Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ

Description: หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ

Search

Read the Text Version

www.webkal.org ปิดกันเท่าน้ัน และไม่ให้ลืมตา เห็นอะไร ปล่อยเร่ือยๆ ไป ดูเรื่อยๆ ไป จะ นงั่ นอน ยืน เดิน ใหห้ ม่ันตรกึ ถึงสมาธิอยู่เสมอ จะนง่ั ทา่ ไหนซง่ึ รูส้ ึกสะดวก สบายท่านไม่ห้าม แต่การน่ังเอาเท้าขวาทับซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้ปลาย น้วิ ชขี้ วาจดหัวแมม่ ือซ้ายและตั้งกายตรงนั้น เปน็ แบบแผนท่ดี ี ซึง่ ใช้ตอ่ ๆ มา จนบัดนี้ ควรเก็บรกั ษาไว้ เม่ือสอนเสร็จแล้ว ท่านให้น่ังทำาต่อหน้าท่านพร้อมกัน โดยท่านค่อยๆ แนะหลักข้างต้นเร่ือยไป จนในท่ีสุดท่านหยุดเงียบปล่อยให้นั่งกันไปเอง ประมาณไมเ่ กนิ ครง่ึ ชว่ั โมง ทา่ นกก็ ลา่ วเปน็ คาำ บาลวี า่ สพเฺ พ พทุ ธฺ า พลปปฺ ตตฺ า ฯลฯ เปน็ เสรจ็ ขนั้ ตอนการนาำ ธรรมปฏิบตั ิ 2.2.2. แผนผังการเขา้ ถงึ ธรรมตามลา� ดบั ในการเจริญภาวนา มนุษย์ทุกคนมีกายที่ละเอียดซ้อนกันเป็นชั้นๆ เข้าไปตามลำาดับ ซ่ึงจะเข้าถึงได้ด้วยการรวมใจหยุดน่ิงสนิทอย่างถูกส่วนที่ ศนู ยก์ ลางกายฐานท่ี 7 ดังได้กลา่ วมาแลว้ กายที่ซอ้ นกันเปน็ ชนั้ ๆ เขา้ ไปตาม ลาำ ดับมีดังนี้ 1. กายมนษุ ย์ เปน็ กายภายนอก 2. กายทพิ ย์ 3. กายรูปพรหม 4. กายอรูปพรหม 5. กายธรรม หรอื ธรรมกาย บทที 2 ข้อมลู พ้ืนฐาน | 69

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ระดบั ท่ี 1-4 จดั เปน็ กายในระดบั โลกยิ ะ ประกอบดว้ ยอปุ าทานขนั ธ์ 5 ที่ มคี วามละเอยี ดเขา้ ไปตามลาำ ดบั มกี เิ ลสในระดบั ทลี่ ะเอยี ดลงไปตามลาำ ดบั ดงั น้ี กเิ ลสในกายมนษุ ย์ คอื อภิชฌา พยาบาท มจิ ฉาทิฏฐิ กิเลสในกายทิพย์ คอื โลภะ โทสะ โมหะ กิเลสในกายรูปพรหม คอื ราคะ โทสะ โมหะ กิเลสในกายอรปู พรหม คือ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสยั อวชิ ชานุสยั สว่ นระดบั ท่ี 5 คอื กายธรรม หรอื ธรรมกาย แบง่ ยอ่ ยออกไดเ้ ปน็ 5 ระดบั ตามลำาดับชน้ั ของโลกตุ รธรรมซ่งึ มีกำาลังของการตรสั ร้ธู รรมท่ไี มเ่ ท่ากัน ไดแ้ ก่ 1. ธรรมกายโคตรภู 2. ธรรมกายโสดาบัน 3. ธรรมกายสกทาคามี 4. ธรรมกายอนาคามี 5. ธรรมกายอรหัต กายทุกกายในแต่ละระดับ ท้ังในฝ่ายโลกิยะและโลกุตระ มีเป็นคู่ของ กายหยาบและกายละเอียด รวมทง้ั หมดเป็น 18 กาย คือกายในฝ่ายโลกยิ ะ 8 กาย และกายธรรม 10 กาย ภายในกายแต่ละกาย ทั้งในฝา่ ยโลกิยะและโลกตุ ระ ตา่ งมีดวงธรรมท่ี ทาำ ใหเ้ ปน็ กายนน้ั ๆ และมดี วงธรรมทซ่ี อ้ นกนั เปน็ ชนั้ ๆ ตามความละเอยี ดเขา้ ไป ตามลาำ ดับ คอื ดวงธัมมานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน ดวงศลี ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ และดวงวิมุตติญาณทสั นะ 70 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org ดวงธรรมและกายต่างๆ เหล่านี้มีความเช่ือมโยงต่อเน่ืองกันเป็นลำาดับ ไปในเสน้ ทางสายกลางท่ีนาำ สูน่ พิ พาน ในการเจริญภาวนาเพ่ือกำาจัดกิเลสอาสวะน้ัน ต้องอาศัยธรรมกาย ซึ่งบริบูรณ์ด้วยธรรมจักษุและญาณทัสนะในระดับวิปัสสนา เพราะกายอ่ืนๆ ในระดับโลกิยะน้ันมีแต่ดวงวิญญาณ ไม่มีญาณจึงไม่อาจตรัสรู้อริยสัจ 4 ได้ ส่วนธรรมกายเห็นแจ้งและรู้แจ้งธรรมชาติของสิ่งท้ังปวงตามความเป็นจริงได้ จึงทำาหน้าทต่ี รัสรอู้ ริยสัจ 4 และหลดุ พน้ จากกเิ ลสเป็นชั้นๆ ตามลำาดบั ดังน้ี 1. ธรรมกายโคตรภูเดินสมาบัติเพ่งอริยสัจ 4 เป็นอนุโลมปฏิโลม จน หลดุ พน้ จากกเิ ลสจาำ พวกสักกายทิฏฐิ วจิ กิ ิจฉา สลี พั พตปรามาส แล้วตกศูนย์ วบั กลบั เปน็ พระโสดาบนั เปน็ อนั วา่ พระโสดาบนั ละกเิ ลสได้ 3 คอื สกั กายทฏิ ฐิ วิจกิ จิ ฉา สีลัพพตปรามาส 2. กายธรรมโสดาบันเดนิ สมาบัตเิ พง่ อริยสจั 4 เป็นอนุโลม ปฏโิ ลม ตอ่ ไปถึงขีดสุด ละกิเลสได้อกี 2 คอื กามราคะ พยาบาทช้ันหยาบ จึงเลอื่ นชน้ั ขน้ึ เป็นสกทิ าคามี 3. กายธรรมพระสกิทาคามเี ดนิ สมาบตั ิ เพง่ อริยสจั 4 ทาำ นองเดยี วกนั น้ันต่อไป ถึงขีดสุดละกิเลสได้อีก 2 คือ กามราคะ พยาบาทข้ันละเอียด จึง เลือ่ นช้ันเป็นพระอนาคามี 4. กายพระอนาคามีเดินสมาบัติเพง่ อรยิ สจั 4 ทำานองเดียวกนั น้นั ต่อไป ถงึ ขดี สดุ ละกิเลสได้อกี 5 คอื รปู ราคะ อรูปราคะ มานะ อทุ ธจั จะ อวิชชา จงึ เล่อื นข้ึนจากพระอนาคามี เป็นพระอรหนั ต์ บทที 2 ขอ้ มลู พนื้ ฐาน | 71

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ในวชิ ชาธรรมกาย อรยิ บคุ คลแตล่ ะชน้ั หมายถงึ ธรรมกายในระดบั ตา่ งๆ สว่ นในระดับเดียวกนั นั้น ธรรมกายหยาบคอื มรรค และธรรมกายละเอยี ดคอื ผล ส่วนผู้เข้าถึงธรรมกายโคตรภู จัดเป็นโคตรภูบุคคลที่อยู่ในระหว่างรอย ต่อระหว่างโลกิยะกับโลกุตระ20 ถ้าประมาทไม่ใส่ใจในการปฏิบัติพัฒนาจิตให้ สะอาดบรสิ ุทธิ์ยง่ิ ๆ ข้นึ ไปกจ็ ะถอยกลับมาส่คู วามเปน็ ปุถชุ นได้ แต่ถ้ามคี วาม เพียรหมั่นปฏิบัติขัดเกลาจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ย่ิงขึ้น ก็จะก้าวข้ึนสู่ความเป็น อรยิ บคุ คลได้เชน่ เดียวกัน ท่านจึงเปรียบโคตรภบู ุคคลวา่ เสมือนมีเท้าขา้ งหน่ึง เหยียบอยูบ่ นฝังโลกยิ ะและอกี ข้างหนง่ึ เหยยี บอยบู่ นฝังโลกุตระ ธรรมกายประกอบดว้ ยธรรมขันธ์ ซึง่ ได้ชื่อว่าเปน็ อสังขตะ ไมม่ ปี จั จัย ปรงุ แตง่ ซ่งึ แตกตา่ งจากกายอน่ื ๆ ในระดบั โลกยิ ะทยี่ ังประกอบดว้ ยอุปาทาน ขนั ธ์ 5 และจัดเป็นสังขตธรรม ดว้ ยธรรมจกั ษแุ ละญาณทสั นะของธรรมกาย พระอรหนั ตเ์ หน็ แจง้ และรู้ แจง้ ชดั เจนวา่ สงั โยชนท์ ผ่ี กู ทา่ นไวใ้ นวฏั สงสารไดห้ ลดุ ลอ่ นออกไปหมดสน้ิ แลว้ โดยเหตนุ ที้ า่ นจงึ ประกาศไดด้ ว้ ยความแกลว้ กลา้ วา่ ภพชาตขิ องทา่ นสน้ิ สดุ แลว้ และจะไม่มกี ารเวยี นว่ายตายเกดิ อีกตอ่ ไป 20 “โคตรภูบุคคล” ในท่ีน้ี หมายถึงผู้ท่ีถึงพร้อมด้วยคุณธรรมอันเป็นลำาดับก่อนจะก้าวเข้าสู่อริยธรรม (อภิ.ปุ. 36/541/143) จึงนับเป็นบุคคลที่อยู่ระหว่างหัวต่อของความเป็นปุถุชนและอริยบุคคล นับ เปน็ เน้อื นาบญุ อันเลศิ จาำ พวกหน่งึ (อง.ฺ นวก. 23/214/386) เปน็ คนละความหมายกับ “โคตรภูสงฆ”์ ซึ่งหมายถึงภกิ ษผุ ู้ไมม่ ีศีลในชว่ งจะสนิ้ ศาสนา (ม.อุ. 14/713/460) 72 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org ในหลกั การของวชิ ชาธรรมกาย ธรรมกายเปน็ ธรรมชาตดิ ง้ั เดมิ ทส่ี ะอาด บรสิ ทุ ธข์ิ องมนษุ ย2์ 1 สภาวธรรมอนั ละเอยี ดภายในรวมทงั้ ธรรมกายลว้ นเปน็ สงิ่ ที่มีอยู่แล้ว รอคอยผู้ปฏิบัติให้เข้าไปถึงโดยการกลั่นชำาระจิตให้ละเอียดและ สะอาดบริสุทธ์ิ พรอ้ มกับการดบั กเิ ลสอาสวะไปตามลาำ ดับ ดว้ ยการเจริญสมถ ภาวนาและวปิ ัสสนาภาวนา 2.3. พระพุทธศาสนาในประเทศไทยก่อนและในช่วงชีวิต ของพระมงคลเทพมนุ ี ภาพรวมของพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทยในยคุ สมัยนั้น โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับธรรมปฏิบัติ เป็นข้อมูลพื้นฐานท่ีสำาคัญต่อการ วเิ คราะหแ์ ละอภิปรายผลการศกึ ษา 2. .1. การเดินทางของพระพทุ ธศาสนาเขา้ มาสปู่ ระเทศไทย การศึกษาทางประวัติศาสตร์และโบราณคดียังไม่มีข้อยุติว่า พระพุทธ ศาสนาเดนิ ทางเขา้ มาถึงประเทศไทยเปน็ ครง้ั แรกเมอ่ื ไร และ ณ พื้นท่ใี ด แต่ สิ่งหน่ึงท่ีแน่นอนคือ พระพุทธศาสนาได้เข้ามาปักหลักอยู่ในดินแดนต่างๆ ที่ นบั เปน็ อาณาเขตของประเทศไทยปจั จบุ นั มานานหลายศตวรรษกอ่ นการรวม แผน่ ดนิ ไทยในยคุ สมัยพ่อขนุ รามคำาแหงมหาราชในพุทธศตวรรษท่ี 19 21 ในวชิ ชาธรรมกาย มหี ลกั การวา่ ธรรมชาตดิ งั้ เดมิ ของมนษุ ยน์ นั้ สะอาดบรสิ ทุ ธิ์ แตก่ ลบั มาเศรา้ หมอง ขนุ่ มัวดว้ ยกเิ ลสท่ี “ถูกปนเป้ือนเขา้ มา” ในภายหลงั บทที 2 ข้อมลู พืน้ ฐาน | 73

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ การศึกษาร่องรอยพระพุทธศาสนาจากจารึกและศิลปวัตถุบ่งช้ีว่า พระพทุ ธศาสนาเขา้ มาสปู่ ระเทศไทยไมช่ า้ ไปกวา่ ครง่ึ หลงั ของพทุ ธศตวรรษที่ 10 ในบริเวณอ่าวไทยตอนบน (พิริยะ ไกรฤกษ์ 2553: 27-29) หลักฐานทาง โบราณคดีเก่าแก่ท่ีบ่งบอกถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่สยามประเทศ อยา่ งเปน็ เรอ่ื งเปน็ ราวคอื พระพทุ ธรปู ในแบบอมราวดที เ่ี คยรงุ่ เรอื งอยใู่ นอานธร ประเทศทางตอนใต้ของอินเดียตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ 7-10 มาปรากฏ อยู่ในหลายท้องที่ของไทยและประเทศใกล้เคียงราวปลายพุทธศตวรรษท่ี 10 (พิริยะ ไกรฤกษ์: 48-49 Assavavirulhakarn 2010: 67) หากดว้ ยรปู ลกั ษณ์ ขององคพ์ ระทไี่ มไ่ ดเ้ ปน็ ของอารยธรรมดง้ั เดมิ ของอมราวดลี ว้ นเพราะมลี กั ษณะ ของศิลปะท้องถิ่นผสมรวมอยู่ด้วยน้ัน ทำาให้ประพจน์เช่ือว่าพระพุทธศาสนา ต้องเข้ามาก่อนหน้านั้นแล้วระยะหนึ่งซึ่งนานพอที่วัฒนธรรมใหม่จากอินเดีย จะหลอมรวมกนั เขา้ กับรูปแบบท้องถิน่ แลว้ (Assavavirulhakarn 2010: 67) นอกจากน้ีการศึกษาพุทธศิลป์ยังบ่งชี้ว่าพระพุทธศาสนาท่ีเคยเผยแผ่ เข้ามาในประเทศไทยมีหลายนิกายซ่ึงผลัดเปลี่ยนกันเข้ามา ส่วนพระพุทธ ศาสนาเถรวาทหลากหลายรปู แบบกผ็ ลดั กนั เขา้ มาหลายระลอก22 แมจ้ ะยงั สรปุ 22 พริ ยิ ะ ไกรฤกษ์ (2553: 18) จำาแนกพทุ ธศิลปใ์ นประเทศไทยเปน็ 7 กลุ่ม ตามอายขุ องวัตถุ คือ 1. พุทธศิลป์ในนกิ ายหลกั (ศราวกยาน) ได้แก่ นกิ ายมหาสางฆิกะ สมั มตยี ะ มลู สรรวาสติวาท และ เถรวาท พบในราวตน้ พุทธศตวรรษท่ี 11-14 2. พทุ ธศลิ ป์ของมหายาน นิกายสขุ าวดี พบราวกลางพทุ ธศตวรรษที่ 11-15 3. พทุ ธศลิ ป์ของตันตรยาน พบราวตน้ พุทธศตวรรษที่ 14-19 4. พุทธศิลป์เถรวาทแบบกัมพูชา ท้ังฝ่ายอริยารหันต์ และกัมโพชสงฆ์ พบราวต้นพุทธศตวรรษที่ 15-20 5. พุทธศิลป์เถรวาทฝา่ ยมหาวิหาร พบราวตน้ พุทธศตวรรษที่ 20 ถึงครึง่ หลงั ของพทุ ธศตวรรษท่ี 21 6. พุทธศลิ ป์ของสยามนิกาย พบราวกลางพทุ ธศตวรรษท่ี 21 ถึงต้นพุทธศตวรรษท่ี 25 7. พทุ ธศิลป์ของธรรมยตุ กิ นิกาย พบตง้ั แตค่ รึ่งหลงั ของพทุ ธศตวรรษที่ 24 ถงึ ปจั จบุ นั 74 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ไมไ่ ดว้ ่าพระพทุ ธศาสนาเดนิ ทางเขา้ มาครง้ั แรกเมอ่ื ไรและทไี่ หน แตอ่ ยา่ งนอ้ ย การศกึ ษาดงั กลา่ วกบ็ ง่ บอกวา่ อารยธรรมแหง่ พระพทุ ธศาสนาไดเ้ จรญิ รงุ่ เรอื ง ในดนิ แดนไทยมาชา้ นานแล้ว ในยุคสมัยพ่อขุนรามคำาแหงมหาราช (พ.ศ. 1820-1860) ภายหลัง จากการรวมอาณาจักรต่างๆ เป็นประเทศไทยแล้ว พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์พระสงฆ์จากศรีลังกามาต้ังลังกาวงศ์ท่ีสุโขทัย พระครูภาวนามงคล แสดงความเหน็ ไว้ว่า เข้าใจว่าพระไตรปิฎกภาษาบาลีฝ่ายเถรวาทพร้อมท้ัง อรรถกถาและปกรณ์วิเศษอ่ืนๆ ที่ใช้เป็นหลักฐานอยู่จนสืบมา บดั น้ี ไทยจะไดจ้ ากลงั กาในระยะนเ้ี อง กอ่ นหนา้ นถี้ งึ ลทั ธเิ ถรวาท จะรุ่งเรืองในพวกมอญก็คงไม่มีพระไตรปิฎกสมบูรณ์ เพราะ ระคนปนเปกบั คมั ภรี ฝ์ า่ ยมหายานบา้ ง ฝา่ ยศาสนาพราหมณบ์ า้ ง หรอื วา่ จะมีสมบรู ณอ์ ย่แู ล้วหายสาบสญู ไป ดกู ็ยงั ไม่ปรากฏเห็น เหตุผล (พระครูภาวนามงคล 2546: 20) นับแต่พระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์เข้ามาประดิษฐานใน ประเทศไทยในครั้งนัน้ พระพทุ ธศาสนาหลากหลายรูปแบบท่ีมมี าแต่เดมิ ทง้ั เถรวาทแบบมอญเก่าท่ีมีมาแต่ครั้งทวาราวดีและมหายานตา่ งค่อยๆ สลายตวั ไป พระสงฆใ์ นทอ้ งถน่ิ ไทยและประเทศใกลเ้ คยี งพากนั บวชในลทั ธลิ งั กาวงศก์ นั หมด แตก่ ระนนั้ กย็ งั มรี อ่ งรอยคาำ สอนเกา่ แกข่ องพระพทุ ธศาสนาหลากหลาย นกิ ายทีท่ ิ้งรอ่ งรอยไว้แตค่ รง้ั โบราณกาลทีห่ ลอมรวมเขา้ มาในวฒั นธรรมความ เช่ือพ้ืนฐานของชาวไทยมาแต่เดิม พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ได้ขึ้นไปถึง ดนิ แดนลา้ นนาราวตน้ พุทธศตวรรษท่ี 20 บทที 2 ขอ้ มูลพน้ื ฐาน | 75

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยในอดีต นอกจากจะ แสดงออกดว้ ยพทุ ธศลิ ปแ์ ลว้ ยงั เหน็ ไดจ้ ากการศกึ ษาฝา่ ยปรยิ ตั แิ ละการปฏบิ ตั ิ ของคณะสงฆแ์ ละชาวพทุ ธอกี ดว้ ย กลา่ วคอื ในฝา่ ยปรยิ ตั ิ มกี ารรจนาคมั ภรี ใ์ น พระพุทธศาสนาข้ึนมาจำานวนมากโดยพระเถระชาวไทย รวมทั้งที่รับมาจาก ต่างถ่ินแล้วแพร่หลายในประเทศไทยด้วย เป็นภาษาบาลีบ้าง ภาษาท้องถิ่น บา้ ง ในเวลาเดยี วกันในฝา่ ยปฏิบัตกิ ็มีพระภกิ ษุผเู้ คร่งครัดในสมาธิภาวนาและ ทรงคณุ วเิ ศษจาำ นวนมากในภมู ภิ าคตา่ งๆ ทวั่ ประเทศ ปรากฏการณน์ ยี้ งั ดาำ เนนิ ต่อเน่ืองมาจนถงึ ยุคสมยั ของพระมงคลเทพมุนีและยุคปัจจบุ นั 2. .2. การศึกษาและปฏิบัติของสง ์ไทยในช่วงต้นชีวิตสมณะของ พระมงคลเทพมุนี พระมงคลเทพมุนีมีชีวิตอยู่ในช่วง พ.ศ. 2427-2502 เป็นช่วงเวลาที่ ในประเทศไทยมีการเปล่ียนแปลงระบอบการปกครอง และมีการจัดระบบ การศกึ ษาสว่ นกลางท้ังในฝ่ายพทุ ธจักรและอาณาจกั รซง่ึ ทั้งหมดนัน้ เกิดขน้ึ ใน เวลาท่ีแตกตา่ งกนั การจัดระบบการศึกษาส่วนกลางของสงฆ์มีจุดเริ่มต้นจากพระราช บัญญัติคณะสงฆ์ฉบับ พ.ศ. 2445 ซึ่งมีวัตถุประสงค์จะรวมพระภิกษุท้ัง ประเทศไทยไว้ภายใต้การปกครองระบบการบริหารจัดการแบบเดียวกัน จากส่วนกลาง (Tiyavanich 1997: 40) แต่กวา่ ทกี่ ารเปลย่ี นแปลงจะมผี ลใน ทางปฏิบัติจริงก็นับเป็นเวลากว่าทศวรรษ ภายหลังจากท่ีพระมงคลเทพมุนี อุปสมบทไปแลว้ หลายปี ซ่ึงนับเป็นชว่ งท้ายๆ ของการศึกษาพระปริยัตธิ รรม ของท่าน 76 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org กอ่ นการเปลย่ี นแปลงซง่ึ เปน็ ชว่ งเวลาแหง่ การศกึ ษาของทา่ นนน้ั ยงั ไมม่ ี การตั้งสำานักเรียนส่วนกลาง พระภิกษุสามเณรต้องไปเรียนกับอาจารย์ท่ีมี ชอื่ เสยี งในดา้ นตา่ งๆ ทต่ี รงกบั สงิ่ ทตี่ นสนใจศกึ ษา เปน็ ทน่ี า่ สงั เกตวา่ นอกจาก การศึกษาคัมภีร์ตามท่ีนิยมกันโดยท่ัวไปแล้ว พระมงคลเทพมุนีมีความสนใจ เป็นพิเศษเฉพาะในคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติสมาธิภาวนา เช่น คัมภีร์ วสิ ทุ ธิมรรค คัมภรี ์มหาสตปิ ัฏฐาน เปน็ ต้น ดังทีต่ ้งั เปาหมายไวว้ า่ จะเรียน พระบาลีให้สามารถแปลคัมภีร์มหาสติปัฏฐานลานยาวได้ แล้วจะหยุดการ ศึกษาพระปริยตั ธิ รรม สว่ นในดา้ นธรรมปฏิบัตกิ ็เช่นเดยี วกัน ในยคุ น้ันมพี ระภิกษผุ ู้เชีย่ วชาญ ในการเจริญสมาธิภาวนาอยู่ทั่วไปในประเทศไทย กระจายกันอยู่ในหลาย ท้องท่ี โดยอาจแบ่งเป็นกลุ่มพระภิกษุในภาคกลางซึ่งนับถือพระพุทธศาสนา แบบเดียวกันกับกัมพูชาตั้งแต่ยุคสุโขทัย ธนบุรี จนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ก่อนการรวมการปกครองสงฆ์ กลุ่มพระภิกษุในภาคเหนือซ่ึงนับถือพระพุทธ ศาสนาแบบเดียวกันกบั รฐั ฉานและล้านนา และคณะสงฆใ์ นภาคอีสานซ่งึ เปน็ พระพุทธศาสนาแบบลา้ นช้างและล้านนา (Tiyavanich 1997: 40)23 ซึง่ ต่างก็ มีรปู แบบการปฏิบัตแิ ละพธิ กี รรมทแ่ี ตกต่างกนั ไปบา้ ง ในยุคน้ัน ผู้ที่ใฝ่ศึกษาธรรมปฏิบัติต้องไปยังสำานักของอาจารย์ มีพิธี ฝากตวั เปน็ ศษิ ยอ์ ยา่ งเปน็ ทางการ การปฏบิ ตั สิ มาธภิ าวนามหี ลายแบบ เฉพาะ ในภาคกลางกม็ คี รบู าอาจารยท์ มี่ ชี อื่ เสยี งอยหู่ ลายสายดว้ ยกนั บางทา่ นมตี าำ รา 23 1 อา้ งองิ eyes 1987: 17-8 บทที 2 ขอ้ มลู พนื้ ฐาน | 77

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ปฏิบัติธรรมบันทึกไว้ในสมุดข่อยหรือใบลาน ซึ่งในภายหลัง พระมหาโชติ ปัญโญ (พม.ใจ ยโสธรรัตน์) วัดบรมนิวาส ได้รวบรวมบางสว่ นจากทต่ี ่างๆ มา ไวเ้ ปน็ เล่มเดยี วกนั ในปี พ.ศ. 2479 ใหช้ อื่ วา่ “หนงั สอื พระสมถวิปัสสนาแบบ โบราณ” ซึง่ ต่อมา ไดใ้ หช้ อื่ ใหมอ่ กี คร้งั วา่ “พุทธรงั ษธี ฤษดีญาณ ว่าดว้ ยสมถ แลวิปัสสนากัมมัฏฐาน 4 ยุค” เป็นคัมภีร์ปฏิบัติธรรมเก่าแก่จากเวียงจันทน์ บ้าง จากยุคกรุงเก่าคือพระนครศรีอยุธยาบ้าง จากลพบุรี และจากยุคธนบุรี และรัตนโกสินทร์บา้ ง ส่วนในภาคเหนอื และภาคอสี านกม็ ีตำาราธรรมปฏบิ ัตเิ ชน่ เดยี วกัน ต่าง คนตา่ งบันทกึ ไว้ในใบลานบา้ ง สมดุ พบั สาบา้ ง ด้วยอกั ษรธรรมลา้ นนา อักษร ธรรมลาว และอกั ษรธรรมอสี าน เปน็ ตน้ เนอื้ หาของบางคมั ภรี เ์ ชน่ มลู กรรมฐาน อกั ษรลา้ นนาบง่ บอกวา่ เปน็ การบนั ทกึ สรปุ มาจากการปฏบิ ตั ขิ องหลายอาจารย์ แบบแผนการปฏบิ ตั ธิ รรมทอ้ งถน่ิ ในประเทศไทยและประเทศใกลเ้ คยี ง ในเอเชยี อาคเนยเ์ หลา่ นม้ี กั ถกู เรียกรวมๆ โดยนกั วิชาการตะวันตกวา่ “โยคา วจร” โดยอาศยั ศพั ท์ทปี่ รากฏอยู่ในคมั ภีรซ์ งึ่ เรียกผ้ปู ฏิบตั วิ า่ “โยคาวจร” แต่ ในงานวิจัยตะวันตกมักใช้คำาน้ีในความหมายกว้างกว่านั้น โดยหมายรวมถึง พระพทุ ธศาสนาทน่ี บั ถอื และปฏบิ ตั แิ พรห่ ลายอยใู่ นดนิ แดนเอเชยี อาคเนยก์ อ่ น พุทธศตวรรษท่ี 25 (Crosby 2000: 141) ความนิยมในการปฏิบัติสมาธิภาวนา และพระภิกษุผู้ทรงคุณวิเศษยัง มีอยู่มากในประเทศไทยต่อเนื่องมาจนถึงเวลาที่พระมงคลเทพมุนีสอนวิชชา ธรรมกายทวี่ ดั ปากนา้ำ แลว้ ดงั ทส่ี มเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ (ปนุ่ ) ทรงบนั ทกึ ไว้ในเรื่องราวเกี่ยวกับพระมงคลเทพมุนี ถึงเรื่องการติดต่อหรือไปมาหาสู่กัน 78 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ระหวา่ งทา่ นกบั พระผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรมดว้ ยกนั รวมทงั้ ทร่ี จู้ กั กนั โดยไมเ่ คยเหน็ หนา้ กนั เลยก็มี ดังที่ปรากฏในบันทกึ ตอนหน่ึงวา่ ผู้เชี่ยวชาญพระกรรมฐานท่านตดิ ต่อกนั ได้ด้วยญาณ จะ เปน็ ญาณอะไรขา้ พเจา้ ไมท่ ราบ คอื เมอื่ 5-6 ปลี ว่ งมาแลว้ ผเู้ ขยี น ได้ไปวดั มงคลเทพาราม อำาเภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา ในงาน กศุ ลทวี่ ดั นน้ั และมโี อกาสไปวดั คลองเลยี บ เขาเลา่ อภนิ หิ ารของ สมภารวัดคลองเลียบว่าเฮี้ยน เมื่อข้าพเจ้าไปนั้นท่านมรณภาพ เสียแล้ว เขาเลา่ ให้ฟังว่าเจา้ อาวาสไมย่ อมรับพระภิกษวุ ดั ไหนๆ ทง้ั ส้ิน ชอบสนั โดษ มีพระวัดปากนำ้าไปหา ทา่ นออกไปตอ้ นรับ ถามวา่ ลกู ศิษย์อาจารย์สด วัดปากนำ้า กรุงเทพฯ หรอื อาจารย์ คุณมีไฝที่หน้าเม็ดเท่าพุทรา ความจริงท่านไม่เคยพบเคยเห็น กนั มากอ่ นเลย ฝา่ ยทางวดั ปากนาำ้ อ.ภาษเี จรญิ จ.ธนบรุ ี เลา่ เจา้ อาวาสคอื เจา้ คณุ พระ มงคลเทพมุนีก็ไม่ใช่ย่อย แอบสั่งลูกศิษย์ว่า ให้ไปนมัสการหลวงพ่อวัดคลอง เลยี บ ทา่ นปฏบิ ตั ธิ รรมสงู มาก ควรแกก่ ารเคารพกราบไหว้ ดตี อ่ ดไี ปพบกนั เขา้ ท่านก็รู้จักกันด้วยญาณทัศนะ เร่ืองอย่างนี้ผู้เขียนเข้าใจว่าเพราะ “อานุภาพ ธรรมกาย” (สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ 2529 “อานุภาพฯ” หน้า 107) ในช่วงชีวิตของพระมงคลเทพมุนี ยังมีพระภิกษุผู้เคร่งครัดในธรรม ปฏบิ ตั อิ กี กลมุ่ หนงึ่ ทน่ี บั วา่ มคี วามโดดเดน่ มากในประเทศไทยเชน่ เดยี วกนั คอื กลมุ่ “พระธดุ งคก์ รรมฐาน” ซง่ึ มพี ระครวู นิ ยั ธร มน่ั ภรู ทิ ตั ตมหาเถระ เปน็ ผนู้ าำ นบั เปน็ กลมุ่ ใหญข่ องพระภกิ ษผุ มู้ งุ่ มน่ั ในธรรมปฏบิ ตั เิ พอ่ื ทาำ พระนพิ พานใหแ้ จง้ บทที 2 ข้อมูลพน้ื ฐาน | 79

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีร์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ พระอาจารยม์ ั่นมีอายใุ นชว่ งปี พ.ศ. 2413-2492 ใกลเ้ คยี งกนั กับช่วงอายขุ อง พระมงคลเทพมนุ ี ทา่ นเกดิ กอ่ นพระมงคลเทพมนุ ี 14 ปี และไดบ้ วชตงั้ แตเ่ ยาว์ วัย แต่เมื่อประเมินจากชีวประวัติและช่วงอายุในการปฏิบัติสมาธิภาวนาของ ทา่ นแลว้ คาดว่าทัง้ สองทา่ นน่าจะไม่เคยพบกัน หรืออย่างน้อยช่วงเวลาท่พี ระ อาจารยม์ นั่ มคี วามเชยี่ วชาญในพระกรรมฐานนน้ั นา่ จะไมท่ นั ทจี่ ะมสี ว่ นในการ สอนพระมงคลเทพมุนีในเบ้ืองตน้ แตอ่ ยา่ งใด อย่างไรก็ตาม คาำ สอนที่เปน็ หลกั สำาคญั ในสายของพระธดุ งคก์ รรมฐาน อยา่ งหนงึ่ คอื หลกั การทว่ี า่ จติ มธี รรมชาตทิ บี่ รสิ ทุ ธผ์ิ อ่ งใสมาแตเ่ ดมิ แตม่ าเศรา้ หมองในภายหลงั ด้วยกิเลสท่ีจรมา โดยมกั อา้ งอิงพุทธพจน์วา่ “จติ ฺตำ ปภสฺสรำ อาคนฺตุเกหิ กิเลเสหิ 24 จิตเป็นของผ่องใสอยู่ทุกเมื่อ กิเลสเป็นอาคันตุกะจร มาตา่ งหาก” ดังที่มักมปี รากฏในคาำ สอนของศษิ ยานุศิษย์ของพระอาจารยม์ ัน่ หลายๆ รูป เช่น พระราชนโิ รธรังสคี ัมภรี ปัญญาวศิ ิษฏ์ (เทสก์ เทสรงั ส)ี และ พระอาจารยอ์ อ่ น ญาณสริ ิ เปน็ ตน้ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวในประวัติชีวิตของพระอาจารย์ม่ันที่บันทึก โดยพระธรรมวิสุทธมิ งคล (หลวงตามหาบัว าณสมฺปนฺโน) วา่ ท่านเคยสอน ชาวเขาให้ภาวนา “พุทโธ” โดยบอกว่า เป็นวธิ กี ารตามหา “ดวงแกว้ พุทโธที่ หายไป” ทง้ั นที้ า่ นไดบ้ รรยายดวงแกว้ พทุ โธไวว้ า่ “พทุ โธเปน็ ดวงแกว้ สวา่ งไสว มหี ลายสจี นนบั ไมถ่ ว้ น เปน็ สมบตั อิ นั วเิ ศษของพระพทุ ธเจา้ พทุ โธเปน็ องคแ์ หง่ ความรสู้ วา่ งไสวไมเ่ ปน็ วตั ถ”ุ และลกั ษณะของดวงแกว้ พทุ โธนน้ั “สวา่ งยง่ิ กวา่ 24 ตรงกับพระบาลีว่า “ปภสฺสรมิทำ ภิกฺขเว จิตฺตำ ตฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺำ” (อง.เอก. 20/50/11) 80 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org พระอาทิตย์ต้ังร้อยดวงพันดวง เพราะพระอาทิตย์ไม่สามารถส่องให้เห็นนรก สวรรค์ได้ แต่ดวงพุทโธสามารถส่องเห็นหมด” และวิธีการที่จะหาดวงแก้ว พทุ โธได้นั้น ทำาไดโ้ ดย “ให้พากนั นั่งหรอื เดิน นกึ ในใจว่า พทุ โธๆๆ อย่ภู ายใน ใจโดยเฉพาะ ไม่ใหจ้ ติ สง่ ออกนอกกาย ให้รอู้ ยู่กบั คาำ วา่ พทุ โธเท่านั้น” ผลของ คำาแนะนำาดังกล่าว ปรากฏว่ามีชาวเขาได้พบ “ดวงแก้วพุทโธ” ซึ่งสามารถ ทำาให้ใหญ่เล็กได้ตามต้องการ มีความสว่างไสวและทำาให้มองเห็นใจของผู้อ่ืน ได้ด้วย นับเป็นหลักการและประสบการณ์จากการปฏิบัติที่สอดคล้องกันกับ วิชชาธรรมกาย 2.4. งานวิจัยเกยี วกบั ธรรมกายในอดตี งานวจิ ยั นไ้ี มใ่ ชโ่ ครงการแรกทศี่ กึ ษาเกยี่ วกบั หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์ พุทธ ก่อนหนา้ นเี้ คยมีการศกึ ษาเรอ่ื งนีก้ ันมากอ่ นแล้ว ท้งั ในพระไตรปฎิ กบาลี พระไตรปิฎกแปลภาษาจีน และคัมภีร์ท่ีได้ช่ือว่าด้ังเดิมอ่ืนๆ รวมทั้งคัมภีร์ ทอ้ งถน่ิ และในทศั นะนกั วชิ าการทว่ั โลกทไ่ี ดศ้ กึ ษาคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนานกิ าย ตา่ งๆ ดว้ ย ซ่งึ อาจประมวลตามลาำ ดบั เวลา เทา่ ท่ีหาไดใ้ นเวลานี้ดงั น้ี 2.4.1. พระทิพย์ปริญญา (ธูป กลัมพะสุต) “ข้อความเกี่ยวกับ ธรรมกาย” ในปี พ.ศ. 2489 พระทิพย์ปริญญา (ธูป กลัมพะสุต) ได้สรุปคำาสอน ของพระมงคลเทพมุนีเมื่อครั้งยังเป็นพระครูสมณธรรมสมาทานไว้ในหนังสือ “ธรรมกาย” ฉบับท่ีใช้ศึกษาในงานวิจัยน้ี เป็นฉบับจัดพิมพ์ใหม่โดย แฉล้ม บทที 2 ข้อมูลพ้ืนฐาน | 81

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ อศุ ุภรตั น์ ในวันท่ี 21 ตุลาคม 249925 ในหนงั สือ “ธรรมกาย” เลม่ ทใี่ ช้ศึกษาในงานวิจยั น้ีมี “ข้อความเก่ยี ว กบั ธรรมกาย”26 ทพ่ี บในคมั ภรี ์พระพุทธศาสนาในสมยั น้นั ประกอบไว้ด้วย ดงั ทสี่ รปุ ไวข้ ้างล่างน้ี 2.4.1.1. หนังสืออสีติมหาสาวกนิพพาน พิมพ์คร้ังท่ี 2 เล่มท่ี 1 หน้า 311 ว่าด้วยเรือ่ งของพระมหาปชาบดีโคตมีกราบทลู ลาพระพทุ ธเจ้าเข้า นิพพาน มีข้อความตอนหน่ึงพระเถรีกล่าวเปรียบเทียบว่า ตัวท่านเคยเล้ียงดู พระรูปกายของพระพุทธองค์ให้เติบโต โดยปอนน้ำานมท่ีดับความกระหายได้ เพียงช่ัวครู่ แต่พระองค์ได้ทรงหล่อเล้ียงธรรมกายอันน่ายินดีของพระเถรีให้ เจริญแล้ว โดยทรงประทานขีรวารีแห่งสัทธรรมที่สงบระงับได้อย่างเท่ียงแท้ พระองค์จึงทรงมีพระคุณยิง่ กวา่ และจงึ ไดช้ ื่อวา่ มไิ ด้เป็นหนพี้ ระเถรเี ลย 2.4.1.2. หนงั สอื อสตี มิ หาสาวกนพิ พาน พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2 เลม่ ท่ี 2 หนา้ 41 กล่าวถึงคาถาท่พี ระมหาปนั ถกผกู ให้สามเณรจุลปนั ถกท่องจำา มเี นื้อความ สรรเสริญพระพุทธองค์ว่า เปรียบเสมือนดอกบัวที่บานต้ังแต่เช้าก็ยังส่งกลิ่น หอมอยู่ไม่รู้จาง พระองค์ทรงรุ่งเรืองเสมือนดวงอาทิตย์ส่องสว่างในนภากาศ ฉะนนั้ และอธบิ ายวา่ การทใี่ หส้ ามเณรนอ้ งชายทอ่ งคาถานนี้ นั้ เพราะพระมหา 25 พมิ พ์เพือ่ เป็นทร่ี ะลกึ ในงานถวายกฐนิ พระราชทานและในวาระทาำ บุญวันคล้ายวันเกดิ พระมงคลราช มุนี (สมณศกั ดิข์ อง หลวงพ่อวดั ปากน้าำ ในเวลานน้ั ) ณ วดั ปากน้ำา ภาษีเจรญิ 26 เนอื่ งจาก “ขอ้ ความเกย่ี วกับธรรมกาย” นี้ ปรากฏในหนงั สือ “ธรรมกาย” ที่พระทพิ ยป์ รญิ ญาเปน็ ผู้บันทึก โดยไม่ปรากฏช่ือบุคคลอ่ืนใดเป็นผู้รวบรวมด้วย งานวิจัยน้ีจึงถือว่า ข้อความน้ีรวบรวมไว้ โดยพระทิพย์ปริญญาดว้ ยเชน่ เดียวกัน อยา่ งไรกต็ าม หากความเขา้ ใจนีไ้ ม่ถกู ต้อง คาำ แนะนาำ จากผ้ทู ี่ รจู้ ริงยอ่ มมคี ุณคา่ อย่างย่งิ ตอ่ การปรับปรุงแกไ้ ขในครั้งตอ่ ไป 82 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ปนั ถกเถรทา่ นมคี วามประสงคจ์ ะใหส้ ามเณรพจิ ารณาใหเ้ หน็ ซง่ึ ธรรมกายแหง่ สมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ ดว้ ยญาณจกั ษุ ดว้ ยสามารถแหง่ การตรสั ร้พู ระอรยิ มรรค อนั นับเขา้ ในพวกธรรมกายแห่งพระพุทธองค์นน้ั 2.4.1.3. หนังสือพระปฐมสมโพธิกถาของสมเด็จกรมพระปรมา นุชติ ชโิ นรส ฉบับพิมพ์ครงั้ ที่ 3 หน้า 519 กลา่ วถึงพระอปุ คุตอรหนั ตเถรขอให้ พญามารเนรมติ พระรูปกายของพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าให้ดู ทั้งนเี้ พราะตวั ทา่ น เกิดมาในภายหลัง เมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพานเสียแล้ว “เราได้เห็นแต่พระ ธรรมกาย บม่ ิไดท้ ันเหน็ ซง่ึ พระสรรี กาย” 2.4.1.4. หนังสือพระปฐมสมโพธิแบบธรรมยุติของสมเด็จพระ สงั ฆราช (สา) หนา้ 4 มขี อ้ ความกลา่ วถงึ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ วา่ แมจ้ ะเสดจ็ ดบั ขันธปรนิ พิ พานนานแลว้ นับวา่ มพี ระรูปกายเหลอื อยู่ดว้ ยพระบรมสารรี ิกธาตุ และมีพระธรรมกายยังคงอยู่ดว้ ยน้ำาพระทยั เก้ือกูลอนเุ คราะหส์ รรพสัตว์ และ ดว้ ยพระคณุ ทงั้ หลายทเ่ี ปน็ อสาธารณะ เพราะคาำ สงั่ สอนของพระองคย์ งั คงอยู่ และพระสงฆส์ าวกทท่ี รงธรรมยังมอี ยู่ หน้า 9, หนา้ 52 และหนา้ 223 กล่าวถึงการบงั เกดิ ของพระองคด์ ว้ ย พระรูปกายและพระธรรมกาย ซ่งึ ทงั้ สองอยา่ งทำาใหห้ ม่นื โลกธาตุสนั่ สะเทอื น และมีแสงสว่างท่ีไม่มีประมาณปรากฏขึ้น ในท่ีนี้ ท่านหมายเอาการตรัสรู้ พระสัมมาสัมโพธิญาณ ว่าเป็นการเกิดด้วยธรรมกาย และจัดเป็นการเกิด โดยโลกุตระ 2.4.1.5. หนังสือสวดมนต์แปลของพระธรรมปาโมกข์ จตฺตสีโล พ.ศ. 2478 หนา้ 189 มีขอ้ ความสรรเสริญพระพทุ ธองคว์ ่า พระสุคตเจา้ เปน็ บทที 2 ขอ้ มูลพืน้ ฐาน | 83

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ผมู้ พี ระปรชี าเปรยี บดว้ ยแผน่ ดนิ และมพี ระธรรมกายมน่ั คง (ถริ ธมมฺ กาย) เปน็ ผูป้ ระเสรฐิ ในหมชู่ น เป็นตน้ 2.4.1.6. หนงั สอื พระไตรปฎิ กบาลี ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วคคฺ ฉบบั สยาม รัฐ พ.ศ. 2470 เลม่ ท่ี 11 หนา้ 92 มีขอ้ ความว่า คำาว่า ธรรมกายเปน็ พระนาม หน่ึงของพระตถาคต (ตถาคตสสฺ เหตํ วาเสฏ า อธวิ จนํ ธมมฺ กาโย อติ ิปิ ) 2.4.1.7. หนงั สอื ปทานกุ รมตำาราพิมพค์ รงั้ ที่ 2 พ.ศ. 2470 หน้า 348 ให้ความหมายของธรรมกาย ว่า “กายอย่างหนึ่งแห่งกายท้ังสามของ พระพทุ ธเจ้า คอื รปู กาย นามกาย และธรรมกาย” หลักฐานที่พระทิพย์ปริญญานำามาแสดงไว้นี้ นำามาจากพระสูตรบาลี บ้าง และจากพุทธวรรณกรรมทเี่ รยี บเรียงในทอ้ งถ่ินบา้ ง ซ่งึ ทง้ั หมดนบ้ี ่งบอก วา่ ปราชญเ์ ถรวาทไทยในอดีตรจู้ กั คำาว่า “ธรรมกาย” เป็นอย่างดี ในฐานะท่ี เปน็ กายแห่งการตรัสร้ธู รรม นอกจากน้ี พระทิพย์ปริญญายังนำาเน้ือความจากพระสูตรบาลีท่ี พระพุทธองค์ตรัสถึงการเห็นรูปและแสงสว่างว่าสัมพันธ์กันกับญาณทัสนะ อนั บริสุทธ์ิ และการกา� จดั กิเลส ดังน้ี 2.4.1.8. ในอังคุตตรนกิ าย อัฏฐกนบิ าต พระสูตรท่ี 11 ขอ้ 161 หนา้ 311 พระพทุ ธองคต์ รสั เลา่ ถงึ การปฏบิ ตั สิ มาธภิ าวนาของพระองคเ์ องเมอื่ ยงั เปน็ พระโพธสิ ตั วว์ า่ ทรงรเู้ รอื่ งของเทวดาดว้ ยญาณทสั นะทบี่ รสิ ทุ ธยิ์ งิ่ ขนึ้ ไป ตามลาำ ดับ ดงั น้ี 1. ในระดับเบ้อื งตน้ ทรงเหน็ แตแ่ สงสวา่ ง ยังไมเ่ หน็ รปู 84 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org 2. ต่อมา เมื่อทรงไมป่ ระมาทและปรารภความเพยี รยงิ่ ขน้ึ ทรงเห็นท้งั รูปและแสงสว่าง 3. ต่อมา ทรงเจรจาไตถ่ ามกบั เทวดาเหลา่ น้ันไดด้ ว้ ย 4. ตอ่ มา ทรงหยั่งรู้ไดด้ ้วยว่าเทวดาเหลา่ น้ันเป็นเทพจาำ พวกใด 5. ต่อมาทรงหย่ังรู้ด้วยว่าพวกเขาจุติจากโลกไปเกิดเป็นเทวดาที่นั่น ดว้ ยวบิ ากกรรมใด 6. ทรงรู้แจ่มแจ้งขึ้นอีกว่า เทวดาเหล่าน้ีมีอาหารแบบใด เสวยทุกข์ สขุ อย่างไร 7. ทรงรู้แจ่มแจ้งเพิ่มข้ึนว่า เทวดาเหล่าน้ีมีอายุยืนเท่าใด จะดาำ รงอยู่ นานแคไ่ หน 8. ทรงรู้แจ่มแจ้งเพ่ิมข้ึนอีกว่า พระองค์เคยอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่าน้ี หรือไม่ จากนั้น พระองค์จงึ ทรงสรุปว่า หากญาณทสั นะ 8 ระดบั ของพระองค์ ยงั ไมบ่ รสิ ทุ ธดิ์ ี กจ็ ะไมท่ รงยนื ยนั วา่ พระองคเ์ องทรงตรสั รอู้ นตุ ตรสมั มาสมั โพธิ ญาณ (แตท่ รงยืนยันแลว้ เพราะทรงมีญาณทสั นะบรสิ ทุ ธ์แิ จม่ แจ้งดแี ล้ว) และ ญาณทัสนะได้บงั เกดิ ขนึ้ แกพ่ ระองค์ด้วยวา่ จติ ของพระองค์หลุดพ้นแลว้ และ ชาตนิ ี้เปน็ พระชาตสิ ดุ ท้าย ภพใหมไ่ ม่มีอีกต่อไป 2.4.1.9. ในมัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สุญญตวรรค อุปกิเลส สตู ร ขอ้ 452 หนา้ 302 พระพทุ ธองคท์ รงสนทนากบั พระภกิ ษุ 3 รปู ทที่ าำ ความ เพียรอยูด่ ้วยกนั ในป่าปาจีนวังสทายวัน ได้แก่ พระอนรุ ทุ ธะ พระนันทยิ ะ และ บทที 2 ขอ้ มูลพน้ื ฐาน | 85

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ พระกมิ พลิ ะ โดยทรงแนะนาำ ใหล้ ะอปุ กเิ ลสทเ่ี ปน็ อปุ สรรคในการทาำ สมาธิ และ ทรงสรปุ ว่า สมาธิ ทาำ ให้เกดิ “จกั ษ”ุ ซึง่ จะทำาให้เหน็ “รูป และแสงสว่าง” ได้ หากมคี วามเพยี ร ละอปุ กเิ ลสทเี่ ปน็ อปุ สรรคของสมาธไิ ดม้ าก กจ็ ะมสี มาธมิ น่ั คง ดี ทาำ ให้มจี ักษุมาก สง่ ผลใหเ้ หน็ รปู และแสงสว่างไดม้ าก เม่ือใส่ใจที่จะเห็น หลักฐานที่พระทิพย์ปริญญานำามาแสดงไว้น้ี เป็นหลักฐานจากพระ สูตรบาลี ซึ่งมีความสอดคล้องตรงกันกับหลักการที่พระมงคลเทพมุนีสอนไว้ เกย่ี วกบั ญาณทสั นะ จงึ เปน็ เครอื่ งยนื ยนั รบั รองอยา่ งชดั เจนวา่ หลกั การทพ่ี ระ มงคลเทพมุนีสอนน้ันเป็นคำาสอนท่ีถูกต้องร่องรอยตามคำาสอนของพระสัมมา สัมพทุ ธเจา้ ทม่ี บี นั ทึกไว้ในพระไตรปิฎกบาลี 2.4.2. เกษมสุข ภมรสถติ ย์ “ธรรมกายในนานาทัศนะโลก” ในปี พ.ศ. 2543 เกษมสุข ภมรสถิตย์ ได้รวบรวมข้อความท่ีกล่าว ถึงธรรมกายจากข้อเขียนของนักวิชาการและของชาวพุทธนิกายต่างๆ รวม 36 ฉบบั ทีต่ พี ิมพใ์ นระยะเวลาราว 80 ปี คอื ระหว่างปี พ.ศ. 2452 ถึง พ.ศ. 2532 ได้ข้อสรุปว่า ธรรมกายเป็นท่ีรู้จักมายาวนานแล้วในพระพุทธศาสนา หลากหลายนิกายตั้งแต่นิกายหลักจนถึงมหายานและวัชรยาน บ้างก็กล่าวว่า พระพุทธองค์ประกอบด้วยพระรูปกายและพระธรรมกาย และบ้างก็กล่าวถึง กายท้ังสามของพระพทุ ธองค2์ 7 27 ท้ังพระพุทธศาสนาเถรวาทและมหายานต่างก็กล่าวถึง “กายสาม” ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ ตา่ งนยั กนั ในขณะทพี่ ระพทุ ธศาสนามหายานกลา่ วถงึ ตรกี ายอนั ไดแ้ ก่ นริ มาณกาย สมั โภคกาย และ ธรรมกาย พระพุทธศาสนาเถรวาทกล่าวถึง รปู กาย นามกาย และธรรมกาย 86 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org คำาสอนเหล่าน้ันกล่าวถึงธรรมกายในแง่มุมที่หลากหลาย ส่วนใหญ่จะ ใช้ในความหมายว่า เป็นธรรมชาติที่สะอาดบริสุทธิ์ บริบูรณ์ด้วยคุณธรรม มี ความตนื่ อยเู่ ปน็ นจิ เปน็ ดวงจติ ทรี่ แู้ จง้ สรรพสง่ิ ของพระพทุ ธองคแ์ ละเหลา่ พระ อรหนั ต์ ประกอบดว้ ยพระพทุ ธคณุ และดาำ รงอยภู่ ายในสรรพสตั วท์ งั้ หลาย เปน็ สภาวะอนั บรสิ ทุ ธภิ์ ายในของผตู้ รสั รธู้ รรม เปน็ กายแหง่ สจั ธรรมทปี่ ราศจากการ ปรุงแต่งใดๆ ประกอบดว้ ยปญั ญาอันบรสิ ทุ ธิแ์ ละธรรมชาติทบ่ี ริสทุ ธแ์ิ ห่งพทุ ธ จติ เปน็ อมตะ มสี ภาวะทไ่ี รข้ อบเขต ไรก้ าลเวลา เปน็ แกน่ แทท้ างจติ วญิ ญาณที่ เปน็ พนื้ ฐานแหง่ การตรสั รู้ หรอื เปน็ ความวา่ ง ธรรมกายคอื ตถาคต สาำ หรบั ชาว พทุ ธแลว้ นพิ พานกค็ อื การคนื ไปสสู่ ภาวะดงั้ เดมิ ของพทุ ธภาวะ ซง่ึ กค็ อื กายธรรม และคาำ วา่ ธรรม ใน ธรรมกาย หมายถงึ ปรมตั ถธรรมทอี่ ธบิ ายไวใ้ นพระอภธิ รรม บา้ งกแ็ สดงไวว้ ่า พระพทุ ธองค์ทรงชีช้ ัดว่าธรรมกายเปน็ อสังขตะ มไิ ด้ เกดิ จากการปรงุ แตง่ จงึ ประกอบด้วยคณุ สมบตั อิ นั ดงี าม ได้แก่ ความสุขที่แท้ จรงิ ความเทยี่ งแท้ ตวั ตน และความงามอนั บรสิ ทุ ธ์ิ (หนา้ 35 Sangharakshita 1985: 242-243) ธรรมกายคอื กายแห่งหลกั การทีใ่ ส ไม่มีรปู และไมม่ ถี อ้ ยคำา (หน้า 62 Takakusu 1975: 154) ความหมายของธรรมกายมีสองนยั ไดแ้ ก่ กายแห่งคำาสอนที่ดำารงอยู่ภายหลังจากพุทธปรินิพพาน และกายในอุดมคติที่ ไรร้ ูปอันได้แก่การตรสั รธู้ รรม (หนา้ 64-5 Takakusu 1975: 205) ธรรมกาย เป็นกายแรกแหง่ ตรกี าย เปน็ ธรรมชาติดั้งเดิมของพระพทุ ธองค์ และเปน็ กาย ท่ีสงู สง่ ยงิ่ ใหญแ่ หง่ จติ วญิ ญาณ (หน้า 69 Blyth 1974: 113) และบา้ งก็ว่า แนวคิดเก่ียวกับธรรมกายน่าจะเป็นสิ่งท่ีพระพุทธองค์เพ่ิงหยิบยกขึ้นมาตรัส ก่อนเสดจ็ ดับขนั ธปรินพิ พานเพยี งไม่นาน (หนา้ 67 McGovern 1922: 79) บทที 2 ขอ้ มูลพ้ืนฐาน | 87

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ คาำ สอนแห่งพระพุทธศาสนาในทเิ บตมกี ล่าวถึง “ดวงกลม” หรอื “ทรง กลม” (sphere) ทีป่ รากฏตวั ขึน้ มาตามท่เี ปน็ จรงิ เมื่อผู้ปฏิบัติกาำ จัดความไม่ บริสุทธิ์ท้ังหลายออกไปและได้ค้นพบสภาวะแห่งความเต็มเปียมอันสงบสุข และไร้ท่ีติ ในทน่ี ้ี ธรรมกายหมายถึง ความตื่นอันหมดจดทค่ี ้นพบ ซง่ึ รูจ้ กั กัน ทวั่ ไปในฐานะทเี่ ปน็ กายอนั ประกอบดว้ ยทรงกลมแหง่ สญุ ญตาทม่ี คี วามบรสิ ทุ ธ์ิ เปน็ สองเท่าท่จี ะปรากฏแกผ่ ู้เข้าถึงพทุ ธภาวะเท่าน้ัน (หนา้ 30-1 Batchelor 1986: 167) ในเรอ่ื งนเ้ี กษมสขุ แสดงความเหน็ ไวว้ า่ ชาวพทุ ธในทเิ บตเชอ่ื วา่ ธรรมกาย มลี กั ษณะเปน็ ดวงกลมใสสวา่ งทมี่ กั ผดุ ขนึ้ มาในตวั ในทาำ นองเดยี วกนั กบั ความ เข้าใจของชาวพุทธมหายานส่วนใหญ่ที่มักเข้าใจสภาวะของธรรมกายว่าเป็น ความสวา่ งทรี่ วมตวั กนั เปน็ ดวง แตใ่ นคาำ สอนของวชิ ชาธรรมกายนนั้ ดวงกลมใส นห้ี มายถงึ ดวงธรรม หรอื ดวงปฐมมรรค ซง่ึ เปน็ เพยี งพน้ื ฐานของการดาำ เนนิ ใจ เขา้ ไปในหนทางสายกลางเพอื่ เขา้ สพู่ ระธรรมกายเทา่ นนั้ ยงั มไิ ดเ้ ปน็ ธรรมกาย จริง แต่กระนั้นดวงธรรมดังกล่าวน้ีก็แจ่มจรัส ชัดใส และโดดเด่นประหน่ึงมี ชีวิต (หนา้ 31, 37) ท่าน ติช เทยี น อาน ชาวเวียดนามกล่าวว่า แก่นแทข้ องใจนน้ั หาใช่จะ สญู จากสภาวะทเี่ ปน็ สากลอยา่ งสมบรู ณแ์ ตอ่ ยา่ งใดไม่ มนั เพยี งแตส่ ญู (ปราศ) จากความแปดเปอ้ื นโดยมลภาวะใดๆ เทา่ นนั้ สาระแทข้ องใจนนั้ กค็ อื ธรรมกาย ซ่ึงเปน็ ธรรมชาติทแ่ี ท้ของสจั ธรรม (หน้า 73 Thi n n 1975: 161) บางตำาราก็กล่าวว่า ธรรมกายเป็นแก่นแห่งคำาสอนของพระพุทธองค์ เปน็ กายแหง่ คาำ สอนหรอื กายทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ บั คาำ สอนของพระพทุ ธองคเ์ อง 88 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ซง่ึ ในกรณนี ี้ เกษมสุขไดแ้ สดงความเหน็ ไว้ว่า พระธรรมกาย มไิ ดป้ ระกอบด้วย ดนิ นา้ำ ลม ไฟ หากเปน็ กายทปี่ ระกอบดว้ ยธาตธุ รรม เปน็ สภาวะอนั แทจ้ รงิ ของ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ และเปน็ ทม่ี าของคาำ สอนทผี่ า่ นออกมาทางพระโอษฐ์ คอื เป็น “ใจและปัญญา” ของพระองคน์ ่ันเอง (หน้า 13) ในความเห็นของเกษมสุข ความหมายของธรรมกายท่ีรวบรวมมาน้ัน เปน็ ตวั บง่ ชวี้ า่ ธรรมกายมใิ ชค่ าำ ใหม่ ของใหม่ หรอื ลทั ธใิ หมใ่ นพระพทุ ธศาสนา แต่เป็นของเก่าที่มีมาแต่ดั้งเดิม และแม้จะมีกล่าวถึงมากในคัมภีร์มหายาน กต็ าม หากธรรมกายกม็ ไิ ดเ้ ปน็ ของพทุ ธฝา่ ยมหายานเทา่ นน้ั อนง่ึ ดว้ ยขอ้ จาำ กดั ของการถา่ ยทอดสบื ต่อกันมาผ่านตวั อกั ษร บนพนื้ ฐานของความชำานาญดา้ น ภาษาและความเขา้ ใจในปรชั ญาเชงิ พทุ ธ จงึ เปน็ ไปไมไ่ ดท้ นี่ ยิ ามของธรรมกาย จะถูกเก็บรักษาและถ่ายทอดได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมด แต่กระนั้นการ ที่คัมภีร์ในทุกนิกายมีกล่าวถึงธรรมกายไว้ย่อมเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า ธรรมกาย คือแก่นแท้อนั เป็นพ้นื ฐานของพระพทุ ธศาสนาที่เช่ือมรอ้ ยทุกนกิ ายไว้ดว้ ยกัน 2.4. . ธรรมทายาท “ธรรมกายในคัมภีรเ์ ถรวาท” ในปี พ.ศ. 2543 เชน่ เดียวกัน ผใู้ ช้นามปากกาวา่ “ธรรมทายาท” ได้ รวบรวมข้อความเก่ียวกับธรรมกายจากคัมภีร์พุทธเถรวาท รวมท้ังหลักฐาน ทางโบราณคดีและหนังสือเก่ียวกับพระพุทธศาสนาที่กล่าวถึงธรรมกายในยุค สมัยนั้น เช่น ทพิ ยอำานาจ และพทุ ธรงั ษีธฤษดีญาณ หลักฐานทางคัมภีร์ท่ีนำามาแสดงไว้ เป็นข้อความจากพระไตรปิฎก 4 แห่ง (หนา้ 2-5) อรรถกถา 25 แหง่ (หน้า 6-19) และฎกี าพระวนิ ยั 5 แห่ง (หน้า 20-22) รวมทง้ั ในคัมภรี ์วสิ ุทธมิ รรค 2 แห่ง (หน้า 23-24) และมลิ ินท บทที 2 ขอ้ มลู พนื้ ฐาน | 89

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ปัญหา 1 แห่ง (หน้า 25-26) ส่วนหลักฐานทางโบราณคดีได้แก่ศิลาจารึก พระธรรมกายแห่งยุคกรุงศรีอยุธยาที่พบที่พระเจดีย์วัดเสือ (หน้า 27-30) และจารึกลานทองพระธรรมกาย ที่เก็บรักษาท่ีพระเจดีย์สรรเพชดาญาณ วดั พระเชตพุ นฯ (หน้า 34-38) จากข้อความเก่ียวกับธรรมกายท่ีพบในพระไตรปิฎกและอรรถกถา “ธรรมทายาท” ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ธรรมกาย” ไม่ใช่คำาใหม่สำาหรับชาว พุทธเถรวาทเลย อีกทั้งข้อความท่ีแสดงไว้ในอรรถกถาก็บ่งช้ีถึงลักษณะของ ธรรมกายว่าเป็นส่ิงท่ี “เห็นได้” ด้วยญาณจักษุ ด้วยการปฏิบัติสมาธิภาวนา อย่างถกู วธิ ี และยังมีข้อความบ่งบอกวา่ ธรรมกายเป็นอตั ตาอกี ดว้ ย นอกจากนยี้ งั มขี อ้ ความเกยี่ วกบั ธรรมกายจากหนงั สอื “พทุ ธรงั ษธี ฤษดี ญาณ” ท่ีพระมหาโชติปฺโญ ได้รวบรวมวิธีปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาจาก คณาจารย์ยุคโบราณมารวมไว้ในเล่มเดียวกัน ในปี พ.ศ. 2479 ในส่วนของ “แบบขนึ้ พระกัมมฏั ฐาน ห้องพระพทุ ธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคณุ ” ซ่ึง ได้ต้นฉบับมาจากวัดประดู่โรงธรรม กรุงศรีอยุธยา (กรุงเก่า) ...มีบันทึกว่า เปน็ แบบที่สบื เนื่องมาจากทา่ นทสิ าปาโมกขาจารย์ 56 องค์ แตค่ รัง้ โบราณฯ ไดป้ ระชุมกนั จารกึ ไว้เม่อื ประมาณพุทธศกั ราช 572 (หนา้ 32) ในเร่ืองน้ี “ธรรมทายาท” ตั้งข้อสงั เกตว่า เป็นหลกั ฐานชิน้ เดยี วทพ่ี บ ว่ามีการกล่าวถึงธรรมกายอยู่ในวิธีทำาสมาธิที่เก่าแก่มาก นอกจากน้ีเขายังต้ัง ข้อสังเกตต่อว่า การปฏิบัติวิธีน้ีใช้บริกรรมภาวนาที่ตรงกันกับ “บทสวดอิติ ปโิ สรัตนมาลา” ซึ่งสมเดจ็ พระพฒุ าจารย์ (โต พรหมรังสี) เปน็ ผูน้ าำ มาเผยแพร่ “ทำาใหห้ ลกั ฐานชิ้นนี้มีนาำ้ หนกั มากขน้ึ ว่าเป็นของแท้” (หนา้ 32) 90 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ในหนังสือดังกลา่ ว พบข้อความเกย่ี วกับธรรมกาย ใน “ห้องพระพุทธ คณุ ” ดังนี้ ... เม่อื กายเปน็ สขุ จิตเปน็ สุขแลว้ สนฺตฏุ โฺ  เปน็ ผ้สู นั โดษ สลเฺ ลโข เป็นผปู้ ระพฤตขิ ดั เกลา ปหติ ตโฺ ต เป็นผู้มตี นส่งไปสคู่ ณุ ความดีเป็นเบ้ืองหน้า จึงต้ังจิตต์พิจารณาดูธรรมกายในรูปกาย ดว้ ยการดาำ เนนิ ในโพชฌงคท์ ง้ั 7 ประการ จนจติ ตร์ แู้ จง้ แทงตลอด รปู ธรรมและนามธรรมไดแ้ ลว้ จกั มตี นเปน็ ทพ่ี ง่ึ จกั มธี รรมเปน็ ท่ี พง่ึ ดว้ ยประการฉะน.้ี .. (หน้า 32) สว่ นใน “หอ้ งพระธรรมคณุ ” พบขอ้ ความตอ่ ไปนี้ ...จิตต์จักสงบสุขด้วยดี ผ่องใสเบิกบานพ้นจากความ มัวหมองตามลำาดับ แล้วจึงตั้งใจพิจารณาดูหลักธรรมที่ใจ คือ วสิ ทุ ธิ 7 ประการ เมอื่ พจิ ารณไ์ ดป้ ระณตี สขุ มุ ดแี ลว้ จะเหน็ ธรรม อันเอกด้วยจิตต์ จักได้ที่พึง่ อันอุดมสุข อันเจ้าตวั จะพงึ รเู้ องเหน็ เอง เพราะว่าผู้มีใจประกอบด้วยสมาธิ ไม่ประกอบด้วยใจฟุง สร้าน ดำาเนินกระแสจิตต์เป็นลำาดับ จิตต์ย่อมบรรลุสภาพอัน เป็นทิพยท์ ีบ่ รสิ ทุ ธิอ์ ยา่ งยงิ่ อันเปน็ สว่ นสพั พญั ตุ ญาณ เหน็ ชัด หย่ังทราบที่สุดโลกยั่งยืน เป็นผู้บังคับ และละเอียดที่สุดแต่ บรรดาส่ิงที่ละเอียดด้วยกัน เพราะมีรูปเป็นอจิณไตย รุ่งเรือง สุกใส ลอยเด่นอย่เู หนือความมืด คือ อวชิ ชาฯ... (หนา้ 33) นอกจากนย้ี งั พบในหอ้ งพระสังฆคณุ ดังน้ี บทที 2 ข้อมลู พ้นื ฐาน | 91

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ...พระโยคาวจรผูร้ ้วู า่ ธรรมกาย ดำารงอยู่ในหทยั ประเทศ แห่งสรรพภูต ทำาให้หมุนดังว่าหุ่นยนต์ ท่านจึงตั้งใจเจริญพระ วปิ สั สนาญาณ เพอื่ ใหถ้ งึ ธรรมกาย เปน็ ทพี่ งึ่ อนั ยอดเยย่ี มโดยสน้ิ เชงิ ถงึ สถานอนั สงบระงบั ประเสรฐิ เทยี่ งแท้ เพราะความอาำ นวย ของธรรมกายน้นั เป็นอมตะ (หน้า 33) ข้อความเก่ียวกับธรรมกายท่ีพบในหนังสือพุทธรังษีธฤษดีญาณ (หรือ สมถวิปัสสนาแบบโบราณ) จำานวน 3 แห่ง และท่ีเขียนไว้ในหนังสือ “ทิพย อาำ นาจ” เกยี่ วกับ “อินทรียแ์ ก้ว”28 โดยพระอริยคุณาธาร ในปี พ.ศ. 2493 ทาำ ให้ “ธรรมทายาท” ตง้ั ขอ้ สงั เกตเกยี่ วกบั ความเขา้ ใจของโบราณาจารยฝ์ า่ ย เถรวาทเกี่ยวกับธรรมกายดังนี้ 1. ธรรมกายมใิ ชห่ มวดหม่แู ห่งธรรม แต่คือกายธรรมท่มี ีอยใู่ นกายเนอื้ (จากขอ้ ความในหนงั สอื พทุ ธรงั ษธี ฤษดญี าณ ทว่ี า่ “พจิ ารณาดธู รรมกายในรปู กาย”) และสามารถมองเหน็ ไดด้ ้วยญาณจกั ษุ 2. เห็นว่า ถ้าปฏิบัติจนเข้าถึงธรรมกายในตนเองแลว้ จะสามารถเหน็ ธรรมกายในนิพพานได้และรับประโยชน์จากท่านได้ด้วย และดังน้ันการที่ผู้ที่ เขา้ ถึงธรรมกายจะน้อมถวายขา้ ว ดอกไม้ ธูปเทียนเปน็ พทุ ธบูชาและเปน็ บญุ กิริยาแดธ่ รรมกายของพระพุทธเจา้ ในนพิ พานจงึ เป็นสง่ิ ทเี่ ป็นไปได้ 28 มเี นอื้ หาบอกวา่ ธรรมกายเปน็ ทร่ี จู้ กั ของพระพทุ ธศาสนาทงั้ ฝา่ ยอตุ ตรนกิ าย ในนาม อาทพิ ทุ ธะ และ ในทักษิณนิกาย ที่กล่าวถึงพระรูปกาย พระนามกาย และพระธรรมกาย และว่าความรู้เหล่านี้เป็น ความรู้ลึกลับในพระธรรมวินัย (คือรู้ว่ามีอยู่ แต่รายละเอียดยังไม่ชัดเจน) ควรศึกษาค้นคว้าต่อไป ไมค่ วรดว่ นคัดคา้ นทั้งๆ ทไี่ ม่รู้จรงิ เป็นต้น 92 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org นอกจากน้ี “ธรรมทายาท” ได้แสดงความคิดเห็นเพ่ิมเติมไว้จากการ ศึกษาหลักฐานเหล่าน้ันว่า ธรรมกายเป็นกายภายในของพระพุทธองค์ เป็น กายแหง่ การตรสั รธู้ รรม และมลี กั ษณะคล้ายคลงึ กบั พระรปู กายของพระองค์ แตใ่ สเป็นแก้ว (จากบทความ “อินทรยี แ์ ก้ว” ใน “ทิพยอาำ นาจ” โดยพระอริย คุณาธาร) เป็นกายที่พระพุทธสาวกก็สามารถมองเห็นได้ และเข้าถึงได้โดย การประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยและต้องเป็นผู้ที่สั่งสมบารมีไว้มากพอ อนึง่ ธรรมกายนัน้ เปน็ อัตตาในระดบั โลกตุ ระ แต่ในภายหลงั พุทธปรนิ ิพพาน การเขา้ ถงึ ธรรมกายเรมิ่ ลดลงและเลอื นหาย หลงเหลอื เพยี งความทรงจาำ ในรปู แบบของอักษรทบี่ ันทึกไว้ซึง่ ไม่ไดส้ ือ่ ความเขา้ ใจไดอ้ ยา่ งเต็มรอ้ ย ความเขา้ ใจ เกยี่ วกบั ธรรมกายจงึ ลางเลอื นไป จนกระทง่ั พระมงคลเทพมนุ ไี ดค้ น้ พบจากการ ปฏบิ ตั ธิ รรมอยา่ งเอาชวี ติ เปน็ เดมิ พนั ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั ธรรมกายทช่ี ดั เจนจงึ ไดป้ รากฏขน้ึ อีกครงั้ หนึง่ 2.4.4. พระครภู าวนามงคล (ววิ ั น์ กตว ฺ โน) “ตามรอยธรรมกาย” ในปี พ.ศ. 2546 พระครูภาวนามงคล (ววิ ัฒน์ กตวฑฺฒโน) ไดร้ วบรวม เอกสารท่ีเกี่ยวข้องกับธรรมกายไว้ เป็นหนังสือช่ือ “ตามรอยธรรมกาย” หนังสือเล่มน้ีประมวลรวมเอาหลักฐานเก่ียวกับธรรมกายทั้งหมดที่แสดงไว้ใน สามเล่มขา้ งต้นมาไว้ในเล่มเดียวกัน และยังมเี รอ่ื งราวทางประวตั ิศาสตร์เกย่ี ว กับคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาท้ังเถรวาทและมหายาน รวมท้ังหลักฐานเพ่ิม เตมิ หรอื ขอ้ ความแสดงความคดิ เหน็ ในทางวชิ าการเพม่ิ ขน้ึ ดว้ ย นอกเหนอื จาก ขอ้ มูลขา้ งต้นแลว้ ยังมีประเดน็ ที่เกยี่ วขอ้ งดงั น้ี บทที 2 ข้อมลู พื้นฐาน | 93

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ 1. ศิลาจารึก 4 หลัก29ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จารึกด้วยภาษา สันสกฤต อกั ษรขอม อายรุ าวพทุ ธศตวรรษที่ 18 มเี นอื้ หาคล้ายกนั ทั้ง 4 หลกั แปลโดย ชะเอม แกว้ คล้าย ในด้านที่ 1 มีขอ้ ความกลา่ วถงึ ธรรมกายในโศลก ท่ี 1 ความวา่ ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระพุทธเจ้า ผู้มีนิรมาณกาย ธรรมกาย และสัมโภคกาย ผู้ล่วงพ้นภาวะและอภาวะท้ังสอง ผูม้ อี าตมันเปน็ สอง และผหู้ าอาตมนั มิได้30 2. “ธมั มกายานสุ ตกิ ถา” ทใี่ นสมยั รชั กาลท่ี 2 ทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้แปล และจัดพิมพ์เป็นบทสวดมนต์ของหอสมุดพระวชิรญาณ มีข้อความตรงกัน กับข้อความในจารึกลานทองพระธรรมกาย ท่ีเก็บรักษาไว้ในพระเจดีย์ ศรีสรรเพชดาญาณ วัดพระเชตพุ นฯ (หน้า 208) 3. ในหนงั สอื สมถวปิ สั สนาแบบโบราณ (พทุ ธรงั ษธี ฤษดญี าณ) โดยพระ มหาโชตปิ ฺโ (2479) นอกเหนือจากประเดน็ ท่ี “ธรรมทายาท” (2.4.3) ยก มาอ้างอิงแล้ว ยังมีประเด็นอื่นๆ ท่ีพระครูภาวนามงคลมองเห็นว่าเก่ียวข้อง กับวิชชาธรรมกาย ดังน้ี 29 พบท่ี อ.ปราสาท และทปี่ ระสาทตาเมียนโตจ จงั หวดั สุรินทร์ ที่ อ.นางรอง จ.บุรีรมั ย์ และท่ี อ.พิมาย จ.นครราชสมี า ศึกษารายละเอยี ดเพม่ิ เติมได้จาก “ตามรอยธรรมกาย” (พระครูภาวนามงคล 2546: 197, ผ142-152) 30 นโมวุทธฺ ายนริ ฺมฺมาณ (ธรมฺ ฺมสามโฺ ภคมรู ฺตตฺ เย) ภาวาภาวทฺวยาตโี ต (ทฺวยาตมฺ าโยนริ าตมฺ ก) 94 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ในแบบสมถวปิ สั สนา กัมมฏั ฐานมัคคปาลีมตุ แบบสมเดจ็ พระสังฆราช ไก่เถื่อน หน้า 321-5 แนะนำาบรกิ รรมภาวนา “สมฺมาอรห”ำ และในหนา้ 328 กลา่ วถงึ การทผี่ ปู้ ฏบิ ตั ิ “ปรากฏเหน็ รปู รา่ งตนเอง ทรงเครอื่ งมงกฎุ สรอ้ ยสงั วาลย์ ชน่ื ชมยนิ ดีสบาย...” (หน้า 213) - ในการปฏิบัติสมถวิปัสสนาแบบโบราณ โดยใช้อานาปานสติ หน้า 329-330 กลา่ วถงึ ประสบการณข์ องผปู้ ฏบิ ตั วิ า่ “... เหน็ ดวงดาวดวงหนง่ึ แลว้ ปรากฏเห็นพระจันทร์ซีกหน่ึง แล้วเป็นพระจันทร์ท้ังดวง และภาวนาไปแล้ว เห็นปรากฏเป็นพระอาทิตย์ซีกหน่ึง แล้วปรากฏเป็นพระอาทิตย์ท้ังดวง แล้ว ภาวนาให้ปรากฏเห็นดวงดาวดวงหน่ึง แล้วส่งไปและพาเข้ามา แล้วปรากฏ เห็นพระจันทร์ซีกหนึ่ง แลว้ ส่งไปและพาเขา้ มา แลว้ เห็นพระจันทร์ทั้งดวง สง่ ไปและพาเขา้ มา แลว้ ปรากฏเหน็ พระอาทติ ย์ซีกหนึง่ ส่งไปและพาเขา้ มา แล้ว เห็นพระอาทติ ยท์ ั้งดวง ส่งไปและพาเข้ามาไว.้ ..” (หน้า 213) - บรุ พกจิ ของกมั มฏั ฐานแบบยอ่ แบบที่ 1 ของพระอบุ าลคี ณุ ปู มาจารย์ (สิรจิ นฺโท จนั ทร)์ แนะนาำ ใหว้ างใจไว้เหนือระดบั สะดอื ราว 1 นวิ้ (หน้า 216) - แบบที่ 6 พระกัมมัฏฐาน แบบเดินธาตใุ นหอ้ งพระเจา้ 5 พระองค์ ในหน้า 395 มขี ้อความกล่าวถึงนมิ ิต ว่า “... เมอื่ จติ ต์ตง้ั เท่ียงแลว้ ใหผ้ กู จติ ต์ กบั อ. ให้ถงึ กันดว้ ยดี ให้ตรงกันด้วยดี ใหร้ กู้ ันดว้ ยดี ใหถ้ งึ กันโดยชอบ จนได้ อุคคหนิมิตต์และปฏิภาคนิมิตต์ นิมิตต์นั้นจะเป็นวงกลมก็ตาม เป็นพระพุทธ รูปกต็ าม เปน็ อยา่ งเมด็ เพช็ รรตั นห์ รอื ดวงแกว้ กต็ าม ตอ้ งสงั เกตกาำ หนดรักษา ไวใ้ ช้ ทาำ ใหม้ ากเจรญิ ใหม้ าก ทาำ ใหช้ าำ นาญจนสามารถบงั คบั นมิ ติ ตไ์ วใ้ นอาำ นาจ ได้ จิตตไ์ ดเ้ ครือ่ งหมาย ได้ทพี่ ัก อยา่ ติดนมิ ติ ต.์ ..” (หนา้ 216) บทที 2 ข้อมูลพืน้ ฐาน | 95

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ หลังจากแสดงหลักฐานจากหนังสือสมถวิปัสสนาแบบโบราณแล้ว พระครูภาวนามงคลแสดงความเห็นไว้วา่ “คำาว่า ธรรมกายนัน้ สืบทอดกันมา ตั้งแต่บรรพบุรุษชาวไทยนับเป็นเวลาหลายร้อยปี อาจจะถึงเป็นพันปีก็ว่าได้ แตก่ ลายมาเป็นของใหมข่ องคนยคุ น้ีไป ทง้ั ๆ ทเ่ี ปน็ มรดกธรรมตกทอดกันมา หลายช่วั อายคุ น แต่เนือ่ งจากระบบการศกึ ษาในปัจจบุ นั ของพระภิกษสุ งฆ์ ได้ ละเลยคมั ภรี โ์ บราณนี้ ของทเ่ี ปน็ ของโบราณจงึ กลายเปน็ ของใหมส่ าำ หรบั สายตา ของหลายๆ ทา่ น...” (หน้า 217) 4. พระนิพนธ์ของพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมนื่ ววิ ิธวรรณปรชี า พระ ราชโอรสในรัชกาลท่ี 4 ผู้ทรงได้ศึกษาความรู้ในพระพุทธศาสนาจากสมเด็จ พระสังฆราชถึง 3 พระองค์ ไดท้ รงปฏบิ ัตสิ มาธิภาวนาและนิพนธว์ รรณกรรม ต่างๆ เกย่ี วกบั คาำ สอนในพระพุทธศาสนา ที่เก่ยี วขอ้ งมดี ังน้ี - โคลงสภุ าษติ แทรก “แกน่ ไตรภพ” กลา่ วถงึ ธรรมกายในฐานะทเี่ ปน็ กายทด่ี ำารงอยู่ตลอดกาล และคอยสอดสอ่ งดูแลชว่ ยเหลอื ชาวโลกท้งั หลายให้ เปน็ อยู่ดว้ ยดี เปน็ ตน้ (หนา้ 225-6) - พระนิพนธ์เร่ือง “เพ็ชรในหิน” กล่าวถึงสภาวะจิตที่จะไปนิพพาน วา่ ต้องมศี รัทธาเป็นเบ้อื งตน้ แล้วประกอบสติ วริ ยิ ะ สมาธิ และปญั ญาตอ่ ไป จนถงึ วมิ ุตติ และวิมุตติญาณทัสนะก็จะเข้าถึงนิพพานได้ - พระนิพนธ์เรื่อง “วิวิธธัมโมทัย” กล่าวถึงธรรมกายไว้ใน “ไตรพิธ กาย” (กาย 3 ชน้ั ) หน้า 214-7 วา่ มนษุ ย์มีกาย 3 ช้นั ประกอบดว้ ย สรรี กาย ทิพยกาย และธรรมกาย และในหน้า 236-7 กล่าวถึงตรีพิธกายว่า สัตว์ทั้ง หลายมีกาย 3 ชน้ั ไดแ้ ก่ รปู กาย นามกาย และธรรมกาย ธรรมกายเป็นแกน่ แทข้ องสรรพสตั ว์ ไมเ่ กดิ ไมต่ าย และไมแ่ ปรผนั สว่ นในหนา้ 236-42 นพิ นธว์ า่ 96 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ผูใ้ ดรู้เห็นแตร่ ปู กาย กเ็ ป็นแต่รปู กายเท่านั้น ผูใ้ ดรเู้ ห็นถึง นามกาย ก็อาจเป็นนามกายก็ได้ แต่ต้องละท้ิงรูปกายเสียด้วย ผู้ใดรู้เห็นธรรมกาย ผู้น้ันก็อาจเป็นธรรมกายได้ แต่ต้องละทิ้ง กายอ่ืนๆ เสียให้หมด จึงจะเป็นธรรมกายแท้ เพราะธรรมกาย เป็นธรรมชาติ ไมร่ ู้จกั ตาย (หน้า 228) 5. หนงั สอื “ปาฐกถาเรอื่ งกายสาม” ของพระเทพมนุ ี (ผนิ ธรรมประทปี ป.6) วดั บวรนเิ วศวหิ าร พิมพ์ในวันท่ี 5 มกราคม 2492 กล่าวถึงกาย 3 ชัน้ เช่น เดียวกัน คือ มนุษยกาย อนั เป็นรงั แหง่ โรค ทิพยกายหรอื เทวกาย กายเทวดา และกล่าวถึง ธรรมกาย ในหนา้ 60-63 ดังน้ี ... ธรรมกาย คือ กายธรรม เปน็ กายชน้ั ละเอียด ทรงอยู่ ไม่แปรผันเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอ่ืน ซ่ึงเรียกว่า อสังขตธรรม ธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นอมตธรรม ธรรมท่ีไม่ตาย เป็น ส่วนโลกุตระธาตุ หรือโลกุตรธรรม ไม่ใช่โลกียธาตุ หรือโลกีย ธรรม ... (หนา้ 234) จากเอกสารท่ีพระครูภาวนามงคลรวบรวมมาแสดงไว้ท้ังหมดน้ัน ให้ภาพรวมที่ชัดเจนว่า ธรรมกายเป็นท่ีรู้จักในแวดวงชาวพุทธเถรวาทใน ประเทศไทยมายาวนานแล้ว ในฐานะทเ่ี ป็นกายท่แี ท้จรงิ และเปน็ แก่นสาระท่ี อยู่ภายในของมนุษยแ์ ละสรรพสัตว์ เป็นกายทีย่ ง่ั ยืน ม่นั คง เที่ยงแท้ และเป็น อสงั ขตะ ไมถ่ ูกปรุงแตง่ ดว้ ยปจั จยั ใดๆ บทที 2 ข้อมลู พ้ืนฐาน | 97

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ 2.4.5. ชนิดา จันทราศรีไศล “ธรรมกายในพระพุทธศาสนายุค ดัง้ เดิม” ในปี พ.ศ. 2551 วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของชนิดา จันทราศรีไศล ในหัวข้อเร่ือง “Early Buddhist Dhammakãya: Its Philosophical and Soteriological Signi cance ( antrasrisalai 2 8) ศกึ ษาเรอื่ งของธรรมกาย ในพระพทุ ธศาสนายคุ ดงั้ เดมิ โดยอาศยั พระไตรปฎิ กบาลเี ปน็ แหลง่ ขอ้ มลู หลกั และพระไตรปิฎกจีนในส่วนของอาคมะ31เปน็ ส่วนเสริม โดยศกึ ษาความหมาย และการใช้งานของคำาว่า “ธรรม” “กาย” และ “ธรรมกาย” ท่ีพบในพระ ไตรปิฎกบาลีตามลำาดับ ในการศกึ ษาความหมายและการใช้งานของ “ธรรม” ในพระไตรปิฎก บาลี พบวา่ มใี ชใ้ นความหมายทแ่ี ตกตา่ งหลากหลาย ผวู้ จิ ยั ไดแ้ ยกแยะสองความ หมายของ “ธรรม” ทม่ี ีความสาำ คญั ต่อการศกึ ษาคำาว่า ธรรมกาย นนั่ คือ ธรรม ในความหมายของ “สภาวธรรมทมี่ อี ยจู่ รงิ และเขา้ ถงึ ได”้ กบั “คาำ สอน” ซงึ่ แม้ จะเปน็ ความหมายทแ่ี ตกตา่ งกนั แตม่ คี วามเกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั อยา่ งแนน่ แฟน มาตงั้ แต่เริ่มต้นประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา32 31 พระไตรปิฎกจีน เกบ็ รกั ษาคำาสอนของนิกายหลักท้งั 18 หรอื 20 นิกาย รวมทงั้ คำาสอนของมหายาน ดว้ ย ส่วนท่เี ป็นพระสตู รของนกิ ายหลัก เรียกว่า “อาคมะ” (ดนู ยิ ามใน 1.4) การศกึ ษาคาำ สอนดง้ั เดมิ ในที่นี้ ได้ศกึ ษาเน้อื หาของคัมภรี ใ์ นส่วนอาคมะเท่านน้ั ไมไ่ ดใ้ ช้พระสตู รมหายาน 32 ธรรมในความหมายทง้ั สองน้ันปรากฏในพระดำารขิ องพระพทุ ธองคภ์ ายหลงั จาก 7 วันแรกของการ ตรสั รู้ ขณะท่ีทรงประทบั ทใ่ี ตต้ ้นอชปาลนโิ ครธ ความว่า “ธรรมทเี่ ราได้บรรลุแล้วนี้ ลกึ เหน็ ได้ยาก รตู้ ามได้ยาก สงบ ประณตี ไม่เป็นวิสัยแห่งตรรก ละเอียด บณั ฑิตจึงจะรู้ได้ ฯลฯ ก็ถา้ เราจะพึงแสดง ธรรม ผู้อ่ืนจะไมเ่ ข้าใจ...” (ว.ิ ม. 1/7/8, ม.มู. 12/321/323, ส.ำ ส. 15/555/200) ในพุทธดาำ รนิ ี้ คาำ วา่ “ธรรม” ในข้อความว่า “ธรรมท่ีเราไดบ้ รรลุแล้วนี้” หมายถึงสภาวธรรมที่มีอยูจ่ ริงและเข้าถงึ ได้ ส่วนในข้อความว่า “ถา้ เราจะพงึ แสดงธรรม” น้นั คาำ ว่า “ธรรม” หมายถงึ คำาสอน ซ่ึงนับได้ว่าเป็น “คาำ อธบิ ายของธรรมทเี่ ข้าถึงได”้ (verbal expression of the reality) น่ันเอง ความเกีย่ วเนื่องกนั ของ “ธรรม” ในท้ังสองความหมายนี้ นำามาซ่ึงความสับสนและคลมุ เครอื ในความหมายของ “ธรรมกาย” มาโดยตลอด และอาจเป็นท่ีมาของการตคี วาม ธรรมกาย วา่ หมายถึงคาำ สอนในภายหลงั 98 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org สว่ นการศกึ ษาความหมายของคาำ วา่ “กาย” ในพระไตรปฎิ กบาลี ชนดิ า ได้แยกแยะความหมายวา่ “หมวดหมู่” กบั ความหมายที่เป็น “รา่ งกาย” วา่ เหมือนและต่างกนั อย่างไร การศึกษาความหมายของ “ธรรมกาย” ร่วมกับองค์ประกอบข้างต้น ไดข้ ้อสรปุ ดังน้ี 1. คำาว่า ธรรมกาย พบทั้งท่ีเป็นคำาคุณศัพท์แสดงคุณสมบัติของพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าว่าเป็นผู้มีธรรมเป็นกาย และที่เป็น คำานาม หมายถึงกายแห่งการตรัสรู้ธรรม ซ่ึงมีความสำาคัญสำาหรับอริยบุคคล ทง้ั หมด ต้งั แตพ่ ระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า พระปจั เจกพทุ ธเจ้า และพระอรยิ สาวก ในทุกระดบั (pp. 281, 288) 2. ในพระไตรปิฎกบาลี คำาว่า ธรรมกายมีความหมายถึงโลกุตรธรรม ไดแ้ ก่ โลกตุ รมรรค โลกตุ รผล และนพิ พาน เปน็ แกน่ แทห้ รอื สาระทแ่ี ทจ้ รงิ ของ ความเป็น “พทุ ธะ” ซ่งึ แมพ้ ระพทุ ธสาวกกเ็ ข้าถึงได้ (p. 281) 3. ความหมายของธรรมกายในฐานะท่ีเป็นโลกุตรธรรมนี้ แสดงถึง ความสำาคัญของธรรมกายซึ่งจะขาดเสียมิได้ในการตรัสรู้ธรรมของอริยบุคคล ทกุ ประเภท (p. 282) 4. จากความแตกต่างของคำาว่า “กาย” ซึ่งใช้ในความหมายของ “ร่างกาย” กบั “หมวดหม่”ู พบวา่ ความหมายของธรรมกาย แสดงถงึ ความ เปน็ “กาย” มใิ ชเ่ พยี งหมวดหมู่ เพราะมนี ยั ของการทาำ หนา้ ทใี่ นการกาำ จดั กเิ ลส อาสวะ ซง่ึ จะเกดิ ขนึ้ ได้ตอ่ เม่ือความเปน็ องคร์ วม หรือ “กาย” ยงั คงอยอู่ ย่าง บรบิ ูรณเ์ ทา่ น้นั (p. 281-2) บทที 2 ข้อมลู พื้นฐาน | 99

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ 5. ธรรมกาย เปน็ กายแหง่ การตรสั รธู้ รรมทเ่ี ขา้ ถงึ ไดโ้ ดยการปฏบิ ตั ิ และ เม่ือเข้าถึงแล้ว ธรรมกายที่เข้าถึงนั่นเองได้เป็น “ตัวตนใหม่ท่ีจริงมากกว่า” ของผู้ที่เข้าถึงแทนกายภายนอกท่ีเคยยึดถือ ท้ังยังนำามาซึ่งความสงบสุขอัน เลิศ (p. 287) 6. ธรรมกายมีหลายระดับ สามารถพัฒนาจากระดับต้นข้ึนไปสู่ระดับ สงู สุดได้ และเทียบได้กบั โลกตุ รมรรค 4 และโลกุตรผล 4 (p. 287) 7. คำาว่าธรรมกายที่พบในพระไตรปิฎกจีน ในคัมภีร์อาคมะเก่าแก่มี ความหมายในทำานองเดยี วกนั กับท่พี บในพระไตรปิฎกบาลี ส่วนในอาคมะท่ีมี รอ่ งรอยวา่ เขยี นขนึ้ หรอื เตมิ เขา้ มาในภายหลงั พบวา่ กลา่ วถงึ ธรรมกายในความ หมายของพทุ ธวจนะท่ีพระอานนท์ทรงจำาไว้ (p. 281) ความเขา้ ใจของชาวพทุ ธเถรวาทเกย่ี วกบั ธรรมกายในราวพทุ ธศตวรรษ ที่ 10-12 ดงั ทมี่ อี รรถกถา และฎกี าบางสว่ นเปน็ ตวั แทนดจู ะยงั ตรงกนั หรอื ใกล้ เคยี งกับความหมายดั้งเดิม ดังเชน่ คมั ภีร์วิสทุ ธิมรรคและปรมตั ถทีปนี ทีเ่ ช่อื ม โยงธรรมกายของพระพทุ ธเจา้ เขา้ กบั พระพทุ ธคณุ (Vism.I.227, ThrA.I.115) หรอื พระบรสิ ทุ ธคิ ณุ (Vism.I.2 4, VinA.I.124, KhpA.1 8, Nd1.II.26 ) ของ พระองค์ หรอื เชอื่ มโยงธรรมกายเขา้ กบั การตรสั รธู้ รรมของบคุ คลทมี่ จี ติ บรสิ ทุ ธ์ิ (ItA.II.115) หรือผู้ที่สร้างบารมีมาถึงระดับหน่ึงแล้ว (ThrA.I.37) ส่วนผู้ที่ ไม่ได้สร้างบารมีได้ชื่อว่าอยู่ห่างไกลธรรมกาย คัมภีร์ปรมัตถโชติการะบุว่า อรยิ สาวกผเู้ ปน็ โสดาบนั อาจเหน็ ธรรมกายของพระพทุ ธองคไ์ ดด้ ว้ ยปญั ญาจกั ษุ หรอื โลกตุ รจกั ษดุ ว้ ยการแทงตลอดอรยิ มรรค (SnA.I.34, UdA.31 , ThriA.28) เมอื่ เขา้ ถงึ อรหตั มรรคกห็ ลุดพ้นจากนามกายเพราะกาำ หนดรู้ธรรมกาย (SnA. 100 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org II. 4, Nd2A.31--32) ในบางแหง่ ทา่ นกลา่ วถงึ โลกตุ รธรรม 9 วา่ เปน็ กายของ พระตถาคต (SA.II.313, SnA.I.34, ThrA.II.205) ซง่ึ ผู้มีจติ ไม่บริสทุ ธไ์ิ มอ่ าจ จะมองเหน็ ได้ (ItA.II.115) และในบางแหง่ ทา่ นกลา่ วถงึ ธรรมกายวา่ เปน็ อตั ตา (CpA.332) และในยคุ นเ้ี องท่ีเริม่ มีการตคี วามธรรมกายในฐานะทเ่ี ปน็ คาำ สอน ของพระพุทธองค์ทพ่ี ระอานนท์ทรงจาำ มาบา้ ง (DA.I.34) แต่ก็ยงั มนี อ้ ยมาก ราวพทุ ธศตวรรษที่ 16-18 ฎกี าพระวนิ ยั สองฉบบั กลา่ วถงึ ธรรมกายโดย นัยที่แตกต่างกัน วชิรพุทธิฎีกามักกล่าวถึงธรรมกายในฐานะที่เป็นพระธรรม วินัยอันเป็นตัวแทนพระบรมศาสดาภายหลังจากพุทธปรินิพพาน (VjB.15, 19) ส่วนสารัตถทีปนีซ่ึงเป็นฎีกาขยายความคัมภีร์สมันตปาสาทิกา33ยังกล่าว ถงึ ธรรมกายในแนวทางเดียวกนั กบั อรรถกถา เชน่ กล่าวถึงการตรสั รู้ธรรมของ พระพทุ ธองค์ว่าเป็นการเกดิ ด้วยธรรมกาย (SrD.I.211) กล่าวถึงธรรมกายว่า ประกอบดว้ ยพทุ ธคณุ (SrD.I.31 -1, 3 2) ซ่งึ อริยสาวกสามารถมองเหน็ ได้ โดยการบรรลธุ รรม (SrD.III.299) และกลา่ วถึงธรรมกายในฐานะทเ่ี ปน็ คาำ สั่ง สอนของพระพุทธองค์บา้ ง (SrD.I.126, II.166- ) โดยรวม ชาวพุทธเถรวาทแต่โบราณรู้จักธรรมกายในฐานะท่ีเป็น สภาวธรรมทมี่ อี ยูจ่ รงิ และเขา้ ถงึ ได้ หรอื ในความหมายของพระพทุ ธคุณ หรอื โลกตุ รธรรม และมคี วามเกย่ี วโยงกบั จติ ทส่ี ะอาดบรสิ ทุ ธแ์ิ ละกบั การตรสั รธู้ รรม ของพระบรมศาสดาและอรยิ สาวก ภายหลงั ธรรมกายถกู กลา่ วถงึ ในความหมาย ของพระธรรมวนิ ยั ท่ีเป็นตวั แทนพระศาสดาหลงั พทุ ธปรินพิ พาน (p.11) 33 อรรถกถาพระวนิ ยั ที่เรียบเรียงโดยพระพุทธโฆส บทที 2 ขอ้ มลู พนื้ ฐาน | 101

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ชาวพุทธสรรวาสติวาทดูจะเข้าใจความหมายของธรรมกายในทิศทาง เดยี วกนั กบั เถรวาท เชน่ คมั ภรี ม์ หาวภิ าษาและอภธิ รรมโกศภาษยกลา่ วถงึ การ ขอถึงสรณะในพระพุทธเจ้าว่า หมายถึงการขอถึงสรณะใน “ธรรมที่เปลี่ยน พระบรมโพธสิ ตั ว์ให้เป็นพระพุทธเจา้ ” คอื ธรรมกาย ไม่ใชก่ ารขอถงึ พระรูป กายของพระองค์เป็นสรณะ (Vasubandhu, Poussin, and Pruden 1 88 22 n.129, 131)34 และในเวลาเดยี วกันก็ระบวุ ่า ธรรมกายไดแ้ ก่ กฺษยชฺ าน (ขย าณ), อนตุ ฺปาทชฺ าน (อนปุ ฺปาทาณ) และสมยฺ คฺทฤษฺฏิ (สัมมาทิฏฐิ) รวม ทง้ั ธรรมทีม่ าร่วมกบั ญาณเหลา่ นี้ ได้แก่ ขันธอ์ นั บริสุทธ์ิ 5 ประการ ในบางแห่ง คัมภีร์อภิธรรมโกศกล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก พระองค์ทรงเหมอื นกนั โดยทรงเข้าถงึ พระธรรมกายเดยี วกนั (AbhK.VII.34) ซง่ึ คมั ภีร์ วฺยาขยฺ า ขยายความวา่ ธรรมกายในทีน่ ีห้ มายถึง “กระแสท่ตี อ่ เน่ือง ของธรรมที่ปราศจากกิเลส” (อนาสฺรวธรฺม-สำตาน)35 หรือ “การผลัดเปล่ียน เป็นชีวิตใหม่หรือตัวตนใหม่ (อาศฺรยปริวฤตฺติ) สำาหรับพระพุทธเจ้าหรือพระ อรหันต”์ (Vasubandhu, Poussin, and Pruden 1 88 12 n.1 6) ขอ้ สรปุ ขา้ งตน้ มคี วามชดั เจนวา่ ธรรมกายในพระพทุ ธศาสนายคุ ดงั้ เดมิ ตามทศ่ี กึ ษาจากพระไตรปฎิ กบาลแี ละอาคมะจีนนน้ั มีความหมายสอดคล้อง หรอื ตรงกันกบั “ธรรมกาย” ทีก่ ลา่ วไวใ้ นคำาสอนวิชชาธรรมกาย ซ่งึ ชาวพทุ ธ เถรวาทและสรรวาสติวาทยังคงรักษาความเข้าใจเดิมไว้ได้อย่างน้อยก็ถึงราว 34 อา้ งถงึ มหาวิภาษา D27, p. 177a16 หมายถงึ อไศกษฺ ธรฺม (อเสขธรรม) ของพระพุทธเจา้ ซง่ึ เป็น สว่ นประกอบของการตรสั รู้ 35 เปน็ bh V ตอนที่ขยายความ bh .IV.32 102 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org พุทธศตวรรษที่ 11-12 ดังที่ปรากฏในคมั ภีรอ์ รรถกถาบาลีและประมวลหัวใจ พระอภิธรรมของสรรวาสติวาท ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจแบบใหม่ ท่ีตีความธรรมกายว่าเป็นพระธรรมวินัยดังที่ปรากฏให้เห็นในวชิรพุทธิฎีกา ในราวพุทธศตวรรษท่ี 16-18 กลา่ วไดว้ า่ งานวจิ ยั ในอดตี ตา่ งยนื ยนั รบั รองวา่ คาำ สอนในวชิ ชาธรรมกาย โดยพระมงคลเทพมุนีนั้น เป็นคำาสอนเก่าแก่ของพระพุทธศาสนามาแต่เดิม และยังมกี ารสบื ทอดความเขา้ ใจต่อมาจนถงึ ปัจจุบนั อย่างไรกด็ ี ยังมบี างแง่มมุ ของคาำ สอนทง่ี านวิจยั ในอดตี มไิ ดก้ ล่าวถึง ซง่ึ โครงการวจิ ยั ปจั จบุ นั กาำ ลงั เตมิ ขอ้ มลู เขา้ มาในชอ่ งวา่ งนน้ั โดยในเบอ้ื งตน้ จะได้ ศกึ ษาเรอื่ งราวของธรรมกายเพมิ่ เตมิ จากคมั ภรี เ์ กา่ แกใ่ นพระพทุ ธศาสนาทค่ี น้ พบในทางตอนเหนือของอินเดีย ความเก่าแก่ของตัววัสดุที่พบทำาให้เชื่อได้ว่า คัมภีร์เหล่านี้เป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนาที่เผยแผ่กันอยู่ในเวลาราวสอง พันปีกอ่ นจริงโดยยงั มิได้ผา่ นกระบวนการตรวจชำาระ หรอื ขัดเกลาใดๆ 2.5. การคน้ พบคมั ภรี เ์ ก่าแกใ่ นพระพุทธศาสนา นอกเหนอื จากพระไตรป กบาลี การศึกษาทางประวัติศาสตรเ์ ป็นความรทู้ ่ไี มเ่ คยหยุดนิ่ง ตราบใดท่ีร่อง รอยหลกั ฐานทางโบราณคดยี งั ทยอยแสดงตวั ออกมาคดั คา้ นความเชอ่ื หรอื ขอ้ สรปุ เดมิ ๆ อยไู่ มร่ จู้ บ การศกึ ษาคาำ สอนดงั้ เดมิ ในพระพทุ ธศาสนากเ็ ชน่ เดยี วกนั จากเดมิ ทเ่ี คยอาศยั หลกั ฐานฝา่ ยบาลเี พยี งอยา่ งเดยี ว ดว้ ยเชอ่ื วา่ พระไตรปฎิ ก บทที 2 ขอ้ มลู พ้ืนฐาน | 103

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ บาลีเป็นคำาสอนเดิมแท้ที่เก็บรักษาพระพุทธวจนะสืบต่อมาอย่างถูกต้องไม่ ตกหล่นทุกถ้อยคำา ในเวลาต่อมา นักวิชาการจำานวนมากแสดงความเห็นว่า พระไตรปฎิ กบาลเี กบ็ รกั ษาคาำ สอนในพระพทุ ธศาสนาจากมมุ มองของเถรวาท เท่านั้น ยังไม่อาจเป็นตัวแทนของคำาสอนด้ังเดิมในพระพุทธศาสนาได้อย่าง สมบูรณ์ (Chen 1947: 207; Collins 1991; Choong 2000; Skilling 2010: -6)36 การที่จะเข้าใจภาพรวมคำาสอนของพระพุทธศาสนาในยุคดั้งเดิมได้ ถกู ต้องตามท่เี ปน็ จริงจึงต้องศึกษาคมั ภรี ์ของนิกายอนื่ ๆ รว่ มด้วย อย่างไรก็ตาม ในเวลาที่ผ่านมามีเพียงพระไตรปิฎกบาลีของเถรวาท เทา่ นนั้ ทเ่ี กบ็ รกั ษาไวไ้ ดค้ รบถว้ นในภาษาทอ้ งถนิ่ อนิ เดยี สว่ นคาำ สอนของนกิ าย หลกั อืน่ ๆ นนั้ ตน้ ฉบับเดิมทเี่ คยเช่ือว่าน่าจะเขยี นในภาษาสันสกฤตดูเหมอื น จะสูญหายไปหมดหรือเกือบหมด การศึกษาคำาสอนด้ังเดิมในนิกายหลักอื่นๆ จึงต้องศึกษาจากพระไตรปิฎกทแ่ี ปลในภาษาจนี เปน็ หลัก ซึ่งมหี ลักไวยากรณ์ 36 คอลลินส์ (Collins) กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของการบันทึกพระไตรปิฎกบาลีเป็นลายลักษณ์ อักษร โดยเช่อื มโยงเขา้ กบั เร่อื งราวการแข่งขันระหวา่ งพระเถระในสำานกั มหาวิหารกับสำานักอภยั คีรี ในศรลี งั กา เพอื่ แสดงวา่ การทพ่ี ระเถระฝา่ ยมหาวหิ ารบนั ทกึ พระไตรปฎิ กบาลไี วเ้ ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร พรอ้ มทงั้ เขยี นเลา่ ตาำ นานความเปน็ มาไวใ้ นอรรถกถานน้ั เพอ่ื “ตตี รา” คมั ภรี ท์ ต่ี นเองเขยี นขน้ึ วา่ เปน็ “คำาสอนทีจ่ รงิ แท้และดัง้ เดิมเพยี งหน่งึ เดยี วของพระพทุ ธองค์” เขาเสนอมุมมองใหมว่ า่ ควรมองวา่ พระไตรปิฎกบาลีเป็นตัวแทนคำาสอนในเถรวาทมากกว่า บทความนี้ได้กลายเป็นหลักฐานอ้างอิงใน งานวิชาการจาำ นวนมาก สกลิ ล่ิง (Skilling) แสดงความเห็นวา่ เถรวาทเปน็ เพยี งหนึง่ ใน 18 นิกายหลกั เทา่ นนั้ จึงไม่ใชค่ าำ สอน ดงั้ เดมิ เพยี งหนงึ่ เดยี ว และบางคมั ภรี ข์ องมหายานยงั เกา่ แกก่ วา่ พระไตรปฎิ กบาลที พี่ ระพทุ ธโฆสแปล จากภาษาสงิ หลนบั เป็นศตวรรษหรอื กวา่ น้นั 104 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org แตกตา่ งจากภาษาอนิ เดยี มาก ความมน่ั ใจในเนอื้ หาทแ่ี ปลมาจงึ มกั ไมเ่ ตม็ รอ้ ย37 ด้วยเหตุนน้ั ข่าวการค้นพบคมั ภีร์พุทธเกา่ แก่ท่เี ขียนในภาษาสันสกฤต และคานธารีในเอเชียกลางและในดินแดนท่ีเคยเป็นแคว้นคันธาระโบราณใน ระยะเวลากวา่ ศตวรรษทผ่ี า่ นมา จงึ นบั เปน็ ขา่ วดใี นวงการศกึ ษาคาำ สอนดงั้ เดมิ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ สาำ หรบั ผทู้ ตี่ อ้ งการศกึ ษาคาำ สอนเกา่ แกข่ องพระพทุ ธศาสนา จากคัมภีรข์ องนิกายหลกั นอกจากเถรวาทในภาษาดงั้ เดิม ดนิ แดนคนั ธาระและเอเชยี กลางนบั เปน็ ดนิ แดนทมี่ กี ารคน้ พบหลกั ฐาน โบราณคดีเป็นจำานวนมากและต่อเนื่องมานานกว่าร้อยปี โดยนักโบราณคดี และนักประวัติศาสตร์หลายยุคสมัยจากหลายประเทศ มีการจัดทำารายงาน การสำารวจและการค้นพบรวมทั้งรายงานการศึกษาเนื้อหาของจารึกหรือ หลักฐานเหล่าน้ันออกมาเป็นลำาดับ การตรวจวัดอายุคัมภีร์ที่พบในคันธาระ บง่ บอกวา่ คมั ภรี เ์ หลา่ นเี้ ปน็ ตน้ ฉบบั คมั ภรี ล์ ายมอื เขยี น (manuscripts) ทเ่ี กา่ แก่ ทส่ี ดุ ของพระพทุ ธศาสนาและของอินเดียเทา่ ทีเ่ คยพบมา (Allon 2 8 1 3) จึงเปน็ เรื่องทน่ี กั วชิ าการพุทธศาสตร์ใหค้ วามสนใจเปน็ อยา่ งมาก 37 เชน่ คาำ วา่ ฝา่ เซนิ ( ทพี่ บในอาคมะจนี อาจไมไ่ ดแ้ ปลมาจากคาำ วา่ ธรมฺ กาย เสมอไป อาจแปลมาจาก ธรฺม รรี หรอื ธรฺมสกนฺธ ก็ได้ และบางแหง่ ยงั เปน็ ท่สี งสยั วา่ อาจเกิดจากการแปลท่ีผิดพลาดอกี ด้วย ดงั ทเ่ี คยมปี ระเดน็ ถกเถยี งหวั ขอ้ ใหญใ่ นวงการ Agama Studies ราวตน้ ปี พ.ศ. 2550 เกยี่ วกบั ขอ้ ความ ซงึ่ หากแปลเฉพาะข้อความนจี้ ะแปลวา่ “รู้แจ้งด้วยธรรมกาย” แตเ่ นอ้ื ความแวดลอ้ มดู จะไมเ่ ออ้ื ใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งนนั้ ทา่ น ฮยุ่ เฟง็ (Hui Feng) จงึ เปรยี บเทยี บเนอื้ ความทงั้ ยอ่ หนา้ กบั ฉบบั บาลี พบวา่ ตำาแหน่งของข้อความดังกล่าวในอาคมะจีนตรงกับขอ้ ความในบาลวี ่า ทิฏเ ธมฺเม สยํ อภิ ฺ า สจฺฉกิ ตวฺ า ซ่ึงแปลว่า “ทาำ ให้แจ้งด้วยปัญญาอันย่ิงด้วยตนเองในปัจจุบนั ” ดังนั้น คาำ วา่ ในพระ ไตรปฎิ กจีน ณ ตำาแหน่งน้ี จึงน่าจะแปลมาจาก ธมฺเม กบั สยํ ซึ่งไม่ได้กลา่ วถงึ ธรรมกายแต่อย่างใด และข้อความภาษาจีน ควรเขียนแยกเปน็ สองข้อความวา่ กับ เพอ่ื ไมใ่ ห้เกิดการสบั สน ขอ้ สรปุ นี้ ถือเป็นข้อยุติของการอภิปรายในขณะนน้ั บทที 2 ขอ้ มลู พนื้ ฐาน | 105

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ในปี พ.ศ. 2367 กอ่ นหนา้ การคน้ พบในเอเชยี กลางและคนั ธาระ ไดเ้ คยมี การคน้ พบตน้ ฉบบั คมั ภรี ภ์ าษาสนั สกฤตเปน็ ชดุ ใหญใ่ นเนปาลมากอ่ นแลว้ จาก การศกึ ษาเนอื้ หาในครง้ั นน้ั พบวา่ เปน็ คมั ภรี พ์ ทุ ธมหายานและวชั รยานทค่ี ดั ลอก ในเนปาล มอี ายใุ นชว่ งกลางพทุ ธศตวรรษที่ 12-23 คัมภรี ์สันสกฤตในเนปาล จงึ นบั วา่ เปน็ แหลง่ รวมคมั ภรี พ์ ทุ ธมหายานในตน้ ฉบบั สนั สกฤตทค่ี รบถว้ นทสี่ ดุ 38 ส่วนการค้นพบในเอเชียกลางเริ่มตน้ ในปี พ.ศ. 2433 เมื่อชายชาวบ้าน แอบไปขุดพื้นที่ท่ีเป็นเมืองโบราณใต้ดินในเขตจังหวัดซินเจียงของประเทศจีน เพ่ือจะหาสมบัติ แต่กลับไปพบอะไรสักอย่างท่ีเขาเรียกว่า book ซ่ึงแท้ท่ี จริงก็คอื ตัวคัมภรี ์ทีม่ จี ารกึ ข้อความอทุ ิศถวายพระยโศมติ ร จึงนำามาเสนอขาย ใหก้ บั นายพล Hamilton Bower นายตำารวจชาวต่างชาติท่ีทางการอินเดียส่ง เขา้ ไปปฏิบตั หิ นา้ ทอ่ี ยใู่ นพนื้ ท่ี การศกึ ษาเนอื้ หาของคมั ภีรพ์ บวา่ สว่ นใหญเ่ ปน็ ตำารายาและมคี ัมภรี ์พุทธอยู่ด้วย คอื มายรุ ธี ารณี ซึ่งมีเนือ้ หาบางสว่ นตรงกบั ขนั ธกปริตตข์ องบาลี การค้นพบครั้งน้ีเป็นจุดเริ่มต้นให้นักวิชาการนานาชาติเกิดความ สนใจท่ีจะสืบค้นคัมภีร์และร่องรอยประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาจากเอเชีย กลาง ( oernle 18 3) ในปตี อ่ มาเมอ่ื มกี ารตีพมิ พ์รายงานออกมา ทมี งานนกั ประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากรัสเซียจึงได้เข้าไปขุดค้น และในภายหลังมี ทมี งานจากหลายประเทศเขา้ ไปอยา่ งต่อเนอื่ ง มกี ารคน้ พบเปน็ ชดุ ใหญ่ตอ่ มา 38 มีโครงการร่วมกันระหว่างประเทศเนปาลกับเยอรมนีในการอนุรักษ์คัมภีร์ดังกล่าวและถ่ายภาพเป็น ไมโครฟลิ ม์ ประโยชน์แกก่ ารทำางานวจิ ัยของนักวชิ าการทว่ั โลก 106 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org อกี หลายคร้งั (Hartmann 1999) และมีการตีพิมพผ์ ลการศึกษาออกมาเรอื่ ยๆ จนถงึ ปจั จบุ นั 39 คมั ภรี ท์ พ่ี บสว่ นใหญเ่ ปน็ ภาษาสนั สกฤต ภาษาจนี และมภี าษา ทอ้ งถน่ิ อ่นื ๆ ดว้ ย ในปี พ.ศ. 2435 พบชิ้นส่วนคมั ภีรท์ เ่ี ขยี นบนเปลือกไม้เบริ ์ช จารกึ ด้วย อกั ษรขโรษฐี ในภาษาปรากฤตของทอ้ งถ่ินตะวนั ตกเฉยี งเหนือของอนิ เดยี ซึง่ ต่อมาเรียกวา่ ภาษาคานธารี เน้อื หาเป็นคาถาธรรมบท และราว 5 ปีตอ่ มาพบ ช้นิ สว่ นอน่ื ๆ ของคมั ภรี ์เดียวกันเพมิ่ ขน้ึ จนในท่ีสดุ มีการรวบรวมเนื้อหาและตี พิมพอ์ อกมาในปี พ.ศ. 2505 (Brough 1962) แม้คัมภีร์น้จี ะพบในเขตเอเชยี กลาง ซาโลมอนต้ังข้อสังเกตว่าอาจเป็นคัมภีร์ที่นำามาจากคันธาระมากกว่า ทจ่ี ะเขยี นขึน้ ในเอเชยี กลาง40 ดว้ ยเหตุผลหลายประการ (Allon 2 8 1 Salomon 1 1 1-4, 12 -3 ) การคน้ พบคมั ภรี ค์ รงั้ ใหญใ่ นเขตคนั ธาระโบราณเรม่ิ ขน้ึ ในปี พ.ศ. 2474 และอกี ครั้งใน พ.ศ. 2481 ทีเ่ มืองเนาปรุ (Naupur) ใกล้กลิ กติ ในตอนเหนือ 39 เรื่องราวการค้นพบคัมภีร์ในคันธาระและเอเชียกลางท้ังหมดได้รวบรวมสรุปเป็นตารางไว้ในบทที่ 2 ของรายงานการวิจัย “ร่องรอยวิชชาธรรมกายในคันธาระและเอเชียกลาง” (ชนิดา จันทราศรีไศล 2557) 40 จากการศึกษาภาพรวมเนื้อหาคัมภีร์พุทธท่ีพบในคันธาระและเอเชียกลาง โดยจำาแนกตามภาษาที่ บันทึกและอายคุ มั ภีรท์ ่ีพบในแตล่ ะทอ้ งท่ี พบวา่ ข้อสังเกตนมี้ ีความเป็นไปไดส้ ูงมาก เพราะอายุของ คมั ภรี ์ธรรมบทคานธารที พ่ี บ และเน้อื หาคัมภรี ์ แตกต่างจากคัมภรี ์อนื่ ๆ ท่ีพบในโขตานอย่างเห็นได้ ชัด (ดบู ทท่ี 3 ภาพที่ 7 ภาพรวมของคัมภรี พ์ ระพุทธศาสนาจากคนั ธาระและเอเชียกลาง แสดงภาษา ท่ีบันทกึ และเนอื้ หาคัมภีร)์ บทที 2 ขอ้ มลู พืน้ ฐาน | 107

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ของประเทศปากีสถาน พบคัมภีร์จำานวนมาก ทั้งท่ีเขียนบนเปลือกไม้เบิร์ช ใบลาน กระดาษ มีอายุราวพุทธศตวรรษท่ี 11-13 จารึกในภาษาสันสกฤต แบบผสม เน้ือหาท่ีพบมีท้ังส่วนท่ีเป็นเนื้อหาจากพระวินัย พระสูตร และ พระอภธิ รรมของนกิ ายมูลสรรวาสตวิ าท และคัมภีรพ์ ุทธมหายานจำานวนใกล้ เคยี งกัน รวมเป็นจาำ นวนราว 60-70 คัมภีร์ การศึกษาเนื้อหาของคมั ภรี เ์ หล่า น้ีเพิ่งเร่ิมต้นอย่างจริงจังในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีคัมภีร์ท่ีศึกษาแล้วอย่าง จริงจงั เพียงสว่ นนอ้ ยเท่าน้นั ในปี พ.ศ. 2537 หอสมุดแห่งชาติประเทศองั กฤษ (British Library) ได้รับซื้อคัมภีร์ท่ีเขียนบนเปลือกไม้เบิร์ช จำานวน 29 ชิ้น (ม้วน) เขียนด้วย อกั ษรขโรษฐใี นภาษาคานธารี การตรวจสอบอายุของคมั ภีรพ์ บว่า เขยี นขึ้นใน ราวพทุ ธศตวรรษที่ 6-7 ซง่ึ นบั เปน็ คัมภีรเ์ ก่าแก่ท่สี ดุ ของพระพทุ ธศาสนาและ ของอนิ เดยี ในเวลานน้ั (Salomon 1999: xv) นับเปน็ จุดเรม่ิ ต้นของการศกึ ษา คมั ภรี แ์ ละภาษาคานธารอี ยา่ งจรงิ จงั ในภายหลงั มกี ารคน้ พบคมั ภรี ภ์ าษาคาน ธารีเพมิ่ ข้ึนอกี หลายชุด บางชิ้นมอี ายเุ กา่ แก่ราวพทุ ธศตวรรษที่ 4 และนับเปน็ คัมภีรเ์ กา่ แกท่ ส่ี ดุ ในปัจจบุ ัน ( alk 2 11 1 , 1 C . Salomon 2 14-1 ) แม้ว่าคัมภีร์ภาษาสันสกฤตและคานธารีท่ีพบในคันธาระและเอเชีย กลางจะมีจำานวนไม่น้อยก็ตาม แต่การศึกษาคัมภีร์จีนประกอบด้วยยังคงมี ความจำาเป็นต่อการศึกษาภาพรวมคำาสอนของพระพุทธศาสนาในยุคโบราณ ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ในปัจจุบันการศึกษาภาษาคานธารียังอยู่ใน ระยะกำาลังพัฒนา เนื้อหาของคัมภีร์ที่พบเพ่ิงออกมาสู่สายตาของนักวิชาการ และชาวพุทธเพียงส่วนน้อย ยง่ิ กว่านนั้ ตัวคมั ภรี ์ยงั ถูกเกบ็ รกั ษาไวใ้ นทเ่ี ฉพาะ สำาหรับนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญในสาขาดังกล่าวเท่านั้น มิได้เปิดโอกาสให้เข้า 108 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ถึงได้ท่ัวไป และคัมภีร์ท่ีพบยังเป็นจำานวนน้อย41 ไม่อาจเป็นตัวของคำาสอน ทงั้ หมดทเ่ี คยสอนกนั อยใู่ นภมู ภิ าคคนั ธาระได้ สว่ นคมั ภรี ส์ นั สกฤตทพี่ บ แมจ้ ะ มีจำานวนมากและเป็นคัมภีร์เก่าแก่ แต่ก็มักไม่เก่าไปกว่าเวลาเริ่มต้นของการ แปลคัมภีร์พุทธเป็นภาษาจีน งานวิจัยนี้จึงรวมการศึกษาคัมภีร์เก่าแก่เหล่าน้ี และคมั ภีรจ์ ีนไวด้ ว้ ย 2. . พระพุทธศาสนาในคันธาระและเอเชียกลางกบั การเผยแผ่ พระพุทธศาสนาในประเทศจนี ยคุ แรก 2.6.1. พระพทุ ธศาสนาในคันธาระและเอเชียกลาง โดยสภาพทางภมู ศิ าสตร์ คนั ธาระนบั เปน็ ปากประตขู องอนิ เดยี ในการท่ี จะเปดิ ตวั ออกไปสโู่ ลกกวา้ งผา่ นเสน้ ทางสายไหม จงึ เปน็ ศนู ยก์ ลางในการแลก เปลย่ี นศลิ ปวทิ ยาการ วฒั นธรรม ความเชอื่ ตลอดจนศาสนาของหลายเชอื้ ชาติ ทม่ี กี ารคมนาคมบนเสน้ ทางแห่งนี้ คันธาระและเอเชียกลางเป็นดินแดนท่ีมีความคาบเกี่ยวกันในเรื่องของ ประวัตศิ าสตร์ (Samad 2011: 223) ภาษา และวฒั นธรรม ดงั นัน้ แมว้ ่าดิน แดนทง้ั สองจะมพี นื้ ทที่ างภมู ศิ าสตรท์ อี่ าจแบง่ แยกจากกนั ไดใ้ นระดบั หนง่ึ งาน เขียนทางวิชาการเก่ียวกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาหลายชิ้นยังคงกล่าวถึง 41 เฉพาะคมั ภรี ค์ านธารี หากยกเวน้ ทพ่ี บใน Sch yen collection ซงึ่ แตกหกั เปน็ ชนิ้ เลก็ ชนิ้ นอ้ ยไมป่ ะ ตดิ ปะตอ่ กันแลว้ ทีพ่ บเปน็ ช้ินเป็นอันนับรวมได้ไม่เกนิ 100 ชิน้ ซึ่งท้ังหมดนี้ก็ยังมีความแตกหักมาก นอ้ ยต่างกัน แตย่ ังเป็นชิ้นตอ่ เนอื่ งมากกวา่ บทที 2 ข้อมูลพื้นฐาน | 109

www.webkal.org ภาพท่ี 4 แ น ่ทีคันธาระและเอเ ีชยกลาง ุยคโบราณกับเส้นทางการค้า หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ (Huntington 2010) 110 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ดนิ แดนทง้ั สองน้คี วบคกู่ ัน (ฟื้น ดอกบัว 2554) หรอื กล่าวรวมๆ กนั (Dietz 2007) ในการเรียกชอ่ื ดนิ แดนในตอนเหนอื ฝังตะวนั ตกเฉียงเหนือของอินเดีย ตอนบนของประเทศอฟั กานสิ ถาน ปากสี ถาน และแคชเมยี ร์ (กศั มีระ)42 รวม ไปถงึ บรเิ วณประเทศอซุ เบกิสถาน ทาจกิ สิ ถาน เตอร์กเมนสิ ถาน คีรก์ ีซสถาน ทิเบต และพ้ืนทฝ่ี ังตะวนั ตกเฉยี งเหนือของประเทศจีน การศกึ ษาทางประวตั ศิ าสตรบ์ ง่ บอกถงึ การเดนิ ทางของพระพทุ ธศาสนา เขา้ ไปสดู่ นิ แดนทเี่ รยี กวา่ กศั มรี ะ-คนั ธาระ43 หรอื คนั ธาระโบราณหลายระลอก ตั้งแต่พุทธกาลเป็นต้นมา รวมถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากอินเดียผ่าน กัศมีระ-คันธาระไปสู่เอเชียกลางและประเทศจีน ซ่ึงหลักฐานทางโบราณคดี บ่งชี้ว่า น่าจะเป็นการเดินทางไปกับเส้นทางสายการค้าทางไกลมากกว่าท่ีจะ เป็นการแผ่ขยายออกไปตามลาำ ดบั (Neelis 2 1 -21) 42 ฮัสไนนบ์ ันทึกไวว้ ่า In ancient literature, Kashmir as a part o andhara. ( assnain 1973: 11) ดทั ท์และวัทเทอรส์ กเ็ ขียนไวใ้ นทำานองเดยี วกนั ว่า “The kingdom of Kashmir ap- pears in our ancient records as a part and parcel o andhāra. (Dutt 1 3 3) และ The reeks record that Kashmir (Kaspapyros) is one o cities o andhāra. ( atters 1973: 27) แตใ่ นขณะเดยี วกนั วทั เทอรสก์ ก็ ลา่ วพาดพงิ ถงึ ขอ้ มลู ในทางตรงกนั ขา้ มดว้ ยวา่ “In some books e nd andhāra associated ith Kapin (Kashmir) either as a part o the latter or as a neighbouring state. ( atter 1 3 1 ) แมจ้ ะเปน็ นยั ท่ีแตกตา่ งกนั บ้าง แต่อาจสรปุ ได้ว่าบันทึกทุกเล่มกล่าวตรงกันว่า ดินแดนกัศมีระและคันธาระได้เคยเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน มากอ่ น 43 ในคมั ภีร์สายบาลเี ราพบคำาวา่ “กศั มีระ-คนั ธาระ” เป็นช่อื เรียกรวมพน้ื ทบ่ี รเิ วณหบุ เขาเปชวารแ์ ละ หบุ เขาแคชเมยี รเ์ ขา้ ดว้ ยกนั พนื้ ทที่ ง้ั สองนร้ี วมอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของอาณาจกั รเดยี วกนั ในหลาย ยคุ สมยั บทที 2 ขอ้ มูลพ้นื ฐาน | 111

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ บันทึกการเดินทางของพระภิกษุจีน สวนจ้าง (รู้จักกันในภาษาไทยว่า พระถังซัมจัง) ระบุว่า พระพุทธศาสนาเดินทางเข้ามาสู่ดินแดนคันธาระและ เอเชยี กลางโดยพ่อค้า 2 ท่านคอื ตปุสสะและภัลลิกะ อบุ าสกสองทา่ นแรกใน พระพุทธศาสนา ผู้ถวายภัตตาหารมื้อแรกแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งสอง ท่านเป็นชาวแบคเทรีย (Dietz 2 -6 ) นอกจากน้ี อรรถกถาธาตวุ ภิ ังค สูตรยังกล่าวถงึ เรอื่ งราวของพระเจ้าปกุ กสุ าติผูเ้ ปน็ กษัตริย์ของแควน้ คนั ธาระ ในนครตักศิลา ได้รับธรรมบรรณาการจากพระเจ้าพิมพิสารที่เขียนจารึกบน แผน่ ทองคาำ พรรณนาคณุ ของพระรตั นตรยั และการทาำ สมาธแิ บบอานาปานสติ จึงเกิดพระปีติแรงกล้าในข่าวการบังเกิดข้ึนของพระรัตนตรัย และทรงปฏิบัติ ธรรมดว้ ยตนเองตามวธิ กี ารทพี่ ระเจา้ พมิ พสิ ารจารกึ ไวใ้ นแผน่ ทองคาำ นนั้ จนได้ ฌานสมาบตั ิ จงึ สละราชสมบตั เิ สดจ็ ออกผนวชอทุ ศิ ตอ่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ 44 อนงึ่ ในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนกิ าย ตอนท่ีวา่ ด้วยการแบ่งพระบรม สารรี กิ ธาตไุ ปบชู า มขี อ้ ความวา่ มพี ระเขย้ี วแกว้ องคห์ นงึ่ ทบี่ ชู ากนั อยใู่ นคนั ธาร ปุระ (D.II.167) ซงึ่ ในอรรถกถาไม่มีการขยายความใดๆ อย่างไรก็ดี เร่อื งนีไ้ ด้ มาสอดคล้องกันกับบันทึกของพระภิกษุสวนจ้างท่ีเล่าถึงการเดินทางไปยังดิน แดนทเี่ คยเปน็ สว่ นหนงึ่ ของคนั ธาระ ซง่ึ นกั วชิ าการประเมนิ วา่ นา่ จะเปน็ ฮดั ดา ในปจั จบุ นั ทา่ นสวนจา้ งบนั ทกึ ไวว้ า่ ในเวลานน้ั ยงั คงมฐี านของพระสถปู ขนาด ใหญห่ ลงเหลือใหเ้ หน็ ซึง่ ทา่ นได้รบั การบอกเล่าจากคนในพืน้ ทว่ี ่า ในพระสถปู 44 อรรถกถาธาตวุ ิภังคสูตร กลา่ วถึงเหตุการณ์ว่า ภายหลงั จากท่ที ่านปกุ กุสาติเดินทางรอนแรมไปเพือ่ จะเข้าเฝาพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าจนถึงชานเมอื งราชคฤหแ์ ลว้ นน้ั พระพทุ ธองค์เสดจ็ ไปโปรด ท่านได้ ฟงั ธรรมจากพระพทุ ธองค์จนมดี วงตาเห็นธรรม บรรลอุ นาคามผิ ล กอ่ นทจ่ี ะถกู แม่โคขวิดในวันรุง่ ขน้ึ เมอื่ มรณภาพแล้วไปบงั เกิดในอวหิ าพรหมโลกและบรรลุพระอรหัต ณ ทน่ี น้ั เอง ( .V.33-62) 112 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org น้ีเคยประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก่อน ( atters 1 3, p. 183) หลักฐานเหล่านี้บ่งช้ีว่าพระพุทธศาสนาน่าจะเคยไปถึงคันธาระตั้งแต่ ครงั้ พุทธกาลแล้ว ภายหลงั จากการสงั คายนาครัง้ ท่ี 2 บนั ทึกฝา่ ยบาลกี ล่าวถึงพระสมั ภูต สาณวาสเี ถระพระเถระผใู้ หญท่ เ่ี ปน็ หลกั ในการสงั คายนาครงั้ นน้ั วา่ ทา่ นเผยแผ่ พระศาสนาและจำาพรรษาอย่างถาวรอยู่ที่เมืองกปิศะ ซ่ึงก็คือ Bagram ใน ประเทศอฟั กานสิ ถานในปจั จบุ ัน (ฟ้นื ดอกบวั 2554: 322) ซ่ึงครัง้ หน่งึ เคย เปน็ ดินแดนเดียวกันกบั คนั ธาระ ( atters 1 3 1 ) ส่วนในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช มีตำานานกล่าวไว้ในคัมภีร์ บาลี (VinA.I.64-6 MVaṃs 6 - , SVaṃs 181-3) สนั สกฤต (Przyluski 1 6 vi 1 32 61-2) และภาษาอื่นๆ (Khosla 1972: 12 n. 101, 14 n. -6) ถงึ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปถึงกศั มรี ะคนั ธาระ และเอเชยี กลาง (VinA.I.63-64, MVaṃs.68, ThVaṃs.36) โดยระบุว่า ภายหลังจากการ สงั คายนาครง้ั ที่ 3 พระโมคคลั ลบี ตุ รตสิ สไดม้ อบหมายคณะของพระมชั ฌนั ตกิ ไปเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาใน กศั มรี ะคันธาระ และคณะของพระมหารกั ขิตไป เผยแผใ่ นโยนกประเทศ ซงึ่ หมายถงึ แบคเทรยี (Cox 2003: 506) หรอื ดนิ แดนท่ี เปน็ เมอื งขน้ึ ของกรกี ในเอเชยี กลาง ตง้ั แตต่ อนบนของอหิ รา่ น อฟั กานสิ ถาน ไป ถงึ เตอรก์ สี ถานในปจั จบุ นั (ฟน้ื ดอกบวั 2554: 315, 322; Hassnain 1973: 12) รวมทัง้ คณะของพระมัชฌมิ พระกัสสปโคตร พระทุนทุภสิ าร และอีก 2 รปู ให้ ไปเผยแผใ่ นดนิ แดน “หมิ วนั ต”์ ในขณะเดยี วกนั มรี ายงานการคน้ พบหลกั ฐาน บทที 2 ขอ้ มลู พน้ื ฐาน | 113

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ ทางโบราณคดที รี่ ับรองถึงความมีอย่จู ริงของพระมัชฌมิ เถระ พระกัสสปโคตร พระทนุ ทุภิสาระ และคณะผเู้ ผยแผ่ไปยงั ดนิ แดน “หมิ วันต”์ ดงั กล่าวด้วย45 จารกึ พระเจ้าอโศก 2 หลักในอักษรขโรษฐี ท่พี บท่ี Shahbazgarhi และ ansehra ในคันธาระ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศปากีสถาน (Hassnain 1 3 13-4 Sehrai 1 ) บ่งบอกถึงการเดินทางของพระพุทธศาสนาเขา้ ไป สคู่ นั ธาระในยคุ นั้น บนั ทกึ ความเปน็ มาของมลิ นิ ทปญั หาระบวุ า่ การถามตอบปญั หาระหวา่ ง พระยามิลินท์ หรือ Menander กับพระนาคเสนเกิดข้ึนในคันธาระใกล้ๆ กศั มีระ (Trenckner 1 62 82-3) ฮนิ ูเบอร์ ต้งั ขอ้ สนั นิษฐานวา่ ต้นฉบบั ดง้ั เดิม ของมลิ นิ ทปญั หาอาจเปน็ ภาษาคานธารซี งึ่ ใชอ้ ยใู่ นทอ้ งถน่ิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ของอนิ เดยี โดยพจิ ารณาจากเนอ้ื หาหลกั ธรรมในมลิ นิ ทปญั หาฉบบั แปลภาษา จีนซ่ึงเชื่อว่าตรงกับเนื้อหาด้ังเดิมมากกว่าฉบับบาลี และรูปแบบประโยคใน ฉบับภาษาบาลีซึ่งแตกต่างจากวรรณกรรมบาลีท่ัวไป ( in ber 1 6 83)46 45 ในรายงานการสำารวจพระสถูปที่สาญจิ พบว่า ที่กล่องบรรจุพระธาตุท่ีพบในพระสถูปหมายเลข 2 มีข้อความจารึกไว้ท่ีฝาด้านนอกและด้านในว่า “sapurisakasapagotasa savahemavatācariyasa” แปลว่า “(พระธาตุ) ของพระกัสสปโคตรผู้สัตบุรุษ ผู้เป็นอาจารย์ของชาวหิมวันต์ท้ังสิ้น” และ “sapurisamajhimasa” แปลว่า “(พระธาตุ) ของพระมัชฌิมผู้เป็นสัตบุรุษ” ส่วนที่พบในพระ สถูปหมายเลข 2 ที่โซนาริ (Sonari) มีข้อความว่า “sapurisagotiputasa savahemavatasa dadabhisaradāyādasa” แปลว่า “(พระธาตุ) ของพระโคตีบุตรผู้สัตบุรุษ ผู้เป็นทายาทของพระ ทนั ทภสิ ารของชาวหิมวนั ต์ทง้ั สน้ิ ” (Cunningham 18 4 28 , 316- ) 46 จากการศึกษาเปรียบเทียบท้งั สองฉบบั โดยพระภกิ ษนุ ักวิชาการชาวเวียดนาม พบว่า ระยะทางและ สถานทที่ ก่ี ลา่ วแสดงไวใ้ นฉบบั ภาษาจนี มคี วามถกู ตอ้ งตรงกนั กบั หนว่ ยวดั ในแผนทภี่ มู ศิ าสตร์ และอกี หลายเหตุผล ทาำ ใหท้ ่านสรปุ วา่ ฉบับภาษาจนี มเี น้ือหาตรงกบั ฉบับดงั้ เดิมมากกว่าฉบับบาลี (Minh Chau 1964). http .budsas.org ebud milinda ml- .htm 114 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ข้อสันนิษฐานดังกล่าวสอดคล้องกับวรรณกรรมท้องถิ่นของกัศมีระซ่ึงระบุว่า มิลินทปัญหาเขียนขึ้นเป็นครั้งแรกในภาษาท้องถ่ินของกัศมีระ (Kashmiri) และถกู แปลเปน็ ภาษาบาลแี ละสงิ หลในภายหลัง (Hassnain 1973: 13 n. 4)47 แม้จะยังตัดสินไม่ได้ว่าข้อสันนิษฐานเหล่านั้นถูกต้องเพียงใด แต่อย่าง น้อยข้อมูลข้างต้นก็บ่งช้ีว่า พระพุทธศาสนาในคันธาระมีความเจริญรุ่งเรือง มาระยะหนึ่งแล้วกอ่ นยุคสมยั ของ Menander ซึ่งเป็นกษตั รยิ ์ชาวอนิ โดกรีกท่ี ปกครองแบคเทรยี และขยายอาณาเขตครอบคลมุ พนื้ ทกี่ ว้างของคันธาระและ บางส่วนของอินเดีย ในราว 200 ปีกอ่ นครสิ ตกาล หรอื ราว พ.ศ. 300 พงศาวดารกศั มรี ะระบุวา่ พระศากยสิงหะสอนพทุ ธธรรมอยู่ในกัศมรี ะ เป็นเวลาราว 150 ปี ก่อนการเกิดขึ้นของพระนาคารชุนซึ่งเป็นชาวท้องถ่ิน กัศมรี ะ (Hassnain 1973: 13)48 การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาจากคันธาระไปยัง ดนิ แดนเอเชยี กลางก็อาศัยการเผยแผจ่ ากกัศมรี ะข้นึ ไป สาำ หรบั เรอ่ื งนกิ ายของพระพทุ ธศาสนาทเ่ี ผยแผเ่ ขา้ ไปในดนิ แดนคนั ธาระ และเอเชยี กลางนนั้ การศกึ ษาทางประวตั ศิ าสตรบ์ ง่ ชวี้ า่ พระพทุ ธศาสนานกิ าย สรรวาสตวิ าทเคยเจรญิ รงุ่ เรอื งอยใู่ นคนั ธาระและกศั มรี ะมานานตง้ั แตย่ คุ สมยั ของพระเจา้ อโศกมหาราชจนถงึ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี 17-18 (ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 12) และแม้จะมีนิกายอ่ืนเผยแผ่เข้ามาและเจริญรุ่งเรืองอยู่ในดินแดนนี้ด้วย ตง้ั แตค่ รสิ ตศ์ ตวรรษที่ 5 เปน็ อยา่ งชา้ กระนน้ั สรรวาสตวิ าทยงั คงถอื เปน็ นกิ าย 47 อ้างอิง Kashmir Shairi, Sahitya Academy. Ne Delhi. 48 อา้ งอิง Tarikh-i-Kashmir บทที 2 ขอ้ มลู พืน้ ฐาน | 115

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ หลกั ในตอนเหนอื และตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ของอนิ เดยี และมบี ทบาทมากทส่ี ดุ ในการนำาพระพุทธศาสนาเข้าไปสู่เอเชียกลาง (Kloppenborg 1 3 i- ii Khosla 1 2 18 Banerjee 1 ) อย่างไรก็ดี หลักฐานทางโบราณคดีประเภทจารึกท่ีค้นพบในคันธาระ ระบชุ อ่ื พระพุทธศาสนาหลายนิกาย ไดแ้ ก่ กาศยปยี ะ ธรรมคปุ ตก์ สรรวาสติ วาท และมหาสางฆิกะ (Dietz 2007: 62) แมว้ า่ สรรวาสตวิ าทจะมรี ะบไุ วม้ าก ท่ีสุดก็ตาม (Brough 1962: 42) ในขณะเดยี วกัน จารึกบนรอยพระพทุ ธบาท ซ่ึงพบในพ้ืนท่ีนาคารชุณิโกณฑะหรือวิชยบุรีซ่ึงอยู่ในอันธรประเทศ ระบุว่า พระภิกษุสงฆ์ฝ่าย “วิภัชยวาที” (บ.“วิภัชชวาที”) ได้เผยแผ่พระศาสนาไป ในหมู่ชาวกัศมีระ คันธาระ โยนก วนวาสะ และศรีลังกา (Sirca 1 -6 24 -2 ) ภาพท่ี 5 รอยสลักพระพทุ (ธบาทท1ีน่ า5คารช6ณุ ิโก2ณ4 ะ) (วชิ ยบุรี) อนั ธรประเท 116 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org มจี ารกึ อกั ษรพราหมี ภาษาปรากฤต 3 บรรทดั บนรอยสลกั พระพทุ ธบาท ข้อความในจารึกแปลว่า “รอยพระพุทธบาทคู่น้ี ประดิษฐานไว้ใน สำานักสงฆ์ของพระเถราจารย์ฝ่ายมหาวิหาร ผู้เป็นวิภัชยวาที (วิภัชชวาที) แกลว้ กลา้ ในการวนิ จิ ฉยั อรรถและพยญั ชนะแหง่ นวงั คสตั ถศุ าสน์ ทรงไวซ้ ง่ึ อรยิ ประเพณี และนาำ ความเลอ่ื มใสมาแกช่ าวกศั มรี ะ คนั ธาระ โยนก วนวาสะ และ ตามพปัณณิ เพื่อประโยชนแ์ ละความสุขแก่สรรพสัตว์ท้งั หลาย” เนอื้ ความในหลกั ฐานน้ี ตรงกนั กบั ตาำ นานฝา่ ยบาลี ทกี่ ลา่ วถงึ การเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนาไปในหลายๆ ทอ้ งทใ่ี นยคุ สมยั ของพระเจา้ อโศก ซง่ึ คณะสมณ ทูตทั้งหมดนัน้ ตา่ งเปน็ “วิภัชยวาที” ท้ังหมด ซง่ึ ในตำานานฝา่ ยบาลี (สิงหล) ตีความวา่ หมายถึง “พระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ที่พระมหินทเถระได้นำาไปยัง ประเทศศรีลังกาและท่ีคณะของพระมัชฌันติกเถระนำาไปยังกัศมีระคันธาระ และตรงกันกับอีกจารึกหน่ึงที่พบในนาคารชุณิโกณฑะท่ีระบุถึงการที่พระ สงฆ์เถรวาทจากศรีลังกาเผยแผ่พระศาสนาไปถึงดินแดนดังกล่าว รวมท้ัง ดินแดนอ่ืนๆ ของอินเดีย จีน และทมิฬ ด้วย49 จารึกเหล่านี้มีอายุราวพุทธ ศตวรรษท่ี 8-9 สำาหรบั นักวชิ าการทศี่ กึ ษาเกย่ี วกับสรรวาสตวิ าทบางท่าน ดูเหมือนคาำ วา่ “วภิ ชั ยวาท”ี จะไม่ไดจ้ ำากัดวงอยู่เฉพาะเถรวาทเท่านนั้ แต่ยงั หมายรวมถึง สรรวาสติวาทและนิกายอ่ืนๆ ด้วย (Banerjee 1 3-4) ส่วนบางท่านลง 49 จารึกบนพนื้ พระเจดียท์ ่ีอยใู่ กล้ๆ สาำ นกั สงฆ์เก่าแกท่ ่ขี ุดคน้ พบในนาคารชณุ ิโกณฑะ ระบชุ ่อื ของการ สร้างในยุคพระเจ้าศรีวีรปุรุษทัตตะ ซ่ึงตกประมาณกลางคริสต์ศตวรรษท่ี 3 (กลางพุทธศตวรรษที่ 8-9) Vogel 1 2 -3 , pp. 22-3. บทที 2 ข้อมลู พื้นฐาน | 117

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ความเห็นว่า “วิภัชยวาท” เป็นชื่อท่ีหมายรวมหลายนิกายในสายสถวีระไว้ ดว้ ยกนั ยกเว้นสรรวาสติวาท50 ในตาำ นานอนื่ นอกเหนอื จากฝา่ ยบาลกี ลา่ วถงึ การนาำ พระพทุ ธศาสนาไป ยังกัศมีระไว้ต่างกันว่า ภายหลังจากการสังคายนาโดยพระโมคคัลลีบุตรติสส เถระซงึ่ พระเจ้าอโศกยอมรับเฉพาะเถรวาทเท่านนั้ แล้ว พระภกิ ษุนอกจากนน้ั จงึ อพยพไปยงั กศั มรี ะเพอ่ื ลภี้ ยั และไดป้ ระกาศศาสนาทนี่ น่ั ตอ่ มาไดเ้ ปน็ ทร่ี จู้ กั กนั ในนามวา่ สรรวาสตวิ าท (Banerjee 1 6 Khosla 1 2 18) สว่ นคมั ภรี ์ สนั สกฤตกลา่ ววา่ พระเจา้ อโศกทรงอปุ ถมั ภส์ รรวาสตวิ าท (Banerjee 1979: 6; Khosla 1972: 16) ซึ่ง ดัทท์ วิเคราะหว์ า่ คมั ภรี ์สันสกฤตกลา่ วถึงช่วงปลาย รัชสมัยของพระองค์ ในขณะที่คัมภีร์บาลีที่กล่าวถึงพระบรมราชูปถัมภ์แก่ เถรวาทนนั้ เป็นชว่ งแรกของรชั สมัย (Dutt 1939: 7) ส่วนการสังคายนาคร้ังที่ 4 ในยุคสมัยของพระเจ้ากนิษกะ จัดขึ้นท่ี กุณฑลวันมหาวิหาร ในกรุงชลันธระ กัศมีระ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคันธาระ โบราณ เป็นการสงั คายนาท่รี วมคาำ สอนในพระพทุ ธศาสนา 18 นกิ ายไว้ดว้ ย โดยถือหลักการว่า ทั้งหมดน้ันต่างบันทึกคำาสอนของพระพุทธองค์เหมือนกัน ( assnain 1 3 21-2 Banerjee 1 4 ) โดยบนั ทึกเป็นภาษาสันสกฤต นอกจากนพี้ ระเจ้ากนิษกะทรงโปรดให้สรา้ งวิหาร สถปู เจดยี ์ ใหเ้ จาะถา้ำ ตาม 50 Cox ตั้งข้อสังเกตว่า การท่ีจารึกท่ีนาคารชุณิโกณฑะกล่าวถึง “วิภัชยวาท” ในแง่ของการเผยแผ่ พระศาสนาไปยังพืน้ ทก่ี ศั มรี ะ คนั ธาระ และแบคเทรีย (โยนก) ดว้ ยนั้น บง่ ชีว้ า่ วิภชั ยวาทไมใ่ ช่เป็น เพียงอีกชือ่ หนึ่งของเถรวาท ยงั มีศลิ าจารกึ ที่ระบุชือ่ มหีศาสกะ ธรรมคุปตก์ และกาศยปียะ ซ่งึ ถูก เชือ่ มโยงเข้ากบั ช่อื วภิ ชั ยวาท ดว้ ยเหมอื นกนั ดงั นัน้ วภิ ัชยวาท น่าจะเปน็ ช่ือกลางๆ ทีร่ วมหลายๆ นิกายของสายสถวรี ะ ยกเวน้ สรรวาสตวิ าท (Cox 2003: 506) 118 ร ชนิ า นั ทรา รี ล