โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๓๒๗ ในคาํ เหลาน้ัน คําวา ดูกร ทานวัสสุเทพ เปนเพียงคาํ เรียกฝน โดยสมมุติบุคคลเทานั้น. คาํ วา ดุจโคอสุภะ ฯลฯ ดุจชางทาํ ลายเถาหัวดวนได เปนเพียงคําเปรียบ แสดงใหเห็นการตัดไดอยางงายดาย. คาํ วา เราจึงไมเขาถึงครรภเปนที่อยูอีก มีความหมาย วา เราจึงไมเขาถึงการปฏิสนธิในภพใหมอีก น่ันเทียว. จบคาํ อธิบายปญ หาที่ ๔ ปญ หาที่ ๕, ทปี ก งั คปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๒ แหงพอเสือเหลือง’ องค ๒ ที่พึงถือเอาน้ัน เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา เสือเหลืองอาศัยพงหญาในปาบาง ปารกบาง ท่ีรก แหงภูเขาบาง ซอนตัว แลวจึงจะจับเอาเนื้อท้ังหลายได ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียรก็พึงเสพสถานท่ี วิเวก คือ ปา โคนไม ภูเขา ซอกเขา ถํ้าตามภูเขา ปาชา ปาไม ท่ีโลงแจง ลอมฟาง ซึ่งเปนสถานท่ีท่ีมีเสียงนอย ไมมี เสียงอึกทึก ไมมีผูคนพลุกพลาน มีท่ีนอนที่สงัดจากพวกคน ทั้งหลาย มีความเหมาะสมแกการหลีกเรน. ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ผูเสพสถานท่ีวิเวก ยอมบรรลุ วสีภาวะในอภิญญา ๖ ตอกาลไมนานเลยเทียว ฉันนั้น
๓๒๘ วรรคท่ี ๑, คทั รภวรรค เหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๑ แหงพอเสือเหลือง ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระเถระผูเปนธัมมสังคาห- กาจารยท้ังหลาย ไดภาสิตความขอน้ีวา :- ‘ยถาป ทีปโก นาม, นิลียิตฺวา คณฺหตี มิเค ตเถวายํ พุทฺธปุตฺโต, ยุตฺตโยโค วิปสฺสโก อรฺ ปวิสิตฺวาน, คณฺหาติ ผลมุตฺตมํ๑ ธรรมดาวา เสือเหลือง ซอนตัวแลวก็ยอมจับเอาเน้ือ ทั้งหลายได แมฉันใด, พระโยคาวจรผูเปนพุทธบุตร ผูประกอบความเพียร เจริญวิปสสนาเขาปาแลว ก็ ยอมจับเอาผลที่สูงสุดได ฉันนั้น.’ ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, ธรรมดาวา พอเสือ เหลืองฆาสัตวตัวใดตัวหน่ึงแลว จะไมยอมกัดกินเนื้อที่ลมไปทาง ขางซาย ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็ไมพ งึ บรโิ ภคโภชนะสําเร็จโดยการใหไ มไผบาง, ดวยการใหใ บไม (ผัก) บาง, ดวยการใหดอกไมบาง, ดวยการใหผลไมบาง, ดวย การใหเคร่ืองสนานบาง, ดวยการใหดินเหนียวบาง, ดวยการให เคร่ืองจุณบาง, ดวยการใหไมชาํ ระฟนบาง, ดวยการใหนา้ํ ลาง หนาบาง, ดว ยความเปน คนประจบบา ง, ดวยความเปนผมู ีคาํ พูด ดุจแกงถ่ัวบาง, ดวยงานเล้ียงเด็กบาง, ดวยงานรับสงขาวสาร บาง, หรือดวยมิจฉาอาชีวะอยางใดอยางหนึ่งท่ีพระพุทธเจา ๑. วิสุทธฺ มิ คคฺ ๒/๖๔ (ฉบับภูมพิ โลภกิ ฺขุ).
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๓๒๙ ทรงรังเกียจ, ดุจพอเสือเหลือง ไมยอมกัดกินเน้ือท่ีลมไปทาง ขางซาย ฉะนั้น ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ืคือองค ท่ี ๒ แหงพอเสือเหลือง ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ทาน พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระไดภาสิตความขอน้ีไววา :- ‘วจีวิฺตฺติวิปฺผารา, อุปฺปนฺนํ มธุปายสํ. สเจ ภุตฺโต ภเวยฺยาหํ, สาชีโว ครหิโต มม, ยทิป เม อนฺตคุณํ, นิกฺขมิตฺวา พหี จเร. เนว ภินฺเทยฺยมาชีวํ, จชมาโนป ชีวิตํ.๑ ถาหากวา เราพึงเปนผูบริโภคขาวมธุปายาสท่ี เกิดขึ้นเพราะการแผไปแหงวจีวิญญัติแลวไซร อาชีวะของเราน้ัน พึงเปนส่ิงที่บัณฑิตติเตียนได แมหากวา ขนดไสของเราจะพึงออกมาเท่ียวไป ภายนอก เราจะไมทาํ ลายอาชีวะเลย แมตอง สละชีวิตไป.’ ดังนี้.” จบทีปกังคปญหาท่ี ๕ คาํ อธิบายปญหาที่ ๕ ปญหาวาดวยองคแหงพอเสือเหลือง ช่ือวา ทีปกังค- ปญหา. ๑. วสิ ทุ ธฺ ิมคฺค ๑/๖๔. (ฉบับภูมพิ โลภกิ ฺขุ).
๓๓๐ วรรคที่ ๑, คทั รภวรรค คําวา ยอ มจบั เอาผลท่ีสงู สดุ คอื ยอ มบรรลพุ ระอรหตั ต- ผล ซ่ึงเปนผลที่สูงสุดในบรรดาสามัญญผล ๔ มีโสดาปตติผล เปน ตน . ในคาํ วา ถาหากวา เราพึงเปนผบู รโิ ภคขา วมธุปายาส เปนตนน้ัน มีเรื่องแสดงความเปนมาแหงคําพูดนี้ อยางน้ีวา :- สมัยหน่ึง ทานพระสารีบุตรเถระเกิดอาพาธเพราะลมในทองเมื่อ ทานพระมหาโมคคัลลานะเถระถามถึงวิธีบําบัด ทานก็บอกพระ เถระวา ในสมัยท่ีทานยังเปนฆราวาสอยูนั้น คราวหน่ึงเกิด เจ็บปว ยดวยโรคอยางเดียวกนั น้ี มารดาของทา นไดทําขา วปายาส หุงดวยนา้ํ นม ปรุงดวยเนยใส นํา้ ผ้ึง และนํา้ ตาลกรวดให บริโภค ทานหายเจ็บปวยไดเพราะไดอาศัยขาวปายาสท่ีเปน เชนนั้น. ในวันนั้น ทานพระมหาโมคคัลลานะเท่ียวบิณฑบาตไป ทานไดขาวปายาสอยางน้ีจากตระกูลอุปฏฐากของทาน ผูดําริ จะทําขาวปายาสเชนน้ีข้ึนมาในวันนั้น เพราะการบีบบังคับของ เทวดาตนหน่ึง ไดแลวก็นาํ เอาไปถวายทานพระสารีบุตร ทาน พระสารีบุตรเห็นเหตุเกิดขึ้นแหงอาหาร วาอาหารเชนน้ีเราไดมา เพราะการเปลงวาจา แมทานไมมีเจตนาจะกลาวเพ่ือใหไดมา ก็ตาม ถึงกระนั้น ทานก็นึกรังเกียจการไดอาหารมาบริโภค โดยวิธีเปลงวาจาเชนน้ี เพราะเหตุน้ัน จึงไดกลาวกะพระมหา- โมคคัลลานเถระวา “ถาหากวาเราพึงบริโภค ขาวมธุปายาส” ดังน้ี เปนตน.
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๓๓๑ ในคาํ เหลาน้ัน คาํ วา เพราะการแผไปแหงวจีวิญญัติ คือเพราะการเปลงวาจาเปนเหตุ. คาํ วา แมหากวาขนดไส ของเราจะพึงออกมาเท่ียวไปภายนอก คือแมหากวาขนดไส ของเราจะพึงออกมาจากภายในทอง เท่ียวหากินไปภายนอก กายน้ีเสียเอง ดวยอํานาจแหงความหิว. คาํ วา เราจะไมทําลาย อาชีวะ คือเราจะไมทาํ ลายศีลคืออาชีวะที่บริสุทธิ์ แมวาจะตอง ส้ินชีวิตไปเพราะอดอาหารก็ตามที. จบคําอธิบายปญหาที่ ๕ ปญหาที่ ๖, กุมมังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๕ แหงเตา’ องค ๕ ท่ีพึงถือเอาเหลาน้ัน เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เตาเปนสัตว ที่เท่ียวไปในน้ํา สาํ เร็จการอยูแตในนํ้าเทานั้น ฉันใด, ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ผูอนุเคราะหประโยชน เกื้อกูลแกสัตว ภูต บุคคลท้ังหลายทั้งปวง ก็พึงเปนผูแผไปสูโลก (สัตวโลก) อันมีอยูในท่ีท้ังปวง ดวยจิตท่ีสหรคตดวยเมตตา อันไพบูลย อันเปนมหัคคตะ อันหาประมาณมิได ไมมีเวร ไมมี ความเบียดเบียนอยู ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือ องคที่ ๑ แหงเตา ที่พึงถือเอา.
๓๓๒ วรรคท่ี ๑, คัทรภวรรค ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ธรรมดาวา เตาขณะที่ ลอยลองอยูในน้าํ โงหัวขึ้นมา ถาหากเห็นใคร ๆ เขา ก็จะดําลง ไปในน้ํา หย่ังลงไปใหลึกทันที ดวยคิดวา ‘คนพวกน้ันอยาไดเห็น เราอีก’ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร เมอ่ื กิเลสทงั้ หลายปรากฏ กพ็ งึ ดาํ ลงไปในสระคอื อารมณ พึงหยั่ง ลงไปใหลึก ดวยคิดวา ‘กิเลสท้ังหลาย อยาไดเห็นเราอีก’ ดังนี้ ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๒ แหงเตา ทพ่ี งึ ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง ธรรมดาวา เตายอม ออกจากนาํ้ มาผ่ึงแดด ฉันใด, พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียรก็พึง ถอนจิตออกจากการน่ัง การยืน การนอน และการจงกรมแลว ก็พึงผ่ึงจิตใหรอนในสัมมัปปธาน ฉันนั้นเหมือนกัน. น้ีคือองคที่ ๓ แหงเตา ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอกี องคห นึ่ง เตายอ มขุดพืน้ ดนิ สาํ เรจ็ การอยูในหลุมที่สงัด ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร ผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงหยั่งลึกลงสูสถานท่ีสงัดเงียบ คือแมกไม ปา ไม ภูเขา ซอกเขา ถ้ําตามภูเขา อันวาง อันสงัด มีเสียงนอย ปราศจากเสียงอึกทึก สําเร็จการอยูในแตในท่ีสงัดเทานั้น ฉันน้ัน เหมือนกัน. นี้คือองคที่ ๔ แหงเตา ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ทานพระอุปเสนวังคันตบุตรเถระได ภาสิตความขอนี้ไววา :
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๓๓๓ ‘วิวิตฺตํ อปฺปนิคฺโฆสํ, วาฬมิคนิเสวิตํ. เสเว เสนาสนํ ภิกฺขุ, ปฏิสลฺลานการณา๑ ภิกษุพึงเสพเสนาสนะท่ีสงัด ที่ไมมีเสียงอึกทึก ท่ีหมูสัตวรายสองเสพ เพราะเหตุแหงความ ประพฤติหลีกเรน.’ ดังนี้. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ธรรมดาวา เตาเมื่อ เท่ียวจาริกไป พบเห็นอะไร ๆ เขาก็ดี, ไดยินเสียงก็ดี ก็จะปด ซอนอวัยวะท้ังหลาย มีคอเปนที่ ๕ ไวในกระดอง แลวหยุดเฉย อยู ไมขวนขวาย ไดแตรักษาตัวอยู ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร เม่ือมีอารมณท้ังปวง คือรูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ และธรรมมาปรากฏ ก็ไมยอมเปดประตู คือความสํารวม ปดซอนจิตไว ทําความสาํ รวมไดแลว ก็ไดแต เปนผูมีสติ มีสัมปชัญญะ คอยรักษาสมณธรรมอยู ฉันน้ัน เหมือนกัน. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพยิ่ง เหลาเทพ ทรงภาสิตความขอนี้ไวใน กุมฺมูปมสูตร ในสังยุตต- นิกายอันประเสริฐ วา - ‘กุมฺโมว องฺคานิ สเก กปาเล สโมทหํ ภิกฺขุ มโนวิตกฺเก อนิสฺสิโต อฺมเหฏยาโน ปรินิพฺพุโตนูปเวเทยฺย กฺจิ๒ ๑. ขุ. เถร. ๒๖/๓๙๗. ๒. สํ. สฬา. ๑๘/๒๒๓.
๓๓๔ วรรคท่ี ๑, คทั รภวรรค พระโยคาวจรภิกษุ พึงปดซอนความดาํ ริแหงจิต ของตนไว ไมอาศัยตัณหาและทิฏฐิ ไมเบียดเบียน ผูอ่ืน เปนผูดับกิเลส ไมกลาวติเตียนใคร ๆ ดุจเตา ปดซอนอวัยวะไวในกระดองของตน รักษาตัวอยู ฉะนั้น.’ ดังนี้. จบกุมมังคปญหาที่ ๖ คําอธิบายปญหาที่ ๖ ปญ หาวา ดว ยองคแ หง เตา ชือ่ วา กุมมงั คปญ หา. คาํ วา ภูต, บุคคล เปนเพียงคาํ ไวพจนของคาํ วา สัตว เทาน้นั . ในคาํ วา ดว ยจติ ท่สี หรคตดวยเมตตา เปน ตน มีความ วา แผไปสูสัตวโลก ไดแก กระทาํ ใหเปนอารมณ, ดวยจิต ท่ีสหรคตดวยเมตตา คือดวยจิตท่ีประกอบดวยเมตตา, อัน ไพบูลย คืออันกวางขวาง, อันเปนมหัคคตะ คืออันถึงความ เปนรูปาวจร, อันหาประมาณมิได คือมีสัตวอันหาประมาณ มิได (ไมจาํ กัดจาํ นวน) เปนอารมณ, ไมมีเวร คือ เปนขาศึก ของความพยาบาท, ไมมีความเบียดเบียน คือ เปนขาศึก ของวิหิงสา (ความเบียดเบียน) หรือหางไกลจากความทุกข ทางใจ. คําวา พึงดําลงไปในสระคืออารมณ ไดแกพึงจรดจิต ลงไปในอารมณอันเปนกรรมฐาน แลว หย่ังลงไปใหลึก คือ
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๓๓๕ จรดลงไปในอารมณนั้น ใหลึกดวยอํานาจแหงสติที่ระลึกอยู เนือง ๆ และแหงสมาธิท่ีต้ังมั่น. คาํ วา กิเลสท้ังหลาย อยาไดเห็นเราอีก คือกิเลส ทั้งหลาย อยาไดปรากฏข้ึนมาใหเห็นวา “เรา” , วา “ของเรา” อีก. คาํ วา พึงถอนจิตออกจากการนั่ง การยืน การนอน และการจงกรม ความวา ไมทาํ เวลาใหล ว งเลยไปดวยการคอย ผลัดเปล่ียนอิริยาบถแตอยางเดียวเทาน้ัน ทวา ในเวลาท่ีทรงกาย อยูในอิริยาบถใด ๆ ก็ตาม พึงถอนจิตออกจากอารมณตาง ๆ มากมายภายนอก มนสิการอารมณกรรมฐานในอิริยาบถน้ัน ๆ น่ันแหละ. คําวา พึงผึ่งจิตใหรอนในสัมมัปปธาน คือพึงผ่ึง ไดแก พึงตากจิตท่ีเปยกชุมดวยตัณหาใหแหงไปในแสงแดด คือ สัมมัปปธาน (ความเพียรชอบ) ๔ ประการ คือเพียรปองกัน อกุศลธรรม (นิวรณธรรมทั้งหลาย) ท่ียังไมเกิด ไมใหเกิดขึ้น ๑, เพียรละอกุศลธรรมท่ีเกิดข้ึนแลว ๑, เพียรทาํ กุศล (สมาธิ, วปิ สสนา และมรรค) ท่ียงั ไมเ กิด ใหเกดิ ขน้ึ ๑, เพยี รเพิ่มพนู กศุ ลท่ี เกิดข้ึนแลว ใหเต็มใหบริบูรณยิ่ง ๆ ขึ้นไป ๑ โดยประการท่ีคอย เพียรยกจิตใหต้ังอยูในอารมณกรรมฐานติดตอกันไป ไมยอทอ น่ันเทียว. ในภาสิตของ พระอุปเสนวังคันตบุตรเถระ นั้น คําวา เสนาสนะที่สงัด คือที่อยอู าศยั ทสี่ งดั ไดแกว า งเวนจากผคู นมีปา เปนตน. คาํ วา ท่ีไมมีเสียงอึกทึก คือท่ีปราศจากเสียงรบกวน.
๓๓๖ วรรคท่ี ๑, คัทรภวรรค คาํ วา ที่หมูสัตวรายสองเสพ คือท่ีหมูสัตวราย มีสีหะเสือโครง เสือเหลือง เปน ตน เทีย่ วหากนิ ไป. คาํ วา เพราะเหตุแหงความ ประพฤติหลีกเรน คือเพราะความปรารถนาจะประพฤติหลีก จิตออกจากอารมณตาง ๆ มากมายในภายนอก แลวเรนคือพัก จิตนั้นไวในอารมณกรรมฐานเปนเหตุ. ในพระภาสิตท่ีวา พระโยคาวจรภิกษุ พึงซอนความ ดาํ ริ เปนตน มีความวา : เปรียบเหมือนวา เตาซอนอวัยวะท้ังหลายไวในกระดอง ไมใหโอกาสแกสุนัขจ้ิงจอก สุนัขจิ้งจอกไมอาจทําอันตราย จึง รักษาตัวอยูได ฉันใด, พระโยคาวจรก็พึงซอนความดําริ (ความ คิด, สภาวะที่ยกจิตข้ึนสูอารมณ) แหงจิตของตน ไดแกคอยยก จิตไวในกระดองคืออารมณกรรมฐานน่ันเอง ไมใหโอกาสแกมาร มารไมอาจทาํ อันตราย จึงรักษาตัวอยูได ฉันน้ันเหมือนกัน. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๖ ปญหาที่ ๗, วังสังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๑ แหงไมไผ’ องค ๑ ท่ีพึงถือเอานั้น เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา ไมไผยอมออนโอนตามกันไป ในสถานท่ีท่ีมีลม, ไม แลนตามกันไป ในท่ีที่เปนอยางอ่ืน ฉันใด, ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระโยคาวจร ก็พึงคลอยตามพระนวังคศาสน (คาํ
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๓๓๗ สอนมีองค ๙) ที่พระผูมีพระภาคทรงภาสิตไว ต้ังอยูในส่ิงที่เปน กัปปยะ ไมมีโทษ แสวงหาเฉพาะสมณธรรมเทาน้ัน ฉันนั้น เหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองค ๑ แหงไมไผ ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระราหุลเถระไดภาสิตความขอน้ีไววา ‘นวงฺคํ พุทธฺ วจน,ํ อนโุ ลเมตฺวาน สพฺพทา กปฺปเ ย อนวชฺชสฺม,ึ ตวฺ าปายํ สมุตฺตรึ พระโยคาวจรภิกษุอนุโลมตามพระพุทธวจนะ อันมีองค ๙ ตั้งอยูในสิ่งที่เปนกัปปยะ หาโทษ มิไดแลว ก็จะเปนผูถึงธรรมที่ยิ่งข้ึนไป ไดโดย ชอบ.’ ดังนี.้ ” จบวังสังคปญหาท่ี ๗ คําอธิบายปญหาที่ ๗ ปญ หาวา ดว ยองคแหง ไมไผ ชื่อวา วงั สงั คปญหา. คําวา ในทที่ เ่ี ปนอยา งอื่น คือในที่ท่ีไมม ลี ม. คําวา คลอ ยตาม คอื ยึดถือเปน แบบแผนเพื่ออนั ประพฤติ ตาม ปฏิบัติตาม ตามท่ีทรงอนุศาสน. คําวา พระนวังคศาสน ไดแกคาํ สอนมีองค ๙ มี สุตตะ เคยยะ เปน ตน. คําวา สิ่งที่เปนกัปปยะ คือส่ิงที่ทรงกาํ หนดไวแลววา ใชได ไมเปนอาบัติแกผูใช ผูเสพ.
๓๓๘ วรรคท่ี ๑, คทั รภวรรค ในภาสิตของ พระราหุลเถระ : คําวา เปนผูถึงธรรมที่ ยิ่งขึ้นไป ไดโดยชอบ ไดแก ถึงธรรมคือคุณทั้งหลาย มีศีล เปนตน ที่ย่ิง ๆ ข้ึนไปตามลําดับ จนถึงพระนิพพานเปนที่สุด. จบคาํ อธิบายปญหาที่ ๗ ปญหาท่ี ๘, จาปงคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๑ แหงธนู’ องค ๑ ที่พึงถือเอานั้น เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา ธนูที่เขาถากดีแลวนอมดัดเขาหากันแลว ก็โคงงอ เรียบสม่ําเสมอกันไป ไมสะดุด จับต้ังแตปลายถึงโคน ฉันใด, ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึง นอบนอมในภิกษุผูเปนพระเถระ ภิกษุผูเปนพระใหม และภิกษุ ผูเปนพระรุนกลาง สมา่ํ เสมอกัน ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวาย พระพร นี้คือองค ๑ แหงหนู ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพยิ่งเหลาเทพ ทรงภาสิตความขอ น้ีไวในวิธุร (ปุณณก) ชาดก วา ‘จาโปวูนุทโร ธีโร, วํโส วาป ปกมฺปเย ปฏิโลมํ น วตฺเตยฺย, ส ราชวสตึ วเส๑ บุคคลผูเปนนักปราชญใด พึงเปนผูมีทองพรอง เรียว ดุจธนู, ทั้งพึงหว่ันไหว (ในคาํ ที่พระราชา ๑. ขุ. ชา. ๒๘/๓๕๑.
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๓๓๙ ตรัส) ดุจไมไผ (ตองลม), ไมพึงประพฤติโตแยง, บุคคลผูเปนนักปราชญน้ัน จะพึงเขาไปอยูยัง สถานที่อยูแหงพระราชาได’ ดังน้ี.” จบจาปงคปญหาที่ ๘ คําอธิบายปญหาที่ ๘ ปญหาวาดวยองคแ หงธนู ช่อื วา จาปง คปญ หา คําวา ภิกษุผูเปนพระเถระ คือภิกษุผูมีพรรษาจับต้ังแต ๑๐ ขน้ึ ไป. คําวา ภกิ ษุผูเปน พระใหม คอื ภกิ ษุผมู ีพรรษาไมเกิน ๕. คําวา ภกิ ษุผเู ปน พระรนุ กลาง คอื ภิกษผุ มู ีพรรษา ๕ ข้ึน ไป แตไ มถ ึง ๑๐. คาํ วา บุคคลผูเปนนักปราชญใด เปนตน เปนคําตรัส ของพระผูมีพระภาค ในกาลท่ีเสวยพระชาติเปนวิธุรบัณฑิต อํามาตยของพระเจาโกรัพยะ แหงนครอินทปต แควนกุรุ. ทาน บัณฑิตน้ัน เมื่อถูกถามถึงวิธีการอยูในสํานักของพระราชาได อยางผาสุก ไมมีราชภัย ทวา มีแตพระราชาจะทรงโปรดปราน ก็ไดเฉลยใหทราบ น้ีเปนสวนหน่ึงแหงคําเฉลยน้ัน. ในคํานั้น คําวา พงึ เปนผมู ที อ งพรอ งเรยี ว คือไมเ ปน ผูม ี ทองใหญเหมือนคนตะกละ มักมากในการบริโภค ทวา มีทอง พรองเรียวเหมือนอยางธนูที่เล็กเรียว. คาํ น้ี มีความหมายแต
๓๔๐ วรรคท่ี ๑, คัทรภวรรค เพียงวา เมื่อไดอยูในสํานักของพระราชา ก็อยาไดประพฤติเปน คนละโมบโลภมาก หวังแตจะไดของพระราชทาน ไมรูจักพอ เหมือนอยางคนตะกละในการบริโภค มักมากในของกินเสียจน ทอ งโตใหญ ฉะนั้น ทวา ควรเปน ผูรูจ กั ประมาณ รูจ ักพอ. คาํ วา ท้ังพึงหว่ันไหว คือพึงหวั่นไหว ไดแกพึงคอย สําเหนียกที่จะอนุโลมตามคําตรัสของพระราชาทุกอยาง. ดุจ อะไร? ดุจไผตองลม ท่ีคอยแตละโอนเอนไปตามลม ไมฝน กระแสลม ฉะนั้น. คําวา จะพึงเขาไปอยูยังสถานที่อยูแหงพระราชาได ความวา เม่ือประพฤติตามอยางที่กลาวมาน้ี ก็สมควรที่จะอยูใน สํานักของพระราชาได. จบคําอธิบายปญหาที่ ๘ ปญหาท่ี ๙, วายสังคปญหา พระเจา มลิ นิ ท : “พระคณุ เจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๒ แหงกา’ องค ๒ ที่พึงถอื เอาน้นั เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา กา เอาแตสงสัยระแวงภัย พากเพียรขวนขวายเท่ียวไป อยู ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบ ําเพญ็ เพียร กพ็ ึงเปน ผูเอาแตสงสัยระแวงภัย พากเพียรขวนขวายสํารวมอินทรีย ท้ังหลายดวยสติที่ตั้งม่ัน เท่ียวไป ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวาย พระพร น้ีคือองคท่ี ๑ แหงกา ที่พึงถือเอา.
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๓๔๑ ขอถวายพระพร ยังมอี กี องค ๑ ธรรมดาวา กา พบของกิน อะไร ๆ แลว ก็แบงกันกินกับพวกญาติ ฉันใด, ขอถวายพระพร ลาภท่ีเกิดโดยธรรม ไดมาโดยธรรม โดยท่ีสุดแมเพียงของกินท่ี เนื่องอยูในบาตรเหลาน้ัน ใด, ลาภเห็นปานน้ัน เหลาน้ัน พระ โยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร พึงแบงกันฉันกับเพ่ือนพรหมจรรย มีผูมี ศีลท้ังหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๒ แหงกา ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ทานพระธรรมเสนาบดี สารีบุตรเถระ ไดภาสิตความขอนี้ไววา ‘สเจ เม อุปนาเมนฺติ ยถาลทฺธํ ตปสฺสโิ น. สพเฺ พ สํวิภชติ ฺวาน, ตโต ภฺุชามิ โภชนํ ถาหากวา พวกคนท้ังหลาย นอมเอาโภชนะตามท่ี ไดมาเขาไปใหเรา เราก็จะแบงใหภิกษุผูมีตบะท่ัว ทุกรูป แลวจึงจะบริโภคอาหารหลังจากนั้น.’ ดังน้ี.” จบวายสงั คปญหาท่ี ๙ คาํ อธิบายปญหาที่ ๙ ปญหาวาดวยองคแหงกา ช่ือวา วายสังคปญหา. คําวา พึงเปนผูเอาแตสงสยั ระแวงภยั คือพึงเปน ผเู อา แตห วาดหวนั่ ภัยในสังสารวฏั . คาํ วา ภกิ ษผุ มู ตี บะ คือภกิ ษผุ มู ีความเพยี ร ซึ่งไดช ่ือวา ตบะ เพราะอรรถวาแผดเผากิเลส. จบคําอธิบายปญ หาที่ ๙
๓๔๒ วรรคที่ ๑, คทั รภวรรค ปญหาที่ ๑๐, มกั กฏงั คปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถอื เอาองค ๒ แหง วานร’ องค ๒ ท่ีพงึ ถอื เอาน้ัน เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา วานร เมื่อจะเลือกอยูอาศัย ก็ยอมเลือกอยูอาศัยใน โอกาสเห็นปานฉะนี้ คือ ตนไมตนใหญ ๆ ทีส่ งัด อนั พร่ังพรอ มดวย กิ่งกานสาขา เปนที่ปองกันภัยได ฉันใด, ขอถวายพระพร พระ โยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเลือกอยูอาศัยอาจารยผูเปน กัลยาณมิตร เห็นปานฉะนี้ คือ เปนลัชชี รักศีล มีศีล มีกัลยาณ- ธรรม เปนพหูสูต ทรงธรรม ทรงวินัย นารัก นาเคารพ นายกยอง เปนผรู จู กั วากลา ว อดทนตอการวากลาว เปนผโู อวาท ผูบอกใหร ู ผูช้ีคุณและโทษ ผูชักชวนกระตุนใหอาจหาญ ใหบันเทิง ฉันน้ัน เหมอื นกนั . ขอถวายพระพร นี้คือองคท ่ี ๑ แหงวานร ท่ีพงึ ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ธรรมดาวา วานร จะ เท่ียวไป จะยืน จะนั่ง, แมหากวาจะกาวลงสูความหลับ ก็บน ตนไมท้ังนั้นแหละ, ยอมไดการอยูอาศัยไปตลอดท้ังคืนบนตนไม นั้นเทาน้ัน ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูบายหนาสูปา, พึงยืน เดิน นั่ง นอน กาวลงสูความ หลับอยูแตในปา เทานั้น, พึงได (การเจริญ) สติปฏฐาน ในปา นั้นเทานั้น ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๒ แหง วานร ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ทานพระธรรมเสนาบดีสารี- บุตรเถระ ไดภาสิตความขอนี้ไววา :-
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๓๔๓ ‘จงกฺ มนโฺ ตป ตฏิ นฺโต, นสิ ชฺชาสยเนน วา. ปวเน โสภเต ภกิ ฺข,ุ ปวนนฺตวํ วณณฺ ิตํ. ภิกษุ เม่ือเดินอยูก็ดี ยืนอยูก็ดี, หรือต้ังกายอยู โดยการน่ัง หรือการนอนก็ดี ในปา ยอมสวยงาม ปาน่ันเทียวเปนสถานที่ที่พระอริยบุคคลท้ังหลาย สรรเสริญ.’ ดังนี.้ ” จบมักกฏังคปญหาท่ี ๑๐ คําอธิบายปญหาที่ ๑๐ ปญ หาเกี่ยวกับองคแ หงวานร ชื่อวา มักกฏงั คปญหา. คําวา เปนลัชชี คือเปนผูละอายบาป ละอายความ ประพฤติท่ีไมสมควร. คาํ วา เปนผูรูจักวากลาว คือเปนผูรูจักวากลาวศิษยใน สมัยท่ีควรวากลาว. คําวา อดทนตอ การวา กลา ว คอื อดทน ไดแ กไมทอ แทใน อนั วา กลาวศษิ ย. ช่อื วา ชักชวน กระตนุ ใหอาจหาญ ใหบนั เทิง กใ็ นสมยั ที่ศิษยเกิดความทอแทใจ เหนื่อยหนายในการเจริญอธิกุศล. คําวา เมื่อเดินอยูก็ดี เปนตน คือเม่ือเดินอยูเปนตน ดวยจิตท่ีมนสิการกรรมฐาน. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๑๐ จบคัทรภวรรคท่ี ๑
๓๔๔ วรรคที่ ๒, สมทุ ทวรรค วรรคท่ี ๒, สมทุ ทวรรค ปญ หาที่ ๑, ลาพลุ ตงั คปญ หา พระเจา มิลนิ ท : “พระคุณเจา นาคเสน ทา นกลาววา ‘พึง ถอื เอาองค ๑ แหง เถานาํ้ เตา’ องค ๑ ท่พี ึงถอื เอานนั้ เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา เถาน้ําเตา เลือ้ ยผานไปบนกอหญา กด็ ี บนไมแ หงก็ดี บนเถาวลั ยก ด็ ี กย็ อมใชสายงวงทงั้ หลายยดึ เหนยี่ วไวเ ล้อื ยขน้ึ ไป เจริญงอกงามอยบู นสง่ิ นนั้ ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร ผบู ําเพ็ญเพยี ร ผูต องการเจริญยง่ิ ในความเปนพระอรหนั ต กพ็ งึ ใช จิตยึดเหน่ียวอารมณ ขึ้นไปเจริญงอกงามยิ่งอยูในความเปน พระอรหันต ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองค ๑ แหง เถานํา้ เตา ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ทานพระธรรมเสนาบดี สารบี ตุ รเถระ ไดภ าสติ ความขอ น้ไี วว า :- ‘ยถา ลาพุลตา นาม, ติเณ กฏเ ลตาย วา. อาลมฺพิตฺวา โสณฺฑิกาหิ, ตโต วฑฺฒติ อุปฺปริ. ตเถว พุทฺธปุตฺเตน, อรหตฺตผลกามินา. อารมฺมณํ อาลมฺพิตฺวา, วฑฺฒิตพฺพํ อเสกฺขผเล เปรียบเหมือนวา เถานา้ํ เตา ใชสายงวงทั้งหลาย ยึดเหน่ียวเอากอหญาบาง ไมแหงบาง เถาวัลย บาง แลวข้ึนไปเจริญอยูเหนือสิ่งเหลานั้น ฉันใด, พระโยคาวจรผูเปนพุทธบุตรผูตองการอรหัตตผล
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๓๔๕ พึงยึดเหนี่ยวอารมณ แลวเจริญอยูในอเสกขผล (อรหัตตผล) ฉันน้ันเหมือนกัน.’ ดังนี้.” จบลาพุลตังคปญหาท่ี ๑ คําอธิบายปญหาที่ ๑ ปญหาวาดวยองคแหงเถานาํ้ เตา ช่ือวา ลาพุลตังค- ปญหา. คําวา พึงใชจิต คือพึงใชวิปสสนาจิตท่ีเปนไปคลอย ตามลําดับแหงวิปสสนาจาํ เดิมแตตน. คาํ วา เหน่ียวอารมณ ฯลฯ ในความเปนพระอรหนั ต คือเหนี่ยว ไดแกท าํ ใหเ ปน อารมณ. ความวา ใชว ิปส สนาจติ นน้ั ทํา กรรมฐานคือรูปและนามนั้น ๆ ใหเปนอารมณ จนกระท่ังเห็น ความส้นิ ไป ปราศไป ตอ จากนั้น ก็เหนี่ยวเอาความสนิ้ ไป ปราศไป ไตสูงข้ึนไปดวยการทาํ วิปสสนาญาณที่เห็นอยางน้ันนั่นแหละ ให กาวหนาย่ิง ๆ ข้ึนไปตามลาํ ดับ แลวปลอยอารมณคือความส้ินไป เสือ่ มไปแหงนามรปู น้นั เสีย เหน่ียวเอาพระนิพพาน ดวยโคตรภูจิต เม่ือโคตรภจู ติ ดบั ไปแลว ตอ จากนั้นก็ยังคงเหนย่ี วเอาพระนพิ พาน นั้นนั่นแหละ ดวยมรรคจิต ซึ่งนับไดวาไดกระทาํ พระนิพพานให แจงไดแลว ทบทวนปฏิบัติไดอยางน้ีแหละ จนมรรคเกิดครบ ๔ วาระตามลําดับ ตอจากมรรคท่ี ๔ ซ่ึงดับไปแลวน้ัน ช่ือวาเจริญ งอกงามอยูในผล คอื ความเปนพระอรหนั ต ฉะน้แี ล.
๓๔๖ วรรคที่ ๒, สมทุ ทวรรค อรหัตตผล ชื่อวา อเสกขผล เพราะเปนผลที่ใหสาํ เร็จ ความเปนพระอเสกขะ คือพระขีณาสพผูไมตองมีการศึกษาใน สกิ ขา ๓ แลว . จบคําอธบิ ายปญหาท่ี ๑ ปญหาท่ี ๒, ปทุมังคปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๓ แหงบัวหลวง’ องค ๓ ที่พึงถือเอาน้ัน เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา บัวหลวง เกิดในน้ํา เจริญอยูในนาํ้ น้ําก็ไมฉาบติด ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร เจริญอยู ในสกุล ในคณะ ในลาภ ในยศ ในสักการะ ในความนับถือ ใน ปจจัยเครื่องใชสอยท้ังหลาย ก็พึงเปนผูอันส่ิงท้ังปวง (เหลานั้น) ไมฉาบติด ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๑ แหงบัวหลวง ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง บัวหลวง ยอมโผล ขึ้นมาจากนา้ํ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญ เพียร ก็พึงครอบงาํ โลกทั้งปวง แลวโผลข้ึนมาดาํ รงอยูในโล กุตตรธรรม ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๒ แหงบัวหลวง ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ธรรมดาวา บัวหลวง ยอมโอนเอน หวั่นไหว เพราะนา้ํ แมเพียงเล็กนอย ฉันใด, ขอ
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๓๔๗ ถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร เมื่อกิเลสท้ังหลาย เกิดข้ึนแมเพียงเล็กนอย ก็พึงหว่ันไหว กระทาํ การปองกัน, พึง เปนผูมีปกติเล็งเห็นวาเปนภัยอยู ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวาย พระพร น้ีคือองคท่ี ๓ แหงบัวหลวง ท่ีพึงถือเอา. ขอถวาย พระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพย่ิงเหลาเทพ ทรงภาสิต ความขอน้ีไววา ‘อณุมตฺเตสุ วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุ๑ - เธอเปนผูมีปกติเล็งเห็นวาเปนภัยในส่ิง ที่เปนโทษท้ังหลาย มาตรวาเล็กนอย ยอมสมาทานศึกษาอยู ในสิกขาบทท้ังหลาย; ดังน้ี.” จบปทุมังคปญหาที่ ๒ คําอธิบายปญหาที่ ๒ ปญ หาวา ดวยองคแหง บวั หลวง ช่อื วา ปทุมงั คปญหา. คําวา พึงเปนผอู นั ส่งิ ทง้ั ปวงไมฉาบตดิ คอื พึงเปน ผูอนั ส่ิงทั้งปวง มีสกุลเปนตน ไมฉาบติด เพราะไมมีใจติดดวยอํานาจ ความเสนหาในสิ่งเหลาน้ัน. คําวา พึงครอบงาํ โลกท้ังปวง คือพึงครอบงาํ โลกอัน ไดแกอุปาทานขันธ ๕ ดวยญาณที่เห็นวาไมเที่ยงเปนตนโผลพน โลกนั้นขึ้นมาได ดวยอาํ นาจการละตัณหาและอุปาทานอันเปน ๑. ท.ี สี. ๙/๘๒.
๓๔๘ วรรคท่ี ๒, สมุททวรรค เหตไุ มโ ผลพ น แลว ดาํ รงอยใู นโลกตุ ตรธรรม ดว ยอํานาจการบรรลุ (มรรค, ผล) และกระทาํ ใหแจง (พระนิพพาน) คําวา พึงเปนผูมีปกติเล็งเห็นวาเปนภัย คือพึงเปนผูมี ปกติเล็งเห็นวาเปนภัย คือเปนของนากลัว เพราะเหตุท่ีนาํ มาแต ความหายนะ. คําวา ในส่งิ ที่เปนโทษทั้งหลาย มาตรวาเลก็ นอ ย คือ ในส่ิงที่เปนโทษที่มีประเภทเปนอกุสลจิตตุปบาท (อกุศลจิตท่ี เกิดขึ้น) เทา น้ันเปน ตน รวมทั้งเสขิยวตั ร (วตั รทพี่ ึงศกึ ษา) ทภ่ี กิ ษุ ลวงโดยมิไดมีความตั้งใจลวง ซ่ึงนับวาเล็กนอย เพราะทรงปรับ อาบัติไวเพียงทุกกฏทุพภาสิตเทาน้ัน. ความวา โทษแมเล็กนอย อยางน้ี ก็เล็งเห็นวาเปนภัยใหญหลวงแกผูลวงละเมิดราวกะวา เปนอาบัติขั้นปาราชิก ฉะน้ัน. คาํ วา ยอมสมาทานศึกษาอยูในสิกขาบทท้ังหลาย ความวา ยอมถือเอาโดยชอบ ศึกษาศีลสิกขาบทที่ควรสมาทาน ศึกษาท้ังหมด บกพรองขอนั้น ๆ ไป ทราบแลวก็ทําใหเต็มให บริบูรณอ ยเู สมอ ไมเ ปนผมู อี าบตั ิติดตวั . จบคําอธิบายปญหาที่ ๒ ปญหาท่ี ๓, พีชังคปญหา พระเจา มิลนิ ท : “พระคุณเจา นาคเสน ทา นกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๒ แหงพืช (เมล็ดพืช)’ องค ๒ ที่พึงถือเอาน้ัน เปน ไฉน?”
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๓๔๙ พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา พืช ท่ีเขาหวานโปรยไวในไรนา แมมีเพียงนิดหนอย แตเมื่อฝน โปรยสายธารลงมาดวยดี ก็จักคอยมอบผลใหมากมายนัก ฉัน ใด, ขอถวายพระพร มหาบพิตร ศีลท่ีพระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญ เพียร ทาํ ใหดําเนินไปไดตามลาํ ดับ ก็จะคอยมอบสามัญญ- ผลทั้งส้ินให ฉันน้ันเหมือนกัน. เมื่อเปนเชนน้ี ก็พึงปฏิบัติ โดยชอบเถิด. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๑ แหงพืช ที่พึง ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง ธรรมดาวา พืช ถูก เพาะไวในไรนาท่ีชาํ ระดีแลว ก็ยอมงอกข้ึนไดเร็วพลันทีเดียว ฉันใด. ขอถวายพระพร จิตที่พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ประคับประคองไวดีแลว อยูในสุญญาคาร ชาํ ระแลว วางไว แลว ในไรนาคือสติปฏฐาน (อารมณอันเปนที่เขาไปตั้งอยูแหง สติ) อันประเสริฐ ยอมงอกงามไดเร็วพลัน ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคที่ ๒ แหงพืช ท่ีพึงถือเอา. ขอถวาย พระพร ทานพระอนุรุทธเถระ ไดภาสิตความขอนี้ไววา :- ‘ยถาป เขตฺเต ปริสุทฺเธ, พีชฺจสฺส ปติฏิตํ. วิปุลํ ตสฺส ผลํ โหติ, อป โตเสติ กสฺสกํ. ตเถว โยคินา จิตฺตํ, สฺุาคาเร วิโสธิตํ. สติปฏานเขตฺตมฺหิ, ขิปฺปเมว วิรูหติ เปรียบเหมือนวา พืชท่ีตั้งอยูในไรนาอันชําระแลว ยอมมีผลไพบูลย, ท้ังยังทําใหชาวไรชาวนายินดี
๓๕๐ วรรคที่ ๒, สมทุ ทวรรค ฉันใด จิตท่ีพระโยคีผูอยูในสุญญาคาร ชาํ ระแลว ในไรนา คือสติปฏฐาน ยอมงอกงามไดเร็วพลัน ฉันนั้นเหมือนกัน.’ ดังน้ี.” จบพีชังคปญหาท่ี ๓ คาํ อธิบายปญหาที่ ๓ ปญ หาเกยี่ วกบั องคแ หงพืช ช่อื วา พชี งั คปญ หา. คาํ วา ศลี ไดแ กศลี บรสิ ทุ ธิ์ ๔ อยาง คือ ปาตโิ มกขสังวรศลี (ศีลคือความสํารวมพระปาติโมกข) ๑, อินทริยสังวรศีล (ศลี คือสตทิ สี่ าํ รวมอินทรยี ๖) ๑, อาชวี ปารสิ ุทธศิ ลี (ศลี คืออาชวี ะ ท่ีบริสุทธ์ิ) ๑, ปจจยสันนิสิตศีล (ศีลคือการพิจารณาปจจัย ๔ มจี วี รเปน ตน กอ นใชส อยแตละคร้งั ) ๑. คําวา คอยมอบสามัญญผลท้ังสิ้นให คือคอยมอบ สามญั ญผลทง้ั สน้ิ คอื ทง้ั ๔ มโี สดาปต ตผิ ลเปน ตน ใหต ามลาํ ดับ. คาํ วา ประคับประคองไวดีแลว คือประคับประคองไวดี แลว ดวยกายคตาสติ (กายานปุ ส สนาสตปิ ฏฐาน), เวทนาคตาสติ (เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน), จิตตคตาสติ (จิตตานุปสสนาสติ- ปฏ ฐาน) และธัมมคตาสติ (ธัมมานุปส สนาสติปฏฐาน). คําวา ในสุญญาคาร คือในเรือนวาง. อีกอยางหน่ึง เพราะตรสั ไวว า “บุรษุ มีตัณหาเปนเพอื่ น”, เพราะฉะนนั้ ชื่อวา ใน สุญญาคาร ก็คือในกาย ในเวทนา ในจิตและธรรม ซึ่งเปนดุจ
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๓๕๑ เรือนอันวางจากเพ่ือนคือตัณหา ดวยอํานาจแหงความเปนผูมีสติ เขาไปตั้งไวที่กายเปนตน นั้น. คาํ วา ชําระแลว คือทําใหหมดจด โดยภาวะที่ไมปะปน ดวยกิเลส. คาํ วา วางไวแลว คอื อันญาณวางลงแลว คือกาํ หนดลงไป แนนอนแลววา “รูปเปนอยางน้ี, ความเกิดขึ้นแหงรูปเปนอยางน้ี, ความดับไปแหงรูปเปนอยางน้ี เวทนาเปนอยางนี้ ฯลฯ ความดับ ไปแหงวิญญาณเปนอยางน้ี.” คําวา ในไรน าคอื สติปฏฐานอนั ประเสรฐิ คอื ในไรน า อนั ประเสรฐิ คืออารมณ ๔ อยาง มีกายเปนตน อันเปน ท่เี ขา ไปตัง้ ไวแหง สติ. ช่อื วา ยอ มงอกงามไดเรว็ พลนั ก็ดว ยอํานาจแหงความ เปนปจจัยสืบตอกันไปจนกระทั่งบรรลุมัคคญาณ ซ่ึงเปนผูทาํ กิจ อริยสัจ ๔ คือกาํ หนดทุกข ละสมุทัย ทํานิโรธใหแจง และเจริญ มรรค ไดเ ร็วพลัน. จบคาํ อธบิ ายปญ หาท่ี ๓ ปญหาที่ ๔, สาลกัลยาณิกงั คปญหา พระเจา มลิ นิ ท : “พระคุณเจา นาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๑ แหง ไมขานาง’, องค ๑ ที่พงึ ถอื เอานัน้ เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา ธรรมดาวา ไมขานาง, เจริญเติบโตอยูภายในพื้นดิน
๓๕๒ วรรคที่ ๒, สมุททวรรค งอกขึ้นไปได แมตั้ง ๑๐๐ ศอก ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงกระทําสามัญญผล ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ และสมณธรรมทั้งสิ้น ใหบริบูรณ ในสุญญาคาร ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองค ๑ แหงไมขานางท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ทานพระราหุลเถระ ไดภาสิตความขอน้ีไววา :- ‘สาลกลฺยาณิกา นาม, ปาทโป ธรณีรุโห. อนฺโตปวิยํ เยว, สตหตฺโถป วฑฺฒติ. ยถา กาลมฺหิ สมฺปตฺเต, ปริปาเกน โส ทุโม. อุคฺคฺฉิตฺวาน เอกาหํ, สตหตฺโถป วฑฺฒติ. เอวเมวาหํ มหาวีร, สาลกลฺยาณิกา วิย. อพฺภนฺตเร สฺุาคาเร, ธมฺมโต อภิวฑฺฒยึ ธรรมดาวา ไมขานางท่ีงอกอยูบนธรณี ยอม เจริญเติบโตต้ังแตพ้ืนดินนั่นเทียว จน (สูง) ถึง ๑๐๐ ศอก, ตนไมน้ัน เม่ือเวลามาถึงเขามีความ แกรอบ เพียงวันเดียว ก็เติบโตโผลขึ้นไปไดถึง ๑๐๐ ศอก ฉันใด, ขาแตพระมหาวีระ ขาพระองค ก็เจริญยิ่งโดยธรรม อยูภายในสุญญาคาร ดุจไม ขานาง ฉันนั้นเหมือนกัน พระเจาขา.’ ดังนี้.” จบสาลกัลยาณิกังคปญหาที่ ๔
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๓๕๓ คาํ อธบิ ายปญหาที่ ๔ ปญหาวาดวยองคแหงไมขานาง ชื่อวา สาลกัลยาณิ- กงั คปญหา. คาํ วา สมณธรรม แปลวา ธรรมของสมณะ ความวาธรรม ที่สรางความเปนสมณะ ไดแก ศีลบริสุทธิ์ ๔ อยาง ธุดงค ๑๓ จรณะ ๑๕ สมถกรรมฐาน ๔๐ มีกสิณ ๑๐ เปนตน สมาบัติ ๘ วิปสสนาญาณตาง ๆ รวมท้ังโพธิปกขิยธรรม ๓๗ อยาง มี สติปฏฐาน ๔ เปนตน ตามสมควรแกความสามารถ. จบคําอธบิ ายปญหาที่ ๔ ปญ หาท่ี ๕, นาวงั คปญหา พระเจา มลิ นิ ท : “พระคุณเจา นาคเสน ทา นกลา ววา ‘พึง ถอื เอาองค ๓ แหงเรือ’ องค ๓ ท่พี ึงถอื เอานัน้ เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา เรือ มีแตเคร่ืองไมหลายอยางตาง ๆ ประกอบเขา ดวยกัน ยอมยังชนแมมากมายใหขามฝงได ฉันใด, ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร มีแตธรรมหลายอยาง มีอาจาระ ศีลคุณ วัตรปฏิบัติท้ังหลายตาง ๆ กัน ก็จะพึงขาม โลกที่มีพรอมพร่ังท้ังเทวดาได ฉันนั้นเหมือนกัน. น้ีคือองคท่ี ๑ แหงเรือที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง เรือ ยอมทนสูคล่ืนแรง กระแสนา้ํ ท่ีเช่ียวกราก แรงกระแสนาํ้ วนหลายอยางตางๆ กันได
๓๕๔ วรรคที่ ๒, สมุททวรรค ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผบู าํ เพ็ญเพยี ร ก็พงึ ทนสแู รง คลน่ื คอื กิเลสมากมายหลายอยา ง ลาภ สกั การะ ยศ ชอื่ เสยี ง การ บูชา การกราบไหว และแรงคล่ืนคือโทษมากมายหลายอยาง มี นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข ความนับถือ ความดูหมิ่น ในสกุลของ ผูอ่ืนท้ังหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๒ แหงเรือที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง ธรรมดาวา เรือ ยอม จรไปในมหาสมุทรอันกวางขวาง อันประมาณไมได ไมมีที่ สิ้นสุด แลไมเห็นฝง ใคร ๆ ก็ไมอาจทําใหกาํ เริบได มีแตคลื่นสง เสียงดังคลืน ๆ กลนเกลื่อนดวยปลาติมิ ปลาติมิงคิละ มังกร ฝูงปลาท่ัวไป เปนตน ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บําเพ็ญเพียร ก็พึงทําจิตใหสัญจรไปในการแทงตลอดญาณท่ี ตรัสรูสัจจะ ๔ อันมีปริวัฏ ๓ อาการ ๑๒ ฉันน้ันเหมือนกัน. น้ี คือองคท่ี ๓ แหงเรือ ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระ ภาคผูทรงเปนเทพยิ่งเหลาเทพทั้งหลาย ทรงภาสิตความขอน้ีไว ในสัจจสังยุต ในสังยุตตนิกายอันประเสริฐ วา :- ‘วิตกฺเกนฺตา จ โข ตุมฺเห ภิกฺขเว อิทํ ทุกฺขนฺติ วิตกฺเกยฺยาถ, อยํ ทุกฺขสมุทโยติ วิตกฺเกยฺยาถ, อยํ ทุกฺขนิโรโธติ วิตกฺเกยฺยาถ, อยํ ทุกฺขนิโรธ- คามินีปฏิปทาติ วิตกฺเกยฺยาถ.๑ ๑. สํ. มหา. ๑๙/๕๑๕.
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๓๕๕ ดูกร ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอเมื่อจะดําริ พึงดาํ ริ วา นี้ ทุกข, พึงดําริวา นี้ ทุกขสมุทัย, พึงดาํ ริวา นี้ ทุกขนิโรธ, พึงดําริวา น้ี ทุกขนิโรธคามินี- ปฏิปทา ดังนี้เถิด.’ ดังน้ี.” จบนาวังคปญหาท่ี ๕ คําอธิบายปญหาที่ ๕ ปญหาเกย่ี วกบั องคแหงเรอื ช่ือวา นาวงั คปญหา. คําวา มีอาจาระ คือมีมารยาทดี ประเสริฐ, คาํ วา ศีล ไดแกศ ลี บริสุทธิ์ ๔ อยา ง มปี าติโมกขสังวรศีลเปน ตน , คาํ วา คณุ ไดแก คุณมีความเปนผูมักนอย สันโดษเปนตน. คําวา วัตร- ปฏิบตั ิ ไดแก วัตรทค่ี วรปฏิบัติ มอี ปุ ชฌายวัตร (วัตรท่คี วรทําแก พระอุปชฌายะ) เปนตน อันมาแลวในขันธกวตั รในพระวนิ ัย. คาํ วา กจ็ ะพงึ ขา มโลกทีม่ ีพรอ มพรัง่ ท้งั เทวดา คือ ก็จะ พึงขามโลกท้ัง ๓ กลาวคือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก ท่ีมีพรอม พร่ังทั้งเทวดา โดยเกี่ยวกับการไมกลับมาปฏิสนธิในโลกทั้ง ๓ น้ี อีก ดวยสามารถแหงมัคคญาณ ๔. คาํ วา ก็พึงทนสูแรงคล่ืนคือกิเลสมากมาย คือพึงทน สูแรงคลื่นคือกิเลสหลายอยางอันมีลาภเปนตน เปนเหตุ ดวย อํานาจการกําจัดความยินดีในลาภเปนตนน้ัน ดวยญาณ.
๓๕๖ วรรคท่ี ๒, สมุททวรรค โลกธรรมท้งั หลาย มี นินทา เปนตน ชือ่ วา โทษเพราะเปน ทีต่ งั้ แหง ทจุ รติ . ชื่อวา ปลาติมิ ปลาติมิงคิละ ไดแกปลาใหญ ซ่ึงมี อัตภาพยาวถึง ๓๐๐ หรือแม ๕๐๐ โยชน. ชื่อวา ญาณที่ตรัสรูสัจจะ ไดแกมัคคญาณ ๔ มีโสดา- ปตติมัคคญาณเปนตน น่ันเอง. คาํ วา สัจจะ ๔ อันมีปริวัฏ ๓ อาการ ๑๒ ความวา ชื่อวา ปรวิ ฏั ๓ ไดแกญ าณทรี่ เู วียนรอบ ๓ รอบ ในอรยิ สจั ๔ อยาง คือ : ญาณที่หยั่งรูสภาวะที่เปนอริยสัจแตละอยาง ที่ทาน เรียกวา “สัจจญาณ” นั้นน่ันแหละ อยางนี้วา “น้ี ทุกขอริยสัจ”, วา “นี้ ทุกขสมุทยอริยสัจ”, วา “น้ี ทุกขนิโรธอริยสัจ”, วา “น้ี ทุกขนิโรนธคามินีปฏิปทาอริยสัจ” ดังนี้, อันจัดเปนปริวัฏท่ี ๑. ญาณที่หยั่งรูกิจท่ีตองทาํ ในอริยสัจแตละอยาง ท่ีทาน เรียกวา “กิจจญาณ” อยางน้ีวา “ทุกขอริยสัจน้ี มีกิจคือตอง กําหนดรู”, วา “ทุกขสมุทยอริยสัจนี้ มีกิจคือตองละ”, วา “ทุกขนิโรธอริยสัจน้ี มีกิจคือตองกระทําใหแจง”, วา “ทุกข- นิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจน้ี มีกิจคือตองเจริญ” ดังน้ี, อันจัด เปนปริวัฏที่ ๒. ญาณท่ีหย่ังรูกิจอันไดกระทาํ สําเร็จแลว ท่ีทานเรียกวา “กตญาณ” อยางน้ีวา “ทุกขอริยสัจน้ี เราไดกําหนดรูแลว”, วา “ทุกขสมุทยอริยสัจนี้ เราละไดแลว”, วา “ทุกขนิโรธอริยสัจนี้
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๓๕๗ เราไดกระทาํ ใหแจงแลว”, วา “ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ น้ี เราไดเจริญแลว” ดังนี้, อันจัดเปนปริวัฏท่ี ๓. นี้ ช่ือวา “ปรวิ ฏั ๓”. คําวา อาการ ๑๒ ความวา ญาณที่เรียกวาปริวัฏ ๓ มี สัจจญาณเปนตน ดังกลาวแลวน่ันเอง แตละญาณมีอาการคือ มี การกระจายไปในอรยิ สจั ๔ ดวยอํานาจความหยัง่ รใู นอรยิ สัจ ๔ จึงชื่อวา “อาการ ๑๒”. คาํ วา พวกเธอเมื่อจะดําริ พึงดําริวา นี้ ทุกข เปนตน ความวา พวกเธอเมื่อจะดําริ คือเม่ือจะยกจิตข้ึนสูอารมณดวย อํานาจแหงวติ ก ก็พงึ ดาํ รวิ า นี้ ทุกข, คืออปุ าทานขันธ ๕ น้ี เปน ทุกข เปนตน ดวยอาํ นาจแหงวิตกที่สัมปยุตกับวิปสสนาญาณ จําเดมิ แตต น และดวยอาํ นาจแหงวติ กท่ีสัมปยตุ กบั มัคคญาณ. จบคาํ อธบิ ายปญหาที่ ๕ ปญหาที่ ๖, นาวาลคั คนกงั คปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๒ แหงเชือกโยงเรือ (สมอเรือ)’, องค ๒ ท่ีพึงถือเอา นั้น เปนไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา เชือกโยงเรือ ยอมร้ังเรือไว ทาํ ใหติดอยูในมหา- สมุทรท่ีกวางใหญ ซึ่งมีแตแผนนาํ้ ที่กําเริบข้ึนเพราะเกลียว คลื่นมากมายหลายระลอก, ไมยอมใหเกลียวระลอกคลื่นนาํ ไป
๓๕๘ วรรคที่ ๒, สมุททวรรค สูทิศใหญทิศนอย ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บาํ เพ็ญเพียร ก็พึงรั้งจิตไวในคราวประจวบกับมหาสมุทรคือ วิตกใหญ ๆ ที่มีแตระลอกคลื่นคือ ราคะ โทสะ และโมหะ, ไมพึงยอมใหราคะเปนตน นาํ ไปสูทิศใหญทิศนอย ฉันนั้น เหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคที่ ๑ แหงเชือกโยงเรือ ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยงั มีอกี องคห นงึ่ เชอื กโยงเรอื (สมอเรือ) ไมลอย เอาแตจ ม. ร้ังเรอื ไว นาํ เขา ไปสกู ารจอดนิ่งในนา้ํ แมวา ลกึ ตั้ง ๑๐๐ ศอก ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญ เพียรก็ไมพึงลองลอยไปในลาภ ยศ สักการะ ความนับถือ การ กราบไหว การบชู า ความนอบนอ ม แมใ นลาภยศช้ันยอด, พงึ จอด พักจิตไวในสักวาเปนเพียงปจจัยเครื่องยังสรีระใหดาํ เนินไปได เทานั้น ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๒ แหง เชือกโยงเรือที่พึงถือเอา ขอถวายพระพร ทานพระธรรมเสนาบดี สารีบุตรเถระ ไดภาสิตความขอน้ีไววา :- ‘ยถา สมุทฺเท ลคฺคนกํ, น ปฺลวติ วิสีทติ ตเถว ลาภสกฺกาเร, มา ปฺลวถ วิสีทถ เชือกโยงเรือ (สมอเรือ) ไมลอย แตวาจมอยูใน มหาสมุทร ฉันใด, ขอทานท้ังหลายก็จงอยา ลองลอยไปในลาภและสักการะ จงหยุดน่ิง ฉันนั้นเหมือนกันเถิด.’
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๓๕๙ ดังน้ี. จบนาวาลัคคนกังคปญหาที่ ๖ คาํ อธิบายปญหาที่ ๖ ปญหาเก่ียวกับเชือกโยงเรือ (สมอเรือ) ชื่อวา นาวา- ลัคคนกังคปญหา. คําวา พึงร้ังจิตไวในคราวประจวบกับมหาสมุทรคือ วิตกใหญ ๆ คือในคราวที่วิตกใหญ ๆ อันเปนมิจฉาวิตก กลาวคือ กามวิตก (ความดาํ ริที่ประกอบดวยความยินดีในกาม คณุ ), พยาปาทวติ ก (ความดาํ ริเพื่ออันพยาบาท), และวหิ ิงสาวติ ก (ความดําริเพ่ืออันเบียดเบียน) เกิดข้ึนแลว ก็พึงร้ังจิตไวไมให คลอยไปตามอาํ นาจแหงมิจฉาวิตกท้ัง ๓ เหลาน้ี คือไมยอมรับ วิตกทเี่ กดิ ขนึ้ แลวเหลานน้ั ทวา ยอ มละ ยอ มบรรเทา ยอ มทาํ ให สน้ิ สุดไป ดวยสมั มาปฏิปทาอันเปนปฏปิ กษตอ วติ กน้นั ๆ. ดวยคําวา ราคะ โทสะ โมหะ เปนอันทานกลาวถึงกาม- ราคานุสัย ปฏิฆานุสัย และอวิชชานสุ ยั ท่ีไหลไปไมห ยดุ ย้งั เหมอื น ระลอกคล่ืน. ความวา พระโยคาวจร เมื่อไมยอมรับมิจฉาวิตก เหลาน้ัน คือ ละ บรรเทา ทาํ ใหส้ินสุดไป ดวยสัมมาปฏิปทาแลว, ก็ยอมไมถกู กามราคานสุ ยั ปฏิฆานุสยั และอวชิ ชานุสัย อนั มมี จิ ฉา- วติ กนน้ั เปนปจ จยั นําไปสูทิศนอยทิศใหญ คอื ภพนอยภพใหญ. คําวา ไมพึงลองลอยไปในลาภ คือไมพึงคอยตาม เพลิดเพลิน ปลาบปลื้มในลาภ เปนตน ที่ไดรับหรือหวังจะไดรับ
๓๖๐ วรรคท่ี ๒, สมทุ ทวรรค คาํ วา พึงจอดพักจิตไว ฯลฯ ใหดําเนินไปไดเทาน้ัน คือจอด ไดแกหยุดย้ังไวดวยอํานาจแหงสติ และพัก ไดแก พิจารณาใครครวญดวยปญญา ในลาภเปนตนน้ัน วาเปนเพียง ปจจัยเครื่องยังสรีระ คืออัตภาพใหดําเนินไป คือใหเปนไปได ตลอดชีวิตเทาน้ัน. จบคาํ อธิบายปญ หาท่ี ๖ ปญหาที่ ๗, กปู ง คปญ หา พระเจามลิ นิ ท : “พระคณุ เจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๑ แหงเสากระโดงเรือ’, องค ๑ ท่ีพึงถือเอานั้น เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา เสากระโดงเรือ ทรงเชือกโยงใบเรือ สายหนังรัดใบ เรือ และใบเรือไว ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญ เพียรก็พึงเปนผูประกอบพรอมดวยสติและสัมปชัญญะ, พึงเปน ผูม ีปกติกระทาํ ความรสู กึ ตัวในการกาวไป ในการกาวกลบั ในการ แลดู ในการเหลียวดู ในการคู ในการเหยยี ด ในการทรงผาสังฆาฏิ บาตร และจีวร ในการกิน ในการดื่ม ในการเค้ียว ในการลิ้ม ในการถายอุจจาระปสสาวะ ในการเดิน ในการยืน ในการนั่ง ใน การหลับ ในการต่ืน ในการพูด ในการนิ่งเฉย (หยุดพูด) ฉันนั้น เหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองค ๑ แหงเสากระโดงเรือ ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพ
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๓๖๑ ยิ่งเหลาเทพ ไดทรงภาสิตความขอนี้ไววา ‘สโต ภิกฺขเว ภิกฺขุ วิหเรยยฺ สมปฺ ชาโน, อยํ โข อมฺหากํ อนสุ าสนี๑ - ดกู ร ภกิ ษุ ท้ังหลาย พวกเธอพึงเปนผูมีสติ มีสัมปชัญญะอยูเถิด, นี้เปน อนุสาสนขี องเรา’ ดังน.้ี ” จบกปู ง คปญ หาที่ ๗ คาํ อธิบายปญ หาที่ ๗ ปญหาเก่ียวกับองคแหงเสากระโดงเรือ ช่ือวา กูปงค- ปญหา. คาํ วา พึงเปนผูมีปกติกระทําความรูสึกตัวในการกาว ไป เปนตน เปนคําพูดแสดงถึงความเปนผูมีสัมปชัญญะ ซึ่ง จําปรารถนาในการใชอิริยาบถยอยโดยพิเศษ ก็พระผูมีพระภาค ตรัสคาํ น้ีไวในสัมปชัญญบรรพ ในสติปฏฐานสูตร กายคตาสติ- สูตรเปนตน บัณฑิตพึงทราบคําอธิบายโดยพิสดารในอรรถถา เถิด. จบคาํ อธิบายปญหาที่ ๗ ปญหาที่ ๘, นิยามกังคปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึงถือเอาองค ๓ แหงนายทายเรือ’, องค ๓ ท่ีพึงถือเอาน้ัน เปนไฉน?” ๑. ส.ํ มหา. ๑๙/๑๘๔.
๓๖๒ วรรคที่ ๒, สมทุ ทวรรค พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา นายทายเรือ เปนผูไมประมาท (ไมเผอเรอ) พากเพียร ขวนขวาย ขบั เรอื ใหแลน ไปอยูเ ปนประจาํ สมํ่าเสมอ ตลอดทัง้ คนื ท้ังวัน ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ผูจะถือทายเรือคือจิต ก็พึงเปนผูไมประมาท พากเพียรขวนขวาย ใชโยนโิ สมนสิการ ถือทา ยเรอื คือจิตไวเ ปนประจําสม่าํ เสมอ ตลอด ทัง้ คนื ทั้งวนั ฉนั นั้นเหมอื นกัน. ขอถวายพระพร นคี้ อื องคท ี่ ๑ แหง นายทายเรอื ท่พี ึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผมู พี ระภาคผทู รง เปน เทพยง่ิ เหลาเทพ ไดท รงภาสติ ความขอ น้ไี วว า :- ‘อปฺปมาทรตา โหถ, สจิตฺตมนุรกฺขถ ทุคฺคา อุทฺธรถตฺตานํ, ปงฺเก สนฺโนว กฺุชโร๑ พวกเธอจงยินดีในความไมประมาท คอยตาม รักษาจิตของตน พึงถอนตนขึ้นจากหนทาง ลาํ บากดุจชางที่ติดอยูในเปอกตม ถอนตนข้ึน จากเปอกตม ฉะน้ัน เถิด.’ ดงั น้ี. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนง่ึ สงิ่ ใดสงิ่ หน่งึ จะเปนสงิ่ ดี งามกต็ าม เปน ส่งิ ไมด ีงามก็ตาม ในมหาสมทุ ร, นายทา ยเรือยอม มีอันรูแจงส่ิงนั้นทั้งหมด ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร ผูเจริญความเพียร ก็พึงรูแจงธรรมท่ีเปนกุศลและอกุศล ท่ีมีโทษ ๑. ขุ. ธ. ๒๕/๘๐.
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๓๖๓ และไมมีโทษ ท่ีเลวและประณีต ที่มีสวนเปรียบไดกับดําและขาว ฉันนน้ั เหมอื นกนั . ขอถวายพระพร นคี้ อื องคท ี่ ๒ แหง นายทายเรอื ท่พี งึ ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง นายทายเรือยอม ประทับตราไวท เ่ี ครื่องยนตว า ‘ใคร ๆ อยาไดแ ตะตองเคร่ืองยนต’ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึง ประทับตราคือความสํารวมไวท่ีจิตวา ‘เราอยาไดตรึกอกุศลวิตก ชั่วชาอะไร ๆ เลย’ ดังน้ี ฉันนั้นเหมือนกัน. น้ีคือองคท่ี ๓ แหง นายทายเรือ ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผู ทรงเปนเทพยิ่งเหลาเทพ ไดทรงภาสิตความขอนี้ไวในสังยุตต- นกิ ายอันประเสรฐิ วา ‘มา ภิกขฺ เว ปาปเก อกสุ เล วิตกเฺ ก วิตกฺเกยยฺ าถ. เสยยฺ ถที ,ํ กามวติ กฺกํ พยฺ าปาทวติ กฺกํ วิหึสา- วิตกฺกํ๑ - ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออยาพึงตรึกอกุศลวิตกอัน ชั่วชา คือกามวิตก พยาปาทวิตกและวิหิวสาวิตก เลย’ ดังนี้. จบนิยามกังคปญหาท่ี ๘ คาํ อธิบายปญหาที่ ๘ ปญหาเก่ียวกับองคแหงนายทายเรือ ชื่อวา นิยามกังค- ปญหา. คําวา พึงเปนผูไมประมาท คือพึงเปนผูมีสติต้ังม่ัน. ๑. ส.ํ มหา. ๑๙/๕๑๕.
๓๖๔ วรรคที่ ๒, สมุททวรรค คาํ วา ใชโ ยนิโสมนสกิ าร คือมกี ารกระทาํ เขาไวใ นใจโดย ถูกอุบาย หรือถูกทาง วาเราจักกําหนดรูทุกข จักละสมุทัย จัก กระทาํ นิโรธใหแจง จักเจริญมรรค เพ่ือความพนจากทุกขทั้งปวง. คําวา จิต ไดแกจ ิตทปี่ ระกอบดว ยสตแิ ละสัมปชัญญะใน การทํากจิ แหง อริยสจั ๔ นนั่ เอง. ธรรมทั้งหลาย ช่ือวา มีโทษ ก็เพราะความที่เปนอกุศล. ชื่อวา ไมมีโทษ ก็เพราะความที่เปนกุศล แมท่ีช่ือวา เลว, ประณีต เปนตน ก็มีนัยนี้. คาํ วา นายทายเรือยอมประทับตรา คือนายทายเรือ ยอมประทับตราเปนเคร่ืองหมายบอกใหทราบวาหามแตะตอง เคร่อื งยนต เพือ่ ปอ งกนั ความเสียหาย. คาํ วา ประทับตราคือความสาํ รวม คือใหมีการตรา เคร่ืองหมายคือความสาํ รวม อันไดแกสติ ไวท่ีจิต. คําวา เราอยา ไดต รกึ อกุศลวิตกช่ัวชาอะไร ๆ เลย มี ความหมายวา เราอยาไดมีความตรึก คือความดาํ ริที่ช่ัวชา คือ ที่ นบั วา เปน อกุศลวติ ก มกี ามวิตกเปน ตน เลย. จบคาํ อธิบายปญ หาที่ ๘ ปญหาท่ี ๙, กมั มการงั คปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๑ แหงกรรมกร’, องค ๑ ท่ีพึงถือเอานั้น เปน
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๓๖๕ ไฉน?” (กรรมกรในท่ีนห้ี มายถงึ ลูกจา งขบั เรอื ). พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ผเู ปน กรรมกร ยอ มคิดอยางนวี้ า ‘เราเปน ลูกจา ง ทาํ งานอยใู นเรอื ลํานี,้ เราไดรับ คา จาง เน่ืองดว ยเรือลําน,้ี เราจงึ ไมค วรทําความประมาท, เราควร ขบั เรือลาํ น้ไี ปดวยความไมประมาท’ ดงั น้ี ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็พึงคิดอยางน้ีวา ‘เราจะเปนผู ไมประมาท มีสติต้ังม่ัน พิจารณากายอนั เปนเพียงมหาภตู ๔ นี้ เปน ประจาํ สมาํ่ เสมอ มสี ติ มีสัมปชญั ญะ มจี ติ ต้ังมน่ั ถงึ ความ เปนหนง่ึ จกั ไดหลุดพนจากชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนสั อปุ ายาส, เราควรทาํ ความไมประมาทอยางน้ีแล’ ดังน้ี ฉันน้ันเหมือนกัน. น้ีคือองค ๑ แหงกรรมกร ที่พึงถือเอา. ขอถวายพระพร ทานพระธรรมเสนาบดสี ารบี ตุ รเถระ ไดภ าสติ ความขอนไี้ ว วา :- ‘กายํ อิมํ สมฺมสถ, ปริชานาถ ปุนปฺปุนํ กาเย สภาวํ ทิสฺวาน, ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสถ ทานท้ังหลาย จงพิจารณากายน้ี จงกําหนดรูอยู บอย ๆ เถิด ทานเห็นสภาวะในกายแลว ก็จัก กระทําที่สุดแหงทุกขได.’ ดังน้ี.” จบกัมมการังคปญหาที่ ๙
๓๖๖ วรรคที่ ๒, สมุททวรรค คําอธิบายปญหาที่ ๙ ปญหาเก่ียวกับองคแหงกรรมกร ชื่อวา กัมมการังค- ปญหา. คําวา อันเปนเพียงมหาภูต ๔ คือ อันเปนเพียงธาตุ ๔ ไดแก ธาตุดิน ธาตุน้าํ ธาตุไฟ และธาตุลม หาความเปนสัตว เปน อัตตามิได ซึ่งไดช่ือวา ‘มหาภูต’ เพราะเปนสิ่งท่ีมีจริงและ แพรห ลาย. คําวา จงกําหนดรูอยูบอย ๆ คือจงมีความเพียร คอยใช สติและสัมปชัญญะกําหนดรูกายนั้นอยูบอย ๆ. คาํ วา เห็นสภาวะในกาย คือเห็นสภาวะในกายตาม ความเปนจริง วาไมเท่ียง เปนทุกข เปนอนัตตา และวาไมงาม คําวา จกั กระทําที่สุดแหง ทกุ ข คือจักกระทาํ พระ นิพพานอันเปนท่ีสุดแหงทุกข ใหแจงได, หรือจักกระทาํ ทุกข ทั้งหลาย มชี าติเปน ตน ใหมอี นั ส้ินสุดไปได. จบคําอธิบายปญ หาท่ี ๙ ปญหาที่ ๑๐, สมทุ ทังคปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๕ แหงมหาสมุทร’ ดังนี้, องค ๕ ท่ีพึงถือเอาน้ัน เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา มหาสมุทร ยอมไมอยูรวมกับซากสัตวตาย ฉันใด,
โอปมมกถาปญหากัณฑ ๓๖๗ ขอถวายพระพร พระโยคีผูบาํ เพ็ญเพียร ก็ไมพึงอยูรวมกับกิเลส ท้ังหลาย คือ ราคะ, โทสะ, โมหะ, มานะ, ทิฏฐิ, มักขะ, (ความ ลบหลูคุณ), ปฬาสะ (ความตีเสมอ), อิสสา (ความริษยา), มัจฉริยะ (ความตระหนี่), มายา (ความหลอกลวง), สาเฐยยะ (ความเสแสรง), กุฏิละ (ความคดโกง) และทุจริตวิสมะทั้งหลาย ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๑ แหงมหาสมุทร ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง มหาสมุทร ยอมรองรับ ปดก้ันขุมทรัพย คือรัตนมณีหลายอยางตาง ๆ กัน มีแกวมุกดา แกวมณี แกวไพฑูรย สังข กอนหิน แกวประวาฬ แกวผลึก เปนตน, ไมใหก ระจดั กระจายไปภายนอก ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบ ําเพ็ญเพยี รบรรลรุ ตั นะ คือคุณวิเศษหลายอยา ง ตาง ๆ กัน มีมรรค ผล ฌาน วิโมกข สมาธิ สมาบัติ วิปสสนา อภญิ ญา เปนตน แลว กพ็ งึ ปกปดไว, ไมใ หแ พรไ ปภายนอก ฉนั น้นั เหมือนกัน, ขอถวายพระพร นีค้ ือองคท่ี ๒ แหง มหาสมุทร ท่พี งึ ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง มหาสมุทร ยอมอยู รวมกบั สัตวท่ีย่งิ ใหญท ั้งหลาย ฉนั ใด, ขอถวายพร พระโยคาวจร ผูบาํ เพญ็ เพยี ร ก็พึงอยอู าศยั เพ่อื นพรหมจารี ผูเปนกลั ยาณมิตร ผมู ักนอ ย สนั โดษ เปน ธตุ วาทะ (กลา วสรรเสริญธดุ งค) ประพฤติ ขูดเกลากิเลส ถึงพรอ มดว ยอาจาระ เปน ลชั ชี (ละอายบาป) มศี ีล เปนท่ีรัก นาเคารพ นายกยอง เปนผูวากลาว อดทนการวากลาว
๓๖๘ วรรคที่ ๒, สมุททวรรค เปน ผทู ักทว ง ตเิ ตียนบาป เปนผูโ อวาท เปน ผอู นุศาสน เปน ผูบอก ใหรู เปนผูช้ีใหเห็น เปนผูชักชวนใหอาจหาญ ใหบันเทิง ฉันนั้น เหมือนกัน, ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๓ แหงมหาสมุทร ท่ีพึง ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง มหาสมุทร แมวาเต็ม เปยมดวยนาํ้ จากแมน้าํ สักแสนสาย มีแมนา้ํ อจิรวดี สรภู มหิ เปนตน ซ่งึ เตม็ ดวยน้าํ ใหม ๆ และดว ยธารนํา้ จากอากาศก็ไมเออ จนลน ฝงของตน ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผบู ําเพ็ญ เพยี ร กไ็ มพ งึ จงใจกระทําการกา วลว งสกิ ขาบทเพราะเหตคุ ือลาภ สกั การะ ช่ือเสียง การกราบไหว การนบั ถือ การบูชา แมเ พราะเหตุ แหงชีวิต ฉันนั้นเหมือนกัน ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๔ แหง มหาสมุทร ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรง เปนเทพย่ิงเหลาเทพทรงภาษิตความขอนี้ไววา :- ‘เสยฺยถาป มหาราช มหาสมุทฺโท ิตธมฺโม ฯเปฯ ชีวิตเหตุป นาติกฺกมนฺติ๑ - มหาบพิตร มหาสมุทร มีความ ทรงตัวอยูเปนธรรมดา ไมเออลนฝง แมฉันใด, สิกขาบทที่ อาตมภาพไดบัญญัติแกสาวกท้ังหลาย ใด, สาวกทั้งหลายของ อาตมภาพ ก็ไมกาวลวงสิกขาบทน้ัน แมเพราะเหตุแหงชีวิต ฉันนนั้ เหมือนกัน.’ ดงั นี้. ๑. อง.ฺ อฏ ก. ๒๓/๒๒๐.
โอปม มกถาปญหากัณฑ ๓๖๙ ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง มหาสมุทร ไมรูจักเต็ม เปยมดวยนา้ํ จากแมน้าํ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิ เปนตน แมจากธารนาํ้ ในอากาศ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคีผู บาํ เพ็ญเพียร แมสดับตรัสฟงพระนวังคศาสนอันประเสริฐของ พระชินวรพุทธเจา อันมีอุเทส (พระบาลี) ปริปุจฉา (คําอธิบาย พระบาลี) สวนะ (การฟง) ธารณะ (การทรงจาํ ) วินิจฉัย, อันมี วิคคหบท นิกเขปบท สนธิบท และวิภัตติ ท่ีพึงถือเอาใน พระอภิธรรม พระวินัย และพระสูตร ก็ไมรูจักจะอิ่มหนํา ฉันนั้น เหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๕ แหงมหาสมุทร ที่พึง ถือเอา. ขอถวายพระพรพระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพย่ิงเหลา เทพ ทรงภาสิตความขอน้ีไววา :- ‘อคฺคิ ยถา ติณกฏ ทหนฺโต, น ตปฺปติ สาคโร วา นทีหิ เอวมฺป เว ปณฺฑิตา ราชเสฏ สุตฺวา น ตปฺปนฺติ สุภาสิเตน๑ เปรียบเหมือนวา ไฟไหมหญาและไมแหงไป ไม รูจักอ่ิม อีกอยางหนึ่ง ทะเลยอมไมรูจักอ่ิมดวย แมน้ําทั้งหลาย ฉันใด, ขาแตทานผูเปนพระราชา ประเสริฐ บัณฑิตท้ังหลายไดสดับแลว ก็ไมรูจัก อิ่ม ดวยคําสุภาษิต ฉันน้ันเหมือนกัน’ ดังน้ี.” จบสมุททังคปญหาท่ี ๑๐ ๑. ขุ. ชา.๒๘/๑๔๒
๓๗๐ วรรคท่ี ๒, สมทุ ทวรรค คาํ อธิบายปญ หาท่ี ๑๐ ปญหาเก่ียวกับองคแหงมหาสมุทร ชื่อวา สมุททังค- ปญหา. คาํ วา วคิ คหบท ไดแกบ ทท่ีเปน คําวเิ คราะหอ รรถแหงช่ือ หรอื โวหารนัน้ ๆ. บทที่วางไว ทคี่ วรทําการวิเคราะหอรรถ ชอ่ื วา นิกเขปบท. บททัง้ หลาย จบั ตั้งแต ๒ บทข้นึ ไปท่ีเชอื่ มเขา ดว ยกันเปน บทเดียว เพราะในคราวน้ันไมตองการจะแสดงเวนระยะระหวาง บท ชือ่ วา สนธบิ ท. คําวา วิภัตติ ไดแกการจําแนกบทท้ังหลายวาเปนสนธิ, นาม, การก, สมาส, ตทั ธติ , อาขยาต, กติ เปน ตน . จบคําอธิบายปญ หาท่ี ๑๐ จบสมุททวรรคท่ี ๒
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๓๗๑ วรรคที่ ๓, ปถววี รรค ปญ หาท่ี ๑, ปถวอี งั คปญหา พระเจามิลนิ ท : “พระคณุ เจา นาคเสน ทานกลาววา ‘พึง ถือเอาองค ๕ แหง ดิน’, องค ๕ ทีพ่ งึ ถอื เอานนั้ เปนไฉน? พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร เมือ่ บุคคลแม เกลี่ยส่ิงที่นาปรารถนา มีการบูร กฤษณาสามัญ กฤษณาหอม จันทนห อม หญา ฝรั่น เปน ตน ลงไป, แมเกล่ยี สง่ิ ทไ่ี มนาปรารถนา มีดี เสมหะ น้ําหนอง โลหิต เหง่ือ มันขน น้าํ ลาย นํ้ามูก ไขขอ นาํ้ ปสสาวะ อุจจาระ เปนตน ลงไป, ดิน (พ้ืนแผนดิน) กเ็ ชน เดยี วกันน้นั นน่ั แหละ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร ผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนเชนเดียวกันน้ันน่ันแหละ ในสิ่งท่ีนา ปรารถนาและไมนาปรารถนา คือ ในลาภและเสื่อมลาภ, ในยศ และเส่ือมยศ, ในนินทาและสรรเสริญ, ในสุขและทุกข ทุกอยาง ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๑ แหงดิน ที่พึง ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, ดิน ปราศจาก เคร่ืองประดับเครื่องตกแตง ก็อบอวลดวยกล่ินของตน ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ผูปราศจาก เคร่ืองประดับ เคร่ืองตกแตง ก็พึงเปนผูอบอวลดวยกลิ่นศีลของ ตน ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๒ แหงดิน ท่ีพึงถือเอา.
๓๗๒ วรรคท่ี ๓, ปถวีวรรค ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคห น่ึง, ดนิ ไมมรี ะหวาง ไมข าด ตอน ไมเปน โพรง หนาทบึ แผไ ปกวางขวาง ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผบู ําเพญ็ เพียร กพ็ ึงเปน ผูมีศีลทไี่ มม รี ะหวาง ไมขาด ตอน ไมทะลุ ไมเปนโพรง หนาทึบ แผไปกวางขวาง ฉันนั้น เหมือนกัน. ขอถวายพระพร น้ีคือองคท่ี ๓ แหงดิน ท่ีพึง ถือเอา. ขอถวายพระพร ยงั มีอีกองคห นึง่ , ดิน แมร องรบั บา น นิคม เมือง ชนบท ตน ไม ภเู ขา แมน ํ้า ตระพงั น้ํา สระโบกขรณี หมเู นือ้ นก มนษุ ยช ายหญงิ ไว ก็หาความเหน่อื ยลา มิได ฉนั ใด, ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร แมโอวาท แมอนุศาสน แมบอกใหร ู แมชีใ้ หเ หน็ แมใหส มาทาน แมท าํ ใหอาจหาญ แมทาํ ใหบันเทิง ก็พึงเปนผูหาความเหน่ือยลาในธรรมเทศนาท้ังหลาย มิได ฉันน้ันเหมือนกัน, ขอถวายพระพร นี้คือองคที่ ๔ แหงดิน ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, ดิน พนแลวจากความ ยินดีและความยินราย ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผู บาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูพนแลวจากความยินดีและความยินราย มีใจเสมอดวยแผนดิน ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือ องคที่ ๕ แหงดิน ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร นางจูฬสุภัททา- อบุ าสิกา ผเู ม่อื ยกยองสมณะท้งั หลายของตน ไดภ าสิตความขอ นี้ ไว วา :
โอปมมกถาปญหากณั ฑ ๓๗๓ ‘เอกฺเจ พาหํ วาสิยา, ตจฺเฉ กุปตมานสา. เอกฺเจ พาหํ คนฺเธน, อาลิมฺเปยฺย ปโมทิตา. อมุสฺมึ ปฏิโฆ นตฺถิ, ราโค อสฺมึ นตฺถิ. ปถวีสมจิตฺตา เต, ตาทิสา สมณา มม. ถาหากผูท่ีมีจิตโกรธเคือง จะพึงมาใชพราตัดแขน ขางหนึ่ง ถาหากผูที่มีจิตบันเทิง จะพึงมาใชของหอม ลูบไลแขนอีกขางหน่ึง ทานก็จะไมมีความขุนเคืองใน บุคคลโนน, ไมมีความยินดีในบุคคลนี้ ทานเหลานั้น มีจิตเสมอดวยแผนดิน, สมณะท้ังหลายของเราทาน เปนบุคคลเชนนั้น.’ ดงั น้.ี ” จบปถวีอังคปญหาที่ ๑ คําอธิบายปญหาที่ ๑ ปญหาเก่ียวกับองคแหงดิน (พ้ืนแผนดิน) ช่ือวา ปถวี- อังคปญหา. คําวา พึงเปนเชนเดียวกันนั่นแหละ คือพึงเปนผูมีจิต เปนปกติ ต้ังม่ัน ไมหว่ันไหว, ความวา ไมมีใจฟูข้ึนในส่ิงที่นา ปรารถนา, ไมมีใจฝอลงในสิ่งที่ไมนาปรารถนา. คําวา หาความเหน่ือยลามิได คือหาความยอทอแลว ถึงความขวนขวายนอยมิได.
๓๗๔ วรรคที่ ๓, ปถววี รรค คําวา ทานก็จะไมมีความขุนเคืองในบุคคลโนน คือ ทา นกจ็ ะไมม คี วามโกรธ, ไมม ีจิตประทุษรา ยในบคุ คลผใู ชพราตดั แขนขางหน่ึงของทา น. คําวา ไมมีความยินดีในบุคคลน้ี คือไมมีความช่ืนชม ในบคุ คลผทู ใ่ี ชของหอมลบู ไลแขนอีกขา งหนึ่งของทา น. คําวา สมณะท้ังหลายของเรา น้ี อุบาสิกาผูน้ีกลาวโดย ยกเอาพระขณี าสพทงั้ หลายขึ้นเปน ประธาน. จบคําอธิบายปญ หาท่ี ๑ ปญ หาที่ ๒, อาปงคปญหา พระเจา มลิ นิ ท : “พระคุณเจา นาคเสน ทานกลา ววา ‘พึง ถือเอาองค ๕ แหงนาํ้ ’, องค ๕ ที่พงึ ถือเอานน้ั เปน ไฉน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา นาํ้ ใส สะอาดเพราะสภาพท่พี อสงบนิ่งดแี ลว กไ็ มก ระเพอื่ ม จึงไมขนุ มวั ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงขจัด ความหลอกลวง การพดู เลียบเคียง ความเปนผทู าํ นิมติ ความเปน ผพู ดู บีบบังคบั แลวกเ็ ปน ผูมอี าจาระบริสทุ ธ์ิ เพราะสภาวะทม่ี จี ติ สงบน่ิงดี ไมห วน่ั ไหว ไมข นุ มวั ฉนั นนั้ เหมือนกัน, ขอถวายพระพร นค้ี ือองคท ี่ ๑ แหง นาํ้ ทพี่ ึงถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหน่ึง, นาํ้ ทรงสภาพท่ีเยือก เย็นไว ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญเพียร ก็พึงเปนผูถึงพรอมดวยขันติ เมตตา ความเอ้ือเอ็นดู เปนผู
โอปม มกถาปญหากณั ฑ ๓๗๕ แสวงหาประโยชน อนุเคราะห ในสัตวทั้งหลายทั้งปวง ฉันนั้น เหมือนกัน. ขอถวายพระพร นี้คือองคท่ี ๒ แหงนํ้าที่พึง ถือเอา. ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, นา้ํ ทําสิ่งที่ไมสะอาด ใหสะอาดได ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบาํ เพ็ญ เพียร ก็พึงเปนผูมีปกติกระทาํ มิใหมีเหลือ ดวยการกระทาํ ที่หา โทษมิไดในบุคคลท้ังปวง คือในพระอุปชฌายะ ในภิกษุผูเทียบ กันไดกับพระอุปชฌายะ ในอาจารยในภิกษุผูเทียบกันไดกับ อาจารย ในบานก็ดี ในปาก็ดี ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวาย พระพร น้ีคือองคท่ี ๓ แหงนา้ํ ที่พึงถือเอา ขอถวายพระพร ยังมีอีกองคหนึ่ง, นํ้า เปนส่ิงที่ชนเปน อนั มากปรารถนา ฉนั ใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบ ําเพญ็ เพียร กพ็ งึ เปน ผูม กั นอ ย สันโดษ สงดั หลกี เรน ซึ่งชาวโลกทงั้ ปวง ปรารถนายิง่ เปน ประจํา ฉันนน้ั เหมือนกนั , ขอถวายพระพร นคี้ อื องคท ี่ ๔ แหง น้าํ ทพี่ งึ ถือเอา. ขอถวายพระพร ยงั มีอีกองคหนง่ึ , นา้ํ ไมก อความหายนะ แกใคร ๆ ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรผูบําเพ็ญเพียร ก็ ไมพึงทาํ การโตตอบ การทะเลาะ การจับผิด การวิวาท การเพง โทษ การไมชอบกันกับผอู ืน่ ใหเกิดขน้ึ , ไมพึงกระทาํ บาปดว ยกาย วาจา และใจ ฉันนั้นเหมือนกัน, ขอถวายพระพร น้ีคือองคที่ ๕ แหงนํ้า ท่ีพึงถือเอา. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคผูทรงเปน เทพย่ิงเหลาเทพ ไดทรงภาสิตความขอนี้ไว ในกัณหชาดก วา -
๓๗๖ วรรคที่ ๓, ปถวีวรรค ‘วรฺเจ เม อโท สกฺก, สพฺพภูตานมิสฺสร น มโน วา สรีรํ วา, มํ-กเต สกฺก กสฺสจิ กทาจิ อุปหฺเถ, เอตํ สกฺก วรํ วเร๑ ขาแตทานทาวสักกะ ผูเปนใหญแหงสรรพสัตว ถาหากวาพระองคจะประทานพรแกขาพระองคไซร ขาพระองคหวังความไมโกรธดวยดี ความไม ประทุษรายดวยดี ความไมโลภ ความหมดเสนหา ใหเปนความประพฤติของตนอยู ขอจงทรงประทาน พร ๔ ประการเหลาน้ี ใหแกขาพระองค เถิด.’ ดังน้ี.” จบอาปงคปญหาท่ี ๒ คําอธิบายปญหาที่ ๒ ปญหาเกี่ยวกับองคแ หงนํา้ ชื่อวา อาปงคปญหา. คาํ วา ก็พึงขจัดความหลอกลวง ฯลฯ แลวก็เปนผูมี อาจาระบริสุทธ์ิ เปนคําที่แสดงถึงความเปนผูมีอาชีวปาริสุทธิ- ศีล (ศีลคืออาชีวะท่ีบริสุทธิ์). ในคาํ เหลาน้ัน ช่ือวา ความหลอกลวง มี ๒ อยาง คือ การแสรง ปฏิเสธปจ จัย ๑, การแตง อริ ิยาบถ ๑. ภกิ ษบุ างรปู คดิ วา “เราจะไดป จจยั มากมายโดยวิธีนี้แหละ” ดงั นแ้ี ลว กแ็ สรงปฏิเสธ ๑. ขุ.ชา. ๒๗/๒๗๒.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 548
Pages: