วรรคที่ ๒, นปิ ปปญจวรรค ๗๗ โสดาปต ติมรรคเปนตน ชอ่ื วา นิปปปญจธรรม โดยเกี่ยวกบั เปน อุบายบรรลพุ ระนิพพาน และมีพระนิพพานนนั้ เปน อารมณ, แม สามัญผล ๔ มีโสดาปต ตผิ ลเปน ตน กช็ ื่อวา นปิ ปปญ จธรรม โดย เกี่ยวกับเปนความสาํ เร็จคือการไดบรรลุพระนิพพานตามอุบาย น้ัน และมีพระนิพพานน้ันเปนอารมณ, แตวาในที่น้ี พระเถระ กลา วถึงเพยี งบางสว น คอื สามัญญผล ๔ เทานน้ั . ในสามญั ญผล ๔ อยา งนนั้ ผลคือความเปนพระโสดาบัน ชอื่ วา โสดาปต ตผิ ล, ผลคือความเปนพระสกทาคามีชื่อวา สกทาคามิผล, ผลคือ ความเปนพระอนาคามี ชื่อวา อนาคามิผล, ผลคือความเปน พระอรหันต ชื่อวา อรหัตตผล. ใจความของปญหามีอยูเพียงแคน้ีเทานั้นวา เม่ือ พระพุทธเจาทรงแนะนาํ ใหยินดีเฉพาะในนิปปปญจธรรม และ นิปปปญจธรรมก็ไดแก สามัญญผล ๔ อยางเทานั้น อยางนี้ ไซร เม่ือเปนเชนน้ีก็เปนอันวา กิจอื่น ๆ ทั้งหลาย มีการเรียน การสอบถาม เปนตน อันนอกไปจากการปฏิบัติเพื่อบรรลุ นิปปปญจธรรม ลวนจัดวาเปนกิจที่ไมควรทํา เพราะเหตุไร ภิกษุท้ังหลายจึงยังคงขวนขวายทาํ กิจที่ไมสมควรทําเหลาน้ันกัน อยูเลา. ในคําวา สตุ ตะ เปนตน, วภิ ังค ๒ ฝา ย คือมหาภวิ ังคแ ละ ภิกขุนีวิภังค, ขันธกะ และปริวาระในพระวินัยปฎก, พระสูตร ทั้งหลายในปกรณส ตุ ตนิบาต รวมทง้ั พระพุทธพจนอ นื่ ๆ ทมี่ ชี อ่ื วา “สูตร” สูตรนั้นสูตรน้ี ช่ือวา สุตตะ. สวนพระสูตรที่มีคาถา (คําท่ี
๗๘ กัณฑท ่ี ๕, อนุมานปญหา ผูกดวยฉันทลักษณ) เขามาประกอบท้ังหมด รวมท้ังสวนที่ เรียกวา สคาถวรรค ในสังยุตตนิกาย ชื่อวา เคยยะ. อภิธรรม ปฎกทั้งส้ิน พระสูตรท่ีไมมีคาถา, รวมท้ังพระพุทธพจนที่มิได สงเคราะหดวยองค ๘ ที่เหลือ ช่ือวา ไวยากรณะ, พระพุทธพจน ที่มีเน้ือความเปนคาถาลวน ซ่ึงปรากฏอยูในปกรณเหลานี้ คือ ธรรมบท, เถรคาถา, เถรคี าถา รวมท้ังทเี่ ปน คาถาลวน ซงึ่ ไมม ชี อ่ื วาสตู รน้ันสตู รน้ีในสตุ ตนิบาต ชื่อวา คาถา. พระสตู ร ๘๒ สตู รท่ี ประกอบดว ยพระคาถาท่พี ระพทุ ธเจา ทรงเกดิ พระปต ิโสมนสั แลว ทรงเปลง พระอทุ านออกมา ช่อื วา อุทาน, พระสตู ร ๑๑๐ สูตร ท่เี ร่มิ ตนอยา งน้ีวา “วุตฺตเฺ หตํ ภควตา - เปน ความจริงวา พระผูมี พระภาคไดตรัสความขอนี้ไว” ดังน้ีน่ันเอง ช่ือวา อิติวุตตกะ. ชาดก ๕๕๐ เรอื่ ง มีอปณณกชาดกเปน ตน ชื่อวา ชาดก. พระสูตร ท่ีประกอบดวยอัจฉริยอัพภูตธรรม (ธรรมที่มีจริงท่ีนาอัศจรรย) เชนวา “ดูกรภิกษุทั้งหลาย น่ีแนะ อานนท อัพภูตธรรมมีอยู ๔ ประการเหลาน้ี” ดังน้ีเปนตน ชื่อวา อัพภูตธรรม. พระสูตร ที่ผูมีความเช่ียวชาญ ไดความพอใจแลวใชความเช่ียวชาญ ตั้งปญหาถามตอบกัน เชน มหาเวทัลลสูตร, จูฬเวทัลลสูตร, สัมมาทิฏฐิสูตร เปนตน ชื่อวา เวทัลละ ฉะน้ีแล. คําวา ยังยุงเกี่ยวกับงานกอสราง คือยังยุงเก่ียวกับงาน กอสรางกุฏิเปนตน โดยลงมือสรางเองบาง แนะวิธีการใหผูอื่น สรางบาง โดยอนุโลมตามสิกขาบทบัญญัติ ที่ทรงบัญญัติไว
วรรคที่ ๒, นิปปปญจวรรค ๗๙ เก่ียวกบั เร่ืองนี.้ คําวา ยงั ยงุ เกี่ยวกบั ทานและการบูชา คือยังขวนขวาย ในทาน โดยเกี่ยวกับการคอยแบงปนปจจัยท่ีแสวงหามาได แก เพื่อนผูประพฤติพรหมจรรยเปนตน บาง โดยเก่ียวกับแนะนาํ ใหผูอ่ืนขวนขวายในทาน บาง, และยังขวนขวายในการบูชา มีการบูชาเจดียเปนตน ท้ังแนะนาํ ผูอ่ืนใหขวนขวายในการบูชา น้ี. คาํ วา ลวนชื่อวา กระทาํ เพ่ือบรรลุนิปปปญจธรรม ท้ังสิ้น ความวา การเลา เรยี นเปน ตน เม่อื เปน ไปเพอ่ื ความสะดวก แกก ารบรรลุนิปปปญจธรรม ก็ช่อื วา กระทําเพอ่ื บรรลุนิปปปญ จ- ธรรมทง้ั สิน้ , จดั วาเปนปจ จยั ท่คี วรประกอบในสว นเบอื้ งตน . คําวา เปนผูบริสุทธ์ิตามสภาวะอยูแลว คือเปนผูมี กิเลสเปนดุจธุลี ท่ีสรางมลทินคือความไมบริสุทธ์ิแกดวงตาคือ ปญญานอย ราวกะวาไมมีเอาเลยเทียว ตามสภาวะคือตามปกติ อยูแลว เหตุเพราะไดส่ังสมปญญาไวเต็มเปยมมาแลว แตภพ- อดีต. คําวา มีวาสนาอันไดอบรมแลว คือมกี ารอบรมจิตหรือ การบมอนิ ทรียอันไดอบรมคือฝก มาดีแลว แตภ พกอ น. คาํ วา โดยขณะจิตเดียว คือ สําเร็จไดโดยพลันทันทีที่ ธรรมเทศนาจบลง หรอื สาํ เร็จไดโดยเพียงแตป รารภภาวนา ทาํ ให เปน ไปชั่วเวลาเพยี งนดิ หนอย ดจุ ขณะจติ เดยี ว.
๘๐ กณั ฑท ี่ ๕, อนุมานปญหา อธิบายวา สาํ หรับผทู ี่บรสิ ุทธติ์ ามสภาวะอยแู ลว ประโยชน อะไรดวยกิจท้ังหลาย มีการเลาเรียนเปนตนเลา ยอมปรารภ ปฏิปทาท่ีสงเคราะหดวยศีล สมาธิ ปญญา เพ่ือบรรลุนิปปปญจ- ธรรมไดโ ดยตรงทีเดียว. ผมู ธี ลุ ใี นดวงตามากเทานน้ั ยอ มมีภาระใน การขวนขวายในกิจเหลา น้ี. คําวา เปนผมู ีอภชิ าติบรสิ ทุ ธิ์ คือเปน ผมู สี ภาวะแหง จิต บริสทุ ธ.์ิ คําวา กิจท่คี วรทําดวยการสดับตรับฟง เปนตน ไดแก กจิ มีการเลาเรยี นพระบาลีเปน ตน และวัตรทคี่ วรทาํ ทัง้ หลายมี เจตยิ งั คณวัตร (วัตรทค่ี วรทาํ ณ ลานเจดยี มกี ารปด กวาดลาน เปนตน ) เปน ตน. การประกอบในสมถะและวปิ ส สนาและกจิ ท่คี วร ทาํ ในอริยสัจ ๔ มีการกําหนดทุกข เปนตน. ก็แล บุคคลถึงแมวาจะเปนผูที่บริสุทธ์ิตามสภาวะ ถึง กระน้ัน หากวาปราศจากการอาศัยการสดับตรับฟงคาํ สอนของ พระศาสดาแลว ก็ไมอาจบรรลุนิปปปญจธรรมได จะปวยกลาว ไปใยถึงบุคคลอ่ืนเลาแมแตทานพระสารีบุตรเถระผูเปนเลิศทาง มีปญญามาก ก็ยังตองอาศัย. จบคําอธิบายปญหาที่ ๑ ปญหาท่ี ๒, ขีณาสวภาวปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน พวกทานกลาว กันวา ‘คฤหัสถผูใด บรรลุความเปนพระอรหันต, คฤหัสถผูนั้น
วรรคที่ ๒, นปิ ปปญจวรรค ๘๑ ยอมมีคติเปน ๒ เทาน้ัน ไมเปนอ่ืน คือตองบวช หรือไมก็ ตองปรินิพพานในวันน้ันนั่นแหละ ไมลวงเลยวันน้ันไปได’ ดังน้ี. พระคุณเจานาคเสน ถาหากวา ในวันน้ันไมอาจไดอาจารยหรือ อุปช ฌายหรอื บาตรและจวี ร, ทา นผเู ปน พระอรหันตน ้นั จะบวชเอง หรือลวงเลยวันน้ันไป พระอรหันตผูมีฤทธ์ิรูปใดรูปหนึ่งพึงมาบวช ให จะไดหรือไม, หรือลวงเลยวันน้ันไปแลวจึงปรินิพพาน จะได หรอื ไม? ” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร พระอรหันต น้ันไมอาจบวชเองได, เม่ือบวชเองก็ยอมถึงความเปนไถยสังวาส (ปลอมบวช), ท้ังไมอาจลวงเลยวันไปได, จะมีพระอรหันตรูป อื่นมาก็ตาม ไมมีก็ตาม, ทานก็จะตองปรินิพพานในวันนั้นนั่น แหละ.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ถาอยางนั้นความ เปนพระอรหันตแหงพระอรหันตยอมเปนเหตุคราชีวิต, คือเปน เหตุใหบุคคลผูบรรลุตองเปนผูสิ้นชีวิต.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เพศคฤหสั ถไ มสงบเพราะ ความท่ีเม่อื เปนเพศไมส งบ กเ็ ปนเพศท่ีทรามกําลงั คฤหัสถผ บู รรลุ ความเปนพระอรหันตจึงตองบวชในวันนั้นน่ันเทียว หรือไมก็ตอง ปรินิพพาน. ขอถวายพระพร ขอนี้ หาใชโทษของความเปนพระ อรหนั ตไ ม, ความเปนเพศทรามกําลังน้ี เปน โทษของเพศคฤหสั ถ น่นั เทยี ว.
๘๒ กณั ฑท ่ี ๕, อนมุ านปญหา ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา โภชนาหารซ่ึงเปนของ หลอเล้ียงอายุ รักษาชีวิตของสัตวท้ังหลายท้ังปวง ก็ยังคราเอา ชีวิตได เพราะการที่ไฟธาตุยอยอาหารอันเปนโกฏฐาสที่ไมสงบ (มีขอเสีย) ออนกําลังไป จึงไมอาจยอยได, ขอถวายพระพร น้ี ไมใชโทษของโภชนาหาร ความที่ไฟออนกําลังไปน้ีเปนโทษของ โกฏฐาสเทานนั้ ฉนั ใด, ขอถวายพระพร เพราะความทเี่ มอื่ เปนเพศ ไมสงบ ก็เปนเพศท่ีทรามกําลัง คฤหัสถผูบรรลุความเปนพระ อรหันตจึงตอ งบวชในวนั น้นั นนั่ เทียว หรอื ไมกต็ องปรนิ ิพพาน. ขอ ถวายพระพร ขอน้ีหาใชโทษของความเปนพระอรหันตไม, ความ เปนเพศทรามกําลังน้ี เปนโทษของเพศคฤหัสถน่ันเทียว ฉันนั้น เหมอื นกัน. ขอถวายพระพร อกี อยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา เสอื่ หญา ผืนเลก็ ๆ เมอ่ื เขาเอากอ นหินหนัก ๆ วางไวเ บือ้ งบน ก็ยอ มฉกี ขาด ไป เพราะความที่เปนของไมแข็งแรง ฉันใด, ขอถวายพระพร คฤหสั ถผ ูบรรลุความเปนพระอรหนั ต เมื่อไมอ าจรองรับความเปน พระอรหันตโ ดยเพศนัน้ ได ก็ตอ งบวชเสยี ในวันนน้ั ทเี ดียว หรอื ไมก็ ตอ งปรินพิ พาน ฉนั นั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร อีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา บุรุษผู ออนแอ ทรามกาํ ลัง มีชาตกิ ําเนดิ ตํ่าทราม มีบุญนอย ไดรบั ราช- สมบตั ิทแ่ี สนยงิ่ ใหญแลว กย็ อมตกไป พลาดไป ถอยกลบั ไป, มิ อาจจะรองรับอิสสริยฐานะได ฉันใด, ขอถวายพระพร คฤหัสถ ผูบรรลุความเปนพระอรหันต ก็ยอมไมอาจรองรับความเปน
วรรคที่ ๒, นิปปปญจวรรค ๘๓ พระอรหันตโดยเพศน้ัน เพราะเหตุน้ัน จึงตองบวชในวันนั้น ทีเดียว หรือไมก็ตองปรินิพพาน ฉันน้ันเหมือนกัน แล.” พระเจามิลินท : “ดีจริง พระคุณเจานาคเสน ขาพเจา ขอยอมรับคําตามที่ทานกลาวมานี้.” จบขีณาสวภาวปญหาท่ี ๒ คําอธิบายปญหาท่ี ๒ ปญหาเก่ียวกับความเปนพระขีณาสพ ชื่อวา ขีณาสว- ภาวปญหา. คาํ วา ตองบวช หรือไมก็ตองปรินิพพานในวันนั้น น่ันแหละ ไมลวงวันน้ันไปได คือ ผูเปนคฤหัสถบรรลุความ เปนพระอรหันตในวันไหน ก็ตองบวชในวันนั้น หากไมมีโอกาส ไดบวช ก็จักตองดับขันธปรินิพพานในวันเดียวกันน้ันนั่นแหละ ไมอาจมีอายุเกินเลยวันน้ันไปได. เรื่องของพระเจาสุทโธทนะ หรือสันตติมหาอํามาตย ยอมเปนนิทัสสนะแสดงถึงความขอนี้ ไดเปนอยางดี. เนื้อความนอกน้ีงายอยูแลว. จบคาํ อธิบายปญหาท่ี ๒ ปญหาที่ ๓, ขีณาสวสติสัมโมสปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน พระอรหันตยังมี ความหลงลืมสติอยูหรือไม?”
๘๔ กัณฑท ี่ ๕, อนุมานปญหา พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระอรหันต ท้ังหลายเปนผูปราศจากความหลงลืมสติ แล, พระอรหันต ทั้งหลายไมม ีความหลงลมื สตหิ รอก.” พระเจา มิลนิ ท : “พระคุณเจา ก็แตว า พระอรหันตทงั้ หลาย ก็ยงั อาจตอ งอาบตั ิได มใิ ชห รือ?” พระนาคเสน : “ใช มหาบพิตร พระอรหนั ตท ง้ั หลาย อาจ ตอ งอาบตั ไิ ด. ” พระเจามิลนิ ท : “ตอ งอาบัติในวตั ถุ (ในเรอ่ื ง) อะไรบา ง?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร พระอรหันตทัง้ หลายยัง อาจตองอาบัติในเร่ืองสรางกุฏิ, ในเร่ืองส่ือขาว, ในเร่ืองสําคัญ เวลาวกิ าล วา เปน กาล, ในเร่อื งสาํ คัญภกิ ษุผูปวารณาแลว วายัง มิไดปวารณา, ในเรื่องสาํ คัญภัตท่ีมิไดเปนเดนภิกษุไข วาเปนเดน ภกิ ษไุ ข.” พระเจามลิ นิ ท : “พระคณุ เจา นาคเสน พวกทา นกลา วกนั วา ภิกษุพวกทีต่ อ งอาบัติ ยองตองอาบตั เิ พราะเหตุ ๒ ประการ คอื เพราะหาความเอ้ือเฟอ (ในพระวินัยบัญญัติ) มิไดประการหนึ่ง, เพราะความไมรูป ระการหนง่ึ , พระคณุ เจา พระอรหันตยังมีความ ไมเอือ้ เฟอท่เี ปนเหตุใหตอ งอาบตั อิ ยูหรอื ?” พระนาคเสน : “ไมมหี รอก ขอถวายพระพร.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ถาหากวา พระ อรหันตก็ยังตองอาบัติได, และพระอรหันตก็มีความเอื้อเฟอไซร, ถาอยางนั้น พระอรหันตก็ยังมีความหลงลืมสติ.”
วรรคท่ี ๒, นปิ ปปญจวรรค ๘๕ พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระอรหนั ตไ ม มคี วามหลงลืมสติหรอก แตพระอรหนั ตก ย็ ังตองอาบัต.ิ ” พระเจามลิ นิ ท : “พระคณุ เจา ถาอยางน้นั กจ็ งทาํ ขาพเจา ใหเขาใจดว ยเหตุผลเถิด, ในขอท่ีวา พระอรหนั ตไ มม คี วามหลงลมื สติ แตพ ระอรหันตก ็ยังตอ งอาบตั ิไดนัน้ มีเหตุผลอะไร?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร การกระทําที่ เศราหมองมี ๒ อยาง คือ ทีเ่ ปนโลกวชั ชะ (เปน โทษในโลก) ๑ และที่เปนปณณัตติวัชชะ (เปนโทษในพระวินัยบัญญัติ) ๑. ขอ ถวายพระพร ช่ือวา ท่ีเปนโลกวัชชะ เปนไฉน? ตอบวา ไดแก อกศุ ลกรรมบถ ๑๐. อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ น้ี เรยี กวา โลกวัชชะ. ช่ือวา ท่ีเปน ปณณัตติวชั ชะ เปน ไฉน? การกระทําท่ไี มส มควรแกผ ู เปนสมณะทง้ั หลาย ไมอนโุ ลมแกความเปน สมณะใด ยอมมอี ยูใน โลก, อันเปนการกระทําที่ไมเปนโทษสาํ หรับคฤหัสถทั้งหลาย. พระผูมีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทแกสาวกทั้งหลายในการ กระทําน้ันวา พวกเธอไมค วรลว งละเมดิ ตลอดชีวิต. ขอถวายพระ พร การฉันในเวลาวิกาลซง่ึ ไมเปนโทษ สาํ หรับชาวโลกน้ัน จดั วา เปนโทษในพระศาสนาของพระชินวรพทุ ธเจา, การพรากภตู คาม (ตนไม) ซึ่งไมเปนโทษสําหรับชาวโลกน้ัน จัดวาเปนโทษในพระ ศาสนาของพระชินเจา การเลน นา้ํ ซึ่งไมเปนโทษสําหรับชาวโลก นั้น จัดวาเปนโทษในพระศาสนาของพระชินเจา. ขอถวาย พระพรมหาบพติ ร การกระทําเหน็ เชน น้ี อนั มีประการดงั กลา วมา กระน้ี นี้ชื่อวา เปนโทษในพระศาสนาของพระชินเจา, นี้
๘๖ กณั ฑที่ ๕, อนมุ านปญหา เรียกวา ปณณัตติวชั ชะ, พระขณี าสพเปน ผไู มส ามารถประพฤติ ละเมิดการกระทาํ ทเ่ี ปนโลกวัชชะนั้นได, เม่ือทานไมรูอยู ทาน ก็อาจตองอาบัติเศราหมองที่เปนปณณัตติวัชชะ, ขอถวาย พระพร อันการจะรูทุกสิ่งทุกอยางไดหมด ไมใชวิสัยของพระ อรหันตรูปไหน ๆ, เพราะวาทานไมมีกําลังท่ีจะรูทุกสิ่งทุกอยาง ไดหมด. ขอถวายพระพร พระอรหนั ตทา นกย็ งั มกี ารไมร ูจักแมช ่ือ แมโคตรของหญิงชายท้ังหลายได, พระอรหันตน้ันก็ยังมีการไม รูจักเสนทางบนแผนดินได, ขอถวายพระพร วิมุตติน่ันเทียว พระอรหันตรูปไหน ๆ ก็รูจัก, พระอรหันตผูไดอภิญญา ๖ ยอม รูสิ่งที่เปนวิสัยของทาน, ขอถวายพระพร พระตถาคตเจาผูเปน พระสัพพัญูเทานั้น ทรงรูทุกส่ิงทกุ อยา งได. ” พระเจามิลินท : “ดีจริง พระคุณเจานาคเสน ขาพเจา ขอยอมรับคําตามที่ทานกลาวมาน้ี.” จบขีณาสวสติสัมโมสปญหาที่ ๓ คาํ อธิบายปญหาที่ ๓ ปญหาเก่ียวกับวา พระขีณาสพมีความหลงลืมสติได หรอื ไม ช่ือวา ขณี าสวสตสิ มั โมสปญ หา. คาํ วา ในเรื่องสรางกุฏิ คือในกุฏีการสิกขาบท โดย เก่ียวกับวาใหเขาสรางกุฏิในที่ท่ีสงฆมิไดอนุมัติเห็นชอบ ดวย สาํ คัญวา สงฆอนุมตั เิ หน็ ชอบ เปน ตน .
วรรคที่ ๒, นปิ ปปญ จวรรค ๘๗ คาํ วา ในเรื่องส่ือขาว คือในสัญจริตตสิกขาบท ที่มี บัญญัติหามพระภิกษุถึงความเปนผูส่ือขาว ใหหญิงไดรูจักชาย ใหชายไดรูจักหญิง เพื่อประโยชนแกการจับคูของคนทั้ง ๒. คําวา ในเรื่องสาํ คัญเวลาวิกาล วาเปนกาล คือใน วิกาลโภชนสกิ ขาบท ท่ที รงบญั ญตั ิหามพระภกิ ษฉุ ันในเวลาวิกาล คือลว งเลยเทย่ี งวนั ไปแลว พระอรหันตอาจตอ งอาบตั ิในสกิ ขาบท ขอนี้ได เพราะสาํ คัญเวลาที่เปนวิกาล วาเปนกาลคือเปนเวลาที่ ทรงอนญุ าตใหฉนั ได. คาํ วา ในเรื่องสําคัญภิกษุผูปวารณาแลว วายังมิได ปวารณา คือในทุติยปวารณาสิกขาบท ที่ทรงบัญญัติหามภิกษุ เชื้อเชิญภิกษุอื่นผูฉันแลว ปวารณาแลว (ปฏิเสธการฉันอีก) ให ยนิ ดพี อใจดว ยของเคีย้ วของกินท่ไี มใ ชเ ดน (คือเปน ของใหม) อกี . พระอรหันตตองอาบัติขอน้ีได เพราะสําคัญวาเปนภิกษุผูยังไมได ฉัน ยังไมไ ดป วารณา. คาํ วา ในเรือ่ งสําคญั ภัตทม่ี ไิ ดเปนเดนภิกษไุ ข วา เปน เดนภิกษุไข คือในปฐมปวารณาสิกขาบท ท่ีทรงบัญญัติหาม ภิกษุผูฉันแลว ปวารณาแลว ฉันภัต (อาหาร) ท่ีไมเปนเดนของ ภิกษุไข คือทภ่ี กิ ษุไขย งั ไมไ ดฉัน ยงั ไมไดป วารณา พระอรหนั ตตอ ง อาบัติขอนี้ได เพราะสําคัญวาเปนภัตท่ีภิกษุไขฉันแลว ได ปวารณาแลว.
๘๘ กณั ฑที่ ๕, อนมุ านปญหา อกุศลกรรมบถ ๑๐ อยาง มีการฆาสัตวเปนตน ช่ือวา โลกวัชชะ - เปนโทษในโลก เพราะเก่ียวกับยังสัตวผูประกอบ กรรมเหลานี้ ใหเสวยผลคือความทุกขในโลกท้ัง ๓ นี้เพราะเปน กรรมชั่ว ไมวาพระพุทธเจาจะทรงบัญญัติหามไวก็ตาม ไมทรง บัญญัติหามไวก็ตาม สวนการฉันในเวลาวิกาลเปนตน ช่ือวา ปณณัตติวัชชะ เพราะเปนโทษเก่ียวกับวาทรงบัญญัติหามไว เทานั้น มิไดเปนอกุศลกรรมบถ ๑๐, เปนโทษสําหรับผูบวชถือ เพศภิกษุน้ีเทาน้ัน มิไดเปนโทษสาํ หรับผูเปนฆราวาสและช่ือวา เปนโทษก็เพราะเปนขอที่ทรงบัญญัติหามไว เหตุเพราะการ กระทาํ อยางนั้น ๆ ไมเปนท่ีต้ังแหงศรัทธาปสาทะของคนทั้งหลาย ไมเหมาะแกสมณเพศ ภิกษุผูลวงละเมิดก็ยอมตองอาบัติ เมื่อ ตองอาบัติก็ยอมเปนผูมีศีลไมบริสุทธ์ิ เพราะฉะนั้น ก็ตองมีการ ปลงอาบัติ นับวาเปนโทษก็อยางที่กลาวมาน้ีเทานั้น ไมใชเพราะ เปนกรรมชั่วท่ีใหผลเปนทุกขในโลกท้ัง ๓. พึงทราบวาพระ อรหันตมีการตองอาบัติสวนท่ีเปนปณณัตติวัชชะเทาน้ัน, และ ตองอาบัติขอนั้น ๆ เพราะสําคัญผิดบาง เพราะไมไดสังเกต หรือสาํ เหนียกบาง ไมใชดวยอํานาจกิเลสเพราะทานละกิเลส ทั้งหลายทั้งปวงไดส้ินแลว, ไมใชดวยอาํ นาจความหลงลืมสติ เพราะความหลงลืมสติมีสภาวะเปนอกุศล ยอมไมมีแกทานผู เปนพระอรหันต. จบคาํ อธิบายปญหาท่ี ๓
วรรคท่ี ๒, นปิ ปปญจวรรค ๘๙ ปญหาที่ ๔, โลเก นัตถิภาวปญหา พระเจา มลิ นิ ท : “พระคุณเจา นาคเสน ในโลกนพ้ี ระพทุ ธ- เจาก็ปรากฏ, พระปจเจกพุทธเจาก็ปรากฏ, พระสาวกของพระ ตถาคตก็ปรากฏ, พระเจาจักรพรรดิก็ปรากฏ, พระราชาประจาํ ประเทศก็ปรากฏ, เทวดาและมนุษยทั้งหลายก็ปรากฏ, คนมี ทรัพยก็ปรากฏ, คนไรทรัพยก็ปรากฏ, คนม่ังคั่งก็ปรากฏ, คน เข็ญใจก็ปรากฏ, ชายที่ปรากฏเพศเปนหญิงก็ปรากฏ, หญิงท่ี ปรากฏเพศเปนชายก็ปรากฏ, กรรมดีกรรมช่ัวก็ปรากฏ, สัตว ผูเสวยวิบากของกรรมดีกรรมชั่วก็ปรากฏ, ในโลก สัตวผูเปน อัณฑชะ (เกิดในใข) เปนชลาพชุ ะ (เกดิ ในมดลูก) เปน สงั เสทชะ (เกดิ ในทแ่ี ฉะช้ืน) เปน โอปปาติกะ (ผดุ เกดิ ทนั ที) กม็ อี ย,ู สตั วผ ไู ม มเี ทา สตั วผูม ี ๒ เทา สัตวผ ูม ี ๔ เทา สัตวผมู ีเทา มากมาย ก็มอี ย,ู ในโลก ยักษ รากษส กุมภัณฑ อสูร ทานพ คนธรรพ พวกเปรต พวกปศาจ กม็ อี ย,ู กินนร มโหรคะ นาค สุบัณณ พวกสิทธวชิ ชาธร ก็มีอยู, ชาง มา โค กระบือ อูฐ ลา แพะ แกะ กวาง สุกร สีหะ เสือโครง เสือเหลือง หมี หมาปา เสือดาว สุนัข สุนัขจิ้งจอก ก็มีอยู, นกชนิดตาง ๆ ก็มีอยู, ทอง เงิน แกวมุกดา แกวมณี สังข สิลา แกวประพาฬ ทับทิม เพชรตาแมว ไพฑูรย เพชร แกวผลึก เหล็ก ทองแดง แรเงิน แรสัมฤทธ์ิ ก็มีอยู, ผาเปลือกไม ผาไหม ผาฝาย ผาเปลือกปาน ผาดายทอ ผาขนสัตว ก็มีอยู, ขาวสาลี ขาวเจา ขาวเหนียว ขาวฟาง หญากับแก ลูกเดือย ขาวละมาน ถั่ว ถั่วเขียว งา ถั่วพู ก็มีอยู, ไมท่ีมีรากหอม ไมที่มี
๙๐ กัณฑท่ี ๕, อนมุ านปญหา แกนหอม ไมที่มีสะเก็ดหอม ไมที่มีเปลือกหอม ไมที่มีใบหอม ไมที่มีดอกหอม ไมที่มีผลหอม ไมที่มีทุกสวนหอม ก็มีอยู, หญา เครือเถา กอไม ตนไม ดวงดาว ปาไม แมนา้ํ ภูเขา ทะเล ปลา เตา ทุกอยาง มีอยูในโลก พระคุณเจา ขอจงบอกขาพเจาถึงส่ิง ท่ีไมมีในโลก.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร ในโลกนี้ไมม ี สง่ิ ๓ อยา งเหลาน.้ี ๓ อยา งอะไรบาง? สิง่ ท่ีมเี จตนากต็ าม ไมม ี เจตนาก็ตาม ซึ่งไมแกไมตาย ไมมีในโลก ๑. ความท่ีสังขาร ทัง้ หลายเปน ของเทีย่ ง ไมม ี ๑, วา โดยปรมัตถ ส่ิงทบี่ คุ คลอาจเขา ไปถอื เอาวาเปนสตั วไ ด ไมมี ๑.” พระเจามิลินท : “ดีจริง พระคุณเจานาคเสน ขาพเจา ขอยอมรับคําตามที่ทานกลาวมาน้ี.” จบโลเก นัตถิภาวปญหาที่ ๔ คําอธิบายปญหาท่ี ๔ ปญ หาถามถึงความไมม ีอยูใ นโลก ชื่อวา โลเก นัตถภิ าว- ปญหา. คําวา ส่งิ ทบี่ คุ คลอาจเขา ไปถอื เอาวา เปนสตั วไ ดไมม ี ความวา ช่อื วา ไมมี ก็เพราะเปน เพียงขนั ธ อายตนะ ธาตุ ที่เปน ไป ตามปจจัยอันไมใชสตั ว ไมใ ชชีวะ ไมใชอตั ตา ไมใ ชห ญิง ไมใช ชาย. จบคําอธิบายปญ หาที่ ๔
วรรคท่ี ๒, นิปปปญ จวรรค ๙๑ ปญ หาท่ี ๕, อกัมมชาทิปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ในโลกน้ี ส่ิงท่ี บังเกิดจากกรรมก็ปรากฏอยู, ส่ิงท่ีบังเกิดจากเหตุก็ปรากฏอยู, ส่ิงที่บังเกิดจากอุตุก็ปรากฏอยู, ขอทานจงบอกขาพเจาถึงสิ่งที่ มิไดเกิดจากกรรม มิไดเกิดจากเหตุ มิไดเกิดจากอุตุ ในโลก.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ในโลกนี้ สิ่งที่มิไดเกิดจากกรรม มิไดเกิดจากเหตุ มิไดเกิดจากอุตุ มี ๒ อยางเหลาน้ี, ๒ อยางอะไรบาง? ขอถวายพระพร อากาศเปน ส่ิงที่มิไดเกิดจากกรรม มิไดเกิดจากเหตุ มิไดเกิดจากอุตุ, พระนิพพาน ก็เปนส่ิงท่ีมิไดเกิดจากกรรม มิไดเกิดจากเหตุ มิได เกิดจากอุตุ ขอถวายพระพร สิ่งที่มิไดเกิดจากกรรม มิไดเกิด จากเหตุ มิไดเกิดจากอุตุ มี ๒ อยางเหลานี้ แล.” พระเจามลิ นิ ท : “พระคณุ เจานาคเสน ขอจงอยาลบหลูคํา ของพระชินเจาเลย, ทา นไมรูกข็ อจงอยา ตอบปญ หาเลย.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อาตมภาพกลาวอะไร (ไม ถูกตอ ง) หรือ, ซึ่งเปน เหตใุ หพ ระองคร ับส่งั กะอาตมภาพอยางนว้ี า พระคุณเจา นาคเสน ขอจงอยาลบหลูค าํ ของพระชนิ เจาเลย, ทา น ไมร กู ข็ อจงอยาตอบปญ หาเลย.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน กอนอ่ืน การที่ ทานจะกลาววา อากาศ เปนสิ่งที่มิไดเกิดจากกรรม มิไดเกิด จากเหตุ มไิ ดเ กดิ จากอตุ ุ ดงั นี้ น้ี กถ็ ูกตอ งแลว ละ, พระคณุ เจา นาคเสน ก็แตวาพระผูมีพระภาคเจาตรัสบอกสาวกทั้งหลาย
๙๒ กณั ฑท ่ี ๕, อนุมานปญหา ถึงเหตุหลายรอยอยางที่เปนหนทางทาํ พระนิพพานใหแจง แต ทานก็กลับมากลาวเสียอยางนี้วา พระนิพพาน เปนส่ิงท่ีมิได เกิดจากเหต.ุ ” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร เปนความจรงิ วา พระผูมีพระภาคตรัสบอกสาวกทั้งหลาย ถึงเหตุหลายรอย อยางที่เปนหนทางทําพระนิพพานใหแจง, ก็แตวาจะเปนอันตรัส บอกถึงเหตทุ าํ พระนพิ พานใหเกิดขึ้น กห็ าไม.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ในขอท่ีทานกลาว วา เหตุทําพระนพิ พานใหแจง มีอยู แตเหตทุ ําใหพระนพิ พานธรรม น้ันเกิดข้ึน หามีไม น้ี ทําใหขาพเจาเขาสูที่มืดยิ่งกวามืด เขาปา เสียยิ่งกวาปา เขาสูท่ีรกเสียย่ิงกวาท่ีรก. พระคุณเจานาคเสน ถา หากวา เหตทุ ําพระนพิ พานใหแ จง มีอยแู ลว ไซร, ถาอยา งน้ัน แม เหตุทําพระนพิ พานใหเกดิ ขึน้ กพ็ งึ ปรารถนาได. พระคุณเจานาคเสน เปรียบเหมือนวา สําหรับผูเปนบิดา ของบุตรยอมมีอยู, เพราะเหตุนั้น ผูเปนบิดาแมของบิดาก็พึง ปรารถนาไดเ หมอื นกัน ฉนั ใด. สําหรบั ผูเปน อาจารยของศษิ ยยอ ม มีอยู, เพราะเหตุนั้น ผูเปนอาจารยแมของอาจารยก็พึงปรารถนา ไดเ หมอื นกัน ฉนั ใด, พืชของหนอไมยอมมีอย,ู เพราะเหตนุ น้ั พชื แมข องพชื กพ็ ึงปรารถนาไดเ หมอื นกัน ฉันใด พระคุณเจา นาคเสน ถา หากวา เหตทุ าํ พระนพิ พานใหแ จง มอี ยู, เพราะเหตนุ น้ั แมเ หตุ ทําพระนพิ พานใหเกดิ ข้ึน กพ็ งึ ปรารถนาไดเ หมอื นกนั ฉนั นน้ั .
วรรคที่ ๒, นิปปปญ จวรรค ๙๓ อกี อยางหนึง่ เปรียบเหมือนวา ตนไมก็ดี เครือเถาก็ดี เม่ือ มียอดได เพราะเหตุนัน้ แมกลาง แมโ คน กย็ อ มมีไดเ หมือนกัน ฉันใด, พระคุณเจานาคเสน ถาหากวา เหตุทําพระนิพพานให แจงมีอยูไซร, เพราะเหตุนั้น แมเหตุทาํ พระนิพพานใหเกิดขึ้น ก็พึงปรารถนาไดเหมือนกัน ฉนั น้นั .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระนิพพาน เปนส่ิงที่ไมอาจทําใหเกิดข้ึนได, เพราะฉะน้ัน จึงมิไดตรัสเหตุทํา พระนิพพานใหเกดิ ขึน้ ไว. ” พระเจามิลนิ ท : เอาเถอะ พระคุณเจา นาคเสน ขอทา นจง แสดงใหขาพเจาเขาใจดวยเหตุผลเถิด, ขาพเจาจะพึงรูไดโดย ประการใดเลา วา เหตทุ าํ พระนิพพานใหแจง มีอยู, แตเ หตทุ าํ พระ นพิ พานใหเ กดิ ข้ึนไมม .ี ” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ถาอยางนั้น ก็ขอพระองคจงทรงเงี่ยพระโสตสดับอยางเคารพเถิด ขอจงทรง สดับดวยดีเถิด, อาตมภาพจักขอกลาวถึงเหตุผลในความขอน้ัน, ขอถวายพระพร บุรุษอาจใชกาํ ลังตามปกติ ละจากที่นี้เขาไปสู ภูเขาหิมพานตได มิใชหรือ?” พระเจา มิลนิ ท : “ได พระคุณเจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร บุรษุ ผนู นั้ อาจใชก ําลังที่มี ตามปกติ ลากเอาภเู ขาหมิ พานตม า ณ ท่ีนี้ ไดหรอื ไม? ” พระเจามลิ นิ ท : “มไิ ดห รอก พระคุณเจา.”
๙๔ กณั ฑท่ี ๕, อนมุ านปญหา พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร อปุ มาฉนั ใด อุปมัยก็ฉนั นนั้ เหมือนกัน บคุ คลอาจกลาวถึงมรรค เพอ่ื อนั ทาํ พระ นิพพานใหแจงได, แตไมอาจแสดงเหตุทาํ พระนิพพานใหเกิดข้ึน ได. ขอถวายพระพร มหาบพติ ร บุรุษอาจใชกาํ ลงั ท่ีมีตามปกติ ขนึ้ เรือไปสูมหาสมทุ รได มิใชหรอื ?” พระเจามิลนิ ท : “ได พระคณุ เจา .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ก็แตวาบุรุษผู นั้นอาจใชกําลังท่ีมีตามปกติดึงเอาฝงไกลของมหาสมุทรมายังท่ีน้ี ไดหรือไม?” พระเจา มลิ นิ ท : “มไิ ดห รอก พระคณุ เจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร อุปมาฉันใด อปุ มยั กฉ็ ันนนั้ บคุ คลอาจกลาวถึงมรรค เพอ่ื อนั ทาํ พระนิพพานให แจง ได, แตไ มอ าจแสดงเหตทุ ําพระนพิ พานใหเกดิ ขึ้นได, ถามวา เพราะเหตไุ ร ตอบวา เพราะพระนิพพานเปนอสงั ขตธรรม.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน พระนิพพานเปน อสงั ขตธรรมหรอื ?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ถูกตอ ง พระนิพพานเปน อสังขตธรรม อันปจจัยอะไร ๆ ก็มิไดสรางขึ้น, ขอถวายพระพร ใคร ๆ ก็ไมควรกลาวถึงพระนิพพานวา เกิดขึ้นแลว ยังไมเกิดขึ้น อาจทาํ ใหเ กดิ ข้นึ , วาเปน อดีต วาเปน อนาคต วา เปนปจ จบุ นั , วา อันจักขุวิญญาณพึงรูได วาอันโสตวิญญาณพึงรูได วาอันฆาน-
วรรคที่ ๒, นิปปปญ จวรรค ๙๕ วิญญาณพึงรูได วาอันชิวหาวิญญาณพึงรูได หรือวาอันกาย วิญญาณพึงรูได.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ถาหากวาพระ นิพพานไมใชสิ่งท่ีเกิดขึ้นแลว ไมใชส่ิงที่ยังไมเกิดขึ้น ไมใชส่ิงท่ี เปนอดีต ไมใชส่ิงท่ีเปนอนาคต ไมใชสิ่งที่เปนปจจุบัน ไมใชสิ่งที่ จักขุวิญญาณพึงรูได ไมใชสิ่งที่โสตวิญญาณพึงรูได ไมใชส่ิงท่ี ฆานวิญญาณพึงรูได ไมใชสิ่งท่ีชิวหาวิญญาณพึงรูได ไมใชสิ่งท่ี กายวิญญาณพึงรูได ไซร, ถาอยางนั้นนะ พระคุณเจานาคเสน ก็เปนอันวาพวกทานระบุถึงพระนิพพานอันไมมีอยูเปนธรรมดา วาพระนิพพานมีอยูจริง.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร พระนิพพานมีอยูจริง, พระนิพพานเปนส่ิงที่มโนวิญญาณจะพึงรูได, พระอริยสาวกผู ปฏิบัติชอบยอมมองเห็นพระนิพพานไดดวยจิตที่บริสุทธ์ิ ท่ี ประณีต ท่ีตรง ท่ีหาธรรมเคร่ืองขวางกั้นมิได ที่ปราศจากอามิส แล.” พระเจามิลนิ ท : “พระคุณเจา ก็พระนิพพานนเี้ ปน เชนกบั อะไร, พระนิพพานเปนสิ่งท่ีอาจแจมแจงวาเปนของมีอยูจริงเปน ธรรมดา ดวยอุปมาท้ังหลาย โดยประการใด, ขอทานจงทาํ ให ขาพเจาเขาใจพระนิพพานที่อาจแจมแจงไดดวยอุปมาท้ังหลาย นั้น ดว ยเหตผุ ลทัง้ หลายเถิด.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ธรรมดาวา ลม มีอยูจริงหรือ?”
๙๖ กณั ฑที่ ๕, อนมุ านปญหา พระเจา มลิ นิ ท : “ใช มอี ยูจริง พระคณุ เจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เอาละ ขอพระองคจง แสดงลม โดยสีบาง โดยสัณฐานบาง โดยความเปนของ ละเอียดบาง โดยความเปนของหยาบบาง โดยความยาวบาง โดยความสั้นบาง เถิด.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ใคร ๆ ไมอาจท่ี จะระบุลม (โดยสีเปนตน) ไดหรอก, ลมนั้น มิไดเขาถึงการจับ ถือดวยมือ หรือเขาถึงการบีบคลําได, แตวาลมน้ันก็มีอยูจริง.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ถาหากวา ใคร ๆ ไมอาจระบุลม (โดยสีเปนตน) ไดไซร, ถาอยางน้ันลมก็ หามีอยูจริงไม.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ขาพเจาก็รูอยู, เปนของท่ีซึมซาบอยูในใจของขาพเจาแลววา ลมมีอยูจริง, แต ขาพเจา ก็ไมอ าจท่ีจะระบถุ ึงลม (โดยสีเปน ตน ) ได.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร อปุ มาฉันใด อปุ มยั ก็ฉนั นน้ั พระนิพพานกม็ ีอยูจรงิ , แตใ คร ๆ ก็ไมอาจท่ีจะระบุ ถงึ พระนพิ พานโดยสี หรอื วาสณั ฐานเปนตน ได.” พระเจามิลินท : “ดีจริง พระคุณเจานาคเสน, ทานชี้แจง อุปมาไดดีแลว, ทานแสดงไขเหตุผลไดดีแลว, ขาพเจาขอรับคาํ ตามท่ีทานกลาวมาน้ี อยางนี้วา พระนิพพานมีอยูจริง.” จบอกมั มชาทิปญหาท่ี ๕
วรรคที่ ๒, นิปปปญ จวรรค ๙๗ คําอธิบายปญหาท่ี ๕ ปญหาเก่ียวกับสิ่งที่มิไดเกิดจากกรรมเปนตน ช่ือวา อกมั มชาทปิ ญหา. คาํ วา ส่ิงท่ีบังเกิดจากกรรม คือสิ่งที่เปนผลของกรรมดี และกรรมชว่ั ที่สัตวไ ดก อไว. คาํ วา ส่งิ ทบี่ งั เกิดจากเหตุ คอื สง่ิ ทบี่ ังเกดิ จากเหตุทที่ าํ ให เกดิ อื่น ๆ นอกเหนือจากกรรมและอุตุ. คําวา สิ่งทบ่ี งั เกดิ จากอุตุ คือสง่ิ ท่ีบังเกดิ จากความเยน็ หรือความรอน, หรือสิ่งที่บังเกิดเพราะความเปล่ียนแปลงแหง ฤดูกาล. คําวา อากาศ พระเถระกลาวหมายเอาอัชฎากาศ คือที่ โลงเวิ้งวางอันเปนที่โคจรไปมาแหงหมูนก แหงพระจันทร พระ อาทิตย เปน ทต่ี ้ังแหง โลกธาตุ แหงจักรวาล. คาํ วา เหตุหลายรอยอยาง เปนตน ไดแก เหตุมีบารมี ๑๐ ประการ ฌาน ๕ ทีเ่ ปนบาทแหง การเจรญิ วิปส สนา, ปฏิปทา ๔, โพธิปก ขยิ ธรรม ๓๗ ประการ เปนตน ซึง่ แตล ะอยา งสามารถ แตกไดเปน รอ ยนยั พันนยั ไปตามความตางกนั แหงอธบิ ดี ๔ เปน ตน อันลวนสงเคราะหไดวาเปน “มรรค” เพราะเปนดุจหนทาง ดาํ เนินไปสูพระนิพพาน. ก็เหตุเหลาน้ีเปนเพียงเหตุในเบ้ืองตน บาง ในท่ีสุดบาง เพ่ืออันทาํ พระนิพพานใหแจง คือกระทาํ ใหเปน อารมณแ กจ ิต โดยประจกั ษด ุจบุรุษเล็งดผู ลมะขามปอมบนฝามอื ฉะน้ัน. ความวา เปน สัมปาปกเหตุ - เหตุบรรลุ จะเปนเหตุทที่ าํ ผล
๙๘ กัณฑท ่ี ๕, อนุมานปญหา คอื พระนิพพานใหบ งั เกิด เหมือนอยา งทีก่ รรมดกี รรมชวั่ ทําผล คอื ความสุข ความทกุ ขใ หบ ังเกดิ แกส ตั ว ก็หาไม. คาํ วา ถา หากวา เหตุทําพระนิพพานใหแจงมอี ยู ฯลฯ กพ็ งึ ปรารถนาได ความวา คาํ ยนื ยันทว่ี า เหตทุ าํ พระนิพพานให แจงมีอยู นน่ั เอง ยอ มเปนคําท่ีสอ แสดงวา พระนิพพานก็มีเหตุทาํ ใหเกดิ ขน้ึ ดว ยทีเดียว เพราะถาหากวา พระนพิ พานไมมีเหตทุ าํ ให เกิดขึ้นเสียกอนไซร บุคคลจะกระทําพระนิพพานที่ไหนใหแจงได เลา เพราะยงั ไมม ี เพราะฉะนัน้ แมเ หตทุ ีท่ ําพระนพิ พานใหเ กดิ ข้ึน กพ็ ึงปรารถนาได. คาํ วา เพราะพระนิพพานเปนอสังขตธรรม ความวา สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดข้ึนเพราะปจจัยท้ังหลายพรอมเพรียงกัน ทาํ ให เกิดข้ึน สิ่งน้ันท้ังหมด ช่ือวา สังขตธรรม (ธรรมที่ปจจัยพรอม เพรียงกันทาํ ขึ้น) ไดแก ขันธ ๕, พระนิพพานไมใชสังขตธรรม เหลานน้ั เพราะเหตนุ นั้ จงึ ช่อื วา อสงั ขตธรรม. อธบิ ายวา มีอยูโดย ประการทไ่ี มม ีปจจยั ทาํ ใหเกดิ ข้ึน. ถามวา ทราบไดอยา งไรวา พระนิพพานเปน อสงั ขตธรรม? ตอบวา ทราบไดโดยสูตร. จริงอยางนั้น ตรัสไวใน อชาตสูตร๑ อยางนีว้ า :- “อตฺถิ ภิกฺขเว อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ ฯเปฯ นสิ สฺ รณํ ปฺ าเยถ - ดกู ร ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ส่ิงท่ีไมเกิด ไมปรากฏ ๑. ขุ. อติ ิ. ๒๕/๒๙๒.
วรรคท่ี ๒, นิปปปญจวรรค ๙๙ ไมมีปจจัยทาํ ข้ึนมา เปนอสังขตะ มีอยู. ดูกร ภิกษุท้ังหลาย ถา หากวา สง่ิ ทไ่ี มเ กิด ฯลฯ เปนอสงั ขตะ มไิ ดม อี ยไู ซร, การสลดั ทง้ิ สง่ิ ที่เกิด ที่ปรากฏ ทม่ี ีปจ จยั ทําขน้ึ มา ทเี่ ปนสงั ขตะ กจ็ ะไมพ ึงปรากฏ ในโลกน”้ี ดงั นเ้ี ปน ตน . คาํ วา ใคร ๆ ไมควรกลาวถึงพระนพิ พานวา เกดิ ขึ้น แลว ฯลฯ หรือวา อันกายวิญญาณพึงรไู ด คอื เพราะเหตุที่ พระนิพพานเปนอสังขตะนั่นเอง จึงเปนธรรมทม่ี ิไดมคี วามเกดิ ขนึ้ และดบั ไปตามปจจัย เพราะเหตุนัน้ ใคร ๆ จึงไมค วรกลาวถงึ พระ นิพพานวา เกดิ ขนึ้ แลว ฯลฯ วาเปนปจจบุ ัน วาพงึ เหน็ ไดด ว ยตา วา พึงสดบั ไดด ว ยหู วา พงึ ดมไดดว ยจมูก วาพงึ ลิ้มไดดว ยลนิ้ วา พงึ สัมผสั แตะตองไดดวยกาย. คาํ วา พระนิพพานเปน ส่งิ ที่มโนวญิ ญาณจะพงึ รูได คือ พระนิพพานเปนส่ิงท่ีใจพึงรูได. ความวา เปนส่ิงท่ีมรรคจิตอัน เปนไปทางมโนทวารจะพึงรูได โดยการกระทาํ ใหเปนอารมณโดย ประจักษ ท่ีเรียกวา เปน การกระทาํ ใหแจง. คาํ วา ดวยจิตท่ีบริสุทธ์ิ ฯลฯ ท่ีปราศจากอามิส คือ ดวยมรรคจิตนั้นน่ันแหละ เปนคาํ ท่ีระบุประเภทมโนวิญญาณ ผูรูพระนิพพาน ก็มโนวิญญาณคือมรรคจิตน้ี ช่ือวาบริสุทธ์ิ เพราะปราศจากมลทินมีราคะเปนตน ช่ือวาประณีต ก็เพราะ ความเปนโลกุตตระ ช่ือวาตรง เพราะปราศจากธรรมเคร่ือง สรางความคดงอมีทิฏฐิเปนตน ชื่อวาหาธรรมเครื่องขวางกั้น มิได เพราะปราศจากนีวรณธรรมทั้งหลายมีกามฉันทะเปนตน
๑๐๐ กัณฑที่ ๕, อนมุ านปญหา ช่ือวาปราศจากอามิส เพราะไมใชกามคุณอันเปนอามิสคือ เหยื่อของตัณหา ฉะน้ีแล. จบคาํ อธิบายปญหาท่ี ๕ ปญหาท่ี ๖, กัมมชาทิปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ในบรรดาส่ิง ท้ังหลายเหลานี้, อะไรเปนสิ่งท่ีเกิดจากกรรม, อะไรเปนส่ิงท่ี เกิดจากเหตุ, อะไรเปนส่ิงท่ีเกิดจากอุตุ, อะไรเปนส่ิงที่ไมเกิด จากกรรม ไมเกิดจากเหตุ ไมเกิดจากอุตุ?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร สตั วผมู เี จตนา ท้ังหลายท้ังปวง ลวนเปนส่ิงท่ีเกิดจากกรรม, ไฟและพืชท่ีเกิดมา ท้ังหมด ลว นเปน สง่ิ ทเ่ี กดิ จากเหต,ุ แผนดิน ภเู ขา นํ้า ลม ทงั้ หมด ลว นเปน ส่งิ ทเ่ี กดิ จากอุต,ุ สิ่ง ๒ อยางเหลานี้คอื อากาศและพระ นิพพาน เปน สิ่งทีไ่ มเ กดิ จากกรรม ไมเกิดจากเหตุ ไมเกดิ จากอุต,ุ ขอถวายพระพร ก็แล พระนิพพาน ใคร ๆ ไมควรกลาววาเกิดจาก กรรม วาเกิดจากเหตุ วาเกิดจากอุตุ วาเกิดข้ึนแลว วายังไมได เกิดขึ้น วาอาจทาํ ใหเกิดขึ้น วาเปนอดีต วาเปนอนาคต วาเปน ปจจุบัน วาอันจักขุวิญญาณพึงรูได วาอันโสตวิญญาณพึงรูได วาอันฆานวิญญาณพึงรูได วาอันชิวหาวิญญาณพึงรูได หรือวา อันกายวิญญาณพึงรูได. ขอถวายพระพร ก็แตวา พระนิพพาน อันมโนวิญญาณจะพึงรูได, คือเปนสิ่งท่ีพระอริยสาวกผูปฏิบัติ ชอบนั้น เห็นดวยญาณที่หมดจด.”
วรรคท่ี ๒, นิปปปญ จวรรค ๑๐๑ พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ปญหาท่ีนา รื่นรมยใจ ทานก็ไดวินิจฉัยดี จนหมดสงสัย ถึงความแนนอน ใจได, ความคลางแคลงใจก็ถูกทานตัดเสียได, ทานนับวาเปน ผูประเสริฐยอดเย่ียม องอาจในหมูคณะ แล.” จบกัมมชาทิปญหาที่ ๖ คาํ อธิบายปญหาที่ ๖ ปญหาเก่ียวกับส่ิงท่ีเกิดจากกรรมเปนตน ช่ือวา กัมมชา- ทิปญหา พืช แมวาเกิดจากอุตุ แตเพราะเหตุที่มีความแปลกไป จากสิง่ ทเ่ี กิดจากอุตอุ น่ื ๆ มแี ผน ดนิ เปน ตน โดยเกย่ี วกับมคี วาม เปล่ียนแปลงไปตามลําดับแหงความเจริญงอกงาม กลาวคือ มี การแตกหนอแลวเปนลาํ ตน ก่ิง กาน ใบ ในกาลตอมาซึ่งความ เปนอยา งนเี้ นอ่ื งกบั เหตอุ ่ืน ๆ อกี หลายอยา งท่ชี วยอุปถมั ภ เชน วา ดิน โอชะในดิน นํา้ ความตกตองตามฤดูกาลแหงฝนเปนตน ไมใชสักแตอุตุเทาน้ัน เพราะเหตุน้ัน ทานจึงกลาวเสียวา พืช เปนส่ิงที่เกิดจากเหตุ. พึงทราบวา คําวา ไฟและพืช เปนเพียง นิทัสสนะ ความจริงส่ิงที่เกิดจากเหตุมีมากมาย ไมอาจระบุช่ือ และนับจํานวนได. แมคําวา แผนดิน ภูเขา เปนตน ก็อยางน้ี เหมือนกัน. จบคาํ อธบิ ายปญ หาที่ ๖
๑๐๒ กัณฑท่ี ๕, อนมุ านปญหา ปญ หาท่ี ๗, ยักขปญ หา พระเจามลิ นิ ท : “พระคุณเจา นาคเสน ธรรมดาวา ยกั ษม ี อยใู นโลกหรือ?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ใชแลว ธรรมดาวา ยักษ ยอ มมีอยูในโลก.” พระเจา มลิ นิ ท : “พระคุณเจา ก็พวกยักษน ัน้ ยอ มจุติจาก กาํ เนิดนั้นหรือ?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ใช พวกยักษเหลา น้ันยอม จตุ ิจากกําเนดิ นัน้ .” พระเจา มิลนิ ท : “พระคณุ เจานาคเสน เพราะเหตุไร ซาก ของยกั ษที่ตายแลว เหลานัน้ จงึ ไมป รากฏ แมก ลนิ่ ศพก็ไมฟ ุงไป?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ซากของยกั ษท ต่ี ายแลวก็ ปรากฏอย,ู แมกลน่ิ ศพของยกั ษเหลาน้นั กฟ็ ุง ไป, ขอถวายพระพร ซากของพวกยกั ษท ต่ี ายแลว ยอ มปรากฏเปน ซากแมลงบา ง, ยอม ปรากฏเปนซากหนอนบาง, ยอมปรากฏเปนซากมดบาง, ยอม ปรากฏเปนซากต๊ักแตนบาง, ยอมปรากฏเปนซากงูบาง, ยอม ปรากฏเปน ซากแมลงปอ งบาง, ยอมปรากฏเปน ซากตะขาบบาง, ยอ มปรากฏเปน ซากเนือ้ บาง.” พระเจา มิลนิ ท : “พระคณุ เจานาคเสน ยกเวน ผมู ีปญญา เชนอยางทานแลว ใครอื่นเลา ถูกถามแลวจะอาจเฉลยปญหาน้ี ได. ” จบยกั ขปญหาท่ี ๗
วรรคที่ ๒, นปิ ปปญ จวรรค ๑๐๓ คาํ อธิบายปญหาที่ ๗ ปญหาเกี่ยวกับยักษ ชื่อวา ยักขปญหา. พระเจามิลินทรตรัสคาํ วา “ยักษ” ทรงหมายเอาพวก ภุมเทวดา ซ่ึงนับเนื่องในเทวดาช้ันจาตุมหาราชิกา, เปนบริวาร ของทาวจตุโลกบาล. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๗ ปญหาที่ ๘, อนวเสสสิกขาปทปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน บรรดาอาจารย ของพวกแพทยท้ังหลายแตปางกอนมีอยู เชนวา ทานนารทะ ทานธัมมันตรี ทานอังคีรสะ ทานกปละ ทานกัณฑรัคคิ ทาน สามะ ทานอตุละ ทานปพุ พกจั จายนะ, อาจารยเ หลานีแ้ มทกุ ทา น รจู ักความเกิดขน้ึ แหง โรค เหตแุ หงโรค สภาวะแหง โรค สมุฏฐาน ของโรค วิธีบาํ บัด กิจที่ควรทาํ และโรคท่ีรักษาสําเร็จหรือไม สําเร็จไดทุกอยางในคราวเดียวกัน เชนวา โรคเทาน้ี จักเกิดข้ึน ในรางกายน้ี เปนตน เหมือนอยางผูกเสนดายทาํ ใหจับกันเปน พวง ๆ ในคราวเดียวกัน ฉะนั้น, อาจารยเหลาน้ีทุกทานหา เปนสัพพัญูไม, แตเพราะเหตุไร พระตถาคตผูทรงเปนพระ สัพพัญู รูกิจท่ีควรทาํ ในอนาคต กําหนดไดวา ‘จักมีสิกขาบท ท่ีเราตองบัญญัติเทานั้น ในวัตถุเทาน้ี’ ดังน้ีแลว ก็ยังไมทรง บัญญัติสิกขาบทใหหมดส้ินเสียเลยเลา ตอเม่ือวัตถุ (เร่ืองราว) เกิดข้ึนแลว ความผิดแพรไปมากมายแลว คนท้ังหลายติเตียน
๑๐๔ กณั ฑที่ ๕, อนมุ านปญหา แลว จึงไดทรงบัญญัติสิกขาบทแกสาวกทั้งหลายในกาลครั้ง นัน้ ๆ?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระตถาคต ทรงทราบความขอ นวี้ า ในสมยั นจ้ี ักมสี กิ ขาบทท่ีเราตองบญั ญัติ ในคนทง้ั หลายเหลา นี้ อยู ๑๕๐ กวาขอ ดังน้ี แตท วา พระตถาคต ทรงมพี ระดํารอิ ยา งน้ีวา ถา หากเราจะบญั ญตั สิ กิ ขาบททงั้ ๑๕๐ กวาขอ คราวเดียวกันไซร มหาชนก็จะถึงความพรั่นพรึงใจวา ‘สกิ ขาบทที่ตอ งรักษาในพระศาสนานี้ มมี ากมาย, เจา ประคณุ เอย อันการท่ีจะบวชในพระศาสนาของพระสมณโคตมะ เปนกิจท่ีทาํ ไดยากเสียจริงหนอ’ ดังน้ีแลว แมอยากบวชก็ไมกลาบวช ทั้งจัก ไมเช่ือคําของเราดวย, เมื่อไมเช่ือถือ พวกคนเหลานั้นก็จักเปนผู ไปอบาย. (เพราะฉะนั้น) เม่ือมีวัตถุเกิดข้ึนแลว เราจักทาํ คน เหลาน้ันใหเขาใจดวยธรรมเทศนาแลวจักบัญญัติสิกขาบทใน เม่ือมีโทษปรากฏแลวเทาน้ัน ดังน้ี.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน พระสัพพัญุต- ญาณของพระตถาคตยิ่งใหญเพียงใด ขอน้ีจัดวาเปนสิ่งนา อัศจรรยแหง พระพุทธเจาทัง้ หลาย, จดั วา เปนสง่ิ ทน่ี า แปลกใจแหง พระพุทธเจาท้ังหลาย, พระคุณเจา นาคเสน ขอ นี้ เปน อยางที่ทา น กลาวมานี้ ก็เปนอันวาพระตถาคตทรงไขความขอน้ีไวดีแลววา เม่ือสตั วท งั้ หลายไดส ดบั วา สิกขาบทท่ีพงึ ศกึ ษาในพระศาสนาน้ี มมี ากมาย ดังนี้แลว ก็จะพึงถึงความพรั่นพรึง, แมสักคนหน่ึง
วรรคที่ ๒, นิปปปญ จวรรค ๑๐๕ ก็ไมกลาบวชในพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจา, ขาพเจาขอ ยอมรับคาํ ตามท่ีทานกลาวมานี้.” จบอนวเสสสิกขาปทปญหาที่ ๘ คาํ อธิบายปญหาที่ ๘ ปญหาเก่ียวกับสิกขาบทท่ีไมมีสวนเหลือ ชื่อวา อนวเสส- สิกขาปทปญหา. คาํ วา รจู กั ความเกดิ ข้ึนแหง โรค เปน ตน ความวา รจู กั ความเกิดขึ้นแหงโรค วาเวลานม้ี โี รคชอ่ื นเี้ กิดขน้ึ แลว , รจู ักเหตุ แหงโรค วา โรคน้เี กิดเพราะอากาศทเ่ี ย็น เพราะอากาศท่รี อ น เพราะอาหาร เพราะการทําตนเอง เพราะถกู ผอู นื่ ทําเปน ตน , รจู ัก สภาวะแหงโรค คอื รจู ักอาการของโรค, รูจกั สมฏุ ฐานของโรค วาโรคน้ีมีดีเปนสมุฏฐาน โรคน้ีมีเสมหะเปนสมุฏฐาน เปนตน, รูจักวิธีบําบัด วา โรคนี้ตองบาํ บัดรักษาดวยยาช่ือนี้ เปนตน, รูจักกิจที่ควรทํา คือรูจักกิจท่ีหมอควรทําตอคนไข หรือที่คนไข ควรทําเอง เพ่ือใหโรคหายเร็ว มีการทําความสะอาดแผล การ ไมเสพของแสลง เปนตน. คาํ วา โรคทร่ี ักษาสําเร็จหรอื ไมสําเรจ็ คอื โรคทสี่ ามารถ รักษาใหห ายได โรคทไี่ มส ามารถรกั ษาใหหายได. คาํ วา ทุกอยางในคราวเดียวกัน คือ ยอมรูจักความ เกิดข้นึ แหง โรคเปนตน ไดทุกอยา งในคราวทวี่ ินิจฉยั คนไขใ นคราว เดียวกัน.
๑๐๖ กัณฑท่ี ๕, อนมุ านปญหา คาํ วา ในวัตถุเทาน้ี คือ ในเรื่องราวหรือเหตุการณครั้ง นนั้ ๆ ท่ีทรงปรารภเปนเหตบุ ญั ญตั ิสิกขาบทขอ นน้ั ๆ ทกุ เรือ่ ง รวม จาํ นวนเทาน.ี้ คาํ วา คนท้งั หลายตเิ ตียนแลว คือคนท้ังหลายตเิ ตยี นวา “ไฉนพระสมณศากยบุตรผูนี้จึงไดทําอยางน้ี, ผูเปนสมณะไมนา ทาํ อยา งน”ี้ ดังน้ีเปนตน. คาํ วา เมื่อไมเชื่อ พวกคนเหลา นั้นก็จกั เปนผไู ปอบาย คือเม่ือไมเชื่อก็ไมประพฤติตามท่ีทรงบัญญัติไว เม่ือไมประพฤติ ตามก็เปนผูมีศีลไมบริสุทธิ์ เพราะเหตุท่ีมีศีลไมบริสุทธิ์ก็ยอมไป อบายภมู ิ ๔ หลังจากตายได. จบคาํ อธิบายปญ หาท่ี ๘ ปญ หาท่ี ๙, สรู ยิ ตปนปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน พระอาทิตยน้ีสง แสงแรงกลาอยูตลอดกาลท้ังปวงหรือ, หรือวา บางคร้ังก็สงแสง ออ นบา ง?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร พระอาทิตยน้ี สงแสงแรงกลาตลอดกาลท้งั ปวง ในกาลไหน ๆ กไ็ มส ง แสงออ น.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ถาหากวา พระ อาทิตยสงแสงแรงกลาอยูตลอดกาลทั้งปวงไซร เพราะเหตุไรใน กาลบางคราวก็สงแสงแรงกลา ในกาลบางคราวก็สงแสงออน (อยูอยางน้ี) เลา?”
วรรคท่ี ๒, นปิ ปปญ จวรรค ๑๐๗ พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร พระอาทิตย มีโรคอยู ๔ อยา งเหลานี้ พระอาทิตยถ ูกโรคอยางใดอยางหนงึ่ แหง บรรดาโรค เหลา น้ี บีบค้นั แลว กย็ อ มสง แสงออ นไป, โรค ๔ อยางอะไรบาง? ขอถวายพระพร กอนเมฆหนา ๆ กเ็ ปน โรค ของพระอาทิตยอยาง หนึ่ง, พระอาทติ ยถ กู โรคคอื กอ นเมฆหนา ๆ นนั้ บบี คน้ั (คอื ปดปง ) แลว ก็ยอมสงแสงออนไป, ขอถวายพระพร หมอกก็เปนโรคของ พระอาทิตยอยา งหนึ่ง, พระอาทติ ยถ ูกโรคคอื หมอกนั้นบบี คนั้ แลว ก็ยอมสงแสงออนไป, ขอถวายพระพร เมฆฝนก็เปนโรคของพระ อาทติ ยอ ยางหน่ึง, พระอาทิตยถูกโรคคอื เมฆฝนนั้นบีบคัน้ แลว ก็ ยอมสงแสงออนไป, ขอถวายพระพร เทพราหูก็เปนโรคของพระ อาทิตยอยางหน่ึง, พระอาทิตยถูกโรคคือเทพราหูน้ันบีบคั้นแลวก็ ยอมสง แสงออนไป. ขอถวายพระพร มหาบพติ ร พระอาทิตยมีโรค อยู ๔ อยางเหลาน้ี แล ซ่ึงพระอาทิตยถูกโรคอยางใดอยางหน่ึง แหง บรรดาโรคเหลานี้ บบี ค้นั แลวกส็ ง แสงออนไป.” พระเจามิลนิ ท : “นาอัศจรรยจ รงิ พระคุณเจา นาคเสน นาแปลกใจจริง พระคุณเจานาคเสน ขอท่ี พระอาทิตยแมวา ถงึ พรอ มดวยเดช ก็จักยังมีโรคเกิดข้ึนได, จะปวยกลาวไปไยถึง สัตวอื่นท้ังหลายเลา, พระคุณเจา ยกเวนบุคคลผูมีความรูเชน ทานเสียแลว บคุ คลอน่ื หามีอันจําแนกปญ หาน้ไี ดไม.” จบสูริยตปนปญหาที่ ๙
๑๐๘ กณั ฑท ี่ ๕, อนุมานปญหา คําอธบิ ายปญหาท่ี ๙ ปญ หาเกี่ยวกบั แสงรอนแหงพระอาทติ ย (แสงแดด) ชอ่ื วา สรู ยิ ตปนปญหา. คําวา พระอาทิตยน ้มี โี รคอยู ๔ อยาง คือ พระอาทิตยมี สง่ิ เบยี ดเบียนบบี คั้นอยู ๔ อยาง ซ่ึงเปนเหตุทาํ ใหสงแสงออนไป. ความวา ความจริงพระอาทิตยสงแสงแรงกลาตลอดกาลทั้งปวง จะไดสงแสงออนไปในกาลบางคราวบาง ก็หาไม แตเพราะมีโรค ๔ อยาง อยางใดอยางหนึ่งบีบคั้นโดยการปดบังเปนตนแลว ก็ ปรากฏราวกะวา สงแสงออ นไป. จบคําอธิบายปญ หาท่ี ๙ ปญหาท่ี ๑๐, กฐินตปนปญ หา พระเจามลิ นิ ท : “พระคุณเจา นาคเสน เพราะเหตไุ ร ในฤดู หนาวพระอาทิตยจึงสงแสงแรงกลา แตในฤดูรอนมิไดสงแสงแรง กลาอยางนน้ั .” พระนาคเสน : ขอถวายพระพร มหาบพิตร ในฤดูรอนธุลี ขี้ฝุนมิไดถ กู ลมขจดั (จนหมดสิ้นไป), ละอองถูกลมตใี หฟ งุ ขึน้ ไปอยู บนทองฟา , ทั้งในอากาศกม็ ีแตก อนเมฆหนา ๆ, ลมแรงพัดไปแรง, ส่ิงที่มีอยางตาง ๆ เหลาน้ันท้ังหมด รวมกันเขาก็ปดบังรัศมีพระ อาทิตยไว, เพราะเหตุน้นั ในฤดูรอ น พระอาทติ ยจ ึงสง แสงออน. ขอถวายพระพร สวนวา ในฤดูหนาว แผนดินเบื้องลาง เย็น, เบือ้ งบนกม็ ีเมฆใหญต ง้ั ข้ึน, ธลุ ีขฝี้ นุ นง่ิ สงบอย,ู ทงั้ ละอองก็
วรรคที่ ๒, นปิ ปปญ จวรรค ๑๐๙ เคลื่อนไปชา ๆ บนทอ งฟา , ท้งั อากาศกป็ ราศจากเมฆฝน, ทัง้ ลมก็ พัดไปออน ๆ รัศมีพระอาทิตยยอมเปนธรรมชาติที่หมดจดเพราะ ส่งิ เหลา นมี้ ีความสงบระงบั , เมื่อพระอาทิตยน ัน้ พน จากสิ่งขัดของ ทัง้ หลาย แสงแดดยอมแผดกลา ยง่ิ นกั . ขอถวายพระพร ทกี่ ลาว มานี้เปนเหตุผลในเร่ืองนี้, ท่ีทาํ ใหพระอาทิตยสงแสงแรงกลาใน ฤดูหนาว, ในฤดูรอ นมิไดส ง แสงแรงกลา อยา งนน้ั .” พระเจามลิ นิ ท : “พระคณุ เจา พระอาทติ ยพนจากเสนียด จัญไรทั้งปวงได ก็ยอ มสง แสงแรงกลา ประจวบกันเขากับเมฆฝน เปนตน ก็ไมส ง แสงแรงกลา .” จบกฐนิ ตปนปญ หาท่ี ๑๐ คําอธิบายปญหาที่ ๑๐ ปญหาเก่ียวกับแสงแดดแผดกลา ช่ือวา กฐินตปน- ปญหา. คาํ พูดท่ีเหลือชัดอยูแลว. จบคําอธิบายปญหาที่ ๑๐ จบนิปปปญจวรรคท่ี ๒ ในวรรคน้ี มี ๑๐ ปญหา
๑๑๐ กัณฑท ี่ ๕, อนุมานปญหา วรรคท่ี ๓, เวสสนั ตรวรรค ปญ หาท่ี ๑, เวสสนั ตรปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน พระโพธิสัตวทุก พระองคลวนแตใหบุตรและภรรยาหรือ, หรือวา เฉพาะพระราชา เวสสันดรเทาน้ัน ใหบุตรและภรรยา?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระโพธิสัตว แมทุกพระองค ลวนใหบุตรและภรรยา, ไมใชเฉพาะพระราชา เวสสันดรเทาน้ัน ใหบุตรและภรรยา.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ก็แตวา พระโพธิ- สัตวยอมใหตามความยินยอมของบุคคลเหลาน้ัน หรือ?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร พระชายาทรงยินยอมแต วาโอรสธิดาซ่ึงยังเปนเด็กรองไห เพราะความที่ยังไรเดียงสา, ถา หากวา พวกเด็ก ๆ เหลา น้นั รูเดยี งสา พวกเด็ก ๆ แมเ หลาน้ันก็จะ พงึ ยินยอม เด็ก ๆ เหลา นนั้ จะไมรองไห.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ขอที่พระโพธิสัตว นน้ั ทรงมอบบตุ รทีร่ กั อันเปนโอรสธดิ าของพระองคเ องใหเ ปน ทาส แกพ ราหมณน น้ั จดั วา เปน ขอทที่ าํ ไดย ากขอ ท่ี ๑. แมข อ ทีพ่ ระโพธสิ ัตวนัน้ เห็นพราหมณผนู ั้น ใชเถาวลั ยม ัด บุตรทีร่ ักอันเปน โอรสธิดา ผูยงั ไรเ ดียงสา ออนเยาวข องพระองค เอง ใชเ ถาวลั ยก ระชากลากถไู ป แลว ก็ยงั วางเฉยอยูได จดั เปน ขอ ท่ที าํ ไดย ากเสยี ยิง่ กวา ยาก ขอ ที่ ๒.
วรรคท่ี ๓, เวสสันตรวรรค ๑๑๑ แมขอท่ีพวกเด็ก ๆ ใชกาํ ลังของตนแกมัดว่ิงกลับมา ถึง ความหวาดกลัวอยู พระองคก ็ทรงใชเถาวัลยมดั มอบใหไปอกี ก็จดั วา เปน ขอ ที่ทาํ ไดย ากเสยี ย่งิ กวายาก ขอ ท่ี ๓. แมข อ ท่ีเมือ่ พวกเด็ก ๆ รําพนั อยวู า ‘เสดจ็ พอ ผนู ีเ้ ปนยกั ษ มันจะพาลูกไปกิน’ พระองคจะทรงปลอบโยนวา ‘จงอยากลวั เลย’ ดงั นี้บาง ก็หาไม, จดั วา เปน ขอ ที่ทาํ ไดยากเสยี ยง่ิ กวายาก ขอ ที่ ๔. แมขอที่เมื่อชาลีกุมารรองไห กราบลงท่ีพระบาท วิงวอน อยูวา ‘เอาละ เสดจ็ พอ ลกู ขอรอ ง ขอจงทรงโปรดใหกณั หาชินาได กลับไป ลูกคนเดียวจะไปกับยักษ, ขอใหยักษไดกินลูก (คนเดียว เทา นน้ั ) เถดิ ’ ดังนี้ พระองคก ็ไมทรงยอมรบั ตามคําวิงวอนน้ี กจ็ ดั วาเปนขอท่ีทาํ ไดย ากเสยี ย่ิงกวายาก ขอที่ ๕. แมขอท่ีเมื่อชาลีกุมารรองไหรําพันวา ‘เสด็จพอมีพระทัย แข็งกระดางดังแผนศิลาเสียนี่กระไร ที่เมื่อพวกหมอมฉันทั้ง ๒ เปนทุกขอยู ก็ยังทรงเพิกเฉย กําลังจะถูกยักษพาไปในปาทึบ ปราศจากผคู น กไ็ มท รงปองกัน’ ดังนี้. กไ็ มทรงพระกรุณา กจ็ ดั วา เปน ขอทท่ี ําไดยากเสยี ยง่ิ กวา ยาก ขอ ที่ ๖. แมขอที่เมื่อพวกเด็ก ๆ ถูกพราหมณที่แสนราย แสนนา สะพรึงกลวั นั้น นาํ ไปจนพน สายพระเนตร พระทัยกห็ าไดแ ตกเปน ๑๐๐ เสีย่ งหรอื ๑,๐๐๐ เส่ยี งไม ก็จัดวาเปนขอ ที่ทาํ ไดยากเสียยิ่ง กวายาก ขอที่ ๗. เพราะเหตุไร พระโพธิสตั วซ งึ่ เปนคนท่ีใครบ ญุ จงึ เปน ผูท่ไี มข จัดทุกขของผูอ น่ื เลา , ธรรมดาวา นาจะใหท านของ ตนมใิ ชหรือ?”
๑๑๒ กัณฑที่ ๕, อนุมานปญหา พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร พระกิตตศิ ัพทข องพระ โพธิสัตวฟุงขจรไปในหมื่นโลกธาตุก็เพราะไดทรงทาํ ส่ิงท่ีทําได ยาก, พวกเทวดาก็พากันสรรเสริญอยูในที่อยูของพวกเทวดา, พวกอสรู กพ็ ากันสรรเสรญิ อยูในทอ่ี ยูของพวกอสรู , พวกครฑุ ก็พา กันสรรเสริญอยใู นท่อี ยูของพวกครุฑ, พวกนาคกพ็ ากนั สรรเสรญิ อยูในท่ีอยูของพวกนาค, พวกยักษก็พากันสรรเสริญอยูในท่ีอยู ของพวกยักษ, พระกิตตศิ ัพทของพวกพระโพธิสตั วนั้นฟงุ ขจรสบื ตอกันมาตามลําดับ จนกระทั่งถึงสมัยของพวกเรา ณ ที่น้ี ใน ปจจุบันน.้ี พวกเราผสู รรเสรญิ ทานน้ันอยู กก็ ลบั มานั่งคลางแคลง ใจเสียได วาเปนทานดี หรือวาทานไมดี. ขอถวายพระพร พระ กิตติศัพทขอน้ีน้ัน ยอมช้ีใหเห็นพระคุณ ๑๐ ประการของพระ โพธสิ ตั วท ง้ั หลาย ผูทรงเปนวญิ ูชนละเอียดออ น รอบรู มปี ญญา เห็นแจม แจง. พระคณุ ๑๐ ประการ อะไรบา ง? ๑. อเคธตา - ความไมตดิ ขอ ง ๒. นิราลยตา - ความเปนผูหาอาลัย (กามคุณอันเปนท่ี ตัณหามาซบอยู) มิได ๓. จาโค - ความสละได ๔. ปหานํ - ความเลิกละเสยี ได ๕. อปนุ ราวตฺตติ า - ความไมหวนกลบั มาอกี (ตกลงใจแนว แนไ มเปลยี่ นใจกลบั กลอก)
วรรคที่ ๓, เวสสันตรวรรค ๑๑๓ ๖. สขุ ุมตา - ความสขุ มุ ๗. มหนฺตตา - ความเปนผูนาบูชา (หรือความเปนบุรุษผู ยิ่งใหญ) ๘. ทุรานุโพธตา - ความเปนผูที่ใคร ๆ ตามรู (จิตใจ) ได ยาก ๙. ทลุ ลฺ ภตา - ความเปนบคุ คลทหี่ าไดยาก ๑๐. อสทสิ ตา - ความท่ีพระพุทธเจาทรงเปน บุคคลผหู าใคร เสมอเหมือนมิได. ขอถวายพระพร พระกิตติศัพทน้ี ยอมชี้ใหเห็นพระคุณ ของพระโพธิสัตวท้ังหลาย ผูทรงเปนวิญูชนละเอียดออน รอบรู มีปญญาเห็นแจมแจง ๑๐ ประการเหลานี้ แล.” พระเจามิลนิ ท : “พระคณุ เจานาคเสน ผูใ ดใหทานทําผูอ ืน่ ใหเปนทุกข, ทานนั้นมีวิบากเปนสุข เปนไปพรอมเพื่อสวรรคได ดว ยหรอื ?” พระนาคเสน : “ได มหาบพิตร ไฉนใครจะกลาวถงึ ได. ” พระเจามิลินท : “เอาละ พระคุณเจานาคเสน ขอทาน โปรดช้ีแจงเหตุผลเถิด.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา สมณะหรือพราหมณบางคนในโลกน้ีเปนผูมีศีล มีกัลยาณธรรม, สมณะหรือพราหมณผ นู น้ั เกดิ ปว ย ชาไปแถบหน่ึงจนงอยเปลี้ยไป ก็ดี ถึงความปวยไขอยางใดอยางหน่ึง (จนเดินไมได) ก็ดี บุรุษ
๑๑๔ กัณฑท ่ี ๕, อนมุ านปญหา ผูใครบุญคนใดคนหนึ่ง ยกสมณะหรือพราหมณผูน้ันข้ึนยาน- พาหนะ พาไปสงถึงสถานท่ีท่ีตองการ, ขอถวายพระพร ความสุข อะไร ๆ พึงบงั เกดิ แกบ รุ ษุ ผนู ้นั เพราะเหตทุ ่ไี ดท ํากรรมน้ันบา งหรอื หนอ, กรรมน้นั เปน ไปพรอ มเพื่อสวรรคห รอื ไม?” พระเจามิลินท : “ใช, พระคุณเจา ไฉนใครถึงกลาวถึงได บุรุษผูน้ันจะพึงไดรับยานชางบาง ยานมาบาง ยานรถบาง, อยูบนบกก็จะพึงไดรับยานบก, อยูในนาํ้ ก็จะพึงไดรับยานน้ํา, อยูในหมูเทวดาก็จะพึงไดรับยานเทวดา, อยูในหมูมนุษยก็จะ พึงไดรับยานมนุษย, ยานพาหนะที่เหมาะแกกรรมน้ัน ท่ีอนุโลม ตามกรรมน้ัน จะพึงบังเกิดในทุกสถานท่ีอยู, ทั้งความสุขทั้งหลาย ท่ีเหมาะสมแกกรรมน้ัน ท่ีอนุโลมตามกรรมนั้น ก็จะพึงบังเกิด แกเขา, เขาจะพึงละจากสุคติไปสูสุคติ, จะพึงยางข้ึนอิทธิยาน ไปสูนิพพานนครท่ีปรารถนาได ก็ดวยการจัดแจงแหงกรรมนั้น นั่นแหละ.” พระนาคเสน : “ถาอยางนั้น ก็เปนอันวา ทานท่ีบุรุษผู น้ันให โดยมีการทําใหผูอ่ืนเปนทุกข ยอมมีวิบากเปนสุข เปนไป พรอมเพ่ือสวรรค, เปนเหตุใหบุรุษผูทําโคพลิพัททั้งหลาย (ที่ใช ลากยานไป) ใหเปนทุกขน้ัน ไดรับความสุขเห็นปานฉะน้ีได. ขอถวายพระพร ขอจงทรงสดับเหตุผลท่ียิ่งข้ึนไปแมขออื่น อีกเถิด วา เพราะเหตุใด ทานท่ีพระโพธิสัตวมอบใหโดยมีการทํา ใหผูอื่นเปนทุกข จึงมีวิบากเปนสุข เปนไปพรอมเพ่ือสวรรค ขอ ถวายพระพร พระราชาพระองคใ ดพระองคห น่ึงในโลกนี้ รับสงั่ ให
วรรคที่ ๓, เวสสันตรวรรค ๑๑๕ มีการประกาศพระราชโองการเก็บภาษีโดยชอบธรรมนาํ มาถวาย ทาน, ขอถวายพระพร พระราชาพระองคน้ันจะทรงไดรับความสุข อะไร ๆ เพราะเหตทุ ที่ รงไดถ วายทานนน้ั หรอื หนอ ทานน้นั เปน ไป พรอ มเพื่อสวรรคห รอื ?” พระเจามิลินท : “ใชแลว พระคุณเจา, ไฉนใครจะกลาว ถึงได, เพราะเหตุที่ทรงไดถวายทานนั้น พระราชาพระองคนั้นจะ ทรงไดรับผลหลายแสนเทา ย่ิง ๆ ขึ้นไป. จะทรงเปนพระราชา ท่ีย่ิงกวาพระราชาท้ังหลาย, จะทรงเปนเทวดาท่ียิ่งกวาเทวดา ทั้งหลาย, จะทรงเปนพรหมที่ย่ิงกวาพรหมทั้งหลาย, จะทรงเปน สมณะท่ีย่ิงกวาสมณะทั้งหลาย, จะทรงเปนพราหมณท่ียิ่งกวา พราหมณทั้งหลาย, จะทรงเปนพระอรหันตที่ย่ิงกวาพระอรหันต ท้งั หลาย.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ถาอยางน้ัน ทานท่ี พระราชาพระองคน้ันถวายโดยมีการทําใหผูอื่นเปนทุกข ยอมมี วิบากเปนสุข เปนไปพรอมเพ่ือสวรรค, เปนเหตุใหพระราชาผู ทรงบีบบังคับผูคนดวยภาษีท่ีทรงใชถวายเปนทานพระองคนั้น ทรงไดรับยศและความสุขยิ่ง ๆ ข้ึนไป เห็นปานฉะนี้.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานท่ีพระราชา เวสสนั ดรทรงมอบใหไปนนั้ จดั วา เปน อติทาน (ทานท่ียิง่ ) คอื ขอท่ี ทรงมอบพระชายาของพระองคใหเปนภริยาของผูอ่ืน, ทรงมอบ บุตรที่เปนโอรสธิดาของพระองคเองใหเปนทาสของพราหมณ, พระคุณเจานาคเสน ขึ้นช่ือวา อติทานเปนทานท่ีผูรูทั้งหลายใน
๑๑๖ กัณฑท่ี ๕, อนุมานปญหา โลกตาํ หนิติเตียน, พระคุณเจานาคเสน เปรยี บเหมอื นวา เพราะ บรรทุกของหนักเกินไป เพลาเกวียนก็ยอมหักได, เพราะบรรทุก ของหนักเกนิ ไป เรอื กย็ อ มจมได, เพราะบรโิ ภคมากเกนิ ไป ของกิน กย็ อ มกลายเปนของแสลงไปได, เพราะมีฝนตกมากเกินไป ธญั ญ- ชาติก็ยอมเสียหายได, เพราะใหมากเกินไป ก็ยอมถึงความส้ิน ทรัพย, เพราะมีแดดรอนเกินไป แผนดินก็ยอมรอนได, เพราะ กาํ หนัดเกินไป ก็ยอมกลายเปนคนบาไปได, เพราะโกรธเกินไป ก็ยอมถูกเขาฆา (หรือฆาเขา) ได, เพราะหลงเกินไป ก็ยอมพบ ความทกุ ขย าก, เพราะอยากไดมากเกินไป กย็ อมเขาถงึ การถูกจับ ตัวดวยเปนโจร, เพราะกลัวเกินไป ก็ยอมผิดพลาดได, แมนํ้า เพราะเต็มเกินไป ก็ยอมลนฝงได, เพราะลมแรงเกินไป สายฟา ก็ฟาดตกลงมาได, เพราะไฟรอนเกินไป ขาวสุกก็ลนหมอได, เพราะสัญจรมากเกินไป ก็ยอมมีชีวิตอยูไดไมนาน ฉันใด, พระคุณเจานาคเสน ขึ้นชื่อวาอติทาน ผูรูทั้งหลายในโลกตาํ หนิ ติเตียน, พระคุณเจานาคเสน อติทานท่ีพระราชาเวสสันดรทรง บําเพ็ญ, ผลอะไร ๆ ในอติทานน้ัน เปนผลที่ไมนาปรารถนา เลย.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อติทาน เปนทานที่ผูรู ท้ังหลายในโลกยกยอง ชมเชย สรรเสริญ, บุคคลผูใหอติทาน ใหทานที่เปนเชนน้ันอยางใดอยางหนึ่ง ยอมไดรับเกียรติ (ฐานะ ท่ีนายกยองสรรเสริญ) ในโลก. ขอถวายพระพร รากไมปาที่เปน ทิพย แมเพียงแตถือไว ก็ทําใหคนผูอ่ืนท่ีอยูในชวงหัตถบาส
วรรคท่ี ๓, เวสสนั ตรวรรค ๑๑๗ ไมอาจมองเห็นได เพราะความเปนของประเสริฐย่ิง, ยาถอน ความเจ็บปวยได กระทําโรคท้ังหลายใหสิ้นสุดไปได ก็เพราะ ความเปนยาชนิดท่ีย่ิง, ไฟ ไหมส่ิงท้ังปวงได ก็เพราะมีความรอน ย่ิง, นํ้า ทําใหไฟดับไปได ก็เพราะมีความเย็นย่ิง, บัวหลวง ไม เปรอะเปอนโคลนตม กเ็ พราะความเปน สงิ่ ท่หี มดจดเกลยี้ งเกลา, แกวมณี มอบแตสิ่งท่ีตองการ ก็เพราะเปนสิ่งที่มีคุณานุภาพย่ิง, เพชร เจาะแกว มณี แกว มุกดา แกวผลึกได ก็เพราะเปนธรรมชาติ ที่แขง็ แกรง ยงิ่ , แผนดนิ รองรบั คน งู เนื้อ นก น้าํ กอ นหนิ ภเู ขา ตน ไมได กเ็ พราะความเปน ส่ิงใหญย ่ิง, มหาสมุทร ไมล น ฝง ก็เพราะความเปนสิ่งใหญยิ่ง, ภูเขาสิเนรุ ไมหวั่นไหว ก็เพราะ หนักยง่ิ , อากาศ หาทสี่ ดุ มิไดก็เพราะกวางขวางย่งิ , พระอาทติ ย กาํ จัดความมืดได ก็เพราะมีแสงสวางแรงกลายิ่ง, ราชสีหปราศ จากความกลัว ก็เพราะมีชาติกําเนิดท่ีสูงสงยิ่ง, นักมวยปล้ํา ยกนักมวยฝายตรงขามทุมกระเด็นไปได ก็เพราะมีกาํ ลังยิ่ง, พระราชา ทรงเปนผใู หญย ่งิ กเ็ พราะทรงมีบุญยง่ิ , ภิกษุ เปน ผูค วร นมัสการ ก็เพราะเปนผูมีศลี ยง่ิ , พระพทุ ธเจา ทรงเปนผูท ่ีหาบคุ คล อน่ื เปรยี บเทยี บมไิ ด เพราะทรงเปนบุคคลผยู อดยงิ่ ฉนั ใด, ขอ ถวายพระพร มหาบพติ ร ขึน้ ชื่อวา อติทาน เปน ทานทผ่ี รู ทู ง้ั หลาย ในโลกยกยอง ชมเชย สรรเสริญ, บุคคลผใู หอตทิ าน ใหท านทเี่ ปน เชน น้ันอยา งใดอยา งหนึ่ง ยอ มไดรับเกียรติในโลก ฉันใด พระราชา เวสสันดรทรงเปนผูท่ีผูรูทั้งหลายยกยอง ชมเชย สรรเสริญ บูชา แซซ อ งในหม่นื โลกธาตุ กเ็ พราะอตทิ าน ฉนั นั้นเหมอื นกัน เพราะ
๑๑๘ กัณฑท่ี ๕, อนุมานปญหา อติทานนั่นเอง พระราชาเวสสันดรจึงทรงไดเกิดมาสาํ เร็จเปน พระพุทธเจา เปน บคุ คลผูยอดเยีย่ มในโลกท่มี ีพรอ มพรง่ั ท้ังเทวดา ในกาลปจจบุ ันน้ี. ขอถวายพระพร ทานที่ควรยกเวน อนั จดั เปน ทานท่ไี มควร ใหในทักขิเณยยบคุ คลผมู าถงึ มีอยูใ นโลกบา งหรอื ไม? ” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน การให ๑๐ อยาง เหลา นแี้ ล เปน การใหที่บณั ฑิตทั้งหลายไมน บั วา เปนทาน, ผูใดให ส่ิง ๑๐ อยางเหลานั้นเปนทาน ผูน้ันมีอันตองไปอบาย การให ๑๐ อยาง อะไรบาง? ๑. พระคุณเจานาคเสน : มชฺชทานํ - การใหน ํา้ เมาบณั ฑติ ทง้ั หลายไมน ับวา เปน ทานในโลก, ผใู ดใหท านนา้ํ เมานนั้ ผนู ั้นมีอัน ตองไปอบาย ๒. สมชชฺ ทานํ - การใหมหรสพฟอ นราํ ขบั รอง ฯลฯ ๓. อติ ถฺ ที านํ - การใหหญิงแกชาย ฯลฯ ๔. อุสภทานํ - การใหโ คตวั ผแู กโ คตวั เมยี เพ่อื ประโยชนแก การต้ังครรภ ฯลฯ ๕. จติ ฺตกมมฺ ทานํ - การใหภ าพจติ รกรรม ฯลฯ ๖. สตฺถทานํ - การใหศัสตราวธุ ฯลฯ ๗. วสิ ทานํ - การใหยาพิษ ฯลฯ ๘. สงฺขลกิ ทานํ - การใหโ ซตรวน ฯลฯ ๙. กุกกฺ ฏุ สกู รทานํ - การใหไ ก สุกร เปนตน ฯลฯ
วรรคท่ี ๓, เวสสนั ตรวรรค ๑๑๙ ๑๐. ตุลากูฏมานกฏู ทานํ - การใหเ ครื่องช่งั โกง เครอื่ งตวง วัดโกง บัณฑิตท้ังหลายไมนับวาเปนทานในโลก, ผูใดใหทาน เครอ่ื งชง่ั โกง เครื่องตวงวดั โกงนน้ั ผนู น้ั มอี นั ตอ งไปอบาย. พระคุณเจานาคเสน การให ๑๐ อยางเหลาน้ีแลเปนการ ใหท่ีบัณฑิตทั้งหลายไมนับวาเปนทาน, ผูใดใหส่ิง ๑๐ อยาง เหลานน้ั เปน ทาน ผนู ้นั มอี นั ตองไปอบุ าย” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อาตมภาพมิไดถามถึง การใหท่ีบัณฑิตทั้งหลายไมนับวาเปนทานน้ัน, ขอถวายพระพร อาตมภาพถามถึงการใหท่ีนับวาเปนทานนั้นน่ันแหละวา ขอ ถวายพระพร ทานที่ควรยกเวน อันจัดเปนทานที่ไมควรใหใน ทักขิเณยยบุคคลผูมาถึง มีอยูในโลกบางหรือไม?” พระเจามลิ นิ ท : “พระคุณเจานาคเสน ทานท่ีควรยกเวน อันจัดเปนทานที่ไมควรใหในทักขิเณยยบุคคลผูมาถึง หามีอยูใน โลกไม, บางคน เมอื่ เกดิ จิตเล่อื มใสขน้ึ มา ยอ มใหโภชนาหารแก ทกั ขิเณยยบคุ คลทั้งหลาย, บางคนกใ็ หเครอ่ื งนุง หม, บางคนใหท่ี นอน, บางคนใหท่ีอยูอาศัย, บางคนก็ใหเคร่ืองปูลาดและผาหม, บางคนใหท าสหญิงทาสชาย, บางคนก็ใหทุง นาทอ งนา, บางคนก็ ใหสัตว ๒ เทา ๔ เทา, บางคนก็ใหทรัพยหน่ึงรอย หน่ึงพัน หนึ่ง แสน, บางคนก็ใหร าชสมบตั ิ, บางคนก็ใหแ มช วี ิต.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ก็ถาหากวา บางคนแมแตชีวิตก็ยังใหได, เพราะเหตุไร ผูคนทั้งหลายจึงพากัน
๑๒๐ กัณฑท ี่ ๕, อนุมานปญหา โจมตีพระเวสสันดรอยางรุนแรงยิ่ง เมื่อพระองคทรงใหโอรสธิดา และชายาเปน ทานดแี ลว เลา . ขอถวายพระพร อน่ึง เร่ืองที่บิดาผูกูหน้ีเขาก็ตาม หาเล้ียง ชีพอยูเปนปกติก็ตาม ยอมไดบุตรไปใชขัดหน้ีบาง เอาบุตรขาย ไปบาง ก็เปนเรื่องปกติของชาวโลก ชาวโลกคุนเคยกันอยูมิใช หรือ?” พระเจามิลนิ ท : “ใช พระคุณเจา เรอ่ื งท่ีบดิ าผเู ปน หนเ้ี ขา ก็ตาม หาเลี้ยงชีพอยูเปนปกติก็ตาม ยอมไดบุตรไปใชขัดหน้ีบาง เอาบุตรขายไปบาง เปนเรื่องปกติของชาวโลก ชาวโลกคุนเคย กันอยู” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ถา หากวา บดิ าผกู หู นเ้ี ขา ก็ตาม หาเล้ียงชีพอยูเปนปกติก็ตาม ยอมไดบุตรไปใชขัดหนี้ก็ได เอาบุตรขายไปก็ได ไซร, แมพระราชาเวสสันดรเม่ือไมทรงได พระสัพพัญุตญาณ ทรงลําบากเปนทุกขอยู ก็ยอมทรงใหโอรส ธิดาและชายาเปนมัดจําและขายไป เพื่อประโยชนแกการไดมา ซ่ึงทรัพยคือพระธรรมนั้น ไดเหมือนกัน. ขอถวายพระพร เพราะ เหตุน้ัน ก็เปนอันวา พระราชาเวสสันดรทรงใหส่ิงท่ีคนอ่ืน ๆ ให กันน่ันแหละ, ทรงกระทําส่ิงท่ีคนอ่ืน ๆ กระทํานั่นแหละ. ขอ ถวายพระพร เพราะเหตุไร พระองคจึงทรงติเตียนพระราชา เวสสันดร ผูทรงเปนทานบดีดวยทานน้ันอยางรุนแรงย่ิงเลา.”
วรรคท่ี ๓, เวสสันตรวรรค ๑๒๑ พระเจามลิ นิ ท : “พระคุณเจานาคเสน ขาพเจามไิ ดต ําหนิ ทานของพระเวสสันดรผูเปนทานบดี. เพียงแตวา เม่ือมีผูมาขอ โอรสธิดาและชายา ก็นาจะมอบตนเองใหแทน.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ขอท่ีวา เมื่อมีผูมาขอ โอรสธิดาและชายา ก็นาจะมอบตนเองใหแทนน้ี จัดวาเปนการ กระทาํ ท่ีไมดีงาม, เมื่อมีผูมาขอสิ่งใด ๆ ก็นาจะใหสิ่งนั้น ๆ นั่น แหละ, นี้จึงจะจัดวาเปนการกระทาํ ของผูเปนสัตบุรุษ, ขอถวาย พระพร เปรียบเหมือนวา บรุ ษุ บางคน (ตอ งการดม่ื น้ํา) ขอใหนํา นํา้ มาดมื่ ให, บุรษุ ผูใดใหข า วเขากิน บรุ ษุ ผูน ัน้ ชื่อวาเปนผทู าํ กจิ ที่ ควรทาํ หรอื ?” พระเจามิลินท : “ไมช่ือวาเปนผูทํากิจท่ีควรกระทําหรอก พระคณุ เจา , เขาขอสิ่งใด เม่ือใหส ง่ิ นนั้ น่ันแหละแกเขา จงึ จะชอื่ วา เปน ผทู าํ กิจที่ควรทํา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน เม่ือพราหมณมาทูลขอโอรสธิดาและชายา พระราชาเวสสันดรก็ทรงมอบโอรสธิดาและชายาใหไป, ขอถวาย พระพร ถาหากวา พราหมณจะพึงทูลขอพระสรีระของพระ เวสสันดรไซร, พระองคก็จะไมทรงรักษาพระองคเองไว ไมทรง หวัน่ ไหว ไมท รงหว งใยพระองคเ อง, พระองคจะทรงมอี ันมอบพระ สรีระใหไป บริจาคไปแนเ ทียว. ขอถวายพระพร ถาหากวาจะมี บางคนเขาไปหาพระเวสสันดรผูเปนทานบดี แลวทูลขอวา ‘ขอ จงเปนทาสของเราเสยี เถดิ ’ ดังน,้ี พระองคก ็จะทรงมีอันมอบพระ-
๑๒๒ กณั ฑท ่ี ๕, อนมุ านปญหา สรีระใหไป บริจาคไปแนเทียว. พอไดใหเขาไปแลว พระองค จะไมทรงเดือดรอน ขอถวายพระพร พระกายของพระเวสสันดร จัดวาเปนของสาธารณะแกสัตวทั้งหลายมากมาย. ขอถวายพระพร ช้ืนเนื้อสุก ยอมเปนของสาธารณะแกคน ทั้งหลายมากมาย ฉันใด, พระกายของพระเวสสันดร ก็จัดวาเปน ของสาธารณะแกสัตวท งั้ หลายมากมาย ฉันนน้ั . ขอถวายพระพร หรืออีกอยางหนง่ึ ตนไมทผ่ี ลิดอกออกผล แลว ยอ มเปน ของสาธารณะแกหมูน กนานาชนิด ฉันใด, พระกาย ของพระราชาเวสสนั ดร กจ็ ัดวาเปน ของสาธารณะแกส ตั วท ้งั หลาย มากมาย ฉันน้ัน. เพราะเหตุไรหรือ เพราะทรงดําริวา เมื่อเรา ปฏิบัติไดอยางน้ี เราก็จักบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณได ดังนี้. ขอถวายพระพร เปรยี บเหมือนวา บุรุษผไู รทรัพยค นหน่งึ มคี วามตอ งการทรัพย เที่ยวแสวงหาทรัพยไป ยอ มเดนิ ไปตามทาง แพะเดิน ตามทางทม่ี ขี วากหนาม ตามทางทม่ี ปี า หวาย, กระทาํ การคาขายทั้งในนา้ํ ท้ังบนบก ยนิ ดีทรัพย พยายามเพ่ือการไดม า ซง่ึ ทรัพย ดว ยกาย ดว ยวาจา ดว ยใจ ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระเวสสันดรผูเปนทานบดีไรทรัพยดวยทรัพยของพระพุทธเจา ทรงบริจาคทรัพย ธัญญาหาร ทาสหญิง ทาสชาย ยานพาหนะ สมบัตทิ ัง้ ปวง บตุ รและภรรยาของพระองคเ อง และตัวพระองคเ อง แกคนท้ังหลายที่มาขอ เพ่ือการไดมาซ่ึงพระสัพพัญุตญาณ แสวงหาอยูแตพระสัมมาสัมโพธิญาณ ฉันน้ันเหมือนกัน.
วรรคที่ ๓, เวสสันตรวรรค ๑๒๓ ขอถวายพระพร อกี เรอ่ื งหน่งึ เปรียบเหมือนวาอํามาตยผ ู ตองการฐานะที่เปนใหญคือตาํ แหนงอัครมหาเสนาบดีอยู, ยอม พยายามเพือ่ การไดมาซึ่งตําแหนงอคั รมหาเสนาบดี แมว าตอ งใช ทรัพย ธัญญาหาร เงินและทองอยางใดอยางหน่ึงในเรือนไป ทงั้ หมดกต็ าม ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระเวสสันดรผทู รงเปน ทานบดี กท็ รงแสวงหาแตพ ระสมั มาสัมโพธญิ าณเทา นนั้ ทรงให ทรัพยทั้งภายนอกท้ังภายในน้ันไปท้ังหมด แมชีวิตก็ทรงใหได ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร อีกอยางหนึ่ง พระเวสสันดรผูทรงเปน ทานบดี ทรงเกิดพระดาํ ริขอน้ีข้ึนมาวา พราหมณผูน้ันขอส่ิงใด, เราเม่ือใหสิ่งนั้นแกเขา ก็ช่ือวาเปนผูทาํ กิจที่ควรทํา ดังน้ี, พระ เวสสันดรน้ัน ทรงดําริอยางน้ีแลว ก็ทรงมอบโอรสธิดาและชายา แกพราหมณผ นู ้ันไป, ขอถวายพระพร พระเวสสนั ดรผเู ปนทานบดี ทรงมอบโอรสธิดาและชายาแกพราหมณไป ไมใชเพราะทรงมี ความรังเกียจ, ทรงมอบโอรสธิดาและชายาแกพราหมณไป ไมใช เพราะไมทรงตองการจะพบเห็น, ทรงมอบโอรสธิดาและชายาแก พราหมณไป เพราะทรงดาํ ริวา ‘บุตร และภรรยาของเรามีมาก เกินไป เราไมอาจจะเลยี้ งดูคนเหลานนั้ ได’ ดงั นี้ กห็ าไม, ทรงมอบ โอรสธิดาและชายาใหไป เพราะทรงเอือมระอา คิดวา ‘เปนคนที่ เราเกลียด’ ดังนี้ แลวตองการจะขจัดไปเสีย ก็หาไม. แตทวา พระราชาเวสสันดรทรงมอบโอรสธิดาและชายาผูมีคุณอันช่ังมิได ผูเพียบพรอม ยอดเยี่ยม ผูเปนที่รักที่ชอบใจ เสมอดวยชีวิต เห็น
๑๒๔ กณั ฑท ่ี ๕, อนมุ านปญหา ปานฉะน้ี แกพราหมณไป เพราะเหตุแหงพระสัพพัุตญาณ เพราะทรงมีแกวประเสริฐ คือพระสัพพัญุตญาณนั่นแหละ เปน ทรี่ กั . ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพยิ่งเหลา เทพ ทรงภาสติ ความขอนีไ้ วใ นปกรณจ ริยาปฎ ก วา: น เม เทสฺสา อุโภ ปุตฺตา, มทฺที เทวี น เทสฺสิยา สพฺพฺุตํ ปยํ มยฺหํ, ตสฺมา ปเย อทาสหํ๑ แปลวา ไมใชเราเกลียดชังลูกทั้ง ๒, ไมใชมัทรีเทวีเปนผู ที่เราเกลียดชัง พระสัพพัญุตญาณเปนที่รัก ของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงไดมอบบุตรภรรยา ผูเปนที่รักให (แกพราหมณ) ไป. ดงั น.้ี ขอถวายพระพร เพราะฉะน้ัน พระราชาเวสสันดร คร้ัน ทรงมอบโอรสธิดาและชายาแลว ก็เสด็จเขาไปไสยาสนใน บรรณศาลา. ความเศราโศกมีกาํ ลังเกิดขึ้นแกพระเวสสันดรผู เปนทุกขเพราะความอาลัยรักย่ิงนักนั้น พระทัยก็เรารอน. เม่ือ พระนาสิกไมพอหายใจอยู ก็ทรงปลอยลมหายใจรอน ๆ ทาง พระโอษฐ, พระอัสสุชลกลายเปนหยาดพระโลหิตไหลออกทาง พระเนตร, ขอถวายพระพร พระราชาเวสสันดรทรงมอบโอรส ๑. ข.ุ จ. ๓๓/๖๒๔
วรรคท่ี ๓, เวสสันตรวรรค ๑๒๕ ธิดาและชายาใหแกพราหมณไปดวยความทุกขอยางน้ี แล ทรง ดําริวา ทานบถ (หนทางทาน) ของเรา ขอจงอยาไดเสียหายไป เลย ดังน้ี. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหนึ่ง พระราชาเวสสันดร ทรงเล็งถึงอาํ นาจประโยชน ๒ ประการ จึงทรงมอบโอรสธิดา ท้ัง ๒ แกพราหมณไ ป, อํานาจประโยชน ๒ ประการ อะไรบา ง? ทรงเล็งถึงอํานาจประโยชน ๒ ประการ อยางน้ีวา ‘ทานบถ (หนทางทาน) ของเราจักไมเ ปนอันเสยี หายไป’ ดงั นี้ ประการหนงึ่ , “พระอัยกา (ปู) จักทรงเปล้ืองบุตรท้ัง ๒ ของเราผูเปนทุกข เพราะเหตุท่ีตองอยูปา นอนตามโคนไมกินแตผลไมน้ี ใหพนเสีย ได’ ดังน้ี ประการหน่ึง, ขอถวายพระพร พระราชาเวสสันดร ทรงทราบวา ใคร ๆ ไมอาจใชล ูกทัง้ ๒ ของเราเปน ทาสได, และ พระอยั กาจกั ทรงไถตัวลกู ทงั้ ๒ ของเรา, เมื่อเปน อยา งน้ี แมพวก เราก็จักมีอันไดพบกัน ดังนี้. ขอถวายพระพร พระราชาเวสสันดร ทรงเล็งถึงประโยชน ๒ ประการเหลานี้ แล จึงทรงมอบโอรสธิดา ท้ัง ๒ แกพราหมณไป. ขอถวายพระพร ยังมอี กี อยา งหนึ่ง พระราชาเวสสนั ดรทรง ทราบวา พราหมณผนู ี้เปน คนชราแกเ ฒา ทรามกาํ ลัง ใกลแ ตกดับ ตองใชไมเทาพยุงตัวไป สิ้นอายุแลว ใกลหมดบุญเต็มที, พราหมณผ ูน้ไี มอาจใชลกู ทง้ั ๒ ของเราเปน ทาสได ดงั น.้ี ขอถวาย พระพร บุรุษพึงอาจใชกําลังตามปกติควาเอาพระจันทรพระ
๑๒๖ กัณฑท ่ี ๕, อนุมานปญหา อาทิตยที่มีฤทธิ์มากอยางนี้ ที่มีอานุภาพมากอยางน้ี ใสไวในหีบ หรือในตลับ ทําใหหมดรัศมี เพ่ือใชเปนจานชามไดหรือ?” พระเจามิลนิ ท : “มิไดห รอก พระคณุ เจา .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน พระโอรสธิดาของพระราชาเวสสันดรผูทรงมี สวนเปรียบดวยพระจันทรและพระอาทิตย ใคร ๆ ในโลกน้ีไมอาจ ท่ีจะใชเ พ่ือเปนทาสได. ขอถวายพระพร ขอพระองคจงทรงสดับเหตุผลท่ียิ่งขึ้น ไปแมอกี ขอ หน่งึ เถิด วา เพราะเหตุใด พระโอรสธดิ าของพระราชา เวสสันดร ใคร ๆ จึงไมอาจใชเพ่ือเปนทาสได, ขอถวายพระพร เปรียบเหมอื นวา แกวมณีของพระเจา จักรพรรดอิ ันสวยงาม มีชาติ สงู สง มคี า สงู สง ตกแตง ไวดีกวาง ๔ ฝา มอื ชกั วงรอบไดเทากับลอ เกวยี น ใคร ๆ กไ็ มอ าจใชผ าขร้ี วิ้ หอเกบ็ ไวใ นหบี เพ่อื ใชเปน หนิ ลับ มีดได ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโอรสธิดาของพระราชา เวสสนั ดร ผมู สี วนเปรยี บไดกบั แกว มณีของพระเจา จกั รพรรดิ ใคร ๆ กไ็ มอาจใชเ พ่ือเปน ทาสได ฉนั นน้ั เหมอื นกนั . ขอถวายพระพร ขอพระองคทรงสดับเหตุท่ียิ่งข้ึนไปแมอีก ขอหน่ึงเถดิ วา เพราะเหตใุ ด พระโอรสธดิ าของพระราชาเวสสนั ดร ใคร ๆ จงึ ไมอ าจใชเปนทาสได ขอถวายพระพร เปรยี บเหมอื นวา พญาชางอโุ บสถซงึ่ ขาวปลอดทั้งตวั มีอวัยวะ ๗ จดถงึ พืน้ สงู ๘ ศอก ความยาวรอบตวั ๙ ศอก นา เลอื่ มใส นา ชม กําลงั ตกมันอยู ถึง ๓ ทาง ใคร ๆ ไมอ าจใชกระดงหรือชามปด บงั ได หรือไมอ าจจะ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 548
Pages: