โอปม มกถาปญหากัณฑ ๓๗๗ ปจ จัยทที่ ายกนาํ มาถวายดว ยศรทั ธา ทํานองวา ปจจยั มีจีวรเนือ้ ดี เปนตนเหลานั้น ไมเหมาะแกสมณสากยบุตรผูบวชดวยศรัทธา ผูสันโดษดวยปจจัยท่ีมีคานอยเทาที่มี เทาที่ได สาํ หรับจีวรก็ควร จะเปนผาบังสุกุลนั่นแหละ จึงจะเหมาะเปนตน คนเหลาน้ันฟง แลวก็เกิดความเลื่อมใส มีประมาณย่ิง ๆ ขึ้นไป ดวยคิดวา “พระคุณเจารูปนี้ เปนผูมักนอย สันโดษเสียจริงหนอ เห็นทีวา ทานจะเปนผูมีคุณวิเศษ”, ดังน้ีแลว ก็เที่ยวปาวประกาศใหคน ทั้งหลายไดทราบ คนเหลาน้ันมีจิตเล่ือมใสย่ิง พวกเขาเหลาน้ัน คดิ วา “การใหแ กท านผูประเสริฐเหน็ ปานฉะน้ี ยอ มมผี ลตอบแทน มากมาย ไมอ าจประมาณได” ดงั นแ้ี ลว กพ็ ากนั เขา ไปออนวอน ใหทานรับของของตน ภิกษุผูมักมากคะเนวา เวลาน้ี ปจจัยที่เขา นาํ มาถวายตนน้ันรวมกันแลวก็มีมากมาย สมตามท่ีกะการณไว จึงกลาวกะคนเหลานั้นวา “เอาละ ทานทั้งหลาย ปจจัยที่ทาน ทั้งหลายหาไดมาดวยความบริสุทธ์ิ ก็มีอยู ทายกผูมีศรัทธาจะ ถวายคือทานทั้งหลาย ก็มีอยู. อาตมภาพผูเปนปฏิคาหก ก็มีอยู เม่ือองค ๓ พรอมเพรียงกันอยางนี้แลว การท่ีอาตมาจะปฏิเสธ ไมยอมรับปจจัยเหลานี้อีก ท้ัง ๆ ท่ีพวกทานออนวอนกันอยูก็ดู เหมือนจะไมเย่ือใยกันจนเกินไป จะทาํ ใหพวกทานพลาดจากบุญ ไปเสีย เอาเถอะ อาตมาจะยอมรับไวสักครั้งหนึ่ง”, ในท่ีสุด ตอง ใชเกวียนจึงจะขนเอาส่ิงของเหลาน้ันไปไดหมด. น้ี ชื่อวา “การ แสรงปฏิเสธปจจัย”.
๓๗๘ วรรคท่ี ๓, ปถวีวรรค ภิกษุผูมักมาก หวังจะไดปจจัยท่ีประณีตมาก ๆ คิดวา “ดวยวิธีน้ี เราจักไดปจจัยท่ีประณีตมากมาย” ดังน้ีแลว ก็ พยายามแตงอิริยาบถใหนาเลื่อมใสแกผูพบเห็น เขาไปอยูใน สถานท่ีท่ีคิดวา “คนท้ังหลายจะไดเห็นเรา” ดังนี้แลว ก็แตง อิริยาบถใหเครงครัด เวลาน่ังก็นั่งสาํ รวมเสียเหลือเกิน ราวกะ นั่งเขาสมาธิสมาบัติอยูน่ันเทียว แมเวลายืนเปนตน ก็อยางน้ัน เหมือนกัน. คนท้ังหลายพบเห็นเขา ก็สาํ คัญผิดวาทานเปน ผูมีคุณวิเศษ เปนพระอริยบุคคล เกิดความเลื่อมใสยิ่งนักแลว ก็นอมนาํ เอาปจจัยท่ีประณีตเขาไปถวายให นี้ ช่ือวา “การแตง อิริยาบถ”, ความหลอกลวง มี ๒ อยาง ตามประการดังกลาว มาน.้ี สวน ช่ือวา การพดู เลยี บเคยี ง ไดแก การไมบ อกส่ิงทตี่ น ตอ งการแกเ ขาตรง ๆ เพราะยังมคี วามละอายอยบู า ง หรอื เพราะ เห็นวาเขามไิ ดป วารณาไว ทวา พูดเลยี บ ๆ เคยี ง ๆ คือ เฉียด ๆ วัตถุท่ีประสงค เพ่ือใหเขาฟงแลวทราบเองโดยนัย เชนวา เห็น เขาแบกออ ยเดินมา ตนอยากฉันออย ก็ถามวา “แนะอบุ าสก ออ ย นะหวานรึ?” “หวาน พระคณุ เจา” , “รูไดอ ยา งไรวาหวาน?” , “ตอง ชิมดู พระคณุ เจา จงึ จะรู”, “ไมม คี นนาํ มาถวาย แลวอาตมาจะได ออยที่ไหนชิมเลา?” เขาไดยินแลวก็รีบจัดแจงมาถวาย อยางน้ี เปนตน. นี้ ชื่อวา “การพูดเลียบเคียง” คาํ วา ความเปนผูทํานิมิต คือความเปนผูทาํ กายและ วาจาใหขยับเขย้ือนเคล่ือนไหวเปนเคร่ืองหมายใหผูอื่นไดรูความ
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๓๗๙ ประสงคของตน เชนวา เห็นเขาบริโภคมะมวงกัน ก็กลาววา “อา ว ถงึ หนามะมว งแลวหรอื ” ดงั นี้ เปน ตน . นี้ ชอ่ื วา “ความเปน ผูทํานมิ ิต”. คาํ วา ความเปนผูพูดบีบบังคับ คือเห็นเขาไมเคย ถวายอะไร ๆ แกตน ก็พูดใหเขาเกิดความเจ็บใจ เพ่ือใหเขา ถวายปจจัยแกตน เพราะความเจ็บใจน้ันนั่นแหละ เชนเรียก เขาวา “ผูกินบุญเกา” ดังน้ี บาง, วา “ผูมีชีวิตดวยการบริโภค ผักอยางเดียว” บาง, หรือถึงกับพูดประชด เรียกเขาวา “ทาน ทานบดี” ดังนี้ บาง, ซ่ึงเขาฟงแลวก็ขุนเคือง เจ็บใจ รูวาจะตอง นําอะไร ๆ มาถวายภิกษุรูปน้ีบางเทาน้ัน ภิกษุรูปนี้จึงจะหยุด พูดจาเยาะเยยเปนตน อยางน้ี. น้ี ช่ือวา “ความเปนผูพูด บีบบังคับ.” คําวา เปนผูมีอาจาระบริสุทธิ์ คือมีความประพฤติทั้ง ทางกาย ทั้งทางวาจา บริสุทธ์ิ เพราะเหตุที่มิไดใชกายและวาจา ประกอบมิจฉาอาชีวะ มีประการดังกลาว. พระคาถาท่ีวา “วรฺเจ เม อโท” เปนตน เปนคาํ ตรัส ของพระผูมีพระภาค สมัยท่ีเสวยพระชาติเปนกัณหกุมาร ซึ่ง ตอมาทิ้งกองสมบัติท่เี ห็นวาไมมีสาระ ไปบวชเปนดาบสอยูท่แี ดน หิมพานต ประพฤติมักนอยย่ิงนัก สมาทานธุดงคหลายขอ ใน ท่สี ดุ กส็ ามารถทําอภิญญาสมาบัติท้งั หลายใหส ําเรจ็ ได. พระแทน ท่ีประทับของทานทาวสักกะเกิดรอนข้ึน เพราะเดชแหงศีลของ ทาน ทานทาวสักกะจึงเสด็จลงมา เม่ือทรงเปดโอกาสใหดาบส
๓๘๐ วรรคท่ี ๓, ปถวีวรรค ขอพร ทานดาบสก็ขอพร ๔ ประการ ตามคาถาท่ีทานยกมา แสดงน.ี้ จบคาํ อธิบายปญหาที่ ๒ ปญหาท่ี ๓, เตชังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๕ แหง ไฟ’, องค ๕ ท่พี งึ ถือเอาน้นั เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา ไฟเผาไหมตนหญา ไมแหง ก่ิงไม ใบไม ฉันใด, ขอ ถวายพระพร กิเลสท้ังหลาย ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี ซ่ึงมีการ เสวยอิฏฐารมยและอนิฏฐารมณเหลาน้ัน ใด, พระโยคาวจรผู บาํ เพ็ญเพียร ก็พึงใชไฟคือญาณ เผากิเลสเหลานั้นท้ังหมด, ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๑ แหงไฟ ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง ไฟ โหดราย หากรุณา มิได ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็ไม ควรกระทาํ ความการุญ ความเอื้อเอ็นดู ในกิเลสท้ังหลายท้ังปวง ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอถวายพระพร นี้คือองคที่ ๒ แหงไฟ ที่พึง ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง ไฟ ปราบความเย็นได ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงทําไฟ รอนคือวิริยะ ใหเกิดข้ึนมาปราบกิเลสทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๓ แหงไฟ ท่ีพึงถือเอา.
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๓๘๑ ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง ไฟ พนแลวจากความ ยินดียินราย ทําความรอนใหเกิด ฉันใด, พระโยคาวจรผูบําเพ็ญ เพียร ก็พึงเปนผูพนแลวจากความยินดียินราย อยูดวยใจเสมอ ดว ยไฟ ฉนั น้ันเหมือนกนั , ขอถวายพระพร น้ีคอื องคท ี่ ๔ แหง ไฟ ทพ่ี ึงถอื เอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคห นึ่ง ไฟ กําจดั ความมืด ยัง แสงสวางใหปรากฏ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บาํ เพญ็ เพยี ร กพ็ งึ กาํ จัดความมดื ยงั แสงสวา งคอื ญาณใหปรากฏ ฉนั น้นั เหมือนกัน, ขอถวายพระพร นค้ี ือองคท ี่ ๕ แหง ไฟ ทีพ่ ึง ถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพย่ิงเหลา เทพ ทรงมีพระโอวาทรับสั่งความขอน้ี กะทานพระราหุลผูเปน โอรสของพระองค วา :- ‘เตโชสมํ ราหุล ภาวนํ ภาเวหิ, เตโชสมํ หิ เต ราหุล ภาวนํ ภาวยโต อุปฺปนฺนา มนาปา- มนาปา ผสฺสา จิตฺตํ น ปริยาทาย สฺสนฺติ๑ น่ีแนะ ราหุล เธอจงเจริญภาวนา อันเปนเครื่อง สงบไฟ เถิด, น่ีแนะ ราหุล ก็เมื่อเธอเจริญ ภาวนา อันเปนเคร่ืองสงบไฟไดอยู ผัสสะท่ี นาชอบใจและไมนาชอบใจ ท่ีเกิดข้ึนแลว จัก ต้ังอยูครอบงําจิตมิได.’ ดังนี้.” จบเตชังคปญหาท่ี ๓ ๑. ม. ม. ๑๓/๑๒๘.
๓๘๒ วรรคท่ี ๓, ปถวีวรรค คําอธิบายปญหาท่ี ๓ ปญหาเกี่ยวกบั องคแหงไฟ ชือ่ วา เตชงั คปญหา. คาํ วา กิเลสทง้ั หลาย ภายในกด็ ี ภายนอกก็ดี ความ วา กิเลสท้ังหลายท่ีชื่อวา “ภายใน” เพราะเปนไปปรารภทวาร ๖ คือ ตา หู จมกู ล้ิน กาย และใจ ของตนกด็ ี ท่ชี อื่ วา “ภายนอก” เพราะเปนไปปรารภอารมณ ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมก็ดี, อกี อยางหนึง่ ทช่ี ื่อวา “ภายใน” เพราะเปน ไปปรารภ ขันธของตนก็ดี, ช่ือวา “ภายนอก” เพราะเปนไปปรารภขันธ ของผูอ่ืนกด็ ี. คาํ วา พึงใชไฟคือญาณ คือพึงใชไฟคือวิปสสนาญาณ และมรรคญาณ. วิริยะ (ความเพยี ร) ช่อื วา ไฟรอ น กเ็ พราะเมอื่ ปรารภไดดี โดยเก่ียวกบั สามารถกระทาํ ไดต ิดตอกนั กเ็ ปน ตบะแผดเผากเิ ลส ทั้งหลายได. ทานประสงคเ อาความเพียรทเี่ ปนปจ จยั แกวปิ ส สนา- ญาณและมรรคญาณนนั่ เอง อวิชชา ช่ือวา ความมดื เพราะอรรถวา ปดบังสจั จะ ไมให ปรากฏตามความเปนจริง, ช่ือวา ญาณ ไดแกวิชชา ซ่ึงไดช่ือวา แสงสวาง ก็เพราะอรรถวา กาํ จัดความมืดคืออวิชชาน้ัน สองให สจั จะท้ังหลายไดปรากฏตามความเปน จริง. คาํ วา เธอจงเจริญภาวนา อันเปน เคร่ืองสงบไฟ คือ เธอจงเจริญวิปสสนาภาวนาหรือแมสมถภาวนาอันเปนบาทแหง วิปสสนา ซ่ึงช่ือวาเปนเครื่องสงบไฟภายในคือสงบความยินดี
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๓๘๓ ยินรา ยทอี่ าศัยไฟภายใน มีไฟบม รางกายเปน ตน เกดิ ขึ้น. คําวา ผัสสะท่ีนาชอบใจ ไดแกผัสสะ (การกระทบ อารมณทางทวาร ๖) ที่เปนปจจัยแก ราคะ คือความยินดี, ความ วา ผัสสะที่กระทบอารมณท่ีนาปรารถนา. คําวา ผัสสะท่ีไมนาชอบใจ ไดแกผัสสะท่เี ปนปจจัยแก โทสะ, ความวา ผัสสะที่กระทบอารมณที่ไมนาปรารถนา. จบคําอธบิ ายปญ หาท่ี ๓ ปญ หาท่ี ๔, วายุงคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๕ แหงลม, องค ๕ ทพ่ี ึงถอื เอานั้น เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา ลมพัดโชยไปในระหวา งราวปา ทผี่ ลดิ อกออกชอ ดฉี นั ใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงร่ืนรมยใน ระหวางราวปาที่มีตนไมผลิดอกออกชอดี คือวิมุตติอันประเสริฐ ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๑ แหงลม ท่ีพึง ถือเอา. ขอถวายพระพร ยงั มอี ีกองคหนง่ึ , ลม พัดกระหนํ่า ย่ํายีหมู ไมท่ีงอกข้ึนบนพ้ืนธรณี ฉันใด, พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียรก็พึง เปนผูไปในระหวางปา วิจัยสังขาร ยํา่ ยีกิเลสทั้งหลาย ฉันน้ัน เหมือนกัน. นี้คือองคที่ ๒ แหงลม ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยงั มอี กี องคห นึง่ , ลม ยอ มจรไปในอากาศ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพญ็ เพยี รกพ็ งึ ทําจติ ให
๓๘๔ วรรคที่ ๓, ปถวีวรรค สัญจรไปในโลกุตตรธรรมท้ังหลาย ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวาย พระพร น้ีคือองคท่ี ๓ แหงลม ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอกี องคห นึ่ง, ลมยอ มโชยกลนิ่ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผบู ําเพญ็ เพยี ร ก็พงึ โชยกล่นิ ทหี่ อม ยิ่ง คือศีลประเสริฐของตน ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร นี้ คือองคท่ี ๔ แหงลม ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, ลม ปราศจากที่อยู ประจํา มิไดอาศัยสถานท่ีอยู ฉันใด, ขอถวายพระพร พระ โยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูปราศจากท่ีอยูประจํา ไมมี บา น หาความคุนเคยมไิ ด ปลอดพนในทท่ี ัง้ ปวง ฉนั นน้ั เหมอื นกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๕ แหงลม ที่พึงถือเอา. ขอถวาย พระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพย่ิงเหลาเทพ ทรงภาสิต ความขอน้ีไวในสุตตนิบาต วา :- ‘สนฺถวโต ภยํ ชาตํ, นิเกตา ชายเต รโช อนิเกตมสนฺถวํ, เอตํ เอว มุนิทสฺสนํ๑ ภัยเกิดจากสันถวะ (ความคุนเคยกัน) ธุลีเกิด จากบาน ธรรมอันหาบานมิได หาสันถวะมิไดน้ี ผูเปนมุนีเห็นแลว แล.’ ดังนี้.” จบวายุงคปญ หาที่ ๔ ๑. ข.ุ สุ. ๒๕/๔๐๘.
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๓๘๕ คาํ อธบิ ายปญ หาที่ ๔ ปญ หาเก่ียวกับองคแหงลม ช่ือวา วายุงคปญหา. ดวยคําวา พึงร่ืนรมยในระหวางราวปาท่ีมีตนไมผลิ ดอกออกชอดี คือวิมตุ ติอันประเสรฐิ นี้ ทานแสดงถึงการเสวย วมิ ุตตสิ ขุ ในการเขา ผลสมาบตั ขิ องพระอรยิ บุคคลทง้ั หลาย. คาํ วา พึงเปนผูไปในระหวางปา วิจัยสังขาร ยาํ่ ยี กิเลสท้ังหลาย คือเขา ไปปรารภความเพยี รในปา เจริญวปิ ส สนา ซึ่งเปน ปญ ญาท่วี จิ ยั สงั ขาร วาไมเ ทยี่ ง เปน ทุกข เปน อนตั ตา ย่ํายี กิเลสท้งั หลายดวยอาํ นาจแหง การละเปนตทงั คปหาน (ละเปน แต ละคร้ัง แตล ะคราวที่มีวิปสสนาปญ ญาน้ันเกิดขนึ้ ) ดว ยวิปส สนา- ญาณที่เกิดข้ึนน้ัน และเมื่อทาํ วิปสสนาญาณน้ันใหกาวหนาไป จนบรรลุถึงมรรคได ก็ยอมสามารถย่าํ ยี คือละเปนสมุจเฉท- ปหาน (ละไดเด็ดขาด) ดวยมัคคญาณนั้น ฉะนี้แล. คาํ วา พึงทําจติ ใหส ัญจรไปในโลกุตตรธรรมท้งั หลาย คือพึงทาํ จิตใหสัญจรไป คือพึงทาํ ใหเปนไปในโลกุตตรธรรม ทั้งหลาย คือ ในมรรค ผล และพระนิพพาน ที่ไดบรรลุ ดวย อํานาจการพิจารณาโลกุตตรธรรมท่ีไดบรรลุเหลาน้ัน วา “น้ี มรรค, เราไดเจริญแลว, น้ี ผล, เราไดบรรลุแลว, น้ี นิพพาน, เราไดกระทาํ ใหแจงแลว” ดังนี้. ดวยคําวา พึงโชยกล่ินที่หอมย่ิง คือศีลที่ประเสริฐ ของตน นี้ ทานแสดงถึงความเปนผูพรอมเพรียงดวยจตุปาริ- สุทธิศีล (ศีลท่ีบริสุทธ์ิ ๔ อยาง) มีปาติโมกขสังวรศีล เปนตน.
๓๘๖ วรรคท่ี ๓, ปถววี รรค คาํ อธบิ ายพระคาถาที่วา สนฺถวโต ภยํ ชาตํ – ภยั เกิด จากสันถวะเปนตน ไดแสดงแลวในสันถวปญหา ในเลม ๒ หนา ๓๖๘, โปรดดูในท่ีนน้ั . จบคําอธิบายปญ หาที่ ๔ ปญ หาที่ ๕, ปพ พตังคปญหา พระเจา มิลนิ ท : “พระคุณเจา นาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถอื เอาองค ๕ แหงภูเขา’, องค ๕ ทพี่ งึ ถอื เอานั้น เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา ภูเขาไมส่ัน ไมหว่ันไหว ไมคลอนแคลน ฉันใด, ขอ ถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ไมพึงกาํ หนัดในธรรม ทั้งหลายอันนากําหนัด, ไมพึงประทุษรายในธรรมทั้งหลายอัน นาประทุษราย, ไมพึงลุมหลงในธรรมท้ังหลายอันนาหลง, ไมพึง หว่ัน ไมพึงสั่นไหว ในความนับถือ ความดูหม่ินในสักการะ ใน สักการะ ในการทาํ ความเคารพ ในการไมทาํ ความเคารพ ในยศ ในความเส่ือมยศ ในนินทา ในสรรเสริญ ในสุข ในทุกข ใน รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ และธรรมท้ังหลายทั้งปวงที่ นาปรารถนาและไมนาปรารถนา, พึงเปนผูหาความส่ันไหวมิได ดุจภูเขาฉะน้ัน ฉันนั้นเหมือนกัน เถิด, ขอถวายพระพร นี้คือองค ท่ี ๑ แหงภูเขา ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผู ทรงเปนเทพยิ่งเหลาเทพ ทรงภาสิตความขอน้ีไววา :-
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๓๘๗ ‘เสโล ยถา เอกฆโน, วาเตน น สมีรติ เอวํ นนิ ฺทาปสสํ าส,ุ น สมิ ชฺ นฺติ ปณฺฑิตา๑ ภูเขาศิลา ทึบตันเปนอันเดียวกัน ยอมไมโอนเอนไป เพราะลม ฉันใด, บัณฑิตท้ังหลาย ก็ยอมไมหว่ันไหว ในเพราะคาํ นินทาและสรรเสริญ ฉันนั้น.’ ดังน้ี. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, ภูเขาแข็งกระดาง ไมปะปนกับส่ิงไร ๆ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูแข็งกระดาง ไมคลุกคลี ไมพึงกระทํา การคลุกคลีกับใคร ๆ ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือ องคท่ี ๒ แหงภูเขา ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระ ภาคผูทรงเปนเทพย่ิงเหลาเทพ ทรงภาสิตความขอน้ีไววา :- ‘อสํสฏ คหฏเหิ, อนาคาเรหิ จูภยํ อโนกสาริมปฺปจฺฉํ, ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ๒ เราขอกลาวถึงภิกษุผูมักนอย ไมคลุกคลีดวยท้ัง ๒ ฝาย คือดวยคฤหัสถและดวยบรรชิต ประพฤติเปนผูหาท่ีอยู ประจํามิได วาเปนพราหมณ.’ ดังนี้. ๑. ข.ุ ธ. ๒๕/๓๑. ๒. ข.ุ ธ. ๒๕/๙๖.
๓๘๘ วรรคท่ี ๓, ปถววี รรค ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, พืช ยอมไมงอกงาม บนภูเขา ฉนั ใด, พระโยคาวจรกไ็ มพึงทํากเิ ลสทงั้ หลายใหง อกงาม ในใจของตน ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๓ แหงภูเขา ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ทานพระสุภูติเถระได ภาสิตความขอน้ีไววา :- ‘ราคปู สหํ ิตํ จติ ฺต,ํ ยทา อปุ ฺปชชฺ เต มม. สยวํ ปจจฺ เวกขฺ าม,ิ เอกโก ตํ ทเมมหํ. รชชฺ เส รชฺชนีเย จ, ทุสสฺ นเี ย จ ทสุ สฺ เส. มยุ ฺหเส โมหนีเย จ, นกิ ขฺ มสสฺ ุ วนา ตวุ ํ วิสทุ ธฺ านํ อยํ วาโส, นมิ ฺมลานํ ตปสสฺ นิ .ํ มา โข วสิ ุทธฺ ํ ทเู สส,ิ นกิ ฺขมสสฺ ุ วนา ตวุ ํ๑ ในเวลาใด จิตท่ีประกอบกับราคะ เกิดขึ้นแกเราเรา จะพิจารณาเองทีเดียว, เราจะพึงทรมานจิตนั้นอยู แตผูเดียว เราสอนตนเองวา ตัวเจายังกาํ หนัดในสิ่ง ที่นากาํ หนัด ยังประทุษรายในสิ่งท่ีนาประทุษราย และยังหลงในส่ิงท่ีนาหลงอยูละก็ ขอจงออกไป จากปาเสียเถอะ สถานท่ีคือปาน้ีเปนท่ีอยูของทาน ผูหมดจด ปราศจากมลทิน มีตบะ ทานจงอยา ทาํ ลายสถานที่บริสุทธิ์ จงออกไปจากปาเสียเถอะ.’ ดังน้ี. ๑. ขุ. อป. ๓๒/๙๘.
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๓๘๙ ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, ภูเขา เปนสิ่งสูงยิ่ง ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร ก็พึงเปนผูสูงสงยิ่งดวย ญาณ ฉันนนั้ เหมอื นกัน, ขอถวายพระพร นค้ี ือองคท ่ี ๔ แหงภเู ขา ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพยิ่ง เหลาเทพ ทรงภาสิตความขอนี้ไววา :- ‘ปมาทํ อปฺปมาเทน, ยทา นุทติ ปณฺฑิโต ปฺาปาสาทมารุยฺห, อโสโก โสกินึ ปชํ ปพฺพตฏโว ภูมฏเ, ธีโร พาเล อเวกฺขติ๑ เม่ือใด บัณฑิตบรรเทาความประมาทดวยความ ไมประมาทได ก็ยอมเปนผูไมเศราโศก ยางขึ้นสู ปราสาทคือปญญา เล็งเห็นหมูสัตวผูเศราโศกอยู นักปราชญยอมมองเห็นคนพาลท้ังหลาย ดุจบุคคล ผูยืนอยูบนภูเขา มองเห็นคนที่ยืนอยูบนพื้นดิน ฉะน้ัน.’ ดังน.ี้ ขอถวายพระพร ยงั มอี กี องคหนงึ่ ภเู ขาไมฟ ู ไมฟ ุบ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็ไมพึงกระทาํ การ ฟขู น้ึ การฟบุ ลง ฉันนน้ั เหมอื นกัน, ขอถวายพระพร น้คี ือองคท่ี ๕ แหงภูเขา ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร นางจูฬสุภัททาอุบาสิกา เมื่อจะยกยองสมณะของตน ก็ไดภาสิตความขอน้ีไววา :- ๑. ข.ุ ธ. ๒๕/๒๐.
๓๙๐ วรรคที่ ๓, ปถวีวรรค ‘ลาเภน อุนฺนโต โลโก, อลาเภน จ โอนโต ลาภาลาเภน เอกฏา, ตาทิสา สมณา มม โลกฟูเพราะลาภ, และฟุบเพราะเสื่อมลาภ ทาน สมณะท้ังหลาย มีสภาวะเปนหน่ึงในลาภ และ เสื่อมลาภ, ทานสมณะทั้งหลายของเรา ทานเปน เชนน้ัน.’ ดังนี้.” จบปพพตังคปญหาที่ ๕ คําอธิบายปญหาที่ ๕ ปญหาเก่ียวกบั องคแ หงภเู ขา ชอ่ื วา ปพพตังคปญหา. คาํ วา พึงเปนผูแ ข็งกระดาง คือพงึ เปนผมู ีจติ เขม แข็ง. ดวยคาํ วา ไมพึงกระทําการคลุกคลี น้ี ทานแสดงถึง ความเปนผูมีปกติอยูแตผูเดียวเที่ยวไปแตผูเดียว. คําวา ไมพึงทาํ กิเลสทั้งหลายใหงอกงาม คือไมพึงทาํ ใหงอกงามดวยอํานาจแหง การละเปน ตทงั คปหาน ดวยวิปสสนา- ญาณ หรอื แมด วยอาํ นาจแหง การละเปนวิกขัมภนปหาน (ละดวย การขมไวได) ดวยฌานที่เปนบาทแหงวิปสสนาและดวยอํานาจ การละเปน สมจุ เฉทปหานดวยมัคคญาณ. ในคาถาของพระสุภูติเถระ คําวา เราพึงทรมานจิต คือ เราพึงขมจิตที่มีราคะนั้น ดวยกรรมฐาน.
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๓๙๑ คาํ วา กพ็ งึ เปนผูสูงสง ยงิ่ ดว ยญาณ คอื เปน ผสู งู สงยง่ิ ๆ ข้ึนไปตามลําดับ ดวยอํานาจลาํ ดับแหงวิปสสนาญาณและมัคค- ญาณ จบั ต้งั แตช ้ันตา่ํ ๆ ขน้ึ ไปสชู ้ันสงู ๆ. ในพระคาถา : คําวา บรรเทาความประมาทดวยความ ไมประมาท ไดแกเพ่ิมพูนความไมประมาท ดวยการเจริญ อธิกุศล คือสมถะและวิปสสนา ใชกาํ ลังแหงความไมประมาท บรรเทาคือขจัดความประมาทนั้น ไมยอมใหโอกาสแกความ ประมาท. คําวา ยอมเปนผูไมเศราโศก ยางขึ้นสูปราสาทคือ ปญญา เปนตน ความวา ภิกษุผูบรรเทาความประมาทไดแลว ยอมเปนผูไมเศราโศก เพราะถอนลูกศรคือความเศราโศกออกได แลว ยอมยางขึ้นสูปราสาทคือปญญา ซึ่งในท่ีนี้ไดแกทิพยจักษุ ทางบันไดคอื ปฏิปทาทค่ี ลอยตามปฏิปทาท่ีสรางความไมป ระมาท นน้ั นัน่ แหละ. คาํ วา เล็งเห็นหมูสัตวผูเศราโศกอยู คือใชทิพยจักษุ มองดหู มสู ัตวผ ูเคลือ่ นจากภพนนั้ สูภพนี้, จากภพน้ีสูภพโนน ผูถ กู ทุกข กลา วคอื ชรา พยาธิ มรณะ เปน ตน ครอบงําเศราโศกอยู. คาํ วา นกั ปราชญย อ มมองเห็นคนพาลท้ังหลาย เปน ตน ความวา บัณฑิตผเู ปน นักปราชญ คือพระขีณาสพผูไ ดท พิ ยจักษุ ยอมมองเห็นคนพาลผูเกิด ผูตายอยูในภพน้ัน ๆ โดยไมยาก เหมือนอยางอะไร? เหมือนอยางบุคคลผูมีตาดี ยืนอยูบนเนินเขา
๓๙๒ วรรคท่ี ๓, ปถวีวรรค ยอมมองเหน็ คนทงั้ หลายผยู ืนอยูบนพน้ื ดนิ เบ้ืองลางไดโดยไมยาก ฉะน้ัน. คําวา โลกฟูเพราะลาภ และฟุบเพราะเส่ือมลาภ ความวา โลกคอื สตั ว ฟูคือเกิดความปลาบปลม้ื ยินดเี พราะไดล าภ, และฟุบคือเกิดความเศราโศกเสียใจเพราะเส่ือมลาภกลาวคือ ไมไ ดลาภทหี่ วงั จะได หรือลาภท่ไี ดแ ลวพินาศไป. คําวา ทานสมณะทั้งหลาย เปนคําท่ีอุบาสิกาผูนี้กลาว หมายเอาสมณะในพระศาสนาน้ี, โดยพิเศษคือพระอรหันต. คาํ วา มีสภาวะเปนหนึ่ง คือมีสภาวะแหงจิตเปนหนึ่ง โดยเก่ียวกับต้ังมั่น ไมหวั่นไหวดวยอํานาจความยินดี และความ ยินราย. จบคาํ อธิบายปญหาที่ ๕ ปญหาที่ ๖, อากาสงั คปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๕ แหงอากาศ’, องค ๕ แหงอากาศท่ีพึงถือเอาน้ัน เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ใคร ๆ ไมอาจ จับตองอากาศได โดยประการทั้งปวง ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูท่ีกิเลสทั้งหลายไมอาจ จับตองได ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๑ แหง อากาศ ที่พึงถือเอา.
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๓๙๓ ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, อากาศ เปนท่ีท่ีบรรดา ฤๅษี ดาบส พระอรหันต หมูน ก สญั จรไปมา ฉนั ใด, ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพญ็ เพยี ร ก็พงึ ทาํ ใจใหสญั จรไปใน สังขารทั้งหลาย โดยอาการวา ‘ไมเท่ียง เปนทุกข เปนอนัตตา’ ดงั นี้ ฉันนั้นเหมอื นกัน, ขอถวายพระพร น้คี อื องคท ี่ ๒ แหง อากาศ ท่พี ึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคห น่งึ , อากาศ เปน ส่ิงนา หวาด สะดุง ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงทําใจใหหวาดหว่ัน, ไมพึงทาํ ความยินดีในการปฏิสนธิในภพ ทั้งปวง ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร นี้คือองคที่ ๓ แหง อากาศ ทพ่ี ึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง อากาศ หาท่ีสุดมิได หาประมาณมิได ใคร ๆ ไมอาจวัดได ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพยี ร กพ็ ึงเปน ผทู ่มี ีศีลหาทสี่ ุดมิได มญี าณ ท่ีวัดมิได ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๔ แหง อากาศ ทีพ่ งึ ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, อากาศ ไมติด ไมของ ไมห ยดุ ไมพ วั พนั ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผบู าํ เพญ็ เพยี ร กพ็ ึงเปนผไู มต ดิ ไมขอ ง ไมห ยุดอยู ไมพ ัวพนั ในส่ิงท้งั ปวง คือในสกุล ในคณะ ในลาภ ในอาวาส ในปจจัยท่ีเปนปลิโพธ ในกิเลสท้ังหลายท้ังปวง ฉันนั้นเหมือนกัน, นี้คือองคท่ี ๕ แหง อากาศ ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปน
๓๙๔ วรรคท่ี ๓, ปถววี รรค เทพยิ่งเหลาเทพ ไดทรงภาสิตความขอนี้ กะทานพระราหุลผูเปน โอรสของพระองค โดยเปน พระโอวาทวา :- ‘เสยฺยถาป ราหุล อากาโส น กตฺถจิ ปติฏิโต, เอวเมว โข ตฺวํ ราหุล อากาสสมํ ภาวนํ ภาเวหิ, อากาสสมํ หิ เต ราหุล ภาวนํ ภาวยโต อุปฺปนฺนา มนาปามนาปา ผสฺสา จิตฺตํ น ปริยาทาย สฺสนฺติ๑ น่ีแนะ ราหุล อากาศไมหยุดย้ังอยูในท่ีไหน ๆ ฉันใด, น่ีแนะ ราหุล เธอจงเจริญภาวนาอันเปนเครื่องสงบ อากาศ ฉันนั้นเหมือนกันเถิด, ก็เมื่อเธอเจริญภาวนา อันเปนเครื่องสงบอากาศอยู ผัสสะท่ีนาชอบใจและ ไมนาชอบใจท่ีเกิดขึ้นแลว จักตั้งอยู ครอบงาํ จิต มิได.’ ดังน้.ี ” จบอากาสังคปญ หาที่ ๖ คําอธิบายปญหาที่ ๖ ปญ หาเกยี่ วกับองคแหง อากาศ ช่ือวา อากาสังคปญหา. คําวา อากาศ ในที่นี้หมายเอาอชั ฎากาศคืออากาศอนั เปน ทีโ่ ลง เวง้ิ วาง เปน ท่สี ัญจรไปมาแหง หมูน ก เปน ท่ีตง้ั แหง โลกธาต.ุ ๑. ม. ม. ๑๓/๑๒๙.
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๓๙๕ คาํ วา พงึ เปน ผทู ่ีกิเลสทงั้ หลายไมอ าจจับตอ งได นน้ั ทานกลาวหมายเอาปริยุฏฐานกิเลส (กิเลสท่ีกลุมรุมจิต), และ อนุสัยกิเลส (กิเลสท่ีนอนเน่ืองอยูในจิตสันดาน). คาํ วา พึงทาํ ใจใหสัญจรไปในสังขาร คือพึงทาํ ใจท่ี เปนไปกับปญญาใหสัญจร คือใหเที่ยวพิจารณาไปในสังขาร. อากาศ ชือ่ วา เปน สิ่งทีน่ าหวาดสะดุง ก็โดยเกยี่ วกบั วา มี ความกวา งขวาง เวงิ้ วา งไปหาท่สี ุดมไิ ด. ศีล ชื่อวา หาท่ีสุดมิได เพราะเปนศีลที่ไมมีความสิ้นสุด คือไมขาด ไมทะลุ เปนตน เหตุเพราะเห็นแกลาภ ยศ ญาติ อวัยวะ หรือแมชีวิต. ญาณ (ปญญา) ชอ่ื วา วัดมไิ ด เพราะอรรถวาสามารถ หยั่งรูอารมณทั้งหลายท่ีควรรูไดมากมาย ไมอาจวัดได คือ ประมาณได ในโลกท้ัง ๓. ในพระคาถา : คาํ วา เธอจงเจริญภาวนาอนั เปนเคร่ือง สงบอากาศ คือเธอจงเจรญิ ภาวนาอนั เปนเครอ่ื งสงบความยนิ ดี และความยินราย ในอากาศภายใน มีชองหู ชองจมูก ชองปาก เปน ตน ซ่งึ มีการพิจารณาวาเปนเพยี งธาตุ คอื สว นยอย ๆ ที่ ประกอบในอัตภาพนี้ เชนเดียวกบั ธาตุ ๔ มธี าตุดนิ เปน ตน น้นั นั่นเทียว ไมใชเรา ไมใชของเรา ไมใชอัตตาของเรา แมใน อากาศภายนอก ก็มีการพิจารณาอยางนี้. คําวา ผัสสะที่นา ชอบใจ ฯลฯ จกั ต้งั อยู ครอบงาํ จิต มไิ ด ความวา เมื่อเธอพจิ ารณาเหน็ ตามความเปนจรงิ อยูอยา งน้ี
๓๙๖ วรรคท่ี ๓, ปถวีวรรค ผสั สะ คอื การกระทบอารมณ ๖ ทางทวาร ๖ ทน่ี าชอบใจอันเปน ปจ จยั แกร าคะ เกิดข้ึนแลว ก็ไมอ าจต้ังอยู ครอบงาํ จิต คือไมอ าจ ทําจิตใหเกิดความยินดีความพอใจขึ้น, และท่ีไมนาชอบใจ ท่ี เปนปจ จยั แกโทสะ กไ็ มอ าจตั้งอยู ครอบงําจิต คอื ไมอาจทาํ จิตให เกิดความยินรายความไมพอใจข้ึน ฉะนี้แล. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๖ ปญหาท่ี ๗, จันทังคปญหา พระเจา มลิ นิ ท : “พระคณุ เจา นาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถอื เอาองค ๕ แหงพระจนั ทร’ , องค ๕ ที่พงึ ถอื เอานัน้ เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา พระจันทรคราวขางข้ึน โผลขึ้นมา ก็เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเจริญ ย่ิง ๆ ข้ึนไป ในอาจารคุณ ศีลคุณ ขอวัตรปฏิบัติ, ในอาคมอธิคม, ในการหลีกเรน, ในสติปฏฐาน, ในความเปนผูคุมครองทวาร ในอินทรียท้ังหลาย, ในความเปนผูรูจักประมาณในโภชนะ, ใน ความประกอบเนือง ๆ ในชาคริยธรรม ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอ ถวายพระพร นี้คือองคที่ ๑ แหงพระจันทร ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, พระจันทร สูงสงเปน อธิบดี ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึง เปน ผสู งู สง มีฉันทะเปน อธบิ ดี ฉนั นนั้ เหมอื นกนั , ขอถวายพระพร น้ีคอื องคที่ ๒ แหง พระจนั ทร ทพ่ี ึงถือเอา
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๓๙๗ ขอถวายพระพร ยงั มอี กี องคหนง่ึ , พระจนั ทร ยอมเท่ยี วไป ในตอนกลางคืน (ซึ่งเปนเวลาทเี่ งียบสงดั ) ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผบู ําเพญ็ เพียร กพ็ ึงเปน ผหู ลีกสงัด ฉนั นัน้ เหมอื นกัน, ขอถวายพระพร น้คี ือองคท่ี ๓ แหง พระจันทรท พี่ ึงถอื เอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, พระจันทร มีวิมานเปน ธงชัย ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปน ผมู ศี ีลเปนธงชยั ฉันนนั้ เหมอื นกนั , ขอถวายพระพร น้ีคอื องคท ่ี ๔ แหง พระจันทร ทีพ่ ึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, พระจันทร โผลข้ึนมา เปน สง่ิ ท่คี นทั้งหลายเรียกรอง ปรารถนา ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูที่เขาเรียกรอง ปรารถนา เขาไปสูสกุลทั้งหลาย ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือ องคท ่ี ๕ แหง พระจนั ทร ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมพี ระ ภาคผูทรงเปนเทพย่ิงเหลาเทพท้ังหลาย ทรงภาสิตความขอนี้ไว ในสังยุตตนิกายอันประเสริฐวา ‘จนฺทูปมา ภิกฺขเว กุลานิ อุปสงฺกมถ, อเปกสฺเสว กายํ อปกสฺส จิตฺตํ นิจฺจนวกา กุเลสุ อปฺปคพฺภา๑ - ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเปนผูมี อุปมาดวยพระจันทร เขาไปสูสกุลทั้งหลายเถิด, จงพรากกาย จงพรากจิตเสียน่ันเทียว เปนผูใหมเปนนิตย ไมเปนกันเองใน สกุลท้ังหลาย’ ดังนี้.” จบจันทังคปญหาที่ ๗ ๑. ส.ํ นิ. ๑๖/๒๓๗.
๓๙๘ วรรคที่ ๓, ปถววี รรค คําอธิบายปญหาที่ ๗ ปญหาเก่ียวกับองคแหงพระจันทร ช่ือวา จันทังคปญหา. คาํ วา พระจันทรคราวขางขึ้น โผลขึ้นมา ก็เจริญ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป คือพระจันทรนั้น ในคราวขางข้ึน ยอมโผลขึ้นมา เจริญย่ิง ๆ ข้ึนไป คือคอย ๆ เติบเต็ม จนเปนพระจันทรเต็มดวง. ในคําวา อาจารคณุ เปน ตน มีคําอธบิ ายอันไดก ลา วแลว ในปญหากอ น ๆ. คําวา สูงสงเปนอธิบดี ไดแก มีอานุภาพสูงสงเหนือ ดวงดาวหลายรอยดวง เปนอธิบดี คือเปนใหญแหงดวงดาว เหลานั้น. คาํ วา มีวิมานเปนธงชัย คือมีรัศมีที่เปลงออกโดยรอบ อันเปนดุจวิมาน เปนธงชัย. พระโยคาวจร ชื่อวา พึงเปนผูท ีเ่ ขาเรียกรอ ง ปรารถนา เขาไปสูสกุลทั้งหลาย อยางไร คือ พึงเปนผูท่ีเขาเรียกรองเชน อยางนวี้ า “ทานผเู จริญ ขอทานไดโ ปรดเขา ไปยงั สกลุ ของกระผม เถดิ เจาขา” ดังน้ีเปน ตน, แลว จงึ คอ ยเขาไปสสู กลุ นนั้ , พึงเปน ผทู ี่ เขาปรารถนา เชน อยางน้ีวา “ทานผเู จริญ พวกกระผมปรารถนา การมาของทา น เจา ขา” ดังน้ีเปนตน แลวจงึ คอยเขา ไปสสู กลุ นั้น. คําวา จงเปนผูมีอุปมาดวยพระจันทร คือจงเปนผู เปรียบเสมือนพระจันทร อธิบายวา พระจันทรโคจรไปในกลาง
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๓๙๙ หาวเรื่อยไป ไมต ิดขดั ไมทําความยินดี ความคนุ เคย ความเสนห า ความอาลัย ความปรารถนา แลวแวะพกั อยู ณ ทท่ี โ่ี คจรไปถึง ไม ทาํ ความเสนห าคนุ เคยไวก ับใคร ๆ แตจ ะไมเปนทรี่ ักท่ีชอบใจของ คนท้ังหลาย ก็หาไม ฉันใด, ภิกษุก็พึงเท่ียวไปไมติดขัด ไมทํา ความคนุ เคย ความเสนห าไวก บั สกุลไหน ๆ แลวเที่ยวแวะพกั คลกุ คลีอยูกับสกุลที่ไปถึงนั้น แตจะไมเปนท่ีรักท่ีชอบใจของคน ท้ังหลาย ก็หาไม ฉันน้ันเหมือนกัน. คาํ วา จงพรากกาย จงพรากจิตเสียนั่นเทียว คือ จง พรากกาย โดยเกี่ยวกับเปนผูไมมีกายเขาไปคลุกคลีในสกุล ทั้งหลาย, จงพรากจิต โดยเก่ียวกับเปนผูไมมีจิตติดของ สนิท เสนห าในสกลุ เหลานั้น และในไทยธรรมที่สกุลเหลา นัน้ นอ มถวาย. คาํ วา เปนผูใหมเปนนิตย ไมเปนกันเองในสกุล ท้ังหลาย คอื เปนคนใหม (คนแปลกหนา) เปนนติ ย เชน เดยี วกบั วาเปนแขกผูมาถึงเรือนนั่นเทียว ในสกุลทั้งหลาย แมวาสกุล น้ัน ๆ จะเปนสกุลญาติก็ตาม เพราะความเปนผูมีปกติเล็งเห็น โทษในการคลุกคลีดวยเพศฆราวาส, ท้ังไมเปนกันเองโดยเก่ียว กับการไมประพฤติเกี่ยวของกับบุคคลเหลาน้ัน ในฐานะวาเปน ญาติกันเอง เปนตน เหมือนเม่ือครั้งท่ียังครองเพศฆราวาส. ความวา ระมดั ระวังสํารวมเหมือนตนเปน แขกแปลกหนา. จบคาํ อธบิ ายปญหาที่ ๗
๔๐๐ วรรคท่ี ๓, ปถววี รรค ปญ หาท่ี ๘, สรู ยิ งั คปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถอื เอาองค ๗ แหงพระอาทิตย’ , องค ๗ ทพี่ ึงถอื เอานั้นเปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา พระอาทิตย ทํานํ้าใหเหือดแหงไปหมดได ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงทาํ กิเลส ท้ังหลายท้ังปวง ใหเหือดแหงไป ไมมีเหลือ ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๑ แหงพระอาทิตย ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, พระอาทิตย ขจัด ความมืด ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงขจัดความมืดคือราคะ ความมืดคือโทสะ ความมืดคือโมหะ ความมืดคือมานะ ความมืดคือทิฏฐิ ความมืดคือกิเลสท้ังปวง ความมืดคือทุจริตท้ังปวง ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร นี้ คือองคท่ี ๒ แหงพระอาทิตย ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, พระอาทิตย ยอมโคจร เปนประจาํ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงกระทําโยนิโสมนสิการเปนประจํา ฉันน้ันเหมือนกัน, น้ีคือ องคที่ ๓ แหงพระอาทิตย ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, พระอาทิตย มีรัศมี เปนมาลัย ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงมีอารมณ (กรรมฐาน) เปนมาลัย ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอ ถวายพระพร นี้คือองคที่ ๔ แหงพระอาทิตย ท่ีพึงถือเอา.
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๔๐๑ ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, พระอาทิตย ยอม โคจรไป ทาํ หมูมหาชนใหอบอุน ฉันใด, ขอถวายพระพร พระ โยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงทาํ โลกพรอมทั้งเทวดา ใหอบอุน ดวยอาจาระ ศีลคุณ ขอวัตรปฏิบัติ ฌาน วิโมกข สมาธิ สมาบัติ อินทรีย พละ โพชฌงค สติปฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท ฉันน้ันเหมือนกัน, น้ีคือองคท่ี ๕ แหงพระอาทิตยที่ พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, พระอาทิตยโคจรไป ก็กลัวแตภัยคือราหู ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บําเพ็ญเพียร เห็นสัตวท้ังหลายผูมีวิบากตกไปในทุคติ ท่ีขรุขระ ท่ีกนั ดาร เพราะทจุ รติ ผถู ูกขายคอื กิเลสเกยี่ วพัน ผปู ระกอบดวย กองทฏิ ฐิ ผแู ลนไปสทู างชั่ว ผูดาํ เนนิ ไปในทางชวั่ แลว กพ็ งึ เปน ผมู ี ความกลัวคือความสลดใจ ทาํ ใจใหหวาดหวั่น ฉันน้ันเหมือนกัน, น้ีคือองคที่ ๖ แหงพระอาทิตย ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, พระอาทิตย ยอมสอง สง่ิ ท่ดี ีและเลวใหป รากฏ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บาํ เพ็ญเพียร ก็พึงยังโลกิยธรรมและโลกุตตรธรรม คือ อินทรีย พละ โพชฌงค สติปฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท ใหปรากฏ ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้คี ือองคท่ี ๗ แหงพระอาทิตย ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระวังคีสเถระไดภาสิตความขอน้ี ไววา :
๔๐๒ วรรคที่ ๓, ปถววี รรค ‘ยถาป สุริโย อุทยนฺโต, รูป ทสฺเสติ ปาณินํ. สุจิฺจ อสุจิฺจาป, กลฺยาณฺจาป ปาปกํ. ตถา ภิกฺขุ ธมฺมธโร, อวิชฺชาปหิตํ ชนํ. ปถํ ทสฺเสติ วิวิธํ, อาทิจฺโจวุทยํ ยถา. เปรียบเหมือนวา พระอาทิตย พอโผลข้ึน ก็สองรูป ทั้งสะอาดและไมสะอาด, ท้ังดีและเลว ใหปรากฏแก สัตวท้ังหลาย ฉันใด, ภิกษุผูทรงธรรม ก็ยอมยังชนผู ถูกอวิชชาปดบังใหมองเห็นหนทาง มีอยางตางๆ กัน ดุจพระอาทิตยท่ีโผลขึ้น ฉันนั้นเหมือนกัน.’ ดังน้ี.” จบสรู ิยงั คปญ หาท่ี ๘ คาํ อธบิ ายปญหาที่ ๘ ปญหาที่เก่ียวกับองคแหงพระอาทิตย ช่ือวา สูริยังค- ปญ หา. คาํ วา พึงทํากเิ ลสทง้ั หลายท้ังปวง ใหเหอื ดแหง ไป ไมมีเหลือ คือ พึงทาํ กิเลสท้ังหลายทั้งปวงใหเหือดแหงไป ไมมี เหลือ ดวยแสงแดดคือความเพียรในพระอรหัตตมรรค. บาปธรรมท้ังหลาย มีราคะเปนตน ช่ือวา ความมืด ก็ เพราะเหตทุ ปี่ ดบังสัจจะทงั้ หลายไมใหป รากฏตามความเปน จรงิ . คําวา พึงมีอารมณ (กรรมฐาน) เปนมาลัย คือพึงมี อารมณแ หง ภาวนาท้งั ๒ (สมถะ, วปิ ส สนา) เปน มาลยั .
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๔๐๓ คําวา ผูแลนไปสูทางชั่ว ผูดาํ เนินไปในทางชั่ว คือ ผูแลน ตามหนทางผดิ ๆ ดําเนนิ ไปในหนทางผิด ๆ ซ่งึ เปน หนทาง ไปสูความทุกข ภัย ความหายนะ มีประการตาง ๆ, ความวา ผูทองเที่ยวไปในสังสารทุกข ซ่ึงกําลังเสวยทุกขนั้น ๆ มีประมาณ ยิ่ง. ช่ือวา พึงเปนผูมีความกลัวคือความสลดใจ ก็โดย เก่ียวกับการพจิ ารณาอยางนี้วา “โอหนอ เรา เมื่อยงั ทอ งเทย่ี วไป ในสังสารวฏั อยูอ ยางน้ี กจ็ ะตอ งเปน เหมือนกับสตั วเหลาน.ี้ ” ดงั น้ี เปน ตน. คําวา ยอมสองส่ิงที่ดีและเลวใหปรากฏ คือยอมสอง ใหเห็นรูปทน่ี า ปรารถนาและรปู ท่ไี มน า ปรารถนา. คําวา ใหมองเห็นหนทาง มีอยางตาง ๆ กัน คือ ใหรู จักหนทางทั้งหลายท่ีแตกตางกันอยางนี้วา “น้ี หนทางไปสูทุคติ, น้ี หนทางไปสูกามสุคติ, นี้ หนทางไปสูรูปภพ, นี้ หนทางไปสู อรูปภพ, น้ี หนทางไปสูพระนิพพาน” ดังน้ี. จบคําอธิบายปญหาที่ ๘ ปญหาที่ ๙, สักกังคปญหา พระเจามิลนิ ท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พงึ ถือเอาองค ๓ แหงทาวสักกะ’, องค ๓ ที่ถึงถือเอาน้ัน เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา ทาวสักกะ เปนผูเปยมเสมอดวยสุขโดยสวนเดียว
๔๐๔ วรรคที่ ๓, ปถววี รรค ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร ก็พึงเปนผูเต็มเปยม ดวยวิเวกสุขโดยสวนเดียว ฉันน้ันเหมือนกัน, นี้คือองคท่ี ๑ แหงทาวสักกะ ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, ทาวสักกะ ทรง ประคับประคองดูแลพวกเทวดาทั้งหลาย, ทรงยังใหเกิดความ บันเทิง ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพญ็ เพียรก็พงึ ประคับประคองจิตที่มีอันทอถอย เกียจคราน ในกุศลธรรม ท้ังหลาย, พึงทาํ ใหเกิดความบันเทิง, พึงกระตุน, พึงสืบตอ, พึง พยายาม ฉันน้ันเหมือนกัน, นี้คือองคท่ี ๒ แหงทาวสักกะ ท่ีพึง ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, ทาวสักกะ ไมทรงเกิด ความเหน่ือยหนาย ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บาํ เพ็ญเพียร ก็ไมพึงทาํ ความเหนื่อยหนายในสุญญาคารให เกิดขึ้น ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๓ แหง ทาวสักกะ ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ทานพระสุภูติเถระ ได ภาสิตความขอนี้ไว วา : ‘สาสเน เต มหาวีร, ยโต ปพฺพชิโต อหํ นาภิชานามิ อุปฺปนฺนํ, มานสํ กามสํหิตํ ขาแตทานมหาวีระ, ต้ังแตขาพระองคไดบวชใน ศาสนาของพระองคแลว ขาพระองคก็ไมรูจักจะ ทาํ จิตท่ีประกอบกับความใคร ใหมีอันไดเกิดขึ้น.’ ดังน้ี.” จบสักกงั คปญ หาท่ี ๙
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๔๐๕ คาํ อธบิ ายปญหาที่ ๙ ปญหาเกย่ี วกบั องคแ หงทาวสักกะ ชอื่ วา สักกงั คปญหา. คาํ วา ดวยวิเวกสุข คือดวยวิเวก กลา วคือพระนพิ พานอัน เปนสขุ อยา งยิ่ง โดยการเขาผลสมาบตั .ิ คําวา พึงประคับประคองจิต คือพึงประคับประคอง ภาวนาจิต. คําวา ไมทรงเกิดความเหน่ือยหนาย คือไมทรงเกิด ความเหน่ือยหนายในการปกครองอนุศาสนพวกเทวดาท้ังหลาย. คาํ วา ในสุญญาคาร คือในภาวนาท่วี างเวน หลกี หางจาก มิจฉาวิตก, หรือในอารมณกรรมฐานท่ีวางจากอัตตา จากสิ่งที่ เนื่องดว ยอัตตา. จบคําอธบิ ายปญ หาท่ี ๙ ปญหาที่ ๑๐, จักกวัตตงิ คปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๔ แหง พระเจา จกั รพรรด’ิ , องค ๔ ทพี่ งึ ถือเอาน้ัน เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา พระเจาจักรพรรดิ ทรงสงเคราะหผูคนดวยสังคหวัตถุ ๔ ประการ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงสงเคราะหจิตของบริษัท ๔ คือ พึงอนุเคราะห พึงทาํ ให บันเทิง ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๑ แหง พระเจาจักรพรรดิ ท่ีพึงถือเอา.
๔๐๖ วรรคท่ี ๓, ปถวีวรรค ขอถวายพระพร ยงั มีอกี องคหนึง่ , พวกโจรท้ังหลายยอ ม ไมฮ กึ เหิมในแวนแควน ของพระเจาจักรพรรดิ ฉันใด, ขอถวายพระ- พร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็ไมพึงทาํ กามวิตก พยาบาท วิตก และวิหิงสาวิตก ใหเกิดขึ้น ฉันนั้นเหมือนกัน, น้ีคือองคที่ ๒ แหงพระเจาจกั รพรรดิ ที่พงึ ถือเอา. ขอถวายพระพร พระผมู ี พระภาคผทู รงเปน เทพยงิ่ เหลาเทพ ทรงภาสิตความขอ นไ้ี ว วา : ‘วิตกฺกูปสเม จ โย รโต, อสุภํ ภาวยเต สทา สโต. เอส โข พฺยนฺติกาหิติ เอส เฉจฺฉติ มารพนฺธนํ๑ ก็ภิกษุรูปใด ยินดีในธรรมเคร่ืองสงบวิตก มีสติเจริญอสุภฌานตลอดกาลทุกเม่ือ ภิกษุรูปนี้ จักกระทําตัณหาใหสิ้นสุดไดแล ภิกษุรูปนี้ จักตัดเคร่ืองผูกแหงมารได แล.’ ดังนี้. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, ทุก ๆ วัน พระเจา- จกั รพรรดิ จะเสดจ็ ดาํ เนนิ ไปตามแผน ดินใหญ อนั มีมหาสมทุ รเปน ทส่ี ดุ เสาะหาสิ่งท่ดี แี ละไมดี ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร ผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงพิจารณากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทุก ๆ วัน โดยนัยวา ‘เราจะทําวันเวลาใหลวงไป ไมถูกติเตียน ๑. ขุ. ธ. ๒๕/๘๕.
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๐๗ โดยฐานะ ๓ ไดไฉนหนอ?’ ดังนี้ ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวาย พระพร นี้คอื องคท ี่ ๓ แหงพระเจา จกั รพรรดิ ท่ีพึงถือเอา. ขอถวาย พระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพยิ่งเหลาเทพ ทรงภาสิต ความขอ นี้ไวในอังคตุ ตรนกิ ายอนั ประเสริฐ วา : ‘กถมฺภูตสฺส เม รตฺติทิวา วีติวตฺตนฺตีติ ปพฺพชิเตน อภณิ หฺ ํ ปจจฺ เวกขฺ ติ พฺพํ๑ - ผเู ปน บรรพชติ พึงพจิ ารณาบอ ย ๆ วา ‘คืนและวันของเราผูเกิดมาแลว ลวงไปอยางไรบางหนอ. ดังนี้.’ ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, การถวายการอารักขา ทง้ั ภายใน ทงั้ ภายนอก การถวายการปองกันเปนอยา งดี ยอ มมีแก พระเจาจักรพรรดิ ฉันใด, พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงต้ัง นายประตูคือสติ เพ่ือการรักษา (ปองกัน) กิเลสท้ังหลาย ท้ัง ภายใน ทงั้ ภายนอก ฉนั นัน้ เหมอื นกนั , ขอถวายพระพร น้คี ือองค ท่ี ๔ แหงพระเจาจกั รพรรดิ ทพ่ี ึงถอื เอา. ขอถวายพระพร พระผมู -ี พระภาคผูทรงเปนเทพยิ่งเหลาเทพ ทรงภาสิตความขอน้ีไววา : ‘สติโทวาริโก ภิกฺขเว อรยิ สาวโก อกุสลํ ปชหติ กุสลํ ภาเวติ, สาวชฺชํ ปชหติ, อนวชฺชํ ภาเวติ, สุทฺธมตฺตานํ ปรหิ รติ - ดกู ร ภิกษุทง้ั หลาย พระอริยสาวกผูมีสติเปน นายประตู ยอมละอกุศล เจริญกุศลได, ละธรรมทมี่ ีโทษ เจริญธรรมที่ไมมี โทษได, ยอมบรหิ ารตนใหห มดจดได.’ ดังน.้ี ” จบจักกวัตติงคปญหาท่ี ๑๐ ๑. อง.ฺ ทสก. ๒๔/๙๓.
๔๐๘ วรรคท่ี ๓, ปถววี รรค คําอธบิ ายปญ หาที่ ๑๐ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงพระเจาจักรพรรดิ ชื่อวา จักก- วัตติงคปญหา. คําวา ดว ยสงั คหวตั ถุ ๔ ประการ คอื ดว ยสิ่งที่พงึ จัดแจง เพื่อการสงเคราะหผูอ่ืน ๔ ประการ ไดแก ทาน - การให การ แบง ปน ๑, เปยยวัชชะ - คาํ พูดท่ีออ นหวานนารกั ๑, อัตถจริยา - ความประพฤติแตป ระโยชน (คือคาํ พดู ที่สรางสรรคแตป ระโยชน) ๑, สมานัตตตา - ความเปนผูมีตนเสมอกนั (คือสุขดวยกัน, ทกุ ข ดวยกนั ) ๑. คาํ วา พึงสงเคราะหจิตของบริษัท ๔ เปนตน คือพึง สงเคราะหจิตของบริษัท ๔ อันไดแก ภิกษุบริษัท ภิกษุณีบริษัท เทวบริษัท และมนุสสบริษัท, หรือไดแก ขัตติยบริษัท พราหมณ- บริษัท เวสสบริษัท และสุททบริษัท พึงอนุเคราะห พึงทําให บันเทิงดวยธรรมเทศนา. ในพระคาถา : คาํ วา ยนิ ดีในธรรมเครือ่ งสงบวิตก คือ ยินดีในปฐมฌาน ในอสุภกรรมฐาน ๑๐ มีซากศพท่ีขึ้นพองอืด เปน ตน ซึง่ นบั วาเปน เครอ่ื งสงบมจิ ฉาวติ ก คอื ความดาํ ริผิด ๆ ๓ อยา ง มีกามวิตกเปน ตน. คําวา เคร่ืองผูกแหงมาร ไดแกตัณหาที่ทําวัฏฏะในภูมิ ๓ ใหเปนไปนั้นนั่นแหละ. คาํ วา โดยฐานะ ๓ ไดแก โดยฐานะ ๓ เหลานี้ คือ โดยทางกายกรรมฐานะ ๑, โดยทางวจีกรรมฐานะ ๑, โดยทาง
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๐๙ มโนกรรมฐานะ ๑. ดวยคาํ วา คืนและวันของเราผูเกิดมาแลว ลวงไป อยางไรบางหนอ น้ี ทรงแสดงถึงขอที่ควรสาํ เหนียกพิจารณา บอ ย ๆ ของผเู ปน บรรพชติ อยางนว้ี า “คนื และวนั ของเราผูเกิด มาแลว คอื เปน บรรพชิตแลว ยอ มลว งไปอยา งไรบางหนอ. ตลอด ทง้ั วัน วนั นี้ ตลอดท้งั คนื คนื น้ี เราไดท ําวัตรปฏบิ ตั ทิ ่คี วรทาํ นั้น ๆ แลวหรือหนอ หรือวาท่ียังมิไดทํา ก็ยังมีอยูอีก ไดทาํ การสวด สาธยายคันถะแลวหรือหนอ หรอื วายังมไิ ดทํา ไดม นสกิ ารกรรม- ฐานแลวหรอื หนอ หรือวา ยังมไิ ดม นสิการเลา” ดงั นี้ เปน ตน. คําวา การถวายการอารักขาทั้งภายใน ท้ังภายนอก คือการถวายการอารักขาองคพระเจาจักรพรรดิไวจากศัตรู จาก อนั ตราย ทง้ั ภายในพระนคร ทัง้ ภายนอกพระนคร. คําวา กิเลสทั้งหลายทั้งภายใน ทั้งภายนอก คือกิเลส ทั้งหลายที่ช่ือวาเปนภายในเพราะเปนไปในอายตนะภายใน ๖ หรือเพราะเปนไปปรารภขันธของตน. ท้ังที่ชื่อวาเปนภายนอก เพราะเปนไปในอายตนะภายนอก ๖ หรือเพราะเปน ไปปรารภขันธ ของผอู น่ื . คาํ วา ผมู สี ติเปนนายประตู คือผูเ ขา ไปต้ังสตไิ วทีป่ ระตู คอื ท่ีทวารอนั เปน อนิ ทรีย ๖ มี ตา หู เปนตน เพ่ือปอ งกันกเิ ลสทีจ่ ะ พึงไหลเขา มาทางทวารนั้น ๆ. จบคําอธิบายปญ หาท่ี ๑๐ จบปถววี รรคที่ ๓
๔๑๐ วรรคที่ ๔, อุปจิกาวรรค วรรคที่ ๔, อุปจกิ าวรรค ปญหาท่ี ๑, อุปจิกังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๑ แหงปลวก’, องค ๑ ท่ีพึงถือเอาน้ัน เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมอื นวา ปลวก สรางเครื่องมงุ บังไวเบอื้ งบน ปดบังตนเองไวแ ลว ก็เท่ียวโคจรไป ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญ เพียร ก็พึงสรางเครื่องมุงบังคือศีลสังวร ปดบังจิตไวแลวเที่ยว บิณฑบาตไป ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร ผูบําเพ็ญเพียร อาศัยเคร่ืองมุงบังคือศีลสังวร ก็ยอมกาวลวงภัย ทั้งปวงได, ขอถวายพระพร น้ีคือองค ๑ แหงปลวก ท่ีพึงถือเอา, ขอถวายพระพร ทานพระอุปเสนวงั คนั ตบุตรเถระ ไดภาสติ ความ ขอนี้ไว วา - ‘สีลสํวรฉทนํ, โยคี กตฺวาน มานสํ. อนุปลิตฺโต โลเกน, ภยา จ ปริมุจฺจติ พระโยคี กระทาํ จิตใหมีเครื่องมุงบังคือศีลสังวร แลว ก็ไมถูกโลกธรรมฉาบทา ยอมหลุดพนจาก ภัยทั้งปวงได.’ ดังน้ี.” จบอุปจิกังคปญหาที่ ๑
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๔๑๑ คําอธิบายปญหาที่ ๑ ปญหาเก่ียวกับองคแหงปลวก ชื่อวา อุปจิกังคปญหา. คาํ วา พึงสรางเครื่องมุงบังคือศีลสังวร คือพึงสราง เคร่ืองมุงบังคือศีลบริสุทธิ์ ๔ อยาง มีปาติโมกขสังวรศีลเปนตน, โดยพิเศษวคืออินทริยสังวรศีล ปดบังคือรักษาวิปสสนาจิต หรือ จิตท่ีประกอบดวยสติและสัมปชัญญะ ไมใหชองแกความยินดี ยินราย แหงภิกษุผูบาํ เพ็ญคตปจจาคติกวัตร (วัตรของภิกษุ ผูนาํ กรรมฐานกาํ กับจิตใจไป และนํากรรมฐานน้ันกาํ กับจิตใจ มา ไมท้ิงเสียในระหวาง ในสมัยท่ีเที่ยวบิณฑบาตไปและ กลับมาแตละคร้ัง). จบคาํ อธิบายปญหาที่ ๑ ปญหาที่ ๒, พิฬารังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๒ แหงแมว’, องค ๒ ที่พึงถอื เอาน้ัน เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา แมว ไมวาจะอยูในถาํ้ ไมวาจะอยูในโพรง ไมวาจะ อยูในบาน ก็เอาแตจะคนหาหนูทาเดียว ฉันใด, ขอถวายพระ พร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ไมวาจะอยูในบาน ไมวาจะอยู ในปา ไมวาจะอยูท่ีโคนไม ก็พึงเปนผูไมประมาทเปนประจํา สมํา่ เสมอ เอาแตจะคนหาของกินคือกายคตาสติ ฉันนั้น เหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๑ แหงแมวท่ีพึงถือเอา
๔๑๒ วรรคที่ ๔, อุปจิกาวรรค ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, แมว เสาะหาที่เท่ียว หากินเฉพาะใกล ๆ เทานั้น ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร ผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูตามพิจารณาเห็นความเกิดขึ้น และ ความปราศไปในอุปาทานขันธ ๕ เหลานี้ เทานั้นอยูอยางนี้วา ‘รูปมีอยางน้ี รูปมีความเกิดข้ึนอยางน้ี รูปมีความปราศไป อยางน้ี, เวทนามีอยางนี้ เวทนามีความเกิดขึ้นอยางนี้ เวทนา มีความปราศไปอยางน้ี, สัญญามีอยางน้ี สัญญามีความเกิดขึ้น อยางนี้ สัญญามีความปราศไปอยางนี้, สังขารมีอยางนี้ สังขารมีความเกิดขึ้นอยางนี้ สังขารมีความปราศไปอยางน้ี, วิญญาณมีอยางน้ี วิญญาณมีความเกิดข้ึนอยางนี้ วิญญาณ มีความปราศไปอยางนี้’ ดังนี้ ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๒ แหงแมว ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระ- ผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพยิ่งเหลาเทพ ทรงภาสิตความขอนี้ไว วา : ‘น อิโต ทูเร ภวิตพฺพํ, ภวคฺคํ กึ กริสฺสติ ปจฺจุปฺปนฺนมฺหิ โวหาเร, สเก กายมฺหิ วินฺทถ พวกเธอไมพึงอยูในท่ีไกลไปกวาน้ี, ภวัคคพรหม จักกระทาํ อะไรใหไดเลา, จงยินดีอยูแตในกายของ ตนท่ีกลาวถึงกันไดในปจจุบันเทาน้ัน เถิด.’ ดังนี้. จบพิฬารังคปญหาที่ ๒
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๔๑๓ คําอธบิ ายปญหาท่ี ๒ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงแมว ช่ือวา พิฬารังคปญหา. คําวา เอาแตจะคนหาของกินคือกายคตาสติ คือเอา แตจะคนหา คือเอาแตจะเจริญสติที่เปนไปในกาย ท่ีเปนไป รวมกับปญญาพิจารณากาย อยางท่ีตรัสไวอยางน้ีวา “ภิกษุเม่ือ เดิน ก็ยอมรูชัดวาเดินอยู, เม่ือยืน ก็ยอมรูชัดวายืนอยู, เมื่อนั่ง ก็ยอมรูชัดวานั่งอยู, เม่ือนอน ก็ยอมรูชัดวานอนอยู, ก็หรือวากาย ของเธอต้งั อยโู ดยอาการใด ๆ เธอกย็ อ มรชู ดั ซึ่งกายนัน้ โดยอาการ นน้ั ๆ” ดงั น.้ี ความเปนผูตามพิจารณาเห็นความเกิดข้ึน และความ ปราศไป คือดับไปแหงอุปาทานขันธ ๕ แหงพระโยคาวจรเปรียบ ไดกับความเปนผูเสาะหาแตที่เที่ยวหากินเฉพาะใกล ๆ แหงแมว ก็เพราะความท่ีอุปาทานขันธ ๕ ของตน แหงพระโยคาวจรผู พิจารณาอยูนั้น นับวาเปนของที่อยูใกลยิ่งกวาอุปาทานขันธ ๕ นอกน้ี. พระโยคาวจรมีโอกาสไดเห็นความเกิดข้ึนและความดับ ไปแหงอุปาทานขันธ ๕ ได ก็เพราะไดเจริญกายคตาสติไวใน เบ้ืองตน. ในพระคาถา : คําวา พวกเธอไมพงึ อยใู นทไ่ี กลไปกวา น้ี คือ พวกเธอไมพึงใหจิตอยูในที่ไกลไปกวาอุปาทานขันธ ๕ ของตนน้ี ดว ยอาํ นาจแหง การเจริญกายคตาสตเิ นอื ง ๆ น่ันเทียว. คาํ วา ภวัคคพรหมจักกระทําอะไรใหไดเลา ความวา เม่ือไดเจริญกายคตาสติ ก็สามารถเกิดวิปสสนาญาณเห็นความ
๔๑๔ วรรคท่ี ๔, อุปจกิ าวรรค เกิดขึ้นและความดับไปแหงอุปาทานขันธ ๕ ที่มีอยูน้ีได และ ความรูความเห็นอยางนี้ ยอมเปนไปเพ่ือประโยชนคือการถึง พระนิพพานอันเปนธรรมที่ดับภพทั้งปวง ซ่ึงเปนประโยชนอยาง ยิ่ง เม่ือเปนเชนนี้ ภวัคคพรหม (พรหมซึ่งเปนยอดแหงภพ) คือ พรหมชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ จักกระทําประโยชนอะไร ใหอีกเลา, ประโยชนอะไรดวยภวัคคพรหมเลา. คําวา จงยินดอี ยแู ตในกายของตนที่กลา วถงึ กันไดใ น ปจจบุ นั เทานั้น เถดิ คือจงยินดจี ะทาํ ประโยชนด วยอาศัยกายท่ี มีอยู ท่ีกลาวถึงกันอยูในปจจุบัน โดยสมมุติวา “เรา, ของเรา” น้ี เทา นั้นเถดิ . จบคําอธบิ ายปญ หาที่ ๒ ปญหาท่ี ๓, อนุ ทรู ังคปญ หา พระเจา มลิ นิ ท : “พระคณุ เจา นาคเสน ทานกลา ววา ‘พึง ถอื เอาองค ๑ แหง หนู’, องค ๑ ท่ีพงึ ถือเอานน้ั เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา หนู ยอ มเท่ียวตรวจสอบไปขา งนั้น ขา งนี้ หวงั อยูแ ตส ิ่ง ที่เปนอาหารเทานั้น ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บําเพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูเที่ยวสอบสวนไปขางน้ันขางนี้ หวังอยู แตจะทําโยนิโสมนสิการ ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ี คือองค ๑ แหงหนู ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระอุปเสน- วังคันตบุตรเถระ ไดภาสิตความขอน้ีไว วา :
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๔๑๕ ‘ธมฺมสีสํ กริตฺวาน, วิหรนฺโต วิปสฺสโก อโนลีโน วิหรติ, อุปสนฺโต สทา สโต ภิกษุผูกระทาํ ธรรมใหเปนศีรษะ เจริญวิปสสนา อยู ยอมเปนผูไมยึดติด มีสติ สงบ ตลอดกาล ทุกเม่ืออยู.’ ดังน้ี.” จบอุนทูรังคปญหาที่ ๓ คําอธิบายปญหาที่ ๓ ปญหาเก่ียวกบั องคแ หงหนู ช่ือวา อนุ ทรู ังคปญหา. คาํ วา หวังอยูแตจะทําโยนิโสมนสิการ คือมุงแตจะทํา โยนิโสมนสิการ อันเปนเหตุบายหนาตรงตอวิปสสนาท่ีเห็นวา ไมเท่ียง เปนทุกข เปนอนัตตา ในเวลาที่เดินอยู ในเวลาท่ียืนอยู ในเวลาที่นั่งอยู และในเวลาที่นอนอยู. คาํ วา ภิกษุผูกระทําธรรมใหเปนศีรษะ คือภิกษุ ผูกระทําธรรมคือโยนิโสมนสิการใหเปนศีรษะ คือใหบายหนา ตรงตอวิปสสนา ผูกาํ ลังเจริญวิปสสนาอยู. คาํ วา ยอมเปนผูไมยึดติด คือยอมเปนผูท่ีไมยึดติดใน ธรรมทั้งหลายท่ีตนเห็นแลวดวยวิปสสนาวา ไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตาน้ัน เพราะเหตุน้ันนั่นแหละ จึงเปนผู มีสติ สงบ ตลอดกาลทุกเม่ืออยู. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๓
๔๑๖ วรรคท่ี ๔, อุปจกิ าวรรค ปญหาท่ี ๔, วิจฉิกังคปญหา พระเจา มิลนิ ท : “พระคณุ เจา นาคเสน ทา นกลา ววา ‘พงึ ถอื เอาองค ๑ แหงแมงปอ ง’, องค ๑ ท่ีพงึ ถอื เอานน้ั เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา แมงปอง มีหางเปนอาวุธ จึงเท่ียวยกหางไป ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูมีญาณ เปนอาวุธ, พึงยกข้ึนซึ่งญาณอยู ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวาย พระพร น้ีคือองค ๑ แหงแมงปอง ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระอุปเสนวังคันตบุตรเถระ ไดภาสิตความขอน้ีไววา : ‘าณขคฺคํ คเหตฺวาน, วิหรนฺโต วิปสฺสโก ปริมุจฺจติ สพฺพภยา, ทุปฺปสโห จ โส ภเว ภิกษุผูจับพระขรรคคือญาณ เจริญวิปสสนาอยู ยอมหลุดพนจากภัยทั้งปวงได, และเธอจะพึงเปน ผูท่ีภัยท้ังหลายขมข่ี (ทําใหพรั่นพรึง) ไดยาก.’ ดังนี้.” จบวิจฉิกังคปญหาท่ี ๔ คาํ อธิบายปญหาที่ ๔ ปญ หาเกี่ยวกบั องคแหงแมงปอง ชอ่ื วา วจิ ฉิกังคปญ หา. คาํ วา พึงเปนผูมญี าณเปนอาวธุ คือพงึ เปนผูมญี าณทงั้ ทเี่ ปนโลกยี ทง้ั ท่เี ปน โลกตุ ตระ เปนอาวธุ รบชนะมารท้งั ๕ ได.
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๑๗ คาํ วา พึงยกข้ึนซ่ึงญาณ คือพึงยก ไดแกพึงทาํ ญาณ- สังวรใหเกิดข้ึนบอย ๆ ตัดกระแสตัณหาและทิฏฐิอันเปนเหตุแหง มารท้ัง ๕ น้ัน. ก็มาร ๕ นั้น ไดแก กิเลสมาร ๑, อภิสังขารมาร (กรรมดี, กรรมช่ัว) ๑, ขันธมาร ๑, มัจจุมาร - ความตาย ๑, เทวบุตรมาร ๑. กิเลสเปนตน ชื่อวา มาร ก็เพราะอรรถวา ทาํ ใหตาย กลาวคือ ทาํ ใหประสบความตายซํา้ ๆ ซาก ๆ ใน สังสารวฏั . จบคําอธิบายปญหาที่ ๔ ปญหาท่ี ๕, นกุลังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๑, แหงพังพอน’, องค ๑ ที่พึงถือเอาน้ัน เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา พงั พอน เมื่อจะเขา ใกลง ู กย็ อ มใชย าอบตวั แลวจงึ เขา ไปใกลงู เพื่อที่จะจับเอา ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร ผูบาํ เพ็ญเพียร เมื่อจะเขาไปใกลชาวโลกผูมากดวยความโกรธ ความอาฆาต ผูถูกการทะเลาะ การจับผิดกัน การวิวาท ความ โกรธครอบงํา ก็ยอมใชยาคือเมตตาลูบไลจิต ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร นี้คือองคที่ ๑ แหงพังพอนท่ีพึงถือเอา. ขอถวาย
๔๑๘ วรรคท่ี ๔, อุปจิกาวรรค พระพร ทานพระธรรมเสนาบดี สารีบุตรเถระ ไดภาสิตความขอนี้ ไว วา - ‘ตสฺมา สกํ ปเรสมฺป, กาตพฺพา เมตฺตาภาวนา เมตฺตจิตฺเตน ผริตพฺพํ, เอตํ พุทฺธาน สาสนํ เพราะฉะนั้น ก็ควรกระทาํ การเจริญเมตตา แกตน ทั้งแกคนอื่น พึงแผไปดวยเมตตาจิต น้ีคือคําสอน ของพระพุทธเจาท้ังหลาย.’ ดังนี้.” จบนกุลังคปญหาท่ี ๕ คําอธิบายปญหาที่ ๕ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงพังพอน ชื่อวา นกุลังคปญหา. คําวา พึงแผไปดวยเมตตาจิต คือพึงแผ ไดแกพึง คาํ นึงถึงสัตวท้ังหลายทั้งปวง พึงทาํ สัตวทั้งหลายท้ังปวงใหเปน อารมณ ดวยจิตท่ีประกอบดวยเมตตา. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๕ ปญหาที่ ๖, ชรสิงคาลังคปญหา พระเจา มลิ นิ ท : “พระคณุ เจานาคเสน ทานกลา ววา ‘พึง ถอื เอาองค ๒ แหง สนุ ัขจงิ้ จอก’, องค ๒ ทีพ่ งึ ถอื เอานน้ั เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา สุนัขจิ้งจอก พอไดของกินแลว ก็ไมรังเกียจ กลืนกิน
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๔๑๙ ตราบเทาที่ตองการ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บาํ เพ็ญเพียร ไดโภชนาหารมาแลว ก็พึงเปนผูไมรังเกียจบริโภค เพยี งเพอ่ื เปนเครอ่ื งเยียวยาสรีระ ฉนั น้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๑ แหงสุนัขจิ้งจอก ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ทาน พระมหากสั สปเถระ ไดภาสิตความขอนีไ้ วว า : ‘เสนาสนมฺหา โอรุยฺห, คามํ ปณฺฑาย ปาวิสึ. ภฺุชนฺตํ ปุริสํ กุฏึ, สกฺกจจํ นํ อุปฏหึ. โส เม ปกฺเกน หตฺเถน, อาโลป อุปนามยิ. อาโลป ปกฺขิปนฺตสฺส, องฺคุลิ ปตฺเต ฉิชฺชถ. กุฏฏมูลฺจ นิสฺสาย, อาโลป ตํ อภฺุชิสํ. ภฺุชมาเน วา ภุตฺเต, เชคุจฺฉํ เม น วิชฺชติ.๑ เราลงจากเสนาสนะ เขาไปสูละแวกบาน เพ่ือ บิณฑบาต ไดเขาไปหาบุรุษโรคเรื้อน ผูกําลัง บริโภคอยูนั้น แลวยืนอยูอยางเคารพ บุรุษโรคเร้ือน น้ัน ใชมือเปอย ๆ นอมถวายคําขาวแกเรา เมื่อเขา กําลังใสคําขาวลงไป น้ิวก็ขาดตกไปในบาตร เรา น่ังชิดโคนฝาเรือน บริโภคคําขาวน้ัน เราจะมีความ รังเกียจในคาํ ขาวท่ีกําลังบริโภคอยู หรือท่ีบริโภค แลวบาง ก็หาไม.’ ดังน้ี. ๑. ข.ุ เถร. ๒๖/๔๕๗
๔๒๐ วรรคท่ี ๔, อุปจิกาวรรค ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, สุนัขจิ้งจอก ไดของกิน มาแลว ก็ไมเลือกวาเลวหรือประณีต ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ไดโภชนาหารมาแลว ก็ไมพึงเลือก วาเลวหรือประณีต, วาสมบูรณหรือไมสมบูรณ พึงยินดีอยูดวย โภชนาหารตามที่ได ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือ องคที่ ๒ แหงสุนัขจิ้งจอก ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ทานพระ อุปเสนวังคันตบุตรเถระ ไดภาสิตความขอน้ีไว วา : ‘ลูเขนป จ สนฺตุสฺเส, นาฺ ปตฺเถ รสํ พหุ รเสสุ อนุคิทฺธสฺส, ฌาเน น รมเต มโน อิตรีตเรน สนฺตุฏโ, สามฺ ปริปูรติ๑ พึงสันโดษดวยโภชนะตามที่ไดมา แมวาเลว, ไมพึงปรารถนารสมากมายอยางอื่นอีก ใจของ บุคคลผูคอยติดของในรสทั้งหลาย ยอมไมรื่นรมย ในฌาน บุคคลผูสันโดษดวยปจจัยตามที่มี ตาม ที่ได ยอมทําความเปนสมณะใหเต็มเปยมได.’ ดังนี้.” จบชรสิงคาลังคปญหาท่ี ๖ คําอธิบายปญหาที่ ๖ ปญหาเกี่ยวกับองคแหงสุนัขจิ้งจอก ช่ือวา ชรสิคาลังค- ปญหา. ๑. ข.ุ เถร. ๒๖/๓๙๗.
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๔๒๑ คําพูดของทานพระมหากัสสปเถระท่ีวา “เราลงจาก เสนาสนะ” เปนตน ทานกลาวไวในคราวท่ีใหโอวาทภิกษุ ทั้งหลาย สมัยหน่ึง เพ่ือชี้ใหเห็นวา “ข้ึนชื่อวาเปนภิกษุ ควร ปฏิบัติอยางน้ี” โดยการแสดงถึงความสันโดษในปจจัย ๔ ของ ตัวทานเอง เปนชองทาง. ในคําเหลาน้ัน ทานกลาวไวอยางน้ีวา “เราลงจากเสนาสนะ” ดังนี้ ก็เพราะในเวลานั้นทานอยูท่ี เสนาสนะภูเขา. กอนหนานั้น ทานเขานิโรธสมาบัติอยู ออก จากสมาบัติน้ันในเวลาภิกขาจาร คิดจะสงเคราะหคนยากจน เข็ญใจสักคนหนึ่ง ทราบวา “บุรุษโรคเร้ือนผูนี้ เปนคนยากจน ขัดสนย่ิง” ดังน้ีแลว จึงลงจากภูเขา เดินเขาไปสูละแวกบาน มุงจะสงเคราะหบุรุษโรคเร้ือนผูน้ีเปนสาํ คัญ. คาํ วา ไปหาบุรุษโรคเร้ือน ฯลฯ แลวยืนอยูอยาง เคารพ คือทานตองการภิกษาหาร ดวยประสงคจะสงเคราะห บุรุษโรคเร้ือนผูน้ีใหไดรับสมบัติประเสริฐมากมาย เปนเศรษฐี ดวย เพราะผูท่ีถวายภิกษาหารแกทานผูออกจากนิโรธสมาบัติ ใหม ๆ ยอมไดรับอานิสงสเชนที่วาภายใน ๗ วัน จึงเขาไปดวย ความเคารพ คือดวยความเอื้อเฟออยางยิ่ง ราวกะเขาไปสู ตระกูลทายกท่ีมั่งคั่ง ที่คอยจะถวายภิกษาหารที่ประณีตให ฉะน้ัน แลวยืนรออยู เพราะเวลาน้ัน บุรุษโรคเร้ือนผูน้ันกาํ ลัง บริโภคอาหารอยู. คาํ วา ใชมือเปอย ๆ คือพอเห็นพระเถระเขา ก็เกิด ศรัทธายิ่ง ใครจะถวายภิกษาหาร แตไมมีภิกษาหารอะไรอื่นที่
๔๒๒ วรรคที่ ๔, อุปจิกาวรรค นอกเหนือจากที่ตนกําลังบริโภค จึงนอมเอาอาหารที่ตนกําลัง บริโภคนั้นนั่นแหละ ถวายแกพระเถระ ดวยมือตนที่ผุเปอย เพราะโรคเรื้อนน้ัน. คาํ วา นิ้วก็ขาดตกไปในบาตร คือนิ้วมือท่ีเปอยเต็มที นิ้วหน่ึง ขาดตกไปในบาตรพรอมกับอาหารท่ีถวาย. คําวา เราน่ังชิดโคนฝาเรือน บริโภคคาํ ขาวนั้น คือ พระเถระเกรงวาบุรุษโรคเรื้อนจะเกิดความคิดระแวงวาทานจะ รังเกียจภิกษาหารเชนน้ีแลวก็เทท้ิงเสีย ณ ท่ีใดท่ีหนึ่ง ทานจึง น่ังลงชิดโคนฝาเรือนของเขานั่นแหละ คัดเอานิ้วที่ขาดตกลงไป ในบาตรน้ันท้ิงไป ฉันภิกษาหารในบาตรน้ันตอหนาเขานั่นเทียว ฉะนี้แล. ในคําของพระอปุ เสนวงั คนั ตบุตร :- คาํ วา ยอ มไมร ่ืนรมย ในฌาน คือยอมไมอาจไดรับความรื่นรมยในความสุขในฌาน เพราะผูท่ียังมีจิตติดของในรสของอาหาร นับวาเปนผูท่ีมีอินทริย- สังวรท่ียังไมเต็มบริบูรณ และผูที่มีอินทริยสังวรบกพรอง ยอมไม อาจสาํ เร็จฌานทั้งหลาย ทั้งโลกิยฌาน ทั้งโลกุตรฌานได. จบคาํ อธิบายปญหาท่ี ๖ ปญหาท่ี ๗, มิคังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๓ แหงเน้ือ’, องค ๓ ท่ีพึงถือเอานั้น เปน ไฉน?”
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๔๒๓ พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา เนื้อ ตอนกลางวันเท่ียวไปในปา, ตอนกลางคืนเที่ยวไปในที่โลงแจง ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียรตอน กลางวันพึงอยูแตในปา, ตอนกลางคืนพึงอยูในท่ีโลงแจง ฉันน้ัน เหมือนกัน, น้ีคือองคท่ี ๑ แหงเนื้อ ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพยิ่งเหลา เทพ ทรงภาสิตความขอนไี้ วใ น โลมหงั สนปรยิ ายสูตร (มหา- สหี นาทสูตร) วา - ‘โส โข อหํ สารีปตุ ต ยา ตา รตฺตโิ ย สีตา เหมนตฺ กิ า ฯเปฯ รตฺตึ วนสณฺเฑ๑ - ‘ดกู ร สารบี ุตร กลางคืน ที่หนาวเย็นในฤดูหนาว ในสมัยที่มีหิมะตกในแวนแควนน้ันใด, ในตอนกลางคืนเห็นปานน้ัน เราไดอยูในท่ีโลงแจง, พอถึงตอน กลางวัน ก็อยูแตในปาทึบ. ตลอดฤดูรอนจนถึงเดือนสุดทาย กลางวันเราอยูในที่โลงแจง, กลางคืนอยูแตในปาทึบ’ ดังนี้. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง เม่ือมีหอกหรือธนูพุง ตกลงมา เนื้อยอมมีแตจะหลบหลีกหนีไป, ไมนอมกายเขาไปรับ ฉันใด, ขอถวายพระพร เมื่อมีกิเลสพุงตกลงมา พระโยคาวจรก็ พึงหลบหลีกหนีไป, ไมพึงนอมจิตเขาไปรับไว ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, เน้ือ พอเห็นคนเขาก็ หนีไปเสียทางใดทางหนึ่ง ดวยความคิดวา ‘ขอพวกคนเหลาน้ัน จงอยา ไดเหน็ เราเลย’ ดงั น้ี ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร ๑. ม. มู ๑๒/๑๔๓.
๔๒๔ วรรคที่ ๔, อุปจิกาวรรค ผูบาํ เพ็ญเพียร เห็นคนทุศีลท้ังหลาย ผูมีปกติโตเถียงกัน ทะเลาะ กนั จับผดิ กนั ววิ าทกัน คนเกยี จคราน คนทีย่ นิ ดกี ารอยคู ลกุ คลีกัน แลว ก็พึงหนีไปเสียทางใดทางหน่ึง ดวยความคิดวา ‘ขอคน เหลาน้ัน จงอยาไดพบเห็นเราเลย’ ดังน้ี ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คอื องคท ี่ ๓ แหง เน้อื ทพี่ ึงถือเอา. ขอถวายพระพร ทานพระธรรมเสนาบดสี ารีบตุ รเถระ ไดภาสติ ความขอนีไ้ วว า - ‘มา เม กทาจิ ปาปจฺโฉ, กุสีโต หีนวีริโย อปฺปสฺสุโต อนาจาโร, สมฺมโต อหุ กตฺถจิ๑ ในกาลไหน ๆ ในที่ไหน ๆ ขอเราจงอยาไดมีคน ปรารถนาลามก คนเกียจคราน คนมีความเพียรเลว ทราม คนหาการสดับมิได คนไมมีอาจาระเปนคนท่ี เราตองคบหาดวยเลย.’ ดังน้ี.” จบมิคังคปญหาท่ี ๗ คาํ อธิบายปญหาที่ ๗ ปญ หาเกี่ยวกบั องคแหงเนอ้ื ช่ือวา มคิ งั คปญหา. พระโยคี ตอนกลางวันพึงอยูแตใ นปา, ตอนกลางคนื พึงอยูในทโี่ ลงแจง ก็เพอื่ ประโยชนแกกายวเิ วก (ความสงัดกาย) หลีกเล่ียงการพบปะผูคนที่พึงมีเกล่ือนกลนในสถานท่ีน้ัน ๆ ใน เวลานั้น ๆ. ๑. ข.ุ เถร. ๒๖/๔๔๙.
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๔๒๕ คาํ วา เมื่อมีกิเลสพุงตกลงมา พระโยคาวจรพึงหลบ หลีกหนีไป คือเม่ือประสบอารมณอันเปนท่ีตั้งแหงราคะ เปน ท่ีตั้งแหงโทสะ หรือเปนท่ีตั้งแหงโมหะ อันจะเปนเหตุใหราคะ เปนตนเกิดขึ้น ก็พึงทําจิตหลบหลีกหนีไปเสียกอน ดวยอาํ นาจ สํารวมอินทรียทั้งหลาย มีสติ มีสัมปชัญญะ มนสิการกรรมฐาน มีการพิจารณาโกฏฐาส ๓๒ เปนตน. คาํ วา พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร เห็นคนทุศีล ทั้งหลาย เปน ตน เปน คําแสดงถงึ ความเปน ผูม ีปกติคบหาบณั ฑิต หลีกเลี่ยงการคบหาคนพาล แหงพระโยคาวจร. จบคําอธิบายปญหาที่ ๗ ปญหาท่ี ๘, โครูปงคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๔ แหงโค’, องค ๔ ที่พึงถือเอาน้ัน เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา โค ยอมไมละทิ้งคอกของตนไป ฉันใด, ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็ไมพึงละทิ้งกายของตน ดวยการทําไวในใจวา ‘กายนี้ มีความเปนของไมเท่ียง ทรุด- โทรม ยอยยับ แตกทาํ ลาย กระจัดกระจาย ปปน เปนธรรมดา’ ดังน้ี ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๑ แหงโค ท่ีพึงถือเอา.
๔๒๖ วรรคท่ี ๔, อุปจกิ าวรรค ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, โคท่ีเขาเทียมแอก แลว ยอมนําแอกไป โดยสะดวกบาง ลําบากบาง ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูเทียม แอกคือพรหมจรรย ประพฤติพรหมจรรยอันลมหายใจเปนท่ีสุด โดยสะดวกบาง ลําบากบาง ตลอดจนกวาชีวิตส้ินสุด ฉันน้ัน เหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคที่ ๒ แหงโคท่ีพึง ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, โค ยอมด่ืมนาํ้ สูดดม ดวยความพอใจ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญ เพียร ก็พึงเปนผูกระหายจะรับเอาคาํ อนุศาสนของอาจารยและ อุปชฌายะ สูดดมดวยความพอใจ ดวยความรัก ดวยความ เล่ือมใส ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๓ แหง โค ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, โค พอถูกใครคนใด คนหนึ่งตอนไป ก็ยอมไป ฉันใด, พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงรับเอาโอวาทและอนุศาสนีท้ังของอาจารยและอุปชฌายะ ท้ังของอุบาสกฆราวาส ดวยเศียรเกลา ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอ ถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๔ แหงโค ท่ีพึงถือเอา. ขอถวาย พระพร ทานพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ไดภาสิตความขอนี้ ไววา - ‘ตทหุ ปพฺพชโิ ต สนฺโต, ชาติยา สตฺตวสสฺ ิโก. โสป มํ อนุสาเสยยฺ , สมฺปฏิจฉฺ ามิ มตฺถเก.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 548
Pages: