๒๘๐ กณั ฑท่ี ๕, อนมุ านปญหา ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา นายขมังธนูผูฉลาดใน คราวเปนศิษย ก็ไดศึกษาในประเภทแหงคันธนู วิธียกคันธนู วิธี จับสายธนู วิธีใชกํามือจับคันธนู วิธีเลื่อนน้ิวมือ วิธีวางเทา วิธี จับลูกศร วิธีดึงลูกศรออกจากซอง วิธีตั้งลูกศร วิธีเล็งเปา วิธียิง ในการฝกยิงเปาหุนฟางรูปคน มูลสัตว ลอมฟาง กองดิน แผน- กระดาน ไวกอนแลวเทียว ที่โรงฝกยิงธนู พอไดไปที่พระราช- นิเวศน ยิงถวายใหพระราชาทรงชื่นชมการยิงที่แมนยาํ แลว ก็ ยอมไดรับพระราชทานรางวัลประเสริฐ คือ รถ ชาง มา ทรัพย เงิน ทอง ทาสหญิง ทาสชาย ภริยา และบาน อันเปนของควร แกพระราชา ฉันใด, ขอถวายพระพร พวกคฤหัสถครองเรือน บริโภคกามเหลาใด กระทาํ พระนิพพานอันเปนบทที่สงบ อันเปน ประโยชนอยางยิ่งใหแจงได พวกคฤหัสถเหลาน้ัน ลวนแตวาเคย ทาํ การฝกฝน เคยทําการสรางภูมิธุดงค ๑๓ ไวในหลายชาติ กอนหนาน้ี, บุคคลเหลาน้ัน เพราะไดชําระความประพฤติและ ขอปฏิบัติใหบริสุทธ์ิไวในชาติกอนน้ันแลวมา ในชาติปจจุบันน้ี เปนคฤหัสถอยูน่ันแหละ ก็กระทาํ พระนิพพานอันเปนบทที่สงบ อันเปนประโยชนอยางยิ่งใหแจงได ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวาย พระพร เวนการสองเสพในธุตคุณท้ังหลายกอนแลว ก็หามีการ กระทําพระอรหัตตผลใหแจงไดในชาติเดียวเทาน้ันไม. (ตรงนี้ ฉบับของไทย หนา ๔๕๖ ยังมีวา : คฤหัสถ ผูเวนการสองเสพ ธุตคุณ ใชความเพียรอยางสูงสุด ใชขอปฏิบัติอยางสูงสุด ใช อาจาระเห็นปานน้ัน จึงจะมีการทาํ โสดา-ปตติผลใหแจงได).
วรรคที่ ๔, อนุมานวรรค ๒๘๑ ขอถวายพระพร อีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา หมอ ผาตัด ไดใชทรัพยจางอาจารย หรืออาศัยขอวัตรปฏิบัติ ทาํ อาจารยใหยินดีสอนวิธีจับมีดผาตัด วิธีผาตัด วิธีกรีด วิธีเซาะ วิธีคัดเอาส่ิงท่ีท่ิมแทงอยูออกมา วิธีลางแผล วิธีทายา วิธีทาํ ให อาเจียน วิธีทาํ ใหขับถาย วิธีทาํ การพักฟน ทาํ การศึกษาไวใน วิชาทั้งหลาย สรางความชาํ นาญไว เปนหมอมีฝมือแลวก็ยอม เขาไปบําบัดใหคนไขหายปวยได ฉันใด, ขอถวายพระพร พวก คฤหัสถครองเรือน บริโภคกามเหลาใด กระทาํ พระนิพพานอัน เปนบทท่ีสงบ อันเปนประโยชนอยางยิ่งใหแจงได, พวกคฤหัสถ เหลานั้น ลวนแตวาเคยทาํ การฝกฝน เคยทาํ การสรางภูมิธุดงค ๑๓ ไวในหลายชาติ กอนหนานี้. บุคคลเหลาน้ัน เพราะไดชาํ ระ ความประพฤติและขอปฏิบัติใหบริสุทธิ์ไวในชาติกอนน้ันแลว มาในชาติปจจุบันนี้ เปนคฤหัสถอยูนั่นแหละ ก็กระทําพระ นิพพานอันเปนบทที่สงบ อันเปนประโยชนอยางย่ิงใหแจงได ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา เพราะไมรดนํา้ พืช ทั้งหลายก็หาความงอกงามมิได ฉันใด, บุคคลผูไมหมดจดดวย ธุตคุณทั้งหลาย ก็หาการตรัสรูธรรมมิได ฉันน้ัน. ขอถวายพระพร อีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา สัตว ท้ังหลายที่มิไดทํากุศลไว มิไดกระทาํ กัลยาณธรรมไว ยอมหา การไปสูสุคติมิได ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคลผูไมหมดจด ดวยธุตคุณท้ังหลาย ก็ยอมหาการตรัสรูธรรมมิได ฉันนั้น.
๒๘๒ กัณฑที่ ๕, อนุมานปญหา ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณที่เทียบเสมอกับแผนดิน ดวยสภาวะที่เปนที่ตั้งแหงบุคคลทั้งหลายผูตองการวิสุทธิ. ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณท่ีเทียบเสมอกับน้ําดวย สภาวะท่ีเปนเครื่องชาํ ระลางมลทินคือกิเลสท้ังปวง แหงบุคคล ท้ังหลายผูตองการวิสุทธิ. ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณที่เทียบเสมอกับไฟดวย สภาวะท่ีเผาผลาญปารกคือกิเลสท้ังปวง แหงบุคคลท้ังหลายผู ตองการวิสุทธิ. ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณที่เทียบเสมอกับลม ดวยสภาวะที่พัดเอาขี้ฝุนอันเปนมลทินคือกิเลสทั้งปวงไปเสีย แหงบุคคลทั้งหลายผูตองการวิสุทธิ. ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณที่เทียบเสมอกับยาดวย สภาวะท่ีสงบความปวยไขคือกิเลสทั้งปวง แหงบุคคลทั้งหลายผู ตองการวิสุทธิ. ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณท่ีเทียบเสมอกับยาอมตะ ดวยสภาวะท่ีทาํ กิเลสท้ังปวงใหพินาศไป แหงบุคคลทั้งหลายผู ตองการวิสุทธิ. ขอถวายพระพร ธุตคณุ เปน คุณท่เี ทยี บเสมอกบั ไรน า ดวย สภาวะที่เปนสถานที่เพาะปลูกคุณแหงความเปนสมณะท้ังปวง แหงบุคคลทั้งหลายผูตองการวิสุทธิ. ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณท่ีเทียบเสมอกับแกว สารพัดนึก ดวยสภาวะท่ีมอบแตสมบัติประเสริฐ ที่นาปรารถนา
วรรคที่ ๔, อนุมานวรรค ๒๘๓ ท่ีนาตองการ แหงบุคคลท้งั หลายผตู อ งการวสิ ุทธ.ิ ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณที่เทียบเสมอกับเรือดวย สภาวะท่ีแลนไปสูฝงแหงทะเลคือสังสารวัฏ แหงบุคคลท้ังหลายผู ตอ งการวสิ ุทธิ. ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณที่เทียบเสมอกับที่พ่ึง สาํ หรับคนท่ีขลาดกลัว ดวยสภาวะท่ีสรางความสบายใจแก บุคคลท้ังหลายผูตองการวิสุทธิ ซึ่งเปนผูกลัวแตชราและมรณะ ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณที่เทียบเสมอกับมารดา ดวยสภาวะท่ีอนุเคราะหบุคคลผูตองการวิสุทธิ ซ่ึงเปนผูถูกกิเลส และทุกขบีบคั้น. ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณท่ีเทียบเสมอกับบิดา ดวยสภาวะที่ยังคุณแหงความเปนสมณะทั้งปวงใหเกิดแก บุคคลผูตองการวิสุทธิ ซ่ึงเปนผูใครความเจริญแหงกุศล. ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณที่เทียบเสมอกับมิตร ดวยสภาวะที่ไมทาํ ใหคลาดเคลื่อนในการแสวงหาคุณแหง ความเปนสมณะท้ังปวง แหงบุคคลผูตองการวิสุทธิ. ขอถวายพระพร ธตุ คณุ เปนคุณที่เทียบเสมอกบั ดอกปทุม ดวยสภาวะที่มลทินคือกิเลสท้ังปวงฉาบไมติด แหงบุคคลผู ตองการวิสุทธิ. ขอถวายพระพร ธุตคณุ เปนคณุ ท่เี ทยี บเสมอกบั คนั ธชาติ (ของหอม) ประเสริฐ ๔ ชนิด ดวยสภาวะท่ีบรรเทากล่ินเหม็นคือ กิเลส แหงบุคคลผูตองการวิสุทธิ.
๒๘๔ กัณฑท่ี ๕, อนุมานปญหา ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณที่เทียบเสมอกับขุนเขา ประเสริฐ ดวยสภาวะท่ีลมคือโลกธรรม ๘ อยาง ไมอาจทําให หวั่นไหวได แหงบุคคลผูตองการวิสุทธิ. ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณท่ีเทียบเสมอกับอากาศ ดว ยสภาวะทป่ี ราศจากการยึดตดิ ในที่ท้งั ปวง เวง้ิ วาง กวา งขวาง ใหญโต แหงบุคคลผูตองการวิสุทธิ. ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณท่ีเทียบเสมอกับแมนํ้า ดวยสภาวะท่ีลอยมลทินคือกิเลสไป แหงบุคคลผูตองการวิสุทธิ. ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณท่ีเทียบเสมอกับผูบอก ทางไดแมนยาํ ดวยสภาวะท่ีถอนออกไปจากท่ีกันดารคือชาติจาก ปาทึบคือกิเลสแหงบุคคลผูตองการวิสุทธิ. ขอถวายพระพร ธตุ คณุ เปน คุณทีเ่ ทยี บเสมอกับแวนที่เช็ด สะอาด ปราศจากมลทิน ดวยสภาวะท่ีสองใหเห็นสภาวะของ สงั ขารทั้งหลาย แหง บุคคลผูตอ งการวสิ ทุ ธ.ิ ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณที่เทียบเสมอกับโล ดวย สภาวะท่ีเปนเคร่ืองปองกันไมคอน ลูกศร หอกหลาว คือกิเลส แหงบุคคลผูตองการวิสุทธิ. ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณท่ีเทียบเสมอกับรมดวย สภาวะท่ีเปนเครื่องปองกันฝนคือกิเลส แดดรอนคือไฟ ๓ อยาง แหงบุคคลผูตองการวิสุทธิ. ขอถวายพระพร ธุตคุณ เปนคุณท่ีเปรียบเสมอกับดวง จันทร ดวยเปนสภาวะที่ผูตองการวิสุทธิ ช่ืนใจ ปรารถนา.
วรรคที่ ๔, อนุมานวรรค ๒๘๕ ขอถวายพระพร ธุตคุณเปนคุณที่เปรียบเสมอกับดวง อาทิตย ดวยสภาวะท่ีทาํ ความมืดคือโมหะใหพินาศไป แหง บุคคลผูตองการวิสุทธิ. ขอถวายพระพร ธุตคุณเปนคุณท่ีเปรียบเสมอกับทะเล ดวยสภาวะท่ีเปนท่ีต้ังแหงแกวประเสริฐ คือคุณแหงความเปน สมณะอเนกประการ, และดวยสภาวะท่ีเปนคุณอันวัดไมได ใคร ๆ ไมอาจนับได ไมอาจประมาณได. ขอถวายพระพร ธุตคณุ ที่มอี ปุ การะมากมาย แหงบุคคล ผตู องการวิสุทธิ ตามประการดังกลาวมาแลวนี้ เปนเหตุบรรเทา ความทุรนทุรายเรารอนท้ังปวง เปนเหตุบรรเทาอรติ เปนเหตุ บรรเทาภัย เปน เหตบุ รรเทาภพ เปน เหตุบรรเทากเิ ลสเปน ดจุ เสา เปน เหตบุ รรเทามลทิน เปนเหตบุ รรเทาโศก เปน เหตุบรรเทาทุกข เปน เหตบุ รรเทาราคะ เปน เหตบุ รรเทาโทสะ เปน เหตุบรรเทาโมหะ เปนเหตุบรรเทามานะ เปนเหตุบรรเทาทิฏฐิ เปนเหตุบรรเทา อกุศลธรรมทั้งปวง เปนเหตุนาํ มาซึ่งยศ เปนเหตุนาํ มาซ่ึง ประโยชน เปนเหตุนํามาซึ่งสุข เปนเหตุนาํ มาซึ่งความผาสุก เปนเหตุสรางปติ เปนเหตุสรางความเกษมจากโยคะ ไมมีโทษ มีวิบากเปนสุขนาปรารถนา เปนท่ีรวมแหงคุณ เปนกองแหงคุณ มีคุณอันใคร ๆ ไมอาจวัดได ไมอาจนับได ไมอาจประมาณได ประเสริฐ ยอดเยี่ยม เปนเลิศ. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา พวกคนทั้งหลายเสพ โภชนะ ก็โดยเกี่ยวกับวาเปนเหตุอุปถัมภกาย, เสพยา ก็โดย
๒๘๖ กณั ฑท ี่ ๕, อนมุ านปญหา เก่ียวกับวาเปนเหตุชวยบําบัด, เสพมิตร ก็โดยเก่ียวกับวาเปน ผูมีอุปการะ, เสพ (ใชสอย) เรือ ก็โดยเก่ียวกับวาเปนเครื่องขาม, เสพพวงดอกไมของหอม ก็โดยเกี่ยวกับวาเปนส่ิงมีกลิ่นหอม, เสพ (อาศัย) สถานที่ปองกันส่ิงนากลัว ก็โดยเกี่ยวกับวาจะ เปนที่ปลอดภัย, เสพ (ใชสอย) แผนดิน ก็โดยเก่ียวกับวา เปนท่ีต้ัง, เสพ (คบหา) อาจารย ก็โดยเกี่ยวกับวาจะไดรู วิชาศิลปะ, เสพ (คบหา) พระราชา ก็โดยเกี่ยวกับวาจะไดยศ, เสพ (ใชสอย) แกวมณี ก็โดยเก่ียวกับวาเปนสิ่งมอบแตของที่ ตองการ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระอริยเจาท้ังหลาย เสพ ธุตคุณ ก็โดยเก่ียวกับวาเปนคุณแหงความเปนสมณะทั้งปวง ฉันนั้นเหมอื นกัน. ขอถวายพระพร น้ํา มีไวเพ่ือใชปลูกพืช, ไฟ มีไวเพ่ือ ใชเผาไหม, อาหาร มีไวเพ่ือใชเปนเหตุนํามาซ่ึงกาํ ลัง, เถาวัลย มีไวเพื่อใชเปนเคร่ืองผูกมัด, มีด มีไวเพื่อเปนเครื่องตัดเฉือน, นาํ้ ดื่ม มีไวเพ่ือใชเปนเครื่องกาํ จัดความกระหาย, กองทุน มีไวเพื่อสรางความโลงใจ, เรือ มีไวเพ่ือใชเปนเคร่ืองไปถึงฝง, ยา มีไวเพ่ือใชสงบความปวยไข, ยานพาหนะ มีไวเพ่ือการไป ไดสะดวก, ท่ีปองกันภัย มีไวเพื่อใชบรรเทาภัย, พระราชา มีไวเพ่ือประโยชนแกการรักษา, โล มีไวเพื่อปองกันไมคอน กอนดิน กอนเหล็ก ลูกศร, อาจารย มีไวเพื่อการอนุศาสน, มารดา มีไวเพื่อการเลี้ยงดูบุตร, กระจกเงามีไวเพื่อใชสองดู, เคร่ืองประดับ มีไวเพื่อความงาม, ผา มีไวเพื่อใชปดบังกาย,
วรรคท่ี ๔, อนุมานวรรค ๒๘๗ พะอง มีไวเพื่อใชปนปาย, เคร่ืองชั่ง มีไวเพื่อใชหลีกเลี่ยง ความไมสมยอมกัน, มนต มีไวเพื่อใชเสกเปา, อาวุธ มีไวเพื่อใชปองกันการคุกคาม, ประทีป มีไวเพ่ือใชกําจัดความ มืด, ลม มีไวเพ่ือใชดับความรอน, ศิลปะ มีไวเพ่ือใชเล้ียงชีพ, ยา มีไวเพื่อใชรักษาชีวิต, บอ มีเพ่ือทํารัตนะใหบังเกิด, รัตนะ มีไวเพื่อใชเปนเคร่ืองประดับ, คําส่ังมีไวเพ่ือไมใหลวงละเมิด, อิสสริยยศ มีไวเพื่อการทาํ อํานาจใหเปนไป ฉันใด, ขอถวาย พระพร ธุตคุณ มีไวเพื่อใชปลูกพืชคือความเปนสมณะ, เพ่ือ ใชเผาไหมมลทิน คือกิเลส, เพ่ือใชเปนเหตุนํามาซ่ึงกาํ ลัง คือ อิทธิ, เพ่ือใชเปนเคร่ืองผูกมัดคือสติสังวร, เพ่ือใชเปนเคร่ือง ตัดเฉือนความคลางแคลงสงสัย, เพ่ือใชเปนเคร่ืองกาํ จัดความ กระหาย คือตัณหา, เพื่อสรางความโลงใจ คือการตรัสรู, เพื่อ ใชเปนเครื่องขามโอฆะ ๔, เพ่ือใชสงบความปวยไข คือกิเลส, เพื่อการไดมาซ่ึงสุข คือพระนิพพาน, เพื่อใชบรรเทาภัย คือชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาสะ, เพื่อใชแวดลอมรักษาคุณแหงความเปนสมณะ, เพ่ือ ใชขัดขวางอรติและความตรึกชั่ว, เพื่อการอนุศาสนประโยชน แหงความเปนสมณะทั้งส้ิน, เพื่อการหลอเลี้ยงคุณแหงความเปน สมณะทั้งปวง, เพ่ือการไดพบเห็นสมถะ วิปสสนา มรรค ผล นิพพาน, เพ่ือสรางความงดงามมากมายใหญหลวง ท่ีชาวโลก ท้ังส้ินชมเชยสรรเสริญ, เพ่ือใชปดกั้นอบายท้ังปวง, เพ่ือใชปนขึ้น ไปสูยอดภูเขาหิน คือ สามัญญผล, เพื่อใชหลีกเล่ียงจิตที่ไม
๒๘๘ กณั ฑท่ี ๕, อนุมานปญหา สมยอมเพราะความคดโกง, เพ่ือกระทาํ การสาธยายใหสาํ เร็จ ประโยชนในธรรมที่ควรเสพและไมควรเสพ, เพ่ือคุกคามศัตรูฝาย ตรงขาม คือกิเลสทั้งปวง, เพ่ือใชกําจัดความมืด คืออวิชชา, เพื่อใชดับความรอนคือไฟ ๓ กอง, เพ่ือใหบังเกิดสมาบัติที่ ละเอียดออนเปนสุขและสงบ, เพื่อใชรักษาคุณแหงความเปน สมณะทั้งสิ้น, เพื่อทาํ รัตนะ คือโพชฌงค ใหบังเกิด, เพื่อใชเปน เครือ่ งประดับแหงชน คอื พระโยคี, เพ่ือความไมกาวลว งความสุข อนั ไมม ีโทษ ละเอียด สขุ มุ สงบ, เพ่ือการทาํ อํานาจ คืออรยิ ธรรม แหงความเปน สมณะ ใหเปนไป ฉันนน้ั เหมือนกัน ขอถวายพระพร ธุตคุณยอมมีเพื่อบรรลุคุณทั้งหลาย แตละอยาง ดังกลาวมา เหลานี้, ขอถวายพระพร ธุตคุณเปนคุณท่ีไมอาจช่ังได ไมอาจ ประมาณได หาคณุ ที่เสมอกนั มิได หาคณุ อยา งอน่ื เทยี บเสมอกนั มไิ ด หาสว นเปรียบกนั มิได หาคุณอยา งอืน่ ที่ดีกวา มิได ยอดเยยี่ ม ประเสริฐ วิเศษ ยิ่งยวด แผขยายกวางไปไกล นาเคารพ นา ตระหนัก เปนของย่ิงใหญ ขอถวายพระพร บุคคลใด เปนคนปรารถนาลามก มัก มาก หลอกลวง ขี้โลภ เห็นแกปากทอง หวังลาภ หวังยศ หวัง ชื่อเสียง เปนคนใชไมได เปนคนท่ีใคร ๆ ไมควรของแวะ เปนคน ไมเหมาะ ไมควร ไมสมควร สมาทานธุดงค, บุคคลน้ันจะไดรับ โทษทัณฑถึง ๒ เทา, จะถึงความหายนะแหงคุณท้ังปวง, คือจะ ไดรับการดูหมิ่น การรังเกียจ การติเตียน การเยาะเยย การ ขวางปา การท่ีใคร ๆ ไมคบหา การเสือกไส การทอดทิ้ง การ
วรรคท่ี ๔, อนุมานวรรค ๒๘๙ ขับไล อันมีไดในอัตภาพนี้ (ในชาติน้ี), แมในภพตอไป ก็ จะหมกไหมอยูในอเวจีมหานรก หมุนควางไปในเบ้ืองบนเบ้ือง ขวาง เดือดเปนฟองอยูเบ้ืองบน ในกลุมเปลวไฟที่รอนที่แผดเผา รุนแรง ซ่ึงสูงถึง ๑๐๐ โยชน ตลอดเวลาหลายแสนโกฏิป, พน จากอเวจีมหานรกนั้นแลว ก็มาเกิดเปนสมณมหาเปรต อันเปน ประเภทนิชฌามตัณหิกเปรต ผูมีอวัยวะนอยผายผอม กรานดํา มีศีรษะเบงบวมโหวกลวง เอาแตหิว เอาแตกระหาย มีผิวพรรณ แหงรูปกายตะปุมตะปา นากลัว หูขาด จมูกแหวง มีนัยนตา เบิกโพลง มีแผลทั่วตัว ทรุดโทรมไปท่ัวท้ังราง รางกายทุกสวน อาเกียรณดวยหนอน ภายในกายมีไฟลุกโพลง เหมือนกองไฟท่ี อยูหนาลม ไมมีท่ีเรน ไมมีท่ีพึ่ง สงเสียงคร่ําครวญนากรุณา สงสาร เที่ยวสงเสียงรองโอดโอยไปบนแผนดิน. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บุคคลบางคน ซ่ึง เปนคนท่ีใชไมได เปนที่คนใคร ๆ ไมควรของแวะ เปนคน ไมเหมาะ ไมควร ไมสมควร เปนคนเลว มีชาติตระกูลตาํ่ ทราม ไดอภิเษกโดยขัตติยาภิเษก, บุคคลผูนั้น ยอมไดรับการตัดมือ การตัดเทา การตัดท้ังมือท้ังเทา การตัดหู การตัดจมูก การ ตัดทั้งหูท้ังจมูก การทาํ พิลังคถาลิกะ (?) การถลกหนังหัว แลวขัดใหขาวเหมือนสังข การทาํ ปากราหู การทาํ มาลัยเปลว ไฟสองสวาง การทํามือสองแสง การนุงผาแกะ การนุงผา เปลือกปอ การทาํ ใหเปนเน้ือทราย การตกเบ็ด การตัดเน้ือ เปนชิ้น ๆ ขนาดเทาเหรียญ การรดนา้ํ แสบ การตอกล่ิม การ
๒๙๐ กัณฑท ี่ ๕, อนมุ านปญหา อบฟาง การใชน้ํามันเดือด ๆ ราดรด การใชสุนัขใหขบกัด การถูกเสียบอยูบนปลายหลาว การใชดาบตัดศีรษะ ยอมไดรับ การลงทัณฑมากมายหลายประการ, ถามวา เพราะเหตุไร? ตอบวา คนท่ีใชไมได ใคร ๆ ไมควรของแวะ เปนคนไมเหมาะ ไมควร ไมสมควร เปนคนเลว มีชาติตระกูลตํ่าทราม ตั้งตน ไวอิสสริยะย่ิงใหญแลว ก็หวังไดวาจะถูกกําจัดไปตลอดเวลา ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคลใดบุคคลหน่ึงเปนคนปรารถนา ลามก ฯลฯ เที่ยงสงเสียงรองโอดโอยไปบนแผนดิน ฉันน้ัน เหมือนกนั ขอถวายพระพร สวนวา บุคคลใด เปนคนใชได เปนคนที่ ใคร ๆ ควรขอ งแวะ เปน คนเหมาะควร สมควร มักนอย สนั โดษ สงัด ไมคลุกคลี ปรารภความเพียร มีตนสงไป ไมเสแสรง ไม หลอกลวง ไมเห็นแกปากทอง ไมหวังลาภ ไมหวังยศ ไมหวัง ช่อื เสยี ง มีศรัทธา บวชดว ยศรทั ธา เปน ผูใครจะพนจากชรามรณะ คิดวา “เราจักประคับประคองพระศาสนา” ดังน้ี แลวสมาทาน ธุดงค, บคุ คลผนู น้ั ยอมควรซึ่งการบูชาเปน ๒ เทา และยอ มเปน ท่ี รัก ท่ีนา ชอบใจ นาประทบั ใจ ดุจดอกมะลิและดอกมัลลกิ า เปน ท่ี นาปรารถนาแหงคนที่อาบนํา้ ลูบไลกายแลว ฉะน้ัน, ดุจโภชนะ ประณตี เปน ท่ีนา ปรารถนาแหงคนที่กําลงั หิว ฉะนนั้ , ดุจนาํ้ ดมื่ ที่ เย็นสะอาด มีรสดี เปนที่นาปรารถนาแหงคนผูกําลังกระหาย ฉะน้ัน, ดุจโอสถประเสรฐิ เปนท่ีนา ปรารถนาแหงคนผตู องยาพษิ ฉะนั้น, ดุจรถเทียมมาอาชาไนยท่ีประเสริฐ ยอดเยี่ยม เปนท่ีนา
วรรคที่ ๔, อนุมานวรรค ๒๙๑ ปรารถนาแหง บุคคลผูตองการจะไปโดยเรว็ ฉะนน้ั , ดุจแกวมณีที่ นาจบั ใจ เปน ที่นา ปรารถนาแหง คนผูห วงั จะไดการอภเิ ษก ฉะนั้น, ดุจการบรรลุพระอรหัตตผลอันยอดเย่ียม เปนท่ีนาปรารถนาแหง คนผูใครธรรม ฉะน้ัน. สําหรับบุคคลผูนั้น สติปฏฐาน ๔ ยอมถึง ซึ่งความบริบรู ณแ หง ภาวนา, สัมมปั ปธาน ๔ อทิ ธบิ าท ๔ อนิ ทรีย ๕ พละ ๕ โพชฌงค ๗ พระอรยิ มรรคมอี งค ๘ ยอ มถงึ ซงึ่ ความ บริบูรณแหงภาวนา, สมถะ และวปิ ส สนา ก็ยอมจะบรรลุได, การ ปฏบิ ตั เิ พอื่ บรรลุ ก็ยอ มเต็มพรอม, สามญั ญผล ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ วิชชา ๓ อภญิ ญา ๖ และสมณธรรมทั้งส้ิน ทกุ อยา งยอมเปนสิง่ ที่ บคุ คลผนู นั้ อาจทําใหส าํ เร็จได, ไดการอภเิ ษกใตเ ศวตฉตั ร สะอาด ผดุ ผอ ง คือวมิ ุตติ. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บริษัทแหงพระราชา ๓๘ บริษัท ผูเปนชาวแวนแควนชาวนิคม ชาวชนบท ลูกจาง ไพลพ ลของพระองค พวกนกั ฟอนนักเตน หมสู มณะพราหมณและ เจาลัทธิทั้งปวง ผูมีปากกลาวแตคํามงคล กลาวแตคําอวยพร บาํ รุงบาํ เรอตอขัตติยราชา ผูสืบสันตติวงศในสกุลวงศอภิชาติ ผู ไดอภิเษกเปนกษัตริยอยู ก็ยอมไดครอบครองสวนตัด สวนแบง แหงเมืองทา บอแกว นคร โรงภาษี ผูคน อยางใดอยางหนึ่งใน แผนดิน แตละคนยอมเปนเจาของในสมบัติทั้งปวง ฉันใด, ขอ ถวายพระพร บุคคลใดบุคคลหนึ่งเปนคนใชได เปนคนท่ีใคร ๆ ควรของแวะ ฯปฯ ไดการอภิเษกใตเศวตฉัตร สะอาดผุดผอง คือ วิมุตติ ฉันน้ันเหมือนกัน.
๒๙๔ กณั ฑท ่ี ๕, อนมุ านปญหา สถานทใี่ ดทห่ี นึ่ง อันเปนทเ่ี รอื สญั จรไปได ฉนั ใด, ขอถวายพระพร บุคคลผมู ีธดุ งค ๑๓ อยา งเหลา นีเ้ สพคุน แลว เสพอยเู ปน ประจาํ แลว ส่งั สมแลว คนุ เคยแลว ประพฤตแิ ลว ประพฤตมิ น่ั คงแลว ทาํ ใหบ ริบูรณแลวในภพกอน ยอมไดรับสามัญญผลทั้งส้ิน. สมาบัติ ท่ีสงบเปนสุขท้ังส้ิน ยอมตกเปนของฝากกาํ นัลแกเขา ฉันน้ัน เหมือนกัน. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา ชาวนาขจัดสง่ิ ทีเ่ ปน โทษ แกทน่ี า คอื ตน หญา ใบไมแ หง กอ นหนิ ออกไปกอ นแลว จงึ ไถ หวา น สง นํ้าใหโดยชอบ รักษาไว คมุ ครองไว พอถงึ เวลาเก่ยี ว เวลานวด ก็ยอมเปนชาวนาผูมีขาวมากมาย, คนไรทรัพยกาํ พรา ยากจน เข็ญใจ พวกใดพวกหนึ่ง ก็จะเปนผูฝากตัวไวกับเขา ฉันใด, ขอ ถวายพระพร บคุ คลผมู ีธดุ งค ๑๓ อยา งเหลา นเี้ สพคุนแลว เสพอยู เปนประจําแลว ส่ังสมแลว คุนเคยแลว ประพฤติแลว ประพฤติ ม่ันคงแลว ทาํ ใหบริบูรณแลวในภพกอน ยอมไดรับสามัญญผล ทั้งสิ้น สมาบัติท่ีสงบเปนสุขท้ังสิ้น ยอมตกเปนของฝากกํานัลแก เขา ฉนั น้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร อีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวากษัตริยผู ไดมุททาภิเศกเปนผูสืบสันตติวงศอภิชาติ ยอมเปนใหญในการ ครอบครองสว นตัด สวนแบง และฝงู ชน เปน ผใู ชอาํ นาจ เปน นาย เปนผูกระทาํ ไดตามตองการ, และแผนดินใหญท้ังส้ิน ก็ยอมตก เปนของฝากกาํ นัลแกพระองค ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคลผูมี ธุดงค ๑๓ อยางเหลานี้เสพคุนแลว เสพอยเู ปนประจําแลว ส่ังสม
วรรคท่ี ๔, อนุมานวรรค ๒๙๕ แลว คุนเคยแลว ประพฤติแลว ประพฤติม่ันคงแลว ทาํ ใหบริบูรณ แลวในภพกอน ก็ยอมเปนใหญในพระศาสนาประเสริฐของพระ ชินวรพุทธเจา เปนผูใชอาํ นาจ เปนนาย เปนผูกระทาํ ไดตาม ตองการ และสมณะคุณทั้งส้ิน ก็ยอมตกเปนของฝากกํานัลแก เขา ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร พระอปุ เสนวงั คันตบตุ รเถระ๑ ประสงค จะทําสัลเลขธรรม คือธุตคุณทั้งหลายใหบริบูรณ จึงไมเอื้อเฟอ กติกาของพระสงฆเมืองสาวัตถี พาบริษัทเขาไปเฝาพระผูมี พระภาค ผเู ปนนายสารถีฝก นรชน ซง่ึ เสดจ็ ประทบั หลีกเรน อยู ได กราบท่ีพระบาทดวยเศียรเกลาแลวน่ังลง ณ ที่สมควรสวนหนึ่ง, พระผูมีพระภาคทรงทอดพระเนตรดูบริษัทท่ีฝกดีแลวนั้น ทรงร่ืน เริงยินดีบันเทิง ตรัสสนทนาปราศรัยกับชาวบริษัท รับส่ังความ ขอนี้ดวยพระสุรเสียงดุจเสียงพรหมวา “น่ีแนะ อุปเสน บริษัท ของเธอน่ีนาเลื่อมใส, น่ีแนะ อุปเสน เธอแนะนาํ บริษัทของเธอ อยางไร?” ฝายพระเถระน้ัน ครั้นถูกพระผูมีพระภาคผูทรงเปน พระสัพพัญู ทรงพระทศพลญาณ ผูทรงเปนเทพยิ่งเหลาเทพ ตรัสถามแลว จึงกราบทูลความขอน้ีกะพระผูมีพระภาค ดวย อาํ นาจแหงคุณที่มีอยูตามความเปนจริงวา “ขาแตพระองคผูเจริญ ผูใดผูหนึ่ง เขาไปหาขาพระองค แลว ขอบวชก็ดี ขอนสิ ยั กด็ ,ี ขาพระองคจ ะกลา วกะเขานนั้ อยางน้ี ๑. ว.ิ มหาวิ. ๒/๕๗.
๒๙๖ กณั ฑที่ ๕, อนุมานปญหา วา ‘นี่แนะ ทา นผมู ีอายุ เราเปนผถู ือการอยปู าเปน วัตร ถอื การเท่ยี ว บิณฑบาตไปเปนวัตร ถอื การทรงผา บงั สุกุลเปน วตั ร ถือการครอง จวี ร ๓ ผนื เปนวตั ร ถา หากวา แมตัวทานกจ็ ักเปน ผูถือการอยปู า เปน วตั ร ถอื การเท่ยี วบิณฑบาตไปเปน วตั ร ถือการทรงผาบังสกุ ลุ เปนวตั ร ถือการครองจีวร ๓ ผนื เปนวตั ร ดวยไซร, เรากจ็ กั ใหท า น บวชเทยี ว จกั ใหนิสัย’, ขา แตพ ระองคผ ูเ จรญิ ถา หากเขารับฟงขา พระองคแลว ยินดีพอใจ ขาพระองคก็จักใหเขาบวช, จักใหนิสัย, ถาหากเขาไมยินดี ไมพอใจ, ขาพระองคก็จักไมใหเขาบวช, ไมให นิสัย, ขาแตพระองคผเู จริญ ขาพระองคแนะนาํ ชาวบริษัทอยางน้ี พระเจาขา” ดังนี้ ขอถวายพระพร ภกิ ษผุ สู มาทานธตุ คณุ ประเสริฐ ยอมเปน ใหญในพระศาสนาประเสรฐิ ของพระชินวรพทุ ธเจา เปน ผูใชอาํ นาจ เปนนาย เปน ผูกระทําไดต ามตอ งการ, และสมาบตั ทิ ่ี สงบเปน สุขท้ังสิ้น ก็ยอ มตกเปน ของฝากแกเ ขา อยา งนี้แล. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา ดอกบัวหลวง ซึ่งเกิด เปนพีชชาติเจริญ บริสุทธ์ิ สูงสงยอมมีคุณ ๑๐ ประการ คือ เปน ของออนนมุ สนิท ๑, เปน สิ่งทใ่ี คร ๆ กอ็ ยากได ๑, มีกลิน่ หอม ๑, นา รัก ๑, ใคร ๆ ก็ปรารถนา ๑, ใคร ๆ ก็สรรเสรญิ ๑, อันน้าํ หรอื เปอกตมจะฉาบติดมไิ ด ๑, ประดบั ดว ยใบเล็ก ๆ เกสรและกลบี ๑, มหี มูแมลงภูค อยแตจะบนิ มาสอ งเสพ ๑, ขยายพันธอุ ยแู ตใ นน้ํา เย็นสะอาด ๑ ฉันใด, ขอถวายพร พระอริยะสาวกผมู ีธดุ งค ๑๓ อยางเหลานเ้ี สพคุนแลว เสพอยูเ ปน ประจําแลว สงั่ สมแลว คุน เคย แลว ประพฤติแลว ประพฤตมิ นั่ คงแลว ทําใหบ รบิ ูรณแลวในภพ
๓๐๐ กณั ฑท ี่ ๕, อนมุ านปญหา ๒๗. สมจุ ฉฺ นิ นฺ านสุ โย - ตัดขาดอนสุ ัยได ๒๘. สพพฺ าสวกขฺ ยํ ปตฺโต - ไดถ ึงธรรมอันเปน ทส่ี ิ้นอาสวะทัง้ ปวง ๒๙. สนฺตสขุ สมาปตฺติวิหารพหโุ ล - เปน ผมู ากดว ยสมาบตั ิวิหารอนั สงบและเปน สขุ ๓๐. สพพฺ สมณคณุ สมุเปโต - เปน ผปู ระกอบพรอมดว ยสมณคณุ ทัง้ ปวง, ยอมเปนผปู ระกอบพรอมดว ยคณุ ๓๐ ประการ เหลา นแ้ี ล. ขอถวายพระพร ยกเวนพระทศพลผูทรงเปนอาจารยของ ชาวโลกแลว บุรุษผูเปนเลิศแหงหม่ืนโลกธาตุ ก็คือทานพระสารี- บุตรเถระ มิใชหรือ, แมพ ระเถระน้ัน กเ็ ปนผูไดส ัง่ สมกศุ ลมลู ไวโ ดย ชอบแลว ตลอดหลายอสงไขยกปั หาประมาณมิได ทานเปน ผูสบื สกลุ วงศในสกลุ พราหมณ แตกก็ ลบั ละทิง้ อารมณทีช่ อบใจ ความ ยินดีในกาม และทรัพยประเสริฐนับไดหลายรอย บวชในพระ ศาสนาของพระชินวรพทุ ธเจา ฝกกาย วาจา และใจดวยธตุ คุณ ๑๓ อยางเหลาน้ี มาในบัดน้ีทานจึงไดเปนผูประกอบพรอมดวย คุณวิเศษ หาท่ีสุดมิได เกิดเปนผูท่ีคอยประกาศสืบตอซึ่งพระ ธรรมจักร ในพระศาสนาประเสริฐของพระผูมีพระภาคโคตมะ ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพย่ิงเหลาเทพ ทรง ภาสิตความขอน้ีไวในอังคุตตรนิกาย เอกกนิบาต วา :-
วรรคท่ี ๔, อนุมานวรรค ๓๐๑ ‘นาหํ ภิกฺขเว อฺ เอกปุคฺคลมฺป สมนุ- ปสฺสามิ, โย เอวํ ตถาคเตน อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ สมฺมเทว อนุปฺปวตฺเตติ ยถยิทํ ภิกฺขเว สาริปุตฺโต ฯเปฯ อนุปฺปวตฺเตติ’๑ ‘ดูกร ภิกษุท้ังหลาย เราไมเล็งเห็นบุคคลอ่ืนแม สักคนหน่ึง ซ่ึงประกาศสืบตอธรรมจักรอันยอด เย่ียม ท่ีเราตถาคตไดประกาศไวแลว ไดดวยดี อยางน้ี เหมือนอยางพระสารีบุตรนี้นะภิกษุ ท้ังหลาย, ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พระสารีบุตรได ประกาศสืบตอธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ท่ีเรา ตถาคตไดประกาศไว ไดดวยดีเทียว’ ดงั นี.้ พระเจามิลินท : “ดีจริง พระคุณเจานาคเสน, พระพุทธ- วจนะอันมีองค ๙ อยางใดอยางหน่ึง ก็ดี, การกระทําที่ยอด เย่ียมในโลก ก็ดี, การบรรลุธรรมและสมบัติไพบูลยประเสริฐ ท้ังหลายในโลกน้ี ก็ดี, ทุกอยางนั้น ถึงความรวมลงในธุต- คุณ ๑๓” จบธุตังคปญหาท่ี ๒ ๑. องฺ. เอกก. ๒๐/๓๐.
๓๐๒ กัณฑที่ ๕, อนมุ านปญหา คําอธิบายปญ หาที่ ๒ ปญหาเก่ยี วกับธุดงค ชื่อวา ธตุ ังคปญหา. เง่ือนปญหามีอยูวา ถาหากวาพวกคฤหัสถ บริโภคกาม ทั้งหลาย ซึ่งไมไดถือธุดงคเลย เพราะขัดแยงกับความเปนอยู อยางคฤหัสถ ปฏิบัติไปตามความสะดวก ไมลาํ บาก ไมเปนทุกข ก็อาจตรัสรูธรรมได ไซร เมื่อเปนเชนนี้ ขอวัตรปฏิบัติท่ีเครงครัด ลําบาก เปนทุกข คือธุดงค ซ่ึงก็เปนไปเพื่อการตรัสรูธรรมน้ัน เหมือนกัน ที่สามารถสมาทานไดดีเมื่อไดบวช จะมีประโยชน อะไร. องคค อื ขอวัตรท่สี มาทานขอนั้น ๆ มกี ารทรงผาบงั สกุ ุลเปน ปกติเปนตน แหงบุคคลผูชื่อวา ธุตะ เพราะอรรถวากําจัดกิเลส ดว ยการสมาทานขอวตั รนั้น ๆ น่ันแหละ ช่อื วา ธดุ งค. คณุ คือรส หรืออานุภาพแหง ธดุ งค ชื่อวา ธุตคุณ. ในบรรดาธุดงค ๑๓ ขอเหลานั้น วาในขอแรกกอน คําวา ผาบังสุกุล ไดแกผาคลกุ ฝนุ หมายถงึ ผา ทีไ่ มน ับวาเปน คฤหบดี จีวร (ผา ทพ่ี วกคฤหบดี พวกคฤหัสถน าํ มาถวาย) มีผา ท่เี ขาใชห อ ศพทิ้งไวในปาชา ผาท่ีเขาทิ้งไวตามกองขยะเปนตน. ภิกษุรูปใด สมาทาน (ถือเอาโดยชอบ) ซ่ึงธุดงคขอน้ีอยางน้ี วา “ขาพเจา ขอปฏิเสธจีวรอันเปนทานที่คฤหบดีถวาย, ขอสมาทานองคแหง ภกิ ษผุ ูทรงผา บงั สุกลุ เปน ปกติ” ดงั นี้ ภกิ ษุรปู น้นั ชอื่ วา สมาทาน ธุดงคขอที่ ๑, น้ี. หมายความวา ต้ังใจจะไมรับจีวรที่พวกคฤหัสถ ถวายใหโดยตรง แตจะเก็บผาท่ีเขาท้ิงไวตามที่ตาง ๆ มีปาชา
วรรคท่ี ๔, อนุมานวรรค ๓๐๓ เปนตน มาทาํ เปนจีวรนุงและหม. แมในการสมาทานธุดงคขอที่ เหลือ กม็ นี ัยนี้. ในขอท่ี ๒ คําวา ผา ๓ ผืน ไดแก สังฆาฏิ-ผาทาบ, อุตตราสงค-ผาหม, และอันตรวาสก-ผานุง. ภิกษุผูสมาทาน ธุดงคขอน้ี ยอมปฏิเสธคือไมรับผาผืนที่ ๔ ขอใชเพียง ๓ ผืน ดังกลาวน้ีเทานั้น. ในขอ ท่ี ๓ คาํ วา ผเู ทยี่ วบณิ ฑบาตไป คอื ผูเ ทีย่ วจาริกไป เพอื่ บณิ ฑบาต (กอนขา วคอื อาหารที่เขาปลอยใหต กไปในบาตร). ภิกษุผูสมาทานธุดงคขอนี้ ยอมปฏิเสธการนิมนตใหฉันยังเรือน ขอเที่ยวแสวงหาบิณฑบาตดวยลาํ แขงของตนเอง. ในขอที่ ๔ คาํ วา ผูเท่ียวไปตามลําดับเรือน คือผูเที่ยว ไปตามลําดับสกุลเรือนของทายกผูคอยถวายภัตตาหารให ไมมี การขามลาํ ดับ โดยการละเลยสกุลที่ถึงกอน แลวรับภัตตาหาร จากสกุลที่ไปถึงทีหลัง. ภิกษุผูสมาทานธุดงคขอนี้ ยอมปฏิเสธ การเที่ยวบิณฑบาตไปอยางเลือกสกุล ยอมเที่ยวแสวงหาบิณฑ- บาตไปตามลําดับเรือน ไมขามลาํ ดับเลยทีเดียว. ในขอที่ ๕ คาํ วา ผูฉัน ณ อาสนะเดียว มีความหมาย วา น่ังลงฉัน ณ ที่ใดที่หน่ึงก็ตาม ฉันเสร็จแลวก็ตาม ยังไมเสร็จ ก็ตาม เมื่อลุกข้ึนจากอาสนะน้ันแลว ก็จะไมน่ังลงฉันเปนครั้ง ท่ี ๒ อีก ในวันน้ัน. ภิกษุผูถือธุดงคขอน้ี ยอมปฏิเสธการน่ังลง ฉันหลายคร้ัง ยอมฉัน ณ อาสนะเดียว คือคร้ังเดียวเทานั้น ใน แตละวัน.
๓๐๔ กัณฑที่ ๕, อนมุ านปญหา ในขอ ท่ี ๖ คาํ วา ผูฉ นั แตในบาตร คอื ผฉู ันแตอ าหารทอี่ ยู ในบาตรเทานน้ั . ภิกษผุ ถู อื ธุดงคขอ นี้ ยอ มปฏิเสธการใชภาชนะที่ ๒ ที่ ๓ อนั นอกเหนือไปจากบาตร ยอมฉันอาหารในบาตรเดยี วนั้น เทานั้น. ในขอท่ี ๗ คาํ วา ผูไมฉันภัตท่ีมาภายหลัง คือผูฉัน เฉพาะภัตคือบิณฑบาตแรกเทานั้น ไมฉันบิณฑบาตท่ี ๒ ท่ีเขา นอมเขาถวายเพ่ิมภายหลัง. ในขอที่ ๘ คําวา ผูถือการอยูปา คือผูถือการอยูใน สถานทที่ หี่ างไกลจากละแวกบานประมาณ ๕๐๐ ช่ัวคันธน.ู ภกิ ษุ ผูถ อื ธุดงคขอ นี้ ยอมปฏเิ สธการอาศยั อยใู นเสนาสนะตามละแวก บาน ยอมอยแู ตใ นเสนาสนะปาเทานนั้ . ในขอท่ี ๙ คําวา ผูถือการอยูโคนไม คือผูถือการอยู อาศัยเสนาสนะโคนไมคือใตตนไม. ภิกษุผูถือธุดงคขอนี้ ยอม ปฏเิ สธการอยอู าศัยในสถานท่มี งุ บงั อยางอ่นื มวี หิ าร กฏุ ิ เปน ตน ยอมอาศยั อยใู ตต น ไมเทา นั้น. ในขอ ท่ี ๑๐ คําวา ผถู อื การอยูในที่แจงเปน ปกติ คอื ผู ปฏิเสธการอาศัยอยูในท่ีมุงบังท้ังหลาย รวมท้ังโคนไม อยูแตในท่ี โลงแจง โดยการใชผา ทาํ เปนกระโจมขึ้น. ในขอท่ี ๑๑ คาํ วา ผูถือการอยูปาชา คือผูปฏิเสธการ อยูอาศัยในสถานท่ีท่ีไมใชปาชา ถือการอยูอาศัยเฉพาะในปาชา อันเปนท่ีท้ิงหรือเผาซากศพเทาน้ัน.
วรรคที่ ๔, อนุมานวรรค ๓๐๕ ในขอท่ี ๑๒ คําวา ผูถือเอาเสนาสนะตามที่เขาจัดแจง ให คือผูถือการอยูอาศัยในเสนาสนะตามท่ีภิกษุผูเปนเสนาสน- คาหาปกะ (ผูชี้ใหถือเอาเสนาสนะ) จัดแจงให คือระบุ. ภิกษุผู สมาทานธุดงคขอนี้ ยอมไมมักมากเลือกเสนาสนะอยูอาศัยตาม ความชอบใจ ยอมอยูอาศัยในเสนาสนะตามแตเขาจะจัดให. ในขอที่ ๑๓ คาํ วา ผูถือการน่ัง คือผูมีอิริยาบถนั่งเปน ทส่ี ดุ หมายความวา ทรงกายอยูในอริ ิยาบถ ๓ อยางเทา น้ัน ไมอยู ในทานอน. ภิกษุผูถือธุดงคในขอน้ี ยอมปฏิเสธการนอนเพ่ือ ประโยชนแ กก ารต่นื อยตู ลอดเวลา อริ ิยาบถทีพ่ ักผอ นอยา งมากก็ ทานั่งเทาน้ัน. นี้เปนความสังเขปย่ิงเก่ียวกับธุดงคทั้ง ๑๓ ขอ บัณฑิตพึงทราบความพิสดารเกี่ยวกับธุดงคท้ังหมด ตามท่ีทาน กลาวไวในปกรณวิสุทธิมรรคเถิด. เรื่องของ พระอุปเสนวังคันตบุตร ตอนท่ีกลาวถึงนี้ ปรากฏอยูในพระวินัยปฏก มีเน้ือความยอ ๆ อยางน้ี วา : ในสมัยหน่ึง ท่ีพระผูมีพระภาคประทับอยูที่สวนเชตวัน ของทานอนาถคฤหบดี ใกลกรุงสาวัตถีนั้น พระองคไดรับสั่งกะ ภิกษุทั้งหลายวา พระองคตองการจะอยูหลีกเรนตามลาํ พังแต เพียงผูเดียวตลอด ๓ เดือน ภิกษุรูปไหน ๆ ก็อยาไดเขาไปเฝา พระองค ยกเวนเฉพาะภิกษุผูที่จะนาํ อาหารเขาไปถวายเพียงรูป เดียวเทาน้ัน ภิกษุเหลานั้นไดสดับแลว ก็มาตั้งกติกากันวา ภิกษุ ทุกรูปตองทําตามรับส่ังอยางเครงครัด รูปใดฝาฝนรับส่ังเขาไป เขาเฝาพระศาสดา ใหถือวาภิกษุรูปนั้นตองอาบัติปาจิตตีย.
๓๐๖ กัณฑที่ ๕, อนุมานปญหา พระอุปเสนวังคันตบุตรพรอมทั้งบริษัทของทานมาจากท่ี ไกลเพือ่ เฝาพระศาสดา ทานแมว า ทราบกตกิ าของภกิ ษชุ าวเมอื ง สาวัตถีนั้นแลวก็ไมเยื่อใยเลย ตรงเขาไปเฝาพระศาสดาเลย ทีเดียว พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นอิริยาบถท่ีนาเล่ือมใสของ ภิกษผุ ทู รงผา บังสกุ ลุ รูปหนง่ึ ซึ่งเปน ศษิ ยข องทา นอปุ เสนวงั คันต- บุตรแลว ก็รับส่ังถามทานอุปเสนวังคันตบุตรถึงวิธีแนะนําส่ังสอน ศิษยของทาน ดังความท่ีปรากฏอยูในเน้ือหาของปญหานั้น ก็ ความเปนภิกษุผูทรงธุดงคของทานอุปเสนและท้ังบริษัทของทาน เปนเหตุใหภิกษุชาวเมืองสาวัตถีท้ังหลายผูอยากไดสิทธิพิเศษใน อันเขาเฝาพระศาสดาไดทุกเวลาตามท่ีตองการอยางพระอุปเสน และบริษทั คดิ เอาอยา งบาง จึงตระเตรียมการตาง ๆ เพ่ือความ เปนผถู ือธดุ งค โดยเรม่ิ ดว ยการทาํ เคร่ืองปลู าด (สนั ถัต) สําหรับ การน่ังในปาเปนตน ขึ้นมาใหม ท้ิงของเกาไป เปนเหตุใหพระ ศาสดาทรงบัญญัติสิกขาบทเกี่ยวกับสันถัตขึ้นอีกขอหนึ่ง. คําวา ขอนิสัย ความวา ในคราวขอบวชนั่นแหละ ก็ ขอนิสัย คือขอการอยูอาศัยรวมกับพระอุปชฌายหรืออาจารย. อธิบายวา ขอเปนศิษย. จบคาํ อธิบายปญหาท่ี ๒ จบอนุมานวรรคท่ี ๔ ในวรรคน้ี มี ๒ ปญหา จบอนมุ านปญ หากัณฑท ี่ ๕
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๓๐๗ กณั ฑที่ ๖, - โอปมมกถาปญ หา มาติกา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ภิกษุผูประกอบ พรอ มดว ยองคเทาไร ยอมกระทําพระอรหตั (ความเปน พระอรหนั ต) ใหแจงได?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ภิกษุผู ตอ งการกระทาํ พระอรหตั ใหแ จง ในพระศาสนานี้ คัทรภวรรคท่ี ๑ : พงึ ถือเอาองค ๑ แหงลา พงึ ถือเอาองค ๕ แหงไก พึงถอื เอาองค ๑ แหงกระแต พึงถอื เอาองค ๑ แหงแมเ สือเหลอื ง พึงถือเอาองค ๒ แหง พอเสือเหลอื ง พงึ ถอื เอาองค ๕ แหง เตา พึงถอื เอาองค ๑ แหงไมไผ พงึ ถอื เอาองค ๑ แหงธนู พึงถอื เอาองค ๒ แหงกา พึงถอื เอาองค ๒ แหง วานร สมุททวรรคท่ี ๒ : พึงถอื เอาองค ๑ แหงเถาน้ําเตา พงึ ถือเอาองค ๓ แหง บัวหลวง พึงถอื เอาองค ๒ แหง พชื
๓๐๘ มาตกิ า พึงถอื เอาองค ๑ แหงไมข านาง พึงถอื เอาองค ๓ แหงเรอื พึงถือเอาองค ๒ แหง เชือกโยงเรือ พึงถือเอาองค ๑ แหงเสากระโดงเรอื พึงถอื เอาองค ๓ แหงนายทา ยเรอื พึงถือเอาองค ๑ แหงกรรมกร พงึ ถือเอาองค ๕ แหง มหาสมทุ ร ปถวีวรรคที่ ๓ : พึงถือเอาองค ๕ แหงดิน พึงถือเอาองค ๕ แหง นํา้ พงึ ถอื เอาองค ๕ แหง ไฟ พงึ ถือเอาองค ๕ แหง ลม พงึ ถอื เอาองค ๕ แหง ภเู ขา พึงถือเอาองค ๕ แหงอากาศ พงึ ถอื เอาองค ๕ แหง พระจนั ทร พึงถือเอาองค ๗ แหงพระอาทิตย พงึ ถือเอาองค ๓ แหงทาวสกั กะ พงึ ถอื เอาองค ๔ แหง พระเจา จักรพรรดิ อปุ จิกาวรรคที่ ๔ : พึงถือเอาองค ๑ แหงปลวก พึงถอื เอาองค ๒ แหง แมว พึงถอื เอาองค ๑ แหง หนู พึงถือเอาองค ๑ แหง แมงปอง
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๓๐๙ พึงถือเอาองค ๑ แหงพงั พอน พึงถอื เอาองค ๒ แหง สนุ ขั จ้งิ จอก พงึ ถอื เอาองค ๓ แหงเนื้อ พงึ ถอื เอาองค ๔ แหง โค พงึ ถอื เอาองค ๒ แหง สกุ ร พงึ ถือเอาองค ๕ แหง ชา ง สหี วรรคท่ี ๕ : พงึ ถอื เอาองค ๗ แหงราชสหี พึงถอื เอาองค ๓ แหงนกจากพราก พงึ ถือเอาองค ๒ แหง นกเงอื ก พึงถือเอาองค ๑ แหง นกกระจอก พงึ ถอื เอาองค ๒ แหงนกเคา พงึ ถอื เอาองค ๑ แหงนกตระไน พึงถือเอาองค ๒ แหงคางคาว พงึ ถอื เอาองค ๑ แหง ปลงิ พงึ ถือเอาองค ๓ แหง งสู ามญั พงึ ถือเอาองค ๑ แหง งเู หลือม มกั กฏวรรคท่ี ๖ : พึงถอื เอาองค ๑ แหงแมงมมุ ตามหนทาง พงึ ถือเอาองค ๑ แหงทารกที่ยังติดนม มารดา พึงถือเอาองค ๑ แหงเตาเหลอื ง พึงถือเอาองค ๕ แหง ปา
๓๑๐ มาติกา กมุ ภวรรคที่ ๗ : พึงถอื เอาองค ๓ แหง ตน ไม (นอกวรรค) พงึ ถอื เอาองค ๕ แหง เมฆ พงึ ถอื เอาองค ๓ แหงแกว มณี พึงถือเอาองค ๔ แหง พรานเน้ือ พงึ ถือเอาองค ๒ แหงพรานเบด็ พงึ ถอื เอาองค ๒ แหง ชางถาก พงึ ถอื เอาองค ๑ แหงหมอ พงึ ถอื เอาองค ๒ แหง กาลักนํา้ พงึ ถอื เอาองค ๓ แหงรม พงึ ถือเอาองค ๓ แหง นา พงึ ถอื เอาองค ๒ แหง ยา พงึ ถือเอาองค ๓ แหง โภชนะ พึงถือเอาองค ๔ แหงนายขมังธนู พงึ ถอื เอาองค ๔ แหง พระราชา พงึ ถือเอาองค ๒ แหง นายประตู พงึ ถือเอาองค ๑ แหง หนิ ลับมีด พงึ ถอื เอาองค ๒ แหง ประทปี พึงถือเอาองค ๒ แหงนกยูง พึงถอื เอาองค ๒ แหงพอมา พงึ ถือเอาองค ๒ แหงคนขายเหลา พงึ ถือเอาองค ๒ แหงเสาเขอื่ น
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๓๑๑ พงึ ถือเอาองค ๑ แหง เครอ่ื งช่ัง พงึ ถือเอาองค ๒ แหง พระขรรค พงึ ถอื เอาองค ๒ แหง ปลา พงึ ถอื เอาองค ๑ แหง ลกู หน้ี พึงถอื เอาองค ๒ แหงคนเจ็บปวย พงึ ถอื เอาองค ๒ แหงคนตาย พงึ ถอื เอาองค ๒ แหง แมน ํา้ พงึ ถอื เอาองค ๑ แหงโคผู พึงถอื เอาองค ๒ แหงหนทาง พึงถือเอาองค ๑ แหงพนกั งานเกบ็ ภาษี พงึ ถอื เอาองค ๓ แหง โจร พึงถอื เอาองค ๑ แหงเหยย่ี ว พึงถือเอาองค ๑ แหงสุนขั พึงถือเอาองค ๓ แหงหมอยา พึงถอื เอาองค ๒ แหง หญิงมีครรภ พึงถือเอาองค ๑ แหง จามรี พงึ ถอื เอาองค ๒ แหงนกกะตอยตีวดิ พึงถอื เอาองค ๓ แหงแมน กเขา พึงถอื เอาองค ๒ แหงคนมตี าขางเดยี ว พงึ ถือเอาองค ๓ แหง ชาวนา พึงถือเอาองค ๑ แหงแมห มาไน
๓๑๒ มาตกิ า พึงถือเอาองค ๒ แหงผากรองนา้ํ พึงถือเอาองค ๑ แหงทัพพี พึงถือเอาองค ๓ แหงเจาหน้ี พึงถือเอาองค ๑ แหงพนักงานตรวจสอบ พึงถือเอาองค ๒ แหงนายสารถี พึงถือเอาองค ๒ แหงคนกินขาว พึงถือเอาองค ๒ แหงชางปะชุน พึงถือเอาองค ๑ แหงนายเรือ พึงถือเอาองค ๒ แหงแมลงภู
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๓๑๓ วรรคที่ ๑, คทั รภวรรค ปญ หาท่ี ๑, คัทรภังคปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๑ แหงลา’, องค ๑ ที่พึงถือเอาน้ัน เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ข้ึนช่ือวาลา จะไปนอนหมอบอยู ณ ท่ีใดท่ีหน่ึง ไมวาท่ีกองหยากเย่ือ ไมวา ท่ีทางส่ีแพรง ไมวาที่ทางเขาบาน ไมวาท่ีกองแกลบ, ยอมไมเปน ผูมากดวยการนอน ฉันใด, ขอถวายพระพร ภิกษุผูมีความเพียร เปนพระโยคาวจร ไปปูแผนหนังนอน ณ ท่ีใดที่หน่ึง ไมวาบน ลาดหญา ไมว า บนลาดใบไม ไมว า บนเตียงไม ไมวาใตเ งาไม ยอม ไมเปนผูมากดวยการนอน ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้ คอื องค ๑ แหงลาทีพ่ งึ ถอื เอา. ขอถวายพระพร พระผมู พี ระภาค ผูทรงเปนเทพย่ิงเหลาเทพ ทรงภาสิตความขอน้ีไววา : ‘กลิงฺค- รปู ธานา ภิกฺขเว เอตรหิ มม สาวกา วิหรนตฺ ิ อปฺปมตตฺ า อาตาปโน ปธานสมฺ ึ๑ - ดูกร ภกิ ษทุ ัง้ หลาย บดั น้ี สาวกทง้ั หลาย ของเรา ผูมีทอนไมเปนหมอน เปนผูไมประมาท มีความเพียร ประกอบในความเพียรอยู’ ดังน้ี, ขอถวายพระพร แมทานพระ สารีบุตรเถระก็ไดภาสิตความขอน้ีไววา : ๑. สํ. นิ. ๑๖/๓๑๗.
๓๑๔ วรรคท่ี ๑, คทั รภวรรค ‘ปลลฺ งเกน นิสนิ นฺ สฺส, ชณฺณเุ กนาภวิ สสฺ ติ อลํ ผาสวุ ิหาราย, ปหติ ตฺตสฺส ภกิ ขฺ ุโน๑ เสนาสนะ แควาฝนไมตกโดนเขา แหงภิกษุผู นั่งคูบัลลังกอยู ก็เพียงพอเพ่ืออยูอยางผาสุก สําหรับภิกษุผูมีตนอันสงไปแลว.’ ดังนี้.” จบคทั รภงั คปญ หาที่ ๑ คําอธิบายปญ หาท่ี ๑ ปญ หาเกย่ี วกบั องคแหง ลา ช่ือวา คทั รภังคปญหา. คาํ วา พึงถือเอาองค ๑ แหงลา คือพึงถือเอา ไดแกพึง สาํ เหนียกถึงความประพฤติเปนไปองค ๑ คือสวนหน่ึงแหงลา ใชเปนอุทาหรณสองใหเห็นเปนอุบาย เพ่ืออันเจริญคุณธรรม สวนท่ีเปรียบกันไดกับองค ๑ แหงลาน้ัน, แมในปญหาขอท่ี เหลือตอจากนี้ ก็มีนัยนี้. คาํ วา กลิงฺครูปธานา แปลวา มีทอนไมเปนหมอน. อีก อยางหนึ่ง คาํ วา “กลิงฺคร” หมายถึงกองแกลบก็ได. เพราะฉะน้ัน คาํ วา กลิงฺครูปธานา แปลวา มีกองแกลบเปนหมอนก็ได. คําวา ผมู ีตนอันสง ไปแลว คอื ผูมจี ิตอันสงไป ไดแ กนอ ม ไปสูพระนิพพานแลว ดวยอาํ นาจแหงการเห็นโทษของสังสารวัฏ แลวเล็งเห็นคุณของพระนิพพานน้ัน. ๑. ขุ. เถร. ๒๖/๔๔๗.
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๓๑๕ ปญหานี้ แสดงถึงความเปนผูมากดวยการใชเวลาใหลวง ไปดวยความเพียร ไมม กั มากในการนอนการหลบั โดยเทยี บกับลา ซง่ึ เปนสตั วทไ่ี มม กั มากในการนอนหลบั . จบคําอธบิ ายปญหาท่ี ๑ ปญ หาท่ี ๒, กกุ กุฏงั คปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๕ แหงไก’ องค ๕ ท่ีพึงถือเอานั้น เปนไฉน? “ พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวาไก ยอมหลีกเรนตามกาลอันควร ตามสมัยอันควร ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ปดกวาด ลานเจดีย ตั้งนํา้ ฉันน้ําใช ชาํ ระรางกาย อาบนํา้ ไหวเจดีย เขา ไปพบภิกษุผูใหญทั้งหลาย ตามกาลอันควร ตามสมัยอันควร แลว ก็เขาไปสูสุญญาคาร ฉันนั้น. ขอถวายพระพร นี้คือองค ที่หนึ่งแหงไก ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยงั มีอีกองคหนงึ่ ไกย อ มออก (จากทหี่ ลีก เรน) ตามกาลอันควร ตามสมัยอันควร ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็ออก (จากท่ีหลีกเรน) ตามกาล อันควร ตามสมัยอันควร มาปดกวาดลานเจดีย ต้ังน้ําฉัน นํ้าใช ชาํ ระสรีระ ไหวเจดีย เขาไปสูสุญญาคารอีกคร้ังหนึ่ง ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๒ แหงไก ท่ีพึง ถือเอา.
๓๑๖ วรรคท่ี ๑, คทั รภวรรค ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง ไกคุยเขี่ยพ้ืนดิน จิกกิน อาหารท่ีควรจะจิกกินได ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บาํ เพ็ญเพียร พิจารณาทุกครั้ง แลวจึงกลืนกินอาหารที่ควรกลืน กินอยางนี้วา ‘เราบริโภคอาหาร ไมใชเพื่อเลน, ไมใชเพ่ือมัวเมา, ไมใชเพื่อประดับ, ไมใชเพ่ือตกแตง, ทวาเพียงเพื่อความตั้งอยูได แหงกายนี้เทาน้ัน เพ่ือความเปนไปได เพ่ือระงับความเบียดเบียน เพื่ออนุเคราะหพรหมจรรย. โดยประการอยางน้ี เราจักกาํ จัด เวทนาเกา และจักไมยังเวทนาใหมใหเกิดขึ้น ความดําเนินไปได, ความไมมีโทษ และความอยูผาสุกจักมีแกเรา’ ดังน้ี ฉันน้ัน เหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๓ แหงไก ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพย่ิงเหลาเทพ ทรง ภาสิตความขอนี้ไววา : ‘กนฺตาเร ปุตฺตมํสํว, อกฺขสฺสพฺภฺชนํ ยถา เอวํ อาหริ อาหารํ, ยาปนตฺถมมุจฺฉิโต๑ ภิกษุพึงเปนผูไมสยบกลืนกินอาหารแตพอยัง รางกายใหเปนไปได เหมือน (สามีภรรยา) กลืน กินเนื้อบุตรในที่กันดาร เหมือน (พอคาเกวียน) ใชน้ํามันหยอดเพลา (เกวียน) ฉันนั้น.’ ดังนี้. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ไกแมวามีตาดีอยู ก็ยอมเปนไกตาบอดในตอนกลางคืน ฉันใด, ขอถวายพระพร ๑. วิสุทฺธิมคคฺ . ๑/๖๘.
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๓๑๗ พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ไมใชคนตาบอดเลย ก็พึงเปนราวกะ คนตาบอด. คือแมอยูในปา แมเท่ียวบิณฑบาตไปในโคจรคาม ก็พึงเปนราวกะคนตาบอด คนหูหนวก คนเปนใบ ในรูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ และธรรมท้ังหลายที่นายินดี, ไมพึงถือเอา นิมิต ไมพึงถอื เอาอนุพยัญชนะ ฉันนน้ั เหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๔ แหงไก ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ทานพระ- มหากัจจายนะ ไดภาสิตความขอน้ีไววา : ‘จกฺขุมาสฺส ยถา อนฺโธ, โสตวา พธิโร ยถา ปฺาวาสฺส ยถา มูโค, พลวา ทุพฺพโลริว อตฺตอตฺเถ สมุปฺปนฺเน, สเยถ มตสายิกํ๑ ภิกษุแมเปนผูมีตา ก็พึงเปนเหมืนอยางคนตาบอด, มีหู ก็พึงเปนเหมือนอยางคนหูหนวก, มีปญญา ก็พึงเปนเหมือนอยางคนเปนใบ, มีกําลัง ก็พึงเปน เหมือนอยางคนออนแอ, เมื่อกิจท่ีตนควรทําเกิดข้ึน พรอมแลว, (แมนอนแลว) เหมือนอยางคนนอน ตาย ก็พึงพิจารณากิจนั้น.’ ดังน้ี. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวาไก แมวาถกู ขวา งปาดว ยกอนดิน ไมค อ น ทอ นไม กย็ อมไมละเรอื นรงั ของตน ฉันใด, พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร แมตองทาํ การงาน เก่ียวกับจีวร แมตองทาํ งานเกี่ยวกับการกอสราง, แมตองทํา ๑. ข.ุ เถร. ๒๖/๓๘๕.
๓๑๘ วรรคท่ี ๑, คัทรภวรรค วัตรปฏิบัติ แมตองสอนพระบาลี ก็ไมละท้ิงโยนิโสมนสิการ ฉันน้ัน. ขอถวายพระพร เรอื นรงั ของตนแหง พระโยคนี ี้ คือโยนิโส- มนสิการ. ขอถวายพระพร นี้คือองคท ี่ ๕ แหง ไก ทพี่ ึงถอื เอา. ขอถวายพระพร พระผูม ีพระภาคผูทรงเปนเทพย่ิงเหลาเทพ ทรง ภาสิตความขอน้ีไว วา : ‘โก จ ภกิ ฺขเว ภิกขฺ ุโน โคจโร สโก เปตตฺ ิโก วิสโย, ยทิทํ จตตฺ าโร สตปิ ฏ านา๑ - ดูกร ภกิ ษุ ท้ังหลาย ก็อะไรเลาช่ือวาเปนโคจร เปนวิสัยบิดาตนแหงภิกษุ ตอบวา ไดแกสติปฏฐาน ๔’ ดังน้ี ขอถวายพระพร ทานพระ ธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ก็ไดภาสิตความขอนี้ไววา : ‘ยถา สุทนฺโต มาตงฺโค, สกํ โสณฺฑํ น มทฺทติ ภกฺขาภกฺขํ วิชานาติ, อตฺตโน วุตฺติกปฺปนํ ตเถว พุทฺธปุตฺเตน, อปฺปมตฺเตน วา ปน ชินวจนํ น มทฺทิตพฺพํ, มนสิการวรุตฺตมํ เหมือนอยางชางมาตังคะที่ฝกดีแลว, ยอมไม เหยียบยํา่ งวงของตน จึงรูถึงสิ่งท่ีเปนอาหารและ มิใชอาหารเล้ียงชีวิตของตน ฉันใด, ภิกษุผูเปน พุทธบุตรผูไมประมาท ก็ไมพึงเหยียบยํ่าคําตรัส ของพระชินวรพุทธเจา อันประเสริฐสูงสงดวย โยนิโสมนสิการ ฉันน้ัน.’ ดังน้ี. จบกุกกุฏังคปญหาที่ ๒ ๑. ส.ํ มหา. ๑๙/๑๙๐.
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๓๑๙ คําอธิบายปญหาที่ ๒ ปญหาเกย่ี วกบั องคแ หง ไก ช่อื วา กกุ กฏุ ังคปญ หา. คาํ วา ปดกวาดลานเจดีย ตั้งนาํ้ ฉันนํา้ ใช เปนคําพูด แสดงถึงความเปนผูไมบกพรองในวัตรท่ีควรทํา ณ ลานเจดีย (เจตยิ ังคณวัตร) วัตรท่คี วรทาํ ตอ ทา นผเู ปน อุปช ฌายแ ละอาจารย (อุปชฌายวัตร, อาจริยวัตร) แหงภิกษุ. ภิกษุ เขาไปพบภิกษุผูใหญท้ังหลาย ก็เพื่อจะถามถึง โรคภัยไขเ จบ็ ความไมส ะดวกสบายอะไร ๆ ตลอดทัง้ ถามปญ หา ในธรรมที่ตนยังไมรู หรือยังสงสัย. คาํ วา เขาไปสูสุญญาคาร คือเขาไปสูเรือนราง เรือนวาง เปลา เพ่ือประโยชนแกการปรารภความเพียร เจริญอธิกุศล. ก็คาํ วา “สุญญาคาร” น้ี เปนเพียงทานกลาวถึงเสนาสนะท่ีเหมาะสม แกการปรารภความเพียรเทาน้ัน. คาํ วา ไมใชเพ่ือเลน คือไมใชเพ่ือเลนเหมือนอยางการ บริโภคอาหารของเด็ก ๆ ท่ีมุงแตจะเลน. คําวา ไมใชเพื่อมัวเมา คือไมใชเพ่ือมัวเมาในกําลัง เหมือนอยางการบริโภคของคนท่ีใชกาํ ลังท้ังหลาย มีพวกนักมวย เปนตน และไมใชเพื่อมัวเมาในความเปนชาย. คําวา ไมใชเพื่อประดับ คือไมใชเพื่อประดับ เหมือน อยางการบริโภคของชนท้งั หลาย มนี ักฟอนนกั ระบําเปนตน ความ วาไมใ ชเ พ่อื ความมผี ิวพรรณเปลง ปลง่ั .
๓๒๐ วรรคที่ ๑, คัทรภวรรค คาํ วา ไมใชเพื่อตกแตง คือไมใชเพ่ือตกแตงอวัยวะ ทาํ อวัยวะนอยใหญใหอิ่มเอิบ. คาํ วา เพื่อความต้ังอยูไดแหงกายนี้ ฯลฯ เพ่ือ อนุเคราะหพรหมจรรย คือเพ่ือความตั้งอยูไดแหงชีวิต เพ่ือ ความเปนไปไมขาดสายแหงชีวิต เพื่อระงับความเบียดเบียนคือ ความหิว เพ่ืออนุเคราะหพรหมจรรยคือพระศาสนาทั้งสิ้น และ พระอริยมรรค. คําวา โดยประการอยางนี้ เราจักกําจัดเวทนาเกา ฯลฯ และความอยูผ าสุกจกั มีแกเ รา คอื โดยการบรโิ ภคอาหารนี้ เราจักกําจัดเวทนาเกาคือความหิว และจักไมยังเวทนาใหมคือ ทุกขเพราะการบริโภคมากเกินไปใหเกิดขึ้น ความดําเนินไปไดคือ ความเปนไปไดตลอดกาลนาน ความไมมีโทษคือความเวนจาก โทษอันเกิดจากบริโภคอยางไมพิจารณา และความอยูผาสุก คือ ความสบายกาย ความเบา ความคลองแคลวแหงกาย เพราะการ บริโภคอยางพอดี ไมเ กนิ ประมาณ จักมแี กเรา. ควรดูความพิสดาร ทง้ั หมดในวิสุทธมิ รรค. ในอุปมาเกี่ยวกับการกินเน้ือบุตร : มีเรื่องวา สามีภรรยา เดินทางไกลไปพรอมกับบุตรนอย ตอมาเสบียงหมดลงในทาง กันดาร บุตรนอยอดขาวอดนา้ํ อยูนานเขาก็ตายไปกอน สองสามี ภรรยาผูเศราโศกเพราะคิดถึงบุตร ปรึกษากันวา ทาํ ไฉนหนอ เราจึงจะไมอดตายอยูทามกลางแดนทุรกันดารเชนนี้ ท้ังสอง จําตองยอมรับวา เราจาํ เปนตองอาศัยเน้ือบุตรผูเปนท่ีรักของเรา
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๓๒๑ น่ีแหละจึงจะพนภัยเชนนี้ได เห็นพองกันแลวก็บริโภคเนื้อบุตร ดวยจิตใจหมนหมอง หอเหี่ยว ไมมีความยินดี ไมมีความ บันเทิงในการบริโภคน้ันเลย ไมเล็งเห็นประโยชนอะไร ๆ ในเน้ือ บุตรอยางอ่ืน นอกไปจากความเปนปจจัยชวยใหพนจากความ อดตายและเกิดกาํ ลังเดินไปจนพนทางกันดารเทานั้น ขอนี้ ฉันใด, พระโยคาวจรก็ยอมบริโภคอาหารโดยกําหนดประโยชน เอาไววา เราจําตองบริโภคก็เพียงเพื่อกาํ จัดเวทนาเกาเปนตน เทานั้นเทียว ดังนี้แลวก็ไมมีความยินดี ไมมีความบันเทิงใน การบริโภคน้ันเลย ไมเล็งเหน็ ประโยชนอะไร ๆ ในอาหารอยา งอ่ืน อันนอกไปจากความเปนปจจัยชวยใหเกิดกําลังเดินไป คือ ปฏิบัติไปจนพนหนทางกันดารคือภพท้ังหลาย ฉันน้ันเหมือนกัน แมเกี่ยวกับอุปมาเร่ืองพอคาเกวียนคอยหยอดเพลาเกวียน เพื่อ เกวียนจะไดเดินทางไปจนบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง ก็มีนัยนี้ แหละ. คาํ วา แมเปนผูมีตา ก็พึงเปนเหมือนอยางคนตาบอด คือแมเปนผูมีตา ก็เหมือนไมมี เพราะเหตุที่ใชประโยชนเพียงนิด หนอยเทาท่ีจาํ เปนเทาน้ัน กลาวคือ ไมเหลียวดูขางนั้นขางนี้ วนุ วาย ทวา สาํ รวมดวยอํานาจการกําหนดประโยชนเ สียกอนแลว จงึ ดู คอื ถาเห็นวา มปี ระโยชนกด็ ู ถา เห็นวาไมม ปี ระโยชนก ็ไมด ู แม เก่ียวกับคําวา มีหู ก็เปนเหมือนอยางคนหูหนวก ก็มีนัยน้ี แหละ.
๓๒๒ วรรคที่ ๑, คทั รภวรรค คาํ วา มีปญ ญา ก็พึงเปนเหมือนอยา งคนใบ คือเปน คนมีปญญาก็ไมแสดงตัว กลาวโออวดความรูของตนแกคนอ่ืน ปดปากเฉย ราวกะวาไมมคี วามรู. คําวา มีกําลัง ก็พึงเปนเหมือนอยางคนออนแอ คือ ท้ัง ๆ ที่มีกาํ ลัง ก็ไมใชกาํ ลังนั้นขมเหงเบียดเบียนผูอ่ืน เหมือน อยางคนออนแอท่ีกลวั คนมีกําลงั มากกวา จะขมเหงเอา ฉะนนั้ . คําวา เม่ือกิจท่ีตนควรทําเกิดขึ้นพรอมแลว ฯลฯ ก็ พงึ พจิ ารณากจิ นน้ั ความวา เม่ือกจิ เกยี่ วกับวัตรปฏบิ ตั ทิ ค่ี วรทาํ ก็ดี กิจเก่ียวกับมนสิการกรรมฐานท่ีตนควรทาํ ก็ดี เกิดขึ้นพรอม แลว คือไดเวลาไดโอกาสท่ีเหมาะสมจะทาํ แลว แมถึงเวลานอน ลมตัวลงนอนแลวเหมือนอยา งคนตาย เพราะมกี ายสงบ มอี วัยวะ ใหญนอยสงบ ไมพลิกกายไปขางน้ันขางน้ีวุนวาย ดวยอาํ นาจ ความสาํ รวม ก็พงึ พจิ ารณากจิ น้นั คอื พึงใสใ จสาํ เหนียกในอนั ทาํ กจิ นัน้ ทเ่ี หมาะสม และสามารถจะทําไดใ นคราวน้นั ๆ. สติท่ีเขาไปตั้งท่ีอารมณ มีกายเปนตน ชื่อวาสติปฏฐาน มี ๔ อยางคือ ๑. กายานุปสสนาสติปฏฐาน อันไดแกสติที่เปนไป กับปญญาตามพิจารณาเห็นกาย คือรูปกาย ๒. เวทนานุปสสนา สติปฏฐาน อันไดแกสติท่ีเปนไปกับปญญาตามพิจารณาเห็น เวทนา. ๓. จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน อันไดแกสติท่ีเปนไปกับ ปญญาตามพิจารณาเห็นจิต. ๔. ธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน อันไดแกสติที่เปนไปกับปญญาตามพิจารณาเห็นธรรม. เพราะ เหตุน้ัน จึงเรียกวา สติปฏฐาน ๔.
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๓๒๓ คาํ วา เปนโคจร เปนวิสัยบิดาตน คือ เปนอารมณเปน เขตแดนที่เที่ยวไปเปนประจําแหงจิตของพระสัมมาสัมพุทธเจาผู เปนบิดาของตน. คาํ วา ชางมาตังคะ ไดแกชางพลาย. คําวา ยอมไมเหยียบยํ่างวงของตน คือเห็นคุณแหง งวงของตนแลวก็ไมเหยียบยํ่า คือไมดูถูกดูหมิ่น. จบคําอธิบายปญ หาท่ี ๒ ปญ หาที่ ๓, กลันทกังคปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๑ แหงกระแต’ องค ๑ ที่พึงถือเอาน้ัน เปน ไฉน? “ พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา กระแต เมอื่ ศตั รปู รากฏก็เคาะหาง ทาํ ใหพองใหญขึ้น ใชหางเปนไมตะบองสูศัตรู ฉันใด, พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร เมื่อศัตรูคือกิเลสปรากฏ ก็ยอมเคาะไมตะบองคือสติปฏฐาน ทํา ใหพองใหญข้ึน ใชไ มต ะบองคือสตปิ ฏ ฐานสกู เิ ลสทั้งปวง ฉนั นนั้ เหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองค ๑ แหง กระแตท่พี งึ ถอื เอา. ขอถวายพระพร ทานพระจูฬปนถกเถระไดภาสิตความขอน้ีไว วา :- ‘ยทา กเิ ลสา โอปตนตฺ ิ, สามฺ คณุ ธํสนา สตปิ ฏ านลคุเฬน, หนตฺ พพฺ า เต ปนุ ปปฺ ุนํ
๓๒๔ วรรคท่ี ๑, คทั รภวรรค เม่ือใด กิเลสท้ังหลายอันเปนเครื่องกําจัดคุณแหง ความเปนสมณะ ปรากฏ เมื่อนั้น พระโยคาวจร พึงใชไมตะบองคือสติปฏฐาน กาํ จัดกิเลสเหลาน้ัน บอย ๆ เถิด.’ จบกลันทกปญหาท่ี ๓ คาํ อธิบายปญหาที่ ๓ ปญหาเกย่ี วกับองคแหงกระแต ชอื่ วา กลนั ทกงั คปญหา. กิเลสท้ังหลาย ชื่อวา เปนเครื่องกําจัดคุณแหงความ เปนสมณะ เพราะเปน ปฏิปก ษต อคุณแหงความเปน สมณะ มีศีล เปน ตน โดยประการทีก่ าํ เริบขึน้ แลว กท็ ําคณุ แหง ความเปน สมณะ น้ันใหพินาศไป. จบคําอธบิ ายปญ หาที่ ๓ ปญหาที่ ๔, ทปี นิยงั คปญ หา พระเจามลิ นิ ท : “พระคุณเจานาคเสน ทา นกลา ววา ‘พงึ ถือเอาองค ๑ แหงแมเสือเหลอื ง’ องค ๑ ท่พี งึ ถือเอานนั้ เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา แมเสือเหลือง พอถือเอาครรภไ ดค รงั้ เดียวเทา นัน้ กไ็ ม เขาใกลตัวผูอีก ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญ เพียร คร้นั เห็นปฏสิ นธใิ นอนาคต ความอบุ ัติ ความเปน สตั วอ ยใู น ครรภ จุติ ความแตกทําลาย ความส้ินไป ความพินาศไป ภัยใน
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๓๒๕ สังสารวัฏ ทุคติ วาไมสงบ วาบีบค้ันแลว ก็พึงกระทาํ โยนิโส- มนสกิ ารวา ‘เราจักไมปฏสิ นธิในภพใหมอ กี ’ ฉนั นน้ั เหมอื นกนั ขอ ถวายพระพร นีค้ ือองค ๑ แหงแมเ สือเหลืองท่ีพงึ ถอื เอา. ขอถวาย พระพร พระผูมีพระภาค ผูทรงเปนเทพย่ิงเหลาเทพ ทรงภาสิต ความขอน้ีไวใน ธนิยโคปาลกสูตร ในสุตตนิบาต วา :- ‘อุสโภริว เฉตฺว พนฺธนานิ นาโค ปูติลตํว ทาลยิตฺวา นาหํ ปุนุเปสฺสํ คพฺภเสยฺยํ อถ เจ ปตฺถยสี ปวสฺส เทว.๑ ดูกร ทานวัสสุเทพ เราตัดกิเลสท้ังหลายได ดุจ โคอุสภะตัดเชือกท่ีผูกอยูได ดุจชางทําลาย เถาหัวดวนได ฉะนั้น เราจึงไมเขาถึงครรภเปน ท่ีอยูอีก เพราะฉะน้ัน ถาหากวา ทานตองการ (จะตก) ก็จงตกลงมาเถิด.’ ดงั น”้ี . จบทีปน ยิ งั คปญ หาที่ ๔ คาํ อธิบายปญ หาท่ี ๔ ปญหาที่วาดวยองคแหงแมเสือเหลือง ชื่อวา ทีปนิยังค- ปญหา. ๑. ข.ุ ส.ุ ๒๕/๓๗๔.
๓๒๖ วรรคที่ ๑, คทั รภวรรค คําวา เห็นปฏิสนธิในอนาคต คือเห็นปฏิสนธิในภพ ตอไป เพราะกรรมที่ไดทาํ ไวในภพน้ีเปนปจจัย. คาํ วา ความอุบัติ คือปฏิสนธิในภพน้ี เพราะกรรมที่ไดทํา ไวในภพกอน เปนปจจัย. คําวา ความเปนสัตวอยูในครรภ คือความเปนสัตวอยู ในครรภ ในภพนี้ และในภพอนาคต. คาํ วา จุติ คือจุติ (ความเคล่ือนจากภพ, ตาย) ในภพอดีต และในภพน้ี. คําวา ความแตกทาํ ลาย คือสภาวะทแี่ ตกหกั ไป เพราะ ความเปนของไมเที่ยงแหงขันธทั้งหลาย. แมคําวา ความส้ินไป, ความพินาศไป ก็มีนัยนี้. เปนอันทานกลาวถึงการเห็นดวย วิปสสนาญาณท่ีมีกําลัง. คําวา ก็พึงกระทําโยนิโสมนสิการวา “เราจักไม ปฏิสนธิในภพใหมอีก” คือปรารภความเพียร เจริญกรรมฐาน ดวยมีมนสิการวา “เราจะอาศัยปฏิปทาน้ี เพื่อการไมปฏิสนธิ ไมเกิดในภพตอ ๆ ไป อีก”. คําวา ดูกร ทานวัสสุเทพ เปนตน เปนพระดํารัสของ พระผูมีพระภาค ที่ตรัสกะนายธนิยะเจาของโค ผูซ่ึงจัดการงาน ของตนไดเสร็จสมบูรณ โดยประการท่ีฝนตกลงมาก็ไมอาจทาํ ให เดือดรอน เสียหายไดแลว ก็เกิดปติโสมนัส เปลงวาจาทาใหฝน ตกลงมา.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 548
Pages: