คมู อื ครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 325 10) “มีจํานวนตรรกยะ x ที่ x2 = 0 หรือ x ≠ 0 ” เขียนใหอ ยูในรปู สัญลักษณไ ด เปน ∃x ∈ [x2 = 0 ∨ x ≠ 0] “ไมจรงิ ที่วา จาํ นวนตรรกยะ x ทกุ จํานวน ท่ี x2 ≠ 0 หรอื x = 0 ” เขียนใหอยู ในรปู สัญลกั ษณไดเ ปน 0 ∀x∈ [x2 ≠ 0 ∨ x =0] เนอ่ื งจาก 0 ∀x ∈ [x2 ≠ 0 ∨ x =0] สมมลู กับ ∃x ∈ [x2 = 0 ∧ x ≠ 0] และ x2 =0 ∧ x ≠ 0 ไมส มมลู กบั x2 =0 ∨ x ≠ 0 ดงั น้ัน มจี ํานวนตรรกยะ x ท่ี x2 = 0 หรอื x ≠ 0 ไมส มมูลกบั ไมจริงทีว่ า จํานวนตรรกยะ x ทกุ จาํ นวน ที่ x2 ≠ 0 หรอื x = 0 16. แสดงคณุ สมบัตขิ องพนักงานกับเง่ือนไขของการเล่ือนตําแหนงดังตารางตอไปน้ี เงือ่ นไข อายไุ มตา่ํ กวา จบปรญิ ญาโท ทาํ งานบริษัทน้อี ยา งนอ ย 3 ป ชอื่ พนักงาน 30 ป ข้นึ ไป หรือทํางานดานคอมพิวเตอร อยางนอย 7 ป ฟาใส รงุ นภา ธนา จากตารางจะเห็นวา ฟา ใส เปนพนักงานคนเดียวท่ีมีคุณสมบตั ิสอดคลองกับเงอ่ื นไขของการ เล่อื นตาํ แหนงท้ัง 3 ขอ ดงั นัน้ ฟาใสมสี ทิ ธิไ์ ดเลอ่ื นตําแหนง สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
326 คูมือครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 17. แสดงคณุ สมบัตขิ องพนักงานกบั เงือ่ นไขของการไดร บั เงินรางวลั ดังตารางตอไปนี้ เงื่อนไข ทาํ ยอดขายใน 1 ป ได ทํายอดขายใน 1 ป ได ทํายอดขายใน 1 ป ได ชื่อพนักงาน เกนิ 3,000,000 บาท เกนิ 5,000,000 บาท เกิน 10,000,000 บาท และไมล ากจิ ไมล าพักผอ น และไมลากิจ สุริยา เมฆา กมล ทิวา เนอื่ งจากพนักงานแตละคนจะสามารถรับเงินรางวัลทีด่ ที ีส่ ุดไดเพยี งรางวัลเดยี ว ดงั นัน้ สุริยาจะไดร บั เงนิ รางวลั 30,000 × 1.5 =45,000 บาท เมฆาจะไมไดรบั เงนิ รางวัล กมลจะไดร ับเงนิ รางวลั 70,000 × 2 =140,000 บาท และทวิ าจะไดรับเงนิ รางวลั 200,000 × 4 =800,000 บาท 18. แสดงคณุ สมบัติของผูกูกบั เง่อื นไขของการกเู งนิ ดังตารางตอไปนี้ เงื่อนไข ผกู ตู องมีเงินเดือน ถาผกู มู ีคสู มรส ผกู ูต องมเี งนิ เหลือ ไมน อ ยกวา แลว ผกู ูแ ละคูสมรส หลงั หกั คา ใชจายใน ตอ งมีเงินเดอื นรวมกัน ชื่อผกู ู 30,000 บาท ไมนอ ยกวา 70,000 บาท แตล ะเดือน มากกวา 5,000 บาท สญั ญา กวิน มา นแกว ไมมีคสู มรส สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 327 จากตารางจะเห็นวา มานแกว เปน ผูกูคนเดียวที่มีคณุ สมบตั ิสอดคลอ งกบั เงื่อนไขของ การกเู งินท้ัง 3 ขอ ดงั น้ัน มา นแกว จะสามารถกูเงนิ กับบรษิ ัทนี้ได สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
328 คูมือครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 บทท่ี 3 จาํ นวนจริง แบบฝกหัด 3.1 1. พิจารณาการเปน จํานวนนับ จํานวนเตม็ จํานวนตรรกยะ หรอื จาํ นวนอตรรกยะ ของจํานวนท่ีกาํ หนดให ไดด งั น้ี จาํ นวนท่ี จาํ นวนนบั จํานวนเต็ม จํานวนตรรกยะ จาํ นวนอตรรกยะ กําหนดให - - 0 2 - - - 3 −22 - - - 7 - - - - 3.1416 - 4 +1 - 1− (−8) - - - - - 6 −1 - - - - - 7π - - 22 - 0.09 - - − 12 3 ( )2 2 –3.999 ( −1)2 สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 329 2. พจิ ารณาการเปน จริงหรือเท็จของขอ ความที่กําหนดให ไดดังนี้ 1) เปนจริง 2) เปนจรงิ 3) เปน เท็จ 4) เปน เทจ็ 5) เปนจริง 6) เปนจรงิ 7) เปน เท็จ 8) เปนจริง 9) เปน เทจ็ แบบฝก หดั 3.2 1. 1) สมบัตกิ ารสลับที่การคณู 2) สมบัตกิ ารมเี อกลักษณการบวก 3) สมบัตกิ ารมเี อกลักษณการคูณ 4) สมบตั ิปด การคูณ 5) สมบัติการเปล่ียนหมูการบวก 6) สมบัตกิ ารแจกแจง 7) สมบัติการมตี วั ผกผนั การคณู 8) สมบัตกิ ารเปล่ียนหมูการคูณ 9) สมบตั ิการมตี วั ผกผนั การบวก สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
330 คูมือครรู ายวชิ าเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 10) สมบัติการสลับทกี่ ารบวก 2. ตวั ผกผนั การบวกและตัวผกผันการคณู ของจํานวนที่กาํ หนดใหเปนดังน้ี จาํ นวนทก่ี ําหนดให ตัวผกผันการบวก ตวั ผกผันการคณู −4 4 −1 4 5 −5 1 2 −2 5 7 7 −5 7 2 11 5 1− 7 11 − 11 5 −(1− 7 ) หรอื 1 −1 + 7 1− 7 1 32 −3 2 32 −8 − −8 หรอื − 2+ 3 2+ 3 2+ 3 8 8 2+ 3 3. พจิ ารณาสมบัติของเซตที่กําหนดใหไดด ังน้ี สมบตั ิปด สมบตั ปิ ด สมบตั ิปด สมบัตปิ ด ของการ ของการ ของการ ของการหาร เซตท่กี ําหนดให บวก (ตวั หารไม ลบ คูณ เปนศนู ย) 1) เซตของจาํ นวนนบั 2) เซตของจํานวนเตม็ - - 3) เซตของจํานวนคีล่ บ 4) เซตของจาํ นวนคู - - - - สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี - -
คูมอื ครูรายวชิ าเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 331 เซตทีก่ ําหนดให สมบัติปด สมบัติปด สมบัตปิ ด สมบตั ปิ ด ของการ ของการ ของการ ของการหาร 5) เซตของจาํ นวนเตม็ ท่หี ารดว ย 3 ลงตัว บวก (ตัวหารไม 6) เซตของจํานวนตรรกยะ ลบ คูณ เปน ศนู ย) - 7) { ..., − 5, 0, 5, 10 } --- - - 8) { −1, − 2, − 3, ...} - - 9) { −1, 0, 1} - - 10) , 1 , 1 , 1 , 1, 1, 2, 4, 8, 16, - - 16 8 4 2 แบบฝก หดั 3.3 1. จากพหุนาม p( x) = 3x4 + 2x2 − ax + 3 เขียนใหมไดเ ปน p( x) = 3x4 + 0x3 + 2x2 − ax + 3 จาก p( x) = q( x) จะได= a 5=, b 3 และ c = 0 2. ให p( x=) x2 −1 และ q( x) = x2 − 2x + 3 1) p( x) + q( x) = ( x2 −1) + ( x2 − 2x + 3) = 2x2 − 2x + 2 2) q( x) − p( x) = ( x2 − 2x + 3) − ( x2 −1) 3) p( x)q( x) = −2x + 4 = ( x2 −1)( x2 − 2x + 3) = x2 ( x2 − 2x + 3) −1( x2 − 2x + 3) ( ) ( )= x4 − 2x3 + 3x2 − x2 − 2x + 3 = x4 − 2x3 + 2x2 + 2x − 3 สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
332 คมู อื ครูรายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 3. ให p ( x) = 3x2 + 5x −1 และ q( x) =x4 − 5x2 + 7 จะได p( x)q( x) = ( 3x2 + 5x −1)( x4 − 5x2 + 7) ( ) ( ) ( )= 3x2 x4 − 5x2 + 7 + 5x x4 − 5x2 + 7 −1 x4 − 5x2 + 7 ( ) ( ) ( )= 3x6 −15x4 + 21x2 + 5x5 − 25x3 + 35x − x4 − 5x2 + 7 = 3x6 + 5x5 −16x4 − 25x3 + 26x2 + 35x − 7 4. ให x2 −12x − 28 = ( x − a)( x − b) นนั่ คอื x2 −12x − 28 = x( x − b) − a( x − b) = ( x2 − bx) − (ax − ab) = x2 − (a + b) x + ab จะได a + b =12 และ ab = − 28 5. ให x2 − 2x + 5 = ( x − a)2 + b2 โดยที่ b > 0 นน่ั คอื ( )x2 − 2x + 5 = x2 − 2ax + a2 + b2 = x2 − 2ax + (a2 + b2 ) จะได −2a = −2 นนั่ คือ a = 1 และ a2 + b2 = 5 น่ันคอื b = 2 ดงั น้ัน a = 1 และ b = 2 6. ให p(x) =x2 + 3x , q( x) =x2 −1 และ r ( x)= x −1 จะได p( x)q( x) + r ( x) = ( x2 + 3x)( x2 −1) + ( x −1) = x2 ( x2 −1) + 3x( x2 −1) + ( x −1) = ( x4 − x2 ) + (3x3 − 3x) + ( x −1) = x4 + 3x3 − x2 − 2x −1 7. 1) วธิ ที ่ี 1 พิจารณา ( )4x4 − 3x3 + 2x2 − 5 = 4x4 − 3x3 + 2x2 − 5 ( )= x2 4x2 − 3x + 2 − 5 ดงั น้นั ผลหาร คอื 4x2 − 3x + 2 และเศษเหลอื คือ −5 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 333 วธิ ีท่ี 2 จาก a ( x) = 4x4 − 3x3 + 2x2 − 5 เขียนใหมไดเ ปน a( x) = 4x4 − 3x3 + 2x2 + 0x − 5 ใชการหารยาวดงั น้ี 4x2 −3x + 2 x2 4x4 − 3x3 + 2x2 + 0x − 5 4x4 − 3x3 + 2x2 + 0x − 5 −3x3 2x2 + 0x − 5 2x2 −5 จะได 4x4 − 3x3 + 2x2=− 5 ( )x2 4x2 − 3x + 2 − 5 ดงั นน้ั ผลหาร คือ 4x2 − 3x + 2 และเศษเหลอื คอื −5 2) จาก a( x=) x3 − 2 เขยี นใหมไดเ ปน a( x) = x3 + 0x2 + 0x − 2 และ b( x=) x2 + 2 ใชการหารยาวดังน้ี x x2 + 2 x3 + 0x2 + 0x − 2 x3 + 2x −2x − 2 จะได x3 − 2= ( x2 + 2)( x) + (−2x − 2) ดังน้ัน ผลหาร คอื x และเศษเหลอื คอื −2x − 2 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
334 คูม อื ครรู ายวิชาเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 3) ใชก ารหารยาวดังน้ี x4 − 3x3 + 5x2 −11x + 21 x + 2 x5 − x4 − x3 − x2 − x − 2 x5 + 2x4 − 3x4 − x3 − x2 − x − 2 − 3x4 − 6x3 5x3 − x2 − x − 2 5x3 + 10x2 −11x2 − x − 2 −11x2 − 22x 21x − 2 21x + 42 −44 ( )จะได x5 − x4 − x3 − x2 − x − 2 = ( x + 2) x4 − 3x3 + 5x2 −11x + 21 − 44 ดงั นนั้ ผลหาร คอื x4 − 3x3 + 5x2 −11x + 21 และเศษเหลือ คอื −44 4) จาก a( x=) x5 +1 เขียนใหมไดเปน a( x) =x5 + 0x4 + 0x3 + 0x2 + 0x +1 และ b( x=) x2 +1 ใชการหารยาวดังนี้ x3 − x x2 +1 x5 + 0x4 + 0x3 + 0x2 + 0x +1 x5 + x3 − x3 + 0x2 + 0x +1 − x3 −x x +1 จะได x5 +1= ( x2 +1)( x3 − x) + ( x +1) ดงั นัน้ ผลหาร คือ x3 − x และเศษเหลอื คือ x +1 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 335 5) จาก a ( x) = x6 + x3 +1 เขยี นใหมไดเ ปน a( x) =x6 + 0x5 + 0x4 + x3 + 0x2 + 0x +1 และ b( x=) x3 −1 ใชก ารหารยาวดังน้ี x3 + 2 x3 −1 x6 + 0x5 + 0x4 + x3 + 0x2 + 0x +1 x6 − x3 2x3 + 0x2 + 0x +1 2x3 − 2 3 จะได x6 + x3 +1= ( x3 −1)( x3 + 2) + 3 ดงั น้ัน ผลหาร คอื x3 + 2 และเศษเหลอื คอื 3 แบบฝกหัด 3.4 1. 1) ให p( x) = x4 − 3x + 5 จากทฤษฎบี ทเศษเหลอื เมื่อหาร p(x) ดวย x − 2 จะไดเ ศษเหลอื คือ p(2) โดยท่ี p(2) = (2)4 − 3(2) + 5 = 16 − 6 + 5 = 15 ดังน้ัน เศษเหลือ คอื 15 2) ให p ( x) = 2x3 + 7x2 − 5x − 4 จากทฤษฎีบทเศษเหลือ เมื่อหาร p(x) ดวย x + 3 จะไดเ ศษเหลอื คือ p(−3) โดยท่ี p(−3) = 2(−3)3 + 7(−3)2 − 5(−3) − 4 = 2(−27) + 7(9) − 5(−3) − 4 = −54 + 63 +15 − 4 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
336 คูม ือครูรายวชิ าเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 = 20 ดงั น้นั เศษเหลอื คอื 20 3) ให p ( x) = 6x3 +13x2 − 4 จากทฤษฎีบทเศษเหลือ เม่ือหาร p(x) ดว ย x + 2 จะไดเศษเหลอื คือ p(−2) โดยท่ี p(−2) = 6(−2)3 +13(−2)2 − 4 = 6(−8) +13(4) − 4 = −48 + 52 − 4 =0 ดงั นน้ั เศษเหลอื คอื 0 (แสดงวา x + 2 หาร 6x3 +13x2 − 4 ลงตัว) 4) ให p ( x) = x4 − 3x3 + 4x2 − x + 6 จากทฤษฎีบทเศษเหลือ เม่ือหาร p(x) ดว ย x −1 จะไดเ ศษเหลือ คือ p(1) โดยท่ี p(1) = (1)4 − 3(1)3 + 4(1)2 −1+ 6 = 1−3+ 4−1+ 6 =7 ดังนน้ั เศษเหลอื คือ 7 5) ให p ( x) = 2x4 − 5x3 − x2 + 3x +1 จากทฤษฎีบทเศษเหลือ เมื่อหาร p( x) ดวย x + 1 จะไดเศษเหลอื คือ p − 1 2 2 โดยท่ี p − 1 = 2 − 1 4 − 5 − 1 3 − − 1 2 + 3 − 1 +1 2 2 2 2 2 = 2 1 − 5 − 1 − 1 + 3 − 1 + 1 16 8 4 2 = 1 + 5 − 1 − 3 +1 8842 =0 ดงั นัน้ เศษเหลือ คือ 0 (แสดงวา x + 1 หาร 2x4 − 5x3 − x2 + 3x +1 ลงตัว) 2 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 337 2. ให p ( x) = x3 − 2x2 − 5x + 6 จะได p(1) = (1)3 − 2(1)2 − 5(1) + 6 = 1−2−5+6 =0 ดังนั้น x −1 เปนตวั ประกอบของ x3 − 2x2 − 5x + 6 3. ให p ( x) = x3 + x2 + x +1 จะได p(−1) = (−1)3 + (−1)2 + (−1) +1 = −1 +1 −1 +1 =0 ดงั นน้ั x +1 เปนตวั ประกอบของ x3 + x2 + x +1 4. 1) ให p ( x) = x3 − 2x2 + 8x − m จากทฤษฎีบทเศษเหลือ เม่ือหาร p(x) ดวย x − 5 จะไดเศษเหลอื คือ p(5) โดยที่ p(5) = (5)3 − 2(5)2 + 8(5) − m = 125 − 50 + 40 − m = 115 − m เนื่องจาก x − 5 หาร x3 − 2x2 + 8x − m ลงตวั นน่ั คอื p(5) = 0 จะได 115 − m =0 นน่ั คือ m =115 ดงั น้นั x − 5 หาร x3 − 2x2 + 8x − m ลงตวั เมอ่ื m =115 2) ให p ( x) = 3x4 − 2x3 + mx −1 จากทฤษฎบี ทเศษเหลอื เมื่อหาร p( x) ดวย x + 2 จะไดเ ศษเหลือ คือ p − 2 3 3 โดยที่ p − 2 = 3 − 2 4 − 2 − 2 3 + m − 2 −1 3 3 3 3 = 3 16 − 2 − 8 + m − 2 − 1 81 27 3 = 16 + 16 − 2 m − 1 27 27 3 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
338 คมู อื ครรู ายวิชาเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 = 5 − 2m 27 3 เนอื่ งจาก x + 2 หาร 3x4 − 2x3 + mx −1 เหลือเศษ −1 นนั่ คือ p − 2 =−1 3 3 จะได 5 − 2 m =−1 นัน่ คือ m = 16 27 3 9 ดงั น้ัน x + 2 หาร 3x4 − 2x3 + mx −1 เหลอื เศษ −1 เม่ือ m = 16 39 3) ให p( x) = x2 − 5x − 2 จากทฤษฎบี ทเศษเหลอื เมื่อหาร p(x) ดว ย x + m จะไดเศษเหลอื คือ p(−m) โดยท่ี p(−m) = (−m)2 − 5(−m) − 2 = m2 + 5m − 2 เนื่องจาก x + m หาร x2 − 5x − 2 เหลอื เศษ −8 น่ันคอื p(−m) =− 8 จะได m2 + 5m − 2 = −8 m2 + 5m + 6 = 0 (m + 2)(m + 3) = 0 จะได m = − 2 หรอื m = − 3 ดงั น้ัน x + m หาร x2 − 5x − 2 เหลือเศษ −8 เมื่อ m = − 2 หรอื m = − 3 5. 1) วธิ ีที่ 1 ให p( x) = x3 − x2 − 4x + 4 เนื่องจากจํานวนเต็มที่หาร 4 ลงตวั คือ ±1, ± 2, ± 4 พจิ ารณา p(1) p (1)= (1)3 − (1)2 − 4(1) + 4= 0 จะเหน็ วา p(1) = 0 ดงั นัน้ x −1 เปน ตวั ประกอบของ x3 − x2 − 4x + 4 นํา x −1 ไปหาร x3 − x2 − 4x + 4 ไดผลหารเปน x2 − 4 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 339 ดงั นนั้ ( )x3 − x2 − 4x + 4 = ( x −1) x2 − 4 วิธที ่ี 2 = ( x −1)( x − 2)( x + 2) ( )x3 − x2 − 4x + 4 = x3 − x2 − (4x − 4) = x2 ( x −1) − 4( x −1) = ( x2 − 4)( x −1) = ( x − 2)( x + 2)( x −1) 2) ให p ( x) = x3 + x2 − 8x −12 เนื่องจากจาํ นวนเต็มทห่ี าร −12 ลงตวั คือ ±1, ± 2, ± 3, ± 4, ± 6, ±12 พจิ ารณา p(−2) p (−2) = (−2)3 + (−2)2 − 8(−2) −12 = 0 จะเห็นวา p(−2) =0 ดงั นน้ั x + 2 เปนตวั ประกอบของ x3 + x2 − 8x −12 นํา x + 2 ไปหาร x3 + x2 − 8x −12 ไดผลหารเปน x2 − x − 6 ดงั นน้ั ( )x3 + x2 − 8x −12 = ( x + 2) x2 − x − 6 = (x + 2)(x + 2)(x − 3) = ( x + 2)2 ( x − 3) d 3) ให p ( x) = x4 − 2x3 − x2 − 4x − 6 เนื่องจากจํานวนเต็มทห่ี าร −6 ลงตัว คอื ±1, ± 2, ± 3, ± 6 พิจารณา p(−1) p (−1) =(−1)4 − 2(−1)3 − (−1)2 − 4(−1) − 6 =0 จะเหน็ วา p(−1) =0 ดงั นั้น x +1 เปนตัวประกอบของ x4 − 2x3 − x2 − 4x − 6 นํา x +1 ไปหาร x4 − 2x3 − x2 − 4x − 6 ไดผ ลหารเปน x3 − 3x2 + 2x − 6 ดงั นนั้ ( )x4 − 2x3 − x2 − 4x − 6 = ( x +1) x3 − 3x2 + 2x − 6 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
340 คมู ือครรู ายวชิ าเพิม่ เติมคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 = ( x +1) ( x3 − 3x2 ) + (2x − 6) = ( x +1) x2 ( x − 3) + 2( x − 3) = ( x +1)( x − 3)( x2 + 2) 4) ให p( x=) x3 −1 เนือ่ งจากจํานวนเต็มทีห่ าร −1 ลงตัว คอื ±1 พิจารณา p(1) p (1)= (1)3 −1= 0 จะเห็นวา p(1) = 0 ดงั น้นั x −1 เปน ตวั ประกอบของ x3 −1 นาํ x −1 ไปหาร x3 −1 ไดผ ลหารเปน x2 + x +1 ดังนั้น x3 −1 = ( x −1)( x2 + x +1) s 5) วิธีที่ 1 ให p( x=) x4 −1 เน่ืองจากจาํ นวนเต็มทีห่ าร −1 ลงตัว คอื ±1 พจิ ารณา p(1) p (1=) (1)4 −1= 0 จะเห็นวา p(1) = 0 ดงั นน้ั x −1 เปนตัวประกอบของ x4 −1 นาํ x −1 ไปหาร x4 −1 ไดผ ลหารเปน x3 + x2 + x +1 ดังนั้น ( )x4 −1 = ( x −1) x3 + x2 + x +1 วธิ ที ่ี 2 = ( x −1) ( x3 + x2 ) + ( x +1) สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี = ( x −1) x2 ( x +1) + ( x +1) = ( x −1)( x +1)( x2 +1) ( )x4 −1 = x2 2 −1 = ( x2 −1)( x2 +1) = ( x −1)( x +1)( x2 +1)
คูมอื ครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 341 6) วิธที ่ี 1 ให p( x) =x4 − 5x2 + 4 เน่ืองจากจาํ นวนเต็มท่ีหาร 4 ลงตัว คือ ±1, ± 2, ± 4 พจิ ารณา p(1) p (1)= (1)4 − 5(1)2 + 4= 0 จะเหน็ วา p(1) = 0 ดังนั้น x −1 เปนตวั ประกอบของ x4 − 5x2 + 4 นาํ x −1 ไปหาร x4 − 5x2 + 4 ไดผ ลหารเปน x3 + x2 − 4x − 4 ดงั นั้น ( )x4 − 5x2 + 4 = ( x −1) x3 + x2 − 4x − 4 = ( x −1) ( x3 + x2 ) − (4x + 4) = ( x −1) x2 ( x +1) − 4( x +1) = ( x −1)( x +1)( x2 − 4) = ( x −1)( x +1)( x − 2)( x + 2) วิธีท่ี 2 ( )( )x4 − 5x2 + 4 = x2 −1 x2 − 4 = ( x −1)( x +1)( x − 2)( x + 2) s 7) ให p ( x) = x4 − 2x3 + x2 − 4x + 4 เนื่องจากจาํ นวนเต็มทีห่ าร 4 ลงตวั คอื ±1, ± 2, ± 4 พจิ ารณา p(1) p (1)= (1)4 − 2(1)3 + (1)2 − 4(1) + 4= 0 จะเห็นวา p(1) = 0 ดงั นั้น x −1 เปนตัวประกอบของ x4 − 2x3 + x2 − 4x + 4 นํา x −1 ไปหาร x4 − 2x3 + x2 − 4x + 4 ไดผ ลหารเปน x3 − x2 − 4 ดังนนั้ x4 − 2x3 + x2 − 4x + 4 = ( x −1)( x3 − x2 − 4) ให q ( x) = x3 − x2 − 4 เน่อื งจากจาํ นวนเต็มที่หาร −4 ลงตัว คือ ±1, ± 2, ± 4 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
342 คูมอื ครรู ายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 พจิ ารณา q(2) q (2)= (2)3 − (2)2 − 4= 0 จะเห็นวา q(2) = 0 ดงั นั้น x − 2 เปนตวั ประกอบของ x3 − x2 − 4 นํา x − 2 ไปหาร x3 − x2 − 4 ไดผ ลหารเปน x2 + x + 2 ดังนน้ั ( )x3 − x2 − 4 = ( x − 2) x2 + x + 2 จะได ( )x4 − 2x3 + x2 − 4x + 4 = ( x −1)( x − 2) x2 + x + 2 8) ให p ( x) =x4 − 2x3 −13x2 +14x + 24 เน่ืองจากจาํ นวนเต็มท่ีหาร 24 ลงตัว คือ ±1, ± 2, ± 3, ± 4, ± 6, ± 8, ±12, ± 24 พิจารณา p(−1) p (−1) =(−1)4 − 2(−1)3 −13(−1)2 +14(−1) + 24 =0 จะเหน็ วา p(−1) =0 ดังน้นั x +1 เปน ตัวประกอบของ x4 − 2x3 −13x2 +14x + 24 นํา x +1 ไปหาร x4 − 2x3 −13x2 +14x + 24 ไดผลหารเปน x3 − 3x2 −10x + 24 ดังนน้ั x4 − 2x3 −13x2 +14x + 24 = ( x +1)( x3 − 3x2 −10x + 24) ให q ( x) =x3 − 3x2 −10x + 24 เนือ่ งจากจาํ นวนเต็มทห่ี าร 24 ลงตัว คอื ±1, ± 2, ± 3, ± 4, ± 6, ± 8, ±12, ± 24 พิจารณา q(2) q (2) = (2)3 − 3(2)2 −10(2) + 24 = 0 จะเหน็ วา q(2) = 0 ดงั น้ัน x − 2 เปนตวั ประกอบของ x3 − 3x2 −10x + 24 นาํ x − 2 ไปหาร x3 − 3x2 −10x + 24 ไดผ ลหารเปน x2 − x −12 ดงั นั้น ( )x3 − 3x2 −10x + 24 = ( x − 2) x2 − x −12 จะได ( )x4 − 2x3 −13x2 +14x + 24 = ( x +1)( x − 2) x2 − x −12 = ( x +1)( x − 2)( x + 3)( x − 4) สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 343 6. 1) ให p ( x) = 6x3 −11x2 + 6x −1 เน่อื งจากจํานวนเต็มทห่ี าร −1 ลงตัว คอื ±1 และจํานวนเตม็ ทหี่ าร 6 ลงตวั คือ ±1, ± 2, ± 3, ± 6 พจิ ารณา p(1) p (=1) 6(1)3 −11(1)2 + 6(1) −=1 0 จะเห็นวา p(1) = 0 ดังนนั้ x −1 เปน ตัวประกอบของ 6x3 −11x2 + 6x −1 นํา x −1 ไปหาร 6x3 −11x2 + 6x −1 ไดผ ลหารเปน 6x2 − 5x +1 ดงั นนั้ 6x3 −11x2 + 6x −1 = ( x −1)(6x2 − 5x +1) = ( x −1)(3x −1)(2x −1) ก 2) ให p ( x) = 6x3 + x2 −11x − 6 เนื่องจากจํานวนเต็มที่หาร −6 ลงตวั คอื ±1, ± 2, ± 3, ± 6 และจํานวนเต็มท่ีหาร 6 ลงตัว คอื ±1, ± 2, ± 3, ± 6 พจิ ารณา p(−1) p (−1) = 6(−1)3 + (−1)2 −11(−1) − 6 = 0 จะเหน็ วา p(−1) =0 ดังนน้ั x +1 เปน ตวั ประกอบของ 6x3 + x2 −11x − 6 นาํ x +1 ไปหาร 6x3 + x2 −11x − 6 ไดผลหารเปน 6x2 − 5x − 6 ดังน้ัน 6x3 + x2 −11x − 6 = ( x +1)(6x2 − 5x − 6) = ( x +1)(3x + 2)(2x − 3) 3) ให p ( x) = 8x4 + 8x3 + 6x2 + 4x +1 เนื่องจากจาํ นวนเต็มทห่ี าร 1 ลงตวั คือ ±1 และจาํ นวนเตม็ ทีห่ าร 8 ลงตัว คือ ±1, ± 2, ± 4, ± 8 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
344 คูม ือครูรายวิชาเพิม่ เติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 พจิ ารณา p − 1 2 p − 1 =8 − 1 4 + 8 − 1 3 + 6 − 1 2 + 4 − 1 + 1 =0 2 2 2 2 2 จะเหน็ วา p − 1 =0 ดงั น้นั x+1 เปน ตวั ประกอบของ 8x4 + 8x3 + 6x2 + 4x +1 2 2 นํา x + 1 ไปหาร 8x4 + 8x3 + 6x2 + 4x +1 ไดผ ลหารเปน 8x3 + 4x2 + 4x + 2 2 ดงั นน้ั 8x4 + 8x3 + 6x2 + 4x +1 = ( ) 1 8x3 2 x + + 4x2 + 4x + 2 = x + 1 ( 8x3 + 4 x2 ) + ( 4x + 2) 2 = x + 1 4 x 2 ( 2x + 1) + 2 ( 2x + 1) 2 = x + 1 ( 2 x + 1) ( 4 x2 + 2) 2 = 2 x + 1 (2x + 1) ( 2 x2 + 1) 2 = (2x +1)(2x +1)(2x2 +1) = (2x +1)2 (2x2 +1) ก 4) ให p ( x) = 3x4 − 8x3 + x2 + 8x − 4 เน่อื งจากจํานวนเต็มที่หาร −4 ลงตวั คือ ±1, ± 2, ± 4 และจาํ นวนเตม็ ทีห่ าร 3 ลงตวั คอื ±1, ± 3 พจิ ารณา p(1) p (1=) 3(1)4 − 8(1)3 + (1)2 + 8(1) −=4 0 จะเหน็ วา p(1) = 0 ดงั น้ัน x −1 เปน ตัวประกอบของ 3x4 − 8x3 + x2 + 8x − 4 นํา x −1 ไปหาร 3x4 − 8x3 + x2 + 8x − 4 ไดผ ลหารเปน 3x3 − 5x2 − 4x + 4 ดังน้นั 3x4 − 8x3 + x2 + 8x − 4 = ( x −1)(3x3 − 5x2 − 4x + 4) สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูม อื ครูรายวิชาเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 345 ให q ( x) = 3x3 − 5x2 − 4x + 4 เนื่องจากจาํ นวนเต็มทหี่ าร 4 ลงตวั คอื ±1, ± 2, ± 4 และจาํ นวนเตม็ ที่หาร 3 ลงตวั คือ ±1, ± 3 พจิ ารณา q(−1) q (−1) = 3(−1)3 − 5(−1)2 − 4(−1) + 4 = 0 จะเห็นวา q(−1) =0 ดงั น้ัน x +1 เปนตวั ประกอบของ 3x3 − 5x2 − 4x + 4 นาํ x +1 ไปหาร 3x3 − 5x2 − 4x + 4 ไดผลหารเปน 3x2 − 8x + 4 ดงั น้นั ( )3x3 − 5x2 − 4x + 4 = ( x +1) 3x2 − 8x + 4 จะได ( )3x4 − 8x3 + x2 + 8x − 4 = ( x −1)( x +1) 3x2 − 8x + 4 = ( x −1)( x +1)( x − 2)(3x − 2) แบบฝก หัด 3.5 1. เขียนแผนภาพเพอื่ แสดงจํานวนสมาชกิ ของเซตไดด ังนี้ 1) เนื่องจาก x3 − 2x2 − 5x + 6 = ( x −1)( x2 − x − 6) = ( x −1)( x + 2)( x − 3) จะได ( x −1)( x + 2)( x − 3) =0 ดังนั้น x −1 =0 หรือ x + 2 =0 หรอื x − 3 =0 จะได x = 1 หรือ x = − 2 หรอื x = 3 ดงั น้ัน เซตคาํ ตอบของสมการ คอื { − 2, 1, 3} 2) เน่ืองจาก x3 + x2 − 8x −12 =( x + 2)( x + 2)( x − 3) จะได ( x + 2)( x + 2)( x − 3) =0 ดังนน้ั x + 2 =0 หรือ x − 3 =0 จะได x = − 2 หรอื x = 3 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
346 คูมอื ครูรายวิชาเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 ดงั นนั้ เซตคาํ ตอบของสมการ คือ { − 2, 3} ก 3) เน่ืองจาก 1− 3x2 + 2x3 =( x −1)( x −1)(2x +1) จะได ( x −1)( x −1)(2x +1) =0 ดังนัน้ x −1 =0 หรือ 2x +1 =0 จะได x = 1 หรอื x = − 1 2 ดงั นน้ั เซตคาํ ตอบของสมการ คือ − 1 , 1 2 4) จดั รปู สมการใหมไดเ ปน 3x3 − 2x2 − 7x − 2 =0 เนื่องจาก 3x3 − 2x2 − 7x − 2 = ( x +1)( x − 2)(3x +1) จะได ( x +1)( x − 2)(3x +1) =0 ดงั น้นั x +1 =0 หรอื x − 2 =0 หรือ 3x +1 =0 จะได x = −1 หรือ x = 2 หรอื x = − 1 3 ดงั นน้ั เซตคําตอบของสมการ คือ − 1, − 1, 2 3 5) เนื่องจาก 6 −13x + 4x3 =( x + 2)(2x −1)(2x − 3) จะได ( x + 2)(2x −1)(2x − 3) =0 ดงั นั้น x + 2 =0 หรอื 2x −1 =0 หรือ 2x − 3 =0 จะได x = − 2 หรือ x = 1 หรอื x = 3 22 ดังนั้น เซตคาํ ตอบของสมการ คือ − 2 , 1, 3 2 2 6) เนื่องจาก x3 − 3x2 + x + 2 = ( x − 2)( x2 − x −1) จะได ( x − 2)( x2 − x −1) =0 ดังนน้ั x − 2 =0 หรอื x2 − x −1 =0 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 347 จะได x = 2 หรอื x = 1± 5 2 ดงั นน้ั เซตคําตอบของสมการ คือ 2 , 1 + 5 , 1− 5 2 2 7) จดั รูปสมการใหมไดเปน 2x3 − 3x2 − 5x + 6 =0 เน่อื งจาก 2x3 − 3x2 − 5x + 6 = ( x −1)( x − 2)(2x + 3) จะได ( x −1)( x − 2)(2x + 3) =0 ดังนั้น x −1 =0 หรอื x − 2 =0 หรอื 2x + 3 =0 จะได x = 1 หรือ x = 2 หรอื x = − 3 2 ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คอื − 3 , 1, 2 2 8) เนื่องจาก x3 − x2 − x − 2 = ( x − 2)( x2 + x +1) จะได ( x − 2)( x2 + x +1) =0 ดงั นัน้ x − 2 =0 หรือ x2 + x +1 =0 ถา x − 2 =0 จะได x = 2 ถา x2 + x +1 =0 และเน่ืองจาก (1)2 − 4(1)(1) =− 3 จะไดวา ไมม ีจํานวนจริงที่เปนคําตอบของสมการนี้ ดงั นนั้ เซตคาํ ตอบของสมการ คือ { 2} 9) เนื่องจาก 4x3 +13x2 + 4x −12 = ( x + 2)( x + 2)(4x − 3) จะได ( x + 2)( x + 2)(4x − 3)=0 ดงั นน้ั x + 2 =0 หรอื 4x − 3 =0 จะได x = − 2 หรอื x = 3 4 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
348 คูม อื ครูรายวชิ าเพิม่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 ดงั นนั้ เซตคําตอบของสมการ คอื − 2, 3 4 10) จัดรูปสมการใหมไดเปน 2x4 −13x3 + 28x2 − 23x + 6 =0 เน่ืองจาก 2x4 −13x3 + 28x2 − 23x + 6 = ( x −1)( x − 2)( x − 3)(2x −1) จะได ( x −1)( x − 2)( x − 3)(2x −1) =0 ดงั นนั้ x −1 =0 หรือ x − 2 =0 หรอื x − 3 =0 หรือ 2x −1 =0 จะได x = 1 หรือ x = 2 หรอื x = 3 หรอื x = 1 2 ดังน้ัน เซตคาํ ตอบของสมการ คือ 1 , 1, 2, 3 2 11) เนอื่ งจาก 4x4 − 4x3 − 9x2 + x + 2 = ( x +1)( x − 2)(2x −1)(2x +1) จะได ( x +1)( x − 2)(2x −1)(2x +1) =0 ดงั นั้น x +1 =0 หรอื x − 2 =0 หรือ 2x −1 =0 หรือ 2x +1 =0 จะได x = −1 หรอื x = 2 หรือ x = 1 หรอื x = − 1 22 ดังนั้น เซตคาํ ตอบของสมการ คือ − 1, − 1, 1, 2 2 2 12) จัดรูปสมการใหมไดเปน 3x4 − 8x3 + x2 + 8x − 4 =0 เนื่องจาก 3x4 − 8x3 + x2 + 8x − 4 = ( x −1)( x +1)( x − 2)(3x − 2) จะได ( x −1)( x +1)( x − 2)(3x − 2) =0 ดงั นัน้ x −1 =0 หรือ x +1 =0 หรือ x − 2 =0 หรอื 3x − 2 =0 จะได x = 1 หรือ x = −1 หรือ x = 2 หรอื x = 2 3 ดงั นน้ั เซตคาํ ตอบของสมการ คอื − 1, 2 , 1, 2 3 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 349 13) เนื่องจาก x4 − 2x3 −13x2 +14x + 24 = ( x +1)( x − 2)( x + 3)( x − 4) จะได ( x +1)( x − 2)( x + 3)( x − 4) =0 ดังน้ัน x +1 =0 หรอื x − 2 =0 หรือ x + 3 =0 หรอื x − 4 =0 จะได x = −1 หรอื x = 2 หรือ x = − 3 หรอื x = 4 ดังนั้น เซตคาํ ตอบของสมการ คอื { − 3, −1, 2, 4} 2. ใหจํานวนค่สี ามจาํ นวนที่เรียงติดกัน คือ x − 2, x, x + 2 ดงั นั้น ( x − 2)( x)( x + 2) =1,287 นั่นคอื x3 − 4x −1287 = 0 ( x −11)( x2 +11x +117) = 0 ดงั นัน้ x −11 =0 หรือ x2 +11x +117 =0 ถา x −11 =0 จะได x = 11 ถา x2 +11x +117 =0 และเนื่องจาก (11)2 − 4(1)(117) =− 347 จะไดวาไมมจี าํ นวนจริงท่เี ปน คาํ ตอบของสมการน้ี ดงั นั้น x = 11 สรุปไดว า จํานวนทนี่ อยท่สี ดุ คอื 11− 2 =9 3. ความสมั พันธระหวางเวลากับความสูงของลกู บอลจากพ้นื ดินแทนดว ยสมการ s (t ) =12 + 28t − 5t2 จัดรปู สมการใหมไดเ ปน s(t) =− 5t2 + 28t +12 ลูกบอลจะกระทบพื้นเม่อื s(t) = 0 นน่ั คือ −5t2 + 28t +12 = 0 5t2 − 28t −12 = 0 (5t + 2)(t − 6) = 0 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
350 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 ดังนั้น 5t + 2 =0 หรอื t − 6 =0 จะได t = − 2 หรือ t = 6 5 ดงั นน้ั ลกู บอลจะลอยอยูในอากาศนาน 6 วนิ าที กอ นตกกระทบพื้นดนิ ครัง้ แรก แบบฝก หดั 3.6 1. 1) x3 −1 = ( x −1)( x2 + x +1) x −1 x −1 = x2 + x +1 เมื่อ x ≠ 1ด 4x2 − 9 (2x − 3)(2x + 3) 2) 2x2 + x − 3 = (2x + 3)( x −1) = 2x −3 เมอ่ื x ≠ − 3 x −1 2 ( )3) x3 − x2 − x +1 = x3 − x2 − ( x −1) ( ) ( )x4 − 4x3 + 4x2 −1 x4 −1 − 4x3 − 4x2 x2 ( x −1) − ( x −1) = ( x2 −1)( x2 +1) − 4x2 ( x −1) x2 ( x −1) − ( x −1) = ( x −1)( x +1)( x2 +1) − 4x2 ( x −1) ( x −1)( x2 −1) เมอ่ื x ≠ 1 = ( x −1) ( x +1)( x2 +1) − 4x2 ( x −1)( x +1) ( )= x3 + x2 + x +1 − 4x2 ( x −1)( x +1) = x3 − 3x2 + x +1 ( x −1)( x +1) = ( x −1)( x2 − 2x −1) สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 351 = x +1 เม่อื x ≠ 1 ด x2 − 3x ⋅ x2 − 4 = x2 − 2x −1 x2 − x − 2 x2 − x − 6 2. 1) x( x − 3) ( x − 2)( x + 2) 2) ( x − 2)( x +1) ⋅ ( x − 3)( x + 2) 3) 4) = x เมอื่ x ≠ − 2, x ≠ 2 และ x ≠ 3 3. 1) x +1 x3 −1 ⋅ x3 +1 ( x −1)( x2 + x +1) ( x +1)( x2 − x +1) =⋅ x2 − x +1 x2 + x +1 x2 − x +1 x2 + x +1 = ( x −1)( x +1) เนือ่ งจาก x2 ± x +1= x ± 1 2 + 3 > 0 2 4 = x2 −1 x2 + 3x −10 ÷ x + 5 = x2 + 3x −10 ⋅ x + 2 x+2 x+2 x+2 x+5 = (x + 5)(x − 2) ⋅ x + 2 x+2 x+5 = x − 2 เมื่อ x ≠ − 2 และ x ≠ − 5 2x − 8 ÷ x2 −16 = 2x − 8 ⋅ x3 + x2 x2 x3 + x2 x2 x2 −16 = 2( x − 4) x2 ( x +1) = x2 ⋅ (x − 4)(x + 4) = 1+ 1 + 1 = 2( x +1) เมือ่ x ≠ 0 และ x ≠ 4 x x +1 x + 2 = x+4 2x + 2 เมอ่ื x ≠ 0 และ x ≠ 4 x+4 ( x +1)( x + 2) + x( x(x + 2) 2) + x( x( x +1) 2) x( x +1)( x + 2) x +1)( x +1)( x + x+ (x2 + 3x + 2) + (x2 + 2x) + (x2 + x) x( x +1)( x + 2) = 3x2 + 6x + 2 x( x +1)( x + 2) สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
352 คูม อื ครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 2) x + x −1 = ( x − x x + 3) + ( x + x −1 + 3) x2 + x − 6 x2 + 5x + 6 = 2)( 2)(x ( x − x(x + 2) x + 3) + ( x ( x −1)( x − 2) 3) 2)(x + 2)( − 2)(x + 2)(x + = (x2 + 2x) + (x2 − 3x + 2) (x − 2)(x + 2)(x + 3) = 2x2 − x + 2 3) 2 − 2 + 1 = (x − 2)(x + 2)(x + 3) 3x x +1 x + 2 = 2( x +1)( x + 2) − 2(3x)( x + 2) + (3x)( x +1) 2) 3x( x +1)( x + 2) 3x( x +1)( x + 2) 3x( x +1)( x + (2x2 + 6x + 4) − (6x2 +12x) + (3x2 + 3x) 3x( x +1)( x + 2) = −x2 − 3x + 4 3x( x +1)( x + 2) 4) x2 − 5 − 4 = ( x x2 − 5 3) − ( x − 2 4 x + 2 ) x2 − 5x + 6 x2 − 4 − 2)(x − )( (x2 − 5)(x + 2) 4( x − 3) = ( x − 2)( x + 2)( x − 3) − ( x − 2)( x + 2)( x − 3) = ( x3 + 2x2 − 5x −10) − (4x −12) = ( x − 2)(x + 2)(x − 3) x3 + 2x2 − 9x + 2 (x − 2)( x + 2)(x − 3) = ( x − 2)( x2 + 4x −1) = (x − 2)(x + 2)(x − 3) x2 + 4x −1 เม่อื x ≠ 2 ( x + 2)( x − 3) สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูม ือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 353 แบบฝกหัด 3.7 1. 1) จดั รปู สมการใหมไดเ ปน ด ( x x ( x −1) 2) − ( x + 2 x + 2 ) =0 + 1)( x + 1)( x2 − x − 2 =0 ( x +1)( x + 2) ( x − 2)( x +1) ( x +1)( x + 2) = 0 x−2 =0 เม่ือ x ≠ −1 x+2 จะได x − 2 =0 และ x + 2 ≠ 0 นนั่ คอื x = 2 โดยที่ x ≠ − 2 และ x ≠ −1 ดังนนั้ เซตคําตอบของสมการ คือ { 2} 2) จาก x + x +1 =0 x −1 x =0 =0 x2 + ( x + 1) (x− 1) x− x(x − 1) x ( 1) ( )x2 + x2 −1 x( x −1) 2x2 −1 = 0 x( x −1) จะได 2x2 −1 =0 และ x( x −1) ≠ 0 จะได x = − 1 หรือ x = 1 โดยที่ x ≠ 0 และ x ≠ 1 22 ดังน้นั เซตคําตอบของสมการ คอื − 1 , 1 2 2 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
354 คมู ือครูรายวชิ าเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 3) จดั รูปสมการใหมไดเปน 1− x+6 = 0 x x2 + 3 = 0 = 0 x x2 +3 − (x+ 6)(x) 0 (x )2 + 3 x(x )2 + 3 1 1 (x2 + 3) − (x2 + 6x) 1 x(x2 + 3) 1 0 −6x + 3 = 0 0 x(x2 + 3) จะได −6x + 3 =0 และ x( x2 + 3) ≠ 0 เน่อื งจาก x2 + 3 > 0 เสมอ จะได x = 1 โดยท่ี x ≠ 0 2 ดงั นัน้ เซตคาํ ตอบของสมการ คือ 1 ด 2 4) จาก 1− 4 = x x −1 x x −1 − x ( 4 x = x ( x −1) − 1) ( x −1) − 4x = x( x −1) −3x −1 = = x( x −1) = = −3x −1 − 1 x( x −1) −3x −1 − x(x − 1) x(x − 1) x( x −1) (−3x −1) − x( x −1) x( x −1) สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูม อื ครรู ายวชิ าเพิม่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 355 (−3x −1) − ( x2 − x) =0 x( x −1) −x2 − 2x −1 =0 x( x −1) x2 + 2x +1 =0 x( x −1) ( x +1)2 = 0 x( x −1) จะได ( x +1)2 =0 และ x( x −1) ≠ 0 น่ันคือ x = −1 โดยท่ี x ≠ 0 และ x ≠ 1 ดังนน้ั เซตคาํ ตอบของสมการ คอื { −1} 5) จาก 1+ 1 = 1 + 1 ด x +1 x2 + x x x2 x 1 + 1 = 1+ 1 +1 x x2 x( x +1) x( x + x( 1 = x+1 x2 x2 x +1) x +1) x +1 = x +1 x2 x( x +1) x +1 − x+ 1 = 0 x2 x ( x +1) x( x +1) ( x +1)( x +1) =0 x2 ( x +1) − x2 ( x +1) x( x +1) − ( x +1)( x +1) =0 x2 ( x +1) ( x2 + x) − ( x2 + 2x +1) =0 x2 ( x +1) −x −1 =0 x2 ( x +1) สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
356 คมู ือครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 x +1 =0 x2 ( x +1) 1 = 0 เมื่อ x ≠ −1 x2 จะเหน็ วาไมมีจํานวนจริง x ที่ทําใหส มการนเี้ ปนจรงิ ดงั นน้ั เซตคําตอบของสมการ คอื ∅ 6) จดั รปู สมการใหมไดเปน 1 + 1 −6 = 0 x2 +1 x −1 5 0 0 ( x −1)(5) + ( x2 +1)(5) − 6( x −1)( x2 +1) = 5( x −1)( x2 +1) (5x − 5) + (5x2 + 5) − (6x3 − 6x2 + 6x − 6) = 5( x −1)( x2 +1) −6x3 + 11x2 − x + 6 =0 5( x −1)( x2 +1) 6x3 −11x2 + x − 6 =0 5( x −1)( x2 +1) ( x − 2)(6x2 + x + 3) =0 ( x −1)( x2 +1) จะได ( x − 2)(6x2 + x + 3) =0 และ ( x −1)( x2 +1) ≠ 0 เนอื่ งจาก 12 − 4(6)(3) < 0 จะไดว า ไมมีจาํ นวนจรงิ x ทที่ าํ ให 6x2 + x + 3 =0 และเนอ่ื งจาก x2 +1 > 0 เสมอ จะได x = 2 โดยท่ี x ≠ 1 ดังนน้ั เซตคาํ ตอบของสมการ คือ { 2} สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูม อื ครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 357 7) จาก 1− x =1 x − 2 x2 +1 6 ( x − x2 +1 + 1) − ( x x (x −2 ) 1) = 1 − 2) 6 2) ( x2 ( x2 + ( x2 +1) − ( x2 − 2x) = 1 ( x − 2)( x2 +1) 6 2x +1 = 1 6 ( x − 2)( x2 +1) ( x − 2x +1 + 1) − 1 =0 6 2) ( x2 6(2x +1) ( x − 2)( x2 +1) 6( x − 2)( x2 +1) − 6( x − 2)( x2 +1) = 0 (12x + 6) − ( x3 − 2x2 + x − 2) =0 6( x − 2)( x2 +1) −x3 + 2x2 + 11x + 8 =0 6( x − 2)( x2 +1) x3 − 2x2 −11x − 8 =0 ( x − 2)( x2 +1) ( x +1)( x2 − 3x − 8) =0 ( x − 2)( x2 +1) จะได ( x +1)( x2 − 3x − 8) =0 และ ( x − 2)( x2 +1) ≠ 0 เน่อื งจาก x2 +1 > 0 เสมอ จะได x = −1 , x = 3 − 41 หรือ x = 3 + 41 โดยที่ x ≠ 2 22 ดงั น้นั เซตคาํ ตอบของสมการ คือ − 1, 3 − 41 , 3 + 41 2 2 8) จาก 1−1 = 2 x2 − x +1 x2 + x +1 3x สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
358 คูม อื ครรู ายวิชาเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 ( x2 + x +1) − ( x2 − x +1) = 2 ( x2 − x +1)( x2 + x +1) 3x 2x = 2 3x ( x2 − x +1)( x2 + x +1) ( x2 − x 2x + x + 1) − 2 =0 3x +1)( x2 ( x2 − x + x x2 + x + 1) − 1 =0 3x 1)( ( x)(3x) − ( x2 − x +1)( x2 + x +1) =0 ( x2 − x +1)( x2 + x +1)(3x) ( )3x2 − x4 + x2 +1 =0 ( x2 − x +1)( x2 + x +1)(3x) −x4 + 2x2 −1 =0 ( x2 − x +1)( x2 + x +1)(3x) x4 − 2x2 +1 =0 ( x2 − x +1)( x2 + x +1)(3x) ( x2 )−1 2 =0 ( x2 − x +1)( x2 + x +1)(3x) ( x −1)2 ( x +1)2 =0 ( x2 − x +1)( x2 + x +1)(3x) จะได ( x −1)2 ( x +1)2 =0 และ ( x2 − x +1)( x2 + x +1)(3x) ≠ 0 เนือ่ งจาก (−1)2 − 4(1)(1) < 0 จะไดวา ไมมจี ํานวนจรงิ x ทท่ี ําให x2 − x +1 =0 และเนอื่ งจาก 12 − 4(1)(1) < 0 จะไดว า ไมมีจํานวนจริง x ทที่ ําให x2 + x +1 =0 จะได x = −1 หรอื x = 1 โดยที่ x ≠ 0 ดังน้ัน เซตคาํ ตอบของสมการ คอื { −1, 1} 2. ใหอ ัตราเรว็ ของการบนิ ปกติ คือ x กโิ ลเมตรตอช่วั โมง สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูม ือครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 359 ในการบนิ ระยะทาง 1,500 กิโลเมตร ดวยอตั ราเรว็ ปกติ จะใชเ วลา 1500 ชว่ั โมง x เนอ่ื งจากเคร่ืองบินพบกับสภาพอากาศแปรปรวน จงึ บินดวยอตั ราเร็วลดลง 100 กิโลเมตรตอ ชั่วโมง นน่ั คอื เม่ือพบสภาพอากาศแปรปรวน เครื่องบินจะบนิ ดวยอัตราเร็ว x −100 กิโลเมตรตอช่วั โมง ดังน้ัน เม่อื พบสภาพอากาศแปรปรวน เครือ่ งบินจะใชเวลาบนิ 1500 ชัว่ โมง x −100 เน่ืองจากการบนิ ในสภาพอากาศแปรปรวนจะถึงที่หมายชากวา ปกติอยู 10 นาที ดงั นนั้ 1500 − 1500 = 10 x −100 x = 60 = 1 1500 − 1500 = 6 x −100 x 0 1500 − 1500 − 1 0 x −100 x 6 1500(6x) − (1500)(6)( x −100) − x( x −100) 6x( x −100) 9000x − 9000x + 900000 − x2 +100x =0 6x( x −100) x2 −100x − 900000 =0 6x( x −100) ( x + 900)( x −1000) =0 6x( x −100) จะได ( x + 900)( x −1000) =0 และ 6x( x −100) ≠ 0 น่นั คอื x = − 900 หรือ x = 1,000 โดยที่ x ≠ 0 และ x ≠ 100 เนอื่ งจาก x > 0 จะได เซตคําตอบของสมการ คอื {1000} ดงั นนั้ อัตราเรว็ ของการบินปกติ คอื 1,000 กิโลเมตรตอช่ัวโมง สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
360 คูมือครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 แบบฝกหดั 3.8 1. ไมจริง (เชน a = −1 และ b = − 2 จะได a2 = 1 และ b2 = 4 ซ่ึงจะเหน็ วา a > b แต a2 < b2 ) ด 2. ไมจรงิ (เชน a = 1 และ b = −1 จะได 1 = 1 และ 1 = −1 ab ซึ่งจะเหน็ วา a > b และ 1 > 1 ) ab 3. จรงิ 4. จรงิ 5. จรงิ 6. จรงิ 7. กรณีที่ a และ b เปน จํานวนจรงิ บวกทัง้ คู หรอื กรณีท่ี a และ b เปน จํานวนจรงิ ลบทั้งคู 8. กรณีที่ a เปน จํานวนจริงบวก แต b เปน จาํ นวนจรงิ ลบ แบบฝก หัด 3.9ก –4 –3 –2 –1 0 1 2 – 3 –2 –1 0 1 2 3 1. 1) { x | − 3 ≤ x < 1} 2) { x | x > − 2} 2 3 4 5 67 8 3) { x | 4 ≤ x ≤ 7 } สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 361 4) { x | −3 < x < 0} –4 –3 –2 –1 0 1 2 5) { x | x < − 3} –5 –4 –3 –2 –1 0 1 6) { x | x ≥ 1} –2 –1 0 1 2 3 4 7) { x | −1 < x ≤ 4} –2 –1 0 1 2 3 4 8) { x | x ≤ 1} –4 –3 –2 –1 0 1 2 9) { x | −10 < x < − 8} –12 –11 –10 –9 –8 –7 –6 10) { x | 2.5 ≤ x ≤ 4 } –2 –1 0 1 2 2.5 3 4 2. เขียนแสดง A และ B บนเสน จํานวนไดด ังน้ี –2 –1 0 1 2 3 4 1) A ∪ B =( −1, 4 ] ด 2) A ∩ B =[ 0, 2 ) 3) A − B =( −1, 0 ) ด 4) B − A =[ 2, 4 ] 5) A′ = ( − ∞, −1 ] ∪ [ 2, ∞ ) ด สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
362 คูมือครูรายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 6) B′ = ( − ∞, 0 ) ∪ ( 4, ∞ ) 3. เขยี นแสดง A , B และ C บนเสน จํานวนไดดงั น้ี –1 0 1 2 3 4 5 จากเสน จาํ นวนจะไดวา 1) { x | −1 < x ≤ 4} หรือ ( −1, 4 ] 2) { x | 2 ≤ x ≤ 4} หรอื [ 2, 4 ] 3) { x | −1 < x ≤ 5} หรือ ( −1, 5 ] 4) { x | 2 ≤ x < 3} หรือ [ 2, 3 ) 5) { x | −1 < x < 2} หรือ ( −1, 2 ) 6) { x | 3 ≤ x ≤ 4} หรือ [ 3, 4 ] 7) { x | 1 < x ≤ 4} หรือ ( 1, 4 ] 8) { x | 1 < x ≤ 4} หรอื ( 1, 4 ] แบบฝก หัด 3.9ข 3x +1 < 2x −1 3x − 2x < −1 −1 1. จาก จะได x < −2 สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 363 ดงั นน้ั เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − ∞, − 2 ) ด 2. จาก 4 y + 7 > 2( y +1) จะได 4y + 7 > 2y + 2 4y −2y > 2−7 2 y > −5 y> −5 2 ดังนนั้ เซตคาํ ตอบของอสมการ คอื − 5, ∞ 2 3( y −1) 3. จาก 2(3y −1) > จะได 6y − 2 > 3y − 3 6 y − 3y > −3 + 2 3y > −1 y> −1 3 ดงั นน้ั เซตคําตอบของอสมการ คอื − 1 , ∞ 3 3x − (3 − 2x) 4. จาก 4 −(3− x) < จะได 4 − 3 + x < 3x − 3 + 2x x − 3x − 2x < −3 − 4 + 3 −4x < −4 1 x> ดังน้นั เซตคําตอบของอสมการ คอื ( 1, ∞ ) 5. จาก x2 − x − 6 < 0 จะได ( x − 3)( x + 2) < 0 พิจารณาเสน จาํ นวน สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
364 คมู อื ครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 x–3 < 0 x–3 > 0 x+2 < 0 x+2 > 0 –2 –1 0 1 2 3 4 ดงั นนั้ เซตคําตอบของอสมการ คือ [ − 2, 3 ] 6. จาก 2x2 + 7x + 3 > 0 0 จะได (2x +1)( x + 3) > พจิ ารณาเสน จาํ นวน 2x + 1 < 0 2x + 1 > 0 x+3 < 0 x+3 > 0 –3 –2 –1 0 1 2 3 ดงั นั้น เซตคาํ ตอบของอสมการ คือ ( − ∞ , − 3] ∪ − 1 , ∞ 2 7. จาก 6x − x2 ≥ 5 จะได x2 − 6x + 5 < 0 ( x − 5)( x −1) < 0 พจิ ารณาเสนจํานวน สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวิชาเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 365 x–5 < 0 x–5 > 0 x–1 > 0 x–1 < 0 0 12 3 45 ดังน้ัน เซตคําตอบของอสมการ คอื [1, 5 ] 8. จาก 2x < 3 − x2 0 จะได x2 + 2x − 3 < 0 ( x −1)( x + 3) < พิจารณาเสน จาํ นวน x+3 < 0 x+3 > 0 x–1 < 0 x–1 > 0 –4 –3 –2 –1 0 1 ดังนนั้ เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − 3, 1 ) 9. จาก x2 + 2x < 15 0 จะได x2 + 2x −15 < 0 ( x − 3)( x + 5) < พิจารณาเสนจํานวน สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
366 คูมอื ครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 x–3 < 0 x–3 > 0 x+5 < 0 x+5 > 0 –5 –4 –3 –2 –1 0 1 2 3 4 5 ดงั นน้ั เซตคาํ ตอบของอสมการ คือ ( − 5, 3 ) 10. จาก 3x2 + 2 > 7x 0 จะได 3x2 − 7x + 2 > 0 (3x −1)( x − 2) > พจิ ารณาเสนจาํ นวน 3x – 1 < 0 3x – 1 > 0 x–2 < 0 x–2 > 0 –1 0 1 2 3 4 ดังนัน้ เซตคําตอบของอสมการ คือ − ∞ , 1 ∪ [ 2, ∞ ) 3 11. จาก x3 − 3x2 < 10x จะได x3 − 3x2 −10x < 0 x( x2 − 3x −10) < 0 x(x + 2)(x − 5) < 0 พิจารณาเสน จาํ นวน สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวชิ าเพิม่ เติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 367 x+2 < 0 x< 0 x> 0 x+2 > 0 x–5 < 0 x–5 > 0 –2 –1 0 1 2 3 4 5 6 ดังนนั้ เซตคําตอบของอสมการ คอื ( − ∞, − 2 ] ∪ [ 0, 5 ] 12. จาก x3 − x2 − x +1 > 0 จะได ( x3 − x2 ) − ( x −1) > 0 x2 ( x −1) − ( x −1) > 0 ( x −1)( x2 −1) > 0 ( x −1)( x −1)( x +1) > 0 ( x −1)2 ( x +1) > 0 วธิ ีที่ 1 พิจารณาเสน จาํ นวน x–1 < 0 x–1 > 0 x+1 < 0 x+1 > 0 –3 –2 –1 0 1 23 วิธที ี่ 2 ดงั น้นั เซตคําตอบของอสมการ คอื [ −1, ∞ ) จาก ( x −1)2 ( x +1) > 0 เน่ืองจาก ( x −1)2 ≥ 0 เสมอ จะได x +1 > 0 x > −1 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
368 คูมือครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 13. จาก ดงั น้นั เซตคาํ ตอบของอสมการ คือ [ −1, ∞ ) จะได x3 − x > 2x2 − 2 x3 − 2x2 − x + 2 > 0 (x3 − 2x2 ) − (x − 2) > 0 x2 (x − 2) − (x − 2) > 0 ( x − 2)( x2 −1) > 0 ( x − 2)( x −1)( x +1) > 0 พิจารณาเสน จาํ นวน x–2 < 0 x–2 > 0 x–1 < 0 x–1 > 0 x+1 < 0 x+1 > 0 –3 –2 –1 0 1 2 3 ดังน้นั เซตคําตอบของอสมการ คอื ( −1, 1 ) ∪ ( 2, ∞ ) 14. จาก ( )x x2 + 4 < 5x2 จะได ( )x x2 + 4 − 5x2 < 0 x3 − 5x2 + 4x < 0 x(x2 − 5x + 4) < 0 x( x −1)( x − 4) < 0 พิจารณาเสนจาํ นวน สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 369 x<0 x>0 x–1 < 0 x–1 > 0 x–4 < 0 x–4 > 0 –1 0 1 2 3 4 5 ดงั น้ัน เซตคาํ ตอบของอสมการ คือ ( − ∞, 0 ) ∪ ( 1, 4 ) 15. จาก ( x −1)( x + 3) พจิ ารณาเสนจํานวน <0 x−2 x–2 < 0 x–2 > 0 x–1 < 0 x–1 > 0 x+3 > 0 x+3 < 0 –4 –3 –2 –1 0 1 2 ดังนน้ั เซตคําตอบของอสมการ คอื ( − ∞, − 3 ] ∪ [1, 2 ) 16. จาก 2x −3 >0 (x + 2)(x − 5) พิจารณาเสน จํานวน สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
370 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 x–5 < 0 x–5 > 0 2x – 3 > 0 2x – 3 < 0 x+2 < 0 x+2 > 0 –2 –1 0 1 2 3 4 5 ดงั นน้ั เซตคําตอบของอสมการ คือ − 2, 3 ∪ ( 5, ∞ ) 2 17. จาก x2 + 12 >7 x จะได x2 +12 − 7 > 0 x x2 − 7x + 12 >0 x >0 (x − 3)(x − 4) x พจิ ารณาเสน จํานวน x–3< 0 x–3> 0 x–4< 0 x–4> 0 x<0 x>0 –1 0 1 2 3 4 5 ดังน้ัน เซตคาํ ตอบของอสมการ คอื ( 0, 3 ) ∪ ( 4, ∞ ) สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 371 18. จาก x2 + 6 <5 จะได x พิจารณาเสนจํานวน x2 + 6 − 5 < 0 x x2 − 5x + 6 <0 x <0 (x − 2)(x − 3) x x –3 < 0 x –3 > 0 x –2 < 0 x –2 > 0 x<0 x>0 –2 –1 0 1 2 3 4 ดังนั้น เซตคาํ ตอบของอสมการ คอื ( − ∞, 0 ) ∪ [ 2, 3 ] 19. จาก 6 >1 จะได x −1 พิจารณาเสน จํานวน 6 −1 > 0 x −1 6 − ( x −1) >0 x −1 −x + 7 >0 x −1 x−7 < 0 x −1 สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
372 คูมือครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 x–7 < 0 x–7 > 0 x–1 < 0 x–1 > 0 –1 0 12 3 4 567 ดังนั้น เซตคาํ ตอบของอสมการ คือ ( 1, 7 ) 20. จาก 2x − 4 < 1 จะได x −1 < 0 2x − 4 −1 < 0 พิจารณาเสน จํานวน x −1 < 0 (2x − 4) − ( x −1) x −1 x−3 x −1 x–3 < 0 x–3 > 0 x–1 < 0 x–1 > 0 –2 –1 0 12 34 ดงั น้นั เซตคาํ ตอบของอสมการ คือ ( 1, 3 ) 21. จาก 6 < x +1 จะได x−4 < 0 < 0 6 − ( x +1) x−4 6 − ( x +1)( x − 4) x−4 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 373 6 − (x2 − 3x − 4) <0 <0 x−4 >0 −x2 + 3x + 10 >0 x−4 x–5 < 0 x–5 > 0 x2 − 3x −10 x–4 < 0 x–4 > 0 x−4 (x − 5)(x + 2) x−4 พิจารณาเสนจาํ นวน x+2 < 0 x+2 > 0 –2 –1 0 1 2 3 4 5 ดงั นนั้ เซตคาํ ตอบของอสมการ คือ [ − 2, 4) ∪ [ 5, ∞ ) 22. จาก 8 >x จะได x+2 >0 >0 8 −x >0 x+2 >0 <0 8 − x(x + 2) x+2 8 − (x2 + 2x) x+2 −x2 − 2x + 8 x+2 x2 + 2x − 8 x+2 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
374 คมู ือครูรายวิชาเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 พจิ ารณาเสน จาํ นวน (x + 4)(x − 2) <0 x–2>0 x+2 x–2<0 x+2<0 x+2>0 x+4<0 x+4>0 –5 –4 –3 –2 –1 0 1 2 ดังนนั้ เซตคาํ ตอบของอสมการ คอื ( − ∞, − 4 ] ∪ ( − 2, 2 ] 23. จาก 5− x <1 x2 − 3x + 2 จะได 5− x −1 < 0 x2 − 3x + 2 (5 − x) − (x2 − 3x + 2) <0 x2 − 3x + 2 −x2 + 2x + 3 <0 x2 − 3x + 2 x2 − 2x − 3 >0 x2 − 3x + 2 >0 ( x +1)( x − 3) ( x −1)( x − 2) พจิ ารณาเสน จํานวน สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 510
Pages: