วรรคท่ี ๓, เวสสันตรวรรค ๑๗๗ ดับไปเพราะหมดเช้อื , บคุ คลยอ มกลาวถึงไฟกองนั้นวา ‘ช่ือวา เปน ไฟท่ีไมม ภี ัยแลว ไมม อี นั ตรายแลว ดับไปแลวในสมัยทคี่ วรดบั ’ ดงั น้ี ฉนั ใด, ขอถวายพระพร บุคคลใดบุคคลหน่งึ เปน อยูไ ดห ลาย พนั วัน แกห งอ มเพราะชรา เปน ผูไมมีภยั ไมมีอันตราย ตายไป เพราะส้ินอายุ, ใคร ๆ กย็ อ มกลาวถึงบุคคลนนั้ วา ‘เขาเปน ผูเขา ถึง ความตายในสมัยทส่ี มควร’ ดงั นี้ ฉนั นนั้ เหมอื นกนั . ขอถวายพระพร อีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา กองไฟ กองใหญ ๆ ติดหญา ไมแหง กิ่ง กาน ใบ เมื่อยังมิไดทันไดทําให หญา ไมแ หง กง่ิ กาน ใบ ใหมอดไปเลย ฝนหาใหญ ๆ ก็กระหนา่ํ ลงมา ทําใหดับไป, ขอถวายพระพร กองไฟกองใหญ ๆ ช่ือวาดับ ไปแลวในสมยั ทค่ี วรดับหรอื ไร?” พระเจา มิลนิ ท : “หามิได พระคุณเจา .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เพราะเหตุไร กองไฟกอง หลังจงึ ไมม ีคตเิ สมอเหมอื นไฟกองแรกเลา?” พระเจา มิลนิ ท : “เพราะไฟกองหลังนน้ั ถกู เมฆฝนที่จรมา กําราบเสยี จึงดับไปในสมัยทไี่ มควรดบั พระคณุ เจา .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน บุคคลใดบุคคลหน่ึง ยอมตายไปในเวลาที่ไม สมควร, คือวา บุคคลนั้นถูกโรคที่จรมาบีบคั้น คือถูกโรคท่ีมี ลมเปนสมุฏฐานบาง โรคท่ีมีดีเปนสมุฏฐานบาง โรคท่ีมีเสมหะ เปน สมุฏฐานบา ง โรคสนั นบิ าตบาง, ความแปรปรวนแหงอุตุบา ง, การบริหารที่ไมดีบาง ความพยายามบาง, ความหิวบาง, ความ
๑๗๘ กัณฑที่ ๕, อนุมานปญหา กระหายบาง, งูที่กัดบาง, ยาพิษท่ีด่ืมบาง, ไฟบาง, น้าํ บาง อํานาจอาวุธมีหอกหลาวเปนตนบาง บีบค้ันแลวก็ยอมตายไปใน เวลาทีไ่ มสมควร, ขอถวายพระพร ขอที่วามาน้ี เปน เหตุผลในเร่ือง ความตายในเวลาท่ีไมส มควรน,้ี ที่นบั เปน เหตใุ หก ลา วไดว า ความ ตายในเวลาที่ไมสมควร ก็มอี ยู. ขอถวายพระพร อีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา เมฆฝน กลมุ ใหญ ๆ ต้งั ครึม้ ขน้ึ ในทองฟาแลว กต็ กกระหน่ํา ทําทีล่ มุ และท่ี ดอนใหเตม็ , บุคคลยอ มกลา วถึงเมฆฝนกลมุ น้ันวา ‘ช่ือวา เปนเมฆ ฝนทไ่ี มมีภยั ไมมีอนั ตรายตกลงมา’ ดังน้ี ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคลใดบคุ คลหน่งึ เปนอยไู ดยนื นาน แกหงอมเพราะชรา เปนผู ไมม ีภยั ไมมีอนั ตราย ตายไปเพราะสนิ้ อาย,ุ ใคร ๆ กย็ อ มกลา วถงึ บุคคลน้ันวา ‘เขาเปนผูท่ีเขาถึงความตายในเวลาท่ีสมควร’ ดังนี้ ฉนั นัน้ เหมอื นกนั . ขอถวายพระพร อีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา เมฆฝน กลุม ใหญ ๆ ต้ังคร้มึ ข้นึ ในทองฟา แลว กถ็ ูกลมแรงพัดใหล วงเลย ไปเสียในระหวาง, ขอถวายพระพร เมฆฝนกลุมใหญน้ัน ช่ือวา ปราศไปในสมยั ทสี่ มควรปราศไปหรอื อยา งไร?” พระเจามิลนิ ท : “หามิได พระคุณเจา .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เพราะเหตไุ ร เมฆฝนกลมุ หลังจึงไมม คี ตเิ สมอเหมอื นเมฆฝนกลมุ แรกเลา ?” พระเจามิลินท : “เพราะเมฆฝนกลุมหลังถูกลมที่จรมา กําราบเสีย จึงปราศไป ยังไมถึงสมัยท่ีสมควร พระคุณเจา.”
วรรคที่ ๓, เวสสนั ตรวรรค ๑๗๙ พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้นั เหมอื นกนั บคุ คลใดบุคคลหนง่ึ ยอ มตายในเวลาทไ่ี มสมควร, คือวา บุคคลน้ันถูกโรคที่จรมาบีบค้ันแลว คือถูกโรคที่มีลมเปน สมุฏฐานบาง, ฯลฯ ถูกอาวุธมีหอกหลาวเปนตนบางบีบคั้น แลว ก็ยอมตายไปในเวลาท่ีไมสมควร, ขอถวายพระพร ขอท่ีวามานี้ เปนเหตุผลในเร่ืองความตายในเวลาท่ีไมสมควร นี้, ท่ีนับเปน เหตุใหกลาวไดวา ความตายในเวลาที่ไมสมควร ก็มีอยู. ขอถวายพระพร อกี อยา งหนึ่ง เปรียบเหมือนวา อสรพษิ ที่ มพี ิษรา ยแรง ขุนเคืองขนึ้ มา กก็ ัดเอาบุรษุ คนหนง่ึ เขา , พษิ ของงู น้ันพึงทําใหตายไดอยางหาส่ิงปองกันมิได หาสิ่งขวางกั้นมิได, คนทั้งหลายยอมกลาวถึงพิษงูน้ันวา ‘เปนพิษที่หาส่ิงปองกันมิได หาสงิ่ ขวางกน้ั มิได จัดวา เปนพษิ ที่ถึงยอด’ ดังนี้ ฉันใด, ขอถวาย พระพร บุคคลใดบุคคลหนงึ่ เปนอยูไ ดย นื นาน แกหงอ มเพราะชรา เปน ผูไมมีภัย ไมมีอันตราย ตายไปเพราะสิ้นอายุ, ใคร ๆ ก็ ยอมกลาวถึงบุคคลผูน้ันวา ‘เขาเปนผูไมมีภัย ไมมีอันตราย จัดวาถึงยอดแหงชีวิต เขาถึงความตายในสมัยท่ีสมควร’ ดังนี้ ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร อกี อยา งหนึ่ง เปรียบเหมอื นวา เมอื่ บุคคล ผนู นั้ ถกู อสรพษิ ทีม่ ีพษิ รายแรงกัดเอาแลว หมองกู จ็ ัดยาทําใหห มด พษิ เสียไดในระหวา งเทยี ว, ขอถวายพระพร พษิ งนู ้ัน ชอ่ื วาเปน พษิ ทหี่ มดไปในสมยั ทส่ี มควรหมดไปหรอื ไร?” พระเจามลิ นิ ท : “หามไิ ด พระคุณเจา.”
๑๘๐ กณั ฑท่ี ๕, อนุมานปญหา พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เพราะเหตุไรพษิ ครัง้ หลัง จึงไมม คี ติเสมอเหมือนพษิ ครง้ั กอนเลา ?” พระเจามิลินท : “พิษคร้ังหลังถูกหมองูท่ีจรมากาํ ราบเสีย ยังไมทันถึงที่สุดเลย ก็ปราศไปพระคุณเจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน บุคคลใดบุคคลหน่ึง ยอมตายเสียในเวลาท่ี ไมสมควร, คือวา บุคคลนั้นถูกโรคท่ีจรมาบีบคั้น, คือถูกโรคท่ีมี ลมเปนสมุฏฐานบาง ฯลฯ ถูกอาวุธมีหอกหลาวเปนตนบางบีบ ค้ันแลวก็ยอ มตายไปในเวลาที่ไมส มควร, ขอ ท่วี า มาน้ี เปนเหตผุ ล ในเรื่องความตายในเวลาท่ีไมสมควร น้ี, ท่ีนับเปนเหตุใหกลาว ไดวา ความตายในเวลาที่ไมสมควร ก็มีอยู. ขอถวายพระพร อีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา นาย ขมังธนู พึงยิงลูกศรไป, ถาหากวาลูกศรน้ันแลนไปตามเสนทาง ท่ีควรจะไปจนถึงปลายทางได, คนทั้งหลายยอมกลาวถึงลูกศร นั้นวา ‘ชื่อวาเปนลูกศรที่หาอะไรขัดขวางมิได หาอะไรทํา อันตรายมิได จึงแลนไปตามเสนทางที่ควรจะไปจนถึงปลายทาง ได’ ดังนี้ ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคลใดบุคคลหน่ึง เปนอยูได ยืนนาน เปนผูไมมีภัย ไมมีอันตราย แกหงอมเพราะชราตายไป เพราะส้ินอายุ, ใคร ๆ กลาวถึงบุคคลนั้นวา ‘เขาเปนผูไมมีภัย ไมมีอันตราย เขาถึงความตายในสมัยท่ีสมควร’ ดังนี้ ฉันนั้น เหมือนกัน.
วรรคท่ี ๓, เวสสนั ตรวรรค ๑๘๑ ขอถวายพระพร อีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา นายขมัง ธนูยิงลูกศรไป, บุรุษคนหน่ึงจับลูกศรของเขาไวไดในขณะนั้น นั่นเอง, ขอถวายพระพร ลูกศรน้ันช่ือวาเปนลูกศรท่ีแลนไปตาม เสนทางท่ีควรจะไปจนถึงปลายทางหรือไร?” พระเจามิลนิ ท : “หามิได พระคุณเจา .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เพราะเหตไุ รลกู ศรอันหลงั จงึ ไมม ีคติเสมอเหมือนลกู ศรอนั แรกเลา?” พระเจา มลิ นิ ท : “เพราะลูกศรท่แี ลน ไปนนั้ ถูกบรุ ษุ ผูจบั ไว ไดน ้ันตดั (การแลน ไป) เสยี ไดพระคณุ เจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลใดบุคคลหน่ึง ยอมตายไปในเวลาที่ไม สมควร, คือวา บุคคลนั้นถูกโรคที่จรมาบีบคั้น คือถูกโรคท่ีมีลม เปนสมุฏฐานบาง ฯลฯ ถูกอาํ นาจอาวุธมีหอกหลาวเปนตนบาง บีบค้ันแลว ก็ยอมตายไปในเวลาที่ไมสมควร, ขอที่วามานี้ เปน เหตุผลในเรื่องความตายในเวลาท่ีไมสมควรน้ี, ท่ีนับเปนเหตุให กลาวไดวา ความตายในเวลาท่ีไมสมควร ก็มีอยู. ขอถวายพระพร อีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา บุคคลใด บุคคลหน่ึง เคาะภาชนะที่ทาํ ดวยโลหะ, เสียงบังเกิดเพราะการ เคาะภาชนะนนั้ แลว ก็ดงั ไปตามเสนทางท่ีควรจะดังไปจนถึงทสี่ ดุ คนท้ังหลายยอมกลาวถึงเสียงน้ันวา ‘ช่ือวาเปนเสียงท่ีหาอะไร ขัดขวางมิได หาอะไรทาํ อันตรายมิได ยอมดังไปตามเสนทางท่ี ควรดงั ไปจนถึงทส่ี ดุ ’ ดังน้ี ฉนั ใด, ขอถวายพระพร บคุ คลใดบคุ คล
๑๘๒ กัณฑท ี่ ๕, อนุมานปญหา หนึ่ง เปน อยไู ดหลายพนั วัน แกห งอ มเพราะชรา เปนผไู มมภี ัย ไมมี อันตราย ตายไปเพราะสิ้นอายุ, คนท้ังหลายยอมกลาวถึงบุคคล น้ันวา ‘เขาเปนผูไมมีภัย ไมมีอันตราย เขาถึงความตายในสมัยท่ี สมควร’ ดังน้ี ฉันนน้ั เหมือนกัน ขอถวายพระพร อีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา บุคคลใด บคุ คลหนึง่ เคาะภาชนะทท่ี ําดวยโลหะ เสียงพงึ บังเกดิ เพราะการ เคาะภาชนะนัน้ เม่อื เสยี งที่บังเกิดแลว ยังไปไดไมไกล กม็ ีบรุ ุษคน หนึ่งดักจับเสียงนั้นไวได, เสียงพึงดับไปพรอมกับการดักจับ, ขอ ถวายพระพร เสียงน้ันชื่อวาเปนเสียงที่ดังไปตามเสนทางท่ีควรจะ ดงั ไปจนถึงทส่ี ุดหรอื ไร?” พระเจามิลนิ ท : “หามิได พระคุณเจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เพราะเหตไุ ร เสยี งครงั้ หลงั จงึ ไมมคี ตเิ สมอเหมอื นเสียงครั้งแรกเลา ?” พระเจามลิ นิ ท : “เพราะมกี ารจรเขา มาดักจบั ไว เสยี งครั้ง หลงั นน้ั จงึ ดบั ไป พระคณุ เจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัย ก็ฉันน้ันเหมือนกัน บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ยอมตายไปในเวลาที่ไม สมควร, คือวา บุคคลน้ันถูกโรคที่จรเขามาบีบค้ันบาง ฯลฯ ถูก อาวุธมีหอกหลาวเปนตน บีบค้ันบาง ก็ยอมตายไปในเวลาที่ไม สมควร, ขอที่วามาน้ี เปนเหตุผลในเรื่องความตายในเวลาที่ไม สมควร น,้ี ซงึ่ เปน เหตใุ หก ลาวไดวา ความตายในเวลาท่ไี มส มควร ก็มีอยู.
วรรคท่ี ๓, เวสสันตรวรรค ๑๘๓ ขอถวายพระพร มหาบพิตร อีกอยางหน่ึง เปรียบ เหมือนวา ธัญญพืชท่ีงอกดีแลวในนายอมเปนธรรมชาติท่ีมีผล มากมาย เกลือ่ นกลน แผค ลมุ ไปทว่ั ดาํ เนินไปจนถงึ สมัยท่ีมฐี านะ เปนขา วกลา ได เพราะมีฝนตกด,ี คนทง้ั หลายยอมกลาวถึงธญั ญ- ชาติน้ันไดวา ‘เปนขาวที่ชื่อวาหาภัยมิได หาอันตรายมิได เปนไป จนถึงสมัยอันควร’ ดังนี้ ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคลใดบุคคล หน่งึ เปนอยตู ลอดหลายพนั วนั แกห งอ มเพราะความชรา เปนผไู ม มภี ัย ไมม ีอนั ตราย ตายไปเพราะสน้ิ อาย,ุ ยอมกลาวถึงบุคคลนัน้ ไดวา ‘เปนผูหาภัยมิได หาอันตรายมิได เขาถึงความตายในสมัย ท่ีสมควร’ ดังน้ี ฉันน้ันเหมอื นกัน. ขอถวายพระพร อีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา ธัญพืชท่ี งอกดีแลวในนา พึงเสียหายตายไปเสียเพราะขาดนํา้ , ขอถวาย พระพร ธัญญชาติน้ันชื่อวาเปนธัญญชาติท่ีถึงสมัยอันควรหรือ ไร?” พระเจา มิลนิ ท : “หามไิ ด พระคณุ เจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เพราะเหตุไร ธัญญชาติ คร้งั หลังจงึ ไมมีคติเสมอเหมอื นธัญญชาตคิ รั้งแรกเลา ?” พระเจามิลินท : “เพราะมีความรอนจรเขามา ธัญญชาติ นน้ั จงึ ตายไปเสยี พระคณุ เจา .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน บุคคลใดบุคคลหน่ึง ยอมตายไปในเวลาท่ีไม สมควร, คือวา บุคคลนั้นถูกโรคท่ีจรเขามาบีบค้ันบาง ฯลฯ ถูก
๑๘๔ กัณฑท ี่ ๕, อนมุ านปญหา อาวุธมีหอกหลาวเปนตน บีบคั้นบาง ก็ยอมตายไปในเวลาท่ีไม สมควร, ขอถวายพระพร ขอท่ีวามานี้ เปนเหตุผลในเรื่องความ ตายในเวลาท่ีไมสมควรนี้, ซึ่งเปนเหตุใหกลาวไดวาความตายใน เวลาทไี่ มสมควร มอี ยู, ขอถวายพระพร พระองคเคยทรงสดับหรือไมวา ขาวกลา ออนสมบูรณ มีหนอนเกิดข้ึนมาแลวก็ทาํ ใหเสียหายไปพรอมท้ัง ราก?” พระเจามิลินท : “ขาพเจาเคยไดยิน พระคุณเจา เคยเห็น ดว ย.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ขาวกลานั้นชื่อวา เสีย หายไปในเวลาท่ีสมควร, หรือวาเสียหายไปในเวลาที่ไมสมควร เลา ?” พระเจามิลินท : “ในเวลาท่ีไมสมควร พระคุณเจา, พระคุณเจา, ถาหากวาขาวกลาน้ันไมถูกพวกหนอนกัดกินไซร มันก็จะเปนไปจนถึงสมัยเกี่ยวขาว.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ขาวกลายอมพินาศไป เพราะหนอนผูจรเขามาทําลาย, ขาวกลาที่ปราศจากหนอนผู ทาํ ลาย ยอมเปนไปจนถึงสมัยเก่ียวขาว ใชหรือไม?” พระเจามิลินท : “ใช พระคุณเจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ยอมตายไปในเวลาท่ี ไมสมควร, คือวา บุคคลนั้นถูกโรคท่ีจรเขมาบีบค้ันเอาบาง ฯลฯ
วรรคท่ี ๓, เวสสนั ตรวรรค ๑๘๕ ถูกอาวุธมีหอกหลาวเปน ตน บีบค้ันเอาบา ง ก็ยอ มตายไป, ขอ ถวายพระพร ขอความท่ีวามาน้ี เปนเหตุผลในเรื่องความตาย ในเวลาที่ไมสมควร น้ี, ซึ่งเปนเหตุใหกลาวไดวา ความตายใน เวลาท่ีไมสมควร ก็มีอยู. ขอถวายพระพร พระองคเคยทรงสดับหรือไมวา เมื่อขาว กลาสมบูรณ มีลาํ ตนและใบโคงงอไปเพราะความหนักแหงรวง ขาว ฝนช่ือวากรภวัสสะก็ตกลงมา สรางความเสียหาย ทาํ ให กลายเปนขาวกลาท่ไี รร วงไป.” พระเจามิลินท : “เรื่องนั้น ขาพเจาเคยไดยิน พระคุณเจา เคยเห็นดวย.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ขา วกลานนั้ ชือ่ วา เสียหาย ไปในเวลาท่ีสมควร, หรือวาช่ือวา เสียหายไปในเวลาท่ีไมสมควร เลา?” พระเจามิลินท : “ช่ือวา เสียหายไปในเวลาท่ีไมสมควร พระคุณเจา, พระคุณเจา, ถาหากวาฝนช่ือกรภวัสสะน้ัน ไมตกลง มาไซร ขา วกลานน้ั กจ็ ะพงึ ดําเนนิ ไปจนถึงสมัยเกย่ี วขาว.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ขาวกลายอมพินาศไป เพราะฝนทีจ่ รเขา มาทาํ ลาย, ขาวกลา ทปี่ ราศจากฝนผทู ําลายยอม ดําเนินไปจนถงึ สมยั เกย่ี วขา ว ใชหรอื ไม? ” พระเจา มลิ นิ ท : “ใช พระคณุ เจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ยอมตายไปในเวลาที่
๑๘๖ กณั ฑท ี่ ๕, อนมุ านปญหา ไมสมควร, คือวา บุคคลน้ันถูกโรคท่ีจรเขามาบีบคั้น คือถูก โรคที่มีลมเปนสมุฏฐานบาง โรคที่มีดีเปนสมุฏฐานบาง โรคท่ีมี เสมหะเปนสมุฏฐานบาง, ความแปรปรวนแหงอุตุบาง, การ บริหารที่ไมดีบาง, ไฟบาง, น้ําบาง, อาํ นาจอาวุธมีหอกหลาว เปนตนบาง บีบค้ันเอาแลว ก็ยอมตายไปในเวลาท่ีไมสมควร ก็ถาหากวา ไมถูกโรคที่เปนอาคันตุกะบีบคั้นแลว ก็จะพึงตาย ในสมัยที่สมควรน่ันเทียว. ขอถวายพระพร ขอท่ีวามานี้ เปน เหตุผลในเรื่องความตายในเวลาท่ีไมสมควร น้ี, ซึ่งเปนเหตุให กลาวไดวา ความตายในเวลาท่ีไมสมควร ก็มีอยู.” พระเจามิลนิ ท : “นา อศั จรรยจรงิ พระคณุ เจา นาคเสน นา แปลกจริง พระคุณเจา นาคเสน, ขอ ทใี่ นการแสดงถึงความตายใน เวลาท่ีไมสมควร ทานแสดงเหตุผลไดดี แสดงอุปมาไดดี, เปนอันวา ทานทาํ ใหเขาใจงายแลว ทําใหปรากฏแลว ทาํ ใหเห็น ชัดเจนแลว วา ‘ความตายในเวลาทไี่ มส มควรกม็ อี ยู’ พระคุณเจา นาคเสน คนผูแ มเพียงไมม จี ติ ฟงุ ซา น กถ็ งึ ความยอมรบั วา ‘ความ ตายในเวลาที่ไมสมควร กม็ ีอย’ู เพราะอปุ มาแตละอุปมานนั่ เทยี ว จะปวยกลา วไปไยถงึ คนผูจงใจจะรเู ลา , พระคุณเจา ดว ยอปุ มา แรกเทา น้ัน ขา พเจาก็เขา ใจแลว วา ‘ความตายในเวลาทไี่ มส มควร ก็มีอยู’, แตวาขาพเจาตองการจะฟงคําแกอยางอื่น ๆ อีก จึงยัง ไมยอมรับ.” จบอกาลมรณปญ หาท่ี ๖
วรรคท่ี ๓, เวสสนั ตรวรรค ๑๘๗ คาํ อธบิ ายปญหาท่ี ๖ ปญหาเก่ียวกับความตายในเวลาที่ไมสมควร ช่ือวา อกาลมรณปญ หา. คําวา ถูกกรรมขัดขวาง คอื ถูกอกุศลกรรมทีไ่ ดทาํ ไวกอ น หนาขัดขวาง คือเขามาตัดรอนชีวิตเสียในระหวาง โดยการทาํ ให ถกู ไฟไหมบา ง ใหถกู งพู ษิ กัดบาง ใหต กเขาบา ง เปน ตน. คําวา ถูกคติขัดขวาง ความวา ผูส่ังสมอกุศลกรรมไว มากมายในอดีต แมมีโอกาสไดบังเกิดในสุคติ เปนมนุษยหรือ เทวดา ดวยกุศลท่ีไดทาํ ไวเพียงนิดหนอย ยอมเปนผูมีอายุสั้น เพราะคติที่ไดน้ัน ไมใชคติท่ีเหมาะสมสําหรับคนเชนเขา, แมคน ที่สั่งสมกุศลกรรมไวมากมาย แตกลับพลาดพลั้งบังเกิดในทุคติ เปนสัตวเดรัจฉานเปนตน ดวยอกุศลกรรมท่ีทาํ ไวแมเพียงนิด หนอย ก็มีนัยนี้เหมือนกัน เม่ือตาย ยอมชื่อวาตายเพราะถูกคติ ขดั ขวาง. คําวา ถูกกิริยาขัดขวาง คือถูกการกระทําของตนเอง มี การฆาตน การเขารีตเดียรถียที่มีการทรมานตนเปนตน, หรือ การกระทําของผอู ืน่ มกี ารกระทาํ ของโจรเปน ตน ขดั ขวาง. คาํ วา สัตวท งั้ หลายมีการทาํ กาละเพราะเหตุ ๘ อยา ง พระเถระกลา วสาธกเหตแุ หงความตายในเวลาทไี่ มส มควร. คําวา เพราะโรคสันนิบาต คือเพราะโรคหลายอยาง มี โรคทม่ี ลี มเปน สมฏุ ฐานเปนตน ประชมุ กนั ปะปนกัน.
๑๘๘ กัณฑที่ ๕, อนุมานปญหา คําวา เพราะการบรหิ ารที่ไมดี คอื เพราะการบริหารสรีระ มีการยืน การเดิน เปนตน ไมสมํ่าเสมอ มีเดินมากเกินไป วิ่งเร็ว เกินไป นอนนอยเกนิ ไป เหนด็ เหน่อื ยเกินไป เปน ตน . คาํ วา เพราะความพยายามแหงตนและผูอื่น คือ เพราะความพยายามจะใหตายแหง ตน มีการฆา ตนเปน ตน เพราะ ความพยายามจะใหต ายแหง ผอู ่นื คอื ถูกผอู น่ื ฆา . คําวา เพราะวิบากของกรรม คือเพราะอกุศลกรรมท่ีทํา ไวในอดีต ไดโอกาสใหวิบากใหผล โดยการเขาไปตัดรอนความ เปน ไปของชวี ติ ในระหวา ง. คาํ วา จัดวาเปนการทํากาละที่มีสมัย คือจัดวาเปน การทาํ กาละท่ีมีสมัย คือมีระยะเวลาท่ีจะตองตายคร้ังแลวครั้ง เลา เพราะเหตุอยางเดียวกันนี้ ติดตอกันไปตลอดเวลาเทาน้ันป เทานี้ป ในสมัยท่ีมีโอกาส ดวยวา กรรมยอมมีอานุภาพกาํ หนด ระยะเวลาแหงการใหผลในสมัยท่ีมีโอกาสไดแนนอนทีเดียว. ชอ่ื วา จัดวา เปน การทํากาละท่หี าสมัยมไิ ด ก็เพราะการ ทาํ กาละเพราะเหตุที่เหลือเปนการทาํ กาละที่หาการกาํ หนด ระยะเวลาในสมัยท่ีจะไดโอกาสครั้งน้ัน ๆ มิได. รวมความวา ความตายในเวลาที่ไมสมควร มี ๒ อยาง คือ อยางมีสมัย และอยางไมมีสมัย. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๖
วรรคท่ี ๓, เวสสนั ตรวรรค ๑๘๙ ปญ หาที่ ๗, เจตยิ ปาฏิหารยิ ปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน พระอรหันตผู ปรนิ ิพพานแลว ทกุ ทา น ยอมมปี าฏหิ าริยท ีเ่ จดียห รือ, หรือวาบาง ทานเทา นน้ั มี?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร บางทานมี, บางทา นไมม ี” พระเจามิลินท : “พระคุณเจา ทานพวกไหนมี, ทานพวก ไหนไมม ?ี ” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ยอมมีปาฏิหาริยที่ เจดียของพระอรหันตผูปรินิพพานแลวเพราะมีการอธิษฐาน ของบุคคล ๓ พวก พวกใดพวกหน่ึง, ๓ พวก ใครบาง? ขอถวายพระพร พระอรหันตในโลกนี้ ขณะท่ียังดํารงชีวิตอยู ประสงคอนุเคราะหเทวดาและมนุษยท้ังหลาย จึงไดอธิษฐาน ไววา ‘ปาฏิหาริยอยางนี้ ขอจงมีท่ีเจดียเถิด’ ดังนี้, เพราะเหตุ น้ัน จึงมีปาฏิหาริยท่ีเจดียดวยอํานาจแหงการอธิษฐานของทาน เทาน้ัน. ขอถวายพระพร ยังมีการอธิษฐานอีกอยางหนึ่ง เทวดา ประสงคอนเุ คราะหม นุษยท้งั หลาย จงึ แสดงปาฏิหารยิ ทเ่ี จดยี ข อง พระอรหนั ตผูป รนิ พิ พานแลว ดว ยมอี ธิษฐานวา ‘เพราะปาฏหิ ารยิ ครั้งน้ี พระสัทธรรมจักมีผูประคับประคองไวเปนประจํา และพวก มนุษยท้ังหลายก็จักเปนผูเล่ือมใส เจริญยิ่งดวยกุศลธรรม’ ดังนี้,
๑๙๐ กัณฑท ี่ ๕, อนมุ านปญหา เพราะเหตุนั้น จึงมีปาฏิหาริยที่เจดียของพระอรหันตผูปรินิพพาน แลว ดว ยอํานาจแหง การอธิษฐานของเทวดา อยางนี้. ขอถวายพระพร ยังมีการอธิษฐานอีกอยางหนึ่ง หญิง ก็ตาม ชายก็ตาม ซ่ึงเปนผูมีศรัทธาเล่ือมใส เปนบัณฑิต เฉลียว ฉลาด มีปญญา ถึงพรอมดวยความรู คิดโดยแยบคายแลว ก็จัดแจงวางของหอมบาง พวกดอกไมบาง ผาบาง ของอยางใด อยางหนึ่งบาง บนเจดีย อธิษฐานวา ‘ขอจงมีปาฏิหาริยอยางนี้ เถิด’ ดังนี้, เพราะเหตุนั้น จึงมีปาฏิหาริยที่เจดียของพระอรหันต ผูปรินิพพานแลว ดวยอํานาจแหงการอธิษฐานแมของเขา, ยอม มีปาฏิหาริยที่เจดียของพระอรหันตผูปรินิพพานแลว ดวยอํานาจ แหงการอธิษฐานของพวกมนุษย อยางน้ี, ขอถวายพระพร ยอมมีปาฏิหาริยท่ีเจดียของพระอรหันตผูปรินิพพานแลว ดวย อํานาจการอธิษฐานของบุคคล ๓ พวก พวกใดพวกหนึ่งเหลานี้ แล. ขอถวายพระพร ถาหากวาบุคคล ๓ จําพวกน้ัน ไมมี การอธิษฐาน, ก็ไมมีปาฏิหาริยที่เจดียของพระอรหันตผูปริ- นิพพานแลว แมวาทานจะเปนพระขีณาสพผูไดอภิญญา ๖ ถึงความชาํ นาญจิต, ขอถวายพระพร แมวาจะไมมีปาฏิหาริย แตบัณฑิตรูเห็นขอประพฤติที่บริสุทธ์ิดีของทานแลวก็พึงปลงใจ ถึงความตัดสินใจเชื่อวา ‘ทานพุทธบุตรผูน้ีปรินิพพานดีแลว’ ดงั น้.ี ”
วรรคที่ ๓, เวสสนั ตรวรรค ๑๙๑ พระเจามิลนิ ท : “ดจี รงิ พระคณุ เจา นาคเสน ขา พเจา ขอ ยอมรับคําตามที่ทา นกลา วมาน้.ี ” จบเจติยปาฏิหาริยปญหาที่ ๗ คาํ อธิบายปญหาที่ ๗ ปญ หาเก่ยี วกบั การมีปาฏหิ ารยิ ที่เจดยี ชือ่ วา เจติยปาฏิ- หาริยปญ หา. กใ็ นคําวา เจดยี น้ี ชอ่ื วาเจดยี มี ๓ อยา ง คอื สรีรธาตุ เจดีย (อฏั ฐธิ าตเุ จดยี ) ของทานผเู ปน พระอรหนั ต มีพระพทุ ธเจา เปนตน, บริโภคเจดีย คือเคร่ืองใชสอยมีบาตรจีวรเปนตน และ อุทสิ สเจดยี คือสถปู หรอื อาคารสถานทที่ ี่เขาสรางบชู า อทุ ิศทาน ผเู ปน พระอรหนั ตน ้นั นนั่ แหละ. สาํ หรบั อฏั ฐิธาตแุ ละเครอ่ื งใชส อย นิยมบรรจุไวในสถูป. เปนความจริงวา พระอรหันตผูมีฤทธ์ิ ในสมัยใกล ปรินิพพาน เม่ือทานปรารถนา ทานก็ยอมอธิษฐานใหเปนไป ตามท่ีปรารถนาได เชนวา “อัฏฐิธาตุของเรานี้ ขอจงมีสัณฐาน กลมเถิด” ดังนี้ อัฏฐิธาตุของทานก็จะมีสัณฐานกลมตามที่ อธิษฐาน, เม่ืออธิษฐานวา “ขอจงมีสีเขียว... ขอจงมีสีเหลือง ... ขอจงมีสีแดง... ขอจงมีสีขาว... ขอจงมีสีอยางแกวมุกดา” ดังนี้ อัฏฐิธาตุก็จะเปนไปตามท่ีอธิษฐานทุกอยาง. แมอธิษฐาน วา “ในกาลโนน ในสมยั โนน ขอปาฏหิ าริยอ ยางน้ี ขอเหตกุ ารณ อยางนี้จงเกิดขึ้น ณ สถูปท่ีบรรจุอัฏฐิธาตุของเราเถิด” ดังน้ี
๑๙๒ กัณฑท ี่ ๕, อนมุ านปญหา ปาฏิหาริยอยางน้ัน เหตุการณอยางนั้น ก็จักเกิดขึ้นในสมัย ในกาลน้ันตามที่อธิษฐานน่ันเทียว. แมการอธิษฐานของเทวดา และมนุษยที่เหลือ ก็พึงทราบความตามทํานองเดียวกันน้ี ตาม สมควร. คําวา แมไ มม ีปาฏหิ ารยิ ฯลฯ ก็พึงปลงใจถงึ ความ ตัดสินใจเชื่อวาทานพุทธบุตรผูนี้ปรินิพพานดีแลว คือ แม ไมมีปาฏิหาริยเกิดข้ึนท่ีบริเวณสถูปที่บรรจุอัฏฐิธาตุ บัณฑิตผูรู เห็นขอประพฤติท่ีบริสุทธิ์ดีทางทวารท้ัง ๓ ของทานมากอน เปนตน ก็ยอมปลงใจเชื่อไดวา “ทานผูน้ีเปนพระอรหันต ปรินิพพานแลว ”. จบคาํ อธิบายปญหาที่ ๗ ปญ หาท่ี ๘, ธมั มาภสิ มยปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน บุคคลผูปฏิบัติ ชอบ ยอมมีการตรัสรูธรรมไดทุกคนเลยหรือ, หรือวาบางคนก็ ไมม ?ี ” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร บางคนมี, บางคนไมม ี.” พระเจามิลนิ ท : “คนไหนมี, คนไหนไมมี พระคุณเจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร บุคคล ๑๖ จาํ พวก เหลานี้ แมวาปฏิบัติดี ก็ไมมีการตรัสรูธรรม คือ สัตวเดรัจฉาน แมวาปฏิบัติดี ก็ไมมีการตรัสรูธรรม, พวกเขาถึงเปรตวิสัย,
วรรคที่ ๓, เวสสันตรวรรค ๑๙๓ พวกมิจฉาทิฏฐิ, คนหลอกลวง, คนฆามารดา, คนฆาบิดา, คนฆาพระอรหันต, คนยุยงสงฆใหแตกแยกกนั , คนทําพระโลหติ พระพุทธเจาใหหอ, คนผูเปนไถยสังวาส (ปลอมบวช), คนผูเขา รีตเดียรถีย, คนที่ประทุษรายภิกษุณี, ภิกษุผูตองครุกาบัติ ๑๓ อยาง อยางใดอยางหน่ึง ยังไมออกจากอาบัติ, บัณเฑาะก, คน ๒ เพศ แมวาปฏิบตั ิดี กไ็ มมีการตรสั รธู รรม, รวมท้งั เด็กออน อายุต่ํากวา ๗ ขวบ แมวาปฏิบัติดี ก็ไมมีการตรัสรูธรรม. ขอ ถวายพระพร บุคคล ๑๖ จําพวกเหลานี้แล แมวาปฏิบัติดีก็ไมมี การตรัสรูธรรม.” พระเจา มลิ นิ ท : “พระคุณเจา นาคเสน บคุ คล ๑๕ จาํ พวก เปนคนผิด จะมีการตรัสรูธรรมไดหรือไม ก็ชางเถอะ, แตวา เพราะเหตุไร เด็กออนอายุต่ํากวา ๗ ขวบ แมว า ปฏิบัติดี กย็ งั หา การบรรลุธรรมมไิ ดเลา ? กอ นอ่ืน ในเรื่องนี้มีปญ หาอยวู า ธรรมดา วาเด็กไมมีราคะ, ไมมีโทสะ, ไมมีโมหะ, ไมมีมานะ, ไมมีมิจฉา- ทิฏฐิ, ไมมียินราย, ไมมีกามวิตก, ไมคลุกคลีดวยกิเลสท้ังหลาย, จึงเปนธรรมดาวา เด็กน้ันควรแทงตลอดสัจจะ ๔ โดยการแทง ตลอดคราวเดียวเทา นัน้ ไดม ิใชห รือ?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เหตุผลในเร่ืองนี้ ที่ทํา ใหอาตมภาพกลาววา ‘เด็กออนอายุตํา่ กวา ๗ ขวบ แมปฏิบัติดี ก็ไมมีการตรัสรูธรรม’ ดังนี้ มีอยู. ขอถวายพระพร ถาหากวา เด็กออนอายุตา่ํ กวา ๗ ขวบ พึงกําหนัดอารมณท่ีนากาํ หนัด, พึงประทุษรายอารมณที่นาประทุษราย, พึงลุมหลงอารมณท่ีนา
๑๙๔ กณั ฑท่ี ๕, อนุมานปญหา ลุมหลง, พึงมัวเมาอารมณที่นามัวเมา, พึงรูจักทิฏฐิ, พึงรูจัก ยินดีและยินราย, พึงดาํ ริทาํ กุศลหรืออกุศลได เขาก็จะพึงมีการ ตรัสรูธรรมได, ขอถวายพระพร ก็แตวา จิตของเด็กท่ีมีอายุตํ่า กวา ๗ ขวบ ยอมเปนจิตที่ไมมีกาํ ลัง มีกําลังทราม เปนจิต ที่มีอานุภาพนอย ถอยตํา่ ออนแอ ไมปรากฏชัด, อสังขต- นพิ พานธาตเุ ปนของหนกั แปร ไพบลู ย ยงิ่ ใหญ, ขอถวายพระพร เด็กอายุตํ่ากวา ๗ ขวบ เพราะมีจิตท่ีไมมีกาํ ลัง มีกาํ ลังทราม มีอานุภาพนอย ถอยตํ่า ออนแอ ไมปรากฏชัดน้ัน จึงไมอาจ แทงตลอดอสังขตนิพพานธาตุอันเปนของหนักแปร ไพบูลย ย่ิงใหญไ ด. ขอถวายพระพร พญาภูเขาสิเนรุเปนของหนักแปร กวางขวาง ใหญโต, ขอถวายพระพร บุรุษผูหนึ่งอาจใชเรี่ยวแรง กําลังและความเพียรที่มีตามปกติของตน ยกพญาภูเขาสิเนรุน้ัน ขึ้นไดหรือไมหนอ?” พระเจามิลินท : “มิไดหรอก พระคุณเจา.” พระนาคเสน : “เพราะเหตุไรหรือ ขอถวายพระพร?” พระเจามิลินท : “เพราะบุรุษมีกําลังทราม, เพราะพญา ภูเขาสิเนรุเปนของใหญโต พระคุณเจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน จิตของเด็กผูมีอายุตํา่ กวา ๗ ขวบ เปนจิตท่ีไม มีกาํ ลัง ทรามกําลัง มีอานุภาพนอย ถอยต่าํ ออนแอ ไมปรากฏ ชัด, อสังขตนิพพานธาตุเปนของหนักแปร ไพบูลย ย่ิงใหญ.
วรรคท่ี ๓, เวสสันตรวรรค ๑๙๕ เด็กผูมีอายุตาํ่ กวา ๗ ขวบ เพราะมีจิตท่ีไมมีกําลัง ทรามกาํ ลัง มีอานุภาพนอย ถอยต่าํ ออนแอ ไมปรากฏชัดนั้น จึงไมอาจแทง ตลอดอสังขตนิพพานธาตุอันเปนของหนักแปร ไพบูลย ยิ่งใหญ นั้นได. เพราะเหตุน้ัน เด็กอายุตํา่ กวา ๗ ขวบ แมปฏิบัติดี ก็ไมมี การตรัสรูธรรม. ขอถวายพระพร อีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา แผนดิน- ใหญนี้ ยาวไกล กวางหนา แพรหลายขยายไปไกล ไพบูลย ใหญโต, ขอถวายพระพร บุคคลอาจใชหยาดนา้ํ หยาดเล็ก ๆ ทํา แผนดินใหญนั้น ใหเปยกชุมเปนน้ําโคลนไปไดหรือไม?” พระเจามลิ นิ ท : “มิไดหรอก พระคุณเจา .” พระนาคเสน : “เพราะเหตไุ รหรือ ขอถวายพระพร?” พระเจามลิ นิ ท : “เพราะหยาดน้ําเปน ของเล็กนอ ย, เพราะ แผน ดนิ ใหญเ ปน ของใหญโ ต.” พระนาคเสน : “อุปมาฉันใด อุปมยั กฉ็ นั นัน้ เหมอื นกนั จติ ของเดก็ อายตุ าํ่ กวา ๗ ขวบ เปน จิตทไ่ี มมกี าํ ลัง ฯลฯ ไมปรากฏชดั , อสงั ขตนิพพานธาตเุ ปนของหนกั ฯลฯ ยงิ่ ใหญ. เดก็ อายุตํา่ กวา ๗ ขวบ เพราะมีจติ ทไ่ี มม ีกําลัง ฯลฯ ไมป รากฏชดั น้นั จงึ ไมอาจแทง ตลอดอสังขตนิพพานธาตุอันเปนของหนัก ฯลฯ ยิ่งใหญน้ันได. เพราะเหตุนั้น เด็กผูมีอายุตาํ่ กวา ๗ ขวบ แมปฏิบัติดี ก็ไมมีการ ตรัสรธู รรม. ขอถวายพระพร อีกอยา งหนึ่ง เปรยี บเหมือนวา ไฟเปนไฟ ท่ีไมมีกําลัง มีกาํ ลังทราม มีอานุภาพนอย ถอยต่ํา, ขอถวาย
๑๙๖ กณั ฑท ี่ ๕, อนมุ านปญหา พระพร ใคร ๆ อาจใชไฟออน ๆ เพียงเทาน้ัน ขจัดความมืด ทาํ แสงสวางใหปรากฏในโลกพรอมท้ังเทวดา ไดหรือไม?” พระเจามิลนิ ท : “มิไดหรอก พระคุณเจา ” พระนาคเสน : “เพราะเหตุไรหรือ ขอถวายพระพร?” พระเจามิลินท : “เพราะไฟเปนไฟท่ีออน, เพราะโลกเปน ของใหญโต พระคุณเจา .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัย ก็ฉันน้ันเหมือนกัน จิตของเด็กผูมีอายุตํ่ากวา ๗ ขวบ เปน จิตท่ีไมมีกําลัง ฯลฯ ไมปรากฏชัด, อสังขตนิพพานธาตุเปน ของหนัก ฯลฯ ยิ่งใหญ. เด็กอายุต่ํากวา ๗ ขวบ เพราะมี จิตที่ไมมีกําลัง ฯลฯ ไมปรากฏชัดน้ัน จึงไมอาจแทงตลอด อสังขตนิพพานธาตุ อันเปนของหนัก ฯลฯ ยิ่งใหญนั้นได. เพราะ เหตุนั้น เด็กผูมีอายุต่ํากวา ๗ ขวบแมปฏิบัติดี ก็ไมมีการตรัสรู ธรรม. ขอถวายพระพร อีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา หนอน ผอมออนแอ ทม่ี ขี นาดลาํ ตัวเลก็ ๆ เห็นชา งพลายแตกมันเปน ๓ ทาง ทีม่ ีกายยาว ๙ ศอก รอบตวั ยาว ๒๐ ศอก ๓ คบื สงู ๗ ศอก ที่มาถึงที่อยูของตนแลวก็เสือกคลานไป เพื่อจะกลืนกินเสีย, ขอ ถวายพระพร หนอนตัวนั้นอาจกลืนกินชางพลายเชือกน้ันได หรอื ไม? ” พระเจามิลินท : “มิไดหรอก พระคุณเจา” พระนาคเสน : “เพราะเหตุไรหรือ ขอถวายพระพร?”
วรรคที่ ๓, เวสสันตรวรรค ๑๙๗ พระเจามิลินท : “เพราะหนอนตัวเล็กนัก, เพราะชางตัว ใหญโต พระคุณเจา .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน จิตของเด็กผูมีอายุต่าํ กวา ๗ ขวบ เปนจิตที่ไม มีกาํ ลัง ฯลฯ ไมปรากฏชัด, อสังขตนิพพานธาตุเปนของหนัก ฯลฯ ยิ่งใหญ, เด็กอายุตํ่ากวา ๗ ขวบ เพราะมีจิตท่ีไมมีกาํ ลัง ฯลฯ ไมปรากฏชัดนั้น จึงไมอาจแทงตลอดอสังขตนิพพานธาตุ อันเปนของหนัก ฯลฯ ย่ิงใหญนั้นได. เพราะเหตุน้ัน เด็กผูมีอายุ ต่ํากวา ๗ ขวบแมปฏิบัติดี ก็ไมมีการตรัสรูธรรม.” พระเจามิลินท : “ดีจริง พระคุณเจานาคเสน ขาพเจาขอ ยอมรับคําตามท่ีทานกลาวมานี้.” จบธัมมาภิสมยปญหาท่ี ๘ คําอธิบายปญหาที่ ๘ ปญหาเกี่ยวกับการตรัสรูธรรม ชื่อวา ธัมมาภิสมย- ปญหา. คาํ วา พวกมิจฉาทฏิ ฐิ คือพวกมีนยิ ตมิจฉาทฏิ ฐิ ปฏเิ สธ กรรม ปฏิเสธผลของกรรม โดยนยั วา “กรรมดี กรรมช่ัว ไมม ีผล” ดงั นี้เปนตน . คาํ วา ภิกษุผูตอ งครุกาบัติ ๑๓ อยา ง อยางใดอยา ง หน่ึง คือภิกษุผูตองอาบัติหนักประเภทสังฆาทิเสส ๑๓ อยาง อยางใดอยางหน่ึง ซ่ึงแมมีการปลงอาบัติ แตยังอยูในอาบัติช่ัว
๑๙๘ กัณฑท ่ี ๕, อนมุ านปญหา ระยะเวลาหลายวันท่ีทรงกาํ หนดและบัญญัติไว ยังไมออกจาก อาบัติ, เม่ือเปนเชนน้ี จะปวยกลาวไปไย ถึงภิกษุผูตองอาบัติ ยัง ไมปลงอาบัติเลยเลา. พึงทราบวา ภิกษุผูตองอาบัติแมเปนเพียง ลหุกาบัติ (อาบัติเบา) หากไมปลงอาบัติ เปนผูมีอาบัติน้ัน ๆ ติด ตัวอยู ก็ไมอาจตรัสรูธรรมไดเหมือนกัน เพราะศีลไมบริสุทธ์ิ. สวนการไมอาจตรัสรูธรรมไดของบุคคลท่ีเหลือ บัณฑิตพึงทราบ ตามคาํ อธิบายในอภิสมยันตรายกรปญหา ในพุทธวรรคกอน หนานี้ เถิด. คาํ วา ถาหากวาเด็กออนอายุต่ํากวา ๗ ขวบ พึง กําหนัดอารมณท ่นี า กําหนดั เปน ตน มคี วามวา ถา หากวา ใน อารมณมีรูปเปน ตน ทนี่ า กาํ หนัดยินดี เด็กออนอายตุ ํา่ กวา ๗ ขวบ รูจักจะกาํ หนัดยินดีในอารมณนั้นเหมือนผูใหญท่ีรูเดียงสาท่ัวไป ซ่งึ แสดงวา จติ ของเขามีกาํ ลงั ไมอ อ นแอไซร เด็กออ นกจ็ ะรูจกั ดาํ ริ ในอนั เจรญิ อธกิ ุศล เพอ่ื ละความกาํ หนัดยนิ ดใี นอารมณนั้น แมใ น อารมณท่ีเหลือ มีอารมณท่ีนาประทุษราย ก็อยางนี้เหมือนกัน เพราะเหตนุ น้ั เขากอ็ าจตรสั รธู รรมได อาจกระทําพระนิพพานให แจงได, แตเพราะปกติเขามีจิตออนแอ ทรามกําลัง ไมรูจักจะ กาํ หนดั ยินดเี ปน ตนในอารมณที่ปกตคิ นอืน่ ๆ กาํ หนดั ยินดเี ปน ตน เพราะฉะน้ันเขาก็ยอมไมมีความดําริในอันจะเจริญอธิกุศล เพ่ือ ละกเิ ลสอะไร ๆ เพราะเม่ือกเิ ลสเหลา น้นั แตละอยางไมเกิดขึ้นใน คราวทีค่ วรจะเกิดเกดิ ขนึ้ เดก็ ออนกย็ อมเกิดความสาํ เนียกสาํ นกึ วา “สิง่ ทีต่ องละ ซ่ึงเปน สิง่ ทมี่ ีโทษ กม็ ีอยูหนา” ดังน้ีไดยาก เพราะ
วรรคที่ ๓, เวสสนั ตรวรรค ๑๙๙ เหตุน้ันน่ันแหละ เขาจึงไมมีการตรัสรูธรรม ไมอาจกระทาํ พระ- นิพพานทเี่ ปน ของยิ่งใหญใหแ จง ดว ยจติ ท่เี ลก็ นอ ยถอยตา่ํ นัน้ ได. จบคําอธบิ ายปญ หาที่ ๘ ปญ หาที่ ๙, เอกันตสขุ นิพพานปญ หา พระเจามลิ นิ ท : “พระคณุ เจานาคเสน พระนิพพานเปน สขุ โดยสว นเดียว, หรอื วา เจอื ดวยทุกขเ ลา? “ พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระนิพพาน เปนสขุ โดยสว นเดยี ว, ไมเจือดว ยทกุ ข? ” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน คาํ ที่วา ‘พระ นิพพานเปนสุขโดยสวนเดียว’ น้ัน ขาพเจาไมขอเชื่อหรอก, พระคุณเจานาคเสน ในเร่ืองน้ี ขาพเจาเชื่ออยูอยางนี้วา ‘พระ นิพพานเจือดวยทุกข’, ก็ในขอท่ีวา พระนิพพานเจือดวยทุกขนี้ ขาพเจามีเหตุผลอยู. เหตุผลในขอน้ีเปนไฉน, พระคุณเจานาค- เสน บุคคลทั้งหลายผูแสวงหาพระนิพพาน ปรากฏวากายและ จิตมีแตความรอนรุม แผดเผา มีอันตองกําหนดการยืน การเดิน การนั่ง การนอน และอาหาร มีอันตองกําจัดความโงกงวง ตอง บังคับอายตนะ ท้ังตองละจากทรัพยสินและญาติมิตรอันเปนท่ี รัก, บุคคลพวกที่มีสุข อิ่มเอิบดวยสุขในทางโลก ซ่ึงลวนแตทํา อายตนะท้ังหลายใหร่ืนรมย ใหเพิ่มพูน, คือทาํ ตาใหร่ืนรมย ให เพ่ิมพูนดวยรูปที่เปนสุภนิมิต (สวยงาม) มากมายหลายอยาง ทําหูใหรื่นรมยดวยเสียงที่เปนสุภนิมิต (ไพเราะ) มีเสียงขับรอง
๒๐๐ กณั ฑที่ ๕, อนุมานปญหา เสียงบรรเลงเปนตน แตละอยางลวนนาชอบใจ, ทําจมูกให ร่ืนรมย ใหเพิ่มพูนดวยกลิ่นท่ีเปนสุภนิมิต (หอม) มากมายหลาย อยาง มีกล่ินดอกไม กล่ินใบ กลิ่นเปลือก กล่ินราก กลิ่นแกน เปนตน แตละอยางลวนนาชอบใจ, ทําล้ินใหรื่นรมย ใหเพิ่มพูน ดวยรสท่ีเปนสุภนิมิต (อรอย) มากมายหลายอยาง จากของ เค้ียว ของกิน ของด่ืม ของเลีย ของล้ิมแตละอยางลวนนาชอบใจ, ทาํ กายใหร่ืนรมย ใหเพิ่มพูนดวยผัสสะท่ีเปนสุภนิมิต (นุม, อบอุน ฯลฯ) มากมายหลายอยาง ซึ่งละเอียด สุขุมออนนุม แตละอยาง ลวนนาชอบใจ, ทําใจใหร่ืนรมย ใหเพิ่มพูนดวยมนสิการและการ ตรึกนึกถึงอารมณมากมายหลายอยางอันเปนบุญบาง บาปบาง ดีบาง ไมดีบาง ซ่ึงแตละอยางลวนนาชอบใจ. พวกทานพากันละ กาํ จัด บั่นทอน ตัดขาด ปองกัน ขัดขวางความร่ืนเริง ความ เพ่ิมพูนแหงตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ น้ันเสีย เพราะเหตุน้นั จึง เรารอนท้ังกาย, เรารอนท้ังจิต. เม่ือกายเรารอน ก็ช่ือวาเสวย ทุกขเวทนาทางกาย, เม่ือจิตเรารอน ก็ช่ือวาเสวยทุกขเวทนาทาง ใจ. แมมาคันทิยะปริพพาชกเม่ือจะตําหนิพระผูมีพระภาค ก็ได กลาวอยางนี้วา ‘ภูนหโน สมโณ โคตโม๑ - พระสมณโคตมะ เปนผูกําจัดความเจริญ’ ดังน้ี มิใชหรือ. ที่วามานี้ เปนเหตุผล ในความขอนี้ ซ่ึงเปนเหตุใหขาพเจากลาวไดวา พระนิพพานเจือ ดวยทุกข.” ๑. ม. ม. ๑๓/๒๔๕.
วรรคท่ี ๓, เวสสนั ตรวรรค ๒๐๑ พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร พระนิพพานมไิ ดเ จอื ดวย ทุกขห รอก, พระนพิ พานเปนสขุ โดยสว นเดียว. ขอถวายพระพร ขอ ท่ีพระองคตรัสวา พระนิพพานเปนทุกข ขึ้นชื่อวาพระนิพพานหา เปนทุกขไม, ก็ขอที่พระองคตรัสมาน้ี เปนขอปฏิบัติอันเปนสวน เบ้ืองตน เพอื่ อันกระทาํ พระนพิ พานใหแจง , ขอ ทพี่ ระองคต รสั มาน้ี เปนขอปฏิบัติอันเปนการแสวงหาพระนิพพาน, ขอถวายพระพร พ ร ะ นิ พ พ า น เ ป น สุ ข โ ด ย ส ว น เ ดี ย ว ไ ม เ จื อ ด ว ย ทุ ก ข ห ร อ ก . อาตมภาพจะขอกลาวเหตุผลในคาํ ท่ีวาน้ี, ขอถวายพระพร ชื่อวา รัชชสขุ (สุขในการครองราชย) แหงพระราชาทง้ั หลาย มีอยูหรือ?” พระเจามิลินท : “ใช พระคุณเจา รัชชสุขแหงพระราชา ท้ังหลาย มีอยู.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร รัชชสุขน้ัน เปนสุขท่ีเจือ ดว ยทกุ ขหรอื ไร?” พระเจา มลิ นิ ท : “หามิได พระคณุ เจา .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เม่ือหัวเมืองปลายแดน เกิดกาํ เริบข้ึน (ถาหากวารัชชสุขไมเจือดวยทุกข) เพราะเหตุไร พวกพระราชาเหลานนั้ จึงทรงมพี วกอํามาตย พวกแมท ัพ พวกขา- ราชบริพาร พวกไพรพลแวดลอม เสด็จนิราศไปเพื่อปราบปราม พวกชาวเมืองปลายแดนเหลาน้ัน, ทรงถูกเหลือบยุง สายลม แสงแดดเบียดเบียน เสด็จทองไปในท่ีขรุขระ, ทั้งยังจะตองทาํ การ รบคร้ังใหญ, ท้ังยงั จะอาจสิน้ พระชนมไดเ ลา?”
๒๐๒ กัณฑที่ ๕, อนุมานปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจา ขอท่ีกลาวมานี้ หาช่ือวา รัชชสุข ไม, ขอที่วามาน้ี เปนเพียงการกระทาํ อันเปนสวนเบื้องตน แหงการแสวงหารัชชสุข, พระคุณเจานาคเสน พวกพระราชาคร้ัน แสวงหาราชสมบัติไดแลว ก็ไดทรงเสวยรัชชสุข, พระคุณเจา นาคเสน รัชชสุขไมเจือดวยทุกขตามท่ีกลาวมาน้ีหรอก, รัชชสุข เปนอยางหนึ่ง, ทุกขเปนอีกอยางหนึ่ง.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน พระนิพพานเปนสุขโดยสวนเดียว, หาเจือดวย ทุกขไ ม. แตว า บคุ คลเหลา ใดแสวงหาพระนิพพาน บุคคลเหลานัน้ มีอันตองทํากายและจิตใหรอนรุม ตองกําหนดการยืน การเดิน การนั่ง การนอน และอาหาร ตองกําจัดความโงกงวง ตองบังคับ อายตนะ ตองสละทั้งกายทั้งชีวิต, คร้ันแสวงหาพระนิพพานไป ดวยความลาํ บากแลว จึงไดเสวยพระนิพพานอันเปนสุขโดยสวน เดียว, ดุจพระราชากําจัดขาศกึ ไดแลวก็ไดเ สวยรัชชสขุ ฉะนั้น. ขอ ถวายพระพร พระนิพพานเปนสุขโดยสวนเดียว ไมเจือดวยทุกข พระนิพพานกเ็ ปน อยา งหนง่ึ ทุกขก็เปน อกี อยา งหนงึ่ ดงั กลา วมานี้. ขอถวายพระพร ขอพระองคจงทรงสดับเหตุผลที่วา ‘พระนิพพานเปนสุขโดยสวนเดียว ไมเจือดวยทุกข พระนิพพาน เปนอยางหนึ่ง ทุกขเปนอีกอยางหน่ึง’ ท่ีย่ิงกวา แมอีกอยางหน่ึง เถิด, ขอถวายพระพร ช่ือ ศิลปสุข (สุขในงานศิลปะ) แหงพวก อาจารยทั้งหลายผูมีวิชาศิลปะ มีอยูหรือ?”
วรรคที่ ๓, เวสสนั ตรวรรค ๒๐๓ พระเจามิลินท : “ใช ศิลปสุขแหงอาจารยทั้งหลายผูมี วิชาศิลปะ มีอยู พระคุณเจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ศิลปสุขน้ัน เปนสุขท่ี เจือดวยทุกขหรือ?” พระเจามิลินท : “หามิได พระคุณเจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เพราะเหตุไร พวก อาจารยเหลาน้ันจึงทาํ กายใหเดือดรอนดวยการกราบไหว การ ลุกรับอาจารย, ดวยการตักนา้ํ การกวาดถูเรือน การคอยมอบ ไมชาํ ระฟน นาํ้ ลางหนาเขาไปใหอาจารย, ดวยการรับของเหลือ- เดน การนวดเฟน การอาบน้ําให การระบมเทาใหแกอาจารย, ดวยการละวางความคิดของตนเสีย คอยคลอยตามความคิด ของผูอ่ืน, ดวยการนอนเปนทุกข ดวยอาหารที่ไมเหมาะสม เลา?” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ขอที่วามาน้ี ไม ช่ือวาเปนศิลปสุขหรอก, ท่ีวามานี้เปนเพียงการกระทาํ อันเปน สวนเบื้องตน แหง การแสวงหาศิลปสขุ , พระคุณเจา นาคเสน พวก อาจารยท ั้งหลาย ครัน้ แสวงหาวชิ าศิลปะไดด วยความยากลําบาก แลว ก็ยอมไดเสวยศิลปสุข, พระคุณเจานาคเสนศิลปสุขมิไดเจือ ดวยทกุ ข ตามทก่ี ลา วมานหี้ รอก, ศลิ ปสุขนน้ั เปน อยางหน่งึ , ทุกข เปนอีกอยา งหนง่ึ ” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน พระนิพพานเปนสุขโดยสวนเดียว, ไมเจือดวย
๒๐๔ กณั ฑท ี่ ๕, อนุมานปญหา ทุกข. แตวาบุคคลเหลาใดแสวงหาพระนิพพาน บุคคลเหลาน้ัน ตองทํากายและจิตใหรอนรุม ตองกาํ หนดการยืน การเดิน การนั่ง การนอน และอาหาร ตองกําจัดความโงกงวง ตองบังคับอายตนะ ตองสละท้ังกายท้ังชีวิต, คร้ันแสงหาพระนิพพานไดดวยความ ยากลาํ บากแลว จึงไดเสวยพระนิพพานอันเปนสุขโดยสวนเดียว ดุจพวกอาจารยไดเสวยศิลปสุขฉะนั้น, ขอถวายพระพร พระ- นิพพาน ช่ือวาเปนสุขโดยสวนเดียว ไมเจือดวยทุกข พระนิพพาน เปนอยางหนึ่ง ทุกขก็เปนอีกอยางหน่ึง ดังกลาวมาน้ี.” พระเจามิลินท : “ดีจริง พระคุณเจานาคเสน ขาพเจา ขอยอมรับคําตามท่ีทานกลาวมากระน้ี นี้.” จบเอกันตสุขนิพพานปญหาท่ี ๙ คาํ อธิบายปญหาที่ ๙ ปญหาเก่ียวกับพระนิพพานซ่ึงมีสุขโดยสวนเดียว ช่ือวา เอกันตสุขนิพพานปญหา. คาํ วา มีอนั ตองกําหนดการยืน ฯลฯ และอาหาร คือมี อันตองกําหนดประโยชนในการยืน ฯลฯ และอาหาร มีความ สาํ รวมในการใชอิริยาบถท้ังหลาย และในการบริโภคอาหารทั้ง รูจักกําหนดประมาณในอาหารน้ัน. คําวา มอี นั ตองกาํ จดั ความโงกงวง พระราชาตรัสหมาย เอาความเปนผูไมมักมากดวยสุขในการเอน การนอน การหลับ ทวา ทําเวลาใหลวงไปดวยการปรารภความเพียร ติดตอกัน.
วรรคท่ี ๓, เวสสนั ตรวรรค ๒๐๕ คําวา ตองบังคับอายตนะ คือตองสํารวมอินทรียท่ีเปน อายตนะ มีตาเปนตน. อารมณทั้งหลาย มีรูปสวย ๆ เสียงเพราะ ๆ เปนตน ช่ือ วา สุภนิมิต เพราะเปนเหตุเกิดข้ึนแหงราคะ ซ่ึงไดชื่อวา “สุภะ (ดีงาม)” เพราะทําใจใหนอมไปวา “ดี, งาม”. คําวา ศลิ ปสุข คอื ความสขุ ท่ีเกิดจากความสําเรจ็ ในการ ประกอบงานศิลปะ. คาํ วา ดวยการกราบไหว การลุกรับอาจารย คือดวย การกราบไหว การลุกรับอาจารยรุนกอน ๆ สมัยที่ตนยังเปนศิษย เรียนวิชาศิลปะจากอาจารยเหลาน้ันอยู. คําวา ดวยการละวางความคิดของตนเสีย เปน ตน คอื เมื่อความคิดของตนไมเหมือนความคิดของผูอื่นคืออาจารยก็ ระงับความคิดของตนเสีย ประพฤติคลอยตามความคิดของ อาจารยดวยอาํ นาจความเคารพนับถือ. ความวา ขอปฏิบัติเพ่ือทําพระนิพพานใหแจง ท่ีเปนไป กอนหนาการทําพระนิพพานใหแจงเทานั้น เจือดวยทุกข หาใช พระนิพพานไม พระนิพพานเปนสุขโดยสวนเดียว เพราะเหตุนั้น น่ันแหละ พระผูมีพระภาคจึงตรัสไววา “นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ๑ - พระนิพพานเปนสุขอยางย่ิง.” จบคาํ อธิบายปญ หาที่ ๙ ๑. ข.ุ ธ. ๒๕/๕๖.
๒๐๖ กัณฑที่ ๕, อนมุ านปญหา ปญหาท่ี ๑๐, นิพพานรูปสัณฐานปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาวถึงส่ิงใด วา ‘พระนิพพาน พระนิพพาน’ ทานอาจท่ีจะบงชี้ถึงสีก็ดี สัณฐาน ก็ดี วัยก็ดี ขนาดก็ดี แหงพระนิพพานนั้น โดยอุปมาก็ดี โดยเหตุก็ ดี โดยนัยก็ดี ไดหรือไม?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระนิพพาน เปนส่ิงท่ีอะไร ๆ ก็หาสวนเปรียบมิได, จึงไมอาจท่ีจะบงช้ีถึงสีก็ดี สัณฐานก็ดี วัยก็ดี ขนาดก็ดี แหงพระนิพพานนั้น โดยอุปมาก็ดี โดยเหตุก็ดี โดยนัยก็ดี ได.” พระเจา มลิ นิ ท : “พระคณุ เจา นาคเสน ขอ ที่ทา นไมอ าจทํา ใหร ูสีกด็ ี สัณฐานก็ดี วัยก็ดี ขนาดกด็ ี แหง พระนพิ พานนน้ั โดย อุปมาก็ดี โดยเหตกุ ็ดี โดยนัยก็ดีไดน ้ี ขา พเจายังยอมรบั ไมไ ดห รอก, ขอจงทําใหข า พเจา เขา ใจดว ยเหตผุ ล เถิด.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เอาละ อาตมภาพจะ ขอถวายพระพร ทาํ ใหพระองคไดทรงเขาพระทัยดวยเหตุผล, ขอถวายพระพร ขึ้นชื่อวา มหาสมุทร ยอมมีอยูใชไหม?” พระเจามิลนิ ท : “ใช พระคณุ เจา มหาสมทุ รน้ี มอี ย.ู ” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ถาหากวา ใคร ๆ จะพึง ทูลถามพระองคอยางนี้ วา ‘ขาแตมหาราชเจา น้ําในมหาสมุทร มีเทาไร, สัตวท่ีอาศัยอยูในมหาสมุทรมีเทาไร พระเจาขา?’ ดังน้ี. พระองคทรงถูกทูลถามอยางนี้ จะพึงตรัสตอบคนผูน้ันวา กระไร?”
วรรคท่ี ๓, เวสสนั ตรวรรค ๒๐๗ พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ถาหากใคร ๆ พึง ถามขาพเจาอยางน้ี วา ‘ขาแตมหาราชเจา นาํ้ ในมหาสมุทรมี เทา ไร, สัตวท ีอ่ าศยั อยูใ นมหาสมทุ รมเี ทา ไร พระเจา ขา ?’ ดังน้ี ไซร พระคุณเจา ขาพเจาจะพึงตอบเขาอยางนี้วา ‘น่ีแนะพอมหา จําเริญเอย เธอถามฉันถึงส่ิงท่ีไมควรถามเลย, นี่เปนคําถามท่ีไม นาถาม, นี่เปนปญหาท่ีควรพักไว. มหาสมุทรเปนสิ่งที่นักบรรยาย เร่ืองโลกท้ังหลาย (กลาว) จําแนกมิได, ใคร ๆ ไมอาจท่ีจะนับนาํ้ ในมหาสมุทร หรือสัตวผเู ขาไปอยูในมหาสมุทรนั้นได’ ขาพเจาจะ พึงใหคาํ ตอบแกเขาอยางน้ี.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ก็แตวา เมื่อมหาสมุทรมี อยเู ปน ธรรมดา เพราะเหตุไรพระองคจึงทรงใหพระดํารัสตรัสตอบ อยางน้ีเลา, ก็นาจะทรงนับแลวตรัสตอบเขาไปวา ‘นา้ํ ใน มหาสมุทรมีเทาน้ี, และสัตวจาํ นวนเทาน้ี อาศัยอยูในมหาสมุทร’ ดังน้ี มิใชหรือ?” พระเจามิลินท : “ไมอาจบอกไดหรอก พระคุณเจา, ปญหานี้ไมใชวิสัย.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ใคร ๆ กย็ ังไมอาจนับนาํ้ ในมหาสมุทรซึ่งมอี ยูเปน ธรรมดาหรอื สตั วผ ูเขาไปอยใู นมหาสมทุ ร น้ันได ฉันใด, ขอถวายพระพร ใคร ๆ ก็ไมอาจท่ีจะบงช้ีสีก็ดี สัณฐานก็ดี วยั ก็ดี ขนาดก็ดี แหงพระนิพพานซง่ึ มอี ยูเ ปน ธรรมดา โดยอุปมากด็ ี โดยเหตกุ ด็ ี โดยนยั กด็ ี ไดฉนั นัน้ , ขอถวายพระพร ภิกษุผูมีฤทธิ์ ถึงความชาํ นาญแหงจิต อาจนับนา้ํ ในมหาสมุทร
๒๐๘ กณั ฑท่ี ๕, อนมุ านปญหา และสตั วผ ูอ าศยั อยใู นมหาสมุทรนัน้ ได, แตวา ภิกษผุ มู ีฤทธิ์ ผูถงึ ความชํานาญแหงจิตน้ัน ไมอาจจะบงชี้สีก็ดี สัณฐานก็ดี วัยก็ดี ขนาดก็ดี แหงพระนิพพาน โดยอุปมาก็ดี โดยเหตุก็ดี โดยนัยก็ดี ไดเ ลย. ขอถวายพระพร ขอพระองคจงทรงสดับเหตุผลในขอท่ีวา ใคร ๆ ไมอาจท่ีจะบงชี้สีก็ดี สัณฐานก็ดี วัยก็ดี ขนาดก็ดี แหง พระนิพพานซึ่งมอี ยเู ปนธรรมดา โดยอุปมาก็ดี โดยเหตุก็ดี โดยนัย ก็ดี ที่ย่ิงข้ึนไป แมอีกสักขอหนึ่งเถิด. ขอถวายพระพร ในบรรดา เทวดาท้ังหลาย เทวดาที่ชื่อวาพวกไมมีรูปกาย ก็มีอยูใชหรือ ไม? ” พระเจามิลินท : “ใช พระคุณเจา ขาพเจาก็ไดยินมาวา ในบรรดาเทวดาท้ังหลาย เทวดาที่ช่ือวา พวกไมมีรูปกาย มีอยู.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ใคร ๆ อาจทีจ่ ะบงชีส้ ีก็ดี สัณฐานกด็ ี วยั กด็ ี ขนาดก็ดี แหงพวกเทวดาผูไ มมรี ปู กายเหลา น้นั โดยอุปมาก็ดี โดยเหตกุ ด็ ี โดยนยั ก็ดี ไดหรอื ไม?” พระเจา มิลนิ ท : “มิไดห รอก พระคุณเจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ถาอยางน้ัน เทวดาพวก ไมมีรูปกาย ก็ไมมีอยูจริง.” พระเจา มิลนิ ท : “เทวดาพวกไมมีรปู กายมีจริง พระคณุ เจา, แตวาใคร ๆ ไมอาจท่ีจะบงช้ีสีก็ดี สัณฐานก็ดี วัยก็ดี ขนาด ก็ดี แหงเทวดาเหลาน้ัน โดยอุปมาก็ดี โดยเหตุก็ดี โดยนัยก็ดี ไดเลย.”
วรรคท่ี ๓, เวสสนั ตรวรรค ๒๐๙ พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ใคร ๆ ไมอาจที่จะบงชี้สี ก็ดี ฯลฯ แหง เทวดาผไู มม รี ูปกายซ่ึงเปนสตั วที่มีอยูจรงิ โดยอปุ มา ก็ดี ฯลฯ ได ฉันใด, ขอถวายพระพร ใคร ๆ ก็ไมอาจท่ีจะบงชี้สี ก็ดี ฯลฯ แหงพระนิพพานท่ีมีอยูเปนธรรมดา โดยอุปมาก็ดี ฯลฯ ได ฉนั นน้ั เหมอื นกนั ..” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน พระนิพพานจะ เปนสุขโดยสวนเดียว, ทั้งใคร ๆ ไมอาจท่ีจะบงช้ีสีก็ดี ฯลฯ แหงพระนิพพานนั้น โดยอุปมาก็ดี ฯลฯ ไดเลยก็ตามทีเถิด. แตวา คุณ (คุณสมบัติ) ของพระนิพพานที่พอจะแสดงใหเห็นโดยอุปมา เปรียบเทียบกับคุณ (คุณสมบัติ) ของสิ่งอ่ืน ๆ สักเล็กนอย มีอยู บางหรือไม?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร คุณของพระนิพพานที่ เปรียบเทียบกันไดกับคุณของสิ่งอ่ืน ๆ โดยสภาวะที่มีอยู ไมมีหรอก, แตวาบัณฑิตอาจท่ีจะช้ีถึงพระนิพพานโดยคุณ เพียงเปนการแสดงใหเห็นโดยอุปมาสักเล็กนอยได.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ขอไดโปรดบอก กลาวโดยประการที่ขาพเจาจะไดความแจมแจงพระนิพพาน แมโดยคุณ สักสวนหน่ึง เร็ว ๆ เถิด, ขอจงดับ จงกาํ จัดความ รอนใจของขาพเจาดวยสายลม คือคาํ พูดที่เยือกเย็น ไพเราะ นาฟงเถิด.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร คุณอยางหน่ึงของ ดอกปทุมเทียบกันไดกับพระนิพพาน, คุณ ๒ อยางของนํ้า...,
๒๑๐ กัณฑท่ี ๕, อนุมานปญหา คุณ ๓ อยางของยาแกพิษ..., คุณ ๔ อยางของมหาสมุทร....., คุณ ๕ อยางของโภชนะ..., คุณ ๑๐ อยางของอากาศ..., คุณ ๓ อยางของแกวณี..., คุณ ๓ อยางของจันทนแดง..., คุณ ๓ อยางของหัวเนยใส..., คุณ ๕ อยางของยอดเขา เทียบ กันไดกับพระนิพพาน.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘คุณอยางหน่ึงของดอกปทุมเทียบไดกับพระนิพพาน’ ดังน้ี ขอ ถามวา คุณอยางหน่ึงของดอกปทุม คืออะไร ซ่ึงเทียบกันไดกับ พระนิพพาน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา นา้ํ ฉาบติดดอกปทุมมิได ฉันใด, ขอถวายพระพร กิเลสทั้งหลาย ท้ังปวง ก็ฉาบติดพระนิพพานมิได ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอถวาย พระพร น้ีคือคุณอยางหนึ่งของดอกปทุมที่เทียบกันไดกับ พระนิพพาน.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘คณุ ๒ อยา งของน้ําเทยี บกันไดก บั พระนพิ พาน’ ดังนี้ ขอถามวา คณุ ๒ อยางของนา้ํ คืออะไรบา ง ซงึ่ เทยี บกันไดกบั พระนิพพาน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เปรยี บเหมอื นวา นาํ้ เยน็ ใชดับความเรา รอ นได ฉันใด, พระนพิ พานกเ็ ยอื กเย็น ใชดับความ เรารอนคือกิเลสท้ังหลายท้ังปวงได ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวาย พระพร นี้คือคุณอยางท่ี ๑ ของนาํ้ ท่ีเทียบกันไดกับพระนิพพาน.
วรรคที่ ๓, เวสสันตรวรรค ๒๑๑ ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวาน้าํ ใชเปนเครื่องกาํ จัดความกระหายของสัตวท้ังหลาย ท้ังคนท้ัง สัตวเล้ียงผูเหน็ดเหน่ือยคอแหง กระหายนา้ํ ถูกความรอนแผด เผาได ฉันใด, พระนิพพานก็ใชเปนเครื่องกาํ จัดความกระหาย คือกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหาได ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือคุณของนาํ้ อยางท่ี ๒ ซ่ึงเทียบกันไดกับ พระนิพพาน. ขอถวายพระพร คุณ ๒ อยาง ของนาํ้ เหลานี้แล เทียบกันไดกับพระนิพพาน.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน. ทานกลาววา ‘คุณ ๓ อยางของยาแกพิษเทียบกันไดกับคุณของพระนิพพาน’ ดังนี้ ขอถามวา คุณ ๓ อยางของยาแกพิษคืออะไรบาง ซึ่งเทียบ กันไดก ับพระนิพพาน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา ยาแก พิษ ใชเปนเครื่องถอนพิษสาํ หรับสัตวท้ังหลายผูถูกพิษบีบค้ันได ฉันใด, ขอถวายพระพร พระนิพพานก็ใชเปนเครื่องถอนพิษ สําหรบั สัตวท ง้ั หลายผถู กู พษิ คอื กิเลสบีบคนั้ ได ฉนั นั้นเหมอื นกนั , ขอถวายพระพร นค้ี อื คณุ อยา งที่ ๑ ของยาแกพ ิษ ซ่ึงเทยี บกนั ได กบั พระนพิ พาน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา ยา แกพิษ ทําความเจ็บปวยท้ังหลายใหสิ้นสุดไป ฉันใด, ขอถวาย พระพร พระนิพพานก็ทําทุกขท้ังหลายทั้งปวงใหส้ินสุดไปฉันนั้น
๒๑๒ กณั ฑท ่ี ๕, อนุมานปญหา เหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือคุณอยางที่ ๒ ของยาแกพิษ ซ่ึงเทียบกันไดกับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวายา แกพิษ เปนยาอมตะ (ชวยไมใหตาย) ฉันใด, ขอถวายพระพร พระนพิ พานก็เปน อมตะ ฉันน้ันเหมอื นกัน. ขอถวายพระพร นเ้ี ปน คุณอยางท่ี ๓ ของยาแกพิษ ซ่ึงเทียบกันไดกับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร คุณ ๓ อยางของยาแกพิษเหลานี้แล เทียบกัน ไดกับพระนิพพาน.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘คุณ ๔ อยางของมหาสมุทรเทียบกันไดกับพระนิพพาน’ ดังนี้ ขอถามวา คุณ ๔ อยางของมหาสมุทร คืออะไรบาง ซึ่งเทียบกัน ไดกับพระนิพพาน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา มหาสมุทรวางเปลาจากซากศพท้ังปวง ฉันใด, ขอถวายพระพร พระนิพพานก็วางเปลาจากซากศพ คือกิเลสทั้งหลายท้ังปวง ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอถวายพระพร นี้คือคุณอยางท่ี ๑ ของ มหาสมุทร ซ่ึงเทียบกันไดกับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา มหาสมุทรใหญโต มองไมเ ห็นฝงขางโนน , ไมเตม็ ดวยนาํ้ ท่ีไหลมา จากที่ทั้งปวง ฉันใด, ขอถวายพระพร พระนิพพานก็ใหญโต มองไมเห็นฝง, ไมเต็มดวยสัตวท้ังปวง ฉันน้ันเหมือนกัน.
วรรคที่ ๓, เวสสันตรวรรค ๒๑๓ ขอถวายพระพร น้ีคือคุณอยางที่ ๒ ของมหาสมุทร ซ่ึงเทียบกัน ไดกับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา มหาสมุทรเปนท่ีอยูของภูต (สัตว) ใหญ ๆ ท้ังหลาย ฉันใด, ขอถวายพระพร พระนิพพานก็เปนท่ีอยูของภูตใหญ ๆ คือ พระอรหันตผูปราศจากมลทิน ถึงกําลังแหงพระขีณาสพ เปน วสีภูต เปนมหาภูต ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือคุณ อยางท่ี ๓ ของมหาสมุทร ท่ีเทียบกันไดกับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา มหาสมุทรมีดอกไมแยมบาน คือ คลื่นลูกใหญ ๆ หลากหลาย ประมาณมิได ฉันใด, ขอถวายพระพร พระนิพพานก็มีดอกไม แยมบาน คือวิชชาและวิมุตติอันบริสุทธ์ิ ไพบูลย หลากหลาย ประมาณมิได ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ี คือคุณอยาง ท่ี ๔ ของมหาสมุทร ซ่ึงเทียบกันไดกับพระนิพพาน. ขอถวาย พระพร คุณ ๔ อยางของมหาสมุทรเหลานี้แล เทียบกันไดกับ พระนิพพาน.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘คุณ ๕ อยางของโภชนะเทียบกันไดกับพระนิพพาน’ ดังน้ี ขอถามวาคุณ ๕ อยางของโภชนะ คืออะไรบาง ซ่ึงเทียบกันได กับพระนิพพาน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เปรยี บเหมือนวา โภชนะ เปนส่ิงที่ทรงอายุของสัตวทั้งหลายทั้งปวงไว ฉันใด, ขอถวาย
๒๑๔ กณั ฑท ี่ ๕, อนมุ านปญหา พระพร พระนิพพานท่ีบุคคลไดกระทาํ ใหแจงแลว ก็เปนส่ิงทรง อายุ โดยการทําชราและมรณะใหพินาศไป ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือคุณอยางท่ี ๑ ขอโภชนะซ่ึงเทียบกันได กับพระนพิ พาน. ขอถวายพระพร ยังมอี ีกอยา งหนง่ึ เปรยี บเหมือนวา โภชนะ เปนส่ิงท่ีเจริญกําลังแกสัตวทั้งหลายทั้งปวงไว ฉันใด, ขอถวาย พระพร พระนิพพานท่ีบุคคลไดกระทําใหแจงแลว ก็เปนส่ิงเจริญ กําลัง คือฤทธ์ิ แกส ตั วทง้ั หลายทง้ั ปวง ฉันนน้ั เหมอื นกนั , ขอถวาย พระพร นี้คือคุณอยางท่ี ๒ ของโภชนะซึ่งเทียบกันไดกับพระ นพิ พาน. ขอถวายพระพร ยังมอี ีกอยา งหนงึ่ เปรียบเหมือนวา โภชนะ เปนสงิ่ ใหเกดิ วรรณะ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระนพิ พานที่บคุ คล ไดกระทาํ ใหแจงแลว ก็เปนส่ิงใหเกิดวรรณะคือคุณธรรม ฉันน้ัน เหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือคุณอยางท่ี ๓ ของโภชนะ ซ่ึงเทียบกันไดกับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา โภชนะ เปนเครื่องสงบความกระวนกระวายของสัตวท้ังหลาย ทงั้ ปวงได ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระนิพพานทีบ่ ุคคลไดกระทาํ ใหแจงแลว ก็เปนเคร่ืองสงบความกระวนกระวาย คือกิเลส ทั้งปวงของสัตวท้ังหลายทั้งปวงได ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอถวาย พระพร น้ีคือคุณอยางที่ ๔ ของโภชนะ ซ่ึงเทียบกันไดกับ พระนิพพาน.
วรรคที่ ๓, เวสสนั ตรวรรค ๒๑๕ ขอถวายพระพร ยังมีอกี อยา งหน่ึง เปรยี บเหมือนวา โภชนะ เปนเคร่ืองบรรเทาความหิวความออนเพลียของสัตวท้ังหลายท้ัง ปวงได ฉนั ใด, พระนพิ พานทีบ่ ุคคลไดก ระทาํ ใหแ จง แลว ก็เปน เคร่ืองบรรเทาความหิว ความออนเพลีย คือทุกขท้ังปวงของสัตว ทั้งหลายทั้งปวงได ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือคุณ อยางท่ี ๕ ของโภชนะ ซึ่งเทียบกันไดกับพระนิพพาน. ขอถวาย พระพร คุณ ๕ อยางของโภชนะเหลาน้ีแล เทียบกันไดกับพระ นพิ พาน.” พระเจา มลิ นิ ท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลา ววา ‘คุณ ๑๐ อยางของอากาศเทียบกนั ไดกับพระนพิ พาน’ ดงั นี้ ขอถามวา คุณ ๑๐ อยางของอากาศ คืออะไรบาง ซึ่งเทียบกันไดกับพระ นิพพาน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เปรยี บเหมอื นวา อากาศ ไมเ กดิ , ไมแ ก, ไมตาย, ไมเคล่อื น, ไมอุปบตั ,ิ ขม ข่ีไดย าก, โจร ปลนเอาไปไมไ ด, ไมต อ งอิงอาศยั สิ่งอื่น, เปน ทีด่ ําเนินไปแหงวหิ ค, ไมม ีสง่ิ ขวางกนั้ , หาทีส่ ดุ มิได ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระนพิ พาน ก็ไมเกิด, ไมแก, ไมตาย, ไมเคลื่อน, ไมอุปบัติ, ขมข่ีไดยาก, โจร ปลนเอาไปไมได, ไมอิงอาศัยส่ิงอ่ืน, เปนที่ดําเนินไปแหงพระ อริยเจา, ไมมีสิ่งขวางก้ัน, หาที่สุดมิได ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอ ถวายพระพร คุณ ๑๐ อยาง ของอากาศเหลาน้ีแล เทียบกันได กับพระนิพพาน.”
๒๑๖ กณั ฑท ่ี ๕, อนมุ านปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘คุณ ๓ อยางของแกวมณีเทียบกันไดกับพระนิพพาน’ ดังนี้, ขอถามวา คุณ ๓ อยา งของแกวมณี คืออะไรบา ง ซ่ึงเทยี บกนั ได กับพระนพิ พาน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เปรยี บเหมอื นวา แกวมณี มอบแตความนาพึงพอใจ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระนิพพานก็ มอบแตความนาพึงพอใจ ฉันน้ันเหมือนกัน ขอถวายพระพร น้ีคือ คุณของแกวมณีอยางที่ ๑ ซึ่งเทียบกันไดกับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา แกวมณีสรางแตความบันเทิงใจ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระ- นิพพานก็สรางแตความบันเทิงใจ ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวาย พระพร นี้คือคุณอยางที่ ๒ ของแกวมณี ซ่ึงเทียบกันไดกับพระ นิพพาน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา แกวมณีสรางแตแสงโชติชวง ฉันใด, ขอถวายพระพร พระ- นิพพานก็สรางแตแสงโชติชวง ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวาย พระพร น้ีคือคุณอยางที่ ๓ ของแกวมณี ซึ่งเทียบกันไดกับพระ นิพพาน. ขอถวายพระพร คุณ ๓ อยางของแกวมณีเหลานี้แล เทียบกันไดกับพระนิพพาน.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘คุณ ๓ อยางของจันทนแดงเทียบกันไดกับพระนิพพาน’ ดังน้ี
วรรคท่ี ๓, เวสสันตรวรรค ๒๑๗ ขอถามวา คุณ ๓ อยางของจันทนแดง คืออะไรบาง ซ่ึงเทียบ กันไดกับพระนิพพาน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวาจันทน แดงเปนสิ่งที่หาไดยาก ฉันใด, ขอถวายพระพร พระนิพพานก็ เปนสิ่งที่หาไดยาก ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือคุณ อยางที่ ๑ ของจันทนแดง ซ่ึงเทียบกันไดกับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา จันทนแดงมีกลิ่นหอม หากล่ินอ่ืนเสมอเหมือนมิได ฉันใด, ขอ ถวายพระพร พระนิพพานก็มีกลิ่นหอม หากลิ่นอื่นเสมอเหมือน มิได ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือคุณอยางท่ี ๒ ของ จันทนแดง ซึ่งเทียบกันไดกับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา จันทนแดง เปนส่ิงท่ีชนท้ังปวงสรรเสริญ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระนิพพานก็เปนส่ิงท่ีพระอริยเจาสรรเสริญ ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือคุณอยางท่ี ๓ ของจันทนแดง ซึ่งเทียบกัน ไดกับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร คุณ ๓ อยางของจันทนแดง เหลานี้แล เทียบกันไดกับพระนิพพาน.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘คุณ ๓ อยางของหัวเนยใสเทียบกันไดกับพระนิพพาน’ ดังนี้ ขอถามวา คุณ ๓ อยางของหัวเนยใส คืออะไรบาง ท่ีเทียบกัน ไดกับพระนิพพาน?”
๒๑๘ กณั ฑท ่ี ๕, อนุมานปญหา พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา หัวเนย ใส เปนธรรมชาติที่ถึงพรอมดวยสีสัน ฉันใด, ขอถวายพระพร พระนพิ พานกเ็ ปนสง่ิ ท่ถี งึ พรอมดว ยสีสันคือคุณ ฉนั นนั้ เหมอื นกนั . ขอถวายพระพร น้ีคือคุณอยางท่ี ๑ ของหัวเนยใส ซ่ึงเทียบกันได กับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา หัว เนยใส เปนธรรมชาติท่ถี ึงพรอมดวยกล่ิน ฉันใด, ขอถวายพระพร พระนิพพานก็เปนส่ิงที่ถึงพรอมดวยกลิ่นคือศีล ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือคุณอยางท่ี ๒ ของหัวเนยใส ซึ่งเทียบกันได กับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา หัว เนยใส เปนธรรมชาติท่ถี ึงพรอมดวยรส ฉันใด, ขอถวายพระพร พระนิพพานก็เปนส่ิงท่ีถึงพรอมดวยรส (คือวิมุตติ) ฉันน้ัน เหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือคุณอยางท่ี ๓ ของหัวเนยใส ซึ่ง เทียบกันไดกับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร คุณ ๓ อยางของ หัวเนยใสเหลาน้ีแล เทียบกันไดกับพระนิพพาน.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘คุณ ๕ อยางของยอดเขาเทียบกันไดกับพระนิพพาน’ ดังน้ี ขอถามวา คุณ ๕ อยางของยอดเขา คืออะไรบาง ที่เทียบกัน ไดกับพระนิพพาน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา ยอด เขาเปนสวนที่สูงย่ิง ฉันใด, ขอถวายพระพร พระนิพพานก็เปน
วรรคที่ ๓, เวสสันตรวรรค ๒๑๙ สวนท่ีสูงยิ่ง ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือคุณอยางที่ ๑ ของยอดเขา ซ่ึงเทียบกันไดกับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา ยอดเขาเปนส่ิงที่หาความสั่นไหวมิได ฉันใด, ขอถวายพระพร พระนิพพานก็เปนส่ิงท่ีหาความส่ันไหวมิได ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือคุณอยางที่ ๒ ของยอดเขา ซ่ึงเทียบกัน ไดกับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา ยอดเขาเปนสิ่งท่ีใคร ๆ ปนข้ึนไปไดยาก ฉันใด, ขอถวายพระ พร พระนิพพานก็เปนที่กิเลสท้ังหลายท้ังปวงยางขึ้นไดยาก ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือคุณอยางที่ ๓ ของ ยอดเขา ซ่ึงเทียบกันไดกับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา ยอดเขาไมเปนท่ีงอกงามแหงพืชทั้งหลายทั้งปวง ฉันใด, ขอ ถวายพระพร พระนิพพานก็ไมเปนท่ีงอกงามแหงกิเลสทั้งหลาย ท้ังปวง ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือคุณอยางท่ี ๔ ของยอดเขา ซ่ึงเทียบกันไดกับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา ยอดเขาพนแลวจากความยินดีและความยินราย ฉันใด, ขอ ถวายพระพร พระนิพพานก็พนแลวจากความยินดีและความ ยินราย ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือคุณอยางท่ี ๕ ของยอดเขา ซึ่งเทียบกันไดกับพระนิพพาน. ขอถวายพระพร
๒๒๐ กัณฑท ่ี ๕, อนุมานปญหา คุณ ๕ อยางของยอดเขาเหลานี้แล เทียบกันไดกับพระ นิพพาน.” พระเจามิลินท : “ดีจริง พระคุณเจานาคเสน ขาพเจา ขอยอมรับคําตามที่ทานกลาวมาน้ี.” จบนิพพานรูปสัณฐานปญหาที่ ๑๐ คําอธิบายปญหาท่ี ๑๐ ปญหาเก่ียวกับสีและสัณฐานแหงพระนิพพาน ช่ือวา นพิ พานรูปสัณฐานปญ หา. ช่ือวา ไมอาจท่ีจะบงชี้ถึงสีก็ดี ฯลฯ ขนาดก็ดี ก็ เพราะความที่พระนิพพานนั้นไมมีสี ไมมีสัณฐาน ไมมีวัย ไมมี ขนาด. คาํ วา โดยอุปมา เปนตน ความวา ไมอาจบงช้ีถึงสี เปนตน โดยอุปมา เพราะหาสิ่งอ่ืนที่จะนํามาเปนอุปมา เปรียบ เทียบกับพระนิพพาน เพื่อจะใหทราบถึงสีเปนตน มิได. คาํ วา โดยเหตุ คือ โดยเหตุท่ีทําใหเกิดขึ้น เพราะ พระนิพพานไมมีเหตุ. คาํ วา โดยนัย คือ โดยวิธีการแนะนาํ เฉพาะ เพื่อใหทราบ ถึงสีเปนตน แหงพระนิพพานเพราะพระนิพพานไมมีนัย. คําวา คุณของพระนิพพานที่เปรียบเทียบกันไดกับ คุณของสิ่งอื่น ๆ โดยสภาวะที่มีอยู ไมมีหรอก คือ คุณของ พระนิพพานที่เปรียบเทียบกันไดกับคุณของส่ิงอ่ืน ๆ โดยสภาวะ
วรรคที่ ๓, เวสสนั ตรวรรค ๒๒๑ ที่มีอยูจริง เชนวา สภาวะท่ีสงบสังขาร เปนตน ไมมีหรอก. คาํ วา เปนวสีภูต คือ เปนสัตวผูบรรลุวสีภาวะ (ความ ชาํ นาญจิต) ดวยอํานาจสมาบัติ ๘ เปนตน, หรือเปนสัตวผูมี อาํ นาจในตน ไมเน่ืองดวยผูอื่น. คาํ วา เปนมหาภูต คือ เปนสัตวผูที่เทวดาและมนุษย ทั้งหลายบูชา หรือเปนสัตวผูมีคุณทั้งหลาย มีศีลคุณเปนตน ที่ยิ่งใหญ. คําวา โดยการทาํ ชราและมรณะใหพ นิ าศไป คอื โดย การทําชราและมรณะใหพินาศไป ตามแนวแหงการทําชาติ (ความเกิด) ใหพินาศไป. พระนิพพานช่ือวาเปนสิ่งท่ีถึงพรอมดวยกล่ิน คือศีล ก็เพราะบุคคลจักเปนผูอาจทาํ พระนิพพานใหแจงได ก็ในเมื่อได ปรารภปฏิปทาท่ีมีการชาํ ระศีลใหบริสุทธ์ิเปนเบ้ืองตนกอนเทาน้ัน และเพราะเม่ือถึงพระนิพพานแลว เขายอมช่ือวาเปนผูมีศีล บรสิ ทุ ธ์ิ มีกลิ่นคือศีลนนั้ หอมฟุงไปแมท วนลม ซงึ่ เปนอันประกาศ ถงึ คณุ านุภาพแหงพระนพิ พาน. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๑๐ ปญหาที่ ๑๑, นิพพานสจั ฉิกรณปญ หา พระเจา มลิ นิ ท : “พระคณุ เจา นาคเสน พวกทานกลาวกนั วา ‘พระนิพพานไมเปนอดีต, ไมเปนอนาคต, ไมเปนปจจุบัน, ไมใชสิ่งท่ีเกิดข้ึนแลว, ไมใชส่ิงที่ยังไมเกิด, ไมใชสิ่งที่อาจทาํ
๒๒๒ กณั ฑท ี่ ๕, อนมุ านปญหา ใหเกดิ ข้ึนได’ ดังนี้. พระคุณเจานาคเสน บุคคลใดบคุ คลหนง่ึ ใน โลกนีป้ ฏิบตั ชิ อบ กย็ อมกระทําพระนพิ พานใหแ จง ได, บุคคลน้นั กระทาํ พระนิพพานที่เกิดข้ึนแลวใหแจงหรือไร, หรือวากระทาํ พระนิพพานใหเกิดขึ้นแลว จึงกระทาํ ใหแจง เลา?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร บุคคลใด บุคคลหนึ่ง ปฏิบัติชอบ ก็ยอมกระทําพระนิพพานใหแจงได, บุคคลนั้น หาไดกระทาํ พระนิพพานท่ีเกิดข้ึนแลวใหแจงไม, หาได กระทําพระนิพพานใหเกิด แลวจึงกระทําใหแจงไม.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน โปรดอยาแสดง ปญหาน้ีอยางปด ๆ บัง ๆ เลย, โปรดเกิดฉันทะ เกิดอุตสาหะ แสดงอยางเปดเผย อยางปรากฏเถิด, ขอจงเปดเผยพระ นิพพานท่ีทานไดศึกษามาใหหมดเถิด, ในเร่ืองพระนิพพานนี้ ยังมีคนลุมหลง เกิดความคลางแคลงใจ เขาสูความสงสัยกัน อยู, ขอทานจงหักลูกศรที่เสียบอยูภายในใจขอนี้เสียเถิด.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร นิพพานธาตุซึ่งสงบ เปนสุข ประณีตน้ี มีอยู, บุคคลผูปฏิบัติชอบ ผูไดพิจารณา สังขารท้ังหลายไปตามคําที่พระชินวรพุทธเจาทรงอนุศาสนไว ยอมกระทาํ พระนิพพานน้ันใหแจงดวยปญญาได, ขอถวาย พระพร เปรียบเหมือนวา ลูกศิษยผูปฏิบัติชอบตามคําที่ อาจารยอนุศาสนไว ยอมกระทาํ วิชชาใหแจงดวยปญญาได ฉันใด, บุคคลผูปฏิบัติชอบตามคาํ ที่พระชินวรพุทธเจาทรง อนุศาสนไว ก็ยอมกระทาํ พระนิพพานใหแจงดวยปญญาได
วรรคที่ ๓, เวสสันตรวรรค ๒๒๓ ฉันน้ันเหมือนกัน. ก็บัณฑิตพึงเห็นพระนิพพานนั้น อยางไร. พึงเห็นวาหา เสนียดมิได วาหาอุปททวะ (อันตราย) มิได วาหาภัยมิได วา เกษม วาสงบ วาเปนสุข วานายินดี วาประณีต วาสะอาด วา เยือกเย็น. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บุรุษคนหนึ่งกําลังจะ ถูกไฟท่ีลุกติดกองไมแหงหลายกองเผาเอา ก็ใชความพยายาม หนีพนจากกองไฟนั้นได เขาไปอยูในโอกาสที่ปราศจากไฟแลว ก็ไดรับความสุขอยางยิ่งอยู ณ ที่นั้น ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคลใดเปนผูปฏิบัติชอบ บุคคลนั้นก็ยอมใชโยนิโสมนสิการ กระทาํ พระนิพพานอันเปนธรรมท่ีปราศจากความรอนแหงกิเลส ดุจไฟ ๓ กอง อันเปนสุขอยางยิ่ง ใหแจงได ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร บุคคลพึงเห็นกิเลสดุจไฟ ๓ กอง วาเปนดุจกอง ไฟเถิด, พึงเห็นบุคคลผูปฏิบัติชอบ วาเปนดุจบุรุษผูตกไปในกอง ไฟ, พึงเห็นพระนิพพาน วาเปนดุจโอกาสท่ีปราศจากไฟ ฉะน้ัน. ขอถวายพระพร อีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา บุรุษ คนหน่ึงตกลงไปในกองซากงู ซากไก ซากมนุษย, กองโกฏฐาส อันเปนของเสียจากรางกาย เขาไปในระหวางสถานที่ที่มีแต ซากศพสุมอยูเกล่ือน ก็ใชความพยายามหนีพนจากสถานที่น้ัน ไปได เขาไปสูโอกาสที่ปราศจากซากศพไดแลว ก็ไดรับความสุข อยางยิ่งอยู ณ สถานท่ีน้ัน ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคลใด เปนผูปฏิบัติชอบ, บุคคลน้ันก็ยอมใชโยนิโสมนสิการกระทํา
๒๒๔ กณั ฑท่ี ๕, อนุมานปญหา พระนิพพานอันเปนธรรมท่ีปราศจากซากศพคือกิเลสเปนสุข อยางย่ิง ใหแจงได ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร พึงเห็น กามคุณ ๕ วาเปนดุจซากศพ, พึงเห็นบุคคลผูปฏิบัติชอบ วา เปนบุรุษผูตกไปในกองซากศพ, พึงเห็นพระนิพพานวาเปนดุจ โอกาสท่ีปราศจากซากศพ ฉะน้ันเถิด. ขอถวายพระพร อีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา บุรุษคน หนึ่ง กลัวภัย สะดุง หว่ันหวาด มีจิตวิปริตวุนวาย ก็ใชความ พยายามหนีพนจากสถานที่น้ัน เขาไปสูสถานที่ท่ีแข็งแรงม่ันคง ไมหว่ันไหว ไมมีภัยไดแลวก็ไดรับความสุขอยางย่ิงอยู ณ สถานท่ีนั้น ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคลใดเปนผูปฏิบัติชอบ, บุคคลนั้นก็ยอมใชโยนิโสมนสิการ กระทําพระนิพพานอันเปน ธรรมท่ีปราศจากภัย ความสะดุงกลัว เปนสุขอยางย่ิง ใหแจงได ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร พึงเห็นภัย ท่ีอาศัยชาติ ชรา พยาธิ มรณะ เปนไปสืบตอกันไป วาเปนดุจภัย, พึงเห็นบุคคล ผูปฏิบัติชอบ วาเปนบุรุษผูกลัวภัย, พึงเห็นพระนิพพาน วาเปน ดุจสถานท่ีท่ีไมมีภัย ฉะน้ันเถิด. ขอถวายพระพร อีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา บุรุษ คนหนึ่งตกไปในท่ีท่ีเปนแองโคลนตม เลอะเทอะ สกปรก ใช ความพยายามละสถานท่ีที่มีแตเปอกตมนั้นเสีย เขาไปยัง สถานท่ีที่สะอาด ปราศจากมลทินไดแลวก็ไดรับความสุขอยาง ยิ่งอยู ณ สถานที่นั้น ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคลใดเปนผู ปฏิบัติชอบ, บุคคลน้ันก็ยอมใชโยนิโสมนสิการ กระทําพระ
วรรคที่ ๓, เวสสนั ตรวรรค ๒๒๕ นิพพานอันเปนธรรมท่ีปราศจากเปอกตมคือกิเลส ใหแจงได ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร พึงเห็นลาภสักการและ ช่ือเสียงวาเปนดุจเปอกตม, พึงเห็นบุคคลผูปฏิบัติชอบ วาเปน ดุจบุรุษผูตกไปในเปอกตม, พึงเห็นพระนิพพาน วาเปนดุจ สถานที่ท่ีสะอาดปราศจากมลทิน ฉะน้ันเถิด. ก็แตวา บุคคลผูปฏิบัติชอบ ยอมกระทําพระนิพพานน้ัน ใหแจงวากระไรเลา, ขอถวายพระพร บุคคลผูปฏิบัติชอบยอม พิจารณาสังขารท่ีเปนไปอยู เมื่อพิจารณาสังขารท่ีเปนไปอยู ก็ ยอมเห็นชาติ เห็นชรา เห็นพยาธิ เห็นมรณะในสังขารน้ัน, ยอม ไมเ ห็นความสขุ ความสาํ ราญอะไร ๆ ในสงั ขารนนั้ ไมวาเบื้องตน ไมวาทามกลาง ไมวาที่สุด. บุคคลผูปฏิบัติชอบน้ัน ยอมมอง ไมเห็นอะไร ๆ ท่ีควรเขาไปถือเอาในสังขารน้ัน. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา เม่ือกอนเหล็กถูกไฟ เผาตลอดทั้งวัน จนรอนจัด ลุกโพลง บุรุษคนหนึ่ง ยอมมองไม เห็นสวนท่ีนาเขาไปจับถือเลยสักสวนหนึ่ง ไมวาตน ไมวากลาง ไมวาปลาย ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคลใดพิจารณาสังขาร ที่เปนไปอยู, บุคคลนั้น เมื่อพิจารณาสังขารท่ีเปนอยูก็ยอมเห็น ชาติ เห็นชรา เห็นพยาธิ เห็นมรณะในสังขารนั้นยอมไมเห็น ความสุขความสาํ ราญอะไร ๆ ในสังขารน้ัน ไมวาเบ้ืองตน ไมวา ทามกลาง ไมวาท่ีสุด ฉันน้ันเหมือนกัน บุคคลผูปฏิบัติชอบนั้น ยอมมองไมเห็นอะไร ๆ ท่ีควรเขาไปถือเอาในสังขารน้ัน, เมื่อ บุคคลผูปฏิบัติชอบนั้น มองไมเห็นสิ่งท่ีควรเขาไปถือเอา ความ
๒๒๖ กณั ฑท ี่ ๕, อนุมานปญหา ไมยินดีก็ยอมตั้งข้ึนในจิต, ความรอนก็ยอมกาวลงในกาย, เขา น้ันก็เปนผูไมมีที่ตานทาน ไมมีท่ีพ่ึง เปนผูหาอะไร ๆ เปนที่พ่ึง มิได ยอมเบื่อหนายในภพท้ังหลาย. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บุรุษคนหน่ึงเขาไปสู กองไฟใหญท่ีมีเปลวลุกโพลง, เขาน้ันเปนผูไมมีที่ตานทาน ไมมี ท่ีพึ่ง เปนผูที่หาอะไร ๆ เปนที่พึ่งมิได ก็พึงเบ่ือหนายในกองไฟ ฉันใด, ขอถวายพระพร เมื่อบุคคลผูปฏิบัติชอบนั้น, มองไมเห็น สิ่งที่ควรเขาไปถือเอา ความไมยินดีก็ยอมตั้งขึ้นในจิตความรอน ก็ยอมกาวลงในกาย, เขาน้ันก็เปนผูไมมีท่ีตานทานไมมีท่ีพึ่ง เปนผูหาอะไร ๆ เปนท่ีพ่ึงมิได ยอมเบ่ือหนายในภพทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน. บุคคลผูมีปกติเล็งเห็นภัยในสังขารที่เปนไปน้ัน ยอมเกิด ความคิดอยางนี้วา สังขารที่เปนไปน้ี รอน แผดเผา ลุกโพลง มีทุกขมาก มีความคับแคนมาก หนอ, ถาหากวาใคร ๆ จะพึงได ธรรมอันหาสังขารเปนไปมิได ซึ่งสงบนี้ ซ่ึงประณีตน้ี ไซร ธรรม อันหาสังขารเปนไปมิไดน้ี ก็ตองไดแกธรรมอันเปนท่ีสงบสังขาร ทั้งปวง เปนท่ีสละอุปธิทั้งปวง เปนท่ีส้ินตัณหา เปนท่ีสาํ รอก ราคะ เปนท่ีดับ (ตัณหา) เปนนิพพาน เม่ือเปนอยางนี้ จิตของ เขาก็ยอมแลนไป ยอมเล่ือมใส ยอมบันเทิง ยอมยินดี ในธรรม อันหาสังขารเปนไปมิไดวา เราไดนิสสรณธรรม (ธรรมที่แลน ออกไปจากทุกข) แลวหนอดังน้ี. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บุรุษคนหนึ่งหลงทาง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 548
Pages: