วรรคที่ ๑, พุทธวรรค ๒๗ คาํ วา ประกอบในพระพทุ ธศาสนา ความวา เพราะเหตุ ท่ีความเพียรท้ัง ๒ อยางยอมเปนไป ยอมสาํ เร็จประโยชนก็โดย เก่ียวกับเปนผูประกอบในพระพุทธศาสนา คือเจริญสมถะและ วิปสสนา เพราะฉะน้ัน ก็จงประกอบชอบในพระศาสนาของ พระผมู พี ระภาค คือเจริญสมถะและวปิ ส สนาใหก าวหนายง่ิ ๆ ขึ้น ไป อันเปน กจิ ท่จี าํ ตอ งอาศัยความเพียรน้ัน ดว ยอํานาจความเปน ผตู ื่นอยเู สมอ (ไมมกั มากในการนอนหลบั ). คําวา กองทัพแหงพญามัจจุ ความวา กองทัพคือกิเลส ช่ือวากองทพั แหงพญามัจจุ คือความตาย. คาํ วา ดุจชางทาํ ลายเรือนไมออ ความวา ชางเปนสัตว ใหญโต แข็งแรง ยอมทาํ ลายเรือนไมออซ่ึงเปนเรือนท่ีออนแอ ไมแข็งแรงไดโดยพลัน ฉันใด พระโยคาวจรก็จงใชพลานุภาพท่ี ยิ่งใหญของความเพียร กาํ จัด ขยี้กองทัพแหงพญามัจจุเสียโดย พลัน ฉันน้ันเหมือนกัน. คาํ วา ไมท รงยินดปี ฏปิ ทาใด คือไมทรงยินดปี ฏปิ ทาคอื ความเพยี รทเ่ี ครง ครดั เห็นปานนน้ั ใด. คําวา ปฏิปทาทั้งในคราวน้ัน ทั้งในคราวน้ีนั้น ก็เปน อันเดียวกันนั่นแหละ ความวาปฏิปทาคือความเพียร ทั้งใน คราวที่ยังเปนพระโพธิสัตวบาํ เพ็ญทุกกรกิริยาน้ัน ท้ังในคราวท่ี ทรงบรรลุพระสัพพัญุตญาณแลวทรงแนะนาํ สาวกทั้งหลายน้ี นั้น ก็เปนอันเดียวกันนั่นแหละ คือเปนความเพียร ๒ อยาง (อารัมภธาตุ และนิกกมธาตุ) ดวยกันน่ันแหละ.
๒๘ กณั ฑท ี่ ๕, อนุมานปญหา คาํ วา ปฏิปทานี้ เปนอันตองมีประจําตลอดกาลทุก เม่ือเทียว คือปฏิปทาอันไดแกความเพียร ๒ อยางนี้ เปนอัน ตองมีประจําตลอดกาล แหงบุคคลผูปฏิบัติเพื่อพนจากภัยใน วัฏฏะ. ในอุปมาท่ี ๒ คําวา โทษของความพยายาม ไดแก โทษคือการวิ่งเร็วเกินไปน้ันเอง. จบคาํ อธบิ ายปญหาท่ี ๔ ปญ หาที่ ๕, หีนายาวตั ตนปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน พระศาสนาของ พระตถาคตนี้ยิ่งใหญ มีสาระดีงาม ประเสริฐ ยอดเย่ียม บริสุทธ์ิ หาส่ิงเปรียบเทียบมิได ปราศจากมลทิน ผองแผว หาขอ ติเตียนมิได, จึงไมควรใหผูเปนคฤหัสถบวชกอน, ตอในเวลาใด ผูเปนคฤหัสถสําเร็จในผลสักอยางหน่ึงแลว เปนผูไมกลับมาสู เพศที่เลวกวาอีก, ในเวลานั้นจึงคอยใหเขาบวช. เพราะเหตุไร หรือ, พวกคนไมดีเหลานี้ พอไดบวชในพระศาสนาที่บริสุทธ์ิ นี้แลว ก็ยังถอยกลับ (ลาสิกขา, สึก) เวียนกลับมาสูเพศที่เลว ไดอีก เพราะการถอยกลับมาแหงพวกเขา พวกมหาชนน้ีก็ยอม คิดอยางน้ีวา “(เห็นทีวา) ศาสนาของพระสมณโคตมะจักเปน ของเหลวเปลาหนอ, พวกคนเหลาน้ีจึงไดถอยกลับมา” ดังน้ีได ขอท่ีวานี้ จัดวาเปนเหตุผลในการที่ไมควรใหพวกคฤหัสถไดบวช กอนนี้.
วรรคท่ี ๑, พทุ ธวรรค ๒๙ พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา มีสระน้ําอยูแหงหนึ่ง ซึ่งมีนาํ้ อยูเต็มเปยม ใสสะอาด ปราศจากมลทิน เย็นดี, ตอมามีบุรุษคนใดคนหนึ่ง ผูเปรอะ เปอนเหง่ือเปอนสิ่งสกปรกเปอกตม ไปถึงสระนํา้ น้ันแลวก็ไม ยอมอาบนาํ้ เนื้อตัวยังเปรอะเปอนอยูเทียว ก็ถอยกลับมา เสียกอน, ขอถวายพระพร ในบุรุษและในสระนาํ้ นั้น ผูคนพึง ติเตียนอะไร บุรุษผูเปรอะเปอนเหงื่อไคล หรือวาสระนาํ้ เลา?” พระเจามิลินท : “ผูคนพึงติเตียนบุรุษผูเปรอะเปอน เหงื่อไคล วา ‘ผูน้ีไปถึงสระนํ้าแลวก็ไมยอมอาบน้ํา เน้ือตัวยัง เปรอะเปอนอยูนั่นแหละ ก็ถอยกลับมาเสียกอน, สระนํ้านี้จัก อาบน้ําใหบุรุษผูไมตองการอาบนี้ไดเองกระไรเลา, ความผิด อะไรของสระนาํ้ เลา’ อยางนี้เทียว.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัย ก็ฉันน้ัน พระตถาคตทรงสรางสระนาํ้ คือพระสัทธรรมอัน ประเสริฐขึ้น ซ่ึงเต็มเปยมดวยนา้ํ คือวิมุติอันประเสริฐ ดวยทรง ดาํ ริวา ‘บุคคลเหลาใดเหลาหน่ึง ผูเปรอะเปอนมลทินคือกิเลส แตรูสาํ เหนียก มีความต้ังใจ บุคคลเหลานั้นไดอาบนํา้ ในสระคือ พระสัทธรรมอันประเสริฐนี้แลว ก็จะลอยกิเลสทั้งปวงไปเสียได ดังนี้. ถาหากวาจะมีบางคนไปถึงสระน้าํ คือพระสัทธรรมอัน ประเสริฐน้ันแลว ก็กลับไมยอมอาบ ยังเปนผูมีกิเลสอยูน่ัน เทียว ก็ถอยกลับมาเสีย เวียนมาสูเพศท่ีเลวอีก ผูคนก็จัก ติเตียน ผูน้ันน่ันแหละวา ‘คนผูนี้บวชในพระศาสนาของพระ
๓๐ กณั ฑท ี่ ๕, อนุมานปญหา ชินวรพุทธเจาแลว ยังไมไดที่พึ่งในพระศาสนานั้นเลย ก็เวียน กลับมาสูเพศท่ีเลว พระศาสนาน้ีจักทําคนผูไมปฏิบัติผูนี้ให ตรัสรูเสียเองไดกระไรเลา, ความผิดอะไรของพระศาสนาของ พระชินวรพุทธเจาเลา’ อยางนี้ไดทีเดียว.’ ขอถวายพระพร อกี อยา งหนง่ึ เปรยี บเหมอื นวา บุรษุ คนหน่งึ ปวยหนักอยู ไดพบหมอผาตัดผูฉลาดในเหตุเกิดขึ้นแหงโรค ผูสําเร็จการงานม่ันคง ไมใชคนเหลวเปลาแลว ก็ไมยอมใหหมอ รักษา ยังปวยอยูน่ันเอง ก็ถอยกลับไปเสีย, ในบุคคล ๒ คนน้ัน ผคู นพึงตเิ ตยี นคนไหน คนไขหรอื วา หมอเลา.” พระเจา มลิ นิ ท : “พระคณุ เจา ผคู นพงึ ตเิ ตยี นคนไขว า ‘ผนู ี้ ไดหมอผาตัดผูฉลาดในเหตุเกิดแหงโรค ผูสําเร็จการงานม่ันคง ไมใ ชคนเหลวเปลาแลว กไ็ มย อมใหหมอรกั ษา ยงั ปว ยอยนู ่ันเทียว ก็ถอยกลับไปเสียได, หมอเองจะรักษาคนผูไมยอมใหรักษาน้ีได กระไรเลา , ความผิดอะไรของหมอเลา ” ดงั นไี้ ด.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน พระตถาคตทรงบรรจุโอสถอมตะที่สามารถ สงบความปวยไขคือกิเลสท้ังสิ้น ไวในตลับยาคือพระศาสนา, ดวยทรงดําริวา ‘บุคคลเหลาใดเหลาหนึ่ง ผูถูกความปวยไขคือ กิเลสบีบค้ัน แตวารูสําเหนียก มีความตั้งใจ, บุคคลนั้นด่ืมโอสถ อมตะน้ีแลว ก็จักสงบความปวยไขคือกิเลสท้ังปวงได’ ดังนี้. ถา หากวามีบางคน ไมยอมดื่มโอสถอมตะนั้นแลว ทั้ง ๆ ที่ยังเปนผู มีกิเลสอยูนั่นเทียว ก็ถอยกลับไป เวียนกลับมาสูเพศที่เลวไซร
วรรคท่ี ๑, พุทธวรรค ๓๑ ผูคนจักติเตียนเขาน่ันแหละ วา ‘คนผูนี้บวชในพระศาสนาของ พระชินวรพุทธเจาแลว ยังไมทันไดท่ีพ่ึงในพระศาสนานั้นเลย ก็ เวียนกลับมาสูเพศที่เลว, พระศาสนาของพระชินวรพุทธเจา จัก ทาํ ใหเขาผูไมยอมปฏิบัติน้ีไดตรัสรูเสียเองไดกระไรเลา, ความผิด อะไรของพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจาเลา’ ดังน้ีได. ขอถวายพระพร อีกอยางหนง่ึ เปรยี บเหมอื นวา บรุ ุษผหู ิวขา ว อยคู นหนึง่ ไปถงึ สถานทเ่ี ล้ียงอาหารบุญครง้ั ยิ่งใหญส ําคัญแลว ก็ ไมยอมบริโภคอาหารน้ัน ยังหิวอยูนั่นเทียว ก็ถอยกลับไปเสีย, ในบุรุษคนผูหิวขาวและอาหารบุญน้ัน ผูคนพึงติเตียนอะไรเลา บุรษผหู ิวอยหู รือวา อาหารบญุ ?” พระเจามลิ นิ ท : “พระคณุ เจา ผูคนพงึ ติเตยี นบุรษุ ผหู วิ อยู วา ‘ผูน ีถ้ ูกความหิวบบี ค้ันอยู ไดอ าหารบุญแลว ก็ยงั ไมย อมบริโภค ยังหิวอยูน่ันเทียว ก็ถอยกลับมาเสีย, ของกินจักเขาปากบุรุษ ผูไมยอมบริโภคคนนี้ไดเองกระไรเลา, ความผิดอะไรของของกิน เลา ’ ดงั นีไ้ ด. ” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัย ก็ฉันน้ันเหมือนกัน พระตถาคตทรงวางของกินคือกายคตาสติ อันประเสริฐ ยอดเยี่ยม สงบ เกษม ประณีต เปน อมตะ มีรสอรอ ย อยางยิ่ง ไวในสํารับคือพระศาสนา ดว ยทรงดํารวิ า ‘บคุ คลเหลา ใด เหลา หนึง่ ผถู กู ความหวิ คอื กเิ ลสแผดเผา ผูถกู ตณั หาครอบงําจิต แตเปนผูรูสําเหนียก มีความตั้งใจ, บุคคลเหลาน้ันบริโภคของกิน น้ีแลว ก็จักขจัดตัณหาทั้งปวงในกามภพ รูปภพ และอรูปภพได’
๓๒ กัณฑท ่ี ๕, อนุมานปญหา ดังนี้. ถาหากวาจะมีบางคนไมยอมบริโภคของกินน้ัน กลับเวียน มาสูเพศท่ีเลวไซร ผูคนจักติเตียนคนผูนั้นน่ันแหละ วา “คนผูน้ี บวชในพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจาแลว ยังไมทันไดที่พ่ึง ในพระศาสนานั้นเลย กเ็ วียนกลบั มาสเู พศท่ีเลว พระศาสนาของ พระชินวรพุทธเจาจักชวยใหบุรุษผูไมยอมปฏิบัติผูนี้ตรัสรูเสียเอง ไดกระไรเลา , ความผดิ อะไรของพระศาสนาของพระชนิ วรพทุ ธเจา เลา’ ดงั น้ีได. ขอถวายพระพร ถาหากวาพระตถาคตทรงอนุญาตให คฤหัสถผูสาํ เร็จในผลสักอยางหนึ่งเสียกอนเทาน้ันไดบวชไซร, ช่ือวาการบวชน้ี ก็จะไมพึงเปนไปเพื่อการละกิเลส หรือเพ่ือ วิสุทธิ, กิจที่พึงกระทําดวยการบวชก็ไมมี, ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บุรุษคนหน่ึงใหเขาขุดสระนํา้ ไวดวยการกระทํา (การขุด) หลายรอยครั้ง แลวบอกใหไดยินตอ ๆ กันไปใน บริษทั อยางนีว้ า ‘ทา นผเู จริญทง้ั หลายเอย ใคร ๆ ผเู ปรอะเปอน เหงื่อไคลขออยาลงสูสระน้ีเลย, ผูท่ีลางขี้ฝุนเหง่ือไคลเน้ือตัว สะอาด ขัดสีมลทินออกแลว ขอจงยางลงสูสระนํา้ น้ีเถิด’ ดังนี้. ขอถวายพระพร สําหรับคนที่ลางข้ีฝุนเหง่ือไคลเน้ือตัวสะอาด ขัดสีมลทินออกแลวเหลาน้ัน พึงมีกิจท่ีพึงทาํ ดวยสระนาํ้ น้ันอยู อีกหรือ?” พระเจา มิลนิ ท : “ไมม หี รอก พระคุณเจา, บุคคลเหลาน้นั เขาไปสูสระน้าํ นั้นเพื่อประโยชนแก (การทาํ ) กิจใด, พอเวนกิจ
วรรคท่ี ๑, พุทธวรรค ๓๓ ที่พึงทาํ (ดวยนํา้ ) ซึ่งคนเหลานั้นไดทาํ เสียกอนแลวเทาน้ัน (เม่ือเปนเชนน้ี) ประโยชนอะไรดวยสระน้ําสาํ หรับคนเหลานั้น อีกเลา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัย ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ถาหากวาพระตถาคตทรงอนุญาตเฉพาะ คฤหัสถผสู าํ เร็จในผลสักอยา งหนง่ึ เสียกอนเทานัน้ ใหบวชไดไ ซร, กิจท่ีพึงทําในการบวชนั้นน่ันแหละ คนเหลาน้ันก็ไดทาํ แลว (กอ นบวช) ประโยชนอะไรดว ยการบวชสาํ หรบั คนเหลานน้ั อกี เลา . ขอถวายพระพร อกี อยา งหนึง่ เปรียบเหมอื นวา หมอรกั ษา โรคผูอ ันฤๅษชี บุ เลยี้ งมา ผูทรงจาํ บทมนตท่สี ดับมาได คงแกเ รยี น ฉลาดในเหตุเกิดข้ึนแหงโรค สําเร็จการงานม่ันคง ปรุงยาท่ีใช รักษาโรคท้ังปวงไดแลว ก็บอกใหไดยินตอ ๆ กันไปในบริษัทวา ‘ทานผเู จรญิ ทั้งหลายเอย ใคร ๆ ที่มคี วามเจ็บปวย ขอจงอยา ได เขา ไปในสาํ นักของเราเลย, ผูท่ไี มมีความเจ็บปวย ไมม ีโรค ขอจง เขาไปในสาํ นกั ของเราเถดิ ’ ดังน.้ี ขอถวายพระพร สาํ หรบั คนผไู ม เจ็บปวย ไมม โี รค บรบิ รู ณอยู สบายใจอยูเหลา นนั้ พึงมกี จิ ทต่ี อ ง ใหห มอทําหรอื หนอ?’ พระเจา มิลนิ ท : ‘ไมม ีหรอก พระคณุ เจา, คนเหลา น้นั เขา ไปหาหมอรกั ษาโรคเพอ่ื ประโยชนแ กก ิจ (คือรกั ษาโรค) ใด, เวนกิจ ที่พึงทําซึ่งคนเหลาน้ันไดทาํ แลวนั้นเสียเทาน้ัน (เมื่อเปนเชนนี้) ประโยชนอะไรดว ยหมอสาํ หรับคนเหลา นน้ั เลา .”
๓๔ กัณฑท ี่ ๕, อนมุ านปญหา พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัย ก็ฉันน้ันเหมือนกัน ถาหากวาพระตถาคตทรงอนุญาตคฤหัสถ ผูสาํ เร็จในผลสักอยางหน่ึงเสียกอนเทาน้ัน ใหบวชไดไซร, กิจที่ พึงทาํ ในการบวชน้ันนั่นแหละ คนเหลานั้นก็ไดทําแลว (เม่ือ เปนเชนน้ี) ประโยชนอะไรดวยการบวชสาํ หรับคนเหลานั้นอีก เลา .” ขอถวายพระพร อีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา บุรุษคน หน่ึงจัดเตรียมโภชนาหาร มีของสุกหลายรอยถาด แลวก็บอก กลาวใหไดย นิ ตอ ๆ กนั ไปในบรษิ ัท วา ‘ทานผเู จรญิ ทั้งหลายเอย ใคร ๆ ท่ีหิวขอจงอยาเขาไปสูสถานที่เล้ียงอาหารน้ีของขาพเจา เลย, ผูทบี่ รโิ ภคดีแลว อ่มิ หนาํ แลว เพียงพอแลว เอิบอม่ิ เตม็ ท่แี ลว ขอจงเขาไปสูสถานทเ่ี ลยี้ งอาหารนเ้ี ถิด’. ขอถวายพระพร สําหรับ คนท่ีบริโภคดีแลว อิ่มหนําแลว เพียงพอแลว เอิบอิ่มเต็มท่ีแลว เหลานนั้ พึงมีกจิ ทีต่ องทาํ ดวยโภชนาหาร (คือการบรโิ ภคอาหาร) นัน้ อกี หรอื ?” พระเจามิลินท : “ไมมีหรอก พระคุณเจา คนเหลาน้ันพึง เขา ไปสสู ถานท่ีเล้ยี งอาหารเพอ่ื ประโยชนแ ก (การทาํ ) กิจใด, เวน กจิ ที่พึงทํานน้ั ซงึ่ คนเหลา นัน้ ไดท ําแลวเสียเทา นนั้ (เมอื่ เปนเชน น้)ี ประโยชนอะไรดวยสถานท่ีเล้ียงอาหารสําหรับคนเหลาน้ันอีก เลา .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน ถาหากวาพระตถาคตทรงอนุญาตคฤหัสถ
วรรคที่ ๑, พุทธวรรค ๓๕ ผูสาํ เร็จในผลสักอยางหนึ่งเสียกอนเทาน้ันใหบวชไดไซร, กิจที่ พึงทําในการบวชน้ันน่ันแหละ คนเหลานั้นก็ไดทาํ แลว (เม่ือเปน เชนน้ี) ประโยชนอะไรดวยการบวชสาํ หรับคนเหลานั้นอีกเลา. ขอถวายพระพร อกี อยางหนึ่ง บุคคลเหลา ใดเวยี นกลับมา สูเพศที่เลว, บุคคลเหลานั้นยังทาํ คุณที่ไมอาจชั่งได ๕ อยางแหง พระศาสนาของพระชนิ วรพทุ ธเจา ใหป รากฏได ทาํ คุณ ๕ ประการ อะไรบางใหปรากฏได? ไดแก ทําความท่ีพระศาสนาเปนภูมิอัน ยิ่งใหญใหปรากฏ ๑, ทําความที่พระศาสนาเปนของบริสุทธิ์ ปราศจากมลทินใหปรากฏ ๑, ทําความท่ีพระศาสนาอันพวกคน ช่ัวไมอาจอยูรวมไดใหปรากฏ ๑, ทาํ ความท่ีพระศาสนาเปนของ แทงตลอดไดยากใหปรากฏ ๑, ทาํ ความท่ีพระศาสนาอันบุคคล รักษาไดดวยสงั วรเปน อนั มากใหป รากฏ ๑, ช่ือวา ยอมทาํ ความที่พระศาสนาเปนภูมิอันย่ิงใหญ ใหปรากฏ อยางไร? ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บุรุษ ผูไรทรัพย มีชาติตํ่าทราม หาขอดีพิเศษมิได ความรูก็เส่ือม ไดรับราชสมบัติที่ยิ่งใหญแลว ก็ยอมตกไป เลิกรางไป เสื่อมไป จากอสิ สรยิ ยศตอกาลไมน านเลยเทยี ว ยอ มไมอ าจจะทรงอสิ สริย- ยศเอาไวได. เพราะอะไร? เพราะอิสสริยยศเปนภูมิที่ยิ่งใหญ ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคลเหลาใดเหลาหนึ่ง ผูหาขอดีพิเศษ มิได ไมไดทําบุญไว ความรูก็เส่ือม บวชในพระศาสนาของพระ ชินวรพุทธเจา, บุคคลเหลานั้น เมื่อไมสามารถจะทรงการบวชท่ี ประเสริฐสุดเอาไวได ก็ยอมตกไป เลิกรางไป เส่ือมไปจากพระ
๓๖ กณั ฑท่ี ๕, อนุมานปญหา ศาสนาของพระชินวรพุทธเจา เวียนกลับมาสูเพศที่เลว ตอกาล ไมนานเลยเทียว, ยอมไมอาจท่ีจะทรงพระศาสนาของพระชินวร- พุทธเจาเอาไวได, เพราะเหตุไร? เพราะภูมิคือพระศาสนาของ พระชินวรเจาเปนของยิ่งใหญ ฉันนั้นเหมือนกัน. ช่ือวา ยอมทํา ความที่พระศาสนาเปนภูมิอันยิ่งใหญใหปรากฏ ตามประการ ดงั กลา วมานี.้ ชื่อวา ยอมทาํ ความที่พระศาสนาเปนของบริสุทธ์ิ ปราศจากมลทินใหปรากฏ อยางไร? ขอถวายพระพร นํ้าตก ลงไปบนใบบัวแลว ก็ยอมกระเซ็นไหลกลิ้งไป ไมถึงความต้ังอยู ได ไมติดอยู. เพราะเหตุไร? เพราะใบบัวเปนของเกลี้ยงเกลา ปราศจากมลทนิ ฉันใด, ขอถวายพระพร บคุ คลเหลา ใดเหลา หนง่ึ ซ่ึงเปนคนเจาเลห คดโกง มีความเห็นไมสมควร บวชในพระ ศาสนาของพระชินวรพุทธเจา, บุคคลเหลาน้ันกระเซ็นไหลกล้งิ ไป จากพระศาสนาที่บริสุทธ์ิปราศจากมลทิน ไมมีเสี้ยนหนาม ผอง แผว ประเสริฐยอดเยี่ยม ต้ังอยูไมได ติดอยูไมได แลวก็ ยอ มเวยี นกลบั สูเ พศทเ่ี ลวตอ กาลไมน านเลยเทยี ว. เพราะเหตไุ ร? เพราะพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจาเปนของบริสุทธิ์ปราศ จากมลทิน ฉันน้ันเหมือนกัน. ชื่อวายอมทําความท่ีพระศาสนา เปนของบริสุทธ์ิปราศจากมลทินใหปรากฏตามประการดังกลาว มานี้. ชอื่ วา ยอมทาํ ความทพ่ี ระศาสนาอันพวกคนช่วั ไมอาจ อยูรวมดวยไดใหปรากฏ อยางไร? ขอถวายพระพร เปรียบ
วรรคที่ ๑, พุทธวรรค ๓๗ เหมือนวา มหาสมุทร ยอมไมอยูรวมกับซากสัตวตาย, ซากสัตว ตายใดมอี ยใู นมหาสมทุ ร, มหาสมทุ รยอ มซดั ซากสัตวต ายนัน้ ไปสู ฝง หรือซัดข้ึนไปบนบกโดยเร็วทีเดียว. เพราะเหตุไร? เพราะ มหาสมทุ รเปน ทีอ่ ยูของสัตวเ ปนใหญ ๆ ทัง้ หลาย ฉันใด, ขอถวาย พระพร บุคคลเหลาใดเหลาหน่ึง ซ่ึงเปนคนช่ัวชา ไมสาํ รวม ไม ละอาย หากริ ิยาไมไ ด ยอหยอนความเพียร เกยี จคราน มัวหมอง เปนคนทรชน บวชในพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจา, บุคคล เหลาน้ันยอมตองออกไปจากพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจา อันเปนท่ีอยูของสัตวใหญคือพระอรหันตขีณาสพผูปราศจาก มลทิน อยูรวมกันมิได ตองเวียนกลับมาสูเพศท่ีเลว. เพราะเหตุ ไร? เพราะพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจาอันคนชั่วไมอาจอยู รวมดวยได ฉันนั้นเหมือนกัน. ชื่อวายอมทําความท่ีพระศาสนา อันพวกคนชั่วไมอาจอยูรวมดวยไดใหปรากฏ ตามประการ ดังกลาวมานี้. ช่ือวา ยอมทาํ ความท่ีพระศาสนาเปนของแทงตลอด ไดยากใหปรากฏ อยางไร? ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา พวกนายขมังธนูพวกใดพวกหนึ่ง ซึ่งเปนคนไมฉลาด ไมไดศึกษา (ในการยงิ ธนู) ไมไดเรยี นศิลปะ (การยงิ ธน)ู มีความรูเ สื่อมทราม เมื่อไมสามารถจะยิงถูกขนทราย (ท่ีปกไวที่เปา) ได ก็ยอม ลมเหลวหลีกไป เพราะเหตุไร? เพราะขนทรายเปนของละเอียด สขุ ุม ยงิ ไปใหถ ูกไดย าก ฉนั ใด, ขอถวายพระพร บคุ คลเหลา ใด เหลา หน่ึง ซงึ่ เปนคนทรามปญ ญา บา เซอ หลงเลอะ เปน ชนผมู ีคติ
๓๘ กณั ฑท ่ี ๕, อนุมานปญหา มดื บอด ยอ มบวชในพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจา, บุคคล เหลาน้ันเม่ือไมสามารถจะแทงตลอดธรรมท่ีควรแทงตลอดคือ สัจจะ ๔ อันละเอียดสุขุมอยางยิ่งได ก็ตองลมเหลว หลีกไปจาก พระศาสนาของพระชินวรพุทธเจา เวียนกลับมาสูเพศที่เลว ตอ กาลไมนานเลย. เพราะเหตุไร? เพราะสัจจะท้ังหมดเปนของ ละเอียด สุขุม แทงตลอดไดยากย่ิง ฉันนั้นเหมือนกัน. ช่ือวา ยอมทาํ ความที่พระศาสนาเปนของแทงตลอดไดยากใหปรากฏ ตามประการดังกลาวมาน้ี. ชื่อวา ยอมทําความที่พระศาสนาอันบุคคลรักษาไว ดวยสังวรเปนอันมากใหปรากฏ อยางไร? ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บุรุษบางคนเขาไปสูยุทธภูมิครั้งยิ่งใหญ ถูก กองทพั ปรปกษห อ มลอมทางทิศใหญท ิศนอ ย โดยรอบอยู เหน็ ชน ผูมีมือถือหอกมุงเขามาก็กลัว ถอยหนีกลับไป. เพราะเหตุไร? เพราะกลวั การรกั ษา (การใช) ยุทธวิธอี ยา งตาง ๆ เปน อนั มาก ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคลเหลาใดเหลาหนึ่งซึ่งเปนคนช่ัว ไมสาํ รวม ไมมคี วามละอาย หากริ ิยาไมไ ด ไมอดทน กลอกกลิ้ง โลเล สถุล เปนคนพาล ยอมบวชในพระศาสนาของพระชินวร- พุทธเจา, บุคคลเหลานั้น เม่ือไมอาจรักษาสิกขาบทตาง ๆ มากมายได ก็ทอถอย หนีกลับไป เวียนกลับมาสูเพศที่เลว ตอกาลไมนานเลย เพราะเหตุไร? เพราะพระศาสนาของพระ ชินวรพุทธเจาเปนของที่ตองรักษาไวดวยสังวรมีอยางตาง ๆ เปนอันมาก ฉันนั้นเหมือนกัน. ช่ือวา ยอมทาํ ความท่ีพระศาสนา
วรรคท่ี ๑, พทุ ธวรรค ๓๙ อันบุคคลรักษาไดดวยสังวรเปนอันมากใหปรากฏตามประการ ดังกลาวมาน้ี. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา ในกอมะลิซอน แม นับวาสูงสุดแหงบรรดาดอกไมท่ีเกิดบนบก (ถึงอยางไรๆ) ก็ยังมี บางดอกถูกหนอนเจาะ, ดอกที่ถูกหนอนเจาะเหลาน้ัน มีข้ัวดอก ท่เี ห่ียวโรยแลว ก็ยอมตกรวงไปเสยี ในระหวา งทีเดยี ว. ก็แลกอดอก มะลิจะไดช่ือวาเปนกอดอกไมช้ันเลวเพราะมีบางดอกถูกหนอน เจาะตกรวงไป ก็หาไม. ดอกท่ียังดํารงอยูไดในกอมะลิซอนน้ัน ยอ มมีกลนิ่ หอมแพรไ ปสูทิศใหญท ิศนอ ย ฉนั ใด, ขอถวายพระพร บุคคลพวกที่บวชในพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจาแลว ก็ยัง เวียนกลับมาสูเพศท่ีเลวไดอีกนั้น, บุคคลเหลานั้นช่ือวาเปนผู ปราศจากสีและกลิ่น มีอาการท่ีหาขอสรรเสริญมิไดเปนปกติ ดุจ ดอกมะลิซอนท่ีถูกหนอนเจาะ เปนคนอาภัพตอความเจริญงอก งามในพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจา, ก็แล พระศาสนาของ พระชินวรพุทธเจาจะช่ือวาเปนของต่ําทรามเพราะการท่ีบุคคล นั้นยังเวียนกลับมาสูเพศท่ีเลว ก็หาไม. พวกภิกษุที่ยังดาํ รงอยูได ในพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจานั้นยอมเปนผูมีกลิ่นหอม คือศีลประเสริฐแพรไปตลอดโลกพรอมท้ังเทวดา ฉันนั้น เหมือนกัน. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บรรดาขาวสาลีแดง ท้ังหลายท่ีปราศจากโรคภัย, ขาวสาลีแดงชนิดหน่ึง ช่ือวา กรุมภกะ เกิดข้ึนแลวก็เสียไประหวางเทียว, ก็แล ขาวสาลี
๔๐ กณั ฑท ี่ ๕, อนุมานปญหา แดงท้ังหลายจะไดชื่อวา เปนขาวสาลีชั้นเลว เพราะการท่ีขาว สาลีชนิดนั้นเสียไป ก็หาไม. ในบรรดาขาวสาลีแดงเหลาน้ัน ขาวสาลีท่ีดาํ รงอยูได (ไมเสียไปในระหวาง) ก็สมควรเปนเคร่ือง เสวยสาํ หรับพระราชา ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคลพวกที่ บวชในพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจา แลวก็ยังเวียนกลับมา สูเพศท่ีเลวไดอีกน้ัน, บุคคลเหลาน้ันไมเจริญ ไมถึงความงอกงาม ในพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจา ยอมเวียนกลับมาสูเพศที่ เลวในระหวางเทียว ดุจในบรรดาขาวสาลีแดงทั้งหลายขาวสาลี กรุมภกะไมเจริญ ไมถึงความงอกงาม ยอมเสียไปในระหวาง เทียว ฉะน้ัน ก็แล พระศาสนาของพระชินวรพุทธเจาจะได ช่ือวาเปนของตาํ่ ทราม เพราะการท่ีบุคคลเหลานั้นเวียนกลับมา สูเพศที่เลวก็หาไม. ภิกษุทั้งหลายท่ีดาํ รงอยูไดในพระศาสนา น้ัน ภิกษุเหลาน้ันยอมเปนผูสมควรตอความเปนพระอรหันต ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา แมแตแกวมณีท่ี คอยมอบแตสิ่งท่ีตองการให ก็ยังมีบางสวนเกิดเปนปมหยาบ กระดาง (เปนตําหน)ิ ขึน้ มาได. กแ็ ล แกว มณจี ะไดช ือ่ วาเปน แกว ช้ันเลว เพราะการท่ีตรงสวนน้ันเกิดเปนปมหยาบกระดางขึ้นมา ก็หาไม. ในทุกสวนแหงแกวมณีนั้น สวนใดบริสุทธิ์ สวนนั้นยอม บันดาลแตความบันเทิงแกผูคน ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคล พวกท่ีบวชในพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจาแลวก็ยังเวียน กลับมาสูเพศที่เลวไดอีกน้ัน, บุคคลเหลาน้ันจัดวาเปนคนหยาบ
วรรคที่ ๑, พุทธวรรค ๔๑ กระดาง เปนสะเก็ดในพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจา, ก็แล พระศาสนาของพระชินวรพุทธเจา จะไดชื่อวาเปนของตํ่าทราม เพราะการที่บุคคลเหลาน้ันยังเวียนกลับมาสูเพศที่เลวไดอีก ก็หา ไม. พวกภิกษุทั้งหลายผูดํารงอยูไดในพระศาสนาน้ัน ยอมเปน ผูทาํ ความบันเทิงใหเกิดแกเทวดาและมนุษยท้ังหลาย ฉันนั้น เหมอื นกัน. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา แมแตจันทนแดงที่ถึง พรอมดวยชาติพันธ ก็ยังมีบางสวนเนาเสีย หมดกลิ่นไป. จันทน แดงจะไดช่ือวาเปนของเลวเพราะเหตุน้ัน ก็หาไม. ในบรรดาสวน เหลาน้ัน สวนท่ีไมเนาเสีย มีกล่ินหอมดี ยอมแพรไป ทาํ ใหหอม ตลบไปโดยรอบ ฉันใด, ขอถวายพระพร บคุ คลพวกที่บวชในพระ ศาสนาของพระชินวรพุทธเจาแลวก็ยังเวียนกลับมาสูเพศที่เลวได อกี , บุคคลเหลานนั้ จัดวา เปน ผทู ีค่ วรถูกขจัดทงิ้ ในพระศาสนาของ พระชนิ วรพทุ ธเจา ดุจสว นท่ีเนาเสยี ในแกน จนั ทนแ ดง ฉะน้ัน, ก็แล พระศาสนาของพระชินวรพุทธเจาจะไดช่ือวาเปนของต่ําทราม เพราะการที่คนเหลาน้ันยังเวียนกลับมาสูเพศท่ีเลวไดอีก ก็หา ไม พวกภิกษุท่ีดาํ รงอยูไดในพระศาสนาน้ัน ยอมใชจันทรแดง คือศีลอันประเสริฐคอยฉาบทาโลกพรอมทั้งเทวดาไว ฉันน้ัน เหมือนกัน. พระเจามิลินท : “ดีจริง พระคุณเจานาคเสน เปนอัน พระคุณเจาไดแ สดงพระศาสนาของพระชนิ วรพทุ ธเจา อนั ถึงความ ไมม ีขอ นาตาํ หนโิ ดยความเปนพระศานาท่ปี ระเสริฐสดุ ดว ยเหตผุ ล
๔๒ กัณฑท ่ี ๕, อนุมานปญหา ทเ่ี หมาะสม (กบั อปุ มา) น้นั ๆ แลว, บคุ คลแมวาเวยี นกลบั มาสเู พศ ท่ีเลวไดอีก ก็ยังทาํ ความประเสริฐแหงพระศาสนาของพระชินวร พุทธเจาใหปรากฏได แล.” จบหนี ายาวตั ตนปญ หาท่ี ๕ คาํ อธิบายปญหาที่ ๕ ปญ หาเกย่ี วกับการเวียนมาสูเพศท่เี ลว เรยี กวา หนี ายา- วัตตนปญหา. เพศฆราวาส ช่อื วา เพศทีเ่ ลว เม่ือเทียบกบั เพศบรรพชติ เพราะครองเรือนบรโิ ภคกาม. คาํ วา สําเร็จในผลสักอยางหนึ่ง คอื สําเร็จในสามัญญ- ผลสกั อยา งหนึ่งในบรรดาสามญั ญผล ๔ มีโสดาปต ตผิ ลเปน ตน. ความวา สําเร็จเปน พระอรยิ บุคคลสักจําพวกหน่งึ ในบรรดาพระ อริยบุคคล ๔ จาํ พวก มีพระโสดาบันเปนตน. เปนความจริงวา บรรพชติ (นักบวช) ท่เี ปน พระอรยิ บุคคลทั้งหลาย ยอ มไมลาสิกขา เวียนกลับมาสูเพศที่เลวอีกเลยโดยประการท้ังปวง. คาํ วา ดว ยสงั วรเปน อนั มาก คือดว ยสังวร (ธรรมเครอื่ ง สาํ รวม) ๕ อยาง คือปาตโิ มกขสงั วร ๑ สตสิ ังวร ๑ ญาณสงั วร ๑ วริ ิยสังวร ๑ ขนั ติสงั วร ๑. จบคาํ อธิบายปญ หาที่ ๕
วรรคท่ี ๑, พุทธวรรค ๔๓ ปญ หาที่ ๖, อรหนั ตเวทนาเวทยิ นปญ หา พระเจา มลิ นิ ท : “พระคุณเจา นาคเสน พวกทา นกลา วกัน วา ‘พระอรหันตเสวยเวทนาอยางเดียว คือเวทนาทางกาย มิได เสวยเวทนาทางใจ’ ดงั น.้ี พระคณุ เจา นาคเสน จติ ของพระอรหนั ต อาศัยกายใดเปนไป พระอรหันตมิไดเปนใหญ มิไดเปนเจาของ มไิ ดม อี ํานาจเปนไปในกายน้ันหรือ อยางไร?” พระนาคเสน : “ถูกตองแลว มหาบพติ ร.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ขอท่ีพระอรหันต น้ันมิไดเปนใหญ มิไดเปนเจาของ มิไดมีอาํ นาจเปนไปในกายท่ี เปนไปสาํ หรับจิตของตนนี้ ไมสมควรเลย, พระคุณเจา แมแตนก อาศัยอยปู ระจําในรังไหน, ก็ยอ มเปน ใหญ เปน เจา ของ มีอํานาจ เปนไปในรังน้ัน.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ธรรม ๑๐ อยางเหลานี้ คลอยตามกาย แลนตามกาย แปรเปลี่ยนไปตามกายทุก ๆ ภพ. ธรรม ๑๐ อยางอะไรบาง ไดแ ก ความเยน็ ความรอ น ความหิว ความกระหาย อุจจาระ ปสสาวะ ความงวง ความแก ความ เจ็บปวย ความตาย. ขอถวายพระพร ธรรม ๑๐ อยางเหลานแ้ี ล คลอ ยไปตามกาย แลน ไปตามกาย แปรเปลี่ยนไปตามกายทุก ๆ ภพ, พระอรหันตมิไดเปนใหญ มิไดเปนเจาของ มิไดมีอํานาจ เปน ไปในกายนน้ั .”
๔๔ กณั ฑที่ ๕, อนุมานปญหา พระเจา มลิ นิ ท : “พระคุณเจานาคเสน เพราะเหตไุ ร พระ อรหันตจึงหาอาํ นาจหรือความเปนใหญในกายมิไดเลา? ขอทาน จงบอกเหตผุ ลในขอ ท่วี า น้ันแกขา พเจา เถิด.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา สัตวท้ังหลายที่อาศัยแผนดินเหลาใดเหลาหนึ่ง, สัตว เหลาน้ันทั้งหมด ยอมเท่ียวไปได อยูได สําเร็จความเปนไปได เพราะลวนแตไดอาศัยแผนดิน, ขอถวายพระพร สัตวเหลาน้ันมี อํานาจหรือความเปนใหญเปนไปในแผนดินหรือ?” พระเจา มิลนิ ท : “หามไิ ด พระคุณเจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉันน้ัน จิตของพระอรหันตอาศัยกายเปนไป, แตวาพระ อรหันตหามีอาํ นาจหรือความเปนใหญเปนไปในกาย ไม.” พระเจามลิ นิ ท : “พระคณุ เจา นาคเสน เพราะเหตุไรผเู ปน ปุถุชนจึงเสวยเวทนาทางกายก็ได ทางใจกไ็ ดเลา?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ปถุ ชุ นเสวย เวทนาทางกายก็ได ทางใจกไ็ ด เพราะมิไดอ บรมจิต. ขอถวายพระ พร เปรยี บเหมอื นวา โคที่หิวอยู ทอี่ ยากกินอยู ถกู เขาผกู ตดิ ไวทก่ี อ หญาเล็ก ๆ อนั ไมมกี าํ ลัง อันออ นกําลงั หรือทีเ่ ถาวัลย, เวลาใด โค ตวั น้ันกาํ เริบ (หงดุ หงดิ ) ขนึ้ มา, เวลานนั้ มันจะหลกี ไปเสยี พรอ ม กับสิ่งที่ผูกติด ฉันใด, ขอถวายพระพร เวทนาของปุถุชนผูไมได อบรมจติ เกดิ ขึน้ แลวกท็ าํ จิตใหก ําเริบ, จิตท่กี าํ เรบิ ยอมดัด ยอ ม บิดซง่ึ กาย ยอ มทํากายใหแปรปรวนไป. เมอ่ื เปน เชนน้นั ปุถชุ นผูมี
วรรคที่ ๑, พทุ ธวรรค ๔๕ จิตมิไดอ บรมน้นั จึงสะดงุ กลัว จงึ รอง จงึ สง เสยี งรอ งดงั นา กลัว, ขอ ถวายพระพร น้คี ือเหตใุ นเรอื่ งนท้ี ท่ี าํ ใหปุถชุ นเสวยเวทนาทางกาย กไ็ ด ทางใจก็ได.” พระเจามิลนิ ท : ก็เหตุอะไรเลา ท่ที าํ ใหพระอรหันตเสวย เวทนาอยา งเดยี ว คือเวทนาทางกาย มิไดเ สวยเวทนาทางใจ?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร จิตของพระ อรหันตเปนธรรมชาติที่ไดอบรมแลว อบรมดีแลว ฝกแลว ฝกดี แลว จึงทําไดตามที่พูดเปนแนแท, พระอรหันตน้ัน เมื่อถูก ทกุ ขเวทนากระทบเอา กย็ อ มถือมนั่ วา ‘ไมเทย่ี ง’ เปนตน ยอ มผูก จิตไวท่ีเสาคอื สมาธิ จิตของทานที่ผกู ไวทเี่ สาคือสมาธินัน้ ยอ มไม คลอนแคลน ไมสั่นไหว, เปนธรรมชาติต้ังอยูไมซัดสาย. เพราะ ความแผไ ปแหง วกิ ารของเวทนานน้ั กายของทานก็ยอมคดไป บิด ไป แปรปรวนไป. ขอถวายพระพร น้ีคือเหตุในเรื่องน้ี ซึ่งจัดเปน เหตุที่ทาํ ใหพระอรหันตเสวยเวทนาอยางเดียว คือทางกาย มิได เสวยเวทนาทางใจ.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ขอท่ีวา เมื่อกาย หว่ันไหว แตจติ กลบั ไมห ว่ันไหว ช่ือวาเปน ของนา อศั จรรยในโลก, ขอทานจงบอกเหตุผลในเรือ่ งนั้นแกข า พเจา เถิด.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เม่อื ตน ไมต น ใหญโตอนั สมบรู ณดว ยลาํ ตน กง่ิ และใบ ถูกกําลังลมกระหน่ํากิง่ ไมก ็ยอ มส่ันไหว, ลําตนแหง ตนไมนนั้ กย็ อ มส่ันไหวดว ยหรอื หนอ?” พระเจามิลนิ ท : “หามไิ ด พระคณุ เจา ”
๔๖ กัณฑท ่ี ๕, อนุมานปญหา พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้น พระอรหันตพอถูกทุกขเวทนากระทบเอา ก็ยอมถือม่ัน วา ‘ไมเที่ยง’ เปนตน, ยอมผูกจิตไวท่ีเสาคือสมาธิ, จิตของ ทานที่ผูกไวท่ีเสาคือสมาธินั้น ยอมไมคลอนแคลน ไมสั่นไหว, เปนธรรมชาติตั้งอยูไมซัดสาย. เพราะความแผไปแหงวิการของ เวทนาน้ัน กายของทานก็ยอมคดไป บิดไป แปรปรวนไป, แตวา จิตของทานยอมไมคลอนแคลน ไมส่ันไหว เหมือนลาํ ตนแหง ตนไมใหญ ฉะน้ัน.” พระเจามิลินท : “นาอัศจรรยจริง พระคุณเจานาคเสน นาแปลกจริง พระคุณเจานาคเสน, ขาพเจาไมเคยเห็นประทีป สองธรรมไดตลอดกาลท้ังปวง เชนนี้มากอนเลย.” จบอรหันตเวทนาเวทิยนปญหาท่ี ๖ อธิบายปญ หาท่ี ๖ ปญหาเก่ียวกับการเสวยเวทนาแหงพระอรหันต ช่ือวา อรหันตเวทนาเวทยิ นปญ หา. ในบรรดาธรรม ๑๐ อยาง มีความเย็น ความรอนเปนตน นั้น ช่ือวา ความงวง (ถีนมิทธะ) ที่ยังเปนไปแกกายของพระ อรหันตนั้น ไดแก ความกะปลกกะเปลี้ยเพลียแรงแหงรางกายที่ เปนเหตุใหทานรูวา ถึงคราวจาํ ตองพักกายดวยการนอนหลับ เทานั้น ไมใชความโงกงวงอยางท่ีเปนนิวรณที่เรียกวาถีนมิทธ- นิวรณ เพราะพระอรหันตละนิวรณทั้งหลายไดแลว. ความวา
วรรคที่ ๑, พทุ ธวรรค ๔๗ ธรรม ๑๐ อยางคลอยตามกาย คือเปนไปเน่ืองกับกาย เพราะ ฉะนั้น แมพระอรหันตเม่ือทานมีกาย ทานก็ยอมมีเวทนา เสวยอารมณในคราวท่ีรางกายของทานเกิดเย็น เกิดรอนข้ึน เปนตน. ในอุปมา, สัตวทั้งหลาย แมวาอาศัยอยูบนพื้นแผนดิน ก็หามีอาํ นาจเหนือพ้ืนแผนดินไม ฉันใด จิตของสัตวทั้งหลาย ในปญจโวการภูมิ (ภูมิท่ีมีขันธ ๕) แมวาเปนไปอาศัยกาย ก็หา มีอํานาจเหนือกายเกี่ยวกับจะบังคับกายวา จงอยาเย็น จงอยา รอนเปนตน เพื่อประโยชนแกการหามความเกิดข้ึนแหงเวทนา ทางกายไม ฉันน้ันเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เมื่อเปนเชนน้ี พระอรหันตก็ยังตองมีเวทนาเสวยอารมณเปนสุขเวทนา เปน ทุกขเวทนา ในคราวท่ีมีความเย็น ความรอน เปนตน มากระทบ กาย ซึ่งเปนกายที่ไมอาจบังคับบัญชาไดนั้น พูดงาย ๆ วาทาน ตองคอยรูสึกสุขทุกขทางกาย. ก็แตวา เมื่อเกิดสุขเวทนาทาง กายข้ึน จิตใจของทานก็มิไดหว่ันไหวไปดวยอาํ นาจความยินดี, เมื่อเกิดทุกขเวทนาทางกายข้ึน จิตใจของทานก็มิไดหว่ันไหวไป ดวยอาํ นาจความยินราย ทวา ตั้งมั่นวางเฉยในสุขและทุกขน้ัน น้ีเปนความหมายของคําวา ทานเสวยเวทนาทางกายอยางเดียว มิไดเสวยเวทนาทางใจดวย ในท่ีน้ี. ถามวา เพราะเหตุไร ตอบ วา เพราะทานไดอบรมจิตไวดีแลว, สวนผูเปนปุถุชนทั้งหลาย เม่ือเกิดสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาทางกายข้ึน จิตใจก็ยอม หว่ันไหวไปดวยอาํ นาจความยินดีหรือยินราย ชื่อวา ยอมเสวย
๔๘ กณั ฑท่ี ๕, อนุมานปญหา เวทนาท้ังทางกาย ท้ังทางใจ. ถามวา เพราะเหตุไร ตอบวา เพราะปุถุชนมิไดอบรมจิตไวดีแลว อยางจิตของพระอรหันต จบคาํ อธิบายปญหาท่ี ๖ ปญ หาที่ ๗, อภสิ มยันตรายกรปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน คฤหัสถคนใดคน หนึ่งในโลกน้ีเปนผูตองปาราชิก ในสมัยตอมาอีก คฤหัสถผูน้ัน ไดบวช, ทั้งตัวเขาเองก็ไมรูวา ‘เราเปนคฤหัสถผูตองปาราชิก’, ท้ังใครคนอ่ืนก็ไมไดบอกเขาวา ‘ทานเปนคฤหัสถผูตองปาราชิก’. ก็คฤหัสถผูนั้นพึงปฏิบัติเพื่อความเปนผูตรัสรูธรรมน้ัน, เขาจะ พึงมีการตรัสรูธรรมไดหรือไมหนอ?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เขาจะมีการตรัสรูธรรม มไิ ด.” พระเจา มิลนิ ท : “เพราะเหตไุ รหรือ พระคณุ เจา.” พระนาคเสน : “เหตุเพอื่ การตรสั รธู รรมใด, เขาขาดเหตนุ ้ัน, เพราะฉะนนั้ จงึ ไมมกี ารตรสั รูธ รรม.” พระเจา มิลนิ ท : “พระคณุ เจานาคเสน พวกทานกลา วกนั วา ‘เม่ือรูอยู ก็ยอมมีกุกกุจจะ (ความหงุดหงิดใจ, ความกลัด กลุมใจ) เมื่อมีกุกกุจจะก็ชื่อวามีเครื่องขวางก้ัน, เม่ือจิตถูกขวาง กัน้ ก็ยอมไมมกี ารตรัสรูธรรม’ ดงั น้ี. กแ็ ตว า สาํ หรบั บคุ คลผูไ มร อู ยู (วาตองปาราชิก) ไมเกิดกุกกุจจะ มีจิตสงบอยูนี้ เพราะเหตุไร
วรรคที่ ๑, พทุ ธวรรค ๔๙ จึงหาการตรัสรูธรรมมิไดเลา. ปญหานี้ ยอมถึงแกทานผูหาใคร เสมอเหมือนมิได, ขอทานจงคิดเฉลยเถิด.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร พืชมีประโยชนท ่ีเขาฝง ไว อยางดีในทองไรทองนาอันไถพรวนดีแลว อันทําใหเปนดินเปยก นุมดแี ลว ยอมงอกงามไดมิใชหรือ?” พระเจา มิลนิ ท : “ใช ยอมงอกงามได พระคุณเจา .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร พืชอันเดียวกันน้ันนั่น แหละ พึงงอกงามบนพ้ืนหินแหง ภเู ขาหินทบึ ตัน ไดหรือไม?” พระเจามลิ นิ ท : “มิไดหรอก พระคุณเจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เพราะเหตุไรบนดินเปยก นุม พืชนั้นนั่นแหละจึงงอกงามได, เพราะเหตุไรบนเขาหินทึบตัน จึงงอกงามไมไ ด?” พระเจามลิ นิ ท : “พระคณุ เจา บนภเู ขาหินทบึ ตนั ไมม ีเหตุ เพ่อื ใหพืชนนั้ งอกงาม พชื ไมงอกงามเพราะไมม เี หตุ.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉนั ใด อปุ มัยกฉ็ นั น้ัน เหมือนกัน บคุ คลผนู นั้ จะพงึ มีการตรสั รูธ รรมได เพราะอาศยั เหตุ ใด, เขาขาดเหตุน้ันไป, เพราะไมม ีเหตุ เขาจงึ ไมม ีการตรสั รธู รรม. ขอถวายพระพร อีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา ทอนไม กอนหิน ไมตะบอง ไมคอน ยอมถึงความต้ังอยูไดบนพื้นดิน, ขอถวายพระพร ทอนไม กอนดิน ไมตะบอง ไมคอน เหลาน้ันน่ัน แหละพึงถึงความต้ังอยูในกลางหาวไดหรือไม?”
๕๐ กณั ฑที่ ๕, อนมุ านปญหา พระเจามิลนิ ท : “มิไดห รอก พระคณุ เจา.” พระนาคเสน : “มีเหตุอะไรในเรื่องน้ีเลา ท่ีทําใหทอนไม กอ นดนิ ไมต ะบอง ไมคอนเหลา น้ันนน่ั แหละ ถึงความต้งั อยูไ ดบ น พื้นดินได, เพราะเหตุไร ทอนไมเปนตนเหลาน้ันน่ันแหละจึงตั้งอยู ในกลางหาวมิได? ” พระเจามิลินท : “เหตุท่ีทําใหทอนไม กอนหิน ไมตะบอง ไมคอนเหลานั้นน่ันแหละ ต้ังอยูในอากาศได หามีไม, เพราะไมมี เหตุ จงึ ต้งั อยไู มไ ด.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลผูน้ันจะพึงมีการตรัสรูธรรมได เพราะ อาศยั เหตุใด, เขาขาดเหตุน้ันไป, เพราะไมมีเหตุ เขาจึงไมมีการ ตรัสรูธรรม. ขอถวายพระพร อกี อยา งหน่ึง เปรยี บเหมอื นวา ไฟยอมลกุ โพลงไดบนบก, ขอถวายพระพร ไฟน้ันน่ันแหละ ยอมลุกโพลงใน นํา้ ไดหรือหนอ?” พระเจา มิลนิ ท : “มไิ ดห รอก พระคณุ เจา .” พระนาคเสน : “มเี หตุอะไรในเรื่องนี้เลา ทีท่ ําใหไ ฟนน้ั นน่ั แหละ ลุกโพลงบนบกได, เพราะเหตุไรจงึ ลกุ โพลงในนํ้ามไิ ด?” พระเจา มลิ นิ ท : “เหตุทที่ าํ ใหไ ฟนน้ั นนั่ แหละ ลกุ โพลงใน น้าํ ได หามีไม, เพราะไมม ีเหตุ จงึ ลุกโพลงไมไ ด. ” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน บุคคลผูนั้นจะพึงมีการตรัสรูธรรมได เพราะ
วรรคท่ี ๑, พุทธวรรค ๕๑ อาศัยเหตุอันใด, เขาขาดเหตนุ น้ั ไป, เพราะไมม เี หตุ เขาจึงไมม กี าร ตรสั รูธรรม.” พระเจามิลนิ ท : “พระคณุ เจา ขอทา นจงคิดอรรถาธบิ าย ขอนี้อีกครั้งหนึ่งเถิด, ในขอที่วา เม่ือไมรูอยูก็ไมมีกุกกุจจะ เม่ือไม มีกุกกุจจะก็ไมมีสิ่งขวางกั้น ดังน้ีนั้น ขาพเจายังไมมีความเขาใจ, ขอทานจงทาํ ใหข า พเจาเขา ใจดว ยเหตุผลเถิด.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ยาพิษท่ีแรงกลา ท่ี บุคคลไมรูไปกินเขา ยอมคราชีวิตไดมิใชหรือ?” พระเจามิลินท : “ใช, ยอมคราชีวิตได พระคุณเจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน บาปที่บุคคลผูแมไมรูกระทาํ ยอมเปนส่ิงทํา อันตรายตอการตรัสรูได. ขอถวายพระพร อนึง่ อสรพิษกัดผทู ีไ่ มร ู ก็ยอ มคราชีวิตได มิใชหรือ?” พระเจา มิลนิ ท : “ใช, ยอมครา ชีวิตได พระคุณเจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน บาปที่บุคคลผูแมไมรูกระทาํ ยอมเปนสิ่งทํา อันตรายตอการตรัสรูได. ขอถวายพระพร พระเจากาลิงคะผูมาจากสกุลสมณะ ผู เกลื่อนกลนดวยแกว ๗ ประการ เสด็จข้ึนชางแกวไปเย่ียมสกุล แมวาพระองคไ มท รงรอู ยู ก็ไมอ าจเสดจ็ ขา มไปเหนือแดนตรสั รไู ด, เรอ่ื งพระเจา กาลงิ คะนี้ เปนเหตผุ ลในขอทีว่ า บาปทบ่ี คุ คลผแู มไ มรู
๕๒ กัณฑที่ ๕, อนมุ านปญหา กระทําเขา กย็ อมเปน สง่ิ อันตรายตอ การตรัสรู น้ี.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน เหตุผลท่ีพระชินวร พุทธเจาตรัสไว ใคร ๆ ไมอาจปฏิเสธได คําอรรถาธิบายในเรื่องนี้ ขาพเจาขอยอมรับตามประการท่ีทา นกลาวมาน้ัน.” จบอภิสมยนั ตรายกรปญ หาท่ี ๗ คําอธบิ ายปญ หาท่ี ๗ ปญหาเกี่ยวกับบุคคลผูมีธรรมที่ทาํ อันตรายแกการตรัสรู ชื่อวา อภิสมยันตรายกรปญหา. คาํ วา เปน ผตู อ งปาราชกิ ความวา บคุ คลชอื่ วา “ปาราชกิ - ผูแพ” เพราะไมอ าจเจรญิ สิกขา ๓ เพ่ือการตรัสรูธรรม เอาชนะ กิเลสท้ังหลายได เหตุเพราะมีธรรมที่สรางอันตราย คือ ขัดขวาง การเจริญสกิ ขา ๓ เพ่อื การตรสั รนู ้ัน. ไดแ ก เปน ผูถ ึงความเปน ปาราชิกดังกลาวน.ี้ ก็บุคคลผเู ปน ปาราชิก มี ๒๔ จาํ พวก. ใน ๒๔ จาํ พวกนั้น ที แรก ๘ จําพวกกอน คอื ภิกษุผูตอ งอาบัตปิ าราชิก ๔ ขอนับเปน ๔ จาํ พวก. และภกิ ษณุ ีผตู อ งอาบัติปาราชกิ ๔ ขอ นับเปน ๔ จําพวก. บคุ คล ๘ จาํ พวกน้ี สน้ิ ความเปนสมณะแลว หากวายงั ครองเพศ สมณะ ปดบัง ไมประกาศความส้ินความเปนสมณะของตนให ภกิ ษรุ ปู อ่นื ทราบ แลวลาสิกขาเวียนกลบั มาสเู พศฆราวาสแลว ก็ ไมอ าจตรัสรูธ รรมคืออริยสัจจธรรมทงั้ ๔ ได ยอมไมอ าจแมเ พยี ง ทาํ วปิ สสนาญาณทัง้ หลายใหเ กิดได.
วรรคที่ ๑, พุทธวรรค ๕๓ ตอมา ไดแก อภัพพบุคคล (บุคคลผูอาภัพตอการตรัสรู ธรรม) ๑๑ จําพวก ใน ๑๑ จําพวกน้ี ๓ จําพวก คือ บัณเฑาะก (กะเทย) คน ๒ เพศ และสัตวเดรัจฉาน เปนอภัพพบุคคลไมอาจ ตรัสรูธรรมไดเพราะมีวัตถุวิบัติ (คือมีปฏิสนธิจิตเปนอเหตุกะซึ่ง ออนแอ ไมอ าจรองรับคณุ ธรรมช้นั สงู ๆ ได) แมพ ระตถาคตกท็ รง ปฏเิ สธการบวช. บุคคล ๓ จาํ พวกน้ี แมไมอาจตรัสรูธ รรมได กอ็ าจ ทําบุญไปสวรรคได. สวนอีก ๘ จาํ พวก คือ ผูปลอมบวชซึ่ง หมายถึงผบู วชเองไมม ีอปุ ช ฌายอ าจารย ผเู ขา รตี เดยี รถีย (เปลี่ยน ความนับถอื ไปนบั ถือลัทธิเดยี รถียน นั่ เอง) ผฆู า มารดา ผฆู า บิดา ผู ฆาพระอรหันต ผูทาํ พระโลหิตของพระพุทธเจาใหหอข้ึน ผูยุยง สงฆใ หแตกกนั และผปู ระทษุ รายพระภิกษณุ ี ชอ่ื วา เปน คนอาภพั ไมอาจตรสั รธู รรมไดเพราะมกี ิรยิ าวิบตั ิ กลาวคือ ผูปลอมบวชและ ผูเขารีตเดียรถีย (ท่ีเขามาบวชในพระศาสนานี้) มีกิริยาคือการ กระทําท่ีวิบัติคือเปนโทษท่ีพระพุทธเจาทรงหามการบวช แต บคุ คลเหลา น้อี าจทาํ บุญเพื่อไปสวรรคได ผกู ระทําอนนั ตรยิ กรรม ๕ อยาง มฆี า มารดาเปน ตน รวม ๕ จาํ พวก มีกิริยาวบิ ตั คิ ือการทํา กรรมหนักเกนิ ไป ทงั้ พระองคกท็ รงหา มการบวชของบคุ คลเหลา น้ี การกระทําของบุคคลเหลาน้ี เปนท้ังสัคคาวรณ คือหามการไป สวรรค เปนทั้งมัคคาวรณ คอื หามการบรรลุมรรค เพราะฉะน้ัน จึง ไมอาจตรัสรูธรรมได. สวนผูประทุษรายภิกษุณี ก็มีกิริยาวิบัติ เก่ียวกับมีการทาํ รายทุบตีเปนตน ตอพระภิกษุณีนั่นแหละ ทั้งพระองคก็ทรงหามการบวช. ๑๑ จาํ พวกดังกลาวมานี้ รวมกับ
๕๔ กณั ฑท ี่ ๕, อนุมานปญหา ๘ จาํ พวกขางตน ก็เปนปาราชิก ๑๙ จําพวก. ยังมีอีก ๕ จาํ พวก คือภิกษุณีท่ีเกิดความยินดีชอบใจใน เพศฆราวาส แมบ วชเปน ภกิ ษณุ ีแลว กเ็ วยี นกลับมาอยคู ลกุ คลีกับ พวกฆราวาส ทาํ เวลาใหลวงไปโดยมากดวยการทํากิจนอยใหญ รว มกบั พวกฆราวาส ราวกะวาเปน ฆราวาสผูหนง่ึ หาความสาํ นึก สําเหนียกวา “เราเปนสมณะ” มิได. แมไมมีความประพฤติท่ี นับวาอัชฌาจาร (ความประพฤติเกินเลยขอบเขตคือการเสพ เมถุน) ก็ถึงความเปนปาราชิก หาการตรัสรูธรรมมิได พวกที่ ทานเรียกวา “ลัมพี” เพราะเหตุที่มีองคชาตยาวเกินปกติคน ทั่วไป ก็อยางนั้น. พวกที่ทานเรียกวา “มุทุปฏฐกะ-คนหลังออน) อันไดแกพวกนักฟอนราํ ที่พยายามดัดรางกายของตนใหออน ราวกะไมมีกระดกู เพอ่ื ประโยชนแกศลิ ปะการฟอนราํ ของตน ก็ หาการตรัสรูธรรมมิได. พวกที่ชอบเสพเมถุนโดยการสอดใส องคชาตของตนเขาปากผูอ่ืนก็หาการตรัสรูธรรมมิได. และ พวกท่ีช่ืนชมยินดีองคชาตของผูอ่ืน ก็หาการตรัสรูธรรมมิได. บุคคล ๕ จาํ พวกเหลาน้ี หาการตรัสรูธรรมมิไดเพราะมีราคะ หนาแนนเกินไป แมเพียงวิปสสนาญาณก็ไมอาจทําใหเกิด ได. รวมบุคคลผูเปนปาราชิกได ๒๔ จําพวก ตามประการ ดังกลาวมาน.ี้ ใน ๒๔ จาํ พวกนน้ั พวกที่ตอ งอาบัติ ๒ ฝา ย ๘ จาํ พวก, พวกท่ียุยงใหแตกแยกกัน, พวกปลอมบวช, พวกเขารีตเดียถีย, และภิกษุณีท่ียินดีในเพศฆราวาส ช่ือวา “ภิกษุปาราชิก” (ชื่อนี้
วรรคที่ ๑, พุทธวรรค ๕๕ หมายรวมทั้งภิกษุท้ังภิกษุณี) เพราะถึงความเปนปาราชิกเม่ือได บวชครองเพศเปนภิกษุหรือภิกษุณี หากยังไมไดบวช ก็ยังไมถึง ความเปนปาราชิก. สวนพวกที่เหลือ มีพวกที่มีวัตถุวิบัติเปนตน ช่ือวา “คิหิปาราชิก” เพราะแมไมไดบวชยังถือเพศคฤหัสถน่ันเทียว เมื่อมีความเปนอยางน้ัน ก็เปนปาราชิกได. พระเจามิลินททรง หมายเอาพวกคิหิปาราชิกเหลาน้ี ปรารภแตงเปนปญหาถาม พระนาคเสน. ก็คนเหลาน้ี แมหากวาพระพุทธเจาไมทรง บัญญัติสิกขาบทหามการบวชไว แมมีโอกาสไดบวช เพราะเหตุ ที่ตนเองไมรูถึงความเปนคนปาราชิกของตนก็ดี พระอุปชฌาย เปนตนไมรูก็ดี ไดบวชแลว แมมีโอกาสไดประพฤติปฏิบัติธรรม มากมายเพียงใดก็ตาม ก็ไมอาจตรัสรูธรรมไดเลย เม่ือเปน เชนน้ี จะปวยกลาวไปไย ในคราวท่ีพระพุทธเจาทรงบัญญัติ สิกขาบทหามการบวชไวแลวเลา. คาํ วา เหตุเพื่อการตรัสรูธรรมใด, เขาขาดเหตุน้ัน ความวา การเจริญสิกขา ๓ อันเปนสวนเบื้องตนซ่ึงเปนเหตุ แหงการตรัสรูอริยสัจธรรมในกาลตอมา ใด, เขาขาดเหตุน้ันไป. เพราะเหตุไรจึงขาด? เพราะเหตุท่ีตนเปนคนปาราชิก เพราะ ฉะนั้นจึงไมอาจทาํ เหตุน้ันได. อธิบายวา ความไมรูตนเองวา ตนเปนคนปาราชิก ไมมีความกลัดกลุมในเรื่องน้ี มิไดเปนเหตุ ชวยใหมีการตรัสรูธรรม. จบคําอธิบายปญหาที่ ๗
๕๖ กัณฑท ่ี ๕, อนุมานปญหา ปญ หาท่ี ๘, ทสุ สีลปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน อะไรเปนความ แปลกกนั , อะไรเปน ขอแตกตางกนั ระหวา งคฤหสั ถท ศุ ลี กบั สมณะ ทศุ ลี , บุคคลทัง้ ๒ น้ี มีคตเิ สมอเหมือนกันหรอื , ทานที่ใหแ กบ คุ คล ทั้ง ๒ มีวิบากเสมอเหมือนกันหรือ, หรือวายังมีอะไรท่ีเปนขอ แตกตางกนั อยเู ลา ?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร สมณะทุศลี ยัง มีคุณธรรมย่ิงกวาคุณธรรมของคฤหัสถผูทุศีลโดยพิเศษอยู ๑๐ ประการเหลานี้, และยังชําระทักขิณาทานใหหมดจดยิ่ง ๆ ข้ึนไป เพราะเหตุ ๑๐ ประการ. สมณะทุศีลยังมีคุณธรรมยิ่งกวาคุณธรรมของคฤหัสถ ทุศีลโดยพิเศษอยู ๑๐ ประการ อะไรบาง? ขอถวายพระพร มหาบพิตร สมณะทุศีลในพระศาสนานี้ : - ยังเปนผูมีความเคารพในพระพุทธเจา - ยังเปนผูมีความเคารพในพระธรรม - ยังเปนผูมีความเคารพในพระสงฆ - ยังเปนผูมีความเคารพในเพ่ือนพรหมจารี - ยังพยายามในอุเทศ (การเรียนพระบาลี) และปริปุจฉา (การเรียนอรรถกถา) - ยงั เปนผูม ากดวยการสดบั ตรบั ฟง - ขอถวายพระพร ผูเปนสมณะแมวาศีลขาด เปนคนทุศีล ไปทามกลางบริษัทแลว ก็ยังรักษาอากัปกิริยาไวได, รักษาความ
วรรคที่ ๑, พทุ ธวรรค ๕๗ ประพฤติทางกายไวได ความประพฤติทางวาจาไวไดเพราะกลัว การตเิ ตยี น, - ยงั มีจิตบายหนาตรงตอความเพยี ร, - ยังเปนผเู ขา ถึงสมญั ญาวา “ภกิ ษ”ุ , - ขอถวายพระพร สมณะทุศลี แมเ มอื่ จะทํากรรมช่ัว กย็ อ ม ประพฤติอยางปดบัง. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวาหญิงมี สามียอมประพฤตชิ วั่ ชา เฉพาะแตใ นที่ลับเทานั้น ฉนั ใด, ขอถวาย พระพร สมณะทุศีล แมเมื่อจะทํากรรมชั่ว ก็ยอมประพฤติอยาง ปดบัง ฉันนน้ั เหมอื นกัน แล, ขอถวายพระพร มหาบพิตร สมณะทุศีลยังมีคุณธรรมย่ิง กวา คฤหสั ถผ ูท ศุ ีลโดยพเิ ศษอยู ๑๐ ประการเหลานี้ แล. ยังชาํ ระทักขิณาทานใหหมดจดยิ่ง ๆ ข้ึนไปได เพราะเหตุ ๑๐ ประการ อะไรบา ง? - ยอมชาํ ระทักขิณาทานใหหมดจดได แมเพราะความท่ี ทรงเส้ือเกราะ (ผากาสาวพัสตร) อันหาโทษมิได, - ยอมชําระทกั ขณิ าทานใหห มดจดได แมเ พราะการไดท รง เพศคนหวั โลน ผมู สี มัญญาวา ฤๅษี (ภกิ ษ)ุ , - ยอมชําระทักขิณาทานใหหมดจดได แมเพราะความที่ เขาถึงความเปนตัวแทนสงฆท่ีเขานิมนต, - ยอมชําระทักขิณาทานใหห มดจดได แมเ พราะความเปน ผถู ึงพระพทุ ธเจา พระธรรม และพระสงฆ วาเปน สรณะ,
๕๘ กัณฑที่ ๕, อนุมานปญหา - ยอมชาํ ระทกั ขิณาทานใหหมดจดได แมเพราะความเปน ผูอ ยูอาศัยในบา นพกั อาศยั คือความเพียร, - ยอมชําระทักขิณาทานใหหมดจดได แมเพราะมีการ แสวงหาทรัพยคือพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจา, - ยอมชําระทักขิณาทานใหหมดจดได แมเพราะมีการ แสดงธรรมท่ียอดเย่ียม, - ยอมชําระทักขิณาทานใหหมดจดได แมเพราะความที่มี พระธรรมเปน ประทปี สองคติทไ่ี ปเบอ้ื งหนา, - ยอมชําระทักขิณาทานใหหมดจดได แมเพราะความที่มี ความเหน็ ตรงแนนอนวา “พระพทุ ธเจา ทรงเปนยอดบคุ คล” - ยอมชําระทักขิณาทานใหหมดจดได แมเพราะความท่ีมี การสมาทานอโุ บสถ, ขอถวายพระพร สมณะทุศีลยังชาํ ระทักขิณาทานใหหมด จดยิ่ง ๆ ขึ้นไปได เพราะเหตุ ๑๐ ประการเหลานี้ แล. ขอถวายพระพร เปน ความจรงิ วา สมณะทุศีล แมวาแสน วิบัติ ก็ยังชาํ ระทักขิณาทานของทายกท้ังหลายใหหมดจดได. ขอ ถวายพระพร เปรียบเหมือนวา น้าํ แมวาแสนจะขุนขน ก็ยังใช กําจัดโคลนตม เหงื่อไคล ขี้ฝุนได ฉันใด, สมณะทุศีล แมวา แสนวบิ ตั ิ ก็ยังชําระทกั ขณิ าทานของทายกทัง้ หลายใหหมดจดได ฉันนน้ั . ขอถวายพระพร อีกอยางหนึ่ง เปรียบเหมือนวา น้ํารอน แมวาแสนจะ (รอนจน) เดือด ก็ยอมทําไฟกองใหญท่ีกาํ ลังลุก
วรรคที่ ๑, พุทธวรรค ๕๙ โพลงใหดับได ฉันใด, สมณะทุศีล แมวาแสนวิบัติ ก็ยังชาํ ระ ทกั ขิณาทานของทายกท้ังหลายใหหมดจดได ฉันนนั้ . ขอถวายพระพร อกี อยา งหนงึ่ เปรยี บเหมอื นวา โภชนาหาร แมวาหารสชาติมิได ก็ยังใชกําจัดความหิว ความออนเพลียได ฉันใด, สมณะทุศีล แมวาแสนวิบัติ ก็ยังชาํ ระทักขิณาทานของ ทายกท้ังหลายใหหมดจดได ฉันนั้น. ขอถวายพระพร พระตถาคตผูเปนเทพยิ่งเหลาเทพ ทรง ภาสิตความขอนี้ไวในทักขิณาวิภังคพยากรณ (ทักขิณาวิภังค- สูตร) ในปกรณมัชฌิมนิกายอันประเสริฐ วา :- โย สีลวา ทุสฺสีเลสุ ททาติ ทานํ, ธมฺเมน ลทฺธํ สุปสนฺนจิตฺโต อภิสทฺทหํ กมฺมผลํ อุฬารํ, สา ทกฺขิณา ทายกโต วิสุชฺฌติ๑ แปลวา : บุคคลใดเปนผูมีศีล มีจิตเล่ือมใสดี เชื่อม่ันอยู ใหทานท่ีไดมาโดยธรรม ในบุคคลผูทุศีลท้ังหลาย บุคคลนั้นยอมไดรับผลของกรรมมากมาย ทักขิณานั้น ช่ือวา หมดจด โดยทางทายก. ดังน้ี. พระเจามิลินท : “นาอัศจรรยจริง พระคุณเจานาคเสน, นาแปลกจริง พระคุณเจานาคเสน, ขาพเจาไดถามปญหาถึง ๑. ม. อุ. ๑๔/๔๒๑.
๖๐ กณั ฑที่ ๕, อนมุ านปญหา เพียงนั้นแลว, ทานก็ไดเปดเผยปญหาน้ัน ทําใหมีรสชาติอรอย เปนอมตะใหนาฟงดวยอุปมา ดวยเหตุผลทั้งหลายมากมาย. ขาแตพระคุณเจา เปรียบเหมือนวา พอครัวหรือลูกมือของพอ ครัว ไดเนื้อถึงเพียงน้ันแลวก็ใชเคร่ืองปรุงหลายอยางตาง ๆ กัน มาปรุงใหสาํ เร็จเปนเคร่ืองเสวยของพระราชา ฉันใด, พระคุณเจา นาคเสน ขาพเจาไดถามปญหาถึงเพียงนั้นแลว, ทานก็ไดเปด เผยปญหานั้น ทาํ ใหมีรสชาติอรอย เปนอมตะ ใหนาฟงดวย อุปมา ดวยเหตุผลท้ังหลายมากมาย ฉันนั้น.” จบทุสสีลปญหาที่ ๘ คําอธบิ ายปญ หาที่ ๘ ปญ หาเกีย่ วกับคนทศุ ลี ช่อื วา ทสุ สีลปญ หา. คาํ วา บคุ คลทัง้ ๒ นี้ มีคตเิ สมอเหมอื นกนั หรือ ความวา บุคคลทง้ั ๒ คอื สมณะทุศีลและคฤหสั ถทศุ ีล น้ี มีคตคิ ือมีอาการ เปนไปแหงคุณสมบัติดานความเปนปฏิคาหก (ผูรับเอาทาน) เสมอเหมือนกนั หรอื . อธบิ ายวา สมณะแมวาทุศลี กย็ งั เปน ผมู คี ุณธรรมซงึ่ เปน คุณธรรมที่ดียง่ิ กวาคุณธรรมของคฤหัสถผูท ุศีลอยถู ึง ๑๐ ประการ, และยังชาํ ระทักขิณาทาน คือทานท่ีเขาถวายใหดวยมีความเช่ือ โลกหนา ใหห มดจดคอื ใหปราศจากมลทนิ ทเี่ ปน อปุ สรรคขัดขวาง การบันดาลผลตอบแทนมากมายแกทายกผูถวาย. ความวา ผู เปนสมณะเทาน้ันท่ีชาํ ระทักขิณาทานใหหมดจดได แมวาเปน ผูทุศลี , ไมใ ชผ ูเปน คฤหัสถ.
วรรคท่ี ๑, พุทธวรรค ๖๑ ใน ทักขิณาวิภังคสูตร๑ พระพุทธเจาตรัสปาฏิบุคคลิก ทักขิณาทาน (ทักขิณาทานท่ีเขาใหเจาะจงบุคคล) ไวถึง ๑๔ ประเภท ประเภทท่ี ๑๓ ที่วา “ปุถุชฺชนทุสฺสีเลสุ ทานํ เทติ - ยอมใหทานในปุถุชนคนทุศลี ” ดังนนี้ น้ั บณั ฑิตพงึ ทราบวา คําวา “ปถุ ุชนคนทศุ ีล” น้ี เปน อันสงเคราะหเ อาคฤหสั ถทศุ ีลทกี่ ลา วถึง ในทน่ี ี้ ในคราวท่ีเขาตงั้ อยูในฐานะเปนปฏคิ าหก, สวนในบรรดา สงั ฆคตทักขณิ าทาน (สังฆทาน) ๗ ประเภทน้นั ประเภทที่ ๖ ที่วา “เอตฺตเก เม ภิกขฺ ู สงฺฆโต อทุ ฺทิสฺสถ - ขอจงคัดเลือกภกิ ษุ จาํ นวนเทา นจ้ี ากพระสงฆแกกระผมเถิด” ดงั นี้ นนั้ พงึ ทราบวา คําวา “ภิกษุจํานวนเทา นี”้ น้ี เปน อันสงเคราะหเอาสมณะทศุ ีล ไดดวยทีเดียว ในคราวที่ไดรับการคัดเลือกจากสงฆใหเปนตัว แทนของสงฆไปเปนปฏิคาหกรับเอาปจจัยไทยธรรมที่เขาเตรียม ถวาย. ในบรรดาคุณธรรมพิเศษ ๑๐ ประการ คําวา ยังเปนผูมี ความเคารพในพระพุทธเจา เปนตน. ความวา เพราะไดบวช บวชแลว ไดฟ ง ธรรม ไดทาํ ธุระในพระศาสนา ไดท าํ กจิ ของสงฆเ ปน ตน อยูบา ง กย็ อ มมองเหน็ ความประเสริฐสุดในพระพุทธเจา เปน ตน ก็ยอมตระหนัก มคี วามเคารพในพระพุทธเจา เปน ตน . คาํ วา ก็ยังรักษาอากัปกิริยาไวได เปนตน ความวา เพราะกลวั การตเิ ตยี นทาํ นองอยางน้ีวา “ผูนไ้ี ดบ วชในพระศาสนา ๑. ม. อุ. ๑๔/๔๑๕.
๖๒ กัณฑที่ ๕, อนมุ านปญหา ท่ีประเสริฐแลวก็จริง แตก็ไมไดรับประโยชนอะไร ๆ ที่ควรไดจาก การบวช แมบวชก็เหมือนไมไดบวช ยังประพฤติอยางพวก ฆราวาสทั้งหลายอยูน่ันเอง เพราะแมแตอากัปกิริยาความ ประพฤติทางกาย ทางวาจา ก็ไมรูจักจะระมัดระวังสํารวม”ดังนี้ เปนตน จึงเปน ผรู จู ักจะรกั ษาอากปั กริ ิยาเปนตนอยูบาง. คําวา ยังมีจิตบายหนาตรงตอความเพียร ความวา เพราะอยูทามกลางภิกษุผูมีศีลท้ังหลาย ผูปรารภความเพียร ขวนขวายในธุระทั้ง ๒, ตนแมเปนคนทุศีลก็ยอมเกิดความ สาํ คัญตระหนักวาชีวิตสมณะเปนชีวิตที่ทําเวลาใหลวงเลยไป ดวยการปรารภความเพียร เม่ือเปนเชนนี้ ก็ยอมสําเหนียก โอกาสท่ีจะปรารภความเพียรเพื่อทําประโยชนตนอยูบาง. ในบรรดาเหตุท่ีทาํ ใหชําระทักขิณาทานใหหมดจด ๑๐ ประการ, คําวา “ยอมชาํ ระทักขิณาทานใหหมดจดได แม เพราะความท่ีเขาถึงความเปนตัวแทนสงฆที่เขานิมนต” คือ แมตนจะเปนสมณะศีลขาด แมกระท่ังวาขาดความเปนสมณะ แลว เม่ือสงฆยังไมรูความเปนคนศีลขาด ต้ังตนเปนตัวแทนของ สงฆรับนิมนตเพื่อฉันภัตตาหารยังเรือนของทายกเปนตน ทายก แมวารูวาตนเปนคนศีลขาด หาความเปนสมณะมิไดแลวแตเม่ือ สามารถทําใจไวในฐานะสงฆ ไมใชในฐานะบุคคลแตละคน วา “ผูนี้มาในฐานะสงฆ” , เลอ่ื มใสในความเปน สงฆอ ยู ประเคนปจ จยั ไทยธรรมถวายใหอยางเคารพ ความเปนผูต้ังอยูในฐานะสงฆใน
วรรคที่ ๑, พทุ ธวรรค ๖๓ เวลาน้ันซึ่งทายกก็สาํ คัญอยู ยอมชําระทักขิณาทานท่ีเขาถวาย ใหนั้น ใหหมดจดได คือทาํ ใหไดรับอานิสงสมากมาย เชน เดียวกับท่ีไดถวายในพระสงฆผูมีศีลท่ัวไปน่ันเอง เพื่อความแจม- แจงในความขอนี้ ก็ใครขอสาธกเร่ืองของนายบานผูเปนเจาของ วิหาร (วัด). มีเรื่องวา นายบานผูเปนเจาของวิหารคนหน่ึง คิดวา “เราจักถวายสังฆทาน” จึงไปยังวิหาร รองขอตอสงฆวา “ขอ จงเลือกพระภิกษุแกกระผมสักรูปหนึ่งเถิด เจาขา” พระสงฆ คัดเลือกภิกษุรูปหน่ึงไป นายบานไดนิมนตใหภิกษุรูปน้ันน่ังบน อาสนะที่ตนปูลาดไวอยางดี ในสถานท่ีท่ีไดชาํ ระทําความ สะอาดไวดีแลว ท่ีเบื้องบนเพดานประดับดอกไมของหอมตาง ๆ วิจิตรสวยงาม, ลางเทาให ทานํา้ มันให เสร็จแลวก็ไดถวาย ไทยธรรม (ของท่ีควรถวาย) แกภิกษุรูปน้ัน โดยอาการท่ีบุคคล ท้ังหลายผูมีความเคารพยําเกรงในพระสงฆควรทาํ . ภิกษุรูปน้ัน กลับไปแลว ในเวลาเย็นกลับมาที่เรือนของนายบานผูนี้อีกกลาว วา “อาตมาขอยืมจอบหนอย”, อุบาสกนายบานผูน้ันเวลานั้น นั่งอยู ก็ไมลุกข้ึนตอนรับ ใชเทาเข่ียจอบที่วางทิ้งอยูใกลตัว ใหไป พรอมทั้งกลาววา “เอาไปสิ”, คนท้ังหลายพูดกะเขาวา “เม่ือเชาทานทาํ การบูชาสักการะพระภิกษุรูปน้ีเสียดีนักหนา ไม อาจจะกลาวไดเลยเทียว, พอมาเด๋ียวน้ีแมเพียงมารยาทก็ไมมี เหลือ เกิดอะไรข้ึน?”. อุบาสกนายบานกลาววา “เม่ือเชาเรา ไดถวายไทยธรรมดวยความเคารพยาํ เกรงแกพระสงฆ, แตวา
๖๔ กณั ฑท่ี ๕, อนมุ านปญหา เวลานี้ ไดใหคนทุศีลมันยืมจอบไป” ดังนี้. ก็คนทุศีลยอมชาํ ระ ทักขิณาทานของทายกใหหมดจดได เพราะทายกมีจิตหมดจด ดวยอาํ นาจแหงความสาํ คัญวา “นี้ สงฆ, นี้ ผูมาในฐานะสงฆ”, ไมใชสาํ คัญวา “นี้ คนทุศีล” ตามประการดังกลาวมานี้. คําวา แมเพราะมกี ารสมาทานอุโบสถ คอื แมเ พราะยงั มี ความต้งั ใจจะถอื เอาศีลสกิ ขาบทบญั ญตั ินอยใหญใ นวันอโุ บสถ. ในพระคาถา, คาํ วา ใหท านท่ีไดมาโดยธรรม คือใหทาน มภี ตั ตาหารเปน ตน ท่ตี นแสวงหามาไดโ ดยธรรม คอื โดยวธิ กี ารท่ี นบั วาสจุ รติ ไมใ ชโ ดยอธรรมคือทุจรติ . คําวา ชื่อวา หมดจดโดยทางทายก คือ ชื่อวาหมดจด เพราะบันดาลอานิสงสตอบแทนมากมาย โดยทางทายกเพราะ เหตุที่ทายกมีจิตเล่ือมใสไมขุนมัว, ไมใชโดยทางปฏิคาหกซึ่งเปน คนทศุ ลี ฉะนีแ้ ล. จบคําอธบิ ายปญ หาที่ ๘ ปญ หาท่ี ๙, อุทกสตั ตชีวปญหา พระเจา มิลนิ ท : “พระคณุ เจา นาคเสน น้ําทถ่ี ูกตม อยูบนไฟ นี้ พอเดอื ดกส็ ง เสียงวี้ ๆ ซ้ดี ๆ หลายอยาง, พระคณุ เจา นาํ้ มีชวี ิต หรอื หนอ, สง เสียงเลนหรือ, หรือวา ถกู สิ่งอื่นบีบค้ันจึงสง เสยี ง?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร น้ําหามีชีวิต ไม, ชีวะก็ดี สตั วก็ดี ไมมอี ยใู นน้ํา, ขอถวายพระพร แตท วา เพราะ
วรรคท่ี ๑, พทุ ธวรรค ๖๕ ความที่กาํ ลังความรอนแหงไฟมมี ากมาย นา้ํ จึงสง เสียงวี้ ๆ ซดี้ ๆ หลายอยา ง.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน พวกเดียรถียบาง พวกในโลกนี้คิดวานาํ้ มีชีวิต จึงปฏิเสธนาํ้ เย็น ทาํ นํา้ ใหรอน แลวบริโภคน้ําที่มีการทําใหวิปริตผิดแปลกไป, พวกเดียรถีย เหลานั้นยอมติเตียนดูหมิ่นพวกทาน วา ‘พวกสมณศากบุตรยัง เบียดเบียนอินทรียชีวะอยูอยางหนึ่ง’ ดังนี้. ขอทานจงบรรเทา จงขจัดปดเปาคาํ ติเตียนดูหมิ่นนั้น ของพวกเดียรถียเหลาน้ัน เถดิ .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร น้ําไมมีชีวิต หรอก, ชีวะกด็ ี สตั วก ็ดี ไมม ีอยใู นนาํ้ , แตท วา เพราะความทกี่ ําลงั ความรอ นแหงไฟมีมากมาย นํ้าจงึ สง เสยี งว้ี ๆ ซด้ี ๆ หลายอยาง. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา เพราะความท่ีกาํ ลังลม และแดดรุนแรง น้าํ ทอ่ี ยใู นโพรง สระ ลําธาร ทะเล ตระพงั น้าํ รอง นํ้าที่ซอกเขา บอ น้าํ ทีล่ มุ สระโบกขรณี จึงถกู ขจดั จนถงึ ความสน้ิ ไป, ก็แตวา นํ้าในสถานที่เหลานั้น ยอมสงเสียงวี้ ๆ ซ้ีด ๆ หลาย อยา งหรอื หนอ?” พระเจามิลนิ ท : “หามิได พระคุณเจา .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ถาหากวานาํ้ พึงมีชีวิต ไซร, น้าํ แมในสถานที่เหลาน้ันก็จะพึงสงเสียง, ขอถวายพระพร เพราะเหตุผลแมขอน้ี ก็จงทรงทราบเถิดวา ชีวะก็ดี สัตวก็ดี ไมมี
๖๖ กัณฑท่ี ๕, อนุมานปญหา อยใู นนํา้ , แตท วา เพราะความทีก่ ําลงั ความรอ นแหง ไฟมีมากมาย นํ้าจงึ สง เสยี งว้ี ๆ ซีด้ ๆ หลายอยา ง. ขอถวายพระพร ขอพระองคจงทรงสดับเหตุผลแมขออ่ืน ที่วา ชีวะก็ดี สัตวก็ดี ไมมีอยูในนาํ้ , แตทวา เพราะความท่ีกําลัง ความรอ นแหงไฟมีมากมาย นํา้ จงึ สง เสียงว้ี ๆ ซดี้ ๆ หลายอยา ง ย่ิงอีกหนอยเถิด. ขอถวายพระพร ในเวลาที่บุคคลยกนํ้าที่ปน ขาวสารซ่ึงอยูในภาชนะปดฝาขึ้นวางบนเตา ก็นํ้าบนเตาน้ันยอม สง เสยี งหรอื หนอ?” พระเจามิลนิ ท : “หามไิ ด พระคณุ เจา , ยอมเปนอนั สงบนง่ิ ไมส ่ันไหว.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร น้าํ ท่ีอยูในภาชนะน้ัน น่ันแหละ เขาจุดไฟ (ในเตา) ใหลุกโพลงเสียกอนแลวจึงคอย วางบนเตา, น้ําที่อยูบนเตาน้ันยังคงสงบนิ่ง ไมส่ันไหวอยูนั่นเอง หรือ?” พระเจามิลินท : “หามิได พระคุณเจา, มันยอมสั่นไหว กระเพื่อม เดือด ขนุ ขนึ้ เกิดเปนระลอกคลื่นแลน ไปยงั ทศิ ใหญทิศ นอ ยทงั้ เบือ้ งบนเบือ้ งลาง เออแผเ ปนฟองไป.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เพราะเหตุไร นาํ้ ตาม ปกตนิ นั้ จงึ สงบน่ิง ไมส นั่ ไหว, สวนวา น้ําที่อยูบนไฟ เพราะเหตุไร จึงส่ันไหว กระเพ่ือม เดือด ขุนขึ้น เกิดเปนระลอกคลื่น แลนไปยังทิศใหญทิศนอยท้ังเบื้องบนเบ้ืองลาง เออแผเปนฟอง เลา ?”
วรรคท่ี ๑, พทุ ธวรรค ๖๗ พระเจามิลินท : “นาํ้ ตามปกติไมส่ันไหว, สวนนํ้าที่อยูบน ไฟสงเสียงรองวี้ ๆ ซี้ด ๆ หลายอยาง เพราะความที่กําลังความ รอนแหงไฟมีมากมาย.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เพราะเหตผุ ลแมข อนก้ี ็ขอ จงทราบเถิดวา ชีวะกด็ ี สตั วก ็ดี ไมม ีอยใู นน้ํา, แตท วาเพราะความ ท่กี าํ ลังความรอนแหง ไฟมมี ากมาย นาํ้ จึงสง เสยี งว้ี ๆ ซี้ด ๆ หลาย อยาง. ขอถวายพระพร ขอพระองคทรงสดับเหตุผลแมอ ีกขอหน่ึง วา ชวี ะก็ดี สัตวกด็ ี ไมมอี ยใู นนาํ้ , แตท วา เพราะความทกี่ ําลงั ความรอนแหงไฟมีมากมาย นาํ้ จึงสงเสียงวี้ ๆ ซ้ีด ๆ ได ยิ่งอีก หนอยเถิด. ขอถวายพระพร ในเรือนแตละหลัง เขาจะมีการใสนํา้ ไวในถังนา้ํ แลว ปด ฝาไวมใิ ชหรอื ?” พระเจา มิลนิ ท : “ใช พระคุณเจา .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร กแ็ ตว า นํ้านั้นยอมสัน่ ไหว กระเพอื่ ม เดอื ดขุนข้ึนมา เกดิ เปนระลอกคล่ืนแลน ไปสทู ศิ ใหญท ศิ นอ ย ท้งั เบือ้ งบนเบือ้ งลาง, เออแผเ ปน ฟองไปหรอื ไร?” พระเจามิลินท : “หามิได พระคุณเจา, นาํ้ ท่ีอยูในถังน้าํ ตามปกตนิ ้ัน ยอมมีอันไมส่นั ไหว.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร พระองคเ คยทรงสดับมา หรือไม วานํ้าในมหาสมทุ รก็สนั่ ไหว กระเพอื่ ม เดอื ดขุนขึน้ มา เกดิ เปนระลอกคลื่นแลนไปสูทิศใหญทิศนอย ท้ังเบ้ืองบน เบื้องลาง, เออ แผเปน ฟองไป ซัดข้ึนไปกระแทกฝง สงเสียงหลายอยาง.”
๖๘ กณั ฑท ี่ ๕, อนุมานปญหา พระเจามิลินท : “ใช ขาพเจาเคยไดสดับมาวา นา้ํ ใน มหาสมทุ รซดั ขน้ึ ไปบนทอ งฟา สงู ชั่ว ๑๐๐ ศอกบา ง ๑,๐๐๐ ศอก บาง.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เพราะเหตุไร นา้ํ ท่ีอยูใน ถงั จงึ ไมส่นั ไหว ไมสง เสยี ง แตเ พราะเหตไุ ร นา้ํ ในมหาสมทุ รจงึ สัน่ ไหว จงึ สง เสยี ง?” พระเจามิลินท : “พระคุณเจา นาํ้ ในมหาสมุทรส่ันไหว สงเสียง เพราะแรงลมมีมาก, นาํ้ ที่อยูในถังนาํ้ ไมถูกอะไร ๆ กระแทกกระทั้น จึงไมสั่นไหว ไมสงเสียง.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร นา้ํ ในมหาสมุทรยอ มสั่น ไหว ยอมสงเสียง เพราะแรงลมมีมาก ฉันใด, นา้ํ (ที่อยูบนไฟ) ยอ มสง เสยี ง เพราะกาํ ลงั ความรอนแหง ไฟมมี าก ฉนั นน้ั เหมือนกนั ขอถวายพระพร ธรรมดาวา ขอบปากหนากลอง เขาใช หนังโคหมุ ไวม ิใชห รอื ?” พระเจามิลนิ ท : “ใช พระคุณเจา .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ก็แตวา ชวี ะก็ดี สตั วกด็ ี มี อยูในกลองหรอื ?” พระเจามิลนิ ท : “ไมม หี รอก พระคุณเจา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เพราะเหตไุ ร กลองจงึ สง เสียงไดเลา ?” พระเจามิลินท : “พระคุณเจา กลองสงเสียงได เพราะ ความพยายาม (คือการตี) ท่ีเกิดขึ้นจากความประสงคจะตีของ
วรรคท่ี ๑, พุทธวรรค ๖๙ หญิงหรือชายนัน้ .” พระนาคเสน : “อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉันนั้น นาํ้ สงเสียง ไดเพราะความที่กาํ ลังความรอนแหงไฟมีมาก, ขอถวายพระพร แมเพราะเหตุผลขอนี้ ก็ขอพระองคจงทรงทราบไวเถิดวา ชีวะ ก็ดี สัตวก็ดี ไมมีอยูในน้าํ , นาํ้ สงเสียงไดเพราะความที่กําลัง ความรอนแหงไฟมีมาก. ขอถวายพระพร คาํ ทพ่ี ระองคพงึ ตรสั ถามอาตมภาพก็มอี ยู เพียงเทาน้ัน, ซึ่งขอน้ีก็เปนปญหาที่อาตมภาพวินิจฉัยดีแลวตาม ประการดังกลาวมานี้, ขอถวายพระพร นาํ้ ที่เขาใชภาชนะแมทุก อยาง ตมใหรอน ก็ยอมสงเสียงไดท้ังนั้นหรือไร, หรือวาท่ีใช ภาชนะบางอยา งตมใหรอนเทานนั้ จงึ จะสงเสยี งไดเลา?” พระเจามิลินท : “พระคุณเจา นํ้าที่ถูกเขาใชภาชนะทุก อยางตมใหรอน ยอมสงเสียงทั้งน้ัน หามิได, นา้ํ ที่เขาใชภาชนะ บางอยา งตมใหรอ นเทา นนั้ จงึ สง เสียงได” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ถาอยางนั้นก็เปนอันวา พระองคทรงละท้ิงความคิดเห็นของพระองค หันกลับมาสูวิสัย ของอาตมภาพท่ีวา ชีวะก็ดี สัตวก็ดี ไมมีอยูในนาํ้ ขอถวาย พระพร ถาหากวา นา้ํ ท่ีถูกเขาใชภาชนะแมทุกอยางตมใหรอน ก็พึงสงเสียงไดท้ังน้ันไซร, ก็ควรที่จะกลาวคาํ วา “น้าํ มีชีวิต” คาํ น้ี ได. ขอถวายพระพร เปนความจริงวา นํา้ ยอมไมมีการแยกเปน ๒ ประการ คือสงเสียงไดอยู ก็ช่ือวามีชีวิต ๑, พอสงเสียงไมได ก็ช่ือวาไมมีชีวิต ๑, ขอถวายพระพร ถาหากวา นา้ํ พึงมีชีวิตไซร
๗๐ กณั ฑท่ี ๕, อนมุ านปญหา เวลาท่ีชางใหญมีรางกายสูงใหญกําลังแตกมัน ใชงวงดูดนํ้าแลว พนเขาไปทางปากจนถึงทอง, นา้ํ นั้นเม่ือถูกบดขยี้อยูระหวาง กรามของชางเหลาน้ัน ก็นาจะสงเสียง, แมเรือใหญยาวถึง ๑๐๐ ศอก เปนเรือหนัก เต็มดวยของหนัก ๆ หลายรอยหลายพันอยาง เท่ียวไปในมหาสมุทร นาํ้ ถูกเรือใหญเหลาน้ันบดขย้ีอยู ก็นาจะ สงเสียง. แมปลาใหญ ๆ มีกายยาวหลายรอยโยชน คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาติมิรปงคละดาํ ลงไปภายในมหาสมุทร ใช มหาสมุทรเปนท่ีอยูอาศัย ทั้งกิน ทั้งพนธารน้าํ ใหญ, นาํ้ ท่ีถูกบด ขย้ีระหวางฟนปลาแมเหลาน้ันก็นาจะสงเสียง. ขอถวายพระพร ก็เพราะเหตุวา นํา้ ถูกสิ่งบีบคั้นใหญ ๆ ทั้งหลาย เห็นปานฉะน้ี บีบคั้นอยู ก็ยังไมสงเสียง, เพราะฉะนั้น ชีวะก็ดี สัตวก็ดี ไมมีอยู ในนา้ํ หรอก, ขอพระองคจงทรงยอมรับความจริงขอน้ี ตาม ประการดังกลาวมาน้ีเถิด.” พระเจามิลินท : “ดีจริง พระคุณเจานาคเสน ปญหาที่มี โทษ ทานก็ไดจําแนกอยางเหมาะสมแลว พระคุณเจานาคเสน เปรียบเหมือนวา แกวมณีท่ีมีคามาก พอสงไปถึงชางแกวมณีผู ฉลาด อจั ฉรยิ ะ ชาํ นาญ การศกึ ษาแลว ก็พงึ ไดแ ตขอทนี่ า ยกยอ ง ขอที่นาชมเชย ขอท่ีนาสรรเสริญ, อีกอยางหนึ่ง แกวมุกดา พอ สงไปถึงชางแกวมุกดา ก็พึงไดแตขอท่ีนายกยอง ขอท่ีนาชมเชย ขอท่ีนาสรรเสริญ, อีกอยางหน่ึง ผาเน้ือดี พอสงไปถึงชางตัด เสื้อผาแลว ก็พึงไดแตขอที่นายกยอง ขอที่นาชมเชย ขอที่นา สรรเสริญ ฉันใด, พระคุณเจานาคเสน ปญหาท่ีมีโทษทานก็ได
วรรคที่ ๑, พุทธวรรค ๗๑ จาํ แนกไวอยางเหมาะสมแลว ฉันนั้นเหมือนกัน, ขาพเจาขอ ยอมรบั คําตามทีท่ านกลา วมาน้.ี ” จบอุทกสัตตชวี ปญ หาท่ี ๙ คําอธบิ ายปญหาท่ี ๙ ปญ หาเก่ยี วกับความเปน สตั วความเปนชวี ะ (เปน สิ่งมชี ีวิต คอื เปน อตั ตา) แหงนา้ํ ชอ่ื วา อุทกสัตตชวี ปญ หา. คําวา ชีวะก็ดี, สัตวก็ดี ไมมีอยูในน้ํา มีความหมาย เพยี งเทา น้วี า นา้ํ ไมใ ชชีวะ นาํ้ ไมใ ชสตั ว. คาํ วา นา้ํ ทีม่ กี ารทําใหวิปริตผิดแปลกไป คือน้าํ รอ นซึง่ เปนนาํ้ ทีท่ ําใหวิปรติ แปลกไปจากนํ้าเย็นปกติ. คาํ วา ปญหาทีม่ ีโทษ คือ ปญ หาท่ีมโี ทษคือขอท่ีชวนให เกดิ ความสําคัญผิด. จบคาํ อธิบายปญหาท่ี ๙ จบพุทธวรรคที่ ๑ ในวรรคน้ี มี ๙ ปญหา.
๗๒ กณั ฑท ี่ ๕, อนมุ านปญหา วรรคที่ ๒, นิปปปญจวรรค ปญ หาท่ี ๑, นปิ ปปญจปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน พระผูมีพระภาค ทรงภาสิตความขอน้ีไววา ‘นิปฺปปฺจาราโม ภิกฺขเว วิหรถ นิปฺปปฺจรติโน – ดูกร ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอจงมีนิปปปญจ- ธรรม (ธรรมอันไปปราศเครื่องเน่ินชา) เปนท่ียินดี ยินดีใน นิปปปญจธรรมอยูเถิด’ ดังน้ี นิปปปญจธรรมเปน?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร โสดาปตติผลก็ชื่อ วานิปปปญจธรรม, สกทาคามิผลก็ช่ือวานิปปปญจธรรม, อนาคามิผลก็ช่ือวานิปปปญจธรรม, อรหัตตผลก็ช่ือวา นิ ป ป ป ญ จ ธ ร ร ม . ” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ถาหากวา โสดา- ปตติผลก็ช่ือวานิปปปญจธรรม. สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผลกช็ ่ือวา นิปปปญ จธรรม ไซร เพราะเหตไุ ร ภกิ ษุเหลา นน้ั จงึ ยงั เลาเรียน สอบถามซงึ่ สุตตะ เคยยะ ไวยากรณะ คาถา อทุ าน อิตวิ ตุ ตกะ ชาดก อพั ภตู ธรรม เวทลั ละ กนั อยู, ยังยุง เกี่ยวกบั งาน กอสราง ยังยุงเก่ียวกับทานและการบูชากันอยู, ภิกษุเหลานั้น จัดวากระทําการงานที่พระชินวรพุทธเจาทรงหามมิใชหรือ?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร ภิกษุเหลาใดเลาเรียน สอบถามซึ่งสุตตะ เคยยะ ไวยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ, ยังยุงเกี่ยวกับงานกอสราง ยังยุง
วรรคที่ ๒, นิปปปญจวรรค ๗๓ เกี่ยวกับทานและการบูชากันอยู ภิกษุเหลาน้ันลวนชื่อวากระทํา เพ่ือบรรลุนิปปปญจธรรมทั้งส้ิน, ขอถวายพระพร ภิกษุเหลาใด เปนผบู รสิ ทุ ธติ์ ามสภาวะแลว มีวาสนาอันไดอบรมแลว ในภพกอน, ภิกษุเหลานั้นยอมสําเร็จเปนผูไมมีธรรมเคร่ืองเนิ่นชา (คือบรรลุ นิปปปญจธรรม) โดยขณะจิตเดียว, สวนภิกษุเหลาใดยังเปนผูมี ธุลใี นดวงตามากอยู, ภกิ ษุเหลาน้นั จะสําเร็จเปน ผไู มมีธรรมเครือ่ ง เน่นิ ชา ก็โดยอาศยั ประโยค (ความขวนขวายพยายาม) มีการเลา เรยี นเปนตน เหลาน.้ี ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บุรษุ คนหนึ่ง หวา นพืชไว ในท่นี าดแี ลว ก็พึงใชความพยายามตามควรแกกาํ ลงั ของตน เกบ็ เก่ียวธัญญชาติ (ขาว) ได โดยเวนการลอมรั้ว, บุรุษอีกคนหน่ึง หวานพืชไวในท่ีนาแลว ก็ยังตองเขาปาตัดทอนไมและกิ่งกานมา ทําร้วั ลอ ม จงึ จะพึงเกบ็ เก่ยี วธัญญชาติได, ในบุรุษ ๒ คนนน้ั การ ตองแสวงหารั้วลอมของบุรุษ (คนที่ ๒) น้ัน ใด, การแสวงหาร้ัว ลอมน้นั ยอ มเปน ไปเพือ่ ประโยชนแ กธ ัญญชาติ, ขอถวายพระพร อุปมาฉนั ใด อปุ มัยก็ฉันนน้ั ภิกษเุ หลา ใดเปนผูบริสทุ ธ์ิตามสภาวะ อยูแ ลว มีวาสนาอนั ไดอบรมไวแลว ในภพกอน, ภกิ ษุเหลา นนั้ ยอม สําเรจ็ เปนผไู มม ธี รรมเครื่องเนิน่ ชา โดยขณะจิตเดยี ว เปรยี บไดกับ บรุ ุษผเู กบ็ เกย่ี วธญั ญชาตไิ ดโ ดยเวน ร้วั ลอ ม ฉะนน้ั , สวนวา ภกิ ษุ เหลาใดเปนผูมีธุลีในดวงตามาก, ภิกษุเหลาน้ันจะสําเร็จเปนผูไม มีธรรมเครื่องเน่ินชา ก็โดยอาศัยประโยคมีการเลาเรียนเปนตน
๗๔ กัณฑท่ี ๕, อนมุ านปญหา เหลานี้, เปรียบไดกับบุรุษผูตองทาํ รั้วลอมกอน จึงจะเก็บเกี่ยว ธัญญชาตไิ ดฉ ะน้ัน. ขอถวายพระพร อีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา บุรุษคน หน่ึง พึงมีผลมะมวงเปนชอ ๆ อยูตอนบนของตนมะมวงตน ใหญ ๆ. ตอมา มีบุรุษผูมีฤทธิ์คนใดคนหนึ่ง (เหาะ) มายัง ตอนบนของตนมะมวงนั้น เก็บเอามะมวงของบุรุษผูน้ันไป, สวนผูท่ีไมมีฤทธ์ิ มาที่ตนมะมวงน้ันแลว ก็ตัดไมและเถาวัลย ผูกเปนพะอง แลวไตขึ้นตนมะมวงนั้นไปทางพะองน้ัน เก็บเอา ผลมะมวงไป. ในบุรุษ ๒ คนน้ัน การตองแสวงหาพะองของ บุรุษผูไมมีฤทธิ์น้ัน ใด, การตองแสวงหาพะองนั้น ยอมมีเพ่ือ ประโยชนแกผลมะมวง, ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ัน ภิกษุเหลาใดเปนผูบริสุทธิ์ตามสภาวะอยูแลว มีวาสนา อันไดอบรมไวแลวในภพกอน, ภิกษุเหลาน้ันยอมสาํ เร็จเปนผู ไมมีธรรมเครื่องเน่ินชาโดยขณะจิตเดียว เปรียบไดกับบุรุษผูมี ฤทธ์ิผูมาเก็บเอาผลมะมวงไป ฉะนั้น, สวนวาภิกษุเหลาใดเปน ผูมีธุลีในดวงตามาก, ภิกษุเหลาน้ันจะสําเร็จเปนผูไมมีธรรม เครื่องเน่ินชา ก็โดยอาศัยประโยคมีการเลาเรียน เปนตน เหลานี้ เปรียบไดกบั บุรษุ ผตู องใชพะองจงึ จะเกบ็ มะมว งได ฉะนนั้ . ขอถวายพระพร อีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา บุรุษคน หน่งึ เปนผตู อ งการทําผลประโยชน (รายได) เขาถึงความเปน เจาของ (เปน นาย) แลว กท็ ําผลประโยชนใ หส ําเรจ็ ไดลําพังตนคน เดียวเทานั้น, บุรุษผูมีทรัพยอีกคนหนึ่ง ตองใชทรัพยจางชาว
วรรคที่ ๒, นปิ ปปญ จวรรค ๗๕ บริษัท, โดยการอาศัยชาวบริษัท จึงทําผลประโยชนใหสาํ เร็จได ในบคุ คลทั้ง ๒ นั้น, การตอ งแสวงหาชาวบริษทั ของบุรุษผมู ีทรัพย ใด, การตองแสวงหาชาวบริษัทนั้น ยอมมีเพื่อผลประโยชน, ขอ ถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉันนั้น ภิกษุเหลาใดเปนผู บริสุทธต์ิ ามสภาวะอยแู ลว มวี าสนาอนั ไดอ บรมไวแลวในภพกอน, ภิกษุเหลา นนั้ ยอ มบรรลุวสภี าวะในอภญิ ญา ๖ โดยขณะจติ เดียว เปรียบไดกับบุรุษผูทาํ ผลประโยชนใหสําเร็จไดโดยลาํ พังตนคน เดียว ฉะนน้ั , สวนวาภกิ ษุเหลาใดเปน ผมู ีธลุ ใี นดวงตามาก, ภิกษุ เหลานนั้ ยอ มทาํ สามญั ญผลใหส าํ เรจ็ ได โดยอาศยั ประโยคมกี าร เลาเรียนเปนตนเหลาน้ี เปรียบไดกับบุรุษผูทาํ ผลประโยชนให สําเรจ็ ไดโ ดยอาศยั ชาวบริษัท ฉะนนั้ . ขอถวายพระพร แมการเลาเรียน ก็จัดวามีอุปการะมาก, แมการสอบถาม กจ็ ดั วามอี ุปการะมาก, แมง านกอ สราง กจ็ ดั วามี อุปการะมาก, แมทาน ก็จัดวามีอุปการะมาก, แมการบูชาก็จัด วามีอุปการะมาก เม่ือกิจท่ีควรทําทั้งหลายเหลานั้นๆ มีอยู. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวาบุรุษคนหน่ึง เปนผูคบหากับ พระราชา ไดทาํ อุปการคุณไวกับพวกอาํ มาตย พวกไพรพ ล นาย ประตู ทหารยามรักษาพระองค และชนชาวบริษัทท้ังหลาย, เมื่อ กิจที่ตองทําตกถึงแกบุรุษผูน้ัน บุคคลแมท้ังปวงก็ยอมเปน ผูอุปการะ (ชวยเหลือ) เขา ฉนั ใด, ขอถวายพระพร แมก ารเลา เรียน กจ็ ดั วา มอี ุปการะมาก, แมการสอบถาม ก็จัดวามีอุปการะ มาก, แมงานกอสราง ก็จัดวามีอุปการะมาก, แมทานก็จัดวามี
๗๖ กัณฑท่ี ๕, อนมุ านปญหา อุปการะมาก, แมก ารบชู า ก็จดั วา มอี ุปการะมาก เม่ือกจิ ท่คี วรทาํ เหลา นนั้ ๆ มอี ยู, ฉนั นน้ั . ขอถวายพระพร ถาหากวา ภกิ ษแุ มทกุ รูปลว นเปน ผมู อี ภิชาติบริสุทธ์ิ ไซร, กจิ ท่คี วรทําตามคําอนุศาสน ก็ ไมนา จะม.ี ขอถวายพระพร เพราะเหตุท่ีกิจท่ีควรทําดวยการสดับ ตรับฟงมีอยู แล, แมแตทานพระสารีบุตรเถระผูส่ังสมกุศลมูล ไวนับไดหลายอสงไขยกัปหาประมาณมิได แลวไดบรรลุท่ีสุด ยอดแหงปญญา ก็ไมอาจบรรลุอาสวักขยญาณไดโดยเวนการ สดบั ตรบั ฟง, ขอถวายพระพร เพราะเหตุนนั้ การสดับตรับฟงจงึ จดั วามีอปุ การะมาก, แมการเลาเรียน แมการสอบถาม ก็อยาง นั้นเหมือนกัน, เพราะเหตุน้ัน ท้ังการเลาเรียน การสอบถาม ก็นับวาเปนนิปปปญจธรรมได.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานไดทําให ขาพเจาเขาใจปญหาดีแลว, ขาพเจาขอยอมรับตามท่ีทานกลาว มาน.้ี ” จบนปิ ปปญจปญ หาท่ี ๑ คาํ อธิบายปญ หาท่ี ๑ ปญ หาเก่ยี วกับนิปปปญ จธรรม ชื่อวา นปิ ปปญจปญหา. ธรรม ๓ อยา ง คอื ตณั หา มานะ และทิฏฐิ ช่อื วา ปปญ จ- ธรรม เพราะอรรถวาเปนเครื่องเน่ินชาในสังสารวัฏแหงสัตว ทัง้ หลาย พระนิพพาน ชอ่ื วา นิปปปญ จธรรม โดยนิปรยิ ายเพราะ อรรถวา เปนท่ีไปปราศปปญจธรรมเหลาน้ัน. สวนมรรค ๔ มี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 548
Pages: