คมู อื ครรู ายวิชาเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 275 เนอื่ งจาก ∃x P(x) เมื่อ U เปน เซตของสับเซตของเซตอนันต สมมลู กับ ∀x P(x) เมอ่ื U เปน เซตของสบั เซตของเซตอนนั ต จะไดวา ขอความ “ไมจ ริงที่วามสี บั เซตของเซตอนนั ตเ ปนเซตจาํ กัด” สมมูลกับ ขอ ความ “สับเซตของเซตอนันตเ ปนเซตอนนั ต” ดังนน้ั ขอ ความทีก่ าํ หนดใหส มมลู กบั ขอความในขอ (ข) 2. 1) นิเสธของ ∃x[x + 2 ≤ 0] เขียนแทนดว ย 0 ∃x[x + 2 ≤ 0] ซงึ่ สมมูลกับ ∀x[x + 2 > 0] ดังน้ัน นเิ สธของ ∃x[x + 2 ≤ 0] คอื ∀x[x + 2 > 0] 2) นิเสธของ ∀x[x ≠ 0] → ∃x[x > 0] เขียนแทนดว ย 0 (∀x[x ≠ 0] → ∃x[x > 0]) ซง่ึ สมมลู กบั 0(0 ∀x[x ≠ 0] ∨ ∃x[x > 0]) และสมมูลกบั ∀x[x ≠ 0] ∧ ∀x[x ≤ 0] ดังนน้ั นิเสธของ ∀x[x ≠ 0] → ∃x[x > 0] คอื ∀x[x ≠ 0] ∧ ∀x[x ≤ 0] 3) นิเสธของ ∀x x2 < 0 → x < 0 เขียนแทนดวย 0 ∀x x2 < 0 → x < 0 ซงึ่ สมมูลกบั (0∀x0 x2 < 0) ∨ x < 0 และสมมลู กับ ∃x x2 < 0 ∧ x ≥ 0 ดงั นน้ั นเิ สธของ ∀x x2 < 0 → x < 0 คอื ∃x x2 < 0 ∧ x ≥ 0 4) นเิ สธของ ∃x x > 2 ∨ ( x +1≥1) เขยี นแทนดว ย ∃x x > 2 ∨ ( x +1≥1) ซงึ่ สมมลู กับ ∀x[x ≤ 2 ∧ x +1≥1] ดงั นั้น นเิ สธของ ∃x x > 2 ∨ ( x +1≥1) คือ ∀x[x ≤ 2 ∧ x +1≥1] 5) นิเสธของ ∃x P( x) ∧ Q( x) เขียนแทนดวย ∃x P( x) ∧ Q( x) ซ่ึงสมมลู กับ ∀x P( x) ∨Q( x) ดังนนั้ นิเสธของ ∃x P( x) ∧ Q( x) คือ ∀x P( x) ∨Q( x) 6) ให P(x) แทน “ x เปน จํานวนจรงิ ” ขอ ความทก่ี ําหนดแทนดวยสัญลักษณ ∀x P(x), U = สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
276 คมู ือครูรายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 โดยท่นี เิ สธของ ∀x P( x), U = เขยี นแทนดว ย ∀x P( x), U = ซึ่งสมมูลกับ ∃x P( x), U = ดังน้นั นิเสธของขอความ “จาํ นวนตรรกยะทุกจํานวนเปน จํานวนจริง” คอื “มจี ํานวนตรรกยะบางจํานวนท่ไี มเ ปน จาํ นวนจรงิ ” 7) ให P(x) แทน x เปน จาํ นวนจรงิ ขอ ความทกี่ ําหนดแทนดวยสัญลกั ษณ ∃x P(x), U = โดยท่ีนเิ สธของ ∃x P( x), U = เขยี นแทนดว ย ∃x P( x), U = ซง่ึ สมมลู กับ ∀x P( x), U = ดงั นน้ั นิเสธของขอความ “จํานวนเตม็ บางจํานวนเปน จํานวนจริง” คอื “จํานวนเตม็ ทกุ จาํ นวนไมเปนจํานวนจรงิ ” 8) ให P( x) แทน x ≤ 0 Q( x) แทน x2 ≠ 0 ขอ ความทกี่ าํ หนดแทนดว ยสัญลกั ษณ ∃x P( x) ∧ ∃x Q( x) โดยท่นี เิ สธของ ∃x P( x) ∧ ∃x Q( x) เขียนแทนดว ย (∃x P( x) ∧ ∃x Q( x)) ซ่งึ สมมูลกบั ∃x P( x) ∨ ∃x Q( x) แสะสมมลู กบั ∀x P( x) ∨ ∀x Q( x) ดงั น้นั นเิ สธของขอความ “จํานวนจรงิ บางจํานวนนอยกวา หรอื เทา กับศนู ย และ มีจํานวนจริงบางจํานวน เมอ่ื ยกกาํ ลงั สองแลวไมเ ทา กับศูนย” คือ “จาํ นวนจริง ทกุ จํานวนมากกวา ศูนย หรอื จาํ นวนจรงิ ทกุ จาํ นวนเมื่อยกกําลงั สองแลว เทา กับศนู ย” สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 277 แบบฝก หัดทา ยบท 1. 1) ไมเ ปนประพจน 2) เปนประพจน ที่มีคาความจรงิ เปน จรงิ 3) เปนประพจน ท่มี คี าความจรงิ เปนจริง 4) เปน ประพจน ทมี่ คี า ความจริงเปนเทจ็ 5) ไมเ ปน ประพจน 6) เปนประพจน ทมี่ คี าความจริงเปนเท็จ 7) ไมเ ปนประพจน 8) ไมเปน ประพจน 9) เปน ประพจน ท่มี คี า ความจรงิ เปน จริง 10) เปนประพจน ท่ีมคี า ความจริงเปนจริง 2. 1) นิเสธของประพจน −20 + 5 > −17 คือ −20 + 5 ≤ −17 มีคา ความจรงิ เปน เท็จ 2) นเิ สธของประพจน 37 ไมเปน จํานวนเฉพาะ คือ 37 เปนจํานวนเฉพาะ มคี า ความจรงิ เปนจริง 3) นเิ สธของประพจน 2 ∈ คอื 2 ∉ มคี าความจริงเปนจรงิ 4) นเิ สธของประพจน ⊂ คอื ⊄ มีคาความจรงิ เปน เทจ็ 3. ตัวอยางคําตอบ • π ไมเ ปน จาํ นวนตรรกยะ • นดิ าและนัดดาเปนนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที่ 4 • รปู สี่เหล่ยี มอาจเปน รปู สเ่ี หลีย่ มมุมฉากหรือรปู สี่เหลยี่ มดานขนานก็ได • ถา นํ้ามนั ดบิ ในตลาดโลกมีราคาสูงขน้ึ แลว รัฐบาลไทยจะตรงึ ราคาขายปลีกน้ํามนั ไว กอ นเพอ่ื ไมใหประชาชนตองเดอื ดรอ น • รูปสามเหล่ยี ม ABC เปนรปู สามเหล่ียมดา นเทา กต็ อเม่ือรปู สามเหลยี่ ม ABC มีดา นยาวเทากนั ทุกดาน 4. 1) วิธีที่ 1 จาก p เปน จรงิ และ q เปนจรงิ จะได p ∧ q เปนจรงิ จาก p ∧ q เปนจรงิ และ r เปนเทจ็ จะได ( p ∧ q) ∨ r เปนจรงิ สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
278 คมู ือครูรายวิชาเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 ดงั นั้น ( p ∧ q) ∨ r มคี าความจรงิ เปน จริง วธิ ที ่ี 2 กาํ หนดให T แทนจรงิ และ F แทนเท็จ ดังนน้ั ( p ∧ q) ∨ r มคี าความจรงิ เปนจริง 2) วธิ ีที่ 1 จาก q เปน จรงิ จะได q เปน เทจ็ จาก q เปนเทจ็ และ r เปนเทจ็ จะได q ∨ r เปนเท็จ จาก q ∨ r เปนเทจ็ และ p เปน จรงิ จะได ( q ∨ r) ∧ p เปนเทจ็ ดังนั้น ( q ∨ r) ∧ p มีคาความจรงิ เปนเท็จ วธิ ที ี่ 2 กําหนดให T แทนจรงิ และ F แทนเทจ็ ดงั นนั้ ( q ∨ r) ∧ p มีคาความจริงเปนเท็จ 3) วธิ ที ่ี 1 จาก p เปน จริง จะได p เปน เท็จ และจาก r เปนเทจ็ จะได r ↔ p เปนจริง ดังนัน้ r ↔ p มีคาความจรงิ เปน จริง วิธีที่ 2 กาํ หนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 279 ดงั นั้น r ↔ p มีคาความจรงิ เปน จริง 4) วิธีที่ 1 จาก p เปนจรงิ จะได p เปนเท็จ จาก r เปนเท็จ จะได r เปนจริง จะได p∨ r เปน จริง ดงั นั้น p∨ r มคี า ความจริงเปน จริง วิธที ี่ 2 กาํ หนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ ดังนนั้ p∨ r มีคาความจริงเปนจริง 5) วิธที ่ี 1 จาก p เปน จรงิ และ q เปนจรงิ จะได p ∧ q เปน จริง จาก q เปน จริง และ r เปน เทจ็ จะได q ∧ r เปนเทจ็ จาก p ∧ q เปน จรงิ และ q ∧ r เปน เทจ็ จะได ( p ∧ q) → (q ∧ r) เปน เท็จ ดังนัน้ ( p ∧ q) → (q ∧ r) มีคาความจรงิ เปน เท็จ วธิ ที ี่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
280 คมู ือครรู ายวชิ าเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 ดังน้ัน ( p ∧ q) → (q ∧ r) มีคา ความจรงิ เปนเท็จ 5. 1) ให p แทนประพจน “4 เปนจาํ นวนเฉพาะ” และ q แทนประพจน “4 เปน จํานวนคี่” ดงั นั้น ขอ ความ “ถา 4 เปนจํานวนเฉพาะ แลว 4 เปน จาํ นวนค”่ี แทนดวย p → q จาก p เปน เทจ็ จะได p → q เปน จริง ดังนน้ั ขอ ความ “ถา 4 เปน จาํ นวนเฉพาะ แลว 4 เปนจาํ นวนค”่ี มีคาความจริงเปนจริง 2) ให p แทนประพจน “ 3 ≥ 2 ” และ q แทนประพจน “ −2 ≥ −3 ” ดังนน้ั ขอ ความ “ 3 ≥ 2 และ −2 ≥ −3 ” แทนดวย p ∧ q จาก p เปน จริง และ q เปน จรงิ จะได p ∧ q เปน จริง ดังน้ัน ขอ ความ “ 3 ≥ 2 และ −2 ≥ −3” มคี าความจรงิ เปน จรงิ 3) ให p แทนประพจน “100 กิโลกรมั เทากับ 1 ตนั ” และ q แทนประพจน “10 ขีด เทากบั 1 กิโลกรมั ” ดงั นัน้ ขอ ความ “100 กโิ ลกรมั เทากับ 1 ตนั หรือ 10 ขีด เทากบั 1 กิโลกรัม” แทนดวย p ∨ q จาก q เปนจริง จะได p ∨ q เปน จรงิ ดังนน้ั ขอความ “100 กิโลกรมั เทากบั 1 ตนั หรอื 10 ขดี เทา กบั 1 กโิ ลกรมั ” มีคา ความจริงเปนจริง สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 281 4) ให p แทนประพจน “{x∈} | 3 < x < 4} เปนเซตวา ง” และ q แทนประพจน “{x∈} | x2 =1} ไมเ ปน เซตวา ง” ดงั นั้น ขอความ “{x∈} | 3 < x < 4} เปนเซตวาง หรอื {x∈} | x2 =1} ไมเปน เซตวา ง” แทนดว ย p ∨ q จาก p เปนจรงิ จะได p ∨ q เปนจรงิ ดังน้ัน ขอความ “{x∈} | 3 < x < 4} เปน เซตวา ง หรอื {x∈} | x2 =1} ไมเปน เซตวา ง” มคี าความจริงเปนจรงิ 5) ให p แทนประพจน “ A ∪ A =A ” และ q แทนประพจน “ A − ∅ =U ” ดังนัน้ ขอความ “ A ∪ A =A และ A − ∅ =U ” แทนดวย p ∧ q จาก q เปน เทจ็ จะได p ∧ q เปน เทจ็ ดังนน้ั ขอความ “ A ∪ A =A และ A − ∅ =U ” มคี าความจรงิ เปน เท็จ 6) ให p แทนประพจน “เตา เปนสตั วเ ลอ้ื ยคลาน” และ q แทนประพจน “จระเขเ ปน สตั วเ ลื้อยคลาน” ดงั นัน้ ขอความ “เตาและจระเขเ ปน สตั วเ ลือ้ ยคลาน” แทนดว ย p ∧ q จาก p เปนจรงิ และ q เปน จริง จะได p ∧ q เปนจริง ดังนั้น ขอ ความ “เตา และจระเขเ ปน สัตวเ ล้ือยคลาน” มคี าความจรงิ เปนจรงิ 7) ให p แทนประพจน “ −1 เปนจาํ นวนนับ” และ q แทนประพจน “ 1 เปนจํานวนเต็ม” 3 ดังนน้ั ขอ ความ “ −1 เปนจาํ นวนนบั และ 1 เปนจํานวนเต็ม” แทนดวย p ∧ q 3 จาก p เปน เทจ็ จะได p ∧ q เปน เท็จ สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
282 คมู ือครูรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ดงั นน้ั ขอ ความ “ −1 เปน จาํ นวนนบั และ 1 เปนจาํ นวนเต็ม” มคี าความจริงเปนเท็จ 3 8) ให p แทนประพจน “ผลคูณของ 4 กับ −4 นอ ยกวา −12 ” และ q แทนประพจน “ −12 ไมเทา กบั 4 ลบดวย 16 ” ดังนั้น ขอความ “ผลคูณของ 4 กับ −4 นอยกวา −12 หรอื −12 ไมเ ทา กับ 4 ลบดวย 16 ” แทนดวย p ∨ q จาก p เปนจรงิ จะได p ∨ q เปน จรงิ ดงั นัน้ ขอความ “ผลคูณของ 4 กบั −4 นอ ยกวา −12 หรือ −12 ไมเ ทากับ 4 ลบดวย 16 ” มคี า ความจริงเปน จรงิ 9) ให p แทนประพจน “จงั หวดั อบุ ลราชธานอี ยูในภาคใตของประเทศไทย” และ q แทนประพจน “จงั หวดั อุดรธานีอยูใ นภาคเหนือของประเทศไทย” ดงั นั้น ขอ ความ “ถา จังหวดั อุบลราชธานไี มอ ยูในภาคใตข องประเทศไทย แลว จงั หวดั อดุ รธานีอยใู นภาคเหนอื ของประเทศไทย” แทนดว ย p → q จาก p เปนเท็จ จะได p เปนจริง และจาก q เปน เทจ็ จะได p → q เปน เทจ็ ดังนัน้ ขอ ความ “ถา จงั หวัดอุบลราชธานีไมอยใู นภาคใตของประเทศไทย แลวจังหวัด อดุ รธานอี ยูใ นภาคเหนอื ของประเทศไทย” มีคา ความจรงิ เปนเท็จ 10) ให p แทนประพจน “ 5 เปนจาํ นวนตรรกยะ” q แทนประพจน “ 5 เปนจํานวนตรรกยะ” และ r แทนประพจน “ 25 ไมเ ปน จาํ นวนอตรรกยะ” ดงั นั้น ขอ ความ “ถา 5 และ 5 เปน จาํ นวนตรรกยะ แลว 25 ไมเ ปนจํานวน อตรรกยะ” แทนดว ย ( p ∧ q) → r จาก q เปน เทจ็ จะได p ∧ q เปน เท็จ จะได ( p ∧ q) → r เปนจริง สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 283 ดังนัน้ ขอ ความ “ถา 5 และ 5 เปน จาํ นวนตรรกยะ แลว 25 ไมเ ปน จาํ นวนอตรรกยะ” มีคา ความจริงเปนจริง 11) ให p แทนประพจน “ขนาดของมุมภายในทงั้ สามมุมของรูปสามเหล่ียม รวมกันเทากบั 180 องศา” และ q แทนประพจน “มมุ ฉากคอื มมุ ท่ีมีขนาดเทา กับ 180 องศา” ดังนน้ั ขอความ “ขนาดของมุมภายในทง้ั สามมุมของรูปสามเหลี่ยมรวมกัน เทากบั 180 องศา ก็ตอเมื่อ มุมฉากคอื มุมที่มีขนาดเทากับ 180 องศา” แทนดวย p ↔ q จาก p เปนจริง และ q เปนเทจ็ จะได p ↔ q เปนเท็จ ดงั นั้น ขอความ “ขนาดของมุมภายในทัง้ สามมุมของรูปสามเหลย่ี มรวมกนั เทากบั 180 องศา กต็ อเมื่อ มุมฉากคือมมุ ที่มีขนาดเทากับ 180 องศา” มคี า ความจริงเปน เท็จ 12) ให p แทนประพจน “ 6 เปน จาํ นวนคู” q แทนประพจน “3 เปนจาํ นวนเฉพาะ” และ r แทนประพจน “9 เปนจํานวนเฉพาะ” ดงั นน้ั ขอความ “ 6 เปน จํานวนคู ก็ตอ เม่อื 3 หรอื 9 เปน จาํ นวนเฉพาะ” แทนดว ย p ↔ (q ∨ r) จาก q เปนจรงิ จะได q ∨ r เปน จรงิ และจาก p เปน จริง จะได p ↔ (q ∨ r) เปนจรงิ ดังนั้น ขอ ความ “ 6 เปน จํานวนคู กต็ อเมอื่ 3 หรือ 9 เปนจาํ นวนเฉพาะ” มคี า ความจริงเปนจริง สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
284 คูมอื ครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 6. 1) จาก p → q มีคา ความจริงเปนเท็จ จะได p เปนจริง และ q เปน เทจ็ หาคาความจรงิ ของ ( p ∨ q) ↔ ( p ∨ q) วิธที ่ี 1 จาก p เปนจริง และ q เปน เท็จ จะได p ∨ q เปน เท็จ และ p ∨ q เปน จรงิ จาก p ∨ q เปนเทจ็ และ p ∨ q เปนจริง จะได ( p ∨ q) ↔ ( p ∨ q) เปนเทจ็ ดังนนั้ ( p ∨ q) ↔ ( p ∨ q) มีคาความจรงิ เปนเท็จ วธิ ีที่ 2 กําหนดให T แทนจรงิ และ F แทนเท็จ ดังนน้ั ( p ∨ q) ↔ ( p ∨ q) มีคาความจริงเปนเท็จ 2) วิธที ่ี 1 จาก p ∨ ( q) ∨ ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ q) ∨ ( p ∧ q) มีคา ความจริง เปนจริง จะได p ∨ ( q) ∨ ( p ∨ q) มีคา ความจริงเปนจริง และ ( p ∨ q) ∨ ( p ∧ q) มคี าความจริงเปน จริง จาก ( p ∧ q) มคี าความจรงิ เปนเท็จ และ ( p ∨ q) ∨ ( p ∧ q) มคี าความจรงิ เปน จริง จะได ( p ∨ q) มีคา ความจรงิ เปน จริง น่นั คือ ( p ∨ q) มคี าความจริงเปน เทจ็ จะได p เปนเทจ็ และ q เปน เท็จ ซึ่งทําให p ∨ ( q) ∨ ( p ∨ q) มีคาความจริงเปน จรงิ ตามที่กําหนดไว สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 285 ดังน้นั p เปน เท็จ และ q เปน เทจ็ วิธีที่ 2 กาํ หนดให T แทนจริง และ F แทนเทจ็ ดงั น้นั p เปนเท็จ และ q เปนเทจ็ 3) วิธที ่ี 1 จาก p ∧ ( q → r) → ( s ∨ r) มีคาความจริงเปนเท็จ จะได p ∧ ( q → r) มีคา ความจรงิ เปน จริง และ s ∨ r มคี า ความจริงเปน เท็จ จาก s ∨ r มคี า ความจริงเปนเท็จ จะได s เปน จริง และ r เปน เท็จ จาก p ∧ ( q → r) มคี า ความจริงเปนจริง จะได p เปนจรงิ และ q → r เปนจริง จาก q → r เปน จรงิ และ r เปนเทจ็ จะได q เปนจริง ดงั นัน้ p เปน จริง q เปนจรงิ r เปน เทจ็ และ s เปนจรงิ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
286 คูม อื ครรู ายวชิ าเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 วิธที ี่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเทจ็ ดังน้ัน p เปน จรงิ q เปน จรงิ r เปน เทจ็ และ s เปนจริง 7. 1) วธิ ที ่ี 1 สรางตารางคา ความจรงิ ของ p → ( q ∧ r) กับ ( p → q) ∨ ( p → r) ไดดงั นี้ p q r q q ∧ r p → q p →r p →( q ∧ r) ( p → q)∨( p → r) TTT F FF TF T TTF TFT F FF FF F TFF FTT T TT TT T FTF FFT T FT FF T FFF F FT TT T F FT TT T T TT TT T T FT TT T จะเหน็ วาคา ความจริงของ p → ( q ∧ r) กบั ( p → q) ∨ ( p → r) มบี างกรณที ีต่ างกัน สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 287 ดังน้ัน p → ( q ∧ r) ไมส มมลู กบั ( p → q) ∨ ( p → r) วธิ ที ่ี 2 ( p → q) ∨ ( p → r ) ≡ ( p ∨ q) ∨ ( p ∨ r) ≡ ( p∨ p) ∨ ( q ∨ r) ≡ p ∨ ( q ∨ r) * ≡ p →( q∨ r) ซ่งึ p → ( q ∨ r) ≡/ p → ( q ∧ r) ดังนั้น p → ( q ∧ r) ไมสมมลู กบั ( p → q) ∨ ( p → r) 2) วิธที ี่ 1 สรางตารางคาความจรงิ ของ ( p ∨ q) ∧ r กบั ( p ∨ r) ∧ (q ∨ r) ไดด ังนี้ p q r p ∨ q p ∨ r q∨ r ( p∨ q)∧ r ( p ∨ r)∧(q ∨ r) TTT T T T T T TTF T T T F T TFT T T T T T TFF T TF F F FTT T T T T T FTF T FT F F FFT F T T F T FFF F FF F F วธิ ที ่ี 2 จะเหน็ วา คา ความจรงิ ของ ( p ∨ q) ∧ r กับ ( p ∨ r) ∧ (q ∨ r) มบี างกรณีที่ตา งกนั ดังนนั้ ( p ∨ q) ∧ r ไมสมมูลกบั ( p ∨ r) ∧ (q ∨ r) จาก ( p ∨ r ) ∧ (q ∨ r ) ≡ ( p ∧ q) ∨ r ซง่ึ ( p ∧ q) ∨ r ≡ ( p ∨ q) ∧ r * เมอ่ื p เปน ประพจนใ ด ๆ จะไดวา p∨ p ≡ p สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
288 คูมือครรู ายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 ดังนน้ั ( p ∨ q) ∧ r ไมส มมูลกับ ( p ∨ r) ∧ (q ∨ r) 3) วิธีที่ 1 สรางตารางคา ความจริงของ ( p → q) → r กับ ( p ∧ q ∧ r) ไดด ังนี้ p q r p → q ( p → q) p ∧ q ∧ r ( p → q) → r ( p ∧ q ∧ r) TTT T F T TF TTF T F F TT TFT F T F TT TFF F T F FT FTT T F F TT FTF T F F TT FFT T F F TT FFF T F F TT จะเหน็ วา คา ความจรงิ ของ ( p → q) → r กับ ( p ∧ q ∧ r) มบี างกรณที ี่ตา งกนั ดงั นัน้ ( p → q) → r ไมส มมูลกับ ( p ∧ q ∧ r) วิธีที่ 2 จาก ( p → q) → r ≡ ( p → q) ∨ r ≡ ( p∨ q)∨ r ≡ p∨q∨r ≡ ( p∧ q∧ r) ซึ่ง ( p∧ q∧ r ) ≡/ ( p ∧ q ∧ r ) ดังนน้ั ( p → q) → r ไมสมมูลกับ ( p ∧ q ∧ r) สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูม อื ครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 289 4) วธิ ีท่ี 1 สรา งตารางคา ความจรงิ ของ p ↔ q และ ( p → q) ∧ (q → p) ไดดังนี้ p q p p → q q → p ( p → q) ∧ (q → p) p ↔ q ( p → q) ∧ (q → p) TT F T T T FF TF F F T F TT FT T T F F TT FF T T T T FF วิธีที่ 2 จะเหน็ วา คา ความจริงของ p ↔ q กับ ( p → q) ∧ (q → p) เหมือนกนั ทกุ กรณี ดงั นนั้ p ↔ q สมมูลกบั ( p → q) ∧ (q → p) จาก p ↔ q ≡ ( p → q) ∧ (q → p) ≡ ( p∨ q)∧( q ∨ p) ≡ ( p ∨ q) ∧ q ∨ ( p ∨ q) ∧ p ≡ ( p∧ q)∨ (q∧ q)∨ ( p∧ p)∨ (q∧ p) ≡ ( p∧ q) ∨ (q∧ p) ** ≡ ( p∨ q)∨ ( q∨ p) ≡ ( p → q)∨ (q → p) ≡ ( p → q) ∧ (q → p) ดงั น้ัน p ↔ q สมมลู กับ ( p → q) ∧ (q → p) 8. 1) ให p แทน “ 8 ไมนอยกวา 7 ” q แทน “8 เปน จํานวนคู” ** เมอื่ p เปน ประพจนใด ๆ จะไดว า p∧ p ≡ F และ p ∨ F ≡ p สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
290 คมู ือครรู ายวชิ าเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 จะได p → q แทน “ถา 8 ไมนอยกวา 7 แลว 8 เปนจาํ นวนคู” แนวทางการตอบ เน่ืองจาก p → q สมมลู กบั p ∨ q ดังนน้ั “ถา 8 ไมนอ ยกวา 7 แลว 8 เปนจาํ นวนคู” สมมลู กบั “8 นอ ยกวา 7 หรือ 8 เปนจาํ นวนคู” 2) ให p แทน “ 12 ∉ ” 5 q แทน “ 5 ไมเปน ตวั ประกอบของ 12 ” จะได p ↔ q แทน “ 12 ∉ ก็ตอเมื่อ 5 ไมเ ปนตวั ประกอบของ 12 ” 5 แนวทางการตอบที่ 1 เน่ืองจาก p ↔ q สมมูลกับ ( p → q) ∧ (q → p) ดงั น้ัน “ 12 ∉ กต็ อ เมื่อ 5 ไมเ ปนตวั ประกอบของ 12 ” สมมลู กบั 5 “ถา 12 ∉ แลว 5 ไมเ ปนตัวประกอบของ 12 และ ถา 5 ไมเ ปนตวั ประกอบ 5 ของ 12 แลว 12 ∉ ” 5 แนวทางการตอบท่ี 2 เน่อื งจาก p ↔ q สมมลู กับ q ↔ p ดังนั้น “12 ∉ กต็ อ เม่ือ 5 ไมเปน ตวั ประกอบของ 12 ” สมมูลกบั 5 “ 5 ไมเ ปนตัวประกอบของ 12 ก็ตอ เมอ่ื 12 ∉ ” 5 3) ให p แทน “ไกเปนสัตวปก” q แทน “เปดเปน สตั วป ก” r แทน “นกเปนสัตวปก ” สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 291 จะได ( p ∧ q) ∨ (r ∧ p) แทน “ไกและเปดเปน สัตวปก หรอื นกและไกเปนสัตวป ก” แนวทางการตอบ เน่อื งจาก ( p ∧ q) ∨ (r ∧ p) สมมูลกบั p ∧ (q ∨ r) ดังน้นั “ไกแ ละเปดเปน สตั วป ก หรอื นกและไกเ ปน สตั วปก ” สมมลู กบั “ไกเปนสัตวป ก และ เปดหรอื นกเปน สัตวป ก ” 4) ให p แทน “พอ ของแหนมมีเลือดหมู O ” q แทน “แมข องแหนมมเี ลอื ดหมู O ” r แทน “แหนมมเี ลือดหมู O ” จะได ( p ∧ q) → r แทน “ถา พอและแมข องแหนมมีเลอื ดหมู O แลวแหนมมเี ลอื ด หมู O ” แนวทางการตอบ เนื่องจาก ( p ∧ q) → r สมมลู กับ p∨ q ∨ r ดังนน้ั “ถา พอและแมข องแหนมมีเลือดหมู O แลว แหนมมีเลือดหมู O ” สมมูลกับ “พอหรอื แมข องแหนมไมมีเลอื ดหมู O หรอื แหนมมีเลอื ดหมู O ” 9. 1) สรางตารางคา ความจริงของ p → q กบั q → p ไดด งั น้ี p q p→q q→ p TT T T TF F T FT T F FF T T จะเหน็ วามคี าความจริงของ p → q บางกรณีท่ตี รงกับคาความจริงของ q → p ดังนน้ั p → q กบั q → p ไมเ ปนนิเสธกนั สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
292 คมู อื ครูรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 2) สรางตารางคา ความจรงิ ของ p ↔ q กับ p ↔ q ไดด งั นี้ p q p q p↔q p↔q T TF F T T T FF T F F F TT F F F F FT T T T จะเห็นวาคาความจริงของ p ↔ q ตรงกับคาความจรงิ ของ p ↔ q ทุกกรณี น่ันคือ p ↔ q สมมูลกับ p ↔ q ดงั นน้ั p ↔ q กบั p ↔ q ไมเปน นิเสธกัน 3) วิธีที่ 1 สรา งตารางคาความจรงิ ของ p → (q → r) กบั p ∧ q∧ r ไดดงั น้ี p q r q → r r p → (q → r) p ∧ q∧ r TTT T F T F TTF F T F T TFT T F T F TFF T T T F FTT T F T F FTF F T T F FFT T F T F FFF T T T F จะเห็นวา คาความจริงของ p → (q → r) ตรงขามกับคาความจรงิ ของ p ∧ q∧ r ทุกกรณี ดังนนั้ p → (q → r) กบั p ∧ q∧ r เปน นเิ สธกัน สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 293 วิธีท่ี 2 เนอ่ื งจาก p → (q → r) เปน นเิ สธของ p → (q → r) และ p → (q → r ) ≡ p ∨ (q → r ) ≡ p ∨ ( q ∨ r ) ≡ p∧ ( q ∨ r) ≡ p ∧ q∧ r จะได p → (q → r) เปนนเิ สธของ p ∧ q∧ r ดังน้นั p → (q → r) กบั p ∧ q∧ r เปนนิเสธกัน 4) วธิ ที ี่ 1 สรา งตารางคาความจริงของ ( p → q) → r กับ ( p∧ r) ∨ (q∧ r) ไดด ังน้ี p q r p r p → q p∧ r q∧ r ( p → q) → r ( p∧ r) ∨ (q∧ r) T TTF F T FF T F T TFF T T FT F T T FTF F F FF T F T FFF T F FF T F FTTT F T FF T F FTFT T T TT F T FFTT F T FF T F FFFT T T TF F T จะเหน็ วา คาความจริงของ ( p → q) → r ตรงขามกับคา ความจริง ของ ( p∧ r) ∨ (q∧ r) ทกุ กรณี ดังนั้น p → (q → r) กับ ( p∧ r) ∨ (q∧ r) เปนนิเสธกนั สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
294 คูม อื ครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 วิธที ี่ 2 เน่ืองจาก ( p → q) → r เปนนเิ สธของ ( p → q) → r และ ( p → q) → r ≡ ( p → q) ∨ r ≡ ( p → q)∧ r ≡ ( p∨ q)∧ r ≡ ( p∧ r) ∨ (q∧ r) จะได ( p → q) → r เปนนเิ สธของ ( p∧ r) ∨ (q∧ r) ดังน้นั p → (q → r) กับ ( p∧ r) ∨ (q∧ r) เปน นิเสธกนั 5) สรา งตารางคา ความจรงิ ของ p → (q ∨ r) กับ (q ∨ r) → p ไดดังน้ี p q r p q ∨ r p → (q ∨ r) (q ∨ r) → p T T TF T T F T T FF T T F T F TF T T F T F FF F F T F T TT TT T F T FT TT T F F TT TT T F F FT F T T จะเหน็ วามคี า ความจริงของ p → (q ∨ r) บางกรณีท่ีตรงกับคา ความจริงของ (q ∨ r) → p ดังนนั้ p → (q ∨ r) กบั (q ∨ r) → p ไมเปน นเิ สธกัน สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวชิ าเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 295 6) วิธที ี่ 1 สรา งตารางคาความจรงิ ของ q ∧ (r∧ s) กับ q → (r → s) ไดดงั นี้ q r s s r∧ s r → s q ∧ (r∧ s) q → (r → s) TT T F F TF T TT F T T FT F TF T F F TF T TF F T F TF T FT T F F TF T FT F T T FF T FF T F F TF T FF F T F TF T วิธีท่ี 2 จะเห็นวา คา ความจริงของ q ∧ (r∧ s) ตรงขามกับคา ความจริง ของ q → (r → s) ทุกกรณี ดังนั้น q ∧ (r∧ s) กับ q → (r → s) เปน นิเสธกนั เนอ่ื งจาก [q ∧ (r∧ s)] เปนนิเสธของ q ∧ (r∧ s) และ [q ∧ (r∧ s)] ≡ q∨ (r∧ s) ≡ q∨( r ∨ s) ≡ q →( r ∨ s) ≡ q →(r → s) จะได q ∧ (r∧ ~ s) เปนนิเสธของ q → (r → s) ดงั น้ัน q ∧ (r∧ s) กบั q → (r → s) เปน นิเสธกัน สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
296 คูม อื ครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 7) วิธีท่ี 1 สรางตารางคา ความจรงิ ของ ( p → q) ∨ r กบั p∧ q∧ r ไดด งั นี้ p q r p → q q r ( p → q) ∨ r p∧ q∧ r TTT T F F TF TTF T F T TF TFT F T F TF TFF F T T FT FTT T F F TF FTF T F T TF FFT T T F TF FFF T T T TF จะเห็นวา คา ความจริงของ ( p → q) ∨ r ตรงขา มกับคาความจรงิ ของ p∧ q∧ r ทุกกรณี ดังนน้ั ( p → q) ∨ r กบั p∧ q∧ r เปน นเิ สธกัน วธิ ีที่ 2 เน่ืองจาก ( p → q) ∨ r เปน นิเสธของ ( p → q) ∨ r และ ( p → q) ∨ r ≡ ( p ∨ q) ∨ r ≡ ( p ∨ q)∧ r ≡ p∧ q∧ r จะได ( p → q) ∨ r เปนนิเสธของ p ∧ q∧ r ดงั นั้น ( p → q) ∨ r กับ p∧ q∧ r เปน นิเสธกัน 8) วธิ ีที่ 1 สรา งตารางคาความจรงิ ของ ( p∨q) → r กบั r ∧ ( p ∨ q) ไดดงั นี้ สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 297 p q r p ∨ q r ( p∨q) → r r ∧ ( p ∨ q) TTT T F TF TTF T T FT TFT T F TF TFF T T FT FTT T F TF FTF T T FT FFT F F TF FFF F T TF จะเห็นวาคาความจริงของ ( p∨q) → r ตรงขามกับคา ความจริงของ r ∧ ( p ∨ q) ทุกกรณี ดังนั้น ( p∨q) → r กบั r ∧ ( p ∨ q) เปน นเิ สธกัน วธิ ที ี่ 2 เนอ่ื งจาก [ ( p∨q) → r ] เปน นิเสธของ ( p∨q) → r และ [ ( p ∨q) → r ] ≡ [ ( p ∨q) ∨ r] ≡ ( p ∨ q)∧ r ≡ r ∧( p ∨ q) จะได ( p∨q) → r เปนนิเสธของ r ∧ ( p ∨ q) ดังน้นั ( p∨q) → r กบั r ∧ ( p ∨ q) เปนนเิ สธกัน 9) ให p แทน “12 เปน ตวั ประกอบของ 24 ” q แทน “ 4 เปนตวั ประกอบของ 24 ” จะได p → q แทน “ถา 12 เปน ตัวประกอบของ 24 แลว 4 เปน ตวั ประกอบของ 24 ” และ q ∧ p แทน “ 4 ไมเปน ตัวประกอบของ 24 แต 12 เปน ตัวประกอบของ 24 ” วธิ ีท่ี 1 สรางตารางคาความจรงิ ของ p → q กบั q ∧ p ไดด ังน้ี สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
298 คมู ือครูรายวิชาเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 p q q p→q q∧ p T TF T F T FT F T F TF T F F FT T F จะเห็นวา คาความจริงของ p → q ตรงขามกับคาความจรงิ ของ q ∧ p ทกุ กรณี ดังนนั้ p → q กับ q ∧ p เปนนิเสธกนั นัน่ คอื “12 เปนตัวประกอบของ 24 แลว 4 เปน ตัวประกอบของ 24 ” กบั “ 4 ไมเปน ตวั ประกอบของ 24 แต 12 เปน ตวั ประกอบของ 24 ” เปนนเิ สธกัน วธิ ีที่ 2 เน่ืองจาก ( p → q) เปน นิเสธของ p → q และ ( p → q) ≡ ( p ∨ q) ≡ p∧ q ≡ q∧ p จะได q ∧ p เปน นิเสธของ p → q ดงั นั้น p → q กับ q ∧ p เปนนเิ สธกนั น่นั คือ “12 เปนตัวประกอบของ 24 แลว 4 เปนตัวประกอบของ 24 ” กับ “ 4 ไมเปนตัวประกอบของ 24 แต 12 เปนตัวประกอบของ 24 ” เปน นเิ สธกนั 10) ให p แทน “ a เปนสระในภาษาองั กฤษ” q แทน “ b เปนสระในภาษาอังกฤษ” r แทน “ e เปนสระในภาษาอังกฤษ” สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 299 จะได ( p∧ q) ∨ r แทน “ a และ b ไมเ ปนสระในภาษาอังกฤษ หรือ e เปนสระในภาษาองั กฤษ” และ r ∧ ( p → q) แทน “ e เปน สระในภาษาองั กฤษ แต ถา a ไมเ ปนสระ ในภาษาอังกฤษ แลว a เปน สระในภาษาอังกฤษ” สรางตารางคาความจริงของ ( p∧ q) ∨ r กบั r ∧ ( p → q) ไดด งั นี้ p q r p q p∧ q p → q ( p∧ q) ∨ r r ∧ ( p → q) T T TF F F T TT T T FF F F T FF T F TF T F T TT T F FF T F T FF F T TT F F T TT F T FT F F T FF F F TT T T F TF F F FT T T F TF จะเหน็ วา มีคา ความจรงิ ของ ( p∧ q) ∨ r บางกรณีท่ีตรงกบั คาความจริง ของ r ∧ ( p → q) ดงั น้ัน ( p∧ q) ∨ r กับ r ∧ ( p → q) ไมเปน นิเสธกัน น่นั คือ “ a และ b ไมเ ปนสระในภาษาองั กฤษ หรือ e เปนสระในภาษาองั กฤษ” กบั “ e เปนสระในภาษาองั กฤษ แต ถา a ไมเปน สระในภาษาอังกฤษ แลว b เปนสระในภาษาอังกฤษ” ไมเ ปน นเิ สธกัน 10. 1) วิธที ี่ 1 สรา งตารางคาความจรงิ ของ p → (q → r) → ( p → q) → r ไดด งั นี้ สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
300 คูมอื ครรู ายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 p q r p → q q → r p → (q → r ) ( p → q) → r p → (q → r ) → ( p → q) → r TTT T T T T T TTF T F F F T TFT F T T T T TFF F T T T T FTT T T T T T FTF T F T F F FFT T T T T T FFF T T T F F จะเหน็ วา มีกรณีที่ p เปน เทจ็ q เปนจรงิ และ r เปนเทจ็ และกรณีท่ี p, q และ r เปน เทจ็ ทท่ี าํ ใหรูปแบบของประพจน p → (q → r ) → ( p → q) → r เปน เทจ็ ดังน้นั รูปแบบของประพจน p → (q → r) → ( p → q) → r ไมเปน สจั นริ นั ดร วธิ ที ี่ 2 สมมติให p → (q → r) → ( p → q) → r มีคา ความจริงเปนเท็จ จากแผนภาพ จะเห็นวา มีกรณีที่ p เปน เท็จ q เปน เทจ็ และ r เปน เทจ็ ที่ทําให p → (q → r) → ( p → q) → r เปนเทจ็ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม อื ครรู ายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 301 ดงั นัน้ รปู แบบของประพจน p → (q → r) → ( p → q) → r ไมเ ปน สจั นิรันดร 2) วิธที ่ี 1 สรา งตารางคา ความจรงิ ของ ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q) ไดด งั นี้ p q p q p ∧ q p ∨ ( p ∧ q) p∧ q ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q) T TF F FT FT T FF T FT FT F TT F TT FT F FT T FF TF จะเห็นวา กรณที ่ี p และ q เปนเท็จ รูปแบบของประพจน ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q) เปนเท็จ ดังน้นั รปู แบบของประพจน ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q) ไมเ ปน สจั นิรันดร วธิ ที ี่ 2 สมมติให ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q) มคี าความจริงเปนเทจ็ สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
302 คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 จากแผนภาพ จะเห็นวา มีกรณที ี่ p เปนเท็จ และ q เปนเท็จ ท่ีทําใหรูปแบบของประพจน ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q) มคี า ความจรงิ เปน เทจ็ ดงั น้นั รปู แบบของประพจน ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q) ไมเ ปนสัจนริ ันดร วิธที ่ี 3 เน่ืองจาก p ∨ ( p ∧ q) ≡ ( p∨ p) ∧ ( p ∨ q) ≡ p∨q จะได ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q) ≡ ( p ∨ q) → ( p∧ q) ≡ ( p ∨ q) ∨ ( p∧ q) ≡ ( p ∨ q)∧ ( p∧ q) ≡ ( p∨ q)∧( p∨ q) ≡ p∨q ซง่ึ เมอื่ p และ q เปน เท็จ จะได p ∨ q เปน เทจ็ นั่นคือ p ∨ q ไมเ ปนสจั นิรนั ดร ดังนนั้ รูปแบบของประพจน ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q) ไมเ ปน สจั นริ ันดร 3) วธิ ีท่ี 1 สรา งตารางคา ความจริงของ p ∧ ( p ∨ q) → q ไดดงั น้ี p q p p ∨ q p ∧ ( p ∨ q) p ∧ ( p ∨ q) → q T TF TF T T FF TF T F TT TT T F FT FF T สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 303 จะเห็นวารูปแบบของประพจน p ∧ ( p ∨ q) → q เปนจรงิ ทกุ กรณี ดงั น้นั รูปแบบของประพจน p ∧ ( p ∨ q) → q เปน สจั นิรนั ดร วิธที ี่ 2 สมมติให p ∧ ( p ∨ q) → q มคี าความจรงิ เปนเท็จ ขดั แยงกนั จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจรงิ ของ q เปนไดท้ังจรงิ และเท็จ เกดิ การขัดแยงกบั ท่ีสมมติไววา p ∧ ( p ∨ q) → q เปน เท็จ ดังนนั้ รูปแบบของประพจน p ∧ ( p ∨ q) → q เปนสัจนิรันดร วิธที ่ี 3 จาก p ∧ ( p ∨ q) → q ≡ p ∧ ( p ∨ q) ∨ q ≡ p ∨ ( p ∨ q) ∨ q ≡ p ∨ ( p∧ q) ∨ q ≡ ( p∨ p) ∧ ( p∨ q) ∨ q ≡ ( p∨ q) ∨ q ≡ p∨( q∨ q) เน่อื งจาก q ∨ q เปน จรงิ เสมอ จะไดว า p ∨ ( q ∨ q) เปนจริงเสมอ ดงั น้ัน รูปแบบของประพจน p ∧ ( p ∨ q) → q เปนสัจนริ ันดร สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
304 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 4) วิธที ี่ 1 สรา งตารางคา ความจรงิ ของ ( p ∨ q) ∧ ( p → r) ∧ (q → r) → r ไดด ังนี้ p q r ( p ∨ q) ∧ ( p → r ) ∧ (q → r ) ( p ∨ q) ∧ ( p → r ) ∧ (q → r ) → r TTT T T T TF F T T FT T T T FF F T FTT T T FTF F T FFT F T F FF F T จะเห็นวารูปแบบของประพจน ( p ∨ q) ∧ ( p → r) ∧ (q → r) → r เปนจรงิ ทกุ กรณี ดังนนั้ รปู แบบของประพจน ( p ∨ q) ∧ ( p → r) ∧ (q → r) → r เปน สจั นิรนั ดร วธิ ีที่ 2 สมมตใิ ห ( p ∨ q) ∧ ( p → r) ∧ (q → r) → r มคี าความจริงเปน เทจ็ ขัดแยงกัน จากแผนภาพ จะเห็นวาคา ความจรงิ ของ p เปน ไดท้งั จรงิ และเท็จ สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 305 เกิดการขดั แยงกับที่สมมติไวว า ( p ∨ q) ∧ ( p → r) ∧ (q → r) → r เปนเทจ็ ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p ∨ q) ∧ ( p → r) ∧ (q → r) → r เปนสัจนิรนั ดร 5) วธิ ีท่ี 1 สรา งตารางคา ความจริงของ ( p → q) ∧ ( p → r) ↔ p → (q ∧ r) ไดด ังนี้ p q r ( p → q) ∧ ( p → r ) p → (q ∧ r ) ( p → q) ∧ ( p → r ) ↔ p → (q ∧ r ) TT T T T T TTF F F T TF T F F T TFF F F T FT T T T T FT F T T T FF T T T T FF F T T T จะเห็นวา รปู แบบของประพจน ( p → q) ∧ ( p → r) ↔ p → (q ∧ r) เปน จริงทุกกรณี ดังนน้ั รูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ ( p → r) ↔ p → (q ∧ r) เปนสจั นริ นั ดร วธิ ที ี่ 2 สมมติให ( p → q) ∧ ( p → r) ↔ p → (q ∧ r) มีคา ความจรงิ เปน เท็จ สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
306 คมู อื ครูรายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 กรณีที่ 1 ขดั แยง กัน จากแผนภาพ จะเหน็ วา คาความจริงของ r เปน ไดท ั้งจรงิ และเท็จ เกดิ การขัดแยง กบั ทสี่ มมติไวว า ( p → q) ∧ ( p → r ) ↔ p → (q ∧ r ) เปน เท็จ กรณีท่ี 2 ขัดแยงกนั จากแผนภาพ จะเหน็ วาคา ความจริงของ q เปน ไดท ้ังจรงิ และเท็จ เกดิ การขดั แยงกับทสี่ มมตไิ วว า ( p → q) ∧ ( p → r ) ↔ p → (q ∧ r) เปนเทจ็ สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 307 วธิ ที ่ี 3 จากท้ังสองกรณี จะไดว ารปู แบบของประพจน ( p → q) ∧ ( p → r) ↔ p → (q ∧ r) เปน สจั นิรันดร จาก ( p → q) ∧ ( p → r ) ≡ ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r ) ≡ p∨(q ∧ r) ≡ p →(q ∧ r) น่นั คอื ( p → q) ∧ ( p → r) สมมูลกับ p → (q ∧ r) ดงั นั้น รูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ ( p → r) ↔ p → (q ∧ r) เปนสจั นิรันดร 6) วิธีที่ 1 สรางตารางคา ความจรงิ ของ ( p → r) ∧ (q → r) ↔ ( p ∨ q) → r ไดด ังนี้ p q r ( p → r ) ∧ (q → r ) ( p ∨ q) → r ( p → r ) ∧ (q → r ) ↔ ( p ∨ q) → r TT T T T T TT F F F T TF T T T T TF F F F T FT T T T T FT F F F T FF T T T T FF F T T T จะเหน็ วารูปแบบของประพจน ( p → r) ∧ (q → r) ↔ ( p ∨ q) → r เปน จริงทุกกรณี ดงั น้ัน รปู แบบของประพจน ( p → r) ∧ (q → r) ↔ ( p ∨ q) → r เปนสจั นริ ันดร สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
308 คมู อื ครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 วิธีที่ 2 สมมติให ( p → r) ∧ (q → r) ↔ ( p ∨ q) → r มีคาความจริงเปน เทจ็ กรณที ่ี 1 ขัดแยงกัน จากแผนภาพ จะเห็นวา คาความจรงิ ของ p เปน ไดทงั้ จรงิ และเท็จ เกิดการขัดแยงกับทสี่ มมตไิ ววา ( p → r) ∧ (q → r ) ↔ ( p ∨ q) → r เปน เท็จ กรณีท่ี 2 ขดั แยง กนั จากแผนภาพ จะเหน็ วาคาความจริงของ r เปน ไดท ัง้ จริงและเท็จ เกดิ การขัดแยง กบั ที่สมมตไิ ววา ( p → r) ∧ (q → r ) ↔ ( p ∨ q) → r เปน เทจ็ สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 309 วธิ ที ่ี 3 จากท้งั สองกรณี จะไดวา รปู แบบของประพจน ( p → r) ∧ (q → r) ↔ ( p ∨ q) → r เปน สัจนิรนั ดร จาก ( p → r ) ∧ (q → r ) ≡ ( p ∨ r ) ∧ ( q ∨ r ) ≡ ( p∧ q) ∨ r ≡ ( p∨ q)∨ r ≡ ( p∨ q) → r น่นั คอื ( p → r) ∧ (q → r) สมมลู กับ ( p ∨ q) → r ดงั นน้ั รปู แบบของประพจน ( p → r) ∧ (q → r) ↔ ( p ∨ q) → r เปน สัจนิรันดร 7) วิธที ่ี 1 สรา งตารางคา ความจรงิ ของ ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) ไดดังนี้ pq p↔q p∧q p∧ q ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) TT TT FT T TF F F F F T FT F F F F T FF T F T T T จะเหน็ วารปู แบบของประพจน ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) เปน จรงิ ทกุ กรณี ดังน้นั รูปแบบของประพจน ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) เปน สัจนริ ันดร สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
310 คมู ือครูรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 วธิ ีท่ี 2 สมมติให ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) มีคา ความจรงิ เปน เทจ็ กรณที ี่ 1 ขดั แยง กัน จากแผนภาพ จะเห็นวา คา ความจริงของ q เปน ไดท ง้ั จรงิ และเทจ็ เกิดการขดั แยง กบั ทสี่ มมตไิ ววา ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) เปน เทจ็ กรณที ี่ 2 ขัดแยง กนั สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวิชาเพิม่ เติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 311 จากแผนภาพ จะเหน็ วา คา ความจรงิ ของ p เปนไดทง้ั จริงและเท็จ เกดิ การขดั แยง กบั ทสี่ มมติไววา ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) เปนเทจ็ จากทง้ั สองกรณี จะไดว ารูปแบบของประพจน ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) เปน สจั นิรนั ดร วิธที ่ี 3 จาก ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) ≡ ( p ∧ q)∨ p ∧ ( p ∧ q)∨ q ≡ ( p∨ p) ∧ (q∨ p) ∧ ( p∨ q) ∧ (q∨ q) ≡ (q∨ p) ∧ ( p∨ q) ≡ ( p∨ q)∧( q∨ p) ≡ ( p → q)∧(q → p) ≡ p↔q นัน่ คอื p ↔ q สมมลู กบั ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) ดงั นั้น รปู แบบของประพจน ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) เปน สัจนริ ันดร สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
312 คูมอื ครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 11. 1) สมมตใิ ห (( p ∧ q) → (r ∨ s))∧ (r ∨ s) → q เปน เทจ็ จากแผนภาพ จะเหน็ วา มีกรณีที่ p เปนเทจ็ q เปน จริง r เปนเทจ็ และ s เปน เท็จ ท่ีทาํ ให (( p ∧ q) → (r ∨ s))∧ (r ∨ s) → q เปน เท็จ นัน่ คอื รูปแบบของประพจน (( p ∧ q) → (r ∨ s))∧ (r ∨ s) → q ไมเ ปนสัจนิรนั ดร ดงั น้นั การอางเหตผุ ลนี้ไมสมเหตสุ มผล 2) สมมตใิ ห ( p ∨ q)∧ q → ( p ∨ q) เปน เทจ็ จากแผนภาพ จะเหน็ วา มีกรณที ี่ p เปนเท็จ และ q เปนเทจ็ ทีท่ าํ ให ( p ∨ q)∧ q → ( p ∨ q) เปนเท็จ สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม ือครรู ายวชิ าเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 313 นัน่ คอื รปู แบบของประพจน ( p ∨ q)∧ q → ( p ∨ q) ไมเ ปนสัจนริ นั ดร ดังนั้น การอา งเหตุผลน้ีไมสมเหตสุ มผล 3) สมมติให ( p ∨ r) ∧ (( p → q) ∨ ( q → r)) →( r → p) เปน เท็จ จากแผนภาพ จะเหน็ วา มีกรณีท่ี p เปน เท็จ q เปนเทจ็ และ r เปน จรงิ ทีท่ าํ ให ( p ∨ r) ∧ (( p → q) ∨ ( q → r)) →( r → p) เปนเท็จ นน่ั คือ รปู แบบของประพจน ( p ∨ r) ∧ (( p → q) ∨ ( q → r)) →( r → p) ไมเ ปนสัจนิรันดร ดงั นั้น การอา งเหตผุ ลนไ้ี มส มเหตุสมผล 4) สมมติให ( p → q) ∧ ( p → r) ∧ ( p ∧ s) →(r → s) เปนเทจ็ สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
314 คมู ือครรู ายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 จากแผนภาพ จะเหน็ วา คาความจริงของ s เปน ไดท้ังจรงิ และเทจ็ เกิดการขัดแยง กับทีส่ มมติไวว า ( p → q) ∧ ( p → r) ∧ ( p ∧ s) →(r → s) เปน เท็จ น่นั คอื รูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ ( p → r) ∧ ( p ∧ s) →(r → s) เปน สจั นริ นั ดร ดงั น้ัน การอางเหตผุ ลนสี้ มเหตสุ มผล 5) สมมติให ( p → q) ∧ p ∧ (q → r) ∧ (r ↔ p) →(q ∨ r) เปน เทจ็ ขัดแยง กนั จากแผนภาพ จะเหน็ วา คา ความจรงิ ของ p เปนไดท ง้ั จริงและเท็จ เกิดการขัดแยง กับท่สี มมติไวว า ( p → q) ∧ p ∧ (q → r) ∧ (r ↔ p) →(q ∨ r) เปนเทจ็ นน่ั คือ รปู แบบของประพจน ( p → q) ∧ p ∧ (q → r) ∧ (r ↔ p) →(q ∨ r) เปนสัจนริ นั ดร ดงั นัน้ การอา งเหตผุ ลนส้ี มเหตสุ มผล 12. 1) ให p แทนประพจน “ชะอมไปเลน ฟตุ บอล” q แทนประพจน “ไขเจียวไปเลนบาสเกตบอล” r แทนประพจน “แกงสม ไปเลนปงปอง” เขียนแทนขอความในรูปสญั ลักษณไดดงั นี้ เหตุ 1. p → q 2. q → r ผล p ∧ r สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 315 ดงั น้นั รูปแบบของประพจนในการอา งเหตผุ ลน้ี คือ ( p → q) ∧ ( q → r) →( p ∧ r) ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดว าเปนสจั นริ ันดรห รือไม สมมตใิ ห ( p → q) ∧ ( q → r) →( p ∧ r) เปน เทจ็ จากแผนภาพ จะเห็นวา มีกรณีท่ี p เปนเทจ็ q เปน เทจ็ และ r เปน จรงิ ทท่ี าํ ให ( p → q) ∧ ( q → r) →( p ∧ r) เปน เท็จ นนั่ คอื รูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ ( q → r) →( p ∧ r) ไมเปน สัจนริ นั ดร ดังนนั้ การอางเหตผุ ลนไ้ี มสมเหตุสมผล 2) ให p แทนประพจน “ขา วสวยทํางานหนัก” q แทนประพจน “ขา วหอมทํางานหนกั ” r แทนประพจน “ขาวปนทาํ งานหนกั ” เขียนแทนขอความในรูปสญั ลักษณไดดงั น้ี เหตุ 1. p ∨ q 2. q ผล p ∨ r ดงั นนั้ รูปแบบของประพจนใ นการอา งเหตุผลน้ี คือ ( p ∨ q) ∧ q →( p∨ r) ตรวจสอบรปู แบบของประพจนทีไ่ ดวาเปน สจั นิรันดรหรอื ไม สมมติให ( p ∨ q) ∧ q →( p∨ r) เปนเท็จ สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
316 คูมือครรู ายวิชาเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 ขดั แยงกัน จากแผนภาพ จะเห็นวา คา ความจรงิ ของ p เปน ไดทัง้ จรงิ และเทจ็ เกิดการขัดแยง กับท่สี มมตไิ วว า ( p ∨ q) ∧ q →( p∨ r) เปน เท็จ นน่ั คือ รูปแบบของประพจน ( p ∨ q) ∧ q →( p∨ r) เปนสัจนิรันดร ดังนั้น การอางเหตุผลนส้ี มเหตสุ มผล 3) ให p แทนประพจน “ชะเอมซ้อื สินคาโดยใชบตั รเครดิต” q แทนประพจน “ชะเอมซ้อื สินคาโดยใชเ งินสด” เขียนแทนขอความในรปู สัญลักษณไดด ังน้ี เหตุ 1. p ∨ q 2. p ผล q ดงั นั้น รูปแบบของประพจนใ นการอางเหตผุ ลน้ี คอื ( p ∨ q) ∧ p → q ตรวจสอบรปู แบบของประพจนที่ไดว า เปน สจั นิรันดรหรือไม สมมติให ( p ∨ q) ∧ p → q เปน เทจ็ สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวชิ าเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 317 ขัดแยง กนั จากแผนภาพ จะเหน็ วา คาความจริงของ p เปน ไดท้ังจริงและเทจ็ เกดิ การขดั แยง กบั ท่สี มมติไวว า ( p ∨ q) ∧ q →( p∨ r) เปนเท็จ นั่นคอื รปู แบบของประพจน ( p ∨ q) ∧ q →( p∨ r) เปน สจั นิรนั ดร ดงั น้นั การอา งเหตุผลนส้ี มเหตุสมผล 4) ให p แทนประพจน “หนดู ูหนัง” q แทนประพจน “แนนดหู นัง” r แทนประพจน “หน่งึ ดหู นงั ” เขียนแทนขอความในรปู สญั ลักษณไดดังนี้ เหตุ 1. p 2. q → p 3. p → r ผล q ∨ r ดงั นั้น รปู แบบของประพจนใ นการอา งเหตผุ ลน้ี คือ p ∧ (q → p) ∧ ( p → r ) →(q ∨ r ) ตรวจสอบรปู แบบของประพจนทไ่ี ดว า เปน สัจนริ ันดรหรือไม สมมติให p ∧ (q → p) ∧ ( p → r) →(q ∨ r) เปน เทจ็ สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
318 คมู ือครูรายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 จากแผนภาพ จะเหน็ วา มีกรณที ี่ p เปนจรงิ q เปน เท็จ และ r เปน เท็จ ทท่ี าํ ให p ∧ (q → p) ∧ ( p → r) →(q ∨ r) เปน เท็จ นั่นคอื รปู แบบของประพจน p ∧ (q → p) ∧ ( p → r) →(q ∨ r) ไมเปนสัจนิรนั ดร ดังนัน้ การอา งเหตผุ ลนี้ไมสมเหตุสมผล 5) ให p แทนประพจน “วิจิตไปกินขาวนอกบา น” q แทนประพจน “วรี ชยั อยบู าน” r แทนประพจน “นธิ ไิ ปออกกําลังกาย” s แทนประพจน “พชรไปเดินเลน ” เขยี นแทนขอความในรูปสัญลักษณไดด ังน้ี เหตุ 1. p ↔ q 2. q → r 3. s ∧ p ผล s → r ดงั น้ัน รปู แบบของประพจนในการอางเหตผุ ลน้ี คอื ( p ↔ q) ∧ ( q → r ) ∧ (s ∧ p) →(s → r ) สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 319 ตรวจสอบรปู แบบของประพจนท่ไี ดว า เปนสจั นริ นั ดรห รือไม สมมติให ( p ↔ q) ∧ ( q → r) ∧ (s ∧ p) →(s → r) เปนเทจ็ 13. 1) จากแผนภาพ จะเห็นวา มีกรณที ี่ p เปนจรงิ q เปนจริง r เปน เทจ็ และ s เปนจรงิ 2) ทีท่ ําให ( p ↔ q) ∧ ( q → r) ∧ (s ∧ p) →(s → r) เปน เท็จ 3) น่นั คือ รปู แบบของประพจน ( p ↔ q) ∧ ( q → r) ∧ (s ∧ p) →(s → r) 4) ไมเปนสัจนริ ันดร ดงั น้ัน การอางเหตุผลน้ไี มสมเหตสุ มผล ∀x[x > 0] เปนจรงิ เม่ือ U = เพราะวา เมื่อแทน x ดว ยจาํ นวนนับ ใน “ x > 0 ” จะไดประพจนทเี่ ปน จริง ∀x[x + x = x ⋅ x] เปน จริง เมือ่ U = {0, 2} เพราะวา เม่ือแทน x ดว ย 0 และ 2 ใน “ x + x = x ⋅ x ” จะไดประพจนท ี่เปนจรงิ ∃x x =x2 เปนจริง เมอ่ื U = { 0, 1} เพราะวา เมื่อแทน x ดว ย 0 ใน “ x = x2 ” จะไดป ระพจนท ่ีเปนจรงิ ∀x x < 2 ↔ x2 ≥ 4 เปน เท็จ เมอื่ U = เพราะวา เมื่อแทน x ดวย 0 ใน “ x < 2 ↔ x2 ≥ 4 ” จะไดป ระพจนท่ีเปน เท็จ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
320 คมู อื ครูรายวชิ าเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 5) ∃y[ y + 2 = y − 2] เปนเทจ็ เม่ือ U = เพราะวา ไมสามารถหาจํานวนจริง y แทนใน “ y + 2 = y − 2 ” แลวไดป ระพจน ทเี่ ปน จรงิ 6) ∀x[x ∈ → x ∈] เปนจรงิ เมอื่ U = เน่อื งจาก ∀x[x ∈ → x ∈] สมมูลกบั ∃x[x ∈ ∧ x ∉] และเม่ือแทน x ดวย 1 ใน “ ∃x[x∈ ∧ x∉] ” จะไดประพจนที่เปนจรงิ 2 7) ∃x [ x เปน จาํ นวนคู] เปน จริง เมือ่ U = เพราะวา เมื่อแทน x ดว ย 2 ใน “ x เปนจํานวนคู” จะไดประพจนท เี่ ปนจรงิ 8) มีจํานวนตรรกยะ x ซึ่ง x > 0 เปน จริง เพราะวา เมื่อแทน x ดวย 2 ใน “ x > 0 ” จะไดประพจนที่เปนจริง 9) มจี าํ นวนอตรรกยะ x ซึง่ x2 = 4 เปนเท็จ เพราะวา ไมส ามารถหาจํานวนอตรรกยะ x แทนใน “ x2 = 4 ” แลว ไดประพจน ท่เี ปนจรงิ 10) สําหรบั จํานวนจรงิ x ทกุ ตวั x2 +1 > 4 เปน เทจ็ เพราะวา เม่ือแทน x ดว ย 0 ใน “ x2 +1 > 4 ” จะไดประพจนที่เปนเทจ็ 11) ∃x x2 −1 < 0 ∧ 0 ∃x[x ≠ 0] เปน เท็จ เม่อื U = เน่ืองจาก 0 ∃x[x ≠ 0] สมมลู กบั ∀x[x =0] และเมื่อแทน x ดว ย 1 ใน “ x =0 ” จะไดประพจนที่เปนเทจ็ 12) ∀x [ ถา x เปนจาํ นวนเฉพาะแลว x เปน จํานวนคี่ ] ∨∃x[ x2 ≠1] เปน จรงิ เมอ่ื แทน x ดว ย 2 ใน “ x2 ≠1 ” จะไดประพจนท ่ีเปนจริง สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครูรายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 321 13) ∀x[x −1= 7] → ∀x x2= 2x เปน เทจ็ เมือ่ U = เน่ืองจาก ∀x[x −1 =7] สมมลู กบั ∃x[x −1 ≠ 7] เมื่อแทน x ดว ย 0 ใน “ x −1 ≠ 7 ” จะไดประพจนท ่ีเปน จรงิ แตเ มื่อแทน x ดวย 1 ใน “ x2 = 2x ” จะไดประพจนท่เี ปนเทจ็ 14) ∃x[ x ∈′ → x2 เปนจาํ นวนคู ] ↔ ∀x[ x ∈ → x −1≥ 0] เปน จรงิ เม่ือแทน x ดวย 2 ใน “ x∈′ → x2 เปน จาํ นวนคู” จะไดป ระพจนทเี่ ปน จรงิ และเมื่อแทน x ดว ยจํานวนจริง ใน “ x∈ → x −1≥ 0 ” จะไดประพจนทเี่ ปนจริง 15) มีจาํ นวนอตรรกยะบางจํานวนที่ยกกาํ ลังสองแลว เทากบั ศูนยห รือจํานวนเต็ม ทุกจํานวนเปนจาํ นวนตรรกยะ เปน จริง โดยเขยี นขอ ความดงั กลา วใหอ ยูในรปู สัญลักษณไดด ังน้ี ( )∃x x2= 0 ,U= ′ ∨ (∀x[x ∈], U= ) เมอ่ื แทน x ดวยจํานวนเต็ม ใน x∈ จะไดประพจนท ่เี ปนจริง 14. 1) นิเสธของ ∀x ( x ≠ 5) เขยี นแทนดวย ( ∀x ( x ≠ 5) ) ซงึ่ สมมลู กบั ∀x[ x =5 ] ดังนั้น นเิ สธของ ∀x ( x ≠ 5) คอื ∀x[ x ≠ 5 ] 2) นิเสธของ ∃x[ x∈ ∧ x ≥ 5 ] เขยี นแทนดว ย (∃x[ x∈∧ x ≥ 5 ]) ซึง่ สมมลู กับ ∀x[ x∉ ∨ x < 5 ] ดงั นนั้ นเิ สธของ ∃x[ x∈ ∧ x ≥ 5 ] คอื ∀x[ x∉ ∨ x < 5 ] 3) นเิ สธของ ∀x x2 − 5 < 4→ x − 2 ≠ 0 เขยี นแทนดวย (0 ∀x x2 )− 5 < 4→ x − 2 ≠ 0 ซึ่งสมมลู กบั 0 ∀x x2 − 5 ≥ 4∨ x − 2 ≠ 0 และสมมูลกบั ∃x x2 − 5 < 4∧ x − 2 =0 ดงั นน้ั นเิ สธของ ∀x x2 − 5 < 4→ x − 2 ≠ 0 คือ ∃x x2 − 5 < 4∧ x − 2 =0 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
322 คูม ือครูรายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 4) นิเสธของ ∃x[ x − 7 < 5 ] → ∀x[ x ≥ 2 ] เขยี นแทนดวย ( ∃x[ x − 7 < 5 ] → ∀x[ x ≥ 2 ]) ซงึ่ สมมูลกบั (∃x[ x − 7 < 5 ] ∨ ∀x[ x ≥ 2 ]) และสมมลู กบั ∀x[ x − 7 ≥ 5 ] ∧ ∃x[ x < 2 ] ดงั น้นั นเิ สธของ ∃x[ x − 7 < 5 ] → ∀x[ x ≥ 2 ] คอื ∀x[ x − 7 ≥ 5 ] ∧ ∃x[ x < 2 ] 5) นิเสธของ ∀x[ x ∈∧ x − 2 > 8 ] ∨ ∃x x = 5∨ ( x ≠ 6) เขียนแทนดวย ( ∀x[ x ∈∧ x − 2 > 8 ] ∨ ∃x x = 5∨ ( x ≠ 6) ) ซึง่ สมมูลกับ ∀x[ x ∈∧ x − 2 > 8 ]∧ ∃x x = 5∨ ( x ≠ 6) และสมมูลกับ ∃x[ x ∉ ∨ x − 2 ≤ 8 ] ∧ ∀x[ x ≠ 5 ∧ x ≠ 6 ] ดังนั้น นิเสธของ ∀x[ x ∈∧ x − 2 > 8 ] ∨ ∃x x = 5∨ ( x ≠ 6) คอื ∃x[ x ∉ ∨ x − 2 ≤ 8 ] ∧ ∀x[ x ≠ 5 ∧ x ≠ 6 ] 6) นเิ สธของ ∃x[ x − 5 < 6 → x > −2 ] → ∀x[ x ≠ 2 ∧ x ≥ 6 ] เขียนแทนดวย (∃x[ x − 5 < 6 → x > −2 ] → ∀x[ x ≠ 2 ∧ x ≥ 6 ]) ซงึ่ สมมูลกบั ( ∃x[ x − 5 < 6 → x > −2 ] ∨ ∀x[ x ≠ 2 ∧ x ≥ 6 ]) และสมมูลกบั ∃x[ x − 5 < 6 → x > −2 ]∧ ∀x[ x ≠ 2 ∧ x ≥ 6 ] และสมมูลกับ ∃x[ x − 5 < 6 → x > −2 ] ∧ ∃x[ x= 2 ∨ x < 6 ] ดงั นัน้ นิเสธของ ∃x[ x − 5 < 6 → x > −2 ] → ∀x[ x ≠ 2 ∧ x ≥ 6 ] คือ ∃x[ x − 5 < 6 → x > −2 ] ∧ ∃x[ x= 2 ∨ x < 6 ] 7) นเิ สธของขอความ “มีจาํ นวนตรรกยะบางจํานวนเปนจาํ นวนคีแ่ ละจาํ นวนคี่ ทุกจาํ นวนไมเปน จํานวนอตรรกยะ” คือ “จาํ นวนตรรกยะทุกจํานวนไมเปน จํานวนค่ีหรือมจี าํ นวนคี่บางจาํ นวนเปน จาํ นวนอตรรกยะ” สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 323 8) นเิ สธของขอความ “จํานวนนบั ทุกจํานวนมากกวา ศูนยแตจํานวนเตม็ บางจํานวน 15. 1) ยกกําลังสองไมม ากกวาศนู ย” คือ “มีจํานวนนับบางจาํ นวนนอยกวา หรือเทากบั ศูนยหรอื กาํ ลังสองของจํานวนเต็มใด ๆ มีคามากกวา ศูนย” 2) ∀x[ x ∈ ∧ x ∉ ] สมมลู กบั ∀x ( x ∈∨ x ∉) 3) เนอื่ งจาก ( x∈∨ x∉) ไมสมมูลกบั x∈ ∨ x∉ 4) ดงั น้ัน ∀x[ x∈ ∧ x∉ ] ไมสมมูลกับ ∀x[ x∈ ∨ x∉ ] ∀x x > 0 → x3 > 0 สมมลู กับ ∀x x ≤ 0 ∨ x3 > 0 5) เน่อื งจาก x ≤ 0 ∨ x3 > 0 ไมส มมูลกบั x > 0 ∨ x3 > 0 ดังนนั้ ∀x x > 0 → x3 > 0 ไมส มมูลกับ ∀x x > 0 ∨ x3 > 0 ∃x x2 > 0 สมมลู กับ (00 ∃x x2 > 0 ) ซ่ึงสมมูลกบั (0 ∀x x2 ≤ 0 ) ดงั น้นั ∃x x2 > 0 สมมลู กบั (0 ∀x x2 ≤ 0 ) ∀x x =9 ∧ x ≠ 3 สมมูลกับ ∃x x ≠ 9 ∨ x =3 ซงึ่ สมมลู กบั ∃x x =9 → x =3 เนอ่ื งจาก x =9 → x =3 ไมส มมูลกับ x =3 → x =9 ดงั นั้น ∀x x =9 ∧ x ≠ 3 ไมสมมูลกับ ∃x x =3 → x =9 ∃x[ x ∈]∧ ∃x[ x + 3 < 7 ] สมมลู กับ ∃x[ x + 3 < 7 ] ∧ ∃x[ x ∈] ซึ่งสมมลู กบั ∀x[ x + 3 ≥ 7 ] ∧ ∃x[ x∈ ] เน่ืองจาก ∀x[ x + 3 ≥ 7 ] ไมสมมูลกับ ∀x[ x + 3 < 7 ] ดงั นนั้ ∃x[ x ∈]∧ ∃x[ x + 3 < 7 ] ไมส มมูลกับ ∀x[ x + 3 < 7 ] ∧ ∃x[x ∈ ] สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
324 คูมือครรู ายวชิ าเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 ( ) ( )6) 0 ∀x[ x > 0 ] → ∀x x2 −1 ≥ 0 สมมูลกบั 00 ∀x[ x > 0 ] ∨ ∀x x2 −1 ≥ 0 ซ่ึงสมมูลกบั ∀x[ x > 0 ] ∧ ∃x x2 −1< 0 ดงั นน้ั ( )∀x[ x > 0 ] ∧ ∃x x2 −1 < 0 สมมลู กับ 0 ∀x[ x > 0 ] → ∀x x2 −1≥ 0 7) 0 ∃x x2 − 7 ≠ 0 ∨ ∀x[ x > −5 ] สมมูลกับ ∀x[ x > −5 ] ∨ 0 ∃x x2 − 7 ≠ 0 ซึง่ สมมูลกบั ∀x[ x > −5 ] ∨ ∀x x2 − 7 =0 และสมมลู กบั 0 ∃x[ x ≤ −5 ] ∨ ∀x x2 − 7 =0 เน่ืองจาก ∃x[ x ≤ −5 ] ไมสมมลู กบั ∃x[ x ≤ −5 ] ดังนน้ั 0 ∃x x2 − 7 ≠ 0 ∨ ∀x[ x > −5 ] ไมส มมูลกับ ∃x[ x ≤ −5 ] ∨ ∀x x2 − 7 =0 8) (∀x[ x ∈]∧ ∀x[ x ≠ 7 ]) สมมลู กบั ∀x[ x ∈] ∨ ∀x[ x ≠ 7 ] ซ่งึ สมมลู กับ ∀x[ x ≠ 7 ] ∨ ∀x[ x∈] และสมมูลกบั ∃x[ x = 7 ] ∨ ∀x[ x∈] และสมมูลกบั ∃x[ x = 7 ] → ∀x[ x∈] ดงั นนั้ (∀x[ x ∈]∧ ∀x[ x ≠ 7 ]) สมมูลกับ ∃x[ x = 7 ] → ∀x[ x ∈] 9) “จาํ นวนค่ีทกุ จํานวนมากกวา ศูนย” เขียนใหอ ยูใ นรูปสญั ลักษณไดเปน ∀x[x > 0], U เปน เซตของจาํ นวนคี่ “ไมจรงิ ท่ีวา จํานวนคบ่ี างจํานวนนอ ยกวา หรือเทากับศนู ย” เขียนใหอ ยูในรูป สญั ลกั ษณไดเปน 0 ∃x[x ≤ 0], U เปน เซตของจํานวนคี่ เน่ืองจาก ∀x[x > 0] สมมลู กับ 0 ∃x[x ≤ 0] ดังน้ัน จาํ นวนคี่ทุกจํานวนมากกวาศูนย สมมลู กบั ไมจ ริงท่ีวาจาํ นวนค่บี างจํานวน นอยกวา หรอื เทา กับศูนย สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 510
Pages: