๑๐๒ พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ภิกษุ ท. ! ในเร่ืองน้ี ถ้าภิกษุหวังว่า ความครุ่นคิดอันเก่ียวข้องไปทาง เหย้าเรือนของเรา จงหายไปอย่างหมดสิ้น ดังนี้แล้ว; ภิกษุน้ันจงทําในใจใน อานาปานสตสิ มาธิน้ี ใหเ้ ป็นอยา่ งด.ี ภิกษุ ท. ! ในเรือ่ งน้ี ถ้าภิกษุหวังว่า เราพึงเป็นผู้อยู่ด้วยความรู้สึกว่าปฏิกูล ต่อสิ่งที่ไม่ปฏิกูล ดังนี้แล้ว; ภิกษุน้ันจงทําในใจ ในอานาปานสติ-สมาธินี้ ให้เป็น อยา่ งด.ี ภิกษุ ท. ! ในเร่ืองนี้ ถ้าภิกษุหวังว่า เราพึงเป็นผู้อยู่ด้วยความรู้สึกว่า ไม่ปฏิกูล ต่อส่ิงท่ีป ฏิกูล ดังน้ีแล้ว; ภิกษุนั้นจงทําในใจ ในอานาปานสติ-สมาธิน้ี ให้ เป็นอย่างดี. ภิกษุ ท. ! ในเรอ่ื งน้ี ถ้าภิกษุหวังว่า เราพึงเป็นผู้อยู่ด้วยความรู้สึกว่าปฏิกูล ทั้งต่อสิ่งท่ีป ฏิกูล และต่อสิ่งท่ีไม่ปฏิกูล ดังน้ีแล้ว; ภิกษุน้ันจงทําในใจ ในอานาปานสติสมาธินี้ ให้เปน็ อย่างดี. ภิกษุ ท. ! ในเรื่องน้ี ถ้าภิกษุหวังว่า เราพึงเป็นผู้อยู่ด้วยความรู้สึกว่า ไม่ปฏิกูล ท้ังต่อส่ิงที่ปฏิกูล และต่อสิ่งท่ีไม่ปฏิกูล ดังนี้แล้ว; ภิกษุน้ันจงทําในใจ ในอานาปานสตสิ มาธิน้ี ให้เป็นอยา่ งดี. ภิกษุ ท. ! ในเร่ืองนี้ ถ้าภิกษุหวังว่า เราพึงเป็นผู้ไม่ใส่ใจเสียเลยท้ังต่อส่ิงที่ ไม่ปฏิกูลแ ละต่อสิ่งท่ีปฏิกูล ท้ังสองอย่าง แล้วเป็นผู้อยู่อุเบกขามีสติสัมปชัญญะ เถดิ ดังนี้แล้ว; ภกิ ษนุ ั้น จงทาํ ในใจ ในอานาปานสติสมาธนิ ี้ให้เป็นอย่างด.ี (ต่อแต่น้ี มีตรัสทํานองนี้เร่ือยไปจนถึง ความหวังจะได้ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตตยิ ฌาน จ ตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ วญิ ญาณัญจายตนะ อากญิ จญั ญายตนะ เนวสัญญา นาสัญญายตนะ และสัญญาเวทยิตนิโรธ จนกระท่ังความดับเย็นแห่งเวทนา เพราะความไม่ เพลดิ เพลินในเวทนาน้นั เปน็ ทีส่ ดุ ว่าผ ้ตู ้องการพงึ ทาํ ในใจ ในอานาปานสติสมาธินใ้ี ห้เปน็ อยา่ งดี). กลับไปสารบัญ
ออกผนวชจนไดต้ รัสรู้ ๑๐๓ ทรงพยายามในเนกขมั มจิต และอนุปพุ พวิหารสมาบัติ กอ่ นตรัสรู้๑ อานนท์ ! คร้ังก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่, ความรู้ได้เกิดข้ึนแก่เราว่า เนกขัมมะ (ความหลีกออกจากกาม)เป็นทางแห่ง ความสาเร็จ, ปวิเวก (ความอยู่ส งัดจากกาม) เป็นทางแห่งความสาเร็จ ดังน้ี, แต่แม้กระนั้น จิตของเราก็ยังไม่แล่นไป ไม่เล่ือมใส ไม่ตั้งอยู่ได้ ไม่หลุดออกไป ในเนกขมั มะ ท้ังที่เราเหน็ อยู่ วา่ นน่ั สงบ. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดข้ึนแก่เราสืบไปว่า อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นป๎จจัย ท่ีทําให้จิตข องเรา เป็นเช่นน้ัน. อานนท์ ! ความรู้สึกได้เกิดข้ึนแก่เราว่า เพราะว่า โทษในกามทั้งหลาย เป็นส่ิงท ่ีเรายังมองไม่เห็น ยังไม่ได้นํามาทําการคิดนึกให้มาก และทั้งอานิสงส์แห่งการออกจากาม เราก็ยังไม่เคยได้รับเลยยังไม่เคยรู้รสเลย; จิตของเราจึงเป็นเช่นนั้น. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราส ืบไปว่า ถ้ากระไร เราได้เห็นโทษในกามท้ังหลาย แล้วนํามาทําการคิดนึกในข้อนั้นให้มาก ได้รับ อานสิ งสใ์ นการหลกี ออกจากกามแล้ว พึงเสพในอานิสงส์นั้นอย่างทั่วถึงไซร้, ข้อน้ัน แหละ จะเป็นฐานะท่ีจะทําให้จิตของเราพึงแล่นไปพึงเล่ือมใส ต้ังอยู่ได้ หลุดออกไป ในเนกขัมมะ โดยท่เี หน็ อยู่วา่ น่นั สงบ. อานนท์ ! โดยกาลตอ่ มา เราได้ ทําเช่นน้ันแล้วอย่างท่ัวถึง จิตของเราจึงแล่นไปจึงเล่ือมใส ต้ังอยู่ได้ หลุดออกไป ในเนกขมั มะ โดยท่ีเห็นอยูว่ ่านั่น สงบ. อานนท์ ! _____________________________________________________________ ๑. บาลี นวก. อ.ํ ๒๓/๔๕๗/๒๔๕. ตรัสแก่พระอานนท์ ท่ีอุรเุ วลกัปปนิคม ของชาวมลั ละ ในมัลลกรัฐ. เน่อื งจาก ตปสุ สคหบดี ไดเ้ ขา้ เผ้าและกราบทลู ถงึ ข้อทพี่ วกฆราวาสยอ่ มมวั เมา ตดิ ในกามอย่เู ป็นป รกต,ิ เนกขมั มะคือการหลีกออกมาเสียจากกามน้ัน ปรากฏแก่พวกเขาดุจ ถํา้ หรือเหวลึกที่มดื ยิง่ เป็นที่นา่ หวาดกลัวยิง่ . กลบั ไปสารบัญ
๑๐๔ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ เม่ือเป็นเช่นน้ัน, เราแล เพราะสงัดจากกามและอกุศลธรรมท้ังหลาย จึง บรรลฌุ านท่ี ๑ อนั มีวติ กวจิ าร มีปตี แิ ละสขุ อนั เกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่. อานนท์ ! แมเ้ ม่อื เราอยู่ดว้ ยวิหารธรรม คือฌานท่ี ๑ นี้ ก ารทําในใจตามอํานาจแห่งสัญญาท่ี เป็นไปในทางกามก็ยังเกิดแทรกแซงอยู่. ข้อน้ันยังเป็นอาพาธ (ในทางจิต) แก่เรา, เหมือนผมู้ ีสุข แลว้ ยงั มีทกุ ข์เกดิ ขนึ้ ขดั ขวาง เพราะอาพาธ ฉันใดก็ฉนั นัน้ . อานนท์ ! ความคิดได้เกิดข้ึนแก่เราสืบไปว่า เพ่ือกําจัดอาพาธ ข้อนั้นเสีย ถ้ากระไรเรา เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ พึงบรรลุฌานท่ี ๒ เป็นเครื่องผ่องใสแห่งจิตในภายใน นาให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียว ไม่มีวิตก วิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิแล้วแลอยู่เถิด ดังน้ี. อานนท์ ! แม้กระนั้น จิตของเราก็ยังไม่แล่นไป ไม่เล่ือมใส ไม่ตั้งอยู่ได้ ไม่หลุดออกไป ในอวิตกธรรม (คือฌานท่ี ๒) นน้ั ท ั้งทีเ่ ราเห็นอยู่ วา่ น่นั สงบ. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดข้ึนแก่เราสืบไปว่า อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นป๎จจัย ท่ที าํ ใหจ้ ติ ของเราเปน็ เช่นน้ัน. อานนท์ ! ความรสู้ กึ ไดเ้ กิดข้ึนแกเ่ ราว่า เพราะวา่ โทษ ในวิตกธรรม เป็นสิ่งทเี่ รายังมองไม่เห็น ยังไม่ได้นํามาทําการคิดนึกให้มาก และท้ัง อานิสงสแ์ ห่งอวติ กธรรม เราก็ยังไม่เคยได้รับเลยย ังไม่เคยรู้รสเลย; จิตของเราจึง เป็นเช่นน้ัน. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดข้ึนแก่เราสืบไปว่า ถ้าหากเราได้เห็นโทษ ในวิตก แล้วนํามาทําการคิดนึกในข้อน้ันให้มาก ได้รับอานิสงส์ในอวิตกธรรมแล้ว พึงเสพในอานิสงส์น้ันอย่างท่ัวถึงไซร้, ข้อน้ันแหละ จะเป็นฐานะท่ีจะทําให้จิตของ เราพึงแล่นไป พึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้หลุดออกไป ในอวิตกธรรม โดยท่ีเห็นอยู่ว่าน่ัน สงบ. อานนท์ ! โดยกาลต่อมาเราได้ทําเช่นน้ันแล้วอย่างทั่วถึง จิตของเราจึงแล่น ไป จึงเล่ือมใส ตั้งอยู่ได้หลุดออกไป ในอวิตกธรรม (คือฌานที่ ๒) นั้น โดยที่เห็น อยู่ว่าน่ัน สงบ. กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๑๐๕ อานนท์ ! เม่ือเป็นเช่นน้ัน, เราแล เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ จึง บรรลุฌาน ท่ี ๒ เป็นเคร่ืองผ่องใสแ ห่งจิตในภายใน นําให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียว ไม่มี วติ กวจิ าร มีแต่ปีตแิ ละสุขอันเกิดแต่สมาธิแล้วแลอ ยู่. อานนท์ ! แม้เมื่อเราอยู่ด้วย วิหารธรรม คือ ฌานท่ี ๒ นี้ การทาํ ในใจตามอาํ นาจแห่งสญั ญาที่เปน็ ไปในวิตกก็ยัง เกดิ แทรกแซงอยู่. ข้อนนั้ ยังเปน็ อาพาธ (ในทางจิต) แก่เรา, เหมือนผู้มีสุข แล้วยัง มีท กุ ข์เกดิ ขนึ้ ขัดขวาง เพราะอาพาธ ฉันใดก็ฉนั นั้น. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า เพื่อกําจัดอาพาธข้อน้ันเสีย ถ้ากระไรเรา เพราะความจางไปแห่งปีติ พึงอยู่อุเบกขา มีสติแลสัมปชัญญะ และพึงเสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุฌานท่ี ๓ อ ันฌานที่พระอริยเจ้ากล่าวว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุขแล้วแลอยู่เถิด ดังน้ี. อานนท์ ! แม้ กระน้ัน จิตของเราก็ยังไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ต้ังอยู่ได้ ไม่หลุดออกไปใน นิปปีติกฌาน (คือฌานที่ ๓) น ัน้ ท้งั ทเ่ี ราเห็นอย่วู า่ น่ัน สงบ. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นป๎จจัย ทที่ ําให้จิตของเราเป็นเช่นนน้ั . อานนท์ ! ความร้สู กึ ไดเ้ กดิ ขน้ึ แกเ่ ราวา่ เพราะว่าโทษ ในปีติเป็นส่ิงท่ีเรายังมองไม่เห็น ยังไม่ได้นํามาทําการคิดนึกให้มาก และทั้ง อานสิ งส์แหง่ นปิ ปตี กฌาน เรายังไมเ่ คยไดร้ ับเลย ยังไมเ่ คยร้รู สเลย; จิตของเราจึง เป็นเช่นนั้น. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า ถ้าหากเราได้เห็นโทษ ในปีติ แล้วนํามาทําการคิดนึกในข้อนั้นให้มาก ได้รับอานิสงส์ในนิปปีติกฌานแล้ว พึงเสพในอาน ิสงส์นั้นอย่างท่ัวถึงไซร้, ข้อนั้นแหละจะเป็นฐานะท่ีจะทําให้จิตของ เราพึงแล่นไป พึงเล่อื มใส ตง้ั อยไู่ ด้ ห ลุดออกไปในนิปปีติกฌาน โดยท่ีเห็นอยู่ว่าน่ัน สงบ. อานนท์ ! โดยกาลต่อมาเราได้ทําเช่นน้ันแล้วอย่างท ั่วถึง จิตของเราจึง แลน่ ไป จึงเลือ่ มใส ตั้งอยไู่ ด้ หลดุ ออกไป กลับไปสารบัญ
๑๐๖ พุทธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ในนิปปีติกฌาน (คือฌานที่ ๓) น้ัน โดยท่ีเห็นอยู่ว่าน่ัน สงบ. อานนท์ ! เมื่อเป็น เช่นน้ัน, เราแล เพราะค วามจางไปแห่งปีติ จึงเกิดอุเบกขา มีสติแลสัมปชัญญะ และย่อมเสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุฌานที่ ๓ อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้ากล่าวว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุขแล้วแลอยู่. อานนท์ ! แม้เม่ือเราอยู่ ด้วยวิหารธรรมคอื ฌานที่ ๓ การทําในใจตามอาํ นาจแห่งสัญญา ที่เป็นไปในปีติก็ยัง เกิดแทรกแ ซงอยู่. ข้อนั้นยังเป็นอาพาธ (ในทางจิต)แก่เรา, เหมือนผู้มีสุขแล้วยังมี ทุกข์เกิดข้ึนขัดขวาง เพราะอาพาธ ฉนั ใดก็ฉันน้นั . อานนท์ ! ความคิดได้เกิดข้ึนแก่เราสืบไปว่า เพ่ือกําจัดอาพาธข้อน้ันเสีย ถ้ากระไรเรา เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัส แลโทมนัสในกาลก่อน พึงบรรลุฌานที่ ๔ อ ันไม่มีทุกข์และสุข มีแต่ความท่ีสติ เป็นธรรมชาติบริสุทธ์ิเพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่เถิด ดังน้ี. อานนท์ ! ความรู้สึก ได้เกิดแก่เราว่าเพราะว่าโทษในอุเปกขาสุข เป็นสิ่งที่เรายังมองไม่เห็น ยังไม่ได้ นํามาทําการคดิ นกึ ให้มาก และท้งั อานิสงสแ์ ห่งอทุกขมสุข เราก็ยังไม่เคยได้รับเลย ยังไม่เคยรู้รสเลย; จิตของเราจึงเป็นเช่นน้ัน. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เรา สืบไปว่า ถ้าหากเราได้เห็นโทษในอุเปกขาสุข แล้วน ํามาทําการคิดนึกในข้อนั้น ให้มาก ได้รับอานิสงส์ในอทุกขมสุขแล้ว พึงเสพในอานิสงส์นั้นอย่างทั่วถึงไซร้, ข้อน้ันแหละ จะเป็นฐานะท่ีจะทําให้จิตของเราพึงแล่นไป พึงเล่ือมใส ต้ังอยู่ได้ หลุดออกไป ในอทุกขมสขุ โดยท่ีเห็นอยู่ว่านนั่ สงบ. อานนท์ ! โดยกาลต่อมา กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รัสรู้ ๑๐๗ เราได้ทําเช่นนั้นแล้วอย่างท่ัวถึง จิตของเราจึงแล่นไป จึงเล่ือมใส ต้ังอยู่ได้ หลุดออกไป ใน อทุกขมสุข (คือฌานท่ี ๔) น้ัน โดยท่ีเห็นอยู่ว่าน่ัน สงบ. อานนท์ ! เมื่อเป็นเช่นน้ัน, เราแล เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่ง โสมนสั และโทมนสั ในกาลก่อน จงึ บรรลฌุ านที่ ๔ อนั ไมท่ กุ ข์ไม่สุข มีแ ตค่ วามที่สติ เป็นธรรมชาติบริสุทธ์ิเพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่. อานนท์ ! แม้เม่ือ เราอยู่ด้วย วิหารธรรมคือฌานท่ี ๔ น้ี การทําในใจตามอํานาจแห่งสัญญาท่ีเป็นไปในอุเบกขา ก็ยังเกดิ แทรกแซงอย.ู่ ข้อนั้น ยังเป็นการอาพาธ (ในทางจิต) แกเ่ รา, เหมอื นผมู้ ีสุข แลว้ ยังมีทกุ ข์เกิดขึน้ ขดั ขวาง เพราะอาพาธฉันใดก ฉ็ ันนั้น. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดข้ึนแก่เราสืบไปว่า เพ่ือกําจัดอาพาธข้อน้ันเสีย ถ้ากระไรเรา เพราะผ่านพ้นรูปสัญญา (ความกาหนดหมายในรูป) โดยประการ ทงั้ ปวงได้, เพราะความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งปฏิฆสัญญา (ความกาหนดหมายอารมณ์ ทก่ี ระทบใจ), เพราะไม่ได้ทาในใจซ่ึงความกาหนดหมายในภาวะต่าง ๆ (นานัตต- สัญญา)พึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ อันมีการทาในใจว่า \"อากาศไม่มีที่สิ้นสุด\" แล้วแลอ ยู่เถิด ดังน้ี. อานนท์ ! แม้กระน้ัน จิตของเราก็ยังไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไมต่ ้งั อยไู่ ด้ ไมห่ ลุดออกไป ในอากาสานัญจายตนะนน้ั ทั้งท่เี ราเหน็ อย่วู ่านั่นสงบ. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นป๎จจัย ท่ที าํ ใหจ้ ิตของเราเปน็ เชน่ นั้น. อานนท์ ! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่าเพราะว่าโทษ ในรูปท้ังหลาย เป็นส่ิงท่ีเรายังมองไม่เห็น ยังไม่ได้นํามาทําการคิดนึกให้มาก และ ท้ังอานิสงส์แห่งอากาสนัญจายตนะ เราก็ยังไม่เคยได้ร ับเลยยังไม่เคยรู้รสเลย; จิตของเราจึงเป็นเช่นน้ัน. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดข้ึนแก่เราสืบไปว่า ถ้าหากเรา ได้เหน็ โทษในรปู ทั้งหลาย แล้วนํามาทาํ การคิดนกึ กลบั ไปสารบัญ
๑๐๘ พุทธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ในข้อน้ันให้มาก ได้รับอานิสงส์ในอากาสนัญจายตนะแล้ว พึงเสพในอานิสงส์น้ัน อย่างทั่วถึงไซร้, ข้อน้ันแ หละ จะเป็นฐานะที่จะทําให้จิตของเราพึงแล่นไป พึงเลื่อมใส ต้ังอยู่ได้ หลุดออกไป ในอากาสานัญจายตนะ โดยที่เห็นอยู่ว่าน่ัน สงบ. อานนท์ ! โดยกาลต่อมา เราได้ทําเช่นนั้นแล้วอย่างท่ัวถึง จิตของเรา จึงแ ล่นไป จึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้ หลุดออกไป ในอากาสนัญจายตนะน้ัน โดยท่ีเห็นอยู่ว่านั่น สงบ. อานนท์ ! เม่ือเป็นเช่นน้ัน เราแล เพราะผ่านพ้น รูปสัญญาโดยประการท้ังปวงเสียได้ เพราะความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งปฏิฆสัญญา เพราะไม่ได้ทําในใจซึ่งนานัตตสัญญา จึง บรรลุอากาสานัญจายตนะ อันมีการทํา ในใจว่า \"อากาศไม่มีที่ส้ินสุด\" แล้วแลอยู่. อานนท์ ! แม้เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรม คืออากาสานัญจายตนะนี้ การทําในใจตามอํานาจแห่งสัญญาท่ีเป็นไปในรูป ทั้งหลายก็ยังเกิดแทรกแซงอยู่. ข้อน้ัน ยังเป็นการอาพาธ (ในทางจิต) แก่เรา, เหมือนผู้มสี ุข แลว้ ยงั มีทกุ ขเ์ กิดขน้ึ ขดั ขวาง เพราะอาพาธ ฉันใดกฉ็ นั น้ัน. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราว่า เพ่ือกําจัดอาพาธข้อนั้นเสีย ถ้ากระไรเรา เพราะผ ่านพ้นอากาสานัญจายตนะโดยประการท้ังปวงเสียแล้ว พึงบรรลุวิญญาณัญจายตนะ อันมีการทาในใจว่า \"วิญญาณไม่มีที่ส้ินสุด\" แล้วแลอยู่เถิด ดังนี้. อานนท์ ! แม้กระน้ันจิตของเราก็ยังไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ต้งั อยไู่ ดไ้ ม่หลุดออกไป ในวญั ญาณญั จายตนะนัน้ ทั้งทเ่ี ราเห็นอยวู่ า่ นัน่ สงบ. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นป๎จจัย ท่ที าํ ใหจ้ ิตข องเราเป็นเช่นนั้น. อานนท์ ! ความรู้สึกได้เกิดข้ึนแก่เราว่าเพราะว่าโทษ ในอากาสานัญจายตนะ เป็นสงิ่ ทเี่ รายังมองไม่เหน็ ยงั ไมไ่ ดน้ าํ มาทาํ การคิดนึก ให้ มาก และท้ังอานิสงส์แห่งวิญญาณัญจายตนะ เราก็ยังไม่เคยได้รับเลย ยังไม่เคย รู้รสเลย; จติ ของเราจงึ เป็นเชน่ นน้ั . อานนท์ ! ความคดิ กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รัสรู้ ๑๐๙ ได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า ถ้าหากเราได้เห็นโทษในอากาสานัญจายตนะ แล้ว นํามาทําการคิดนึกในข้อน้ันให้มาก ได้รับอานิสงส์ในวิญญาณัญจายตนะแล้ว พึงเสพในอานิสงส์น้ันอย่างท่ัวถึงไซร้, ข้อน้ันแหละ จะเป็นฐานะท่ีจะทําให้จิต ของเราพึงแล่นไป พึงเลื่อมใส ต้ังอยู่ได้ หลุดออกไป ในวิญญาณัญจายตนะ โดยท่ีเห็นอยู่ว่านั่น สงบ. อานนท์ ! โดยกาลต่อมา เราได้ทําเช่นนั้นแล้ว อย่างทั่วถึง จิตของเราจึงแล่นไป จ ึงเลื่อมใส ต้ังอยู่ได้ หลุดออกไป ใน วิญญาณัญจายตนะน้ัน โดยที่เห็นอยู่ว่าน่ัน สงบ. อานนท์ ! เราแล ผ่านพ้น อากาสานัญจายตนะโดยประการท้ังปวงเสียแล้ว จึง บรรลุวิญญาณัญจายตนะ อันมีการทําในใจว่า\"\"วิญญาณไม่มีท่ีสิ้นสุด\" แล้วแลอยู่. อานนท์ ! แม้เม่ือเราอยู่ ด้วยวิหารธรรมคือวิญญาณัญจายตนะนี้ การทําในใจตามอํานาจ แห่งสัญญาที่ เป็นไปในอากาสานัญจายตนะ ก็ยังเกิดแทรกแซงอยู่. ข้อน้ันยังเป็นการอ าพาธ (ในทางจิต) แก่เรา, เหมือนผู้มีสุข แล้วยังมีทุกข์เกิดข้ึนขัดขวาง เพราะอาพาธ ฉนั ใดก็ฉนั นั้น. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า เพื่อกําจัดอาพาธข้อน้ันเสีย ถ้า กร ะ ไ ร เ พ รา ะผ่ า น พ้ น วิ ญ ญ า ณั ญ จ า ย ต น ะ โ ด ย ป ร ะ ก า ร ท้ั ง ป ว ง เสียแล้ว พึงบรรลุอากิญจัญญายตนะ อันมีการทาในใจว่า \"อะไร ๆ ไม่มี\" แล้วแลอยู่เถิด ดังนี้. อานนท์ ! แม้กระน้ันจิตของเราก็ยังไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใสไม่ ต้ังอย่ไู ด้ ไมห่ ลดุ ออกไป ในอากิญจญั ญายตนะนน้ั ทง้ั ทีเ่ ราเห็นอยวู่ า่ นนั่ สงบ. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดข้ึนแก่เราสืบไปว่า อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นป๎จจัย ทท่ี าํ ใหจ้ ติ ของเราเปน็ เช่นนั้น. อานนท์ ! ความรู้สึกได้เกิดข้ึนแก่เราว่าเพราะว่าโทษ ในวิญญญาณัญจายตนะ เป็นสิ่งที่เรายังมองไม่เห็น ยังไม่ได้นํามาทําการคิดนึก ใหม้ าก และทง้ั อานสิ งส์แห่งอากญิ จัญญายตนะ เราก็ยังไม่เคยไดร้ บั เลย กลับไปสารบัญ
๑๑๐ พุทธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ยังไม่เคยรู้รสเลย; จิตของเราจึงเป็นเช่นน้ัน. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดข้ึน แก่เราสืบไปว่า ถ้าหากเราได้เห็นโทษในวิญญาณัญจายตนะ แล้วนํามาทําการ คิดนึกในขอ้ น้นั ใหม้ าก ไดร้ ับอานิสงสใ์ นอากิญจัญญาย ตนะแล้ว พึงเสพในอานิสงส์ นั้นอย่างทั่วถึงไซร้, ข้อน้ันแหละ จะเป็นฐานะท่ีจะทําให้จิตของเราพึงแล่นไป พึงเล่ือมใส ต้ังอยู่ได้ หลุดออกไป ในอากิญจัญญายตนะ โดยท่ีเห็นอยู่ว่านั่น สงบ. อานนท์ ! โดยกาลต ่อมา เราได้ทําเช่นน้ันแล้วอย่างท่ัวถึง จิตของเราจึงแล่นไป จึงเลื่อมใส ต้ังอยู่ได้ หลุดออกไป ในอากิญจ ัญญายตนะน้ัน โดยที่เห็นอยู่ว่านั่น สงบ. อานนท์ ! เราแล ผ่านพ้นวิญญาณัญจายตนะโดยประการท้ังปวงเสียแล้ว จึง บรรลุอากิญจัญญายตนะ อันมีการทําในใจว่า \"อะไร ๆ ไม่มี\" แล้วแลอยู่. อานนท์ ! แม้เม่ือเราอยู่ด้วยวิหารธรรมคืออากิญจัญญายตนะนี้ การทําในใจตาม อาํ นาจแห่งสญั ญาทเ่ี ป็นไปในวญิ ญาณณ ัญจายตนะ กย็ ังเกิดแทรกแซงอยู่. ข้อน้ัน ยงั เปน็ การอาพาธ (ในทางจิต) แก่เรา, เหมือนผู้มีสุข แล้วย ังมีทุกข์เกิดขึ้นขัดขวาง เพราะอาพาธ ฉันใดกฉ็ นั นน้ั . อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า เพื่อกําจัดอาพาธข้อนั้นเสีย ถ้ากระไรเรา เ พราะผ่านพ้นอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวงเสียแล้ว พึงบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ๑แล้วแลอยู่เถิด ดังนี้. อานนท์ ! แม้กระนั้น จิตของเราก็ยังไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ต้ังอยู่ได้ ไม่หลุดออกไป ในเนวสญั ญานาสญั ญายตนะนนั้ ท้งั ท่เี ราเหน็ อยวู่ า่ นนั่ สงบ. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดข้ึนแก่เราสืบไปว่า อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นป๎จจัย ที่ทําให้จิตของเราเปน็ เช่นนั้น. อานนท์ ! ความรู้สึกได้เกิดข้ึนแก่เราว่าเพราะว่าโทษ ในอากญิ จญั ญายตนะ เป็นสิ่งที่เรายงั มองไม่เห็น ยังไมไ่ ดน้ ํามา _________________________________________________________________ ๑. เนวสัญญานาสญั ญายตนะ คอื อรูปฌานขน้ั ที่สงบ ถึงขนาดท่เี รียกว่า มีความรูส้ กึ ก็ไมใ่ ชไ่ มม่ ี ความรู้สึก กไ็ มใ่ ช่ เป็นความสงบในข้ันที่ยากทค่ี นธรรมดาจะเขา้ ใจได้ขน้ึ ไปแลว้ . กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รัสรู้ ๑๑๑ ทําการคิดนึกให้มาก และท้ังอานิสงส์แห่งเนวสัญญานสัญญายตนะ เราก็ยัง ไม่เคยได้รับเลย ยังไม่เคยรู้รสเลย; จิตของเราจึงเป็นเช่นน้ัน. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า ถ้าหากเราได้เห็นโทษในอากิญจัญญายตนะ แลว้ นํามาทาํ การคิดนกึ ในขอ้ นนั้ ใหม้ าก ได้รบั อานิสงสใ์ นเนวสญั ญานาสัญญายตนะ แล้ว พึงเสพในอานิสงส์น้ันอย่างท่ัวถึงไซร้, ข้อนั้นแหละ จะเป็นฐานะ ท่ีจะทําให้จิตของเราพึงแล่นไป พึงเล่ือมใส ต้ังอยู่ได้ หลุดออกไป ใน เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยที่เห็นอยู่ว่านั่น สงบ. อานนท์ ! โดยกาลต่อมา เราได้ทําเช่นนั้นแล้วอย่างทั่วถึง จิตของเราจึงแล่นไป จึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้ หลุดออกไป ในเนวสัญญานาสัญญายตนะน้ัน โดยท่ีเห็นอยู่ว่านั่น สงบ. อานนท์ ! เราแล ผ่านพ้นอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวงเสียแล้ว จึง บรรลุ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ แล้วแลอย่.ู อานนท์ ! แม้เมือ่ เราอยดู่ ้วยวิหารธรรมคือ เนวสัญานาสัญญายตนะน้ี การทําในใจตามอํานาจแห่งสัญญาที่เป็นไป ในอากิญจัญญายตนะก็ย ังเกิดแทรกแซงอยู่. ข้อนั้นยังเป็นการอาพาธ (ในทางจิต) แก่เรา,เหมอื นผูม้ ีสุข แลว้ ยังมที ุกขเ์ กิดขนึ้ ข ดั ขวาง เพราะอาพาธ ฉันใดก็ฉนั น้ัน. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า เพ่ือกําจัดอาพาธข้อ นั้นเสีย ถ้ากระไรเรา ผ่านพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวงเสีย แล้ว พึงบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู่เถิด ด ังนี้. อานนท์ ! แม้กระนั้นจิต ของเราก็ยังไม่แล่นไป ไม่เล่ือมใส ไม่ต้ังอยู่ได้ ไม่หลุดออกไป ใน สัญญา- เวทยิตนิโรธนนั้ ทัง้ ทเี่ ราเหน็ อยวู่ า่ น่ัน สงบ. อานนท์ ! ความคิดได้เกิดข้ึนแก่เราสืบไปว่า อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นป๎จจัย ทีท่ ําให้จติ ของเราเป็นเชน่ นั้น. อานนท์ ! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่าเพราะว่าโทษ ในเนวสัญญานาสญั ญายตนะ เปน็ ส ง่ิ ที่เรายังมองไมเ่ หน็ ยงั ไมไ่ ดน้ ํา กลบั ไปสารบัญ
๑๑๒ พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ มาทําการคิดนึกให้มาก และทั้งอานิสงส์แห่งสัญญาเวทยิตนิโรธ เราก็ยังไม่เคย ได้รับเลย ยังไม่เคยรู้รสเลย; จิตของเราจึงเป็นเช่นน้ัน. อานนท์ ! ความ คิดได้เกิดข้ึนแก่เราสืบไปว่า ถ้าหากเราได้เห็นโทษในเนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วนํามาทําการคิดนึกในข้อนั้นให้มาก ได้รับอานิสงส์ในสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว พึงเสพในอานิสงส์นั้นอย่างท่ัวถึงไซร้, ข้อน้ันแหละ จะเป็นฐานะที่จะทําให้จิต ของเราพึงแล่นไป พึงเล่ือมใส ตั้งอยู่ได้ หลุดออกไป ในสัญญาเวทยิตนิโรธ โดยที่เห็นอยู่ว่านั่น สงบ. อานนท์ ! โดยกาลต ่อมา เราได้ทําเช่นนั้นแล้ว อย่างทั่วถึง จิตของเราจึงแล่นไป จึงเลื่อมใส ต้ังอยู่ได้ หลุดออกไปใน สัญญาเ วทยิตนิโรธนั้น โดยท่ีเห็นอยู่ว่าน่ัน สงบ. อานนท์ เราแล ผ่านพ้น เนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการท้ังปวงเสียแล้ว จึง บรรลุสัญญา- เวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู่ (ไม่มีอาพาธอะไร ๆ อีกต่อไป). อนึ่ง อาสวะท ั้งหลาย ได้ ถงึ ความสน้ิ ไปรอบ เพราะเราเหน็ (อริยสจั จ์ส่)ี ไดด้ ้วยป๎ญญา. ทรงอธิษฐานความเพยี ร ก่อนตรัสรู้๑ ภิกษุ ท. ! เราได้รู้ถึงธรรมสองอย่าง คือ ความไม่รู้จักพอ ในกุศลธรรม ทง้ั หลาย และ ความเป็นผไู้ ม่ถอยหลงั ในการตง้ั ความเพยี ร. เราตั้งความเพียรคือความไม่ถอยหลังว่า \"หลัง เอ็น กระดูก จักเหลืออยู่ เนื้อและเลือดในสรีระจักเหือดแห้งไปก็ตามที เม่ือยังไม่ลุถึงประโยชน์อันบุคคลจะ ลุได้ด้วยกําลังบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบ่ันของบุรุษแล้วจัก หยุดความเพียรนั้นเสีย เป็นไม่มีเลย\" ดังน้ี. ภิกษุ ท. ! เราน้ันได้บรรลุความตรัสรู้ เพราะความไม่ประมาท ได้บรรลุโยคักเขมธรรมอันไม่มีอ่ืนยิ่งไปกว่าเพราะความ ไม่ประมาทแล้ว. ________________________________________________________________________ ๑. บาลี ปญ๎ จมสูตร กัมมกรณวรรค ทุก. อํ. ๒๐/๖๔/๒๕๑. กลบั ไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๑๑๓ ความฝน๎ ครง้ั สาคัญ ก่อนตรสั รู้๑ ภิกษุ ท. ! ความฝ๎นครั้งสาคัญ (มหาสุบิน) ๕ อย่างได้ปรากฏแก่ตถาคต ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คร้ังเมื่อก่อนแต่การตรัสรู้ ยังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็น โพธิสตั ว์อยู่. ๕ อยา่ ง คืออะไรบ้างเล่า? •คอื :- มหาปฐพีน้ีเป็นที่นอนอันใหญ่ของตถาคต จอมเขาหิมวันต์เป็นหมอน มือข้างซ้ายพาดลงที่สมุทรด้านตะวันออก มือข้างขวาพาดลงที่สมุทรด้านตะวันตก เท้าทั้งสองหย่อนลงท่ีสมุทรด้านทักษิณ. ภิกษุ ท. ! น ี้เป็นมหาสุบินข้อท่ี๑ ได้มีแล้วแก่ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งเมื่อก่อนแต่การตรัสรู้ ยงั ไม่ได้ตรัสรู้ ยังเปน็ โพธิสัตวอ์ ยู่. ข้ออื่นอีก : หญ้าคา๒งอกขึ้นจากสะดือ ขึ้นไปสูงจดฟูา. ภิกษุ ท. ! น้ีเป็น มหาสุบินข้อที่ ๒ ได้มีแล้วแก่ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งเมื่อก่อน แต่การตรัสรู้ ยงั ไมไ่ ดต้ รัสรู้ ยงั เปน็ โพธสิ ตั วอ์ ย.ู่ ข้ออ่ืนอีก : หนอนท้ังหลาย มีสีขาวหัวดา คลานขึ้นมาตามเท้า จนถึงเข่า. ภิกษุ ท. ! น้ีเป็นมหาสุบินข้อท่ี ๓ ได้มีแล้วแก่ตถาคตผู้อรหันตสัมมา- สมั พุทธเจา้ เม่ือคร้ังกอ่ นแตก่ ารตรัสรู้ ยังไมไ่ ด้ตรัสรู้ ยงั เป็นโพธิสตั ว์อย.ู่ ข้ออ่นื อกี : นกทั้งหลาย ส่จี าพวก มสี ตี ่าง ๆ กัน มาแล้วจากทิศท้ังสี่หมอบ ลงที่ใกล้เท้าแล้วก ลายเป็นสีขาวหมด. ภิกษุ ท. ! นี้เป็นมหาสุบินข้อท่ี ๔ ได้มีแล้ว แก่ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ค ร้ังก่อนแต่การตรัสรู้ ยังไม่ได้ตรัสรู้ยังเป็น โพธสิ ตั ว์อยู่. ________________________________________________________________________ ๑. บาลี ฉฎั ฐสตู ร พราหมณวรรค ปํฺจก. อ.ํ ๒๒/๒๖๗/๑๙๖. ๒. ศพั ท์น้ี บาลเี ปน็ ติรยิ า นาม ตณิ ชาติ แปลว่าหญ้าแพรกกเ็ คยแปลกนั . กลับไปสารบัญ
๑๑๔ พุทธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ข้ออ่ืนอีก : ตถาคตได้ เดินไปบนอุจจาระกองใหญ่ เหมือนภูเขา อุจจาระ มิได้เปื้อนเลย. ภิกษุ ท. ! นี้เป็นมหาสุบินข้อที่ ๕ ได้มีแล้วแก่ตถาคตผู้อรหันต- สมั มาสัมพทุ ธเจา้ คร้งั กอ่ นแต่การตรัสรู้ ยงั ไม่ตรัสรู้ ยังเป็นโพธสิ ตั วอ์ ยู่. ภิกษุ ท. ! ข้อว่ามหาปฐพีนี้เป็นที่นอนใหญ่ของตถาคต จอมเขา หิมวันต์เป็นหมอน มือข้างซ้ายพาดลงที่สมุทรด้านตะวันออก มือข้างขวาพาด ลงที่สมุทรด้านตะวันตก เท้าท้ังสองหย่อนลงในสมุทรด ้านทักษิณนั้น เป็น มหาสุบินข้อที่๑ เพ่ือให้รู้ข้อที่ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้อนุตตร- สัมมาสัมโพธิญาณ. ข้อว่าหญ้าคางอกจากสะดือ ขึ้นไปสูงจดฟูา เป็น มหาสุบิน ข้อท่ี ๒ เพื่อให้รู้ข้อที่ตถาคตผู้อ รหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซ่ึง อริยอัฎฐังคิกมรรค แล้วประกาศเพียงไร แก่มนุษย์และเทวดา (ข้ึนไปถึงพรหม). ขอ้ วา่ หนอนท้งั หลายมสี ขี าวหัวดําคลานขึ้นมาตามเท้าจนถึงเข่าน้ัน เป็น มหาส ุบิน ข้อท่ี ๓ เพ่ือให้รู้ข้อท่ีคฤหัสถ์ผู้นุ่งขาวเป็นอันมาก ถึงตถาคตเป็นที่พ่ึงตลอดชีวิต. ข้อว่า นกส่ีจําพวกมีสีต่าง ๆ กัน มาจากทิศท้ังสี่ หมอบลงที่เท้าแล้วกลายเป็น สีขาวหมดน้ัน เป็น มหาสุบินข้อที่ ๔ เพื่อให้รู้ข้อท ี่ วรรณะส่ีจาพวก เหล่าน้ีคือ กษัตริย์ พราหมณ์ เวสส์ สูทท์ ได้ออกจากเรือนมาบวชในธรรมวินัยท่ีตถาคต ประกาศแล้วอย่างไม่เก่ียวข้องด้วยเรือน ย่อมทําให้แจ้งซึ่งวิมุตติอันไม่มีอ่ืนย่ิงไป กวา่ ได้. ข้อว่าตถาคตเดินไปบนกองอุจจาระใหญ่เหมือนภูเขา อจุ จาระไม่เป้ือนเลย น้ัน เป็น มหาสุบินข้อที่ ๕ เพ่ือให้รู้ข้อที่ตถาคตเป็นผู้มีลาภในบริขาร คือจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานป๎จจยเภสัชท้ังหลาย แต่ตถาคตไม่ต ิดจมไม่หมกใจ ในลาภน้ัน, เม่ือบริโภค ก็บริโภคด้วยความเห็นโทษ มีป๎ญญาเป็นเครื่องออกไปพ้น จากทุกข์ได.้ กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รัสรู้ ๑๑๕ อาการแห่งการตรัสรู้๑ ราชกุมาร ! ครั้นเรากลืนกินอาหารหยาบ ทํากายให้มีกําลังได้แล้ว , เพราะสงัดจากกามและอกุศลธรรมท้ังหลาย จึงบรรลุ ฌานที่ ๑ มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่. เพราะส งบวิตกวิจารเสียได้ จึงบรรลุ ฌานที่ ๒ เป็นเครื่องผ่องใสในภายใน เป็นที่เกิดสมาธิแห่งใจ ไม่มีวิตกว ิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิแล้วแลอยู่. เพราะความจางไปแห่งปีติ ย่อมอยู่- อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย จึงบรรลุ ฌานที่ ๓ อันเป็นฌาน ที่พระอริยเจ้ากล่าวว่าผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข, แล้วแลอยู่. และเพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัส ในกาลก่อน จึงได้บรรลุ ฌานท่ี ๔ อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติ บรสิ ุทธิ์ เพราะอเุ บกขาแลว้ แลอย.ู่ เราน้ัน ครั้นเมื่อจิตต้ังม่ันบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลสเป็น ธรรมชาติอ่อนโยนควรแก่การงาน ถึงความไม่หว่ันไหวต้ังอยู่เช่นนี้แล้ว ได้น้อมจิต ไปเฉพาะต่อ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ. เรานั้นระลึกถึงขันธ์ท่ีเคยอยู่อาศัยในภพ ก่อนได้หลายประการ คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติ สามชาติส่ีชาติ ห้าชาติ บ้าง, สิบชาติ ยี่สิบชาติ สามสิบชาติ ส่ีสิบชาติ ห้าสิบชาติบ้าง, ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติบ้าง, ตลอดหลายสังวัฏฏกัปป์ หลายวิวัฏฏกัปป์ หลายสังวัฏฏกัปป์และ วิวัฏฏกัปป์บ้าง, ว่าเม่ือเราอยู่ในภพโน้น มีช่ืออย่างนั้น มีโคตร มีวรรณะ มีอาหาร อยา่ งนัน้ , เสวยสุและทกุ ข์เช่นนนั้ ๆ มีอายสุ ดุ ลงเทา่ นัน้ ; คร้ันจุตจิ ากภพนัน้ แล้ว ________________________________________________________________________ ๑. โพธิราชกมุ ารสูตร ราชวรรค ม.ม.๑๓/๔๕๗/๕๐๕, สคารวสตู ร พราหมณวรรค ม.ม. ๑๓/๖๘๕/๗๕๔, มหาสัจจกสูตร มู.ม. ๑๒/๔๕๘/๔๒๗. ตอนนปี้ าสราสิสตู ร ไมม่ ี, ตอ่ ไป ในสคารวสูตรและมหาสจั จกสูตรก็ไมม่ .ี กลับไปสารบัญ
๑๑๖ พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ได้เกิดในภพโน้น มีช่ือ โคตร วรรณะ อาหาร อย่างนั้น ๆ, ได้เสวยสุข และทุกข์เช่นนั้น ๆ มีอายุสุดลงเท่าน้ัน; ครั้นจุติจากภพน้ัน ๆ ๆ ๆ แล้ว มาเกิด ในภพน้ี. เรานั้นระลึกถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในภพก่อนได้หลายประการ พร้อม ท้ังอาการและลักขณะดังน้ี. ราชกุมาร ! น่ีเป็น วิชชาที่ ๑ ที่เราได้บรรลุแล้ว ในยามแรกแห่งราตรี. อวิชชาถูกทําลายแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว, ความมืด ถูกทําลายแล้ว ความสว่างเกิดข้ึนแทนแล้ว, เช่นเดียวกับท่ีเกิดแก่ผู้ไม่ประมาท มเี พยี รเผาบาป มีตนส่งไปแล้วแลอยู่, โดยควร. เราน้ัน ครั้นเม่ือจิตตั้งมั่นบริสุทธ์ิผ่องใสไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยนค วรแก่การงาน ถึงความไม่หว่ันไหวตั้งอยู่เช่นน้ีแล้ว ได้น้อมจิตไปเฉพาะต่อ จุตูปปาตญาณ. เรามีจักขุทิพย์ บริสุทธิ์กว่าจักขุของ สามัญมนุษย์, ย่อมแลเห็นสัตว์ท้ังหลายจุติอยู่ บังเกิดอยู่, เลวทรามประณีต, มีว รรณะดี มีวรรณะเลว, มีทุกข์ มีสุข. เรารู้แจ้งชัด หมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า \"ผู้เจริญท้ังหลาย ! ส ัตว์เหล่าน้ีหนอ ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต พูดติเตียนพระอริยเจ้าท้ังหลาย เป็นมิจฉาทิฎฐิ ประกอบการงานด้วยอํานาจ มิจฉาทิฎฐิ, เบ้ืองหน้าแต่กายแตกตายไป ล้วนพากันเข้าสู่อบายทุคติวินิบาตน รก. ท่านผู้เจริญท้ังหลาย ! ส่วนสัตว์เหล่านี้หนอ ประกอบกายสุจริต วจีสุจริต มโน- สุจริตไม่ติเตียนพระอริยเจ้า, เป็นสัมมาทิฎฐิ ประกอบการงานด้วยอํานาจ สัมมาทิฏฐิ, เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป ย ่อมพากันเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์.\" เรามี จักขุทิพย์บริสุทธ์ิล่วงจักขุสามัญมนุษย์ เห็นเหล่าสัตว์ผู้จุติอยู่ บังเกิดอยู่ เลว ประณีต มีวรรณะดี วรรณะทราม มีทุกข์ มีสุข. รู้ชัดหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมได้ ฉะนี้. ราชก ุมาร ! นี้เป็น วิชชาท่ี ๒ ที่เราได้บรรลุแล้วในยามกลางแห่งราตรี. อวิชชาถูกทําลายแล้ว วิชชาเกิดข ึ้นแล้ว, ความมืดถูกทําลายแล้ว ความสว่าง เกิดข้ึน กลบั ไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รัสรู้ ๑๑๗ แทนแล้ว, เช่นเดียวกับท่ีเกิดแก่ผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผาบาป มีตนส่งไปแล้แลอยู่, โดยควร. เราน้ัน ครั้นจิตตั้งม่ันบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลสเป็น ธรรมชาตอิ อ่ นโยนควรแ ก่การงาน ถึงความไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เชน่ น้แี ล้ว กน็ อ้ มจิตไป เฉพาะต่อ อาสวักขยญาณ, เราย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า \"นี่ทุกข์, น่ีเหตุแห่งทุกข์, นี่ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, น่ีทางให้ถึงความดับไม่มีเหลือแห่งทุกข์; และเหล่าน้ี เป็นอาสวะท้ังหลาย, น้ีเหตุแห่งอาสวะทั้งหลาย, น้ีความดับไม่มีเหลือแห่งอาสวะ ทั้งหลาย, น้ีเป็นทางให้ถึงความดับไม่มีเหลือแห่งอาสวะท้ังหลาย.\" เมื่อเรารู้อยู่ อย่างน้ี เห็นอยู่อย่างน้ี จิตก ็พ้นจากกามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ. ครั้น จิตพ้นวิเศษแล้วก็เกิดญาณหย่ังรู้ว่า จิตพ้นแล้ว. เรา ร ู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว กิจที่ต้องทําได้ทําสําเร็จแล้ว กิจอ่ืนท่ีจะต้องทําเพื่อความ (หลดุ พน้ ) เป็นอย่างน้ี มิไดม้ อี กี . ราชกมุ าร ! นี่เป็น วชิ ชาที่ ๓ ท่เี ราได้บรรลุแล้วใน ยามปลายแห่งราตรี. อวิชชาถูกทําลายแล้ว วิชชาเกิดข้ึนแล้ว,ความมืดถูกทําลาย แล้ว ความสว่างเกิดข้ึนแทนแล้ว, เช่นเดียวก ับท่ีเกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีเพียร เผาบาป มีตนสง่ ไปแลว้ แลอยู่, โดยควร. สง่ิ ทตี่ รสั รู้๑ ภิกษุ ท. ! มีส่ิงท่ีแล่นดิ่งไปสุดโต่งอยู่สองอย่าง ที่บรรพชิตไม่ควรข้อแวะ ด้วย. สิ่งที่แล่นด่ิงไปสุดโต่งนั้นคืออะไร? คือ การประกอบตนพัวพันอยู่ด้วยความ ใคร่ในกามท้ังหลาย อันเป็นการกระทําท ่ียังตํ่า เป็นของชาวบ้านเป็นของคน ชัน้ บุถุชน ไม่ใชข่ องพระอรยิ เจ้า ไม่ประกอบด้วยประโยชน์, และก าร ________________________________________________________________________ ๑. บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๒๘/๑๖๖๔. ตรัสแกภ่ ิกษุทง้ั หา้ ทอี่ ิสปิ ตนมฤคทายวนั . กลบั ไปสารบัญ
๑๑๘ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ประกอบความเพียรในการทรมานตนให้ลําบาก อันนํามาซึ่งความทุกข์ ไม่ใช่ของ พระอริยเจ้า ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์, สองอยา่ งนแี้ ล. ภิกษุ ท. ! ขอ้ ปฏิบตั เิ ป็นทางสายกลาง ท่ีไม่ดิ่งไปหาส่ิงสุดโต่งสองอย่างนั้น เป็นข้อปฏิบัติท ี่ตถาคตได้ตรัสรู้เฉพาะแล้ว เป็นข้อปฏิบัติทําให้เกิดจักษุเป็น ข้อปฏิบัติทําให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้อันยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ พร้อมเพอ่ื นพิ พาน. ภิกษุ ท. ! ข้อปฏิบัติที่เป็นทางสายกลาง ที่ไม่ดิ่งไปหาที่สุดโต่ง สองอย่าง นั้น เป็นอย่างไรเล่า? ภิกษุ ท. ! ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลางนั้น คือข้อปฏิบัติ อนั เปน็ หนทางอนั ประเสริฐ ประกอบอยู่ด้วยองค์แปดประการน่ีเอง. แปดประการ คืออะไรเล่า? คือความเห็นท่ีถูกต้อง ความดําริท่ีถูกต้อง การพ ูดจาท่ีถูกต้อง การทําการงานท่ถี ูกตอ้ ง การอาชีพท่ีถูกต้อง ความพากเพียรที่ถูกต้อง ความรําลึก ที่ถูกต้อง ความตั้งใจมั่นคงท่ีถูกต้อง ภิกษุ ท. ! น้ีแล คือข้อปฏิบัติที่เป็นทาง สายกลาง ที่ตถาคตได้ตรสั รู้เฉพาะแลว้ เปน็ ขอ้ ปฏิบัติทําให้เกิดจักษุ ทําให้เกิดญาณ เป็นไปเพอ่ื ความสงบ เพือ่ ความรอู้ ันยิ่ง เพอื่ ความตรัสรู้พร้อมเพือ่ นพิ พาน. ภิกษุ ท. ! น้ีแลคือความจริงอันประเสริฐ เร่ืองความทุกข์๑คือความเกิดก็ เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์๑ความตายก็เป็นทุกข์, ความประจวบกับสิ่งที่ไม่รัก เป็นทุกข์ ความ พรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ ความปรารถนาส่ิงใดแล้วไม่ได้ส่ิงน้ัน เป็นทุกข์, กล่าวโดยย่อ ขันธ์ห้าท่ีประกอบ ด้วยอปุ าทาน เป็นทุกข์. ภิกษุ ท. ! นี้แลคือความจริงอันประเสริฐ เรื่องแดนเกิดของความทุกข์ คอื ตณั หา อันเป็นเครอ่ื งทาํ ให้มกี ารเกิดอีก อนั ประกอบอยู่ดว้ ยความกาํ หนดั ________________________________________________________________________ ๑. ในบาลีพระไตรปฏิ กสยามรฐั มคี าํ ว่า พยฺ าธิปิ ทกุ ฺขา ดว้ ย, ซง่ึ ฉบับสวดมนต์ ไมม่ ี แต่ไป มบี ทว่า โสกปริเทวทกุ ฺขโทมนสฺสปุ ายาสาปิ ทุกขฺ า, ซ่งึ ในพระไตรปิฏกไมม่ .ี กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๑๑๙ ด้วยอาํ นาจความเพลิน อนั เปน็ เคร่ืองใหเ้ พลดิ เพลนิ อย่างยิ่งในอารมณ์นัน้ ๆ, ได้แก่ ตณั หาในกาม ตณั หาในความมีความเป็น ตณั หาในความไม่มไี มเ่ ปน็ . ภิกษุ ท. ! นี้แลคือความจริงอันประเสริฐ เรื่องความดับไม่เหลือของ ความทุกข์ คือ ความด ับสนิทเพราะจางไปโดยไม่มีเหลือของตัณหาน้ันนั่นเอง คือ ความสลดั ท้ิง ความสละคนื ความปลอ่ ย ความทําไมใ่ ห้มที อ่ี าศยั ซึง่ ตัณหานัน้ . ภิกษุ ท. ! นี้แลคือความจริงอันประเสริฐ เรื่องข้อปฏิบัติอันทําสัตว์ให้ลุถึง ความดับไม่เหลือข องความทุกข์ คือข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางอันประเสริฐ อันประกอบด้วยองค์แปดประการน้ี ได้แก่ความเห็นท ่ีถูกต้อง ความดําริท่ีถูกต้อง การพูดจาที่ถูกต้อง การทําการงานท่ีถูกต้อง การอาชีพท่ีถูกต้อง ความพากเพียร ท่ีถกู ต้อง ความราํ ลึกท่ถี กู ต้อง ความตงั้ ใจมน่ั คงทถ่ี กู ตอ้ ง. ภิกษุ ท. ! จักษุเกิดข้ึนแล้ว ญาณเกิดข้ึนแล้ว ป๎ญญาเกิดข้ึนแล้ววิชชา เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว เกิดข้ึนในส่ิงท่ีเราไม่เคยได้ยินได้ฟ๎งมาแต่ก่อน เกิดข้ึนแก่เราว่า น้ีคือความจริงอันประเสริฐคือความทุกข์, เกิดขึ้นแก่เราว่า ก็ความจริงอันประเสริฐคือความทุกข์นี้ เป็นส่ิงท่ีควรกําหนดรู้,เกิดขึ้นแก่เราว่า ก็ความจริงอนั ประเสริฐคอื ความทกุ ข์น้ี เราตถาคตกาํ หนดรู้รอบแล้ว. ภิกษุ ท. ! จักษุเกิดข้ึนแล้ว ญาณเกิดข้ึนแล้ว ป๎ญญาเกิดขึ้นแล้ววิชชา เกิดข้ึนแล้ว แสงสว่างเกิดข้ึนแล้ว เกิดขึ้นในสิ่งที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟ๎งมาแต่ก่อน เกิดขึ้นแก่เราว่า นี้คือความจริงอันประเสริฐ ค ือแดนเกิดของทุกข์, เกิดขึ้นแก่เรา ว่า กค็ วามจริงอันประเสรฐิ คอื แดนเกิดของทุกขน์ ้ี เปน็ สงิ่ ที่ควรละเสีย, เกิดข้ึนแก่ เราว่า ก็ความจรงิ อันประเสรฐิ คือแดนเกดิ ของความทุกขน์ เ้ี ราตถาคตละได้แลว้ . ภิกษุ ท. ! จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดข้ึนแล้ว ป๎ญญาเกิดขึ้นแล้ววิชชา เกิดขนึ้ แล้ว แสงสวา่ งเกิดขนึ้ แล้ว เกดิ ข้นึ ในสง่ิ ท่ีเราไม่เคยไดย้ ินได้ฟง๎ มา กลับไปสารบัญ
๑๒๐ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ แต่ก่อน เกิดข้ึนแก่เราว่า นี้คือความจริงอันประเสริฐ คือความดับไม่เหลือ ของความทุกข์, เกิดข้ึนแก่เราว ่า ก็ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือ ของความทกุ ขน์ ี้ เปน็ สิง่ ทคี่ วรทาํ ใหแ้ จ้ง, เกิดข้ึนแก่เรา ก็ความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม่เหลอื ของความทุกขน์ ้ี เราตถาคตได้ทําให้แจง้ แลว้ . ภิกษุ ท. ! จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ป๎ญญาเกิดขึ้นแล้ววิชชา เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดข้ึนแล้ว เกิดข้ึนในส่ิงท่ีเราไม่เคยได้ยินได้ฟ๎งมาแต่ก่อน เกิดขึ้นแก่เราว่า น้ีคือความจริงอันประเสริฐคือข้อปฏิบัติท่ีทําสัตว์ให้ลุถึงความดับ ไมเ่ หลือของความทุกข์, เกิดขึ้นแก่เราว่า ก็ความจริงอันประเสริฐคือข ้อปฏิบัติท่ีทํา สัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือของความทุกข์นี้ เป็นส่ิงที่ควรทําให้เกิดมี, เกิดข้ึนแก่ เราว่า ก็ความจริงอันประเสริฐ คือข้อปฏิบัติท่ีทําสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือของ ความทุกขน์ ้ี เราตถาคตได้ทําให้เกดิ มแี ลว้ . ภิกษุ ท. ! ตลอดกาลเพียงไร ท่ีญาณทัศนะเคร่ืองรู้เห็นตามเป็นจริงของ เรา อันมีปริวัฏฏ์สาม มีอาการสิบสอง ในอริยสัจจ์ท้ังส่ี เหล่านี้ยังไม่เป็นญาณ ทัศนะท่ีบริสุทธ์ิสะอาดด้วยดี; ตลอดกาลเพียงน้ันเรายังไม่ปฏิญญาว่าได้ตรัสรู้ พร้อมเฉพาะแล้วซ่ึงอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมท้ังเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สตั วพ์ ร้อมทัง้ สมณพราหมณ์ พร้อมทัง้ เทวดาแลมนษุ ย.์ ภิกษุ ท. !เมื่อใด ญาณทัศนะเครื่องรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา อันมีปริวัฏฏ์ สาม มีอาการสิบสอง ในอริยสัจจ์ทั้งส่ี เหล่าน้ีเป็นญาณทัศนะที่บริสุทธิ์สะอาด ด้วยดี; เม่ือนั้น เราก็ปฏิญญาว่าเป็นผู้ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ซ่ึงอนุตตร- สัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในห มู่สัตว์พร้อม ท้งั สมณพราหมณ์ พรอ้ มท้ังเทวดาแลมนุษย.์ กลบั ไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๑๒๑ การตรสั รู้คือการทบั รอยแหง่ พระพทุ ธเจ้าในอดตี ๑ ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนบุรุษเท่ียวไปในปุาทึบ เกิดพบรอยทางซึ่งเคยเป็น หนทางเก่า ท่ีมนุษย์แต่กาลก่อนเคยใช้เดินแล้ว. บุรุษนั้นจึงเดินตามทางนั้นไป เมื่อ เดินไปตามทางน้ันอยู่ ได้พบซากนครซ่ึงเป็นราชธานีโบราณ อันมนุษย์ท้ังหลายแต่ กาลก่อนเคยอยู่อาศัยแล้ว เป็นที่อันสมบูรณ์ด้วยสวน ส มบูรณ์ด้วยปุาไม้ สมบูรณ์ ด้วยสระโบกขรณี มีซากกําแพงล้อม มีภูมิภาคน่าร่ืนรมย์. ภิกษุ ท. ! ลําดับนั้น บุรุษน้ันเข้าไปกราบทูลแจ้งข่าวน้ีแก่พระราชา หรือแก่มหาอํามาตย์ของพระราชา ว่า \"ขอท้าวพระกรุณาจ งทรงทราบเถิด : ข้าพระเจ้าเม่ือเท่ียวไปในปุาทึบได้เห็น รอยทางซึ่งเคยเป็นหนทางเก่า ที่มนุษย์แต่กาลก่อนเคยใช้เดินแล้ว. ข้าพระเจ้าได้ เดนิ ตามทางนัน้ ไป เมือ่ เดนิ ไปตามทางน้ันอยู่ ได้พบซากนครซึ่งเป็นราชธานีโบราณ อันมนุษย์ ท. แต่กาลก่อนเคยอยู่อาศัยแล้ว เป็นที่อันสมบูรณ์ด้วย สวนสมบูรณ์ ด้วย ปุาไม้ส มบูรณ์ ด้วยสระโบกขรณี มีซากกําแพงล้อม มีภูมิภาคน่าร่ืนรมย์. ขอพระองคจ์ งปรบั ปรุงสถานที่นั้นใหเ้ ปน็ นครเถดิ พระเจ้าข้า !\" ดังน้ี. ภิกษุ ท. ! ลําดับนั้น พระราชาหรือมหาอํามาตย์ของพระราชาน้ัน จึง ปรับปรุงสถานที่นั้นข้ึนเป็นนคร สมัยต่อมา นครนั้นได้กลายเป็นนครท่ีม่ังค่ัง และ รุ่งเรือง มีประชาชนมาก เกล่ือนกล่นด้วยมนุษย์ ถึงแล้วซึ่งความเจริญไพบูลย์, น้ี ฉันใด; ภิกษุ ท. ! ข้อน้ีก็ฉันน้ัน : เราได้เห็นแล้วซ่ึงรอยทางเก่า ท่ีเคยเป็น หนทางเก่า อันพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ท้ังหลายในกาลก่อนเคยทรงดําเนนิ แลว้ . ภิกษุ ท. ! ก็รอยทางเก่า ที่เคยเป็นหนทางเก่า อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหลายในกาลก ่อนเคยทรงดาเนนิ แล้ว นนั้ เป็นอยา่ งไรเล่า ? นัน่ คอื อริยอฎั ฐงั - ________________________________________________________________________ ๑. บาลี สตู รท่ี ๕ มหาวรรค อภิสมยสํ. ๑๖/๑๒๘/๒๕๓. ตรัสแก่ภิกษทุ ้ังหลายทีเ่ ชตวนั . กลับไปสารบัญ
๑๒๒ พทุ ธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ คิกมรรคน้ีนั่นเทียว ได้แก่ส่ิงเหล่าน้ีคือ สัมมาทิฎฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ส ัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. ภิกษุ ท. ! น้ี แล รอยทางเกา่ ท่ีเป็นหนทางเกา่ อนั พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าทัง้ หลายในกาลก่อนเคย ทรงดาํ เนินแล้ว. เรานัน้ ไดด้ าเนินไปตามแลว้ ซึง่ หนทางนั้น. เมือ่ ด าเนินไปตามซึ่ง หนทางน้ันอยู่, เราได้รู้ยิ่งเฉพาะแล้วซึ่งชรามรณะ, ซ่ึงเหตุให้เกิดขึ้นแห่งชรา มรณะ, ซ่ึงความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ, ซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทําสัตว์ให้ลุถึง ความดับไมเ่ หลือแห่งชรามรณะ;- (ข้อความต่อไปจากน้ี ได้ตรัสถึงชาติ-ภพ-อุปาทาน-ตัณหา-เวทนา-ผัสสะ-สฬายตนะ- นามรูป-วิญญาณ สุดลงเพียงสังขาร โดยอาการท้ังสี่, ดังที่ได้ตรัสในกรณีแห่งชรามรณะ เหมือนกนั ทกุ ตัวอกั ษร เว้นแต่ช่อื ของตวั ปฏจิ จสมปุ ปน๎ นธรรมนัน้ ๆ เทา่ นั้น). การตรสั รูค้ ือการทรงรู้แจ้งผัสสายตนะโดยอาการห้า๑ (คร้งั หนึ่ง ประทับอยทู่ เ่ี ชตวัน ตรัสเรยี กภกิ ษุ ท. มาแลว้ ได้ตรัสเร่ืองสมณพราหมณ์ท่ีมี ทฎิ ฐิต่าง ๆ กัน โดยแบ่งเป็นพวก ๆ คอื ตรัสพวกอหรันตานุทิฏฐิมีทิฏฐิปรารภขันธ์ส่วนอนาคต ๕ พวก ได้แกพ่ วกสญั ญีวาท อสัญญีวาท เนวสัญญีนาสัญญีวาท อุจเฉทวาท และทิฎฐธัมมนิพพาน วาทแล้วตรัสพวกป ุพพันตานุทิฏฐิ มีทิฎฐิปรารภขันธ์ส่วนอดีต ๑๖ พวก และตรัสถึงทิฎฐิธัมม นพิ พานวาทของพวกที่สลัดปรนั ตานุทฏิ ฐิและปพุ พนั ตานทุ ิฏฐเิ สีย แล้วไปถือเอานิรามิสสุขอันเกิด จากฌานทุกระดับว่าเป็นนิพพาน แล้วสําคัญตนว่า เป็นผู้สงบงํางับ ดับเย็น ไม่มีอุปาทาน ทรงระบุว่า น่นั เป็นเพียงอุปาทานของคนพวกนน้ั ตถาคตทรงทราบว่าอุปาทานนั้นเป็นทิฏฐิหยาบ ที่คนเหล่าน้ันปรุงข้ึน และธรรมเป็นท่ีดับแห่งอุปาทานท่ีคน ท. เหล่านั้นปรุงข้ึนก็มีอยู่ ทรงเห็น ธรรมเป็นเครื่องออกจากอุปาทานเหล่าน้ัน ไม่เวียนไปสู่อุปาทานเหล่าน้ัน ดังนี้แล้วได้ตรัส ข้อความนสี้ ืบตอ่ ไปวา่ :-) ________________________________________________________________________ ๑. บาลี ป๎จจตั ตยสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๔๐/๔๑. ตรัสแกภ่ ิกษุ ท. ท่ีเชตวนั . กลบั ไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รสั รู้ ๑๒๓ ภิกษุ ท. ! ก็ บทแห่งธรรม น้ีแล เป็นบทแห่งธรรมอันประเสริฐสงบรํางับ ไม่มีธรรมอื่นย ิ่งกว่า อันตถาคตได้รู้พร้อมเฉพาะแล้ว (ตรัสรู้); น่ันคือความที่ ตถาคตรู้แจ้งตามท่ีเป็นจริง ซึ่งเหตุให้เกิดข้ึน ซ่ึงความดับลง ซึ่งรสอร่อย ซ่ึง โทษอันต่าทราม ซงึ่ อุบายเป็นเครอ่ื งออก แห่งผัสสายตนะทั้ง ๖ แ ล้วจึงหลุดพ้น เพราะความไมย่ ึดมั่นถอื มัน่ . ภิกษุ ท. ! นั่นแหละ คือข้อท่ีตถาคตได้รู้พร้อมเฉพาะซ่ึงบทแห่งธรรม อนั ประเสริฐ สงบรํางับ ไม่มีธรรมอ่ืนย่ิงกว่า; กล่าวคือ ความที่ตถาคตรู้แจ้งตามที่ เป็นจริง ซ่ึงเหตุให้เกิดข้ึน ซ่ึงความดับลง ซึ่งรสอร่อย ซ่ึงโทษอันตํ่าทราม ซ่ึงอุบายเป็นเคร่ืองออก แห่งผัสสายตนะทั้ง ๖ แล้วจึงหลุดพ้นเพราะไม่มีความ ยึดมั่นถอื มั่น. เกดิ แสงสวา่ งเนอื่ งดว้ ยการตรสั รู้๑ ภิกษุ ท. ! เมื่อใด ตถาคตได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ, ในขณะน้ัน แสงสว่างอันโอฬารจนหาประมาณมไิ ด้ ย่งิ ใหญก่ วา่ อานภุ าพของเทวดาทงั้ หลายจะ บันดาลได้, ได้ปรากฏขึ้นในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์. ถึงแ ม้ใน โลกันตริกนรก อันโล่งโถงไม่มีอะไรปิดก้ัน แต่มืดมนหาการเกิดแห่งจักขุวิญญาณมิได้ อัน แสงสว่างแห่งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ อันมีฤทธ์ิอานุภาพอย่างน้ี ส่องไปไม่ถึง น้ัน แม้ในที่น้ัน แสงสว่างอันโอฬารหาประมาณมิได้ ย่ิงใหญ่กว่าอานุภาพของ เทวดาทง้ั หลายจะบันดาลได้ ก็ได้ปรากฏข้ึนเหมือนกัน. สัตว์ท่ีเกิดอยู่ ณ ที่นั้น รู้จัก กันได้ดว้ ยแสงสวา่ งนั้น พากันร้องว่า \"ท่านผู้เจริญทั้งหลายเอ๋ย! ผู้อ่ืนอันเกิดอยู่ใน ทีน่ น้ี อกจากเราก็มอี ยู่เหมอื นกนั \" ดงั น้.ี ________________________________________________________________________ ๑. บาลี สัตตมสูตร ภยวรรค จตุกกฺ . อํ. ๒๑/๑๗๗/๑๒๗. กลบั ไปสารบัญ
๑๒๔ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ ภกิ ษุ ท. ! นี้แลเป็น อศั จรรยค์ รั้งที่สาม ที่ยังไม่เคยมี ได้บังเกิดมีข้ึนเพราะ การบงั เกดิ แหง่ ตถาคต ผูอ้ รหันตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ . แผ่นดนิ ไหว เน่อื งด้วยการตรัสรู้๑ ดูกอ่ นอานนท์ ! เหตุปจ๎ จัยทที่ ําให้ปรากฏการไหวแห่งแผ่นดนิ อนั ใหญ่หลวง มอี ยู่แปดประการ.---- ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อใด ตถาคตได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งอนุตตร - สมั มาสมั โพธญิ าณ; เมื่อนั้น แ ผน่ ดินยอ่ มหว่นั ไหว ย่อมส่ันสะเทอื น ย่อมส่ันสะท้าน. อานนท์ ! น้ีเป็นเหตุป๎จจัยที่คํารบห้า แห่งการป รากฏการไหวของแผ่นดิน อนั ใหญห่ ลวง. การรู้สกึ พระองคว์ า่ ไดต้ รสั รแู้ ลว้ ๒ ภิกษุ ท. ! ก็เม่ือเราเป็นผู้มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็น ธรรมดา มีความโศกเป็นธรรมดา มีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ด้วยตน, ก็รู้จัก โทษแห่งส่ิงที่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย โศก เศร้าหมองเป็นธรรมดา. คร้ันรู้แล้ว จึงได้แสวงหานิพพาน อันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่โศก ไม่เศร้าหมองเป็น ธรรมดา อนั ไมม่ สี ่งิ อืน่ ยงิ่ ไปกว่า อันเกษมจากโยคธรรม. เราก็ได้บรรลุพระนิพพาน นน้ั . อนง่ึ ปญ๎ ญาเครื่องรู้เคร่ืองเห็นได้เกิดแก่เราว่า \"ความหลุดพ้นของเราไม่กลับ กําเรบิ การเกดิ ครงั้ นี้เป็นครง้ั สดุ ทา้ ย ภพเปน็ ทเ่ี กดิ ใหม่มิได้มอี กี \" ดังน้.ี ________________________________________________________________________ ๑. บาลี อฎฺฐก. อํ. ๒๓/๓๒๒,๓๒๓/๑๖๗. ตรัสแก่พระอานนท์ ทป่ี าลาลเจดีย์ เมอื งเวสาล.ี ๒. ปาสราสสิ ตู ร โอป๎มมวรรค มู.ม. ๑๒/๓๒๓/๓๒๐. กลับไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รัสรู้ ๑๒๕ วิหารธรรมที่ทรงอยู่ เม่อื ตรัสร้แู ล้วใหม่ ๆ๑ ภิกษุ ท. ! เราได้อยู่แล้วโดยประเทศ๒แห่งวิหารธรรมอย่างเดียวกันกับ วิหารธรรมที่เราเคยอยู่แล้วเมื่อตรัสรู้แล้วใหม่ ๆ. เม่ืออยู่โดยวิหารธรรมอย่างน้ี แล้ว, เราย่อมรชู้ ดั อยา่ งนี้ว่า:- \"เวทนายอ่ มมี เพราะป๎จจยั คอื มิจฉาทิฎฐิ บา้ ง; -สมั มาทิฎฐิ บ้าง; เวทนายอ่ มมี เพราะป๎จจยั คอื มิจฉาสงั กปั ปะ บ้าง; -สัมมาสงั กปั ปะ บ้าง; เวทนาย่อมมี เพราะปจ๎ จยั คอื มจิ ฉาวาจา บา้ ง; -สมั มาวาจา บา้ ง; เวทนาย่อมมี เพราะปจ๎ จยั คือ มิจฉากมั มันตะ บา้ ง; -สมั มากัมมันตะ บา้ ง; เวทนาย่อมมี เพราะปจ๎ จัยคอื มจิ ฉาอาชีวะ บา้ ง; -สัมมาอาชีวะ บา้ ง; เวทนายอ่ มมี เพราะป๎จจยั คอื มจิ ฉาวายามะ บ้าง; -สมั มาวายามะ บา้ ง; เวทนายอ่ มมี เพราะปจ๎ จยั คอื มจิ ฉาสติ บ้าง; -สมั มาสติ บา้ ง; เวทนายอ่ มมี เพราะปจ๎ จยั คอื มิจฉาสมาธิ บ้าง; -สัมมาสมาธิ บ้าง; เวทนายอ่ มมี เพราะปจ๎ จยั คือ ฉันทะ บา้ ง; ________________________________________________________________________ ๑. บาลี สูตรท่ี ๑ วิหารวรรค มหาวาร. สํ. ๑๙/๑๖/๔๘. ตรัสแก่ภิกษุท้ังหลาย ท่ี เชตะวัน หลงั จากท่ีได้ประทับหลีกเร้นแลว้ เปน็ เวลาคร่งึ เดอื น. ๒. คําวา่ \"ประเทศ\" ในท่นี ี้ หมายถึงที่ตั้งแห่งความรู้สึกทางใจ เช่นเดียวกับแผ่นดินเป็นที่ต้ังแห่ง ความเปน็ อยูท่ างกาย. การท่คี งไว้ในรูปศัพทเ์ ดมิ เช่นน้ี กเ็ พือ่ จะใหผ้ ้อู ่านได้ทราบเง่ือนงําแห่ง ภาษาบาลี ซึ่งไม่ค่อยจะปรากฏในภาษาไทย. พระบาลีนี้พอจะแสดงให้เราทราบได้ว่า เมื่อ ตรัสรู้แล้วใหม่ ๆ พระองค์ได้ทรงอยู่ด้วยวิหารธรรมชนิดท่ีทําให้รู้แจ้งชัดต่อเวทนาใน ลักษณะเช่นท่ีกลา่ วไวใ้ นสูตร. กลับไปสารบัญ
๑๒๖ พทุ ธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ เวทนาย่อมมี เพราะปจ๎ จัยคือ วิตก บ้าง; เวทนาย่อมมี เพราะปจ๎ จัยคือ สญั ญา บ้าง; เวทนายอ่ มมี เพราะปจ๎ จยั คอื ฉันทะ วติ ก และ สญั ญา ท่ียังไม่เข้าไป สงบรางบั บ้าง; เวทนายอ่ มมี เพราะป๎จจัยคือ ฉนั ทะ วิตก และ สญั ญา ที่เขา้ ไปสงบ รางบั แล้ว บ้าง; เวทนาย่อมมี เพราะป๎จจัยคือ การบรรลุถึงฐานะท่ีไดพ้ ยายามเพ่อื จะ บรรลุถงึ บา้ ง; ดังน้.ี (อกี สตู รหน่ึง๑ได้ตรัสโดยขอ้ ความท่แี ปลกออกไปอีกบางประการ) ภิกษุ ท. ! เราได้อยู่แล้วโดยประเทศแห่งวิหารธรรม อย่างเดียวกันกับ วิหารธรรมท่ีเราเคยอยู่แล้วเมื่อตรัสรู้แล้วใหม่ ๆ เม่ืออยู่โดยวิหารธรรมอย่างน้ี แลว้ ,เราย่อมร้ชู ัดอย่างนี้ว่า:- \"เวทนายอ่ มมี เพราะปจ๎ จัยคือ มจิ ฉาทิฎฐิ บ้าง; -ความเข้าไป สงบ รางับแห่งมิจฉาทิฎฐิ บา้ ง; เวทนาย่อมมี เพราะป๎จจยั คือ สมั มาทิฎฐิ บ้าง; -ความเขา้ ไป สงบ รางบั แห่งสัมมาทฎิ ฐิ บา้ ง; เวทนายอ่ มมี เพราะป๎จจัยคือ มิจฉาสงั กัปปะ บา้ ง; -ความเข้าไป สงบ รางบั แหง่ มิจฉาสงั กปั ปะ บ้าง; เวทนายอ่ มมี เพราะป๎จจัยคือ สมั มาสงั กปั ปะ บ้าง; -ความเข้าไป สงบ รางบั แห่งสัมมาสงั กัปปะ บ้าง; ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี สูตรท่ี ๒ วหิ ารวรรค มหาวาร.สํ. ๑๙/๑๗/๕๐. ตรัสแกภ่ ิกษทุ ง้ั หลาย ที่เชตวัน หลงั จากทไี่ ด้ประทบั หลีกเรน้ แล้วเปน็ เวลา ๓ เดอื น. กลบั ไปสารบัญ
ออกผนวช – จนไดต้ รัสรู้ ๑๒๗ เวทนาย่อมมี เพราะปจ๎ จัยคอื มิจฉาวาจา บา้ ง; -ความเขา้ ไป สงบ เวทนายอ่ มมี เวทนายอ่ มมี รางบั แห่งมจิ ฉาวาจา บา้ ง; เวทนาย่อมมี เวทนาย่อมมี เพราะปจ๎ จยั คอื สัมมาวาจา บ้าง; -ความเขา้ ไป สงบ เวทนายอ่ มมี เวทนาย่อมมี รางับแหง่ สัมมาวาจา บา้ ง; เวทนายอ่ มมี เวทนายอ่ มมี เพราะป๎จจยั คือ มจิ ฉากัมมนั ตะ บ้าง; -ความเขา้ ไป สงบ เวทนาย่อมมี เวทนายอ่ มมี รางบั แห่งมิจฉากมั มันตะ บา้ ง; เพราะป๎จจัยคอื สัมมากมั มันตะ บ้าง; -ความเขา้ ไป สงบ รางบั แหง่ สัมมากมั มันตะ บา้ ง; เพราะป๎จจยั คอื มิจฉาอาชวี ะ บา้ ง; -ความเข้าไป สงบ รางับแห่งมิจฉาอาชีวะ บ้าง; เพราะปจ๎ จัยคือ สัมมาอาชวี ะ บ้าง; -ความเขา้ ไป สงบ รางบั แห่งสัมมาอาชวี ะ บา้ ง; เพราะปจ๎ จัยคอื มิจฉาวายามะ บา้ ง; -ความเข้าไป สงบ รางับแหง่ มิจฉาวายามะ บ้าง; เพราะป๎จจยั คอื สัมมาวายามะ บา้ ง; -ความเข้าไป สงบ รางับแหง่ สัมมาวายามะ บ้าง; เพราะปจ๎ จยั คือ มิจฉาสติ บ้าง; -ความเข้าไป สงบ รางบั แห่งมิจฉาสติ บา้ ง; เพราะปจ๎ จัยคอื สัมมาสติ บ้าง; -ความเข้าไป สงบ รางบั แหง่ สัมมาสติ บ้าง; เพราะป๎จจัยคอื มจิ ฉาสมาธิ บา้ ง; -ความเข้าไป สงบ รางับแห่งมจิ ฉาสมาธิ บา้ ง; กลับไปสารบัญ
๑๒๘ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๒ เวทนายอ่ มมี เพราะปจ๎ จยั คอื สมั มาสมาธิ บ้าง; -ความเข้าไป สงบ เวทนาย่อมมี เวทนาย่อมมี รางับแหง่ สัมมาสมาธิ บ้าง; เวทนาย่อมมี เพราะป๎จจัยคือ ฉันทะ บา้ ง; -ความเข้าไป สงบ เวทนาย่อมมี เวทนาย่อมมี รางับแหง่ ฉันทะ บ้าง; เวทนายอ่ มมี เพราะปจ๎ จยั คอื วติ ก บ้าง; -ความเขา้ ไป สงบ รางบั แหง่ วิตก บ้าง; เพราะปจ๎ จยั คอื สัญญา บา้ ง; -ความเขา้ ไป สงบ รางับแห่งสัญญา บา้ ง; เพราะป๎จจยั คือ ฉนั ทะ วิตก และ สญั ญา ท่ียังไม่เข้าไป สงบรางบั บ้าง; เพราะป๎จจัยคือ ฉันทะ วติ ก และ สญั ญา ท่เี ขา้ ไปสงบ รางับแล้ว บ้าง; เพราะป๎จจยั คือ การบรรลถุ งึ ฐานะทไ่ี ดพ้ ยายามเพอื่ จะ บรรลุถงึ บา้ ง\" ดงั นี.้ จบภาค ๒. กลบั ไปสารบัญ -------------------------
ภาค ๓ เร่ิมแต่ตรสั รูแ้ ลว้ ทรงประกอบด้วยพระคณุ ธรรมตา่ ง ๆ จนเสด็จไปโปรดปญ๎ จวัคคยี ์บรรลุผล. ๑๒๙
ภาค ๓ มีเร่ือง :- ทรงเป็นลูกไก่ตัวพี่ที่สุด - ทรงเป็นผู้ข่มอินทรีย์ได้ - ทรงมีตถาคตพลญาณสิบ -ทรงมีตถาคตพลญาณห้า –ทรงทราบ อินทรีย์อันย่ิงหย่อนของสัตว์ –ทรงมีและทรงแสดงยถาภูตญาณที่ทํา ให้แจ้งอธิมุตติบท ท. -ทรงมีเวสารัชชญาณส่ี -ทรงประกาศพรหม- จักร ท่า มกลา งบ ริ ษัท -ทร งมีวิ ธี \"รุ ก\" ข้า ศึกให้แพ้ภัยตัว –ทร งมี ธรรมสีหนาทท่ีทําเทวโลกให้ส่ันสะเทือน –ทรงเปรียบการกระทําของ พระองค์ ด้วยการกระทําของสีหะ –ทรงมีธรรมสีหนาทอย่างองอาจ -ส่ิงที่ใคร ๆ ไม่อาจท้วงติงได้ –ไม่ทรงมีความลับที่ต้องช่วยกันปกปิด -ทรงแสดงส่ิงท่ีน่าอัศจรรย์อันแท้จริงของพระองค์ –ทรงเป็นอัจฉริย - มนุษย์ในโลก -ทรงต่างจากมนุษย์ธรรมดา –ทรงบังคับใจได้เด็ดขาด -ไม่ทรงติด แม้ในนิพพาน -ทรงมีความคงท่ีไม่มีใครยิ่งกว่า –ทรงอยู่ เหนือการครอบงําของเวทนามาต้ังแต่ออกผนวชจนตรัสรู้ –ทรงยืนยัน ในคุณธรรมของพระองค์ได้ -ทรงยืนยันให้ทดสอบความเป็นสัมมาสัม- พุทธะของพระองค์ -ทรงยืนวันว่าไม่ได้บริสุทธ์ิเพราะตบะอื่น นอก จากอริยมรรค –ทรงยืนยันพรหมจรรย์ของพระองค์ว่าบริสุทธ์ิเต็มท่ี -ทรงยืนยันว่าตรัสเฉพาะเร่ืองที่ทรงแจ่มแจ้งแทงตลอดแล้วเท่าน้ัน –สิ่ง ท่ีไม่ต้องทรงรักษาอีกต่อไป -ทรงฉลาดในเรื่องท่ีพ้นวิสัยโลก –ทรง ทราบ ทรงเปิดเผย ไม่ไม่ทรงติ ซ่ึงโลกธรรม –ทรงทราบทิฏฐิวัตถุอัน ลึกซึ้งหกสิบสอง -ทรงทราบส่วนสุดและมัชฌิมาปฏิปทา –ทรงรับรอง สุขัลลิกานุโยคท่ีเป็นไปเพื่อนิพพานของสมณศากยปุตติยะ –ทรงทราบ พราหมณสัจจ์ -ทรงเห็นนรกและสวรรค์ ท่ีผัสสายตนะหก –ทรง ทราบพรหมโลก -ทรงทราบคติห้า และนิพพาน –ทรงแสดงฤทธิ์ได้ เพราะอิทธิบาท -ทรงมีญาณในอิทธิบาท โดยปริวัฎฎ์ ๓ อาการ ๑๒ -ทรงมีอิทธิบาทเพื่อยู่ได้ถึงกัป –ทรงเปล่งเสียงคราวเดียวได้ ตลอดทุกโลกธาตุ -ทรงมปี าฏิหารยิ ์ ชนิดทีค่ นเขลามองไม่เห็นว่าเป็น ๑๓๐
สารบาญยอ่ ๑๓๑ ปาฏิหาริย์ -ทรงมีปาฏิหาริย์สาม -เหตุท่ีทําให้ทรงพระนามว่า \"ตถาคต\" สี่ -เหตุที่ทําให้ทรงพระนามว่า \"ตถาคต\" เพราะทรงเป็นกาลวาทีภูต - วาที -ไวพจน์แห่งคําว่า \"ตถาคต\" –เป็นอภิสัมพุทธะเม่ือคล่องแคล่ว ในอนุปุพพวิหารสมาบัติ –เป็นอภิสัมพุทธะเมื่อทราบป๎ญจุปาทานขันธ์ โดยปริวัฎฎ์ส่ี -เป็นอภิสัมพุทธะเมื่อทราบอริยสัจจ์ส้ินเชิง –เหตุที่ทํา ให้ได้พระนามว่า \"อรหันตสัมมาสัมพุทธะ\" –เหตุท่ีทําให้ได้พระนามว่า \"อรหันตสัมมาสัมพุทธะ\" (อีกนัยหนึ่ง) –เหตุท่ีทําให้ได้พระนามว่า \"อนุตตรปุริสทัมมสารถิ\" -เหตุท่ีทําให้ได้พระนา มว่า \"โยคักเขมี\" -ทรงเป็นศาสดาประเภทตรัสรู้เอง –ไม่ทรงเป็นสัพพัญํูทุกอิริยาบถ -ทรงยืนยันความเป็นมหาบุรุษ -ทรงอยู่ในฐานะที่ใคร ๆ ยอมรับ ว่า เ ลิศกว่ า สัพพสัต ว์ -ไม่มีใคร เ ป รี ยบ เ สม อ –ไม่ทร ง อ ภิว า ทใค ร -ทร ง เ ป็ น ธ ร ร ม ร า ช า -ท ร ง เ ป็ น ธ ร ร ม ร า ช า ที่ เ ค า ร พ ธ ร ร ม –ท ร ง คิดหาที่พึ่งสําหรับพระองค์เอง -ถูกพวกพราหมณ์ตัดพ้อ –มารทูล ให้นิ พพา น -ทรงท้อพร ะ ทัยในกา รแสดงธร รม –พร หมอ า รา ธน า -ทรงเห็นปวงสัตว์เปรียบด้วยบัวสามเหล่า –ทรงแสดงธรรมเพราะ เห็นความจําเป็นของสัตว์บางพวก –ทรงเห็นลู่ทางที่จะช่วยเหลือปวงสัตว์ -ทรงระลึกหาผู้ควรรับปฐมเทศนา –เสด็จพาราณสีพบอุปกาชีวก -การแสดงปฐมเทศนา –การประกาศธรรมจักรท่ีอิสิปตนมฤคทายวัน -แผ่นดินไหวเน่ืองด้วยการแสดงธรรมจักร –เกิดแสงสว่างเนื่องด้วย การแสดงธรรมจักร -จักรของพระองค์ไม่มีใครต่อต้านได้ –ทรง หมุนแต่จักรที่มีธรรมราชา (เป็นเจ้าของ) –การปรากฏของพระองค์ คือการปรากฏแห่งดวงตาของโลกอันใหญ่หลวง –โลกยังไม่มีแสงสว่าง จนกว่าพระองค์จะเกดิ ขึ้น.
๑๓๒ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓
พุทธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ ภาค ๓ เริม่ แต่ตรสั รู้แล้วทรงประกอบดว้ ยพระคุณธรรมต่าง ๆ จนเสด็จไปโปรดป๎ญจวัคคยี ์บรรลผุ ล. ------------------------- ทรงเปน็ ลกู ไก่ตัวพ่ที สี่ ุด ๑ พราหมณ์ ! เปรียบเหมือนฟองไข่ของแม่ไก่อันมีอยู่ ๘ ฟอง หรือ ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง, เมื่อไม่ไก่นอนทับ กก ฟ๎กด้วยดีแล้ว, บรรดาลูกไก่ ในไขเ่ หลา่ นั้น ตัวใดเจาะแทงทําลายเปลือกไข่ด้วยจะงอยเล็บเท้า หรือจะงอยปาก ออกมาได้ก่อนตัวอ่ืนโดยปลอดภัย เราควรเรียกลูกไก่ตัวนั้นว่าอย่างไร คือจะ เรยี กว่าตวั พี่ผู้แกท่ ่สี ุด หรือตัวน้องผ้นู ้อยที่สดุ ? \"พระโคดมผู้เจริญ! ใคร ๆ ก็ควรเรียกมันว่า ตัวพ่ีผู้เจริญท่ีสุด เพราะมนั เป็นตัวทแี่ กท่ ่ีสุดในบรรดาลกู ไก่เหล่านนั้ \" พราหมณท์ ูลตอบ. ____________________________________________________________________________ ๑ บาลี มหาวิภงั ค์ วนิ ัยปิฎก ๑/๕/๓ . ตรัสแกเ่ วรญั ชพราหมณ์. ๑๓๓ กลบั ไปสารบัญ
๑๓๔ พุทธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ พราหมณ์ ! ฉันใดก็ฉันน้ัน : เรานี้, ขณะเม่ือหมู่สัตว์กําลังถูก อวิชชาซ่ึงเป็นประดุจเปลือกฟองไข่ห่อหุ้มอยู่แล้ว, ก็ทําลายเปลือกห่อหุ้ม คือ อวิชชา ออกมาได้ก่อนใคร ๆ เป็นบุคคลแต่ผู้เดียวในโลกได้รู้พร้อมเฉพาะแล้ว ซึ่งสัมมา - สัมโพธิญาณ อันไม่มีญาณอะไรยิ่งไปกว่า. พราหมณ์! เราน้ัน, เป็นผู้เจริญที่สุด ประเสริฐท่ีสุดของโลก. ความเพียรเราได้ปรารภแล้ว ไม่ย่อหย่อน, สติเราได้ กําหนดม่ันแล้วไม่ลืมหลง, กายก็รํางับแล้วไม่กระสับกระส่าย, จิตต้ังม่ันแล้ว เป็นหนึ่ง, เราได้บรรลุปฐมฌาน---ฯลฯ---๑ทุติยฌาน---ฯลฯ--- ตติยฌาน---ฯลฯ ---จตุตถฌานแล้ว ก็น้อมจิตไปเฉพาะต่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ-ฯลฯ--- เป็น การทําลายเปลือกฟองไข่ของลูกไก่ออกจากฟองไข่ ครั้งแรก, ก็น้อมจิตไปเฉพาะต่อ จุตูปปาตญาณ---ฯลฯ--- เป็นการทําลายเปลือกฟองไข่ของลูกไก่ออกจากฟองไข่ คร้งั ท่สี อง, กน็ อ้ มจิตไปเฉพาะตอ่ อาสวักขยญาณ---ฯลฯ เป็นการทําลายเปลือกฟองไข่ ของลกู ไก่ออกจากฟองไข่ครง้ั ท่สี าม, ดังน้ี. ทรงเป็นผู้ข่มอินทรีย์ได้ ๒ มาคัณฑิยะ ! จักขุเป็นส่ิงซึ่งมีรูปเป็นที่ยินดี กําหนัดแล้วในรูป อันรูป ทําให้บันเทิงพ ร้อมแล้ว, จักขุนั้น อันตถาคตทรมาน ควบคุม รักษา สํารวม ไวไ้ ด้แลว้ และตถาคตยอ่ มแสดงธ รรมเพื่อการสาํ รวมจกั ขนุ ้ันดว้ ย. มาคัณฑิยะ ! โสตะเป็นส่ิงซึ่งมีเสียงเป็นท่ียินดี ฯลฯ ๓, ฆานะ เป็นสิ่งซึ่งมกี ลนิ่ เปน็ ที่ย ินดี ฯลฯ, ชวิ หาเป็นสิง่ ซึ่งมีรสเปน็ ทย่ี ินดี ฯลฯ, ________________________________________________________________ ๑. คําท่ีละด้วย ฯลฯ ดังน้ี ดูเนื้อความเต็มท่ีได้จากในภาค ๒ ตอนว่าด้วยการตรัสรู้ คือฌาน ๔ และวิชชา ๓ เหมือนกันไม่มีแปลก, ในที่นี้จึงยกมาแต่ช่ือ ให้สะดวกแก่ผู้ศึกษา, ไม่ต้อง อ่านคาํ ซาํ้ ๆ กันอกี ตง้ั ยาว ๆ ใหย้ ืดยาด. ๒. บาลี มาคณั ฑยิ สตู ร ม.ม. ๑๓/๒๗๒/๒๗๙. ตรัสแก่มาคณั ฑยิ ปริพพาชก ท่ีโรงบชู าไฟแหง่ หน่ึง. ๓. ทล่ี ะ...ฯลฯ... เช่นนี้ เติมใหเ้ ตม็ เหมือนในขอ้ จักขุเอาเองได้. กลบั ไปสารบัญ
ได้ตรัสรแู้ ล้ว – โปรดปญ๎ จวัคคีย์ ๑๓๕ กายะเป็นส่ิงซ่ึงมีโผฎฐัพพะเป็นท่ียินดี---ฯลฯ---, ใจเป็นสิ่งซ่ึงมีธรรมารมณ์เป็น ที่ยินดี กําหนัดแล้วในธรรมารมณ์ อันธรรมารมณ์ทําให้บันเทิงพร้อมแล้ว, ใจน้ัน อันตถาคตทรมาน ควบคุม รักษา สํารวม ไว้ได้แล้ว และ ตถาคตย่อมแสดงธรรม เพ่ือสาํ รวมใจนั้นด้วย. ทรงมตี ถาคตพลญาณสิบอยา่ ง ภิกษุ ท.! ตถาคตเป็นผู้ประกอบด้วยพลญาณ ๑๐ อย่าง และ ประกอบด้วยเวสารัชชญาณ ๔ อย่าง จึง ปฎิญญาตาแหน่งจอมโลก บันลือ- สหี นาทประกาศพรหมจกั ร ในทา่ มกลางบรษิ ัทท้งั หลาย.๑ สารีบุตร ! เหล่านี้เป็นตถาคตพล ๑๐ อย่าง ของตถาคต ท่ีตถาคต ประกอบพร้อมแล้วปฎิญญาตําแหน่งจอมโลก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักร ในทา่ มกลางบรษิ ทั ทง้ั หลายได้, สิบอย่างคือ:-๒ (๑) ตถาคต ย่อมรู้ตามเป็นจริง ซึ่งสิ่งเป็นฐานะ (คือมีได้เป็นได้) โดยความเป็นสิ่งมีฐานะ, ซึ่งสิ่งไม่เป็นฐานะ (คือไม่มีได้ไม่เป็นได้) โดยความ เปน็ สง่ิ ใชฐ่ านะ : นีเ้ ปน็ ตถาคตพลของตถาคต. (๒) ตถาคต ย่อมรู้ตามเป็นจริง ซ่ึงวิบาก (คือผล) ของการทํากรรม ท่ีเป็นอดีต อนาคต ป๎จจุบัน ได้ท้ังโดยฐานะและโดยเหตุ : น่ีก็เป็นตถาคตพล ของตถาคต. (๓) ตถาคต ย่อมรู้ตามเป็นจริง ซึ่งปฏิปทาเครื่องทําผู้ปฏิบัติให้ไปสู่ ภูมิท้งั ปวงได้ : นีก่ เ็ ปน็ ตถาคตพลของตถาคต. ________________________________________________________________ ๑. บาลี นทิ าน. สํ. ๑๖/๓๓/๖๕. ตถาคตพลสิบ เรยี กกันวา่ ทสพลญาณ. ๒. บาลี มหาสหี นาทสูตร มู.ม. ๑/๑๔๐/๑๖๖. ตรสั แก่พระสารีบุตร ท่ชี ฎั ปาุ นอกนครเวสาลี. กลับไปสารบัญ
๑๓๖ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ (๔) ตถาคต ย่อมรู้ตามเป็นจริง ซึ่งโลกนี้อันประกอบด้วยธาตุมิใช่ อย่างเดียว ดว้ ยธาตุตา่ ง ๆ กนั ๑: นก่ี ็เปน็ ตถาคตพลของตถาคต. (๕) ตถาคต ย่อมรู้ตามเป็นจริง ซึ่งอธิมุติ (คือฉันทะและอัธยาศัย) อันต่าง ๆ กัน ของสัตว์ทั้งหลาย : นก่ี ็เป็นตถาคตพลของตถาคต. (๖) ตถาคต ย่อมรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความย่ิงและหย่อน แห่งอินทรีย์ ของสัตวเ์ หล่าอน่ื ของบุคคลเหล่าอื่น : น่กี เ็ ปน็ ตถาคตพลของตถาคต. (๗) ตถาคต ย่อมรู้ตามเป็นจริง ซ่ึงความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว ความออก แห่งฌานวิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติท้ังหลาย : น่ีก็เป็นตถาคตพล ของตถาคต. (๘) ตถาคต ย่อมระลึกได้ ซ่ึงขันธ์อันตนเคยอยู่อาศัยในภพก่อน มีชนิดต่าง ๆ กัน คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง๒--ฯลฯ : นี่ก็เป็น ตถาคตพลของตถาคต. (๙) ตถาคต ย่อมเห็นสัตว์ ท. ด้วยทิพยจักขุอันหมดจด ก้าวล่วง จักขุมนุษย์ : เห็นสัตว์ทั้งหลายผู้เคล่ือนอยู่บังเกิดอยู่๓---ฯลฯ : นี่ก็เป็นตถาคตพล ของตถาคต. (๑๐) ตถาคต ย่อมทําให้แจ้ง เจโตวิมุติ ป๎ญญาวิมุติ อันไม่มีอาสวะ เพราะความส้นิ ไปแหง่ อาสวะ ท. ได้๔---ฯลฯ : น่ีก็เปน็ ตถาคตพลของตถาคต. สารีบุตร ! เหล่าน้ีแล เป็นตถาคตพลสิบอย่าง ของตถาคต ท่ีตถาคต ประกอบแล้ว ย่อมปฏิญญาตําแหน่งจอมโลก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักร ให้เป็นไปในทา่ มกลางบรษิ ทั ท้ังหลาย. ____________________________________________________________________________ ๑. เช่นรปู ธาตุ นามธาตุ เป็นต้น ซ่ึงแยกกระจายออกไดอ้ กี มาก. ๒. ดูท่จี าํ แนกพิสดารในภาค ๒ ตอนการตรสั รู้ ว่าดว้ ยวิชชาทีห่ น่ึง. ๓. ดูทจี่ าํ แนกพสิ ดารในภาค ๒ ตอนการตรัสรู้ ว่าดว้ ยวิชชาท่ีสอง. ๔. ดทู ี่จาํ แนกพสิ ดารในภาค ๒ ตอนการตรัสรู้ ว่าด้วยวชิ ชาทส่ี าม. กลบั ไปสารบัญ
ไดต้ รสั รูแ้ ลว้ – โปรดปญ๎ จวคั คีย์ ๑๓๗ (ในบาลีแห่งอื่น มีกล่าวถึงตถาคตพลญาณเป็นอย่างอื่น คือกล่าวถึงตถาคตพลญาณ เพียง ๖ โดยเว้นข้อ (๓) (๔) (๕) และ (๖) เสียจากจํานวน ๑๐ ที่มีกล่าวอยู่ในท่ีนี้. -ฉกํก. อํ. ๒๒/๔๖๖/๓๓๕. บาลีอีกแห่งหน่งึ กลา่ วถงึ ตถาคตพลเพียง ๕ ดังท่ีมอี ยใู่ นหัวข้อถดั ลงไปจาก) ทรงมีตถาคตพลห้าอยา่ ง๑ ภิกษุ ท.! เราถึงแล้วซ่ึงอภิญญาโวสานบารมี ในธรรม ท. ที่ไม่เคยฟ๎ง มาแต่ก่อน จึงปฏิญญาภิกษุ ท.! ตถาคตพละของตถาคต ๕ อย่างเหล่านี้ อัน เปน็ กําลงั ที่ตถาคตประกอบพรอ้ มแลว้ จึงปฏญิ ญาตําแหน่งจอมโลก บันลอื สีหนาท ประกาศพรหมจักรให้เป็นไปในท่ามกลางบริษัทท้ังหลาย. ห้าอย่างเหล่าไหนเล่า? ห้าอยา่ งคือ สัทธาพละ หิริพละ โอตตัปปพละ วริ ยิ พละ ปญ๎ ญาพละ. ภิกษุ ท.! เหล่านี้แล ตถาคตพละของตถาคต ๕ อย่าง อันเป็นกําลัง ทต่ี ถาคตประกอบพร้อมแลว้ จงึ ปฏิญญาตําแหนง่ จอมโลก บันลอื สหี นาท ประกาศ พรหมจกั รให้เปน็ ไปในทา่ มกลางบรษิ ทั ทงั้ หลาย. ทรงทราบอนิ ทรยี อ์ ันย่ิงหย่อนของสตั ว์๒ (คาํ อธิบายทสพลญาณขอ้ ทห่ี ก) อุทายิ ! บุคคล ๔ จําพวกเหล่าน้ี มีอยู่ในโลก. สี่จําพวกเหล่าไหน เล่า? สจ่ี ําพวก คอื :- อุทายิ ! บุคคลบางคนในกรณีน้ี เป็นผู้ปฏิบัติเพ่ือละ เพื่อสลัดคืนซึ่ง อุปธิ ความดําริอันซ่านไป (สรสงฺกปฺปา) ซ่ึงประกอบด้วยอุปธิ กลุ้มรุมเขาอยู่; เขา ทนมคี วามดาริอนั ซา่ นไปเหลา่ นั้น ไมล่ ะเสยี ไมบ่ รรเทาเสีย ไม่กระทาํ ให้สนิ้ สุด ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี ปํจฺ ก. อํ. ๒๒/๑๐/๑๑. ตรัสแกภ่ ิกษุทงั้ หลาย. ๒. บาลี ลฑกุ ิโกปมสตู ร ม.ม. ๑๓/๑๘๗/๑๘๑. ตรัสแก่พระอทุ ายี ทอ่ี าปณนิคมแควน้ องั คตุ ตราปะ. กลบั ไปสารบัญ
๑๓๘ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ เสีย ไม่กระทําให้ถึงซ่ึงความไม่มี; อุทายิ ! เราย่อมกล่าวบุคคลน้ีแล ว่า เป็น ผู้ประกอบอยู่ด้วยกิเลส (สํยุตฺโต) หาใช่เป็นผู้ปราศจากกิเลส (วิสํยุตฺโต) ไม่. เพราะเหตุไรเราจึงกล่าวอย่างน้ัน? อุทายิ ! เพราะหตุว่า เรารู้ความย่ิงหย่อน แหง่ อนิ ทรีย(์ ท่มี อี ยู)่ ในบคุ คลน.ี้ อุทายิ ! แต่ว่าบุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ปฏิบัติเพ่ือละ เพื่อสลัดคืน ซึ่งอุปธิ ความดําริอันซ่านไป ซึ่งประกอบด้วยอุปธิ กลุ้มรุมเขาอยู่; เขาไม่ทน มีความดาริอันซ่านไปเหล่านั้น เขาละอยู่ บรรเทาอยู่ กระทําให้สิ้นสุดอยู่ กระทํา ให้ถึงซ่ึงความไม่มีอยู่; อุทายิ! เราย่อมกล่าวบุคคลแม้นี้ ว่า ยังเป็นผู้ประกอบอยู่ ด้วยกเิ ลส หาใชเ่ ป็นผปู้ ราศจากกิเลสไม่ อยู่นั่นเอง. เพราะเหตุไรเราจึงกล่าวอย่าง นน้ั ? อทุ ายิ ! เพราะเหตวุ า่ เรารคู้ วามยง่ิ หยอ่ นแหง่ อนิ ทรีย์ (ทมี่ ีอยู)่ ในบุคคลนี.้ อุทายิ ! แต่ว่าบุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อละ เพ่ือสลัดคืนซึ่ง อุปธิ; เพราะการหลงลืมแห่งสติในกาลบางคราว ความดําริอันซ่านไป ซึ่งประกอบด้วยอุปธิ ก็กลุ้มรุมเขาอยู่; อุทายิ ! (ระยะเวลาท่ี) สติ (จะกลับ) เกิดขึ้น ก็ยังช้า (กว่าระยะเวลาที่) เขาทาให้ความดาริน้ันละไป บรรเทาไป ส้ินสุด ไป ถงึ ความไม่มีไปอย่างฉับพลนั , ไปเสยี อีก. อุทายิ ! เปรียบเหมือนบุรุษหยดน้ําสองสามหยด ลงไปในกระทะเหล็ก ที่ร้อนเปร้ียงอยู่ทั้งวัน; (ระยะเวลาท่ี) นํ้าหยดลงไป ยังช้า (กว่าระยะเวลาท่ี) นํ้านั้นถึงซึ่งความเหือดแห้งหายไปอย่างฉับพลัน, ฉันใด; อุทายิ ! ข้อน้ีก็ฉันน้ัน เหมือนกัน กล่าวคือ บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อละ เพ่ือสลัดคืน ซ่ึงอุปธิ; เพราะการหลงลืมแห่งสติในกาลบางคราว ความดําริอันซ่านไป ซ่ึงประกอบด้วยอุปธิ ก็กลุ้มรุมเขาอยู่; อุทายิ ! (ระยะเวลาท่ี) สติ (จะกลับ) เกิดข้ึนกย็ ังชา้ กลับไปสารบัญ
ได้ตรสั รู้แล้ว – โปรดป๎ญจวัคคีย์ ๑๓๙ (กว่าระยะเวลาท่ี) เขาทําให้ความดํารินั้นละไป บรรเทาไป สิ้นสุดไป ถึงความไม่มี ไปอย่างฉับพลัน, ไปเสียอีก; อุทายิ ! เราย่อมกล่าวบุคคลแม้น้ี ว่า ยังเป็น ผู้ประกอบอยู่ด้วยกิเลส หาใช่เป็นผู้ปราศจากกิเลสไม่ อยู่นั่นเอง. เพราะเหตุไรเรา จึงกลา่ วอยา่ งนั้น? อทุ ายิ ! เพราะเหตุว่า เรารู้ความยิ่งหย่อนแห่งอินทรีย์ (ท่ีมีอยู่) ในบคุ คลน้ี. อุทายิ ! ก็แต่ว่า บุคคลบางคนในกรณีน้ี รู้แจ้งว่า \"อุปธิเป็นมูลแห่งทุกข์\" ดังน้ีแล้ว เป็นผู้ปราศจากอุปธิ หลุดพ้นแล้วเพราะความสิ้นแห่งอุปธิ; อุทายิ ! เราย่อมกล่าวบุคคลนี้แล ว่าเป็นผู้ปราศจากกิเลส หาใช่เป็นผู้ประกอบอยู่ ด้วยกิเลสไม่. เพราะเหตุไรเราจึงกล่าวอย่างนั้น? อุทายิ ! เพราะเหตุว่าเรารู้ความ ยิ่งหย่อนแหง่ อินทรีย์ (ทีม่ ีอย)ู่ ในบุคคลน.้ี อทุ ายิ ! บคุ คล ๔ จําพวกเหล่านี้แล มอี ยู่ในโลก. หมายเหตุ: ข้อความท่ีกล่าวน้ี อาจจะเข้าใจยาก สําหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับสํานวนบาลี จึงขอสรุปความใหด้ ังนี้ : พวกที่หนง่ึ ปฏบิ ัติเพอ่ื ละอุปธิ ครัน้ เกิดสรสังกัปปะความคดิ ทเ่ี ปน็ กิเลส เน่ืองมาแต่อุปธิเขาทนต่อสรสังกัปปะน้ัน ไม่มีการละการบรรเทาซึ่งสังกัปปะ เขายังเป็น สํยุตตโต คือประกอบอยู่ด้วยอุปธิ. พวกท่ีสอง เม่ือเกิดสรสังกัปปะ เขาไม่ยอมทน แต่พยายาม เพ่ือละเพ่ือบรรเทาซึ่งสังกัปปะน้ัน ยังละไม่ได้ ก็ยังเป็นสํยุตโตอยู่เช่นเดียวกัน. พวกท่ีสาม ปฎิบัติเพื่อละอุปธิ เกิดสรสังกัปปะเม่ือเขาเผลอในบางคราวยังไม่ทันทําสติให้เกิดข้ึน เขาละ สรสังกัปปะได้ แต่ก็ยังเป็นสํยุตโตอยู่นั่นเอง เพราะยังละอุปธิไม่ได้. พวกท่ีส่ี รู้แจ้งด้วยป๎ญญา ถึงข้อท่ีอุปธิเป็นมูลแห่งทุกข์ แล้วหลุดพ้นแล้วเพราะส้ินอุปธิ นี้เรียกว่าเป็นวิสํยุตโต ผู้ไม่ ประกอบอยดู่ ว้ ยอปุ ธ.ิ สี่พวกนแี้ สดงความตา่ งแหง่ อนิ ทรีย์ซงึ่ ทรงทราบไดด้ ้วยพระญาณ. ยังมีบาลีอีกแห่งหนึ่ง ทํานองจะแสดงเรื่องอินทร๎ ิยปโรปริยัตญาณด้วยเหมือนกัน หากแก่เรียกโดยชื่ออ่ืน ว่าปุริสินท์ริยญาณ; แสดงอินทรีย์ของสัตว์ ๖ ประเภท คือ พวกทีห่ น่งึ อกศุ ลปรากฏ, กุศลไมป่ รากฏ แตก่ ุศลมลู มีอยู่ จงึ ไม่เสือ่ มอกี ต่อไป. กลบั ไปสารบัญ
๑๔๐ พุทธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ พวกท่ีสอง กุศลปรากฏ อกุศลไม่ปรากฏ แต่อกุศลมูลมีอยู่จึงเสื่อมต่อไป. พวกท่ีสามไม่มีธรรม ขาวเลย มีแต่ธรรมดํา ตายไปอบาย. พวกที่สี่ อกุศลปรากฏ กุศลไม่ปรากฏ กุศลมูลถูกถอน จึง เส่ือมต่อไป. พวกท่ีห้า กุศลปรากฏ อกุศลไม่ปรากฏอกุศลมูลถูกถอน จึงไม่เสื่อมต่อไป. พวกที่ หก มีแต่ธรรมขาวโดยส่วนเดียวไม่มีธรรมดําเลย จักปรินิพพานในทิฎฐธรรม. ดังนี้ก็เป็นการ แสดงความต่างแห่งอินทรีย์ของสัตว์. ผู้สนใจพึงอ่านรายละเอียดจากบาลี สูตรท่ี ๘ ปฐมวรรค ทตุ ิยปณ๎ ณาสก์ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๔๕๑/๓๓๓. -ผ้รู วบรวม. ทรงมีและทรงแสดงยถาภูตญาณที่ทาใหแ้ จง้ อธมิ ตุ ติบท ท.๑ อานนท์ ! ธรรมคือญาณเหล่าใด เป็นไปเพ่ือกระทําให้แจ้งด้วยป๎ญญา อันย่ิง ซ่ึงอธิมุตติบท(ธรรมท่ีต้องปล่อยวางทุกอย่างทุกประการ) ท. เหล่าน้ัน; อานนท์! เราเป็นผู้แกล้วกล้า รู้เฉพาะในธรรมคือญาณเหล่าน้ัน เพื่อจะแสดง ซึ่งธรรมอันเป็นธรรมชาติแห่งอธิมุตติบท ท. เหล่าน้ัน โดยประการที่ผู้ปฎิบัติแล้ว จักรู้อธิมุตติบทที่มีอยู่ ว่ามีอยู่, ที่ไม่มีอยู่ ว่าไม่มีอยู่, ท่ีเลว ว่าเลว, ท่ีประณีต ว่า ประณีต, ที่มีส่ิงอ่ืนยิ่งกว่า ว่ามีสิ่งอื่นยิ่งกว่า, ที่ไม่มีส่ิงอื่นยิ่งกว่า ว่าไม่มีส่ิงอ่ืนยิ่ง กว่า; หรืออีกอย่างหน่ึง ผู้ปฏิบัติแล้วน้ันจักรู้ส่ิงที่ควรรู้ หรือว่าจักเห็นสิ่งท่ีควรเห็น หรือว่าจักทําให้แจ้งส่ิงท่ีควรทําให้แจ้ง ดังนี้น้ัน. ข้อนี้เป็นฐานะท่ีมีได้อยู่. อานนท์ ! ญาณน่นั เป็นญาณท่ีไม่มีญาณอ่นื ย่ิงกว่า ในบรรดาญาณ ท. น่นั กค็ ือ ยถาภูตญาณ ในอธิมุตติบท ท. น้ัน ๆ. อานนท์ ! เรากล่าวว่า ญาณอ่ืนที่ยิ่งกว่าประณีตกว่า ญาณน้นั ย่อมไมม่ .ี (ต่อจากน้ี ได้ทรงแสดงตถาคตพลญาณ ๑๐ ในฐานะที่เป็นยถาภูตญาณ อันไม่มีญาณ อ่ืนยิ่งกว่าในกรณีน้ี ดูรายละเอียดที่หน้า ๑๓๕ แห่งหนังสือเล่มนี้ ท่ีหัวข้อว่า \"ทรงมีตถาคตพล ญาณสิบ) ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๓๘/๒๒. ตรสั แก่พระอานนท.์ กลับไปสารบัญ
ได้ตรัสร้แู ลว้ – โปรดป๎ญจวัคคยี ์ ๑๔๑ ทรงมเี วสารัชชญาณส่ีอยา่ ง๑ ภิกษุ ท.! เหล่าน้ีเป็นเวสารัชชญาณส่ีอย่างของตถาคต ที่ตถาคตประกอบ พร้อมแล้ว ปฏิญญาต าแหน่งจอมโลก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักร ในทา่ มกลางบริษัท ท .ได้, สอี่ ยา่ งคอื :- (๑). ตถาคตไม่มองเห็นว่ีแววช่องทางที่จะมีว่า สมณะหรือพราหมณ์, เทพ, มาร, พรหม, หรือใครๆ ในโลก จักโจทท้วงเราได้ด้วยท้ังเหตุผลว่า \"ธรรมเหล่าน้ีๆ อันท่านผู้ปฏิญญาตนเป็นสัมมาส ัมพุทธะอยู่ ไม่ได้รู้พร้อมเฉพาะแล้ว\" ดังน้ี. ภิกษุ ท.! ตถาคตเมื่อมองหาไม่เห็นวี่แววอันนั้น จึงเป็นผู้ถึงความเกษม ถึงความ ไมก่ ลวั ถงึ ความเป็นผกู้ ล้าหาญอยไู่ ด้. (๒). ตถาคต ไม่มองเห็นว่ีแววช่องทางที่จะมีว่า สมณะหรือพราหมณ์, เทพ, มาร, พรหม,หรอื ใครๆ ในโลก จักโจทท้วงเราได้ด้วยทั้งเหตุผลว่า \"อาสวะเหล่าน้ีๆ อันท่านผู้ปฏิญญาตนเป็นขีณาสพผู้ส้ินอาสวะอยู่ ยังไม่ส้ินรอบแล้ว\" ดังนี้. ภิกษุ ท.! ตถาคตเม่ือมองหาไม่เห็นว่ีแววอันน้ัน จึงเป็นผู้ถึงค วามเกษม ถึงความ ไม่กลวั ถงึ ความเปน็ ผูก้ ล้าหาญอยู่ได.้ (๓). ตถาคตไมม่ องเห็นว่แี ววช่องทางที่จะมวี ่า สมณะหรือพราหมณ์, เทพ, มาร, พรหม,หรอื ใครๆ ในโลก จกั โจทท้วงเราไดด้ ้วยทง้ั เหตผุ ลว่า \"ธรรมเหล่าใด ทีท่ ่านกลา่ วว่าเป็นธรรมทาอ ันตรายแกผ่ เู้ สพ, ธรรมเหลา่ นัน้ ถงึ เม่ือบุคคลเสพอยู่ กห็ าอาจทาอันตรายไม\"่ ดังน.้ี ภิกษุ ท.! ตถาคตเม่ือมองหาไมเ่ ห็นว่แี ววอันนั้น จึงเปน็ ผูถ้ ึงความเกษม ถงึ ความไม่กลวั ถึงความเปน็ ผกู้ ลา้ หาญอยูไ่ ด้. ________________________________________________________________ ๑. บาลี จตกุ ฺก. อ.ํ ๒๑/๑๐/๘ และ มหาสหี นาทสูตร มู.ม. ๑๒/๑๔๔/๑๖๗. กลบั ไปสารบัญ
๑๔๒ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ (๔). ตถาคตไม่มองเห็นว่ีแววช่องทางที่จะมีว่า สมณะหรือพราหมณ์, เทพ, มาร, พรหม, หรือใครๆในโลก จักโจทท้วงเราได้ดว้ ยทั้งเหตผุ ลว่า \"ท่านแสดงธรรม เพ่ือประโยชน์อย่างใด ประโยชน์น ้ันไม่เป็นทางส้ินทุกข์โดยชอบแก่บุคคล ผู้ประพฤติตามธรรมน้ัน\"ดังนี้. ภิกษุ ท.! ตถาคตเม่ือมองหาไม่เห็นวี่แววอันน้ัน จงึ เป็นผถู้ งึ ความเกษม ถึงความไม่กลวั ถงึ ความเป็นผกู้ ล้าหาญอยู่ได้. ภิกษุ ท.! เหล่าน้ีแล เป็นเวสารัชชญาณสี่อย่างของตถาคต อันตถาคต ประกอบพร้อมแล้ว ปฏิญญาตําแหน่งจอมโลก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักร ให้เปน็ ไปในท่ามกลางบริษทั ท้ังหลาย. ทรงประกาศพรหมจักรท่ามกลางบรษิ ัท๑ (: เรอื่ งเบญจขนั ธแ์ ละปฏิจจสมุปบาท) ภิกษุ ท.! ตถาคตเป็นผู้ประกอบด้วยพลญาณ ๑๐ อย่าง และประกอบ ด้วย เวสารัชชญาณ ๔อย่าง จึง ปฏิญญาตาแหน่งจอมโลก บันลือสีหนาท ประกาศ พรหมจกั ร ในท่ามกลางบริษัททั้งหลาย วา่ :- \"รูป คืออย่างนี้ๆ, เหตุให้เกิดรูป คืออย่างน้ีๆ, ความไม่ต้ังอยู่ได้แห่งรูป คือ อย่างน้ีๆ:\" และว่า \"เวทนา คืออย่างนี้ๆ, เหตุให้เกิดเวทนา คืออย่างน้ีๆ, ความไม่ ตั้งอยู่ได้แห่งเวทนา คืออย่างน ี้ๆ\";\" และว่า \"สัญญา คืออย่างนี้ๆ, เหตุให้เกิด สัญญา คืออย่างน้ีๆ, ความไม่ต้ังอยู่ได้แห่งสัญญา คืออ ย่างนี้ๆ:\" และว่า \"สังขาร ทัง้ หลาย คืออยา่ งนๆ้ี , เหตุให้เกดิ สงั ขารทั้งหลาย คืออยา่ งนๆ้ี , ความไม่ตง้ั ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี สตู รท่ี ๑ ทสพลวรรค นทิ านสํยตุ ต์ นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๓๓/๖๔. ตรสั แก่ภกิ ษุ ท. ที่เชตวนั . ทรงประกาศพรหมจกั ร คือ เร่ืองเบญจขนั ธ์และปฏจิ จสมปุ บาท, ด้วยเคร่ืองมือ คือทสพล ญาณสิบ และเวสารัชชญาณส่ี นัน่ เอง. กลบั ไปสารบัญ
ได้ตรัสรูแ้ ล้ว – โปรดป๎ญจวคั คยี ์ ๑๔๓ อยู่ได้แห่งสังขารท้ังหลาย คืออย่างนี้ๆ;\" และว่า \"วิญญาณ คืออย่างน้ีๆ, เหตุให้ เกดิ วิญญาณ คอื อยา่ งน ี้ ๆ, ความไมต่ งั้ อยู่ไดแ้ หง่ วิญญาณ คืออย่างน้ๆี ;\" และว่า \"เพราะสิ่งน้ีมี สิ่งน้ีจึงมี; เพราะสิ่งน้ีเกิดขึ้น ส่ิงนี้จึงเกิดขึ้น. เพราะสิ่งน้ีไมม่ ี ส ่งิ นีจ้ งึ ไม่ม;ี เพราะสง่ิ นด้ี บั ส่ิงน้ีจึงดับ : ขอ้ น้ีได้แกค่ วามท่:ี - เพราะมอี วิชชาเปน็ ปจ๎ จยั จึงมีสงั ขารทัง้ หลาย; เพราะมีสังขารเป็นปจ๎ จัย จงึ มีวิญญาณ;• เพราะมีวิญญาณเป็นปจ๎ จยั จึงมนี ามรูป; เพราะมนี ามรปู เปน็ ป๎จจัย จงึ มีสฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะเป็นป๎จจัย จงึ มผี ัสสะ; เพราะมีผสั สะเปน็ ป๎จจยั จึงมเี วทนา; เพราะมเี วทนาเป็นปจ๎ จัย จงึ มตี ณั หา; เพราะมีตณั หาเป็นปจ๎ จยั จึงมีอปุ าทาน; เพราะมอี ุปาทานเปน็ ป๎จจยั จงึ มภี พ; เพราะมภี พเป็นปจ๎ จยั จึงมชี าติ; เพราะมีชาติเป็นป๎จจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัส- อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดข้ึนครบถ้วน : ความเกิดข้ึนพร้อมแห่งกองทุกข์ ทั้งส้ินน้ี ยอ่ มมีด้วยอาการอยา่ งน้ี. เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลอื แห่งอวิชชานนั้ นนั่ เทียว, จึงมคี วามดบั แหง่ สงั ขาร; เพราะมคี วามดับแห่งสังขาร จงึ มคี วามดับแหง่ วิญญาณ; เพราะมีความดับแหง่ วิญญาณ จึงมคี วามดบั แหง่ นามรูป; เพราะมีความดบั แห่งนามรปู จึงมีความดับแหง่ สฬายตนะ; กลบั ไปสารบัญ
๑๔๔ พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ เพราะมคี วามดับแห่งสฬายตนะ จึงมคี วามดับแห่งผัสสะ; เพราะมคี วามดบั แหง่ ผัสสะ จึงมคี วามดบั แห่งเวทนา; เพราะมคี วามดบั แหง่ เวทนา จึงมีความดับแห่งตณั หา; เพราะมคี วามดับแห่งตณั หา จงึ มีความดบั แห่งอปุ าทาน; เพราะมคี วามดบั แหง่ อุปาทาน จงึ มีความดบั แหง่ ภพ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมคี วามดบั แห่งชาติ; เพราะมคี วามดบั แห่งชาตนิ นั่ แล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะ- โทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ ท้ังสิ้นน้ี ย่อมมี ด้วยอาการอย่างน\"ี้ ดังน้ี แล. ทรงมวี ิธี \"รุก\" ข้าศึกให้แพ้ภัยตวั ๑ (เรื่องในช้ันแรกมีอยู่ว่า ปริพพาชกช่ือสรภะ เคยบวชอยู่ในธรรมวินัยนี้ แล้วละท้ิง ไปบวชเป็นปริพพาชก เที่ยวร้องประกาศอยู่ว่า คนรู้ถึงธรรมวินัยของพวกสมณสากยบุตร ท่ัวถึงแล้ว ไม่เห็นดีอะไรจ ึงหลีกมาเสีย. ครั้นความนี้ทราบถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เสด็จ ไปสู่อารามของปริพพาชกพวกนั้น และสนทนากันในกลางท่ีประชุมปริพพาชก. ทรงถาม เฉพาะสรภะปริพพาชก ให้บรรยายออกไปว่า ธรรมวินัยข องพวกสมณสากยบุตรน้ันเป็น อยา่ งไร). ตรัสว่า:- ดูก่อนสรภะ ! ได้ยินว่าท่านกล่าวดังน้ีจริงหรือว่า \"ธรรมของพวกสมณ สากยบุตรน้ัน เรารู้ท ่ัวถึงแล้ว เพราะรู้ทั่วถึงน่ันเอง จึงหลีกมาเสียจากธรรมวินัย นัน้ \" ดงั น้ี. (ไมม่ คี ําตอบ, จงึ ตรัสถามเป็นคร้งั ท่ีสอง :-) ดูก่อนสรภะ ! ท่านจงพูดไปเถิดว่า ท่านรู้ท่ัวถึงธรรมของพวกสมณ สากยบุตรอยา่ งไร. ถา้ ทา่ นพดู ไม่ครบถว้ น เราจะช่วยพดู เตมิ ใหค้ รบถ้วน. ถา้ ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี ติก. อํ. ๒๐/๒๓๘/๕๐๔. ตรัสแก่ปรพิ พาชกท้ังหลาย ริมฝ่๎งแม่น้ําสปั ปนิ .ี กลับไปสารบัญ
ไดต้ รัสรแู้ ล้ว – โปรดปญ๎ จวัคคยี ์ ๑๔๕ คําของท่านครบถ้วนถกู ตอ้ งดแี ล้ว เราจกั อนุโมทนา. (น่งิ ไม่มีคําตอบอีก จงึ ตรัสถามเป็น ครั้งที่สาม :-) ดูก่อนสรภะ ! ท่านจงพูดเถิด. ธรรมวินัยของพวกสมณสากยบุตรนั้นเรา เปน็ ผบู้ ญั ญัตเิ อง เรายอ่ มรู้ดี. ถ้าท่านพูดไม่บริบูรณ์ เราจะช่วยพูดเติมให้บริบูรณ์, ถ้าท่านพูดได้บริบูรณ์ เราก็จักอนุโมทนา. (น่ิงไม่มีคําตอบ, ในท่ีสุดพวกปริพพาชกด้วยกัน ช่วยกันรุมขอร้องให้สรภะปริพพาชกพูด. สรภะก็ย ังคงนิ่งตามเดิม. พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส ขอ้ ความน้ี :-) ดูก่อนปริพพาชกทั้งหลาย ! ถ้าผู้ใดกล่าวหาเราว่า \"ท่านอวดว่าท่านเป็น สัมมาสัมพุทธะ แ ต่ธรรมเหล่าน้ัน ท่านยังไม่รู้เลย\" ดังนี้. เราก็จักซักไซ้สอบถามไล่เลียง เขาให้เป็นอย่างดี (ถึงข้อธ รรมที่เขาว่าเราไม่รู้ แต่เขารู้). เขาน้ัน ครั้นถูกเราซักไซ้ สอบถามไล่เลียงเป็นอย่างดีแล้ว ย่อมหมดห นทาง ย่อมเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากจะตกอยู่ในฐานะลําบาก ๓ ประการอย่างใดอย่างหน่ึง คือตอบถลากไถล นอกลู่นอกทางบ้าง, แสดงความขุ่นเคืองโกรธแค้น น้อยอกน้อยใจออกมา ให้ปรากฏบ้าง, หรือต ้องน่ิงอ้ัน หมดเสียง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่มี คาํ พดู หลุดออกมาได้ เหมือนอย่างสรภะปรพิ พาชกนบ้ี ้าง. ดูก่อนปริพพาชกท้ังหลาย ! ถ้าผู้ใดกล่าวหาเราว่า \"ท่านอวดว่าท่านส้ิน อาสวะ.แต่อาสวะเหล่านี้ๆ ของท่านยังมีอยู่\" ดังน้ี. เราก็จักซักไซ้สอบถามไล่เลียงเขาให้ เป็นอย่างดี (ถึงอาสวะที่เขาว ่ายังไม่ส้ิน). เขาน้ัน คร้ันถูกเราซักไซ้สอบถาม ไล่เลยี งเป็นอย่างดแี ล้ว ย่อมหมดหนทาง ย่อมเป็นอ ย่างอ่ืนไม่ได้นอกจากจะตกอยู่ ในฐานะลําบาก ๓ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือตอบถลากไถลนอกลู่นอกท าง บ้าง, แสดงความขุ่นเคือง โกรธแค้น น้อยอกน้อยใจ ออกมาให้ปรากฏบ้าง, หรือ ต้องนิ่งอั้น หมดเสียง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่มีคําพูดหลุดออกมาได้ เหมอื นอยา่ งสรภะปริพพาชกน้ีบ้าง. กลับไปสารบัญ
๑๔๖ พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ ดูก่อนปริพพาชกท้ังหลาย ! ถ้าผู้ใดกล่าวหาเราว่า \"ท่านแสดงธรรมเพื่อ ประโยชน์อันใด ป ระโยชน์อันนั้น ไม่เป็นทางส้ินทุกข์โดยชอบแก่บุคคลผู้ประพฤติตาม\" ดังน้ี. เราก็จักซักไซ้สอบถามไลเ่ ลียงเขาให้เป็นอย่างดี (ถึงประโยชน์ที่เขาว่าจะเป็นทางส้ินทุกข์ โดยชอบแกบ่ ุคคลผปู้ ระพฤตติ าม). เขานั้น คร้นั ถกู เราซักไซ้สอบถามไล่เลียงเป็นอย่างดี แล้ว ยอ่ มหมดหนทาง ย่อมเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจ ากจะตกอยู่ในฐานะลําบาก ๓ ประการ อย่างใดอย่างหน่ึง คือตอบถลากไถลนอกลู่นอกทางบ้าง, แสดงค วาม ขุ่นเคือง โกรธแค้น น้อยอกน้อยใจ ออกมาให้ปรากฏบ้าง, หรือต้องน่ิงอั้น หมดเสียง เก้อเขิน ค อตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่มีคําพูดหลุดออกมาได้ เหมือนอย่าง สรภะปริพพาชกนบ้ี ้าง. ทรงมีธรรมสหี นาทที่ทาเทวโลกใหส้ ั่นสะเทอื น๑ ภิกษุ ท.! พญาสัตว์ช่ือสีหะ ออกจากถํ้าที่อาศัยในเวลาเย็น เหยียดกายแล้ว เหลียวดูทิศท้ังส ี่โดยรอบ บันลือสีหนาทสามครั้งแล้วก็เท่ียวไปเพ่ือหาอาหาร. บรรดาสัตว์เดรัจฉานเหล่าใดที่ได้ยินสีหนาท สัตว์เหล่านั้นก็สะดุ้งกลัวเหี่ยวแห้งใจ, พวกท่ีอาศัยโพรงก็เข้าโพรง ที่อาศัยนํ้าก็ลงน้ํา พวกอยู่ป ุาก็เข้าปุา ฝูงนกก็โผข้ึน สู่อากาศ, เหล่าช้างของพระราชาในหมู่บ้าน นิคมและเมืองหลวง ที่เขาผูกล ่ามไว้ ด้วยเชอื กอันเหนียว กพ็ ากันกลัว กระชากเชอื กใหข้ าด แลว้ ถา่ ยมตู รและกรีสพลาง แล่นหนีไปพลาง ท ้ังข้างโน้นและข้างนี้. ภิกษุ ท.! พญาสัตว์ช่ือสีหะ เป็นสัตว์มีฤทธิ์ มาก มศี ักดิ์มาก มีอานภุ าพมากกวา่ บ รรดาสัตวเ์ ดรัจฉาน ด้วยอาการอยา่ งนี้แล. ภกิ ษุ ท.! ฉนั ใดก็ฉันนน้ั : ในกาลใดตถาคตอุบตั ิข้ึนในโลก เปน็ พระอรหนั ต์ ตรัสรชู้ อบโดยตนเอง สมบรู ณ์ด้วยวชิ ชาและจรณะ ไปดี รู้แจง้ โลก ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี จตุ กฺก. อ.ํ ๒๑/๔๒/๓๓. กลบั ไปสารบัญ
ได้ตรสั รแู้ ล้ว – โปรดป๎ญจวัคคยี ์ ๑๔๗ เป็นผู้ฝกึ บุรษุ ทพี่ อฝกึ ได้ไม่มีใครย่ิงไปกว่า เป็นครูสอนเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้ปลุก สัตว์ให้ต่ืน เป็นผู้จําแนกธรรม. ตถาคตน้ันแสดงธรรมว่า สักกายะ (คือทุกข์) เป็น เช่นนี้ เหตุให้เกิดสักกายะเป็นเช่นน้ี ความดับไม่เหลือแห่งสักกายะเป็นเช่นนี้ ทาง ใหถ้ ึงความดบั ไมเ่ หลือแห่งสักกายะเป็นเช่นนี้.๑พวกเทพเหล่าใดเป็นผู้มีอายุยืนนาน มีวรรณะ มากไปด้วยความสุข ดํารงอยู่นมนานมาแล้วในวิมานช้นั สงู , พวกเทพนั้นๆ โดยมาก ได้ฟ๎งธรรมเทศนาของตถาคตแล้วก็สะดุ้งกลัว เห่ียวแห้งใจ สํานึกได้ว่า \"ทา่ นผ้เู จรญิ เอย๋ ! พวกเราเมอื่ เป็นผู้ไม่เที่ยง ก็มาสําคัญว่าเป็นผู้เท่ียง เม่ือไม่ย่ังยืน ก็มาสําคัญว่าย่ังยืน เม่ือไม่มั่นคงก็มาสําคัญว่าเราเป็นผู้มั่นคง. พวกเราทั้งหลาย เป็นผู้ไมเ่ ท่ยี ง ไม่ย่ังยนื ไม่มน่ั คงและถึงท่ัวแล้วซงึ่ สักกายะ คอื ความทกุ ข์\" ดังนี้. ภิกษุ ท.! ตถาคตเป็นผู้มีฤทธ์ิมาก ศักด์ิมาก อานุภาพมาก กว่าสัตว์โลก พรอ้ มทัง้ เทวโลกดว้ ยอาการอยา่ งนี้แล. ทรงเปรียบการกระทาของพระองค์ ดว้ ยการกระทาของสีหะ๒ ภิกษุ ท.! สีหมิคราชา ออกจากที่อาศัย ในเวลาเย็น; คร้ันออกจากที่อาศัย แล้ว ก็เหยียดยืดตัว ; ครั้นเหยียดยืดตัวแล้ว ก็เหลียวดูทิศทั้งสี่ โดยรอบ ; คร้ันเหลียวดูทิศท้ังสี่โดยรอบแล้ว ก็บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง ; ครั้นบันลือสีหนาท ๓ ครงั้ แลว้ กอ็ อกไปสู่ทีห่ ากิน. ขอ้ นน้ั เพราะเหตไุ รเลา่ ? ขอ้ นน้ั เพราะเหตวุ ่า ____________________________________________________________________________ ๑. ในบาลี ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๐๓/๑๕๕ ทรงแสดงลักษณะ, สมุทัย, อตั ถงั คมะ แห่งเบญจขันธ์ แทนเรอื่ งสกั กายะ ๔ ประการ ดังท่ีกลา่ วข้างบนน,้ี โดยขอ้ ความท่เี หมอื นกนั . ๒. บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๓๔/๒๑. ตรสั แก่ภกิ ษุทงั้ หลาย. กลบั ไปสารบัญ
๑๔๘ พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ สีหมิคราชานั้นมีความคิดว่า เราอย่าต้องทําให้สัตว์เล็กๆ ที่อยู่ในพื้นที่อันขรุขระ ต้องถึงซง่ึ ความลาํ บากเลย, ดงั น้ี. ภิกษุ ท.! คาว่า \"สีหะ\" นี้แล เป็นคาแทนช่ือแห่งตถาคตผู้อรหันต- สัมมาสัมพุทธะ. ภิกษุ ท.! ข้อที่ ตถาคตแสดงธรรมแก่บริษัท นั้น เป็นคําแทนชื่อของการ บันลือสีหนาท. ภิกษุ ท.! ตถาคตพละของตถาคต ๑๐ อย่างเหล่าน้ี ที่ตถาคต ประกอบพร้อมแล้ว จึงปฏิญญาตําแหน่งจอมโลก บันลือสีหนาท ประกาศ พรหมจักรให้เป็นไปในบริษัททั้งหลาย. (สําหรับตถาคตพลญาณทั้ง ๑๐ ซ่ึง เป็นคุณลักษณะของผู้สามารถบันลือสีหนาทน้ัน พึงดูรายละเอียดท่ีหน้า ๑๓๕ - ๑๓๖ แหง่ หนงั สือเล่มนี้). ทรงมีธรรมสีหนาทอย่างองอาจ๑ กัสสปะ ! น้ีเป็นเร่ืองที่อาจมีได้เป็นได้ คือเหล่าปริพพาชกผู้เป็นเดียรถีย์ เหล่าอื่นจะพึงกล่าวว่า \"พระสมณโคดม บันลือสีหนาทก็จริงแล แต่บันลือในที่ ว่างเปล่า หาใช่บันลือในท่ามกลางบริษัทไม่\" ดังนี้ ส่วนท่านอย่าพึงกล่าวเช่นนั้น แต่พึงกล่าว (ตามท่ีเป็นจริง) อย่างน้ีว่า \"พระสมณโคดมย่อมบันลือสีหนาท ในทา่ มกลางบรษิ ัท ท. หาใช่บันลือในทีว่ ่างเปลา่ ไม\"่ . กัสสปะ ! น้ีก็เป็นเร่ืองท่ีอาจมีได้ เป็นได้ คือเหล่าปริพพาชกผู้เป็นเดียรถีย์ เหล่าอ่นื จะพึงกลา่ วว่า \"พระสมณโคดม บันลือสีหนาทในท่ามกลางบริษทั ก็จรงิ ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี สี.ท.ี ๙/๒๑๙/๒๗๒. ตรสั แก่อเจลกัสสปะ ทก่ี ณั ณกถลมิคทายวัน ใกล้เมอื งอุชญุ ญา. เรือ่ งตอนนท้ี จ่ี รงิ ควรนาํ ไปจดั ไว้ ในตอนทไ่ี ดป้ ระกาศพระศาสาแล้ว, แตเ่ ป็นเพราะเหน็ ว่า เป็นจาํ พวกคณุ สมบตั ขิ องพระพุทธเจา้ ส่วนหน่งึ จงึ กลา่ วเสยี ในตอนนี้ด้วยกนั ทั้งมีเนื้อความ เนอ่ื งกนั อยู่ด้วย.... - ผู้รวบรวม. กลบั ไปสารบัญ
ได้ตรัสรู้แล้ว – โปรดป๎ญจวัคคยี ์ ๑๔๙ แต่หาได้บันลืออย่างองอาจไม่\" ดังนี้. ส่วนท่านอย่าพึงกล่าวเช่นนั้น แต่พึงกล่าว (ตามท่ีเป็นจริง) อย่างน้ีว่า \"พระสมณโคดมย่อมบันลือสีหนาทในท่ามกลางบริษัท และบนั ลอื อย่างองอาจด้วย\". กัสสปะ ! น้ีก็เป็นเรื่องที่อาจมีได้เป็นได้ คือ เหล่าปริพพาชกผู้เป็นเดียรถีย์ เหล่าอื่นจะพึงกล่าวว่า \"พระสมณโคดม บันลือสีหนาทในท่ามกลางบริษัทอย่าง องอาจก็จริงแล แต่ว่าหาได้มีใครถามป๎ญหาอะไรกะเธอ (ในท่ีน้ัน) ไม่, และถึงจะ ถูกถาม เธอก็หาพยากรณ์ได้ไม่, และถึงจะพยากรณ์ก็ไม่ทําความชอบใจให้แก่ผู้ฟ๎ง ได้, และถึงจะทําความชอบใจให้แก่ผู้ฟ๎งได้ เขาก็ไม่สําคัญถ้อยคําน้ันๆ ว่าเป็นส่ิง ควรฟ๎ง,และถึงจะสําคัญว่าเป็นส่ิงควรฟ๎ง ก็ไม่เล่ือมใส, และถึงจะเล่ือมใส ก็ไม่ แสดงอาการของผู้เลื่อมใส, และถึงจะแสดงอาการของผู้เล่ือมใส ก็ไม่ปฏิบัติตาม คําสอนนั้น, และถึงจะปฏิบัติตามคําสอนน้ัน ก็ไม่ปฏิบัติอย่างอ่ิมอกอิ่มใจ\" ดังน้ี. ส่วนท่านอย่าพึงกล่าวเช่นน้ัน แต่พึงกล่าวอย่างน้ีว่า\"พระสมณโคดมบันลือสีหนาท ท่ามกลางบริษัทอย่างแกล้วกล้า มีผู้ถามป๎ญหา, ถูกถามแล้วก็พยากรณ์, ด้วยการ พยากรณ์ ย่อมทําจิตของผู้ฟ๎งให้ชอบใจ, ผู้ฟ๎งย่อมสําคัญถ้อยคํานั้นๆ ว่าเป็นส่ิง ควรฟ๎ง ฟ๎งแล้วก็เลื่อมใส, เล่ือมใสแล้วก็แสดงอาการของผู้เล่ือมใส, และปฏิบัติ ตามคําสอนน้นั , ปฏบิ ัติแล้ว ก็เป็นผูอ้ ่มิ อกอ่มิ ใจได้\"ดังน้ี. กัสสปะ ! ครั้งหน่ึงเราอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฎใกล้กรุงราชคฤห์. ปริพพาชก ผู้เป็นสพรหมจารีของท่านคนหน่ึง ช่ือว่า นิโครธะ ได้ถามป๎ญหาเร่ืองการเกียดกัน บาปอย่างยิ่งกะเรา ณ ที่นั้น. เราได้พยากรณ์แก่เขา. ในการพยากรณ์นั้นเขา ได้รับความพอใจย่ิงกวา่ ประมาณ( คอื ยิ่งกวา่ ทเ่ี ขาคาดไวก้ ่อน). กลบั ไปสารบัญ
๑๕๐ พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ - ภาค ๓ สิง่ ทใ่ี คร ๆ ไม่อาจท้วงตงิ ได้๑ ภิกษุ ท.! ตถาคตเปน็ ผูท้ ใ่ี ครๆ ไมอ่ าจทว้ งติงได้ดว้ ยธรรม ๓ อยา่ งคือ:- ภิกษุ ท.! (๑) ตถาคตมีธรรมอันตนกล่าวไว้ดีแล้ว, ในธรรมนั้น ๆตถาคตไม่ มองเห็นวี่แววช่องทางที่จะมีว่า สมณะหรือพราหมณ์, เทพ, มาร, พรหม,หรือใครๆ ในโลก จักท้วงติงเราได้ด้วยทั้งเหตุผลว่า \"ท่านไม่ใช่เป็นผู้มีธรรมอันตนกล่าวไว้ดี แล้ว เพราะเหตุเชน่ นี้ๆ\" ดงั น้ี. ภิกษุ ท.! (๒) ปฏิปทาเครื่องทําผู้ปฏิบัติให้ถึงพระนิพพาน เป็นส่ิงที่ เราบัญญัติไว้ดีแล้ว แก่สาวกท้ังหลาย, -โดยอาการที่สาวกท้ังหลายของเราปฏิบัติ แล้วย่อมกระทาํ ใหแ้ จ้งซ่ึงเจโตวิมุตติ ป๎ญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะความสิ้น ไปแห่งอาสวะ ท. ได้ด้วยป๎ญญาอันย่ิงเอง ในธรรมอันตนเห็นแล้วน่ีเองเข้าถึง วิมุตติน้ันแล้วแลอยู่. ในปฏิปทาน้ันๆ ตถาคตไม่มองเห็นว่ีแววช่องทางท่ีจะมีว่า สมณะหรือพราหมณ์, เทพ, มาร, พรหม, หรือใครๆ ในโลก จักท้วงติงเราได้ด้วย ท้ังเหตุผลว่า \"ปฏิปทาเครือ่ งทาํ ผ้ปู ฏบิ ตั ิให้ถึงพระนิพพาน เป็นสิ่งที่ท่านบัญญัติไว้ดี แลว้ แกส่ าวกท้ังหลาย, -โดยอาการที่ ฯลฯ แล้วแลอยู่ กห็ าไม่\"ดังนี้. ภิกษุ ท.! (๓) สาวกบริษัทของเรา นับด้วยร้อยเป็นอเนก ที่ได้ทําให้แจ้ง เจโตวิมุตติ ป๎ญญาวิมุตติ๒ฯลฯ. ในข้อนั้น เราไม่มองเห็นว่ีแววช่องทางที่จะมีว่า สมณะหรือพราหมณ์, เทพ, มาร,พรหม, หรือใคร ๆ ในโลกจักท้วงติงเราได้ด้วยท้ัง เหตุผลว่า \"สาวกบริษัทของท่าน มีนับด้วยร้อยเป็นอเนกก็หามิได้ ที่ได้ทําให้แจ้ง เจโตวิมุตติ ป๎ญญาวิมตุ ติ ฯลฯ\" ดังนี.้ ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี สตฺตก. อํ. ๒๓/๘๔/๕๕. ๒. คอื เป็นพระอรหนั ต.์ กลับไปสารบัญ
ไดต้ รัสรแู้ ลว้ -โปรดปญ๎ จวคั คยี ์ ๑๕๑ ภิกษุ ท.! เม่ือเรามองไม่เห็นว่ีแววช่องทางนั้น ๆ ก็เป็นผู้ถึงความเกษมถึง ความไม่กลัวถึงความเป็นผู้กล้าหาญอยู่ได้. นี้แล เป็นสิ่งท่ีใครไม่ท้วงติงตถาคตได้ ๓ อยา่ ง. ไม่ทรงมีความลบั ทตี่ อ้ งใหใ้ ครชว่ ยปกปิด๑ โมคคัลลานะ ! ตถาคตเป็นผู้ที่มี ศีลบริสุทธิ์ ดีอยู่เสมอ จึงปฏิญญาว่าเรา เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์แล้ว. ศีลของเรา บริสุทธ์ิ ขาวผ่อง ไม่เศร้าหมองเลย,สาวก ทั้งหลาย จึงไม่ต้องช่วยกันทําการปูองกันให้ตถาคต ในเร่ืองอันเกี่ยวกับศีล, ทั้งตถาคตกไ็ มห่ วังการปูองกนั จากสาวกท้ังหลาย ในเร่ืองอันเก่ียวกับศลี เลย. โมคคัลลานะ ! ตถาคตเป็นผู้ท่ีมี อาชีวะบริสุทธ์ิ ดีอยู่เสมอ จึงปฏิญญาว่า เราเปน็ ผู้มอี าชีวะบริสุทธแิ์ ลว้ . อาชวี ะของเราบรสิ ทุ ธ์ิ ขาวผ่อง ไม่เศร้าหมองเลย, สาวกท้ังหลาย จึงไม่ต้องช่วยการทําการปูองกันให้ตถาคต ในเรื่องอันเก่ียวกับ อาชีวะ, ทั้งตถาคตก็ไม่หวังการปูองกันจากสาวกทั้งหลาย ในเร่ืองอันเกี่ยวกับ อาชวี ะเลย. โมคคัลลานะ ! ตถาคตเป็นผู้ท่ีมี การแสดงธรรมบริสุทธ์ิ ดีอยู่เสมอ จึงปฏญิ ญาว่า เราเปน็ ผ้มู กี ารแสดงธรรมบริสุทธิ์. การแสดงธรรมของเราบริสุทธ์ิ ขาวผ่อง ไม่เศร้าหมองเลย, สาวกท้ังหลายจึงไม่ต้องช่วยการทําการปูองกันให้ ตถาคต ในเรื่องอันเก่ียวกับการแสดงธรรม, ทั้งตถาคตก็ไม่หวังการปูองกัน จากสาวกทั้งหลาย ในเรอ่ื งอนั เกยี่ วกบั การแสดงธรรมเลย. โมคคัลลานะ ! ตถาคตเป็นผู้ท่ีมี การตอบคาถามบริสุทธ์ิ ดีอยู่เสมอ จึงปฏิญญาว่า เราเป็นผ้มู ีการตอบคําถามบรสิ ุทธ์.ิ การตอบคําถามของเราบริสุทธิ์ ขาวผ่อง ไม่เศร้าหมองเลย, สาวกทั้งหลายจึงไม่ต้องช่วยการทําการปูองกัน ให้ตถาคต ____________________________________________________________________________ ๑. บาลี ปํจฺ ก. อ.ํ ๒๒/๑๔๒/๑๐๐. ตรัสแก่พระมหาโมคคลั ลานะ ทโ่ี ฆสิตาราม ใกลเ้ มือง โกสมั พี กลบั ไปสารบัญ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 754
Pages: