คมู ือครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 225 16. ให U แทนเซตของรถท่ีเขามาซอมที่อูข องแดน A แทนเซตของรถทต่ี องซอมเบรก B แทนเซตของรถท่ีตองซอมระบบทอ ไอเสีย A∪ B แทนเซตของรถทีต่ องซอมเบรกหรอื ระบบทอไอเสยี ( A ∪ B)′ แทนเซตของรถท่มี สี ภาพปกติ A∩ B แทนเซตของรถทตี่ องซอมทั้งเบรกและระบบทอไอเสีย จะได n(U ) = 50 n( A) = 23 n( B) = 34 n( A ∪ B)′ = 6 นนั่ คอื n( A ∪ B) = 50 − 6 = 44 วิธที ี่ 1 ให x แทนจาํ นวนรถทต่ี อ งซอมทั้งเบรกและระบบทอไอเสยี น่นั คือ n( A ∩ B) =x นาํ ขอมูลทั้งหมดไปเขยี นแผนภาพไดด ังนี้ 1) จากแผนภาพ จะไดว า 44 = (23 − x) + x + (34 − x) 44 = 57 − x จะได x = 13 ดงั น้นั มรี ถทต่ี องซอมทัง้ เบรกและระบบทอ ไอเสยี 13 คัน สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
226 คูม ือครูรายวิชาเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 2) จากแผนภาพ จะไดว า มีรถทต่ี องซอมเบรกแตไ มตองซอมระบบทอไอเสยี เทากบั 23 – 13 = 10 คัน วธิ ีที่ 2 1) จาก n( A∪ B) = n( A) + n(B) − n( A∩ B) จะได 44 = 23 + 34 − n( A ∩ B) นัน่ คือ n( A ∩ B) = 23 + 34 − 44 n( A ∩ B) = 13 ดังนน้ั มรี ถทต่ี องซอมทง้ั เบรกและระบบทอ ไอเสีย 13 คัน 2) มีรถที่ตองซอมเบรกแตไมตองซอ มระบบทอไอเสยี เทา กับ 23 – 13 = 10 คัน 17. ให U แทนเซตของผูใชบรกิ ารขนสง ท่เี ขารว มการสาํ รวจ A แทนเซตของผใู ชบ รกิ ารขนสง ทางรถไฟ B แทนเซตของผใู ชบ ริการขนสง ทางรถยนต C แทนเซตของผูใชบริการขนสงทางเรอื A∩ B แทนเซตของผูใชบ รกิ ารขนสง ทางรถไฟและรถยนต B ∩C แทนเซตของผูใชบริการขนสงทางรถยนตและเรือ A∩ C แทนเซตของผใู ชบ รกิ ารขนสง ทางรถไฟและเรอื A ∩ B ∩ C แทนเซตของผูใชบ ริการขนสงทงั้ ทางรถไฟ รถยนต และเรอื ( A ∪ B ∪ C)′ แทนเซตของผูใชบริการขนสง อื่น ๆ ท่ไี มใ ชทางรถไฟ รถยนต หรือเรอื A ∪ B ∪ C แทนเซตของผใู ชบรกิ ารขนสง ทางรถไฟ รถยนต หรือเรอื จะได n( A) = 100 n( B) = 150 n(C ) = 200 n( A ∩ B) = 50 n( B ∩ C ) = 25 สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 227 n(A∩C) = 0 n(A∩ B∩C) = 0 n( A ∪ B ∪ C )′ = 30 วธิ ีที่ 1 นําขอมูลท้ังหมดไปเขยี นแผนภาพไดดงั น้ี 0 0 วิธีท่ี 2 จากแผนภาพ จะไดวา มีผูใชบ รกิ ารขนสงทีเ่ ขา รวมการสํารวจทงั้ หมด เทา กับ 50 + 50 + 75 + 25 +175 + 30 =405 คน จาก n( A ∪ B ∪ C ) = n( A) + n(B) + n(C ) − n( A ∩ B) −n( A ∩ C) − n(B ∩ C) + n( A ∩ B ∩ C) จะได n( A ∪ B ∪ C ) = 100 +150 + 200 − 50 − 0 − 25 + 0 = 375 จาก n( A ∪ B ∪ C )′ = 30 จะได n(U ) = n( A ∪ B ∪ C ) + n( A ∪ B ∪ C )′ = 375 + 30 = 405 ดังนน้ั มผี ใู ชบรกิ ารขนสงที่เขารวมการสาํ รวจทงั้ หมด 405 คน สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
228 คมู อื ครูรายวิชาเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 18. ให U แทนเซตของคนทํางานที่เขา รวมการสํารวจ A แทนเซตของคนทาํ งานทช่ี อบการเดนิ ปา B แทนเซตของคนทํางานทชี่ อบการไปทะเล C แทนเซตของคนทาํ งานทช่ี อบการเลนสวนนํ้า A∩ B แทนเซตของคนทาํ งานที่ชอบการเดินปา และการไปทะเล A∩C แทนเซตของคนทํางานทช่ี อบการเดนิ ปา และการเลน สวนน้ํา B ∩C แทนเซตของคนทํางานทช่ี อบการไปทะเลและการเลน สวนนาํ้ A ∩ B ∩ C แทนเซตของคนทาํ งานที่ชอบท้งั การเดินปา การไปทะเล และการเลนสวนนํ้า จะได n( A) = 35 n( B) = 57 n(C ) = 20 n(A∩ B) = 8 n( A ∩ C ) = 15 n(B∩C) = 5 n(A∩ B∩C) = 3 นาํ ขอ มลู ทัง้ หมดไปเขยี นแผนภาพไดดงั น้ี จากแผนภาพ จะไดว า สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 229 1) มคี นที่ชอบการไปทะเลหรือชอบการเลนสวนนาํ้ เทา กบั 5% + 47% +12% + 3% + 2% + 3% =72% 2) มคี นทีช่ อบการเดินปาหรือชอบการไปทะเล เทา กบั 15% + 5% + 47% +12% + 3% + 2% =84% 3) มีคนทีช่ อบทํากิจกรรมเพียงอยา งเดยี ว เทา กับ 15% + 47% + 3% =65% 4) มีคนท่ีไมช อบการเดนิ ปา หรือไปทะเล หรือเลนสวนน้ํา 13% 19. ให U แทนเซตของประชาชนทเี่ ขารวมการสาํ รวจ A แทนเซตของคนที่ชอบทเุ รยี น B แทนเซตของคนทช่ี อบมังคดุ C แทนเซตของคนทช่ี อบมะมว ง A∩ B แทนเซตของคนทช่ี อบทุเรยี นและมงั คดุ B ∩ C แทนเซตของคนทช่ี อบมงั คดุ และมะมว ง A∩ C แทนเซตของคนที่ชอบทเุ รียนและมะมว ง A ∩ B ∩ C แทนเซตของคนท่ีชอบผลไมท้ังสามชนดิ นี้ จะได n( A) = 720 n( B) = 605 n(C ) = 586 n( A ∩ B) = 483 n( B ∩ C ) = 470 n( A ∩ C ) = 494 n( A ∩ B ∩ C ) = 400 นําขอ มูลทัง้ หมดไปเขยี นแผนภาพไดดังน้ี สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
230 คูม ือครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 จากแผนภาพ จะไดวา 1) มคี นทช่ี อบมงั คุดอยา งเดยี ว 52 คน 2) มคี นที่ชอบผลไมอยางนอยหนึ่งชนดิ ในสามชนิดนี้ เทา กบั 143 + 83 + 52 + 94 + 400 + 70 + 22 =864 คน 3) มีคนที่ไมช อบผลไมช นดิ ใดเลยในสามชนดิ นี้ 136 คน 20. ให U แทนเซตของนักเรยี นทีเ่ ขารวมการสํารวจ A แทนเซตของนักเรยี นที่ชอบวิชาคณิตศาสตร B แทนเซตของนักเรยี นทชี่ อบวิชาฟส ิกส C แทนเซตของนักเรยี นที่ชอบวิชาภาษาไทย ( A ∪ B ∪ C)′ แทนเซตของนักเรียนที่ไมช อบวชิ าใดเลยในสามวิชาน้ี จะได n( A) = 56 n( B) = 47 n(C ) = 82 นน่ั คือ n( A ∪ B ∪ C )′ = 4 n( A ∪ B ∪ C ) = 100 − 4 = 96 ให x แทนจาํ นวนนกั เรยี นท่ีชอบวิชาคณติ ศาสตรและฟส กิ ส แตไมช อบวชิ าภาษาไทย y แทนจํานวนนกั เรียนท่ชี อบวิชาคณิตศาสตรและภาษาไทย แตไมชอบวิชาฟสิกส สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 231 z แทนจาํ นวนนกั เรยี นทีช่ อบวิชาฟส กิ สและภาษาไทย แตไมช อบวิชาคณิตศาสตร k แทนจาํ นวนนกั เรยี นท่ชี อบทั้งสามวชิ า วิธที ่ี 1 นําขอ มลู ทัง้ หมดไปเขียนแผนภาพไดด ังน้ี จากแผนภาพ จะไดว า 96 = (56 − x − y − k ) + (47 − x − z − k ) + (82 − y − z − k ) + x + y + z + k 96 = 185 − x − y − z − 2k 89 = ( x + y + z) + 2k เน่ืองจาก มีนกั เรยี นท่ีชอบเพียง 2 วชิ าเทา น้นั จาํ นวน 71% นน่ั คอื x + y + z =71 จะได 89 = 71+ 2k 2k = 18 ดังน้ัน k = 9 จะไดวา (56 − x − y − k ) + (47 − x − z − k ) + (82 − y − z − k ) = 185 − 2x − 2 y − 2z − 3k = 185 − 2( x + y + z) − 3k = 185 − 2(71) − 3(9) = 185 −142 − 27 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
232 คูมอื ครูรายวชิ าเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 = 16 ดงั นน้ั มนี กั เรียนท่ีชอบเพียงวชิ าเดียวเทาน้ัน จาํ นวน 16 % วิธที ่ี 2 นาํ ขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดงั น้ี 21. ให เนอ่ื งจาก มีนกั เรยี นทชี่ อบเพียง 2 วิชาเทา น้นั จาํ นวน 71% น่นั คือ x + y + z =71 จาก n( A ∪ B ∪ C ) = n( A) + n(B) + n(C ) − n( A ∩ B) −n( A ∩ C) − n(B ∩ C) + n( A ∩ B ∩ C) จะได 96 = 56 + 47 + 82 − ( x + k ) − ( y + k ) − ( z + k ) + k x + y + z + 2k = 89 71 + 2k = 89 2k = 18 k =9 ดงั น้นั มนี ักเรียนทช่ี อบเพยี งวิชาเดยี วเทานั้น เทากับ 96% – 9% – 71% = 16 % U แทนเซตของคนกลมุ นี้ A แทนเซตของคนที่มีแอนตเิ จน A B แทนเซตของคนทีม่ ีแอนตเิ จน B Rh แทนเซตของคนทีม่ ีแอนตเิ จน Rh+ A ∩ B แทนเซตของคนท่ีมีหมเู ลอื ด AB สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 233 A − B แทนเซตของคนทม่ี หี มเู ลอื ด A B − A แทนเซตของคนทมี่ ีหมูเลือด B ( A ∩ Rh) − B แทนเซตของคนที่มหี มูเ ลอื ด A+ (B ∩ Rh) − A แทนเซตของคนท่มี ีหมูเลอื ด B+ A ∩ B ∩ Rh แทนเซตของคนที่มีหมูเ ลอื ด AB+ จะได n( A) = n( A+ ) + n( A− ) + n( AB) = 29 n( B) = n( B+ ) + n( B− ) + n( AB) = 39 n( A ∩ B) = n( AB) = 9 n(( A ∩ Rh) − B) = n( A+ ) = 18 n(( B ∩ Rh) − A) = n( B+ ) = 29 n( A ∩ B ∩ Rh) = n( AB+ ) = 8 n( Rh − ( A ∪ B)) = n(O+ ) = 40 จากแผนภาพที่กาํ หนดให นาํ ขอมลู ท้ังหมดไปเขียนแผนภาพแสดงจาํ นวนสมาชิกของเซตไดด ังนี้ จากแผนภาพ จะไดวามีคนกลุมน้ี 1% ท่ีมีเลอื ดหมู O− 22. เขียน A, B และ C แบบแจกแจงสมาชกิ ไดด ังนี้ U = {0, 2, 4, ... , 100} น่ันคอื n(U ) = 51 A = {0, 6, 12, ... , 96} น่ันคือ n( A) = 17 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
234 คูมอื ครรู ายวชิ าเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 B = {0, 4, 8, ... , 100} นัน่ คือ n(B) = 26 C = {0, 10, 20, 30, ... , 100} น่ันคอื n(C ) = 11 จะได A ∩ B แทนเซตของจาํ นวนคูตง้ั แต 0 ถึง 100 ท่ีหารดว ย 3 และ 4 ลงตัว A ∩ C แทนเซตของจํานวนคูตั้งแต 0 ถึง 100 ทห่ี ารดว ย 3 และ 5 ลงตวั B ∩ C แทนเซตของจาํ นวนคูต้ังแต 0 ถงึ 100 ทีห่ ารดวย 4 และ 5 ลงตัว A ∩ B ∩ C แทนเซตของจํานวนคูตง้ั แต 0 ถงึ 100 ทหี่ ารดว ย 3, 4 และ 5 ลงตวั เขยี น A ∩ B, A ∩ C , B ∩ C , A ∩ B ∩ C แบบแจกแจงสมาชกิ ไดดังนี้ A ∩ B = {0, 12, 24, 36, 48, 60, 72, 84, 96} นั่นคอื n( A ∩ B) = 9 A ∩ C = {0, 30, 60, 90} นัน่ คอื n( A ∩ C) = 4 B ∩ C = {0, 20, 40, 60, 80, 100} น่ันคือ n(B ∩ C) = 6 A ∩ B ∩ C = {0, 60} นั่นคือ n( A ∩ B ∩ C ) = 2 นําขอมูลทง้ั หมดไปเขยี นแผนภาพไดด งั น้ี จากแผนภาพ จะไดวา 1) n( B ∪ C′ ) = 7 +13 + 2 + 4 + 6 +14 = 46 2) n( A ∩ B ∩ C′) =7 3) n( A ∪ B ∪ C ) = 6 + 7 +13 + 2 + 2 + 4 + 3 = 37 4) n( A ∪ B ∪ C )′ =14 สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม อื ครรู ายวิชาเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 235 บทที่ 2 ตรรกศาสตร แบบฝก หดั 2.1 1. 1) เปนประพจน ที่มคี าความจรงิ เปน เท็จ 2) เปน ประพจน ท่ีมีคาความจรงิ เปนจรงิ 3) เปน ประพจน ท่ีมีคาความจริงเปน เท็จ 4) ไมเ ปน ประพจน 5) ไมเปนประพจน 6) เปนประพจน ที่มีคา ความจริงเปน จริง 7) เปน ประพจน ที่มีคาความจรงิ เปนเท็จ 8) เปน ประพจน ท่ีมคี า ความจรงิ เปนเท็จ 9) ไมเปนประพจน 10) เปน ประพจน ท่ีมคี าความจรงิ เปนจริง 11) เปน ประพจน ที่มคี าความจริงเปน เทจ็ 12) เปนประพจน ที่มีคา ความจริงเปน จรงิ 13) ไมเปน ประพจน 14) ไมเปนประพจน 15) เปนประพจน ท่ีมีคา ความจริงเปนเทจ็ 16) ไมเปนประพจน 17) ไมเปนประพจน 18) เปน ประพจน ท่ีมีคา ความจริงเปนจริง 2. ตัวอยางคําตอบ • 2 > 3 เปนประพจน ที่มคี าความจริงเปนเท็จ • ∅ ∈ {1, 2, 3} เปน ประพจน ท่ีมีคา ความจริงเปน เทจ็ • หน่ึงปมีสบิ สองเดือน เปนประพจน ทม่ี คี าความจริงเปน จริง • 4 เปน จาํ นวนอตรรกยะ เปนประพจน ที่มีคา ความจริงเปนเทจ็ • เดอื นมกราคม มี 31 วนั เปน ประพจน ที่มีคาความจริงเปน จรงิ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
236 คูมือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 แบบฝกหดั 2.2 1. 1) 0 เปนจํานวนนบั และ 6 เปนจํานวนเต็ม มคี า ความจรงิ เปนเท็จ เพราะ 0 เปน จาํ นวนนบั มคี า ความจรงิ เปน เทจ็ 2) 9 ไมเ ทา กบั 10 หรือ 10 ไมนอยกวา 9 มีคาความจรงิ เปน จริง เพราะ 9 ไมเ ทา กับ 10 มคี าความจริงเปนจริง 3) 2 และ −1 เปน จาํ นวนจริง มีคาความจรงิ เปนจรงิ เพราะ 2 เปน จํานวนจริง มคี า ความจริงเปน จริง และ −1 เปนจํานวนจริง มีคาความจรงิ เปนจรงิ 4) ถา 1∉{1, 2} แลว 1⊂ {1, 2} มคี าความจริงเปน จรงิ เพราะ 1∉{1, 2} มคี า ความจริงเปนเท็จ 5) 3 เปนจาํ นวนตรรกยะ และไมใ ชจํานวนจรงิ มีคาความจริงเปนเท็จ เพราะ 3 เปนจาํ นวนตรรกยะ มีคาความจรงิ เปนเท็จ 6) 2 เปน ห.ร.ม. ของ 4 และ 6 กต็ อเมื่อ 2 หาร 4 + 6 ไมลงตัว มีคา ความจริงเปนเทจ็ เพราะ 2 เปน ห.ร.ม. ของ 4 และ 6 มีคา ความจริงเปนจรงิ แต 2 หาร 4 + 6 ไมล งตัว มคี าความจริงเปนเทจ็ 7) ถา 3 เปน จํานวนค่ี แลว 32 เปนจาํ นวนค่ี มีคา ความจรงิ เปน จริง เพราะ 3 เปน จาํ นวนค่ี มคี า ความจรงิ เปน จริง และ 32 เปน จาํ นวนค่ี มีคาความจรงิ เปนจริง 8) 2 เปนจํานวนจริงหรือจาํ นวนอตรรกยะ มคี าความจรงิ เปนจริง เพราะ 2 เปนจํานวนจรงิ มคี า ความจรงิ เปน จริง สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 237 9) 13 เปน จาํ นวนเฉพาะ ก็ตอเมื่อ 13 มตี ัวประกอบคือ 1 กบั 13 มคี า ความจริงเปน จริง เพราะ 13 เปน จาํ นวนเฉพาะ มีคาความจรงิ เปน จริง และ 13 มีตวั ประกอบคอื 1 กับ 13 มีคาความจรงิ เปนจริง 10) ถา { 3} ⊂ { 3, 4} แลว 3∉{ 3, 4} มีคาความจรงิ เปน เทจ็ เพราะ { 3} ⊂ { 3, 4} มีคาความจริงเปนจรงิ แต 3∉{ 3, 4} มคี า ความจรงิ เปนเทจ็ 11) (2 + 6) + 4 =12 หรือ =12 2(5) + 2 มคี า ความจริงเปนจริง เพราะ (2 + 6) + 4 =12 มีคาความจริงเปนจริง 12) ถาแมงมมุ เปน แมลง แลว แมงมมุ ตอ งมี 6 ขา มีคาความจรงิ เปนจรงิ เพราะ แมงมุมเปน แมลง มีคาความจริงเปนเท็จ 13) งเู หาและงจู งอางเปน สัตวมีพิษ มคี า ความจรงิ เปน จรงิ เพราะ งเู หา เปน สตั วมพี ิษ มคี าความจริงเปน จรงิ และ งูจงอางเปน สตั วมพี ษิ มีคา ความจริงเปน จรงิ 14) โลมาหรือคนเปนสัตวเ ลี้ยงลกู ดว ยนา้ํ นม มคี า ความจริงเปนจรงิ เพราะ โลมาเปน สตั วเลย้ี งลกู ดว ยน้ํานม มีคา ความจริงเปน จรงิ 2. 1) นเิ สธของประพจน 4 + 9 = 10 + 3 คือ 4 + 9 ≠ 10 + 3 มคี าความจรงิ เปนเท็จ 2) นเิ สธของประพจน − 7 >/ 6 คอื − 7 > 6 มคี าความจริงเปนจริง 3) นิเสธของประพจน เซตของจาํ นวนนับท่เี ปน คําตอบของสมการ x2 +1 =0 เปนเซตวา ง คือ เซตของจํานวนนับทเี่ ปน คาํ ตอบของสมการ x2 +1 =0 ไมเ ปน เซตวา ง มคี าความจริงเปนเท็จ 4) นเิ สธของประพจน { 3, 4} ∪{1, 3, 5} ={1, 3, 4, 5} คอื { 3, 4} ∪{1, 3, 5} ≠ {1, 3, 4, 5} มีคาความจรงิ เปนเท็จ 5) นิเสธของประพจน {{ 2}} ⊄ { 2} คือ {{ 2}} ⊂ { 2} มีคาความจริงเปนเท็จ สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
238 คมู ือครรู ายวิชาเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 6) นเิ สธของประพจน − 3 + 6 ≤ − 3 + 6 คือ − 3 + 6 > − 3 + 6 มีคา ความจรงิ เปน เท็จ 7) นเิ สธของประพจน 15 ไมใชจํานวนจรงิ คือ 15 เปนจาํ นวนจริง มคี าความจรงิ เปน จริง 8) นเิ สธของประพจน วาฬเปน สัตวเ ลยี้ งลกู ดว ยนา้ํ นม คือ วาฬไมเ ปนสตั วเลย้ี งลูก ดว ยนํา้ นม มคี า ความจรงิ เปนเท็จ 3. ให p แทนประพจน “ฉนั ต่ืนนอนแตเ ชา ” และ q แทนประพจน “ฉนั มาเรียนทันเวลา” 1) p แทนประพจน “ฉนั ไมตนื่ นอนแตเชา” 2) p → q แทนประพจน “ถาฉนั ตื่นนอนแตเ ชา แลว ฉนั มาเรยี นไมทันเวลา” 3) p ∧ q แทนประพจน “ฉนั ต่ืนนอนแตเ ชาและฉนั มาเรียนทันเวลา” 4) p ↔ q แทนประพจน “ฉนั ตน่ื นอนแตเ ชา ก็ตอ เมือ่ ฉันมาเรียนทนั เวลา” 5) p∨ q แทนประพจน “ฉันไมต ืน่ นอนแตเ ชาหรอื ฉนั มาเรยี นไมทนั เวลา” 6) p ∨ ( p → q) แทนประพจน “ฉนั ไมตืน่ นอนแตเ ชา หรอื ถาฉนั ต่ืนนอนแตเ ชาแลว ฉันมาเรยี นทนั เวลา” 4. ให p แทนประพจน “12 หารดวย 3 ลงตวั ” และ q แทนประพจน “ 4 − 3 < 2 ” 1) p ∧q มคี าความจรงิ เปนเท็จ 2) p ∨ q มีคาความจรงิ เปน จริง 3) q → p มคี า ความจริงเปนจรงิ 4) p ↔ q มคี า ความจรงิ เปนเท็จ สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม อื ครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 239 แบบฝกหดั 2.3 1. กาํ หนดให p, q, r, s และ t เปน ประพจนมคี า ความจริงเปน จรงิ เทจ็ จริง เท็จ และเท็จ ตามลําดบั 1) วิธที ี่ 1 จาก p เปนจรงิ จะได p ∨ q เปนจริง จาก p ∨ q เปนจริง และ r เปนจรงิ ดงั นัน้ ( p ∨ q) ∧ r มีคาความจรงิ เปน จรงิ วธิ ีท่ี 2 กาํ หนดให T แทนจริง และ F แทนเทจ็ 2) วิธีที่ 1 ดงั น้นั ( p ∨ q) ∧ r มคี า ความจรงิ เปนจรงิ วิธีท่ี 2 จาก p เปนจรงิ และ r เปน จริง จะได p ∧ r เปน จรงิ ดงั นัน้ ( p ∧ r) ∨ (t ∧ s) มีคาความจรงิ เปน จรงิ กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเทจ็ ดังนนั้ ( p ∧ r) ∨ (t ∧ s) มคี า ความจริงเปน จรงิ สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
240 คมู อื ครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 3) วิธที ่ี 1 จาก p เปนจริง จะได p∨ s เปนจรงิ จาก r เปน จริง จะได q ∨ r เปนจรงิ จาก p∨ s เปน จรงิ และ q ∨ r เปนจริง ดงั น้นั ( p∨ s) ∧ (q ∨ r) มคี า ความจรงิ เปน จรงิ วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ ดังนัน้ ( p∨ s) ∧ (q ∨ r) มีคา ความจรงิ เปนจรงิ 4) วิธที ี่ 1 จาก p เปนจรงิ และ q เปน เทจ็ จะได p∧ q เปน จรงิ จาก p∧ q เปน จริง และ t เปนเท็จ ดงั น้ัน ( p∧ q) ∧ t มีคาความจริงเปนเท็จ วิธที ่ี 2 กาํ หนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ ดังนนั้ ( p∧ q) ∧ t มคี าความจรงิ เปนเทจ็ สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 241 5) วิธีที่ 1 จาก r เปนจรงิ จะได r∨ s เปนจริง จาก r∨ s เปนจรงิ และ p เปนจริง จะได (r∨ s) ∧ p เปนเทจ็ ดงั น้ัน (r∨ s) ∧ p มคี า ความจรงิ เปน จริง วธิ ที ี่ 2 กาํ หนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ ดงั นน้ั (r∨ s) ∧ p มีคา ความจรงิ เปน จริง 6) วิธที ่ี 1 จาก p เปนจริง จะได p∨ q เปน จริง จาก r เปนจรงิ จะได r ∨ t เปนจริง จาก p∨ q เปน จรงิ และ r ∨ t เปนจริง ดังนน้ั ( p∨ q) → (r ∨ t) มีคา ความจริงเปนจรงิ วธิ ที ่ี 2 กาํ หนดให T แทนจริง และ F แทนเทจ็ ดังน้ัน ( p∨ q) → (r ∨ t) มคี า ความจริงเปนจรงิ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
242 คมู อื ครูรายวิชาเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 7) วิธที ี่ 1 จาก q เปน เท็จ จะได r ∧ q เปนเท็จ จาก s เปน เทจ็ จะได s∧ t เปนเทจ็ จาก r ∧ q เปน เท็จ และ s∧ t เปน เทจ็ ดงั นน้ั ( r ∧ q) ↔ (s∧ t) มีคา ความจริงเปนเทจ็ วิธที ่ี 2 กาํ หนดให T แทนจริง และ F แทนเทจ็ ดงั น้ัน ( r ∧ q) ↔ (s∧ t) มีคาความจริงเปน เท็จ 8) วิธที ่ี 1 จาก p เปน จริง และ q เปนเท็จ จะได p → q เปน เท็จ จาก r เปนจรงิ และ s เปนเทจ็ จะได r → s เปน เท็จ จาก p → q เปนเท็จ และ r → s เปนเท็จ ดังน้ัน ( p → q) ↔ (r → s) มีคา ความจรงิ เปนจริง วธิ ีท่ี 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ ดังนัน้ ( p → q) ↔ (r → s) มคี าความจริงเปน จริง สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูม อื ครูรายวชิ าเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 243 9) วิธที ่ี 1 จาก s เปน เทจ็ จะได s∧ p เปน เท็จ จาก q เปนเทจ็ จะได q → r เปนจริง จาก s∧ p เปนเทจ็ และ q → r เปน จริง ดงั นนั้ (s∧ p) ↔ (q → r) มีคาความจริงเปน เท็จ วธิ ีท่ี 2 กําหนดให T แทนจรงิ และ F แทนเทจ็ 10) วธิ ที ี่ 1 ดังนน้ั (s∧ p) ↔ (q → r) มีคาความจรงิ เปนเท็จ วธิ ที ี่ 2 จาก r เปน จริง จะได q ∨ r เปน จรงิ จาก q เปนเท็จ และ s เปน เทจ็ จะได q ↔ s เปน เทจ็ จาก q ∨ r เปน จรงิ และ q ↔ s เปนเทจ็ ดังนั้น (q ∨ r) → (q ↔ s) มีคา ความจริงเปนเท็จ กาํ หนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ ดงั นน้ั (q ∨ r) → (q ↔ s) มคี าความจริงเปนเท็จ สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
244 คมู ือครูรายวิชาเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 11) วธิ ที ่ี 1 จาก p เปน จรงิ และ q เปน เท็จ จะได p → q เปนเทจ็ วธิ ที ่ี 2 จะได ( p → q) ∧ (t → r) เปน เท็จ ดังน้ัน ( p → q) ∧ (t → r) → s มคี า ความจรงิ เปนจรงิ กาํ หนดให T แทนจริง และ F แทนเทจ็ 12) วิธีที่ 1 ดังนนั้ ( p → q) ∧ (t → r) → s มีคา ความจริงเปนจรงิ จาก p เปนจริง จะได p ∨ q เปน จริง จาก t เปน เท็จ และ s เปนเทจ็ จะได t ∨ s เปนเท็จ จาก p ∨ q เปน จรงิ และ t ∨ s เปน เทจ็ จะได ( p ∨ q) ∧ (t ∨ s) เปน เทจ็ จาก q เปน เทจ็ จะได q → r เปน จริง จาก q → r เปนจริง และ s เปน เท็จ จะได (q → r) → s เปน จรงิ จาก ( p ∨ q) ∧ (t ∨ s) เปนเทจ็ และ (q → r) → s เปน จริง ดังนน้ั ( p ∨ q) ∧ (t ∨ s) ∨ (q → r) → s มคี าความจรงิ เปน จรงิ สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 245 วธิ ที ี่ 2 กําหนดให T แทนจรงิ และ F แทนเทจ็ ดังนนั้ ( p ∨ q) ∧ (t ∨ s) ∨ (q → r) → s มคี า ความจรงิ เปนจรงิ 2. กําหนดให p, q, r และ s เปน ประพจน 1) จาก p ∧ q เปน จรงิ ดังน้นั p เปน จริง และ q เปน จริง 2) จาก p → q เปนเทจ็ ดังนั้น p เปน จริง และ q เปน เท็จ 3) จาก p ∨ q เปนเทจ็ จะได p เปน เท็จ และ q เปน เทจ็ จะได p ∧ q เปน เท็จ ดงั น้นั ( p ∧ q) → r มคี าความจริงเปนจรงิ 4) จาก p → r เปน เท็จ จะได p เปน จริง และ r เปน เท็จ จาก r เปน เทจ็ ดังน้ัน ( p ∨ q) ∧ r มคี าความจรงิ เปนเท็จ 5) จาก ( p ∧ q) → ( r ∨ s) เปน เท็จ จะได p ∧ q เปนจริง และ r ∨ s เปน เท็จ จาก p ∧ q เปนจรงิ จะได p เปน จรงิ และ q เปน จริง จาก r ∨ s เปน เท็จ จะได r เปน จรงิ และ s เปนเท็จ จาก p เปนจริง จะได p ∧ r เปน เทจ็ จาก s เปน เท็จ จะได q ∧ s เปนเท็จ สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
246 คมู อื ครรู ายวชิ าเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 ดงั นั้น ( p ∧ r) ↔ (q ∧ s) มีคาความจรงิ เปนจริง แบบฝก หัด 2.4 1. ประพจน p ∨ (q → p) ประกอบดว ยประพจนย อยสองประพจน คือ p และ q จงึ มีกรณีเกย่ี วกบั คาความจรงิ ทอ่ี าจเกิดขน้ึ ไดท ง้ั หมด 4 กรณี จะไดต ารางคาความจริงของ p ∨ (q → p) ดังน้ี p q q → p p ∨(q → p) TT T T TF T T FT F F FF T T 2. ประพจน ( p ∨ q) ∧ ( p∨ q) ประกอบดวยประพจนย อ ยสองประพจน คือ p และ q จงึ มีกรณเี กี่ยวกบั คาความจริงท่อี าจเกิดขน้ึ ไดทงั้ หมด 4 กรณี จะไดต ารางคา ความจริงของ ( p ∨ q) ∧ ( p∨ q) ดงั นี้ p q q p∨q p∨ q ( p ∨ q) ∧ ( p∨ q) T TF T T T T FT T T T F TF T F F F FT F T F สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 247 3. ประพจน p → ( p → q) ประกอบดวยประพจนยอ ยสองประพจน คือ p และ q จึงมีกรณีเกย่ี วกับคาความจริงท่ีอาจเกดิ ข้นึ ไดทง้ั หมด 4 กรณี จะไดต ารางคา ความจรงิ ของ p → ( p → q) ดังน้ี p q p p→q p →( p → q) T TF T T T FF T T F TT T T F FT F T 4. ประพจน (q∨ q) ↔ r ประกอบดว ยประพจนย อยสองประพจน คือ q และ r จงึ มกี รณเี กย่ี วกบั คาความจริงทอ่ี าจเกดิ ขึ้นไดท ง้ั หมด 4 กรณี จะไดต ารางคาความจรงิ ของ (q∨ q) ↔ r ดงั น้ี q r q q∨ q (q∨ q) ↔ r T TF T T T FF T F F TT T T F FT T F 5. ประพจน q ↔ p ∧ (q → p) ประกอบดว ยประพจนย อ ยสองประพจน คือ p และ q จงึ มีกรณเี ก่ยี วกับคา ความจริงท่อี าจเกดิ ขนึ้ ไดทงั้ หมด 4 กรณี จะไดตารางคาความจริงของ q ↔ p ∧ (q → p) ดงั น้ี สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
248 คมู ือครูรายวิชาเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 p q p q q → p p ∧ (q → p) q ↔ p ∧ (q → p) T TF F F F T T FF T T T T F TT F T F T F FT T T F F 6. ประพจน (q ∧ r) → (r ∨ p) ประกอบดว ยประพจนยอยสามประพจน คือ p, q และ r จึงมีกรณเี กีย่ วกบั คาความจรงิ ที่อาจเกิดขน้ึ ไดท้งั หมด 8 กรณี จะไดต ารางคาความจรงิ ของ (q ∧ r) → (r ∨ p) ดงั นี้ pq r q∧r r∨ p (q ∧ r) → (r ∨ p) TT T T T T TT F F T T TF T F T T TF F F T T FT T T T T FT F F F T FF T F T T FF F F F T สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวชิ าเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 249 แบบฝก หดั 2.5 1. 1) ตวั อยา งคาํ ตอบ ให p แทน “ 2 เปนจาํ นวนตรรกยะ” q แทน “ 2 เปน จํานวนจรงิ ” จะได p ↔ q แทน “ 2 เปน จาํ นวนตรรกยะ กต็ อเม่ือ 2 เปน จาํ นวนจรงิ ” แนวการตอบท่ี 1 เนื่องจาก p ↔ q สมมลู กับ q ↔ p ดงั นนั้ “ 2 เปนจาํ นวนตรรกยะ ก็ตอ เมื่อ 2 เปนจาํ นวนจรงิ ” สมมูลกบั “ 2 เปน จาํ นวนจรงิ กต็ อ เมื่อ 2 เปน จํานวนตรรกยะ” แนวการตอบที่ 2 เนอ่ื งจาก p ↔ q สมมูลกบั ( p → q) ∧ (q → p) ดังนัน้ “ 2 เปน จํานวนตรรกยะ ก็ตอเม่ือ 2 เปนจาํ นวนจรงิ ” สมมูลกบั “ถา 2 เปนจาํ นวนตรรกยะ แลว 2 เปนจํานวนจริง และ ถา 2 เปน จํานวนจริง แลว 2 เปน จาํ นวนตรรกยะ” 2) ตัวอยา งคําตอบ ให p แทน “ภพเปน นักเรียน” q แทน “ภูมิเปนนกั เรยี น” r แทน “ภทั รเปน นักเรียน” จะได ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r) แทน “ภพหรอื ภูมเิ ปนนักเรียน และ ภพหรือภัทร เปนนักเรียน” สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
250 คมู อื ครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 แนวการตอบท่ี 1 เนอื่ งจาก ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r) สมมลู กบั ( p ∨ r) ∧ ( p ∨ q) ดงั นน้ั “ภพหรอื ภูมเิ ปนนักเรียน และ ภพหรือภัทรเปน นักเรียน” สมมูลกับ “ภพหรือภทั รเปนนกั เรยี น และ ภพหรอื ภูมิเปนนักเรียน” แนวการตอบที่ 2 เนื่องจาก ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r) สมมูลกบั p ∨ (q ∧ r) ดังน้นั “ภพหรือภูมเิ ปนนกั เรียน และ ภพหรอื ภทั รเปนนักเรียน” สมมูลกับ “ภพเปน นกั เรียน หรอื ภูมิและภทั รเปนนกั เรยี น” 2. 1) p ↔ q ≡ ( p → q)∧(q → p) ≡ ( q → p) ∧ ( q ∨ p) ดังน้นั ประพจนท ี่กําหนดใหสมมลู กบั ประพจนใ นขอ (ข) 2) ( p → q) → r ≡ ( p → q) ∨ r ≡ ( p∨ q)∨ r ≡ ( p∧ q) ∨ r ≡ ( p∨ r)∧( q∨ r) ≡ ( p → r)∧(q → r) ดังนั้น ประพจนท ี่กาํ หนดใหสมมลู กบั ประพจนในขอ (ก) 3) ( p → r ) ∧ (q → r ) ≡ ( p ∨ r ) ∧ ( q ∨ r ) ≡ ( p∧ q) ∨ r ≡ ( p∨ q)∨ r ดงั นัน้ ประพจนที่กาํ หนดใหสมมลู กับประพจนในขอ (ข) สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 251 4) p → (q → p) ≡ p → ( q ∨ p) ≡ p∨ ( q ∨ p) ≡ p ∨ (q∧ p) ≡ p∨( p ∧ q) ดงั นนั้ ประพจนที่กําหนดใหสมมลู กบั ประพจนในขอ (ก) 5) p → q → (r ∨ p) ≡ p → q ∨ (r ∨ p) ≡ p∨( q∨ r ∨ p) ≡ ( p∨ p)∨( q∨ r) ≡ p∨( q∨ r) ≡ ( p∨ q) ∨ r ดังนน้ั ประพจนท ่ีกําหนดใหสมมูลกับประพจนในขอ (ข) 6) ( p ∧ q) → ( q ∨ r ) ≡ ( p ∧ q) ∨ ( q ∨ r ) ≡ ( p∨ q) ∨ ( q ∨ r ) ≡ p ∨ ( q ∨ q) ∨ r ≡ ( p∨ q ∨ r) ≡ p ∨ (q → r ) ≡ p∧ (q → r) ดังน้ัน ประพจนที่กําหนดใหสมมูลกบั ประพจนในขอ (ข) 3. 1) สรา งตารางคา ความจริงของ p ∧ q กบั p∧ q ไดด ังนี้ p q p q p∧q p∧ q T TF F T F T FF T F F F TT F F F F FT T F T สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
252 คมู ือครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 จะเห็นวา มีคาความจริงของ p ∧ q บางกรณีทต่ี รงกบั คา ความจริงของ p∧ q ดังนั้น p ∧ q กับ p∧ q ไมเปน นเิ สธกนั 2) วธิ ีท่ี 1 สรางตารางคาความจริงของ p ∨ q กับ p∧ q ไดดังน้ี p q p q p∨q p∧ q T TF F T F T FF T T F F TT F T F F FT T F T จะเห็นวา คา ความจริงของ p ∨ q ตรงขามกับคาความจริงของ p∧ q ทุกกรณี ดงั นั้น p ∨ q กบั p∧ q เปนนิเสธกัน วิธีท่ี 2 เนอื่ งจาก ( p ∨ q) เปนนเิ สธของ p ∨ q และ ( p ∨ q) สมมลู กบั p∧ q จะได p∧ q เปน นเิ สธของ p ∨ q ดังน้ัน p ∨ q กับ p∧ q เปน นิเสธกัน 3) วิธที ี่ 1 สรางตารางคาความจรงิ ของ p → q กับ p∧ q ไดด งั น้ี p q q p→q p∧ q T TF T F T FT F T F TF T F F FT T F สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 253 จะเห็นวาคาความจริงของ p → q ตรงขามกับคาความจรงิ ของ p∧ q ทกุ กรณี ดงั นน้ั p → q กบั p∧ q เปนนเิ สธกัน วธิ ีท่ี 2 เน่ืองจาก ( p → q) เปนนิเสธของ p → q และ ( p → q) ≡ ( p ∨ q) ≡ p∧ q จะได p∧ q เปนนิเสธของ p → q ดังน้นั p → q กับ p∧ q เปนนเิ สธกนั 4) สรางตารางคา ความจริงของ p → q กับ p → q ไดด งั นี้ p q p q p → q p → q T TF F T T T FF T F T F TT F T F F FT T T T จะเหน็ วา มคี าความจรงิ ของ p → q บางกรณีทีต่ รงกบั คา ความจริงของ p → q ดังนัน้ p → q กับ p → q ไมเปนนิเสธกนั 5) วิธที ่ี 1 สรางตารางคา ความจรงิ ของ p ↔ q กบั ( p∧ q) ∨ (q∧ p) ไดดังน้ี สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
254 คูม ือครรู ายวชิ าเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 p q p q p ↔ q p∧ q q∧ p ( p∧ q) ∨ (q∧ p) T TF F TF F F T FF T FT F T F TT F FF T T F FT T TF F F จะเห็นวา คา ความจริงของ p ↔ q ตรงขา มกับคาความจรงิ ของ ( p∧ q) ∨ (q∧ p) ทุกกรณี ดังน้นั p ↔ q กับ ( p∧ q) ∨ (q∧ p) เปน นเิ สธกัน วิธที ่ี 2 เน่ืองจาก ( p ↔ q) เปน นิเสธของ p ↔ q และ ( p ↔ q) ≡ ( p → q) ∧ (q → p) ≡ ( p ∨ q) ∧ ( q ∨ p) ≡ ( p∨ q)∨ ( q∨ p) ≡ ( p∧ q) ∨ (q∧ p) จะได ( p∧ q) ∨ (q∧ p) เปน นเิ สธของ p ↔ q ดงั น้นั p ↔ q กับ ( p∧ q) ∨ (q∧ p) เปนนเิ สธกัน 6) ให p แทน “ 2 เปน จาํ นวนตรรกยะ” และ q แทน “ 3 เปนจํานวนตรรกยะ” จะได p ∨ q แทน “ 2 หรือ 3 เปนจาํ นวนตรรกยะ” และ p∨ q แทน “ 2 หรือ 3 เปน จํานวนอตรรกยะ” สรา งตารางคา ความจริงของ p ∨ q กับ p∨ q ไดดงั น้ี สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 255 p q p q p∨q p∨ q T TF F T F T FF T T T F TT F T T F FT T F T จะเหน็ วา มีคา ความจรงิ ของ p ∨ q บางกรณีท่ตี รงกับคา ความจริงของ p∨ q ดงั นั้น p ∨ q กบั p∨ q ไมเ ปน นิเสธกนั นนั่ คอื “ 2 หรือ 3 เปน จาํ นวนตรรกยะ” กบั “ 2 หรอื 3 เปนจํานวนอตรรกยะ” ไมเ ปนนิเสธกัน 7) ให p แทน “ 2 +1 =3 ” และ q แทน “3 เปนจาํ นวนนบั ” จะได p → q แทน “ถา 2 +1 =3 แลว 3 เปน จํานวนนบั ” และ q ∧ p แทน “3 ไมใ ชจ ํานวนนับ แต 2 +1 =3 ” วิธีที่ 1 สรางตารางคา ความจรงิ ของ p → q กับ q ∧ p ไดด งั น้ี p q q p→q q∧ p T TF T F T FT F T F TF T F F FT T F จะเห็นวาคา ความจริงของ p → q ตรงขามกับคา ความจริงของ q ∧ p ทุกกรณี ดงั นนั้ p → q กับ q ∧ p เปน นเิ สธกนั สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
256 คูม ือครรู ายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 น่นั คอื “ถา 2 +1 =3 แลว 3 เปนจํานวนนับ” กบั “3 ไมใชจาํ นวนนับ แต 2 +1 =3 ” เปน นเิ สธกัน วธิ ีที่ 2 เนอ่ื งจาก ( p → q) เปนนิเสธของ p → q และ ( p → q) ≡ ( p ∨ q) ≡ p∧ q ≡ q∧ p จะได q ∧ p เปนนเิ สธของ p → q ดังน้ัน p → q กบั q ∧ p เปน นิเสธกนั นนั่ คือ “ถา 2 +1 =3 แลว 3 เปน จาํ นวนนบั ” กับ “3 ไมใ ชจ ํานวนนบั แต 2 +1 =3 ” เปน นเิ สธกัน 8) ให p แทน “4 เปน จํานวนคู” และ q แทน “4 เปนจํานวนเต็ม” จะได p ∧ q แทน “4 เปนจาํ นวนคแู ละเปน จาํ นวนเตม็ ” และ p∨ q แทน “4 เปนจาํ นวนค่ีหรอื ไมใชจาํ นวนเตม็ ” วิธที ี่ 1 สรา งตารางคาความจรงิ ของ p ∧ q กับ p∨ q ไดดงั น้ี p q p q p ∧ q p∨ q T TF F T F T FF T F T F TT F F T F FT T F T จะเหน็ วาคา ความจริงของ p ∧ q ตรงขามกับคาความจริงของ p∨ q ทกุ กรณี สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 257 ดงั นั้น p ∧ q กบั p∨ q เปน นิเสธกัน นน่ั คอื “4 เปนจํานวนคแู ละเปน จาํ นวนเตม็ ” กับ “4 เปน จาํ นวนคีห่ รอื ไมใ ช จํานวนเต็ม” เปนนิเสธกนั วิธีที่ 2 เนอื่ งจาก ( p ∧ q) เปน นิเสธของ p ∧ q และ ( p ∧ q) สมมลู กบั p∨ q จะได p∨ q เปน นิเสธของ p ∧ q ดังนน้ั p ∧ q กบั p∨ q เปนนเิ สธกนั น่นั คือ “4 เปน จํานวนคแู ละเปนจาํ นวนเต็ม” กับ “4 เปนจาํ นวนคห่ี รอื ไมใ ช จาํ นวนเต็ม” เปน นเิ สธกนั แบบฝกหดั 2.6 1. วิธที ่ี 1 สรา งตารางคาความจริงของ ( p → q) → p → p ไดด ังน้ี p q p → q ( p → q) → p ( p → q) → p → p TT T T T TF F T T FT T F T FF T F T จะเหน็ วา รปู แบบของประพจน ( p → q) → p → p เปน จรงิ ทกุ กรณี ดังน้ัน รูปแบบของประพจน ( p → q) → p → p เปนสัจนิรันดร วธิ ีท่ี 2 สมมตใิ ห ( p → q) → p → p มีคา ความจรงิ เปน เท็จ สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
258 คูมือครรู ายวิชาเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 ขดั แยง กัน จากแผนภาพ จะเหน็ วา คาความจริงของ p เปนไดท ั้งจรงิ และเทจ็ เกดิ การขัดแยง กับทีส่ มมติไวว า ( p → q) → p → p เปน เทจ็ ดังนน้ั รปู แบบของประพจน ( p → q) → p → p เปนสัจนิรันดร 2. วธิ ีท่ี 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p → q) → q ไดดังน้ี p q p → q ( p → q) q ( p → q) → q TT T F F T TF F T T T FT T F F T FF T F T T จะเหน็ วารปู แบบของประพจน ( p → q) → q เปน จริงทกุ กรณี ดงั น้นั รูปแบบของประพจน ( p → q) → q เปน สจั นริ ันดร สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 259 วิธที ่ี 2 สมมติให ( p → q) → q มีคา ความจริงเปน เท็จ ขดั แยง กัน จากแผนภาพ จะเห็นวาคา ความจรงิ ของ q เปน ไดทัง้ จรงิ และเทจ็ เกิดการขัดแยงกับทสี่ มมติไวว า ( p → q) → q เปน เทจ็ ดังน้ัน รูปแบบของประพจน ( p → q) → q เปน สัจนิรนั ดร 3. วิธที ี่ 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p → q) → ( p ↔ q) ไดด ังน้ี p q p p → q ( p → q) p ↔ q ( p → q) → ( p ↔ q) T TF TF F T T FF FT T T F TT TF T T F FT TF F T จะเห็นวา รูปแบบของประพจน ( p → q) → ( p ↔ q) เปน จรงิ ทกุ กรณี นั่นคือ รูปแบบของประพจน ( p → q) → ( p ↔ q) เปนสจั นริ ันดร วิธีท่ี 2 สมมตใิ ห ( p → q) → ( p ↔ q) มีคา ความจรงิ เปนเทจ็ สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
260 คูม ือครูรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 จากแผนภาพ จะได p เปนจริง และ q เปนเท็จ ดังนั้น p ↔ q เปน จริง แตจ ากแผนภาพ p ↔ q เปนเทจ็ เกิดการขดั แยง กับทสี่ มมติไววา ( p → q) → ( p ↔ q) เปน เทจ็ ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p → q) → ( p ↔ q) เปนสจั นิรนั ดร 4. วธิ ีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p ∧ q) → ( p ↔ q) ไดด งั น้ี p q p ∧ q ( p ∧ q) p ↔ q ( p ↔ q) ( p ∧ q) → ( p ↔ q) TT TF TF T TF FT FT T FT FT FT T FF FT TF F จะเหน็ วา กรณที ี่ p เปน เท็จ q เปนเทจ็ จะไดว า รปู แบบของประพจน ( p ∧ q) → ( p ↔ q) เปน เทจ็ ดังน้ัน รูปแบบของประพจน ( p ∧ q) → ( p ↔ q) ไมเปน สัจนิรันดร วธิ ีที่ 2 สมมตใิ ห ( p ∧ q) → ( p ↔ q) มีคา ความจริงเปน เทจ็ สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 261 จากแผนภาพ การหาคาความจริงของ p และ q จะพจิ ารณาจาก p ↔ q ซ่งึ มคี า ความจริงเปนจรงิ ทาํ ใหคาความจรงิ ของ p และ q มไี ด 2 กรณีคอื เปน จรงิ ท้งั คู หรอื เปน เทจ็ ท้งั คู แตเ นอื่ งจาก p ∧ q เปน เท็จ แสดงวา p และ q ตองเปน เท็จท้งั คู จะเหน็ วา มกี รณีที่ p เปนเทจ็ และ q เปนเท็จ ทท่ี ําให ( p ∧ q) → ( p ↔ q) เปนเทจ็ ดงั นน้ั รูปแบบของประพจน ( p ∧ q) → ( p ↔ q) ไมเปนสัจนริ ันดร 5. วิธที ่ี 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) ไดด งั นี้ p q r p → q q → r p → r ( p → q) ∧ (q → r ) ( p → q) ∧ (q → r ) → ( p → r ) TTT T T T T T TTF T F F F T TFT F T T F T TFF F T F F T FTT T T T T T FTF T F T F T FFT T T T T T FFF T T T T T สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
262 คูมอื ครรู ายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 จะเหน็ วารูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) เปน จรงิ ทกุ กรณี ดงั นัน้ รปู แบบของประพจน ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) เปน สจั นริ นั ดร วธิ ที ี่ 2 สมมติให ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) มีคา ความจรงิ เปนเท็จ ขดั แยง กัน จากแผนภาพ จะเห็นวา คา ความจรงิ ของ r เปน ไดท ง้ั จรงิ และเท็จ เกิดการขดั แยงกับท่สี มมติไวว า ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) เปน เท็จ ดังน้ัน รูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) เปนสจั นริ ันดร แบบฝกหดั 2.7 1. กาํ หนดให p, q, r และ s เปนประพจน ตรวจสอบรปู แบบของประพจนท ไี่ ดในแตละขอวาเปนสจั นิรันดรห รือไม 1) สมมตใิ ห ( p ∧ q) ∧ ( p → (q → r)) → r เปน เท็จ สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 263 ขดั แยงกนั จากแผนภาพ จะเหน็ วา คา ความจริงของ r เปนไดท้ังจริงและเทจ็ เกดิ การขัดแยง กบั ทสี่ มมติไววา ( p ∧ q) ∧ ( p → (q → r)) → r เปน เท็จ นัน่ คอื รูปแบบของประพจน ( p ∧ q) ∧ ( p → (q → r)) → r เปน สัจนิรันดร ดังนั้น การอา งเหตผุ ลนีส้ มเหตสุ มผล 2) สมมตใิ ห ( p → (q ∨ r)) ∧ ( q∨ r) → p เปน เทจ็ จากแผนภาพ จะเหน็ วา มีกรณีที่ p เปนจรงิ q เปนจริง และ r เปนเทจ็ ท่ที ําให ( p → (q ∨ r)) ∧ ( q∨ r) → p เปน เท็จ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
264 คมู อื ครูรายวิชาเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 นน่ั คือ รปู แบบของประพจน ( p → (q ∨ r)) ∧ ( q∨ r) → p ไมเ ปน สัจนริ ันดร ดังนัน้ การอา งเหตุผลนไ้ี มส มเหตสุ มผล 3) สมมตใิ ห ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r)∧ r → p เปน เทจ็ จากแผนภาพ จะเห็นวา มีกรณที ี่ p เปน เท็จ q เปนจรงิ และ r เปน เท็จ ท่ีทําให ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r)∧ r → p เปน เทจ็ นั่นคอื รูปแบบของประพจน ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r)∧ r → p ไมเ ปน สัจนิรนั ดร ดังนั้น การอางเหตุผลนไี้ มส มเหตุสมผล 4) สมมติให ( p → q) ∧ p ∧ r → q เปน เท็จ จากแผนภาพ จะเห็นวามีกรณีที่ p เปน จรงิ q เปนจริง และ r เปน จรงิ ที่ทําให ( p → q) ∧ p ∧ r → q เปนเทจ็ น่ันคือ รูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ p ∧ r → q ไมเ ปนสจั นิรนั ดร ดงั นัน้ การอา งเหตผุ ลน้ไี มส มเหตุสมผล สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 265 5) สมมติให ( p → q) ∧ (r ∨ p) ∧ q ∧ (r → s) → s เปน เทจ็ ขดั แยงกัน จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจรงิ ของ q และ q เปนจรงิ ท้งั คู เกิดการขดั แยงกับท่ีสมมตไิ วว า ( p → q) ∧ (r ∨ p) ∧ q ∧ (r → s) → s เปน เทจ็ นนั่ คอื รูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ (r ∨ p) ∧ q ∧ (r → s) → s เปนสัจนิรันดร ดังนัน้ การอา งเหตผุ ลนสี้ มเหตุสมผล 2. 1) ให p แทนประพจน “พฒั นาชอบสีฟา ” q แทนประพจน “พฒั นชี อบสชี มพู” เขียนแทนขอความในรูปสญั ลักษณไดดงั น้ี เหตุ 1. p ∨ q 2. p ผล p ดงั นน้ั รปู แบบของประพจนใ นการอางเหตุผลน้ี คอื ( p ∨ q)∧ p → q ตรวจสอบรูปแบบของประพจนท ีไ่ ดว า เปนสจั นริ นั ดรหรือไม สมมติให ( p ∨ q)∧ p → q เปนเทจ็ สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
266 คูม อื ครูรายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 จากแผนภาพ จะเห็นวา มกี รณีที่ p เปน เทจ็ และ q เปน จริง ทท่ี ําให ( p ∨ q)∧ p → q เปน เทจ็ น่ันคอื รปู แบบของประพจน ( p ∨ q)∧ p → q ไมเปน สัจนริ ันดร ดังนนั้ การอา งเหตผุ ลน้ีไมสมเหตุสมผล 2) ให p แทนประพจน “โชคสรา งบา นหลงั ใหมเ สร็จ” q แทนประพจน “ครอบครัวของโชคยายมาอยูดว ย” r แทนประพจน “โชคไดด แู ลพอแมทีช่ ราแลว ” เขยี นแทนขอความในรูปสัญลักษณไดดงั น้ี เหตุ 1. p → q 2. q → r ผล p → r ดงั นั้น รปู แบบของประพจนในการอา งเหตุผลน้ี คือ ( p → q) ∧ (q → r ) → ( p → r ) ตรวจสอบรปู แบบของประพจนท่ีไดว า เปนสัจนริ ันดรห รอื ไม สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 267 สมมตใิ ห ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) เปน เทจ็ ขดั แยงกัน จากแผนภาพ จะเห็นวา คาความจรงิ ของ r เปน ไดทัง้ จริงและเทจ็ เกดิ การขัดแยงกบั ที่สมมตไิ วว า ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) เปน เท็จ นนั่ คอื รปู แบบของประพจน ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) เปน สัจนริ นั ดร ดังน้นั การอางเหตุผลนี้สมเหตุสมผล 3) ให p แทนประพจน “ชยั ทาํ ยอดขายตามเปาหมายทผ่ี ูจัดการตั้งไว” q แทนประพจน “ชัยไดรับโบนัส” เขยี นแทนขอความในรูปสัญลักษณไดดงั นี้ เหตุ 1. p → q 2. p ผล q ดงั นนั้ รปู แบบของประพจนใ นการอา งเหตผุ ลนี้ คอื ( p → q) ∧ p → q ตรวจสอบรปู แบบของประพจนทไ่ี ดวา เปนสัจนิรนั ดรห รือไม สมมติให ( p → q) ∧ p → q เปนเท็จ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
268 คมู อื ครูรายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 ขดั แยงกัน จากแผนภาพ จะเหน็ วาคาความจริงของ q เปน ไดท ัง้ จรงิ และเท็จ เกดิ การขดั แยงกับทสี่ มมติไววา ( p → q) ∧ p → q เปนเท็จ นนั่ คอื รูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ p → q เปน สัจนริ ันดร ดังนนั้ การอา งเหตผุ ลนส้ี มเหตสุ มผล 4) ให p แทนประพจน “องิ ฟาซอ้ื กระเปา ถือสดี ํา” q แทนประพจน “องิ ฟาซื้อรองเทา สดี ํา” เขยี นแทนขอความในรปู สญั ลักษณไดดงั น้ี เหตุ 1. p → q 2. q ผล p ดงั นั้น รปู แบบของประพจนใ นการอา งเหตุผลนี้ คือ ( p → q) ∧ q → p ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดวาเปน สจั นิรันดรหรอื ไม สมมติให ( p → q) ∧ q → p เปน เท็จ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 269 จากแผนภาพ จะเห็นวามกี รณที ่ี p เปนเท็จ และ q เปนจริง ทท่ี ําให ( p → q) ∧ q → p เปนเทจ็ น่นั คอื รูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ q → p ไมเ ปนสจั นิรันดร ดังนนั้ การอางเหตผุ ลนี้ไมส มเหตสุ มผล 5) ให p แทนประพจน “มะนาวพบคนพิการที่ขายสลากกนิ แบงรฐั บาล” q แทนประพจน “มะนาวซื้อสลากกินแบงรัฐบาล” เขียนแทนขอความในรูปสญั ลักษณไดด งั นี้ เหตุ 1. p → q 2. q ผล p ดงั นั้น รูปแบบของประพจนในการอา งเหตผุ ลนี้ คอื ( p → q)∧ q → p ตรวจสอบรูปแบบของประพจนท ไ่ี ดวาเปน สัจนิรนั ดรหรือไม สมมตใิ ห ( p → q)∧ q → p เปนเท็จ สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
270 คูมอื ครรู ายวชิ าเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 ขัดแยงกนั จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ p และ p เปนจริงทงั้ คู เกิดการขดั แยงกบั ทส่ี มมติไววา ( p → q)∧ q → p เปน เทจ็ น่ันคอื รูปแบบของประพจน ( p → q)∧ q → p เปนสัจนริ ันดร ดงั น้นั การอางเหตุผลน้สี มเหตสุ มผล แบบฝกหัด 2.8 2. เปนประพจน 4. เปน ประโยคเปด 1. ไมใ ชท ้งั ประพจนและประโยคเปด 6. ไมเปน ทั้งประพจนแ ละประโยคเปด 3. เปน ประโยคเปด 8. เปนประพจน 5. ไมเ ปนทั้งประพจนและประโยคเปด 10. เปนประโยคเปด 7. เปน ประโยคเปด 9. เปนประพจน สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 271 แบบฝกหัด 2.9 1. ให U = 1) ∀x[x ∈ → x ⋅1 =x] 2) ∃x x2 =2 3) ∃x[| x | +1 ≤ 1] 4) ∀x[x ∈ → x ∈ ] 2. 1) สําหรบั จํานวนจริง x ทุกจาํ นวน ถา x < 2 แลว x2 < 4 2) สาํ หรบั จาํ นวนจริง y ทุกจํานวน y2 − 4 = ( y − 2)( y + 2) 3) มีจาํ นวนจรงิ y ซงึ่ 2y +1 =0 4) สาํ หรับจํานวนจรงิ x บางจาํ นวน ซ่งึ ถา x เปนจาํ นวนตรรกยะ แลว x2 = 2 แบบฝกหัด 2.10 1. ∀x x2 > 8 เปนเท็จ เมือ่ U= { −1, 0, 2} เพราะวา เม่ือแทน x ดว ย 0 ใน x2 > 8 จะไดป ระพจนทีเ่ ปนเทจ็ 2. ∃x[x < 0] เปน เท็จ เมือ่ U = { 0, 4, 7 } เพราะวา เมื่อแทน x ดว ย 0, 4 หรือ 7 ใน x < 0 จะไดประพจนที่เปน เทจ็ เสมอ 3. ∃x x2 ≥ 0 เปนจรงิ เม่ือ U = เพราะวา เม่ือแทน x ดว ย 1 ใน x2 ≥ 0 จะไดป ระพจนท ่ีเปนจริง 4. ∀x[x +1 =4] เปนเท็จ เมอื่ U = {1, 2, 3, 4} เพราะวา เมื่อแทน x ดว ย 1 ใน x +1=4 จะไดป ระพจนท ่ีเปน เทจ็ 5. ∃x[5 + x ≠ 5] เปนจริง เมื่อ U = เพราะวา เมื่อแทน x ดวย 1 ใน 5 + x ≠ 5 จะไดประพจนทีเ่ ปน จรงิ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
272 คูม อื ครรู ายวชิ าเพิม่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 6. ∀x [ x เปน จาํ นวนอตรรกยะ] เปนเทจ็ เมอื่ U = เพราะวา เม่ือแทน x ดว ย 1 ใน x เปนจาํ นวนอตรรกยะ จะไดป ระพจนท เ่ี ปน เท็จ 7. ∀x [ถา x เปนจาํ นวนคี่ แลว x เปนจาํ นวนเฉพาะ] เปนเท็จ เมือ่ U = { 0, 1, 2, 3,4,5} เพราะวา เม่ือแทน x ดว ย 1 ใน ถา x เปนจํานวนคี่ แลว x เปนจํานวนเฉพาะ จะไดประพจนท่ีเปน เทจ็ 8. ∃x [ x เปนจาํ นวนนบั หรือเปนจาํ นวนเฉพาะ] เปนจรงิ เม่อื U = { 0, 2, 4, 6} เพราะวา เม่ือแทน x ดวย 2 ใน x เปนจํานวนนบั หรอื เปน จาํ นวนเฉพาะ จะไดประพจนที่เปน จริง 9. ∀x [ x เปน จํานวนตรรกยะ] ∨ ∃x [ x เปน ตวั ประกอบของ 2] เปน จริง เมอื่ U = { 0, 1, 2} เพราะวา ∀x [ x เปน จํานวนตรรกยะ] เปน จริง เมอื่ U = { 0, 1, 2} เนือ่ งจาก เม่อื แทน x ดว ย 0, 1 หรือ 2 ใน x เปนจํานวนตรรกยะ จะไดประพจนทเ่ี ปน จรงิ เสมอ 10. ∃x [ x2 เปน จํานวนคู] ∧∀x [ x เปนจาํ นวนนับแลว 2x เปนจาํ นวนคู] เปน จรงิ เม่อื U = { 0, 1, 2} เพราะวา ∃x [ x2 เปน จาํ นวนคู] เปน จรงิ เมือ่ U = { 0, 1, 2} เนอื่ งจาก เมือ่ แทน x ดวย 2 ใน x2 เปน จํานวนคู จะไดป ระพจนท ่เี ปน จริง และ ∀x [ x เปน จาํ นวนนบั แลว 2x เปนจํานวนคู] เปน จรงิ เม่อื U = { 0, 1, 2} เน่อื งจาก เมอ่ื แทน x ดวย 0, 1 หรอื 2 ใน x เปน จํานวนนับ แลว 2x เปน จาํ นวนคู จะไดป ระพจนทเ่ี ปน จรงิ เสมอ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 273 แบบฝก หดั 2.11 1. 1) ให P( x) แทน x > 0 และ Q( x) แทน x2 > 0 เนอื่ งจาก P( x) → Q( x) สมมูลกบั P( x) ∨ Q( x) จะได ∀x x > 0 → x2 > 0 สมมลู กับ ∀x x ≤ 0 ∨ x2 > 0 ดังนัน้ ขอ ความทีก่ ําหนดใหสมมลู กบั ขอความในขอ (ข) 2) ให P( x) แทน x + 2 =5 และ Q( x) แทน x ∈ เนอ่ื งจาก P( x) ∧ Q( x) สมมลู กบั Q( x) ∧ P( x) จะได ∃x[x + 2 = 5 ∧ x ∈] สมมลู กบั ∃x[x ∈ ∧ x + 2 =5] ดงั น้ัน ขอ ความทก่ี าํ หนดใหสมมลู กบั ขอความในขอ (ก) 3) ให P( x) แทน x ≥ 0 เนือ่ งจาก ∀x P( x) สมมูลกับ ∃x P( x) จะได ∀x[x ≥ 0] สมมลู กับ 0 ∃x[x < 0] ดังนัน้ ขอ ความที่กําหนดใหสมมลู กับขอความในขอ (ก) 4) ให P( x) แทน x = 4 และ Q( x) แทน x ≠ 16 เนอ่ื งจาก ∃x[P(x) ∧ Q(x)] สมมลู กบั ∀x (P( x) ∧ Q( x)) สมมูลกับ ∀x P( x)∨ Q( x) สมมลู กบั ∀x P( x) → Q( x) จะได ∃x x = 4 ∧ x ≠ 16 สมมลู กบั ∀x x = 4 → x =16 ดงั นน้ั ขอ ความท่กี ําหนดใหสมมลู กับขอความในขอ (ข) สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
274 คูม อื ครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 5) ให P( x) แทน x ∈ และ Q( x) แทน x ∈ เนื่องจาก ∀x[P(x)] → ∃x[Q(x)] สมมูลกบั ∃x[Q(x)] → ∀x[P(x)] สมมลู กบั ∀x[ Q(x)] → ∃x[ P(x)] จะได ∀x[x ∈] → ∃x[x ∈] สมมลู กับ ∀x[x ∉] → ∃x[x ∉] ดงั นน้ั ขอความทีก่ ําหนดใหสมมลู กบั ขอความในขอ (ข) 6) ให P( x) แทน x + 2 > 5 และ Q( x) แทน x2 ≤ 0 เน่อื งจาก (∃x[P(x)] ∧ ∃x[Q(x)]) สมมลู กับ ∃x[P(x)]∨ ∃x[Q(x)] สมมูลกบั ∀x[ P(x)] ∨ ∀x[ Q(x)] ( )จะได 0 ∃x[x + 2 > 5] ∧ ∃x x2 ≤ 0 สมมูลกบั ∀x[x + 2 ≤ 5] ∨ ∀x x2 > 0 ดงั นั้น ขอ ความทีก่ าํ หนดใหส มมลู กับขอความในขอ (ก) 7) ให P(x) แทน “x เปนจาํ นวนเฉพาะ” ขอความที่กําหนดเขยี นแทนดวยสญั ลักษณ ∃x P(x) เม่อื U เปน เซตของ จาํ นวนคี่ เน่อื งจาก ∃x P( x) เมื่อ U เปน เซตของจํานวนคี่ สมมลู กบั ∀x P(x) เมอื่ U เปน เซตของจํานวนคี่ จะไดว า ขอความ “มจี าํ นวนค่ีบางจาํ นวนไมใชจ าํ นวนเฉพาะ” สมมูลกับขอความ “ไมจริงทว่ี า จํานวนคีท่ ุกจํานวนเปน จาํ นวนเฉพาะ” ดังน้นั ขอความที่กาํ หนดใหส มมูลกบั ขอความในขอ (ก) 8) ให P(x) แทน “x เปนเซตจาํ กดั ” ขอ ความท่ีกําหนดเขียนแทนดวยสญั ลักษณ ∃x P(x) เมือ่ U เปนเซตของ สบั เซตของเซตอนนั ต สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 510
Pages: