Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ห้าปีในสยาม เล่ม ๑

ห้าปีในสยาม เล่ม ๑

Description: ห้าปีในสยาม เล่ม ๑

Search

Read the Text Version

หา้ ปีในสยาม เลม่ ๑ โดย เฮอรเ์ บิร์ต วารงิ ตนั สมธิ (Herbert Warington Smyth) นางสาวเสาวลักษณ์ กชี านนท์ แปลและเรยี บเรยี ง กรมศลิ ปากรพมิ พ์เผยแพร่ พทุ ธศักราช ๒๕๖๒

ห้าปีในสยาม เล่ม ๑ จัดท�ำโดย สำ� นักวรรณกรรมและประวตั ิศาสตร์ กรมศลิ ปากร พิมพค์ ร้งั ท่ี ๑ พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๔ จำ� นวนพิมพ์ ๑,๐๐๐ เล่ม พมิ พ์คร้งั ที่ ๒ (ฉบบั ปรบั ปรุง) พุทธศักราช ๒๕๖๒ จำ� นวนพมิ พ์ ๑,๐๐๐ เล่ม ลขิ สิทธิข์ องกรมศลิ ปากร ราคา ๒๐๐ บาท ขอ้ มลู ทางบรรณานุกรมของสำ� นักหอสมุดแหง่ ชาติ สำ�นกั วรรณกรรมและประวัตศิ าสตร์ หา้ ปีในสยาม เล่ม ๑ - - กรุงเทพฯ : กรมศลิ ปากร ๔๗๒ หนา้ ๑. ประวัติศาสตร์. I. ชอ่ื เรอ่ื ง 915.93 ISBN 978-616-283-453-0 ทปี่ รกึ ษา อธบิ ดีกรมศิลปากร นายอนันต์ ชูโชติ รองอธิบดีกรมศิลปากร นายพนมบตุ ร จันทรโชต ิ ผอู้ ำ� นวยการสำ� นกั วรรณกรรมและประวตั ศิ าสตร์ นางสาวอรสรา สายบัว ผู้อ�ำนวยการกลุ่มแปลและเรียบเรียง นางสาวศกุ ลรัตน์ ธาราศักด ์ิ ผแู้ ปลและเรยี บเรียง นางสาวเสาวลักษณ์ กชี านนท ์ นกั อักษรศาสตร์ช�ำนาญการพิเศษ กลมุ่ แปลและเรยี บเรียง พมิ พ์ที่ ห้างหนุ้ สว่ นจำ� กัด พระรามครีเอชนั่ ๖๘๙ หมู่ ๗ ซอยเสามนสั แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทววี ัฒนา กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐ โทร. ๐ ๒๘๘๘ ๓๖๒๙ E-mail : [email protected]

แด่ ผู้รว่ มงานทุกคนของข้าพเจ้าในประเทศสยาม ขออุทศิ หนังสือเลม่ น้ี เพื่อเปน็ การระลึกถึง เพ่อื นรว่ มทางทุกคนท่ีไดจ้ ากเราไป

ห้าปีในสยาม เลม่ ๑ จาก พ.ศ. ๒๔๓๔ ถึง ๒๔๓๙ (ค.ศ.๑๘๙๑ ถงึ ๑๘๙๖) โดย H . (Herbert) Warington Smyth M.A. LL.B., F.G.S., F.R.G.S. (อดีตเจ้ากรมเหมอื งแรข่ องประเทศสยาม) พรอ้ มด้วยแผนที่ และภาพประกอบวาดโดยผู้แตง่ เลม่ ๑ (ในจ�ำนวน ๒ เล่ม) LONDON JOHN MURRAY, ALBEMARLE STREET ค.ศ.1898 พ.ศ.๒๔๔๑

คำ� นำ� (พมิ พค์ รั้งท่ี ๒) หนังสือเร่ือง ห้าปีในสยาม เล่ม ๑ นี้ แปลและเรียบเรียงจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษเรอื่ ง Five Years in Siam vol.1 ผลงานเขยี นของนายเฮอร์เบิรต์ วารงิ ตนั สมิธ (Mr.Herbert Warington Smyth) นักธรณวี ิทยาชาวองั กฤษผู้ เคยได้รับราชการในกรมราชโลหกิจและภูมิวิทยา (Royal Department of Mines and Geology) ซึ่งเป็นหน่วยงานท่ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นเม่ือวันท่ี ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๓๔ ภายใตก้ ารกำ� กบั ดแู ลของกระทรวงเกษตรพาณชิ การ และ รจู้ กั กนั โดยทวั่ ไปในชอ่ื กรมเหมอื งแร่ นายสมธิ ไดเ้ รมิ่ ทำ� งานในกรมเหมอื งแร่ เม่อื พ.ศ.๒๔๓๔ จากนัน้ จงึ ข้นึ ด�ำรงต�ำแหนง่ เจ้ากรมในระหวา่ งพ.ศ.๒๔๓๘ - ๒๔๓๙ และหนังสอื ห้าปีในสยามท้งั ๒ เลม่ กค็ ือบันทึกประสบการณ์ตรงของ เขาทไ่ี ดจ้ ากการใชช้ วี ติ และทำ� งานอยใู่ นประเทศสยามมาตลอดเวลา ๕ ปี ตน้ ฉบบั หนังสือ ห้าปใี นสยาม เลม่ ๑ และ ห้าปใี นสยาม เล่ม ๒ (Five Years in Siam vol.1 และ 2) จัดพมิ พ์เผยแพรเ่ ปน็ ภาษาองั กฤษที่นวิ ยอร์คเมอื่ พ.ศ. ๒๔๔๑ เนอื้ หาในงานเขยี นท้งั ๒ เลม่ ของเขาคอื การบอกเลา่ ถึงปญั หาและอุปสรรคใน การท�ำงานเพือ่ บกุ เบกิ การส�ำรวจพ้ืนทีแ่ หลง่ แรใ่ นภูมภิ าคตา่ งๆ ทัว่ ท้ังประเทศ สยาม เล่าเรอื่ งสภาพสังคม สง่ิ แวดล้อม ตลอดจนวิถชี ีวิตและความเปน็ อยู่ของ ผคู้ นและบา้ นเมอื งในสมยั นน้ั โดยสะทอ้ นผา่ นสายตาและมมุ มองของผเู้ ขยี นซงึ่ นับว่าเป็นชาวตะวันตกที่มีทัศนคติในแง่บวกและมีความเข้าใจในบริบทของ สงั คมไทยยคุ สมยั นั้นมากทีส่ ดุ คนหน่งึ กรมศลิ ปากรไดจ้ ดั พิมพ์หนงั สอื ห้าปใี นสยาม เลม่ ๑ ครั้งแรก เม่อื พ.ศ. ๒๕๔๔ สำ� หรับต้นฉบบั ท่ีนำ� มาจดั พมิ พ์คร้งั ที่ ๒ ในปีพุทธศกั ราช ๒๕๖๒ นี้ ได้ มีการปรบั ปรงุ แกไ้ ขเนื้อหาบางสว่ น และจัดทำ� เชิงอรรถเพิม่ เติมเพ่อื ใหห้ นังสอื

มีความสมบูรณ์มากข้ึนกว่าเดิม กรมศิลปากรจึงพิจารณาเห็นสมควรน�ำมาจัด พมิ พอ์ ีกครง้ั หนง่ึ ดว้ ยตระหนักดวี ่าเอกสารประวตั ิศาสตรข์ องชาวตา่ งชาติโดย เฉพาะทีเ่ ป็นบนั ทึกของชาวตะวันตก มกั จะมีขอ้ มูลบางประการที่ไม่ปรากฏใน เอกสารฝา่ ยไทย โดยเฉพาะในสว่ นรายละเอยี ดทเ่ี พมิ่ เตมิ ขนึ้ หากไดน้ ำ� มาใชใ้ น การศึกษาประวัติศาสตร์ร่วมกันก็จะช่วยอ�ำนวยประโยชน์ในแง่ของการศึกษา เปรียบเทียบได้เป็นอย่างดี นอกจากน้ันข้อมูลท่ีแตกต่างซึ่งพบได้ในเอกสาร ตะวนั ตกกจ็ ะชว่ ยสง่ เสรมิ เตมิ เตม็ ใหเ้ ราสามารถศกึ ษาเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรไ์ ทย ไดอ้ ย่างครบถว้ นรอบดา้ นยิง่ ข้นึ ดว้ ย (นายอนนั ต์ ชโู ชติ) อธบิ ดีกรมศิลปากร ส�ำนกั วรรณกรรมและประวตั ิศาสตร์ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒

คำ� นำ� (พมิ พ์ครั้งท่ี ๑) ในรชั สมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ ชว่ งเวลาท่ี ประเทศไทยได้มีการเปล่ียนแปลงและปฏิรูประบบการปฏิบัติงานเพื่อพัฒนา ประเทศในด้านต่างๆ โดยการน�ำเอาวิชาการในระบบสากลท่ีทันสมัยเข้ามา ประยกุ ต์ใช้ในการด�ำเนนิ งานมากมายหลายสาขา หน่วยงานราชการส�ำคัญใน กระทรวงต่างๆ ในปัจจุบันต่างก็เกิดจากแนวพระราชด�ำริและได้รับพระ มหากรุณาธิคณุ จากพระองคใ์ นการดำ� เนินงานวางรากฐานเบอ้ื งต้นท้ังสน้ิ กรม ราชโลหกจิ และภมู ิวทิ ยา (Royal Department of Mines and Geology) ก็ เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่พระองค์ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ สถาปนาข้นึ เม่ือ วันท่ี ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๔ โดยขึน้ อยู่กับกระทรวงเกษตร พาณิชการในสมัยนั้น และเป็นหน่วยงานของรัฐท่ียังคงด�ำเนินงานสืบเน่ืองมา จนถึงปัจจุบันในช่ือที่รู้จักกันทั่วไปว่า กรมทรัพยากรธรณี (Department of Mineral Resources) โดยอยใู่ นสังกดั กระทรวงอตุ สาหกรรม ปฐมบทของงานธรณวี ทิ ยาในประเทศไทยไดร้ บั ความรทู้ างวทิ ยาการและ แบบอย่างมาจากประเทศตะวันตก เพราะเม่ือแรกตั้งกรมราชโลหกิจและ ภมู วิ ทิ ยาหรอื กรมเหมืองแร่ข้นึ มานนั้ ยงั ไมน่ ่าจะมคี นไทยคนใดท่ีไดเ้ ล่าเรยี นมี ความรูท้ างด้านนี้มาโดยเฉพาะจนสามารถท่จี ะรบั ผิดชอบงานของกรมในขณะ นั้นได้ จึงได้มีการว่าจ้างชาวตะวันตกผู้มีความรู้ความสามารถทางด้านน้ีเข้า ปฏิบัติราชการ ดงั นน้ั กระทรวงเกษตรพาณชิ การจงึ ไดว้ า่ จา้ งนายวอลเตอร์ เดอ มลุ เลอร์ (Mr.W.De Muller) ชาวเยอรมันเข้ารับต�ำแหน่งเจ้ากรมราชโลหกิจ และภูมิวิทยา (กรมเหมืองแร่) และมีผู้เขียนหนังสือเล่มน้ี คือ นายเฮอเบิร์ต วาริงตัน สมธิ (Herbert Warington Smyth) รับต�ำแหน่งเปน็ ผชู้ ่วยเจา้ กรม โดยท�ำงานร่วมกบั นายเดอ มุลเลอร์ มาตัง้ แต่ พ.ศ. ๒๔๓๔ - ๒๔๓๘ จนกระทั่ง

เขา้ ดำ� รงตำ� แหนง่ เจา้ กรมในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๘ - ๒๔๓๙ ตอ่ จากนายเดอ มลุ เลอร์ และสุดท้ายนายสมิธก็ได้กราบถวายบังคมลาพ้นจากต�ำแหน่งเจ้ากรมฯ ในปเี ดียวกนั นนั้ เอง หนังสอื เรอื่ ง ห้าปใี นสยาม เลม่ ๑ นี้แปลและเรียบเรยี งจากเรอ่ื ง Five Years in Siam vol.๑ ซึ่งผูเ้ ขยี นคือนายเฮอรเ์ บริ ต์ วาริงตนั สมิธ มีวุฒิการ ศกึ ษาปรญิ ญา M.A. เปน็ สมาชกิ สมาคมธรณีวทิ ยา (F.R.G.S.) เปน็ ผู้มคี วามรู้ และศึกษาด้านธรณีวิทยามาโดยตรง งานท่ีรับผิดชอบส่วนใหญ่คือการตรวจ สอบทางธรณีวิทยาในประเทศตามค�ำขออนุญาตตรวจแรแ่ ละท�ำเหมืองแร่ ซึ่ง ทำ� ใหเ้ ขาตอ้ งออกเดนิ ทางตามพน้ื ทตี่ า่ งๆ ของไทย ไดแ้ ก่ บรเิ วณทร่ี าบลมุ่ แมน่ ำ�้ ตอนกลาง หัวเมืองลาวคาบสมุทรมลายบู างสว่ นเพ่อื ทำ� การตรวจหาแร่ จดั ทำ� ข้อมูลรายงานเก่ียวกับแหล่งแร่ และการท�ำเหมืองแร่ในเขตพ้ืนท่ี ซ่ึงได้รับ สมั ปทานการท�ำเหมืองแรใ่ นสมัย ไดแ้ ก่ เหมืองอัญมณี ทองค�ำ ทองแดง ดบี กุ เป็นตน้ แมว้ า่ เปา้ หมายหลกั การเดนิ ทางจะเกย่ี วขอ้ งโดยตรงกบั เรอ่ื งดงั กลา่ ว แต่ เนอ้ื หาของหนงั สือ Five Years in Siam ของเขากไ็ มไ่ ด้บอกเลา่ แต่เฉพาะใน เรอ่ื งทางธรณีวทิ ยาเพียงด้านเดยี ว หากประกอบไปด้วยนานาสาระท่เี กีย่ วขอ้ ง กับสถานการณ์บ้านเมืองขณะนั้น ทั้งสภาพสังคม เหตุการณ์ส�ำคัญตลอดจน ชวี ิตความเปน็ อยู่ของชาวไทยตามพนื้ ทีต่ า่ งๆ ท่ีผ้เู ขยี นได้เดินทางผ่านไป ทัง้ ยงั สอดแทรกเร่ืองราวของชุมชน สถานที่ความคิดและแง่คิดซ่ึงถ่ายทอดออกมา จากประสบการณท์ ่ผี ้เู ขียนได้พบเหน็ มาตลอดระยะเวลา ๕ ปที ีอ่ ยู่ในเมืองไทย จงึ นบั เปน็ ความรทู้ ม่ี คี ณุ คา่ เปน็ ขอ้ มลู ทเี่ ปน็ ประโยชนเ์ พอ่ื ใชป้ ระกอบการศกึ ษา คน้ คว้าเรอื่ งราวท่ีเกย่ี วขอ้ งในยคุ สมัยน้ันไดเ้ ปน็ อย่างดี และส�ำหรับในสว่ นของ หนังสอื Five Year in Siam vol. ๒ ซึ่งเปน็ เรื่องราวเกีย่ วกับเรอื่ งตา่ งๆ ทาง แถบคาบสมุทรมลายูและดินแดนบริเวณคาบสมุทรตะวันออกที่ติดต่อกัมพูชา นนั้ กรมศิลปากรจะได้ท�ำการแปลและนำ� มาจดั พิมพเ์ ผยแพรใ่ นโอกาสตอ่ ไป

เนื่องจากหนังสือเร่ือง ห้าปีในสยาม เล่ม ๑ นี้ นับเป็นเอกสารทาง ประวตั ศิ าสตรค์ ณุ คา่ เรอ่ื งหนง่ึ กรมศลิ ปากรจงึ ไดม้ อบหมายให้ นางสาวเสาวลกั ษณ์ กชี านนท์ อักษรศาสตร์ ๗ ว. กลุ่มงานแปลและเรยี บเรยี ง กองวรรณกรรมและ ประวัติศาสตร์ แปลเป็นภาษาไทย และน�ำต้นฉบับแปลมาพิมพ์เผยแพร่เพื่อ ประโยชน์ทางด้านการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ และสามารถน�ำมาใช้ เปน็ หลักฐานอา้ งองิ ทางประวตั ศิ าสตรแ์ ก่สาธารณชนไดเ้ ปน็ อย่างดี สำ� หรบั ภาพประกอบทป่ี รากฏอยใู่ นหนงั สอื เลม่ นเี้ ปน็ ภาพลายเสน้ ทว่ี าด ขึน้ โดยผแู้ ตง่ ส่วนค�ำทพี่ มิ พโ์ ดยใชต้ ัวเอนที่ปรากฏอยใู่ นเนอื้ เรื่อง คอื ค�ำทผ่ี ู้แตง่ เขียนทับศัพท์การออกเสียงค�ำไทย โดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นตัวสะกด เช่น panung (ผา้ นงุ่ ), kaoneo (ขา้ วเหนยี ว), kao chao (ขา้ วเจา้ ) tamniem (ธรรมเนยี ม) เปน็ ต้น นอกจากน้ันเชงิ อรรถท่ปี รากฏอยูใ่ นเน้อื เร่อื งจะแบง่ เป็น ๒ ส่วน ถา้ เป็นเชงิ อรรถของผู้แต่งทป่ี รากฏและถอดความออกมาตามต้นฉบบั ภาษาอังกฤษจะใช้เลขอารบคิ กำ� กับ ส่วนเชงิ อรรถท่ีผแู้ ปลไดค้ ้นควา้ จัดทำ� เพ่ิม เติมเพ่ือให้ผอู้ ่านเขา้ ใจเรือ่ งราวตา่ งๆ ได้ชัดเจนยง่ิ ขนึ้ นั้น จะใชเ้ ลขไทยก�ำกบั ไว้ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน อย่างไรก็ดีการท่ีผู้แต่งเป็นชาวต่างชาติ จึงอาจจะ ท�ำใหม้ เี นอ้ื หาบางสว่ นทสี่ ะทอ้ นถึงมุมมอง วธิ คี ิด และทัศนคติเปน็ ไปตามแบบ ชาวตะวันตก ผู้อ่านจงึ ควรใชว้ จิ ารณญาณประกอบดว้ ย กรมศิลปากรหวังเปน็ อยา่ งยิง่ ว่า หนงั สือเรอื่ ง หา้ ปีในสยาม เลม่ ๑ นี้ จะอ�ำนวยประโยชน์ให้แก่นักเรียน นักศึกษา ผู้ค้นคว้า และผู้สนใจเร่ืองราว ประวัตศิ าสตร์ได้บา้ งตามสมควร (นาวาอากาศเอก อาวธุ เงินชูกล่นิ ) อธบิ ดีกรมศิลปากร กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๔๔

สารบญั เลม่ ๑ หนา้ บทนำ� ๑๖ ประวตั ิผูแ้ ต่ง ๒๒ บทที่ ๑. แมน่ ำ้� และท่าเรอื ทีก่ รุงเทพฯ ๒๕ ๒. ราชการที่กรุงเทพฯ และจุดมุ่งหมายบางประการ ๔๖ รัฐบาลใน พ.ศ. ๒๔๓๕ ๓. บริเวณทร่ี าบลมุ่ แมน่ ำ้� เจา้ พระยา ๗๓ สพุ รรณ - บรเิ วณที่ราบลุ่มแมน่ ำ้� ลำ� คลองตา่ งๆ ท่ีตดั ผา่ นตวั เมอื งและเมอื งอยธุ ยา ๔. บรเิ วณท่รี าบลุ่มแม่นำ�้ เจา้ พระยา (ตอนตอ่ ) ๑๐๔ ชัยนาท - การล่องแพ - ปากน้�ำโพ - แมน่ ้�ำพชิ ยั ๕. หวั เมอื งลาว ๑๓๗ บ้านนำ้� พ้ี - หบุ เขาแหง่ ลุ่มแม่น้ำ� นา่ น - ปา่ ไมส้ ัก หุบเขาเมอื งหิน - เมอื งสา ๖. หัวเมืองลาว (ตอนต่อ) ๑๕๘ เมืองนา่ น - การเดินทางสู่เชยี งของ ๗. หวั เมอื งลาว (ตอนตอ่ ) - แม่น้�ำโขง ๑๘๑ ทิศทางการไหลของแมน่ ำ�้ - ทางหลวงและทางรถไฟสยู่ นู าน คณะกรรมาธกิ ารแหง่ รัฐกันชน - ความตกลงขององั กฤษและ ฝรงั่ เศส พ.ศ. ๒๔๓๙ ๘. หัวเมอื งลาว - แมน่ �ำ้ โขง (ตอนตอ่ ) ๒๐๔ เชยี งของ - เหมืองเพชรพลอย - ทองค�ำ

๙. หวั เมืองลาว - แม่นำ�้ โขง (ตอนต่อ) ๒๒๓ ชาวข่า และชาวเขาเผา่ อ่ืนๆ - แอ่งนำ้� - ภเู ขาไฟ - น้�ำอู ๑๐. หัวเมืองลาว - แม่นำ�้ โขง (ตอนตอ่ ) ๒๔๖ หลวงพระบาง - การรุกรานของพวกฮอ่ - การส�ำรวจ ของชาวสยาม - ประชากร - การคา้ - แมน่ �้ำท่ีใช้เดนิ เรอื ได้ - ปากลาย - เวียงจนั ทน์ ๑๑. หวั เมืองลาว (ตอนตอ่ ) - ทรี่ าบสูงโคราช ๒๘๓ หนองคาย - โคราช - การตดิ ต่อและการค้า - ดงพญาเย็น โคราชตอนหนา้ แล้งใน พ.ศ. ๒๔๓๙ - ทางรถไฟ - สถานกงสลุ ฝรั่งเศส ๑๒. วิกฤตการณ์กบั ฝร่ังเศสใน พ.ศ. ๒๔๓๖ ๓๒๔ ขอ้ ตกลงท่ีปากนำ้� และการปดิ ลอ้ ม ๑๓. ฮ่อทางทิศตะวันตก ๓๕๑ ราชบุรี - ชาวสยาม - ข้าทาส - กะเหร่ยี ง - เหมอื งแร่ ๑๔. คาบสมุทรมลาย ู ๓๘๖ จากตะนาวศรสี ่ภู ูเกต็ (หรือ Junk Ceylon) - เหมืองดีบุก ภาคผนวก ๔๑๕

สารบัญภาพประกอบ ในเลม่ ๑ ภาพเต็มหนา้ หนา้ พระอาทิตย์ขน้ึ ใกล้ปากทา - บรเิ วณแมน่ ำ�้ โขงตอนบน ๒๔ พระเจดยี ์กลางนำ�้ ๒๗ การแข่งเรอื พาย ๓๖ การต่อสขู้ องชา้ ง ๙๗ การคา้ ขายในแม่น้ำ� ๑๐๗ อกี อ้ บนท่ีราบสงู ๒๒๙ ขา่ เคยี นและขมุ ๒๓๒ หญิงชาวล้อื หญิงชาวไทยเหนอื และหญงิ ลาว ๒๓๙ เมืองหลวงพระบาง ๒๕๖ เดก็ ๆ ทต่ี ลาด ลกู หาบ ๓๑๓ บริเวณเทอื กเขาตะนาวศร ี ๓๙๓

ภาพประกอบในเนอื้ เรอื่ ง หนา้ ๒๕ ๓๒ การขา้ มสันดอน ๓๙ เรือฉลอม - ก�ำลังแลน่ ๔๒ เรอื สำ� เภา - หลังพายฝุ น ๔๔ เรอื นแพ ๔๕ กระแสน�ำ้ ในแมน่ ำ้� ๔๖ พระราม ๗๑ พระบรมมหาราชวงั ๗๓ พระราชวงั ทก่ี รุงเทพฯ ๘๔ บริเวณแมน่ ำ้� ท่กี รงุ เทพฯ ๙๔ พาหนะในการเดนิ ทาง - ติดหล่ม ๙๘ โขลงช้างป่า ๑๐๓ การปลอบเหยื่อให้สงบ ๑๐๔ วิธลี ่ามชา้ ง ๑๑๕ บริเวณแม่นำ้� ตอนบน ๑๓๕ การถ่อเรือทวนกระแสนำ�้ ๑๓๗ เรอื บรรทกุ ขา้ ว - โกดังสินคา้ ท่รี อคอย ๑๕๓ วดั บนเชงิ เขา ๑๕๕ หุบเขาเมอื งหิน ๑๕๗ ทเี่ ก็บหนงั สือของวัด ท่เี มอื งสา ๑๕๘ โนต้ เพลง ๑๖๒ ชอ่ ฟ้าของวัดแหง่ หนึ่ง ๑๘๐ วัดบญุ ยืน เมืองสา คชสหี ์

นางเมขลา เทพธิดาผู้เป็นสาเหตุใหเ้ กิดฟ้าผา่ ๑๘๑ มจั ฉานุ ลกู ชายของหนมุ านและนางเงอื ก ๒๐๓ พายและหางเสือ ๒๐๔ ใกลช้ ายแดนเมืองเชียงแสน บรเิ วณแมน่ ำ้� โขง ๒๑๐ ปากอู แมน่ ำ�้ โขง ๒๒๓ ขา่ แจะ ๒๒๔ เขาหนิ ปูนท่ีบริเวณนำ�้ อู ๒๔๑ ปากสูง แมน่ ้�ำโขง ๒๔๕ ประตูวัดพระบาง ๒๔๖ วิหาร ท่ีหลวงพระบาง ๒๖๓ พาหนะในการเดินทาง ติดอยใู่ นหนองนำ้� อกี ครั้ง ๒๗๕ ระเบยี งวัด ๒๘๑ วิธเี ป่า “แคน” (ภาพรา่ งโดยชาวสยาม) ๒๘๒ ศรชี มพูพาน พญาวานร ๒๘๓ พาหนะในการเดินทาง ๒๙๔ ประตเู มอื งเก่าดา้ นทศิ ใตท้ ีเ่ มืองโคราช ๒๙๙ โกดังสินค้าชาวจนี เมอื งโคราช ๓๐๒ พาหนะในการเดินทาง ๓๐๗ ลกู ตมุ้ ระฆงั กระดงึ ผกู คอววั ควาย และ “บกิ๊ เบน็ (Big Ben)” ๓๒๓ แหง่ เมอื งหนองคาย ๓๒๔ เรือปนื ฝรงั่ เศส “ลูแตง” ๓๕๐ เรอื “เจ.บี.เซย์” หลังจากปฏิบัตกิ าร ๓๖๙ เมือ่ วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ๓๗๔ โรเวอร ์ ๓๘๕ ลกู หาบชาวกะเหรย่ี ง พเิ ภก โหราจารยข์ องพระราม

นางสีดา มเหสขี องพระราม ๓๘๖ ภาพโนต้ เพลง Molto Sostenuto ๓๘๘ ขบวนเรอื หาปลาท่เี มืองมะรดิ ๓๙๔ วหิ ารศกั ด์สิ ทิ ธ์ทิ ี่เมอื งมะริด ๓๙๖ อา่ วจอดเรอื ทท่ี งุ่ คา ๓๙๙ เหมอื งแร่โลกิ (LoGi) ๔๐๕ ทอ่ ล�ำเลียงน้�ำของชาวจนี ท่ีท่อส้นั ๔๐๙ กนิ รี ๔๑๒ โน้ตเพลง ๔๑๔ ๑๘๗ แผนทแ่ี ละแผนผัง ๓๓๗ ภาพแสดงการไหลของเสน้ ทางนำ้� บรเิ วณแมน่ ำ้� โขงตอนบน แผนผงั ปฏบิ ัตกิ ารท่ีปากน้ำ�

บทนำ� แม้จะมีผู้ได้เขียนถึงประเทศสยามและชาวสยามไปแล้วอย่างมากมาย แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าจะไม่มีเรื่องใดเกี่ยวกับสยามให้กล่าวถึงอีกแล้ว ถึงจะมี หนังสือจ�ำนวนไม่ใช่นอ้ ย “เอกสาร” จำ� นวนมาก และบทความตีพมิ พเ์ ผยแพร่ นับไม่ถว้ นทีน่ ำ� เสนอเรอ่ื งราวเกี่ยวกบั พระมหากษัตรยิ ์ ประเทศหรอื ประชาชน ของสยามยงั คงมใี หเ้ หน็ อยู่ แตก่ ระนน้ั กย็ งั คงใหข้ อ้ เทจ็ จรงิ ไดแ้ คเ่ พยี งวา่ ทกุ วนั นก้ี ย็ งั ไมม่ ใี ครทจี่ ะสามารถท�ำใหเ้ จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั เปดิ เผยขอ้ มลู ทนี่ า่ เชอื่ ถอื ออก มาได้ ไม่ว่าข้อมูลน้ันจะเกี่ยวข้องท้ังเร่ืองในวงกว้าง หรือเรื่องท่ัวๆ ไปก็ตาม หนงั สอื รนุ่ ใหมๆ่ ทพี่ บเหน็ ไดอ้ ยทู่ วั่ ไป มที พ่ี อจะยกเวน้ ไดบ้ า้ งกพ็ วกรายงานการ เดินทางทั้งหลายน้ัน ก็ล้วนแต่เขียนขึ้นภายหลังจากที่ได้เพียงแค่เหลือบมอง ประเด็นต่างๆ ท่ีผู้เขียนมีโอกาสเข้าไปมีส่วนเก่ียวข้องด้วยในบริบทที่สภาพ แวดลอ้ มทุกอยา่ งยงั แปลกใหมส่ ำ� หรับพวกเขา สว่ นใหญ่แลว้ “เอกสารตา่ งๆ” และข้อสังเกตของส�ำนักพิมพ์ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปเพียงแค่บางประเด็น หรือ ขอ้ สงสยั เฉพาะในเรอื่ งใดเรอ่ื งหนง่ึ แมว้ า่ มนั จะถกู เขยี นขน้ึ โดยคนทรี่ ดู้ วี า่ ตนเอง กำ� ลงั เขยี นเกย่ี วกบั เรอ่ื งอะไร แตแ่ หลง่ ขอ้ มลู นนั้ กไ็ ดม้ าอยา่ งไมป่ ะตดิ ปะตอ่ เชน่ เดยี วกบั การท่ีจะให้ได้มาซง่ึ ข้อมลู น้ันกท็ ำ� ได้ยากล�ำบากยง่ิ คงจะไม่มีรัฐบาลไหนเลยท่ีจะตกเป็นหัวข้อของการด่าทอเหยียดหยาม อยเู่ พยี งฝา่ ยเดยี วมากไปกวา่ นี้ หรอื ถกู ผอู้ นื่ เยนิ ยออยา่ งเลศิ ลอยจนไรส้ าระอยา่ ง ท่ีรัฐบาลสยามเคยได้รับมาก่อน ตัวการส�ำคัญคงจะเป็นพวกชาวตะวันตกผู้ ฉุนเฉียวข้ีโมโหท่ีไม่เคยเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ท�ำความเข้าใจในวิถีทางระหว่าง ยุโรปสมัยใหม่และผู้คนชาวอินโดจีนด้ังเดิมท่ีอาศัยอยู่ตามบริเวณอ่าวอันกว้าง ใหญ่ ซึ่งการไดเ้ ดนิ ทางไปจนทว่ั บรเิ วณเหล่านน้ั อาจตราตรงึ อยู่ในความทรงจำ� ของเขาไปจนช่วั ชวี ติ แมว้ า่ ชาวสยามจะมคี วามแตกตา่ งไปจากเรามาก แตพ่ วกเขากม็ ธี รรมชาติ ของความเป็นมนุษย์ปุถุชนเหมือนกัน ทั้งคงจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เกินไปกว่านี้

หากว่าพวกเราปฏบิ ตั ิต่อเขาอยา่ งเหมาะสม การเหยยี ดหยามและเสยี งดา่ ทอท่ี เกินขอบเขตล้วนแต่ไม่ส่งผลดีต่อพวกเขาและก็คงไม่เป็นผลดีต่อพวกเราด้วย พดู ใหถ้ กู กค็ อื เรามกั จะไดร้ บั ความจรงิ กต็ อ่ เมอื่ เรามใี จหยบิ ยนื่ ความจรงิ ใหก้ อ่ น หากปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างสุภาพชน พวกเขาก็จะปฏิบัติต่อท่านเช่นเดียวกัน สิ่งที่ขา้ พเจา้ เคยคาดการณไ์ ว้กลับเปน็ ตรงกนั ขา้ ม เพราะตลอดเวลาทขี่ า้ พเจา้ รับราชการอยู่นั้น รัฐบาลสยามไดป้ ฏิบัตติ ่อขา้ พเจา้ ด้วยท่าทอี ย่างทีเ่ รียกได้วา่ ใหเ้ กยี รตแิ ละไวว้ างใจ แมค้ ำ� วพิ ากษว์ จิ ารณแ์ ละรายงานของขา้ พเจา้ นนั้ เกรงวา่ ค่อนข้างจะตรงไปตรงมาและเกอื บจะเรยี กไดว้ า่ หยาบคาย แต่กไ็ มเ่ คยปรากฏ ว่าจะมีความไม่ลงรอยใดๆ เกดิ ข้ึนระหวา่ งเราเลย สำ� หรบั เรอื่ งเกย่ี วกบั เงนิ ทองซงึ่ มกั จะเปน็ สาเหตทุ ที่ ำ� ใหเ้ กดิ การรอ้ งเรยี น กันทั่วไป ไม่ว่าจะเน่ืองมาจากการท่ีพวกเขาขาดความม่ันคงหรือมาจากความ คดโกงของข้าราชการบางคนก็แล้วแต่ ในกรณีน้ีข้าพเจ้าก็ไม่เคยต้องพบกับ ปัญหาใดๆ ท่ีกระทบกับหน้าที่การงานของข้าพเจ้า ส่วนเรื่องลักษณะนิสัยที่ ขา้ พเจา้ ไดร้ บั คำ� บอกเลา่ เกย่ี วกบั พวกเขาตลอดมากเ็ ปน็ ไปในทศิ ทางตรงกนั ขา้ ม เช่นกัน ข้าพเจ้าไม่เคยพบว่าผู้คนในประเทศน้ีเป็นขโมยขโจรโดยสันดานหรือ ลว้ นแตเ่ ปน็ คนพดู จาโกหกไมร่ จู้ กั หยดุ จกั หยอ่ น ในความเปน็ จรงิ นนั้ ขา้ พเจา้ พบ ว่าพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา พร้อมที่จะยืนหยัดยึดมั่นในค�ำพูด สดุ ทา้ ยทเ่ี ขาไดต้ กปากรบั ค�ำโดยปราศจากการคาดหวงั ถงึ สง่ิ ตอบแทน และมกั จะตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างเต็มเปี่ยม จริงๆ แล้ว ขา้ พเจา้ พบวา่ ตวั เองเปน็ หนพ้ี วกเขาทงั้ ในเรอื่ งการปฏบิ ตั งิ านราชการของรฐั บาล และในสว่ นของผคู้ นนน้ั กพ็ บวา่ ยงั มอี ะไรอกี มากมายทขี่ า้ พเจา้ ไมเ่ คยคดิ ทจี่ ะลมื เลือน ขา้ พเจา้ ไมไ่ ดแ้ สแสรง้ ทจี่ ะทำ� เปน็ มคี วามเขา้ ใจครอบคลมุ ไปทกุ เรอื่ ง และ เรอ่ื งลกั ษณะนสิ ยั ของประชาชนกม็ แี งม่ มุ ซบั ซอ้ นทแ่ี มแ้ ตผ่ ใู้ ชค้ วามสงั เกตอยา่ ง ละเอียดถ่ีถ้วนที่สุดก็ยังไม่แน่เสมอไปว่า ต่อให้ผ่านการพินิจพิเคราะห์มาเนิ่น

นานแลว้ กใ็ ชว่ า่ จะมสี ง่ิ ใดทน่ี ำ� มาใชต้ ดั สนิ ใจในเรอื่ งนไ้ี ด้ 1 ทศั นะและความหมาย ของบคุ ลิกลักษณะแบบชาวเอเชยี ยงั คงเป็นเงอ่ื นงำ� สำ� หรบั พวกเรา และยง่ิ ใคร ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชนชาติตะวันออกนานเท่าไหร่ ความเช่ือม่ันของคนๆ นั้น ในความรูท้ ่ีมีว่าชาวสยามเป็นอยา่ งไรและคดิ อะไรอยู่กค็ งจะยง่ิ ลดลง ในเร่ืองภาพร่างเก่ียวกับสยามและชาวสยามน้ัน ข้าพเจ้าได้พยายาม บันทึกเอาไว้อย่างที่เรียกได้ว่าถูกต้องตามความเป็นจริงมากเท่าที่จะเป็นไปได้ เปน็ ภาพลายเสน้ ทว่ี าดขน้ึ จากสงิ่ ทข่ี า้ พเจา้ พบเหน็ มาดว้ ยตาของตนเอง ซงึ่ อาจ จะเป็นเหตุท่ีท�ำให้ท่านผู้อ่านได้เปิดใจกว้างในการตัดสินใจเก่ียวกับพวกเขาได้ อย่างเป็นธรรมมากกว่าที่เคยเป็นอยู่แต่เดิม ด้วยใจท่ีวิพากษ์วิจารณ์โดยเที่ยง ธรรมอยา่ งแทจ้ ริง ซง่ึ มองออกวา่ อะไรคือ “รูปแบบของการดำ� รงชวี ติ ตามแบบ ทชี่ นในชาติสยามเป็นอยู่ แล้วเข้าไปมสี ว่ นร่วมกบั รูปแบบนั้น ไม่ว่ามนั จะทรง คณุ ค่าหรอื งดงามเพียงใดก็ตาม” ในเวลาเดียวกัน ด้วยการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเพ่ือสะท้อนว่า อะไรคอื อปุ สรรคทแ่ี ทจ้ รงิ ตอ่ การปฏริ ปู อยา่ งสมบรู ณแ์ บบและมนั่ คงในประเทศ สยาม อนั จะเหน็ ไดจ้ ากสงิ่ ทพี่ วกเขาทำ� ทง้ั จากภายในและภายนอก หนงั สอื เลม่ จึงช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจลักษณะของงานส�ำคัญซึ่งท้ังพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ที่ทรงท�ำงานร่วมกับพระองค์ได้ก�ำหนดไว้เป็น เป้าหมาย ท้ังยังจะชื่นชมในความกล้าหาญท่ีพวกเขาได้ลงมือปฏิบัติงานท่ีนับ ว่ายุ่งยากและซับซ้อนมากท่ีสุดงานหนึ่ง เป็นงานท่ีต้องข้ึนกับความเจริญของ ยโุ รปสมยั ใหม่ ตลอดจนภาระงานทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ประชาชนหวั เกา่ ในดนิ แดนตะวนั ออกไกล ไมม่ ภี ารกจิ อนั ใดทจ่ี ะตอ้ งใชท้ ง้ั ความอดทน ความมมุ านะบากบนั่ หรอื ใชว้ ธิ เี ลอื กปฏบิ ตั ทิ ม่ี ากไปกวา่ นี้ หรอื นา่ จะไดร้ บั ความเหน็ ใจจากมติ รชาวองั กฤษ ที่มากกวา่ นี้ ข้าพเจ้าขอกล่าวอีกคร้ังหนึ่งว่าไม่มีการเดินทางครั้งใดของข้าพเจ้าท่ีจะ ไดน้ ำ� มาตง้ั เปน็ ชอื่ ของการสำ� รวจคน้ พบใดๆ และไมม่ เี รอ่ื งของการคน้ พบใหมๆ่ ท่ี 1 คาร์ไล โทมัส (Carlyle Thomas), บทความเบด็ เตล็ด - ตน้ ฉบบั

มีการบันทึกไว้ในหนังสอื เล่มน้ี เพราะหลักฐานทง้ั หมดทข่ี า้ พเจ้าได้นำ� มากล่าว ถงึ ยอ่ มเปน็ ทรี่ จู้ กั กนั ดขี องนกั ภมู ศิ าสตรแ์ ละคนทสี่ นใจในประเทศสยามอยแู่ ลว้ ขา้ พเจา้ ไมเ่ คยถกู คนใชอ้ าวธุ ซมุ่ โจมตกี ลางดกึ กลางดนื่ และไมเ่ คยตอ้ งหนี อยา่ งเฉียดฉิวจากความปา่ เถื่อนเจ้าเลห่ ์ หรอื จากคนสารเลวท่ีออกลา่ เหย่ือจน ตอ้ งนำ� มาเลา่ ถงึ โดยละเอยี ด จากสงขลาถงึ เมอื งงอยและจากทะวายถงึ เสยี มเรยี บ สิ่งเดียวท่ีอาวุธปืนต้องการคือบุหร่ีมวนด้วยใบยาและไม้ขีดไฟ และศัตรู ที่ส�ำคัญท่ีสุดของพวกเราก็คือน�้ำท่วมและไข้ป่า หนังสือเกี่ยวกับการเดินทาง หนงั สอื ท่องเที่ยวท่บี รรจไุ ว้ดว้ ยเรื่องราวของการสารภาพสำ� นึกผิดน้ันเป็นเร่ือง ที่ผดิ ปกติวิสัย ดังเชน่ ท่มี ีเรื่องพวกนอี้ ยู่มากมายในหนังสอื ของขา้ พเจา้ อยา่ งไร กต็ ามในอนิ โดจนี นนั้ การหนั เขา้ ใชค้ วามรนุ แรงมกั เปน็ วธิ หี าทางออกสำ� หรบั นกั เดินทางท่ีไม่สามารถจะท�ำความเข้าใจกับสภาพแวดล้อมรอบตัวเขาซึ่งล้วนมี อทิ ธพิ ลตอ่ การท�ำงาน ยง่ิ มีเร่ืองกระทบกระเทอื นมากขึน้ เท่าไหร่ ข้อเท็จจริงที่ เราหวังจะได้จากการจ�ำแนกแยกแยะเรอื่ งชีวติ และสิ่งต่างๆ ก็จะย่งิ ลดน้อยลง ไปเทา่ นนั้ ในเรื่องเกี่ยวกับศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาประจ�ำชาติสยามก็เป็นเรื่อง ทขี่ า้ พเจา้ ไดส้ มั ผสั มานอ้ ยมาก เชน่ เดยี วกบั ทหี่ วั ขอ้ เรอื่ งทนี่ า่ สนใจมากทสี่ ดุ เรอื่ ง นี้เคยได้รับการน�ำมาถ่ายทอดไว้แล้วอย่างหมดเปลือกโดยนักเขียนต่างๆ อย่างอลาบาสเตอร์ (Alabaster) และเยรินี (Gerini) เกยี่ วกบั เรอ่ื งเมอื งเชยี งใหมแ่ ละหวั เมอื งลาวตะวนั ตกบรเิ วณรมิ ฝง่ั แมน่ ำ�้ ปงิ ที่เปน็ สาขาของแม่นำ้� เจ้าพระยา เป็นข้อสงั เกตที่ไดร้ บั การนำ� มากล่าวถงึ ใน หนังสือเล่มน้ีน้อยมากเช่นกัน เหตุผลประการแรกก็คือ เป็นความเสียใจอย่าง สุดซึ้งของข้าพเจ้าไม่เคยได้แวะเวียนไปยังบริเวณนั้นของประเทศเลย และ ประการท่สี อง ดว้ ยความที่มนั เป็นบริเวณที่ไดร้ ับความสนใจอย่างสงู จงึ ต้องใช้ ความระมดั ระวังและมีความละเอยี ดลออในการพรรณนา2 การสถาปนาสถาน กงสุลอังกฤษ และการจัดพิมพ์เผยแพร่รายงานการค้าประจ�ำปีที่เกี่ยวข้อง 2 โดยนายฮอลต์ ฮัลเลต็ ต์ (Holt Hallett) ในหนังสือเรอื่ ง หนึง่ พันไมล์บนหลังชา้ ง (A Thousand Miles an Elephant) และนายเอ.อาร์.คอลคูฮอน (A.R. Colquhoun) ในหนงั สอื เร่อื ง ในทา่ มกลางรฐั ฉาน Amongst the Shans) - ตน้ ฉบับ

โดยตรงกับดินแดนส่วนน้ี รวมทั้งข้อเท็จจริงทั้งบริษัทบอร์เนียว (Borneo Company) และบริษัทการค้าบอมเบย์ เบอร์มา จ�ำกัด (Bombay Burma Trading Corporation) ตา่ งก็มบี รษิ ทั ตวั แทนอยู่ตามสว่ นตา่ งๆ ของประเทศ ไวค้ อยดแู ลผลประโยชนอ์ นั มหาศาลของพวกเขา สงิ่ ตา่ ง ๆ ทห่ี ลอมรวมกนั นจี้ งึ ท�ำใหไ้ มม่ คี วามจำ� เปน็ ทีจ่ ะกา้ วลว่ งไปพรรณนาเรื่องราวดังกลา่ วไว้ ณ ทน่ี เ้ี ลย ส่วนเรื่องของกรุงเทพฯ ก็ไม่มีความจ�ำเป็นที่จะต้องพูดถึงให้มากความ ด้วยเหตุที่เมืองหลวงแห่งน้ีเคยได้รับการพรรณนาถึงอย่างช่ืนชมจากความคิด เห็นของผู้มาเยือนท้ังหลายดังปรากฏอยู่ในผลงานเขียนมากมายหลายเล่ม3 ซง่ึ ลว้ นแตใ่ หข้ อ้ คดิ ทดี่ ใี นเรอ่ื งเกยี่ วกบั วดั วาอาราม อาคารตา่ งๆ รวมทงั้ ลกั ษณะ เฉพาะตัวของเมืองหลวงแห่งนี้ ภาพประกอบในหนังสือส่วนใหญ่น�ำมาจากภาพวาดในสมุดบันทึกของ ข้าพเจ้าและมีส่วนน้อยที่เป็นภาพถ่าย การท่ีภาพเหล่าน้ีขาดหายคุณค่าทาง ศิลปะไปบ้าง ก็เน่ืองมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าภาพที่ร่างข้ึนอย่างหยาบๆ จาก สถานท่ีจริง คงไม่อาจจะถ่ายทอดสิ่งที่เห็นได้ถูกต้องตามความเป็นจริง แต่ กระนน้ั มนั ก็มักจะมีคณุ ค่าเมอื่ ปรากฏอยใู่ นหนังสือประเภทน้ี มากไปกว่าภาพ วาดทสี่ วยงามไมม่ ที ต่ี ทิ เ่ี ราสามารถพบเหน็ ไดใ้ นขณะเมอื่ อยทู่ บ่ี า้ น หรอื มคี ณุ คา่ มากกว่าภาพทีไ่ ดร้ ับการแตง่ แต้มโดยศิลปินผูไ้ ม่เคยไดเ้ ข้าไปเฉยี ดใกล้ในระยะ ๑,๐๐๐ ไมลข์ องสถานทซี่ งึ่ ปรากฏอยใู่ นภาพเหล่านั้นมากอ่ นเลย 3 วัดและช้าง (Temples and Elephants) โดย คาร์ล บ็อค (Carl Bock) Samson Law, Marston, Searle and Rivington : London, 1884 (พ.ศ.๒๔๒๗) และดินแดนแห่งช้างเผอื ก (Land of the White Elephant), โดย แฟรงค์ วินเซนต์ (Frank Vincent) โดยสำ� นกั พมิ พเ์ ดยี วกัน, 1872. (พ.ศ.๒๔๑๕) อยา่ งไรกต็ าม รายงานเกีย่ วกบั กรุงเทพฯ ท่มี คี ณุ ค่าและถูกตอ้ งมากกว่านป้ี รากฎอย่ใู นหนงั สือที่เพิ่งออกเผยแพร่ ช่ือ The Kingdom of the Yellow Robe เขยี นโดยผู้แทนทางการทตู คนเกา่ คอื นายอี.ยัง (Mr.E.Young) เปน็ หนงั สือท่ี บรรจภุ าพประกอบงดงามแปลกตา โดยผแู้ ทนทางการทตู คนกอ่ นอกี ทา่ นหนง่ึ ชอ่ื นายนอรบ์ รู ี (Mr.Norbury) Westminster, Arohibald Constable, ค.ศ. 1898 (พ.ศ.๒๔๔๑) ประวตั ิศาสตร์ทางธรรมชาตขิ องกรงุ เทพฯ ไดร้ ับการพรรณนาถงึ หลายครงั้ ในบทความหลายชิน้ ที่เขียนโดย นายเอส. เอส. ฟลาวเวอร์ (S.S.Flower) พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งราชสำ�นัก เขาเปน็ ผู้ทไ่ี ดท้ ำ�การศึกษาในเร่ืองนอ้ี ยา่ งถงึ แกน่ - ตน้ ฉบบั

ข้าพเจา้ ใครข่ อแสดงความร้สู กึ ขอบคณุ ต่อพนั เอก ว้ดู ธอร์ป, อาร์.อ.ี ,ซ.ี บี. (Colonel Woodthorpe. R.E.,C.B.) สำ� หรบั ภาพรา่ งอนั มคี ุณคา่ ทป่ี รากฏ อยูใ่ นหนงั สือหนา้ ๒๒๙ และ ๒๓๒ ขอขอบคุณมารดาของขา้ พเจ้าส�ำหรบั ภาพ ในหน้า ๒๓๙, ๓๑๓ และหน้า ๙๔ ในห้าปีในสยาม เลม่ ๒ ขอบคณุ พ่ีชายท่พี บ บริเวณอ่าว ส�ำหรับภาพร่างหลายๆ ภาพท่ีเขาเป็นผู้วาดเมื่อตอนอยู่ในสยาม ขอบคณุ นายสขุ เพอ่ื นตายคทู่ กุ ขค์ ยู่ ากของขา้ พเจา้ สำ� หรบั ภาพวาดรปู ชาวสยาม และบทเพลงพื้นบ้านท่ีปรากฏอยู่ในภาคผนวก และขอขอบคุณ Inez Story Maskelyne ญาตขิ องขา้ พเจา้ สำ� หรบั ความชว่ ยเหลอื อยา่ งหาทสี่ ดุ ไมไ่ ดใ้ นระยะ เรมิ่ แรกของการจดั ทำ� หนงั สือเล่มนี้

ประวัติผู้แต่ง เฮอรเ์ บริ ต์ วารงิ ตนั สมธิ (Herbert Warinton Smyth) เปน็ ชาวองั กฤษ เกดิ เมอื่ วนั ที่ ๔ มถิ นุ ายน พ.ศ.๒๔๑๐ เปน็ บตุ รชายของ เซอร์ วารงิ ตนั วลิ คนิ สนั สมธิ (Sir Warington Wilkinson Smyth : FRS/Fellow of the Royal So- ciety) นักธรณีวิทยาและศาสตราจารย์ด้านการเหมืองแร่แห่งราชส�ำนัก (Royal School Of Mines) นายวาริงตัน สมิธ จบการศึกษาจากโรงเรยี นเวสต์ มินสเตอร์ (Westminster School) และ Trinity College มหาวิทยาลัย Cambridge ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นน�ำของโลกนับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เมื่อส�ำเร็จการศึกษาได้เข้าศึกษาเพิ่มเติมด้านธรณีวิทยา (Geology) แร่วิทยา (Mineralogy) ผลึกวิทยา (Crystallography) และฟิสิกส์ (Physics) และ ได้เดินตามรอยบิดาด้วยการเข้าท�ำงานเป็นผู้ช่วยปฏิบัติงานท่ี Mineral Adviser to the Office of Woods ระหวา่ ง พ.ศ.๒๔๓๓ ถงึ ๒๔๓๔ แตเ่ ปน็ การ ทำ� งานทไ่ี มม่ คี า่ จา้ งตอบแทน จากนน้ั จงึ ไดม้ โี อกาสเดนิ ทางมาแสวงหาประสบการณ์ ท�ำงานใหม่ท่ปี ระเทศสยาม นายสมธิ เตบิ โตมาในครอบครวั ทม่ี รี ะบบความคดิ แบบคนองั กฤษแทๆ้ มี ความเช่ือม่ันในวัฒนธรรมและเช้ือชาติของตนเอง มีมุมมองที่ชัดเจน และอยู่ ท่ามกลางบรรยากาศที่แวดล้อมด้วยความเป็นชาตินิยมและจักรวรรดินิยมที่ แพรห่ ลายอยใู่ นวฒั นธรรมองั กฤษขณะนน้ั และนนั่ อาจเปน็ เหตผุ ลหนง่ึ ทท่ี �ำให้ นายสมิธเห็นว่างานท่ีสยามคือย่างก้าวที่ส�ำคัญต่อความเจริญก้าวหน้าในสาย อาชพี ของเขา เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ต้ังกรมราชโลหกิจและภูมิวิทยาข้ึนในสังกัดกระทรวงเกษตราธิการเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๔ ในฐานะกรมซง่ึ มอี ำ� นาจหนา้ ทอี่ ำ� นวยการและบรหิ ารจดั การเรอ่ื งเหมอื ง แรใ่ นผนื แผน่ ดนิ สยาม ในเวลาตอ่ มาจงึ ไดเ้ กดิ แนวคดิ ทจ่ี ะพฒั นางานธรณวี ทิ ยา ให้เป็นระเบียบแบบแผนตามแบบสากลนิยมมากขึ้น รัชกาลที่ ๕ จึงทรงมี พระบรมราชานุญาตใหเ้ จ้าพระยาภาสกรวงศ์ เสนาบดีกระทรวงเกษตราธกิ าร

ในขณะนน้ั ดำ� เนนิ การจดั หาและวา่ จา้ งชาวยโุ รปผมู้ คี วามรคู้ วามเชยี่ วชาญและ ประสบการณใ์ นงานเหมอื งแรแ่ ละธรณวี ทิ ยาเขา้ มาปฏบิ ตั งิ านในสยาม เจา้ กรม เหมืองแร่คนแรกเป็นชาวเยอรมัน ชอื่ นายวอเธอร์ เดอ มลุ เลอร์ (Mr.Walter de Müller) เริ่มปฏิบัติหน้าท่ีตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๓๔ จนถึงพ.ศ.๒๔๓๗ โดยที่ นายสมิธกไ็ ด้รบั หนา้ ท่ผี ู้ช่วยในช่วงเวลาเดยี วกันนน้ั ดว้ ย และภายหลงั เขาจงึ ได้ รบั พระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ แต่งตง้ั ให้ดำ� รงต�ำแหนง่ เจ้ากรมสืบต่อมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๓๙ งานของนายสมิธ กล่าวโดยสรุปก็คือ การจัดตั้งส่วนราชการใหม่ของ รฐั บาลเพ่อื บริหารงานด้านเหมืองแร่ เป็นการเร่ิมตน้ สำ� รวจทางธรณวี ิทยาเพอื่ จดั ทำ� ตน้ รา่ งของระเบยี บแบบแผนควบคมุ งานดา้ นการท�ำเหมอื งแร่ (พ.ร.บ.เหมอื ง แร)่ ตลอดจนการสำ� รวจทางธรณวี ิทยาท่ัวทกุ ภูมิภาคของสยาม เขาและคณะ ท�ำงานชาวสยามเพียงไม่ก่ีคนได้ท�ำการส�ำรวจทั้งพื้นที่ภาคกลาง พ้ืนท่ีทาง ตอนเหนอื จนถงึ บรเิ วณทเ่ี ชอื่ มตอ่ กบั หวั เมอื งลาว ตลอดจนหวั เมอื งฝา่ ยใตแ้ ถบ คาบสมทุ รมลายู แลว้ สรปุ ผลการสำ� รวจรายงานรฐั บาลสยามไดร้ บั ทราบ ทง้ั ยงั ไดเ้ ขยี นบนั ทกึ ประสบการณท์ ไี่ ดร้ บั จากการทำ� งานในสยาม จดั พมิ พเ์ ปน็ หนงั สอื ห้าปใี นสยาม จ�ำนวน ๒ เล่ม (Five Years in Siam vol.1-2) ทีป่ ระเทศอังกฤษ เมอ่ื พ.ศ.๒๔๔๐ เนอื้ หาในหนงั สอื นอกจากจะบอกเลา่ ประสบการณท์ มี่ คี ณุ ปู การ ต่อสยามเปน็ อยา่ งยง่ิ แล้ว บนั ทึกดงั กลา่ วยังประกอบด้วยเรอ่ื งราวที่เปน็ ภาพ สะทอ้ นถงึ เหตกุ ารณบ์ ้านเมอื ง สภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ ผู้คน วถิ ชี ีวติ ของ สยามในชว่ งเวลานนั้ อย่างชัดเจน ตรงไปตรงมาและทรงคุณคา่ ยิ่ง เม่ือได้ลาออกจากการรับราชการที่สยามแล้ว นายสมิธได้เดินทางไป ท�ำงานทางด้านธรณวี ิทยาในอกี หลายภูมิภาคของโลก ทง้ั ยงั ได้มีโอกาสปฏิบตั ิ หน้าที่ในฐานะผู้แทนทางการทูตของสยาม ณ กรุงลอนดอน ในต�ำแหน่ง Secretary of Siamese Legation ระหวา่ ง พ.ศ.๒๔๔๑-๒๔๔๔ อีกดว้ ย คดั ย่อจาก “นายเฮอร์เบริ ์ต วาริงตัน สมธิ (Mr.Herbert Warington Smyth) เจา้ กรมราชโลหกิจและภูมิวทิ ยาในสมัยรัชกาลที่ ๕” จากหนังสือประวัตแิ ละผลงานชาว ต่างชาตใิ นประเทศสยาม เลม่ ๓ กรมศิลปากร พ.ศ.๒๕๕๘.

พระอาทติ ยข์ ึ้นใกลป้ ากทา - บรเิ วณแมน่ ำ้� โขงตอนบน

การขา้ มสันดอน บทที่ ๑ แม่นำ�้ และทา่ เรือท่ีกรงุ เทพฯ ----------------------------------- แหลม “Liant” หรือทช่ี าวสยามเรียกกันท่วั ไปวา่ แหลมแสมสาร คือ แผน่ ดนิ แรกทเี่ รอื ซง่ึ มงุ่ หนา้ ไปยงั กรงุ เทพฯ จะไดพ้ บเจอ พนื้ ทบี่ รเิ วณนเี้ ปน็ เกาะ แก่งท่ีมีลักษณะภูมิประเทศอยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ท่ี พดั โหมกระหนำ่� รฐั บาลสยามไดส้ รา้ งประภาคาร1 อนั เปน็ สง่ิ จำ� เปน็ อยา่ งยง่ิ ยวด ไวท้ แี่ หลมนี้ นบั เปน็ ดวงไฟอนั ดบั สองของอา่ วทถี่ อื วา่ มคี วามส�ำคญั มาก อกี ดวง หน่ึงน้ันก็ยังคงปักหลักส่องแสงขมุกขมัวต่างยามรักษาการอยู่ตรงสันดอนปาก แมน่ ้�ำเจา้ พระยา 1 ประภาคารน้ตี ัง้ อย่บู นเกาะจวง อยเู่ หนือระดับน�้ำทะเลท่ีความสูง ๔๖๘ ฟตุ ยามอากาศแจม่ ใสจะสอ่ งแสงสวา่ งไดร้ ะยะไกล ประมาณ ๓๕ ไมล์ ดวงไฟหมุนไดแ้ ละกะพริบ ๒ ครั้ง ในทกุ ๆ ๘๐ วินาที ล�ำแสงจะส่องตรงครอบคลุมหนิ จุฬาซึ่งอยใู่ นระยะ ๔ ไมลท์ างทศิ ใต้ - ต้นฉบับ

26 บทที่ ๑ แมน่ ำ้� และทา่ เรอื ท่ีกรุงเทพฯ ครงั้ แรกทขี่ า้ พเจา้ ไดเ้ ดนิ ทางผา่ นประภาคารทปี่ ากแมน่ ำ�้ นน้ั เปน็ ยามเชา้ อนั เยน็ ยะเยอื กแหง่ เดอื นพฤศจกิ ายนและไดเ้ หน็ มนั กะพรบิ แสงเปน็ ครง้ั สดุ ทา้ ย ก่อนแสงอรุณจะสาดส่อง ขอสารภาพว่าข้าพเจ้ารู้สึกใจหายกับทัศนียภาพที่ ปรากฏพรอ้ มกบั แสงเงนิ แสงทอง บรเิ วณโดยรอบครอบคลมุ ไปดว้ ยความสกปรก ผนื นำ้� เป็นโคลนตมขนุ่ คลก่ั สนี ้�ำตาลมคี วามลกึ สูงสุดประมาณ ๑๔ ฟตุ มหี ลกั ตกปลาปักไว้ทั่วบริเวณท�ำให้ภาพรวมๆ ท่ีเห็นแลดูระเกะระกะ เส่ือมโทรม รกรงุ รงั ทเ่ี หน็ ปรากฏในระดบั สายตาเปน็ แนวยาวทางทศิ เหนอื นน้ั กค็ อื พมุ่ เตย้ี ๆ ของไม้โกงกางทีข่ ึน้ อยู่ตลอดเวลาแนวท่เี ราใชเ้ ดินทาง เชน่ เดียวกับที่เคยไดเ้ ห็น ทุ่งโกงกางกว้างใหญ่และถูกปล่อยให้ข้ึนรกรุงรังมากกว่านี้ท่ีบริเวณปากแม่น�้ำ Hugli๑ และยา่ งกงุ้ ขา้ พเจา้ ยงั จำ� ไดว้ า่ นา่ จะมบี างสง่ิ ทเี่ ปย่ี มดว้ ยความหวงั มากกวา่ นร้ี อคอยอยเู่ บอ้ื งหนา้ จนกระทงั่ ขา้ พเจา้ หวนคดิ ถงึ ค�ำเตอื นเกย่ี วกบั ของเลา่ ขาน ท่ีน่าหวาดกลัวของกรุงเทพฯ จากมิตรผู้อารีในสิงคโปร์ ข้าพเจ้าใคร่ขอเตือน ท่านผูอ้ ่านว่าไม่ควรจะเช่ือถ้อยคำ� ในเรือ่ งเกยี่ วกบั กรุงเทพฯ หรือสยามที่ได้ฟัง มาจากเพือ่ นฝูงที่นน่ั เป็นอนั ขาด เพราะพวกเขาเหล่านั้นลว้ นแตม่ คี วามเกลยี ด ชังสยามอย่างรุนแรง แมว้ า่ ทมี ครกิ เก็ตน้นั จะเล่นกนั ๑๑ คน แตท่ มี คริกเกต็ ลูก ผู้ชายที่เข้มแข็งและกล้าหาญของอังกฤษก็ไม่กล้าท่ีจะรับค�ำเชื้อเชิญจากทีม บางกอกครกิ เกต็ คลับเพ่ือเขา้ รว่ มการแขง่ ขนั กรงุ เทพฯ ในสายตาของสงิ คโปร์ คือดินแดนแห่งเร่อื งปรมั ปราและความนา่ สะพรึงกลวั เท่าน้นั ขณะเรือแล่นไปชา้ ๆ ตามทางในขณะเดยี วกบั ทีไ่ ดต้ ะกุยขีโ้ คลนระเรื่อย อยู่ทางเบ้ืองหลัง จะสังเกตเห็นหมุดสีเขียวปักเรียงไว้เป็นแนวกว้างเห็นได้ชัด แจ้งที่บริเวณข้างท่าเรือ มันคือแนวหลังคาในป้อมระบายไว้ด้วยสีเขียวฉูดฉาด เหน็ แตไ่ กลเดน่ กวา่ แนวไมโ้ กงกางทยี่ นื ตน้ อยา่ งสงบเสงย่ี ม การทกี่ ระแสนำ้� 2 ไม่ เคยทง้ิ รอ่ งรอยแนน่ อนและมคี วามผนั แปรไมส่ มำ่� เสมอนบั เปน็ ปญั หาสำ� คญั ของ การเดนิ ทางขา้ มสนั ดอนมนั ไมม่ เี ครอ่ื งหมายชน้ี ำ� ทางใดๆ ประภาคารจะตงั้ เดน่ อยภู่ ายนอกแตเ่ พยี งลำ� พงั และไมม่ สี งิ่ ใดทจี่ ะบอกใหร้ ถู้ งึ ตำ� แหนง่ ของเรอื ลำ� อน่ื ๒ ๑ หรอื แมน่ ้ำ� Hooghly เป็นล�ำนำ�้ ทางทศิ ตะวันตกที่สำ� คัญทีส่ ุดของแม่นำ�้ แยงซี - สวป. 2 ภาคผนวก ๑ - ตน้ ฉบับ ๒ cross - bearing คือทศิ ทางท่ีวดั จากจุดสองจุดตัดกนั เพื่อหาตำ� แหนง่ ของเรือทีเ่ ดินทางอยู่กลางแม่นำ้� หรือมหาสมุทร - สวป

พระเจดยี ์กลางน้�ำ

28 บทที่ ๑ แมน่ ้ำ� และทา่ เรอื ท่ีกรุงเทพฯ นอกจากแสงไฟจากเรือทุ่นไฟ๑ ที่จอดอยู่ในแม่น�้ำซ่ึงก็เป็นเพียงแสง ตะเกยี งสแี ดงสอ่ งประกายรบิ หรร่ี าวกบั ซกิ ารท์ ใี่ กลม้ อด หากวา่ อากาศเปน็ ใจก็ คงจะเหน็ ไดไ้ กลราว ๕ ไมล์ แตใ่ นขณะเดยี วกนั ถา้ เรอื ตอ้ งตกอยทู่ า่ มกลางมรสมุ ตะวนั ตกเฉียงใต้ที่โหมกระหน�่ำ รศั มีการมองเหน็ ก็จะเหลือเพียงแค่ห้าชว่ งเรอื เท่านั้น เรือส�ำเภาอับปางและสิ่งกีดขวางอ่ืนๆ ที่อยู่บริเวณรอบเรือทุ่นจะถูก ปลอ่ ยทงิ้ ไวอ้ ยา่ งนน้ั เพอ่ื เอาไวใ้ ชป้ อ้ งกนั ศตั รซู ง่ึ ดเู ปน็ วตั ถปุ ระสงคท์ ไี่ รป้ ระโยชน์ โดยสน้ิ เชงิ เพราะมนั กลบั กลายมาเปน็ สงิ่ กดี ขวางทางเดนิ เรอื โดยมากบนสนั ดอน จะมตี ะกว่ั อยมู่ ากพอสมควร โคลนตมทกี่ น้ บงึ้ ทางทศิ ตะวนั ตกจะคอ่ ยๆ ทบั ถม เข้าไปยังพ้ืนทรายทางทิศตะวันออกทีละเล็กทีละน้อย ส่วนร่องน้�ำที่ไหลพาด ผา่ นนนั้ ก็ยากท่จี ะคำ� นวณทิศทางได้ แมแ้ ตก่ ปั ตันเก่าแกผ่ ู้เชยี่ วชาญการบังคับ เรือและมากด้วยประสบการณ์มากว่า ๒๕ ปี ก็ยังบังคับเรือได้ไม่ดีไปกว่าผู้ที่ คอยบงั คบั เรือแลน่ ตามเขาไปในทศิ ทางเดียวกันน่ันเอง ด้วยเหตุท่ีเรือทุ่นไฟหย่อนประสิทธิภาพ ดังนั้นการระมัดระวังบริเวณ ชายฝั่งตะวันตกซึ่งอยู่ถัดจากเรือทุ่นมืดในตอนกลางคืนจึงเป็นเรื่องท�ำได้ยาก ล�ำบากไม่ใช่น้อย ในขณะเดยี วกันก็ต้องคำ� นงึ ถงึ ระดับน้�ำทที่ ่วมสงู ขึน้ ทง้ั ๒ ฝง่ั จงึ มคี วามจำ� เป็นอยา่ งยง่ิ ท่จี ะตอ้ งติดไฟส่องสว่างไว้ที่ทุ่นมืด นานมาแลว้ ทีท่ าง รฐั บาลใหค้ วามใสใ่ จทจ่ี ะชว่ ยเหลอื การเดนิ เรอื มากกวา่ นโี้ ดยนำ� ไฟไปตดิ ตง้ั ไวท้ ่ี นั่นจุดหนึ่ง มันไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์อันหาค่ามิได้ต่อทางน้�ำสายหลัก เทา่ นนั้ แตย่ งั ใหป้ ระโยชนแ์ กก่ ารลอ่ งเรอื ผา่ นไปยงั ทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใตอ้ กี ดว้ ย ในกรณที ไ่ี ม่มีแสงไฟเชน่ น้ี เรือทุ่นไฟจงึ ควรได้รับการปรับปรงุ เพราะนอกจาก ประภาคารท่ีเกาะจวงแล้ว ในช่วง ๖ ปีท่ีผ่านมานี้ไม่มกี ารด�ำเนินการใดๆ เพือ่ ทำ� ใหท้ า่ เรอื แหง่ นเี้ กดิ การพฒั นาขน้ึ เลย ระหวา่ งทนี่ ำ�้ ขน้ึ สงู ทร่ี ะดบั ความลกึ ๑๒ ฟุต กจ็ ะมีการชักรอกวัตถุทรงกรวยข้ึนที่ประภาคารหรือตามระดับความลึกท่ี เห็นว่าเหมาะสมกว่าน้ี ๑ Lightship หรอื เรอื จดุ โคมไฟสำ� หรบั ใชแ้ ทนประภาคาร เช่น เรือทุ่นที่จอดอยบู่ ริเวณสันดอนในสมัยกอ่ น - สวป.

หา้ ปใี นสยาม เลม่ ๑ 29 กัปตันแฮมิลตัน (Hamilton)3 ได้เคยเล่าเรื่องการเดินทางข้ามสันดอน ของพวกเขาในปี พ.ศ. ๒๒๖๓ เอาไวว้ า่ “สนั ดอนทส่ี ยามนนั้ เปน็ เพยี งแนวโคลน ตมท่ีแผ่เป็นบรเิ วณกว้างใหญ่ ช่วงทน่ี ำ้� ขนึ้ สงู สุดในแต่ละเดอื น ระดบั นำ�้ เหนอื สนั ดอนจะสงู ราว ๑๐ หรือ ๑๑ ฟตุ เทา่ นั้น ถา้ จะเดนิ ทางผ่านไปไดโ้ ดยงา่ ยควร ไปตอนทีม่ มี รสุมตะวันตกเฉียงใต้ เพราะเม่ือสบโอกาสดๆี ๒ - ๓ ครง้ั เรือท่ี โคลงเคลงไปมาเพราะแรงกระแทกจากคลน่ื เลก็ ๆ และดว้ ยแรงชว่ ยจากลมกจ็ ะ ทำ� ใหส้ ามารถลนื่ ไถลผา่ นโคลนไปได้ เรอื ของขา้ พเจา้ กนิ นำ�้ ลกึ ๑๓ ฟตุ แตเ่ หนอื สนั ดอนตอนทเี่ รอื ของเราแลน่ เขา้ สแู่ มน่ �้ำไดน้ น้ั ระดบั ความลกึ ของน้�ำสงู ไมถ่ งึ ๙ ฟตุ สว่ นตอนขากลบั ในขณะมมี รสมุ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทะเลจะสงบราบเรยี บ เราสามารถเทียบเรือทอดสมอและผูกโยงเรือเอาไว้ได้ หากเรือมีความจ�ำเป็น ต้องแล่นกินน้�ำท่ีระดับลึกกว่าน้ันแล้ว บางทีเราต้องเทียบท่าถึง ๒ ครั้งจึงจะ ส�ำเร็จ ถ้าเรอื กินนำ�้ ลึก ๑๒ ฟุต ข้าพเจา้ ต้องใชเ้ วลารอระดับนำ�้ ถงึ ๔ เท่ียว” “คลนื่ ลูกเลก็ ๆ” และ “การลืน่ ไถลผ่านโคลน” ทีแ่ ฮมิลตันกล่าวถงึ น้ัน หมายถึงพ้ืนตรงสว่ นกลาง ซ่ึงแตเ่ ดิมมันแข็งมากกว่าน้ี นา่ จะเปน็ บริเวณเสีย่ ง เปน็ เสย่ี งตายของเรอื ก�ำปน่ั หลายๆ ล�ำ การบอกเลา่ นชี้ ใี้ หเ้ หน็ วา่ บรเิ วณสนั ดอน คงมีความลกึ ลงไปในระดับ ๒ ฟตุ หรือประมาณนนั้ ครอเฟิรด์ (Crawfurd) เคยใช้เวลา ๑ สัปดาห์ ในการลากจงู เรือออกมา ด้วยเชือก ซึ่งเป็นวธิ กี ารทใ่ี ช้ไดก้ บั เรือท่ีถูกรื้อชิ้นสว่ นออกจนหมด เวลาอีก ๑๐ วนั ตอ้ งใชไ้ ปในการประกอบเรอื ขน้ึ มาใหมอ่ กี ครงั้ และอกี ๙ วนั สำ� หรบั การเดนิ ทางทัง้ ทางน้�ำและทางบกบนถนนในเกาะสีชัง ช่างใชเ้ วลากนั ได้ตามสบายเสยี จรงิ แตเ่ ดยี๋ วนเ้ี รอื กำ� ปน่ั จะตอ้ งขา้ มสนั ดอนตอนนำ�้ ขน้ึ ยามเชา้ ขนถา่ ยสมั ภาระ จนเสรจ็ สรรพแลว้ กก็ ลบั มาภายในวันเดยี วกัน เมอ่ื เรมิ่ มคี วามรสู้ กึ คนุ้ เคยกนั มากขนึ้ สนั ดอนแหง่ เดยี วกนั นก้ี ก็ ลบั กลาย เปน็ สิง่ ทีม่ ีลักษณะนา่ สนใจยิ่ง มันได้บอกความลีล้ ับต่างๆ ของทอ้ งทะเลทีม่ มี า นานแสนนานแกเ่ รายามตอ้ งสายลมตอนบา่ ยเชน่ นี้ ขณะทนี่ กทะเลสง่ เสยี งรอ้ ง 3 A New Account of the East Indias กปั ตนั เอ. แฮมลิ ตัน, (Capt.A.Hamilton) คศ. 1688 – 1723, เอดนิ เบริ ์ก, 1727 2 vols.8 - ตน้ ฉบับ

30 บทท่ี ๑ แมน่ ำ�้ และทา่ เรือทีก่ รุงเทพฯ เซง็ แซไ่ ปทว่ั เรอื จบั ปลาลำ� เลก็ ตา่ งกก็ ระโจนออกจากหลกั ผกู โยงของมนั หรอื ไม่ กแ็ ลน่ ใบอยา่ งเสยี่ งภัยข้ามผา่ นแนวโคลนแบนราบ สง่ิ ทม่ี นั บอกเราคงเป็นเรอ่ื ง กองเรอื ขงึ ใบขวางขบวนใหญท่ แ่ี ลน่ หลบหลกี กนั ไปมาในอดตี ครงั้ หนงึ่ ไมต่ ำ่� กวา่ ๒๐ ล�ำ บอกถึงเร่ืองเรือส�ำเภาล�ำใหญ่มากมายท่ีมาจอดทอดสมอไม้อันใหญ่ ผูกไว้ด้วยเชือกป่านเส้นยาว และเม่ือมองย้อนลึกเข้าไปก็จะเห็นภาพเรือท้าย กวา้ งแบบชาวดตั ชแ์ ละเรอื ทค่ี ลา้ ยเรอื โจรสลดั ของชาวโปรตเุ กส จนกระทง่ั ทนั ใด นั้นคล่ืนลมก็ผันแปรฉับพลันกลายเป็นพายุฝนกระหน�่ำอย่างรุนแรง ส่วนฟ้าก็ เรมิ่ คำ� รามและแลบแปลบปลาบอยทู่ างทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื แลว้ แทรกตวั พาด ผ่านสายลมจนทำ� ใหเ้ ราไมท่ ันไดไ้ ตร่ตรองใดๆ ท้ังสิน้ เรอื ลากจูงขบวนยาวต่าง กำ� ลงั พากนั เดนิ ทางกลบั บา้ น และถดั จากนนั้ อกี เพยี งไมก่ น่ี าทขี บวนเรอื ลากจงู แห่งอดีตกาลกว่า ๖๐ ปีที่ก�ำลังลอยคลอโคลงเคลงตามกันไปก็จะลับไปจาก สายตา บรเิ วณสนั ดอนเกา่ แกท่ เี่ ปลา่ เปลย่ี วแหง่ นน้ั กค็ งจะเหลอื เพยี งเสยี งหวดี หววิ และครวญคร�่ำคำ� รามของท้องทะเลยามบ้าคล่ังเทา่ นั้น คงตอ้ งใชเ้ วลายาวนานไมน่ อ้ ยทจ่ี ะเรยี นรคู้ วามลบั ตา่ งๆ ของมนั ได้ ขา้ พเจา้ เองไม่ได้พบความลับใดเลยในยามเช้าน้ัน ด้วยความสงบเสง่ียมท่ีดูเสแสร้งใน เรอื ล�ำน้อย ความคุ้นเคยท่มี กี ับสนั ดอนนนั้ กอ่ ให้เกิด : - เรอื แลน่ ใบไปในท้องทะเลใต้ คืบคลานตา้ นกระแสลมกลางแดดระยบั ยามเทยี่ งวัน กระทบเพียงสายลมแผ่วเย็นนอกฝั่ง และเสียงลมมรสมุ ครวญครางยามคลุ้มคลั่งเท่านน้ั เพียงส่ิงเดยี วในทา้ ยที่สุด ด้วยการเรยี นรู้อยา่ งอดทน มันจะคบื คลานสู่ ความเป็นหน่ึงเดียว ความวิปริตแปรปรวน ความรุนแรงและแม้แต่ความสงบ ราบเรียบก็กลายเป็นส่วนประกอบแห่งเสน่ห์และความสวยงามของมัน แต่ไม่ เคยมเี รอื กำ� ป่นั และเรือกลไฟลำ� ใดลว่ งลำ้� เข้าสู่ความลีล้ บั ของมนั ได้เลย

หา้ ปใี นสยาม เล่ม ๑ 31 ขณะเรอื แลน่ เขา้ สแู่ มน่ ำ้� จะแลเหน็ หมบู่ า้ นปากนำ้� ซง่ึ มลี กั ษณะเปน็ เรอื น แถวเตยี้ ๆ เรยี งรายเปน็ แนว นบั เปน็ หมบู่ า้ นทม่ี คี วามส�ำคัญพอควรดว้ ยจ�ำนวน ประชากรรว่ ม ๖,๐๐๐ คน ซง่ึ สว่ นใหญจ่ ะเปน็ ชาวประมง การตดิ ตอ่ กบั กรงุ เทพฯ ท�ำได้โดยใช้ทางรถไฟซ่งึ นับเปน็ แหง่ แรกท่สี ร้างขน้ึ ในประเทศ๑ หลงั จากเปดิ ใช้ มาได้ ๔ ปี มันก็ได้กลายเป็นเส้นทางส�ำคัญย่ิงต่อผู้คนที่สัญจรไปมาและมีค่า โดยสารราคาเพียงปานกลาง ชีใ้ ห้เห็นว่าถงึ เวลาแลว้ ท่กี รุงเทพฯ กับปากนำ�้ จะ มีการค้าส่งปลากันเพ่ิมมากขึ้น ปัจจุบันปลาทั้งหมดจะถูกขนถ่ายจากเรือใหญ่ จากภายนอกสันดอนลงสู่เรือขนาดเล็กกว่าแล้วจึงขนส่งด้วยเรือนั้นต่อมายัง ตลาดทก่ี รุงเทพฯ เรอื ทวี่ ่านจ้ี ะมีลักษณะผดิ แผกไปจากเรอื ท้องถ่ิน โดยมากจะ รู้จักและเรียกกันว่า เรือฉลอม๒ ซ่ึงมีลักษณะที่ดูโดดเด่นด้วยเสาที่หัวเรือและ ท้ายเรือ ลำ� เรอื ยาวทีม่ ีเส้นสายและรปู ทรงสวยงาม และหางเสือคู่ท่ดี แู ปลกตา อยูท่ ่ขี ้างทา้ ยเรือแต่ละข้างคลา้ ยๆ เรือของพวกไวกง้ิ เมอ่ื ใบเรือขนาดใหญ่ท่ขี งึ เป็นรูปสี่เหลี่ยมถูกชักรอกข้ึนหางเสือด้านอับลมก็จะท�ำงาน จึงมักจะชักหาง เสอื ดา้ นทถ่ี กู ลมขนึ้ เมอ่ื ไมม่ ลี มจงึ จะใชท้ งั้ ๒ ขา้ งพรอ้ มกนั เปน็ เรอื ทไ่ี ดร้ บั ความ นยิ มในหมชู่ าวจนี ในทกุ พนื้ ทใี่ น “อา่ วไทย” หรอื แมก้ ระทง่ั บรเิ วณทอ่ี ยไู่ กลออก ไปทางใต้เช่นที่ชุมพรและทางตะวันออกของเมืองแกลงก็จะใช้เรือน้ีกันท่ัวไป ส�ำหรับเรือประเภทเดียวกนั ทีม่ ีขนาดใหญ่กว่าและมีใบเรอื ขนาดใหญ่ ๒ ใบ ที่ เอาไวใ้ ชใ้ นการค้าขายก็มใี ห้เหน็ เป็นปกตใิ นอา่ ว โดยจะเหน็ มี คัดจา้ ง หรอื จบี คลมุ อยกู่ ลางลำ� เรอื แตโ่ ดยทว่ั ไปแลว้ จะนยิ มใชเ้ รอื เปด็ 4 หรอื เรอื สำ� เภา ๒ กระโดง ขนาดเล็กเป็นเรอื ส�ำหรบั ขนส่งสินค้า เพราะเม่อื เทยี บขนาดต่อขนาดแล้วจะจุ ของได้มากกวา่ ปกตแิ ลว้ เรอื ฉลอม จงึ ใช้ในการจบั ปลาอยา่ งเดยี ว เพราะเป็น เรือประจ�ำวันท่ีใช้ก�ำบังอะไรได้ไม่มากนัก เรือท่ีใหญ่กว่าน้ีจะควบคุมด้วยคน ๗ ถงึ ๘ คน ซึ่งท�ำหนา้ ทีเ่ ป็นฝีพายในขณะลมอ่อน เรอื ท่ีแล่นอยใู่ นแมน่ ้�ำสาย ๑ ทางรถไฟสายปากน้�ำเป็นทางรถไฟเอกชนนทเ่ี ดนิ รถระหวา่ งสถานีรถไฟหัวล�ำโพง กบั สถานปี ากนำ้� จ.สมุทรปราการ เปน็ ระยะทาง ๒๑.๓ กิโลเมตร ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๖ ถงึ ๒๕๐๓ -สวป. ๒ เรือต่อชนดิ หน่ึงคล้ายเรอื กระแชง หวั ท้ายงอนเรยี ว กลางปอ่ ง นิยมใช้บรรทุกสนิ ค้าหรือหาปลาตามหวั เมอื งชายทะเล จะ ติดใบหรอื ไม่ตดิ ใบก็ได้ - สวป.

32 บทท่ี ๑ แม่น�้ำและทา่ เรอื ที่กรงุ เทพฯ แคบๆ ทก่ี รงุ เทพฯ เกอื บทง้ั หมดจะเปน็ เรอื ทม่ี คี วามยาวพอสำ� หรบั ฝพี ายจำ� นวน 4 คน ทุกคนล้วนเป็นฝีพายท่ีมีประสิทธิภาพ เพ่ือเป็นการลดน้�ำหนักให้เรือ แบบนส้ี ว่ นมากจึงมกั ใช้หางเสอื เพียงอันเดยี วแลว้ ใชว้ ิธีโยกไปทางซา้ ยหรือทาง ขวาตามตอ้ งการ บางขณะกใ็ ชพ้ ายบา้ งเพอ่ื บงั คับเรอื ให้แลน่ ตรง ขณะลมหมด มันจะแล่นได้เร็วอย่างเหลือเชื่อ แต่เมื่อถูกลมพัดก็จ�ำเป็นต้องติดต้ังอุปกรณ์ บางชนิดเข้าช่วย เชน่ แผ่นกระดานกลางล�ำเรอื หรอื แผ่นกระดานขา้ งเรอื ด้าน อับลมเพ่ือช่วยตา้ นกำ� ลงั ลม แตน่ า่ ประหลาดใจเหลือเกนิ ท่ีอุปกรณท์ ั้ง ๒ ชนิด ไม่เปน็ ท่ีรู้จกั กนั ในอ่าวน้ี แม้ว่าแผน่ กระดานกลางล�ำเรอื น้ันจะเป็นท่ีรจู้ กั กนั มา เน่ินนานแล้วในเกาะฟอรโ์ มซา และที่ใกลๆ้ กนั อยา่ งไหหล�ำและทีเ่ ซย่ี งไฮก้ ค็ นุ้ เคยกบั แผ่นกระดานนด้ี เี ช่นกนั เรอื ฉลอม - ก�ำลงั แล่น

ห้าปีในสยาม เล่ม ๑ 33 ในสมยั กอ่ นนน้ั ปากนำ�้ จะเปน็ ทซี่ งึ่ เรอื ตา่ งชาตทิ กุ ลำ� จะขนปนื และกระสนุ ดินด�ำลง เรอื รบต่างชาติจากแดนไกลก็มีสิทธแิ ลน่ มาทนี่ ่ีไดต้ ามเงือ่ นไขในสนธิ สัญญา และผลผลิตท่ีเรือเล็กบรรทุกมาท้ังหมดก็จะถูกขนข้ึนเรือท่ีน่ีโดยเจ้า หนา้ ท่ีศลุ กากร ขา้ มฟากแมน่ ำ้� ไปจะเปน็ ทต่ี ง้ั ของปอ้ มดา้ นใน๑ ซง่ึ ตง้ั อยบู่ นเนนิ ดนิ เตยี้ ๆ เป็นป้อมท่ีติดอาวุธพร้อมมีปืนชนิดบรรจุกระสุนข้างท้ายอย่างดีขนาดปากล�ำ กล้องใหญต่ ิดตั้งอยู่ท่ปี ้อม โดยมฐี านลอ้ เล่อื นและมีนาวกิ โยธินจากกองทัพเรือ ประจ�ำการอย่รู ่วม ๖๐ คน ทางด้านทิศเหนือจะเป็นท่ีต้ังของวัด (Wat) ขนาดเล็กๆ หรือหมายถึง วดั (monastery) ในภาษาองั กฤษ วัดแหง่ นี้ร้จู กั กนั ในชื่อ พระเจดยี ์กลางน้�ำ๒ หรอื พระเจดยี ท์ ต่ี งั้ อยกู่ ลางนำ้� หนง่ึ ในเจดยี ท์ งี่ ดงามทส่ี ดุ และบง่ บอกถงึ คณุ ลกั ษณะ ท่ีพิเศษยิ่งอย่างหนึ่งในประเทศน้ี เป็นรูปแบบท่ีเด่นชัดอย่างยิ่งของดินแดนที่ เรากำ� ลงั จะเขา้ ไปเยอื น เชน่ เดยี วกบั ในพมา่ ทรี่ ปู แบบของเจดยี แ์ ละวดั วาอาราม เข้ามามบี ทบาทเกย่ี วข้องกบั การใช้ชีวติ ของประชาชนค่อนขา้ งมาก ส�ำหรับผู้ท่ีมีใจรักทางสถาปัตยกรรมที่เพ่ิงจะเดินทางจากบ้านมาใหม่ๆ ผเู้ คยชนิ กบั การพบเหน็ “สงิ่ กอ่ สรา้ ง” และหวงั ทจี่ ะหาเหตผุ ลทางสถาปตั ยกรรม สำ� หรบั สงิ่ ประดบั ทกุ ชนิ้ บนสงิ่ กอ่ สรา้ งอยา่ งเชน่ พระเจดยี ส์ ขี าวสงู ลบิ ของพมา่ หรือสยาม ซง่ึ มอี ยหู่ ลากหลายท้ังลกั ษณะและรปู ทรงก็เหน็ ทีจะต้องผดิ หวงั แต่ แรก ดูจากระยะไกลมันดูจะคล้ายกับผลงานท่ีบรรจงท�ำขึ้นอย่างละเอียดลออ เฉกเชน่ การทำ� ขนม แตพ่ อเขา้ ใกลแ้ คม่ อื สมั ผสั กจ็ ะพบวา่ เจดยี เ์ หลา่ นน้ั เปน็ เพยี ง งานกอ่ อิฐฉาบปนู หยาบๆ ทไี่ รค้ วามหมายใดๆ ทง้ั สนิ้ แต่ส�ำหรับชายคนที่เคยใช้ชีวิตและเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในดินแดนแห่ง พระเจดยี ม์ าแลว้ หลายแหง่ รปู ทรงของเจดยี ท์ มี่ องแลว้ โลง่ สบายตาทเ่ี หมอื นจะ แปรเปล่ียนไปไม่สิ้นสุด สีเขียวของพรรณไม้สุดลูกหูลูกตาอันน่าเบ่ือซึ่งเป็น เหมอื นการตอ้ นรบั นกั เดินทางผู้เหนด็ เหนื่อยออ่ นล้าทไี่ ด้มงุ่ หนา้ หนีหา่ งจนพน้ ๑ คอื ปอ้ มผเี สือสมุทร สร้างข้นึ ท่เี กาะกลางนำ�้ จ.สมทุ รปราการ ในสมยั รัชกาลท่ี ๒ ด้านซา้ ยป้อมเปน็ ที่ตงั้ ของพระเจดีย์ กลางน้�ำ – สวป. ๒ หรือพระสมทุ รเจดยี ์ - สวป.

34 บทที่ ๑ แมน่ ำ้� และทา่ เรือทีก่ รุงเทพฯ เนนิ เขาและแนวปา่ รวมทง้ั ภาพแหง่ ความทรงจำ� ของใบหนา้ ทเ่ี ปน็ มติ รและจติ ใจ อันอ่อนโยน สิ่งเหล่าน้ีเหมือนจะเช่ือมประสานกันท�ำให้พระเจดีย์มีคุณค่าท้ัง ทางศิลปะและความอ่อนโยนละมุนละไม เป็นคุณค่าท่ีอมตะและเติบโตข้ึนมา อย่างแขง็ แกรง่ เมอื่ ยามที่น�้ำทว่ มสูงช่วงเดอื นตลุ าคมงาน ทอดกฐนิ 5 ประจำ� ปกี จ็ ะเวียน มาอีกครั้ง ท�ำให้ทุกคนต้องวุ่นวายกับการตระเตรียมส่ิงของต่างๆ ไปวัด แล้วตอนนนั้ พระเจดียก์ ลางน้�ำ ก็จะกลายเป็นทีช่ มุ นุมของชาวบ้านและชาวไร่ ชาวนาผใู้ จบญุ นบั พนั คนทจ่ี ะมา “ทำ� บญุ ” เลก็ ๆ นอ้ ยๆ รว่ มกนั อยา่ งสนกุ สนาน ต้ังแต่พระอาทิตย์ข้ึนจนกระทั่งตกดินเราจะเห็นแสงไฟสว่างสุกใสโชติ ช่วงทว่ั เกาะกลางนำ�้ เล็กๆ แห่งน้นั กลางล�ำน้�ำสีเขม้ จดั ยามคำ�่ เรอื ทอ่ี ัดแนน่ ไป ด้วยผู้คนเต็มล�ำจะแล่นไปมาท่ามกลางวงล้อมของแสงไฟ เห็นร่างผอมสูงของ ชาวประมงซึง่ ตา่ งยืนตัวดำ� มะเมอื่ มตัดกบั แสงสวา่ ง เสียงสวดมนต์ท่ตี ่�ำลกึ จาก เสียงสวดของเหล่าพระสงฆ์ในเรือนหลังคาสูงท่ีเรียกว่า โบสถ์ ดังเป็นจังหวะ ข้ามผ่านคุ้งน�้ำแทรกด้วยเสียงเฮฮาและพูดคุยกันเบาๆ ของผู้คนที่เวียนกันไป มาอยา่ งไม่ขาดสายอยรู่ อบพระเจดีย์ เสียงหัวร่อต่อกระซิก การเกี้ยวพาราสี การสูบบุหร่ีและเคี้ยวหมาก ชาวบ้านที่จิตเป็นกุศลต่างพากันซื้อดอกไม้ธูปเทียน ไม่มีใครเลยที่ละเว้นการ เข้าไปในโบสถ์ เพ่ือจุดธูปเทียนบูชาเบื้องหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่หรือไม่ก็ บริจาคทานแก่เหล่านักดนตรีท่ีเดินทางมาท่ีน่ีภายใต้การควบคุมของบรมครู ผู้ทรงคณุ วุฒิทางดนตรจี ากเมอื งหลวง เรือของคนท่ีมาเท่ียวลอยโคลงเคลงตามกระแสน้�ำโดยมีไม้ไผ่ล�ำยาวค�้ำ ยึดไว้ในโคลน บ้างก็จอดเทียบท่าเบียดเสียดยัดเยียดกันทั่วเกาะ เด็กเล็กๆ ที่ เหนอ่ื ยลา้ ต่างพากันนอนหลับขวางล�ำเรอื คนทีต่ ัวสูงท่สี ุดก็สูงแค่พอดกี ับปาก เรอื สว่ นทกี่ วา้ งทส่ี ดุ เทา่ นน้ั ทกุ คนพากนั หลบั สนทิ ไมร่ บั รกู้ บั เสยี งเอะอะวนุ่ วาย รอบข้างขณะท่ีแม่จะนั่งเฝ้ามองและรอคอยพ่อเด็กและลูกที่โตอยู่ข้างท้ายเรือ 5 เป็นการทอดผ้าไตรให้แกพ่ ระสงฆท์ ว่ี ดั ลกั ษณะเหมอื นการให้ทาน – ตน้ ฉบับ

หา้ ปีในสยาม เลม่ ๑ 35 ความสนุกสนานและการท�ำกุศลยังคงด�ำเนินต่อไปเร่ือยๆ โดยไม่ทันตั้งตัว แสงอรณุ ยามเชา้ กพ็ ลนั พาดผา่ นคงุ้ น้�ำและล�ำแสงจา้ จากดวงอาทติ ยก์ ส็ อ่ งสวา่ ง ตามมา ตอนนท้ี กุ คนเลกิ รากนั ทวั่ หนา้ ทนี่ งั่ หนา้ เวทวี า่ งเปลา่ แสงไฟหลากหลาย เรม่ิ ลบั หายไปจากสายตา ทง้ั ชาย หญงิ เดก็ และผใู้ หญต่ า่ งพากนั ไปอยใู่ นแมน่ ำ�้ หลงั จากบว้ นปากและหวผี มเผา้ แลว้ พวกเขากต็ า่ งกลบั มาสดชน่ื กนั อกี ครงั้ และ พากนั มาวพิ ากษว์ จิ ารณก์ ารแขง่ พายเรอื ทม่ี เี รอื ของหมบู่ า้ นพวกเขาเขา้ แขง่ ดว้ ย อาจมีเสียงหัวเราะชอบใจเม่ือเรือของพวกเขาเอาชนะคู่แข่งได้ จนกระทั่ง พระอาทติ ยข์ นึ้ สงู ไดร้ ว่ ม ๒ ชว่ั โมง ใบหนา้ อนั สดชน่ื สรรพเสยี งรา่ เรงิ และเสอ้ื ผา้ สสี นั สดใสทเี่ ห็นกจ็ ะลับหายไปสิ้น สโมสรเรอื ท่ตี ้ังอยู่ฝงั่ ตรงข้าม เป็นสถานท่ีซ่ึงเก็บความทรงจำ� แห่งความ สุขเอาไวห้ ลากหลายรปู แบบ เมอ่ื ๒ ปที ีแ่ ล้วสโมสรได้พยายามร้อื ฟื้นให้มีการ แข่งเรือข้ึนอีกในงานทอดกฐิน ซึ่งก่อนหน้านั้นการแข่งขันท่ีสนุกสนานย่ิงนี้ได้ ถูกทางการสั่งห้าม จึงเร่ิมให้มีการแจกเงินรางวัลและบางรายการก็เป็นการ แขง่ ขนั ทนี่ า่ ดโู ดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การแขง่ ขนั ระหวา่ งเรอื เลก็ ขนาด ๔ ถงึ ๕ ฝพี าย จดั แขง่ ระยะทางไกลราว ๑ ไมล์ โดยเรมิ่ ตน้ จากสโมสรทอ่ี ยตู่ รงกนั ขา้ มกบั ปอ้ ม เรือขายของขนาดใหญท่ ี่มลี ูกเรือทงั้ หญงิ และชายเปน็ ฝีพายจำ� นวน ๑๖ ถงึ ๒๐ คนเปน็ เรอื แขง่ ทสี่ รา้ งความสนกุ สนานใหเ้ ปน็ อนั มาก ฝพี ายสตรจี ะใสส่ ายสะพาย เฉยี งสีเหลอื ง เขียว และน�้ำเงนิ ชว่ ยใหพ้ วกเธอดสู งา่ งามเปน็ ท่สี ุด โดยเฉลย่ี แลว้ ภายในครึ่งนาทีแรกพวกเธอจะจ้วงพายไดป้ ระมาณ ๓๖ ถึง ๓๗ ครัง้ หลังจาก นัน้ ความเร็วก็จะเปลีย่ นแปรไป เด๋ยี วก็พายกวาดยาวๆ แค่ ๑๒ ครงั้ เพื่อช่วย ผ่อนคลายกลา้ มเน้อื แลว้ กก็ ลับมาหกั โหมจ้วงพายอีกครง้ั ซึง่ ในที่สุดพวกเขาก็ ผา่ นเสน้ ชยั ไดอ้ ยา่ งสวยสดงดงาม โดยพายไดท้ ง้ั หมดเฉลย่ี ๖๒ ครง้ั ตอ่ นาที ทกุ คนต่างเปียกปอนโชกชุ่มและหัวเราะหยอกล้อ เสร็จแล้วก็พร้อมจะเริ่มพาย กรรเชยี งอกี ครง้ั การแขง่ เรอื จบั ปลาแบบ ๔ ฝพี ายกเ็ ปน็ อกี ประเภทหนง่ึ ทปี่ ระสบ ความสำ� เรจ็ มากเช่นกนั ฝพี ายทง้ั ๔ คนตกี รรเชยี งได้ ๓๖ ครัง้ ต่อ ๑ นาที ดูแลว้ เป็นความสามารถอันน่าทึ่งท่ีสุดว่าพวกเธอท�ำการจ้วงพายรวดเร็วเช่นนั้นได้ อย่างไรกัน

36 บทท่ี ๑ แมน่ ำ้� และทา่ เรอื ท่กี รงุ เทพฯ การแขง่ เรอื พาย

ห้าปีในสยาม เล่ม ๑ 37 ส่งิ ต่างๆ ท่เี กิดขึ้นในตอนเชา้ ของเดือนพฤศจิกายนนี้ก็เป็นส่ิงท่ีขา้ พเจ้า เองไมเ่ คยลว่ งร้มู าก่อน แต่ทขี่ ้าพเจ้าเหน็ แล้วประหลาดใจก็คอื การที่เดก็ ผชู้ าย ผิวคล�้ำตัวเล็กๆ ก�ำลังพยายามเอาเรือบดล�ำเล็กล่องไปในแม่น�้ำแล้วด�ำผุดด�ำ วา่ ยลงไปใตร้ ะลอกคลน่ื ของเรอื กลไฟ ไดเ้ หน็ แนวตน้ หมากและมะพรา้ วเปน็ ทวิ งดงามนา่ ดู และเมอ่ื มองลกึ เขา้ ไปลบิ ๆ จะเหน็ กองขา้ วเปลอื กเหลอื งอรา่ ม กระ ทอ่ มเลก็ ๆ รมิ นำ้� ทน่ี า่ สบาย บ้านลอยนำ้� บนแพ และสดุ ท้ายทเี่ หน็ อยู่ตรงเบอ้ื ง หน้าเราน้นั กค็ ือ “กรงุ เทพฯ” แต่กรุงเทพฯ ท่ีข้าพเจ้าเคยอ่านพบว่าเป็นเวนิสตะวันออกอันสดใส มชี วี ิตชีวาด้วยปราสาทราชวังที่ฉาบทองอรา่ มและวัดวาอารามอนั วจิ ติ รงดงาม นนั้ อยตู่ รงไหนกนั แน่ ทที่ อดตวั อยเู่ บอ้ื งหนา้ เราจะมกี แ็ ตร่ อ็ ตเตอรด์ มั ตะวนั ออก๑ เท่าน้ัน เรามองเห็นแต่แนวฝั่งโคลน ท่าจอดเรือสินค้าและสะพานเทียบท่า โรงสีขา้ วไม่นา่ ดทู ่ีก�ำลงั พน่ ควนั โขมง บ้านชอ่ งโกโรโกโสบนเสาไมค้ ดงอ เขอ่ื นคู และทอ้ งร่องทั้ง ๒ ขา้ งทาง เรือกลไฟรว่ ม ๑๒ ลำ� เรือบรรทุกข้าวของชาวบ้าน ทเี่ บยี ดเสยี ดเปน็ แถวยาว แนวเสากระโดงสงู ของเรอื เอย้ี มจนุ๊ ทมี่ ใี บเรอื แบบเรอื สำ� เภา และสดุ ทา้ ยทเี่ หน็ แล้วน่าขนลุกทส่ี ุดก็คอื กลุ่มควันสงู เสียดฟา้ ทล่ี อยอยู่ เหนือปล่องไฟอัปลักษณ์ของโรงสี เรือกลไฟอังกฤษและเรือน้อยใหญ่สัญชาติ นอรเวยแ์ ละสวีเดน ซ่ึงเม่ือก่อนน้นั เรอื กลไฟของสวเี ดนจะดูเด่นกว่าเพอื่ นด้วย สที รี่ ะบายไว้ออ่ นๆ และลกู กรง6 ท่ีตดิ ไวด้ ูแปลกตา ทีข่ ้าพเจา้ เคยไดร้ ู้มากค็ อื กรุงเทพฯ นั้นมอี ยู่หลายความหมาย ในความ หมายนี้ก็คือ ท่าเรือกรุงเทพฯ เป็นกรุงเทพฯ แห่งการค้า และกรุงเทพฯ แบบชาวยุโรปที่ซ่ึงมีการสีข้าว7 และตัดไม้สัก8 เป็นท่อนๆ เพื่อขนส่งออกไป โดยทางเรือ ๑ จังหวัดทเี่ ป็นเมอื งอุตสาหกรรม การคา้ และท่าเรอื นำ�้ ลกึ ทางใตข้ องฮอลแลนด์ - สวป. 6 ภาคผนวก ๓ - ตน้ ฉบบั 7 ภาคผนวก ๔ - ตน้ ฉบับ 8 ภาคผนวก ๕ - ตน้ ฉบบั

38 บทที่ ๑ แมน่ �ำ้ และทา่ เรือที่กรงุ เทพฯ แตส่ งิ่ ทนี่ า่ ประหลาดใจทงั้ หลายทงั้ ปวง กด็ จู ะเทยี บไมไ่ ดก้ บั เรอ่ื งของเรอื บดไอน้�ำ (ชาวบ้านเรียกว่าเรือไอ) ขนาดใหญ่ท่ีเห็นแล่นตรงด่ิงเข้ามาแต่ ไกลๆ เพยี งลำ� พงั แลว้ กลบั กลายเพมิ่ จำ� นวนจนมากมายนบั ไมถ่ ว้ น เทา่ ทส่ี งั เกต ดูจะเห็นว่าต่างก็ไม่มีการเคารพกฎเกณฑ์ใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองการใช้หนทาง และการรักษามารยาท บางคนก็จะต้ังค�ำถามอย่างเหลืออดว่าเจ้ากรมท่า๒ นัน้ อยไู่ หน “เจ้ากรมท่า!” - ผคู้ มุ เรอื ตำ�่ ทรามบางคนจะกระชากเสียงขณะเปา่ นกหวีดรว่ ม ๕๐ ครั้ง และทำ� การถอยท้ายเรือหลบหลีกเรอื บรรทกุ สินค้าทจ่ี อด ผิดที่ผดิ ทางอยู่อย่างล�ำบากยากเยน็ “ทุกๆ คนท่จี ะมาพบเขาอย่ทู ี่น่แี ลว้ ” ในความเปน็ จริงภายหลังจาก ๕ ปีท่ไี ด้แล่นเรือและเทียบท่าอย่ทู ่ีเมือง ทา่ กรุงเทพฯ น้นั ข้าพเจ้าพบวา่ สงิ่ ตา่ งๆ ยังมีสภาพเหมือนเชน่ เดิม เรือกลไฟ ลำ� ใหญท่ ป่ี ราศจากแสงไฟจะแลน่ เรว็ จด๋ี ว้ ยอตั ราความเรว็ เตม็ พกิ ดั ในกระแสนำ�้ ปกติ ตามบรเิ วณหนา้ รา้ นคา้ มเี รอื เอย้ี มจนุ๊ และเรอื บรรทกุ เลก็ จอดทอดสมออยู่ ท่ัวไป จะหากฎเกณฑ์ใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้นนอกจากกฎท่ีว่า “เจ้าอย่าต�ำหนิหรือ กระท�ำการรบกวนใดๆ ต่อกุลีชาวจีนเป็นอันขาด ไม่ว่าเขาจะท�ำส่ิงใดก็ตาม” เขาเปน็ นายของทา่ เรอื เปน็ ผซู้ ง่ึ อาจจะหยดุ เรอื กลไฟขณะทมี่ นั แลน่ ทวนน้�ำข้ึน ไปหาทจี่ อดทอดสมอดว้ ยเรือบรรทกุ สินค้าของเขา ผู้ซึง่ อาจปฏเิ สธทจ่ี ะปลอ่ ย เรอื เมอื่ กปั ตนั มคี วามประสงคจ์ ะเปลย่ี นทเ่ี ทยี บเรอื ผซู้ งึ่ อาจจะและคงจะปฏเิ สธ การบรรทุกของลงเรือด้วยวิธีอื่นนอกจากวิธีของเขา แม้ว่าจะเป็นการเส่ียงภัย ต่อเรือและตัวสินค้าเองก็ตามที ผู้ซ่ึงอาจถ่มน้�ำลายและสูบบุหร่ีบนดาดฟ้าเรือ ซ่ึงโดยทั่วไปอาจเป็นเรือทเี่ ขาเป็นคนคมุ แต่ถงึ อย่างไรเขากไ็ ด้รบั อนญุ าตให้ท�ำ ตามความพอใจของเขา หากว่าเจา้ พนักงานตดั เชือกเขาหรอื ฝา่ ยพลาธกิ ารเข่ยี เขาออกไปจากวงจร การทำ� งานกจ็ ะเกดิ การหยดุ ชะงกั และกปั ตนั กจ็ ะถกู บรรดา ตัวแทนรุมเลน่ งาน ชาวจีนน้ันคอื เปน็ พวกทมี่ ีสทิ ธิพเิ ศษ การจดั การของทา่ เรอื ข้ึนอยู่กับประโยชน์ส่วนตัวอันมหาศาลและความพึงพอใจของเขาเท่าน้ัน ท้ัง ๒ ตน้ ฉบบั ภาษาอังกฤษใช้ Habour master ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ กรมทา่ มที ี่ท�ำการกรมอยทู่ ่ีตกึ เจ้าสวั เสง็ ริมแม่น้�ำเจา้ พระยา - สวป.

หา้ ปีในสยาม เลม่ ๑ 39 ผู้คุมเรือและเจ้าพนักงานประจ�ำเรือไม่มีสิทธิที่จะฝ่าฝืนระเบียบในการบรรทุก ของใสเ่ รอื ซง่ึ นนั่ กย็ อ่ มหมายถงึ ปญั หาทจี่ ะตอ้ งเกดิ ขน้ึ กบั เรอื ตา่ งๆ และบรรดา ตัวแทนอยา่ งไม่ต้องสงสยั เราทอดสมอตรงช่วงน�้ำลกึ (อันเป็นลกั ษณะทด่ี ขี องแม่นำ้� สายนี้ตรงชว่ ง ทอ่ี ยเู่ ลยสนั ดอนเขา้ มามากกวา่ ๕๐ ไมล)์ ตรงสว่ นปลายแถวยาวเหยยี ดของเรอื กลไฟช่วงตอนกลางแม่นำ้� ทางตะวนั ออกของเรอื กลไฟคอื ทางเดนิ เรอื มเี รอื สำ� เภาแลน่ ใบเออ่ื ยเฉอื่ ย อยู่ตรงช่วงกลางเต็มไปหมด ส่วนตามชายฝั่งจะเป็นที่ตั้งโรงสีข้าวท่ีมองเห็น สะดดุ ตาด้วยหลงั คาสังกะสีเป็นแถวยาว เสยี งโหยหวนของไซเรนดงั แสบแก้วหู อยู่เป็นพักๆ ประสานด้วยเสียงหวีดแหลมเม่ือเวลาปล่อยเรือลงน้�ำ ท�ำให้เกิด เสยี งดังหนวกหไู ปท่วั บริเวณ เรือสำ� เภา - หลังพายฝุ น

40 บทที่ ๑ แมน่ ำ�้ และทา่ เรือที่กรุงเทพฯ ส่วนทางตะวันตกจะมีเรือเดินทะเล๑ จอดอยู่เป็นแถว กล่าวได้ว่าเป็น เหมอื นสญั ลกั ษณข์ องกรงุ เทพฯ อนั เปน็ ผลพวงมาจากลกั ษณะตามธรรมชาตทิ ี่ ไม่เออ้ื อำ� นวยของสนั ดอนท่เี ราคนุ้ เคยนน่ั เอง เนื่องจากพ้ืนทต่ี รงสว่ นนนั้ ต้ืนเขินเรอื ตา่ งๆ จึงกนิ นำ้� ไดล้ กึ เพียง ๑๒ ถงึ ๑๓ ฟตุ ขนึ้ อยกู่ บั เวลาขา้ งขน้ึ หรอื ขา้ งแรม เรอื สามารถแลน่ กลบั ออกมาและขน ถา่ ยสมั ภาระเสรจ็ สน้ิ ทบี่ รเิ วณทา่ เทยี บเรอื อนั งดงามของเกาะสชี งั ซง่ึ อยทู่ ป่ี ระมาณ ๒๕ ไมลท์ างตะวันออกเฉียงใต้ของประภาคาร ในชว่ งฤดมู มี รสุมตะวันตกเฉียง ใต้ หรอื ไปตามถนนทแ่ี ลน่ ไปสอู่ า่ งหนิ ทอี่ ยหู่ า่ งจากประภาคารไปทางตะวนั ออก ประมาณ ๒๑ กิโลเมตร ในระหว่างเดอื นชว่ งฤดหู นาว สดั สว่ นของสนิ คา้ ถูกสง่ ออกไปยังเกาะเหล่าน้ดี ว้ ยเรอื เดินทะเลท่คี วบคุมโดยชาวจีน ซง่ึ ตามกฎจะต้อง เปน็ เรอื ท้องแบนขนาดความจุ ๒๐๐ - ๒๔๐ ตันสรา้ งโดยชาวยุโรป มีไม้ดามใบ เรอื ๓ อนั ไว้ติดใบแบบเรอื สำ� เภา เรอื ก�ำปนั่ ทจี่ อดอยทู่ ่ีเมอื งท่ากว่า ๖๐ ลำ� น้ัน จัดเป็นเรือช้ันดีและเม่ือกลับออกมาอย่างสะอาดเกล้ียงเกลาพร้อมด้วยเกียร์ และใบเรือใหม่ก็ท�ำให้แลดูสง่างามเป็นอันมาก แต่มันก�ำลังจะสูญหายไปใน ไม่ช้าน้ี พวกอันธพาลท่ีควบคุมบังคับเรือเหล่าน้ันล้วนเกียจคร้านท่ีจะชักรอก ใบเรือขน้ึ อย่างถกู วิธี เป็นคนสกปรกเกินกวา่ ทีจ่ ะท�ำให้มนั สะอาด ทั้งยงั ด้ือดงึ ตอ่ การปฏบิ ตั ติ ามคำ� สง่ั เจา้ ของเรอื จงึ มกั จะไดเ้ หน็ เรอื กลบั มาทกุ เทย่ี วในสภาพ เชือกขาดหลุดลยุ่ ใบเรือบดิ เบยี้ วผดิ รูปผิดร่าง จากการตดิ ทผ่ี ดิ วิธแี ละการหัก เล้ียวอย่างประมาทเลินเล่อ น่าแปลกใจย่ิงนักที่ระหว่างการเดินทางเรือเหล่า นั้นไม่ประสบอุบัติเหตุมากกว่าท่ีเป็นอยู่น้ี ยามกลางคืนมันจะทอดสมออยู่ท่ัว บรเิ วณทางเดนิ เรอื ในแมน่ �้ำ จากนั้นก็จะพากนั แลน่ หลบหลกี ขา้ มผ่านสันดอน ไปตามความพอใจถงึ คราวละ ๖ ล�ำ ทงั้ ทม่ี ีไฟและไมม่ ีไฟ ไมเ่ คยปรากฏวา่ มไี ฟ ติดอยทู่ ่ีข้างเรือทั้งๆ ทีผ่ ่านมามีข้อเสนอกนั วา่ เรอื ควรจะต้องมไี ฟข้างตดิ เอาไว้ โดยเนน้ ในเร่ืองความปลอดภัยและเปน็ หลักของการเดินเรอื โดยทว่ั ไป เจา้ ของ เรือนั้นประสงค์ให้ลูกเรือทุกคนจ�ำใส่ใจว่าไฟดวงไหนควรติดตั้งไว้ท่ีฝั่งไหนของ ๑ Lorcha = เรือเดนิ ทะเล ทำ� รปู อยา่ งกำ� ปั่น แตม่ ใี บอยา่ งส�ำเภา - สวป.

หา้ ปีในสยาม เลม่ ๑ 41 เรอื เพราะอบุ ตั เิ หตอุ าจเกดิ ขน้ึ ไดจ้ ากการตดิ ไฟผดิ ทผี่ ดิ ดา้ น ขอ้ ขดั แยง้ ตา่ งๆ ที่ เหน็ ได้วา่ ไมม่ ีความคบื หน้าไปมากกว่าเดิมขอ้ แรกก็คือ เปน็ ไปไมไ่ ด้ท่จี ะติดไฟ ทางกราบขวาไวส้ อ่ งทศิ ทางดา้ นซา้ ย และขอ้ สองคอื ผทู้ ส่ี ามารถขบั เรอื หนกั รว่ ม ๒๐๘ ตนั ขา้ มผา่ นสนั ดอนทงั้ ตอนกลางคนื หรอื กลางวนั ไมว่ า่ จะในสภาพอากาศ แบบไหนและทำ� ใหเ้ กาะสชี งั ปราศจากอบุ ตั เิ หตรุ า้ ยแรงหลายๆ ครงั้ ในหนง่ึ เดอื น นนั้ นา่ จะตอ้ งมสี มองมากพอทจ่ี ะแยกความแตกตา่ งระหวา่ งสแี ดงและสเี ขยี วได้ ทเ่ี คยี งคอู่ ยกู่ บั ขบวนเรอื เดนิ ทะเลตามแนวชายฝง่ั ตะวนั ตกทต่ี น้ื เขนิ กวา่ ด้านในโค้งน้�ำ คือเรือล�ำเล็กของพวกชาวบ้านจากนอกเมืองท่ีพากันมาขาย ขา้ วสาร และบรรดาสมาชิกในเรือผรู้ ักความสนกุ สนานก็อาจไปเที่ยวเลน่ เลก็ ๆ น้อยๆ ในเมอื งไดก้ ่อนทีจ่ ะเดินทางกลบั บา้ น ดังนนั้ ขณะท่แี มก่ �ำลังจับจ่ายและ ซือ้ หาสินคา้ อยา่ งเชน่ เกลอื และผืนผา้ ฝ้าย พ่อกจ็ ะพาเด็กๆ เข้าเมืองน่ังรถราง เลน่ หรอื ไปกราบสกั การะวดั วาอารามทอี่ ยใู่ กลๆ้ บางวดั อาจจะก�ำลงั มกี ารทำ� บญุ หรือบางวัดอาจมีการฌาปนกิจศพเด็กหนุ่มสาวในเคร่ืองแต่งกายที่ดีท่ีสุดคือ ผา้ นงุ่ และเสอื้ ตวั เลก็ ๆ สขี าวจะเลอื กไปเทย่ี วตามงานรนื่ เรงิ หรอื ไมก่ น็ ง่ั สบู บหุ ร่ี เค้ยี วหมากอยูท่ หี่ นา้ โรงละคร ซ่ึงเป็นการแสดงที่ต้องจดั ใหม้ ขี นึ้ ในวาระโอกาส แบบนี้อย่างแน่นอน แล้วก็จะมีเด็กหนุ่มสาวรุ่นโตๆ พากันน่ังชมเรื่องราวของ กษัตริย์ผู้เป็นเจ้าแห่งงูหรือเรื่องเจ้าหญิงผู้เลอโฉมกันตลอดท้ังคืนอย่างไม่รู้จัก เหน็ดเหนื่อย เด็กรุ่นเล็กกว่าต่างขดตัวหลับใหลอยู่ภายในกลองใบใหญ่ขนาด ๑๐ ฟุต จนเมื่อฟ้าสางยามเช้าพวกเขาก็จะกลับมายังบ้านลอยน�้ำและเริ่มต้น เดินทางตามหลังเรือลากจูงไปเกือบ ๕ กิโลเมตร โดยมีเรืออ่ืนพ่วงอยู่ด้วยอีก ร่วม ๒๐ ลำ� เปน็ การเดนิ ทางรอนแรมนับเดอื นโดยใชก้ ารคำ้� ถอ่ และดึงลากไป เรอ่ื ยๆ เพ่อื มุง่ หนา้ กลบั บ้านไปส่ทู ีซ่ ่งึ มสี ายนำ้� ใสสะอาด แล่นเลาะไปเหนือแนว ฝ่งั กรวดทรายอนั รม่ รนื่ ไปยังทซ่ี ึ่งพวก ฝร่งั เอะอะขเ้ี มาทพี่ วกเขาเจอะเจอตาม ทอ้ งถนนในกรงุ เทพฯ ไม่เคยได้พบเหน็ มากอ่ น

42 บทท่ี ๑ แมน่ �ำ้ และทา่ เรอื ทีก่ รุงเทพฯ เรือนแพ ถัดข้ึนไปเบื้องหน้าของเรือนแพเล็กน้อยคือชุมชนของชาวมลายูท่ีมอง เห็นเรือหาปลาลำ� เล็กอันงดงามออ่ นช้อยของพวกเขาจอดอยู่ตรงหนา้ สว่ นอกี ดา้ นหนงึ่ คอื เรอื นแถวรา้ นคา้ ทช่ี าวจนี เปน็ เจา้ ของและไดต้ งั้ วางสนิ คา้ ทมี่ ไี วห้ นา้ ร้านเพื่อให้คนผ่านไปมาได้มองเห็น สรรพส�ำเนียงหลากภาษาที่ได้ยินและสีสันหลากหลายในหมู่ชุมชนชาว แพเช้ือสายเอเชยี จะรวมกนั อยทู่ างตอนเหนือของแมน่ ำ�้ ท้งั พวกกุลี คนงานต่อ เรอื ชา่ งไมแ้ ละคนเลอ่ื ยไมล้ ว้ นเปน็ ชาวจนี คนจนี สว่ นมากจะเปน็ พวกทป่ี ลกู ผกั ไว้ขาย เปน็ ชา่ งท�ำโลหะและพอ่ คา้ ปลีกรายย่อย ชาวมลายจู ะคมุ เครอื่ งจักรกล ท่ีโรงสี รับจ้างเก็บเกี่ยวและแบ่งปันการจับปลาร่วมกับชาวญวนและสยาม ชาวสยามน้ันจะเป็นชาวเรือและชาวแพ เพาะปลูกผลไม้และข้าวเจ้าอยู่แถบ ชานเมอื ง คนชวาจะเปน็ พวกชาวสวน ชาวบอมเบยเ์ ปน็ พอ่ คา้ ชาวทมฬิ เปน็ คน เล้ยี งวัวและเผา้ ร้าน ชาวพมา่ เป็นผ้คู า้ เพชรและพอ่ คา้ เร่ ชาวสิงหลเปน็ ช่างทำ� ทองและอัญมณี ส่วนชาวเบงกอลจะเป็นช่างตัดเส้ือ9 แต่ในทุกหนแห่งนั้นดู 9 เอกสารโบราณของนาย ซ.ี เอส เล็คก้ี (Mr.C.S.Leckie) เร่อื งส่วนแบ่งของอังกฤษท่มี ีกบั การคา้ สยาม ในวารสารของสมาคม ศิลปะ No. 2,168, vol. 42 – ตน้ ฉบบั

หา้ ปใี นสยาม เล่ม ๑ 43 เหมือนชาวจีนจะกา้ วหนา้ กว่าเพอ่ื นและชาวสยามกด็ ูจะเป็นตอ่ ด้วยระบบการ เกณฑแ์ รงงานกุลใี นประเทศของตนเอง แลว้ กถ็ งึ เรอื่ งสถานกงสลุ ในกรงุ เทพฯ ซง่ึ เปน็ บา้ นทม่ี รี ะเบยี งขนาดกลาง ติดเสาธง มีคอร์ทเทนนิสสนามหญ้าและปลูกไม้ดอกประดับไว้ทางฝั่งตะวัน ออก ทซ่ี ง่ึ ในวนั ท่ขี ้าพเจา้ ไดเ้ ห็นมนั ครง้ั แรกนั้นพลเมืองชาวอเมริกนั ค่หู นึง่ มที งั้ โอกาสที่ได้มาร่วมรับประทานอาหารเย็นกับหัวหน้าสถานกงสุลหรือไม่ก็กล่าว หมนิ่ ประมาทกนั เองในทที่ ำ� งานของเขา ทซี่ ง่ึ เจา้ พนกั งานของสถานกงสลุ โปรตเุ กส ถกู ปลอ่ ยใหผ้ จญภยั โดดเดยี่ วอยอู่ ยา่ งเปลา่ เปลยี่ วหงอยเหงาในหมพู่ วกเดยี วกนั เองดว้ ยความเบอ่ื หนา่ ยถงึ ขดี สดุ ทซ่ี ง่ึ หวั หนา้ กงสลุ ชาวฝรงั่ เศสแหงนมองธงชาติ ของตนเองบนยอดเสาดว้ ยความชน่ื ชม พรอ้ มฝนั เฟอ่ื งถงึ เรอื่ งอนาคต และกงสลุ อังกฤษที่ถูกรุมล้อมด้วยคดีเร่ืองการพิทักษ์ปกป้องจักรวรรดิอังกฤษโดยจงใจ ก�ำจัดผองเพ่ือนร่วมชาติในทุกวิถีทาง เด๋ียวน้ีบางส่ิงบางอย่างเหล่านั้นก็ได้ เปล่ียนแปลงไปมาก นค่ี อื บทบาทเดมิ ของสถานกงสลุ แหง่ เดมิ ๆ ในกรงุ เทพฯ ทเี่ ปน็ มาในอดตี และคงเปน็ เชน่ นต้ี อ่ ไปในอนาคต อนั เปน็ สว่ นหนง่ึ ทม่ี คี วามสำ� คญั ตอ่ ประวตั ศิ าสตร์ ของสยาม ส�ำหรับผู้ที่รู้เร่ืองเกี่ยวกับการท�ำงานของสถานทูตเพียงเล็กน้อย จะเหน็ วา่ มนั เปน็ เรอ่ื งแสนจะธรรมดาทด่ี เู หมอื นวา่ ชาวสยามจะไมร่ จู้ กั เรอื่ งสทิ ธิ พเิ ศษทางการทตู ราวกบั มนั เป็นหนังสือท่อี ่านไมอ่ อกนน่ั เทยี ว ในกฬี าเทนนสิ ครกิ เกต็ อาหารมอ้ื คำ�่ และสโมสรสงั สรรคท์ ร่ี วมตวั กนั อยู่ รอบๆ สถานกงสุลนนั้ กเ็ หมอื นกนั มากกบั ทีเ่ ปน็ อยใู่ นเซต็ เทลเมนตอ์ ่นื ๆ เว้น เสียแต่เรื่องลักษณะท่ีมาจากหลายชาติหลายภาษา ท่ีโต๊ะๆ หน่ึงจะมีท้ังชาว เดนมาร์ก เยอรมัน อิตาเลีย่ น ดตั ช์ เบลเยยี ม อเมรกิ ันและอังกฤษ ตา่ งฝ่ายตา่ ง ก็พูดแต่ภาษาของตนเอง ไม่มีชาวฝรั่งเศสอยู่ท่ีนั่นเลยแม้แต่คนเดียวนอกจาก เจา้ พนกั งานสถานกงสลุ คนหนงึ่ หรอื สองคนซง่ึ กม็ กั เปน็ ผตู้ ตี วั ออกหา่ งจากสงั คม คนหนงึ่ นน้ั เปน็ พอ่ คา้ ทมี่ ชี อ่ื เสยี งเปน็ ชาวฝรง่ั เศสทเ่ี ดน่ ดงั กลา้ หาญผเู้ ปน็ เจา้ ของ

44 บทที่ ๑ แม่นำ้� และทา่ เรือท่ีกรุงเทพฯ กระแสน้ำ� ในแมน่ �้ำ สำ� นกั งานคา้ ขายรมิ แมน่ �้ำแหง่ เดยี วในสยามมาชา้ นาน และเปน็ ผซู้ ง่ึ ไดร้ บั รางวลั แห่งเกียรติยศและเกียรติคุณตอบแทนด้วยต�ำแหน่งราชการในกัมพูชาไปเม่ือ เร็วๆ น้ี ชีวิตแบบนี้นับว่ามีเสน่ห์ยิ่งนัก แม้ว่าบางทีจะไม่มีส่ิงใดเลยเทียบได้กับ ชวี ติ ผคู้ นในศนู ยก์ ลางแหง่ เมอื งทมี่ แี ตค่ วามเจรญิ รงุ่ โรจน์ อนั ความเปน็ ธรรมชาติ ของสยามและที่ชาวสยามเป็นอยู่น้ันหากสัมผัสได้ก็คงแค่เพียงผิวเผิน เพราะ การทตี่ อ้ งทำ� งานประจำ� ทงั้ วนั การออกมาขบั รถและเลน่ เทนนสิ หลงั ๕ โมงเยน็ การดมื่ วสิ กโี้ ซดาตงั้ แตพ่ ระอาทติ ยต์ กจนถงึ อาหารมอื้ คำ่� การทต่ี อ้ งคอยตอ้ นรบั พวกมนุษย์เหล็กไหล (เคร่ืองจักร) ชาวจีนท่ีแวะมาเย่ียมจนกระท่ังเข้านอน แล้วก็ตื่นเช้าวันใหม่เพ่ือกระท�ำกิจวัตรเหล่าน้ีอีกครั้งคงท�ำให้ไม่มีเวลาว่างมาก พอทจี่ ะสงั เกตสงั กาหรอื ใชค้ วามพยายามทจ่ี ะเขา้ ใจในเรอ่ื งอารยธรรมอนั แปลก ประหลาดซบั ซ้อนทร่ี ายล้อมอยู่รอบตวั น้ไี ดเ้ ลย

หา้ ปใี นสยาม เล่ม ๑ 45 ก็แม้แต่นักเดินทางรอบโลกผู้ได้ข้อมูลเก่ียวกับสยามมา ยังท�ำได้แค่ “คาดการณ”์ ถึงลกั ษณะนสิ ัยของพวกเขา โดยใชก้ ารประเมนิ เอาในชว่ งเวลา หลังอาหารม้อื ค�ำ่ ท่ีผ่านไปในแต่ละวนั เทา่ นนั้ พระราม

46 บทที่ ๒ ราชการท่ีกรงุ เทพฯ และจดุ ม่งุ หมายบางประการ พระบรมมหาราชวัง บทที่ ๒ ราชการท่ีกรงุ เทพฯ และจุดมุง่ หมายบางประการ รฐั บาลใน พ.ศ. ๒๔๓๕ ----------------------------------- เมื่อเร็วๆ นี้งานของข้าพเจ้าท�ำให้ข้าพเจ้าต้องเข้าไปพบเห็นส่วนอื่นๆ ของกรุงเทพฯท่ีท�ำให้ต้องน�ำมากล่าวถึง การเดินทางอันยาวไกลไปตามถนน สกปรกสุดจะพรรณนาท่ีตลบอบอวลไปด้วยกล่ินเหม็นจากซากหมาตายและ เตม็ ไปดว้ ยพวกเจก๊ เปน็ โรคหรอื ไมก่ ท็ อ่ ระบายนำ�้ โสโครก หนทางทเี่ ปน็ พน้ื ถนน สว่ นทไ่ี มม่ รี ถรางวง่ิ จะระเกะระกะไปดว้ ยซากรถลากทคี่ านจบั หกั ชำ� รดุ แผงลอย ขายอาหารของคนจนี และรถเกง๋ เทยี มมา้ ทใ่ี กลพ้ งั เปน็ บรเิ วณทผี่ รู้ บั ซอ้ื ของโจร เรียกกันว่าโรงรับจ�ำน�ำและเป็นท่ีเสนอขายนาฬิกามีค่า โบราณวัตถุ หรือไม่ก็ ปืนสนั้ ราคาถกู ทซี่ ึง่ สุภาพบุรษุ อยา่ งฮ่งั อัน ผเู้ ป็นหมอฟัน, ซอหลง ผู้เปน็ ชา่ งไม้

ห้าปีในสยาม เลม่ ๑ 47 ไดน้ ำ� ปา้ ยกระดานมาแขวนโชวไ์ ว้ และทน่ี กี่ ค็ อื ยา่ นชาวจนี กรงุ เทพฯ ทมี่ แี ตก่ ลน่ิ เหม็นและกิริยามารยาทอันหยาบคาย หากผ่านพ้นมันไปได้ไม่ว่าจะต้องเสี่ยง ภัยด้วยการขี่ม้าหรือล่องไปตามกระแสน�้ำก็ตามท่านจะได้พบกับกรุงเทพฯ ท่ีสะอาดสะอ้านและน่าประทับใจซ่ึงเป็นถิ่นของชาวสยาม เป็นบริเวณท่ีมี กระท่อมเลก็ ๆ หลงั คามงุ จากปลูกคับค่งั อยูร่ มิ ฝ่ัง คลอง และมีเรือเล็กจอดอยู่ หนาตามีเดก็ ๆ ท่ีบา้ งกอ็ าบน้�ำบ้างกว็ งิ่ เลน่ มองเหน็ หน้าจัว่ ทรงสงู ของ วดั ที่ ชว่ ยเสรมิ กระเบอ้ื งสฉี ดู ฉาดใหข้ น้ึ รบั แสงตะวนั ทด่ี า้ นหลงั ของกำ� แพงจะเตม็ ไป ด้วยสวนดอกไมเ้ ช่นเดียวกบั ในเมอื งทุกๆ เมอื งของสยามซึ่งกไ็ ม่ใช่สวนดอกไม้ อย่างทพี่ วกเรารู้จกั แตเ่ ปน็ สวนของไมป้ ่า ตน้ มะพรา้ วสงู ที่ขึ้นอย่ดู าษดน่ื พ้นื ท่ี อนั ว่างเปลา่ กับต้นไม้และพชื ผักต่างๆ เมอ่ื เราเขา้ ไปใกลพ้ ระบรมมหาราชวังซ่ึง เปน็ ศนู ยร์ วมของขา้ ราชการชาวสยามนนั้ ถนนหนทางจะดกู วา้ งขวางขนึ้ กำ� แพง ฉาบปูนขาวกระจา่ งท่ามกลางแสงไฟจดั จ้า หลังคาสงู สอ่ งประกายระยบิ ระยับ และมี พระเจดีย์ ที่ประดับประดาด้วยหลากสีสันตั้งตระหง่านเห็นชัดเหนือ ท้องฟ้าสเี ข้ม นีค่ อื สภาพแทจ้ รงิ ของเมืองหลวงแหง่ ประเทศสยามซ่งึ เหลา่ ปวงประชา ให้ความเคารพย�ำเกรง ที่ซึ่งเป็นท่ีประทับขององค์พระมหากษัตริย์และเป็นท่ี ก่อกำ� เนดิ ระเบียบแบบแผนและกฎหมายท่ีดแี ละขา้ ราชการสำ� นกั ท่ีไม่เอาไหน ทซ่ี ง่ึ เปน็ รากฐานแหง่ ความจงรกั ภกั ดแี ละความรกั ชาตขิ องพสกนกิ ร กรงุ เทพฯ คือชือ่ ท่พี วกเขาเรียกสถานทน่ี อ้ี ยา่ งไมส่ อดคล้องกบั ความเปน็ จริงนัก ในความ หมายของพวกเขามนั คอื เมอื งทเ่ี ปน็ ศนู ยร์ วมของความเปน็ เมอื งใหญท่ งั้ ปวง เปน็ ทง้ั สรวงสวรรคท์ พ่ี กั พงิ ศนู ยก์ ลางการคา้ สถานทแ่ี หง่ การประดษิ ฐค์ ดิ คน้ อนั นา่ อัศจรรยใ์ จ สำ� หรับคนที่เคยได้มาเยอื นที่นี่แลว้ มันก็เป็นเมืองลกึ ลับทอ่ี ธิบายได้ ยากเชน่ กัน เพราะมันเป็นทงั้ ทพี่ ักพงิ ของพวกขโมยขโจรทไ่ี ม่เคยใฝฝ่ นั ถงึ บ้าน ในปา่ ท่ีของการดื่มหวั ราน้�ำ การพนนั อันมอมเมาและความไรม้ นุษยธรรมกบั การฉ้อราษฎร์บังหลวงท่ัวทกุ หยอ่ มหญา้ จริงๆ แล้วขา้ พเจ้าคิดวา่ ไมม่ เี มอื งใด เลยทจ่ี ะมองเหน็ ภาพไดท้ ะลปุ รโุ ปรง่ ไปกวา่ น้ี ดไู ดจ้ ากความตง้ั ใจจรงิ และความ

48 บทท่ี ๒ ราชการทก่ี รงุ เทพฯ และจุดมงุ่ หมายบางประการ พยายามที่มีผสมผสานอยู่บ้างในตัวตนแท้จริงแห่งความเป็นชาวตะวันออกท่ี แสนจะเฉ่ือยชาชอบท�ำตัวตามสบายและแฝงไว้ด้วยเล่ห์เหลี่ยมนานับประการ ส่วนความไม่ซ่ือสัตย์นั้นดูจะเป็นคุณสมบัติที่เห็นเด่นชัดกว่าที่กล่าวมาทั้งหมด อันเป็นเหตทุ ี่ทำ� ใหห้ มดโอกาสในการคบหากบั บรรดามิตรสหายของประเทศน้ี และยังเป็นเร่ืองตลกขบขันให้เหล่าอริราชศัตรูคอยเอามาเยาะเย้ยถากถางอยู่ อยา่ งไมส่ ิน้ สดุ เชน่ ในเรื่องเวทมนตรค์ าถาของ Carlyle๑ ทก่ี ล่าวเย้ยหยนั ชาวสยามวา่ เปน็ คนทพี่ รอ้ มจะตกเปน็ เหยอื่ ทไ่ี รค้ า่ “แตส่ ำ� หรบั บคุ คลผมู้ สี ตแิ ลว้ ไซรจ้ ะเขา้ ใจ ได้วา่ ในโลกอันมดื มนนี้ ความชวั่ รา้ ยแทจ้ รงิ ไมเ่ ป็นที่รู้จักฉนั ใด ความดงี ามอนั บรสิ ทุ ธ์ิก็ยอ่ มไม่เป็นที่รจู้ ักฉนั นน้ั ” ภาษาอาหรบั ชาวสยามสืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์อันทรหดมาจากพวกฉานซ่ึงต้ังตัวเป็นชน กลุม่ ใหญ่เรยี กวา่ ไทยใหญ่ ชาวสยามทเี่ ปน็ ไทยน้อยจงึ อพยพลงสูด่ ินแดนสยาม แบ่งแยกผู้คนออกครอบครองดินแดนท่ีราบลุ่ม ๒ ฟากฝั่งแม่น�้ำเจ้าพระยา กอ่ ให้เกดิ ๒ ชนชาตบิ น ๒ ฝั่งแม่น้�ำ ฝง่ั หนง่ึ ได้แก่ เขมร หรอื กมั พูชา สว่ นอีก ฝ่งั หน่งึ คือ พวกมอญ หรอื พะโค นนั่ เอง รายละเอยี ดทางประวตั ศิ าสตรข์ องพวกเขานนั้ ขาดทงั้ ความแนน่ อนและ เต็มไปด้วยความลึกลับเหลือประมาณ อีกท้ังยังเป็นเร่ืองน่าแปลกท่ีชาวสยาม เองก็เรียนรู้เร่ืองราวของตนเองน้อยมาก ข้าพเจ้าจึงไม่อยากจะรบกวนท่าน ผอู้ ่าน ไมว่ า่ พวกเขาจะเคล่อื นยา้ ยจากเมืองส่เู มอื งมาอยา่ งไร เรม่ิ ตั้งแตก่ ารมุ่ง หนา้ สูท่ ร่ี าบลมุ่ จากสวรรคโลกสูพ่ ษิ ณโุ ลก ถงึ อยธุ ยา และทา้ ยทส่ี ดุ สกู่ รงุ เทพฯ ไม่ว่าพวกเขาจะต่อส้รู บรากับบรรดาขา้ ศึกศตั รอู ย่างแขง็ ขันอย่างไร ทงั้ ยังต้อง ๑ ช่อื จินตกวผี ้มู ชี ่อื เสียงของอังกฤษ (ค.ศ. ๑๗๙๕ - ๑๘๘๑) - สวป.

หา้ ปใี นสยาม เลม่ ๑ 49 สกู้ บั พวกตเลง (Talaings1) พม่า และพวกเขมร ไม่วา่ พวกเขาจะใช้เลห่ เ์ หลีย่ ม หลอกล่อชาวลาว ซ่งึ เปรียบเสมือนญาตพิ นี่ ้องของเขาและชาวมลายเู พื่อนบา้ น ทางแถบทะเลมาอยา่ งไร กค็ งจะปลอ่ ยใหเ้ ปน็ เรอื่ งราวของประวตั ศิ าสตรอ์ นั เกา่ แก่ ซงึ่ รวมถงึ การกลา่ วถงึ ประวตั คิ วามเปน็ มาในปัจจบุ นั นด้ี ว้ ย เพราะเหตทุ ม่ี นั ไม่ไดใ้ ห้ข้อสังเกตส่งิ ใดไว้ ผลจากการท�ำศึกสงครามมาอย่างต่อเน่ือง ส่งผลให้เกดิ การแลกเปลย่ี น เชลยศึก เขตแดนการปกครอง และความรูส้ ึกนกึ คดิ เรอื่ ยมาอยา่ งไม่มที สี่ นิ้ สุด ซงึ่ ชาวอนิ โดจนี เหลา่ นตี้ า่ งรบั เอาวธิ กี ารแบบเดยี วกนั ในการปกปอ้ งเผา่ พนั ธพ์ุ วก พอ้ งของตนจากศตั รคู แู่ ขง่ มาใชแ้ ละมกั จะมคี วามคดิ เหน็ ทางการทตู ทเ่ี หมอื นกนั ในหมู่ชนชาติท่ีเกี่ยวข้องกันอยู่เหล่าน้ี ไม่มีเลยสักชาติเดียวท่ีสามารถ ด�ำรงไว้ซึ่งอิสรภาพนอกเสียจากชาวสยาม นิสัยฉ้อโกงและความก�ำแหงแบบ ชาวตะวนั ออกลว้ นเปน็ สง่ิ ซงึ่ นำ� ความพนิ าศยอ่ ยยบั มาสพู่ วกเขา ชาวพะโค พมา่ อันนัม เขมรและชาวมาเลย์ขาดซ่ึงก�ำลังอ�ำนาจ เพราะว่าพวกเขาไม่คิดฟื้นฟู พัฒนาตนเอง และระยะเวลาก็ไม่เอื้อให้พวกเขาแข็งใจท�ำเช่นนั้นได้ในยามท่ีมี เวลาพอทจี่ ะทำ� มนั เปน็ เชน่ นเี้ สมอมาทง้ั นเ้ี นอื่ งมาจากนสิ ยั ทแ่ี ฝงไวด้ ว้ ยเลห่ เ์ หลย่ี ม และความด้ือรั้นของพวกเขาท่ีติดแน่นฝังลึกอยู่ในความประพฤติฉ้อฉลคดโกง ที่เป็นมาเนิ่นนาน เป็นการกระท�ำในแบบที่พวกเขาเรียกมันว่าวิธีการทางการ ทตู และนั่นก็ทำ� ใหพ้ วกเขาต้องลม่ สลายไปในทส่ี ุด อาจจะเนอ่ื งจากการทสี่ ยามมที ต่ี ง้ั อยทู่ า่ มกลางชนชาตคิ แู่ ขง่ เกา่ แกแ่ ละ เพราะสยามตระหนกั ดวี า่ ควรจะหลบั หหู ลบั ตายดึ มน่ั ไปตามกฎเกณฑเ์ กา่ ๆ หรอื เพราะต้องการท่ีจะมีหลักการซ่ึงส�ำหรับสยามแล้วมันก็คือหนทางท่ีจะรอดใน วันข้างหน้า สยามนั้นมีจุดยืนใดท่ียึดถืออยู่ในทุกวันน้ี ตามความเชื่อของชาว องั กฤษแลว้ ชาวสยามมงุ่ มน่ั จรงิ จงั ทจี่ ะทำ� ในสงิ่ ทชี่ นชาตศิ ตั รคู แู่ ขง่ เกา่ แกท่ ำ� ไม่ ส�ำเร็จ รวมทั้งทำ� ในสง่ิ ท่ปี ระเทศเหล่านนั้ เคยถกู กระท�ำมากอ่ น ด้วยสยามนนั้ ตระหนกั ดีว่าขอ้ เทจ็ จริงในเร่อื งนีส้ ง่ ผลอยา่ งใหญ่หลวงตอ่ อนาคตของประเทศ 1 หรอื มอญ – ตน้ ฉบับ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook