Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ

Description: หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ

Search

Read the Text Version

www.webkal.org กล่าวโดยสรุปได้ว่า ในวิชชาธรรมกาย การปฏิบัติสมาธิภาวนาจนได้ ธรรมกายคอื การไดพ้ บพระพุทธเจา้ และเป็นการเขา้ ถึงไตรสรณคมนด์ ้วย ใน โยคาวจรกลา่ วไวค้ ลา้ ยกนั วา่ การปฏบิ ตั สิ มาธภิ าวนาจนไดแ้ สงสวา่ งคอื การได้ ถงึ ดวงแกว้ หรอื เมอื งแกว้ นพิ พานแลว้ จงึ ไดพ้ บพระพทุ ธเจา้ และทง้ั สองยงั กลา่ ว ตรงกนั อกี วา่ พระพทุ ธเจา้ ในนพิ พานยงั สอ่ งญาณมาชว่ ยเหลอื ในโลกมนษุ ยไ์ ด้ จงึ กลา่ วไดว้ า่ ในประเดน็ เกยี่ วกบั การพบพระพทุ ธเจา้ และอานสิ งสห์ รอื ผลดที ่ี ได้รับนนั้ โยคาวจรและวิชชาธรรมกายมีหลักการท่ีตรงกนั สาำ หรบั ประเดน็ ของการเขา้ ถงึ ไตรสรณคมน์ วชิ ชาธรรมกายระบวุ า่ การ พบพระพทุ ธเจา้ หรอื การเขา้ ถงึ ธรรมกายทง้ั หยาบและละเอยี ดในทกุ ระดบั ตา่ ง เรยี กวา่ เป็นการเขา้ ถงึ ไตรสรณคมน์ เพราะรัตนะทงั้ สามเน่ืองเป็นอันเดียวกนั ส่วนคมั ภีรอ์ ักษรธรรมของโยคาวจร กลา่ วถึง พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสงั ฆ รัตนะแยกกันในโลกุตรธรรมต่างระดับ กล่าวคือผู้ท่ีปฏิบัติจนกระทั่งถึงระดับ สกทาคามซี งึ่ หลบั ตาเหน็ แสงดาวเปน็ สงั ฆรตั นะ ผไู้ ดแ้ สงเดอื นเปน็ ธรรมรตั นะ และผไู้ ดแ้ สงอาทติ ยเ์ ปน็ พทุ ธรตั นะ และกลา่ วถงึ ผทู้ รงไตรสรณคมนว์ า่ หมายถงึ ผู้ท่ีได้โลกุตรธรรมทั้ง 4 ประเภท ได้แก่ผู้ที่ประสบความสำาเร็จด้วยการเข้า นิโรธถือสภาพ “นิ่ง” ของลมนิสสาสวาตซึง่ เปน็ ลมแหง่ อภธิ รรม แสดงนัยของ โลกุตตรธรรมเทยี บกบั ผ้าสังฆาฏิท่พี บั ไว้ ถ้าหลับตาลงเห็นดังแสงดาว ทานจักบุญเห็นส่องแจ้งจึง ได้ชื่อว่า สังฆรัตนะ จักให้เกิดเป็นท้าวพระยามียศศักดิ์มากนัก แล ถา้ หลบั ตาลงเปน็ ดงั พระจนั ทรเ์ พญ็ จกั ไดเ้ ปน็ อนิ ทรา พรหมา ชื่อว่าธรรมรัตนะ แล ถา้ เหน็ ดงั พระอาทติ ยน์ ั้นช่ือวา่ พุทธรตั นะ แล จักไดไ้ ปสู่นิพพาน (บัวร. 3.5.3) บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 469

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ เห็นแสงดาวได้พระญาณได้ช่ือสังฆรัตนะแล เห็นแสง เดอื นชอ่ื วา่ ธรรมรตั นะแล ชห้ี นทางนพิ พานแล125 (ญาณก. 16.3) พระสัพพัญูพระพุทธเจ้า ก็โปรดบรรดาสัตว์ท้ังหลายมวล ก็มา ประดษิ ฐานตงั้ ไวย้ งั พระธรรมเจา้ ทง้ั สามไตร คอื วา่ ผา้ สามผนื อนั ตรวาสก และ อตุ ตระ สังฆาฏิแล คือได้แก่สรณคมนท์ งั้ สามแล (พทุ ธน. 1.4) ขา้ จกั กมุ เอาพระอภธิ รรม นสิ สวาต นง่ิ อยเู่ หมอื นดง่ั ผา้ สงั ฆาฏพิ บั ไว้ นงิ่ อยู่ให้ได้ส่ีเทื่อคือได้ผละสี่ที่เป็นดังว่ามาแต่ภายหลังนั้นแล คืออนุโลมปฏิโลม ดว้ ยญาณกสณิ สมาธทิ กุ เมอ่ื แลว้ จงึ ไดช้ อ่ื วา่ ตนทรงยงั ไตรสรณคมนท์ ง้ั สามจรงิ แล (ญาณก. 12.4) ดังนน้ั ในโยคาวจร การเขา้ ถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสงั ฆรัตนะจะ กระทำาได้รตั นะละหนึง่ คร้ังเท่าน้ัน โดยเริม่ จากสงั ฆรัตนะไปหาพุทธรตั นะ ดงั นนั้ “ผทู้ ที่ รงไตรสรณคมน”์ จงึ เปน็ คาำ เรยี กโดยรวม หมายถงึ ผทู้ ไี่ ดโ้ ลกตุ รธรรม ระดบั ใดระดบั หนง่ึ ประเดน็ น้ี นบั ไดว้ า่ เปน็ ความแตกตา่ งกนั ระหวา่ งโยคาวจร และวชิ ชาธรรมกาย 4.3.2.5. การเห็นพระอรยิ สงฆ์126 เร่ืองของการเห็นพระอริยสงฆ์มีกล่าวไว้ในการปฏิบัติสมาธิภาวนาช้ัน พระอริยสงฆ์ 8 ในหลักสูตร 11 ชั้น ดงั ที่บนั ทกึ ไวใ้ นคัมภรี ์มลู พระกมั มฏั ฐาน 125 ข้อความที่ส่ือถึงพุทธรัตนะอาจจารตกไป แต่ก็พอจะประมาณเน้ือความได้จากตัวอย่างข้อความท่ี คลา้ ยกันในคมั ภีรบ์ ัวระพันธะ 126 นาำ มาจากงานวิจัย “สมาธภิ าวนาในคัมภรี ์ใบลานเขมร” (พระปอเหมา่ ธมฺมิโต 2557) 470 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ภาษาเขมร ผู้ปฏิบัติบันทึกประสบการณ์ไว้ว่า หลังจากเกิดนิมิตภายในแล้ว จิตเกดิ ปีติยินดี จากนนั้ ดวงตาแห่งธรรมกบ็ งั เกิดขน้ึ ไดเ้ หน็ พระอริยสงฆ์หน่งึ องค์ท่านน่ังในประตูนิพพานทรงจีวรสีเหลือง ในชั้นน้ีท่านกล่าวถึงดวงศีลว่า มีรัศมีสว่างไสวขยายไปหนึ่งโยชน์ แผ่รัศมีท่ัวทิศ จากน้ันก็อธิบายถึงผลแห่ง การปฏิบัติในช้ันอื่นๆ ต่อว่าเห็นพระอริยสงฆ์และดวงศีลท่ีมีรัศมีแตกต่างกัน ดังตวั อยา่ งต่อไปน้ี ขา้ พระเจ้า ผูเ้ ป็นเจ้าวปิ สั สนา ไดเ้ ข้าถึงชัน้ พระอรยิ สงฆ์ ทั้ง 8 เปน็ ลำาดบั ตอ่ ไปฯ 1. พระอริยสงฆ์หนึ่งองค์มีช่ือว่าพุทธานุสติ บังเกิด บพุ นมิ ติ อยภู่ ายในกาย มจี ติ ปตี ยิ นิ ดี ธรรมบงั เกดิ ขนึ้ ในจกั ขุ เหน็ พระอรยิ สงฆ์ 1 องค์ ประทบั นง่ั อยู่ ณ ประตพู ระนพิ พาน ทรงไตร จวี รสเี หลอื งสวา่ งฯ อกั ขรา“อะ” ทศิ บรู พา, เปน็ ตวั พระอภธิ รรม สถติ อยู่ทปี่ ระตพู ระนิพพาน ฯ ศีลขนั ติ มรี ัศมีเป็นดวงสวา่ งไสว เป็นวงขยายไปหนง่ึ โยชน์ แผร่ ศั มรี อบทิศท้งั 10 ฯ 2. พระอริยสงฆ์หนึ่งองค์พระนามธัมมานุสติ บังเกิด บุพนิมิตอยู่ภายในกาย จนกายขยายขึ้นถึง 500 โยชน์, ธรรม บงั เกดิ ขน้ึ ในจกั ข,ุ เหน็ พระอรยิ สงฆ์ 1 องค์ ทรงไตรจวี ร ประทบั นงั่ ณ ทา่ มกลางประตนู พิ พาน ฯ ทศิ อาคเนยฯ์ อกั ษรเปน็ ตวั พระ วนิ ัย ฯ ศีลสัมมาขนั ธ์ มีรัศมีสแี ดงเป็นวงรอบโลก แผร่ ศั มรี อบ ทศิ ทั้ง 10 ฯ บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 471

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ 3. พระอริยสงฆ์หนึ่งองค์พระนามสังฆานุสสติ บังเกิด บุพนิมิตอยู่ภายในกาย รู้สึกกายโยกไปด้านหน้า, ธรรมบังเกิด ขึ้นในจกั ขุ เหน็ พระอริยสงฆ์ 1 องค์ ทรงจวี รสมี ว่ งสวา่ งประทบั นง่ั ณ กลางประตนู พิ พานฯ ทศิ ทกั ษณิ , เปน็ ตวั องคส์ ตุ ตนั ตปฎิ ก, อกั ษรเป็นตวั (อิ) ศลี วภิ ังค์ มีรศั มสี วา่ งเหมือนแก้ว แผร่ ัศมรี อบ ทศิ ทั้ง 10 ฯ 4. ฯลฯ ผลของการปฏบิ ตั ิธรรมในช้ันพระอริยสงฆ์ 8 นี้คือ มีผลไดเ้ ห็นพระอริย สงฆจ์ าำ นวน 1 องคต์ อ่ หนงึ่ ชน้ั หากปฏบิ ตั คิ รบทกุ ชนั้ จะเหน็ พระอรยิ สงฆจ์ าำ นวน 8 องค์ ทที่ ่านประทบั นัง่ ณ ประตนู ิพพาน และในบททา้ ยสุด ทา่ นสรุปไว้ว่า อรยิ สงฆท์ ั้ง 8 องค์นีเ้ ป็นคณุ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทีเ่ รียกว่า “คณุ แกว้ ท้ัง 3 อย่ภู ายในกาย” นอกจากนี้ ท่านยงั อธบิ ายถึงสญั ลักษณ์ว่า ประตพู ระ นิพพานน้นั มีอย่ทู ้งั หมด 8 ประตูอยู่ในทศิ ทง้ั 8 และแทนดว้ ยอกั ษรย่อ 8 ตัว พระปอเหม่าอธิบายว่า การเห็นพระอริยสงฆ์นั่ง ณ ประตูนิพพานใน ช้ันน้ี ถอื วา่ เป็นรอ่ งรอยท่ีแสดงใหเ้ หน็ ถึงผลที่เกิดขึน้ จากการปฏบิ ตั ธิ รรมของ คนสมยั โบราณทไ่ี ด้เขา้ ถึง คาำ ว่า ประทับนัง่ ณ ประตูนพิ พาน หากมองในเชิง สญั ลกั ษณอ์ าจหมายถงึ สภาวธรรมทอ่ี ยใู่ นชน้ั โคตรภู สว่ นพระอรยิ สงฆน์ น้ั อาจ หมายถงึ กายธรรมโคตรภู เพราะคาำ วา่ พระอรยิ สงฆท์ นี่ ง่ั ณ ประตพู ระนพิ พาน นั้นหมายถงึ พระอริยสงฆท์ ีท่ า่ นไปถงึ หนา้ ประตแู ต่ยงั ไมไ่ ด้เขา้ ไปข้างใน กล่าว คือไดถ้ งึ แคป่ ระตูพระนพิ พานเทา่ นัน้ ส่วนประตูนิพพานนน้ั มีทงั้ หมด 8 ประตู ตง้ั อยใู่ น 8 ทศิ ทศิ ทงั้ 8 น้ี หากมองในทางสญั ลกั ษณห์ รอื สภาวธรรมอาจหมาย ถงึ อรยิ บุคคล 8 ท่ที ่านอยขู่ า้ งในประตูพระนิพพาน 472 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org อยา่ งไรกต็ าม พระปอเหม่าไดส้ รปุ ในที่สดุ วา่ คมั ภีร์มลู พระกัมมฏั ฐาน น้ี เปน็ คมั ภรี ์ที่บันทึกผลจากการปฏบิ ัติธรรมของคนสมยั กอ่ นทไ่ี ด้บรรลุสมาธิ จติ ในระดับชั้นต่างๆ ตามหลกั สูตรท่ีเขียนไว้ มีการสบื ทอดและเผยแผไ่ ปจาก รุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ต่อมาคัมภีร์นี้ก็มีการจารคัดลอกและอาจจะมีอธิบาย เนอื้ หาเพม่ิ เตมิ ในเชงิ สญั ลกั ษณแ์ ละอธบิ ายตามสภาวธรรมตา่ งๆ ตามแนวทาง การเรยี นการสอนของคนในยคุ หลงั ผลทเ่ี กดิ จากการปฏบิ ตั ทิ ป่ี รากฏในคมั ภรี น์ ี้ ผ้ทู ำาภาวนาสามารถมปี ระสบการณ์ภายในกายคือ กายเกิดปตี ิ เกิดดวงตาเหน็ ธรรม เห็นแสงสวา่ ง เห็นดวงแก้ว ดวงศลี เห็นพระพุทธเจ้า เหน็ พระอรยิ สงฆ์ และการเขา้ ฌานไปสวรรค์ ไปช้ันพรหมโลกเป็นตน้ เม่ือเอาผลแหง่ การปฏิบตั ิ จากคมั ภีรน์ ้ีไปเทยี บกบั วสิ ทุ ธิมรรค จะเห็นว่า มีผลแห่งการปฏิบัติต้งั แต่ระดับ ปตี ิ 5 เปน็ ตน้ ไปจนถึงช้นั อรูปพรหม สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างผลแห่งการปฏิบัติในคัมภีร์ฉบับนี้กับวิชชา ธรรมกายกค็ อื เนอื้ หาในคมั ภรี น์ จี้ ะบอกรายละเอยี ดประสบการณภ์ ายในเพยี ง ในเบอ้ื งตน้ โดยมไิ ดแ้ สดงรายละเอยี ดของการเขา้ ถงึ ธรรมในชน้ั สงู ขนึ้ ดงั ทพี่ ระ มงคลเทพมนุ ไี ดแ้ สดงไว้ และอกี ประการหนง่ึ กค็ อื ผลจากการปฏบิ ตั ธิ รรมตาม หลกั สตู รทป่ี รากฏในคมั ภรี น์ ก้ี บั ผลจากการปฏบิ ตั ทิ บ่ี นั ทกึ ในคมั ภรี พ์ ระกมั มฎั ฐานฉบบั อน่ื ๆ กม็ ผี ลจากการปฏบิ ตั อิ อกมาไมต่ รงกนั กลา่ วคอื สภาวธรรมของ ผู้เจริญภาวนาแต่ละท่านหรือแต่ละสำานักในสมัยน้ัน จะเข้าถึงประสบการณ์ ท่ีมีความลึก-ตื้น ไม่เท่ากัน ถึงแม้จะเรียนและปฏิบัติตามหลักสูตรเดียวกัน ก็ตาม แต่อย่างน้อย เน้ือหาที่ปรากฏในคัมภีร์ใบลานในภาษาเขมรโบราณน้ี อาจถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงร่องรอยของวิชชาธรรมกายท่ีขาด หายไปมายาวนาน คงเหลือเพียงแค่บางส่วนของคำาสอนท่ีคนสมัยโบราณได้ บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 473

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ บนั ทกึ ไวเ้ ทา่ นนั้ อย่างไรก็ดีการศึกษาชิ้นนี้เป็นเพียงการสำารวจร่องรอยท่ีคล้ายคลึงกัน กบั วชิ ชาธรรมกายในเบอ้ื งตน้ โดยยงั ไมม่ กี ารศกึ ษาในรายละเอยี ดอยา่ งจรงิ จงั การศึกษาเจาะลึกต่อไปในอนาคตน่าจะให้คำาตอบที่ชัดเจนยิ่งกว่านี้ในเชิง ความสัมพันธ์ของประสบการณ์ที่แสดงไว้ในคัมภีร์มูลพระกัมมัฏฐานกับวิชชา ธรรมกาย 4. . . มนษุ ย์ กบั การสร้างบญุ และบาป 4.3.3.1. บญุ -บาป ดวงบญุ -ดวงบาป127 โยคาวจรกลา่ วถงึ บญุ และบาปวา่ ตา่ งกผ็ กู อยกู่ บั ใจและสง่ ผลตอ่ ผกู้ ระทาำ โดยเน้นเวลาในช่วงวิกฤตคือช่วงท่ีคนกำาลังจะละโลกว่า ให้นึกถึงบุญท่ีตนได้ เคยทาำ ไวเ้ ปน็ ทพ่ี งึ่ มฉิ ะนน้ั ผทู้ ต่ี ายดว้ ยการหลบั ตาเปลา่ จะถกู บาปทต่ี นกระทาำ ตามมาตนั หนทางนพิ พาน ขอ้ ความทาำ นองนปี้ รากฏอยใู่ นคมั ภรี โ์ ยคาวจรแทบ ทกุ คัมภรี ์ ดังตัวอยา่ งข้อความทปี่ รากฏในคัมภีร์พทุ ธนรกัน บญุ อนั ตวา128ไดส้ รา้ งมานัน้ ใหน้ ึกเอาเป็นทจี่ ังทพี่ ่งึ แก่ตัว เถดิ เหตวุ า่ ตวั ตายทงั้ หลบั ตานน้ั แล อนั บาปอนั ตนไดก้ ระทาำ นนั้ ก็ มาตามตน กไ็ ปตันหนทางนริ พานไว้ บ่ใหเ้ หน็ ทางนริ พานแล ให้ รีบเอาไวๆ ดังกลา่ วมานน้ั เถิด (พุทธน. 20.3) 127 นำามาจากงานวิจัย “สมาธภิ าวนาในคมั ภีร์อักษรธรรม” (กิจชัย เอ้ือเกษม 2557) 128 ตวา: ว. เม่อื วานน้ี 474 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) กลา่ วไว้ในทาำ นองเดยี วกนั แตใ่ นบาง ครง้ั ทา่ นจะใช้คาำ แทนบญุ วา่ ฝ่ายขาว ในวิชชาธรรมกาย บุญและบาปเหลา่ นี้ เห็นได้ด้วยธรรมกาย ท้ังฝ่ายสุจริตและทุจริตต่างซ้อนอยู่ในดวงธรรมที่ทำาให้ เกิดเป็นมนุษย์คอยอำานวยการให้ได้ทำาบุญทำาบาป เมื่อเป็นดังน้ันจึงจำาเป็น อย่างย่ิงท่ีจะต้องบำาเพ็ญตนให้อยู่ในฝ่ายขาวเสมอ กล่าวคือต้องทำาให้จิตขาว ใสจะไดไ้ ปส่สู คุ ตไิ ม่หลงตายไปสู่ทคุ ติ ถ้าเราคอยระวังรักษาไว้ให้ดี บำาเพ็ญสมาธิให้ดวงขาวใส ปรากฏอยใู่ นศูนยก์ ลางกายเสมอ เราจะทาำ อะไรกเ็ ปน็ ไปในทาง ดี พดู อะไรกพ็ ูดไปทางดี คดิ อะไรกค็ ิดไปทางดี เพราะฉะน้นั จงึ ควรบาำ เพ็ญตนให้เป็นฝ่ายขาวเสมอ เวลาจะตายถ้าปลอ่ ยให้ไป ตกอยู่ฝ่ายดำา เรียกว่าหลงตาย จะไปสู่ทุคติ ถ้าอยู่ในฝ่ายขาว เรยี กว่าไม่หลงตาย จะไปสสู่ ุคตแิ นแ่ ท้ จงึ เปน็ การจาำ เป็นยิ่งทีจ่ ะ ระวังใหอ้ ยู่ฝา่ ยขาว (รธ. 54) สว่ นในทางโยคาวจรแมว้ า่ จะสง่ เสรมิ ใหบ้ คุ คลดาำ รงตนอยใู่ นฝา่ ยบญุ แต่ กไ็ มป่ ฏเิ สธวา่ มนษุ ยร์ ะคนดว้ ยสว่ นของบาป หรอื มโี อกาสถกู ชกั นาำ จากบาป สง่ิ นีเ้ กิดมากบั มนุษยต์ งั้ แต่หลงั ปฏสิ นธิและพัฒนาขน้ึ เป็นร่างกาย โดยแสดงเป็น บคุ ลาธิษฐานไวใ้ นคัมภีรบ์ วั ระพนั ธะว่า สง่ิ ทปี่ รงุ แต่งเปน็ กายมนษุ ย์นนั้ มีฝา่ ย กุศลธรรมมาช่วยสรา้ งรปู รา่ งสีส่ ่วน และสตั ว์นรกฝ่ายอกศุ ลธรรมมาช่วยสรา้ ง สองสว่ น รวมท้ังสน้ิ เปน็ หกส่วน แบง่ ออกเป็นวตั ถทุ ง้ั หก ได้แก่ จักขวุ ตั ถุ โสต วัตถุ ฆานวัตถุ ชวิ หาวตั ถุ กายวัตถุ และจติ วัตถุ ท้งั หกนี้เปน็ อายตนะภายในที่ พร้อมจะรบั รูส้ ่ิงทม่ี ากระทบหรือสัมผัสจากอายตนะภายนอก อันไดแ้ ก่ รปู รส บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 475

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีร์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ กลนิ่ เสยี ง สมั ผสั และธรรมารมณต์ า่ งๆ เกดิ เปน็ เหตชุ กั นาำ ใหบ้ คุ คลกระทาำ การ ต่างๆ ทงั้ ดีและชั่วนน่ั เอง สตั ว์นรกมาช่วยแปลงรปู รา่ งเราเป็นส่ี ชอื่ ถ้วนสองอกศุ ล ธรรม ชาวนรกมาช่วยแปลงรูปร่างเรานี้แล เป็นสี่ช่ือถ้วนสอง อกุศลธรรมนั้นแล บาปสองบญุ เป็นสี่เป็นถ้วนหก เขาชว่ ยแปลง กระทาำ รปู รา่ งเรานแี้ ล... อนั วา่ ตวั กนู ค้ี อื วา่ วตั ถหุ กอนั นนั้ กลา่ วมา น้ีแล มาแปลงใหบ้ งั เกดิ น้ีแล...จกั ขวุ ตั ถุใหบ้ ังเกดิ เปน็ ตาแล โสต วตั ถใุ หบ้ งั เกดิ เปน็ หแู ล ฆาตวตั ถใุ หบ้ งั เกดิ เปน็ ดงั แล ชวิ หวตั ถใุ ห้ บังเกดิ เปน็ ลิน้ แล กายวัตถใุ ห้บังเกิดเปน็ รปู ร่างแลวิญญาณวัตถุ ให้บงั เกดิ เป็นจิตใจแล (บวั ร. 1.26.3) เร่ืองการมองเห็นบุญบาปเป็นสีขาว หรือใสสว่าง และเห็นบาปเป็นสี ดำานั้น129 มกี ล่าวไวใ้ นพระไตรปิฎกดว้ ยเชน่ กนั เชน่ ในอุทกสูตร ปญั จกนบิ าต องั คตุ ตรนกิ าย130 พระภกิ ษรุ ปู หนงึ่ เขา้ มาสอบถามพระอานนทถ์ งึ เหตทุ พี่ ระพทุ ธ องคท์ รงพยากรณพ์ ระเทวทตั วา่ “พระเทวทตั จะตอ้ งเกดิ ในอบาย ตกนรก ดาำ รง อยู่ (ในนรกนั้น) ตลอดกปั ไมม่ ีทางชว่ ยได”้ น้นั พระองคท์ รงรูท้ ุกอยา่ งแล้วจึง พยากรณ์หรือว่าทรงพยากรณ์โดยหลักการเท่านั้น พระอานนท์ทรงนำาเร่ืองน้ี กราบทลู แดพ่ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระองคจ์ งึ ตรสั ตอบวา่ เปน็ เพราะพระองค์ ทรงเห็นแล้วว่าในใจของพระเทวทัตไม่เหลือความขาวอยู่เลยแม้สักเท่าปลาย เสน้ ขน จงึ ได้พยากรณ์อย่างน้ัน 129 นาำ มาจากงานวจิ ยั “รอ่ งรอยวชิ ชาธรรมกายในคนั ธาระและเอเชยี กลาง” (ชนดิ า จนั ทราศรไี ศล 2557) 130 อง.ฺ ฉกฺก. 22/333/449-58 476 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org อานนท์ เราย่อมไมพ่ จิ ารณาเห็นบคุ คลอ่ืนแม้สักคนหนงึ่ ที่เราได้กำาหนดรู้เหตุทั้งปวงด้วยใจแล้วพยากรณ์อย่างนี้เหมือน เทวทัตเลย ก็หากวา่ เราไดเ้ ห็นธรรมขาวของเทวทัตแม้เพยี งเทา่ หยดนา้ำ ทส่ี ลดั ออกจากปลายขนทรายอยตู่ ราบใด ตราบนน้ั เราก็ ยังไมพ่ ยากรณว์ า่ เทวทัตจะตอ้ งเกดิ ในอบาย ตกนรก อยู่ตลอด กัป เยียวยาไม่ได้ แต่เม่ือเราไม่ได้เห็นธรรมขาวของเทวทัตเลย แมเ้ พยี งเทา่ นา้ำ ทส่ี ลดั ออกจากปลายขนทราย เราจงึ ไดพ้ ยากรณ์ วา่ เทวทตั จะตอ้ งเกดิ ในอบาย ตกนรก ดาำ รงอยตู่ ลอดกปั เยยี วยา ไมไ่ ด้....(องฺ.ฉกฺก. 22/333/451) การทดี่ วงบญุ และดวงบาปเปน็ เหตขุ องการไปส่สู ุคตหิ รอื ทคุ ตินั้น พระ เดชพระคุณพระมงคลเทพมนุ กี ็ได้กลา่ วไวค้ ล้ายกนั วา่ สภาพทเ่ี ปน็ บญุ เปน็ ดวงใส ตดิ อยใู่ นศนู ยก์ ลางดวงธรรมท่ี ทาำ ใหเ้ ปน็ มนษุ ย์ สภาพทเี่ ปน็ บาปเปน็ ดวงดาำ ตดิ อยใู่ นศนู ยก์ ลาง ดวงธรรมที่ทำาให้เป็นมนุษย์แบบเดียวกัน ถ้าดวงบุญใหญ่โตก ว่ากน็ ำาไปส่สู วรรค์ ถ้าดวงบาปใหญโ่ ตกว่ากน็ าำ ไปสนู่ รก ใครจะ แก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ท้ังน้ัน ย่อมเป็นไปตามคติของตน (รธ. 407) จึงกล่าวได้ว่า หลักการของโยคาวจรในประเด็นที่ว่า บุญเป็นเหตุนำา ไปสู่สุคติ บาปนำาไปสู่ทุคติ และมนุษย์ควรดำารงตนอยู่ในบุญ เอาใจผูกติดไว้ กับบุญนนั้ ตรงกนั กบั หลกั การของวชิ ชาธรรมกาย และตรงกนั กบั ทก่ี ล่าวไวใ้ น พระไตรปฎิ กบาลี บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 477

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ 4.3.3.2. ชมพทู วปี เปน็ แหลง่ สร้างบญุ บารม1ี 31 โยคาวจรกล่าวถึงชมพูทวีปว่าเป็นสถานที่ท่ีมนุษย์จะสร้างบุญบาป และชดใชเ้ วรกรรมแก่กนั ในระดับหน่ึง และการที่จะพ้นทุกข์ได้จะต้องทำาโดย การแสวงหาดวงแกว้ ท่ีมลี ักษณะสวา่ งไสว ซง่ึ มีอยู่ในชมพทู วีปเทา่ นัน้ แม้พระ สัมมาสัมพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าท่ีทรงพ้นทุกข์ได้ก็เพราะได้แก้วมณี ดงั กลา่ วนน้ั ในชมพทู วปี นน่ั เอง โดยนยั น้ี ชมพทู วปี จงึ เปน็ สถานทห่ี รอื ภพเดยี ว ท่ีจะปฏบิ ัตติ นใหไ้ ดโ้ ลกุตตรธรรมหรอื ดวงแก้ว ทีจ่ ะนำาไปสคู่ วามหลดุ พ้นจาก วฏั สงสารได้ เม่ือว่าจักไปเกิดในเมิงชมพูทวีปนั้น ก็จักได้กระทำา บาปกรรมต่างๆ แล้ว และจักกระทำาเวรเวทนา และบาปอันน้นั กจ็ กั มาตดิ มาตามตอมตนแลว้ อนง่ึ เขากจ็ กั ไดไ้ ปใชช้ าติ อนงึ่ เขา กจ็ กั ไดท้ รมานทานกรรมแกก่ นั ทกุ วบิ ากมากหนกั หนาแล กด็ ว้ ย เหตวุ า่ ไดไ้ ปเกดิ ในเมอื งชมพทู วปี นน้ั แล เหตดุ งั นน้ั ขา้ กจ็ งึ บอ่ ยาก ไปเกดิ ในเมอื งชมพทู วปี นน้ั กข็ า้ แล ทนี น้ั เทวดาจงึ กลา่ วแกน่ างวา่ ดูรานาง ผิว่านางบ่ไปเกิดในเมืองชมพูทวีป ดังนั้นนางก็บ่ได้ยัง แก้วมณีโชติอันน้ันแล แม้นว่าพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกโพธิ เจ้าก็ดี ก็เทียรย่อมได้พ้นจากทุกข์อันนน้ั กด็ ้วยเดชแห่งแก้วอัน อยู่ในเมืองชมพทู วีปนนั้ แล (บวั ร. 1.44.1) พระมงคลเทพมุนกี ลา่ วถึงโลกมนษุ ยไ์ วใ้ นทาำ นองเดียวกัน 131 นำามาจากงานวิจยั “สมาธภิ าวนาในคัมภรี อ์ ักษรธรรม” (กจิ ชัย เอ้ือเกษม 2557) 478 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org คำาวา่ โลก หมายความวา่ เปน็ ที่ก่อแหง่ สตั วห์ รือนยั หนง่ึ ว่าเป็นทีก่ ่อผลแห่งสตั ว์ ซึ่งวา่ เปน็ ท่ีกอ่ แห่งสัตว์กค็ ือเป็นทีเ่ กดิ ท่ี อยแู่ หง่ สัตว์ ทว่ี ่าเป็นท่กี ่อผลแหง่ สัตว์ก็คือเป็นท่ซี ึ่งสัตว์ไดอ้ าศัย ก่อกุศลและอกุศล ว่าโดยเฉพาะโลกมนุษย์เป็นที่มนุษย์อาศัย สร้างบุญ แลว้ กไ็ ดผ้ ลไปบังเกดิ ในสวรรค์ หรือบำาเพญ็ บารมแี ลว้ ส่งผลไปสู่นิพพาน ด่ังเช่นองค์สมเด็จพระศาสดา ถ้าสร้างบาป แลว้ ก็เป็นผลให้ไปเกิดในนรก (รธ. 32) อรรถกถาอัจฉริยัพภูตธัมมสูตร กล่าวไว้เช่นเดียวกันว่า พระพุทธเจ้า ทงั้ หลายยอ่ มทรงบงั เกดิ ในชมพูทวีปเทา่ นนั้ จากนั้น (พระบรมโพธิสัตว์) เม่ือทรงตรวจดูทวีป ทรง แลดูแล้วซึ่งทวีปทั้งสี่ ทรงเห็นทวีป (ท่ีจะพึงไปบังเกิด) แล้วว่า “พระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลายยอ่ มไมท่ รงบงั เกดิ ในทวปี ทง้ั สามเหลา่ อน่ื ทรงบงั เกดิ ในชมพทู วีปเทา่ นน้ั ”132 โลกหรือชมพูทวีปจึงเป็นปัจจัยสำาคัญด้านสถานที่ต่อการปฏิบัติเพ่ือ การหลดุ พน้ อนั เปน็ หลกั การทพ่ี อ้ งตรงกนั ทง้ั ในคาำ สอนของโยคาวจรและวชิ ชา ธรรมกาย รวมทงั้ ในกระแสหลกั ของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทดงั ทมี่ บี นั ทกึ ไวใ้ น อรรถกถาบาลี 132 ตโต ทีป วโิ ลเกนฺโต สปริวาเร จตตฺ าโร ทเี ป โอโลเกตฺวา ตีสุ ทเี ปสุ พทุ ฺธา น นิพพฺ ตตฺ นตฺ ,ิ ชมพฺ ุ ทีเปเยว นพิ พฺ ตฺตนตฺ ี ติ ทีป ปสฺสิ ฯ ( .IV.172) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 479

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีร์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ 4.4. บทสรปหลักฐานธรรมกายในเอเชียอาคเนย์ พระพทุ ธศาสนาเถรวาทแบบทอ้ งถน่ิ ในเอเชยี อาคเนย์ เปน็ ทรี่ จู้ กั กนั ใน วงวชิ าการทศ่ี กึ ษาเรอื่ งนใ้ี นชอื่ วา่ “โยคาวจร” ในฐานะทเี่ ปน็ พระพทุ ธศาสนาท่ี เน้นความสำาคญั ของธรรมปฏบิ ตั ิ ในบทนข้ี องงานวจิ ยั จะใชศ้ ัพท์ “โยคาวจร” ในความหมายนี้ คัมภีร์ของโยคาวจร อันได้แก่คัมภีร์ท่ีจารึกด้วยอักษรธรรมแบบต่างๆ และคัมภีร์ใบลานเขมร มีเน้ือหาคำาสอนที่สอดคล้องกันกับหลักการในวิชชา ธรรมกายหลายประการ แสดงถึงหลักการเบื้องต้นและความเข้าใจพ้ืนฐานท่ี ตรงกัน เป็นพื้นฐานความเข้าใจเก่ียวกับโลก ชีวิต การไปเกิดมาเกิด รวมท้ัง การสิ้นสุดการเกิด ในมุมมองของพระพุทธศาสนาเถรวาทท้องถ่ินซึ่งมีต้นเค้า มาจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาบาลี เป็นต้นว่า กำาเนิดด้ังเดิมของมนุษย์ น้ันสะอาดบริสุทธิ์ (4.3.1.2) แต่มาเศร้าหมองไปด้วยกิเลสที่จรมาปนเปื้อน ในภายหลัง การปนเปื้อนด้วยกเิ ลสนนั้ เปน็ เหตนุ ำาพามนษุ ยใ์ หไ้ ปเกิดในท่ที ไี่ ม่ สมควรคือทุคติ และเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารที่ไม่มีที่ส้ินสุด ในระหว่างเวลา นั้นพระพุทธศาสนาก็มีคำาสอนที่ตักเตือนว่า มนุษย์เกิดมามีเปาหมายในการ แสวงหาโลกตุ รธรรมภายในกายของตน (4.3.1.1) ทเ่ี ปน็ ประดจุ “ดวงแกว้ สด่ี วง ในผลมะเดอ่ื ” จะทาำ ไดโ้ ดยการหลกี หา่ งจากกาม ซงึ่ เปรยี บไดก้ บั การกาำ จดั นก อินทรที คี่ อยจิกกนิ คนท้ังเปน็ และเจริญสมาธิภาวนา (4.3.2.2) เพื่อจะไดเ้ ข้า ถึง “ดวงแก้วภายใน” “ศีลภายใน” หรือ “พระญาณกสิณ” (4.3.1.4-4.3.1.6) อนั จะเป็นเครอ่ื งนาำ พาให้กลับไปสู่สภาวะท่สี ะอาดบรสิ ทุ ธ์ิแทจ้ ริงคือ นิพพาน ท่ีคัมภรี ์โยคาวจรเรยี กว่า “ดวงแก้วท่ีข้ามา” ทมี่ ีลกั ษณะเป็นสุขเกษม ไม่รแู้ ก่ และไม่รู้ตาย (4.3.1.2) และจะได้พบกับพระพทุ ธเจ้าผทู้ รงดาำ รงอยใู่ นนิพพาน 480 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org น้นั (4.3.2.4) ผคู้ อยเลง็ แลพระญาณเพอื่ ชว่ ยเหลือสัตวโ์ ลกใหร้ อดพ้นจากภยั พบิ ตั แิ ละจากกบั ดกั แหง่ วฏั สงสารอยเู่ ปน็ นจิ และในการทจี่ ะสรา้ งบญุ บารมใี ห้ พน้ จากทกุ ขใ์ นวฏั สงสารไดน้ น้ั ตอ้ งมาเกดิ ในชมพทู วปี (4.3.3.2) และสง่ั สมแต่ บุญ ละบาปอกุศลให้หมดไป (4.3.3.1) หลักการในเร่ืองของการเวียนว่ายตายเกิด การสร้างบุญบารมี และ การกลบั ไปสสู่ ภาวะดง้ั เดมิ อนั สะอาดบรสิ ทุ ธิ์ รวมทง้ั การไดพ้ บกบั พระพทุ ธเจา้ เป็นต้น นับเป็นความสอดคล้องกันโดยหลักการระหว่างโยคาวจรกับวิชชา ธรรมกาย ยิ่งกว่าน้ัน การใช้คำาภาวนาที่บ่งบอกถึงพุทธานุสติ เช่น อะระหัง สัมมาอะระหงั พทุ โธ หรือสัมมาสัมพทุ โธ รวมทง้ั วิธีการเจรญิ ภาวนาเบ้ืองตน้ และการกำาหนดบริกรรมนิมิตเป็นพระพุทธรูป หรือระลึกถึงแสงสว่าง (4.2.3.7.ก-ข) ตลอดจนการกลา่ วถงึ ดวงสวา่ ง ความสวา่ ง หรอื แมก้ ระทง่ั ดวงศลี ที่มีลักษณะสว่างไสวอันเป็นประสบการณ์จากการเจริญภาวนา (4.3.1.4- 4.3.1.6) ก็นับเป็นความสอดคล้องในแงม่ มุ ของการปฏบิ ตั ิดว้ ยเชน่ เดียวกนั อย่างไรก็ดี เมื่อศึกษาลงในรายละเอียดแล้ว กลับพบว่า หลักการใน การบรรลุอริยมรรคและอริยผลของวิชชาธรรมกายและโยคาวจรน้ันแตกต่าง กัน (4.2.3.7.จ) ทง้ั ในเรอื่ งลาำ ดบั ของอรยิ มรรคและอริยผลท่ีเข้าถงึ หลักการ ในการเข้าถงึ และฐานที่ตัง้ แหง่ การเขา้ ถึงอริยมรรคและอริยผล กลา่ วคือ ใน ขณะที่วิชชาธรรมกายแนะนำาให้หยุดใจนิ่งท่ีศูนย์กลางดวงธรรมท่ีทำาให้เป็น ธรรมกาย (ภายหลังจากการเข้าถึงธรรมกายโคตรภูแล้ว) และให้หยุดในหยดุ เขา้ ไปในกลางของกลางเร่ือยไปอนั เป็นทางแหง่ การบรรลุมรรคผล คัมภรี ์ของ โยคาวจรกลับสอนให้ “ดำาเนินจิตโดยอนุโลมปฏิโลม” โดยกำาหนดตำาแหน่ง บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 481

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ตา่ งๆ ของรา่ งกายวา่ เปน็ ทกี่ าำ เนดิ ของโลกตุ รธรรมแตล่ ะระดบั เชน่ เมอื่ กาำ หนด ความสวา่ งจากกระหม่อมลงไปถึงคอ ได้ชอ่ื ว่าโสดาปตั ติมรรค ลงไปทหี่ วั ใจได้ ชอ่ื ว่า สกทาคามิมรรค เป็นต้น และเม่ือดาำ เนินจติ ตาม “มรรควิถี” ดังนีจ้ นถงึ อรหัตมรรคแล้ว จึงจะเริ่มต้นดาำ เนิน “ผลวิถี” ต้ังแต่โสดาปัตติผลเป็นต้นไป จนถงึ อรหัตผลในภายหลัง (4.2.3.7.จ) ความแตกตา่ งในการบรรลอุ รยิ มรรคและอรยิ ผลของวชิ ชาธรรมกายกบั โยคาวจร อาจสรปุ ไดด้ ังตารางขา้ งลา่ งน้ี ตารางท่ี 9 เปรียบเทียบการบรรลุอริยมรรคอริยผลของโยคาวจรกับ วิชชาธรรมกายและพระไตรปฎิ กบาลี ประเดน็ โยคาวจร วิชชาธรรมกาย พระไตรปิฎกบาลี ฐานทต่ี ้งั กระหมอ่ ม คอ ปลาย ศูนย์กลางกาย ฐาน ภายในตวั ของใจ จมกู อก สะดือ ท่ี 7 (เหนอื ระดบั หยุดใจไวภ้ ายใน วธิ กี าร สมาธนิ มิ ิตเดิมท่ี สะดอื ข้นึ มาราว 2 เขา้ ถงึ ไปเรือ่ ยๆ นวิ้ มือ) ธรรมใหม่ผุดขึน้ ใน กลางน้นั “สญั ญานกึ ” ใหเ้ หน็ หยุดใจไว้ภายใน ความสว่างลงไปถงึ กลางของสิ่งท่เี ขา้ แตล่ ะฐานทีก่ ำาหนด ถึงท่กี ลางกายไป โดย “อนโุ ลมปฏิโลม เร่ือยๆ ธรรมใหม่ ดว้ ยญาณสมาธ”ิ ไป ปรากฏขน้ึ ในกลาง ยงั ฐานตา่ งๆ เหลา่ นั้น นัน้ 482 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ประเด็น โยคาวจร วิชชาธรรมกาย พระไตรปิฎกบาลี ลำาดับมรรคผล โสดาปัตติมรรค โสดาปัตตมิ รรค โสดาปัตติมรรค ทเ่ี ข้าถึง สกทาคามมิ รรค โสดาปตั ติผล โสดาปัตติผล อนาคามิมรรค สกทาคามิมรรค สกทาคามมิ รรค อรหัตมรรค สกทาคามิผล สกทาคามิผล โสดาปตั ติผล อนาคามมิ รรค อนาคามิมรรค สกทาคามผิ ล อนาคามผิ ล อนาคามผิ ล อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตมรรค อรหัตผล อรหตั ผล อรหตั ผล ความคล้ายคลึงกันกับคัมภีร์โยคาวจรในหลักการเบ้ืองต้นและหลัก คาำ สอนทว่ั ไปบง่ บอกวา่ คาำ สอนวชิ ชาธรรมกายเปน็ คาำ สอนในพระพทุ ธศาสนาท่ี สบื ทอดกนั มาดงั ทม่ี คี มั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาในทอ้ งถน่ิ เปน็ หลกั ฐานรบั รอง สว่ น ความแตกตา่ งในการบรรลมุ รรคผลเปน็ เครอ่ื งบง่ ชวี้ า่ เสน้ ทางสายกลางทสี่ อน อยใู่ นวชิ ชาธรรมกายไมใ่ ชส่ งิ่ ท่ี “เรยี นรมู้ า” จากพระพทุ ธศาสนารว่ มสมยั หาก เป็นสิง่ ทพี่ ระมงคลเทพมนุ คี น้ พบเองจากการปฏบิ ัตสิ มาธภิ าวนาที่เริ่มตน้ ดว้ ย วธิ กี ารเดยี วกนั สว่ นความสอดคลอ้ งกบั คาำ สอนในพระไตรปฎิ กบาลใี นประเดน็ ดงั กลา่ ว เปน็ การรบั รองวา่ สงิ่ ทที่ า่ นคน้ พบนนั้ เปน็ หลกั การดง้ั เดมิ ของชาวพทุ ธ แต่โบราณ การประมวลผลสรุปเปรียบเทียบกับหลักฐานธรรมกายที่พบจาก คนั ธาระ เอเชียกลาง และประเทศจนี ทีจ่ ะนาำ เสนอตอ่ ไปในบทที่ 5 จะใหภ้ าพ ที่ชดั เจนยิง่ ขึ้นสาำ หรับประเด็นน้ี ในการศึกษาหลกั ฐานจาำ นวน 7 คมั ภีรท์ ี่ปรากฏคาำ ว่า ธรรมกาย 8 แห่ง จากเอเชียอาคเนย์ พบว่าความหมายของธรรมกายในหลักฐานทุกช้ินช้ีไปใน บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 483

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ทศิ ทางเดียวกนั คอื “กายท่ปี ระกอบดว้ ยญาณรูแ้ จง้ อันเป็นอจินไตย” ซ่ึงเปน็ ความหมายที่สอดคล้องกับความหมายของธรรมกายในวิชชาธรรมกายอย่าง ตรงไปตรงมา และบ่งบอกถึงความเป็นวัฒนธรรมเดียวของพระพุทธศาสนา ทอ้ งถนิ่ ในประเทศไทยและกมั พชู า ซงึ่ เปน็ ขอ้ สรปุ ทต่ี รงกนั กบั การศกึ ษาคมั ภรี ์ สมาธภิ าวนาในทอ้ งถน่ิ จากหลักฐานท่ีศึกษาบ่งบอกว่า คำาว่าธรรมกายเป็นท่ีรู้จักในเอเชีย อาคเนย์ไม่ช้าไปกว่าพุทธศตวรรษที่ 20 ซ่ึงเป็นเวลาของการประพันธ์คาถา อุปปาตสันติตามท่ีกิจชัยประเมินไว้133 และอาจย้อนไปได้เร็วย่ิงกว่านั้นหาก คัมภีร์จตุรารักขาที่น่าจะเรียบเรียงในประเทศศรีลังการาวกลางพุทธศตวรรษ ท่ี 10-16 ตามที่สุปราณีประเมินไว้134 ได้เผยแพร่เข้ามาสู่เอเชียอาคเนย์ก่อน หน้านั้น ซ่ึงเป็นเรื่องท่ีต้องศึกษาต่อไปถึงวันเวลาเร่ิมแรกท่ีคัมภีร์จตุรารักขา เดินทางมาถึงประเทศไทยหรอื เอเชยี อาคเนย์ คมั ภรี จ์ ตรุ ารกั ขาและอปุ ปาตสนั ตกิ ลา่ วถงึ ธรรมกายไวส้ น้ั ๆ ในลกั ษณะ ท่คี ล้ายคลึงกันวา่ ธรรมกายของพระพทุ ธองคอ์ ุดมไปดว้ ยอสาธารณญาณ อัน เปน็ อจินไตย มีพระสพั พญั ุตญาณเปน็ ต้น สว่ นหลกั ฐานเกย่ี วกับธรรมกายที่ แพร่หลายมากทส่ี ุดและนา่ จะเป็นทร่ี ูจ้ ักมากที่สุดในเอเชยี อาคเนย์คือ “คาถา ธรรมกาย” ทปี่ รากฏอยใู่ นหลายทอ้ งทใี่ นประเทศไทยเปน็ ระยะเวลาไมต่ าำ่ กวา่ ส่ีศตวรรษคร่ึงมาแล้ว ตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาราวปลายพุทธศตวรรษที่ 21 อันเป็นเวลาประดิษฐานศิลาจารึกพระธรรมกาย ท่ีพระเจดีย์วัดเสือ จังหวัด พิษณโุ ลก จนถงึ ปจั จุบนั 133 ศึกษาเพม่ิ เติมไดจ้ าก “สมาธิภาวนาในคัมภรี อ์ ักษรธรรม” (กจิ ชยั เอื้อเกษม 2557) 134 ศกึ ษาเพิม่ เตมิ ไดจ้ าก “รอ่ งรอยธรรมกายในคัมภีร์จตรุ ารักขา” (สปุ ราณี พณชิ ยพงศ์ 2557) 484 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org กล่าวเฉพาะในยุครัตนโกสินทร์ คาถาธรรมกายได้รับการจารึกไว้ใน ลานทองคำา ประดษิ ฐานไวใ้ นเจดีย์พระศรีสรรเพชดาญาณ ในรชั กาลที่ 1 ได้ รับการตรวจชำาระและแปลเป็นภาษาไทยไว้ในบทสวดมนต์ฉบับหอสมุดวชิร ญาณในชื่อ “ธัมมกายานุสติกถา” ในรัชกาลที่ 2 และได้รับการจารึกเป็น คัมภีร์พระราชทานฉบับเทพชุมนุม ในรัชกาลที่ 3 และยังมีจารึกไว้ในคัมภีร์ อืน่ ๆ อีกมาก เนอื้ หาหลกั ของ “คาถาธรรมกาย” มนี ยั ทลี่ กึ ซง้ึ และมคี วามสมบรู ณอ์ ยู่ ในตวั ทง้ั ในแงข่ องความหมายของธรรมกายทบ่ี ง่ บอกถงึ ลกั ษณะของพระพทุ ธ คณุ และพทุ ธญาณ ทป่ี ระกอบกนั ขน้ึ เปน็ “กายแหง่ การตรสั รธู้ รรม” ตลอดจน ถึงคำาแนะนำาในเชิงปฏิบัติ ธรรมกายซ่ึงถูกนำามาใช้ในความหมายว่าเป็นกาย หรือตัวตนท่ีแท้จริงของ “พระพุทธองค์”135 จึงเป็น “พุทธลักษณะ” ที่ “โยคาวจรกุลบุตรผู้มีญาณคมกล้า ปรารถนาอยู่ซ่ึงความเป็นพระสัพพัญู พุทธเจา้ ” พึงระลึกถึงเนอื งๆ คำาแนะนำาสุดท้ายที่ให้ผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนา ผู้มีญาณคมกล้า และ ปรารถนาจะเป็นพระสัพพัญูพุทธเจ้า ซึ่งหมายถึงพระโพธิสัตว์ผู้ฝกฝนตน ดแี ล้ว ใหร้ ะลกึ ถึงพระพุทธลกั ษณะคือพระธรรมกายเนืองๆ นั้น เปน็ หลกั การ เดยี วกนั กบั ทพี่ บในคมั ภรี ม์ หายานเกา่ แกจ่ ากคนั ธาระและเอเชยี กลาง ซง่ึ บง่ ชี้ ถึงความสัมพันธ์ในเชิงประวัติศาสตร์ว่าคำาสอนท่ีปรากฏในคาถาธรรมกายน่า จะมีต้นกำาเนิดเดียวกันกับคัมภีร์มหายานเหล่านั้น ในขณะท่ีเนื้อหาของพุทธ 135 ธมมฺ กายมตำ พุทฺธำ แปลตรงตวั วา่ “พระพุทธเจ้า ผเู้ ป็นท่ที ราบกนั วา่ ทรงเป็นธรรมกาย” บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 485

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ ญาณและพทุ ธคณุ ในคาถาพระธรรมกายกลบั แสดงความเปน็ เถรวาทอยา่ งเตม็ เปยี ม อนง่ึ ขอ้ ความในภาษาทอ้ งถน่ิ ทตี่ อ่ ทา้ ยคาถาธรรมกายในแตล่ ะคมั ภรี ท์ บ่ี ง่ บอกถงึ เปาหมายถงึ พระนพิ พานอนั เปน็ ลกั ษณะของพทุ ธแบบเถรวาททอ้ งถนิ่ น้ัน บ่งบอกถึงการนำาคาถาธรรมกายมาใช้งานจริงในท้องถ่นิ เอเชยี อาคเนยว์ ่า มไิ ด้เจาะจงตามทร่ี ะบุไวใ้ นบทประมวลความของคาถาธรรมกาย ความหมายของธรรมกายทพี่ บในเอเชยี อาคเนยจ์ งึ เปน็ เครอื่ งรบั รองวา่ ธรรมกายในฐานะทเี่ ปน็ กายแหง่ การตรสั รธู้ รรมนน้ั เปน็ ทรี่ จู้ กั กนั ดขี องชาวพทุ ธ เถรวาทในเอเชยี อาคเนยต์ ง้ั แตก่ อ่ นยคุ สมยั ของพระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร) หลวงพอ่ วัดปากนำ้า ภาษเี จริญ อย่างช้าก็ในยคุ กรุงศรีอยุธยาเป็นตน้ มา การศึกษาหลักฐานธรรมกายในสองภูมิภาคท่ีห่างไกลกันมากในทาง ภูมิศาสตร์นี้ ยังมีประเด็นที่น่าศึกษาและอภิปรายต่อไปอีกดังจะได้นำาเสนอ ตอ่ ไปในบทท่ี 5 486 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org บทที 5 สรปและอภิปรายผล บทที 5 สรปุ และอภปิ รายผล | 487

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ จากวตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการวจิ ยั ในการศกึ ษาความมอี ยจู่ รงิ ของวชิ ชา ธรรมกายในพระพทุ ธศาสนาตง้ั แตด่ ง้ั เดมิ คณะวจิ ยั ไดศ้ กึ ษาหลกั ฐานธรรมกาย จากคัมภีร์พุทธในสองภูมิภาค ได้แก่ ดินแดนตอนเหนือของอินเดีย ตั้งแต่ คนั ธาระโบราณผา่ นเสน้ ทางสายไหมสเู่ อเชยี กลางและประเทศจนี และภมู ภิ าค เอเชียอาคเนย์ ดังที่ได้แสดงผลการศึกษาไว้แล้วในบทที่ 3 และ 4 ส่วนการ ศกึ ษางานวจิ ยั ในอดตี เพอื่ เปน็ ขอ้ มลู ประกอบไดแ้ สดงไวใ้ นบทที่ 2 (ดู 2.4) ในบทน้ี จะไดส้ รปุ และอภปิ รายผลการวจิ ยั เพอื่ ตอบปญั หานาำ วจิ ยั 3 ขอ้ ทีแ่ สดงไวต้ ้ังแตต่ ้น (ดู 1.5.ก) 5.1. คาํ ตอบถงการมีอยู่ของหลักฐานธรรมกาย ในคาํ สอนพระพทุ ธศาสนา จากคำาถามนำาวจิ ัยขอ้ แรกทีว่ ่า ในคำาสอนของพระพุทธศาสนาที่บันทกึ ไวใ้ นภมู ภิ าคตา่ งๆ นน้ั มคี าำ สอนทจี่ ดั เปน็ หลกั ฐานหรอื รอ่ งรอยวชิ ชาธรรมกาย หรอื ไมแ่ ละอะไรบา้ ง ไดค้ าำ ตอบว่า มหี ลกั ฐานธรรมกายจาำ นวนมากในทัง้ สอง ภมู ิภาคทศ่ี ึกษาวจิ ัยในคร้งั น้ี ดังรายละเอียดท่แี สดงไวแ้ ลว้ ในบทท่ี 3 ว่าด้วย หลักฐานธรรมกายจากคันธาระ เอเชียกลาง และประเทศจีน และบทที่ 4 ว่าด้วยหลกั ฐานธรรมกายจากเอเชยี อาคเนย์ 5.2. คําตอบเกียวกบั ความสัมพนั ธ์ในเชิงประวตั ศิ าสตร์ ของหลักฐานธรรมกาย คำาถามนำาวิจัยข้อท่ีสองคือ หลักฐานธรรมกายที่พบเหล่าน้ัน มีความ สอดคล้องและแตกต่างจากหลักการของวิชชาธรรมกายอย่างไร และมีความ 488 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org สอดคล้องและแตกตา่ งกนั เองอย่างไร ความสอดคลอ้ งกบั ความแตกต่างท่พี บ นน้ั มคี วามสาำ คญั อยา่ งไรในเชงิ ประวตั ศิ าสตรก์ ารเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา สำาหรับประเด็นความเหมือนและความแตกต่างระหว่างหลักฐาน ท่ีศึกษากับวิชชาธรรมกาย ได้แสดงไว้แล้วในการแสดงผลหลักฐาน แต่ละชิ้น (บทท่ี 3 และ 4) พร้อมกับแสดงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นในเชิง ประวัติศาสตร์ไว้เป็นบางส่วน ส่วนความสอดคล้องและแตกต่างกันเองของ หลักฐานธรรมกายและข้อสรุปหรือข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ หลักฐานเหล่านั้นกับวิชชาธรรมกายในแง่ของประวัติศาสตร์การเผยแผ่ พระพุทธศาสนาโดยรวมนั้น น่าจะเหน็ ได้ชัดข้นึ โดยการเปรยี บเทียบหลักฐาน ทพ่ี บจากท้ังสองภมู ภิ าค โดยภาพรวม หลักฐานธรรมกายที่พบในสองภูมิภาคมีธรรมชาติท่ี แตกต่างกัน กล่าวคือ หลักฐานท่ีพบจากดินแดนที่เช่ือมต่อกันด้วยเส้นทาง สายไหม ได้แก่ คันธาระ เอเชียกลาง และประเทศจนี มอี ายคุ ัมภรี ต์ ง้ั แตร่ าว พทุ ธศตวรรษท่ี 6-18 และมีท้งั หลักฐานจากนกิ ายหลักหลายนกิ าย พระสูตร มหายานท่ีมีเน้ือหาหลากหลาย ตลอดจนคัมภีร์อื่นๆ เช่น โศลกสรรเสริญ พระพุทธคุณ และคู่มือปฏิบัติธรรม เป็นต้น ส่วนหลักฐานที่ศึกษาจากเอเชีย อาคเนย์ อายุของหลักฐานราวพุทธศตวรรษที่ 10-25 แสดงความเป็นพุทธ เถรวาทล้วนๆ และมีแต่คัมภีร์เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมและคัมภีร์ที่พบคำาว่า ธรรมกายเท่าน้ัน คำาสอนท่ีพบในคัมภีร์เหล่านั้นมีความคล้ายคลึงกันเป็น ส่วนใหญ่ บ่งบอกว่าเป็นคำาสอนของพระพุทธศาสนานิกายเดียวกัน อย่างไร ก็ดีเมื่อนำาหลักฐานจากท้ังสองภูมิภาคมาเปรียบเทียบกันแล้วจะเห็นว่า ส่ิงท่ี ดูผิวเผินเหมือนแตกต่างกันนั้น ในรายละเอียดกลับมีความสอดคล้องกันใน บทที 5 สรุปและอภิปรายผล | 489

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีร์พทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ หลายประการ หรืออาจเรียกว่าเป็นหลักการเดียวกันได้ในบางกรณี แต่ก่อน จะไปถงึ ตรงนนั้ การรบั ทราบผลการศกึ ษาเปรยี บเทยี บระหวา่ งคมั ภรี ท์ เ่ี กา่ แก่ ท่ีสุดของท้งั สองภมู ภิ าค นา่ จะเป็นประโยชนใ์ นการศกึ ษาเปรียบเทยี บคาำ สอน ในลำาดับตอ่ ไป 5.2.1. การศกึ ษาเปรยี บเทยี บคมั ภรี ก์ บั ความเกา่ แกข่ องพระไตรปฎิ ก บาลี ในการศกึ ษาคมั ภรี ล์ ายมอื เขยี น (manuscripts) โดยเฉพาะคมั ภรี ภ์ าษา คานธารีโบราณ สิ่งหนึ่งท่ีขาดไม่ได้คือการเปรียบเทียบเน้ือหาของต้นฉบับ คัมภีร์ท่ีศึกษากับคัมภีร์พระพุทธศาสนาที่เป็นที่รู้จักดีอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะ เป็นพระไตรปฎิ กบาลี พระไตรปฎิ กฉบบั แปลภาษาจนี ภาษาทเิ บต รวมทง้ั ชน้ิ สว่ นคัมภีร์ภาษาสันสกฤตและคานธารีที่พบมากอ่ นหน้าน้ัน บ่อยครั้งท่ีการศึกษาเปรียบเทียบเน้ือหาของคัมภีร์คานธารีกับพระ ไตรปิฎกบาลีจะให้คำาตอบที่น่าทึ่ง เมื่อพบว่าคัมภีร์พุทธเก่าแก่ในอักษร ขโรษฐีท่ีมีอายุราวสองพันปีก่อน ไม่เคยผ่านการตรวจชำาระใดๆ และเผยแผ่ ถ่ายทอดกันอยใู่ นดนิ แดนท่หี ่างไกล กลบั มามีเนอื้ หาพ้องกนั หรอื ตรงกนั และ ในบางครั้งแทบจะล้อกันคำาต่อคำากับเน้ือหาของพระไตรปิฎกบาลี ส่วนความ แตกต่างที่พบกลับเป็นเพียงรายละเอียดเล็กน้อยซ่ึงไม่ใช่ประเด็นหลักของคำา สอน เช่น ลำาดบั คาำ การสะกดคาำ เปน็ ต้น (ดูตัวอย่าง 3.1.4, 3.1.5, 3.1.8) อย่างไรก็ดีในบางกรณีกลับพบว่า เนื้อหาคำาสอนบางส่วนท่ีพบในคัมภีร์ คานธารไี ปพอ้ งตรงกบั คมั ภรี อ์ าคมะจนี และไมพ่ บในพระไตรปฎิ กบาลกี ม็ ี หรอื อาจ พบเนอ้ื หาเพยี งบางสว่ นในคมั ภรี จ์ นี และบางสว่ นในบาลี (ดตู วั อยา่ ง 3.1.3) 490 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org ปรากฏการณ์น้ี ในด้านหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า เป็นเคร่ืองยืนยันรับรอง ความเทยี่ งตรงของชาวพทุ ธเถรวาทในการสบื ทอดคาำ สอนในพระไตรปฎิ กบาลี ว่า แม้จะผ่านการสังคายนามาหลายครั้งและผ่านการตรวจชำาระมาคร้ังแล้ว ครั้งเล่า พระไตรปิฎกบาลีก็ยังคงรักษาคำาสอนเก่าแก่ของพระพุทธศาสนาไว้ ไดอ้ ยา่ งถูกต้องดงั ทีม่ เี น้อื หาของคมั ภรี ค์ านธารโี บราณเปน็ เครอ่ื งรับรอง แต่ ในเวลาเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า สิ่งที่เก็บรักษาไว้ในพระไตรปิฎกบาลีไม่ใช่ ท้ังหมดของคำาสอนดั้งเดิมในพระพุทธศาสนา ดังนั้นการที่จะศึกษาคำาสอน ในเชิงปริยัติให้เข้าใจพระพุทธศาสนาดั้งเดิมได้อย่างสมบูรณ์นั้น การศึกษา พระไตรปฎิ กบาลรี ว่ มกนั กบั คมั ภรี พ์ ทุ ธโบราณอนื่ ๆ ดว้ ยนา่ จะใหภ้ าพรวมของ คาำ สอนดัง้ เดิมทีค่ รบถ้วนรอบดา้ นมากขึ้น 5.2.2. หลักการท่ีตรงกันในสองภูมิภาค : แกนกลางสากลของ พระพทุ ธศาสนา หลักคำาสอนจากภูมิภาคท้ังสองที่ศึกษาในงานวิจัยน้ี ที่เม่ือมองดูโดย ผิวเผินเหมือนจะแตกต่างกันน้ัน หากพิจารณาในรายละเอียดแล้วกลับมีส่วน สอดคล้องหรือตรงกนั ในหลายประเด็น ดังทีย่ กมาเปน็ ตัวอย่างด้านล่างนี้ 5.2.2.1. จิตบริสทุ ธ์ดิ ง้ั เดมิ กบั หลักการตถาคตครรภะ และ “ดวง แกว้ ทขี่ ้ามา” คัมภีร์ปฏิบัติธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทท้องถ่ินจากเอเชีย อาคเนยก์ ลา่ วถงึ สภาวะดง้ั เดมิ ของมนษุ ย์ ทเี่ รยี กวา่ “ดวงแกว้ ทข่ี า้ มา” วา่ เปน็ สภาวะทเ่ี ปน็ สขุ เกษม ไมแ่ ก่ และไมต่ าย ทง้ั ยงั เปน็ เปาหมายทท่ี กุ ชวี ติ ตอ้ งการ จะกลับไปให้ถงึ (ดู 4.3.1.2) บทที 5 สรุปและอภิปรายผล | 491

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ - ในเวลาสร้างบุญกุศล ก็อธิษฐานจิตว่า “ขอเดชแห่งบุญนี้ ขอให้ ข้าพเจา้ ไดก้ ลบั ไปเกิดในดวงแกว้ ทีข่ า้ มาน้นั ดว้ ยเถิด” - หากประมาทพลาดพลงั้ ไปคดิ พดู หรอื ทาำ ในทางทจุ รติ เขา้ “ดวงจติ ทก่ี ลบั กลาย” กจ็ ะพามนษุ ยไ์ ปเกิดใน “ที่โสโครก” คือ อบายหรอื ทุคติ แทนท่ี จะพากลับไปเกิดใน “ดวงแก้วท่ขี า้ มา” ตามทต่ี ้งั ความปรารถนาไว้ โดยนยั นี้ คณุ สมบตั ขิ อง “ดวงแกว้ ทข่ี า้ มา” ดงั กลา่ วจงึ เปน็ คณุ ลกั ษณะ ของนิพพาน ซึ่งนอกจากจะเป็นสุขและยั่งยืนแล้ว ยังเป็นสภาวะท่ีสะอาด บริสุทธิ์และเป็นเปาหมายของทุกชีวิต ส่วนการท่ีจะกลับไปสู่ภาวะท่ีสะอาด บรสิ ุทธดิ์ ง้ั เดมิ ได้น้ัน ดวงจติ ตอ้ ง “ไมก่ ลับกลาย” คือตอ้ งอย่ใู นสภาวะของจิต ด้งั เดิมท่ีสะอาดบริสทุ ธิ์ เพราะดวงจติ ท่ีกลบั กลายจะพาไปสูท่ ุคติ หลักการที่ว่ามนุษย์มีต้นกำาเนิดดั้งเดิมที่สะอาดบริสุทธิ์นั้น มีแสดงไว้ ในพระไตรปิฎกบาลีด้วยเช่นกันว่า จิตเป็นของผ่องใส แต่มาเศร้าหมองไป ภายหลังเพราะอุปกิเลสท่ีจรมา และจิตสามารถหลุดพ้นจากอุปกิเลสน้ันได้ อริยสาวกได้สดับดังน้ีแล้ว จึงเจริญสมาธิภาวนา (องฺ.เอก. 20/50-3/11-2) การทบี่ อกวา่ “อปุ กเิ ลสทจี่ รมา” นน้ั บง่ บอกถงึ แหลง่ ทม่ี าของกเิ ลส วา่ มาจาก ท่ีอ่ืน ไม่ได้เป็นธรรมชาติด้ังเดิมของจิต และเม่ือมาแล้วก็มาปนเปื้อน ทำาให้ จิตที่เคยสะอาดผ่องใสน้ันเศร้าหมองไป ซึ่งก็คือ “จิตท่ีกลับกลาย” ท่ีจะพา ไปสู่อบายน่ันเอง ส่วนการท่ีบอกว่า จิตหลุดพ้นจากอุปกิเลสท่ีจรมาได้นั้น บ่งบอกถงึ ศักยภาพในการตรัสร้แู ละเขา้ ถงึ นิพพาน โดยการกลัน่ จิตใหก้ ลบั มา อยู่ในสภาวะดั้งเดมิ ทสี่ ะอาดบริสุทธผ์ิ ่องใสอีกครัง้ ศักยภาพของมนุษย์ในการตรัสรู้เพ่ือกลับไปสู่สภาวะที่สะอาดบริสุทธ์ิ 492 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org ด้งั เดิมในทำานองนี้ มกี ลา่ วไว้ในคาำ สอนของดนิ แดนท่เี ช่ือมตอ่ กนั ด้วยเสน้ ทาง สายไหมด้วยเช่นกัน เป็นหลักการที่เรียกว่า “แนวคิดตถาคตครรภะ” ท่ีเก็บ รักษาไวโ้ ดยชาวพทุ ธมหายานว่า มนุษยท์ ุกคนมธี าตแุ หง่ ความเป็นพทุ ธะ อยู่ ภายใน แต่ถกู บดบงั ไว้ดว้ ยกเิ ลส ตถาคตครรภะกค็ ือธรรมกาย ซึ่งเป็นสุญญตา คือว่างเปล่าจากกิเลส แต่บริบูรณ์ด้วยพุทธคุณอันไม่มีประมาณ (ดู 3.2.4.1) พุทธภาวะที่มีอยู่ภายในของสรรพสัตว์น้ัน บริสุทธ์ิบริบูรณ์มาแต่ดั้งเดิม และ ก็มีปัญญารู้แจ้งอยู่แล้ว กิเลสอาสวะก็เป็นเพียงมาย้อมภายนอก ซ่ึงจะต้อง ชาำ ระล้างออกไป ไมเคลิ ซมิ เมอรแ์ มนน์ (Zimmermann 2011) ไดแ้ สดงไวว้ า่ พทุ ธภาวะ ทอี่ ยูใ่ นตัวมนษุ ยน์ น้ั มชี ่อื เรยี กหลายอย่าง และหลายๆ ชื่อก็บ่งบอกถงึ ความ เป็น “กายพระ” ดังตัวอย่างตอ่ ไปนี้ - ชนิ กาย (กายของพระชินเจา้ ) - สคุ ตกาย (กายของพระสคุ ต) - ตถาคตกาย (กายของพระตถาคต) - พทุ ธตวฺ า หรือ พุทฺธตฺตา (ความเป็นพระพทุ ธเจ้า) - พทุ ฺธชฺ านโกศ (ชัน้ แหง่ พุทธญาณ) - ตถาคตธรมฺ ตา (ธรรมชาติของพระตถาคต) - ตถาคตสยฺ อวนิ าศธรมฺ ตา (ธรรมชาตทิ ไ่ี มถ่ กู ทาำ ลายของพระตถาคต) เป็นตน้ การท่ีหลักคำาสอนเก่ียวกับดวงแก้วที่เป็นต้นกำาเนิดอันสะอาดบริสุทธ์ิ ของมนุษย์ท่ีกล่าวไว้ในคำาสอนเถรวาทท้องถิ่นในเอเชียอาคเนย์ กับศักยภาพ บทที 5 สรุปและอภิปรายผล | 493

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ในการตรัสรู้ท่ีจะกลับไปสู่สภาวะด้ังเดิมท่ีสะอาดบริสุทธิ์ของจิตดังที่กล่าวไว้ ในพระไตรปิฎกบาลี ท่ีมาพ้องตรงกันกับหลักการตถาคตครรภะในพระพุทธ ศาสนามหายานนั้น บ่งบอกถึงคำาสอนที่เป็น “แกนกลางร่วมกันระหว่าง พระพทุ ธศาสนาตา่ งนกิ าย” ทน่ี า่ จะเปน็ คาำ สอนเกา่ แกท่ มี่ มี าตง้ั แตก่ อ่ นการแตก นิกายแล้ว และเป็นหัวใจคาำ สอนในพระพทุ ธศาสนาท่ีหลายนกิ ายต่างรกั ษาไว้ เหมอื นกนั แตอ่ ธบิ ายหรอื กลา่ วถงึ ดว้ ยถอ้ ยคาำ ทแ่ี ตกตา่ งกนั เทา่ นนั้ ดงั ท่ี ไมเคลิ ซมิ เมอรแ์ มน ผศู้ กึ ษาวจิ ยั เรอื่ งนม้ี าอยา่ งลกึ ซง้ึ ไดแ้ สดงความเหน็ ไวว้ า่ “ตถาคต ครรภสูตรของอินเดีย เขียนข้ึนโดยชาวพุทธ เป็นภาพรวมที่สมบูรณ์ของ คำาสอนในพระพทุ ธศาสนาทีด่ ั้งเดมิ มากๆ และน่าจะไม่ได้เขยี นขนึ้ เพ่ือโตต้ อบ นกั คดิ รนุ่ หลงั อยา่ งทหี่ ลายๆ ทา่ นเขา้ ใจ เพราะนา่ จะเขยี นขน้ึ มานานกอ่ นยคุ ของ การถกเถยี งกนั เชงิ ปรชั ญา และไมใ่ ชเ่ ขยี นเพอ่ื จะแก้ไขพทุ ธปรัชญาให้ถกู ตอ้ ง แตเ่ พอ่ื อธบิ ายใหช้ าวพทุ ธในยคุ แรกเรม่ิ เขา้ ใจวา่ พทุ ธภาวะนน้ั มอี ยแู่ ลว้ ภายใน ตวั ทกุ คนและมคี วามเตม็ เปยี มบรบิ รู ณอ์ ยภู่ ายใน” (Zimmermann 2011) 5.2.2.2. นพิ พานเปน็ แก่นสาร เท่ยี งแท้ เปน็ สขุ ไมม่ ีแก่ และไม่มี ตาย คัมภีร์ของโยคาวจรในเอเชียอาคเนย์กล่าวถึงนิพพานว่า เป็นธรรมที่ เทย่ี งแท้ เปน็ สขุ อยา่ งยงิ่ เปน็ แก่นสาร ไมม่ ีความเกิด แก่ เจบ็ ตาย (4.2.3.1) ส่วนคัมภีร์ภาษาคานธารีจากคันธาระโบราณกล่าวว่า นิพพานธาตุไม่มีความ ชรา คือเป็นสภาวะที่เท่ียงแท้ ไม่แปรผันเป็นอย่างอื่น (3.1.3) และเป็นสุขท่ี เทยี่ งแท้ ไมก่ ลบั กลายเช่นกนั (3.1.8) ส่วนพระพุทธศาสนามหายานที่พบใน ดินแดนที่เชื่อมต่อกันด้วยเส้นทางสายไหม กล่าวถึงธรรมกายและนิพพานใน 494 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ลักษณะเดียวกนั วา่ “นิพพานเป็นนิจจงั กายของตถาคตกเ็ ป็นนจิ จังเชน่ กัน” (3.2.4.2) หลักการทวี่ ่า นพิ พานเป็นธรรมทเี่ ท่ยี งแท้ เป็นสุข และไมม่ แี ก่ ไม่มี ตาย จึงนับว่าเป็นหลักการท่ีตรงกันของคัมภีร์จากภูมิภาคทั้งสอง และตรง กนั กบั พระไตรปฎิ กบาลี (ม.ม.ู 12/315/314, อง.นวก. 23/238/430-434) 5.2.2.3. พระพุทธเจ้าในนิพพานยังคอยช่วยเหลือสัตว์โลกอยู่ เสมอ คมั ภรี ข์ องโยคาวจรในเอเชยี อาคเนยร์ ะบวุ า่ พระพทุ ธเจา้ ในนพิ พานยงั คอยสอดพระญาณชว่ ยเหลอื สัตวโ์ ลกผู้เข้าในขา่ ยพระญาณอยูเ่ สมอ และการ ท่ีจะเข้าไปอยู่ในข่ายพระญาณของพระองค์ก็โดยการระลึกถึงพระพุทธเจ้า และพระรัตนตรัยเป็นที่พ่ึง (4.3.2.4) และยังมีคาถาธรรมกายที่แนะนำาให้ ผู้ปฏิบัติธรรมที่ต้ังความปรารถนาจะเป็นพระสัพพัญูพุทธเจ้าหมั่นระลึกถึง พุทธลักษณะคอื พระธรรมกายเนอื งๆ (4.1.1.1.ข) ส่วนคัมภีร์พุทธมหายานที่พบในคันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี กลา่ วถงึ การทผี่ ปู้ ฏบิ ตั เิ จรญิ สมาธภิ าวนาและเหน็ พระพทุ ธเจา้ แลว้ จะสามารถ รบั ฟงั คาำ สอนจากพระองคไ์ ด้ และไดร้ บั อานภุ าพตา่ งๆ รวมทง้ั ความชว่ ยเหลอื จากพระองค์ด้วย (3.3.2.1, 3.3.2.2) นอกจากนคี้ ัมภีรม์ หายานบางคมั ภีรย์ งั กล่าวถึงผลดีท่ีจะได้รับจากการตรึกระลึกถึงพระพุทธองค์คือ ทำาให้กุศลมูล เจริญงอกงาม อกศุ ลวิบากถูกขจดั สนิ้ ไป มีอนิ ทรียแ์ ก่รอบ เหลอื แต่กุศลท่ีจะ นำาใหถ้ ึงความเป็นพระพุทธเจ้าไดโ้ ดยงา่ ย ในพระไตรปิฎกบาลี แม้จะไม่มีข้อความกล่าวถึงการช่วยเหลือจาก พระพุทธเจ้าในนิพพานโดยตรง แต่ก็มีคำาสอนที่แนะนำาให้เจริญพุทธานุสติ บทที 5 สรุปและอภปิ รายผล | 495

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ โดยกล่าวถึงอานิสงส์ไว้มากมายในทำานองเดียวกัน (4.2.1.1) พระพุทธองค์ ยังทรงแนะนำาอรยิ สาวกใหเ้ จริญพุทธานุสตอิ ีกด้วย และทรงสอนพระภกิ ษใุ ห้ ระลึกถึงพระองค์ในยามมีภัยด้วย แม้จะไม่ได้กล่าวไว้จะแจ้งดังท่ีกล่าวไว้ใน คมั ภรี ์โยคาวจรก็ตาม แต่กน็ ับไดว้ ่าเป็นหลักคาำ สอนทีเ่ ขา้ กันไดแ้ ละไม่ขัดแย้ง กันแตอ่ ย่างใด จงึ กลา่ วได้วา่ หลักการที่แนะนำาใหเ้ จริญพทุ ธานสุ ติ ระลกึ ถึงพระพุทธ องค์และจะได้รับความช่วยเหลือจากพระองค์จึงเป็นหลักการกลางๆ ร่วมกัน ที่พระพุทธศาสนาหลายนิกายต่างเก็บรักษาไว้เหมือนๆ กัน ซึ่งบ่งบอกว่าน่า จะเป็นคำาสอนเก่าแก่ท่ีมีมาตั้งแต่ก่อนการแตกนิกายที่นิกายต่างๆ รักษาไว้ เหมอื นๆ กัน 5.2.2.4. หลักการปฏิบัติเพ่ือความหลดุ พ้น คำาสอนในคัมภีร์คานธารีเก่าแก่ แนะนำาหลักในการปฏิบัติเพ่ือถึงพระ นพิ พาน ซ่ึงอาจแบ่งเปน็ ประเด็นยอ่ ยได้ 3 ประเดน็ ดงั น้ี ก. ใหป้ ลอยวางขนั ธ์ 5 ที่ไมใชตน ในคมั ภรี เ์ กา่ แกภ่ าษาคานธารี มคี าำ แนะนาำ ใหป้ ลอ่ ยวางขนั ธ์ 5 ทไี่ มใ่ ชต่ น และให้หน่ายในขันธ์ 5 (3.1.5) และคาำ แนะนาำ ใหเ้ จริญสญั ญา 4 ประการ1เพอื่ ไมย่ ึดติดในสิง่ ใด (3.1.6) เพราะผ้ทู ่ีไมย่ ดึ ติดในสงิ่ ตา่ งๆ ย่อมมงุ่ ตรงสนู่ พิ พาน (3.1.7) 1 สัญญา 4 ประการ ได้แก่ อสุภสญั ญา (มองสงั ขารรา่ งกายวา่ ไม่งาม) มรณสญั ญา (หมน่ั ระลึกถึงความ ตายที่จะมาถงึ ) อาหาเรปฏิกลู สัญญา (พิจารณาเห็นว่าอาหารเป็นสิง่ ปฏิกลู ) และสัพพโลเกอนภริ ต สญั ญา (ความไมย่ ดึ ตดิ ยนิ ดผี กู พนั ในโลกทง้ั ปวง ซง่ึ กค็ อื ไมผ่ กู พนั หรอื ตดิ ใจในสงั ขารทงั้ หลายนน่ั เอง) 496 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org คำาสอนใหป้ ลอ่ ยวางขันธ์ 5 และการอบรมสญั ญาตา่ งๆ ที่จะช่วยใหไ้ ม่ ยึดติดในขนั ธ์ 5 นน้ั มกี ล่าวไว้มากในคมั ภีร์จากเอเชยี อาคเนยเ์ ช่นกัน เชน่ ใน คมั ภรี ข์ องโยคาวจร แนะนาำ เปน็ อปุ มาอปุ ไมยวา่ ใหก้ าำ จดั นกอนิ ทรที คี่ อยจกิ กนิ คนทงั้ เปน็ “นกอนิ ทร”ี เปน็ ช่อื ของอายตนะภายใน ไดแ้ ก่ ตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ ซง่ึ เปน็ อกี ชอื่ หนงึ่ ของขนั ธ์ 5 นน่ั เอง (4.3.1.1) นอกจากน้ี ยงั มคี าำ แนะนาำ ให้ เจรญิ อสภุ สญั ญา และมรณสญั ญาในคมั ภรี จ์ ตรุ ารกั ขา (4.2.2) และสญั ญาอน่ื ๆ ในลกั ษณะคลา้ ยกนั ในคมั ภรี ม์ ลู ลกมั มฐานของลา้ นนา และในพระไตรปฎิ กบาลี มกี ลา่ วไวม้ ากถงึ สญั ญา 52 ประการทนี่ าำ ไปสอู่ มตะ (อง.ฺ ปจฺ . 22/62/91) และ ยังมีสัญญา 9 และสญั ญา 10 ในลักษณะท่ีคล้ายกัน สว่ นในคมั ภรี พ์ ทุ ธมหายาน แนะนาำ ใหป้ ลอ่ ยวางขนั ธ์ 5 เชน่ เดยี วกนั แต่ ใชถ้ อ้ ยคาำ ทแี่ ตกตา่ งกนั วา่ ใหม้ องทกุ สง่ิ วา่ งเปลา่ ไมม่ แี กน่ สาร แมแ้ ตส่ ง่ิ ทเี่ ขา้ ถงึ ในสมาธิ เมอื่ อบรมสญั ญาวา่ เปน็ อภาวะแลว้ ตอ่ จากนนั้ จงึ จะเหน็ พระพทุ ธเจา้ (3.3.2.1, 3.3.2.2) ข. ใหป้ ระกอบความเพยี รเจริ สมาธภิ าวนา ในคมั ภรี ค์ านธารเี กา่ แกข่ องนกิ ายหลกั มคี าำ สอนใหป้ ระกอบความเพยี ร ในฐานะ 4 คือ เพยี รระวงั อกุศลไมใ่ หเ้ กดิ ขนึ้ เพียรละอกศุ ลทเ่ี กดิ แลว้ เพยี ร เจริญกุศลท่ียังไม่เกิด และเพียรรักษากุศลท่ีเกิดแล้ว (3.1.2) นอกจากนี้ยังมี คมู่ อื ปฏบิ ตั ธิ รรมทแ่ี นะนาำ การเจรญิ สมาธภิ าวนาในรปู แบบตา่ งๆ ทง้ั ทเี่ ปน็ ของ นกิ ายหลกั (3.3.1, 3.3.2.3) และมหายาน (3.3.2.1-3.3.2.2, 3.3.2.4-3.3.2.7) 2 สญั ญา 5 ประการ ได้แก่ อนิจจสญั ญา (มองขนั ธ์ 5 ว่าไม่เทยี่ ง) อนตั ตสญั ญา (ขันธ์ 5 ไมใ่ ชต่ น) มรณ สัญญา อาหาเรปฏิกูลสัญญา และสัพพโลเกอนภริ ตสญั ญา บทที 5 สรุปและอภิปรายผล | 497

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ในเอเชียอาคเนย์ มีคำาแนะนำาให้เจริญภาวนาในทำานองเดียวกัน เช่น ปธาน 4 ในพระไตรปฎิ กบาลี (ท.ี ปา. 11/238/237) คัมภรี ์โยคาวจรเนน้ ให้ เจรญิ สมาธภิ าวนาซง่ึ เปน็ วธิ เี ดยี วทจ่ี ะพาไปสนู่ พิ พานไดต้ ามอยา่ งพระพทุ ธเจา้ พระปจั เจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ (4.3.2.2) และมีคู่มอื แนะนำาการปฏบิ ตั ิ ธรรมโดยตรง เชน่ จตุรารกั ขา (4.2.1.2, 4.2.2) มูลลกมั มฐานของลา้ นนา และ มูลพระกัมมฏั ฐานของเขมร (4.2.1.3, 4.2.3) เป็นต้น ค. ต้องทงั ร้ทงั เหนจงจะกําจั กิเลสไ ้ ในคัมภีร์คานธารี กล่าวถึงหลักการหน่ึงในการกำาจัดกิเลสว่า ต้อง ประกอบดว้ ยทงั้ ความรแู้ ละความเหน็ เพราะผทู้ ไี่ มร่ ู้ หรอื ไมเ่ หน็ นน้ั กาำ จดั กเิ ลส ไมไ่ ด้ (3.1.4) ความรเู้ หน็ ในทนี่ ค้ี อื ความรเู้ หน็ ความเกดิ ดบั ของขนั ธ์ 5 เมอ่ื รเู้ หน็ แล้วจึงเกิดความหน่าย คลายกาำ หนดั ปลอ่ ยวาง มใี จมุ่งตรงสนู่ ิพพาน คาำ สอน ท่ีว่าต้องทั้งรู้ทั้งเห็นจึงจะกำาจัดกิเลสได้น้ีตรงกันกับท่ีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก บาลี (ส.ำ น.ิ 16/68/35) ของเอเชยี อาคเนย์ สว่ นในคาำ สอนของโยคาวจรนนั้ แมจ้ ะไมไ่ ดก้ ลา่ วถอ้ ยคาำ วา่ “ทง้ั รทู้ งั้ เหน็ ” โดยตรง แต่กส็ อนไว้วา่ การท่ีจะหลุดพ้นไดน้ ัน้ ตอ้ งหาดวงแก้วภายในตัวคือ โลกุตรธรรมสี่ระดบั ไดแ้ ก่ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี และอรหนั ต์เพ่ือท่ี จะไปนาำ ดวงแกว้ นี้ “สอ่ งแจง้ นาำ เขา้ ไปในประตพู ระนพิ พาน” การกลา่ วถงึ ดวง แก้วสีด่ วงคือโลกตุ รธรรม 4 ระดบั ในลักษณะทส่ี ว่างไสวนน้ั ส่อื ถึงความหมาย ของ “การเห็น” ที่เกิดจากสมาธิภาวนาด้วยเช่นกัน (4.3.1.1, 4.3.1.4, 4.3.1.6) ในพระสูตรมหายานที่พบในคันธาระ เอเชียกลาง และประเทศจีน มี 498 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org ลกั ษณะเดยี วกนั กบั คมั ภรี ข์ องโยคาวจรคอื แมจ้ ะไมไ่ ดก้ ลา่ ววา่ ตอ้ งทง้ั รทู้ ง้ั เหน็ โดยตรง แต่พระสตู รแนะนาำ การเจริญสมาธิภาวนากก็ ล่าวถึงทัง้ “ความเห็น” และ “ความสวา่ ง” ทเ่ี กิดข้ึนในการเจริญสมาธภิ าวนา (ตัวอยา่ งใน 3.3.2.1, 3.3.2.2, 3.3.2.4, 3.2.5.1) รวมท้ัง “ความร”ู้ วา่ สิง่ ตา่ งๆ ลว้ น “วา่ งเปล่า” (Skilton 2002 : 137) คำาแนะนำาให้ปล่อยวางจากส่ิงท่ีไม่ใช่ตนคือขันธ์ 5 และคำาแนะนำาให้ ประกอบความเพยี ร เจรญิ สมาธภิ าวนา เพอื่ เปน็ หนทางหลดุ พน้ จากวฏั สงสาร เขา้ สพู่ ระนพิ พาน รวมทงั้ หลกั การทวี่ า่ ในการปฏบิ ตั ติ อ้ งใหถ้ งึ ขนั้ ทท่ี งั้ รแู้ ละทงั้ เหน็ คอื มที ้งั จกั ษุและญาณ จึงจะนาำ ตวั รอดพน้ จากทกุ ข์ได้ จงึ อาจนบั วา่ เปน็ คำาสอนหลักทเี่ ป็นแกนกลางคำาสอนของทุกนกิ ายร่วมกนั อีกประการหน่ึง 5.2.2.5. พระพทุ ธองคท์ รงเปน็ “พุทธะ” เป็น “ธรรมกาย” มิใช่ มนษุ ย์หรอื เทวดา ในคัมภีร์นิกายหลักเก่าแก่ จารึกในภาษาคานธารี มีพระสูตรหน่ึงท่ี พระพทุ ธองคต์ รสั วา่ พระองคม์ ไิ ดเ้ ปน็ มนษุ ย์ และมไิ ดเ้ ปน็ เทวดาประเภทตา่ งๆ แต่ทรงเป็น “พุทธะ” เพราะพระองค์ทรงหมดกิเลสท่ีจะทำาให้เป็นอย่างอื่น แล้ว แม้จะยังทรงดำารงอยู่ในโลกแต่ก็ไม่ติดโลก ประดุจดอกบัวท่ีไม่เปื้อนนา้ำ และโคลนตมฉะน้ัน (3.1.1) เป็นคำาสอนท่ีตรงกันกับในพระไตรปิฎกบาลีซึ่ง จดั เปน็ นกิ ายหลกั เหมอื นกนั (อง.ฺ เอก. 21/36/48-50) แตข่ องคนละภมู ภิ าค อนง่ึ หลกั การน้ี นบั วา่ เปน็ หลกั การเดยี วกนั กบั ทต่ี รสั ไวใ้ นอคั คญั ญสตู ร วา่ พระองคท์ รงเปน็ ธรรมกาย หรอื ธรรมกายเปน็ พระนามของพระองค์ (ท.ี ปา. 11/55/92) ซึง่ บ่งบอกว่า รูปกายไมใ่ ชก่ ายทแี่ ทจ้ รงิ ของพระองค์ แตธ่ รรมกาย บทที 5 สรุปและอภปิ รายผล | 499

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ เทา่ น้ันทเ่ี ปน็ พระพุทธองค์ที่แท้ ในคัมภีร์พุทธเถรวาทท้องถิ่น มีข้อความทำานองเดียวกันปรากฏอยู่ใน คาถาธรรมกาย คอื ธมมฺ กายมตํ พทุ ธฺ ํ ทแี่ ปลวา่ “(ระลกึ ถงึ ) พระพทุ ธเจา้ ผเู้ ปน็ ที่ทราบกันว่า เป็นธรรมกาย” ข้อความน้ีบ่งบอกชัดเจนถึงความเข้าใจของ ชาวพุทธในยุคนั้นว่าธรรมกายเป็นตัวตนท่ีแท้จริงของพระองค์ ไม่ใช่รูปกาย และดงั นน้ั พระองคจ์ งึ เปน็ “ธรรม” (ธมมฺ ภโต) มใิ ช่ “มนษุ ย์” ส่วนพระสูตรมหายานยุคต้น มีข้อความกล่าวไว้มากมายถึงการท่ี พระองค์ทรงเป็นธรรมกาย และให้มองเห็นพระองค์โดยธรรมกาย มิใช่โดย รูปกาย โดยเฉพาะในคมั ภรี ์สายปรัชญาปารมติ า ต้ังแต่อัษฏสาหสรกิ าปรัชญา ปารมติ า เปน็ ตน้ มา เปน็ ความเขา้ ใจทย่ี งั คงเดมิ อยตู่ ลอดในทกุ ยคุ สมยั ของพทุ ธ วรรณกรรมสายปรชั ญาปารมติ า (3.2.1.1-3.2.1.3) และในคมั ภรี พ์ ทุ ธมหายาน อน่ื ๆ เชน่ สมาธริ าชสูตรทก่ี ล่าวถงึ การปฏิบตั ิพุทธานุสติ (3.2.1.4) หลักการที่พระพุทธองค์ทรงเป็นธรรมกายหรือเป็นพุทธะ มิได้เป็นรูป กายหรอื กายมนษุ ยท์ ต่ี รงกนั ทงั้ ในนกิ ายหลกั ของคนั ธาระ ในนกิ ายหลกั เถรวาท ฝ่ายบาลี และในคัมภีร์เถรวาทท้องถิ่นรวมท้งั ในพระพทุ ธศาสนามหายาน จึง มสี ถานะของการเปน็ หลกั การกลางรว่ มกนั ของพระพทุ ธศาสนาทกุ นกิ าย และ น่าจะเป็นคำาสอนเก่าแก่ด้ังเดิมท่ีมีมาก่อนการแตกนิกาย ทั้งยังเป็นหัวใจที่ พระพทุ ธศาสนาทกุ นกิ ายเกบ็ รกั ษาไวร้ ่วมกนั 5.2.2.6. ธรรมกายเปน็ กายแหง่ การตรัสร้ธู รรม ในคาำ สอนนกิ ายหลกั ทเ่ี กบ็ รกั ษาไวใ้ นคมั ภรี ส์ งั ยกุ ตาคมะ ภาษาจนี มคี าำ สอนทแี่ สดงถงึ ความสาำ คญั ของธรรมกายในฐานะทเ่ี ปน็ กายแหง่ การตรสั รธู้ รรม 500 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org โดยเกดิ ขนึ้ ในขน้ั ตอนของการตรสั รขู้ องพระพทุ ธองคแ์ ละทาำ หนา้ ทใ่ี นการตรสั รู้ เปลย่ี นแปลงพระสทิ ธตั ถราชกมุ ารจาก “มนษุ ย”์ เปน็ “พทุ ธะ” (3.2.5.2) หลกั การคลา้ ยกันพบในคมั ภรี ์มหายานจากทอ้ งถิน่ เดยี วกันด้วย คือใน สุวรรณประภาโสตตมสูตรที่กล่าวถึงการบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณกับการ ไดเ้ ข้าถงึ พระธรรมกายวา่ เกิดข้ึนร่วมกัน (3.2.5.1) และในคัมภรี ข์ องโยคาวจร อนั ไดแ้ กค่ าถาธรรมกายทแี่ สดงไวช้ ดั เจนวา่ ในบรรดาพทุ ธญาณทป่ี ระกอบกนั ขึ้นเป็นธรรมกายนั้นนอกจากจะมีญาณเพ่ือการทำาหน้าท่ีบรมศาสดาในการ โปรดสัตว์โลกท้ังหลายแล้ว ยังมีญาณท่ีมีความสำาคัญในการตรัสรู้ธรรมของ พระองค์เองด้วยซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าธรรมกายเป็นกายแห่งการตรัสรู้ธรรม (4.1.1.2.ง-จ) สว่ นในพระไตรปฎิ กบาลี แมป้ ระเดน็ นจ้ี ะไมม่ แี สดงไวอ้ ยา่ งแจง้ ชดั กต็ าม หากข้อความเกี่ยวกับธรรมกายที่พบในปัจเจกพุทธาปทานก็บ่งช้ีไปในทิศทาง เดียวกันว่าธรรมกายเป็นกายแห่งการตรัสรู้ธรรม เพราะกล่าวถึงธรรมกายใน ลำาดับของการบรรยายคุณวิเศษท่ีเก่ียวข้องกับการตรัสรู้ธรรมของพระปัจเจก พทุ ธเจา้ (ข.ุ อป. 32/2/20) และในอตั ถสนั ทสั สกเถราปทานกก็ ลา่ วถงึ ธรรมกาย ในลำาดบั ของการบรรยายพระพทุ ธคุณของพระปทมุ ุตรพทุ ธเจ้าในฐานะทที่ รง เป็นเลิศดว้ ยพทุ ธญาณแหง่ การตรสั รู้ (4.1.2.1.ก) 5.2.2.7. บทสรปุ หลกั การทต่ี รงกันในสองภูมภิ าค ตวั อยา่ งทยี่ กมาขา้ งบนนเี้ ปน็ การเปรยี บเทยี บคาำ สอนทจี่ ดั เปน็ หลกั ฐาน ธรรมกายจากสองภูมิภาค ซ่ึงอาจเรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนา ต่างนกิ าย ได้แก่ บทที 5 สรปุ และอภปิ รายผล | 501

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ 1. พระพทุ ธศาสนานกิ ายหลกั ในดนิ แดนคนั ธาระโบราณ ซง่ึ นกั วชิ าการ สันนิษฐานวา่ อาจเปน็ ธรรมคปุ ตกห์ รือสรรวาสตวิ าท เปน็ คาำ สอนทเี่ ผยแผจ่ าก อนิ เดยี ขน้ึ ไปทางทิศเหนอื เผยแผแ่ ละเตบิ โตอยูใ่ นทอ้ งถนิ่ ทเ่ี รียกวา่ เปน็ แควน้ คันธาระในยคุ สมัยกวา่ สองพนั ปีก่อน คมั ภีรท์ ี่พบจารึกในภาษาคานธารมี อี ายุ การคดั ลอกตงั้ แตร่ าวพทุ ธศตวรรษที่ 5-6 จนถงึ ราวพทุ ธศตวรรษที่ 8-9 ซงึ่ อาจ สบื ย้อนไปถึงตน้ ตอของคำาสอนไดถ้ ึงพุทธศตวรรษที่ 3 เป็นอยา่ งชา้ 2. พระพุทธศาสนานิกายหลักในเอเชียอาคเนย์ อันได้แก่พระพุทธ ศาสนาเถรวาทกระแสหลกั ซง่ึ มพี ระไตรปฎิ กบาลเี ปน็ ตวั แทน ตาำ นานวา่ เผยแผ่ จากอนิ เดยี ตรงไปยงั ศรลี งั กา และมาสเู่ อเชยี อาคเนยใ์ นภายหลงั ตน้ ฉบบั ตพี มิ พ์ มีอายุราวพทุ ธศตวรรษท่ี 24 เปน็ ตน้ มา แต่อาจสบื ย้อนไปถงึ อายขุ องต้นฉบบั ดั้งเดมิ ได้ถึงราวพุทธศตวรรษท่ี 5 3. พระพทุ ธศาสนาเถรวาทแบบทอ้ งถนิ่ ของเอเชยี อาคเนย์ มตี วั แทนคอื คัมภรี ก์ ลุม่ โยคาวจร จารึกในอกั ษรขอม อักษรธรรมแบบตา่ งๆ และในอกั ษร และภาษาเขมร ประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจนนัก อาจเป็นไปได้ว่าเผยแผ่มา โดยตรงจากอินเดียโดยสมณทูตยุคเดียวกันกับท่ีไปยังศรีลังกา3 และยังมีการ รับพระพุทธศาสนามาจากศรีลังกาและอีกหลายทางในภายหลังด้วย คัมภีร์ ท่ีนำามาศึกษาคัดลอกมาราวพุทธศตวรรษที่ 21-25 แต่อาจสืบย้อนไปถึงอายุ ของตน้ ฉบับทเ่ี รียบเรียงได้ถึงราวพุทธศตวรรษท่ี 10-16 และหลงั จากนนั้ 3 งานวจิ ยั “สมาธภิ าวนาในคมั ภรี ใ์ บลานเขมร” (พระปอเหมา่ ธมมฺ โิ ต 2557) ระบวุ า่ พระพทุ ธศาสนา เดินทางเข้ามายังสุวรรณภูมคิ รั้งแรกราว พ.ศ. 300-500 และรุ่งเรอื งมากในกัมพูชาราวพุทธศตวรรษ ที่ 7-8 ในรชั สมยั ของพระเจา้ พุธศรีมาระ ก่อนจะมีการเผยแผ่มาจากเสน้ ทางอืน่ อีกในภายหลัง 502 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org 4. คัมภีร์พระพุทธศาสนามหายานจากคันธาระ เอเชียกลาง และ ประเทศจีน อายุของตน้ ฉบบั คมั ภรี ท์ ค่ี ัดลอกมาตง้ั แตพ่ ทุ ธศตวรรษท่ี 5 จนถงึ ราวพทุ ธศตวรรษที่ 18-19 และอาจสาวยอ้ นไปถงึ ตน้ ฉบบั ดง้ั เดมิ ไดถ้ งึ ราวพทุ ธ ศตวรรษท่ี 5 เปน็ อย่างชา้ ในคาำ สอนของพระพทุ ธศาสนาทเี่ ผยแผแ่ ละเตบิ โตจากตา่ งทอ้ งทซ่ี งึ่ หา่ ง ไกลกนั มากในทางภูมศิ าสตร์ มีอายขุ องคมั ภีรแ์ ตกต่างกนั มาก และเผยแผ่มา จากคนละสายกันดังแสดงไว้ข้างต้นน้ัน พบว่ามีหลักคำาสอนท่ีตรงกันในทั้ง 4 สายอยู่ไม่น้อย และท่ีตรงกันในหลักฐานจากต่างภูมิภาค และต่างนิกาย แม้จะไม่ถึงกับพบในทั้ง 4 สาย ก็มีอีกไม่น้อย เป็นไปได้ว่าความสอดคล้อง กันนี้จะบ่งบอกถึงความเป็นแกนกลางสากลของคำาสอนเหล่าน้ีในพระพุทธ ศาสนา ซึ่งน่าจะเป็นส่ิงท่ีพระพุทธศาสนาทุกสายได้รับมาเหมือนๆ กัน โดย อาจเป็นคำาสอนเก่าแก่ด้ังเดิมมาก่อนการแตกนิกาย ท้ังยังเป็นคำาสอนสำาคัญ ทเี่ ปน็ หวั ใจของพระพทุ ธศาสนาจงึ ทาำ ใหท้ กุ นกิ ายยงั เกบ็ รกั ษาไวแ้ ละถา่ ยทอด สืบต่อกันมา และที่มีความสำาคัญสำาหรับงานวิจัยน้ีโดยเฉพาะคือ คำาสอน เหล่านี้นบั เป็นหลกั ฐานธรรมกายดว้ ย คือเปน็ คำาสอนทต่ี รงกนั กับคาำ สอนของ วิชชาธรรมกาย และจึงเป็นตัวรับรองว่า คำาสอนวิชชาธรรมกาย อย่างน้อย ในประเดน็ เหล่าน้ี เปน็ คาำ สอนดัง้ เดิมในพระพทุ ธศาสนาทมี่ มี าต้งั แต่กอ่ นการ แตกนกิ ายแลว้ 5.2. . หลกั การทแ่ี ตกตา่ งกนั ในสองภมู ภิ าค : เอกเทศในการเผยแผ่ นอกเหนอื จากหลกั การทต่ี รงกนั ในสองภมู ภิ าคและในทกุ นกิ ายทพี่ บใน ท้ังสองภมู ภิ าคนนั้ แลว้ ยงั พบคำาสอนทีเ่ ป็นหลกั ฐานธรรมกายไดใ้ นระดับหนงึ่ บทที 5 สรุปและอภิปรายผล | 503

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ซึ่งมีอยู่ในภูมิภาคหน่ึงแต่อาจไม่พบในอีกนิกายหน่ึง หรือในอีกภูมิภาคหน่ึง ซ่งึ อาจมีหลายเหตุผล ดังตัวอยา่ งต่อไปน้ี 5.2.3.1. พระพทุ ธองคท์ รงมคี ณุ เหนอื กวา่ พระอรหนั ตแ์ มจ้ ะตรสั รู้ นพิ พานเดียวกนั หลักการนี้พบในโศลกสรรเสริญพระพุทธคุณที่ประพันธ์ในประเทศ อินเดียราวกลางพุทธศตวรรษที่ 7-8 เป็นช้ินส่วนคัมภีร์ที่พบจากเอเชียกลาง บรรยายพระพุทธคุณว่าสูงส่งและกล่าวด้วยว่าพระพุทธคุณน้ันเหนือกว่า คณุ ของพระอรหนั ตม์ ากมายนกั แมจ้ ะตรสั รนู้ พิ พานเดยี วกนั กต็ าม (3.1.9) พบ หลกั การเดยี วกนั แสดงไวใ้ นพระไตรปฎิ กบาลี และในคมั ภรี อ์ าคมะจนี (3.2.5.2) ซ่ึงนับว่าตรงกันกับคำาสอนของพระพุทธศาสนาต่างสายการเผยแผ่และต่าง ภูมิภาค ดังนน้ั แม้จะไม่พบในหลกั ฐานทีเ่ ปน็ พระสูตรมหายานในคันธาระหรือ เอเชยี กลาง และในคมั ภีรพ์ ทุ ธเถรวาทท้องถนิ่ ท่นี าำ มาศึกษา กอ็ าจเป็นเพราะ คมั ภรี ท์ น่ี าำ มาศกึ ษานนั้ มคี วามจาำ กดั ทงั้ ประเภทของคมั ภรี ท์ เี่ ลอื กมา ดงั ทแี่ สดง ไวต้ งั้ แตต่ น้ และความจาำ กดั ของคมั ภรี เ์ กา่ แกท่ พ่ี บ แตอ่ ยา่ งนอ้ ย การทพ่ี บเปน็ คำาสอนที่ตรงกันกับต่างสายการเผยแผ่คือบาลี และยังพบในอาคมะจีนด้วย น้ี ก็เป็นเครื่องรับรองถึงการเปน็ หลกั การกลางร่วมกนั ในพระพุทธศาสนาตา่ ง นิกายไดใ้ นระดบั หนึง่ การศกึ ษาเพมิ่ เติมในกลุ่มคัมภรี ท์ ีก่ ว้างกว่านี้น่าจะชว่ ย ใหย้ ืนยันประเด็นน้ีไดห้ นกั แนน่ ข้นึ 5.2.3.2. พระโพธิสตั วม์ ธี รรมเปน็ กาย ในคมั ภรี ท์ พี่ บจากคนั ธาระและเอเชยี กลาง มชี นิ้ สว่ นของคมั ภรี ม์ หายาน หรืออาจเป็นของนิกายหลักบางนิกาย ซ่ึงนักวิชาการสันนิษฐานว่าเป็นของ 504 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org มหาสางฆิกะ-โลโกตตรวาท กล่าวถึงการท่ีพระโพธิสัตว์มีธรรมเป็นกาย และ กายของพระโพธิสัตว์ไม่ต้องการอาหารหล่อเลย้ี ง (3.2.1.5) หลักการน้ีไมพ่ บ ในคัมภีร์อ่ืนๆ ในทั้งสองภูมิภาค ซึ่งน่าจะบ่งบอกถึงความเป็นเอกเทศในการ เผยแผ่คาำ สอนของพระพุทธศาสนานกิ ายใดนกิ ายหนึ่ง จากตัวอย่างทั้งสองท่ียกมาข้างต้น จะเห็นว่าคัมภีร์ที่ไม่พบหลักฐานที่ ตรงกนั ในทกุ นกิ ายของทงั้ สองภมู ภิ าค อาจเปน็ คาำ สอนกลางรว่ มกนั ในพระพทุ ธ ศาสนาก็ได้ โดยพิจารณาจากการที่พบเป็นส่วนร่วมในนิกายอ่ืนหรือภูมิภาค อน่ื ในบางสว่ น ทแ่ี สดงถงึ ความเปน็ หลกั การรว่ มกนั ของพระพทุ ธศาสนาทตี่ า่ ง สายการเผยแผ่ สว่ นบางคมั ภรี ท์ ไี่ มพ่ บในคาำ สอนนกิ ายอนื่ หรอื ในตา่ งสายการ เผยแผ่ มคี วามเปน็ ไปไดม้ ากวา่ เปน็ คาำ สอนทเ่ี ผยแผอ่ ยา่ งเปน็ เอกเทศเฉพาะใน นกิ ายนนั้ ๆ หรือในกลมุ่ นั้นๆ อนึ่ง มีข้อสังเกตว่า คัมภีร์ที่จัดเป็นหลักฐานธรรมกายและมีความ สอดคลอ้ งในระดบั สงู มกั เปน็ คมั ภรี เ์ กา่ แกท่ เ่ี ปน็ คาำ สอนรว่ มกนั ของหลายนกิ าย (ดู 5.2.1 และ 3.1.9) ในขณะท่คี มั ภรี ์ที่เผยแผ่อยา่ งเปน็ เอกเทศเฉพาะนิกาย นน้ั มกั พบวา่ มคี วามสอดคลอ้ งกนั ในบางอยา่ งเพยี งผวิ เผนิ และมคี วามแตกตา่ ง มากกวา่ ซง่ึ สว่ นใหญจ่ ะพบวา่ เปน็ คาำ สอนของพระพทุ ธศาสนามหายานทมี่ กี าร ขยายความในเชิงปรชั ญาไปมากแล้ว (ดู 3.2.1.5) ซึง่ อาจนับได้วา่ เปน็ ข้อบ่งชี้ โดยปรยิ ายวา่ คาำ สอนในวิชชาธรรมกายเป็นคาำ สอนเก่าแกใ่ นพระพุทธศาสนา ท่ีมีมาก่อนการแตกนิกาย บทที 5 สรุปและอภิปรายผล | 505

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ 5.3. คาํ ตอบเกียวกับการค้นพบวชิ ชาธรรมกาย ของพระมงคลเทพมุนี สาำ หรบั คาำ ถามนาำ วจิ ยั ขอ้ ทส่ี ามเกย่ี วกบั ความเปน็ ไปไดข้ องคาำ กลา่ วทว่ี า่ คำาสอนในวิชชาธรรมกายเป็นคำาสอนดั้งเดิมในพระพุทธศาสนาท่ีพระมงคล เทพมุนีค้นพบขึ้นมาใหม่หลังจากที่สูญหายไปเป็นเวลายาวนานแล้วน้ัน อาจ แยกประเด็นพจิ ารณาเปน็ 2 ประเด็น กลา่ วคอื 1. คำาสอนในวชิ ชาธรรมกายเปน็ คาำ สอนด้งั เดิมในพระพทุ ธศาสนาจริง หรือไม่ และ 2. วิชชาธรรมกายสูญหายไปนานก่อนการค้นพบขึ้นมาใหม่ของพระ มงคลเทพมนุ จี ริงหรอื ไม่ สำาหรับประเด็นแรกท่ีว่า คำาสอนในวิชชาธรรมกายเป็นคาำ สอนดั้งเดิม ในพระพทุ ธศาสนาจรงิ หรอื ไมน่ น้ั การศกึ ษาเปรยี บเทยี บหลักฐานธรรมกายท่ี พบในทง้ั สองภมู ภิ าคดงั ทแี่ สดงไวใ้ นขอ้ 5.2 ไดใ้ หค้ ำาตอบนไี้ วแ้ ลว้ โดยแสดงไว้ อยา่ งชดั เจนวา่ คาำ สอนในวชิ ชาธรรมกาย อยา่ งนอ้ ยในประเดน็ ทยี่ กมาใน 5.2.1 เปน็ คาำ สอนเกา่ แกใ่ นพระพทุ ธศาสนาทม่ี มี าแตด่ งั้ เดมิ กอ่ นการแตกนกิ าย และ แสดงไวโ้ ดยอ้อมในตอนสรปุ ของ 5.2.2 สำาหรับประเด็นท่ีสองที่ว่า วิชชาธรรมกายสูญหายไปนานก่อนการ ค้นพบขึ้นมาใหม่ของพระมงคลเทพมุนีน้ัน มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อน มากกว่าประเด็นแรกเป็นอย่างมาก เพราะในเม่ือพบหลักฐานธรรมกายใน ภูมิภาคต่างๆ มากมายอย่างนี้แล้ว น่าจะแสดงว่าคำาสอนในพระพุทธศาสนา เหลา่ นน้ั มกี ารเผยแผแ่ ละสบื ทอดตอ่ กนั มาแตโ่ บราณจนถงึ ปจั จบุ นั จะบอกวา่ หายไปและมาค้นพบใหม่ไดอ้ ย่างไร 506 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org 5. .1. หลกั ฐานทรี่ กั ษาคา� สอนไว้เพียงบางส่วน ในการหาข้อสรุปสำาหรับประเด็นที่สองน้ี มีส่ิงท่ีน่าพิจารณาอยู่ว่า ใน หลักฐานธรรมกายที่พบนั้น แม้ท่ีพบว่ามีความสอดคล้องในระดับเต็มร้อย และแสดงความเป็นคำาสอนแกนกลางท่ีเป็นสากลของทุกนิกายก็ตาม มีหลัก ฐานช้ินใดชิ้นหนึ่งที่แสดงเส้นทางการเข้าถึงธรรมกายและรายละเอียดของ ประสบการณภ์ ายในในการบรรลมุ รรคผลจนถงึ ขน้ั สงู สดุ ไวอ้ ยา่ งครบถว้ นหรอื ไม่ คาำ ตอบทไ่ี ดร้ บั คอื ไมม่ ี ในคมั ภรี ท์ นี่ าำ มาศกึ ษาทจี่ ดั วา่ เปน็ หลกั ฐานธรรมกาย ทง้ั หมดนน้ั แสดงคาำ สอนของธรรมกายไวเ้ พยี งบางส่วนท้ังส้ิน กลา่ วคือ บางชนิ้ กลา่ วถงึ แตเ่ พยี งวา่ พระพทุ ธองคท์ รงมธี รรมเปน็ กาย (3.2.1) แต่ ไมม่ ีอะไรที่บง่ บอกว่า มธี รรมเป็นกายนั้น คืออะไร สามารถปฏบิ ตั ิใหเ้ ขา้ ถึงได้ หรือไม่ หรอื ว่าธรรมกายนน้ั มีเฉพาะในพระพทุ ธองคแ์ ตเ่ พยี งผเู้ ดียวหรอื เปลา่ หรอื วา่ พทุ ธสาวกกเ็ ขา้ ถงึ ได้ด้วย เปน็ ต้น บางช้ินบอกเพียงว่า นิพพานเป็นสุขท่ีเที่ยงแท้ และยั่งยืน แต่ไม่มี ข้อความอืน่ ใดทแ่ี สดงถึงธรรมกายหรอื การเข้าถึงธรรมกายได้ แม้ในหลักฐานเกี่ยวกับหลักการตถาคตครรภะ ก็บอกไว้เพียงว่าจิต ดั้งเดิมน้ันสะอาดบริสุทธ์ิ และมนุษย์มีศักยภาพท่ีจะหลุดพ้นจากอุปกิเลสที่ จรมา และเข้าถึงความเป็นพุทธะภายในได้เท่านั้น แต่ไม่มีอะไรที่จะแสดง ไว้เลยว่า การกำาจัดกิเลสและเข้าถึงพุทธะภายในน้ัน ทำาได้อย่างไร และมี ขน้ั ตอนอยา่ งไร แมใ้ นคมั ภรี อ์ กั ษรธรรมหลายฉบบั ทน่ี าำ มาศกึ ษารว่ มกนั อยา่ งเปน็ ระบบ ซงึ่ เมอ่ื ศกึ ษารว่ มกนั หลายคมั ภรี แ์ ลว้ นา่ จะแสดงเสน้ ทางการเขา้ ถงึ ธรรมกายที่ บทที 5 สรุปและอภปิ รายผล | 507

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ชดั เจนไดม้ ากกวา่ คมั ภรี ท์ ศ่ี กึ ษาเดยี่ วอน่ื ๆ แตก่ ลบั พบวา่ มคี วามสอดคลอ้ งกบั วิชชาธรรมกายเพียงบางส่วนเท่านั้น ที่สำาคัญยิ่งกว่านั้นคือ รายละเอียดของ ประสบการณ์บางอย่างท่ีแสดงไว้ในคัมภีร์โยคาวจรเหล่าน้ันกลับบ่งบอกถึง หลักการและความเป็นเอกเทศในการเผยแผ่ ในขณะท่ีส่ิงที่แสดงไว้ในวิชชา ธรรมกายบง่ บอกถงึ หลกั การและประสบการณ์ที่เป็นสากลมากกวา่ (ดูตาราง ท่ี 8 ใน 4.4) โดยเหตนุ ี้ จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ หลกั ฐานธรรมกายทแ่ี สดงไวท้ งั้ หมด ตง้ั แต่ บทท่ี 2 จนถึงบทท่ี 4 นั้น เป็นหลักฐานธรรมกายท่ีรักษา “ร่องรอย” ของ ประสบการณ์ไว้เพียงบางส่วน และดังน้ัน “วิชชาธรรมกาย” จึงมิได้ปรากฏ อยใู่ นหลักฐานช้ินใดชิ้นหนึ่งเลย 5. .2. แบบแผนในการสอนภาวนาของพระมงคลเทพมนุ ี สงิ่ ทน่ี า่ จะนาำ มาพจิ ารณาในลาำ ดบั ตอ่ ไปคอื วชิ ชาธรรมกายทพ่ี ระมงคล เทพมุนีสอนอยู่นั้นเป็นสิ่งท่ีท่านได้รับถ่ายทอดมาจากครูบาอาจารย์ผู้สอน กรรมฐานในช่วงเวลาที่ท่านไปศึกษาวิปัสสนาธุระหรือไม่ สำาหรับประเด็นนี้ อาจแยกพิจารณาได้เป็นสองส่วน ได้แก่ แบบแผนในการสอนภาวนาของ ท่าน และลาำ ดับในการเข้าถึงธรรมและบรรลุมรรคผล อันเป็นเคร่ืองแสดงถึง ประสบการณ์จากการปฏิบัติ 5.3.2.1. แบบแผนในการสอนภาวนา การศึกษาแบบแผนในการสอนภาวนาของพระมงคลเทพมุนี พบว่า ประกอบด้วยลำาดบั ข้ันตอนดงั น้ี (ดู 2.2.1) 508 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org ก. กิจเบอื งตน้ กอนเจริ สมาธภิ าวนา 1. แนะนำาเบื้องตน้ เกีย่ วกบั ความสาำ คญั ของสมาธภิ าวนา 2. ใหจ้ ุดธปู เทียนบูชาพระพุทธรูป และนาำ สวดบูชาพระรัตนตรัย (อรหํ สมมฺ า ฯลฯ) ตามด้วยบท “นโม ตสสฺ ฯลฯ” 3 จบ เพื่อนอบน้อมพระพทุ ธเจา้ ในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต 3. นำากล่าวขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัยตามแบบ เพ่ือความบริสุทธิ์ กาย วาจา ใจ 4. นำากล่าวอาราธนาตามแบบ 5. สอนให้นง่ั ขัดสมาธติ ามแบบ ข. คาํ แนะนําในการเจริ สมาธิภาวนาเบืองต้น 1. ใชบ้ รกิ รรมภาวนา “สมั มาอะระหัง” (บ.สมฺมาอรหํ) 2. ใชบ้ รกิ รรมนมิ ิตเป็น ดวงแก้วกลมใส 3. แนะนำาใหน้ ้อมใจเข้าไปตามฐานทางเดินของใจท้ัง 7 ฐาน 4. จดุ สดุ ทา้ ยใหป้ ระคองใจหยดุ นงิ่ ทศ่ี นู ยก์ ลางกายฐานที่ 7 เรอ่ื ยไป 5.3.2.2. ลำาดับในการเขา้ ถงึ ธรรมและบรรลุมรรคผล เมอื่ ปฏิบัติไดถ้ ูกส่วน ถึงจุดของการ “เข้าถงึ ธรรม” แล้ว ประสบการณ์ จะดาำ เนินไปตามลำาดบั ดังนี้ (ดู 2.2.2) ก. วงธรรมภายในกาย ผู้ปฏิบัติจะเข้าถงึ ดวงธรรม 6 ดวงตามลาำ ดับดังน้ี 1. ดวงธมั มานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน บทที 5 สรุปและอภิปรายผล | 509

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ 2. ดวงศีล 3. ดวงสมาธิ 4. ดวงปญั ญา 5. ดวงวมิ ตุ ติ 6. ดวงวมิ ุตตญิ าณทัสนะ ข. กายภายใน ตอ่ จากดวงธรรมทง้ั 6 ดวง ผปู้ ฏบิ ตั จิ ะเขา้ ถงึ กายภายในตามลาำ ดบั ดงั นี้ 1. กายมนษุ ย์ละเอยี ด 2. กายทพิ ย์หยาบ 3. กายทพิ ยล์ ะเอียด 4. กายรปู พรหมหยาบ 5. กายรูปพรหมละเอยี ด 6. กายอรปู พรหมหยาบ 7. กายอรปู พรหมละเอยี ด 8. ธรรมกายโคตรภหู ยาบ 9. ธรรมกายโคตรภลู ะเอยี ด 10. ธรรมกายโสดาบันหยาบ 11. ธรรมกายโสดาบันละเอียด 12. ธรรมกายสกทาคามหี ยาบ 13. ธรรมกายสกทาคามลี ะเอียด 14. ธรรมกายอนาคามีหยาบ 510 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org 15. ธรรมกายอนาคามีละเอยี ด 16. ธรรมกายอรหัตหยาบ 17. ธรรมกายอรหตั ละเอียด นบั รวมกายภายในเหลา่ นีก้ บั กายมนษุ ยช์ ั้นนอกเปน็ 18 กาย ในระหว่างกายภายในแต่ละกาย จะคั่นด้วยการเข้าถึงดวงธรรมทั้ง 6 ดงั แสดงไวใ้ น (ก) ซ่งึ นบั เป็นดวงธรรมของแตล่ ะกาย 5.3.2.3. บทสรุปเกีย่ วกบั แบบแผนในการสอนภาวนา จากแบบแผนในการสอนภาวนา จะเห็นได้ว่า ในเร่ืองของกิจเบ้ืองต้น ก่อนเจรญิ สมาธภิ าวนานนั้ (5.3.2.1.ก) พระมงคลเทพมนุ ไี ดน้ าำ แบบฉบับของ โบราณาจารยท์ ี่ปฏิบตั สิ บื ตอ่ กันมามาใช้ (ดเู ปรียบเทียบ 4.2.3.2) รวมทงั้ แบบ คาำ กลา่ วขอขมาพระรตั นตรยั กอ่ นการฝกภาวนาซงึ่ อาจเปน็ แบบแผนทที่ า่ นได้ รับถา่ ยทอดมาจากสำานกั อาจารย์ (พระมหาโชติปฺ โ 2479 : 251) ในเรอ่ื งของคาำ แนะนาำ ในการเจรญิ สมาธภิ าวนาเบอ้ื งตน้ (5.3.2.1.ข) คาำ ภาวนา “สมั มาอะระหงั ” กเ็ ปน็ ของเกา่ ทสี่ อนโดยโบราณาจารย์ (พระมหาโชติ ปฺ โ 2479 : 325) และเปน็ คาำ ภาวนากลางๆ ทใ่ี ชใ้ นการปฏบิ ตั ขิ องโยคาวจร (ดู 4.2.3.7.ก) ส่วนการใช้บริกรรมนิมิตเป็นดวงแก้วกลมใส ก็สอดคล้องกัน กับหลักของโบราณาจารย์ดังท่ีพบในคัมภีร์อักษรธรรมและคัมภีร์ใบลานเขมร (ดู 4.2.3.7.ข) การน้อมใจเข้าไปตามฐานทางเดนิ ของใจทง้ั 7 ฐาน รวมทั้งการ วางใจที่ศนู ยก์ ลางกายนนั้ ก็มคี วามคลา้ ยคลึงกนั กับวธิ ีการทแี่ สดงไวใ้ นคมั ภรี ์ สมถวปิ สั สนาแบบโบราณ (พระมหาโชติปฺ โ 2479 : 368, 384-6) บทที 5 สรุปและอภปิ รายผล | 511

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ส่วนการสอนให้หยุดใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานท่ี 7 เร่ือยไป และสอน ให้หยุดนิ่งภายในกลางของกลางเรื่อยไปน้ัน ยังไม่พบหลักฐานการสอนของ โบราณาจารย์ท่ีตรงกัน แต่กลับคล้ายคลึงกับหลักการในพระไตรปิฎกบาลี (4.2.1.1.ข) จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ วธิ กี ารสอนภาวนาของพระมงคลเทพมนุ ี ตงั้ แตบ่ รุ พกจิ ก่อนการภาวนาเป็นต้นมา เป็นการสอนตามแบบแผนของโบราณาจารย์โดย มิได้มีอะไรแตกต่าง แต่ส่ิงท่ีเป็นเอกเทศในการสอนของท่านคือ การสอนให้ หยดุ ใจน่ิงทฐี่ านที่ 7 อยา่ งถาวร และประสบการณ์ภายใน (5.3.2.2) ซงึ่ บ่งช้ี วา่ การหยุดนิ่งท่ีฐานท่ี 7 และประสบการณ์ในการปฏิบัตขิ องวชิ ชาธรรมกาย นั้น น่าจะเป็นส่ิงที่ท่านค้นพบเองจากการปฏิบัติมากกว่าท่ีจะเป็นการได้รับ มาจากอาจารย์ 5. . . กลางของกลาง ฐานที่ 7 และประสบการณ์ภายในกับค�าสอน ของพทุ ธ เมื่อไดข้ ้อสรุปวา่ สิ่งท่ีพระมงคลเทพมนุ นี ่าจะค้นพบเองจากการปฏบิ ตั ิ น้ัน ได้แก่ 1. หลกั ในการหยุดใจไวท้ ี่ศนู ยก์ ลางกายฐานที่ 7 และการหยดุ ใจไวใ้ น กลางของกลางเรือ่ ยไป กับ 2. ลาำ ดบั ประสบการณภ์ ายในทเี่ ข้าถึง (5.3.2.2) ประเด็นต่อมาท่ีน่าจะต้องพิจารณาคือ ในเมื่อส่ิงเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งท่ีท่าน ได้รับจากครูอาจารย์ผู้สอนภาวนาแล้ว ประสบการณ์ดังกล่าวเป็นคำาสอนใน พระพุทธศาสนาหรือไม่ 512 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ในกรณีน้ี อาจพิจารณาเป็นลำาดับ โดยดูจากความสอดคล้องกับหลัก คาำ สอนทแี่ สดงไวใ้ นพระไตรปฎิ กบาลแี ละคาำ สอนในพระพทุ ธศาสนาทจี่ ดั เปน็ “หลักฐานธรรมกาย” ดงั ไดแ้ สดงไวแ้ ล้ว ซง่ึ บง่ บอกว่าส่ิงทที่ า่ นคน้ พบน้นั เปน็ สง่ิ ทีม่ อี ย่ใู นพระพทุ ธศาสนาจรงิ ดงั นี้ 5.3.3.1. ความสำาคัญของศูนย์กลางกาย ฐานที่ 7 ในการ บรรลธุ รรม สาำ หรบั ความสาำ คญั ของศนู ยก์ ลางกายฐานท่ี 7 ในฐานะทเี่ ปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของเส้นทางสายกลาง มีความสอดคล้องกับคำาสอนเร่ืองมัชฌิมาปฏิปทา ในพระไตรปิฎกบาลี และคำาสอนเกี่ยวกับอานาปานสติที่พระภิกษุนิกาย สรรวาสติวาทนำาเข้าไปเผยแผ่ในประเทศจีน (ดู 3.3.1) ซ่ึงเป็นสิ่งรับรองว่า คาำ สอนในการวางใจทก่ี ลางกายของพระมงคลเทพมนุ เี ปน็ คาำ สอนในพระพทุ ธ ศาสนา มหี ลกั ฐานใหเ้ หน็ แมใ้ นพระพทุ ธศาสนาทเี่ ผยแผอ่ ยใู่ นดนิ แดนทห่ี า่ งไกล ซ่งึ บ่งบอกถึงความเป็นสากลของหลักการดงั กล่าว 5.3.3.2. คำาสอนใหห้ ยุดใจไว้ในกลางของกลางเรือ่ ยไป สำาหรับคำาสอนของพระมงคลเทพมุนีในการหยุดใจไว้ในกลางของสิ่งที่ เขา้ ถงึ ไปเรอ่ื ยๆ นนั้ สอดคลอ้ งกบั สง่ิ ทแี่ สดงไวใ้ นพระไตรปฎิ กบาลวี า่ เปน็ ปฏปิ ทา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเป็นส่ิงท่ีพระองค์ทรงสอนพระพุทธสาวกด้วย ดงั ทไี่ ดแ้ สดงไวใ้ นหวั ขอ้ “ฐานทตี่ งั้ ของใจ” ใน “พทุ ธานสุ ตใิ นพระไตรปฎิ กบาล”ี (ดู 4.2.1.1.ข) จงึ เปน็ ขอ้ สรปุ วา่ หลกั การดงั กลา่ วน้ี แมว้ า่ จะไมม่ คี รบู าอาจารย์ ท่านใดในยุคของท่านสอนไว้ แต่สิ่งท่ีท่านค้นพบด้วยตนเองก็เป็นส่ิงท่ีถูกต้อง ตามหลกั การของพระพทุ ธศาสนาโดยมหี ลกั ฐานในพระไตรปฎิ กบาลรี บั รอง บทที 5 สรปุ และอภิปรายผล | 513

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ 5.3.3.3. ประสบการณ์การเขา้ ถึงธรรมไปตามลาำ ดับ การพิจารณาความถูกต้องตามหลักการในพระพุทธศาสนาของ ประสบการณ์การเข้าถึงธรรมไปตามลำาดับดังที่พระมงคลเทพมุนีสอนไว้นั้น ได้แสดงไว้เป็นตารางข้างลา่ ง ตารางท่ี 10 ลาำ ดบั การเขา้ ถงึ ธรรมในวชิ ชาธรรมกาย เปรยี บเทยี บกบั หลักฐานในคมั ภรี ์พทุ ธ ลาำ ดบั ระดบั ประสบการณท์ เี่ ขา้ ถงึ รอ่ งรอยหรอื หลกั ฐานของพุทธ ประสบการณใ์ นระดับดวงธรรม 1 ดวงธัมมานุปสั สนาสติ พบคาำ วา่ “ธมั มานุปสั สนาสติปฏั ฐาน” ปฏั ฐาน ในพระไตรปฎิ กบาลี เปน็ อนุปสั สนา ท่ี 4 ในสติปฏั ฐาน 4 เปน็ ธรรมที่ควร เจริญ (สำ.ม. 19/799/240) 2-6 ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวง พบเป็นธรรมขันธท์ ั้ง 5 ปัญญา ดวงวมิ ตุ ติ (ท.ี ปา. 11/252/187) ดวงวมิ ุตตญิ าณทสั นะ 1 กายทิพย์ ประสบการณใ์ นระดับกายโลกิยะ ในพุทธรังสีธฤษดีญาณ หนา้ 328 กลา่ วถงึ ผลการปฏิบตั ิแบบมัคคปาลีมุต ของสมเดจ็ พระสงั ฆราชไก่เถื่อน ว่า “ปรากฏเห็นรปู รา่ งตนเอง ทรงเคร่อื ง มงกฎุ สร้อยสังวาลย์ ชน่ื ชมยนิ ดี สบาย...” (ดู 2.4.4 พระมหาโชติปฺโ 2479: 328) 514 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org 2 กายรูปพรหม -“ตนพรหม” ในฐานะทเี่ ปน็ กายกอ่ นการ 3 กายอรูปพรหม เข้าถึงโลกุตรธรรม (ดู 4.3.1.6) - มโนมยกายในพระไตรปฎิ กบาลี (ดู 5.3.3.4) 1 ธรรมกายโคตรภู ธรรมกาย - โคตรภูญาณเป็นญาณในลำาดับก่อนจะ ย่างเข้าสูอ่ ริยธรรม (อภิ.ปุ.36/541/143) - “การเหน็ พระ” ในพระสตู รมหายาน 2-5 ธรรมกายโสดาบัน มหาปรนิ ริ วาณสตู รของนิกายหลัก ธรรมกายอรหตั ในคัมภีรท์ รี ฆาคมะจนี (ดู 3.2.6) จากท่ีแสดงตารางไว้ข้างต้น พบว่าส่ิงที่เป็นลำาดับของการเข้าถึงธรรม อันเปน็ ประสบการณ์ในการปฏิบตั ขิ องวชิ ชาธรรมกายนน้ั มรี อ่ งรอยหรือหลัก ฐานอยใู่ นพระไตรปิฎกบาลหี รือในคัมภีรพ์ ุทธอื่นๆ แต่เปน็ ช่อื ธรรมท่บี ันทึกไว้ ในเชิงปริยัติเป็นส่วนใหญ่โดยไม่มีข้อความที่บ่งบอกถึงการเป็นประสบการณ์ จากการปฏิบัติโดยตรง แต่ก็มีในบางระดับท่ีแสดงถึงความเป็นประสบการณ์ ดว้ ย เช่น หลกั ฐานในระดบั กายทพิ ย์ และธรรมกาย หลกั ฐานจากคมั ภรี พ์ ทุ ธเหลา่ นี้ แมจ้ ะไมถ่ งึ กบั ระบชุ ดั เจนวา่ เปน็ สง่ิ ทเ่ี ขา้ ถงึ หรอื รแู้ จง้ ไดจ้ ากการปฏบิ ตั ิ แตก่ ร็ บั รองความเปน็ พทุ ธของประสบการณจ์ าก การปฏบิ ตั ทิ พี่ ระมงคลเทพมนุ คี น้ พบ และหากพจิ ารณาวา่ คาำ สอนในพระพทุ ธ ศาสนานน้ั เดมิ ทกี เ็ ปน็ สง่ิ ทไี่ มเ่ คยมใี ครสอนมากอ่ น สงิ่ ทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงสอนก็ ลว้ นมาจากประสบการณใ์ นการปฏบิ ตั ขิ องพระองคเ์ องแลว้ ทรงนาำ ออกมาสอน กจ็ ะทำาให้เขา้ ใจและยอมรับไดว้ า่ ธรรมท่บี ันทกึ ไวใ้ นถอ้ ยคาำ ของปริยตั เิ หล่าน้ี บทที 5 สรปุ และอภปิ รายผล | 515

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ เปน็ สิง่ ทร่ี ูแ้ จง้ ดว้ ยประสบการณ์ภายในได้จรงิ อนึ่ง การท่ีใครสักคนจะนำา “ศัพท์ในทางปริยัติ” ท่ีกระจัดกระจาย อยู่อย่างน้ีมาร้อยเรียงเข้าเป็นลำาดับประสบการณ์ในการปฏิบัติโดยการใช้ จินตนาการน้นั ไมน่ า่ จะเปน็ ไปได้ เพราะธรรมปฏิบตั แิ ละประสบการณ์ทีเ่ กดิ ขน้ึ นนั้ เปน็ อจนิ ไตยมใิ ชส่ ง่ิ ทเี่ สกสรรปน้ั แตง่ ขน้ึ ได้ อนงึ่ จากชวี ประวตั ขิ องพระ มงคลเทพมุนที ี่แสดงไวใ้ นบทท่ี 2 กเ็ หน็ ได้ชดั เจนวา่ ทา่ นมิใช่นกั ปริยตั ิ แม้วา่ ท่านจะตั้งใจศึกษาพระปริยัติธรรมก็เพียงเพ่ือให้สามารถศึกษาคัมภีร์เก่ียวกับ ธรรมปฏิบัติคือคัมภีร์มหาสติปัฏฐานให้ได้เท่านั้น เม่ือมีความรู้พอที่จะแปล คัมภีร์ดังกล่าวได้ ท่านก็หยุดการศึกษาคันถธุระ หันหน้าสู่วิปัสสนาธุระเพียง อย่างเดียว ดังนั้นโอกาสที่ท่านจะได้ศึกษาคัมภีร์ต่างๆ มากมายดังท่ีปรากฏ ในงานวจิ ยั นี้แลว้ นาำ เอาร่องรอยแห่งประสบการณ์ภายในท่กี ระจัดกระจายอยู่ ในคมั ภรี ต์ า่ งๆ จากหลายภมู ภิ าคมารอ้ ยเรยี งกนั เขา้ เปน็ ระบบการปฏบิ ตั ธิ รรม แบบหนงึ่ ดว้ ยความคดิ สร้างสรรค์จงึ ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งที่เป็นไปได้ แหล่งทม่ี าของส่ิงท่ี ทา่ นสอนอยา่ งเปน็ ระบบในการปฏบิ ตั จิ งึ นา่ จะเปน็ สงิ่ ทที่ า่ นไดค้ น้ พบจากการ ปฏบิ ตั ิด้วยตนเอง อน่ึง หลักการเก่ียวกับ “กายภายใน” มีความสอดคล้องกันกับหลัก การในการเขา้ ถงึ “มโนมยกาย” หรือหลกั การ “มโนมยิทธิ” ทีก่ ลา่ วไว้ในพระ ไตรปิฎกบาลี (ดู 5.3.3.4) และการสอนของพระมงคลเทพมุนีได้นำาให้ผู้คน จาำ นวนมหาศาลเขา้ ถงึ ประสบการณต์ ามลาำ ดบั ดงั ทแี่ สดงไวน้ นั้ ได้ ทง้ั ๆ ทใี่ นการ สอนทา่ นจะเนน้ ใหห้ ยดุ ใจเพยี งอยา่ งเดยี วโดยไมไ่ ดช้ แ้ี จงไวล้ ว่ งหนา้ วา่ ปฏบิ ตั ไิ ป แล้วจะได้พบอะไรบ้าง (ดู 2.2.1) ประสบการณใ์ นการปฏิบัติของผู้ทมี่ าปฏบิ ัติ 516 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ท่ีเข้าถึงและตรงกัน และยังมาตรงกันกับส่ิงท่ีกล่าวไว้ในคัมภีร์พุทธฯ จาก คนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี ทอ่ี ยหู่ า่ งไกล ซง่ึ เปน็ ดนิ แดนทพี่ ระมงคล เทพมนุ ีไม่เคยไป และเป็นคัมภีรท์ ่ไี ม่เคยอ่าน จงึ เปน็ เครอ่ื งยนื ยนั ถงึ ความเป็น ประสบการณ์สากลท่ีทุกคนเข้าถึงได้เหมือนๆ กัน และจึงเป็นเคร่ืองรับรอง ความจรงิ แท้ของส่ิงทพ่ี ระมงคลเทพมุนสี อนในวชิ ชาธรรมกาย 5.3.3.4. มโนมยกาย (กายอนั เกดิ แตใ่ จ) : ความสาำ คญั ของการเขา้ ถงึ “กายภายใน” ศัพท์วา่ “มโนมยกาย” พบในพระไตรปฎิ กบาลใี น 2 ความหมาย 4 ใน ความหมายแรกใช้เป็นคำาเรียกพรหมช้ันรูปาวจร ส่วนในอีกความหมายหน่ึง เป็นคำากล่าวถึงกายที่แสดงออกหรือเข้าถึงได้ด้วยจิตที่เป็นสมาธิในระดับ จตตุ ถฌาน ในภาวะทจ่ี ติ ตงั้ มนั่ ในระดบั ของจตตุ ถฌาน (ฌานที่ 4) พระไตรปฎิ กบาลี มคี าำ แนะนาำ ในการฝกฝนจติ ดว้ ยมโนมยทิ ธิ คอื การ “เนรมติ กายอนั เกดิ แตใ่ จ” (มโนมยกาย) โดยเปรียบเทยี บกับการชกั ไส้หญ้าปลอ้ งออกจากปล้อง การชกั ดาบออกจากฝกั และการงทู ลี่ อกคราบ โดยอธิบายวา่ หญ้าปล้องกบั ไสห้ ญ้า ปลอ้ งกเ็ ปน็ คนละสว่ นกนั แตไ่ สห้ ญา้ ปลอ้ งกถ็ กู ชกั ออกมาจากหญา้ ปลอ้ งทซ่ี อ้ น กนั อยู่ ดาบกบั ฝักกเ็ ปน็ คนละชิ้นกนั แต่ดาบกถ็ ูกชักออกมาจากฝักที่ซอ้ นกนั อยู่ และตัวงูก็ลอกออกมาจากคราบซง่ึ เปน็ คนละชนิ้ กนั แต่ซอ้ นกนั อยเู่ หมอื น 4 สำาหรับเรอื่ งของมโนมยกายในพระไตรปฎิ กบาลี ทศ่ี ึกษาและอภิปรายไวโ้ ดยละเอียด ศกึ ษาเพ่ิมเตมิ ไดจ้ าก Jantrasrisalai 2008 : 182-8, 205-211 บทที 5 สรุปและอภปิ รายผล | 517

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ กัน ในทาำ นองเดียวกันนน้ั ภกิ ษผุ ู้มีจติ ต้ังมัน่ ผอ่ งใส ปราศจากอุปกเิ ลส เปน็ จิตที่นุ่มนวลควรแก่การงาน ก็อาจน้อมจิตไปเพ่ือการเนรมิตกายอ่ืนออกจาก รปู กายของมนษุ ย์(ท่ซี ้อนกนั อยู่)ไดใ้ นลักษณะเดยี วกัน (ท.ี สี. 9/132/102) ใน ภาวะเชน่ น้ี ทา่ นเปรยี บ “กายใหม”่ วา่ เสมอื นกบั ไสห้ ญา้ ปลอ้ งทถี่ กู ชกั ออกจาก ปลอ้ ง ดาบทีถ่ ูกชักออกจากฝกั หรอื ตัวงูท่ลี อกคราบออกไปแล้ว สว่ น “กาย เดมิ ” หรอื รปู กายมนษุ ยน์ น้ั ไดก้ ลายเปน็ เพยี ง “เปลอื กนอก” เสมอื นกบั ปลอ้ ง หญ้า ฝกั ของดาบ และคราบที่งลู อกทงิ้ ไวน้ นั่ เอง การเนรมติ “กายใหมท่ ซี่ อ้ นอยภู่ ายใน” ออกจาก “กายเดมิ ทเี่ ปน็ เปลอื ก นอก” น้ัน เป็นลักษณะเดียวกันกับที่พระมงคลเทพมุนีกล่าวถึงการเข้าไปถึง กายภายในที่ซอ้ นกันเปน็ ชั้นๆเขา้ ไปเปน็ ลาำ ดบั อนึ่ง พระไตรปิฎกบาลีกล่าวไว้ชัดเจนว่า “กายใหม่” ท่ีอยู่ภายใน กายเดิมภายนอกนั้น “มีรูป สำาเร็จด้วยใจ มีอวัยวะทั้งปวง และมีอินทรีย์ไม่ บกพร่อง” (รป มโนมยํ สพฺพงฺคปจฺจงฺคํ อหีนินฺทฺริยํ) บ่งบอกถึงความเป็น “กาย” ที่สมบูรณ์ ในลักษณะเดียวกันกับ “กายภายใน” ที่กล่าวไว้ในวิชชา ธรรมกาย ในสามญั ญผลสตู ร พระพทุ ธองคท์ รงยกยอ่ งความสามารถในการเขา้ ถงึ กายภายใน ท่ีเปรยี บเสมือนการชกั กายใหม่ออกมาจากกายภายนอกนว้ี า่ เปน็ ผลแห่งความเปน็ สมณะทล่ี ะเอยี ดประณตี ประการหนึ่ง (ที.ส.ี 9/132/102-3) ส่วนในมหาสกุลุทายีสูตร พระพุทธองค์ตรัสบอกพราหมณ์สกุลุทายีว่า การ เนรมิตกายอื่นจากภายในกายน้ีในลักษณะท่ีกล่าวมาแล้ว เป็นส่ิงท่ีพระองค์ ทรงสอนพระสาวก และเพราะพระสาวกปฏิบตั ิตาม พระสาวกเหลา่ นน้ั จึงได้ 518 ร ชนิ า นั ทรา รี ล