www.webkal.org คัมภรี ว์ ารมูลพระกัมมถาน น-โม-พทุ -ฺ ธา-ยะ หมายถึงดวงศีล 5 ดวง (คือศีล 5 ประการ) เปน็ ต้น เมอื่ เปรยี บเทยี บกนั แลว้ ในการแนะนาำ ธรรมปฏบิ ตั ขิ องวชิ ชาธรรมกาย จะเปน็ การแนะนาำ วธิ กี ารและเทคนคิ การวางใจอยา่ งตรงไปตรงมา แมจ้ ะมกี าร อปุ มาอปุ ไมยกแ็ สดงไวเ้ พอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจสงิ่ ทสี่ อนชดั เจนยง่ิ ขนึ้ โดยไมม่ กี ารสอนเชงิ สญั ลกั ษณห์ รอื ปรศิ นาธรรมทท่ี ง้ิ ไวใ้ หข้ บคดิ ทงั้ นน้ี า่ จะเปน็ เพราะหลกั การของ วิชชาธรรมกายเน้นการหยุดน่ิงของใจเพ่ือการรู้เห็นธรรมโดยปราศจากความ คดิ ปรงุ แตง่ หลกั การสอนในเชงิ สญั ลกั ษณห์ รอื ปรศิ นาธรรมของกมั พชู าจงึ นบั เป็นหลกั การทแ่ี ตกตา่ งจากวชิ ชาธรรมกาย จ. ทางเ ินของจติ และกระบวนการบรรลอุ รยิ มรรคอริย ล เส้นทางการปฏิบัติสู่โลกุตรมรรคและโลกุตรผลของโยคาวจรมีกล่าวไว้ ในคมั ภรี อ์ กั ษรธรรม โดยเรมิ่ ตน้ จากการกลา่ วถงึ “ตนพรหม” อนั เปน็ คาำ ทอ้ งถนิ่ ท่ีมีความหมายว่า “กายพรหม” เป็นกายท่ีเป็นทางผ่านไปสู่มรรคผล คัมภีร์ อักษรธรรมแต่ละฉบับกล่าวถึงเส้นทางของการบรรลุมรรคผลไว้แตกต่างกัน บา้ ง แตก่ ็ยังมหี ลกั การร่วมกันในภาพรวม คมั ภรี บ์ วั ระพนั ธะบรรยายเสน้ ทางเดนิ ของจติ กบั การกาำ จดั กเิ ลสไวโ้ ดย พศิ ดาร และแจกแจงชน้ั ของมรรคและผลตา่ งๆ ไว้ โดยเรม่ิ จากการบรรลโุ ลกตุ ร มรรค ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคจนถึงอรหัตมรรคก่อน แล้วจึงไปสู่โสดาปัตติผล จนถงึ อรหัตผล ดังน้ี เมอ่ื จกั เขา้ สนู่ พิ พานนน้ั สญั ญานกึ แลเหน็ ตนพรหมเปน็ ดงั แสงดาวน้นั นึกให้สวา่ งลงถึงสะดอื จงึ วา่ นโม ตสฺส ทีหน่งึ ชอื่ วา่ บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 419
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ โสดามรรคแล และนกึ สวา่ งลงถงึ นาภจี งึ วา่ นโม ตสสฺ ทหี นง่ึ ชอื่ วา่ อนาคาแล แลว้ จงึ สญั ญาใหส้ วา่ งแจง้ เหน็ เปน็ ดงั แสงพระอาทติ ย์ สวา่ งแจง้ ภายใน สว่างใสในประตทู วารท้งั เกา้ เปน็ ดงั ไต้โคมไฟ ไวท้ ้งั เก้าแห่งน้นั จึงยกมอื ไว้นาภี จึงวา่ นโม ตสฺส ทีหนึง่ ช่ือว่า อรหนั ตมรรค ไดร้ กั ษาไวย้ งั รปู พระธรรม อนั วา่ รกั ษาโลกตุ ระทง้ั มรรคสไ่ี ดพ้ นั คาบ อานสิ งสไ์ ดน้ ง่ั เมตตาตงั้ ปรมตั ถเ์ สวยมรรคสน่ี น้ั ไดช้ อ่ื วา่ รกั ษาแตล่ กู พระธรรมเจา้ ไว้ ยงั บม่ ไิ ดก้ นิ รสธรรมเจา้ กอ่ น แล ... ให้อนุโลมด้วยสัญญาณสมาธิแตก่ ระสีกถงึ นาภีและกมุ ไว้ ให้มั่น ชื่อว่าโสดาผละเข้านิโรธ ได้ช่ือว่าบาปธรรมตายสองตัว คือ วิจกิ จิ ฉา จิตตปุ าทแล ถา้ สน้ิ แลว้ ก็จกั เกิดเปน็ เทวดา มนษุ ย์ ยงั เจ็ดชาตกิ จ็ งึ ถงึ นพิ พาน และเสวยธรรมเปน็ อาหารกาำ นแ้ี ล ให้ คอ่ ยอนโุ ลมปฏโิ ลมด้วยญาณสมาธิ คอื แต่นาสิกลงถึงหัวใจ กุม ไว้ใหม้ น่ั ชอ่ื วา่ สกทาคามิผละเขา้ ทางนิโรธ ไดฆ้ า่ บาปและเสวย ธรรมตายสามตวั คือ ทฏิ ฐิมโน โลโภ โทโส โมโหเสีย ยงั สามชาติ จกั ถงึ นพิ พาน และไดเ้ สวยธรรมสมี่ รรคธรรมสแี่ ล ใหค้ อ่ ยอนโุ ลม ปฏิโลมด้วยญาณสมาธิ แต่นาสิกลงถึงอก กุมไว้ให้ม่ันชื่อว่า อนาคามผิ ละ เขา้ ทางนิโรธได้ฆา่ บาปธรรมตายส่ีตัวคอื ว่า เมถนุ มัจฉรยิ ะ กกุ กุจจฺ ะ ถนี มิทธะ สน้ิ สว่างแลว้ จักเอาตนเคยี น80 เข้า สนู่ ิพพาน เพราะวา่ ให้เสวยธรรมแล ใหค้ ่อยอนโุ ลมปฏิโลมดว้ ย 80 เคยี น: ก. พัน, คาด, โพก. มัด 420 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ญาณธรรมสมาธิ แต่นาสิกลงถึงคอ กุมไว้ให้มั่นอย่าวาง เสยี เมอื่ หายใจเขา้ ออกแตน่ าสกิ ลงถงึ คอนนั้ ... พระพทุ ธเจา้ และ อรหนั ตเจา้ ทง้ั หลายไดถ้ งึ รอ้ ยตนกด็ พี นั ตนกด็ ี ไฟธาตใุ นตวั เองก็ หากไหมเ้ ผาตัวเอง ก็ได้เข้าสนู่ พิ พาน ช่อื วา่ อรหนั ตผละ จักเขา้ ทางนิโรธหายใจเข้าออกแต่สะดือขึ้นถึงคอแล ได้ฆ่าบาปธรรม ตายสต่ี ัวคอื ว่า มิทธะ อหิริกะ อโนตตปั ปะ อุทธจั จะ โมหา ด้วย เดชไดน้ มิ นตพ์ ระสงฆเจา้ มาบา้ นโพน้ เขา้ ทางนโิ รธ ฆา่ บาปธรรม ตายสบิ ส่ีตวั (บวั ระพนั ธะ 2.38.3) การบรรยายในลักษณะคล้ายกันปรากฏอยู่ในคัมภีร์มูลพระกรรมฐาน ฉบบั ของวัดมงคลศิรเิ กยี น-เฆลยี ง ประเทศกัมพชู า ในสว่ นทว่ี ่าด้วยอานาปาน สติกรรมฐาน ในชนั้ พระอริยสงฆ์ทั้ง 8 เมื่อลมหายใจลงมาถึงสะดือ ภาวนาให้ติดแน่น ได้เห็น พระรัศมีเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ น้ีเรียกว่าได้บรรลุอนาคา มรรค เมอ่ื ลมหายใจออกจากสะดือขน้ึ ไปถึงลำาคอ ภาวนาให้ติด แนน่ ได้เห็นพระรศั มีเหมือนพระอาทิตย์อุทยั ข้ึน นี้เรียกว่า ได้ บรรลุอรหัตตมรรค นี้คือการเข้านิโรธสมาบัติ (มูลพ. วัดมงคล ศริ .ิ 56) คัมภีร์พระญาณกสิณได้บรรยายถึงการปฏิบัติในระดับน้ีด้วยวิธีการท่ี คลา้ ยคลงึ กัน แต่มคี วามแตกต่างกนั บา้ งในรายละเอียดของฐานท่ีต้งั ของใจ บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 421
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ให้สัญญาเห็นต้นกระหม่อมเป็นดังแสงดาวสว่างลงไปถึง คอ วา่ นโม ตสฺส ทีหน่ึงนึกได้ชือ่ ว่า โสมคคฺ 81แล ระนึกในคอดัง แสงดาวด้วยตน ระนึกสัญญาสว่างลงหัวใจว่า นโม ตสฺส แถม ที นึกได้ชือ่ ว่า สกทาคามิมคฺค แล ระนึกในหวั ใจดังแสงดาวนน้ั ให้คอ่ ยระนกึ สญั ญาลงถงึ สะดือ ว่า นโม ตสสฺ แถมทีหน่ึง...ช่ือ ว่า อนาคามิมคคฺ แล ระนกึ ในนาภดี ังแสงพระอาทิตย์น้นั คอ่ ย ระนึกสัญญาลงถึงท่ีน้ันแล้วซ้ำาระนึกให้สว่างรุ่งเรืองขึ้นภายบน ระนึกที่อั้นสว่างรุ่งเรืองให้อั้นออกด้วยประตูทวารทั้งสี่ ชื่อว่า อรหนตฺ มคฺค แล ได้ถงึ นวโลกตุ ฺตรธมมฺ คือเปน็ ดงั ตามโคมเจาะ สอ่ งไวท้ งั้ สแี่ หง่ นนั้ แลมาบ82กเิ ลสตณั หาอวชิ ามดื มวั เมาหายเสย้ี ง แลว้ ยกมอื ขน้ึ ไหวพ้ ระธรรมเจา้ อนั อยใู่ นนาภดี งั แสงพระอาทติ ย์ เปน็ ดงั ว่ามาดังหลงั แล โลกุตตฺ รมหุตฺตกำ สหสสฺ วร มตฺตปทฏฺ เจว พุทฺธภาวนา แล ได้รักษารูปร่างพระธรรม ได้มรรคสี่ พันคาบ อานิสงส์นั้นก็บ่เท่าทางปรมัตถพุทธภาวนาแล...ให้ค่อยอนุโลม ปฏิโลมด้วยญาณสมาธิแต่นาภีลงถึงนาภีให้ม่ัน ชื่อว่าโสดาผละ เข้านิโรธหับประตูนรกในตา ได้ฆ่าบาปธรรมตายสองตัวเสียแล ช่ือว่าวิจิกิจฉา จิตตุปปาท ครั้นเสี้ยงชาติตายก็จักได้เอาตัวไป เกิดในชั้นฟาอินทร์ยังอยู่เจ็ดชาติก็จักได้ถึงนิพพานบ่อย่าได้ไป ตกนรกแล้ว ให้ค่อยอนุโลมปฏิโลมด้วยปรยา83 ญาณสมาธิแต่ 81 คือ โสดาปัตตมิ รรค 82 มาบ: ก. เกิดประกายวูบวาบอยา่ งแสงไฟฉาย 83 แม้วา่ ปรญา จะหมายถึงปัญญา แต่ในท่นี ี้ความหมายนา่ จะหมายถงึ ญาณ 422 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org นาภีลงมาถงึ หัวใจก็ดี ไว้ให้มน่ั ได้ชื่อว่า สกทาคามี เข้านโิ รธได้ หับประตูสัตวด์ ริ จั ฉานในหแู ลว้ ไดฆ้ ่าปาปธรรมตายสาม84ตัวคือ ทฏิ ฐิ มาโน โลโภ โทโส คร้นั ดบั จิตจกั ได้เอาตวั ไปเกดิ ในชั้นฟา ชั้นอินทร์ยังสามชาติ ก็จักได้ถึงนิพพานแล ช่ือว่าจักได้ไปเกิด ในอันเป็นสัตว์ดิรัจฉานน้ันบ่มีแล้ว เหตุว่าได้หับประตูในหูเสีย แลว้ ให้คอ่ ยอนุโลมปฏิโลมด้วยญาณสมาธิถึงอกกุมไว้ใหม้ น่ั ชื่อ อนาคามผิ ล แล เขา้ นโิ รธ ไดห้ บั ประตเู มอื งมนษุ ยเ์ สยี ในรดู งั แลว้ ฆ่าปาปธรรมตายส่ีตัวคอื วา่ เมถุนธรรม มจั ฉรยิ ะ กุกกจุ จะ ถีนะ ครน้ั วา่ เสยี้ งชาตกิ จ็ กั ไดเ้ อาตวั ไปเกดิ ในสวรรค์ แลว้ คอ่ ยขนึ้ เขา้ สู่ นพิ พานแลว้ ชื่อว่ามนษุ ยบ์ ่ไดล้ งมาเกิดแล้ว เหตวุ ่าไดห้ บั ประตู ในเมอื งมนษุ ยเ์ สยี แลว้ แล ใหค้ อ่ ยอนโุ ลมปฏโิ ลมดว้ ยญาณสมาธิ แตน่ าสกิ อมิ่ 85ลงไปเถงิ คอกมุ ไวม้ น่ั ชอื่ วา่ พระอรหนั ตผล เขา้ นโิ รธ ได้หับประตูสวรรค์ในปาก ได้ไขประตนู พิ พานอยูต่ รงกระหม่อม หายใจเข้าออกแต่ดังลงถึงคอ สะอึกอยู่บ่ให้พระธรรมออกไป ชื่อพระอรหันตผล เข้านิโรธสัมมาปฏิ ได้ฆ่าบาปธรรมตายส่ีตัว มิทธะ อุทธจั จะ อหริ ิกะ อโนตตัปปะ อิสสา ได้ชอื่ ว่า อรหนั ต์ (พระญาณกสณิ 18.4) 84 ควรเป็น สี่ 85 อ่ิม: ว. เบกิ บาน, แชม่ ช่ืน บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 423
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ กระหมอ่ ม นาสิก คอ มรรควถิ ี ผลวถิ ี หัวใจ, อก สะดอื , นาถี ภาพท่ี 26 แส งทีต่ ังของจติ ในการบรรลมุ รรค ลตามนัยของคมั ภรี ์พระ าณกสณิ แม้ว่าคัมภีร์โยคาวจรเหล่าน้ีจะกล่าวถึงตำาแหน่งที่ต้ังของจิตไม่ตรงกัน ซ่ึงเกินกว่าจะตัดสินความถูกผิดของคัมภีร์ใดคัมภีร์หนึ่งในที่น้ีได้ แต่อาจสรุป ได้ว่าโยคาวจรได้แยกการปฏิบัติในชั้นโลกุตรธรรมเป็นสองวิถี (track) คือวิถี ของ “โลกุตรมรรค” ซึ่งผู้ปฏิบัติจะต้องเจริญสมาธิภาวนาไปในทิศทางนี้ให้ ครบทกุ ขน้ั เสยี กอ่ น ตงั้ แตโ่ สดาปตั ตมิ รรค ไปยงั สกทาคามมิ รรค อนาคามมิ รรค จนถึงอรหัตมรรค โดยการ “สญั ญานกึ ”เปน็ ความสว่างซงึ่ มักจะกาำ หนดขนาด ว่าเป็นแสงดาวบางครั้งเปน็ แสงอาทิตย์ ไปหยดุ ตามจดุ ตา่ งๆ ต้งั แตก่ ระหมอ่ ม คอ หัวใจ อก สะดอื และนาภี พรอ้ มกับบริกรรมภาวนาไปด้วยวา่ “นโม ตสฺส” เมื่อเสรจ็ จากข้นั โลกุตรมรรค แล้วจงึ ดำาเนินไปส่วู ิถขี องโลกุตรผลตอ่ ไป ไดแ้ ก่ โสดาปัตตผิ ล สกทาคามิผล อนาคามผิ ล และอรหัตผลในท่สี ดุ ซง่ึ นับเปน็ การ “ไขประตนู ิพพาน” ที่กระหมอ่ ม ในวิถีน้ผี ปู้ ฏบิ ัติจะต้อง “อนโุ ลมปฏิโลมด้วย 424 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ญาณสมาธ”ิ ไปตามจดุ ตา่ งๆ ระหวา่ งกระหมอ่ ม คอ อก หวั ใจ และสะดอื นาภี เชน่ กัน จึงอาจสรปุ ไดว้ า่ ในทางปฏบิ ัตนิ ัน้ โยคาวจรมจี ุดท่ตี ้ังของจติ ประมาณ 5-6 จดุ แต่ละจุดลว้ นมีความสาำ คัญโดยเปน็ ท่ีเกดิ ของโลกุตรมรรคและโลกตุ ร ผลในระดับตา่ งๆ ได้ การเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างกันของคัมภีร์โยคาวจร และวชิ ชาธรรมกาย ในเรอื่ งน้ีอาจแยกได้เปน็ สองประเด็น ไดแ้ ก่ 1. เรื่องฐาน ที่ตง้ั ของใจในการเกดิ อรยิ มรรคอรยิ ผล และ 2. เร่อื งลาำ ดบั ของอริยมรรคและ อริยผลท่เี ขา้ ถึง สำาหรับประเด็นแรก แม้วิชชาธรรมกายจะกล่าวถึงฐานที่ต้ังของใจ 7 ฐานกต็ าม แต่ฐานที่ 1-6 เปน็ เพียงเสน้ ทางเดินของใจเทา่ นัน้ สว่ นการบรรลุ มรรคผลเกิดขึ้นที่ฐานสุดท้ายคือฐานที่ 7 อันเป็นฐานท่ีต้ังอย่างถาวรของใจ เพียงตาำ แหน่งเดียว ด้วยวิธกี าร “หยุดในหยุดเขา้ ไปในกลางของกลาง” ... ศูนย์น้ันเป็นสำาคัญนัก จะเกิดมาในมนุษย์โลก ก็ต้อง เกดิ ท่ศี นู ย์นน้ั จะไปนพิ พานกต็ ้องเขา้ ศนู ย์นัน้ ไปเหมือนกนั จะ ไปสู่มรรคผลนิพพานก็ต้องเข้าศูนยน์ ัน้ เหมอื นกัน แบบเดียวกัน ถา้ จะตายจะเกดิ เดนิ ตรงกนั ขา้ ม ถา้ วา่ จะเกดิ กต็ อ้ งเดนิ นอกออก ไป ถา้ วา่ จะไม่เกิดกต็ อ้ งเดนิ ในเข้าไป กลางเข้าไว้ หยดุ เข้าไว้ ไม่ คลาดเคลอื่ น นตี่ ายเกดิ อยา่ งนี้ ใหร้ จู้ กั หลกั อยา่ งนี้ เมอื่ รจู้ กั หลกั ดงั นแ้ี ลว้ ละก็ เรากร็ ทู้ เี ดยี ว รเู้ มอ่ื เชา้ น้ี ทใ่ี จเราวนุ่ วายอยนู่ ี่ มนั ทาำ อะไร? มนั จะเวยี นวา่ ยตายเกดิ ถา้ ใจเรานงิ่ อยใู่ นกลางนนั้ มนั จะ เลกิ เวยี นว่ายตายเกดิ เรากร็ ้ตู วั ของเราอยู่ เราไม่ตอ้ งงอ้ ใคร เรา บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 425
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ รู้แล้ว เราเรียนแล้วเราเข้าใจแล้ว เราก็ต้องทำาใจของเราให้น่ิง ใหห้ ยดุ ทำาใจใหห้ ยดุ อย่ศู นู ยก์ ลางนัน่ ทำาใจให้หยดุ เชยี ว หยุดก็ เขา้ กลางหยดุ กลางของกลาง ๆๆๆ ซา้ ยขวา หนา้ หลัง ล่างบน นอกใน ไมไ่ ป (ร.ธ. 926 ดู 2.2) สำาหรับประเด็นท่สี อง การบรรลุอริยมรรคและอริยผลในหลกั การของ วิชชาธรรมกายจะเป็นไปตามลำาดับของอริยบุคคลแต่ละข้ัน ตั้งแต่มรรคและ ผลเบื้องต่ำา ได้แก่โสดาปัตติมรรคและโสดาปัตติผล ข้ึนไปจนถึงมรรคและผล เบ้ืองสูงอันได้แก่ อรหัตมรรคและอรหัตผล ดังตัวอย่างพระธรรมเทศนาของ พระมงคลเทพมนุ ีด้านลา่ งนี้ ... พอเข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะแล้ว หยุดอยู่ ศนู ย์กลางของใจทห่ี ยุดน่ันแหละ กลางของกลาง ๆๆ หนักเข้าก็ เหน็ กายพระโสดา เข้าถึงกายพระโสดา ออ้ พอเข้าถงึ กายพระ โสดากร็ จู้ กั เชยี ว นพี่ ระพทุ ธเจา้ พระอรหนั ตไ์ ปทางนี้ ไมใ่ ชไ่ ปทาง อนื่ เลย แตพ่ อเขา้ ถงึ กายพระโสดาละเอยี ด ทาำ แบบเดยี วกนั อยา่ ง นนั้ หยดุ อยา่ งเดยี วกนั นนั่ แหละ หยดุ อยา่ งนนั้ แหละ พอหยดุ เขา้ รปู นนั้ จริง ๆ เข้าถึงกายพระสกทาคา สกทาคาละเอยี ด อนาคา อนาคาละเอียด ก็รู้รสชาติของใจทีเดียว พอเข้าถึงพระอรหัต พระอรหัตละเอียด เข้าแล้วหลุดหมด กามตัณหา ภวตัณหา วภิ วตณั หา ทกุ ขฺ ปู สมคามนิ ำ อยา่ งนเี้ อง ถงึ พระนพิ พานเปน็ ทดี่ บั แห่งทุกข์ พอถงึ พระอรหัตก็เห็นนิพพานแจ่ม เขา้ นิพพานไปได้ ทีเดยี ว (ร.ธ. 200) 426 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org จะเห็นได้ว่า ลำาดับของการเข้าถึงอริยมรรคและอริยผลในวิชชา ธรรมกาย เป็นลาำ ดบั แบบเดยี วกนั กบั ทแ่ี สดงไว้ในพระไตรปิฎกบาลี โสดาปตั ติมรรค ควรร้ยู ิ่ง โสดาปัตติผลสมาบตั ิ ควรรยู้ งิ่ สกทาคามมิ รรค ควรรยู้ งิ่ สกทาคามผิ ลสมาบตั ิ ควรรยู้ งิ่ อนาคามิ มรรค ควรรยู้ งิ่ อนาคามผิ ลสมาบัติ ควรรู้ยิ่ง อรหัตมรรค ควร ร้ยู ง่ิ อรหตั ผลสมาบตั ิ ควรรูย้ ิง่ ฯ86 จึงกล่าวได้ว่า ในเร่ืองของการบรรลุมรรคผล วิชชาธรรมกายแตกต่าง จากคมั ภรี โ์ ยคาวจร ทงั้ ในเรอื่ งของเสน้ ทางหรอื ตาำ แหนง่ แหง่ การเกดิ อรยิ มรรค อรยิ ผล และในเร่อื งของลำาดบั ธรรมท่เี ขา้ ถึง ในเวลาเดยี วกัน ลาำ ดับการเข้าถงึ ธรรมในหลกั การของวชิ ชาธรรมกายตรงกนั กบั ลาำ ดบั ทแี่ สดงไวใ้ นพระไตรปฎิ ก บาลี สว่ นฐานทต่ี งั้ ของใจในการเขา้ ถงึ อรยิ มรรคอรยิ ผลนน้ั กน็ บั วา่ สอดคลอ้ งกบั หลกั การ “มชฺฌมิ าปฏิปทา” คือเสน้ ทางสายกลาง (ดู 3.3.1.2) และหลักการ ทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงสอนใหว้ างใจภายในตวั และในกลางของสมาธนิ มิ ติ เดมิ (ดู 4.2.1.1 ในหวั ข้อยอ่ ย “ฐานทตี่ ้ังของใจ”) 86 โสตาปตฺติมคฺโค อภิฺเยฺโย โสตาปตฺติผลสมาปตฺติ อภิฺเยฺยา สกทาคามิมคฺโค อภิฺเยฺโย สกทาคามผิ ลสมาปตฺติ อภิ เฺ ยยฺ า อนาคามมิ คโฺ ค อภิ เฺ ยโฺ ย อนาคามผิ ลสมาปตตฺ ิ อภิ เฺ ยยฺ า อรหตตฺ มคโฺ ค อภิ เฺ ยโฺ ย อรหตตฺ ผลสมาปตฺติ อภิฺเยฺยา ฯ (ข.ุ ปฏ.ิ 31/49/30) บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 427
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ 4.2.4. บทสรปุ สมาธภิ าวนาในเอเชียอาคเนย์ สมาธิภาวนาในเอเชียอาคเนย์ท่ีเก่าแก่ที่สุดย้อนไปได้ถึงเวลาของการ บันทึกพระไตรปิฎกบาลี การศึกษาเรื่องของพุทธานุสติในพระไตรปิฎกบาลี โดย ดร.พระมหาสธุ รรม สุรตโน ป.ธ.9 ใหข้ ้อสรปุ ที่นา่ สนใจในหลายประเดน็ เป็นต้นว่า ในการเจริญสมาธิภาวนา พระพุทธองค์ทรงหยุดใจไว้ภายในตัว และภายในนิมิตก่อนหน้าน้ันเป็นนิตย์ และทรงสอนพระพุทธสาวกให้หยุดใจ ไว้ภายในในทำานองเดียวกัน การเจริญพุทธานุสติสามารถทำาได้หลายวิธี ทั้ง โดยการระลกึ ถึงพระพทุ ธคณุ และโดยการระลกึ ถึงพระพทุ ธลกั ษณะ และอาจ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ พระองคป์ จั จบุ นั หรอื พระพทุ ธเจา้ พระองคอ์ นื่ กไ็ ดเ้ ชน่ กนั อนง่ึ การเจรญิ พทุ ธานสุ ตขิ องผทู้ บ่ี รรลธุ รรมแลว้ นาำ มาซงึ่ การเหน็ พระพทุ ธองค์ อย่างชัดเจนทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งบ่งบอกว่าการ “เห็นพระพุทธองค์” นั้นเป็นการเห็นพระธรรมกาย ไม่ใช่โดยพระรูปกาย หลักการในพุทธานุสติ จากพระไตรปฎิ กบาลีดังกลา่ วมาขา้ งตน้ นสี้ อดคลอ้ งกันกบั หลักการของวชิ ชา ธรรมกาย เนอื้ หาของการเจรญิ พทุ ธานสุ ตจิ ากคมั ภรี โ์ บราณใหค้ าำ ตอบทคี่ ลา้ ยคลงึ กนั ในคมั ภรี จ์ ตรุ ารกั ขา คมั ภรี บ์ อกเพยี งใหร้ ะลกึ ถงึ พระพทุ ธคณุ อนั กวา้ งใหญ่ ไมม่ ที ่สี ิ้นสดุ และแสดงบทพรรณนาพระพุทธคณุ ไวถ้ ึง 9 คาถา สว่ นพุทธานุ สติที่ปรากฏในคัมภีร์มูลลกัมมฐานมีคำาแนะนำามากไปกว่าน้ัน คือให้ระลึกถึง พุทธลักษณะอันมีพระพุทธรูปเป็นองค์แทนเพิ่มข้ึนมาด้วย หลักการท่ีแสดง ไวใ้ นคัมภีร์เหล่าน้ีนบั ว่าสอดคลอ้ งกันกับวิชชาธรรมกายและไม่มอี ะไรขดั แยง้ 428 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org เนอ้ื หาการเจรญิ สมาธิภาวนาประเภท “อนุสต”ิ 87 อนื่ ๆ อีก 3 ประการ ทแ่ี สดงไวใ้ นคัมภีรจ์ ตุรารกั ขาก็มีความสอดคล้องกันกับคาำ สอนของพระมงคล เทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร) ในทำานองเดียวกนั กับ “สัญญา 4 ประการ” ทพ่ี บใน คมั ภีรจ์ ากคันธาระ สว่ นการศกึ ษาการเจรญิ สมาธภิ าวนาในคมั ภรี ์โยคาวจร ท่พี บในคัมภรี ์ อักษรธรรมและคัมภรี ใ์ บลานเขมร ใหข้ อ้ สรุปว่า หลักการในภาพรวมเก่ียวกับ การศึกษาและปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาน้ัน (4.2.3.1) ความเข้าใจของ โยคาวจรและวชิ ชาธรรมกายมีความสอดคลอ้ งกนั และเปน็ หลักการทีต่ รงกัน กับในพระไตรปิฎกบาลี ส่วนคำาแนะนำาในการปฏิบัติสมาธิภาวนาก็มีความ คล้ายคลึงกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของพุทธานุสติ บริกรรมภาวนา และ บรกิ รรมนมิ ติ สำาหรับฐานที่ต้ังของใจ แม้ว่าจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่โยคาวจรและ วิชชาธรรมกายยังมีความคล้ายคลึงกันในประเด็นของการให้ความสำาคัญกับ “จุดกลางกาย” หลกั การบางอยา่ งของโยคาวจรมคี วามคลา้ ยคลงึ กนั กบั “สมถวปิ สั สนา แบบโบราณ” ทรี่ วบรวมไวใ้ นหนงั สอื “พทุ ธรงั ษธี ฤษดญี าณ” เชน่ หลกั คาำ สอน 87 โดยท่ัวไปเมตตาภาวนาและอสุภภาวนาถูกแยกเป็นกรรมฐานคนละประเภทกันกับอนุสติในความ เข้าใจของชาวพุทธเถรวาทในปัจจุบันดังท่ีสะท้อนให้เห็นจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และ วสิ ทุ ธมิ รรค ชาวพทุ ธในลา้ นนากลบั จดั เมตตาภาวนาและอสภุ ภาวนาไวใ้ นจาำ พวกอนสุ ติ ดงั จะเหน็ ได้ จากชอ่ื ทปี่ รากฏในคมั ภรี ใ์ บลานอกั ษรธรรมลา้ นนา และหนงั สอื สวดมนตไ์ ทยเหนอื ซงึ่ ใชค้ าำ วา่ เมตตา นสุ สตภิ าวนา เป็นต้น ด้วยการสะกดคาำ ที่แตกต่างกัน บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 429
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ “พระธรรมสามไตร” มกี ลา่ วไวใ้ นคมั ภรี ป์ ฏบิ ตั ธิ รรมจากเวยี งจนั ทน์ (พระมหา โชติปฺ โ 2479: 289-90) แต่คมั ภรี จ์ ากสองแห่งแสดงการเปรยี บเทียบและ แนวทางการพจิ ารณาที่แตกตา่ งกนั การบชู าแกว้ 5 โกฏฐาส (ตรงกับ “แกว้ 5 โกฐาก” ในคัมภรี ์มลู ลกัมมฐานอกั ษรธรรมลา้ นนา) อันไดแ้ ก่ พระรตั นตรยั ครูผู้สอนกรรมฐานและพระกรรมฐานก็มีกล่าวไว้ในคัมภีร์เหล่าน้ีด้วยเช่นกัน (พระมหาโชตปิ ฺ โ 2479: 166) และหลกั สตู รการสอนสมถวปิ สั สนาในคมั ภรี ์ ใบลานเขมรที่แบ่งเป็นช้ันๆ อาจเทียบได้กับการแบ่งเป็น “ห้อง” ของสมถ วิปัสสนาโบราณ เป็นต้น ความคล้ายคลึงกันในหลายประการบ่งช้ีว่าคัมภีร์ โยคาวจรกับคัมภีร์สมถวิปัสสนาโบราณน่าจะมาจากสายการปฏิบัติเดียวกัน หรือมีต้นเคา้ เดยี วกนั หลักการบางอย่างโยคาวจรก็แตกต่างจากวิชชาธรรมกาย ในขณะท่ี วิชชาธรรมกายจะสอดคล้องกนั กับพระไตรปิฎกบาลมี ากกวา่ เช่นในประเดน็ ท่ีว่าการกำาจัดกิเลสและบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลไม่ได้เกิดขึ้นในขณะที่เข้า นโิ รธสมาบตั ิ และเสน้ ทางของการบรรลมุ รรคผลนน้ั จะดาำ เนนิ จากมรรคและผล เบอ้ื งต่ำาขึน้ ไปสู่มรรคและผลเบอ้ื งสูงตามลำาดับ มิไดเ้ ป็นการดำาเนินตามมรรค วถิ จี นจบแลว้ จงึ เร่มิ ดำาเนินตามผลวิถีตามแนวทางของโยคาวจร ความแตกต่างท่ีพบในเชิงการบรรลุมรรคผลระหว่างวิชชาธรรมกาย และโยคาวจรบง่ ชี้ว่า การบรรลุธรรมของพระมงคลเทพมนุ ไี ม่ไดเ้ ปน็ การไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากคาำ สอนของชาวพทุ ธรว่ มสมยั และชถี้ งึ ความเปน็ ไปไดข้ องคาำ กลา่ ว ท่ีวา่ ท่านค้นพบวิชชาธรรมกายจากการปฏิบตั ดิ ้วยตนเอง 430 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org 4.3. หลักฐานธรรมกายในเชิงหลกั ธรรมทัวไป นอกจากความสอดคล้องในความหมายของธรรมกายและในหลักการ เจริญสมาธิภาวนาแล้ว หลักฐานจากเอเชียอาคเนย์ท่ีนำามาศึกษายังมีความ สอดคลอ้ งกบั วชิ ชาธรรมกายในหลกั คาำ สอนและหลกั การปฏบิ ตั ทิ ว่ั ไปในหลาย แง่มุมอย่างน่าทึ่ง ความสอดคล้องดังกล่าวปรากฏให้เห็นมาแล้วครั้งหนึ่งใน หัวขอ้ “ภาพรวมการศึกษาและปฏบิ ตั ใิ นพระพทุ ธศาสนา” (ดู 4.2.3.1) และ ยงั มีอีกหลายแง่มุมท่ีจะได้นาำ เสนอเพิ่มเติมในทน่ี ้ี 4. .1. ดวงแก้ว ดวงธรรม ดวงสวา่ ง คัมภีร์โยคาวจรกล่าวถึงสิ่งท่ีมีลักษณะเป็นดวงแก้วหรือดวงสว่างไว้ หลายครงั้ หลายแหง่ 88 เชน่ กลา่ วถงึ อรยิ มรรคและอรยิ ผลทงั้ สวี่ า่ เปรยี บไดก้ บั ไฟ ทง้ั สี่ หรอื ศลี ภายในท้ังส่ี หรือ ดวงแกว้ สด่ี วงในดอกมะเดอื่ เปน็ ตน้ ในบรรดา เร่ืองราวเกี่ยวกบั ดวงแกว้ นนั้ มวี ลีหนึ่งท่ีน่าสนใจคือ “เกิดมาหาดวงแก้ว” 4.3.1.1. “เกดิ มาหาดวงแก้ว”89 คาำ วา่ เกดิ มาเพอ่ื หาดวงแกว้ เปน็ คาำ ทคี่ นุ้ เคยของผปู้ ฏบิ ตั ใิ นสมยั โบราณ ทง้ั ในดนิ แดนทใี่ ชอ้ กั ษรธรรมและในประเทศกมั พชู า วลนี สี้ อื่ ความหมายวา่ การ เกดิ มาเปน็ มนษุ ยม์ เี ปาหมายหลกั คอื เกดิ มาเพอ่ื หาดวงแกว้ ทอ่ี ยภู่ ายในกายตน ทค่ี มั ภรี ม์ กั เรยี กวา่ “กายนคร” เพราะแกว้ ดวงนจี้ ะสามารถนาำ พาผปู้ ฏบิ ตั แิ ละ สรรพสตั ว์ให้ผาสุกจนถึงพระนพิ พานได้ 88 ศกึ ษารายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ไดจ้ ากงานวจิ ยั “สมาธภิ าวนาในคมั ภรี อ์ กั ษรธรรม” (กจิ ชยั เออ้ื เกษม 2557) 89 นาำ มาจากงานวิจยั “สมาธิภาวนาในคมั ภรี อ์ กั ษรธรรม” (กิจชยั เออ้ื เกษม 2557) และ “สมาธภิ าวนา ในคัมภีร์ใบลานเขมร” (พระปอเหม่า ธมมฺ โิ ต 2557) บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 431
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ เรอื่ งราวของการเกดิ มาเพอื่ หาดวงแกว้ หรอื ในบางแหง่ กลา่ ววา่ เกดิ มา หาดวงแกว้ ในดอกมะเดอื่ หรอื ผลมะเดอ่ื ปรากฏอยใู่ นคมั ภรี โ์ บราณหลายคมั ภรี ์ โดยนิยมผูกเป็นเรื่องราวของ “จิตตกุมารี” ซ่ึงเป็นตัวแทนดวงจิตของมนุษย์ ผู้จะมาเกดิ และเปรยี บกายมนษุ ยท์ ีป่ ระกอบด้วยรยางคท์ ัง้ ห้าคือ ศรี ษะ แขน ขา วา่ เปน็ ตน้ มะเดอ่ื หา้ กง่ิ เทยี บอรยิ ผลทง้ั สเี่ ปน็ ดวงแกว้ สด่ี วงในดอกมะเดอื่ มี นกอินทรี 4 ตวั (ในคัมภีรอ์ กั ษรธรรม) หรอื 6 ตัว (ในฉบับเขมร) คอยเฝาและ กินคนท้งั เป็น ซึ่งเปรียบได้กับอายตนะ 4 หรือ 6 ไดแ้ ก่ ตา หู จมูก ล้นิ (ฉบบั เขมรเพิ่ม กาย และ ใจ) ที่คอยชกั พาให้มนุษยห์ ลงไปในวฏั สงสาร เปาหมาย ของการมาเกิดในโลกมนุษย์คือเพ่ือมาหา “ดวงแก้วท้ังส่ีในดอกมะเด่ือ” อัน ได้แก่ อรยิ ผลท้ังสีภ่ ายในกาย โดยการฆา่ นกอินทรี และนาำ ดวงแกว้ ส่องเขา้ ไป พาำ นกั ในเมอื งนพิ พาน เปน็ ตน้ (บวั ร. 1.43.1-1.45.4 )90 นบั เปน็ อปุ มาอปุ ไมยที่ แสดงใหเ้ หน็ จดุ มงุ่ หมายและหลกั การปฏบิ ตั ใิ นพระพทุ ธศาสนาไดอ้ ยา่ งชดั เจน คมั ภีร์บัวระพันธะกลา่ วถงึ ประเด็นนี้ไว้หลายแห่ง (บัวร. 1.43.1, 2.18.1) และ พบในคมั ภรี ใ์ บลานเขมรหลายฉบบั 91 ดังตวั อยา่ งต่อไปนี้ “โยคาวจรทง้ั หลาย หากอยากจะยกตนใหพ้ น้ จากทกุ ขภ์ ยั ในวฏั สงสาร ใหค้ น้ หาธรรมทเี่ รยี กวา่ “มลู กมั มฐาน” เพราะตอน มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ต้ังใจว่าจะมาหาดวงแก้ว...หากพบดวงแก้ว 90 ศกึ ษารายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ไดจ้ ากงานวจิ ยั “สมาธภิ าวนาในคมั ภรี อ์ กั ษรธรรม” (กจิ ชยั เออ้ื เกษม 2557) 91 เน้ือความในทำานองเดียวกนั มีกลา่ วไวใ้ นคมั ภีรใ์ บลานเขมร “มูลพระกมั มฏั ฐาน” วัดมงคลศิริ เกยี น- เฆลียง หน้า 7, “ขษฺตรา นครกาย” ของวัดเกียน-เฆลียง หน้า 18, “ขษฺตรากรรมฐาน” ของวัด เกยี น-เฆลียง หน้า 4-5, คัมภรี ์ “กายนคร” ของวัดธิบดี จงั หวดั เสียมเรียบ กมั พชู า, คมั ภรี ์ “นคร กาย” ของวัดภูมิใหมศ่ ิริมงคล จังหวัดกำาปงจาม กัมพชู า เปน็ ต้น ศกึ ษารายละเอียดเพม่ิ เติมได้จาก งานวิจยั “สมาธิภาวนาในคัมภีรใ์ บลานเขมร” (พระปอเหม่า ธมมฺ โิ ต) 432 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org นน้ั แลว้ จงถอื ใหม้ นั่ เดชะอานภุ าพของดวงแกว้ นจี้ ะพาตนเองให้ ไปสพู่ ระนพิ พานได”้ (มลู กมั มฐาน ฉบบั วดั คริ สี ระสรอง หนา้ 66) คำากล่าวนี้ เปรียบเทียบดวงแก้วกับธรรมภายใน สอดคล้องกันกับ คตธิ รรมท่พี ระมงคลเทพมนุ ี (สด จนฺ ทสโร) กลา่ วไวเ้ นอื งๆ วา่ เกดิ มาวา่ จะมาหาแกว้ พบแลว้ ไมก่ าำ จะเกดิ มาทาำ อะไร สงิ่ ทอ่ี ยากเขากห็ ลอก สงิ่ ทห่ี ยอกเขากล็ วง ทาำ ใหจ้ ติ เปน็ หว่ งเปน็ ใย เลิกอยาก ลาหยอก รบี ออกจากกาม เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป เสรจ็ กิจสิบหกไมต่ กกนั ดาร เรียกว่า “นพิ พาน” กไ็ ด้ (พระทิพย์ ปรญิ ญา 2499: ธ) ในคติธรรมของพระมงคลเทพมุนีที่ยกมาข้างต้นนี้ นอกจากจะแสดง ถงึ เปาหมายในการ “เกิดมาหาแก้ว” ดงั กล่าวแล้ว ยังแสดงรายละเอยี ดของ การปฏบิ ตั ิชดั เจนยิง่ ขึน้ ไปอีกว่า ในการหาแก้วคือธรรมนั้น ต้องละทงิ้ กามซงึ่ เป็นเสมอื นเหยอื่ ลอ่ ให้หลงตดิ มหี ่วงผูกพันอยใู่ นวัฏสงสาร และใหเ้ รง่ เดินตาม “ขันธส์ าม” คือ ศีล สมาธิ ปญั ญา อันเป็นทางมงุ่ ตรงสูน่ พิ พาน การบรรลุ “กจิ สบิ หก” ก็คอื บรรลุอรยิ ผลทงั้ สีภ่ ายในกายนน่ั เอง92 92 “กิจสิบหก” คือ การอาศัยธรรมกาย 4 ระดับพจิ ารณาอริยสจั ส่ี ในกายโลกยิ ะ 4 กาย ดงั น้ี 1. กายธรรมโคตรภูเขา้ สมาบตั ิพิจารณาอริยสัจสใี่ นกายมนุษย์ (เมอ่ื ถูกส่วนก็บรรลุโสดาบนั ) 2. กายธรรมโสดาบันเข้าสมาบัติพจิ ารณาอรยิ สัจสีใ่ นกายทิพย์ (เมื่อถกู ส่วนกบ็ รรลสุ กทาคามี) 3. กายธรรมสกทาคามเี ขา้ สมาบตั ิพจิ ารณาอริยสัจสี่ในกายรูปพรหม (เมือ่ ถกู ส่วนบรรลุอนาคามี) 4. กายธรรมอนาคามเี ข้าสมาบัติพจิ ารณาอรยิ สจั ส่ใี นกายอรปู พรหม (เมื่อถกู ส่วนจงึ บรรลอุ รหัต) รวม 4 รอบเป็นกจิ สิบหก ผลทไี่ ด้คือการบรรลกุ ายธรรมอรหตั บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 433
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ในพระไตรปฎิ กบาลี มีข้อความทก่ี ล่าวถงึ ความเปน็ ของสงู สง่ ละเอยี ด ประณีตของ “แก้วคือธรรม” (ธรรมรัตนะ) ได้แก่นิพพานและสมาธิอันเป็น เครอื่ งนำาสู่นิพพาน ซงึ่ สือ่ ความหมายในทำานองเดียวกัน พระศากยมนุ มี พี ระหทยั ตงั้ มน่ั ทรงบรรลธุ รรมใดอนั เปน็ ทีส่ ้นิ กิเลส เป็นท่ีสาำ รอกกเิ ลส เป็นอมตธรรมอันประณีต สิง่ อืน่ จะเสมอด้วยพระธรรมนั้นย่อมไม่มี ธรรมรัตนะนี้เป็นรัตนะอัน ประณตี ด้วยสจั จวาจาน้ี ขอความสวสั ดจี งมี พระพุทธเจา้ ผปู้ ระเสริฐสุด ทรงสรรเสริญสมาธิใดว่าเปน็ ธรรมอันสะอาด เหล่าบัณฑิตกล่าวถึงสมาธิใดว่าให้ผลในลำาดับ สงิ่ อนื่ จะเสมอดว้ ยสมาธนิ นั้ ยอ่ มไมม่ ี แมธ้ รรมรตั นะนกี้ เ็ ปน็ รตั นะ อนั ประณตี ดว้ ยสจั จวาจานี้ ขอความสวสั ดจี งมี (ข.ุ ข.ุ 25/7/5-6) คตธิ รรมว่า “เกดิ มาหาแกว้ ” ของโยคาวจร จึงนับเปน็ ส่งิ ท่ตี รงกนั กบั หลักการของวิชชาธรรมกาย เป็นความเข้าใจเก่าแก่ท่ีมีมาแต่ด้ังเดิมดังท่ีมี ร่องรอยปรากฏอยู่ในพระไตรปฎิ กบาลี นอกจากคตธิ รรมในการเกดิ มาหาแกว้ คอื โลกตุ รธรรมแลว้ โยคาวจรยงั มอี กี วลีหน่ึงเก่ยี วกับดวงแกว้ ท่พี บบ่อยมากคอื “ดวงแก้วทขี่ า้ มา” 4.3.1.2. “ดวงแกว้ ทขี่ ้ามา” 93 ในคมั ภรี อ์ กั ษรธรรมมหี ลายตอนทก่ี ลา่ วถงึ เปาหมายหรอื ความพยายาม 93 ศกึ ษารายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ไดจ้ ากงานวจิ ยั “สมาธภิ าวนาในคมั ภรี อ์ กั ษรธรรม” (กจิ ชยั เออื้ เกษม 2557) 434 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org ทจ่ี ะกลบั ไปเกดิ ใน “ดวงแก้วทขี่ า้ มา” ซ่งึ คัมภรี ์บรรยายไวว้ า่ เปน็ สภาวะที่สขุ เกษม ไมม่ คี วามแก่และความตาย ดวงจิตน้ันนำาไปเกิดที่โสโครก ในดวงแก้วที่กูมาน้ันแลบ่ นำาเอากูไปเกิดในดวงนั้นเล่าแล ดวงจิตกลับกลายได้ (ญาณก. ฉบบั วัดข่วงสิงห์ 6.2) ด้วยเดชกุศลบุญแห่งข้า ขอให้ไปเกิดในดวงแก้วท่ีข้ามา น้ันเถดิ (ญาณก. 15.2) ขา้ จกั ขอไปเกดิ ในดวงแกว้ ทข่ี า้ มานนั้ ขา้ จกั ขอไปอยทู่ ขี่ า้ มาน้นั แล (ญาณก. 27.1) ...จงึ จักวา่ ดวงจิตตัวร้าย ในดวงแก้วทก่ี มู านั้นมันกบ็ ่นำากู ไปเกดิ ในดวงแกว้ อนั เปน็ สขุ เกษมอนั บร่ เู้ ฒา่ บร่ ตู้ ายนนั้ แล (ญาณ ก. 57.2) ในขอ้ ความน้ี คมั ภรี ก์ ลา่ ววา่ มนษุ ยม์ กี าำ เนดิ จากดวงแกว้ และมปี ลายทาง แห่งการเวียนว่ายตายเกิดคือดวงแก้วท่ีกำาเนิดมานั้น ดวงแก้วดวงน้ีมีสภาวะ เป็นสุขเกษม ไมม่ คี วามชรา ไมม่ ีความตาย เปน็ สภาพทจี่ ิรงั ยั่งยนื แต่แล้วจิต ที่ร้ายหรือจิตที่กลับกลายก็นำาเอามนุษย์มาเกิดในที่โสโครก ดังน้ัน แสดงว่า มนษุ ย์มกี าำ เนดิ เดิมท่ีไมโ่ สโครก คือมกี าำ เนิดดั้งเดิมทบี่ รสิ ทุ ธิ์มีสภาพอันเป็นสขุ คมั ภรี พ์ ทุ ธนรกนั คมั ภรี พ์ ระญาณกสณิ และคมั ภรี บ์ วั ระพนั ธะ กลา่ วถงึ การถวายชวี ิตให้แกพ่ ระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยมเี จตนาในการปองกนั การตกไปสู่อบายภูมิ และเป็นการนำาไปเกิดใน “ดวงแก้วท่ีข้ามา” ซ่ึงเป็นท่ี เดยี วกันกบั จุดหมายท่ีตอ้ งการจะกลับไป การเรียกขานเชน่ นีเ้ ม่อื ประกอบกับ บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 435
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ นพิ พานซงึ่ เปน็ จดุ หมายของการปฏบิ ตั ิ ยอ่ มชใี้ หเ้ หน็ วา่ “ดวงแกว้ ทขี่ า้ มา” คอื นพิ พานที่กำาลังพยายามจะไป ดงั น้ันการไปสู่นพิ พานก็คอื การกลบั ไปสกู่ ำาเนิด ดั้งเดิมทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิน่ันเอง อาจกล่าวอีกนัยหน่ึงได้ว่า มนุษย์มีจิตดั้งเดิมท่ีบริสุทธิ์ซึ่งอาจพ้องกับ ศัพท์ “โพธิ”94 หรืออาจพ้องกบั ทฤษฎตี ถาคตครรภะ เมอ่ื มาแปดเปอื้ นเพราะ บาปธรรมจิตจึงหม่นหมอง แม้จะมีโพธิอยู่ในตนก็ยังไม่อาจบรรลุโพธินั้นได้ เพราะมีอวิชชาบดบังและมบี าปธรรมครอบงาำ อยู่ ตอ้ งปฏิบตั ภิ าวนาสมาธอิ นั เปน็ หนทางเดยี วทจี่ ะกลบั ไปสจู่ ติ ดง้ั เดมิ อนั บรสิ ทุ ธน์ิ น้ั (Zimmermann 2002: 62) แนวคิดนี้มีข้อความสนันสนุนในคัมภีร์บัวระพันธะว่า “ตั้งไว้ยังนำ้าใจให้ ซื่อใสบรสิ ุทธ์ิหนักแล เอาคลองนพิ พานเป็นอารมณ์ แมน้ ว่าจักปรารถนาเป็น พระพุทธเจ้าก็ดีก็ย่อมจักได้” (บัวร. 1.26.3) ข้อความแสดงถึงความเป็นไป ได้ท่บี คุ คลจะกลบั ไปนิพพาน ซ่งึ เป็น “ดวงแกว้ ที่ข้ามา” เป็นการคนื สูส่ ภาวะ บริสทุ ธ์ิ และมีผลทาำ ให้บคุ คลเปน็ พระพทุ ธเจ้าได้ตามปรารถนา95 ในเร่ืองนี้ พระมงคลเทพมุนเี คยแสดงธรรมไว้ในทำานองเดยี วกนั ว่า พระองค์ทรงสอนไว้ในทางปรมัตถ์ว่า ธรรมดาจิตนั้นใส บริสทุ ธ์ิอยเู่ สมอ ซึ่งหมายความวา่ จติ ทีไ่ มม่ กี เิ ลสผสม สว่ นพวก กิเลส เชน่ โลภะ เรยี กว่าเป็นของจรมา เมอ่ื มาพอ้ งพานจติ ก็ ยอ้ มจติ ใหเ้ ปน็ ไปตามสภาพอนั ชว่ั ชา้ ของกเิ ลสนนั้ ๆ จติ ระคนดว้ ย 94 โพธิ คือปญั ญาในการตรัสรธู้ รรม 95 กจิ ชัยได้อภปิ รายเร่อื งการกำาเนดิ ของมนษุ ยแ์ ละจิตบรสิ ุทธไิ์ วโ้ ดยละเอยี ดในงานวจิ ยั “สมาธิภาวนา ในคัมภรี อ์ กั ษรธรรม” (กิจชยั เอ้ือเกษม 2557) 436 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ราคะหรอื โลภะ มีสีแดง ระคนด้วย โทสะ สดี าำ ระคนดว้ ยโมหะ ขนุ่ เหมอื นตมหรอื นำ้าลา้ งเนื้อ ส่งิ เหล่าน้ีพระองคใ์ ช้ตาธรรมกาย มองเหน็ จริงๆ พวกเราเหลา่ ศาสนิกชน เม่ือเรยี นภาวนาเพ่งถงึ ขนาดจะเห็นจริงด้วยตนเอง การปฏิบัติกิจทางภาวนาน้ันก็คือ พยายามกลนั่ เอากเิ ลสออกเสยี จากจติ ใหจ้ ติ ใจบรสิ ทุ ธิ์ อนั ไดช้ อื่ วา่ กริ ยิ าจติ กริ ยิ าจติ เชน่ นเ้ี ปน็ อพั ยากฤตแลว้ ตอ่ นนั้ ไปจะเปน็ จติ ทค่ี วรแกก่ ารทกุ อย่าง (รธ. 20) หลักการของโยคาวจรท่ีว่าธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์มีความสะอาด บริสุทธิ์น้ันจึงเป็นส่ิงท่ีสอดคล้องต้องกันกับหลักการของวิชชาธรรมกาย และ เปน็ ความเขา้ ใจของชาวพทุ ธมาแตเ่ ดมิ ดงั ทมี่ ขี อ้ ความรบั รองอยใู่ นพระไตรปฎิ ก บาลี 4.3.1.3. ดวงธรรมท่ที าำ ใหเ้ ป็นกายมนษุ ย์ ธรรมที่ทรงรักษาชีวติ 96 วิชชาธรรมกายกล่าวถึงดวงธรรมท่ีทำาให้เป็นกายมนุษย์อยู่เสมอ ดวง ธรรมนน้ั คอื พระสัทธรรมที่มีสัณฐานเปน็ ทรงกลม คำาวา่ ธรรมนะอะไร? ธรรมก็สาำ หรับให้ตนน้นั เปน็ อยู่ ตน นนั้ ไมม่ ธี รรมเลยกเ็ ปน็ อยไู่ มไ่ ด้ ทงั้ กายมนษุ ย์ กายมนษุ ยล์ ะเอยี ด กายทพิ ย์ กายทพิ ยล์ ะเอยี ด กายรปู พรหม กายรปู พรหมละเอยี ด กายอรปู พรหม กายอรปู พรหมละเอยี ด มธี รรมใหต้ งั้ อยทู่ งั้ นนั้ ถา้ ไม่มธี รรมกด็ ับหมด กายธรรม กายธรรมละเอียด ... กายธรรม 96 ศกึ ษารายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ไดจ้ ากงานวจิ ยั “สมาธภิ าวนาในคมั ภรี อ์ กั ษรธรรม” (กจิ ชยั เออ้ื เกษม 2557) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 437
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ พระอรหตั กายธรรมพระอรหตั ละเอยี ด มธี รรมใหเ้ ปน็ อยทู่ ง้ั นน้ั ถา้ ไม่มธี รรมแลว้ กายธรรมน้นั กเ็ ปน็ อยู่ไมไ่ ด้ คาำ วา่ ธรรมนอ้ี ยทู่ ไ่ี หนละ่ ? อยกู่ ลางกายมนษุ ย์ สะดอื ทะลุ หลงั ขวาทะลุซ้าย ดา้ ยกลมุ่ สองเส้นขงึ ให้ตึงตรงกลางเส้นด้ายท่ี พาดกนั นั้นเรียกว่า กลางกกั นั่นคอื ถกู กลางดวงธรรมทำาใหเ้ ป็น กายมนษุ ย์ ดวงธรรมทที่ าำ ใหเ้ ปน็ กายมนษุ ยใ์ สเทา่ ฟองไขแ่ ดงของ ไก่ ดวงนั้นแหละเรียกวา่ ธรรม ธรรมดวงนั้นดับไป กายมนษุ ยก์ ็ ดบั ธรรมดวงน้ันผ่องใสสะอาดสะอา้ น กายมนษุ ย์ก็รุ่งโรจนโ์ ชต นาการ ธรรมดวงนั้นซูบซีด เศร้าหมอง กายมนุษย์ก็ไม่ผ่องใส ซอมซ่อ ไม่สวยไม่งาม น่าเกลียดน่าชังไป เพราะธรรมดวงนั้น สาำ คญั นกั ธรรมดวงนัน้ แหละเป็นชีวิตของมนษุ ย์ คอื ความเปน็ อยู่ของมนุษย์ ความเห็น ความจำา ความคิด ความรู้ อยู่กลาง ดวงนน้ั ออกจากกลางธรรมดวงนัน้ เป็นชีวิต ธรรมสาำ คญั ทเี ดียว นั่นแหละธรรมดวงนั้นแหละ อยู่กลางกายของเราเหมือนกัน ทกุ ๆ คนไป (รธ. 87) ลักษณะของดวงธรรมท่ีทำาให้เป็นกายมนุษย์ดังท่ีพระมงคลเทพมุนี กล่าวไว้นี้ มีลักษณะคล้ายกันกับ “นำ้าพระธรรม”97 ท่ีกล่าวถึงในคัมภีร์ของ 97 ในทรรศนะของโยควจร ไฟรกั ษาชวี ติ จะถูกหอ่ หุม้ ด้วยลม เรียกวา่ “ลมห่อไฟ” ซ่ึงถกู รองรับด้วยนา้ำ อกี ชนั้ หนงึ่ และชนั้ อากาศภายนอกสดุ นา้ำ ทร่ี องรบั ไฟรกั ษาชวี ติ นไี้ วเ้ รยี กวา่ “นาำ้ พระธรรม” หรอื “นา้ำ ดวงจติ ” ทาำ หนา้ ทีใ่ นการรักษาขนั ธ์ 5 ของมนษุ ย์ใหด้ ำาเนนิ ไปตามปกติ เมอ่ื นา้ำ พระธรรมแตก มนษุ ย์ ก็ตาย และเหลือแต่ “ลมห่อไฟ” ที่เทยี บได้กับ “ดวงวญิ ญาณ” ไปแสวงหาทเ่ี กดิ ใหม่ 438 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org โยคาวจร วา่ เปน็ สง่ิ ทที่ าำ หนา้ ทรี่ กั ษากายมนษุ ยใ์ หด้ าำ รงอยไู่ ด้ และเปน็ ตวั บงั คบั มนษุ ยใ์ ห้คิด พดู และมกี ารกระทาำ สว่ นในพระไตรปฎิ กบาลี แสดงไว้ว่า การ ตายของมนุษย์เกิดข้ึนเมื่ออายุ ไออุ่น และวิญญาณ ละจากกายนี้ไป (ม.มู. 12/502/540) อาจกล่าวได้ว่าวิชชาธรรมกายกับโยคาวจรมีความสอดคล้องกันใน ประเดน็ ทว่ี า่ มสี งิ่ หนงึ่ ทที่ าำ หนา้ ทที่ รงรกั ษากายมนษุ ยใ์ หด้ าำ รงอยไู่ ด้ และมคี วาม สำาคัญต่อความเป็นไปของกายมนุษย์น้ีในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ วิชชาธรรมกาย เรียกสง่ิ นีว้ ่า “ดวงธรรม” โยคาวจรเรียกวา่ “นำ้าพระธรรม” สว่ นพระไตรปิฎก บาลเี รยี กว่าอยา่ งไรยงั ไมช่ ัดเจนนัก ในทางโยคาวจร เวลาท่ีน้ำาพระธรรมแตกคือเวลาที่กายมนุษย์แตกดับ ก่อนจะถึงเวลานั้น คัมภีร์แนะนำาว่าให้มนุษย์รู้จักหาพี่พ่ึงซ่ึงมีช่ือเรียกหลาย อยา่ ง ไดแ้ ก่ “แสงสวา่ งภายใน” “ไฟภายในสกี่ อง” หรอื “ศลี ภายใน” เปน็ ตน้ คาำ เหลา่ นเ้ี ปน็ ชอ่ื ของอรยิ ผลทงั้ สภี่ ายในตวั ทโี่ ยคาวจรนยิ มเปรยี บเทยี บวา่ เปน็ ดวงแกว้ สด่ี วงในดอกหรอื ผลมะเดอื่ อนั เปน็ เปาหมายทท่ี กุ ชวี ติ ตอ้ งแสวงหา (ดู 4.3.1.1) 4.3.1.4. ขนาดของแสงสว่างภายใน หรือดวงสว่าง กับโลกุตร ธรรม98 การปฏบิ ตั ิสมาธิภาวนาท่ีประสบความสำาเร็จอาจรับรู้ (recogni e) ได้ ด้วยความสว่างภายใน ในทางโยคาวจร ผลการปฏิบัติในข้ันโลกุตระหรือขั้น 98 ศกึ ษารายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ไดจ้ ากงานวจิ ยั “สมาธภิ าวนาในคมั ภรี อ์ กั ษรธรรม” (กจิ ชยั เออื้ เกษม 2557) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 439
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ปรมัตถ์จะปรากฏเป็นความสว่างขนาดต่างๆ กัน กล่าวคือความสว่างขนาด ห่งิ ห้อยเปน็ ช้นั โสดาบัน ความสว่างขนาดดวงดาวจะเปน็ ชนั้ สกทาคามี ความ สว่างขนาดดวงจันทร์เป็นชั้นอนาคามี และความสว่างขนาดดวงอาทิตย์จะ เปน็ ชน้ั อรหนั ต์ คมั ภรี โ์ ยคาวจรทกุ คมั ภรี ร์ ะบขุ นาดความสวา่ งตามลาำ ดบั ความ สาำ เรจ็ ในการปฏบิ ตั สิ มาธภิ าวนาไมแ่ ตกตา่ งกนั ดงั ตวั อยา่ งทชี่ ดั เจนจากคมั ภรี ์ พุทธนรกนั ดา้ นลา่ ง ไฟกองหนึ่งเท่าหิ่งห้อย เม่ือจักตายให้รีบถือเอาได้ ครั้น ว่าถือเอาแลว้ บไ่ ดไ้ ปตกนรกแล แมน้ วา่ กระทำาบาปเท่าใดๆ ก็บ่ ได้ไปตกนรกเลย อันน้ีช่ือว่าโสดา ยังจักเวียนไปมาในชั้นฟาแล ช้ันอินทร์ได้เจ็ดชาติจึงจักได้ถึงนิรพานแล กองหน่ึงแลเห็นเท่า ดาวรุ่งในฟา ไฟกองหน่ึงประเสริฐดีนัก เมื่อตนจักตายให้รบี ถือ เอาไว้ เอาไวใ้ หไ้ ดไ้ ปเกดิ เป็นพรหม แลว้ จึงลงมาเกิดเป็นอินทร์ ยังสามชาติจึงจักได้ถึงนิรพาน อันน้ีช่ือว่าสกทาคาแล เพราะ ว่าได้ไฟส่องในอารมณ์นั้นแล ไฟกองหน่ึงแลเห็นเท่าพระจันทร์ เม่ือวันเพ็ญ ไฟกองหน่ึงยังตัวนั้นได้เห็นถึงชั้นพรหมและช้ันดิน แลรุ่งเรืองโชตการงาม เม่ือจักตายให้รีบถือเอาให้ได้ก็ค่อยเรือง ข้ึนไปสู่นิรพาน อันน้ีช่ือว่าอนาคาแล... ไฟกองหนึ่งแลเห็นดัง พระอาทิตย์ ดูรงุ่ เรืองงามยิง่ กว่าไฟทั้งหลาย ครัน้ เมื่อตนเราจกั ตายให้ถือเอาได้ ได้ถงึ พระนิรพานเทียวพลันนักแล (พทุ ธนรกนั 7.1-8.1) ในวชิ ชาธรรมกาย มีการกลา่ วถงึ ขนาดท่แี ตกตา่ งกนั ของดวงสวา่ งหรอื 440 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ดวงธรรมซึ่งมีความสัมพันธ์กันกับระดับของโลกุตรธรรมท่ีเข้าถึงในทำานอง เดียวกัน ... เห็นกายธรรม รูปพระปฏิมากรเกตุดอกบัวตูม ใส เหมอื นกระจกคันฉอ่ งสอ่ งเงาหนา้ งามนัก อย่างน้อยๆ หนา้ ตัก ไม่ถึง วา แต่ว่านี่ธรรมกายหยาบ ดวงธรรมท่ีทำาให้เป็น ธรรมกายหยาบ วัดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่าหน้าตักธรรมกาย ใจ ธรรมกายไปหยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำาให้เป็นธรรมกาย หยาบนั่นแหละ ... พอถกู ส่วนเข้าแลว้ จะเขา้ ถึงธรรมกายพระ โสดา หน้าตัก วา สูง วา เกตุดอกบัวตูม หยดุ อยู่กลางดวง ธรรมท่ีทำาให้เป็นธรรมกายพระโสดา ... พอถูกส่วนเข้า จะเข้า ถึงธรรมกายพระสกทาคา หนา้ ตัก วา สงู วา ดวงธรรม ทท่ี ำาใหเ้ ปน็ ธรรมกายพระสกทาคา วดั เส้นผา่ ศนู ย์กลาง ... พอถกู ส่วนเขา้ แล้ว จะเข้าถึงธรรมกายพระอนาคา หนา้ ตกั วาสงู วา และดวงธรรมวดั เสน้ ผ่าศนู ยก์ ลาง วา กลม รอบตวั ... ธรรมกายพระอรหัต หน้าตกั วา สูง วา เกตุ ดอกบวั ตมู ดวงธรรมท่ีทำาใหเ้ ป็นธรรมกายพระอรหตั วัดเส้นผ่า ศนู ยก์ ลาง วา กลมรอบตวั ... (รธ. 506-8) นป้ี รากฏเปน็ พระอรหตั แลว้ อยา่ งน้ี สวา่ งเปน็ พระอาทติ ย์ กลางวันเร่ือยไม่มีคำ่าเลย เมื่อยังไม่ถึงพระอรหัตละก็ยังมีค่ำายัง มีสว่างอยู่ ถา้ ถงึ พระอรหัตละกไ็ มม่ ีค่าำ เลยทีเดียว มีสว่างตลอด เพราะดวงธรรมเตม็ ทแ่ี ลว้ ดวงธรรมทท่ี าำ ใหเ้ ปน็ พระอรหตั นน่ั วดั บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 441
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ผา่ เสน้ ศูนยก์ ลาง วา กลมรอบตัว ดวงนนั้ ย่ิงกว่าดวงจันทร์ ดวงอาทติ ยไ์ ปอกี ดวงจนั ทรก์ ด็ ี ดวงอาทติ ยก์ ด็ ี สอ่ งใหส้ วา่ งในท่ี ทสี่ อ่ งได้ ทลี่ กึ ลบั ลงไปใตแ้ ผน่ ดนิ สอ่ งไมไ่ ด้ ถาำ้ คหู าสอ่ งไมถ่ งึ ดวง ธรรมของพระอรหตั นน้ั ใตแ้ ผ่นดินกส็ ว่างหมด เหนือดวงจนั ทร์ ดวงอาทติ ยก์ ็สวา่ งหมด เหน็ สว่างตลอดหมด ในถา้ำ ในเหว ใน ปลอ่ ง ในไส้พุง ตบั ไต เห็นตลอดหมด ปรากฏอย่างน้ี ท่านจึงได้ เทียบด้วย สโู รว โอภาสยมนฺตลกิ ฺขนตฺ ิ เหมอื นดวงอาทติ ย์อทุ ยั ขนึ้ มา แลว้ กาำ จัดมืดทาำ อากาศให้สว่าง (รธ. 301) ในพระไตรปิฎกบาลีก็กล่าวถึงแสงสว่างท่ีเกิดข้ึนในขั้นตอนการตรัสรู้ อริยสัจของพระพุทธองค์ด้วยเช่นกัน (สำ.นิ. 16/251/332) ส่วนอรรถกถา ธรรมสงั คณเี ปรยี บแสงสวา่ งของมรรคเบอื้ งลา่ งทง้ั สามกบั ดวงประทปี และการ เกิดข้นึ ของอรหัตมรรคกบั การอทุ ัยขนึ้ แหง่ พระอาทิตย์99 จึงกล่าวได้ว่า ทั้งวิชชาธรรมกายและโยคาวจรมีความสอดคล้องกันใน การกล่าวถึงขนาดที่แตกต่างกันของความสว่างหรือดวงธรรมโดยสัมพันธ์กับ ระดบั ชน้ั ของโลกตุ รธรรมทเ่ี ขา้ ถงึ และมคี วามสอดคลอ้ งกนั กบั ความเขา้ ใจของ ชาวพทุ ธเถรวาทแตโ่ บราณอนั มีพระไตรปิฎกบาลีเปน็ ตัวแทน 99 ทีโปภาโส วิย โสตาปตตฺ ิมคฺคภาโส ฯ (DhS 242), ทโี ปภาโส วิย สกทาคามิมคโฺ คภาโส ฯ (DhS 242), ทโี ปภาโส วยิ อนาคามมิ คโฺ คภาโส ฯ (DhS 242), สรู ยิ คุ คฺ มนำ วยิ อรหตตฺ มคคฺ ปุ ปฺ าโทฯ (DhS 242) 442 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org 4.3.1.5. ศีลภายใน โลกุตรธรรม กบั การไปส่สู คุ ติ100 ดังกล่าวไว้ข้างต้นว่า ในโยคาวจรมีศัพท์เปรียบเทียบโลกุตรธรรม 4 ระดบั กบั “ไฟ 4 กอง” ซงึ่ หมายถึงความสว่างภายใน (ดู 4.3.1.4) ไฟในร่าง เหลา่ นี้ ยังมีศพั ทเ์ รยี กอกี อย่างหน่งึ วา่ ศีลภายใน หรอื ศลี ทงั้ สี่ ดงั ที่ปรากฏใน คัมภรี ์อักษรธรรมดงั นี้ ครั้นว่าผู้ใดรู้จักไฟในร่างตัวเราน้ีแล้ว ก็รู้จักหนทาง เมอื 101เมอื งสวรรคแ์ ละนริ พาน เหน็ บญุ และบาปทงั้ หลายแล พระ อรหนั ตเจา้ ทง้ั หลายไดถ้ งึ พระนพิ พานกย็ อ่ มเอาไฟนเี้ ขา้ สนู่ ริ พาน แล ไฟสกี่ องนค้ี อื วา่ ศลี ทงั้ ส่ี ศลี สป่ี ระการนพ้ี าเอาเราเขาสนู่ ริ พาน และพาไปให้เกิดเป็นท้าวพระยา ก็เดชบุญและศีลหากพาเรา ไปให้เกิดเมืองสวรรค์เป็นอินทร์เป็นพรหมเป็นเทพดาทั้งหลาย ดว้ ยเดชบญุ หากพาเราไปเข้าสพู่ ระนิพพาน กห็ ากแม้นบุญท้ังสี่ ประการนัน้ หากพาเอาไปแล (พุทธนรกัน 8.1-3) ในคมั ภรี ใ์ บลานเขมร กม็ ขี อ้ ความกลา่ วถงึ ศลี ทง้ั สท่ี หี่ มายถงึ โลกตุ รธรรม และเป็นความสวา่ งในทาำ นองเดยี วกนั 102 ศีลโสดา มีแสงสว่างเหมือนแก้วมณีรัตน์ เป็นฉัพพรรณ รงั สี (แผร่ อบทศิ )ทง้ั 10 ทกุ สี ... ศีลสกทาคามิผล มีแสงสว่าง 100 ศึกษารายละเอียดเพ่ิมเติมได้จากงานวิจัย “สมาธิภาวนาในคัมภีร์อักษรธรรม” (กิจชัย เอ้ือเกษม 2557) 101 เมอื : ก. ไป, กลบั 102 ข้อมูลจากงานวิจัย “สมาธิภาวนาในคัมภรี ์ใบลานเขมร” (พระปอเหมา่ ธมมฺ โิ ต 2557) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 443
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ เหมือนแก้วไพฑรู ย์ เป็นฉัพพรรณรังสี (แผ่รอบทศิ ) ท้งั 10 ทุก สี... ศีลอนาคามิผล มีแสงสว่างเหมือนแก้วปทุมรัตน์ เป็นฉัพ พรรณรังสี (แผ่รอบทิศ) ทั้ง 10 ทุกสี... ศีลอรหัตผล มีแสง สว่างเหมือนแก้วมณีรัตน์ เป็นฉัพพรรณรังสี (แผ่รอบทิศ) ทง้ั 10 ทุกสี... (มลู พ. 5/1-6/1) โลกตุ รธรรมทมี่ ชี อื่ เรยี กวา่ “ไฟ” “ศลี ” หรอื “บญุ ” เหลา่ น้ี มอี านภุ าพ ในการนำาพาผทู้ ี่ “ถอื เอาได”้ หรอื “รจู้ กั ” ซง่ึ หมายถงึ ผทู้ เ่ี ขา้ ถงึ ไฟเหลา่ นน้ั ให้ พ้นนรก ไปส่สู ุคตแิ ละนิพพานได้ วชิ ชาธรรมกายกลา่ วถงึ “ธรรม” ในระดบั โลกตุ ระในทาำ นองเดยี วกนั วา่ เปน็ เหตุนาำ ไปสู่สคุ ตแิ ละนิพพาน ผู้เขา้ ถงึ ธรรมยอ่ มไม่ไปนรก ดังนี้ ธมโฺ ม สจุ ณิ โฺ ณ สขุ มาวหาติ ธรรมอนั บคุ คลสงั่ สมดแี ลว้ นาำ ความสขุ มาให้ ผปู้ ระพฤตบิ รสิ ทุ ธกิ์ ายวาจาและบรสิ ทุ ธใิ์ จ บรสิ ทุ ธิ์ เจตนา จนกระทง่ั ใจผอ่ งใส น่งั กเ็ ปน็ สุข นอนก็เปน็ สุข ยนื เที่ยว เปน็ สขุ ทง้ั นน้ั ไมม่ ที กุ ขอ์ ันหนึง่ อนั ใดมาแผ้วพาน เพราะเหตวุ ่า ในเรื่องทุจริตไม่มี มแี ต่สุจรติ ฝ่ายเดยี ว นีแ่ คน่ ีข้ ั้นหน่ึง เพราะวา่ ธรรมยอ่ มรักษาผ้ปู ระพฤตธิ รรม สูงขึ้นไปกว่านี้ผู้ท่ีได้บรรลุเป็นโคตรภูบุคคล มีธรรมกาย ใจก็อยู่ศูนย์กลางดวงธรรมท่ีทำาให้เป็นกายธรรม อย่างน้ีสูงข้ึน ไปธรรมก็ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมไว้ เป็นโคตรภู เป็นโสดา ท้ังหยาบท้ังละเอียด เป็นสกทาคาทั้งหยาบท้ังละเอียด เป็น อนาคาทง้ั หยาบทง้ั ละเอยี ด เปน็ อรหตั ทงั้ หยาบทง้ั ละเอยี ด พวก 444 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org น้หี มดทกุ ข์ มีสุขฝา่ ยเดียว ทุกข์มนี อ้ ยนัก ไปถงึ พระอรหตั หมด ทุกข์ ไมม่ ที ุกขเ์ ลย มีสขุ ฝ่ายเดียว เรยี กวา่ เอกนฺต เปน็ บรมสขุ ฝ่ายเดียว เขา้ วิราคธาตวุ ิราคธรรม ทเี ดยี ว อยา่ งนแ้ี หละ ได้ชอ่ื วา่ ธรรมยอ่ มรักษาผปู้ ระพฤตธิ รรม (รธ. 643) ในพระไตรปิฎกบาลี มขี อ้ ความทีก่ ลา่ วถงึ ความเป็นโสดาบนั ในทาำ นอง เดยี วกันว่า ผเู้ ปน็ โสดาบันบคุ คลขึ้นไปยอ่ มไม่ตกนรก และมีนพิ พานเปน็ เบื้อง หนา้ ดังตัวอย่างขอ้ ความต่อไปนี้ คหบดี เมื่อใด ภยั เวร 5 ประการของอริยสาวกสงบระงับ แลว้ เมื่อน้นั อริยสาวกยอ่ มประกอบด้วยธรรมเป็นองค์แห่งการ ถึงกระแส (โสตาปตฺติยงฺค) 4 ประการ และญายธรรมอย่าง ประเสริฐ อริยสาวกเหน็ ดีแล้ว แทงตลอดดว้ ยปญั ญา อริยสาวก น้ันหวังอยู่พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า เราเป็นผู้มีนรกส้ิน แล้ว มีกำาเนิดสัตว์ดิรัจฉานส้ินแล้ว มีปิตติวิสัยสิ้นแล้ว มีอบาย ทุคติ วินบิ าตสนิ้ แลว้ เราเปน็ โสดาบันมีอันไมต่ กตำ่าเป็นธรรมดา เป็นผเู้ ท่ียงจะตรสั รู้ในภายหนา้ ฯ (สำ.นิ. 16/151/82) จึงกล่าวได้ว่า คำาสอนของโยคาวจรและคำาสอนในวิชชาธรรมกายใน ประเดน็ ทเี่ กย่ี วกบั โลกตุ รธรรม หรอื ไฟภายใน ศลี ภายใน แสงสวา่ งภายใน หรอื ธรรมภายในทน่ี าำ ไปสสู่ คุ ตนิ ั้น สอดคล้องกนั และเปน็ ความเข้าใจดงั้ เดมิ ดังทีม่ ี บันทึกไวใ้ นพระไตรปิฎกบาลี บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 445
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ 4.3.1.6. พระญาณกสิณ ตนพรหม หรอื “ตวั ธรรมภายใน”103 ในคมั ภรี บ์ วั ระพนั ธะและพระญาณกสณิ มขี อ้ ความทบี่ ง่ บอกถงึ บางสง่ิ ท่ี มลี กั ษณะคลา้ ย “ตวั ธรรมภายใน” กลา่ วคอื ในคมั ภรี บ์ วั ระพนั ธะ ตอนทกี่ ลา่ ว ถงึ ข้นั ตอนกอ่ นจะเขา้ สโู่ ลกตุ รธรรม มีขอ้ ความดังนี้ ให้นึกแลเห็นตนพรหมเป็นดังแสงดาวน้ัน นึกให้สว่าง ลงถงึ สะดือจึงว่า นโม ตสฺส ทหี นึ่ง ชื่อวา่ โสดามรรคแล (บวั ร. 2.38.4) ข้อความน้ีบง่ บอกวา่ “ตนพรหม” เปน็ เคร่ืองมอื (instrument) หรอื อย่างน้อยเปน็ ทางผ่านไปสู่โลกตุ รธรรม ซง่ึ เปน็ ความหมายท่คี ล้ายคลงึ กันกับ กายธรรมโคตรภหู รือกายภายในในวชิ ชาธรรมกาย ส่วนคัมภีร์พระญาณกสิณ มีข้อความระบุถึง “ตัวธรรมภายใน” ของ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ว่าจะหม่นหมองหากเกิดความโกรธในใจของ พระพทุ ธองคห์ รอื พระอรหนั ตท์ ง้ั หลาย (ญาณก. 44.4-45.1) ขอ้ ความน้ี มคี วาม คลา้ ยคลงึ กนั กบั ทพ่ี ระมงคลเทพมนุ กี ลา่ วถงึ ดวงธรรมทท่ี าำ ใหเ้ ปน็ กายมนษุ ยว์ า่ ดวงธรรมท่ีทำาให้เป็นกายมนุษย์ใสเท่าฟองไข่แดงของ ไก่ ดวงน้ันแหละเรียกว่าธรรม ธรรมดวงน้ันดับไป กายมนุษย์ ก็ดับ ธรรมดวงนั้นผ่องใสสะอาดสะอ้าน กายมนุษย์ก็รุ่งโรจน์ 103 ศึกษารายละเอียดเพ่ิมเติมได้จากงานวิจัย “สมาธิภาวนาในคัมภีร์อักษรธรรม” (กิจชัย เอ้ือเกษม 2557) 446 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org โชตนาการ ธรรมดวงนนั้ ซบู ซดี เศรา้ หมอง กายมนษุ ยก์ ไ็ มผ่ อ่ งใส ซอมซ่อ ไม่สวยไม่งาม น่าเกลียดน่าชังไป เพราะธรรมดวงนั้น สำาคญั นกั ธรรมดวงนั้นแหละเป็นชวี ิตของมนุษย์ คอื ความเป็น อยู่ของมนุษย์ ความเห็น ความจำา ความคิด ความรู้ อยู่กลาง ดวงนั้น ออกจากกลางธรรมดวงนั้นเป็นชีวิต ธรรมสาำ คญั ทีเดียว น่ันแหละธรรมดวงนั้นแหละ อยู่กลางกายของเราเหมือนกัน ทุก ๆ คนไป (รธ. 87) แม้ข้อความที่ระบุไว้ในคัมภีร์พระญาณกสิณเก่ียวกับความโกรธของ พระพุทธองค์และของพระอรหันต์จะนับว่าเป็นหลักการท่ีแตกต่างจากวิชชา ธรรมกายก็ตาม หากการกล่าวถึงตัวธรรมภายในที่ส่ือถึง “ธรรมภายในที่อยู่ ในกายภายนอก” นั้น สอดคลอ้ งกนั กบั การกล่าวถงึ ดวงธรรมทที่ าำ ให้เป็นกาย มนษุ ย์ หรือดวงธรรมท่ที ำาใหเ้ ปน็ กายตา่ งๆ ในหลกั การของวิชชาธรรมกาย ดงั ทย่ี กตัวอย่างไว้ขา้ งต้น อน่ึง ความหมายของพระญาณกสิณย่ิงชัดแจ้งขึ้นในระดับโลกุตระ คมั ภรี บ์ ัวระพันธะกล่าวถงึ “พระญาณกสณิ ” ในลักษณะทบ่ี ง่ บอกลักษณะว่า เปน็ ดวงสวา่ งทมี่ คี วามเกย่ี วขอ้ งกบั โลกตุ รธรรม และการไปสนู่ พิ พานของมนษุ ย์ การอันน้คี อื วา่ ดาวเดอื นพระอาทติ ย์ ใหห้ ลับตาแลเห็น ดูเมื่อนั่งเม่ือนอนน้ัน ได้ชื่อว่าคิดถึงพระพุทธเจ้าแล เจ้าก็ให้ พระญาณกสิณน้ันลงมารับเอายังบุคคลผู้หลับตาแลเห็นพระ ญาณกสิณอันส่องแจ้งดังแสงพระอาทิตย์ในทางมรรคสี่น้ันแล (บวั ร. 2.17.1) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 447
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ สว่ นในคมั ภรี พ์ ระญาณกสณิ กพ็ บขอ้ ความทแี่ สดงความหมายของ “พระ ญาณกสณิ ” ว่า ให้อยู่ในศีลนั้นท้ังส่ีทีนั้นเป็นหนทางมรรคส่ีผลสี่ ช่ือว่า พระญาณกสิณแล พระพุทธเจ้าอยู่ในนิพพานส่องแจ้งผลญาณ ลงมาแต่นิพพาน บุคคลผู้ใดแลได้รักษาศีลให้เป็นดังผู้ชายหญิง อนั มรี ูปอนั งามนัน้ แล (ญาณก. 53.2) ข้อความที่ยกมาจากคัมภีร์พระญาณกสิณทำาให้ทราบว่า ศัพท์ “พระ ญาณกสิณ” เป็นชอ่ื โดยรวมของ “ศีลทง้ั สี่” (ดู 4.3.1.5) ซึ่งโยคาวจรหมายถึง “โลกตุ รธรรม 4 ระดบั ” อันไดแ้ ก่ โสดาบนั สกทาคามี อนาคามี และอรหันต์ นน่ั เอง ส่วนข้อความท่ปี รากฏในคมั ภีร์บัวระพนั ธะ บง่ บอกว่า พระญาณกสณิ หรอื โลกตุ รธรรมทงั้ สท่ี ก่ี ลา่ วถงึ นนั้ มลี กั ษณะเปน็ แสงสวา่ ง หรอื ดวงสวา่ ง และ มีหน้าที่ในการ “รับเอามนุษย์ผู้หลับตาแลเห็นพระญาณกสิณอันส่องแจ้งดัง แสงพระอาทิตย์” น้นั ไปส่นู ิพพาน โดยหลกั การนี้ คาำ สอนเก่ยี วกับโลกุตรธรรม ไฟภายใน และพระญาณ กสิณของโยคาวจร จึงเป็นคำาสอนที่สอดคล้องกันกับวิชชาธรรมกาย และ ลักษณะของพระญาณกสิณก็พ้องกันกับลักษณะของ “ดวงธรรม” ในวิชชา ธรรมกายด้วย ซ่ึงในระดับโลกุตรธรรมอาจเทียบได้กับดวงธรรมท่ีทำาให้เป็น กายธรรมในระดบั อรยิ มรรคหรอื อรยิ ผล แตม่ ขี อ้ แตกตา่ งตรงทโี่ ยคาวจรกลา่ ว ถึงความโกรธว่ายังมีในพระอรหันต์หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งไม่มีในหลัก การของวิชชาธรรมกาย 448 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org 4.3.1.7. ดวงศีล104 นอกจาก “ศลี ภายใน” อันหมายถึงโลกุตรธรรมแล้ว โยคาวจรยงั กล่าว ถึง “ศีล” ในอีกความหมายหน่ึง ที่เรียกว่า “ดวงศีล” มีข้อความปรากฏใน คัมภีร์มูลพระกัมมัฏฐาน ภาษาเขมร กล่าวถึงดวงศีลซึ่งมีลักษณะเป็นดวง กลมและมีรศั มีทแ่ี ตกต่างกันในแตล่ ะช้ันของการปฏบิ ัตสิ มาธภิ าวนา เช่น ใน ชั้นปตี ิ 5 กล่าวว่า 1. เมอ่ื พระขทุ ทกาปตี บิ งั เกดิ ขนึ้ ภายในกาย ผปู้ ฏบิ ตั ริ สู้ กึ ขนลกุ กายเยน็ ชมุ่ ชน่ื จากนน้ั เหน็ ดวงศลี ปาณา (ศลี ขอ้ 1) มแี สง รัศมีสีขาว เม่ือใจนิ่งเป็นอัปปนาสัมมาธิแล้ว (ศีลขันติซ้อนกัน กับศีลปาณา) ดวงศีลน้ัน ก็มีรัศมีเป็นวงกลมเหมือนพระจันทร์ วันเพ็ญ 2. เมอ่ื พระขณกิ าปตี ิบงั เกดิ ขนึ้ ภายในกาย ผู้ปฏบิ ัตริ สู้ กึ ขนลุก กายสั่น จากนั้นเหน็ ดวงศีลอทนิ นาทาน (ศลี ขอ้ 2) มรี ัศมี สมี ว่ งวงกลมเหมอื นดาวพระศกุ ร์ แผร่ ศั มอี อกไปทกุ สารทศิ เมอ่ื พระอัปปนาสมาธเิ อาศลี สจั จังมาซ้อนกบั ศลี อทินนาทานแลว้ ก็ มแี สงรศั มสี แี ดง เปน็ ดวงวงกลมเหมอื นดงั เชน่ แสงฉพั พรรณรงั สี แผร่ อบทศิ 3. เมือ่ พระโอกกันตกิ าปีติบงั เกดิ ขน้ึ ภายในกาย ผปู้ ฏบิ ตั ิ 104 นาำ มาจากงานวิจัย “สมาธิภาวนาในคมั ภีรใ์ บลานเขมร” (พระปอเหม่า ธมมฺ โิ ต 2557) บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 449
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ร้สู กึ ขนลกุ กายชุ่มชน่ื จากน้นั เหน็ ดวงศลี กาเม (ศลี ข้อ 3) มีรัศมี สีเหลอื ง สีเขียว เหมือนสายรงุ้ ทง้ั 7 สี ออกเปน็ แสงฉัพพรรณ รังสแี ผ่รอบทิศ 4. เม่ือพระอุเภงคาปีติ105บังเกิดข้ึนภายในกาย ผู้ปฏิบัติ รูส้ กึ สงบนิง่ กายเบาลอย จากน้ันเห็นดวงศีลมุสา (ศลี ขอ้ ท่ี 4) มรี ศั มสี เี หลือง เหมือนมหาฤกษ์ทั้ง 7 ดวง 5. เมอื่ พระผรณาปตี บิ งั เกดิ ขนึ้ ภายอยใู่ นกาย ผปู้ ฏบิ ตั ริ สู้ กึ กายเบาใจน่มุ นวล จากน้นั เห็นดวงศีลสุรา (ศลี ขอ้ ท่ี 5) เป็นแสง สวา่ งสเี ขยี ว วงกลมเหมอื นดวงพระอาทิตยท์ ้งั 7 ดวง ดวงศลี ทเ่ี จา้ วปิ สั สนาเหน็ นน้ั ถกู สมมตชิ อื่ เรยี กไปตามชอื่ แหง่ ศลี 5 ขอ้ สว่ นดวงศลี ทป่ี รากฏในชน้ั พระยคุ ล 6 นน้ั ถกู เรยี ก ตามชอื่ ของศลี 8 และศีล 10 ตอ่ จากดวงศลี ในช้ันปีติ 5 ดังน้ี 1. เม่ือพระกายปัสสธิ จิตตปัสสธิ106บังเกิดข้ึนในภายใน กาย ผปู้ ฏบิ ัติรสู้ ึกกายเย็น ชุ่มช่ืน จากนน้ั เห็นดวงศลี วิกาล (ศลี ข้อ 6) มีแสงสวา่ งเปน็ วงสีเขยี วออกจากรา่ งกาย 2. เม่ือกายลหุตา จิตตลหุตา บังเกิดข้ึนภายในกาย ผู้ ปฏบิ ตั ริ สู้ กึ กายเบา ใจนมุ่ นวล จากนนั้ เหน็ ดวงศลี นจจฺ คี (ศลี ขอ้ ที7่ ) มรี ศั มสี ีแดงเหมือนพระอาทิตยใ์ นเวลารุ่งอรณุ 105 อพุ เพงคาปตี ิ 106 กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ 450 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org 3. เมื่อกายมทุ ุตา จติ ตมทุ ุตา เกดิ ขน้ึ ภายในกาย ผูป้ ฏบิ ตั ิ รู้สึก กายใจเบิกบาน จากน้ันเห็นดวงศีลมาลา (ศีลข้อที่ 8) มี รศั มเี ปน็ แสงสเี หลืองแสด แผร่ ศั มอี อกรอบทิศ 4. เม่ือกายกัมมัญญตา บังเกิดขึ้นภายในกาย ผู้ปฏิบัติ รสู้ ึกขนลกุ โปร่งโลง่ เบาสบาย สบายกาย สบายใจ จากน้นั เห็น ดวงศีลอุจจฺ า (ศีลข้อท่ี 9 ศลี สามเณร) มีแสงสีเขยี วเป็นวงขยาย แผ่รัศมีออกรอบทิศ 5. เมอื่ พระกายปาตุ ตตฺ า จติ ปาตุ ตา บงั เกดิ ขน้ึ ภายใน กาย ผปู้ ฏบิ ตั ริ สู้ กึ สบาย ตวั เบาขยายใจเบาขยาย จากนน้ั เหน็ ดวง ศลี ชาตรปู (ศลี ขอ้ ที่ 10) มแี สงสวา่ งเหมอื นดาวพระศกุ ร์ แผร่ ศั มี ออกไปรอบทศิ จากข้อความในคัมภีร์ที่ยกมาแสดงข้างบน เป็นตัวอย่างท่ีช้ีให้เห็นถึง การมีตัวตนของดวงศีลท่ีเจ้าวิปัสสนา(ผู้ปฏิบัติ)ได้ไปรู้ไปเห็นแล้วก็สมมติช่ือ เรียกดวงนัน้ ไปตามหมวดแหง่ ศลี หรือหมวดแห่งธรรม การตง้ั ชื่อให้ดวงศีลนัน้ มิใชม่ ีเพยี งแค่ช่อื ที่ปรากฏในศีล 5 ศีล 8 ศลี 10 แตย่ ังมีศลี 227 ขอ้ และศีล ข้ออนื่ ๆ อีกเปน็ จาำ นวนมาก ในวชิ ชาธรรมกาย ดวงศลี เปน็ ดวงทส่ี องรองมาจากดวงธมั มานปุ สั สนา สติปฏั ฐาน ซงึ่ พระมงคลเทพมุนกี ลา่ วไว้วา่ หยุดอยู่กลางดวงธรรมที่ทำาให้เป็น กายมนุษย์ พอหยุด ถูกส่วนก็เห็นดวงใส ดวงใสน้ันแหละเรียกว่า เอกายนมรรค บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 451
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ หรือเรียกว่าปฐมมรรค หรือเรียกว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เท่าดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ใจก็หยุด น่ิงอยู่กลางดวงน้ัน พอ หยุดน่ิงถูกส่วนเข้าเท่าน้ัน หยุดในหยุด หยุดในหยุด หยุดใน หยุด พอถูกส่วนเข้าเท่านั้น หยุดในหยุด กลางของหยุด หยุด ในหยุด กลางของหยุดเรื่อยเข้า เห็นดวงอีกดวงหน่ึงเท่าๆ กนั อยกู่ ลางดวงธมั มานุปัสสนาสติปัฏฐานเรียกว่า ดวงศีล หยดุ อยู่กลางดวงศีลนั่น พอถูกส่วนเข้า เห็นอีกดวงหนึ่งเท่าๆ กัน เรียกว่า ดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธินั่น พอถูกส่วนเข้า เห็นอกี ดวงหน่งึ เรยี กว่า ดวงปญั ญา ดวงเท่าๆ กัน หยดุ อยูก่ ลาง ดวงปญั ญานนั่ พอถกู สว่ นเขา้ เหน็ อกี ดวงหนง่ึ เรยี กวา่ ดวงวมิ ตุ ติ ใส ละเอยี ด หนกั ลงไป หยดุ อยกู่ ลางดวงวมิ ตุ ตนิ น่ั พอถกู สว่ นเขา้ เหน็ อีกดวงหนง่ึ เรยี กว่า ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ (รธ. 910-1) จากขอ้ ความทแ่ี สดงเปรยี บเทยี บกนั ไวข้ า้ งตน้ เหน็ ไดว้ า่ ดวงศลี ทก่ี ลา่ ว ถงึ ในคมั ภรี ใ์ บลานมลู พระกมั มฎั ฐานนัน้ มีความคล้ายคลึงกนั กับท่กี ลา่ วไวใ้ น วชิ ชาธรรมกายในแงข่ องการเปน็ ดวงกลมทมี่ รี ศั มสี วา่ งไสว แตม่ คี วามแตกตา่ ง กนั ในประเดน็ ทดี่ วงศลี ในคมั ภรี ใ์ บลานเขมรเรยี กชอ่ื ตามศลี แตล่ ะขอ้ และแตก ตา่ งกนั ในขนั้ ตอนของการเขา้ ถงึ ซง่ึ เปน็ เครอื่ งบง่ ชว้ี า่ แทจ้ รงิ แลว้ “ดวงศลี ” ที่ กลา่ วไว้ในคมั ภีรเ์ ขมรกับ “ดวงศลี ” ในวิชชาธรรมกายน่าจะไมใ่ ชส่ ่ิงเดยี วกนั อย่างไรก็ดี การกล่าวถึงศีลในฐานะท่ีเป็นดวงใสที่มองเห็นได้จากการปฏิบัติ ธรรมก็นับเป็นความสอดคล้องกันโดยหลักการเบื้องต้น แม้จะแตกต่างกันใน รายละเอียด 452 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org 4. .2. มนษุ ย์ กบั การปฏิบตั สิ มาธภิ าวนา นอกจากการกลา่ วถงึ ดวงสวา่ ง ดวงแกว้ และดวงศลี เปน็ ตน้ แลว้ คมั ภรี ์ ของโยคาวจร ยงั กล่าวถึงประเด็นอน่ื ๆ ซ่งึ มคี วามคลา้ ยคลงึ กนั กบั ทพี่ ระมงคล เทพมุนีกล่าวไว้ หนึ่งในนั้นคอื ชอ่ งทางการมาเกดิ ของกายมนษุ ย์ 4.3.2.1. การมาเกดิ ของกายมนุษย์107 คัมภีร์โยคาวจรกล่าวถึงการไปเกิดและมาเกิดของกายมนุษย์ว่า เม่ือ มนษุ ยแ์ ตกกายไมเ่ หลอื รปู แล้วจะเหลือแต่ “ลมห่อไฟ” และจิต ที่พรอ้ มท่ีจะ ไปสภู่ พใหมโ่ ดยการชกั นาำ ของผลท่ีตนได้กระทาำ ไว้ กล่าวคอื จิตท่ที จุ ริตกจ็ ะไป เกิดใน “ทโี่ สโครก” วนเวยี นเชน่ นไ้ี มร่ จู้ บ สำาหรบั ชอ่ งทางเขา้ สรู่ ่างมารดาเพอื่ ถือกำาเนิดน้ัน ผูห้ ญิงจะเข้าทางรูจมกู ซ้ายและอย่ใู นครรภ์มารดาเบื้องซ้าย ใน ขณะท่ีผชู้ ายจะเขา้ ทางรูจมูกขวาและอยู่ในครรภเ์ บอื้ งขวาของมารดา ดงั นี้ รปู รา่ งเรานเี้ ปน็ ดงั่ เรอื น ตวั เรานเี้ ปน็ ดงั เจา้ เรอื นไดพ้ ง่ึ แก่ กนั ไปมาดงั อน้ั จกั ไดไ้ ปในนา้ำ ในบกแล เหตวุ า่ รปู นน้ั มแี ล ครน้ั หา รปู บไ่ ด้ มแี ตล่ มหอ่ ไฟกบั ทง้ั ดวงจติ นาำ หนทางไปเกดิ แตท่ ใ่ี ดกจ็ กั ไดไ้ ปทางน้ันแล (พระญาณกสณิ 57.1) เม่อื เรามาเกดิ น้นั ผวิ า่ ผ้หู ญงิ เขา้ รจู มูกแมเ่ บือ้ งซา้ ย อยู่ใน ท้องแม่กเ็ บ้ืองซ้ายแล ผิว่าผชู้ ายเขา้ ก็รูจมกู แม่เบอ้ื งขวา และอยู่ ในทอ้ งแมก่ เ็ บ้ืองขวาแล... (บัวระพนั ธะ 1.48.4 ) 107 ศกึ ษารายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ไดจ้ ากงานวจิ ยั “สมาธภิ าวนาในคมั ภรี อ์ กั ษรธรรม” (กจิ ชยั เออ้ื เกษม 2557) บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 453
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ อันวา่ รปู กายปจั จบุ นั นี้ ตอนเข้ามาอาศัยในครรภ์มารดา หากเป็นชาย ธาตธุ รรมจัดให้เขา้ ไปตามรจู มูกดา้ นขวา หากเปน็ หญิง เม่ือมาถือปฏิสันธิจึงนำาเข้ามาทางรูจมูกซ้ายน้ันคือเป็น ไปตามโดยหลักแห่งธาตุธรรม อันพระธรรมแสดงไว้แล้ว (นโม กายา 8.3)108 การกลา่ วถงึ ชอ่ งทางมาเกดิ ของกายมนษุ ย์นัน้ มคี วามคล้ายคลึงกนั กับ ทีพ่ ระมงคลเทพมุนแี สดงไว้ ดงั นี้ จะกลา่ วถงึ ธรรมทงั้ หลายต่อไป คอื เป็น ดวงใส มนุษย์ได้ มาด้วยความบริสุทธิ์กาย บริสทุ ธิ์วาจา บริสุทธใิ์ จ ไม่มรี ่องพริ ธุ เลย พอแตกกายทำาลายขันธ์จากมนุษย์ ก็ติดดวงธรรมอันน้ัน สำาหรับให้เกิดเป็นมนุษย์ ได้ดวงธรรมดวงหนึ่งสำาหรับเกิดเป็น มนษุ ย์ ใสบริสุทธ์เิ ท่าฟองไข่แดงของไก่ นีเ่ ปน็ กายมนุษย์มีธรรม ดวงเท่านี้ (รธ. 531) เวลาที่จะส่งมาเป็นกายน้ัน อาศัยกายทิพย์ท่ีมาถึง ศูนย์กลางภพนั้นเข้าเคร่ืองประกอบพร้อมกับธาตุที่สำาเร็จเป็น ขนั ธป์ ระจาำ ภพแลว้ กจ็ ะสง่ เขา้ ยงั เครอื่ งทศ่ี นู ยก์ ลางกายพอ่ ธาตุ สาำ เรจ็ ทสี่ ง่ เขา้ ไปในศนู ยก์ ลางกายของพอ่ นน้ั ขนาดเลก็ เพยี งเทา่ เมลด็ โพธเ์ิ มลด็ ไทรเทา่ นน้ั เปน็ ชายกส็ ง่ ผา่ นเขา้ โดยทางจมกู ขวา 108 นำามาจากงานวจิ ัย “สมาธิภาวนาในคัมภรี ์ใบลานเขมร” (พระปอเหม่า ธมมฺ โิ ต 2557) 454 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org หญิงเข้าทางซ้าย เวลาท่ีจะออกจากศูนย์กลางกายพ่อไปอยู่ใน ศูนย์กลางกายแม่ ก็อาศัยความดึงดูดของอายตนะของเคร่ืองท่ี มีอยู่ในศูนย์กลางกายแม่ รับเอามาจากศูนย์ของพ่อมาไว้ที่ขั้ว มดลูกของแม่ ต่อจากนั้นก็อาศัยธาตุส่วนหยาบรักษาหล่อเล้ียง กนั ตอ่ ไป (รธ. 36) ในขอ้ ความทแ่ี สดงไวข้ า้ งตน้ จะเหน็ วา่ ทงั้ โยคาวจรและวชิ ชาธรรมกาย กลา่ วไวค้ ล้ายกนั ในสองประเดน็ ประเดน็ แรกคอื เมื่อแตกกายทาำ ลายขันธแ์ ลว้ สัตวโ์ ลกยอ่ มไปตามเส้นทางท่ตี นเองเป็นผ้ลู ขิ ติ กลา่ วคอื ไปตามกรรมท่ตี นเอง กระทำาไว้ ส่วนประเด็นที่สองเป็นเรื่องของช่องทางการมาเกิดของกายมนุษย์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายกล่าวไว้คล้ายกันว่า หากเป็นชายเข้าทางช่องจมูกขวา ถ้าเป็น หญิงเข้าทางช่องจมูกซ้าย แต่มีความแตกต่างกันคือ คัมภีร์โยคาวจรกล่าวถึง การเข้าทางช่องจมูกของมารดา แต่วิชชาธรรมกายกล่าวถึงการเข้าทางช่อง จมกู ของบดิ า อนง่ึ โยคาวจรยงั กลา่ วเพมิ่ เตมิ ดว้ ยวา่ เมอื่ เขา้ สคู่ รรภม์ ารดาแลว้ หากเปน็ หญงิ จะอยใู่ นครรภเ์ บอ้ื งซา้ ย หากเปน็ ชายจะอยใู่ นครรภเ์ บอ้ื งขวา ซง่ึ ประเดน็ นี้ไมม่ ีกลา่ วไว้ในวชิ ชาธรรมกาย อาจกล่าวได้ว่า คำาสอนของโยคาวจรและวิชชาธรรมกายในกรณีน้ี มี ความสอดคล้องกันโดยหลกั การ แต่แตกตา่ งกนั ในรายละเอยี ด บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 455
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ 4.3.2.2. ทางไปของพระพทุ ธเจา้ -วธิ ีส่คู วามหลดุ พน้ 109 ทางไปสู่ความหลุดพ้นจากวัฏฏะเป็นหนทางดำาเนินของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ท้ังปวง ในวิชชาธรรมกายการดำาเนินไปในเส้นทางดังกล่าว เริ่มที่การเอาใจไปหยุดไว้ท่ีศูนย์กลางกาย ซ่ึงนับว่าเป็นทางแห่งการเข้าถึง พระรตั นตรัย ผู้ทจี่ ะเขา้ ถึงพระรตั นตรยั ต้องเอาใจของตนไปจรดอยทู่ ี่ ศูนย์กลางกายของตนน้ัน แล้วทำาใจให้หยุด หยุดในหยุด หนัก เข้าไปทกุ ทไี มใ่ หค้ ลายออก ทำาไปจนใจไม่คลายออก ใจนน้ั หยดุ ในหยุดหนักเข้าไปทุกที น้ีเป็นทางไปของพระพุทธเจ้า พระ อรหนั ต์ ไมใ่ ช่ทางไปของปถุ ชุ น ทางไปของปุถชุ นไม่หยดุ ออก นอกจากหยุด นอกจากทางไป ของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ อยู่เสมอ จึงได้เจอะเจอพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ยากนัก ขอผู้ จงรักภักดีต่อตนของตนท่ีแท้แล้ว จงตั้งใจแน่แน่วให้ถูกทางไป ของพระพทุ ธเจา้ พระอรหนั ตเ์ ถดิ ประเสรฐิ นกั พระพทุ ธเจา้ พระ อรหนั ตใ์ นอดตี อนาคต ปัจจุบนั ไปทางเดยี วเหมือนกันทงั้ หมด (รธ. 72) ทางโยคาวจรกล่าวในทำานองเดียวกันว่าการปฏิบัติสมาธิภาวนาเป็น หนทางเดยี วเทา่ นัน้ ท่จี ะนาำ ไปสพู่ ระธรรม ซ่งึ เปน็ กุญแจไขประตูเมอื งนิพพาน และหนทางนเี้ ปน็ หนทางของพระพทุ ธเจา้ และพระอรหนั ตท์ ง้ั ในอดตี ปจั จบุ นั และอนาคต โยคาวจรอธิบายว่าการทำาสมาธิได้แก่การ “เอาจิตผูกไว้ในดวง 109 นำามาจากงานวิจัย “สมาธภิ าวนาในคัมภรี ์อกั ษรธรรม” (กิจชยั เอื้อเกษม 2557) 456 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org แกว้ ” ดวงแกว้ ในทน่ี ค้ี อื “ดวงแกว้ ทข่ี า้ มา” หรอื ดวงแกว้ ตน้ กาำ เนดิ นน้ั เอง สง่ิ ที่ มอี านสิ งสย์ ง่ิ กวา่ การทาำ สมาธคิ อื การไดน้ วโลกตุ ตรธรรมหรอื พระธรรมซง่ึ หมาย ถงึ การไดเ้ ขา้ ไปในประตเู มอื งนพิ พาน และยงิ่ กวา่ การไดโ้ ลกตุ รธรรมคอื ปรมตั ถ์ หมายถงึ การได้พบพระพทุ ธเจ้าผู้ทรงสถติ ในเมืองนิพพานนน้ั ทางพระสมาธิเจ้านี้แวนประเสริฐ110นักแล แม้นว่าพุทธ เจ้าพระปัจเจกโพธิเจ้าและอรหันตเจ้าท้ังหลายอันพ้นจากทุกข์ ท้ังมวลนั้น ก็เทียรย่อมถือเอาในทางพระสมาธิเจ้านี้ ก็จึงได้ถึง นิรพานแล อันว่าทางพระสมาธิเจ้านั้นคือว่า ให้เอาจิตผูกไว้ ในดวงแก้วให้ม่ัน อย่าให้จิตฟง111สว้าน112ไปแห่งใดๆ เลย อัน น้ีช่ือว่าทางสมาธิแล เหตุว่าผูกจิตใจในดวงแก้วให้ส่องรุ่งเรือง เข้าไปสู่พระนิรพานน้ันแล สมฺมาทิ นฺจ สหสฺสาโก113 แต่ นึกคิดเอาทางสมาธินั้นได้แล้วพันโกฏิคาบก็บ่เท่าทางพระนว โลกุตตรธรรมเจ้าแล อันว่าทางพระนวโลกุตตระนั้นคือว่า ได้ แลเห็นดวงแก้วรุ่งเรืองงามชัดสว่าง เอาส่องเข้าไปในประตู ทั้งเก้าแห่งน้ันแล หลับตาแลเห็นมืนตา114 ก็แลเห็นทั้งภายใน และภายนอก อันนี้ชื่อว่า ทางพระนวโลกุตตรธรรมเจ้าแล สหสฺสานวโลกุตฺตร มหาคตํ แต่ถือเอาในทางพระนวโลกุตตร ธรรมได้เก้าพันคาบ ก็บ่เท่าอันได้ถือเอาในทางพระปรมัตถ์ 110 แวนประเสริฐ: ว. ประเสรฐิ ย่งิ 111 ง้ (ฟ่ง): ก. กระเดน็ , ปลิว, ตลบ 112 สวา้ น: ก.(ลม) ตขี ึ้นขางบน 113 บาลถี า่ ยถอดตามที่ปรากฏในคัมภีรใ์ บลาน 114 มนื ตา: ก. ลมื ตา บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 457
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ คาบนึงแล ในทางพระปรมัตถเจ้าเป็นท่ีหมดที่แล้ว ด้วยประตู เมืองแก้วชื่อว่านิรพานได้เห็นองค์พุทธเจ้าแล จึงหวังจักได้ถึงนิ รพานแลพุทธะ ไดแ้ กพ่ ระพทุ ธเจ้าน้ันแล อันน้ชี อ่ื วา่ ปรมตั ถ์จรงิ แล (พทุ ธน. 14.4) นอกจากจะเนน้ วา่ สมาธภิ าวนาเปน็ ทางปฏบิ ตั เิ พยี งหนทางเดยี วทจี่ ะนาำ ใหห้ ลดุ พน้ จากวฏั ฏะแลว้ โยคาวจรยงั กลา่ วเพมิ่ เตมิ อกี วา่ สงฆผ์ ไู้ มป่ ระสบผลใน ทางภาวนาถงึ ขนั้ รจู้ กั นโิ รธหรอื การระงบั (e tinct) จากสงิ่ กระทบภายนอกจะ ไม่สามารถพ้นจากนรกไดเ้ ลย ดว้ ยเหตุผลทยี่ ังมิได้ฆา่ บาปธรรมในตวั ได้สาำ เร็จ ซงึ่ คมั ภรี พ์ ระญาณกสณิ ไดแ้ สดงคาำ เปรยี บเทยี บวา่ การปฏบิ ตั สิ มาธภิ าวนาเพอื่ การหลดุ พน้ เปน็ สง่ิ ทตี่ อ้ งกระทาำ ดว้ ยตนเอง จะใหผ้ อู้ น่ื กระทาำ แทนไมไ่ ด้ เปรยี บ เหมอื นคนไข้ใหผ้ อู้ ่นื กินยาแทนตนยอ่ มไม่อาจหายจากความปว่ ยไขไ้ ดเ้ ลย ชื่อว่า คันถธุระ นั้นรู้แต่อันจักไปเทศนาน้ันได้ทุกนิยาย แล ในพระจตุอริยสัจจ์ทั้งสี่น้ัน คือว่าทุกขสัจจ์นั้นมีสี่ประการ สมุทยสัจจ์เมือ่ จักภาวนาบ่รู้จกั หนทางเข้านิโรธนัน้ แล ครั้นวา่ บ่ รจู้ กั พระจตอุ รยิ สจั จน์ นั้ ไดช้ อ่ื วา่ สงฆร์ เู้ ทศนานนั้ ไดท้ นุ ยิ าย115เอา พระธรรมไปขายกนิ จกั ไดน้ าำ เอาตวั ไปตกนรกเสยี้ งแทช้ ะแล เหตุ นน้ั พระพทุ ธเจา้ วา่ “อสงฆ”์ แล เหตทุ ัง้ หลายยังมบี าปธรรมท้งั สิบสี่ตัวน้ัน ยังมีอยู่ในตัวบ่ได้ฆ่าให้ตายเสี้ยงนั้นแล จึงให้รู้ฉิบรู้ หายรตู้ ายรเู้ กดิ บจ่ กั เสย้ี งจกั สดุ ไดน้ น้ั แล แมน้ วา่ จกั สวดมนตไ์ หว้ พระพุทธเจ้าภาวนาอนั ใดกด็ ี คร้นั วา่ บ่ไดฆ้ ่าบาปธรรมสิบสี่ตวั น้ี 115 ควรเปน็ ทกุ นยิ าย 458 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org เท่อื ดงั อัน้ กย็ ังไกลแตน่ ิพพานอยูแ่ ล (ญาณก. 48.4) อันใดเจ็บเป็นพยาธิบ่ได้กินอย่าพ้อยว่าให้คนอ่ืนกินยา ต่างๆ กระทำาผิดรีตคลองประเพณีดังอั้น จึงจักเวียนตายเวียน เกิดไปในนรกบร่ จู้ กั เสย้ี งจักสดุ ได้แล (ญาณก. 56.1) พระมงคลเทพมุนกี ล่าวไวค้ ลา้ ยกันวา่ การปฏิบตั ิให้เขา้ ถึงไดเ้ ท่านัน้ จึง จะใหผ้ ลในทางปฏเิ วธ และแทจ้ รงิ แลว้ การปฏบิ ตั ไิ ดช้ อ่ื วา่ เปน็ หลกั ของศาสนา พทุ ธ จะนับถือศาสนาไปนานเทา่ ไรกไ็ ม่ไดป้ ระโยชน์หากไมไ่ ด้ปฏบิ ตั ิ จะปฏบิ ัติไปอยา่ งไรกว็ ่าไปเถอะ ปรยิ ตั ิ เมื่อเขา้ ถึงปฏบิ ตั ิ แล้วก็เข้าถึงปฏิเวธ เป็นลำาดับไป เข้าถึงโสดา โสดาละเอียด สกทาคา สกทาคาละเอยี ด อนาคา อนาคาละเอยี ด อรหตั อรหตั ละเอยี ด เป็นลำาดับไป ไม่เคล่อื นละ ไมเ่ คล่ือนหลัก เอาหลกั มา ปรบั ดเู ถอะ ... นีเ่ รื่องน้สี ำาคญั เพราะเหตุนน้ั การปฏบิ ตั ศิ าสนา หรือนับถือศาสนา ถ้าว่าศึกษาไม่ได้หลักพระพุทธศาสนาแล้ว จะนับถือไปสัก 50 ปี ก็เอาเร่ืองไม่ได้ ถ้าได้หลักแล้วจึงจะเอา เรื่องได้ (รธ. 173) ทั้งวิชชาธรรมกายและโยคาวจรจึงมีหลักการสำาคัญท่ีชัดเจนร่วมกันใน วธิ ปี ฏบิ ตั ิ (methodology) สคู่ วามหลดุ พน้ วา่ ตอ้ งปฏบิ ตั สิ มาธภิ าวนาเทา่ นนั้ วิธีอืน่ นอกเหนือจากนไี้ มม่ ี บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 459
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ 4.3.2.3. ภาวะสงบนง่ิ ในครรภ์มารดากบั ผูเ้ จรญิ ภาวนา116 คัมภีร์โยคาวจรนิยมยกสภาวะการหายใจของเด็กในครรภ์มารดามา เป็นอุทาหรณ์สำาหรับผู้ปฏิบัติธรรม โดยกล่าวว่าเด็กมีความทุกข์เมื่ออยู่ใน ครรภ์ และมีเพียงกระแสลมหายใจที่จำากัดไว้จากสะดือถึงคอเท่านั้น กระแส ลมหายใจชนดิ น้โี ยคาวจรเรียกว่า “ปสั สาวาต”117 ไมม่ กี ระแสลมพ้นออกจาก จมูก แต่ในกรณีของบรมโพธิสัตว์ผู้จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทารก จะอยใู่ นครรภม์ ารดาอยา่ งมคี วามสขุ นง่ั ขดั สมาธพิ รอ้ มกบั ภาวนา “นสิ สวาต”118 คอื การไม่มกี ระแสลมหายใจ ให้โยคาวจรจารย์เจ้าทั้งหลายรำาพึงดู เมื่ออยู่ในท้องแม่ ใหค้ ดิ ถงึ ความตายวา่ เมอ่ื กจู กั ตายจกั หายใจแตด่ งั 119ลมถงึ สะดอื และหายใจออกจากจมกู บม่ ิได้แลว้ แล ถือเอายงั ส1ู้ 20อย่าแปรตัว ไปมาแล ให้รักษา ครพฺภวกี ในใจ สวาตมรรคสี่นิสสวาตผละ น้นั แล (บวั ร. 2.37.4) เมอ่ื เราท้งั หลายอย่ใู นท้องแม่ หายใจอยแู่ ตใ่ นทอ้ งขน้ึ ลง แต่สะดือข้ึนมาถึงดัง ออกนอกดังน้ันหาบ่ได้แล (ญาณก. ฉบับ วดั ขว่ งสงิ ห์ 6.1) กุมเอาพระอภิธรรมาสุญาณสุขุมาลแต่คอถึงกระหม่อม เท่อื นิง่ กมุ ไว้ให้มนั่ ชอื่ ว่าถงึ อรหนั ต์ เขา้ นโิ รธไดห้ บั ประตูสวรรค์ 116 นำามาจากงานวจิ ยั “สมาธิภาวนาในคัมภีรอ์ กั ษรธรรม” (กิจชยั เอ้ือเกษม 2557) 117 ปสั สาสวาต: ป สาส วาต ลมภายใน 118 นสิ สาสวาต: นิ สาส วาต ไม่มีกระแสลม 119 ดัง: น. จมูก 120 ส:ู้ ก. ยนิ ด.ี พอใจ, รบั ได้ 460 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org เสียในตาแล้ว ได้เผยประตูนิพพานในกระหม่อม บ่ได้หายใจ เข้าออกได้สะอื้นอยู่ เป็นดังเราอยู่ในท้องแม่น้ันช่ือว่าอรหันต์ (ญาณก. 7.3) ตัวเรานี้เมื่ออยู่ในท้องแม่มารดาทนทุกข์ยากลำาบากย่ิง หนักหนา เมื่ออยู่น้ันน่ังโยงโย่เอามือเท้าคางบ่มิหนา121ต่อสัน หลงั แม่ ภาวนาปัสสาวาต อยแู่ ล... อันวา่ เชอ้ื หน่อพทุ ธางกูรเจา้ ท้ังหลายอันจกั ไดต้ รัสร้เู ปน็ พระน้ันแล แมม่ ารดานนั้ กป็ ล้ินหนา้ ออกตามหนา้ แมม่ าแลว้ และนง่ั อยพู่ บั แพนงเชงิ ภาวนานสิ สวาต อยสู่ ุขสบายดุจดงั อยใู่ นขง122ทองนั้นแล (บัวร. 2.32.3) ในวชิ ชาธรรมกาย บางครงั้ พระมงคลเทพมนุ กี น็ าำ เอาสภาวะของเดก็ ใน ครรภม์ าเปน็ อุทาหรณ์ในการปฏบิ ัติธรรมเชน่ กัน โดยกล่าวถึงภาวะสงบนิ่งใน ระหว่างการปฏิบัติสมาธิภาวนาว่าเป็นสภาวะที่เด็กในครรภ์มารดาทำาได้หรือ กระทำาอยู่ และเป็นภาวะที่เทวดา รปู พรหม อรูปพรหมก็ทำาได้ กายวาจาใจทลี่ ะเอียดจรดลงทศ่ี ูนย์กลางของธรรมนัน้ ก็ หยุดพร้อมท้ังกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร นับว่าหยุดเป็น จุดเดียวกัน ได้ชื่อว่าสังขารสงบ การสงบสังขารชนิดนี้ เด็กใน ท้องมารดาก็สงบ จึงอยู่ในที่แคบเป็นอยู่ได้ เทวดาใน 6 ชั้น ทาำ ได้ รูปพรหม และอรูปพรหมทาำ ได้ เดก็ ในทอ้ งก็นบั ว่าสงั ขาร สงบ เทวดากน็ บั วา่ สงั ขารสงบได้ รปู พรหม และอรปู พรหมกน็ บั 121 หนาใจ: ก. สนใจ, ใฝใ่ จ มกั ใชใ้ นรูปปฏิเสธเปน็ บ่หนา หรอื บ่หนาใจ 122 ขง: น. กรุง, เมอื ง, อาณาเขต บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 461
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ว่าสงั ขารสงบได้ การสงบสงั ขารเสยี เปน็ สขุ กายสงั ขารสงบ คือลมหายใจหยุด วจีสังขารสงบ คือความตรึกตรองหยุด จิต สังขารสงบคือใจหยุด อยู่ที่ศูนย์กลางของดวงธรรมที่ทำาให้เป็น กายมนุษย์ (รธ. 69) การทจี่ ะเข้าถึงพระรัตนตรัย ทถ่ี กู แทน้ ั้น ต้องเอาใจของ ตนจรดลงท่ศี ูนย์กลางของธรรมท่ที าำ ให้เปน็ กายมนุษย์ เป็นดวง ใสบริสุทธ์ิเท่าๆ ฟองไข่แดงของไก่ ต้ังอยู่ศูนย์กลางของกาย มนุษย์ มีเหมือนกันหมดทุกคน จำาเดิมแต่อยู่ในท้องมารดา ใจ ของกุมารกุมารีจรดจ้ีหยุดนิ่งอยู่ตรงศูนย์กลางของดวงธรรมนั้น ทุกคน ตรงศูนย์กลางของดวงธรรมมีว่างอยู่ประมาณเท่าเมล็ด โพธิ์หรือเมล็ดไทร ใจของกุมารหรือกุมารีก็จรดอยู่ศูนย์กลาง นัน้ (รธ. 72) การนาำ สภาวะของเดก็ ในครรภม์ าเปน็ อทุ าหรณน์ นั้ เขา้ ใจวา่ เพอื่ ใหผ้ เู้ รมิ่ ปฏบิ ตั มิ คี วามเขา้ ใจและยอมรบั ไดก้ บั สภาวะทต่ี อ้ งนง่ิ ในการเจรญิ ภาวนา ดงั ที่ ทา่ นยนื ยนั วา่ การเขา้ ถงึ พระรตั นตรยั จาำ เปน็ ตอ้ งจรดใจลงทศี่ นู ยก์ ลางดวงธรรม ทใ่ี ห้เกดิ เป็นมนุษย์ ซง่ึ เปน็ สง่ิ ทท่ี กุ คนเคยทำาไดม้ าแลว้ เม่ืออยู่ในครรภม์ ารดา 462 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org 4.3.2.4. การพบพระพุทธเจา้ กบั การเข้าถึงไตรสรณคมน1์ 23 หน่ึงในจุดมุ่งหมายแห่งการปฏิบัติสมาธิภาวนาคือการพบเห็น พระพุทธเจ้า คัมภีร์โยคาวจรกล่าวว่าการได้ถึงเมืองนิพพาน แล้วได้พบพระ พุทธเจา้ เปน็ การตดั ขาดจากวัฏฏะ ไมม่ ีการเวียนว่ายตายการเกิดอกี ตอ่ ไป ซ่ึง เป็น “ปรมตั ถ์”หรือที่สุดของการปฏิบตั ิ (พทุ ธน. 16.1) ในทางพระปรมัตถเจ้าเป็นที่หมดท่ีแล้ว ด้วยประตู เมืองแก้วชื่อว่านิรพาน ได้เห็นองค์พุทธเจ้าแล จึงหวังจักได้ถึง นริ พานแลพทุ ธะ ไดแ้ กพ่ ระพทุ ธเจา้ นน้ั แล อนั นช้ี อ่ื วา่ ปรมตั ถจ์ รงิ แล (พุทธน. 15.4) ใหศ้ ลี สอ่ งรงุ่ เรอื งแจง้ ชวาลดงั กลา่ วมานน้ั เถดิ มรี ศั มรี งุ่ เรอื งอยกู่ ใ็ หค้ อ่ ย บินขึ้นไปรอด ปตฺตพิคุร124เป็นท่ีบริสุทธ์ิเสียสิ้นแล้วบริบูรณ์แล้วดังน้ัน จักนับ ชาตเิ กดิ แลว้ ตายกห็ าบไ่ ดแ้ ล กจ็ กั ไดถ้ งึ อรหนั ตเจา้ ไปเอาปฏสิ นธไิ ดเ้ กดิ ในดวง แก้วแล้วก็ได้ถึงพระนิรพาน เป็นท่ีสำาราญอยู่เย็นเป็นสุขพ้นจากทุกข์เวทนา ท้งั ปวงแล้วแล (พุทธน. 16.4) ส่วนในวิชชาธรรมกาย พระมงคลเทพมุนีกล่าวว่า การเห็นธรรมกาย นน่ั เองคือการเห็นพระพทุ ธเจ้า และในบางคร้งั ก็กลา่ วถงึ การเหน็ “ดวงธรรม ท่ีทำาให้เป็นธรรมกาย” ในลกั ษณะเดยี วกนั และผูท้ ไี่ ดท้ ั้งธรรมกายหยาบและ ละเอยี ดเป็นผู้ทตี่ งั้ อยู่ในไตรสรณคมน์ คอื เป็นผู้เข้าถึงพุทธรตั นะ ธรรมรัตนะ และสงั ฆรัตนะ (รธ. 386) 123 นำามาจากงานวจิ ัย “สมาธิภาวนาในคัมภรี อ์ กั ษรธรรม” (กิจชยั เออ้ื เกษม 2557) และ “สมาธภิ าวนา ในคมั ภรี ใ์ บลานเขมร” (พระปอเหม่า ธมมฺ ิโต 2557) 124 ปตตฺ พิคุร: ควรเป็น ปตฺตพฺพคณุ หมายถึง คุณท่ีพงึ บรรลุ บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 463
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ใจกายอรูปพรหมละเอียดหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรม ท่ีทำาให้เป็นกายอรูปพรหมละเอียด ถูกส่วนเข้าเห็นกายธรรม หนา้ ตกั หย่อนกวา่ 5 วา สูง 5 วา นัน้ เรยี กว่ากายธรรม กาย ธรรมนั่นเองเป็นพระพุทธเจ้า ธมฺมกาโย อหำ อิติปิ เราตถาคต คือธรรมกาย นน่ั แหละพระพทุ ธเจ้าละ (รธ. 715) ใจต้องน่ิงอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมท่ีทำาให้เป็นธรรมกายที เดียว คำ่ามืดดึกด่ืนเท่ียงคืนไม่ลุก ลืมตาก็แจ่มอยู่กับธรรมกาย น่ัน เมื่อนอนหลับเข้าก็แล้วไป เข้าที่ไปจนกระทั่งหลับอยู่กับ ธรรมกาย ตื่นขึน้ ก็ตดิ อยกู่ บั ดวงธรรม ทีท่ าำ ให้เป็นธรรมกายน้ัน แจ่มจ้าอยู่เสมอ น่ีแหละเจอแล้วซ่ึงพระตถาคตเจ้า นั่นตัวพระ ตถาคตเจา้ ทีเดียว (รธ. 285) เขา้ ถึงซงึ่ พทุ ธรตั นะ ธรรมรัตนะ สงั ฆรัตนะ มธี รรมกาย แล้ว มีธรรมกายทั้งหยาบทั้งละเอียดได้ชื่อว่าต้ังอยู่ในพระไตร สรณคมน์ (รธ. 867) จากข้อความข้างบนน้ี การทำาใจหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางดวงธรรมท่ีให้ เป็นกายมนุษย์จึงเป็นท้ังวิธีที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัย (รธ. 72) และวิธีท่ีจะ พบพระตถาคตเจ้าดว้ ย (รธ. 285) คมั ภรี ใ์ บลานเขมร กลา่ วถงึ การเขา้ ถงึ พระรตั นตรยั ทซ่ี อ้ นกนั อยภู่ ายใน ตวั ในลักษณะท่ีคลา้ ยกัน ทา่ นอาจารยใ์ หต้ งั้ บรกิ รรมใหเ้ กดิ องคพ์ ระท่ี “กลางหลกั ” (ท่านถามว่า) นง่ั บริกรรมภาวนาแล้วเห็นอะไร ? (ตอบวา่ ) นง่ั 464 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org บริกรรมแล้วเห็นพระพุทธองค์ทรงมาโปรด ทรงบังเกิดขึ้นท่ี ศูนย์กลางกัก กลางกาย (ท่านถามอีกว่า) เห็นอะไรในตัวของ องค์พระ ? (ตอบว่า) เห็นองค์พระทรงพระจีวร มีพระสังฆาฏิ บนบา่ ทรงมีรศั มี 6 ประการ (ท่านถามวา่ ) เห็นองคพ์ ระใหญ่ ขนาดไหน ? (ตอบว่า) เห็นองค์พระทรงใหญ่ขนาดเท่านิ้วโปง (ท่านถามว่า) ภายในองค์พระ เห็นอะไรบ้าง ? (ตอบว่า) เห็น มีองค์พระธรรมเจ้าอยู่ข้างในองค์พระ เห็นดวงพระสงฆ์เจ้าอยู่ รวมในนั้นด้วย (ท่านถามว่า) เหน็ ท้ัง 3 พระองค์ อยูพ่ ร้อมกัน หรอื อยา่ งไร ? (ตอบวา่ ) เหน็ ทั้ง 3 พระองค์ อยูร่ วมพรอ้ มกนั ที่ เดียว (ปรยิ าย. 42.1-42.11) ในวชิ ชาธรรมกาย พระมงคลเทพมุนกี ล่าวไว้วา่ รตั นะทงั้ สามคือ พุทธ รัตนะ ธรรมรตั นะ สงั ฆรัตนะ เป็นสง่ิ ทเี่ นอ่ื งกัน แยกจากกันไม่ได้ พระรตั นะทั้ง 3 คือ พุทธรตั นะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เป็นเนมติ กนามเกดิ ขึ้น พุทโฺ ธ ธมโฺ ม สงโฺ ฆ วา่ น่ีแหละเป็นที่พงึ่ ของเราจริงแท้แน่นอน โดยไมผ่ ิดเพ้ียนยกั เยอื้ งแปรผัน ท่านจงึ ได้ตราตาำ รับตาำ ราเปน็ เนตแิ บบแผนไว้วา่ นานา โหนฺตมปฺ ิ วตถฺ ุ โต ถา้ วา่ โดยวตั ถแุ ลว้ แยกเปน็ พทุ ธรตั นะ ธรรมรตั นะ สงั ฆรตั นะ เอกีภูตมฺปนตฺถโต ถ้าว่าโดยอรรถประสงค์แล้ว เป็นอันหน่ึงอัน เดยี วกนั แยกจากกนั ไมไ่ ด้ อฺ มฺ าวโิ ยคาว พทุ ธรตั นะ ธรรม รตั นะ สงั ฆรัตนะ เปน็ ของเนื่องซ่งึ กนั และกนั แยกแตกจากกนั ไม่ได้ เม่ือรู้จักดังนี้แล้ว นี่แหละเป็นตัวพระพุทธศาสนาท่ีเรียก บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 465
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ว่า “พุทธรัตนะ ธรรมรตั นะ สงั ฆรัตนะ อย่ใู นตัวของเรา มีทุก คนด้วยกนั ” (รธ. 96) ธรรมกาย มสี ใี สเหมอื นแกว้ จรงิ ๆ จึงไดช้ ่ือวา่ พุทธรัตนะ ธรรมท้งั หลาย ที่กลั่นออกจากหวั ใจ ธรรมกาย จึงได้ชอ่ื ว่า ธรรมรัตนะ ธรรมรตั นะคือหวั ใจ ธรรมกายนนั้ เอง ดวงจติ ของธรรมกายนน้ั ไดช้ อื่ วา่ สงั ฆรตั นะ นแ่ี หละทว่ี า่ พทุ ธ รัตนะ ธรรมรตั นะ สังฆรัตนะท้งั 3 ประการนี้เกี่ยวเนือ่ งเป็นอันเดียวน้นั เกีย่ ว กนั อย่างน้ี จะพรากจากกนั ไม่ได้ ผ้ใู ดเขา้ ถงึ พทุ ธรัตนะ ก็ไดช้ ่ือว่า เข้าถงึ ธรรม รตั นะ สังฆรตั นะด้วย (รธ. 51) ในกรณที ย่ี งั ปฏบิ ตั ไิ มถ่ งึ ขน้ั โลกตุ ระและนพิ พาน สง่ิ ทไ่ี ดจ้ ากการพบพระ พทุ ธเจา้ หรอื ไดธ้ รรมกาย ซงึ่ กค็ อื การไดเ้ ขา้ ถงึ พระพทุ ธรตั นะ พระธรรมรตั นะ พระสังฆรตั นะในเบอื้ งต้นแลว้ นั้น ยงั มอี านสิ งสม์ ากมาย เปน็ ตน้ ว่า เวลาเจบ็ ก็ ไม่เดอื ดร้อนไปตามกาย เวลาตายกไ็ มเ่ ปน็ ทุกขแ์ ตก่ ลับสบาย สามารถช่วยให้ ญาตพิ น้ นรก ชว่ ยใหร้ อดพน้ จากอนั ตรายตา่ งๆ นอกจากนพี้ ระพทุ ธเจา้ ยงั สอ่ ง พระญาณ “ทา่ นกช็ ว่ ยเหลอื เผอื่ แผ่ คอยแกไ้ ข บาำ บดั ความทกุ ข์ บาำ รงุ ความสขุ ใหย้ ิ่งๆ ขึ้นไป” อีกดว้ ย ในพุทธรัตนะมีคณุ อเนก เวลาเจ็บก็ไม่อาดูรเดือดรอ้ นไป ตามกาย เวลาจะตายก็น่ังยิ้มสบายอกสบายใจ เห็นแล้วว่าละ จากกายน้ี มันจะไปอยู่โน้น เห็นที่อยู่ มีความปรารถนา น่ีคุณ ของพทุ ธรตั นะ พรรณนาไมไ่ หว น้ีเรียกวา่ คณุ พระพุทธเจา้ คอื ธรรมกาย (รธ. 464) 466 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org ถ้าวา่ มธี รรมกาย ง่ายเตม็ ที ทาำ บญุ เท่าไรไดห้ มด เพราะ เหตุว่า ธรรมกายนาำ ไปบอกว่าใหอ้ นุโมทนา ก็ได้สำาเร็จสมความ ปรารถนา แม้จะไปตกนรก ธรรมกายนาำ ส่วนกศุ ลทีญ่ าตอิ ุทิศสง่ ไปให้ ไปถึงนรก กไ็ ดร้ บั สว่ นกศุ ลสมมาดปรารถนา พ้นจากนรก ทีเดยี ว (รธ. 773) มนุษย์ท่ีจะพ้นจากภัยอันตรายด้วย พุทธานุภาพ ด้วย ธรรมานุภาพ ด้วยสังฆานุภาพ มนุษย์ถ้ายังอยู่ในพุทธานุภาพ ธรรมานภุ าพ สงั ฆานภุ าพแลว้ สงิ่ หนงึ่ สง่ิ ใดจะมาทาำ ใหเ้ ปน็ อนั ตราย นัน้ ไมไ่ ด้ (รธ. 775) พระพุทธเจ้าท่านก็คอยดู สอดญาณส่องญาณคอยดู ได้ รบั ความสขุ แคไ่ หน ไดร้ บั ความทกุ ขแ์ คไ่ หน ทา่ นกช็ ว่ ยเหลอื เผอ่ื แผ่ คอยแกไ้ ข บาำ บัดความทุกข์ บาำ รงุ ความสุข ใหย้ ิ่งๆ ขนึ้ ไป น่ี ก็เพราะอาศัยพระพุทธเจ้าอยู่ลับๆ เรานับได้ ในประเทศไทย พระพทุ ธเจา้ มจี ริงๆ ในท่ลี ับๆ ประเทศนิดเดียวเทา่ นี้แหละเปน็ เอกราชอยู่ได้ ปืนผาหน้าไม้ทำากับเขาไม่เป็น เรือแพนาวา เรือ ยนตก์ ลไฟต่อไมไ่ ด้ทงั้ น้ัน แต่ว่าเปน็ เอกราชได้ แปลกเหลือเกนิ เป็นเอกราชได้ด้วยอะไร น่ีเป็นเอกราชด้วยพุทธศาสนา ด้วย พระพทุ ธเจา้ ทา่ นคอยดแู ลแกไ้ ข รกั ษาชาตศิ าสนาของทา่ นไว้ ให้ ศาสนาดำารงอยู่ เพราะหมดท้ังชมพูทวปี ศาสนาเดียวนีม้ าแนน่ หนาอยู่ในเมืองไทยเทา่ นัน้ (รธ. 100) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 467
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีร์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ โยคาวจรกล่าวในทำานองเดียวกันว่า การปฏิบัติสมาธิภาวนาตาม คำาสอนของพระพุทธเจ้า หม่ันระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าตลอดเวลา จะทำาให้ ผปู้ ฏบิ ตั อิ ยใู่ นขา่ ยพระญาณของพระองคผ์ ปู้ ระทบั อยใู่ นเมอื งนพิ พาน ผปู้ ฏบิ ตั ิ นนั้ จะพ้นจากการตกนรกแมว้ า่ จะได้ผลเป็นความสวา่ งหรอื ยังพบแตค่ วามมืด ก็ตาม นอกจากน้ีผู้ปฏิบัติยังจะได้รับอานิสงส์ในภพชาติต่อไป โดยจะได้เกิด ในฐานะสูงหรือเกิดเป็นเทวดา พระอินทร์ หรือชาวสวรรค์ชั้นพรหม ในทาง ตรงข้ามหากไม่ได้อยู่ในข่ายพระญาณของพระพุทธเจ้า บุคคลผู้น้ันก็จะต้อง ติดอย่ใู นวฏั ฏะต่อไป พระพุทธเจ้าก็ให้ญาณส่องลงมาแต่นิพพาน...ครั้นได้เข้า ในขา่ ยญาณพระพุทธเจา้ แล้วบ่ได้ไปตกนรกแล คร้นั หลบั ตาอยู่ ยงั เหน็ มดื ดาำ อยนู่ น้ั พน้ จากนรกแล ครนั้ เกดิ มายอ่ มกศุ ลอนั ตนได้ สรา้ งมาตา่ งๆ จงึ จกั มาเปน็ ทา้ วพระยาและเทพดาอนิ ทราพรหม ครนั้ บไ่ ดเ้ ขา้ ขา่ ยญาณพระเทอื่ นน้ั หลบั ตาเลง็ เหน็ มดื อยนู่ น้ั ยงั จกั เวยี นตายเวยี นเกิดอยใู่ นนรกบส่ ูญเสยี้ งแลเลย (ญาณก. 46.3) พระพุทธเจ้าอยู่ในนิพพานส่องแจ้งผลญาณลงมาแต่ นิพพาน บุคคลผู้ใดแลได้รักษาศีลให้เป็นดังผู้ชายหญิงอันมีรูป อันงามน้ันแล ให้ไดร้ ำาพงึ ถึงเมอ่ื จกั ตายนั้นวา่ มแี ต่พระพทุ ธเจา้ แลมาเป็นที่พ่ึงแก่กูนี้เป็นอันมั่นอันเที่ยงแท้จริงแล เมื่อนอน น้ันเมื่อย่างเม่ือเทียวไปมาให้ระนึกถึงคุณพระพุทธเจ้าดังอั้น พระพุทธเจา้ ก็จกั แผญ่ าณลงมาแตน่ ิพพาน โปรดเอาบุคคลผอู้ ัน ราำ พงึ ถงึ คณุ พระพทุ ธเจา้ ทกุ ยามนนั้ ชะแล (พระญาณกสณิ 53.3) 468 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: