โอปมมกถาปญหากัณฑ ๔๒๗ ตพิ พฺ ํ ฉนฺทฺจ เปมจฺ , ตสฺมึ ทิสฺวา อุปฏ เป. เปยยฺ าจริยฏาเน, สกฺกจจฺ นํ ปนุ ปปฺ ุนํ. ถึงผูบวชในวันน้ัน แมเปนผูมีอายุเพียง ๗ ขวบ นับ ตั้งแตเกิด จะพึงอนุศาสนเราก็ตาม เราจะ ขอรับคาํ สอนของทานไวท่ีกระหมอม เราไดพบ ทานแลว ก็จะพึงตั้งความพอใจ และความรัก อยางแรงกลาไวในทาน จะพึงเคารพทานเนือง ๆ ต้ังไวในฐานะแหงอาจารย.’ ดังน้ี.” จบโครูปงคปญหาท่ี ๘ คาํ อธิบายปญหาที่ ๘ ปญหาเกี่ยงกับองคแหงโค ช่ือวา โครูปงคปญหา ช่ือวา โครูป ไดแกโคพลิพัทธ (โคงาน). คาํ วา ไมพึงละทิ้งกายของตน คือไมพึงละเลยกายของ ตน ดวยอํานาจแหงการกระทําเขาไวในใจ ไมทาํ ใจใหแสไปสู อารมณอ่ืน ซ่ึงมีมากมายในภายนอก. ถามวา กระทํากายของ ตนนี้เขาไวในใจ อยางไร? ตอบวา กระทําเขาไวในใจวา “กายน้ี มีความเปนของไมเที่ยงเปนธรรมดา” เปนตน. คําวา พึงเปนผูเทียมแอกคือพรหมจรรย ประพฤติ พรหมจรรยอันมีลมหายใจเปนที่สุด คือพึงเปนผูเทียม ไดแก ประกอบชอบซ่ึงมรรคพรหมจรรย อันมีสติปฏฐาน ๔ และ
๔๒๘ วรรคที่ ๔, อุปจิกาวรรค วิปสสนาเปนเบ้ืองตน ประพฤติปฏิบัติพรหมจรรยน้ันใหมีลม หายใจเปนที่สุด คือ ปฏิบัติไปตราบจนกระทั่งถึงคราวส้ินสุด แหงชีวิต. คําวา โดยสะดวกบาง ลําบากบาง ความวา ช่ือวา สะดวก ก็เกย่ี วกับวา ในคราวนั้นถึงพรอมดวยสัปปายธรรม (เหตุ สรางความสะดวก) ท้ังหลายมีที่อยูอาศัย ภิกษาหารเปนตน ที่ เปน สปั ปายะ, ชือ่ วาไมสะดวก กเ็ ก่ยี วกับวาในคราวนัน้ บกพรอง ดวยสัปปายธรรมเหลาน้ัน กลาวคือ ไดท่ีอยูที่อาศัยที่เปน อสัปปายะเปนตน. คําวา คําอนุศาสน คือคําพรา่ํ สอนที่เปนแบบแผนอัน รักษาสืบตอกันมา. คาํ วา สูดดม คือสูดดมกลิ่นศีลของทาน ที่ตนทราบตาม ทํานองแหงคําอนุศาสน, และวัตรปฏิบัติของทาน. คําวา ท้ังของอุบาสกฆราวาส คือท้ังของอุบาสก ฆราวาสผูเปนบัณฑิต ผูประกอบพรอมดวยคุณสมบัติของ กัลยาณมิตร. จบคาํ อธิบายปญ หาที่ ๘ ปญ หาที่ ๙, วราหงั คปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๒ แหงสุกร’, องค ๒ ที่พึงถือเอาน้ัน เปนไฉน?”
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๔๒๙ พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา สุกร เมื่อฤดูรอนซึ่งมีแดดรอนแรงมาถึง ก็ยอมเขาไป สูแหลงนา้ํ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญ เพียร เมื่อจิตวุนวาย พล้ังพลาด สับสน เรารอน เพราะโทสะ ก็พึงเขาไปสเู มตตาภาวนาอนั เยือกเยน็ เปน อมตะ ประณตี ฉันน้ัน เหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ืคือองคที่ ๑ แหงสุกร ที่พึง ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมอี กี องคหน่ึง, สุกร พอพบทีเ่ ปน โคลน ตมแลว ก็ใชจมูกขุดพ้ืนดิน ทําใหเปนแอง แลวนอนอยูในแอง ฉันใด, พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงวางกายไวในจิต นอน รูอยูภายในอารมณ ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองค ท่ี ๒ แหงสุกร ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระปณโฑลภาร- ทวาชเถระ ไดภาสิตความขอน้ีไว วา - ‘กาเย สภาวํ ทสิ ฺวาน, วิจนิ ิตวฺ า วิปสฺสโก. เอกากโิ ย อทุตโิ ย, เสติ อารมฺมณนตฺ เร พระโยคาวจรผูเจริญวิปสสนา ตรวจสอบพบเห็น สภาพในกายแลว ก็เปนผูโดดเด่ียวไมมีเพ่ือน นอนอยูภายในอารมณ.’ ดังนี้.” จบวราหังคปญหาที่ ๙
๔๓๐ วรรคที่ ๔, อุปจกิ าวรรค คําอธิบายปญ หาท่ี ๙ ปญหาเก่ียวกับองคแหงสุกร ช่ือวา วราหังคปญหา. เมตตาภาวนา ช่ือวา เยือกเย็น เพราะภาวะที่สงบไฟ รอนคือโทสะ. ชื่อวาอมตะ เพราะเปน เหมอื นโอสถอมตะท่ีใชถอน พิษคือโทสะ, หรือเพราะเปนเหตุประกอบแหงการถึงพระนิพพาน อันเปนอมตะ. และชื่อวา ประณตี กเ็ พราะเปน ปฏิปก ษต อ โทสะ อนั หาความประณีตมิได. คาํ วา พึงวางกายไวในจติ คือพึงวางปถวกี าย อาโปกาย เตโชกาย และวาโยกาย อนั ไดแกโ กฏฐาส หรอื อาการ ๔๒ มีผม ขน เลบ็ เปน ตน ไวใ นจติ คอื จิตทพี่ จิ ารณา โดยเกยี่ วกับกระทาํ ให เปน อารมณแ หง จิต. คาํ วา นอนรูอยูภายในอารมณ คือนอน ไดแกติดตาม รอู ยภู ายในอารมณ คอื กายนน้ั นน่ั แหละ เนือง ๆ. จบคําอธิบายปญ หาท่ี ๙ ปญ หาท่ี ๑๐, หัตถิงคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๕ แหงชาง’, องค ๕ ท่ีพึงถือเอานั้น เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ธรรมดาวา ชา ง คอยแตจ ะเดินยํ่า ทาํ ใหแผน ดินแตก ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูคอยแตจะพิจารณากาย
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๓๑ ทํากิเลสท้ังปวงใหแตกไป ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ี คือองคที่ ๑ แหงชาง ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, ชาง ต้ังลําตัวทุกสวน มองตรงไปเบ้ืองหนาเทานั้น, เพงมองไปตรง ๆ, ไมเหลียวดูไป ทางทิศใหญทิศยอยทั้งหลาย ฉันใด, ขอถวายพระพร พระ- โยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูตั้งกายทุกสวน มองไปทาง เบ้ืองหนา, ไมพึงเหลียวดูไปทางทิศใหญทิศยอยทั้งหลาย, ไมพึง แหงนดูเบ้ืองบน, ไมพึงกมดูเบื้องตา่ํ , มองไปแคชั่วแอกเทานั้น ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๒ แหงชาง ที่พึง ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, ชาง ไมมีที่นอนประจํา ไปในถิ่นท่ีหากินแลว ก็ไมยึดเอาสถานท่ีนั้นน่ันเทียวเปนที่อาศัย, ไมมีที่อยูอันตั้งมั่นถาวร ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บาํ เพ็ญเพียร กพ็ งึ เปน ผไู มม ีทน่ี อนประจาํ , พงึ เปน ผูไมม ีอาลยั ไป เพ่ือบิณฑบาต, ถาหากวา เธอผูเ จริญวปิ สสนา ไดพ บเห็นซุม ไมก ็ดี โคนไมก็ดี ถ้ําก็ดี ซอกเขาก็ดี ที่เหมาะสมนาพอใจ อันมีอยูใน สถานทีท่ นี่ า รืน่ รมย ก็พงึ เขา ไปอาศัยอยู ณ ทนี่ ้นั น่ันแหละ, แตก ็ ไมพึงทําใหเ ปนที่อยูอ ันตง้ั ม่ันถาวร ฉนั นน้ั เหมอื นกัน นค้ี ือองคท ี่ ๓ แหงชา ง ทพ่ี งึ ถอื เอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, ชาง หยั่งลงสูแองนาํ้ , หยั่งลงสูสระบัวใหญ ๆ ที่เปยมดวยนํา้ เย็นสะอาด ปราศจาก มลทิน ปกคลุมดวยบัวขาว บัวเขียว และบัวหลวงแลว ก็เลนนํา้
๔๓๒ วรรคท่ี ๔, อุปจิกาวรรค เพลิน อยางที่เปนการเลนของชาง ฉันใด, ขอถวายพระพร พระ โยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร หย่ังลงสูสระโบกขรณีคือมหาสติปฏ- ฐาน ที่เต็มเปยมดวยนาํ้ คือธรรมประเสริฐ ซึ่งสะอาด ปราศจาก มลทินใส ไมขุนมัว ท่ีปกคลุมดวยดอกไมคือวิมุตติ แลวก็พึงใช ญาณชําแหละสังขาร สลัดท้ิงไป, พึงเลนเพลิดเพลินอยางที่เปน การเลนของพระโยคาวจรผูประเสริฐ ฉันน้ันเหมือนกัน, นี้คือ องคท่ี ๔ แหงชาง ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหนึ่ง, ชาง จะยกเทาข้ึนก็มี สติ, จะวางเทาลงก็มีสติ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บาํ เพ็ญเพยี ร กพ็ ึงเปน ผมู ีสติ มีสัมปชัญญะ ยกเทาขึน้ , เปนผูมีสติ มสี มั ปชัญญะ วางเทา ลง, พงึ เปนผมู ีสติ มสี มั ปชญั ญะ ในเวลา กา วไป ในเวลากาวกลบั ในเวลาคู ในเวลาเหยียด ในกริ ิยาทงั้ ปวง ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๕ แหงชางท่ีพึง ถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพยิ่งเหลา เทพ ทรงภาสิตความขอน้ีไวในสังยุตตนิกายอันประเสริฐ วา :- ‘กาเยน สํวโร สาธุ, สาธุ วาจาย สํวโร มนสา สํวโร สาธุ, สาธุ สพฺพตฺถ สํวโร สพฺพตฺถ สํวุโต ลชฺชี, รกฺขิโตติ ปวุจฺจติ๑ ความสาํ รวมทางกาย เปนเหตุทําประโยชนให สาํ เร็จ ความสํารวมทางวาจา ก็เปนเหตุทํา ๑. สํ. ส. ๑๕/๑๐๐.
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๔๓๓ ประโยชนใหสําเร็จ ความสํารวมทางใจ ก็เปน เหตุทําประโยชนใหสําเร็จ ความสํารวมทาง ทวารทั้งปวง ก็เปนเหตุทาํ ประโยชนใหสาํ เร็จ ปราชญยอมกลาวถึงภิกษุผูมีความละอาย ผู สาํ รวมไดทุกทวาร วาเปนผูรักษาตน.’ ดังน้ี.” จบหัตถิงคปญหาท่ี ๑๐ คําอธิบายปญหาที่ ๑๐ ปญหาเกี่ยวกบั องคแหง ชา ง ชื่อวา หตั ถิงคปญหา. คําวา พึงเปนผูคอยแตจะพิจารณากาย คือพึงเปนผู ตามพิจารณากายเนือง ๆ เห็นกายนั้นตามความเปนจริงวา ไม เท่ียง เปนทุกข เปนอนัตตา เพราะเหตุน้ันนั่นแหละ จึงทํากิเลส ทั้งปวงใหแตกไปได คือละกิเลสได. คาํ วา พงึ เปน ผูต้งั กายทกุ สวน ฯลฯ มองไปแคชว่ั แอก เทาน้ัน นี้ ทานกลาวไวแสดงถึงความเปนปกติสํารวมในคราว เทีย่ วสลู ะแวกบา น เพอ่ื บณิ ฑบาต. คาํ วา พึงเปนผูไมมีอาลัย ไปเพ่ือบิณฑบาต คือใน คราวเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต ยอมเปนผูเท่ียวไปตามลาํ ดับเรือน ไมมีอาลัย คือไมมีจิตติดของในตระกูลแมไหน ๆ. คาํ วา ก็ไมพึงทาํ ใหเปนที่อยูอันต้ังมั่นถาวร คือแม เปนสถานท่ีท่ีเหมาะสมแกการบําเพ็ญเพียร ก็ไมมีความคิดวา
๔๓๔ วรรคท่ี ๔, อุปจิกาวรรค “สถานท่ีนี้ เปนท่ีอยูประจาํ ของเรา”, ทวา พรอมท่ีจะละจากไป ในเม่ือเกิความไมสะดวกบางอยางแกการบําเพ็ญอธิกุศลข้ึน. คาํ วา ท่ีเต็มเปยมดวยน้ําคือธรรมประเสริฐ คือท่ีเต็ม เปยมดวยนาํ้ อันไดแกธรรมประเสริฐ คือศีล สมาธิ ปญญา ท่ีใชชาํ ระลางเหง่ือไคลคือกิเลส ซึ่งช่ือวาเปน น้าํ สะอาด ปราศ จากมลทิน ใส ไมขุนมัว ก็เพราะเหตุที่ไมปะปนดวยกิเลส น่ันแหละ. คาํ วา ท่ีปกคลุมดวยดอกไมคือวิมุตติ คือท่ีกลนเกล่ือน ดวยดอกไมบานคือวิมุตติท้ังหลาย คือ ตทังควิมุตติ (ความหลุด พนช่ัวครั้งคราว) ดวยสามารถวิปสสนา, วิกขัมภนวิมุตติ (ความ หลุดพนโดยการขมไวไดซ่ึงนีวรณธรรมทั้งหลาย) ดวยสามารถ อุปจารฌานและอัปปนาฌาน, และสมุจเฉทวิมุตติ (ความหลุด พนโดยการตัดขาดดวยดีซึ่งกิเลสน้ัน ๆ ดุจตัดตนไมพรอมท้ังราก) ดวยสามารถพระอริยมรรค. คาํ นี้เปนเพียงทานช้ีใหเห็นวา สติ- ปฏฐาน เปนสระโบกขรณี อันเปนโอกาสท่ีเกิดข้ึนแหงดอกไมคือ วิมุตติทั้งหลายเทาน้ัน มิไดหมายความวามีวิมุตติประจําอยูแลว ต้ังแตตน. คาํ วา พึงใชญาณชําแหละสังขาร คือพึงใชวิปสสนา ญาณตรวจสอบสังขาร ทบทวนบอย ๆ เห็นทะลุปรุโปรงตาม ความเปนจริงวา ไมเท่ียงแนนอน เปนทุกขแนนอน เปนอนัตตา แนนอน.
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๓๕ คาํ วา สลัดท้ิงไป คือเพราะเหตุท่ีเห็นตามความเปนจริง อยางนั้นนั่นแหละ จึงสลัดท้ิงสังขารเหลานั้นได ดวยอํานาจแหง ความไมยึดมนั่ วาเปนสาระ. คําวา พึงเปนผูมีสติ มีสัมปชัญญะ ยกเทาขึ้น เปนตน คือพึงเปนผูมีสติ มีสัมปชัญญะ กลาวคือระลึกได และรูสึกตัวใน อาการท่ียกข้ึนแหงเทาเปนตน. ช่ือวา “กาย” ในคาํ วา ความสาํ รวมทางกาย นี้ ไดทั้งกาย ประสาท ไดทั้งโจปนกาย (กายเคล่ือนไหว) กลาวคืออิริยาบถ ใหญนอย. เพราะฉะน้ัน ความเปนผูมีสติ สาํ รวมระวังในคราว ทกี่ ายไดกระทบโผฏฐพั พารมณ (อารมณที่กายเขา ไปกระทบ คอื ความเย็น ความรอน, ความออน ความแข็ง, ความตึง ความ หยอ น) ไมม กี ารถือเอานิมติ และอนพุ ยญั ชนะในสิง่ ทกี่ ายกระทบ นั้น วาหญิง วาชาย เปนตน อันเปนเหตุเกิดข้ึนแหงความยินดี ยินราย ก็ชื่อวา “ความสาํ รวมทางกาย”, แมความเปนผูมีสติ สาํ รวมในอิริยาบถใหญน อ ย เดนิ ยนื นั่ง นอน เหยียด คู เปน ตน โดยการกาํ หนดประโยชนเสียกอนจะเดินเปนตน และในเวลาเดิน ก็เหลือบดูชั่วแอก เพียงเพื่อจะเดินไปไดตรงทาง และหลีกเล่ียง อันตราย มีตอหนามเปน ตนในระหวา งทางเทา นนั้ ไมเ ทยี่ วเหลยี ว มองขางน้ัน ขางน้ี ไมประพฤติกายทุจริตท้ังหลาย ก็ช่ือวา “ความ สาํ รวมทางกาย” ในปญหาน้ี หมายเอาความสํารวมโจปนกายนี้ เปนสําคัญ.
๔๓๖ วรรคที่ ๔, อุปจกิ าวรรค คําวา เปนเหตุทําประโยชนใหสาํ เร็จ คือเปนเหตุทาํ ประโยชนทั้ง ๓ มีประโยชนในอัตภาพปจจุบันนี้เปนตน โดย เฉพาะประโยชนอยางย่ิงคือพระนิพพานใหสําเร็จ. คาํ วา ความสํารวมทางวาจา ไดแก ความเปนผูมีสติ ระมัดระวังการเปลงวาจา โดยการกําหนดประโยชนเสียกอนจะ เปลงคําพูด ไมพูดวจีทุจริตทั้งหลาย. คําวา ความสาํ รวมทางใจ ไดแ ก ความเปน ผมู สี ตริ ะลกึ คือเขาไปตั้งไวทอ่ี ารมณท้ังหลายอนั เปนวสิ ยั ของจติ ทางมโนทวาร ไมถ อื เอานิมติ อนุพยญั ชนะ วา หญงิ วา ชาย เปนตน อนั เปนเหตุ เกิดข้ึนแหงความยินดียินรายในอารมณเหลานั้นโดยการกําหนด ถึงความเปนขันธ ธาตุหรืออายตนะในอารมณเหลานั้น. คาํ วา ปราชญยอมกลาว ฯลฯ วาเปนผูรักษาตน ความ วา ปราชญ กลาวคือพระสัมมาสัมพุทธเจาและพระอริยสาวก ทั้งหลาย ยอมกลาวถึงภิกษุผูละอายบาป ละอายทุจริตแลว สํารวมไดทุกทวาร คือทั้ง ๓ ทวาร วาเปนผูรักษาตน เพราะเหตุ ท่ีมีสติสาํ รวมทวารท้ัง ๓ แลวเปนเหตุใหรักษาจิต ซึ่งชื่อวาตน เพราะเนื่องในตนไวจากกิเลสท้ังหลายได. จบคาํ อธิบายปญหาท่ี ๑๐ จบอุปจิกาวรรคที่ ๔
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๔๓๗ วรรค ๕, สีหวรรค ปญหาท่ี ๑, สหี งั คปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๗ แหงราชสีห’, องค ๗ ท่ีพึงถือเอาน้ัน เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ธรรมดาวา ราชสีห เปนสัตวผูมีกายขาวสะอาด ปราศจากมลทิน บริสุทธิ์ ผองใส ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูมีจิตขาวสะอาด ปราศจากมลทิน บริสุทธ์ิ ผองใส ปราศจากความกังวล ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือ องคที่ ๑ แหงราชสีห ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, ราชสีห เปนสัตวมี ๔ เทา มีปกติเยื้องกรายไปดวยทาทีองอาจ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรก็พึงเปนผูมีเทาคืออิทธิบาท ๔ ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๒ แหงราชสีห ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, ราชสีห เปนสัตวมีขน สรอยคอสวยงาม นาชอบใจ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระ โยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูมีขนสรอยคอคือศีลท่ีสวยงาม นาชอบใจ ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้คี ือองคท่ี ๓ แหง ราชสีห ท่ีพึงถือเอา.
๔๓๘ วรรคที่ ๕, สีหวรรค ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, ราชสีห แมเมื่อจะมี อันส้ินสุดชีวิต ก็ไมยอมนอบนอมตอใคร ๆ ฉันใด, ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร แมเม่ือจะมีอันตองส้ินจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และบริขารคือยาอันเปนปจจัยสาํ หรับ คนไขไป ก็ไมยอมนอบนอมตอใคร ๆ ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวาย พระพร น้ีคอื องคท ี่ ๔ แหง ราชสีห ท่พี งึ ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, ราชสีห เปนสัตวท่ีเท่ียว หาอาหารไปตามลําดับ, ลมสัตวไดในโอกาสใด, ก็จะกัดกิน ตราบเทาท่ีตองการในโอกาสน้ันน่ันแหละ, ไมเลือกกินแตเน้ือดี ๆ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียรก็พึงเปน ผูแสวงหาอาหารไปตามลําดับเรือน, ไมพึงเลือกสกุล, ไมพึงละ เรือนหลังแรก เขาไปสูสกุลท้ังหลาย, ไมพึงเลือกโภชนะ, ถือเอา คาํ ขาวไดในโอกาสใด ก็พึงบริโภคเพียงเพื่อเยียวยาสรีระ ใน โอกาสน้ันนั่นแหละ, ไมพึงเลือกฉันแตโภชนะดี ๆ ฉันน้ัน เหมือนกัน, ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๕ แหงราชสีห ที่พึง ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, ราชสีห เปนสัตวท่ี ไมเ กบ็ ของกนิ ไว, ไดก ินหนหน่งึ แลว กไ็ มเขาไปยังอาหารทก่ี ินแลว น้นั อกี ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพยี ร ก็พึง เปนผูไมทําการเก็บของกิน ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ี คอื องคที่ ๖ แหง ราชสหี ทีพ่ งึ ถอื เอา.
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๓๙ ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, ราชสีห ไมไดของกิน ก็ ไมเดือดรอน, แมวาไดก็บริโภคของกินไปอยางไมติดใจ ไมสยบ ไมซบ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ไมได โภชนะ ก็ไมพึงเดือดรอน, แมวาได ก็พึงเปนผูไมติดใจ ไมสยบ ไมซบ มีปกติเล็งเห็นโทษ มีปญญาเปนเครื่องสลัดออกจากทุกข บริโภคโภชนะ ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอถวายพระพร นี้คือองคที่ ๗ แหงราชสีห ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรง เปนเทพย่ิงเหลาเทพ เม่ือจะทรงยกยองพระมหากัสสปเถระ ได ทรงภาสิตความขอนี้ไวในสังยุตตนิกายอันประเสริฐวา :- ‘สนฺตุฏโยํ ภิกฺขเว กสฺสโป อิตรีตเรน ปณฺฑปาเตน, อิตรีตรปณฺฑปาตสนฺตุฏิยา จ วณฺณวาที, น จ ปณฺฑปาตเหตุ อเนสนํ อปฺปฏิรูป อาปชฺชติ, อลทฺธา จ ปณฺฑปาตํ น ปริตสฺสติ, ลทฺธา จ ปณฺฑปาตํ อคธิโต อมุจฺฉิโต อนชฺฌาปนฺโน อาทีนวทสฺสาวี นิสฺสรณปฺโ ปริภฺุชติ๑ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พระมหากัสสปะน้ี เปนผู สันโดษดวยบิณฑบาตตามที่มีตามท่ีได ทั้งเปนผู มีปกติกลาวสรรเสริญความสันโดษดวยบิณฑบาต ตามที่มีตามท่ีได, ท้ังไมถึงการแสวงหาที่ไมสมควร ๑. สํ. น.ิ ๑๖/๒๓๓.
๔๔๐ วรรคท่ี ๕, สีหวรรค ความประพฤติท่ีไมเหมาะสม เพราะเหตุแหง บิณฑบาต, ทั้งไมไดบิณฑบาตแลว ก็ไมเดือดรอน, ทั้งไดบิณฑบาตแลว ก็เปนผูไมติดใจ ไมสยบ ไมซบ มีปกติเล็งเห็นโทษ มีปญญาเปนเครื่อง สลัดออก บริโภคบิณฑบาต.’ ดังนี้.” จบสีหังคปญหาที่ ๑ คาํ อธิบายปญหาที่ ๑ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงราชสีห ช่ือวา สีหังคปญหา. ช่ือวา สีหะ (ราชสีห) มี ๔ จาํ พวก คือ ติณสีหะ ๑, กาฬสีหะ ๑, ปณฑุสีหะ ๑, เกสรสีหะ ๑. ใน ๔ จาํ พวกน้ัน ติณสีหะ เปนราชสีหท่ีมีรูปรางเหมือนโคผู มีสีเหมือนนกพิราบ (สีน้ําเงินแกมเทา) และเปนสัตวกินหญา. กาฬสีหะ เปนราชสีห ที่มีรูปรางเหมือนโคดาํ เปนสัตวกินหญาเหมือนกัน. ปณฑุสีหะ เปนราชสีหที่มีรูปรางเหมือนโคผู มีสีเหมือนใบไมแหง เปนสัตว กินเน้ือ. เกสรสีหะ (ไกรสรราชสีห) เปนราชสีหที่ประกอบพรอม ดวยปากท่ีแดงราวกะทานํา้ ครั่ง หางท่ีมีพุมขนตอนปลาย เทาท่ี กลมทั้ง ๔ มีแผงขนสีแดงเหมือนยอมคร่ังหรือชาด งอกขึ้นเปน ๓ แนว จับตั้งแตบนกระหมอมไลไปจนถึงกลางหลัง แลววกไป ทางขวา สอดเขาไปในระหวางขา สวนท่ีคอเพียบดวยขนสรอย คอ งดงามราวกะคลองผากําพลแดงที่มีคาสักแสนไว บริเวณ
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๔๔๑ สวนที่เหลือเกลี้ยงเกลา มีสีเหลืองออนเหมือนแปงขาวสาลีหรือ ผงสังข เปนสัตวกินเน้ือ. ใน ๔ จาํ พวกน้ัน ในปญหาน้ีหมายเอา เกสรสีหะ. ดวยคําวา พึงเปนผูมีจิตขาวสะอาด ฯลฯ ปราศจาก ความกังวล นี้ ทานแสดงความเปนผูละนิวรณท้ังหลายได ดวย อาํ นาจแหงปฐมฌาน. ธรรม ๔ อยาง คือ ฉันทะ - ความพอใจใครจะทําการงาน น้ัน ๆ ใหสาํ เร็จ ๑, วิริยะ - ความเพียร ๑, จิต - ความใฝใจ ๑, วิมังสา - ปญญาไตรตรอง ๑ ช่ือวา อิทธิบาท เพราะเปนบาท (เทา) คือเปนเหตุต้ังข้ึน คือเกิดขึ้นแหงอิทธิคือความสาํ เร็จหรือ ธรรมท่ีควรสาํ เร็จ. ราชสีห นับวาเปนสัตวท่ีงดงามก็เพราะมีขนสรอยคอเปน เครื่องประดับ ฉันใด, บุคคลท้ังหลาย บัณฑิตนับวางามก็เพราะ มีศีลเปนเครื่องประดับ ฉันนั้น. จริงอยางน้ัน บุคคลชื่อวาเปนผูมี กายงาม ก็เพราะมีศีล, ช่ือวามีวาจางาม ก็เพราะมีศีล, ช่ือวามี จิตงาม ก็เพราะมีศีล. คําวา ไมยอมนอบนอมตอใคร ๆ เปนคาํ ท่ีแสดงถึง ความเปนผูไมติดในตระกูลทายก ไมยอมประจบตระกูลเพราะ เห็นแกลาภ มีจีวรเปนตน แมวาการกระทาํ อยางนี้จะเปนเหตุให สิ้นใหเสื่อมจากลาภเหลาน้ัน ก็ตาม. ดวยคําวา พงึ เปน ผไู มท ําการเก็บของกิน นี้ ทา นแสดง ถึงความเปนผูไมสะสมปจจัยทั้ง ๔ น่ันเทียว โดยยกของกินขึ้น
๔๔๒ วรรคท่ี ๕, สีหวรรค เปนสาํ คญั . คาํ วา มีปกตเิ ล็งเห็นโทษ คือมปี กตเิ ลง็ เหน็ โทษในความ ตดิ ใจในโภชนะ หรือมีปกตเิ ลง็ เหน็ โทษในการบรโิ ภคโภชนะอยา ง ไมมีการพิจารณา. คาํ วา มีปญญาเปนเคร่ืองสลัดออกจากทุกข คือมี ปญญาพิจารณาประโยชนของโภชนะตามความเปนจริง ซึ่งนับ วาเปนปญญาเครื่องสลัดออกจากทุกข โดยเกี่ยวกับวา เปน ปญญาอยางหน่ึงที่อุปการะแกการสลัดออกจากทุกข ความวา เปนเหตุใหถึงนิพพานธรรมท่ีสลัดออกจากทุกข. ความที่เหลือ งายอยูแลว. จบคาํ อธิบายปญหาที่ ๑ ปญหาท่ี ๒, จักกวากังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๓ แหงนกจากพราก’ องค ๓ ท่ีพึงถือเอาน้ัน เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา นกจากพราก ยอมไมยอมละทิ้งคูของตน จนกวาชีวิต ส้ินสุด ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็ไม พึงละทิ้งโยนิโสมนสิการ จนกวาชีวิตจะส้ินสุด ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๑ แหงนกจากพราก ที่พึงถือเอา.
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๔๔๓ ขอถวายพระพร ยงั มีอีกองคห น่ึง ธรรมดาวา นกจากพราก ยอ มเปน สตั วผมู แี ตส าหรา ยเปนอาหาร, และถึงความสันโดษดวย สาหรายนั้น, และเพราะความสันโดษน้ัน จึงไมเส่ือมจากกําลัง และจากวรรณะ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญ เพียร ก็พึงกระทาํ ความสันโดษดวยปจจัยตามท่ีได, ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรผบู าํ เพญ็ เพยี ร ผูสนั โดษดวยปจ จยั ตามท่ีได ยอมไมเ สือ่ มจากศลี , ยอ มไมเ สื่อมจากสมาธิ, ยอ มไมเสือ่ มจาก ปญ ญา, ยอ มไมเสือ่ มจากวมิ ุตต,ิ ยอ มไมเ สอื่ มจากวิมุตตญิ าณ- ทัสสนะ, ยอมไมเส่ือมจากกุศลธรรมทั้งปวง ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๒ แหงนกจากพราก ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, ธรรมดาวา นก จากพราก ยอมไมเบียดเบียนสัตวทั้งหลาย ฉันใด, ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูวางทอนไม, วางศาสตรา เปนผูละอายบาป มีจิตเอื้อเอ็นดู อนุเคราะห ประโยชนแกสัตวท้ังปวง ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๓ แหงนกจากพราก ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพยิ่งเหลาเทพ ไดทรงภาสิตความ ขอน้ีไว ใน จกฺกวากชาดก วา - ‘โย น หนฺติ น ฆาเตติ, น ชินาติ น ชาปเย เมตฺตํโส สพฺพภูเตสุ, เวรํ ตสฺส น เกนจิ๑ ๑. ขุ. ชา. ๒๗/๒๙๔.
๔๔๔ วรรคท่ี ๕, สีหวรรค บุคคลใดไมฆา ไมยังผูอ่ืนใหฆา, ไมทาํ ลาย (ไม สรางความเสื่อม) ไมยังใหผูอ่ืนทาํ ลาย มีจิตเมตตา ในสัตวทั้งหลายทั้งปวง, บุคคลนั้นยอมไมมีเวรกับ ใคร ๆ.” ดังน้ี.” จบจักกวากังคปญหาที่ ๒ คําอธิบายปญหาที่ ๒ ปญ หาเกย่ี วกับองคแ หง นกจากพราก ชอ่ื วา จกั กวากงั ค- ปญ หา. คําวา ไมพงึ ละทง้ิ โยนโิ สมนสกิ าร คอื ไมพ งึ ละทิง้ โยนโิ ส- มนสิการในการประกอบชอบซึง่ ภาวนา. เพราะมีความสันโดษดวยสาหรายที่ได ไมแสวงหา อาหารอยางอ่ืนอีก นกจากพรากจึงไมเส่ือมจากกําลังและ วรรณะ ฉันใด, เพราะมีความสันโดษดวยปจจัยตามที่ได ไมมีความคิดจะแสวงหาอ่ืนอีก พระโยคาวจรจึงเปนผูไม เสื่อมจากคุณธรรมทั้งหลาย มีศีลเปนตน ฉันน้ัน. คาํ วา ยอมไมเสื่อมจากกุศลธรรมท้ังปวง คือยอมไม เสื่อมจากโลกิยธรรมและโลกุตตรธรรมท้ังหลายทั้งปวง. คําวา เปนผูละอายบาป คือเปนผูละอายตอการตอง อาบัติ, ตอการไมเล็งเห็นอาบัติ, ตอการไมปลงอาบัติ, ตอการ ไมสลัดทิ้งซ่ึงทิฏฐิท่ีชั่วชา.
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๔๕ คาํ วา มีจิตเออื้ เอน็ ดู คือมีจติ ประกอบพรอมดวยกรณุ า. พระคาถาท่ีวา โย น หนฺติ เปนตน เปนคําตรัสของพระผู มีพระภาค สมัยท่ีเสวยพระชาติเปนนกจากพราก. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๒ ปญหาท่ี ๓, เปณาหิกังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๒ แหงนางนกเงอื ก’, องค ๒ ทพ่ี ึงถอื เอานั้นเปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา นางนกเงือก ยอมไมเล้ียงลูกเพราะความหึงหวงในผัว ของตน (ฉบับของไทย - ยอมใหผัวของตนเลี้ยงลูกอยูแตในโพรง เพราะความหึงหวง) ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บาํ เพ็ญเพียร เม่ือกิเลสเกิดข้ึนในจิตของตน ก็พึงหึงหวง (จิตของ ตน), พึงใชสติปฏฐานใสไวในโพรง คือความสาํ รวมโดยชอบ แลว เจรญิ กายคตาสติทางมโนทวาร ฉันน้ันเหมอื นกนั . ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๑ แหงนางนกเงือก ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง ธรรมดาวา นางนกเงือก เท่ียวหากินไปในปาตลอดท้ังวันแลว ตกเย็นก็เขาไปสูฝูงนก เพ่ือ ปองกันตนเอง ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญ เพียร ก็พึงสองเสพสถานท่ีวิเวกอยูแตผูเดียวเพื่อความหลุดพน จากสังโยชน, เม่ือไมไดความยินดีในที่น้ัน ก็ควรไปอยูรวมกับ หมูสงฆ เพ่ือปองกันภัย คือคาํ กลาวราย เปนผูที่หมูสงฆรักษา
๔๔๖ วรรคท่ี ๕, สีหวรรค ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๒ แหงนางนก- เงือก ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ทานทาวสหัมบดีพรหม ไดทรงภาสิตความขอนี้ไว ในท่ีใกลพระผูมีพระภาควา - ‘เสเวถ ปนฺตานิ เสนาสนานิ, จเรยฺย สํโยชนวิปฺปโมกฺขา. สเจ รตึ นาธิคจฺเฉยฺย ตตฺถ สํเฆ วเส รกฺขิตตฺโต สติมา๑ ขอทานจงสองเสพแตเสนาสนะทั้งหลายที่สงัดเถิด พึงประพฤติเพ่ือความหลุดพนจากสังโยชนเถิด ถาหากไมประสบความยินดีในที่นั้น ก็พึงอยูใน ทามกลางสงฆ เปนผูมีสติรักษาตัวอยูเถิด.’ ดังน้ี.” จบเปณาหิกังคปญหาที่ ๓ คาํ อธิบายปญหาท่ี ๓ ปญหาเก่ียวกับองคแหงนางนกเงือก ชื่อวา เปณาหิกังค- ปญหา. คําวา พึงหึงหวง คือพึงรักษา (จิตของตน). คาํ วา พึงใชสติปฏฐานใสไวในโพรง คือความสาํ รวม โดยชอบ คือพงึ เจริญสติปฏ ฐาน ใสค ือรกั ษาจติ น้ัน ไวใ นโพรงคือ ๑. สํ. ส. ๑๕/๒๑๓.
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๔๔๗ แวดลอมไวดวยความสาํ รวมอินทรียท้ังหลาย. คาํ วา เจริญกายคตาสติทางมโนทวาร ความวา เมื่อ อินทรียอันเปนทวาร ๕ พระโยคาวจรสํารวมไดแลว, ทางมโน- ทวารน้ัน พระโยคาวจรก็พึงเจริญสติปฏฐานอันเปนกายคตาสติ นั่นแหละเนือง ๆ. คาํ วา เมื่อไมไดความยินดีในท่ีนั้น คือเมื่อไมไดความ ยินดีภาวนาในสถานที่วิเวกน้ัน เพราะเกิดเยื่อใยในกายและชีวิต ข้ึน หรือเกิดความยินดีในการคลุกคลีดวยผูคนที่เขาไปหาข้ึน. คําวา ก็ควรเขาไปอยูรวมกับหมูสงฆ เพ่ือปองกันภัย คือคาํ กลาวราย ความวา ก็ไมควรจะอยูคนเดียวอีกตอไป ทวา ควรจะเขาไปอยูทามกลางสงฆ เพ่ือปองกันคือเพื่อปดโอกาสแหง ภัย คือคาํ กลาวราย อันไดแกคาํ ติเตียนตนเองเพราะเหตุท่ีเกิด ประพฤติสิ่งท่ีสรางความเศราหมองแกพรหมจรรย และคําติเตียน ของผูอ่ืนผูพบเห็นการกระทาํ ท่ีไมสมควรของตนหมายความวา เม่ือไดเขามาอยูในทามกลางสงฆแลวก็ยอมไมมีโอกาสจะทํา กรรมท่ีนาติเตียนท้ังหลาย. จบคาํ อธิบายปญ หาท่ี ๓ ปญหาที่ ๔, ฆรกโปตังคปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถอื เอาองค ๑ แหงนกกระจอก’, องค ๑ ท่ีพึงถอื เอาน้นั เปนไฉน?”
๔๔๘ วรรคท่ี ๕, สีหวรรค พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา นกกระจอก อาศัยอยูในเรือนผูอ่ืน ก็ยอมไมถือเอา นิมิต (อาการท่ีงาม ไมงามเปนตน) แหงขาวของของคนเหลาน้ัน อาศัยอยูอยางวางเฉย มากดวยสัญญา ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร เขาไปสูสกุลผูอ่ืนแลว ก็ไมพึง ถือเอานิมิตแหงหญิงหรือชาย หรือนิมิตในเตียง หรือในตั่ง หรือ ในผา หรือในเคร่ืองประดับ หรือในเครื่องอุปโภค หรือในเครื่อง บริโภค หรือในโภชนะแปลก ๆ ในสกุลนั้น, พึงเปนผูวางเฉย พึงยังความสาํ คัญวาเปนสมณะ ใหปรากฏเฉพาะหนา ฉันนั้น เหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองค ๑ แหงนกกระจอก ท่ีพึง ถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพยิ่งเหลา เทพ ทรงภาสิตความขอนี้ไว ในจูฬนารทชาดกวา :- ‘ปวิสิตฺวา ปรกุลํ, ปานตฺถํ โภชนาย วา. มิตํ ขาเท มิตํ ภฺุเช, น จ รูเป มนํ กเร๑ เธอเขาไปสูสกุลของผูอ่ืน เพื่อของดื่มก็ดี เพ่ือของ กินก็ดี พึงเค้ียวพอประมาณ พึงกินพอประมาณ และไมพึงทําจิตไวในรูป (ของหญิง).’ ดงั น.้ี ” จบฆรกโปตังคปญหาท่ี ๔ ๑. ข.ุ ชา. ๒๗/๓๔๘.
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๔๔๙ คาํ อธิบายปญ หาที่ ๔ ปญหาเก่ียวกับองคแหงนกกระจอก ชื่อวา ฆรกโปตังค- ปญหา. คาํ วา มากดวยสัญญา คือมากดวยความสาํ คัญวาเปน สถานที่ของผูอ่ืน ที่เราเพียงแตเขามาอาศัยอยูเทาน้ัน. คําวา ก็ไมพึงถือเอานิมิตแหงหญิงหรือชาย เปนตน คือไมพึงถือเอานิมิตคืออาการวางาม วาไมงาม, วาดี วาไมดี, วา มีคามาก วามีคานอย เปนตน แหงหญิงหรือชายเปนตน. คาํ วา พึงยังความสําคัญวาเปนสมณะ ใหปรากฏ เฉพาะหนา คือพึงยังความสําคัญวา “เราเปนสมณะ” ให ปรากฏในใจ ราวกะวาเห็นประจักษอยูเฉพาะหนา ฉะน้ัน. อธิบายวา ตระหนักในความเปนสมณะของตนทุกคร้ังท่ีเขาไป สูสกุลเพื่อบิณฑบาต เปนตน เพ่ือปองกันความสนิทสนมดวย อาํ นาจความเสนหากับหญิงและชายท้ังหลายในสกุลน้ัน แลวถึง ความเปนผูมีคติเสมอกันกับคนเหลานั้น ราวกะวาเปนคนหนึ่ง ในสกุลนั้น เขาสุข ก็สุขดวย เขาทุกข ก็ทุกขดวย. ก็ความเปน อยางนี้ ยอมสาํ เร็จไดโดยเก่ียวกับการที่พระโยคาวจรตระหนัก ในความเปนสมณะของตนแลวก็คอยสํารวมอินทรียท้ังหลาย มี ตา หู เปนตน อันเปนทวารทั้ง ๖ เห็นรูปดวยตา ไดยินเสียงดวย หู เปนตนแลว ก็เปนผูมีสติสํารวมที่ตา หูเปนตนนั้น ไมถือเอา นิมิต คือไมถือเอาอาการที่แตกตางกันแหงผิวพรรณ ทรวดทรง ทาทางเยื้องกราย เปนตน อันสรางความสําคัญวา “น้ี หญิง, น้ี
๔๕๐ วรรคท่ี ๕, สีหวรรค ชาย” เปนตน แลวถือเอาเปนสาระ ในรูปท่ีเห็นอยูน้ัน ไมถือเอา อาการท่ีแตกตางกันแหงเสียง มีทุม แหลม สูง ตา่ํ เปนตน อันสรางความสําคัญวา “เสียงหญิง เสียงชาย” เปนตน แลว ถือเอาเปนสาระ ในเสียงที่ไดยินอยูน้ัน แมความสาํ รวมอินทรีย ท่ีเหลือ มีจมูกเปนตน ในคราวท่ีมีกลิ่นเปนตน มากระทบ ก็มีนัย น้ีแหละ. พระคาถาท่ีวา ปวิสิตฺวา ปรกุลํ เปนตน พระผูมีพระ ภาคไดตรัสไวในสมัยท่เี สวยพระชาติเปนจุลลนารทกัสสปดาบส. เปนคาํ ตรัสสอนดาบสผูเปนบุตร ผูถูกหญิงผูหนึ่งซ่ึงหนีพวกโจร มาประเลาประโลมเพ่ือใหไปดวยกันแลวก็มีจิตคิดยินดีในการ ครองเรือน จึงบอกลาขอสละเพศดาบสตอพระโพธิสัตว. พระ โพธิสัตวบอกกลาวถึงสิ่งที่ชาวชนบทท้ังหลายนิยมประพฤติกัน และขอควรปฏิบัติดวยคาถาทั้งหลาย รวมท้ังคาถาน้ี แลวดาบส ผูบุตรก็เปล่ียนใจ เลิกลมความคิดจะเปนผูครองเรือนแตในขณะ นั้นน่ันเทียว. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๘ ปญหาท่ี ๕, อุลูกังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๒ แหงนกเคา’, องค ๒ ที่พึงถือเอาน้ัน เปน ไฉน?”
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๕๑ พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา นกเคา พอไดทะเลาะกับฝูงกาแลว, ในตอนกลางคืน ไปสูฝูงกา ฆากาเสียไดแมหลายตัว ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงทาํ การทะเลาะกับความไมรู, ไปนั่งอยูในที่ลับคนเดียว แลวย่ํายีความไมรู, พึงตัดเสียต้ังแต ราก ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคที่ ๑ แหงนก เคา ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง นกเคา เปนสัตวที่แอบ แฝงตัวไดดี ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูมีความหลีกเรนเปนท่ียินดี ยินดีอยูแตในความหลีก เรน ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๒ แหงนกเคา ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพยิ่ง เหลาเทพ ทรงภาสติ ความขอนี้ไวในสังยุตตนกิ ายอันประเสริฐวา :- ‘อธิ ภกิ ฺขเว ภกิ ฺข ปฏิสลลฺ านาราโม ปฏสิ ลฺลานรโต อทิ ํ ทุกขฺ นตฺ ิ ยถาภตู ํ ปชานาติ ฯเปฯ อยํ ทกุ ฺขนิโรธคามินี ปฏิปทาติ ยถาภูตํ ปชานาติ๑ ดูกร ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุผูมีความหลีกเรนเปนที่ยินดี ยินดีอยูแตในความหลีกเรน ในพระศาสนาน้ี ยอมรูชัดไดตาม ความเปนจริงวา น้ี ทุกข, ยอมรูไดชัดตามความเปนจริงวา นี้ ทุกขสมุทัย, ยอมรูชัดไดตามความเปนจริงวา น้ี ทุกขนิโรธ, ๑. ส.ํ มหา. ๑๙/๕๑๒.
๔๕๒ วรรคที่ ๕, สีหวรรค ยอมรูชัดไดตามความเปนจริงวา น้ี ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.’ ดังนี้.” จบอุลูกังคปญหาท่ี ๕ คาํ อธิบายปญหาที่ ๕ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงนกเคา ชื่อวา อุลูกังคปญหา. คาํ วา พงึ ทาํ การทะเลาะ คือพงึ เจรญิ ธรรมที่เปน ปฏิปก ษ กนั . คําวา ความไมรู ไดแก ความไมรูในทุกข, ความไมรูใน เหตุเกิดขึ้นแหงทุกข, ความไมรูในธรรมที่ดับทุกข, ความไมรูใน ขอปฏิบัติท่ีทําใหถึงธรรมท่ีดับทุกข. คําวา ย่ํายคี วามไมร ู คอื ละเปน ตทงั คปหาน ดว ยสามารถ วิปสสนาญาณ. คาํ วา พึงตัดเสียตั้งแตราก คือพึงละกิเลสท้ังหลายที่ เปนปจจัยรวมกัน ที่นอนตามไปในขันธสันดานท่ียังมิไดกาํ หนดรู อันนับวาเปนมูลแหงวัฏฏะ โดยการละเปนสมุจเฉทปหานดวย สามารถมัคคญาณ. คําวา ภิกษุผูมีความหลีกเรนเปนท่ียินดี คือภิกษุผูมี ภาวนาเปนท่ียินดี ยินดีในภาวนา. ความวา มีความยินดีในการ หลีกจิตออกจากอารมณตาง ๆ มากมายในภายนอก แลวเรนจิต น้นั ไวในกรรมฐานน่นั เอง. จบคาํ อธบิ ายปญ หาท่ี ๕
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๔๕๓ ปญ หาที่ ๖, สตปตตงั คปญ หา พระเจามลิ นิ ท : “พระคณุ เจานาคเสน ทา นกลา ววา ‘พึง ถือเอาองค ๑ แหงนกตระไน’, องค ๑ ที่พึงถือเอานั้น เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา นกตระไน เท่ียวบินรองบอกภัยและปลอดภัย แกสัตว เหลาอ่ืน ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร เมื่อจะแสดงธรรมแกคนเหลาอ่ืน ก็พึงแสดงใหเห็นวาความตกไป ในสังสารทุกขเปนภัย, พึงแสดงใหเห็นวาพระนิพพานเปนธรรม ท่ีเกษม ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองค ๑ แหง นกตระไน ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ทานพระปณโฑลภาร- ทวาชเถระ ไดภาสิตความขอนี้ไววา :- ‘นิรเย ภยสนฺตาสํ, นิพฺพาเน วิปุลํ สุขํ อุภยาเนตานตฺถานิ ทสฺเสตพฺพานิ โยคินา’ ‘พระโยคี พึงแสดงเนื้อความเปน ๒ ประการ คือ ความนากลัวตอภัยในนรก (และ) สุขอันไพบูลย ในพระนิพพาน.’ ดังน้ี.” จบสตปตตังคปญหาท่ี ๖
๔๕๔ วรรคที่ ๕, สีหวรรค คําอธบิ ายปญหาท่ี ๖ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงนกตระไน ชื่อวา สตปตตังค- ปญหา.๑ คาํ วา ความตกไปในสังสารทุกข คือความเกิดข้ึนแหง สังขารท้ังหลายในสังสารวัฏอันกลนเกล่ือนดวยทุกข ซ่ึงช่ือ วา เปนภัย ก็เพราะเปนของนากลัว. คําวา พระนิพพานเปนธรรมท่ีเกษม คือพระนิพพาน เปนธรรมท่ีปลอดภัย เพราะหาทุกขติดอยูมิได. ในภาสิตของพระเถระ : คาํ วา พึงแสดงเนื้อความเปน ๒ ประการ ความวา เม่ือจะแสดงธรรม ก็พึงแสดงเนื้อความ แหงธรรมน้ันเปน ๒ ประการ คือภัย และปลอดภัย. จบคําอธิบายปญหาที่ ๖ ๑. คาํ วา สตปตตะ (ทแ่ี ปลวา \"นกตระไน\") น้ี อรรถกถาไดทําวจนตั ถศพั ทนไ้ี ววา \"สํวิชฺชติ ตาโป อตฺตา ยสฺสาติ สตปตฺโต, กายจิตฺตปริฬาหชโน\" แปลวา \"บคุ คลช่ือวา สตปตตะ เพราะอรรถวา มตี นเดือดรอ น, ความวา ไดแกชนผูมคี วาม เรารอนแหงกายและจิต\" ดังนี้. ทานวาไวอยางนี้ก็จริง แตศัพทนี้ก็ยังแปลวา นก ตระไน ไดอ กี . ทราบกันวา นกชนดิ น้รี ะแวงภยั ต่ืนกลัวงา ย เมื่อเห็นสิ่งนา กลัวอยาง ใดอยา งหน่ึง มีเสอื โครงเปนตน หรือส่งิ ผิดแปลกอยางใดอยา งหน่งึ กจ็ ะรอ งเสยี งดัง ซาํ้ ๆ ซาก ๆ สัตวอ่ืนไดยนิ เสียงแลว ระแวงวา อาจมภี ัย ก็พากนั หลบหลีก หนีหายไป. นาจะแปลวา นกตระไน จงึ จะเขากับประเดน็ ของเร่ืองในปญ หา และในท่ีน้ีก็ไดแปล ตามท่คี ิดวา นาจะเปน .
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๔๕๕ ปญหาที่ ๗, วัคคลุ ิกงั คปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๒ แหงคางคาว’, องค ๒ ท่ีถึงถือเอาน้ัน เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เปรยี บเหมือนวา คางคาว เขาไปยังเรือน เที่ยวไปขางน้ันขางนี้ แลวออกมา, ไมพัวพัน อยูในสถานที่น้ัน ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญ เพียร เขาไปสูบานเพ่ือบิณฑบาต เท่ียวไปตามลําดับเรือน แลวก็พึงออกมาใหเร็วทีเดียว, ไมพึงเปนผูพัวพันอยู ณ ท่ีน้ัน ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๑ แหงคางคาว ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอกี องคห นึ่ง คางคาว เมื่ออยูในเรอื น ของผูอ่ืน ก็ไมสรางความเสียหายแกคนเหลาน้ัน ฉันใด, ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร เขาไปสูตระกูลทั้งหลาย แลว ก็ไมพึงสรางความเดือดรอนอะไร ๆ แกคนเหลาน้ัน ดวยการ ขอเขามากเกินไปบาง ดวยความเปนผูมากดวยวิญญัติ (บอก ใหรูถึงสิ่งที่ตนตองการ) บาง ดวยความเปนผูมากดวยโทษทาง กายบาง ดวยความเปนคนชางพูดบาง ดวยการรวมสุขรวมทุกข กับเขาบา ง, ทัง้ ไมพงึ ทํามลู การงานของคนเหลานนั้ ใหเ สยี หายไป, พึงปรารถนาแตความเจริญโดยประการท้ังปวงแตอยางเดียว ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๒ แหงคางคาว ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพยิ่ง
๔๕๖ วรรคที่ ๕, สีหวรรค เหลาเทพ ทรงภาสิตความขอน้ีไวในลักขณสูตรในทีฆนิกายอัน ประเสริฐ วา ‘สทฺธาย สีเลน สุเตน พุทฺธิยา ฯเปฯ อตฺถสมิทฺธิฺจ ปนาภิกงฺขติ’๑ ‘พระมหาบุรุษ ยอมปรารถนาอยางนี้วา ทาํ ไฉนหนอ คนเหลาอื่นจึงจะไมเส่ือมจากศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ พุทธิ (ความรู, ปญญา) ธรรม จากคุณอันเปนเหตุ สาํ เร็จประโยชนอยางอื่นมากมาย จากทรัพย ขาว- เปลือก นาและสวน จากบุตร ภรรยา สัตวสี่เทาและ สัตวสองเทา จากญาติ มิตร พวกพอง จากพละ วรรณะ และจากสุขทั้ง ๒ ดังนี้ ท้ังหวังความม่ันคง และความสําเร็จ.’ ดังน้ี.” จบวัคคุลิกังคปญหาท่ี ๗ คาํ อธิบายปญหาที่ ๗ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงคางคาว ชื่อวา วัคคุลิกังค- ปญหา. คาํ วา ดวยความเปนผูมากดวยโทษทางกาย คือดวย ความเปนผูมากดวยการกระทําที่นับวาเปนโทษทางกาย มีลูบ- ๑. ที. ปา ๑๑/๑๘๓.
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๔๕๗ คลาํ ศีรษะทารกในสกุลบาง อุมบาง เขาไปในหองหับของหญิง ในสกุลนั้นบาง. คาํ วา ทั้งไมพึงทํามูลการงานของคนเหลาน้ันใหเสีย หายไป คือทั้งไมพึงทาํ การงานที่เปนมูล คือท่ีเขาตองทําประจํา ของคนเหลา น้ันใหเ สยี หายไป โดยการท่เี ขาจําตอ งละวางการงาน เหลานั้น ทําเวลาใหลวงไปดวยการคอยอุปฏฐากบํารุงภิกษุผูอยู ยืดเย้อื . พระผูมีพระภาคตรัสคําวา สทฺธาย สีเลน เปนตน เพื่อ แสดงปฏปิ ทาของพระมหาโพธิสตั วผมู งุ แตจ ะอนุเคราะหป ระโยชน ทง้ั ๓ แกส ตั วโลก. จบคาํ อธบิ ายปญหาท่ี ๗ ปญ หาที่ ๘, ชลูกงั คปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๑ แหงปลิง’, องค ๑ ท่ีพึงถือเอานั้น เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา ปลิง เกาะติดที่สัตวผูใด, ยอมเกาะติดสัตวผูนั้นน่ัน แหละไดม่นั คงแลวดูดเลอื ด ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร ผบู าํ เพญ็ เพยี ร ทาํ จิตของตนใหเ กาะติดที่อารมณใด, กต็ ัง้ อารมณ นั้นใหมั่นคง โดยสี โดยสณั ฐาน โดยทิศ โดยโอกาส โดยตดั ตอน โดยเพศ และโดยนมิ ิต แลวพึงดดู ดม่ื วมิ ุตตริ สอันไมต อ งปรงุ โดย อารมณนั้นนั่นแหละ ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือ
๔๕๘ วรรคท่ี ๕, สีหวรรค องค ๑ แหงปลิงท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระอนุรุทธเถระ ไดภาสิตความขอนี้ไววา :- ‘ปรสิ ุทเฺ ธน จิตเฺ ตน, อารมฺมเณ ปตฏิ าย เตน จติ ฺเตน ปาตพพฺ ํ, วมิ ตุ ตฺ ริ สมเสจนํ, ‘พระโยคาวจรพึงเปนผูมีจิตบริสุทธิ์ตั้งอยูในอารมณ แลวดูดดื่มวิมุตติรสอันไมตองปรุง ดวยจิตน้ัน.’ ดังน้ี.” จบชลูกังคปญหาท่ี ๘ คาํ อธิบายปญหาที่ ๘ ปญหาเก่ียวกับองคแหงปลิง ชื่อวา ชลูกังคปญหา. คําวา ทําจิตของตนใหเกาะติดท่ีอารมณใด คือทาํ ภาวนาจิตของตนใหจรดถึงอารมณ อันเปนกรรมฐาน กลาวคือ โกฏฐาสท้ังหลาย มีผม ขน เล็บ ฟน หนังกาํ พรา เปนตน ใด. คําวา โดยสี คอื ทาํ อารมณน ้ันใหต ั้งมัน่ คง โดยการใสใจสี ของโกฏฐาสน้ัน ๆ มสี ีดําแหง เสนผม เปนตน . คาํ วา โดยสัณฐาน คือโดยรูปรางสัณฐานของโกฏฐาส น้ัน ๆ . คําวา โดยทิศ คือโดยทิศที่โกฏฐาสนั้น ๆ ต้ังอยู, ทางทิศ เบื้องบน ตั้งแตเหนือสะดือข้ึนไปบาง, ทางทิศเบื้องลาง ตา่ํ แต สะดือลงมาบาง. คาํ วา โดยโอกาส คือบริเวณท่ีโกฏฐาสน้ัน ๆ ต้ังอยู เชน ผมตั้งอยูบนหนังหุมกะโหลกศีรษะเปนตน.
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๔๕๙ คําวา โดยตัดตอน คือโดยขอบเขต โดยรอบแหงโกฏฐาส นั้น ๆ อันแวดลอมดวยโกฏฐาสอ่ืนบาง ดวยโกฏฐาสเดียวกันบาง ดวยอากาศบาง เชนวา ผม เบื้องลางตัดตอน ดวยหนังหุม กะโหลกศีรษะ เบ้ืองบนตัดตอนดวยอากาศ เบ้ืองขวางรอบ ๆ ตัว ตัดตอนดวยเสนผมดวยกัน เปนตน. คาํ วา โดยเพศ ความวา สาํ หรับการพจิ ารณาโกฏฐาสไมมี การมนสิการโดยเพศ เปนวิธีการสาํ หรับอสุภกรรมฐานเทานั้น คือเพศเด็ก เพศหนุมสาว เพศแกชรา ในที่น้ีเปนเพียงคาํ พูดทํา เทศนาใหเต็มเทาน้ัน. คําวา โดยนิมิต คือโดยนิมิต มีอุคคหนิมิตเปนตน ท่ี พึงถือเอาไดดวยอํานาจการใสใจโกฏฐาสแลวบริกรรมไปนาน ๆ ซํา้ ๆ ซาก ๆ. คําวา วิมุตติรส ไดแก รสคือกิจแหงมรรค ท่ีเปนเหตุให หลุดพนจากกิเลสทั้งหลาย, หรือวา ไดแกรสอมตะแหงพระ นิพพาน ซ่ึงหลุดพนจากขันธท้ังหลาย. จบคาํ อธิบายปญ หาท่ี ๘ ปญหาท่ี ๙, สัปปงคปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๓ แหงงูสามัญ’, องค ๓ ท่ีพึงถือเอานั้น เปน ไฉน?”
๔๖๐ วรรคที่ ๕, สีหวรรค พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา งู ไปดวยอก (เลื้อย) ฉันใด, ขอถวายพระพร พระ โยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเที่ยวไปดวยปญญา ฉันนั้น เหมือนกัน, จิตของพระโยคีผูเที่ยวไปดวยปญญา ยอมเท่ียวไป ในญายธรรม, ยอมงดเวนสิ่งท่ีเปนวิลักขณะ (มีลักษณะวิปริต), ยอมทําสิ่งท่ีเปนสลักขณะ (มีลักษณะเปนสภาวะ, และมีลักษณะ เปนสามัญญะ) ใหเกิด ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอถวายพระพร นี้คือ องคท่ี ๑ แหงงูสามัญ ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง งูสามัญ เม่ือจะเท่ียว ไป ยอมหลีกเล่ียงส่ิงเปนยาถอนพิษ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูหลีกเลี่ยงทุจริต เที่ยวไป ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๒ แหงงูสามัญ ที่ พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง งูสามัญ พอเห็นคน ทัง้ หลายเขา กย็ อ มกลวั หอ เหยี่ วใจ คิดมาก ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ตรึกเปนวิตกช่ัวแลวทาํ อรติ (ความ ไมยินดีในอธิกุศล) ใหเกิดข้ึนแลว ก็พึงกลัวหอเหี่ยวใจ คิดมาก วา ‘เราไดทาํ ตลอดท้ังวัน ใหลวงไปดวยความประมาท, ก็วันท่ี ลวงไปดวยความประมาทนั้น เราไมอาจได (กลับคืน) อีก’ ดังน้ี ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๓ แหงงูสามัญ ท่ีพึงถือเอา.
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๖๑ ขอถวายพระพร คําพูดของกนิ นร ๒ ตนนี้ พระผูม พี ระภาค ไดตรสั เลาไวใ นกัลลาฏิยชาดก วา - ‘มเยกรตฺตํ วิปฺปวสิมฺห ลุทฺท อกามกา อฺมฺ สรนฺตา ตเมกรตฺตํ อนุตปฺปมานา โสจาม สา รตฺติ ปุน น เหสฺสติ’๑ ‘ดูกร ทานนายพราน พวกเราไดแยกกันอยู ตลอดราตรีหน่ึง ใด ไมตองการอยู ก็ไดแตระลึก ถึงกันและกัน ถึงราตรีนั้นจักไมมีอีก พวกเราก็ ยงั คอยแตจะคิดถึงราตรีเดยี วกนั ยงั เศรา โศกอย.ู ’ ดังน้ี.” จบสัปปงคปญหาท่ี ๙ คาํ อธิบายปญหาที่ ๙ ปญ หาเกยี่ วกับองคแหง งสู ามญั ชอ่ื วา สัปปง คปญหา. คาํ วา พึงเที่ยวไปดวยปญญา คือพึงเปนผูมีปกติใช ปญญาพิจารณาคุณโทษในธรรมนั้น ๆ หรือวาพึงเปนผูมี ปกติเจริญปญญา. คําวา ยอมเท่ียวไปในญายธรรม ความวา พระนิพพาน ชื่อวาญายธรรม (ธรรมท่ีควรรู) โดยนิปริยาย, แมพระอริยมรรค ๑. ขุ. ชา. ๒๗/๔๓๙.
๔๖๒ วรรคท่ี ๕, สีหวรรค อันเปนปฏิปทาไปสูพระนิพพานน้ัน ก็ไดชื่อวาญายธรรมโดย ปริยาย. ไดแกยอมเท่ียวไป คือไปถึง ไดแกบรรลุพระนิพพาน และพระอริยมรรคน้ัน. คาถาท่ีวา มเยกรตฺตํ วิปฺปวสิมฺห ลุทฺท เปนตน เปนคาํ กราบทูลของนางกินนรีตอพระผูมีพระภาค ซ่ึงในสมัย นั้นเสวยพระชาติเปนภัลลาติยราชา. มีเรื่องยอ ๆ วา สมัยหนึ่ง พระเจาภัลลาฏิยะเสด็จ ประพาสปา ลาสัตว อยางพรานผูหน่ึงเสด็จเท่ียวไปเรื่อย ๆ จนถึงแมนา้ํ แหงหน่ึง ทอดพระเนตรเห็นกินนร ๒ ตนผัวเมียพร่ํา กอดจูบกันไป พรอมท้ังรองไหสะอึกสะอ้ืนไป อยูที่ฝงแมนา้ํ ก็ ทรงแปลกพระทัย เสด็จเขาไปรับสั่งถาม นางกินนรีไดกราบทูล ใหทรงทราบวา คืนหนึ่งตนเกิดทะเลาะผิดใจกันกับกินนรจึงได แยกกันอยูคนละฟากแมนา้ํ ตลอดเพียงคืนเดียวที่แยกกันอยูน้ัน ตางฝายตางก็เศราโศกเปนทุกขแสนสาหัส เพราะความท่ีเอาแต ระลึกถึงกันและอยากจะพบกัน วันตอมา เมื่อคืนดีกันแลว เวลา ท่ีกอดจูบกันด่ืมด่าํ ในความสุข ก็อดระลึกถึงคืนท่ีแสนทรมานนั้น มิได เปนเหตุใหเกิดจิตหมนหมองเพราะเสียดายคืนที่ทาํ ใหเสีย ไปนั้น แมวาคืนเชนน้ีจะไมมีอีกก็ตาม จนถึงกับรองไหสะอึก- สะอื้นอยางท่ีทอดพระเนตรเห็นอยูน้ี. จบคําอธิบายปญ หาท่ี ๙
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๔๖๓ ปญหาท่ี ๑๐, อชครังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๑ แหงงูเหลือม’, องค ๑ ที่พึงถือเอานั้น เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา งูเหลือม มีรางกายใหญโต แมวาทองพรอง ขาดแคลน อาหารยิ่ง ไมไ ดอาหารเตม็ ทองมาตลอดหลายวนั กําลังขาดแคลน น่ันเทียว ก็ยังเปนไปดวยอาหาร สักวาทําสรีระใหดําเนินไปได เทานั้น ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ผูขวนขวายในการเที่ยวไปเพื่อภิกษา ผูอาศัยกอนขาวของผูอ่ืน ผูหวังอยูซ่ึงกอนขาวที่ผูอื่นถวาย ผูงดเวนการถือเอาดวยตนเอง ไมพึงกลืนกินอาหารท่ีหาไดยากเสียจนเต็มทอง, แตทวา พึงเปน กุลบุตรผูมีอาํ นาจในตน งดบริโภค ๔-๕ คํา แลวพึงใชนา้ํ ทาํ (ทอง) ใหเต็มแทนสวนท่ีเหลือ ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร ทานพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ไดภาสิตความขอนี้ไววา :- ‘อลฺลํ สุกฺขํ วา ภฺุชนฺโต, น พาฬฺหํ สุหิโต สิยา อูนูทโร มิตาหาโร, สโต ภิกฺขุ ปริพฺพเช. จตฺตาโร ปฺจ อาโลเป อภุตฺวา อุทกํ ปเว อลํ ผาสุ วิหาราย, ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโน๑’ ๑. ขุ. เถร. ๒๖/๔๔๘.
๔๖๔ วรรคท่ี ๕, สีหวรรค ‘ภิกษุ เม่ือจะบริโภคอาหารเปยกก็ตาม อาหาร แหงก็ตาม ก็ไมพึงใหอิ่มจนเกินไป พึงเปนผูมี ทองพรอง มีสติรูจักประมาณอาหาร อยูเถิด. พึงงดบริโภคเสีย ๔-๕ คาํ แลวด่ืมนาํ้ (แทน) เทาน้ีก็เพียงพอเพื่อการอยูผาสุก แหงภิกษุผูมี ตนอันสงไปแลว.’ ดังน้ี.” จบอชครังคปญหาที่ ๑๐ คาํ อธิบายปญหาที่ ๑๐ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงงูเหลือม ช่ือวา อชครังคปญหา. เปรียบเหมือนวา งูเหลือม แมวาขาดแคลนอาหาร อด อาหารมาหลายวนั ไดอาหารแลว กไ็ มล ะโมบกลนื กินเสยี มากมาย ทวา รูจักประมาณ บริโภคเพยี งเพื่อยงั อัตภาพใหเปน ไปไดเ ทา นน้ั ฉันใด, พระโยคาวจรภิกษุก็ไมละโมบบริโภคอาหารแมวาหาได ยาก เสียจนเต็มทอง ทวา รูจักประมาณ ฉันนั้น. ในคําเหลานั้น คาํ วา ผูงดเวนการถือเอาดวยตนเอง เปนคําท่ีแสดงถึงความเปนผูมีปกติรับบิณฑบาตจากมือทายก ไมหยิบฉวยดวยมือตนเอง แมวาเขาจะอนุญาต อันจะเปนเหตุให ตอ งอาบัติเกีย่ วกับการทไ่ี มม ีทายกผูถ วายปจจยั .
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๖๕ คําวา ผูมีอํานาจในตน คือผูสามารถเอาชนะความ ตองการจะบริโภคอยางไมรูจักประมาณของตน. คาํ วา แหงภิกษุผูมีตนอันสงไปแลว คือแหงภิกษุผูมี ตนคือมีจิต สงไปคือนอมไปสูพระนิพพาน. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๑๐ จบสีหวรรคที่ ๕
๔๖๖ วรรคท่ี ๖, มักกฏกวรรค วรรคที่ ๖, มักกฏกวรรค ปญหาที่ ๑, ปน ถมักกฎกงั คปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๑ แหงแมงมุมตามหนทาง’, องค ๑ ที่พึงถือเอานั้น เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา แมงมุมตามหนทาง ชักใยเปนตาขายก้ันไวตาม หนทางแลว ถาหากวามีหนอนก็ดี แมลงวันก็ดี ต๊ักแตนก็ดี มา ติดที่ตาขายนั้น, ก็ยอมจะจับเอามากินเสีย ฉันใด, ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ชักใยคือสติปฏฐาน เปน ตาขายก้ันไวตามทวาร ๖ แลว ถาหากวามีแมลงวันคือกิเลส มาติดท่ีตาขายคือสติปฏฐานน้ัน, ก็พึงกาํ จัดเสีย ณ ท่ีตาขาย คือสติปฏฐานน้ัน น่ันแหละ ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองค ๑ แหงแมงมุมตามหนทาง ท่ีพึงถือเอา. ขอถวาย พระพร พระอนุรุทธเถระไดภาสิตความขอน้ีไววา :- ‘จิตฺตํ นิยเม ฉสุ ทฺวาเรสุ, สติปฏานวรุตฺตเม. กิเลสา ตตฺถ ลคฺคา เจ, หนฺตพฺพา เต วิปสฺสินา’ ‘พึงควบคุมจิตไวในสติปฏฐาน อันเปนตาขาย ประเสริฐยอดเยี่ยม ทางทวาร ๖ ถาหากวามี กิเลสมาติดอยูท่ีตาขายคือสติปฏฐานนั้น ภิกษุผู เจริญวิปสสนาก็พึงกําจัดกิเลสเหลานั้นเสีย.’
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๖๗ ดงั น้.ี ” จบปนถมกั กฏกังคปญหาท่ี ๑ คําอธบิ ายปญหาที่ ๑ ปญหาเก่ียวกับองคแหงแมงมุมตามหนทาง ช่ือวา ปนถ- มกั กฏังคปญ หา. คําวา ชักใยคือสติปฏฐาน เปนตาขายกั้นไวตาม ทวาร ๖ เปนคาํ พูดแสดงถึงความเปนปจจัยกันไปตามลําดับ อยางนี้คือ เจริญสติปฏฐาน สติปฏฐานที่เจริญแลว ที่ทาํ ใหมาก แลวยอมยังสติอันเปนอินทริยสังวรใหเต็ม ใหบริบูรณ สติอัน เปนอินทริยสังวรเต็มบริบูรณแลว ก็ยอมเปนตาขายดัก กลาวคือ ปดก้ันแมลงวันคือกิเลสทั้งหลายได. คําวา ถาหากมีแมลงวันคือกิเลส ฯลฯ ณ ที่ตาขาย คือสติปฏฐานนั้น ความวา ถาหากวามีปจจัย มีอารมณเปนตน อันจะใหแมลงวันคือกิเลสน้ัน ๆ เกิดข้ึน กิเลสน้ัน ๆ ก็จะติดเสียที่ ตาขาย คือเกิดขึ้นไมไดเพราะถูกตาขายคือสติท่ีเปนอินทริยสังวร นั้น ปองกันไว และเพราะเหตุท่ีมีสติอยางนี้เกิดข้ึนมาปองกันได น่ันเอง พระโยคาวจรก็ยอมไดโอกาสในอันเจริญวิปสสนา ทํา ปญญา คือวิปสสนาปญญาและมัคคปญญาใหเกิดข้ึนมากาํ จัด แมลงวันคือกิเลสเหลานั้น ใหส้ินไปได ฉะนี้แล. จบคําอธบิ ายปญหาท่ี ๑
๔๖๘ วรรคท่ี ๖, มักกฏกวรรค ปญ หาท่ี ๒, ถนสั สิตทารกังคปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๑ แหงทารกท่ียังติดนมมารดา’, องค ๑ ท่ีพึงถือเอา น้ัน เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมอื นวา ทารกทยี่ งั ตดิ นมมารดายอมตดิ ของอยูใ นประโยชนต น, พอตองการนมก็รองไห ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร ผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงติดของในประโยชนตน, พึงเปนผูมีญาณรู ในธรรมทั้งปวง คือในอุเทส (พระบาลี), ในปริปุจฉา (อรรถกถา), ในความพยายามชอบ (การบําเพ็ญสมถะ, วิปสสนา), ในปวิเวก, ในการอยูรว มกับทานผเู ปน ครู, ในการคบหากัลยาณมติ ร ฉนั นน้ั เหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองค ๑ แหงทารกท่ียังติดนม มารดา ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปน เทพย่ิงเหลาเทพ ทรงภาสิตความขอนี้ไวในมหาปรินิพพานสูตร ในทีฆนิกายอันประเสริฐ วา : - ‘อิงฺฆ ตุมฺห อานนฺท สารตฺเถ ฆฏถ, สารตฺเถ อนุยฺุชถ, สารตฺเถ อปฺปมตฺตา อาตาปโน ปหิตตฺตา วิหรถ๑’ ‘เอาเถอะ อานนท ขอพวกเธอจงขวนขวายใน สารประโยชนเถิด, ขอจงประกอบเนือง ๆ ในสาร ๑. ท.ี มหา. ๑๐/๑๖๕.
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๖๙ ประโยชนเถิด, ขอจงเปนผูไมประมาท มีความ เพียร มีตนอันสงไปในสารประโยชนอยูเถิด.’ ดังน้ี.” จบถนัสสิตทารกังคปญหาท่ี ๒ คําอธิบายปญหาที่ ๒ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงทารกที่ยังติดนมมารดา ช่ือวา ถนัสสิตทารกังคปญหา. คาํ วา พึงติดของในประโยชนตน ความวา พระ โยคาวจรพึงทาํ จติ ใหต ดิ ของ คือนอ มไปในประโยชนตน คอื ในพระ นิพพานอันเปนประโยชนเฉพาะตน ก็การจะบรรลุพระนิพพานได น้ี ยอมสาํ เร็จไดดวยอาํ นาจแหงการสั่งสมปจจัย เพราะเหตุน้ัน นน่ั แหละ จึง พึงเปน ผมู ญี าณรใู นธรรมท้ังปวง. คาํ วา ในปวเิ วก คอื ในความเปนผสู งดั กาย วาจา และใจ และในสถานท่ีท่ีสงัด ปรารภความเพียรอยูแตผูเดียว ไมคลุกคลี ดวยผูอื่น. คาํ วา ในสารประโยชน คือในพระนิพพานอันเปน ประโยชนท่ีเปนสาระ คือเปนแกนของพระศาสนา. อธิบายวา ขอพวกเธอจงขวนขวายในปฏิปทาอันเปนไปเพ่ือบรรลุพระ นิพพานเถิด. จบคําอธิบายปญหาที่ ๒
๔๗๐ วรรคท่ี ๖, มักกฏกวรรค ปญหาที่ ๓, จิตตกธรกุมมังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๑ แหงเตาเหลือง’, องค ๑ ท่ีพึงถือเอาน้ัน เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา เตาเหลือง ยอมเท่ียวหลีกเลี่ยงนํ้าไป เพราะมีความ กลัวนํ้า, และเพราะมีการหลีกเลี่ยงน้ําน้ัน จึงไมเสื่อมจากอายุ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึง เปนผูเล็งเห็นภัยในความประมาท, เล็งเห็นคุณวิเศษในความ ไมประมาท. และเพราะมีความเปนผูเล็งเห็นภัย (ในความ ประมาท) น้ัน จึงไมเส่ือมจากสามัญญผล, เขาไปในท่ีใกลพระ นิพพาน ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองค ๑ แหง เตาเหลือง ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรง เปนยิ่งเหลาเทพ ทรงภาสิตความขอนี้ไวในธรรมบทวา :- ‘อปฺปมาทรโต ภิกฺขุ, ปมาเท ภยทสฺสิ วา อภพฺโพ ปริหานาย, นิพฺพานสฺเสว สนฺติเก๑ ‘ภิกษุผูยินดีในความไมประมาท หรือวาเล็งเห็นภัย ในความประมาท ไมเหมาะที่จะเส่ือมรอบ ชื่อวา อยูแตในที่ใกลพระนิพพาน นั่นเทียว.’ ดังนี้.” จบจิตตกธรกุมมังคปญหาที่ ๓ ๑. ข.ุ ธ. ๒๕/๒๑.
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๔๗๑ คาํ อธิบายปญหาที่ ๓ ปญหาเก่ียวกับองคแหงเตาเหลือง ช่ือวา จิตตกธร- กุมมังคปญหา. คาํ วา และเพราะมีความเปนผูเล็งเห็นภัย คือและ เพราะมีความเปนผูเล็งเห็นภัยในความประมาท หรือทุกข ท้ังหลายมีการเกิดในนรกเปนตน ท่ีมีความประมาทน้ันเปนมูล. คําวา จึงไมเสื่อมจากสามัญญผล คือจึงไมเส่ือมจาก ผลแหงความเปนสมณะในพระศาสนาน้ี ๔ อยาง มีโสดาปตติผล เปนตน. คําวา เขาไปในที่ใกลพระนิพพาน คือต้ังจิตไวในท่ีใกล พระนิพพาน ในพระคาถา : คําวา ไมเหมาะท่ีจะเสื่อมรอบ คือไม เหมาะ ไมสมควรท่ีจะเส่ือมรอบจากสมถะและวิปสสนา หรือจาก มรรคและสามญั ญผลทั้งหลาย. คาํ วา ชือ่ วา อยแู ตในท่ีใกลพ ระนิพพาน คือชือ่ วาตงั้ จิตไวในที่ใกลพระนิพพานท้ัง ๒ อยาง คือ กิเลสนิพพานและ ขันธนิพพาน (ธรรมที่ดับกิเลส, ธรรมท่ีดับขันธ). จบคาํ อธิบายปญหาที่ ๓ ปญหาที่ ๔, ปวนังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๕ แหงปา’, องค ๕ ท่ีพึงถือเอา เปนไฉน?”
๔๗๒ วรรคที่ ๖, มักกฏกวรรค พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ธรรมดา วา ปา ยอมกาํ บังชนผู (มีความประพฤติ) ไมสะอาดไว ฉันใด, ขอ ถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงปดบังความผิด ความพลั้งพลาดของคนอ่ืน ไมพึงเปดเผย ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอ ถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๑ แหงปา ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอกี องคหนึ่ง ปา เปน สถานทว่ี างจาก ชนหมูมาก ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบ าํ เพญ็ เพยี ร ก็ พึงเปนผูวางจากขาย คือราคะ โทสะ โมหะ ทิฏฐิ และจากกิเลส ท้ังหลายทั้งปวง ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองค ที่ ๒ แหงปา ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ปา เปนสถานที่สงัด ปราศจากความแออัดดวยผคู น ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคา- วจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูสงัดจากบาปท้ังหลาย จากอกุศล ธรรมท้ังหลาย จากธรรมทั้งหลายท่ีไมใชของพระอริยเจา ฉันนั้น เหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคที่ ๓ แหงปา ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ปา เปนสถานท่ีสงบ บริสุทธิ์ ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบ าํ เพ็ญเพยี รกพ็ งึ เปน ผสู งบ บริสุทธ์,ิ พงึ เปน ผูดบั รอบ ละมานะได ละมกั ขะ (ความ ลบหลูคุณ) ได ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคที่ ๔ แหงปา ทพี่ งึ ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ปา เปนสถานท่ีที่ทาน ผูเปนอริยชนสองเสพ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๗๓ ผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูที่ทานผูเปนอริยชนสองเสพ (คบหา) ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๕ แหงปา ที่พึง ถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพย่ิงเหลา เทพ ทรงภาสิตความขอน้ีไว ในสังยุตตนิกายอันประเสริฐวา :- ‘ปวิวิตฺเตหิ อริเยหิ, ปหิตตฺเตหิ ฌายิภิ นิจฺจํ อารทฺธวีริเยหิ, ปณฺฑิเตหิ สหาวเส๑ ‘ขอพวกเธอพึงอยูรวมกับพระอริยเจาทั้งหลาย ผูสงัด ผูมีตนอันสงไป ผูมีฌาน ผูเปนบัณฑิตปรารภความ เพียรเปนประจาํ เถิด.’ ดังนี้.” จบปวนังคปญหาท่ี ๔ คําอธิบายปญหาที่ ๔ ปญ หาเกี่ยวกบั องคแหง ปา ชอื่ วา ปวนงั คปญหา. คาํ วา ชนผไู มส ะอาด คอื ชนผูที่พระราชา (หรือทางการ) ตองการจะจบั ตัว. คาํ วา ก็พึงปดบังความผิด ความพล้ังพลาดของคน อ่ืน ไมพึงเปดเผย น้ี พระเถระกลาวอนุโลมตามพระพุทธโอวาท ท่ีวา “อิธ ภิกฺขเว สปฺปุริโส, โย โหติ ปรสฺส อวณฺโณ, ๑. สํ. นิ. ๑๖/๑๙๒.
๔๗๔ วรรคท่ี ๖, มักกฏกวรรค ตํ ปุฏโป น ปาตุกโรติ, โก ปน วาโท อปุฏสฺส?๑ - ดูกร ภิกษุท้ังหลาย ผูเปนสัตบุรุษในโลกน้ี, แมวาถูกเขาถาม ก็ยอม ไมเปดเผยขอท่ีนาติเตียนของอ่ืน. จะปวยกลาวไปใย เมื่อคราว ท่ียังไมถูกเขาถามเลา?” ดังน้ี. คาํ วา พึงเปนผูวางจากกิเลสท้ังหลายท้ังปวง คือพึง เปนผูวางจากกิเลสทั้งหลายท้ังปวงท่ีพึงเกิดขึ้นเพราะไดปจจัยก็ กเิ ลสท่จี ะพงึ เกดิ ขน้ึ นน้ั มี ๒ อยาง คอื ท่ีจะพงึ เกิดขึน้ ในไมช า น้ี ในอัตภาพน้ี ๑, ท่ีจะพึงเกิดขึ้นในอนาคตภายภาคหนา ๑ พึง เปนผูวางจากกิเลสท่ีจะพึงเกิดข้ึนในไมชานี้ โดยการละเสียได ดวยวิปสสนาญาณ, พึงเปนผูวางจากกิเลสที่จะพึงเกิดข้ึนใน อนาคตภายภาคหนา โดยการละเสียไดดวยมัคคญาณ. คําวา จากธรรมท้ังหลายท่ีไมใชของพระอริยเจา คือ จากธรรมท้ังหลายท่ีเปนของปุถุชน. คาํ วา พึงเปน ผสู งบ เปน ตน คอื พงึ เปนผสู งบ โดยการท่ีมี กาย วาจา และใจสงบ พึงเปนบริสุทธ์ิ โดยการที่มีศีลบริสุทธ์ิ, พึงเปนผูดับรอบ โดยการดับกิเลสทั้งหลายไดโดยชอบ ดวยการ ถึงพระนิพพาน หรือวาโดยการดับไฟรอนคือโทสะไดโดยรอบ ดวยเมตตา, พึงเปนผูละมานะโดยการพิจารณาถึงความที่ตน อาศัยผูอื่นเล้ียงชีพโดยวิธีการที่ตํ่าทราม กลาวคือการเท่ียว แสวงหาบิณฑบาตดวยปลีนอง, พึงเปนผูละมักขะ ความลบหลู ๑. องฺ. จตุกกฺ .๒๑/๑๐๗.
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๗๕ คุณของอาจารยเปนตน โดยการพิจารณาถึงคุณของทาน และ อุปการะท่ีตนไดจากทาน เปนตน. คําวา พึงเปนผูท่ีทานผูเปนอริยชนสองเสพ คือพึง เปนผูท่ีทานผูเปนพระอริยบุคคลท้ังหลายคบหา เพราะเหตุท่ี ตนมีทิฏฐิ (ความเห็น) และศีล เสมอกันกับทานเหลาน้ัน. จบคําอธิบายปญหาที่ ๔ ปญหาท่ี ๕, รุกขังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๓ แหงตนไม’, องค ๓ ท่ีพึงถือเอานั้น เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ธรรมดาวา ตนไม ทรงดอกและผลไว ฉันใด, พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็ พึงเปนผูทรงดอก คือวิมุตติและสามัญญผลไว ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๑ แหงตนไม ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ตนไม ยอมใหรมเงาแก ชนท้งั หลายผเู ขา ไปใกล ฉนั ใด, พระโยคาวจรผบู ําเพญ็ เพยี รก็พึง ปฏิสันถารตอ บคุ คลท้ังหลายผูเขาไปหา ดวยอามสิ ปฏิสันถารบา ง ดวยธรรมปฏิสันถารบาง ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ี คือองคท่ี ๒ แหงตนไม ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ตนไม ยอมไมกระทาํ ความแตกตางกันแหงรมเงา ฉันใด, พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร
๔๗๖ วรรคที่ ๖, มักกฏกวรรค ก็ไมพงึ กระทาํ ความแตกตา งกันในสตั วท ั้งหลายท้ังปวง พงึ กระทาํ เมตตาภาวนาท้งั ในโจร เพชฌฆาต ขา ศึก ทั้งในตนเอง เทา เทยี ม กนั วา ‘ไฉนหนอ สตั วเ หลานจี้ ะพึงเปนผูไมมเี วร ไมม ีพยาบาท ไมมีทุกข มีแตสุขบริหารตนอยูได’ ดังนี้ ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๓ แหงตนไม ที่พึงถือเอา. ขอถวาย พระพร ทานพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ไดภาสิตความขอ นี้ไวว า :- ‘วธเก เทวทตฺตมฺหิ, โจเร องฺคลิมาลเก ธนปาเล ราหุเล จ, สพฺพตฺถ สมโก มุนี’ ‘พระมหามุนีเจา ทรงเปนผูมีพระทัยเสมอกัน ในบุคคลท้ังปวง คือในพระเทวทัตผูจะปลงพระ ชนม, ในโจรองคุลีมาล ในชางธนบาล และใน พระราหุล.’ ดังนี้.” จบรุกขังคปญหาที่ ๕ คําอธิบายปญหาที่ ๕ ปญหาเก่ียวกับองคแหงตนไม ช่ือวา รุกขังคปญหา. คําวา ดอกคือวิมุตติ ไดแก ดอกคือพระอริยมรรคอัน เปนสมุจเฉทวิมุตติ (ความหลุดพนเด็ดขาด). คาํ วา สามัญญผล ไดแก สามัญญผล ๔ อยาง มีโสดา- ปตติผลเปนตน.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 548
Pages: