ดังนี้ และ หมื่นโลกธาตุ น้ี ก็หว่ันไหว ส่ันสะเทือนสะท้าน. แสง สว่างอันโอฬารจนหาประมาณมิได้ ได้ปรากฏข้ึนในโลก เกินกว่าอานุภาพของเทวดา ท้ังหลายจะบันดาลได้.\" ดังน้ี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! แม้ข้อน้ี ข้าพระองค์ย่อมถือไว้ว่าเป็น ของนา่ อศั จรรยไ์ มเ่ คยมี เกย่ี วกับพระผูม้ ีพระภาค. (ขอ้ ความเชน่ นี้ ที่อยู่ในรปู พุทธภาษติ ลว้ น ๆ ก็มี คือ บาลีสัตตมสูตร ภยวัคค์ จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๗๖/๑๒๗, เป็นอัศจรรย์คร้ังท่ี ๑ (จุติ), คร้ังท่ี ๒ (ประสูติ), คร้ังที่ ๓ (ตรัสรู้), ฯลฯ ไปตามลําดับ, สังเกตดูได้ที่ตอนตรัสรู้เป็นต้นไป, ในที่น้ีไม่นํามาใส่ไว้ เพราะใจความ ซ้าํ กัน) _______________________________________________________________________ ๑. บาลี อัจฉรยิ อัพภูตธมั มสตู ร อปุ ริ. ม. ๑๔/๒๔๘/๓๖๔, และ จตุกกฺ . อ.ํ ๒๑/๑๗๖/๑๒๗. กลบั ไปสารบัญ
๒๖ พุทธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๑ แผ่นดนิ ไหว เนื่องดว้ ยการจตุ ิ ๑ ดูก่อนอานนท์ ! เหตุป๎จจัยที่ทําให้ปรากฏการไหวแห่งแผ่นดินอันใหญ่ หลวง มอี ยู่แปดประการ..... ดกู อ่ นอานนท์ ! เมอ่ื ใดโพธสิ ตั ว์ จุติจากหมู่เทพชนั้ ดุสิต มสี ตสิ ัมปชญั ญะ กา้ วลงส่คู รรภ์แห่งมารดา ; เม่อื นัน้ แผน่ ดนิ ยอ่ มหวน่ั ไหว ยอ่ มส่ันสะเทอื น ยอ่ มสัน่ สะทา้ น. อานนท์ ! นเ้ี ปน็ เหตปุ จ๎ จยั คาํ รบสามแห่งการปรากฏการไหวของแผ่นดิน อนั ใหญ่หลวง. การลงสคู่ รรภ์ ๒ ขา้ แตพ่ ระองค์ผู้เจริญ ! ข้อน้ี ข้าพระองค์ได้ฟ๎งมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระ ภาคเจ้าได้จํามาแต่ที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า \"ดูก่อนอานนท์ ! ในกาลใด โพธิสัตว์กําลังก้าวลงสู่ครรภ์แห่งมารดา ในกาลนั้นเทพบุตรทั้งหลายย่อมทําการ อารกั ขาในทศิ ท้ังส่ี แก่โพธิสตั ว์ โดยประสงคว์ ่ามนุษย์หรืออมนุษย์หรือใครๆ ก็ตาม อย่าได้เบียดเบียนโพธิสัตว์ หรือมารดาแห่งโพธิสัตว์เลย\" ดังน้ี. ข้าแต่พระองค์ผู้ เจริญ ! แม้ข้อน้ี ข้าพระองค์ย่อมถือไว้ว่าเป็นของน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีเก่ียวกับพระผู้มีพระ ภาค. การอยู่ในครรภ์ ๓ ข้าแต่พระองคผ์ เู้ จรญิ ! ขอ้ นี้ ขา้ พระองค์ไดฟ้ ๎งมาเฉพาะพระพักตรพ์ ระผู้มีพระ ภาคเจ้าไดจ้ ํามาแต่ทเี่ ฉพาะพระพกั ตรพ์ ระผู้มีพระภาคเจ้าว่า \"ดูก่อนอานนท์! ใน ____________________________________________________________ ๑. บาลี อฎฺฐก. อํ. ๒๓/๓๒๒,๓๒๓/๑๖๗. ตรสั แกพ่ ระอานนท์ ท่ปี าวาลเจดยี ์ เมอื งเวสาลี. ๒. บาลี อัจฉรยิ อพั ภตู ธมั มสตู ร อปุ ริ. ม. ๑๔/๒๔๙/๓๖๕. ๓. บาลี อจั ฉริยอพั ภตู ธัมมสูตร อปุ ริ. ม. ๑๔/๒๔๙-๒๕๑/๓๖๖-๗-๘-๙, ๓๗๑. กลบั ไปสารบัญ
การเกดิ แห่งวงศส์ ากยะ – ออกผนวช ๒๗ กาลใด โพธิสตั ว์กา้ วลงสคู่ รรภ์แห่งมารดา ในกาลน้ันมารดาแห่งโพธิสัตว์ ย่อมเป็น ผู้ มีศีลอยู่โดยปกติ เป็นผู้เว้นจากปาณาติบาต เว้นจากอทินนาทาน เว้นจาก กาเมสุมิจฉาจาร เว้นจากมุสาวาท เว้นจากสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งของความ ประมาท\" ดังน้ี. ฯลฯ \"ดูก่อนอานนท์ ! ในกาลใด โพธิสัตว์ก้าวลงสู่ครรภ์แห่งมารดาในกาล นั้น มารดาแห่งโพธิสัตว์ ย่อม ไม่มีความคิดอันเจือด้วยกามคุณ ในบุรุษท้ังหลาย, อนึง่ มารดาแห่งโพธิสตั ว์ ย่อมเปน็ ผู้ทบี่ ุรุษใด ไมค่ ิดจะล่วงเกินด้วยจิตอันกําหนัด\" ดังน.ี้ ฯลฯ \"ดูก่อนอานนท์ ! ในกาลใด โพธิสัตว์ก้าวลงสู่ครรภ์แห่งมารดาในกาล น้นั มารดาแห่งโพธสิ ตั ว์ เปน็ ผู้ มีลาภ ด้วยกามคณุ ทงั้ ห้า,๑ มารดาแหง่ โพธิสัตว์นั้น อ่ิมเอิบด้วยกามคุณทั้งห้า เพียบพร้อมด้วยกามคุณทั้งห้า ให้เขาประคบประหงม อย\"ู่ ดังน.ี้ ฯลฯ \"ดูก่อนอานนท์ ! ในกาลใด โพธิสัตว์ก้าวลงสู่ครรภ์แห่งมารดาในกาล น้ัน มารดาแห่งโพธิสัตว์ ย่อม ไม่มีอาพาธไร ๆ มีความสุข ไม่อ่อนเพลีย, อน่ึง มารดาแห่งโพธสิ ตั ว์ ยอ่ ม แลเหน็ โพธิสตั ว์ ผูอ้ ยู่ในครรภ์มารดา มีอวัยวะน้อยใหญ่ สมบูรณ์ มีอินทรีย์ไม่ทราม. เหมือนอย่างว่า แก้วไพฑูรย์อันงดงามโชติช่วงสดใส เจียระไนดีแล้ว มีด้ายร้อยอยู่ในแก้วน้ัน สีเขียว เหลืองแกมเขียวแดง ขาว หรือ เหลือง กต็ าม บุรษุ ที่ตายังดี เอาแก้วนั้นวางบนฝุามอื แลว้ ย่อมมองเห็นชัดเจนว่า น้ี แก้วไพฑูรย์ อันงดงามโชติช่วงสดใส เจียระไนดีแล้ว, น้ีด้าย ซึ่งร้อยอยู่ในแก้วน้ัน จะเป็นสีเขียว เหลืองแกมเขียว แดง ขาวหรือเหลืองก็ตาม; ฉันใดก็ฉันน้ัน ท่ี มารดาแห่งโพธสิ ตั ว์ เปน็ ผไู้ ม่มีอาพาธ ____________________________________________________________ ๑. กามคุณห้า ในท่ีน้ี หมายเพียงเคร่ืองบํารุงตามธรรมดา มิได้หมายถึงที่เกี่ยวกับกามารมณ์ โดย ตรง เพราะมปี ฏิเสธอย่ใู นข้อตน้ จากนี้อยู่แล้ว. กลบั ไปสารบัญ
๒๘ พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๑ มีความสบายไม่อ่อนเพลีย แลเห็นโพธิสัตว์ผู้นั่งอยู่ในครรภ์ มีอวัยวะน้อยใหญ่ สมบูรณ์ มีอินทรียไ์ มท่ ราม\"ดังน.้ี ฯลฯ \"ดูก่อนอานนท์ ! หญิงอ่ืนๆ อุ้มครรภ์ไว้เก้าเดือนบ้าง สิบเดือนบ้าง จึงจะคลอด, ส่วนมารดาแห่งโพธิสัตว์ ไม่เป็นเช่นนั้น, ย่อม อุ้มครรภ์ไว้สิบเดือน เตม็ ทเี ดียว แลว้ จึงคลอด\" ดังน.้ี ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! แม้ข้อน้ีๆ ข้าพระองค์ย่อมถือไว้ว่า เป็นของน่า อัศจรรย์ ไม่เคยม,ี เก่ยี วกบั พระผ้มู พี ระภาค. การประสตู ิ ๑ ขา้ แตพ่ ระองค์ผเู้ จรญิ ! ข้อนี้ ข้าพระองค์ไดฟ้ ๎งมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มี พระภาคเจ้า ได้จําเอามาแต่ท่ีเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า \"ดูก่อน อานนท์ ! หญิงอ่ืน ๆ ย่อมน่ังคลอดบ้าง นอนคลอดบ้าง. ส่วนมารดาแห่งโพธิสัตว์ หาเป็นอยา่ งนัน้ ไม่, มารดาแหง่ โพธิสัตว์ ยอ่ ม ยืนคลอด โพธิสตั ว์\"ดงั น.ี้ ฯลฯ \"ดูก่อนอานนท์ ! ในกาลใด โพธิสัตว์ออกมาจากท้องแห่งมารดา ใน กาลนั้น เทวดาทั้งหลายย่อมเข้ารับก่อน ส่วนมนุษย์ท้ังหลาย ย่อมเข้ารับต่อ ภายหลัง\" ดงั น.ี้ ฯลฯ \"ดกู ่อนอานนท์ ! ในกาลใด โพธิสัตว์ออกมาจากท้องแห่งมารดายังไม่ ทันถึงแผน่ ดนิ เทพบตุ รทั้งสี่ ย่อม รับเอามาวางตรงหน้าแห่งมารดา ทูลว่าแม่เจ้า จงพอพระทยั เถิด บุตรอนั มีศักดาใหญ่ของแมเ่ จา้ เกดิ แลว้ \" ดงั น.้ี ฯลฯ \"ดูก่อนอานนท์ ! ในกาลใด โพธิสัตว์ออกมาจากท้องแห่งมารดาใน กาลนัน้ เป็น ผู้สะอาดหมดจด ไม่เปอ้ื นด้วยเมอื ก ไมเ่ ปอ้ื นด้วยเสมหะ ไมเ่ ปอ้ื น _______________________________________________________________________ ๑. บาลี อจั ฉรยิ อัพภตู ธมั มสูตร อปุ ริ. ม. ๑๔/๒๕๑/๓๗๒-๓-๔-๕-๖-๗. กลบั ไปสารบัญ
การเกดิ แหง่ วงศ์สากยะ – ออกผนวช ๒๙ ด้วยเลือด ไม่เปื้อนด้วยหนอง ไม่เปื้อนด้วยของไม่สะอาดอย่างใดๆ เป็นผู้บริสุทธ์ิ สะอาดหมดจดมาทีเดียว.เหมือนอย่างว่า แก้วมณีที่วางอยู่บนผ้าเน้ือเกลี้ยงอันมา แต่แคว้นกาสี, แก้วก็ไม่เปื้อนผ้า ผ้าก็ไม่เปื้อนแก้ว,เพราะเหตุใด,เพราะเหตุว่ามัน เปน็ ของสะอาดหมดจดทง้ั สองอย่าง; ฉนั ใดก็ฉันนัน้ ที่โพธสิ ตั ว์ออกมาจากทอ้ งแหง่ มารดา เป็นผู้สะอาดหมดจด ไม่เปอ้ื นด้วยเมอื ก ไมเ่ ป้ือนด้วยเสมหะ ไม่เป้ือนด้วย เลือด ไม่เป้ือนด้วยหนอง ไม่เปื้อนด้วยของไม่สะอาดอย่างใด ๆ เป็นผู้บริสุทธ์ิ สะอาดหมดจดมาทีเดียว\" ดงั น.ี้ ฯลฯ \"ดูก่อนอานนท์ ! ในกาลใด โพธิสัตว์ออกมาจากท้องแห่งมารดาใน กาลนั้น ท่อธารแห่งน้าสองท่อ ปรากฏจากอากาศ เย็นท่อหน่ึงร้อนท่อหนึ่ง, อัน เขาใชใ้ นกิจอันเนือ่ งดว้ ยนาํ้ แก่โพธสิ ัตว์ และแก่มารดา\" ดงั นี้. ฯลฯ \"ดูก่อนอานนท์ ! โพธิสัตว์ผู้คลอดแล้วเช่นน้ี เหยียบพ้ืนดินด้วยฝุาเท้า อันสม่ําเสมอ มีพระพักตร์ทางทิศเหนือ ก้าวไป ๗ ก้าว, มีฉัตรสีขาวกั้นอยู่ ณ เบ้ืองบน, ย่อมเหลียวดูทิศท้ังหลาย และกล่าว อาสภิวาจา๑ ว่า \"เราเป็นผู้เลิศ แห่งโลก, เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก, เราเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งโลก. ชาตินี้ เป็นชาติสดุ ทา้ ย. บัดนี้ ภพใหมย่ อ่ มไม่ม\"ี ดงั น.้ี ________________________________________________________________________ ๑. อาสภวิ าจา คือวาจาอันประกาศความสูงสุด ภาษาบาลมี วี า่ อตโฺ คหมสมฺ ิ โลกสฺส เชฏโฐหมสมฺ ิ โลกสสฺ เสฏโฐหมสฺมิ โลกสสฺ . อยมนฺติมา ชาติ. นตฺถิทานิ ปุนพภฺโว. อคโฺ ค หมายถงึ เปน็ ยอดคน. เชฏโฺ ฐ หมายถึงพี่ใหญ่ กวา่ เขา ทง้ั หมด. เสฏโฺ ฐ หมายถึงสูงด้วยคณุ ธรรม กว่าเขาทัง้ หมด. คําทัง้ สามนน้ี า่ คิดดู. กลบั ไปสารบัญ
๓๐ พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ - ภาค ๑ เกดิ แสงสว่าง เนอื่ งดว้ ยการประสูติ ๑ ฯลฯ \"ดูก่อนอานนท์ ! ในกาลใด โพธิสัตว์คลอดจากท้องแห่งมารดาในกาล นั้นแสงสว่างอันโอฬารจนหาประมาณมิได้ ย่ิงใหญ่กว่าอานุภาพของเทวดา ท้ังหลายจะบันดาลได้ ได้ปรากฏขึ้นในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกใน หมู่สัตว์ พร้อมท้ังสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์. ถึงแม้ใน โลกันต- ริกนรก อันโล่งโถงไม่มีอะไรปิดก้ัน แต่มืดมนหาการเกิดแห่งจักขุวิญญาณมิได้ อัน แสงสว่างแห่งดวงจันทร์แลดวงอาทิตย์ อันมีฤทธิ์อานุภาพอย่างน้ี ส่องไปไม่ถึงนั้น แมใ้ นท่ีนั้น แสงสว่างอนั โอฬารจนหาประมาณมไิ ด้ ยิ่งใหญ่กว่าอานุภาพของเทวดา ท้ังหลายจะบันดาลได้ ก็ได้ปรากฏข้ึนเหมือนกัน.สัตว์ท่ีเกิดอยู่ในท่ีน้ัน รู้จักกันได้ ด้วยแสงสว่างนั้น พากันร้องว่า \"ท่านผู้เจริญท้ังหลายเอ๋ยผู้อื่นอันเกิดอยู่ในที่นี้ นอกจากเราก็มีอยู่เหมือนกัน\" ดังนี้. และหมื่นโลกธาตุน้ีก็หวั่นไหวสั่นสะเทือน สะท้าน. แสงสว่างอันโอฬารจนหาประมาณมิได้ ได้ปรากฏข้ึนในโลก เกินกว่า อานภุ าพของเทวดาท้ังหลายจะบันดาลได้\" ดังน.ี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! แม้ข้อนี้ ๆ ข้าพระองค์ย่อมถือไว้ว่า เป็นของน่า อัศจรรย์ ไมเ่ คยม,ี เก่ียวกบั พระผู้มพี ระภาค. แผน่ ดินไหว เนอ่ื งดว้ ยการประสูติ ๒ ดกู ่อนอานนท์ ! เหตุป๎จจัยท่ีทําให้ปรากฏการไหวแห่งแผ่นดินอันใหญ่หลวง มอี ย่แู ปดประการ. ________________________________________________________________________ ๑. บาลี อจั ฉริยอพั ภูตธมั มสตู ร อุปริ. ม. ๑๔/๒๕๓/๓๗๘, และ จตุกฺก. อ.ํ ๒๑/๑๗๖/๑๒๗. ๒. บาลี อฎฺฐก. อํ. ๒๓/๓๒๒, ๓๒๓/๑๖๗. ตรัสแก่พระอานนท์ ที่ปาวาลเจดีย์ เมอื งเวสาลี. กลบั ไปสารบัญ
การเกิดแห่งวงศส์ ากยะ – ออกผนวช ๓๑ ดูก่อนอานนท์ ! เม่ือใด โพธิสัตว์ มีสติสัมปชัญญะ ออกจากท้องแห่ง มารดา; เม่ือนัน้ แผน่ ดินย่อมหวน่ั ไหว ยอ่ มสนั่ สะเทอื น ย่อมส่นั สะท้าน.อานนท์ ! นี้ เป็นเหตปุ จ๎ จัยคํารบส่ี แหง่ การปรากฏการไหวแหง่ แผน่ ดนิ อันใหญห่ ลวง. ประกอบดว้ ยมหาปรุ ิสลกั ขณะ ๓๒๑ ....ภิกษุ ท. ! มหาบุรุษ (คือพระองค์เองก่อนผนวช) ผู้ประกอบด้วย มหาปุริสลกั ขณะ ๓๒ ประการ ย่อมมคี ติเป็นสอง หาเป็นอย่างอนื่ ไม่ คอื :- ถ้าเป็นฆราวาส ย่อมเป็น จักรพรรดิ ผู้ประกอบด้วยธรรม เป็นพระราชา โดยธรรม มีแว่นแคว้นจดมหาสมุทรทั้งส่ีเป็นท่ีสุด มีชนบทอันบริบูรณ์ ประกอบดว้ ยแกว้ ๗ ประการ. แก้ว ๗ ประการ ยอ่ มเกิดแก่มหาบุรุษน้ันคือ จักร แก้วช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คหบดีแก้ว และปริณายกแก้ว เป็นที่ ๗.มี บุตรผู้กล้าหาญ มแี ววแหง่ คนกล้าอนั ใคร ๆ จะยาํ่ ยีมไิ ด้ ตามเสดจ็ กว่า ๑๐๐๐ มหา บุรุษน้ันชนะแล้วครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นท่ีสุดโดยรอบ, ไม่มีหลักตอเส้ียน หนาม มั่งคั่ง เบิกบาน เกษม ร่มเย็น ปราศจากเสนียดคือโจร, ทรงครอบครอง โดยธรรมอนั สมํา่ เสมอ มใิ ชโ่ ดยอาญาและศาสตรา. ถ้าออกบวชจากเรือน เป็นผู้ไม่มีประโยชน์เกื้อกูลด้วยเรือน ยอมเป็นพระ อรหนั ตสมั มาสัมพุทธเจ้า มีกเิ ลสเครอื่ งปกปดิ อันเปดิ แลว้ ในโลก. ภิกษุ ท. ! มหาปรุ สิ ลกั ขณะ ๓๒ ประการนนั้ เหลา่ ไหนเลา่ ? คือ:- ๑. มหาบรุ ุษ มีพนื้ เท้าสมํ่าเสมอ. ๒. มหาบรุ ษุ ท่ีฝาุ เทา้ มีจกั รเกิดแล้ว, มซี ี่ตง้ั พัน พร้อมทง้ั กงและดมุ . ________________________________________________________________________ ๑. บาลี ลักขณสตู ร ปา. ที. ๑๑/๑๕๗/๑๓๐. ตรสั แก่ภกิ ษุ ท. ท่ีเชตวัน. กลบั ไปสารบัญ
๓๒ พทุ ธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๑ ๓. มหาบุรษุ มสี ้นเทา้ ยาว. ๔. มหาบรุ ุษ มีขอ้ น้ิวยาว. ๕. มหาบรุ ษุ มีฝาุ มือฝุาเทา้ ออ่ นละมุน. ๖. มหาบรุ ุษ มลี ายฝุามอื ฝุาเทา้ ดุจตาขา่ ย. ๗. มหาบรุ ษุ มีข้อเทา้ อยู่สงู . ๘. มหาบุรษุ มแี ขง้ ดจุ แข้งเน้อื ทราย. ๙. มหาบุรุษ ยนื ไมย่ อ่ ตัวลง แตะเข้าไดด้ ้วยมือทง้ั สอง. ๑๐. มหาบุรุษ มีองคชาตตง้ั อยู่ในฝ๎ก. ๑๑. มหาบรุ ษุ มีสกี ายดจุ ทอง คือมผี ิวหนังดจุ ทอง. ๑๒. มหาบุรษุ มผี ิวหนงั ละเอียด ละอองจบั ไม่ได.้ ๑๓. มหาบรุ ุษ มขี นขุมละเส้น เส้นหนึ่งๆ อยขู่ ุมหนึ่งๆ. ๑๔. มหาบรุ ุษ มีปลายขนช้อนขึ้น สีดจุ ดอกอญั ชัน ข้นึ เวียนขวา ๑๕. มหาบรุ ุษ มีกายตรงดุจกายพรหม. ๑๖. มหาบุรุษ มีเนื้อนูนหนาในท่ี ๗ แหง่ (คือหลังมอื หลงั เทา้ บ่าคอ). ๑๗. มหาบรุ ษุ มกี ายข้างหนา้ ดุจราชสีห์. ๑๘. มหาบุรษุ มีหลังเต็ม (ไม่มีร่องหลัง). ๑๙. มหาบุรษุ มีทรวดทรงดจุ ตน้ ไทร กายกบั วาเทา่ กนั . ๒๐. มหาบุรษุ มีคอ กลมเกลย้ี ง. ๒๑. มหาบรุ ุษ มปี ระสาทรับรสอันเลิศ. ๒๒. มหาบรุ ุษ มคี างดุจคางราชสีห์. ๒๓. มหาบุรุษ มฟี ๎น ๔๐ ซี่บรบิ ูรณ์. ๒๔. มหาบุรษุ มฟี น๎ เรียบเสมอ. ๒๕. มหาบุรษุ มีฟ๎นสนทิ (ชดิ ). ๒๖. มหาบรุ ุษ มเี ขยี้ วสขี าวงาม. ๒๗. มหาบรุ ษุ มลี ้นิ (ใหญ่และยาว) เพยี งพอ. กลบั ไปสารบัญ
การเกดิ แหง่ วงศส์ ากยะ – ออกผนวช ๓๓ ๒๘. มหาบรุ ุษ มีเสยี งดุจเสยี งพรหม พดู เหมอื น นกการวกิ . ๒๙. มหาบรุ ุษ มีตาเขยี วสนทิ (สนี ิล). ๓๐. มหาบรุ ษุ มตี าดุจตาววั . ๓๑. มหาบุรษุ มีอุณาโลมหว่างคิ้ว ขาวอ่อนเหมอื นสาํ ล.ี ๓๒. มหาบุรุษ มศี รี ษะรับกับกรองหน้า. ภกิ ษุ ท. ! น้ีเปน็ มหาปรุ ิสลักขณะ ๓๒ ประการ ของมหาบรุ ุษ. บรุ พกรรมของการได้มหาปรุ สิ ลกั ขณะ๑ ....ภิกษุ ท. ! พวกฤาษีภายนอก จํามนต์มหาปุริสลักขณะได้ก็จริง แต่หารู้ ไม่ว่า การที่มหาบุรษุ ไดล้ กั ขณะอันนีๆ้ เพราะทํากรรมเช่นนี้ๆ : (ก) ภิกษุ ท. ! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ในภพท่ีอยู่อาศัยก่อน ได้เป็นผู้บากบั่นในกุศล ถือม่ันในการสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต,ในการบริจาคทาน การสมาทานศีล การรักษาอุโบสถการปฏิบัติมารดา บิดาการปฏิบัติสมณพราหมณ์ การอ่อนน้อมต่อผู้เจริญในตระกูล และในอธิกุศลธรรมอ่ืน. เพราะได้กระทํา ได้ สร้างสม ได้พอกพูน ได้มั่วสุมกรรมนั้นๆไว้, ภายหลังแต่การตาย เพราะกายแตก ย่อมเขา้ ถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรค์. ตถาคตนัน้ ถอื เอาย่ิงกวา่ ในเทพเหล่าอื่นโดย ฐานะ ๑๐ คือ อายุทิพย์วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์อธิบดีทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ สัมผัสทิพย์; คร้ันจุติจากภพน้ันมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะข้อนี้คือ มีฝุาเท้าเสมอ จดลงก็เสมอ ยกข้ึนก็เสมอฝุาเท้า ถกู ตอ้ งพื้นพร้อมกนั ... (ลกั ขณะท่๑ี ), ย่อมเปน็ ________________________________________________________________________ ๑. บาลี ลักขณสูตร ปา. ท.ี ๑๑/๑๕๙-๑๙๓/๑๓๐,-๑๗๑. กลับไปสารบัญ
๓๔ พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ - ภาค ๑ ผู้ไม่หวาดหว่ันต่อข้าศึกท้ังภายในและภายนอก คือราคะ โทสะ โมหะ ก็ตาม สมณะพราหมณ์ เทวดามาร พรหม หรอื ใครๆก็ตาม ในโลก ทีเ่ ปน็ ศตั ร.ู (ข) ภิกษุ ท. ! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน....๑ ได้เป็นผู้นําสุขมา ให้แกม่ หาชนเปน็ ผู้บรรเทาภัยคือความสะดุ้งหวาดเสียว จัดการคุ้มครองรักษาโดย ธรรม ได้ถวายทานมเี ครอื่ งบริวาร. เพราะไดก้ ระทํา....กรรมนั้นๆไว้....ครั้นมาสู่ความ เป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะข้อนี้คือภายใต้ฝุาเท้ามีจักรทั้งหลาย เกิดข้ึน มีซี่ต้ังพัน พร้อมด้วยกงและดุม บริบูรณ์ด้วยอาการท้ังปวง มีระยะอันจัด ไว้ด้วยดี....(ลักขณะที่ ๒), ย่อมเป็นผู้มีบริวารมาก : ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกา เทวดามนษุ ย์ อสูร นาค คนธรรพ์ ยอ่ มเป็นบรวิ ารของตถาคต. (ค) ภิกษุ ท. ! เม่ือตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน....ได้เป็นผู้เว้นจาก ปาณาติบาต วางแล้วซ่ึงศาสตราและอาชญา มีความละอาย เอ็นดู กรุณาเก้ือกูล แก่สัตว์มีชีวิตท้ังปวง. เพราะ...กรรมนั้นๆครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างน้ี จึงได้ มหาปุริสลักขณะท้ัง ๓ ข้อน้ี คือ มีส้นยาว มีข้อน้ิวยาว มีกายตรงดุจกายพรหม.... (ลักขณะที่ ๓,๔,๑๕), ย่อมเป็นผู้มีชนมายุยืนยาวตลอดกาลนาน;สมณะหรือ พราหมณ์เทวดา มาร พรหม ก็ตาม หรือใครๆ ที่เป็นศัตรู ไม่สามารถปลงชีวิต ตถาคตเสียในระหว่างได.้ (ง) ภิกษุ ท. ! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน....ได้เป็นผู้ให้ทานของ ควรเค้ยี วควรบรโิ ภค ควรลิ้ม ควรจิบ ควรด่ืม มรี สอันประณีต. เพราะ....กรรมน้ันๆ ....ครั้นมาสูค่ วามเปน็ มนุษยอ์ ย่างน้ีแล้ว จึงไดม้ หาปุริสลักขณะข้อนี้คือมีเนื้อนูนหนา ในที่ ๗ แหง่ คอื ทม่ี ือท้ังสอง ทบี่ ่าท้ังสอง และที่คอ..(ลักขณะที่ ๑๖), ย่อมได้ของ ควรเค้ียว ควรบริโภค ควรลมิ้ ควรจบิ ควรด่ืมอันมีรสประณตี . ________________________________________________________________________ ๑. ทีล่ ะไว้ด้วยจดุ ....ดังน้ี ทกุ แหง่ หมายความวา่ คําท่ลี ะไว้นั้นซ้าํ กนั เหมือนในข้อ (ก) ขา้ งบน. เติมเอาเองกไ็ ด้ แม้ไม่เตมิ กไ็ ด้ความเท่ากนั . กลับไปสารบัญ
การเกิดแหง่ วงศส์ ากยะ – ออกผนวช ๓๕ (จ) ภิกษุ ท. ! เม่ือตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน....ได้สงเคราะห์ผู้อ่ืน ด้วย สังคหวัตถุทั้งส่ี คือ การให้สิ่งของ วาจาท่ีไพเราะ การประพฤติประโยชน์ ผอู้ ่ืน และความมตี นเสอมกัน. เพราะ..กรรม น้ันๆ....คร้ันมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่าง นี้แล้ว จึงได้มหาปุริสลักขณะ ๒ ข้อน้ีคือ มีมือและเท้าอ่อนนุ่มมีลายฝุามือฝุาเท้า ดุจตาข่าย.... (ลักขณะท่ี ๕,๖), ย่อมเป็นผู้สงเคราะห์บริษัท คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ ย่อมได้รับความสงเคราะห์ จากตถาคต. (ฉ) ภิกษุ ท. ! เม่ือตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน....ได้เป็นผู้กล่าววาจา ประกอบด้วยอรรถด้วยธรรม แนะนาํ ชนเปน็ อันมาก เป็นผู้นําประโยชน์สุขมาให้แก่ ชนท้ังหลาย ตนเองก็เป็นผู้บูชาธรรม.เพราะ....กรรมนั้นๆ.... คร้ันมาสู่ความเป็น มนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะ ๒ ข้อนี้ คือ มีข้อเท้าอยู่สูง มีปลายขนช้อน ขึ้น.... (ลักขณะที่ ๗,๑๔), ย่อมเป็นผู้เลิศประเสริฐเยี่ยมสูงกวา่ สตั ว์ทั้งหลาย. (ช) ภิกษุ ท. ! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน....ได้เป็นผู้บอก ศิลปวิทยา ข้อประพฤติ และลัทธิกรรมด้วยความเคาพร ด้วยหวังว่าสัตว์เหล่าน้ัน พึงรู้ได้รวดเร็วพึงปฏิบัติได้รวดเร็วไม่พึงเศร้าหมองสิ้นกาลนาน. เพราะ....กรรม นั้นๆ ....ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะข้อนี้คือ มีแข้ง ดงั แข้งเนอ้ื ทราย (ลักขณะท่ี๘), ย่อมได้วัตถุอันควรแก่สมณะ เป็นองค์แห่งสมณะ เปน็ เครือ่ งอปุ โภคแกส่ มณะ โดยเรว็ . (ซ) ภิกษุ ท. ! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน.... ได้เป็นผู้เข้าไปหา สมณพราหมณ์แล้วสอบถามว่า \"ท่านผู้เจริญ ! อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ ทําอะไรไม่มีประโยชน์ เป็นทุกขไ์ ปนาน ทาํ อะไรมปี ระโยชน์ เปน็ สุขไปนาน\",เพราะ กลับไปสารบัญ
๓๖ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๑ ....กรรมนั้นๆ.... ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะข้อน้ีคือมี ผิวละเอียดอ่อน ธุลีไม่ติดอยู่ได้....(ลักขณะท่ี ๑๒), ย่อมเป็นผู้มีป๎ญญาใหญ่ มีป๎ญญาหนาแน่น มีป๎ญญาเครื่องปลื้มใจ ป๎ญญาแล่นป๎ญญาแหลม ป๎ญญา แทงตลอด,ไมม่ สี ตั วอ์ ืน่ เสมอ หรือยงิ่ ไปกวา่ . (ฌ) ภิกษุ ท. ! เม่ือตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน....ได้เป็นผู้ไม่มักโกรธ ไม่มากไปด้วยความแค้น แม้ชนเป็นอันมาก ว่ากล่าวเอา ก็ไม่เอาใจใส่ไม่โกรธ ไม่ พยาบาท ไม่คุมแค้น ไม่แสดงความโกรธ ความร้ายกาจ ความเสียใจให้ปรากฏ. ทั้งเป็นผู้ให้ทานผ้าเปลือกไม้ ผ้าด้าย ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ สําหรับลาดและนุ่งห่ม อนั มีเนื้อละเอียดออ่ น. เพราะ....กรรมน้ันๆ.... คร้ันมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างน้ี จึง ได้มหาปุริสลักขณะข้อน้ีคือ มีกายดุจทอง มีผิวดุจทอง....(ลักขณะท่ี ๑๑), ย่อมเป็นผู้ได้ผ้าเปลือกไม้ ผ้าด้าย ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์สําหรับลาดและห่ม มีเนอื้ ละเอียดอ่อน. (ญ) ภิกษุ ท. ! เม่ือตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน....ได้เป็นผู้สมานญาติ มิตร สหายชาวเกลอ ผู้เหินห่างแยกกันไปนาน, ได้สมานไมตรีมารดากับบุตรบุตร กับมารดา บิดากับบุตร บุตรกับบิดา พ่ีน้องชายกับพ่ีน้องหญิง พี่น้องหญิงกับพี่ น้องชาย, ครั้นทําความสามัคคีแล้ว พลอยช่ืนชมยินดีด้วย. เพราะ....กรรมนั้นๆ.... คร้ันมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างน้ี จึงได้มหาปุริสลักขณะ ข้อน้ีคือ มีคุยหฐาน (อวัยวะท่ีลับ) ซ่อนอยู่ในฝ๎ก.... (ลักขณะที่ ๑๐), ย่อมเป็นผู้มีบุตร (สาวก) มาก มบี ุตรกลา้ หาญ มีแววแหง่ คนกลา้ อันเสนาแหง่ บุคคลอ่ืนจะยํ่ายมี ไิ ด้ หลายพนั . (ฎ) ภิกษุ ท. ! เม่ือตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน.... ได้เป็นผู้สังเกต ช้ันเชิงของมหาชน รู้ได้สมํ่าเสมอ รู้ได้เอง รู้จักบุรุษธรรมดา และบุรุษพิเศษว่า ผู้นี้ ควรแก่สิ่งนี้ๆ, ได้เป็นผู้ทําประโยชน์อย่างวิเศษในชนช้ันน้ันๆ. เพราะ....กรรม น้นั ๆ.... ครั้นมาสูค่ วามเปน็ มนุษยอ์ ย่างนี้ จึงไดม้ หาปรุ สิ ลักขณะ ๒ ข้อน้ี กลบั ไปสารบัญ
การเกดิ แห่งวงศส์ ากยะ – ออกผนวช ๓๗ คือมีทรวดทรงดุจต้นไทร, ยืนตรงไม่ย่อกาย ลูบถึงเข่าได้ด้วยมือท้ังสอง.... (ลักขณะท่ี ๑๙,๙), ย่อมม่ังคั่งมีทรัพย์มาก มีโภคะมาก. ทรัพย์ของตถาคต เหล่านี้คือ ทรัพย์คือศรัทธา ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือหิริ ทรัพย์คือโอตตัปปะ ทรัพยค์ ือการศกึ ษา (สตุ ะ) ทรพั ย์คือจาคะ ทรัพย์คือป๎ญญา. (ฐ) ภิกษุ ท. ! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน....ได้เป็นผู้ใคร่ต่อ ประโยชน์ ใคร่ต่อความเกื้อกูล ใคร่ต่อความผาสุข ใคร่ต่อความเกษมจากโยคะ แก่ชนเป็นอันมาก ว่า \"ไฉนชนเหล่าน้ีพึงเป็นผู้เจริญด้วยศรัทธา ด้วยศีล ดว้ ยการศึกษา ด้วยความรู้ ด้วยการเผื่อแผ่ ด้วยธรรม ด้วยป๎ญญาด้วยทรัพย์และ ข้าวเปลือก ด้วยนาและสวน ด้วยสัตว์สองเท้าส่ีเท้า ด้วยบุตรภรรยา ด้วยทาส กรรมกรและบุรุษ ด้วยญาติมิตรและพวกพ้อง\". เพราะ....กรรมน้ันๆ....ครั้นมาสู่ ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะ ๓ ข้อนี้ คือมีกึ่งกายเบ้ืองหน้า ดุจสีหะ, มีหลังเต็ม, มีคอกลม.. (ลักขณะท่ี ๑๗,๑๘,๒๐), ย่อมเป็นผู้ไม่เส่ือมเป็น ธรรมดาคือไม่เสื่อมจากศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ป๎ญญา, ไม่เส่ือมจากสมบัติ ทั้งปวง. (ฑ) ภิกษุ ท. ! เมื่อตถาคตเป็นมนุษย์ในชาติก่อน.... ได้เป็นผู้ไม่เบียดเบียน สตั ว์ทัง้ หลายด้วยฝาุ มือกต็ าม ก้อนดนิ ก็ตาม ทอ่ นไม้กต็ าม ศาสตราก็ตาม.เพราะ.... กรรมนั้นๆ....ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะข้อนี้คือ มีประสาทรับรสอันเลิศ มีปลายขึ้นเบ้ืองบน เกิดแล้วที่คอ รับรสโดยสมํ่าเสมอ.... (ลักขณะท่ี ๒๑), ย่อมเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคน้อย มีความร้อนแห่งกาย เป็นวิบากอนั สมาํ่ เสมอ ไม่เย็นเกินรอ้ นเกนิ พอควรแก่ความเพียร. (ฒ) ภิกษุ ท. ! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ....ได้เป็นผู้ไม่ถลึงตา ไม่ค้อนควักไม่จ้องลับหลัง, เป็นผู้แช่มช่ืนมองดูตรงๆ มองดูผู้อื่นด้วยสายตาอัน แสดงความรัก. เพราะ....กรรมน้ันๆครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างน้ี จึงได้มหา ปรุ ิสลักขณะ ๒ ขอ้ น้ี คอื มตี าเขยี วสนทิ ; มีตาดจุ ตาโค.... กลับไปสารบัญ
๓๘ พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ - ภาค ๑ (ลักขณะท่ี ๒๙, ๓๐), ย่อมเป็นท่ีต้องตาของชนหมู่มาก เป็นที่รักใคร่พอใจของ ภกิ ษุภกิ ษณุ ี อุบาสก อบุ าสิกา เทวดา มนษุ ย์ อสูร นาค คนธรรพ์. (ณ) ภกิ ษุ ท. ! เม่ือตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน.... ได้เป็นหัวหน้าของ ชนเป็นอันมาก ในกุศลธรรมทั้งหลาย ได้เป็นประธานของชนเป็นอันมาก ในกาย สุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต, ในการจําแนกทาน การสมาทานศีลการรักษาอุโบสถ การประพฤติเก้ือกูลในมารดาบิดา สมณพราหมณ์, การนอบน้อมต่อผู้เจริญใน ตระกูล ในอธิกุศลธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง, เพราะ....กรรมนั้นๆ....คร้ันมาสู่ ความเป็นมนุษย์อย่างน้ี จึงได้มหาปุริสลักขณะข้อน้ี คือมีศีรษะรับกับกรอบหน้า ....(ลักขณะท่ี ๓๒), ย่อมเป็นผู้ท่ีมหาชนประพฤติตาม คือ ภิกษุ ภิกษุณีอุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสรู นาค คนธรรพ์ ประพฤตติ าม. (ด) ภิกษุ ท. ! เมอื่ ตถาคตเกดิ เปน็ มนุษยใ์ นชาติกอ่ น.... ได้เป็นผู้ละเว้นจาก มุสาวาท พดู คําจริง หลงั่ คําสจั จ์ เที่ยงแท้ ซอื้ ตรง ไมห่ ลอกลวงโลก.เพราะ....กรรม น้ันๆ....คร้ันมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้แล้ว จึงได้มหาปุริสลักขณะ๒ ข้อน้ี คือ มีขนขมุ ละเสน้ , มีอณุ าโลมหวา่ งคิ้วขาวอ่อนดุจสําลี, .(ลักขณะท่ี๑๓,๓๑), ย่อมเป็น ผู้ที่มหาชนเป็นไปใกล้ชิด คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาเทวดา มนุษย์อสูร นาค คนธรรพ์ ใกลช้ ดิ . (ต) ภิกษุ ท. ! เม่ือตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน.... ได้เป็นผู้ละเว้น วาจาส่อเสียด (คือคํายุให้แตกกัน), คือไม่ฟ๎งจากข้างน้ีแล้วไปบอกข้างโน้น เพื่อทําลายชนพวกนี้, ไม่ฟ๎งจากข้างโน้นแล้วมาบอกข้างน้ี เพื่อทําลายชนพวกโน้น, เป็นผู้สมานพวกแตกกันแล้ว และส่งเสริมพวกที่พร้อมเพรียงกัน; เป็นผู้ยินดีใน การพร้อมเพรียง เพลินในการพร้อมเพรียง กล่าวแต่วาจาท่ีทําให้เกิดความ พรอ้ มเพรียง. เพราะ....กรรมนนั้ ๆ....ครัน้ มาสูค่ วามเป็นมนุษย์อยา่ งนี้แลว้ กลบั ไปสารบัญ
การเกิดแหง่ วงศส์ ากยะ – ออกผนวช ๓๙ จึงได้มหาปุริสลักขณะ ๒ อย่างน้ี คือมีฟ๎นครบ ๔๐ ซ่ี มีฟ๎นสนิท ไม่ห่างกัน.... (ลักขณะที่ ๒๓, ๒๕), ย่อมเป็นผู้มีบริษัทไม่กระจัดกระจาย คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ เปน็ บริษัทไม่กระจัดกระจาย. (ถ) ภิกษุ ท. ! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน....ได้เป็นผู้ละเว้นการ กล่าวคําหยาบ, กล่าวแต่วาจาท่ีไม่มีโทษ เป็นสุขแก่หู เป็นท่ีต้ังแห่งความรัก ซึมซาบถึงใจ เป็นคําพูดของชาวเมือง เป็นที่พอใจและชอบใจของชนเป็นอันมาก. เพราะ....กรรมน้ันๆ.... ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างน้ี ย่อมได้มหาปุริสลักขณะ ๒ ข้อน้ี คือมีลิ้นอันเพียงพอ, มีเสียงเหมือนพรหม พูดเหมือนนกการวิก.... (ลักขณะท่ี ๒๗,๒๘), ย่อมเป็นผู้มีวาจาที่ผู้อื่นเอ้ือเฟ้ือเช่ือฟ๎ง คือ ภิกษุ ภิกษุณี อบุ าสก อุบาสิกา เทวดามนษุ ย์ อสูร นาค คนธรรพ์ เอ้ือเฟื้อเชือ่ ฟ๎ง. (ธ) ภิกษุ ท. ! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน....ได้เป็นผู้ละเว้น การพูดเพ้อเจ้อ,เปน็ ผกู้ ล่าวควรแกเ่ วลา กล่าวคาํ จริง กล่าวเปน็ ธรรม กล่าวมีอรรถ กล่าวเป็นวินัย กล่าวมีที่ตั้ง มีหลักฐาน มีที่สุด ประกอบด้วยประโยชน์. เพราะ.... กรรมน้ันๆ .... ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้แล้วย่อมได้มหาปุริสลักขณะข้อนี้ คอื มีคางดจุ คางราชสหี ์....(ลักขณะท่ี ๒๒), ย่อมเปน็ ผ้ทู ศ่ี ตั รูท้ังภายในและภายนอก กําจัดไม่ได้ : ศัตรู คือ ราคะ โทสะ โมหะ หรือ สมณะ พราหมณ์เทวดา มาร พรหม หรือใครๆในโลก กําจัดไม่ได.้ (น) ภกิ ษุ ท. ! เมอื่ ตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาตกิ ่อน....ได้เป็นผู้ละมิจฉาชีพ มีการเลี้ยงชีพชอบ เว้นจากการฉ้อโกงด้วยตาช่ัง ด้วยของปลอม ด้วยเครื่องตวง เครื่องวดั จากการโกงการลวง เว้นจากการตัด การฆ่า การผูกมัด การร่วมทําร้าย การปล้น การกรรโชก. เพราะ.กรรมนั้นๆ.ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้ มหาปรุ สิ ลักขณะ ๒ ข้อนั้น คือมีฟน๎ อนั เรียบเสมอ, มเี ข้ียว กลบั ไปสารบัญ
๔๐ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๑ ขาวงาม....(ลักขณะท่ี ๒๔, ๒๖), ย่อมเป็นผู้มีบริวารเป็นคนสะอาด คือมีภิกษุ ภิกษณุ ี อบุ าสก อุบาสิกาเทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ เป็นบรวิ ารอันสะอาด. ประสูติได้ ๗ วนั พระชนนที วิ งคต ๑ ....ถูกแล้วอานนท์ ! ถูกแล้วอานนท์ ! จริงเทียว มารดาแห่งโพธิสัตว์มี ชนมายุน้อย. เมื่อประสูติพระโพธิสัตว์แล้วได้ ๗ วัน มารดาแห่งโพธิสัตว์ย่อม สวรรคต, ยอ่ มเข้าถึงเทวนกิ าย ชนั้ ดสุ ิต. ทรงได้รบั การบาเรอ ๒ ภิกษุ ท. ! เราเป็นผู้ละเอียดอ่อน ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ละเอียดอ่อน อย่างท่ีสุด ดังเราจะเล่าให้ฟ๎ง, ภิกษุ ท.! เขาขุดสระ ๓ สระในวังแห่งบิดา ของเรา, ในสระหนึ่งปลูกอุบล (บัวเขียว),สระหน่ึงปลูกปทุม (บัวหลวง), สระหนึ่ง ปลูกบุณฑริกะ (บวั ขาว), เพอ่ื ประโยชน์แก่เรา. ภิกษุ ท. ! มิใช่ว่าจันทน์ที่เราใช้อย่างเดียว ที่มาแต่เมืองกาสี, ถึงผ้าโพก, เสื้อ, ผ้านุ่งผ้าห่ม, ก็ล้วนมาแต่เมืองกาสี. ภิกษุ ท.! เขาคอยก้ันเศวตฉัตรให้เรา ด้วยหวังว่าความหนาว, ความร้อน, ละออง, หญ้า, หรือนํ้าค้าง อย่าได้ถูกต้องเรา ท้งั กลางวันและกลางคนื . ภกิ ษุ ท. ! มีปราสาทสาํ หรบั เรา ๓ หลัง ; หลังหนึ่งสําหรับฤดูหนาว ________________________________________________________________________ ๑. ความตอนนี้ ตรัสแก่พระอานนท.์ บาลี อัปปายกุ สตู ร โสณตั เถรวรรค อ.ุ ขุ.๒๕/๑๔๕/๑๑๑. ๒. บาลี นวมสูตร เทวทูตวรรค ปฐมปณ๎ ณาสก์ ติก. อํ. ๒๐/๑๘๓/๔๗๘. กลับไปสารบัญ
การเกิดแห่งวงศส์ ากยะ – ออกผนวช ๔๑ หลังหน่ึงสําหรับฤดูร้อน, และหลังหน่ึงสําหรับฤดูฝน. เราอยู่บนปราสาทสําหรับ ฤดูฝน ตลอดสี่เดือนฤดูฝนให้เขาบําเรออยู่ด้วยดนตรีอันปราศจากบุรุษ, ไม่ลง จากปราสาท. ภกิ ษุ ท. ! ในวังของบดิ าเรา, เขาให้ขา้ วสุกแหง่ ขา้ วสาลีเจือด้วยเนื้อแก่ทาส และคนงาน(ดาษด่ืน) เช่นเดียวกับที่ท่ีอ่ืนเขาให้ข้าวปลายเกรียนกับนํ้าส้มแก่พวก ทาสและคนใช.้ ๑ ภิกษุ ท. ! เม่ือเราเพียบพร้อมไปด้วยการได้ตามใจตัวถึงเพียงนี้ มีการได้ รับความประคบประหงมถึงเพียงนี้ ความคิดก็ยังบังเกิดแก่เราว่า \"บุถุชนที่มิได้ยิน ได้ฟ๎ง ทั้งที่ตัวเองจะต้องแก่ ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้, แต่คร้ันเห็นคนอ่ืนแก่ ก็นึก อิดหนาระอาใจสะอิดสะเอียน ไม่นึกถึงตัวเสียเลย. ถึงเราเองก็เหมือนกัน จะต้อง แก่ ไม่ข้ามพ้นความแก่ไปได้, แต่ว่าเมื่อจะต้องแก่ ไม่พ้นความแก่ไปได้แล้ว จะมา ลืมตัว อิดหนาระอาใจ สะอิดสะเอียน เมื่อเห็นคนอื่นแก่นั้น ไม่เป็นการสมควรแก่ เรา.\" ภิกษุ ท. ! เม่ือเราพิจารณาได้เช่นนี้ ความมัวเมาในความหนุ่ม ของเรา ได้ หายไปหมดสนิ้ . ภิกษุ ท. ! บุถุชนท่ีไม่ได้ยินได้ฟ๎ง ทั้งที่ตัวเองจะต้องเจ็บไข้ ไม่ล่วงพ้นความ เจ็บไข้ไปได้, ครั้นเห็นคนอ่ืนเจ็บไข้ ก็นึกอิดหนาระอาใจสะอิดสะเอียนไม่นึกถึงตัว เสียเลย. ถึงเราเองก็เหมือนกัน จะต้องเจ็บไข้ ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้, แต่ว่า เมื่อจะต้องเจ็บไข้ ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้แล้ว จะมาลืมตัวอิดหนาระอาใจ สะอิดสะเอียน เม่ือเห็นคนอ่ืนเจ็บไข้นั้น ไม่การสมควรแก่เรา. ภิกษุ ท. ! เมื่อเรา พิจารณาไดเ้ ชน่ น้ี ความมัวเมาใน ความไม่มีโรค ของเราก็หายไปหมดสนิ้ ภิกษุ ท. ! บุถุชนท่ีไม่ได้ยินได้ฟ๎ง ทั้งที่ตัวเองจะต้องตาย ไม่ล่วงพ้นความ ตายไปได,้ คร้ันเห็นคนอืน่ ตาย ก็อดิ หนาระอาใจสะอดิ สะเอียน ไมน่ ึกถึง ________________________________________________________________________ ๑. สาํ นวนเชน่ นี้ เปน็ การส่อความบริบรู ณด์ ้วยอาหาร ในภาษาบาลี กลบั ไปสารบัญ
๔๒ พุทธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๑ ตัวเสียเลย. ถึงเราเองก็เหมือนกัน จะต้องตาย ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้, แต่ว่า เมื่อจะต้องตาย ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้แล้ว จะมาลืมตัว อิดหนาระอาใจ สะอดิ สะเอียน เม่อื เห็นคนอ่ืนตายน้ัน ไม่เป็นการสมควรแก่เรา. ภิกษุ ท. ! เมื่อเรา พิจารณาได้เช่นน้ี ความมวั เมาในชวี ติ ความเป็นอยู่ ของเราไดห้ ายไปหมดส้นิ . กามสขุ กบั ความหนา่ ย๑ --มาคัณฑิยะ ! ครั้งเม่ือเรายังเป็นคฤหัสถ์ ประกอบการครองเรือนได้อิ่ม พร้อมไปด้วยกามคุณท้ังห้า ให้เขาบําเรอตนด้วยรูปท่ีเห็นได้ด้วยจักขุ, ด้วยเสียงที่ ฟ๎งได้ด้วยหู, ด้วยกล่ินอันดมได้ด้วยจมูก,ด้วยรสอันล้ิมได้ด้วยลิ้น, ด้วยโผฎฐัพพะ อันสัมผัสได้ด้วยกาย ล้วนแต่ที่สัตว์อยากได้ รักใคร่พอใจ ยวนใจเข้าไปต้ังไว้ซึ่ง ความใคร่ เปน็ ท่ีตัง้ แห่งราคะ. มาคัณฑิยะ ! ปราสาทของเรานั้น มีแล้ว ๓ แห่ง ปราสาทหน่ึงเป็นที่อยู่ใน ฤดูฝน, ปราสาทหนงึ่ เป็นทอี่ ยใู่ นฤดหู นาว, ปราสาทหนึ่งสําหรับฤดูร้อน.มาคัณฑิยะ! เราใหบ้ าํ เรอตนอยดู่ ้วยดนตรี ล้วนแต่สตรี ไม่มีบรุ ษุ เจือปน ณ ปราสาทเป็นท่ีอยู่ใน ฤดูฝนสี่เดือน ไม่ลงจากปราสาท. ครั้นล่วงไปถึงสมัยอื่นมามองเห็น เหตุเป็นที่ บังเกิด, และ ความท่ีตั้งอยู่ไม่ได้, และ ความอร่อย, และ โทษอันต่าทราม, และ อบุ ายเป็นเครือ่ งออกไปพ้น, แหง่ กาม ท. ตามเป็นจริง, ________________________________________________________________________ ๑. บาลี มาคณั ฑิยสตู ร ปริพพาชกวรรค ม.ม. ๑๓/๒๗๔/๒๘๑. ครั้งหนึ่งประทับอยู่ ณ นคิ ม กัมมาสธมั มะ ในหมูช่ นชาวกรุ ุ พักอยกู่ ะพราหมณภ์ ารทวาชโคตร ทโี่ รงบชู าไฟ มเี ครอ่ื งลาด ลว้ นไปดว้ ยหญา้ . มาคัณฑิยปริพพาชกเพือ่ นของภารทวาชพราหมณไ์ ดม้ าเย่ยี ม ในที่สดุ ได้เฝาู พระผ้มู ีพระภาค เมื่อไดต้ รัสความทีพ่ ระองค์ทําลายความยินดีใน รูป เสียง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ ให้ปรพิ พาชกนั้นเลอื่ มใสแลว้ ไดต้ รสั เลา่ พระประวตั ิตอนนเ้ี พ่อื แสดงความทไ่ี ดเ้ คย เสวยกามสขุ มาแล้วอย่างมาก และความรสู้ ึกหน่ายในกามน้นั . กลบั ไปสารบัญ
การเกดิ แห่งวงศ์สากยะ – ออกผนวช ๔๓ จึงละความอยากในกามเสีย บรรเทาความเดือดร้อนเพราะกาม ปราศจากความ กระหายในกาม มีจิตสงบ ณ ภายใน. เรานั้น เห็นสัตว์เหล่าอ่ืน ยังไม่ปราศจาก ความกําหนัดในกาม ถูกตัณหาในกามเคี้ยวกินอยู่ ถูกความกระวนกระวายในกาม รุมเผาเอาอยู่ แต่ก็ยังขืนเสพกาม, เรามิได้ทะเยอทะยานตามสัตว์เหล่าน้ัน ไม่ยินดี ในการเสพกามน้ันเลย. ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุใด? มาคัณฑิยะ! เพราะว่าคนเรา ถึงแม้ยินดีด้วยความยินดี ที่ปราศจากกาม หรือปราศจากอกุศลแล้ว๑ ก็ยังจัดเป็น สัตวท์ ีเ่ ลวทรามอย,ู่ เราจึงไม่ทะเยอทะยานตามสัตวเ์ หลา่ นน้ั ขนื เสพกามอกี เลย. มาคัณฑิยะ ! คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีผู้ม่ังคั้ง มีทรัพย์สมบัติมาก พร้อมเพรียบด้วยกามคุณห้า ให้เขาบําเรอตนด้วย รูป, เสียง, กลิ่น, รส, และ โผฏฐัพพะ อันสัตว์ปรารถนารักใคร่ชอบใจ ยั่วยวน,เข้าไปต้ังอยู่ด้วยความใคร่เป็น ท่ีต้ังแห่งราคะ. ถ้าหากเขานั้นประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ เบ้ืองหน้า แต่กายแตกตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นสหายกับเหล่าเทพในดาวดึงส์, เทพบุตรน้ัน มีนางอัปสรแวดล้อมอยู่ในนันทวัน อ่ิมหนํา เพียบพร้อมด้วยกาม ให้นางอัปสรบําเรอตนด้วยกามคุณห้าอันเป็นทิพย์ในดาวดึงส์น้ัน. เทวบุตรนั้นหาก ได้เห็นคฤหบดี หรือบตุ รของคฤหบดี (ในมนุษยโ์ ลกนี้) อ่มิ หนําเพียบพร้อมด้วยกาม ให้เขาบําเรอตนด้วยกามอยู่. มาคัณฑิยะ ! ท่านจะเข้าใจว่าอย่างไร,เทพบุตรน้ันจะ ทะเยอทะยานต่อกามคุณของคฤหบดี หรือบุตรของคฤหบดีน้ันบ้างหรือหรือ จะเวยี นมาเพอ่ื กามอนั เปน็ ของมนษุ ยน์ ี้บ้าง? \"พระโคดม ! หามิได้เลย เพราะว่ากามท่ีเป็นทิพย์ น่ารักใคร่กว่า ประณตี กว่า กว่ากามของมนษุ ย.์ \" ________________________________________________________________________ ๑. เชน่ ยินดใี นรปู ฌาน อันจัดเปน็ ภวตัณหาเปน็ ตน้ . กลับไปสารบัญ
๔๔ พระพทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๑ ทรงหลงกามและหลุดจากกาม ๑ ดูก่อนมหานาม ! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เม่ือเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ แม้เป็นผู้มีสติระลึกได้ว่า \"กามท้ังหลาย มีรสท่ีน่ายินดีน้อย มที กุ ข์มาก, มีความคับแคน้ มาก, โทษอนั แรงร้ายมีอยู่ในกามน้นั อย่างยิง่ \" ก็ดีแต่เรา น้ันยงั ไม่ได้บรรลสุ ุขอนั เกดิ แตป่ ีติ หรือธรรมอนื่ ทส่ี งบย่ิงไปกว่าปีติสุขน้ัน, นอกจาก ได้เสวยแต่กาม และอกุศลธรรมอย่างเดียว; เราจึงเป็นผู้หมุนกลับจากกามไม่ได้, ไมร่ ้อู ยา่ งแจ่มแจ้งในกามทงั้ หลาย อยูเ่ พยี งนัน้ . ดูก่อนมหานาม ! เม่ือใด เป็นอันว่าเราได้เห็นข้อน้ีอย่างดี ด้วยป๎ญญาอัน ชอบตามเป็นจริงว่า \"กามทั้งหลาย มีรสท่ีน่ายินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้น มาก, โทษอนั แรงร้าย มีอย่ใู นกามนน้ั อย่างยิง่ \" แล้ว; -----เม่ือน้ันเราก็เป็นผู้ไม่หมุน กลับมาสู่กามทั้งหลาย รู้จักกามทง้ั หลายอย่างแจ่มแจง้ ได.้ ความรู้สึก ท่ีถงึ กบั ทาใหอ้ อกผนวช ๒ ภิกษุ ท. ! ในโลกนี้ ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เม่ือเรายังไม่ได้ตรัสรู้ยังเป็น โพธิสัตว์อยู่ ตนเองมีความเกิด เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มี ความเกิดเป็นธรรมดาอยู่น่ันเอง, ตนเองมีความแก่ เป็นธรรมดาอยู่แล้วก็ยัง มัวหลงแสวงหาสิ่งท่ีมีความแก่เป็นธรรมดาอยู่นั่นเอง, ตนเองมีความเจ็บไข้เป็น ธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาอยู่นั่นเอง, ตนเองมคี วามตาย เป็นธรรมดาอย่แู ลว้ ก็ยังมวั หลงแสวงหาสง่ิ ที่มคี วามตาย ________________________________________________________________________ ๑. บาลี จูฬทกุ ขกั ขนั ธสตู ร สหี นาทวรรค มู.ม. ๑๒/๑๘๐/๒๑๑ ตรัสแก่ท้าวมหานาม ท่ี นิโครธาราม กรงุ กบิลพสั ด์ุ ๒. บาลี ปาสราสสิ ตู ร โอป๎มมวรรค ม.ู ม. ๑๒/๓๑๖/๓๑๖ ตรสั แกภ่ ิกษุท้ังหลาย ทีอ่ าศรมของ รัมมกพราหมณ์ ใกล้เมืองสาวตั ถี. กลบั ไปสารบัญ
การเกิดแหง่ วงศ์สากยะ – ออกผนวช ๔๕ เป็นธรรมดาอยู่น่ันเอง, ตนเองมีความโศก เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลง แสวงหาสิ่งท่ีมีความโศกเป็นธรรมดาอยู่น่ันเอง, ตนเองมีความเศร้าหมองโดย รอบด้าน เปน็ ธรรมดาอยู่แล้ว กย็ ังมวั หลงแสวงหาสิ่งท่ีมีความเศร้าหมองโดยรอบ ด้านเป็นธรรมดาอยนู่ ั่นเอง อีก. ภิกษุ ท. ! ก็อะไรเล่า เป็นส่ิงที่มีความเกิด (เป็นต้น) ฯลฯ มีความ เศร้าหมองโดยรอบดา้ น (เป็นที่สดุ ) เปน็ ธรรมดา? ภิกษุ ท. ! บุตรและภรรยา มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความ เศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา ทาสหญิงทาสชาย มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา.แพะ แกะ มีความเกิดเป็น ธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา. ไก่ สุกร มีความเกิด เป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา.ช้าง โค ม้า ลา มี ความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา. ทอง และเงิน เป็นสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้าน เป็นธรรมดา. สิ่งที่มนุษย์เข้าไปเทิดทูนเอาไว้ เหล่าน้ีแล ที่ชื่อว่าส่ิงท่ีมีความเกิด เป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา ซ่ึงคนในโลกน้ี พากันจมติดอยู่ พากันมัวเมาอยู่ พากันสยบอยู่ ในสิ่งเหล่าน้ี จึงทําให้ตนทั้งท่ีมี ความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา อยู่เองแล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ ท่ีมีความเศร้า หมองโดยรอบด้านเปน็ ธรรมดา อยนู่ ่ันเอง อกี .๑ ________________________________________________________________________ ๑. การจาํ แนกวา่ อะไรบ้างเปน็ สง่ิ ท่มี ีความเกิดเปน็ ธรรมดาน้ี อยู่กอ่ นตรัสปรารถพระองคเ์ องแต่ ในทีน่ เี้ รียงไว้หลงั เพอ่ื เขา้ ใจง่าย. ของเดิมกอ็ ยูต่ ิดกันเช่นน้ี. สาํ หรับในสมยั พุทธกาลทรง จําแนกส่งิ ทคี่ นในโลกพากัน \"เทดิ ทูน\" ไว้เชน่ น.ี้ แตส่ ําหรับสมัยนจี้ ะจาํ แนกเปน็ อะไรได้บา้ งนนั้ ผอู้ ่านทุกคนนึกเอาได้เอง. กลับไปสารบัญ
๔๖ พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ - ภาค ๑ ภิกษุ ท. ! ความคิดอันน้ี ได้เกิดข้ึนแก่เราว่า \"ทําไมหนอ เราซึ่งมีความเกิด ฯลฯ ความเศรา้ หมองโดยรอบด้าน เป็นธรรมดาอยู่เองแล้ว จะต้องไปมัวแสวงหา สิ่งท่ีมีความเกิด ฯลฯ ความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดาอยู่อีก.ไฉนหนอ เราผู้มีความเกิด ฯลฯ ความเศร้าหมองโดยรอบด้าน เป็นธรรมดาอยู่เองแล้ว คร้ังได้รู้สึกถึงโทษอันตํ่าทรามของการมีความเกิด ฯลฯ ความเศร้าหมองโดย รอบด้านเป็นธรรมดาน้ีแล้ว เราพึงแสวงหา นิพพาน อันไม่มีความเกิด อันเป็น ธรรมทเี่ กษมจากเครื่องร้อยรัด ไมม่ ีธรรมอ่นื ย่ิงกวา่ เถดิ .\" ภิกษุ ท. ! เรานั้นโดยสมัยอื่นอีก ยังหนุ่มเทียว เกสายังดําจัด บริบูรณ์ด้วย ความหนุ่มที่กําลังเจริญ ยังอยู่ในปฐมวัย, เม่ือมารดาบิดาไม่ปรารถนาด้วย กําลังพากันร้องไห้นํ้าตานองหน้าอยู่, เราได้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาด ออกจากเรือน บวชเปน็ ผไู้ มม่ ีเรือนแล้ว. (ในบาลี สคารวสตู ร๑มีทตี่ รสั ไวส้ รุปแต่สั้น ๆ วา่ :-) ภารทวาชะ ! ในโลกนี้ ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เม่ือเรายังไม่ได้ตรัสรู้ยังเป็น โพธิสัตว์อยู่, ความคิดนี้เกิดมีแก่เรา ว่า \"ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี, ส่วนบรรพชาเป็นโอกาสว่าง; ผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธ์ิ บริบูรณ์โดยส่วนเดยี ว เหมือนสงั ขท์ เี่ ขาขัดดแี ลว้ , โดยงา่ ยนนั้ ไม่ได้.ถ้าไฉนเราพึง ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีประโยชน์ เก่ยี วขอ้ งด้วยเรือน เถิด\" ดงั นี้ ภารทวาชะ ! เราน้นั โดยสมยั อ่นื อีกยังหน่มุ เทยี ว.... ________________________________________________________________________ ๑. บาลี สคารวศตุ ร พราหมณวรรค ม.ม. ๑๓/๖๖๙/๗๓๘. ตรัสแกพ่ ราหมณ์หนุม่ ชื่อสคารวะ, ทหี่ มู่บา้ นปจ๎ จลกัปป์. ข้อความเชน่ นี้ ยังมีในสูตรอ่นื อีก เช่นบาลมี หาสจั จกสูตร มู.ม. หนา้ ๔๔๒ บรรพ ๔๑๑ เป็นตน้ . กลับไปสารบัญ
การเกดิ แห่งวงศส์ ากยะ – ออกผนวช ๔๗ การออกผนวช ๑ ----ราชกุมาร ! คร้ังก่อนแต่การตรัสรู้ เม่ือเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็น โพธิสัตว์อยู่, ได้เกิดความรู้สึกขึ้นภายในใจว่า \"ชื่อว่าความสุขแล้ว ใคร ๆ จะบรรลุ ได้โดยง่ายเป็นไม่มี, ความสุขเป็นส่ิงที่ใคร ๆ บรรลุได้โดยยาก,\" ดังน้ี. ราชกุมาร ! คร้ันสมัยอ่ืนอีก เราน้ันยังหนุ่มเทียว เกสายังดําจัด บริบูรณ์ด้วยเยาว์อันเจริญใน ปฐมวัย, เม่ือมารดาบิดาไม่ปรารถนาด้วย กําลังพากันร้องไห้ น้ําตานองหน้าอยู่, เราได้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาด ออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือน แล้ว.... ออกผนวชเมอ่ื พระชนม์ ๒๙ ๒ ดูก่อนสุภัททะ ! เรามีอายุได้ สามสิบหย่อนหน่ึงโดยวัย, ได้ออกบรรพชา แสวงหา ว่า \"อะไรเปน็ กุศล อะไรเปน็ กุศล\" ๓ ดงั น้ี จบภาค ๑. ______________________ ________________________________________________________________________ ๑. บาลี โพธิราชกมุ ารสตู ร ราชวรรค ม.ม. ๑๓/๔๔๓/๔๘๙. ตรสั รูแ้ ก่กุมารชอื่ นั้น ท่ีปราสาท สร้างใหมข่ องเขา. ๒. ตรสั แกส่ ุภทั ทะ ในมหาปรินิพพานสตู ร มหา. ที. ๑๐/๑๗๖/๑๓๘. ๓. ออกผนวชในเพศแห่งนกั จารกิ แสวงบุญ ซึ่งเปน็ ธรรมเนียมอยูใ่ นครั้งนน้ั . กลับไปสารบัญ
ภาค ๒ เร่ิมแต่ออกผนวชแล้ว เท่ียวเสาะแสวงหาความรู้ ทรมานพระองค์ จนได้ตรัสรู้ ๔๙
ภาค ๒ มีเรอ่ื ง:- เสด็จสํานกั อาฬารดาบส -- เสด็จสาํ นักอุทก- ดาบส -- เสด็จอุรเุ วลาเสนานิคม -- ทรงประพฤตอิ ตั ตกลิ มถานโุ ยค - - อปุ มาปรากฏ -- ทุกรกิรยิ า -- ทรงแนพ่ ระทัยวา่ ไม่อาจ ตรสั รู้เพราะการทําทุกรกิรยิ า -- กลบั พระทยั ฉันอาหารหยาบ -- ปญ๎ จวคั คีย์หลีก -- ทรงตริตรกึ เพือ่ ตรัสรู้ กอ่ นตรัสรู้ -- ทรง เทยี่ วแสวงเพือ่ ตรสั รู้ กอ่ นตรัสรู้ -- ทรงคอยควบคมุ วิตก ก่อนตรัสรู้ -- ทรงกําหนดสมาธินมิ ิต ก่อนตรัสรู้ -- ทรงคอยกน้ั จติ จากกามคุณ ก่อนตรัสรู้ -- ทรงคดิ ค้นในอทิ ธบิ าท ก่อนตรัสรู้ -- ทรง คิดเรือ่ งเบญจขันธ์ ก่อนตรสั รู้ -- ทรงคดิ เรอื่ เวทนาโดย ละเอียด ก่อนตรสั รู้ -- ทรงแสวงเนื่องดว้ ยเบญจขันธ์ กอ่ นตรัสรู้ - - ทรงคน้ ลูกโซแ่ หง่ ทกุ ข์ กอ่ นตรสั รู้ -- ทรงค้นลูกโซแ่ ห่งทกุ ข์ ก่อนตรสั รู้ (อกี นยั หนงึ่ ) -- ทรงพยายามในอธิเทวญาณทสั สนะ ก่อนตรัสรู้ -- ทรงทาํ ลายความขลาด กอ่ นตรัสรู้ -- ธรรมทท่ี รง อบรมมาก กอ่ นตรสั รู้ -- วหิ ารธรรมทท่ี รงอยมู่ ากท่สี ดุ ก่อนตรัสรู้ -- ทรงพยายามในเนกขัมมจติ และปนปุ ุพพวหิ ารสมาบตั ิ ก่อนตรัสรู้ - - ทรงอธิษฐานความเพียร ก่อนตรสั รู้ -- ความฝ๎นครงั้ สําคญั กอ่ นตรสั รู้ -- อาการแหง่ การตรัสรู้ -- สิง่ ที่ตรัสรู้ คือการทรงรู้ แจ้งผสั สายตนะโดยอาการหา้ -- เกิดแสงสวา่ งเน่ืองด้วยการตรัสรู้ - - แผน่ ดนิ ไหวเนื่องด้วยการตรสั รู้ -- รสู้ กึ พระองค์วา่ ได้ตรสั รู้แลว้ -- วิหารธรรมท่ีทรงอยู่ เมือ่ ตรัสรู้แลว้ ใหม่ ๆ. ๕๐
พุทธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ ภาค ๒ เรม่ิ แตอ่ อกผนวชแล้ว เทยี่ วเสาะแสวงหาความรู้ ทรมานพระองค์ จนไดต้ รัสร้.ู _______________________ เสดจ็ สานกั อาฬารดาบส ๑ เราน้ัน ครั้นบวชอย่างน้ีแล้ว แสวงหาอยู่ว่าอะไรเป็นกุศล ค้นหาแต่ส่ิงท่ี ประเสริฐฝาุ ยสนั ติชนิดท่ีไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า; ได้เข้าไปหาอาฬารดาบสผู้กาลามโคต ถึงทส่ี ํานักแลว้ กล่าวว่า \"ท่านกาลามะ ! เราอยากประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัย นี้ด้วย\". ราชกุมาร ! ครั้นเรากล่าวดังนี้แล้วอาฬารดาบสผู้กาลามโคตร ได้ตอบว่า \"อยู่เถิดท่านผู้มีอายุ ! ธรรมนี้เป็นเช่นนี้ๆ; ถ้าบุรุษเข้าใจความแล้วไม่ นานเลยคงทําให้แจ้ง บรรลุได้ด้วยปญ๎ ญาอนั ยง่ิ เอง ท่ัวถึงลัทธขิ องอาจารยต์ น.\" ________________________________________________________________________ ๑. ตรสั แก่ โพธิราชกมุ าร, บาลี โพธิราชกุมารสูตร ราชวรรค ม.ม. ๑๓/๔๔๓/๔๘๙, และใน สคารวสตู ร พราหมณวรรค ม.ม. ๑๓/๖๗๐/๗๓๘, ปาสราสิสูตร โอปม๎ มวรรค ม.ู ม. มี ยอ่ มาก, มหาสจั จกสตู ร มหายมกวรรค ม.ู ม. ๕๑ กลับไปสารบัญ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 754
Pages: