บทที่ 3 | จาํ นวนจริง 132 คมู อื ครรู ายวิชาเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 รปู หลายเหลี่ยม จาํ นวนดาน วิธขี อง วิธีของ ดานเทา มมุ เทา Archimedes Snell-Huygens คา ประมาณของ π ถูกตองถึง 6 หลักหนวย ทศนยิ มตําแหนงท่ี 1 12 ทศนิยมตาํ แหนง ท่ี 1 ทศนยิ มตําแหนงที่ 2 24 ทศนิยมตาํ แหนง ที่ 2 ทศนิยมตาํ แหนงที่ 3 48 ทศนยิ มตําแหนง ที่ 2 ทศนิยมตาํ แหนง ที่ 5 s สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจรงิ 133 คูมอื ครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 รปู หลายเหลี่ยม จาํ นวนดา น วธิ ีของ วธิ ขี อง ดานเทา มมุ เทา Archimedes Snell-Huygens คาประมาณของ π ถูกตอ งถึง 96 ทศนยิ มตาํ แหนง ที่ 3 ทศนยิ มตําแหนงท่ี 6 ก 3.4 การวดั ผลประเมนิ ผลระหวา งเรียน การวัดผลระหวางเรียนเปนการวัดผลการเรียนรเู พื่อปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน และ ตรวจสอบนักเรียนแตละคนวามีความรูความเขาใจในเรื่องท่ีครูสอนมากนอยเพียงใด การใหนักเรียนทําแบบฝกหัดเปนแนวทางหน่ึงท่ีครูอาจใชเพ่ือประเมินผลดานความรู ระหวางเรียนของนักเรียน ซ่ึงหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 ไดนําเสนอแบบฝกหัดท่ีครอบคลุมเนื้อหาท่ีสําคัญของแตละบทไว สําหรับในบทท่ี 3 จํานวนจริง ครูอาจใชแ บบฝกหดั เพือ่ วดั ผลประเมนิ ผลความรใู นแตล ะเน้อื หาไดดังน้ี สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจริง 134 คูม อื ครรู ายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 เน้ือหา แบบฝก หดั จาํ นวนนับ จาํ นวนเต็ม จาํ นวนตรรกยะ และจาํ นวนอตรรกยะ 3.1 ขอ 1, 2 สัจพจนเ ชิงพชี คณิต ทฤษฎบี ท และสมบตั ิตา ง ๆ ท่เี กี่ยวขอ ง 3.2 ขอ 1 ,2, 3 ขั้นตอนวิธีการหารสาํ หรบั พหนุ ามและการหารยาว 3.3 ขอ 1 – 7 ทฤษฎบี ทเศษเหลอื 3.4 ขอ 1 – 4 ทฤษฎบี ทตวั ประกอบและทฤษฎบี ทตวั ประกอบตรรกยะ 3.4 ขอ 5, 6 สมการพหุนามตวั แปรเดียว 3.5 ขอ 1, 2, 3 เศษสว นของพหุนามในรูปผลสําเร็จ 3.6 ขอ 1 การคูณและการหารเศษสวนของพหุนาม 3.6 ขอ 2 การบวกและการลบเศษสว นของพหนุ าม 3.6 ขอ 3 สมการเศษสวนของพหุนาม 3.7 ขอ 1, 2 การไมเ ทากนั ของจํานวนจรงิ 3.8 ขอ 1 – 8 การเขยี นเซตในรปู ชวงและการเขียนกราฟของชวง 3.9ข ขอ 1 – 32 บนเสน จาํ นวน คา สัมบรู ณและทฤษฎีบทท่ีเกี่ยวกบั คาสมั บรู ณ 3.10 ขอ 1, 2, 3 สมการคา สมั บรู ณของพหุนามตวั แปรเดยี ว ขอ 1 – 8 อสมการคาสมั บรู ณของพหนุ ามตวั แปรเดยี ว 3.11ก ขอ 1, 2, 3 3.11ข สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง 135 คูมอื ครรู ายวิชาเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 3.5 การวเิ คราะหแ บบฝกหัดทา ยบท หนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 มีจุดมุงหมายวา เมื่อนักเรยี นไดเรียนจบบทท่ี 3 จํานวนจรงิ แลว นักเรียนสามารถ 1. ใชความรเู กี่ยวกบั จาํ นวนจรงิ ในการแกปญ หา 2. หาผลหารของพหนุ ามและเศษเหลอื 3. หาเศษเหลือโดยใชท ฤษฎบี ทเศษเหลอื 4. แยกตวั ประกอบของพหุนาม 5. แกสมการและอสมการพหนุ ามตวั แปรเดียว 6. แกสมการและอสมการเศษสวนพหนุ ามตวั แปรเดยี ว 7. แกส มการและอสมการคาสัมบูรณของพหุนามตัวแปรเดียว 8. ใชค วามรูเ กีย่ วกบั พหนุ ามในการแกป ญ หา ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ไดนําเสนอแบบฝกหัด ทายบทที่ประกอบดวยโจทยเพ่ือตรวจสอบความรูหลังเรียน โดยมีวัตถุประสงคเพ่ือวัดความรู ความเขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย ซึ่งประกอบดวยโจทยฝกทักษะที่มีความนาสนใจและ โจทยทาทาย ครูอาจเลือกใชแบบฝกหัดทายบทวัดความรูความเขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย ของบทเพื่อตรวจสอบวานกั เรียนมคี วามสามารถตามจุดมงุ หมายเมอ่ื เรยี นจบบทเรียนหรอื ไม ทั้งน้ี แบบฝกหัดทายบทแตละขอในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 บทที่ 3 จาํ นวนจรงิ สอดคลองกับจดุ มงุ หมายของบทเรยี น ดังนี้ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ขอ ขอ ใชความรูเกย่ี วกบั หาผลหารของ หาเศษเหลือโดยใช แยกตวั ประก ยอ ย จํานวนจริง พหนุ าม ทฤษฎีบทเศษเหลอื ของพหนุ า ในการแกปญหา และเศษเหลอื 1. 1) 2) 3) 2. 3. 1) 2) 3) 4) 5) 6) 7) 8) 9) 4. 1) 2) 3)
จดุ มุงหมาย กอบ แกส มการ แกสมการ แกส มการ ใชค วามรู าม และอสมการ และอสมการ และอสมการ เกยี่ วกบั พหุนาม พหุนามตวั แปรเดยี ว เศษสว นพหนุ าม คา สัมบูรณของ ในการแกปญหา ตวั แปรเดยี ว พหุนามตัวแปรเดยี ว
ขอ ขอ ใชค วามรูเกย่ี วกับ หาผลหารของ หาเศษเหลือโดยใช แยกตวั ประก ยอย จํานวนจรงิ พหุนาม ทฤษฎบี ทเศษเหลอื ของพหนุ า ในการแกป ญหา และเศษเหลอื 4) 5) 6) 5. 6. 7. 1) 2) 8. 9. 1) 2) 3) 4) 5) 6) 7) 8)
จดุ มุงหมาย กอบ แกส มการ แกสมการ แกส มการ ใชค วามรู าม และอสมการ และอสมการ และอสมการ เกยี่ วกบั พหุนาม พหุนามตวั แปรเดยี ว เศษสว นพหนุ าม คา สัมบูรณของ ในการแกปญหา ตวั แปรเดยี ว พหุนามตัวแปรเดยี ว
ขอ ขอ ใชความรูเก่ียวกับ หาผลหารของ หาเศษเหลอื โดยใช แยกตวั ประก ยอ ย จํานวนจริง พหนุ าม ทฤษฎบี ทเศษเหลอื ของพหุนา ในการแกป ญหา และเศษเหลือ 9) 10) 10. 1) 2) 3) 4) 5) 6) 7) 8) 9) 10) 11) 12)
จดุ มงุ หมาย กอบ แกสมการ แกสมการ แกสมการ ใชความรู าม และอสมการ และอสมการ และอสมการ เกี่ยวกบั พหนุ าม พหุนามตวั แปรเดยี ว เศษสวนพหุนาม คา สมั บรู ณข อง ในการแกป ญ หา ตวั แปรเดยี ว พหุนามตวั แปรเดียว
ขอ ขอ ใชความรูเกย่ี วกบั หาผลหารของ หาเศษเหลือโดยใช แยกตวั ประก ยอย จาํ นวนจรงิ พหนุ าม ทฤษฎบี ทเศษเหลอื ของพหุนา ในการแกป ญหา และเศษเหลือ 11. 1) 2) 3) 4) 12. 1) 2) 3) 4) 5) 6) 7) 8) 9) 10) 13. 1) 2) 3)
จดุ มุงหมาย กอบ แกส มการ แกส มการ แกส มการ ใชความรู าม และอสมการ และอสมการ และอสมการ เกย่ี วกบั พหนุ าม พหุนามตวั แปรเดยี ว เศษสวนพหนุ าม คาสมั บรู ณของ ในการแกปญ หา ตวั แปรเดียว พหุนามตัวแปรเดียว
ขอ ขอ ใชค วามรูเก่ียวกับ หาผลหารของ หาเศษเหลือโดยใช แยกตวั ประก ยอย จาํ นวนจรงิ พหนุ าม ทฤษฎบี ทเศษเหลอื ของพหนุ า ในการแกป ญ หา และเศษเหลอื 4) 5) โจ 6) 7) 8) 9) 10) 11) 12) 14. 1) 2) 3) 4) 5) 6) 7) 8)
จดุ มงุ หมาย กอบ แกสมการ แกสมการ แกสมการ ใชความรู าม และอสมการ และอสมการ และอสมการ เก่ยี วกบั พหนุ าม พหนุ ามตวั แปรเดยี ว เศษสวนพหนุ าม คา สมั บรู ณของ ในการแกป ญหา ตวั แปรเดียว พหนุ ามตวั แปรเดียว จทยท า ทาย
ขอ ขอ ใชค วามรูเกยี่ วกับ หาผลหารของ หาเศษเหลือโดยใช แยกตวั ประก ยอย จํานวนจรงิ พหุนาม ทฤษฎบี ทเศษเหลอื ของพหุนา ในการแกปญ หา และเศษเหลือ 9) 10) 11) 12) 13) 14) 15) 15. 16. 17. 18. 19. 20. 1) 2) 3) 4) 5) 6)
จดุ มงุ หมาย กอบ แกสมการ แกสมการ แกส มการ ใชค วามรู าม และอสมการ และอสมการ และอสมการ เกีย่ วกบั พหุนาม พหุนามตวั แปรเดยี ว เศษสว นพหุนาม คาสมั บรู ณของ ในการแกป ญหา ตวั แปรเดียว พหนุ ามตัวแปรเดียว
ขอ ขอ ใชค วามรูเก่ยี วกับ หาผลหารของ หาเศษเหลอื โดยใช แยกตวั ประก ยอย จาํ นวนจริง พหุนาม ทฤษฎบี ทเศษเหลอื ของพหนุ า ในการแกป ญหา และเศษเหลอื 7) โจ 8) โจ 9) 10) 21. 1) 2) 3) 4) 5) 6) 7) 8) 9) 22.
จุดมงุ หมาย กอบ แกสมการ แกส มการ แกส มการ ใชค วามรู าม และอสมการ และอสมการ และอสมการ เก่ียวกบั พหุนาม พหนุ ามตวั แปรเดยี ว เศษสว นพหุนาม คาสมั บูรณของ ในการแกปญ หา ตัวแปรเดยี ว พหุนามตวั แปรเดยี ว จทยทาทาย จทยท า ทาย
บทท่ี 3 | จาํ นวนจรงิ 143 คูมือครรู ายวิชาเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 3.6 ความรูเพมิ่ เตมิ สําหรับครู • ระบบจาํ นวนจรงิ คอื ระบบเชิงคณติ ศาสตรทปี่ ระกอบดวยเอกภพสัมพทั ธ ซง่ึ สอดคลอง กบั สจั พจน 3 กลุม 01 ดงั น้ี 1. สจั พจนเชงิ พชี คณิต (algebraic axioms) 2. สัจพจนเ ชิงอนั ดับ (order axioms) 3. สจั พจนความบรบิ รู ณ (completeness axiom) เรียก วา “เซตของจํานวนจริง” และเรยี กสมาชกิ ใน วา “จาํ นวนจรงิ ” • สัจพจนเ ชิงพชี คณิต ให + และ ⋅ เปนสัญลักษณแทนการบวกและการคูณ ตามลําดับ สัจพจนเชิงพชี คณิต ของระบบจาํ นวนจริง ไดแ ก (A1) a + b∈ สาํ หรบั ทกุ จาํ นวนจรงิ a, b (A2) a + (b + c) = (a + b) + c สําหรับทกุ จํานวนจริง a, b, c (A3) a + b = b + a สําหรับทุกจํานวนจรงิ a, b (A4) มจี าํ นวนจริง 0 ซ่งึ a + 0 = 0 + a = a สําหรบั ทกุ จํานวนจรงิ a (A5) สาํ หรับแตล ะจาํ นวนจรงิ a มีจาํ นวนจรงิ b ซ่ึง a + b = b + a = 0 (M1) a ⋅b∈ สาํ หรับทกุ จํานวนจริง a, b (M2) a ⋅(b ⋅ c) = (a ⋅b) ⋅ c สาํ หรบั ทกุ จํานวนจรงิ a, b, c (M3) a ⋅b = b ⋅ a สําหรับทุกจาํ นวนจริง a, b (M4) มีจาํ นวนจริง 1 ซงึ่ a ⋅1 =1⋅ a = a สาํ หรบั ทุกจาํ นวนจรงิ a 1 ในหนงั สอื เรียนรายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 นาํ เสนอเพยี งสัจพจนเชงิ พชี คณติ ในระบบจาํ นวนจรงิ และสัจพจนเชงิ อนั ดบั ในระบบจํานวนจรงิ สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ 144 คมู ือครูรายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 (M5) สําหรับแตละจาํ นวนจริง a ซ่ึง a ≠ 0 มีจํานวนจริง b ซง่ึ a ⋅b = b ⋅ a =1 (D) a ⋅(b + c) = a ⋅b + a ⋅ c และ (b + c) ⋅ a = b ⋅ a + c ⋅ a สาํ หรับทกุ จํานวนจรงิ a, b, c หมายเหตุ ในท่ีน้ี อกั ษร A ใชบ ง ถึงสจั พจนเ กย่ี วกับการบวก (addition) อกั ษร M ใชบ งถึงสัจพจนเ ก่ียวกับการคูณ (multiplication) และอักษร D ใชบ ง ถึงสัจพจนเ กยี่ วกับการแจกแจง (distribution) • สจั พจนเ ชงิ อนั ดับ มีสบั เซต + ของ ซึ่งสอดคลองกับเงอื่ นไขทุกขอ ตอไปน้ี 1. ถา a, b ∈ + แลว a + b ∈ + 2. ถา a, b ∈ + แลว a ⋅ b ∈ + 3. สําหรับจาํ นวนจริง a ใด ๆ a ∈ + หรอื a = 0 หรือ −a∈ + เพยี งอยางใดอยา งหน่ึง • สัจพจนค วามบริบรู ณ ถา A เปนสับเซตท่ีไมใชเซตวางของ ซ่ึงมีขอบเขตบนใน แลว A มีขอบเขต บนนอยสุดใน • ความหนาแนน (Density) ของ และ ′ ใน สามารถศึกษาไดจากหนังสือเรียนรู เพิ่มเติมเพื่อเสริมศักยภาพคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 – 6 เร่ืองระบบจํานวนจริง หนา 61 – 63 • ทฤษฎีบทท่ีไมไดแสดงการพิสูจนในหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 แสดงการพิสูจนไดด ังนี้ สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจริง 145 คูมอื ครูรายวชิ าเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 ทฤษฎีบท 1 กฎการตัดออกสาํ หรับการบวก ให a, b และ c เปน จํานวนจรงิ 1) ถา a + c = b + c แลว a = b 2) ถา a +b = a + c แลว b = c พิสูจน 1) ให a, b และ c เปนจาํ นวนจรงิ ใด ๆ โดยท่ี a + c = b + c จะได (a + c) + (−c) = (b + c) + (−c) a + (c + (−c)) = b + (c + (−c)) (สมบตั ิการเปลย่ี นหมูของการบวก) a+0 = b+0 (สมบัติการมีตวั ผกผันของการบวก) a = b (สมบตั ิการมเี อกลักษณของการบวก) ดงั น้ัน ถา a +c = b+c แลว a = b 2) ให a, b และ c เปน จํานวนจริงใด ๆ โดยที่ a +b = a +c จะได (a + b) + (−a) = (a + c) + (−a) (−a) + (a + b) = (−a) + (a + c) (สมบตั กิ ารสลบั ทขี่ องการบวก) ((−a) + a) + b = ((−a) + a) + c (สมบตั ิการเปลย่ี นหมูของการบวก) 0+b = 0+c (สมบัติการมตี วั ผกผันของการบวก) b = c (สมบตั ิการมีเอกลักษณของการบวก) ดงั นัน้ ถา a +b = a +c แลว b = c ทฤษฎีบท 2 กฎการตัดออกสําหรบั การคณู ให a, b และ c เปนจาํ นวนจรงิ 1) ถา ac = bc และ c ≠ 0 แลว a = b 2) ถา ab = ac และ a ≠ 0 แลว b = c สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจริง 146 คมู ือครรู ายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 พิสูจน 1) ให a, b และ c เปนจาํ นวนจริงใด ๆ โดยท่ี ac = bc และ c ≠ 0 จะได (a c)c−1 = (bc)c−1 a (c c−1 ) = b(c c−1 ) (สมบัตกิ ารเปล่ยี นหมูของการคูณ) a ⋅1 = b ⋅1 (สมบตั ิการมีตัวผกผันของการคณู ) a = b (สมบัติการมเี อกลักษณของการคูณ) ดงั นัน้ ถา ac = bc และ c ≠ 0 แลว a = b 2) ให a, b และ c เปน จาํ นวนจริงใด ๆ โดยท่ี ab = ac และ a ≠ 0 จะได (a b) a−1 = (a c) a−1 a−1 (ab) = a−1 (ac) (สมบัติการสลบั ทข่ี องการคูณ) (a−1a)b = (a−1a)c (สมบตั ิการเปล่ยี นหมขู องการคณู ) 1⋅b = 1⋅c (สมบตั ิการมตี ัวผกผันของการคูณ) b = c (สมบัติการมเี อกลักษณของการคูณ) ดงั นัน้ ถา ab = ac และ a ≠ 0 แลว b = c ทฤษฎีบท 3 ให a เปน จาํ นวนจริง จะได a ⋅0 =0 พิสจู น ให a เปนจํานวนจริงใด ๆ จาก 0 + 0 = 0 จะได a(0 + 0) = a ⋅ 0 a⋅0+a⋅0 = a⋅0 (สมบตั กิ ารแจกแจง) a⋅0+a⋅0 = a⋅0+0 (สมบัติการมีเอกลักษณข องการบวก) สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ 147 คมู ือครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 a⋅0 = 0 (กฎการตัดออกสําหรบั การบวก) ดงั นนั้ ให a เปนจํานวนจริง จะได a ⋅0 =0 ทฤษฎีบท 4 ให a เปน จาํ นวนจริง จะได (−1)a =− a พิสูจน ให a เปน จํานวนจริงใด ๆ จาก a + (−1)a = 1a + (−1)a (สมบตั ิการมเี อกลกั ษณข องการคณู ) a + (−1)a = (1+ (−1) )a (สมบัติการแจกแจง) a + (−1)a = 0 ⋅ a (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก) a + (−1)a = a ⋅ 0 (สมบัติการสลับที่ของการคณู ) a + (−1)a = 0 (ทฤษฎีบท 3) a + (−1)a = a + (−a) (สมบตั ิการมตี วั ผกผันของการบวก) (−1)a = −a (กฎการตัดออกสําหรับการบวก) ดังน้นั ให a เปน จํานวนจรงิ จะได (−1)a =− a ทฤษฎบี ท 5 ให a และ b เปนจาํ นวนจรงิ จะได ab = 0 ก็ตอ เมื่อ a = 0 หรือ b = 0 พสิ ูจน ให a และ b เปนจาํ นวนจริงใด ๆ 1) จะแสดงวา ถา ab = 0 แลว a = 0 หรือ b = 0 ให ab = 0 โดยทฤษฎีบท 3 จะไดว า a = 0 หรือ b = 0 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง 148 คูมือครูรายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 นั่นคือ ถา ab = 0 แลว a = 0 หรือ b = 0 2) จะแสดงวา ถา a = 0 หรอื b = 0 แลว ab = 0 กรณที ี่ 1 ให a = 0 แต b ≠ 0 โดยทฤษฎบี ท 3 จะไดว า ab = 0 กรณีท่ี 2 ให b = 0 แต a ≠ 0 โดยทฤษฎีบท 3 จะไดว า ab = 0 กรณที ่ี 3 ให a = 0 และ b = 0 โดยทฤษฎีบท 3 จะไดว า ab = 0 จากท้งั สามกรณี จะไดว า ถา a = 0 หรอื b = 0 แลว ab = 0 ดังน้นั ให a และ b เปนจํานวนจริง จะได ab = 0 กต็ อ เมื่อ a = 0 หรอื b = 0 ทฤษฎีบท 6 ให a และ b เปนจาํ นวนจริง จะไดวา 1) a (−b) = −ab 2) (−a)b = −ab 3) (−a)(−b) = ab พสิ ูจน 1) ให a และ b เปนจาํ นวนจรงิ ใด ๆ จะได a ⋅ 0 = 0 (ทฤษฎบี ท 3) a b + (−b) = 0 (สมบตั ิการมตี วั ผกผันของการบวก) ab + a (−b) = 0 (สมบัตกิ ารแจกแจง) ab + a (−b) + (−ab) = 0 + (−ab) (สมบัติการสลบั ทขี่ องการบวก) (−ab) + ab + a(−b) = 0 + (−ab) สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจริง 149 คูมือครูรายวิชาเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 (−ab) + ab + a (−b) = 0 + (−ab) (สมบตั กิ ารเปลี่ยนหมขู องการบวก) 0 + a (−b) = 0 + (−ab) (สมบตั กิ ารมีตวั ผกผนั ของการบวก) (สมบตั ิการมเี อกลักษณของการบวก) a (−b) = −ab (สมบัติการสลับทข่ี องการคูณ) ดงั น้ัน a(−b) = −ab (ทฤษฎบี ท 6 ขอ 1) 2) ให a และ b เปนจาํ นวนจรงิ ใด ๆ (สมบตั กิ ารสลบั ที่ของการคูณ) จะได (−a)b = b(−a) (ทฤษฎบี ท 3) (สมบตั ิการมีตวั ผกผนั ของการบวก) = −ba (สมบตั ิการแจกแจง) (ทฤษฎบี ท 6 ขอ 1) = −ab (สมบตั กิ ารสลับที่ของการบวก) ดงั น้นั (−a)b = −ab (สมบตั ิการเปลีย่ นหมขู องการบวก) 3) ให a และ b เปนจาํ นวนจรงิ ใด ๆ (สมบัตกิ ารมตี วั ผกผนั ของการบวก) (สมบัติการมีเอกลักษณข องการบวก) จะได (−a) ⋅ 0 = 0 (−a) b + (−b) = 0 (−a)b + (−a)(−b) = 0 (−ab) + (−a)(−b) = 0 (−ab) + (−a)(−b) + ab = 0 + ab ab + (−ab) + (−a)(−b) = 0 + ab ab + (−ab) + (−a)(−b) = 0 + ab 0 + (−a)(−b) = 0 + ab (−a)(−b) = ab ดังนั้น (−a)(−b) = ab สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจริง 150 คมู ือครรู ายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 ทฤษฎีบท 7 ให a, b และ c เปน จํานวนจรงิ จะไดว า 1) a (b − c) = ab − ac 2) (a − b)c = ac − bc พิสจู น 1) ให a, b และ c เปน จาํ นวนจรงิ ใด ๆ จะได a(b − c) = a b + (−c) (บทนยิ าม 1) = ab + a(−c) (สมบตั กิ ารแจกแจง) = ab + (−ac) (ทฤษฎบี ท 6 ขอ 1) = ab−ac (บทนิยาม 1) ดงั นั้น a(b − c) = ab − ac 2) ให a, b และ c เปนจํานวนจรงิ ใด ๆ จะได (a − b)c = a + (−b) c (บทนิยาม 1) = ac +(−b)c (สมบัตกิ ารแจกแจง) = ac + (−bc) (ทฤษฎีบท 6 ขอ 1) = ac −bc (บทนยิ าม 1) ดังน้นั (a − b)c = ac − bc ทฤษฎบี ท 8 ให a เปน จํานวนจรงิ ถา a ≠ 0 แลว a−1 ≠ 0 พสิ ูจน โดยวธิ ีหาขอ ขัดแยง สมมติให a = 0 จะไดว า a ⋅ a−1 =0 ⋅ a−1 =0 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจริง 151 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 ซ่งึ ขดั แยงกับสมบัติการมตี ัวผกผันของการคูณ ซึ่ง a ⋅ a−1 =1 ดงั นั้น ถา a ≠ 0 แลว a−1 ≠ 0 ทฤษฎบี ท 9 ให a, b, c และ d เปน จาํ นวนจริง จะไดวา a =a เมอ่ื b ≠ 0 และ c ≠ 0 1) b bc c 2) a = ac เมอ่ื b ≠ 0 และ c ≠ 0 b bc 3) a + c = ad + bc เมือ่ b ≠ 0 และ d ≠ 0 bd bd 4) a c = ac เมื่อ b ≠ 0 และ d ≠ 0 b d bd 5) b −1 =c เมือ่ b ≠ 0 และ c ≠ 0 c b a = ad เม่ือ b ≠ 0, c ≠ 0 และ d ≠ 0 6) b bc c d พสิ จู น 1) ให a, b และ c เปนจาํ นวนจรงิ ใด ๆ โดยที่ b ≠ 0 และ c ≠ 0 จะได ( )a = a b c−1 −1 (บทนิยาม 2) bc ( )= ab−1 c−1 (สมบัตกิ ารเปล่ยี นหมูข องการคูณ) ab−1 (บทนิยาม 2) = (บทนิยาม 2) c a = b c สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง 152 คมู อื ครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 a ดงั นน้ั b = a c bc 2) ให a, b และ c เปนจาํ นวนจริงใด ๆ โดยที่ b ≠ 0 และ c ≠ 0 ac ac = b จะได bc c (ทฤษฎบี ท 9 ขอ 1) = ac ⋅ c−1 (บทนยิ าม 2) b (บทนยิ าม 2) ( )= ac ⋅ b−1 c−1 ( )= c−1 ac ⋅b−1 (สมบตั กิ ารสลบั ทข่ี องการคณู ) ( )= c−1 ⋅ ac b−1 (สมบตั ิการสลบั ทข่ี องการคณู ) ( )= ac ⋅c−1 b−1 (สมบัติการสลับท่ขี องการคูณ) = ( )a c ⋅c−1 b−1 (สมบตั กิ ารเปล่ยี นหมขู องการคูณ) = (a ⋅1)b−1 (สมบัติการมตี ัวผกผนั ของการคูณ) = ab−1 (สมบัตกิ ารมเี อกลักษณของการคณู ) = a (บทนยิ าม 2) b ดงั นนั้ a = ac b bc 3) ให a, b, c และ d เปน จาํ นวนจริงใด ๆ โดยท่ี b ≠ 0 และ d ≠ 0 ad + bc (ทฤษฎีบท 9 ขอ 1) จะได ad + bc = b bd d = ad + bc ⋅ d −1 (บทนิยาม 2) b = (ad + bc)b−1 d −1 (บทนยิ าม 2) = b−1 ⋅(ad + bc) d −1 (สมบัติการสลับทข่ี องการคณู ) สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ 153 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 = b−1 (ad ) + b−1 (bc) d −1 (สมบัติการแจกแจง) ( ) ( )= b−1 ⋅ a d + b−1 ⋅b c d −1 (สมบัตกิ ารเปลีย่ นหมขู องการคูณ) ( )= −1 (สมบตั ิการมีตัวผกผนั ของการคณู ) b−1 ⋅ a d +1⋅ c d ( )= d + c d −1 (สมบตั กิ ารมีเอกลกั ษณข องการคณู ) b−1 ⋅ a ( )= b−1 ⋅ a d + c d −1 (สมบัติการมีเอกลกั ษณของการคูณ) ( ) ( )= b−1 ⋅ a d ⋅ d −1 + c ⋅ d −1 (สมบัติการแจกแจง) ( )( ) ( )b−1 (สมบัติการเปล่ยี นหมขู องการคูณ) = ⋅a d ⋅ d −1 + c ⋅ d −1 ( ) ( )= b−1 ⋅ a ⋅1+ c ⋅ d −1 (สมบัตกิ ารมีตัวผกผนั ของการคณู ) ( ) ( )= b−1 ⋅ a + c ⋅ d −1 (สมบัติการมีเอกลกั ษณข องการคณู ) ( ) ( )= a ⋅ b−1 + c ⋅ d −1 (สมบตั ิการสลบั ท่ขี องการคณู ) = a+c (บทนยิ าม 2) bd ดังนนั้ a + c =ad + bc b d bd 4) ให a, b, c และ d เปนจํานวนจรงิ ใด ๆ โดยท่ี b ≠ 0 และ d ≠ 0 ac (ทฤษฎีบท 9 ขอ 1) จะได ac = b (บทนิยาม 2) (บทนยิ าม 2) bd d (สมบตั ิการสลบั ทีข่ องการคูณ) = ac d −1 b ( )= ac ⋅ b−1 d −1 ( )= b−1 ⋅ ac d −1 ( )= b−1 ⋅ a c d −1 (สมบตั กิ ารเปลย่ี นหมูข องการคณู ) ( )( )= b−1 ⋅ a c ⋅ d −1 (สมบตั ิการเปลี่ยนหมขู องการคูณ) สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจริง 154 คูม ือครรู ายวิชาเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 ( )( )= a ⋅b−1 c ⋅ d −1 (สมบัติการสลับทีข่ องการคูณ) = a c (บทนิยาม 2) b d ดังน้นั a c = ac b d bd 5) ให b และ c เปนจํานวนจรงิ ใด ๆ โดยท่ี b ≠ 0 และ c ≠ 0 b −1 bc−1 −1 ( )จะได c = (บทนิยาม 2) (บทนยิ าม 2) = 1 (ทฤษฎบี ท 9 ขอ 2) bc−1 (สมบตั ิการเปล่ยี นหมูของการคูณ) = 1⋅ c bc−1 ⋅ c 1⋅ c ( )= b c−1 ⋅ c = 1⋅c (สมบัติการมตี วั ผกผนั ของการคณู ) b ⋅1 = c (สมบตั ิการมีเอกลักษณของการคูณ) b ดังนนั้ b −1 = c c b 6) ให a, b, c และ d เปน จํานวนจรงิ ใด ๆ โดยที่ b≠ 0 และ d ≠ 0 a ( ) b = ab−1 จะได ( ) c cd −1 (บทนยิ าม 2) d ( )ab−1 b (บทนิยาม 9 ขอ 2) ( )= cd −1 b สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ 155 คมู ือครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 ( )a b−1b (สมบตั กิ ารสลบั ทข่ี องการคูณและ สมบัติการเปลยี่ นหมูของการคณู ) = (cb) d −1 a ⋅1 (สมบัตกิ ารมีตัวผกผนั ของการคณู ) = (cb) d −1 a (สมบัตกิ ารมเี อกลักษณข องการคณู ) = (cb) d −1 = a −1 ⋅ d (บทนิยาม 9 ขอ 2) d ( cb ) d ad (บทนยิ าม 9 ขอ 4) (สมบตั กิ ารเปล่ยี นหมูข องการคูณ) = (cb) d −1 d ad = (cb)(d −1d ) = ad (สมบตั ิการมีตัวผกผนั ของการคูณ) cb ⋅1 = ad (สมบตั ิการมเี อกลกั ษณข องการคณู ) cb ดงั น้ัน a b = ad c bc d ทฤษฎีบท 10 ขัน้ ตอนวิธกี ารหารสาํ หรบั พหุนาม ถา a(x) และ b(x) เปนพหุนาม โดยท่ี b(x) ≠ 0 แลว จะมีพหุนาม q( x) และ r(x) เพียงชดุ เดียวเทา นน้ั ซ่ึง =a( x) b( x)q( x) + r ( x) เม่อื r ( x) = 0 หรือ deg(r ( x)) < deg(b( x)) สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจริง 156 คมู ือครรู ายวชิ าเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 พิสูจน ให a(x) และ b(x)เปน พหนุ าม โดยท่ี b(x) ≠ 0 โดยขั้นตอนวิธีการหาร จะไดวา มพี หุนาม q(x) และ r(x) โดยที่ r ( x) = 0 หรือ deg(r ( x)) < deg(b( x)) ซึ่งทาํ =ให a(x) b(x)q(x) + r (x) ------- (1) เหลอื เพียงแสดงวามี q(x) และ r(x) ไดเ พียงชดุ เดียว สมมติวา q1 (x) และ r1 (x) เปนพหนุ ามอีกชุดหนงึ่ โดยที่ r1 ( x) = 0 หรือ deg(r1 ( x)) < deg(b( x)) ซึ่งทํา=ให a(x) b(x)q1 (x) + r1 (x) ------- (2) จาก (1) และ (2) จะได a( x) − a( x) = b( x)q( x) + r ( x) − b( x)q1 ( x) + r1 ( x) 0 = b( x) q ( x) − b( x) q1 ( x) + r ( x) − r1 ( x) 0 = b( x) q ( x) − q1 ( x) + r ( x) − r1 ( x) b( x) q ( x) − q1 ( x) = r ( x) − r1 ( x) สมมตวิ า q(x) ≠ q1 (x) จะไดวา q(x) − q1 (x) ≠ 0 และ r (x) ≠ r1 ( x) ซึ่งทําให deg(r1 ( x) − r ( x=)) deg(b( x)) + deg(q( x) − q1 ( x)) ≥ deg(b( x)) ------- (3) จากเงื่อนไขของ r(x) และ r1 (x) สามารถพิจารณาไดเปน 3 กรณี ดงั นี้ กรณที ี่ 1 r ( x) = 0 และ deg(r1 ( x) )< deg(b( x)) จะไดวา deg(r1 ( x)− r ( x)) =deg(r1 ( x)) ดังนนั้ deg(r1 (x)− r (x)) < deg(b(x)) ซง่ึ ขดั แยง กับ (3) สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจรงิ 157 คมู ือครูรายวิชาเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 กรณที ี่ 2 deg(r ( x)) < deg(b( x)) และ r1 (x) = 0 จะไดวา deg(r1 ( x)− r ( x)) =deg(r ( x)) ดงั น้นั deg(r1 (x)− r (x)) < deg(b(x)) ซงึ่ ขดั แยง กับ (3) กรณีท่ี 3 deg(r ( x)) < deg(b( x)) และ deg(r1 ( x) )< deg(b( x)) จะไดว า deg(r1 (x)− r (x)) < deg(b(x)) ซึง่ ขดั แยง กบั (3) จากทง้ั สามกรณี จะไดว า ขอความท่สี มมติเปนเทจ็ นนั่ คือ q(x) = q1 (x) ซ่ึงทาํ ใหไดว า r (x) = r1 (x) ดว ย ดังนัน้ ถา a( x) และ b(x) เปน พหุนาม โดยที่ b(x) ≠ 0 แลวจะมีพหนุ าม q( x) และ r (x) เพียงชุดเดียวเทา น้ัน ซ=ึ่ง a( x) b( x)q( x) + r ( x) เม่ือ r (x) = 0 หรอื deg(r ( x)) < deg(b( x)) ทฤษฎบี ท 13 ให p( x) เปน พหนุ าม anxn + an−1xn−1 + + a1x + a0 โดยท่ี n เปน จํานวนเต็มบวก และ an , an−1 , , a1 , a0 เปนจาํ นวนเตม็ ซึ่ง an ≠ 0 ถา x − k เปนตัวประกอบของพหุนาม p(x) โดยที่ m และ k เปนจาํ นวนเต็ม m ซ่ึง m ≠ 0 และ ห.ร.ม. ของ m และ k เทากับ 1 แลว m หาร an ลงตัว และ k หาร a0 ลงตวั พิสูจน ให m และ k เปนจาํ นวนเต็ม ซ่งึ m ≠ 0 และ ห.ร.ม. ของ m และ k เทากบั 1 ซึ่งทําให x − k เปนตวั ประกอบของพหุนาม p( x)= an xn + a xn−1 ++ a1 x + a0 n −1 m โดยท่ี n เปน จํานวนเตม็ บวก และ an , an−1 , , a1 , a0 เปนจํานวนเตม็ ซ่งึ an ≠ 0 p( )โดยทฤษฎีบทตวั ประกอบ จะไดวาk =0 m สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจริง 158 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 n−1 + + a1 ( ) ( ) ( )an นนั่ คอื k n k k + a0 =0 m m m + an−1 คูณทัง้ สองขา งของสมการดวย mn จะได ank n + an−1k mn−1 + + a1kmn−1 + a0mn = 0 ------ (1) 1) จะแสดงวา m หาร an ลงตวั จาก (1) จะไดว า an−1k n−1m + + a1kmn−1 + a0mn = −ank n ( )− a k n−1 ++ a1kmn−2 + a0 m n −1 m = ank n n −1 จะเหน็ วา m หาร ankn ลงตวั แตเ นอื่ งจาก ห.ร.ม. ของ m และ k เทา กบั 1 จะไดว า m หาร an ลงตัว 2) จะแสดงวา k หาร a0 ลงตวั จาก (1) จะไดวา ank n + an−1k n−1m + + a1kmn−1 = −a0mn ( )− ank n−1 + an−1k n−2m + + a1mn−1 k = a0mn จะเหน็ วา k หาร a0mn ลงตัว แตเ นื่องจาก ห.ร.ม. ของ m และ k เทากบั 1 จะไดวา k หาร a0 ลงตวั ดังน้นั m หาร an ลงตวั และ k หาร a0 ลงตวั ทฤษฎีบท 14 ให a, b และ c เปน จํานวนจริง 1) สมบตั กิ ารถา ยทอด ถา a > b และ b > c แลว a > c 2) สมบัตกิ ารบวกดวยจํานวนท่เี ทากนั ถา a > b แลว a + c > b + c สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจริง 159 คมู ือครรู ายวิชาเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 3) สมบัตกิ ารคูณดว ยจาํ นวนท่ีเทากันทไี่ มเ ปน ศนู ย กรณีท่ี 1 ถา a > b และ c > 0 แลว ac > bc กรณีท่ี 2 ถา a > b และ c < 0 แลว ac < bc 4) สมบตั ิการตดั ออกสาํ หรับการบวก ถา a + c > b + c แลว a > b 5) สมบตั กิ ารตัดออกสาํ หรบั การคูณ กรณที ี่ 1 ถา ac > bc และ c > 0 แลว a > b กรณีท่ี 2 ถา ac > bc และ c < 0 แลว a < b พสิ ูจน 1) ให a, b และ c เปนจาํ นวนจรงิ ใด ๆ โดยท่ี a > b และ b > c เนอื่ งจาก a > b หมายถงึ a − b > 0 ------- (1) และ b > c หมายถึง b − c > 0 ------- (2) จาก (1) และ (2) จะได (a − b) + (b − c) > 0 นนั่ คือ a−c > 0 a >c ดงั นั้น ถา a > b และ b > c แลว a > c 2) ให a, b และ c เปนจํานวนจรงิ ใด ๆ โดยที่ a > b เนื่องจาก a > b หมายถงึ a − b > 0 และ (a + c) − (b + c) =a − b จะได (a + c) − (b + c) > 0 นั่นคอื a + c > b + c สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง 160 คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 ดงั น้ัน ถา a > b แลว a + c > b + c 3) ให a, b และ c เปนจํานวนจรงิ ใด ๆ โดยที่ a > b นนั่ คือ a − b > 0 กรณที ่ี 1 c > 0 เนอ่ื งจาก (a − b)c =ac − bc จะได ac − bc > 0 นน่ั คือ ac > bc ดังนัน้ ถา a > b และ c > 0 แลว ac > bc กรณีที่ 2 c < 0 เน่อื งจาก (a − b)c =ac − bc จะได ac − bc < 0 น่นั คอื ac < bc ดงั น้นั ถา ac > bc และ c < 0 แลว a < b 4) ให a, b และ c เปนจํานวนจริงใด ๆ โดยท่ี a + c > b + c นั่นคอื (a + c) − (b + c) > 0 a+c−b−c > 0 จะได a − b > 0 นั่นคอื a > b ดังนนั้ ถา a + c > b + c แลว a > b สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจรงิ 161 คมู ือครูรายวิชาเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 5) ให a, b และ c เปน จาํ นวนจริงใด ๆ โดยท่ี ac > bc กรณีท่ี 1 c > 0 โดยวธิ หี าขอขัดแยง สมมติให a >/ b นั่นคือ a = b หรือ a < b - เม่อื a = b จะได ac = bc ซ่งึ ขดั แยง กับที่กาํ หนดให ac > bc - เมือ่ a < b จะได ac < bc ซง่ึ ขดั แยง กบั ท่ีกําหนดให ac > bc ดังน้นั ถา ac > bc และ c > 0 แลว a > b กรณที ่ี 2 c < 0 โดยวิธีหาขอ ขดั แยง สมมติให a </ b นั่นคอื a = b หรอื a > b - เมื่อ a = b จะได ac = bc ซง่ึ ขัดแยง กับท่ีกาํ หนดให ac > bc - เมอ่ื a > b จะได a − b > 0 เนอื่ งจาก ac − bc = (a − b)c จะได (a − b)c > 0 เนอ่ื งจาก a − b > 0 จะได c > 0 ซ่งึ ขดั แยง กับท่ีกาํ หนดให c < 0 ดังน้ัน ถา ac > bc และ c < 0 แลว a < b ทฤษฎีบท 15 ให a, b, c และ d เปน จาํ นวนจริง ถา a > b และ c > d แลว a + c > b + d สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจริง 162 คมู ือครรู ายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 พสิ ูจน ให a, b, c และ d เปน จาํ นวนจรงิ ใด ๆ ซงึ่ a > b และ c > d โดยสมบตั ิการบวกดว ยจาํ นวนท่เี ทากนั จะได a + c > b + c และ b + c > b + d โดยสมบัตกิ ารถายทอด จะได a + c > b + d ทฤษฎีบท 16 ให x และ y เปนจาํ นวนจรงิ จะไดวา 1) x = − x 2) xy = x y 3) x = x เมอ่ื y ≠ 0 yy 4) x − y = y − x 5) x 2 = x2 6) x + y ≤ x + y พิสูจน 1) แสดงการพิสูจนด ังตวั อยา งท่ี 36 2) ให x และ y เปน จาํ นวนจรงิ ใด ๆ กรณที ่ี 1 x ≥ 0 และ y ≥ 0 จะได xy ≥ 0 จากบทนยิ ามของคาสมั บรู ณ จะได= x x=, y y และ xy = xy จะเห็นวา xy= x=y x y กรณีท่ี 2 x ≥ 0 และ y < 0 จะได xy ≤ 0 จากบทนิยามของคาสมั บูรณ จะได x = x, y = − y และ xy = −xy สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจริง 163 คูมอื ครรู ายวิชาเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 จะเห็นวา xy =− xy =x y กรณีท่ี 3 x < 0 และ y ≥ 0 จะได xy ≤ 0 จากบทนิยามของคาสัมบรู ณ จะได x =− x, y =y และ xy = −xy จะเหน็ วา xy =− xy =x y กรณีที่ 4 x < 0 และ y < 0 จะได xy > 0 จากบทนิยามของคา สมั บรู ณ จะได x =− x, y =− y และ xy = xy จะเห็นวา xy= x=y x y จากทั้งสี่กรณี จะไดวา xy = x y 3) ให x และ y เปน จาํ นวนจรงิ ใด ๆ ซึ่ง y ≠ 0 กรณีท่ี 1 x ≥ 0 และ y > 0 จะได x ≥ 0 y จากบทนยิ ามของคาสัมบรู ณ จะได= x x=, y y และ x = x yy จะเหน็ วา x= x= x yyy กรณีท่ี 2 x ≥ 0 และ y < 0 จะได x ≤ 0 y จากบทนยิ ามของคา สัมบูรณ จะได x = x, y = − y และ x = − x yy จะเหน็ วา x =− x =x y yy สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจรงิ 164 คูมอื ครูรายวิชาเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 กรณที ี่ 3 x < 0 และ y > 0 จะได x < 0 y จากบทนยิ ามของคา สัมบรู ณ จะได x =− x, y =y และ x = − x yy จะเห็นวา x =− x x = y yy กรณที ่ี 4 x < 0 และ y < 0 จะได x > 0 y จากบทนยิ ามของคาสัมบูรณ จะได x =− x, y =− y และ x = x yy จะเหน็ วา x= x= x yy y จากทั้งสกี่ รณี จะไดว า x = x yy 4) แสดงการพิสูจนด ังตวั อยา งที่ 37 5) ให x เปนจํานวนจริงใด ๆ กรณที ่ี 1 x ≥ 0 จากบทนยิ ามของคา สมั บูรณ จะได x = x ทําใหไ ดวา x 2 = x ⋅ x = x2 กรณที ่ี 2 x < 0 จากบทนิยามของคา สัมบรู ณ จะได x = − x ทําใหไ ดว า x 2 =(−x)(−x) =x2 จากท้งั สองกรณี จะไดว า x 2 = x2 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจริง 165 คูมอื ครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 6) ให x และ y เปน จาํ นวนจรงิ ใด ๆ กรณีท่ี 1 x ≥ 0 และ y ≥ 0 น่นั คอื x + y ≥ 0 จากบทนิยามของคาสมั บูรณ จะได x = x, y = y และ x + y =x + y จะเห็นวา x + y = x + y = x + y กรณที ี่ 2 x ≥ 0 และ y < 0 นัน่ คอื x + y ≥ 0 หรอื x + y < 0 - เมือ่ x + y ≥ 0 จากบทนยิ ามของคา สัมบูรณ จะได x = x, y = − y และ x + y =x + y จะเหน็ วา x + y =x + y แต x + y =x − y เนอ่ื งจาก x ≥ 0 และ y < 0 จะไดว า x + y < x − y น่นั คือ x + y < x + y - เมือ่ x + y < 0 จากบทนยิ ามของคาสัมบูรณ จะได x = x, y = − y และ x + y =−( x + y) =−x − y จะเห็นวา x + y =−x − y และ x + y =x − y เน่อื งจาก x ≥ 0, y < 0 จะไดวา −x − y < x − y น่นั คอื x + y < x + y กรณที ี่ 3 x < 0 และ y ≥ 0 น่นั คอื x + y ≥ 0 หรือ x + y < 0 - เมื่อ x + y ≥ 0 จากบทนิยามของคาสมั บรู ณ จะได x = − x, y = y และ x + y =x + y สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจริง 166 คมู อื ครรู ายวิชาเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 จะเหน็ วา x + y =x + y แต x + y =−x + y เนือ่ งจาก x < 0 และ y ≥ 0 จะไดว า x + y < −x + y นน่ั คือ x + y < x + y - เมือ่ x + y < 0 จากบทนิยามของคาสมั บูรณ จะได x = − x, y = y และ x + y =−( x + y) =−x − y จะเหน็ วา x + y =−x − y และ x + y =−x + y เนอื่ งจาก x < 0 และ y ≥ 0 จะไดวา −x − y < −x + y นัน่ คือ x + y < x + y กรณที ่ี 4 x < 0 และ y < 0 นน่ั คอื x + y < 0 จากบทนิยามของคา สมั บูรณ จะได x = − x, y = − y และ x + y =−( x + y) =−x − y จะเห็นวา x + y =−x − y =x + y จากทงั้ สีก่ รณี จะไดวา x + y ≤ x + y 3.7 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทและเฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจาํ บท ในสวนนี้จะนําเสนอตัวอยางแบบทดสอบประจําบทที่ 3 จํานวนจริง สําหรับรายวิชาเพิ่มเติม คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ซ่ึงครูสามารถเลือกนําไปใชไดตามจุดประสงค การเรยี นรูท่ีตองการวัดผลประเมินผล สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง 167 คูมือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 ตวั อยางแบบทดสอบประจาํ บท 1. จงพจิ ารณาวาจาํ นวนที่กําหนดให จาํ นวนใดบา งเปน จาํ นวนนบั จาํ นวนเต็ม จํานวนตรรกยะ หรือจํานวนอตรรกยะ a 3 1.01001000100001 −3 28 (−25) ⋅ 1 4 2 (−5) ( )π 2 5 1− 7 2.33444444444 49 2. จงยกตัวอยา งจาํ นวนอตรรกยะ a และ b ท่แี ตกตา งกัน ซง่ึ ทาํ ให 1) a − b เปน จาํ นวนตรรกยะ 2) a − b เปนจาํ นวนอตรรกยะ 3) ab เปนจํานวนตรรกยะ 4) ab เปนจาํ นวนอตรรกยะ 5) a เปน จาํ นวนตรรกยะ b 6) a เปน จาํ นวนอตรรกยะ b 3. จงระบุสมบตั ขิ องจาํ นวนจริงที่ใชในแตล ะขั้นตอนของบทพิสจู น a ⋅0 = a ⋅0 + 0 สาํ หรับทุกจํานวนจรงิ a พิสูจน ให a เปน จํานวนจริงใด ๆ จะไดวา a⋅0 = a⋅0+0 = a ⋅0 + ((a ⋅0) + (−a ⋅0)) = (a ⋅0 + a ⋅0) + (−a ⋅0) = a ⋅(0 + 0) + (−a ⋅0) = a ⋅0 + (−a ⋅0) =0 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจรงิ 168 คูมอื ครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 4. จงหาจํานวนจรงิ a ทท่ี าํ ใหเมอ่ื หารพหนุ าม x4 − ax +1 ดว ย x − 2 แลว ไดเศษเหลอื เทากับ 3 5. จงหาจํานวนจรงิ a และ b ทีท่ าํ ใหเมื่อหารพหนุ าม x3 + ax2 + bx −1 ดว ย x2 + x +1 แลวเหลือเศษ x + 2 6. จงแยกตวั ประกอบพหนุ ามตอ ไปน้ี 1) x3 − 4x2 − 3x +18 2) 2x4 + 5x3 − 2x2 + 4x + 3 7. จงหาจํานวนเต็ม k ทั้งหมดที่ทาํ ใหสมการ x3 − kx + 2 =0 มคี าํ ตอบท่ีเปน จาํ นวนตรรกยะ 8. จงหาเซตคาํ ตอบของสมการตอไปนี้ 1) x3 − 5x2 +12 =8x 2) x4 + x2 = 2x3 + 4 9. จงหาผลลพั ธใ นรปู ผลสาํ เรจ็ 1) 3x − 6 ÷ x2 − 2x x2 −1 x3 − 2x2 + 2x −1 2) ( x x x − 2) − ( x − 2 x − 3) ⋅ x x 4 − −1)( 1)( 10. จงหาจํานวนจริง a, b และ c ท่ีทาํ ให ( )x2 + bx +=c a + 2x −3 2x −1 x2 + 2 x2 + 2 (2x −1) 11. จงหาเซตคาํ ตอบของสมการ 3 + 1 =4 x −1 x2 − 3x + 2 x2 −1 12. จงพจิ ารณาวา ขอ ความตอไปนีเ้ ปน จริงหรอื เท็จ พรอ มทั้งพสิ ูจนหรือยกตวั อยางคาน 1) ให a, b, c และ d เปน จาํ นวนจริงใด ๆ โดยท่ี a < b และ c < d จะไดว า a − c < b − d 2) ให a, b, c และ d เปนจํานวนจรงิ ใด ๆ โดยที่ a < b และ c < d จะไดว า ac < bd 13. จงเขยี นกราฟของ ([−4,1) ∪[2, 6]) − ((−3, 3]∪[4, 5)) บนเสนจาํ นวน สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจรงิ 169 คมู ือครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 14. จงหาเซตคาํ ตอบของอสมการ (4x −1)2 x ( x +1)2 ( x − 3)3 ( x − 8) ≤0 ( x −1)( x − 2)( x − 5)4 15. จงหาเซตคําตอบของสมการตอ ไปน้ี 1) x + 2 =5 2) x2 − 4 =4 − x2 16. จงหาเซตคําตอบของอสมการตอ ไปน้ี 1) x2 − 5 ≥ 4 31− x −1 2) ≥1 x −1 +1 17. กระดาษแข็งรปู สเี่ หล่ยี มมุมฉากแผนหนง่ึ กวาง 3 ฟุต และยาว 4 ฟตุ เม่ือตัดมุมกระดาษท้ัง ส่ีเปนรูปส่ีเหล่ียมจัตุรัสที่ยาวดานละ x ฟุตออก จะสามารถประกอบเปนกลอง ทรงส่ีเหลี่ยมมุมฉากซึ่งไมมีฝาปดได ถากลองดังกลาวมีปริมาตร 2 ลูกบาศกฟุต จงหา คา ของ x 18. จงหาจํานวนจรงิ a ทง้ั หมดที่ทําใหส มการ x2 − ax − a + 3 =0 มคี ําตอบเปนจํานวนจรงิ 19. ปริศาตองการออกแบบกระเปาเดินทางทรงสี่เหล่ียมมุมฉากใหมีความกวาง ความยาว และ ความสูงรวมกันได 11 เดซิเมตร โดยมีความยาวเปนสองเทาของความกวาง ถาตองการให กระเปามปี รมิ าตรอยา งนอย 40 ลูกบาศกเดซิเมตรแลว กระเปาใบน้ีควรมีความกวางอยางนอย เทาไร เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท 1. พิจารณาจํานวนที่กําหนดให วาเปนจํานวนนับ จํานวนเต็ม จํานวนตรรกยะ หรือจํานวน อตรรกยะ ไดดังนี้ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจรงิ 170 คมู ือครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 จํานวนทก่ี ําหนดให จาํ นวนนบั จาํ นวนเตม็ จํานวนตรรกยะ จาํ นวนอตรรกยะ 3 - - - - 1.01001000100001 - - - −3 - 4 - - 28 - - - - - - - - 2 ( −25) ⋅ ( 1 −5) π 5 1− 7 2.33444444444 ( )2 49 2. ตัวอยา งคาํ ตอบ 1) a =1+ 2, b =2 2=) a 2=2, b 2 3=) a 2=2, b 2 4)=a =2, b 3 5=) a 2=2, b 2 6)=a =6, b 2 สมบัตกิ ารมีเอกลักษณข องการบวก 3. a ⋅ 0 = a ⋅ 0 + 0 = a ⋅0 + ((a ⋅0) + (−(a ⋅0))) สมบัตกิ ารมตี ัวผกผันของการบวก = (a ⋅0 + a ⋅0) + (−(a ⋅0)) สมบตั กิ ารเปล่ียนหมูของการบวก สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจรงิ 171 คูมือครรู ายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 = a ⋅(0 + 0) + (−(a ⋅0)) สมบตั กิ ารแจกแจง = a⋅0 + (−(a⋅0)) สมบัตกิ ารมเี อกลักษณข องการบวก = 0 สมบัติการมตี ัวผกผันของการบวก 4. ให p ( x) = x4 − ax +1 จากทฤษฎีบทเศษเหลือ เม่ือหาร p(x) ดว ย x − 2 จะไดเศษเหลือ คือ p(2) เน่อื งจาก เศษเหลือท่ีไดจ ากการหาร p(x) ดวย x − 2 คือ 3 น่นั คือ p(2) = 3 จะได 3 = 24 − 2a +1 2a = 14 a =7 ดังน้ัน a = 7 5. พิจารณาการหารยาวดังน้ี x + (a −1) x2 + x +1 x3 + ax2 + bx − 1 x3 + x2 + x (a −1)x2 + (b −1)x − 1 (a −1)x2 + (a −1)x + (a −1) (b − a)x − a จากการหารยาวจะไดว า เศษเหลอื จากการหาร x3 + ax2 + bx −1 ดวย x2 + x +1 คอื (b − a) x − a เนื่องจาก โจทยกําหนดวา เศษเหลือจากการหาร x3 + ax2 + bx −1 ดว ย x2 + x +1 คอื x + 2 จะไดว า (b − a) x − a = x + 2 น่นั คอื b − a =1 และ −a =2 b = −1 และ a = −2 สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง 172 คูมอื ครรู ายวิชาเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ดงั นน้ั a = −2 และ b = −1 6. 1) ให p ( x) = x3 − 4x2 − 3x +18 เน่อื งจากจาํ นวนเต็มทห่ี าร 18 ลงตวั คอื ±1, ± 2, ± 3, ± 6, ± 9, ±18 พจิ ารณา p(−2) p (−2) =(−2)3 − 4(−2)2 − 3(−2) +18 =0 จะเหน็ วา p(−2) =0 ดังนั้น x + 2 เปนตวั ประกอบของ x3 − 4x2 − 3x +18 นํา x + 2 ไปหาร x3 − 4x2 − 3x +18 ไดผลหารเปน x2 − 6x + 9 น่ันคอื ( )x3 − 4x2 − 3x +18 = ( x + 2) x2 − 6x + 9 = ( x + 2)( x − 3)2 ดงั นน้ั x3 − 4x2 − 3x +18 = ( x + 2)( x − 3)2 2) ให p ( x) = 2x4 + 5x3 − 2x2 + 4x + 3 เนือ่ งจากจํานวนเต็มทห่ี าร 3 ลงตวั คอื ±1, ± 3 และจํานวนเต็มทีห่ าร 2 ลงตวั คอื ±1, ± 2 พิจารณา p(−3) p (−3) = 2(−3)4 + 5(−3)3 − 2(−3)2 + 4(−3) + 3 = 0 จะเหน็ วา p(−3) =0 ดังนั้น x + 3 เปน ตัวประกอบของ 2x4 + 5x3 − 2x2 + 4x + 3 นาํ x + 3 ไปหาร 2x4 + 5x3 − 2x2 + 4x + 3 ไดผ ลหารเปน 2x3 − x2 + x +1 ดงั น้ัน 2x4 + 5x3 − 2x2 + 4x + 3 = ( x + 3)(2x3 − x2 + x +1) ให q ( x)= 2x3 − x2 + x +1 เนอ่ื งจากจํานวนเต็มท่หี าร 1 ลงตัว คอื ±1 และจํานวนเตม็ ทีห่ าร 2 ลงตวั คือ ±1, ± 2 พจิ ารณา q − 1 2 สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจรงิ 173 คมู อื ครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 q − 1 = 2 − 1 3 − − 1 2 + − 1 + 1= 0 2 2 2 2 จะเหน็ วา q − 1 =0 ดังน้ัน x + 1 เปนตวั ประกอบของ 2x3 − x2 + x +1 2 2 นาํ x + 1 ไปหาร 2x3 − x2 + x +1 ไดผลหารเปน 2x2 − 2x + 2 2 นน่ั คอื ( )2x4 + 5x3 − 2x2 + 4x + 3 = ( 3) 1 x + x + 2 2x2 − 2x + 2 = ( x + 3) x + 1 ⋅ 2( x2 − x + 1) 2 = ( x + 3)(2x +1)( x2 − x +1) ดังนัน้ 2x4 + 5x3 − 2x2 + 4x + 3 = ( x + 3)(2x +1)( x2 − x +1) 7. ให p ( x) = x3 − kx + 2 เนื่องจากจํานวนเต็มท่ีหาร 2 ลงตัว คือ ±1, ± 2 ถา x +1 เปนตัวประกอบของ x3 − kx + 2 นนั่ คอื p(−1) =0 จะได (−1)3 − k (−1) + 2 = 0 ดงั น้ัน k = −1 ถา x −1 เปน ตัวประกอบของ x3 − kx + 2 นน่ั คือ p(1) = 0 จะได 13 − k (1) + 2 = 0 ดงั นน้ั k = 3 ถา x + 2 เปนตัวประกอบของ x3 − kx + 2 นน่ั คือ p(−2) =0 จะได (−2)3 − k (−2) + 2 = 0 ดังนน้ั k = 3 ถา x − 2 เปนตวั ประกอบของ x3 − kx + 2 นนั่ คือ p(2) = 0 จะได 23 − k (2) + 2 = 0 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจริง 174 คูมอื ครรู ายวิชาเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 ดังนน้ั k = 5 จะได จาํ นวนเต็ม k ที่เปนไปไดท้งั หมด คือ −1, 3 หรือ 5 8. 1) จาก x3 − 5x2 +12 =8x จัดรปู สมการใหมไดเปน x3 − 5x2 − 8x +12 =0 เนอื่ งจาก x3 − 5x2 − 8x +12 = ( x −1)( x2 − 4x −12) = ( x −1)( x + 2)( x − 6) จะได ( x −1)( x + 2)( x − 6) =0 ดังน้ัน x −1 =0 หรอื x + 2 =0 หรือ x − 6 =0 จะได x = 1 หรือ x = − 2 หรือ x = 6 ดังนน้ั เซตคําตอบของสมการ คือ { − 2, 1, 6} 2) จาก x4 + x2 = 2x3 + 4 จัดรปู สมการใหมไดเปน x4 − 2x3 + x2 − 4 =0 เนอ่ื งจาก x4 − 2x3 + x2 − 4 = ( x − 2)( x +1)( x2 − x + 2) จะได ( x − 2)( x +1)( x2 − x + 2) =0 ดงั นน้ั x − 2 =0 หรือ x +1 =0 หรือ x2 − x + 2 =0 ถา x − 2 =0 จะได x = 2 ถา x +1 =0 จะได x = −1 ถา x2 − x + 2 =0 และเนอื่ งจาก (−1)2 − 4(1)(2) =− 7 จะไดว า ไมมีจาํ นวนจริงทเี่ ปน คาํ ตอบของสมการนี้ ดงั นัน้ เซตคําตอบของสมการ คือ {−1, 2} สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 510
Pages: