โอปม มกถาปญหากัณฑ ๔๗๗ การตอ นรบั โอภาปราศรัยผูอ่ืนดว ยอามสิ (ลาภ) อันไดแก วัตถุท่ีควรสงเคราะห มีของกิน ของเคี้ยว น้ําดื่ม น้าํ ใช อาสนะ เตียง ตั่ง เปน ตน , และคาํ พดู ท่ีนา รกั นาชอบใจ เปนเครื่องใหระลึก ถึงกนั อยเู สมอ ชื่อวา อามสิ ปฏิสันถาร. การตอนรับโอภาปราศรัยผูอื่นดวยธรรม คือพระปริยัติ- ธรรมท่ีตนเรียนก็ดี ท่ีผูอ่ืนเรียนก็ดี หรือแมดวยวิชาทางโลกที่ไม มีโทษ เพ่ือเปดโอกาสใหผูน้ันไดแสดงแกตน ก็ดี เพื่อตนจะไดมี โอกาสสงเคราะหเขาผูยินดีรับฟง ก็ดี พอเปนเคร่ืองระลึกถึงกัน อยูเสมอ ชื่อวา ธรรมปฏิสันถาร. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๕ ปญหาที่ ๖, เมฆงั คปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๕ แหงเมฆ (เมฆฝน)’, องค ๕ ที่พึงถือเอานั้น เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา เมฆ ยอมทาํ ธุลีขี้ฝุนท่ีเกิดขึ้นแลวใหสงบไป ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงทําธุลีข้ีฝุนคือ กิเลสที่เกิดขึ้นแลว ใหสงบไป ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๑ แหงเมฆ ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอกี องคหน่งึ ธรรมดาวา เมฆ ยอม ทําความรอนบนพ้ืนแผนดินใหดับไป ฉันใด, ขอถวายพระพร
๔๗๘ วรรคท่ี ๖, มักกฏวรรค พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงทาํ โลกท่ีมีพรอมทั้งเทวดาให ดับ (ใหเย็น) ดวยเมตตาภาวนา ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวาย พระพร นี้คือองคท่ี ๒ แหงเมฆ ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง ธรรมดาวา เมฆ ยอม ยังพืชทั้งหลายทั้งปวงใหงอกงามฉันใด, ขอถวายพระพร พระ โยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงทําศรัทธาใหเกิดข้ึนแกสัตวทั้งหลาย ทั้งปวง แลวหวานโปรยพืชคือศรัทธานั้นลงในสมบัติ ๓ ประการ คือในสุขสมบัติท่ีเปนของเทวดา และที่เปนของมนุษย ตราบถึง สุขสมบัติคือพระนิพพานอันเปนประโยชนอยางย่ิง ฉันนั้น เหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๓ แหงเมฆ ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ธรรมดาวา เมฆ ยอม แวดลอมรักษาสิ่งท้ังหลาย คือตนหญา ตนไม เครือเถา พุมไม ตนยา ปาไม ท่ีตั้งข้ึนจากอุตุ งอกงามอยูบนพ้ืนดิน ฉันใด, ขอ ถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงทําโยนิโสมนสิ- การใหบังเกิด, ใชโยนิโสมนสิการน้ันแวดลอมรักษาสมณธรรมไว ฉันนั้นเหมือนกัน, กุศลธรรมทั้งหลายท้ังปวง มีโยนิโสมนสิการ เปนมูล. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๔ แหงเมฆท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง เมฆ เมื่อ (เปนฝน) ตกลงมา ก็ยอมยังแมนํา้ บึง สระบัวท้ังหลาย และซอกเขา ลาํ ธาร สระนํา้ แองนํา้ สถานที่ขังนา้ํ ดื่มทั้งหลาย ใหเต็มดวย อุทกธารา ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงยังเมฆคือพระธรรม ใหตกลงมาทาํ จิตของบุคคลผูตองการ
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๔๗๙ อธิคมใหเต็มดวยปริยัติอันเปนอาคม ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอ ถวายพระพร นี้คือองคที่ ๕ แหงเมฆ ที่พึงถือเอา. ขอถวาย พระพร ทานพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ไดภาสิตความขอ นี้ไววา :- ‘โพธเนยฺยํ ชนํ ทิสฺวา, สตสหสฺเสป โยชเน ขเณน อุปคนฺตฺวาน, โพเธติ ตํ มหามุนี’ ‘พระมหามุนีเจา ทรงพบเห็นชนผูท่ีจะทรงอาจให ตรัสรูไดแลว แมอยูในท่ีไกลต้ังแสนโยชน ก็จะ เสด็จเขาไปโปรดชนผูน้ันใหตรัสรู ทันที.’ ดังน้ี.” จบเมฆังคปญหาท่ี ๖ คําอธิบายปญหาที่ ๖ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงเมฆ ช่ือวา เมฆังคปญหา. คาํ วา พึงทาํ ธุลีขี้ฝุนท่ีเกิดขึ้นแลว ใหสงบไป คือ พึง ทําธุลีข้ีฝุนคือกิเลส อันไดแก มิจฉาวิตกท้ังหลาย และอกุศลธรรม ทั้งหลายอันชั่วชาอยางอื่น ท่ีกาํ ลังเกิดขึ้นคือกําลังเปนไปหรือ กาํ ลังกลุมรุมจิต ใหสงบไป ดวยสามารถแหงอินทรีย ๕ มีศรัทธา เปนตน, หรือพึงทาํ ธุลีข้ฝี ุนคือกิเลส อันไดแกนิวรณ ๕ มีกามฉันท เปนตน ท่ีกาํ ลังเกิดข้ึน สรางความไมสงบแหงจิต ใหสงบไป ดวย อาํ นาจแหงการขมไวไดดวยอุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ และ ดวยอาํ นาจแหงการตัดขาดดวยพระอริยมรรค.
๔๘๐ วรรคท่ี ๖, มักกฏวรรค คาํ วา พึงทาํ ศรัทธาใหเกิดข้ึนแกสัตวทั้งหลายทั้งปวง คือพึงทําความเช่ือกรรม ความเชื่อผลของกรรม ใหเกิดข้ึนแก สัตวท้ังหลายทั้งปวง. คําวา มีโยนโิ สมนสิการเปนมลู คอื มโี ยนิโสมนสิการเปน เหตุท่ีเปนประธาน เพราะวา โยนิโสมนสิการ เปนปจจัยแกกุศล. คําวา บุคคลผูตองการอธิคม คือบุคคลผูตองการบรรลุ มรรค ผล ซ่ึงช่ือวา “อธิคม” เพราะอรรถวา เปนธรรมท่ีพระ- โยคาวจรพึงบรรลุ. คาํ วา ดวยปริยัติอันเปนอาคม คือดวยปริยัติธรรมอัน เปนท่ีมา คือเปนที่รวมแหงพระพุทธวจนะ. จบคาํ อธิบายปญหาที่ ๖ ปญหาท่ี ๗, มณิรตนังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๓ แหงแกวมณี’, องค ๓ ที่พึงถือเอาน้ัน เปนไฉน?” พระนาคเสน : “เปรียบเหมือนวา แกวมณีเปนธรรมชาติ ท่ีบริสุทธิ์โดยสวนเดียว ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร ผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูมีอาชีวะบริสุทธิ์โดยสวนเดียว ฉันนั้น เหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๑ แหงแกวมณี ท่ีพึง ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง ธรรมดาวา แกวมณี จะไดเจือปนกับส่ิงอะไร ๆ บาง ก็หาไม ฉันใด, ขอถวายพระพร
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๘๑ พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็ไมพึงเจือปนกับบาป ไมพึงคลุก- คลีกับสหายช่ัว ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคที่ ๒ แหงแกวมณี ท่ีพึงถือเอา ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ธรรมดาวา แกวมณี เขายอมประกอบเขาไวกับรัตนะทั้งหลายท่ีเกิดเอง ฉันใด, ขอ ถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงอยูรวมกับบท มนตท้ังหลาย ซึ่งมีชาติสูงสง ประเสริฐ, พึงอยูรวมกับทานผูยัง ปฏิบัติอยู ทานผูต้ังอยูในผลแลว ทานผูพรอมเพรียงดวยอเสกข- ผลท้ังหลาย กับสมณะผูเปนพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระ- อนาคามี พระอรหันต ผูไดวิชชา ๓ ผูไดอภิญญา ๖ ฉันนั้น เหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ืคือองคท่ี ๓ แหงแกวมณี ท่ีพึง ถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพยิ่งเหลา เทพ ทรงภาสิตความขอน้ีไวในสุตตนิบาต วา :- ‘สุทฺธา สุทฺเธหิ สํวาสํ, กปฺปยโวฺห ปติสฺสตา ตโต สมคฺคา นิปกา, ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสถ๑’ ‘ขอพวกทานจงเปนผูหมดจด สําเร็จการอยูรวม กับผูหมดจดทั้งหลายเถิด จงเปนผูมีความยาํ เกรง (ซ่ึงกันและกัน) พวกทานจักเปนผูพรอมเพรียงกัน ฉลาด กระทาํ ท่ีสุดแหงทุกขได ก็เพราะเหตุน้ัน.’ ๑. ข.ุ สุ. ๒๕/๔๒๖.
๔๘๒ วรรคที่ ๖, มักกฏวรรค ดังนี้.” จบมณิรตนังคปญหาที่ ๗ คาํ อธิบายปญหาที่ ๗ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงแกวมณี ช่ือวา มณิรตนังค- ปญหา. คําวา พงึ เปนผมู ีอาชวี ะบริสทุ ธิ์ คอื พึงเปนผูมอี าชวี ปาริ สุทธิศีล (ศีลคืออาชีวะท่ีบริสุทธ์ิ) ไมแสวงหาปจจัยโดยวิธีการที่ พระพุทธเจาทรงบัญญัติเปนสิกขาบทหามไว หรือโดยวิธีที่นับวา เปนอเนสนา (การแสวงหาทไี่ มสมควรแกค วามเปนสมณะ). คําวา ไมพ งึ เจอื ปนกับบาป คอื ไมพรอมเพรียงกบั ความ ประพฤตทิ ี่นบั วาเปน บาป คือ เปน โลกวชั ชะ (เปนโทษในโลก คอื อกุศลกรรมบถ ๑๐). และแมที่นับวาเปนบาปคือนาติเตียน กลาวคือเปนปณณัตติวัชชะ (เปนโทษตามพระบัญญัติ). คําวา ไมพ งึ คลกุ คลีกับสหายชว่ั คอื ไมเ สพ ไมค บหากับ สหายชั่ว มิตรช่ัว ผูเปน อลัชชี (หาความละอายมไิ ด) ผูท ศุ ีล. คาํ วา กบั บทมนตทั้งหลาย ซ่งึ มีชาตสิ ูงสง ประเสรฐิ คือกับบทพระพุทธมนต (บทสวดสาธยายอันเปนพระพุทธพจน) ทั้งหลาย ซึ่งนับวามีชาติสูงสง ประเสริฐ เพราะเปนไปพรอมเพื่อ ปองกนั ซ่งึ โทษท้ังหลาย และเพราะเกดิ แตชาตสิ งู สง ประเสรฐิ คอื ชาติอรยิ ะ.
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๘๓ คาํ วา พงึ อยรู ว มกบั ทานผยู ังปฏิบตั ิอยู เปนตน คือ พงึ อยูรวมกับทานผูตั้งอยูในมรรค ๔ และทานผูต้ังอยูในสามัญญ- ผล ๔ โดยเก่ียวกับการทํามรรคและผลเหลาน้ันใหบังเกิดใน สันดานตน. คาํ วา ทา นผพู รอมเพรียงดว ยอเสกขผลทัง้ หลาย คือ ทานผบู รรลอุ รหตั ตผลทง้ั หลาย. ความทเี่ หลืองายอยแู ลว จบคําอธบิ ายปญ หาที่ ๗ ปญ หาท่ี ๘, มาควิกงั คปญหา พระเจา มลิ นิ ท : “พระคุณเจา นาคเสน ทานกลาววา ‘พงึ ถือเอาองค ๔ แหง พรานเนอ้ื ’, องค ๔ ทีพ่ ึงถอื เอานน้ั เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวาพราน เนื้อยอมเปนผูไมคอยจะงวงซึม ฉันใด, พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญ เพียร ก็พึงเปนผูไมคอยจะงวงซึม ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวาย พระพร น้ีคือองคท่ี ๑ แหงพรานเนื้อ ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ธรรมดาวา พรานเน้ือ ยอมผูกจิตไวม่ัน (มีจิตผูกพันม่ันคง) แตในเนื้อท้ังหลายเทาน้ัน ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงผูก จิตไวมั่นในอารมณ (กรรมฐาน) ท้ังหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๒ แหงพรานเน้ือท่ีพึงถือเอา.
๔๘๔ วรรคท่ี ๖, มักกฏวรรค ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ธรรมดาวา พรานเนื้อ ยอมรูจักกาลที่ควรแกการงาน ฉันใด, ขอถวายพระพร พระ โยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงรูจักกาลท่ีควรแกการหลีกเรน วา ‘เวลาน้ี เปนกาลที่สมควรแกการหลีกเรน, เวลาน้ี เปนกาลที่ สมควรแกการปลีกตัวออกไป’, ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๓ แหงพรานเน้ือ ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ธรรมดาวา พรานเน้ือ พบเนื้อแลว ก็ยอมเกิดความบันเทิงใจวา ‘เราไดเน้ือตัวนี้’ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงยินดี พึงเกิด ความบันเทิงใจในอารมณวา ‘เราจะไดบรรลุคุณวิเศษท่ีย่ิง ๆ ขึ้นไป’ ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๔ แหง พรานเน้ือ ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระโมฆราชเถระได ภาสิตความขอน้ีไววา :- ‘อารมฺมเณ ลภิตฺวาน, ปหิตตฺเตน ภิกฺขุนา ภิยฺโย หาโส ชเนตพฺโพ, อธิคมิสฺสามิ อุตฺตรึ’ ‘ภิกษุผูมีตน (มีจิต) สงไป (สูพระนิพพาน) ได อารมณท้ังหลายแลว ก็พึงทําความบันเทิงใจให เกิดยิ่งอยางนี้วา เราจักบรรลุคุณวิเศษท่ียิ่ง ๆ ขึ้น ไปได ดังน้ีเถิด.’ ดังน้ี.” จบมาควิกังคปญหาที่ ๘
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๔๘๕ คําอธิบายปญหาที่ ๘ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงพรานเน้ือ ช่ือวา มาควิกังค- ปญหา. พรานเน้ือ ช่ือวา เปนผูไมคอยจะงวงซึม ก็เพราะคอย มุงจะเบ่ิงตาดู เงี่ยหูฟง ภาพและเสียงของเน้ือท่ีตนตามลา. คาํ วา พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูไม คอยจะงวงซึม นี้ ทานแสดงถึงความเปนผูยินดีย่ิงในภาวนา ไมทอถอย ไมปลอยใหความเกียจคราน ความโงกงวงครอบงาํ เมื่อเกิดความโงกงวงขึ้น ก็พึงบรรเทาเสียดวยการมองไปทาง ทิศโลง ๆ ดวยการจงกรม เปนตน. คาํ วา พึงผูกจิตไวมั่นในอารมณ คือพึงผูกวิปสสนาจิต ไวมั่นในอารมณที่เปนกรรมฐานของวิปสสนา โดยการท่ีคอยทํา สติใหเขาไปตั้งท่ีอารมณเหลาน้ีอยูเรื่อย ๆ. คาํ วา พึงรูจักกาลที่ควรแกการหลีกเรน เปนตน ความวา เม่ือกาลที่ควรแกการหลีกออกจากหมูจากคณะ แลว เรนคือพักจิตไวในกรรมฐานมาถึง ก็ยอมกาํ หนดรูถึงกาลน้ัน แลววางกิจอื่นเสีย ทําเวลาใหลวงไปดวยการมนสิการกรรมฐาน เทาน้ัน. คําวา พึงยินดี ฯลฯ วา ‘เราจะไดบรรลุคุณวิเศษ ที่ย่ิง ๆ ขึ้นไป’ คือพึงยินดี พึงเกิดความบันเทิงใจในอารมณ กรรมฐานนั้นนั่นแหละวา อารมณกลาวคืออุปาทานขันธ ๕ ที่มี อันเกิดขึ้นและดับไปเปนธรรมดา ไมเท่ียง เปนทุกข เปนอนัตตา
๔๘๖ วรรคท่ี ๖, มักกฏวรรค เชนน้ีแหละ จะเปนเหตุใหเราบรรลุคุณวิเศษ กลาวคือญาณ ทั้งหลาย ย่ิง ๆ ข้ึนไปตามลาํ ดับ จนกระท่ังสามารถกระทําท่ีสุด แหงทุกข (พระนิพพาน) ใหแจงได. จบคําอธบิ ายปญหาที่ ๘ ปญ หาที่ ๙, พาฬิสิกงั คปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๒ แหงพรานเบ็ด’. องค ๒ ท่ีพึงถือเอาน้ัน เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา พรานเบ็ดยอมใชเบ็ดตกปลาข้ึนมาได ฉันใด, ขอ ถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงใชเบ็ดคือญาณ ตกเอาปลาคือสามัญญผลท้ังหลาย ข้ึนมาได ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๑ แหงพรานเบ็ด ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยงั มอี กี องคห น่ึง ธรรมดาวา พรานเบ็ดฆา (สัตวที่ใชเปนเหย่ือ) เพียงนิดหนอย ก็ยอมไดรับลาภ (คือปลา) เสยี มากมาย ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผบู ําเพญ็ เพยี ร กพ็ ึงสละโลกามิสที่เปนเพยี งของเล็กนอ ยเทานน้ั . ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร สละเพียงโลกามิสเทานั้น ก็ยอม ไดร ับสามญั ญผลท่ีไพบลู ยไ ด ฉนั นนั้ เหมอื นกัน. ขอถวายพระพร นคี้ อื องคท ่ี ๒ แหง พรานเบ็ด ทีพ่ ึงถอื เอา. ขอถวายพระพร พระ ราหลุ เถระ ไดภ าสติ ความขอน้ีไววา :-
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๔๘๗ ‘สฺุตฺจานิมิตฺตฺจ, วิโมกฺขฺจาปฺปณิหิตํ จตุโร ผเล ฉฬภิฺญา, จชิตฺวา โลกามิสํ ลเภ’ ‘ภิกษุสละโลกามิสเสียไดแลว ก็จะพึงไดสุญญต- วิโมกข อนิมิตตวิโมกข อัปปณิหิตวิโมกข สามัญญผล ๔ อภิญญา ๖ แล.’ ดังนี้.” จบพาฬิสิกังคปญหาที่ ๙ คําอธิบายปญหาที่ ๙ ปญหาท่ีเก่ียวกับองคแหงพรานเบ็ด ชื่อวา พาฬิสิกังค- ปญหา. คาํ วา พึงใชเบ็ดคือญาณ ไดแกพึงใชเบ็ดคือมัคคญาณ ๔. ความวา มัคคญาณแรกคือ โสดาปตติมัคคญาณ เปนเบ็ดท่ี ใชตกปลาตัวแรกคือโสดาปตติผล. มัคคญาณที่ ๒ ... มัคคญาณ ท่ี ๓... มัคคญาณท่ี ๔ คืออรหัตตมัคคญาณ เปนเบ็ดที่ใช ตกปลาตัวที่ ๔ คืออรหัตตผล ฉะน้ีแล. คําวา โลกามิส ไดแกธรรม ๘ อยางคือ ลาภ, ยศ, สรรเสริญ, สุข, เสื่อมลาภ, เส่ือมยศ, นินทา, ทุกข. ซ่ึงช่ือวา โลกามิส เพราะเปนเหตุใหสัตวโลกมาติดอยูดวยอาํ นาจความ ยินดีและความยินราย. จบคาํ อธิบายปญ หาที่ ๙
๔๘๘ วรรคท่ี ๖, มักกฏวรรค ปญ หาท่ี ๑๐, ตัจฉกงั คปญ หา พระเจามิลนิ ท : “พระคณุ เจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถอื เอาองค ๒ แหงชา งถาก’, องค ๒ ทีพ่ ึงถือเอานนั้ เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา ชางถากยอมถากไม อนุโลมตามรอยเสนดายดํา ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงต้ังอยู บนพ้ืนแผนดินคือศีล ใชมือคือศรัทธา จับขวานคือปญญาถาก กิเลสทั้งหลาย อนุโลมตามพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจา ฉันนั้นเหมือนกัน ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๑ แหงชางถาก ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคห น่ึง ธรรมดาวา ชา งถากยอม ขจัดเปลือกนอกออกไป ถือเอาแตแ กนไม ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผบู ําเพญ็ เพยี ร กพ็ งึ ขจดั ความเหน็ เก่ยี วกบั กรรมและ ผล และความเห็นผิดในผลแหงกรรมที่ทาํ และหนทางแหงการ ทะเลาะววิ าทอยา งอน่ื ๆ เหน็ ปานฉะน้วี า ‘ยง่ั ยนื , ขาดสญู , ชวี ะ ก็อันนั้น สรีระก็อนั นน้ั , ชวี ะกอ็ ยางหน่งึ สรรี ะก็อยา งนั้น, ส่ิงสูงสดุ ก็อันน้ัน สิ่งสูงสุดเปนอยางอื่น, ส่ิงท่ีควรทําไมมีผล, การกระทํา ของบุรุษไมมีผล, การอยูอบรมพรหมจรรยไมมีผล, ความพินาศ แหงสตั วม ีอยู, ความปรากฏแหงสตั วใหม ๆ มอี ย,ู ความย่งั ยืนแหง สังขารมีอย,ู ผใู ดทาํ (กรรม) ผนู ้นั ยอมเสวย (ผล), คนหนงึ่ ทาํ (กรรม) อีกคนหนึ่งเสวย (ผล)’ ดังนี้เปนตน แลวพึงถือเอาแต สภาวะแหง สังขารทัง้ หลาย อนั เปน บรมสุญญตะ ปราศจากความ
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๔๘๙ เปน สตั วและชีวะ วางเปลา สน้ิ เชงิ ฉันน้นั เหมือนกนั . ขอถวายพระ พร นคี้ อื องคท ่ี ๒ แหงชางถากที่พงึ ถือเอา. ขอถวายพระพร พระ ผมู พี ระภาคผทู รงเปน เทพยงิ่ เหลาเทพ ทรงภาสติ ความขอ น้ไี วใน สุตตนิบาต วา :- ‘การณฺฑวํ นิทฺธมถ, กสมฺพุ อปกสฺสถ. ตโต ปลาเป วาเหถ, อสฺสมเณ สมณมานิเน. นิทฺธมิตฺวา ปาปจฺเฉ, ปาปอาจารโคจเร. สุทฺธา สุทฺเธหิ สํวาสํ, กปฺปยโวฺห ปติสฺสตา. ตโต สมคฺคา นิปกา, ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสถ.’๑ ‘พวกทานจงขจัดบุคคลผูเปนดุจข้ีแกลบ จงครา บุคคลผูเปนดุจหยากเย่ือออกไป ซ่ึงขอนี้เปนเหตุ ใหพวกทานช่ือวา ไดขับไลคนเหลวเปลาผูไมใช สมณะ แตยังทะนงวาเปนสมณะออกไป พวก ทานจงขจัดบุคคลผูมีความปรารถนาลามก มี อาจาระและโคจรอันชั่วชาไดแลว ก็จงเปนผู หมดจด มีความยาํ เกรง สาํ เร็จการอยูรวมกับ ทานผูหมดจดทั้งหลายเถิด ทานจักเปนผูถึง ความเทาเทียมกัน ฉลาด กระทาํ ที่สุดแหงทุกข ได ก็เพราะเหตุน้ัน.’ ดังนี้.” จบตังฉกังคปญหาที่ ๑๐ ๑. ขุ. ส.ุ ๒๕/๔๒๔-๖.
๔๙๐ วรรคที่ ๖, มักกฏวรรค คําอธิบายปญหาที่ ๑๐ ปญหาเก่ียวกับองคแหงชางถาก ช่ือวา ตัจฉกังคปญหา. คําวา อนุโลมตามพระศาสนา คืออนุโลมตามพระ ศาสนา ๓ อยาง คือ พระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม. คําวา พึงขจัดความเห็นเก่ียวกับกรรมและผล คือ พึงหลีกเลี่ยงความเห็นผิดเก่ียวกับความสัมพันธกันเก่ียวกับ กรรมและผล. คําวา หนทางแหงการทะเลาะวิวาท คือการประกาศ วาทะอันเปนเหตุแหงการทะเลาะวิวาท. คาํ วา ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น คืออัตตาอันเปนเหตุ เปนอยูก็อันนั้น สรีระคือขันธ ๕ ก็อันน้ัน คือเปนอันเดียวกัน เมื่อ ขันธ ๕ แตกทาํ ลาย อัตตาอันเปนตัวชีวะก็เปนอันแตกทําลาย จัดเปนอุจเฉทวาทะ (วาทะวาขาดสูญ) น่ันแหละ. คาํ วา ชีวะก็อยางหน่ึง สรีระก็อยางหนึ่ง คือชีวะเปน คนละอยางกับสรีระ เม่ือสรีระแตกทาํ ลาย ชีวะหาแตกทําลาย ดวยไม จัดเปนสัสสตวาทะ (วาทะวาย่ังยืน) นั่นเทียว. คําวา ส่ิงสูงสุดก็อันนั้น, สิ่งสูงสุดเปนอยางอื่น คือสิ่ง สูงสุดอันไดแกอัตตาก็อันนั้น คือเปนอันเดียวกับขันธ ๕ น้ัน, เปน อยางอ่ืนคือคนละอยางกันกับขันธ ๕. คําวา ส่ิงท่ีควรทาํ ไมมีผล คือกรรมดี กรรมช่ัว ท่ีสัตว ทั้งหลายทํา ไมมีผล.
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๔๙๑ คําวา การกระทําของบุรุษไมมีผล คือกาํ ลังแหงความ พยายามในการทํากรรมดีและกรรมช่ัว ไมมีผล. คําวา การอยูอบรมพรหมจรรยไมมีผล คือมรรค พรหมจรรยที่อยูอบรมแลวเปนเหตุใหถึงความหมดจดแหง สังสารวัฏได ไมมี. คําวา ความพินาศแหง สัตวมีอยู คอื ความขาดสายแหง ความเปนไปของสตั ว มีอยู. ความวา สัตวต ายแลว ไมมี ไมเกดิ อีก ก็มีอย.ู คาํ วา ความปรากฏแหง สตั วใ หม ๆ มอี ยู คอื สตั วต าย แลว ปรากฏใหม ก็มีอยู. ความวา สัตวตายแลวจะมี จะเกิดอีก ก็มอี ยู. คําวา ความยั่งยนื แหง สังขารมีอยู คือสงั ขารทเี่ ท่ียงก็มอี ย.ู คําวา ผูใดทํา ผูน ัน้ ยอ มเสวย ความวา ผทู าํ กรรมกบั ผู เสวยผลของกรรม เปน บคุ คลคนเดยี วกนั . จัดเปน สัสสตวาทะ. คําวา คนหนึ่งทาํ อกี คนหน่งึ เสวย ความวา ผทู ํากรรม กบั ผเู สวยของกรรม เปน บคุ คลคนละคนกนั . จดั เปนอจุ เฉทวาทะ. สงั ขารท้ังหลาย ชื่อวา บรมสุญญตะ กเ็ พราะเหตทุ ว่ี า ง เปลาจากอตั ตา และจากสง่ิ ท่เี นือ่ งดวยอัตตาสน้ิ เชงิ . หรอื วา งจาก ความเปนของงาม เท่ียง สขุ และความเปน อัตตาอยางย่ิง. จบคําอธบิ ายปญหาที่ ๑๐ จบมักกฏกวรรคท่ี ๖
๔๙๒ วรรคที่ ๗, กุมภวรรค วรรคท่ี ๗, กุมภวรรค ปญ หาท่ี ๑, กุมภังคปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๑ แหงหมอ’, องค ๑ ท่ีพึงถือเอาน้ัน เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมอื นวา หมอที่เตม็ เปยมแลว ยอมไมส งเสียงดงั ฉันใด, ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรถึงความเต็มเปยมในอาคม ในอธิคม ใน ปริยัติ ในสามัญญผลแลว ก็ไมสงเสียงดัง ฉันน้ันเหมือนกัน, เธอไมพ งึ ทาํ ความถือตัวเพราะความเต็มเปย มนั้น, ไมพ ึงแสดงตน, พึงเปนผูกําจัดความถือตัว เปนผูกําจัดอัตตา, เปนผูซ่ือตรง ไมปากกลา ไมโออวด. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรง เปนเทพยิ่งเหลาเทพ ทรงภาสิตความขอนี้ไวใน สุตตนิบาต วา : ‘ยทูนกํ ตํ สณติ, ยํ ปูรํ สนฺตเมว ตํ อฑฺฒกุมฺภูปโม พาโล, รหโท ปูโรว ปณฺฑิโต๑ ‘หมอท่ีมีน้าํ พรอง ยอมสงเสียงดัง หมอที่มีน้าํ เต็ม สงบเงียบทีเดียว คนพาลมีอุปมาดวยหมอ ท่ีมีน้าํ ครึ่งเดียว, บัณฑิตเปรียบเหมือนหวงน้าํ ท่ีเต็ม ฉะนั้น.’ ๑. ข.ุ ส.ุ ๒๕/๕๑๖.
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๙๓ ดังนี้”. จบกุมภังคปญหาที่ ๑ คาํ อธิบายปญหาท่ี ๑ ปญหาเก่ียวกับองคแหงหมอ ชื่อวา กุมภังคปญหา. คาํ วา ก็ไมสงเสียงดัง คือไมโออวด ไมประกาศใหผูอื่น รู. คาํ วา ไมพึงทาํ ความถือตัว คือไมพึงยกตนขมผูอ่ืน จบคําอธิบายปญหาที่ ๑ ปญหาที่ ๒, กาฬายสังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๒ แหงกาลักน้ํา’, องค ๒ ที่พึงถือเอาน้ัน เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา กาลักนํ้า ดูดนํ้าไวดแี ลว ก็คายออกไป ฉนั ใด, ขอถวาย พระพร จิตของพระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ยอมคายส่ิงที่ไมควร ดดู ดืม่ ออกไปดวยโยนโิ สมนสิการ ฉนั นัน้ , ขอถวายพระพร นีค้ ือ องคที่ ๑ แหง กาลกั น้าํ ทพี่ ึงถอื เอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ธรรมดาวา กาลักนํ้า ยอมไมคายนํา้ ท่ีดูดครั้งเดียว ฉันใด, ขอถวายพระพร พระ โยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็ไมพึงคายความเลื่อมใสที่เกิดข้ึน
๔๙๔ วรรคท่ี ๗, กุมภวรรค ครั้งเดียววา “พระผูมีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจาพระองคน้ันทรง เปนผูยิ่งใหญ, พระธรรมเปนธรรมท่ีพระผูมีพระภาคตรัสไวดีแลว, พระสงฆเปนผูปฏิบัติดี” ดังน้ีอีก, ไมพึงคายญาณที่เกิดข้ึนวา รูปไมเที่ยง, เวทนาไมเที่ยง, สัญญาไมเท่ียง, สังขารไมเท่ียง, วิญญาณไมเที่ยง ดังน้ีอีก ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๒ แหงกาลักนํา้ ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพย่ิงเหลาเทพทรงภาสิตความขอนี้ ไววา :- ‘ทสฺสนมฺหิ ปริโสธิโต นโร, อริยธมฺเม นิยโต วิเสสคู. นปฺปเวธติ อเนกภาคโส, สพฺพโส จ มุขภาวเมว โส. ก็นรชนผูชาํ ระทัสสนะใหบริสุทธ์ิ ผูถึงคุณวิเศษ เท่ียงตรงในอริยธรรมน้ัน ยอมไมทาํ ความเลื่อมใส อันเปนประธานใหส่ันไหวไปโดยสวนเปนอเนก และโดยประการท้ังปวง.’ ดังนี้.” จบกาฬายสังคปญหาท่ี ๒ คําอธิบายปญหาที่ ๒ ปญหาเก่ียวกับองคแหงกาลักนํา้ ช่ือวา กาฬายสังค- ปญหา.
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๔๙๕ คําวา ดูดนํ้าไวดีแลว ก็คายออกไป คือดูดน้าํ ไว พอประมาณดีแลวทางขางหนึ่ง ก็คายออก คือระบายออกไป อีกทางหนึ่ง. คาํ วา ยอมคายส่ิงที่ไมควรดูดด่ืมออกไปดวยโยนิโส- มนสิการ คือยอมคาย ไดแก ยอมไมกระทําเขาไวในใจ ซ่ึงส่ิงที่ ไมควรดูดดื่มคืออารมณท่ีไมเปนปจจัยแกกุศล ไมเปนปจจัยแก ปญญา, ทวา ใชโยนิโสมนสิการ กระทําเขาไวในใจซ่ึงอารมณ ท่ีเปนปจจัยแกกุศล เปนปจจัยแกปญญา เทานั้น. คําวา ยอมไมคายนา้ํ ที่ดูดครั้งเดียว คือยอมไมคายนํา้ ที่ดูดเพียงครั้งเดียวนิดหนอย ยังไมมีปริมาณพอเพียง. คาํ วา ไมพึงคายความเลื่อมใส, ไมพึงคายญาณ คือ ไมพึงคาย ไดแกไมพึงทอดทิ้งความเล่ือมใสในคุณแหงรัตนะ ท้ัง ๓ ที่เกิดข้ึนคร้ังหน่ึงแลวนั้น ทวา พึงรักษาไวโดยการเจริญ อยูเนือง ๆ, ไมพึงทอดทิ้งญาณท่ีรูเห็นอยางนั้น ที่เกิดขึ้นเพียง คร้ังหนึ่งแลวนั้น ทวา พึงรักษาไวโดยการเจริญอยูเนือง ๆ. ในคาถา : คาํ วา ผูชําระทัสสนะใหบริสุทธิ์ คือผู ชําระทิฏฐิ (ความเห็น) ใหตรง. คําวา เที่ยงตรงในอริยธรรม คือ มีปญญาเห็นเที่ยงตรง คือตามความเปนจริงในธรรมที่พระ ผูมีพระภาคผูทรงเปนพระอริยะประกาศ. คําวา ความเล่ือมใส อันเปนประธาน คือความเล่ือมใสที่ออกหนา ยังใหสําเร็จ คุณธรรมท่ีย่ิง ๆ ขึ้นไปท้ังหลาย. จบคาํ อธิบายปญหาท่ี ๒
๔๙๖ วรรคที่ ๗, กุมภวรรค ปญหาที่ ๓, ฉัตตังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๓ แหงรม’, องค ๓ ที่พึงถือเอานั้น เปนไฉน?’ พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา รม ยอมเที่ยวไปเบื้องบนเหนือศีรษะ ฉันใด, ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูเท่ียวไปเบ้ืองบน เหนือศีรษะกิเลสท้ังหลาย ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้ คือองคท่ี ๑ แหงรม ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคห นงึ่ ธรรมดาวา รม ยอมเปน เคร่อื งคุม กันศรี ษะ ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพญ็ เพียร ก็พึงเปนผูคาํ้ จุนโยนิโสมนสิการไว ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอ ถวายพระพร นีค้ อื องคที่ ๒ แหง รม ทพ่ี งึ ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ธรรมดาวา รม ยอม ปองกันลม แดดรอน เมฆฝน ฉันใด, ขอถวายพระพร พระ โยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงปองกันความรอนคือมติ ความ รอนคือวาทะ ของพวกสมณะและพราหมณทั้งหลายมากมายผู มีทิฏฐิหลายอยางแตกตางกัน ความรอนคือไฟ ๓ กอง และฝน คือกิเลส ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคที่ ๓ แหง รม ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระธรรมเสนาบดี สารีบุตร ไดภาสิตความขอน้ีไววา :- ‘ยถาป ฉตฺตํ วิปุลํ, อจฺฉิทฺทํ ถิรสํหิตํ วาตาตป นิวาเรติ, มหตี เมฆวุฏิโย.
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๔๙๗ ตเถว พุทฺธปุตฺโตป, สีลฉตฺตธโร สุจิ. กิเลสวุฏึ วาเรติ, สนฺตาปติวิธคฺคโย.’ ‘เปรียบเหมือนวา รมใหญไมทะลุ มีอุปกรณ ประกอบแข็งแรง ยอมปองกันลม แดด เมฆฝน หาใหญได ฉันใด แมภิกษุผูเปนพุทธบุตร ผูสะอาด ทรงรมคือศีล ยอมปองกันฝนคือกิเลส แดดรอน คือไฟ ๓ กองได ฉันน้ันเหมือนกัน.’ ดังนี้.” จบฉัตตังคปญหาท่ี ๓ คาํ อธิบายปญหาที่ ๓ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงรม ช่ือวา ฉัตตังคปญหา. คําวา พึงเปนผูเท่ียวไปเบ้ืองบนเหนือศีรษะกิเลส ท้ังหลาย คือพึงเปนผูเที่ยวไปดวยญาณ เบ้ืองบนเหนือศีรษะ คือครอบงาํ กิเลสท้ังหลายดวยญาณน้ัน. พระโยคาวจร ช่ือวา เปนผูคาํ้ จุนโยนิโสมนสิการ ก็โดย เกี่ยวกับการทําโยนิโสมนสิการนั้นใหบังเกิดอยูบอย ๆ. พระโยคาวจร ชื่อวา ปองกันความรอนคือมติ ฯลฯ ผูมีทิฏฐิหลายอยาง แตกตางกันได ก็โดยเกี่ยวกับเปนผูมาก ดวยการสดับธรรมของพระผูมีพระภาค ชื่อวาปองกัน ความ รอนคือไฟ ๓ กอง อันไดแกไฟราคะ ๑ ไฟโทสะ ๑ ไฟโมหะ ๑
๔๙๘ วรรคท่ี ๗, กุมภวรรค และฝนคือกิเลส ได ก็โดยเก่ียวกับความเปนผูมีโยนิโสมสิการ ในธรรมท้ังหลาย อันเปนภูมิแหงปญญานั่นเทียว. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๓ ปญหาที่ ๔, เขตตังคปญหา พระเจา มลิ นิ ท : “พระคณุ เจานาคเสน ทา นกลาววา ‘พงึ ถอื เอาองค ๓ แหง นา’, องค ๓ ทพ่ี ึงถือเอาน้ัน เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา นา ยอมเปนสถานที่ท่ีถึงพรอมดวยมาติกา (รองนํ้า, ลํารางสงนา้ํ ) ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญ เพียร ก็พึงเปนผูถึงพรอมดวยมาติกาคือสุจริต, วัตรใหญวัตร ยอยท้ังหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๑ แหงนา ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง นา ยอมเปนสถานที่ท่ี ถึงพรอมดวยมริยาทะ (คันนา) ชาวนายอมใชคันนานั้น รักษา นาํ้ ทะนุบํารุงขาว ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บําเพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูถึงพรอมดวยมริยาทะ คือศีลและหิริ, และพึงใชมริยาทะ คือศีลและหิริน้ัน รักษาความเปนสมณะไว แลวถือเอาสามัญญผลทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวาย พระพร น้ีคือองคท่ี ๒ แหงนา ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง ธรรมดาวา นา เปน สถานที่ท่ีถึงพรอมดวยการเผล็ดผล, เมล็ดขาวที่หวานโปรยไว
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๔๙๙ แมเพียงเล็กนอย ก็ยอมทําความบันเทิงใจใหเกิดแกชาวนามาก มาย, เมล็ดขาวท่หี วานโปรยไวม ากมาย ก็ยอมทาํ ความบนั เทงิ ใจ ใหเกิดมากยิ่งข้ึนไป ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บําเพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูทําความบันเทิงใจใหเกิดแกพวกทายก ทั้งหลาย โดยประการที่ไทยธรรมที่พวกทายกถวายใหแมเพียง เล็กนอย ก็เปนของมีผลมาก ท่ีถวายใหมากก็มีผลมากย่ิงขึ้นไป ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๓ แหงนาท่ีพึง ถือเอา. ขอถวายพระพร ทานพระอุบาลีเถระผูทรงพระวินัยได ภาสิตความขอน้ีไววา :- ‘เขตฺตูปเมน ภวิตพฺพํ, อุฏานวิปุลทายินา เอส เขตฺตวโร นาม, โย ททาติ วิปุลํ ผลํ’ ‘ภิกษุพึงเปนผูมีอุปมาดวยที่นา เปนที่เผล็ดผล ใหผลไพบูลย ผูใดมอบผลไพบูลย ผูนั้นช่ือวาเปน นาประเสริฐ.’ ดังน้ี.” จบเขตตังคปญหาที่ ๔ คาํ อธิบายปญหาที่ ๔ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงนา ช่ือวา เขตตังคปญหา. สุจริต ๓ มีกายสุจริตเปนตน และวัตรใหญวัตรยอยที่ ควรทําทั้งหลาย มีอุปชฌายวัตร (วัตรท่ีพึงกระทําใหแกพระ อุปชฌาย) เปนตน เปนเหมือนมาติกา (รองนํา้ ) เพราะเปนไป
๕๐๐ วรรคที่ ๗, กุมภวรรค เพื่อหลอเลี้ยงขาวกลา คือกุศลท่ียิ่ง ๆ ข้ึนไป เพราะเหตุน้ัน ทาน จึงกลาววา “พึงเปนผูถึงพรอมดวยมาติกาคือสุจริต” ดังน้ี เปนตน. ศีลและหิริ เปนเหมือนมริยาทะ (คันนา) เพราะใชปองกัน รักษาความเปนสมณะเอาไวได เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา “พึงใชมริยาทะ คือศีลและหิรินั้น รักษาความเปนสมณะ” ดังน้ีเปนตนไว. พระโยคาวจร ช่ือวา เปนผูทําความบันเทิงใจใหเกิด แกทายกท้ังหลาย ก็โดยการที่ตนเปนผูมีศีล. เพราะเหตุที่ตน เปนคนมีศีล มีกัลยาณธรรมน่ันเทียว ไทยธรรมที่พวกทายก ถวายใหแมเพียงเล็กนอย ก็เปนของมีผลมาก ที่ถวายให มากก็มีผลมากยิ่งขึ้นไป. จบคาํ อธิบายปญหาท่ี ๔ ปญหาที่ ๕, อาคทัคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๒ แหงยา (ถอนพิษ)’, องค ๒ ที่พึงถือเอานั้น เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา ในยายอ มหาหนอนขน้ึ มิไดฉ นั ใด, ขอถวายพระพร พระ โยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็ไมพึงทํากิเลสใหตั้งข้ึนในใจ ฉันน้ัน เหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๑ แหงยา ท่ีพึงถือเอา.
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๕๐๑ ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง ธรรมดาวา ยา ยอม กาํ จัดพิษท่ีสัตวกัด พิษท่ีสัตวลืมตาดูโลก, พิษที่กินท่ีดื่มที่ลิ้ม ท่ีเค้ียวเปนตน ท้ังปวง ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร ผูบาํ เพ็ญเพียรก็พึงกาํ จัดพิษคือราคะ พิษคือโทสะ พิษคือโมหะ พิษคือมานะ พิษคือทิฏฐิทั้งปวง ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวาย พระพร น้ีคือองคท่ี ๒ แหงยา ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพย่ิงเหลาเทพ ทรงภาสิตความขอนี้ ไววา :- ‘สงฺขารานํ สภาวตฺถํ ทฏุกาเมน โยคินา. อคเทเนว โหตพฺพํ, กิเลสวิสนาสเน’ ‘พระโยคีผูตองการจะเห็นสภาวะความจริงแหง สังขารท้ังหลาย พึงเปนดุจยา (ถอนพิษ) ในอัน ทาํ พิษคือกิเลสใหพินาศ เถิด.’ ดังน้ี.” จบอาคทังคปญหาท่ี ๕ คําอธิบายปญหาที่ ๕ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงยา ช่ือวา อาคทังคปญหา. คําวา พิษท่ีสัตวลืมตาดูโลก พระเถระกลาวหมายเอา การถูกเผาไหมเพราะการลืมตาดูแหงพญานาคผูกําลังโกรธ.
๕๐๒ วรรคที่ ๗, กุมภวรรค กิเลส มีราคะเปนตน ช่ือวา พิษ เพราะทาํ สัตวใหถึงความ พินาศ คือใหถ งึ ทุกขในอบายและทกุ ขใ นสังสารวัฏ มีชาติ (ความ เกิด) เปนตน . พระโยคาวจร พึงกาํ จัดพิษคือราคะ เปนตน ที่เปน ปริยุฏฐานะ (กลุมรุมจิต) ถึงฐานะเปนนิวรณ ดวยการเจริญ สมถะ, ท่ีเปนอนุสัย (นอนเนื่องในขันธสันดาน) ดวยการเจริญ วิปสสนา. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๕ ปญหาที่ ๖, โภชนังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๓ แหงโภชนะ (ของกิน)’, องค ๓ ที่พึงถือเอาน้ัน เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา โภชนะยอมเปนสิ่งอุปถัมภสัตวทั้งหลายทั้งปวง ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูอุปถัมภ สัตวท้ังหลายท้ังปวงดวยมรรค (ท่ีตนได) ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอ ถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๑ แหงโภชนะ ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยงั มีอกี องคห นึ่ง ธรรมดาวา โภชนะยอ ม ยงั กําลงั ของสตั วทัง้ หลายทัง้ ปวงใหเ พม่ิ พูน ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็ควรทําบุญวุฒิ (ของสัตวทั้งหลาย
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๕๐๓ ท้ังปวง) ใหเพม่ิ พนู ฉันนน้ั เหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๒ แหงโภชนะ ท่พี งึ ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ธรรมดาวา โภชนะเปน ของท่ีสัตวทั้งหลายท้ังปวงปรารถนายิ่ง ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพญ็ เพยี ร ก็พงึ เปน ผูทช่ี าวโลกท้งั ปวงปรารถนา ย่ิง ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคที่ ๓ แหงโภชนะ ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระมหาโมคคัลลานเถระ ไดภาสิต ความขอน้ีไววา :- ‘สํยเมน นิยเมน, สีเลน ปฏิปตฺติยา. ปตฺถิเตน ภวิตพฺพํ, สพฺพโลกสฺส โยคินา’ ‘พระโยคีควรเปนผูท่ีชาวโลกท้ังปวงปรารถนา ดวยความสํารวม ดวยวัตร ดวยศีล ดวยขอปฏิบัติ.’ ดังน้ี.” จบโภชนังคปญหาท่ี ๖ คาํ อธิบายปญหาที่ ๖ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงโภชนะ ช่ือวา โภชนังคปญหา. คําวา ก็พึงเปนผูอุปถัมภสัตวทั้งหลายท้ังปวงดวย มรรค ความวา เพราะตนเองอยูจบพรหมจรรยแลว ทาํ กิจที่ควร ทาํ ทั้งส้ินทั้งปวงแลว ก็พึงเปนผูอุปถัมภสัตวอ่ืนดวยอริยมรรค ที่ตนได กลาวคือ แนะนําผูอ่ืนในปฏิปทาเพ่ืออันบรรลุมรรคนั้น.
๕๐๔ วรรคที่ ๗, กุมภวรรค คาํ วา บุญวุฒิ ไดแกความเจริญแหงบุญ. พระโยคาวจร พึงทําบุญวุฒิของสัตวท้ังหลายทั้งปวงใหเพ่ิมพูน โดยการชักชวน แนะนาํ ใหขวนขวายแตในส่ิงท่ีเปนประโยชนเก้ือกูล ใหหลีกเล่ียง ส่ิงที่หาประโยชนเก้ือกูลมิได. พระโยคาวจร ชื่อวา เปนผูที่ชาวโลกท้ังปวงปรารถนา ย่ิง ก็โดยเกี่ยวกับความเปนผูที่นารัก นาเคารพ นายกยอง ดวย อํานาจแหงศีลท่ีบริสุทธิ์ดีเปนตนน่ันเทียว. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๖ ปญหาที่ ๗, อิสสาสังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๔ แหงนายขมังธนู’, องค ๔ ที่พึงถือเอาน้ัน เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา นายขมังธนู เมื่อจะยิงลูกศรไป ก็ยอมเหยียบยันเทา ท้ัง ๒ บนพื้นดินใหม่ันคง ทาํ เขาไมใหส่ันไหว, ผูกแลงธนูไวที่ ขอตอสะเอว, ทาํ กายใหแข็งตรง, ยกมือท้ัง ๒ ขางจับคันธนู, กาํ มือใหแนน, ทํานิ้วใหชิดกัน, เอ้ียวคอ, หร่ีตา, เมมปาก, ทําท่ี หมายใหอยูตรงหนา, สรางความบันเทิงใจใหเกิดขึ้นวา ‘เราจัก ยิงถูก’ ดังนี้ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเหยียบยันเทาทั้ง ๒ คือวิริยะ บนพ้ืนดินคือศีล, ทําขันติ และโสรัจจะไมใหบกพรอง, ตั้งจิตไวในสังวร, นอมตนเขาไปใน
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๕๐๕ ความสํารวมระวัง, กาํ ความปรารถนา ความสยบ (ตัณหา) ให แนน, พึงทําจิตใหชิดกันในเพราะโยนิโสมนสิการ, ยกความ เพียรขึ้น, หร่ี (ปด) ทวาร ๖, ทาํ สติใหเขาไปตั้งไว, สรางความ บันเทิงใจใหเกิดข้ึนวา ‘เราจักใชธนูคือญาณ ยิงถูกกิเลสท้ังหลาย ทั้งปวง’ ดังน้ี ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๑ แหงนายขมังธนู ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง ธรรมดาวา นายขมังธนู ยอมเตรียมงามเหล็กไวเพื่อใชดัดลูกศรที่คดงอใหตรง ฉันใด, ขอ ถวายพระพร พระโยคาวจรผูบ ําเพญ็ เพยี ร ก็พงึ เตรียมงา มเหลก็ คือสติปฏฐานไวในกายนี้ เพ่ือใชดัดจิตที่คดงอใหตรง ฉันนั้น เหมอื นกนั , ขอถวายพระพร นค้ี อื องคที่ ๒ แหง นายขมงั ธนู ทพี่ ึง ถอื เอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ธรรมดาวา นายขมังธนู ยอ มเล็งธนูไปทเี่ ปา ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บําเพญ็ เพยี ร กพ็ ึงเลง็ จติ ไปท่ีกายน้ี ฉนั นั้นเหมอื นกนั . ขอถวาย พระพร ถามวาพึงเล็งจิตไปท่ีกายนี้อยางไร, คือพึงเล็งไปวา ไมเทย่ี ง, พงึ เลง็ ไปวาเปน ทุกข, พึงเล็งไปวาเปนอนตั ตา, พึงเล็งไป วา เปนดุจโรค, ...วาเปน ดจุ ฝ ...วา เปนดจุ ลูกศร ...วา เปน ของ เจบ็ ปวด ...วา มีแตอาพาธ ...วา เปน ฝายอ่ืน ...วาเปน ของยอ ย ยบั ...วา เปน เสนยี ดจญั ไร ...วา มอี ันตราย ...วา มแี ตภยั ...วามี แตอ ปุ สรรค ...วา หวัน่ ไหว ...วา แตกหกั ...วาไมม น่ั คง ...วา หา ท่ีตานทานมไิ ด ...วาหาสรณะมิได ...วา เปน ของราง ...วาเปน
๕๐๖ วรรคที่ ๗, กุมภวรรค ของเปลา ...วาเปนของวา ง ...วา มีแตโ ทษ ...วา มคี วามแปรปรวน ไปเปนธรรมดา ...วา หาสาระมไิ ด ...วา เปน มูลแหงความเจบ็ ปวด ...วาเปนดุจเพชฌฆาต ...วามีแตความวิบัติ ...วาเปนไปกับ อาสวะ ...วา เปนสังขตะ ...วา เปน เหย่อื ของมาร ...วา มีความเกดิ เปนธรรมดา ...วามคี วามแกเปนธรรมดา ...วา มคี วามเจบ็ ปวย เปนธรรมดา ...วา มีความตายเปนธรรมดา ...วา มีความโศกเปน ธรรมดา ...วามีความร่ําไหราํ พันเปน ธรรมดา ...วา มคี วามคับ แคน ใจเปน ธรรมดา ...วา มคี วามมวั หมองเปนธรรมดา. ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร พึงเล็งจิตไปที่กายน้ี ตาม ประการดังกลาวมาน้ี. ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๓ แหงนาย ขมังธนู ทพ่ี ึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมอี กี องคห น่งึ ธรรมดาวา นายขมังธนู ยอมเล็งยิงไปที่เปาตลอดเวลา ทง้ั เย็นทง้ั เชา ฉันใด, ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงเล็งยิงไปที่อารมณ ตลอดเวลาทง้ั เย็นทง้ั เชา ฉันนัน้ เหมือนกัน. ขอถวายพระพร นคี้ ือ องคที่ ๔ แหงนายขมังธนู ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ทาน พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ไดภาสิตความขอน้ีไว วา :- ‘ยถา อิสฺสาสโก นาม, สายํ ปาตํ อุปาสติ อุปาสนํ อริฺจนฺโต, ลภเต ภตฺตเวตนํ ตเถว พุทฺธปุตฺโตป, กโรติ กายุปาสนํ กายุปาสนํ อริฺจนฺโต, อรหตฺตมธิคจฺฉติ’
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๕๐๗ ‘เปรียบเหมือนวา ข้ึนช่ือวานายขมังธนู ยอมเล็ง ยิงเปาตลอดเวลาท้ังเย็นทั้งเชา ไมทอดท้ิงการ เล็งยิง ก็ยอมไดรับคาจางรางวัล ฉันใด, แมภิกษุ ผูเปนพระพุทธบุตร ก็ยอมกระทําการเล็งยิงกาย ไมทอดท้ิงการเล็งยิงกาย ก็ยอมบรรลุความเปน พระอรหันต ฉันน้ันเหมือนกัน.’ ดังน้ี.” จบอิสสาสังคปญหาท่ี ๗ คําอธิบายปญหาที่ ๗ ปญหาเก่ียงกับองคแหงนายขมังธนู ช่ือวา อิสสาสังค- ปญหา. คําวา พึงเหยียบยันเทาท้ัง ๒ คือวิริยะ ไดแก พึง ปรารภความเพียรท่ีมีกิจ ๔ กลาวคือ เพียรเพื่อปองกันอกุศลที่ ยังไมเกิด ไมใหเกิดข้ึน ๑, เพียรละอกุศลที่เกิดข้ึนแลว ๑, เพียร ทาํ กุศลท่ียังไมเกิด ใหเกิดข้ึน ๑, เพียรทํากุศลท่ีเกิดขึ้นแลว ให ตั้งม่ันถึงความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ๑. ก็ความเพียรนี้ เปรียบไดกับ เทา ก็โดยเก่ียวกับทําสัตวใหลุกข้ึนยืน คือเกิดอุตสาหะ ไมทอแท และกาวไปขางหนา คือขวนขวาย ไมหยุดอยู. คําวา บนพื้นดินคือศีล ไดแกบนพ้ืนดิน คือศีลบริสุทธ์ิ ๔ อยาง มีปาติโมกขสังวรศีล เปนตน, ก็ ศีล นี้ เปรียบไดกับ พ้ืนแผนดิน ก็เพราะความที่บุคคลไดอาศัยเปนท่ียืนเหยียบ คือ
๕๐๘ วรรคท่ี ๗, กุมภวรรค ต้ังอยูแลวก็สามารถเพาะปลูกพืชคือคุณธรรมท่ียิ่ง ๆ ข้ึนไป กลาวคือ สมาธิ ปญญา มรรค ผล ฌาน วิโมกข สมาบัติ ตอไป ได. คําวา ขันติและโสรัจจะ คือความอดทนอดกลั้น และ ความสงบเสงี่ยมกายและวาจา (คือไมด้ินรนวุนวาย). คําวา ไมใหบกพรอง คือกระทาํ ขันติและโสรัจจะไมให เสียหาย ไมสนใจวาจะเปนเวลาไหน เชนเวลานอน เวลาเอน เวลาหลับ เวลาทาํ วัตร เวลาหิว เวลากระหาย เปนตน. คาํ วา ตั้งจิตไวในสังวร คือตั้งจิตไวในสังวร (ธรรมเคร่ือง สํารวม) ๕ อยาง คือศีลสังวร ๑, สติสังวร ๑, ญาณสังวร ๑, ขันติสังวร ๑, วิริยสังวร ๑. คําวา นอมตนเขาไปในความสํารวมระวัง คือนอมตน เขาไปในความสาํ รวมระวัง ๓ อยาง คือความสาํ รวมระวังกาย ๑ ความสาํ รวมระวังวาจา ๑ ความสํารวมระวังจิต ๑. คาํ วา กําความปรารถนา, ความสยบใหแนน คือบีบ คั้นตัณหาท่ีชื่อวา อิจฉา (ความปรารถนา) โดยเก่ยี วกับเปนความ ปรารถนาลามก, และท่ีช่อื วา มุจฉา (ความสยบ) โดยเกี่ยวกับทํา ใหหลงลืมสติ ถึงความด่ืมดํ่ามัวเมา. คาํ วา พึงทาํ จิตใหชิดกันในเพราะโยนิโสมนสิการ คือพึงทําวิปสสนาจิตใหบังเกิดติดตอกันไปเร่ือย ๆ ในเพราะมี โยนิโสมนสิการเปนไปในอารมณอันเปนภูมิแหงวิปสสนาอยู เนือง ๆ.
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๕๐๙ คาํ วา ยกความเพียรข้ึน ความวายก กลาวคือไมทาํ ให ลดลง ดวยการทําไวในใจวาตราบใดท่ีเรายังไมบรรลุคุณธรรม (พระนิพพาน) ท่ีพึงบรรลุไดดวยความพยายามของบุรุษ ดวย ความเพียรของบุรุษ ดวยความบากบ่ันของบุรุษ ตราบนั้นเรา จักไมหยุดยั้งความเพียร แมวาเน้ือจะเหือด เลือดจะแหงจน เหลือแตหนัง เอ็น และกระดูก ก็ตามที, และแมเมื่อเกิดความ ยอทอขึ้น ก็พึงพิจารณาสังเวควัตถุ (อารมณอันเปนท่ีตั้งแหง ความสังเวชสลดใจ) มีภัยในอบายเปนตน. คําวา หร่ี (ปด) ทวาร ๖ คือหรี่ ไดแกปดทวาร ๖ มี จักขุทวารเปนตน ดวยบานประตูคือสติ. ในคราวที่เห็นรูปดวย ตา ไดยินเสียงดวยหู เปนตน. คําวา ทําสติใหเขาไปตั้งไว คือทําสติใหเขาไปตั้งไวท่ี ฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม. คาํ วา สรางความบันเทิงใจ คือทําปติโสมนัสใหบังเกิด ข้ึนดวยการเล็งเห็นอานิสงส. คําวา เราจกั ใชธ นูคือญาณ คอื เราจกั ใชธนคู ือวปิ สสนา- ญาณ และมัคคญาณท้งั ๔ มโี สดาปต ติมคั คญาณเปน ตน. คาํ วา ยิงถกู กิเลส คือกาํ จดั กิเลสทงั้ หลายได. คาํ วา ดัดจิตท่ีคดงอ คือดัดไดแกทาํ ใหตรง ซ่ึงจิตท่ีคด งอ ดวยอํานาจแหงโสมนัส โทมนัส และอุเบกขาท่ีอาศัยเรือน คือกามคุณ, หรือวาทาํ จิตท่ีคดงอดวยอํานาจแหงมิจฉาทิฏฐิให ตรง.
๕๑๐ วรรคท่ี ๗, กุมภวรรค คาํ วา พึงเล็งจิตไปท่ีกายน้ี คือพึงเล็งธนู กลาวคือเล็ง วิปส สนาจติ ไปทีเ่ ปา คอื กายน้ี เหน็ ตามความเปนจริงวา “ไมเท่ียง” เปนตน. เพราะเหตุน้ัน ทานจึงกลาววา “คือพึงเล็งเห็นไปวา ไมเที่ยง” ดังนี้ เปนตน. คาํ วา พึงเล็งยิงไปที่อารมณ คือพึงเล็งยิงธนู คือ วิปสสนาจิตน้ีไปท่ีอารมณคือกายนี้. คาํ วา ตลอดท้ังเย็นท้ังเชา น้ี พระเถระกลาวหมายเอา ตลอดเวลาที่ปรารภความเพียรอยูนั่นเทียว. จบคาํ อธิบายปญหาที่ ๗ จบกุมภวรรคท่ี ๗ จบโอปมมกถาปญหากัณฑ
๕๑๑ คาํ นิคมน ในบรรดา ๖ กัณฑดังกลาวมานี้ มีมิลินทปญหามาแลว ในใบลานน้ี ๒๖๒ ปญหา, แตวาสวนท่ียังไมมา มี ๔๒ ปญหา, สวนที่มาแลวและสวนท่ียังไมมา รวมเขาดวยกันแลวก็ถึงความ นับไดวา มิลินทปญหาท้ังหมดมี ๓๐๔ ปญหา. ในทีส่ ุดแหงการถามการตอบระหวางพระราชากบั พระเถระ แผนดินใหญนี้ ซ่ึงหนาถึง ๘๔,๐๐๐ โยชน ก็ไดหวั่นไหวแลวถึง ๖ คร้ัง ถึงทองนาํ้ เปนท่ีสุด, สายฟาก็แลบแปลบปลาบ, เหลา เทวดาก็ทาํ สายฝนคือดอกไมที่เปนทิพยใหโปรยปรายลงมา, ทานทาวมหาพรหมก็ประทานสาธุการ, เกิดเสียงดังครืนๆ เหมือนอยางเสียงครืน ๆ ในเมฆฝนคราวจะตก, เปนเหตุให พระเจามิลินทและคณะฝายในประคองอัญชลีกราบไหวดวย เศียรเกลา. พระเจามิลินททรงบันเทิงพระทัยเปนอยางยิ่ง มีพระทัย ท่ีบดขย้ีมานะไดดวยดี เล็งเห็นสาระในพระพุทธศาสนา หมด ความสงสัยดวยดีในพระรัตนตรัย โลงพระทัย ไมมีความแข็ง กระดาง ทรงเลื่อมใสในคุณ ในการบรรพชา ในปฏิปทาและ อิริยาบถของพระเถระย่ิงนัก ทรงเปนผูคุนเคยกัน (กับพระ เถระ) ปราศจากอาลัย ถอนเสาคือมานะ ดุจพญานาคท่ีถูก ถอนเข้ียว รับสั่งอยางนี้วา “พระคุณเจานาคเสน ปญหาที่เปน
๕๑๒ พระพุทธวิสัย ทานแกไดดีเสียจริง, ในพระพุทธศาสนาน้ี ยกเวน ทานพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระแลว คนอื่นที่เสมอเหมือน ทานในการแกปญหา หามีไม, พระคุณเจานาคเสน โปรด ยกโทษการลวงเกินของขาพเจา, พระคุณเจานาคเสน ขอจง จําขาพเจาไวเถิดวา เปนอุบาสกผูถึงสรณะแลว ต้ังแตวันน้ีไป จนตลอดชีวิต” ดังนี้. ในคราวนั้น พระราชาพรอมท้ังหมูไพรพล เสด็จเขาไป ใกลพระเถระ รับสั่งใหสรางวิหารช่ือวามิลินท มอบถวายแก พระเถระ ทรงทะนุบาํ รุงพระนาคเสนพรอมทั้งพระภิกษุจาํ นวน ๑๐๐ โกฏิดวยปจจัย ๔, ครั้นทรงเล่ือมใสในปญญาของพระ เถระอยูบอย ๆ ก็ทรงมอบราชสมบัติแกพระโอรส เสด็จออก จากเรือน บรรพชาสูความเปนผูไมมีเรือน เจริญวิปสสนาบรรลุ ความเปนพระอรหันต, เพราะเหตุนั้น ทานโบราณาจารยจึง กลาววา :- “ปญญาประเสริฐในโลก, บัณฑิตท้ังหลายสราง ปญญา เพื่อความต้ังอยูไดแหงพระสัทธรรม บัณฑิตทั้งหลายใชปญญากาํ จัดความเห็นวิปริต ไดแลว ก็บรรลุสันติบท. ปญญาดาํ รงอยูในขันธสันดานใด สติก็ ยอ มเปนธรรมชาตทิ ไ่ี มบกพรอ งในขันธสนั ดานน้ัน จัดเปนขันธสันดานที่รองรับการบูชาวิเศษ เปน
๕๑๓ ขันธสันดานที่เลิศ ประเสริฐ ยอดเย่ียม เพราะ ฉะนั้น บุรุษผูเปนบัณฑิตทั้งหลาย ผูเล็งเห็น ประโยชนตน จึงควรบูชาทานผูมีปญญา ดุจ บุคคลผูมีใจเอื้อเฟอบูชาเจดีย ฉะนั้น.” ปญหาของพระเจามิลินท และคาํ ถวายวิสัชชนาของ พระนาคเสน ขาพเจาผูมีช่ือวา โทณิ ผูอาศัยอยู ณ เมืองโทณิ เกาะลังกา ไดบันทึกแตงไวดีแลว ตามที่ไดสดับมา. ก็พระเจามิลินททรงเปนพระราชาผูมีพระปญญามาก ทานพระนาคเสนก็เปนบัณฑิตประเสริฐนัก. ดวยการงานที่เปนบุญน้ี ขอใหขาพเจาละจากโลกนี้แลว ไดไปสูภพดุสิตเถิด ในอนาคตขอใหไดเขาเฝาพระเมตไตรย- พุทธเจา ไดฟงธรรมท่ีสูงสุดเถิด. จบปกรณมิลินทปญหา
รายชื่อผรู ว มทาํ บุญหนงั สือธรรม ชุดละ ๒๙๐ บาท บาท ลําดับ ชือ่ - สกุล ๑,๐๐๐ ๑,๐๐๐ ๑. อาจารย วรรณสทิ ธิ์ ไวทยะเสวี ๑,๐๐๐ ๒. อาจารย สุคนธ สนุ ศิริ ๑๔๙,๘๐๐ ๓. คุณมณฑา กระจาดทอง ๓๙,๑๒๐ ๔. โรงพยาบาลราษฏรบูรณะ ๒,๐๐๐ ๕. คณุ นิตยา ปรีชายุทธ ๒,๐๐๐ ๖. คุณ ศภุ ผล ปรชี ายทุ ธ ๑,๐๐๐ ๗. นพ. ศุภฤกษ - ปรีชายทุ ธ - สมุ นา โภคสมภพ ๘. พญ. ชฎาพรรณ รัตนติการนนท ๕๘๐ ๙. คุณ สทุ ธิดา ธนะรชั ตกิ ารนนท ๒๙๐ ๑๐. อุทศิ ใหนายเลก็ + นางกอน เอี่ยมทศ,นายสะอิง้ ตนบญุ ยืน, ๒๙๐ นายสมบรู ณ ทองขวญั , เจา กรรมนายเวร ๒๙๐ ๑๑. คณุ จันที แกว งาม และครอบครวั ๒๙๐ ๑๒. คณุ ปราณี ชาญธนะชัยกุล ๒๙๐ ๑๓. เจาหนาทแี่ ผนกบญั ชี ๒๙๐ ๑๔. คุณ บังอร มลู ตรภี ักด์ิ และครอบครัว ๑๐๐ ๑๕. คณุ ปน ทองพลิ า ๑๐๐ ๑๖. คณุ จิรารัตน แกว มงคล และครอบครวั ๒๙๐ ๑๗. คุณ วารนิ ทร จําปาทอง และครอบครัว ๑๐๐ ๑๘. คุณ สนุ ยี เจรญิ สุข และครอบครวั ๑๐๐ ๑๙. คณุ จู แซลี้ ๑๐๐ ๒๐. คุณ สมนึก อนิ ทรใ หญ ๑๐๐ ๒๑. คณุ อารี คําวนั ดี ๑๐๐ ๒๒. คณุ จรัญยา มติ รประสิทธ์ิ ๑๐๐ ๒๓. คุณ ขวัญประภา – เกริกศักดิ์ ยศนนั ท ๒๙๐ ๒๔. คุณ พมิ พา ธรี ตั นณิชกุล ๒๙๐ ๒๕. คุณ นนั ทธนา ชจู งกล และครอบครวั ๒๙๐ ๒๖. คณุ ชัชชลัยย ไวยวารี ๑๐๐ ๒๗. คุณ นรศิ รา คคนานตภรณ และครอบครวั ๒๘. คุณ บุษบา พานโน
๒๙. คุณ เมษพรรณ งานกล่ินสุคนธ บาท ๓๐. คณุ ลดั ดา โตชยั ภมู ิ ๓๑. คณุ เอกอนนั ต พสุคนั ธภคั ๒๙๐ ๓๒. คุณ เพญ็ ศนิ ี อินทรจติ ต ๒๙๐ ๓๓. คณุ บรรพต อนิ ทรจิตต ๒๙๐ ๓๔. คุณ อรุณี - คณุ บําเพ็ญ อนิ ทรจติ ต ๒๙๐ ๓๕. คณุ เรณู รัศมวี ิเชียรทอง ๒๙๐ ๓๖. คณุ พรเพ็ญ ปรชี ายทุ ธ ๒๙๐ ๓๗. คณุ สมเจตน - อรทยั - ด.ช. สรวชิ ญ เกินการ ๑๐๐ ๓๘. คุณ มธุรส เหล็กทอง และครอบครัว ๒๙๐ ๔๐. คณุ กาญจนา เสนะเปรม และครอบครัว ๑๐๐ ๔๑. คุณ วิภานนท แหยมอบุ ล และครอบครัว ๑๐๐ ๔๒. พญ. สทุ ธิศรี กอแกววิเชียร ๕๘๐ ๔๓. คณุ เมธาวี สมสุข คุณ ภานพุ ันธ สมศรมี ี และครอบครัว ๒๙๐ ๔๔. คุณ อรทัย วนั ทา ๒,๙๐๐ ๔๕. คณุ พชั ราภรณ สอนการ และครอบครัว ๕๘๐ ๔๖. คณุ รตั นา พ่ึงภกั ดิ์, คณุ บญุ รอด, ด.ช. ภตู ะวนั บญุ ผุย ๒๙๐ ๔๗. คณุ รักชนก เมอื งเพ็ชร และครอบครวั ๑๐๐ ๔๘. คุณ ทองปุน คงบัว ๒๙๐ ๔๙. คณุ สุพตั รา เช้ือบญุ ๒๙๐ ๕๐. คุณ มณฑา เหมือนสวัสดิ์ ๑๐๐ ๕๑. แผนกอุบตั ิเหตแุ ละฉกุ เฉนิ ๒๙๐ ๕๒. คณุ วรจติ ร เพเทพ ๒๙๐ ๕๓. คณุ ณภนิ ทร หาญชาล ๒๙๐ ๕๔. คุณ พีรยา คงรอด และครอบครวั ๑๐๐ ๕๕. คณุ กรรณกิ าร แสนสุภา และครอบครวั ๒,๓๒๐ ๕๖. คณุ อารยา ยวุ รตั น และครอบครวั ๒๙๐ ๕๗. คณุ รังสฤษฎ ดมี งคล และครอบครัว ๒๙๐ ๕๘. คณุ สจุ ิตรา กระจางยุทธ และครอบครวั ๒๙๐ ๕๙. คณุ โสภณ และ พญ. นสุ รา แตพ ัฒนเศรษฐ และครอบครวั ๒๙๐ ๒๙๐ ๒,๙๐๐
๖๐. คณุ ประไพพรรณ, ด.ญ. พิชามญธุ, ด.ญ. พิชชาภรณ เจรญิ วงศ บาท ๖๑. คณุ ระพพี รรณ เถาวโ ท และครอบครัวอทุ ศิ บญุ ใหเ จา กรรมนายเวร ๖๒. คณุ ธนพรรณ แกว ศรี ๒๙๐ ๖๓. คุณ ชาลี คุณ วิเชียร วงษา และครอบครวั ๑๐๐ ๖๔. คณุ กรรณิกา กองอําไพ และครอบครัว ๑๐๐ ๖๕. คุณ สาํ ราญ บุตรพรม และครอบครัว ๑๐๐ ๖๖. คณุ กนกวรรณ กระเดา ๑๐๐ ๖๗. คณุ สุรนิ ทร จรตระการ ,คณุ สุวรรณา สีสนั ,คุณสภุ าพร หนูแกวมณี ๒๙๐ ๖๘. ด.ญ. แพรวา - วันนา แกว พรม ๑๐๐ ๖๙. ด.ญ. ปณฑช นิต คณุ วฒุ ิปติ ๒๙๐ ๗๐. คุณ พชร นาคะศรอี รุณ ๗๑. คุณ พรทพิ ย เทยี มทอง ๑๐๐ ๗๒. คุณ อรสา คณานนั ท และครอบครัว ๒๙๐ ๗๓. คณุ กรผกา ธงกิจสริ ิ และครอบครัว ๒๙๐ ๗๔. คณุ สาลวี รรณ ขุนประดษิ ฐ และครอบครัว ๒๙๐ ๗๕. คุณ บุผา คะสุดใจ ๒๙๐ ๗๖. คุณ ประสพ จงศสพุ รรณ ๒๙๐ ๗๗. คุณ สนิ รี ัตน วิชญชัยสทิ ธ์ิ ๒๙๐ ๗๘. คณุ อัจฉรา อรศรแี ละครอบครวั ๒๙๐ ๗๙. คุณ จนั ทริ า ปานสงา และครอบครัว ๒๙๐ ๘๐. คุณ ขนิษฐา สาเพ็ง และครอบครวั ๒๙๐ ๘๑. คุณ จนิ ตนา ศรีคมุ ๕๘๐ ๘๒. คณุ วารุณี บึงลอย ๑๐๐ ๘๓. คุณ วิภา จิตรีเทยี่ ง ๑๐๐ ๘๔. คณุ ยธุ ดิ า ดวงแกว และครอบครวั ๑๐๐ ๘๕. คุณ นรชั กร รัตนศนนั ท - ด.ช. ปย ะกร รตั นศนนั ท ๑๐๐ ๘๖. คณุ กนั ยวดี ศรที องแท ๑๐๐ ๘๗. คณุ พนู ศรี วรครบุรี ๒๙๐ ๘๘. คณุ ศรปี ระภา วรวฒุ ิ ๒๙๐ ๘๙. คณุ ดวงพร เขตประการ ๑๐๐ ๒๙๐ ๑๐๐ ๑๐๐
๙๐. คณุ ไพลินทร อนั ทะนลิ บาท ๙๑. คณุ เงินตรา สมดา ๑๐๐ ๙๒. คณุ อจฉรยี รตั นศนนั ท ๑๐๐ ๙๓. คณุ รตั นาพร อยอู อน ๑๐๐ ๙๔. คุณ ปรียก มล ษรสวุ รรณ และครอบครวั ๑๐๐ ๙๖. คุณ เบญจศรี นากอ นทอง ๑๐๐ ๙๗. คณุ ธนพฒั น – ยิง่ ลกั ษณ - ด.ญ. ทักษพร รัตทะทาดา ๑๐๐ ๙๘. คณุ เกษม – กรรณิการ - คุณ กฤษณา เขมะอดุ ม ๕๐๐ ๙๙. พ.จ.อ. อรุณ -ขวัญแกว - ด.ช. ศภุ เสฏฐ แสงสาคร ๕๐๐ ๑๐๐. คุณ ปรยี าภทั ร วาจารี และ นพ. วิฑูรย ทววี ฒั นกจิ บวร ๒๙๐ ๑๐๑. คุณ ภมรรตั น สวสั ดชิ์ โลบลกลุ และครอบครวั ๒๙๐ ๑๐๒. คณุ พนิดา ประดบั และครอบครวั ๒๙๐ ๑๐๓. คุณ ลกั ขณา แสงจันทร ๒๙๐ ๑๐๔. คุณ เบญจวรรณ เปง ทะมัง ๒๙๐ ๑๐๕. คุณ ศริ พิ ร ปานสงา ๑๐๖. คณุ ปยะพร บุญทับ ๘๗๐ ๑๐๗. คณุ เกตนุ ภัส อภเิ พชรศรี ๒๙๐ ๑๐๘. คณุ จนิ ตนา ช่นื จิตต ๒๙๐ ๑๐๙. คุณ ภาวิณี นอยจันทร ๑๐๐ ๑๑๐. คุณ ลดั ดาวัลย นพรตั น ๒๙๐ ๑๑๑. คุณ วลิ าวณั ย ทรงวิชา (๑๐๔-๑๑๑ รวมเปน เงินทั้งสน้ิ ) ๑๐๐ ๑๑๒. นพ.ฉตั รชัย นภเวชวิชญ ๑๐๐ ๑๑๓. คุณ ซดิ า ยงยืนนาน ๒๙๐ ๑๑๔. คุณ สุนิสา สุทธวิ รรถ ๒๙๐ ๑๑๕. นพ. วทิ ยา รัตนาปนนท ๒๙๐ ๑๑๖. คณุ ชยั วัตร รัศมี ๑๑๗. คุณ อรุณี แตส งเคราะห และครอบครวั ๑๑๘. คุณวงเดอื น ใจเฉื่อย ๑๑๙. ด.ญ. วรพิชชา เกิดสนิ ธุ ๑๒๐. พญ. วนิ ิดา บัณฑติ
๑๒๑. คณุ สุพิน บรรเทา และ ด.ญ. กญั ญาณฐั บาท ๑๒๒. คุณ นกนอ ย หาญสงคราม และ ด.ช. ปาณรวุฒิ - ด.ช. ปาณวิทย ๑๒๓. น.ต. หญิงอุทุมพร รูปเลก็ และครอบครวั ๒๙๐ ๑๒๔. พ.จ.อ. หญงิ นชิ าภา แจง จบ และครอบครวั ๒๙๐ ๑๒๕. คณุ นติ ย จันทะมาตร และครอบครวั ๒๙๐ ๑๒๖. คณุ บวั หา พรมพาน และครอบครวั ๒๙๐ ๑๒๗. นพ. พบิ ูลย ดวงเฉลิมวงศ ๒๙๐ ๑๒๘. คณุ โฆษติ รตั นโกมล ๒๙๐ ๑๒๙. คุณ ศริ ิมา คนื ตกั ๑,๑๖๐ ๑๓๐. คณุ วภิ ัทร - สวุ รรณา จรญู ชัยอนันต ๒๙๐ ๑๓๑. ร.ท. ทกั ษิณ ลิม่ สุวรรณ ๓๐๐ ๑๓๒. คณุ บุญชนื่ ลม่ิ สวุ รรณ ๕๘๐ ๑๓๓. ท.พ.ญ. ทยาวีร ลิ่มสุวรรณ ๖๐๐ ๑๓๔. พ.ญ. ปณิดา ล่มิ สุวรรณ ๖๐๐ ๑๓๕. คณุ ชวนชนื่ ภูวะปจ ฉิม ๖๐๐ ๑๓๖. คุณ ไกรศรี ภวู ะปจฉิม ๖๐๐ ๑๓๗. คุณ จิตนิ ฤมล ภวู ะปจ ฉมิ ๓๐๐ ๑๓๘. คณุ รุงทวิ า ภวู ะปจฉิม ๑,๒๐๐ ๑๓๙. พญ. หฤทยา ภสั ยานนั ท ๓๐๐ ๑๔๐. คุณ สวุ รรณกมล จันทรมะโน ๑,๒๐๐ ๑๔๑. คณุ ธัญมาลี วรชาติ ๓๐๐ ๑๔๒. พญ. สภุ คั ร กาญจนาภรณ และครอบครวั ๓๐๐ ๑๔๓. คุณ บษุ กร ธาระเวทย และครอบครัว ๕๐๐ ๑๔๔. คุณ ประภสั สรา วรชาติ ๕๐๐ ๑๔๕. คุณ สวุ รรณา หริ ญั ญาณชิ ย และครอบครวั ๕๘๐ ๑๔๖. คุณ อนงค รตั นโกมล ๒๙๐ ๑๔๗. คณุ ฉลวย วงศส มศรี ๒๙๐ ๑๔๘. คุณ จุสนิ - อาทติ ยา สทุ าชัยพร และครอบครัว ๕๘๐ ๑๔๙. คณุ พรรณพลิ าส เกดิ วชิ ยั ๒๙๐ ๑๕๐. คุณ มนสั นนั ท จตภุ ัทรสิโรดม ๒,๐๐๐ ๒,๙๐๐ ๒๙๐
๑๕๑. คณุ นงลกั ษณ รัตนโกมล บาท ๑๕๒. คณุ นวลศรี รัตนโกมล ๑๕๓. คุณ วรรณภา รตั นโกมล ๑,๐๐๐ ๑๕๔. พลตรี อมร - อรณุ ี รัตนโกมล ๑,๐๐๐ ๑๕๕. คณุ วิทยา รัตนโกมล ๑,๐๐๐ ๑๕๖. คณุ สรุ พล - คุณอ่ี รัตนโกมล ๑,๐๐๐ ๑๕๗. นพ. อนนั ต รตั นติการนนท ๑,๐๐๐ ๑๕๘. คุณ สําราญ ดอนใหญ ๑,๐๐๐ ๑๕๙. คณุ พรพิมล และครอบครัว ๑,๐๐๐ ๑๖๐. นพ. นภดล จิรสนั ต ๑๖๑. คณุ วิไลวรรณ โคขจร ๒๙๐ ๑๖๒. คุณ สมศกั ด์ิ สมภพสกลุ ๕,๐๐๐ ๑๖๓. คุณ สชุ าดา สมอัตวชยั ๑๖๔. คุณ ผานติ พูนศริ วิ งศ ๓๐๐ ๑๖๕. คณุ วิภารตั น นาคสทุ ธแิ ละครอบครวั อุทิศใหเ จา กรรมนายเวร ๓๐๐ ๑๖๖. คุณ ชัยรตั น ธนะรชั ติการนนท ๓๐๐ ๑๖๗. คุณ รัตนา อน หอม และ ครอบครัว ๓๐๐ ๑๖๘. คุณ นิภา แจง ดี ๓๐๐ ๑๖๙. คุณ วรรณี โภคสมภพ ๒๙๐ ๑๗๐. คุณ ชนญั ชดิ า จนั ทรว ภิ าสวงศ และครอบครวั ๒๙๐ ๑๗๑. คุณ บญุ ชัย ทิพยโ อสถ ๒๙๐ ๑๗๒. คณุ สนธยา โภคสมภพ ๑๐๐ ๑๗๓. คุณ ดุสิต โภคสมภพ ๑,๐๐๐ ๑๗๔. คุณ สายหยุด - ฉออ น จิตสง เสรมิ ๑๐๐ ๑๗๕. นพ. อุดร อินทุวฒั นกลุ ๕๐๐ ๑๗๖. พญ. พเยีย ฉนั ทาดสิ ยั ๑,๐๐๐ ๑๗๗. นพ. ไพบลู ย รศั มวี ิเชยี รทอง ๑,๐๐๐ ๑๗๘. นพ. ไพศาล พุฒริ ัตนวงศ ๑,๐๐๐ ๑๗๙. นพ. บรรยง พสุคันธภัค ๑,๐๐๐ ๑๘๐. นพ. ธีระ เตรียมล้าํ เลศิ ๑,๐๐๐ ๑,๐๐๐ ๑,๐๐๐ ๑,๐๐๐ ๓๐๐
๑๘๑. พญ. สลลิ า สมรรถเวช บาท ๑๘๒. คุณ อุไร ทพิ ยโอสถ ๑๘๓. คณุ สมบตั ิ (รพ. กลวยนํ้าไท) ๑,๐๐๐ ๑๘๔. ดร. จิรทยั ธเนศร ๕๐๐ ๑๘๕. คุณ ทปี กรณ สพู ภิ ักดิ์ ๑๘๖. คณุ เฉลา กาญจนวตี และครอบครัว ๑,๐๐๐ ๑๘๗. นพ. สุทิน - กงิ่ กาญจน ศรสี ัมฤทธ ๑,๐๐๐ ๑๘๘. คุณ พจนี คงแสงชยั ๑๘๙. คุณ จันทนี พงษอ จั ฌา ๕๐๐ ๑๙๐. คณุ ศิรเิ พ็ญ อัศวเกษม ๑,๐๐๐ ๑๙๑. บริษัท เอช ดี เมดิคอล จํากดั ๑,๐๐๐ ๑๙๒. นพ. อวยชัย จองสิทธิมหากลุ ๑,๐๐๐ ๑๙๓. คุณ อาํ ไพ หยิบทรงศริ ิกลุ ๑,๐๐๐ ๑๙๔. คณุ ปราสาท สาธะปโุ ร ๑,๐๐๐ ๑๙๕. คุณ พิมพรรณ รุกขะพันธ ๒,๙๐๐ ๑๙๖. พ.อ.อ. หญิงศิริวฒั นา ล้มิ จนิ ดาพร ๑,๐๐๐ ๑๙๗. คุณ อรวรรณ ปวนเทียน ๑,๐๐๐ ๑๙๘. คุณ อจั จิมา บญุ หนนุ ๑๙๙. คณุ จรยิ า นอ ยสบื สาย ๒๙๐ ๒๐๐. คุณพรประสงค มูลสาร ๑,๐๐๐ ๒๐๑. คณุ ปว ณัฐ ยศปญญา ๒๐๒. คณุ วารณุ ี นาคะศรีอรณุ ๒๙๐ ๒๐๓. คุณ สรุ ศกั ด์ิ แกนจันทร ๒๙๐ ๒๐๔. คุณ พเยาว ชมพูนาค ๒๙๐ ๒๐๕. คณุ นติ ย ธนะรชั ติการนนท ๒๙๐ ๒๐๖. คณุ บังเอญิ สขุ ขี ๒๙๐ ๒๐๗. บรษิ ทั MEDITOP ๒๙๐ ๒๐๘. คณุ พรรณพิลาศ เกิดวิชยั ๒๙๐ ๒๐๙. คณุ สมร อรยิ ปญ ญา ๒๙๐ ๒๑๐. คุณ กุลรัฐา กลุ วุฒวิ ิลาศ ๒๙๐ ๒๙๐ ๒๙๐ ๓,๐๐๐ ๒,๙๐๐ ๓๐๐ ๓๐๐
๒๑๑. คุณ สมจติ เสรจี นั ทร บาท ๒๑๒. คุณ บงั อร ขาวเธียร ๒๑๓. คุณ ผลิตา รมั มะพอ ๓๐๐ ๒๑๔. คุณ โชติ เยน็ สขุ สรรค ๓๐๐ ๒๑๕. คุณ อรณุ าวรรณ ลาภะวัฒนาพันธ ๓๐๐ ๒๑๖. คุณ วัลฎา อิม่ อมรพงศ ๓๐๐ ๒๑๗. คณุ สมศรี สุรโกมล ๓๐๐ ๒๑๘. คุณ ประภาพรรณ โภไคยรตั น ๓๐๐ ๒๑๙. คุณ วันเนาว บลุ สุข ๕๐๐ ๒๒๐. คณุ นพาภรณ สุวรรณสงิ ห ๓๐๐ ๒๒๑. คณุ ฉลาด สารคาํ ๑,๐๐๐ ๒๒๒. คณุ บษุ ยพรรณ วิชญาโนทยั ๓๐๐ ๒๒๓. คุณ ชาตบิ ัณฑติ ย วชิ ญาโนทยั ๓๐๐ ๒๒๔. คุณ พัชราวรรณ วชิ ญาโนทยั ๓๐๐ ๒๒๕. คุณ นลิ รัตน เตยี งชวัช ๓๐๐ ๒๒๖. คุณ สุลี คนื ตัก ๓๐๐ ๒๒๗. คุณ สุรางค หงษา ๓๐๐ ๒๒๘. คุณ สภุ าพิศ ถิระวัฒน ๓๐๐ ๒๒๙. คุณ พีระพล อนิ ชมภู ๕๐๐ ๒๓๐. คณุ สหพล เวชสทิ ธ์ิ ๑,๐๐๐ ๑,๐๐๐ รวมทัง้ สน้ิ ๒๐ ๒๘๙,๘๐๐
ตดิ ตอพมิ พห นงั สอื ตาง ๆ ไดท่ี สุสวสั ด์ิ พร้นิ เตอร โทร. 08-5119-7339
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 548
Pages: