Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ

Description: หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ

Search

Read the Text Version

www.webkal.org เป็นเรื่องธรรมดาของคมั ภรี ส์ ว่ นใหญ่ อย่างไรกต็ าม ข้อความทป่ี รากฏในพระ ไตรปิฎกบาลนี ้นั ช้ชี ดั ว่า พระพุทธองคท์ รงสอนให้ “วางใจไวภ้ ายในตัว” และ ในการอธิบายสภาวะของจิตที่เป็นสมาธิตามแบบท่ีพระองค์ทรงสอน ก็แสดง ไวเ้ สมอว่า จิตนัน้ อยูภ่ ายใน มิได้อย่ภู ายนอกแต่อย่างใด ภกิ ษทุ งั้ หลาย คราใดทภ่ี กิ ษขุ ม่ จติ ไวด้ แี ลว้ ในผสั สายตนะ 6 ครานนั้ จิตยอ่ มดาำ รงอยู่ ย่อมต้งั มัน่ สงบนิ่งในภายใน มีธรรม เอกผุดขน้ึ ฉะนน้ั แล (ส.ำ สฬ. 18/344/244) ภิกษุถ้าแม้หวังว่า จะบรรลุสุญญตสมาบัติภายในอยู่เธอ พงึ ดาำ รงจิตภายใน ให้จิตภายในสงบ ทำาจติ ภายในให้เปน็ ธรรม เอกผดุ ข้นึ ตงั้ จติ ภายในให้มน่ั เถดิ ฯ (ม.อ.ุ 14/346/236) ภิกษุบรรลทุ ตุ ิยฌานมีความผอ่ งใสแหง่ จิตในภายใน เป็น ธรรมเอกผดุ ขน้ึ เพราะวติ ก วิจารสงบไป ไมม่ ีวิตก ไมม่ วี ิจาร มี ปตี แิ ละสุข เกิดแต่สมาธอิ ยู่ (ท.ี สี. 9/127/98) แมพ้ ระพทุ ธองคเ์ องกท็ รงดาำ รงจติ ไวภ้ ายในตวั และภายในสมาธนิ มิ ติ เดมิ ตลอด เวลา อคั คเิ วสสนะ เรารเู้ ฉพาะอยวู่ า่ เปน็ ผแู้ สดงธรรมแกบ่ รษิ ทั หลายร้อย ถึงแม้บคุ คลคนหนึ่งๆ เขา้ ใจวา่ พระสมณโคดมแสดง ธรรมปรารภเขาเท่าน้ัน ท่านอย่าพึงเห็นอย่างน้ัน พระตถาคต ย่อมแสดงธรรมแก่บุคคลเหล่านั้นโดยชอบ เพ่ือประโยชน์ให้รู้ แจ้งอย่างเดียว เราประคองจิตสงบตั้งม่ัน ทำาให้เป็นสมาธิ ณ บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 369

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ภายใน ในสมาธินิมิตเดิมน้ันในเวลาสิ้นสุดคาถาน้ันทีเดียว เรา ดาำ รงอยูอ่ ยา่ งน้ี ตลอดกาลเป็นนติ ย5์ 2 อน่ึง เมื่อถือเอาสมาธินิมิต หรือมีสมาธินิมิตเกิดขึ้นแล้ว พระองค์ทรง สอนให้ “ทาำ ใจใหต้ งั้ มั่นไว้ภายในสมาธินิมิตเดมิ นน้ั ภายในตัว” เตนานนทฺ ภกิ ขฺ นุ า ตสมฺ เึ ยว ปรุ มิ สมฺ ึ สมาธนิ มิ ติ เฺ ต อชฌฺ ตตฺ เมว จิตฺตำ สณฺเปตพฺพำ สนฺนิสาเทตพฺพำ เอโกทิกาตพฺพำ สมาท หาตพฺพำ ฯ (ม.อุ. 14/347/237) คา� แปล: อานนท์ ภกิ ษนุ น้ั พงึ ดาำ รงจติ ภายใน ใหจ้ ติ ภายใน สงบ ทาำ จิตภายในให้เป็นธรรมเอกผุดขน้ึ ตงั้ จิตภายในใหม้ ่ัน ใน สมาธนิ ิมติ ก่อนหนา้ น้นั แล ขอ้ ความท่ปี รากฏในพระบาลนี ้ี สอนใหท้ ำาใจให้ต้งั มั่น เป็นหนึ่ง ภายใน สมาธนิ ิมิตเดิม ภายในตวั คำาวา่ “ต้ังจิตใหม้ ั่น” กบั “ทาำ ใจหยุดน่ิง” โดยอรรถ กม็ คี วามหมายเดยี วกนั ดงั นนั้ หลกั การทพี่ ระพทุ ธองคท์ รงสอนดงั ทป่ี รากฏใน พระไตรปิฎกนี้ จึงนบั วา่ สอดคลอ้ งกันกบั หลกั การของวิชชาธรรมกาย ท่วี า่ ให้ ทำาใจหยดุ นง่ิ ตงั้ ม่นั อยู่ภายใน และภายในกลางของกลาง คอื ภายในกลางของ สมาธนิ ิมติ เดมิ ทอี่ ยูใ่ นกลางตวั 52 อภชิ านามิ โข ปนาหำ อคคฺ ิเวสสฺ น อเนกสตาย ปริสาย ธมฺมำ เทเสตา ฯ อปสิ สฺ ุ มำ เอกเมโก เอวำ มฺ ติ มเมวารพฺภ สมโณ โคตโม ธมฺมำ เทเสตตี ิ ฯ น โข ปเนตำ อคฺคิเวสสฺ น เอวำ ทฏฺพฺพำ ยาวเทว วิฺ า ปนตฺถาย ตถาคโต สมฺมเทว เตสำ ธมมฺ ำ เทเสตตี ิ ฯ โส โข อหำ อคฺคเิ วสฺสน ตสฺสาเยว คาถาย ปรโิ ยสาเน ตสมฺ ึเยว ปรุ ิมสฺมึ สมาธินมิ ิตฺเต อชฌฺ ตตฺ เมว จติ ตฺ ำ สณฺ เปมิ สนนฺ สิ ที ามิ สมาทหามิ เอโกทึ กโรมิ เยน สทุ ำ นิจฺจกปฺป วหิ รามีติ ฯ (ม.อ.ุ 12/431/458-9) 370 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org ...หยดุ อยกู่ ลางดวงธรรมนน้ั ถกู สว่ นเขา้ เหน็ ดวงศลี หยดุ อยู่กลางดวงศีล ถกู ส่วนเข้า ก็เห็นดวงสมาธิ หยุดอยูก่ ลางดวง สมาธิ ถกู ส่วนเข้า เหน็ ดวงปัญญา หยุดอยู่ศนู ย์กลางดวงปญั ญา ถกู สว่ นเขา้ กเ็ หน็ ดวงวมิ ตุ ิ หยดุ อยศู่ นู ยก์ ลางดวงวมิ ตุ ถิ กู สว่ นเขา้ เหน็ ดวงวมิ ุติญาณทสั สนะ... (ร.ธ. 686-7) ...พอเข้าถึงดวงธรรมท่ีทำาให้เป็นกายอรูปพรหมละเอียด แล้ว ใจก็หยุดอยู่กลางดวงธรรมที่ทำาให้เป็นกายอรูปพรหม ละเอียดน่ันแหละ เข้ากลางของกลาง กลางของกลาง กลาง ของกลาง กลางของกลาง กลางของกลางหนักเข้าก็จะเข้าถึง ดวงธรรมทที่ าำ ใหเ้ ปน็ กายธรรม ใจกห็ ยดุ อยกู่ ลางของหยดุ อกี นน่ั แหละ กลางของกลาง ... (ร.ธ. 160) ค. ประสบการณ์และ ลจากการปฏบิ ัติ ประสบการณห์ รอื ผลทไี่ ดจ้ ากการเจรญิ พทุ ธานสุ ติ มกี ลา่ วไวห้ ลายอยา่ ง ต้ังแต่ทำาให้มีใจอาจหาญร่าเริง มีจิตบริสุทธ์ิผ่องใส ละกามราคะได้ ได้อนิจจ สญั ญา หรอื สัญญาอื่นๆ อนั เปน็ ประโยชน์แกก่ ารเจริญวปิ ัสสนา เปน็ ตน้ ธรรม ประการ ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ ความเกดิ ขน้ึ แหง่ ปตี สิ มั โพชฌงค์ ไดแ้ ก่ ระลึกถึงพระพุทธคุณ ... เมื่อระลึกถึงพระพุทธคุณก็ดี ปีติสมั โพชฌงค์ ยอ่ มเกดิ ขนึ้ แผไ่ ปทว่ั สรรี ะจนถงึ อปุ จาระ (ส.ำ อ. 30/288 ไทย มมร.) เมื่อภกิ ษนุ ัน้ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่ จิตตปุ บาทยอ่ มผอ่ งใส ปราศจาก นวิ รณ์ (องฺ.อ. 33/178 ไทย มมร.) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 371

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ เราเป็นผู้มีสติ ไดอ้ นิจจสัญญาอันสหรคตด้วยพุทธานุสติ อยู่ที่โคนอัสสัตถพฤกษ์อันสว่างไสวไปด้วยแสงแห่งไฟและแก้ว มณี และผ้ามีสีเขียวงาม ความส้ินอาสวะเราได้บรรลุแล้วเร็ว พลนั เพราะสญั ญาทเี่ ราไดแ้ ลว้ ในครง้ั นนั้ (ข.ุ เถร. 26/306/303) อน่ึง สำาหรับผู้ที่บรรลุมรรคผลในเบ้ืองต้นแล้ว ย่อมเห็นพระพุทธองค์ ได้ชัดเจนเหมอื นเหน็ ดว้ ยตา ดงั ท่ีพระปงิ คยิ เถระผู้เคยเปน็ ศษิ ยข์ องพราหมณ์ พาวรี ถกู อาจารยส์ ง่ ไปถามคาำ ถามกบั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดฟ้ งั คาำ ตอบและ บรรลธุ รรมแลว้ กลบั มาหาอาจารยพ์ รอ้ มกบั กลา่ วสรรเสรญิ พระพทุ ธองค์ และ เลา่ ใหพ้ ราหมณฟ์ ังว่า ท่านเจริญพุทธานุสตแิ ละเหน็ พระพทุ ธองค์แจม่ ชัดแจง้ ท้งั วันและคนื เสมือนเหน็ ด้วยจกั ษุ ทา่ นพราหมณ์ อาตมายอ่ มเห็นพระพทุ ธเจ้าพระองค์นนั้ ด้วยใจเหมือนเห็นด้วยจักษุ อาตมาเป็นผู้ไม่ประมาทตลอดคืน และวนั นมสั การอย่ตู ลอดคนื และวนั อาตมายอ่ มสาำ คัญการไม่ อยู่ปราศจากพระพุทธเจ้าน่นั แล (ขุ.จฬู . 30/624/301) คาำ ว่าเหมือนเห็นดว้ ยจักษุ มคี ำาอธิบายเพมิ่ เตมิ ไวว้ ่า คำาว่า อาตมาย่อมเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์น้ันด้วยใจ เหมอื นเห็นด้วยจกั ษุ ความว่า บุรษุ ผมู้ ีนยั นต์ าพงึ แลเห็น มองดู แลดู ตรวจดู เพ่งดู พจิ ารณาดู ซึ่งรปู ทง้ั หลายฉนั ใด อาตมาแล เห็น มองดู แลดู ตรวจดู เพง่ ดู พจิ ารณาดู ซึ่งพระผู้มพี ระภาค ผู้ตรสั รู้แล้วฉนั น้นั เหมอื นกนั เพราะฉะน้ัน จึงชือ่ ว่า อาตมายอ่ ม 372 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org เหน็ พระพทุ ธเจา้ พระองคน์ น้ั ดว้ ยใจเหมอื นเหน็ ดว้ ยจกั ษุ (ข.ุ จฬู . 30/625/301-2) อรยิ บคุ คลไดช้ อ่ื วา่ เปน็ ผเู้ หน็ พระพทุ ธเจา้ เปน็ ปกติ เมอื่ เจรญิ พทุ ธานสุ สติ ตอ่ ไปไมน่ านกย็ อ่ มบรรลุพระอรหัตผลได้ ดังทีพ่ ระสิงคาลมาตาเถรีกลา่ วไวว้ ่า ครั้งนั้นดิฉันไปในท่ีประชุมนั้นได้ฟังสุคตภาษิตแล้ว ได้ บรรลโุ สดาปตั ตผิ ลแลว้ ออกบวชเปน็ ภกิ ษณุ ี ดฉิ นั ผปู้ รารถนาเหน็ พระพุทธเจา้ เจรญิ พทุ ธานุสติอยไู่ มน่ าน ก็ไดบ้ รรลอุ รหตั ผล (ข.ุ อป. 33/174/387) อน่ึง มีข้อความหลายแห่งในอรรถกถาบาลีที่เช่ือมโยงการเห็น พระพุทธเจา้ กบั การบรรลุมรรคผล ดังท่มี ขี ้อความบรรยายไว้วา่ เพราะขา้ พเจา้ ไดเ้ หน็ พระผมู้ พี ระภาคพทุ ธเจา้ พระองคน์ น้ั แลว้ รา่ งกาย นจ้ี งึ เป็นทส่ี ุด วงจรแห่งการเกดิ สิน้ สุดแลว้ บดั น้ภี พใหม่จะไมม่ ีอีกต่อไป53 อรรถกถาได้อธิบายการเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าในท่ีนี้ไว้ว่า หมายถึง การ “เห็นพระธรรมกาย”ด้วยการเห็นอรยิ ธรรม ดงั นี้ เพราะพระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคน์ น้ั เปน็ ธรรมกาย เปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธะ อนั ขา้ พเจา้ เหน็ แลว้ ดว้ ยการเหน็ อรยิ ธรรมที่ ตนไดบ้ รรลุ ฉะนน้ั รา่ งกายนจี้ งึ เปน็ ทสี่ ดุ ดว้ ยวา่ พระผมู้ พี ระภาค 53 ทิฏฺโ หิ เม โส ภควา อนตฺ ิโมยำ สมุสสฺ โย วิกฺขีโณ ชาตสิ สำ าโร นตฺถิ ทานิ ปนุ พฺภโว ฯ (ขุ.เถรี. 26/421/445 ขุ.เถร.ี 26/456/463) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 373

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ พุทธเจา้ และพระอริยะอ่นื ๆ ย่อมไดช้ ่ือวา่ ข้าพเจา้ ไดเ้ ห็นแล้ว ด้วยการเหน็ อริยธรรม ไมใ่ ชด่ ว้ ยเพยี งเห็นรปู กาย54 ในขอ้ น้ัน บทว่า ทิฏโ หิ เม โส ภควา ความว่า หม่อมฉัน ไดเ้ หน็ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ผตู้ รสั รชู้ อบดว้ ยพระองคเ์ องพระองค์ นนั้ โดยประจกั ษ์ ดว้ ยจกั ษคุ อื ญาณ โดยการเหน็ โลกตุ รธรรมทไ่ี ด้ เหน็ แล้วด้วยตนเอง55 เนื้อหาของการเจริญพุทธานสุติในพระไตรปิฎกและอรรถกถาบาลี จึง นับว่ามีความสอดคล้องกันกับหลักการของวิชชาธรรมกาย ทั้งในเร่ืองของวิธี การเบื้องต้นท่ีให้วางใจไว้ภายในตัว วิธีการในระดับท่ีสูงขึ้นไป คือให้หยุดใจ ให้ตั้งม่ันภายในสมาธินิมิตท่ีเข้าถึงนั้นๆ เร่ือยไป รวมท้ังการที่ผู้ที่บรรลุธรรม สามารถมองเห็นพระพุทธเจา้ ด้วยใจอย่างชัดเจนเสมอื นเหน็ ด้วยตา ซึง่ หมาย ถึงการเห็นพระธรรมกายอันเป็นเหตุแห่งการสิ้นสุดวัฏสงสาร ท้ังหมดน้ี เป็น หลกั การเดยี วกนั กับที่กล่าวไว้ในวชิ ชาธรรมกาย 54 ยสมฺ า โส ภควา ธมมฺ กาโย สมมฺ าสมฺพุทโฺ ธ อตฺตนา อธิคตอรยิ ธมมฺ ทสสฺ เนน ทฏิ โฺ , ตสมฺ า อนฺตโิ มยำ สมุสสฺ โยติ โยชนาฯ อรยิ ธมฺมทสฺสเนน หิ พุทฺธา ภควนโฺ ต อฺเ จ อรยิ า ทฏิ ฺา นาม โหนฺต,ิ น รปู กายทสฺสนมตฺเตนฯ (เถรี.อ. 35) 55 ตตถฺ ทฏิ โฺ  หิ เม โส ภควาติ โส ภควา สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธ อตตฺ นา ทฏิ ฺ โลกตุ ตฺ รธมมฺ ทสสฺ เนน าณจกขฺ นุ า มยา ปจฺจกขฺ โต ทิฏโฺ ฯ 374 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org 4.2.1.2. พุทธานสุ ติในคัมภรี ์จตุรารกั ขา56 พุทธานุสติ เป็นสมาธิภาวนาประการแรกที่ระบุไว้ในคัมภีร์จตุรารักขา เช่นเดียวกันกับพระไตรปิฎกบาลีท่ีจัดพุทธานุสติไว้เป็นอันดับแรกของอนุสติ ท้งั หลาย (D.III.250 .III.284) ซ่ึงน่าจะบง่ บอกถึงความสาำ คญั ของการเจรญิ พุทธานุสตสิ าำ หรบั ท่านผรู้ จนาคมั ภีรน์ ี้ ขอ้ ความเกยี่ วกบั พทุ ธานสุ ตมิ คี วามยาว 10 คาถา คอื ตงั้ แตค่ าถาที่ 2 ถงึ คาถาที่ 11 เนอ้ื หาของคาถาที่ 257 เปน็ คาำ แนะนำาให้พระภกิ ษุเจริญพทุ ธานุสติ โดยการระลกึ ถงึ พระพทุ ธคณุ อนั กวา้ งใหญไ่ มม่ ที ส่ี ดุ สว่ นคาถาท่ี3-11เปน็ เนอื้ หา พรรณนาพระพุทธคุณ ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นการขยายความนัยของพระพุทธคุณ จากแบบมาตรฐานทแี่ สดงไวใ้ นพระไตรปฎิ กบาลี ตง้ั แต่ อรหำ สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺโธ จนถึง พทุ ฺโธ ภควา โดยประพนั ธ์เป็นคาถาทมี่ ีเนือ้ ความกระชับ ชัดเจน และ สละสลวย อาจเปรียบเทียบบทพรรณนาพระพุทธคุณในคัมภรี จ์ ตรุ ารักขากบั บทบาลที ีก่ ลา่ วถึงพระพุทธคณุ ได้ดงั นี้58 56 นำามาจากงานวิจัย “รอ่ งรอยธรรมกายในคัมภีรจ์ ตรุ ารกั ขา” (สปุ ราณี พณชิ ยพงศ์ 2557) โดยมีการ ปรับปรงุ คำาแปลในบางสว่ น 57 อนนฺตวิตถฺ ารคณุ ำ คณุ โตนุสฺสรำ มนุ ึ ภาเวยยฺ พุทธฺ ิมา ภกิ ฺขุ พุทธฺ านสุ ฺสตมิ าทโิ ต ฯ (2) พระภิกษุผู้มีปัญญาเม่ือระลึกอยู่ถึงพระจอมมุนีผู้ทรงมีพระคุณท่ีแผ่ขยายไปไม่มีที่สิ้นสุดโดยคุณ พงึ เจริญพุทธานุสสติเป็นเบอื้ งต้น 58 แบบมาตรฐานทแี่ สดงพระคณุ ดงั ทบ่ี นั ทกึ ไวใ้ นพระไตรปฎิ ก ซง่ึ คมั ภรี จ์ ตรุ ารกั ขาไดน้ าำ มาขยายความ ไดแ้ ก่ข้อความวา่ อิติปิ โส ภควา อรหำ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนสุ ฺสานำ พุทฺโธ ภควาติ ฯ (D.I.4 D.II. 3 D.III. M.I.3 S.II.6 S.IV.2 1 S.V.1 A.III.28 ) ศกึ ษารายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ไดจ้ าก “รอ่ งรอยธรรมกายในคมั ภรี จ์ ตรุ ารกั ขา” (สปุ ราณี พณชิ ยพงศ์ 2557) บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 375

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ตารางท่ี 6 เปรียบเทยี บพุทธคุณในพระไตรปฎิ กและในคัมภีร์จตุรารกั ขา พระพทุ ธคณุ ในพระไตรปฎิ ก พระพทุ ธคุณในคมั ภีรจ์ ตุรารักขา อรหํ สวาสเน กิเลเส โสเอโก สพฺเพ นิ าติย ทรงห่างไกลจากกเิ ลส อห สสุ ทุ ฺธสนฺตาโน ปชาน จฺ สทารโห (3) พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์น้ันทรงเป็นพระองค์ เดียวที่ทรงกำาจัดเสียซึ่งกิเสสพร้อมด้วยวาสนา ทั้งปวง และได้เป็นผู้มีอุปนิสัยที่นอนเน่ืองบริสุทธ์ิ ดว้ ยดี ควรแกก่ ารบชู าในกาลทกุ เมอื่ สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธ สพฺพกาลคเต ธมเฺ ม สพเฺ พ สมมฺ า สยํ มนุ ิ ทรงตรสั รชู้ อบโดยพระองคเ์ อง สพฺพากาเรน พชุ ฺ ิตวฺ า เอโก สพพฺ ฺ ุตํ คโต (4) พระองค์ผู้เป็นจอมมุนีทรงตรัสรู้แล้วเองโดยชอบซึ่ง ธรรมท้ังปวงท่ีถึงตามกาลทั้งหมดโดยอาการท้ังปวง เป็นพระองค์เดียวท่ีบรรลุแล้วซึ่งพระสัพพัญุต ญาณ วิชฺชาจรณสมปฺ นฺโน วิปสสฺ นาทิวชิ ชฺ าหิ สีลาทจิ รเณหิ จ ทรงถงึ พรอ้ มดว้ ยวชิ ชาและจรณะ สสุ มทิ ฺเธหิ สมปฺ นฺโน คคนาเภหิ นายโก (5) พระผู้นำา ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชามีวิปัสสนาเป็นต้น และจรณะมีศีลเป็นต้นอันรุ่งโรจน์เป็นอย่างดี ประหนึ่งรัศมใี นทอ้ งฟา สุคโต สมฺมา คโตสุภํ านํ อโม วจโน จ โส (6) ทรงเสดจ็ ไปดีแลว้ พระองคน์ น้ั ทรงเสดจ็ ไปสทู่ อี่ นั งามโดยชอบ และเปน็ ผไู้ ม่กล่าวคำาทไ่ี รป้ ระโยชน์ โลกวิท ติวิธสฺสาปิ โลกสฺส าตา นิรวเสสโต (6) ทรงร้แู จง้ โลก ทรงรจู้ ักโลกแมท้ ง้ั สามโดยไม่มสี ว่ นเหลอื 376 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org พระพทุ ธคณุ ในพระไตรปฎิ ก พระพุทธคุณในคัมภรี จ์ ตุรารักขา อนตุ ตฺ โร อเนเกหิ คุโณเ หิ สพพฺ สตตฺ ตุ ฺตโม อหุ (7) ทรงไมม่ ีผอู้ ื่นยิง่ กว่า ได้ทรงเป็นผู้สูงสุดกว่าสัตว์ท้ังปวงด้วยกองคุณเป็น อเนกประการ ปุรสิ ทมมฺ สารถิ อเนเกหิ อุปาเยหิ นรทมเฺ ม ทเมสิ จ (7) ทรงฝกบรุ ษุ ทค่ี วรฝก และทรงฝกคนท่ีควรฝกไดด้ ้วยอบุ ายท่ีหลากหลาย สตฺถา เทวมนสุ ฺสานํ เอโก สพพฺ สสฺ โลกสฺส สพฺพอตฺถานสุ าสโก (8) ทรงเป็นครูสอนเทวดาและ เป็นพระองคเ์ ดียวท่ที รงตามพรำา่ สอนประโยชน์ มนุษย์ท้งั หลาย ท้ังปวงแก่มวลสรรพสตั ว์ พุทฺโธ ทยาย ปารมี จิตฺวา ป ฺ าย อตตฺ านมุทฺธริ ทรงเปน็ ผูร้ ู้ อุทธฺ รี สพฺพธมฺเม จ ทยาย ฺเ จ อุทฺธริ (10) และทรงสอนผู้อืน่ ให้ร้ดู ้วย ทรงสงั่ สมพระบารมดี ว้ ยความเอน็ ดู ทรงยกพระองค์ เองขน้ึ ด้วยพระปญั ญา ทรงยกข้นึ ไว้ในธรรมทั้งปวง และทรงยกผู้อน่ื ขึ้นดว้ ยพระกรณุ า ภควา ภาคยฺ อิสฺสริยาทีนํ คณุ านํ ปรโม นธิ ิ (8) เปน็ ผู้มีอิสริยยศ มโี ชค ทรงเปน็ ผู้มขี ุมทรพั ย์อนั ยอดเยยี่ มแห่งคณุ ท้ังหลาย มีลาภและความเป็นใหญ่เป็นตน้ นอกจากนี้ ยงั มีอีกคาถาหน่งึ ในสว่ นพุทธานุสติของคัมภีร์จตรุ ารักขาท่ี ประมวลรวมความหมายของแบบมาตรฐานในการพรรณนาพระพุทธคุณอีก แบบหนึ่งที่พบในพระไตรปิฎกบาลี ซึ่งเป็นที่รู้จักไม่น้อยไปกว่าแบบข้างต้น ไดแ้ ก่ บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 377

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ โส อิมำ โลกำ สเทวกำ สมารกำ สพรหมฺ กำ สสฺสมณพฺราหมฺ ณึ ปชำ สเทวมนสุ สฺ ำ สยำ อภิ ฺ า สจฉฺ กิ ตวฺ า ปเวเทสิ ฯ โส ธมมฺ ำ เทเสติ อาทิกลยฺ าณำ มชฺเฌกลฺยาณำ ปรโิ ยสานกลฺยาณำ สาตถฺ ำ สพยชฺ นำ เกวลปริปณุ ฺณำ ปรสิ ทุ ฺธำ พรหฺมจรยิ ำ ปกาเสติ ฯ (Vin.I.1 Sn.103) ค�าแปล: พระองค์นนั้ ทรงทาำ โลกน้ี พร้อมท้งั เทวโลก มาร โลก พรหมโลกให้แจ้งชดั ด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แลว้ ทรงสอนหมสู่ ตั ว์ พรอ้ มทง้ั สมณะ พราหมณ์ เทพ และมนษุ ย์ ใหร้ ทู้ วั่ พระองคน์ นั้ ทรงแสดงธรรมพรอ้ มทง้ั อรรถและพยญั ชนะ อันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในท่ีสุด ทรงประกาศ พรหมจรรย์อันบรสิ ุทธบ์ิ ริบูรณค์ รบถ้วน อาจกล่าวได้ว่าความหมายของพระพุทธคุณดังกล่าว ได้ประมวลมาไว้ ในคาถาที่ 9 ของคมั ภรี จ์ ตุรารักขา ปฺาสสฺ สพฺพธมฺเมสุ กรณุ า สพพฺ ชนตฺ สุ ุ อตตฺ ตฺถานํ ปรตถฺ านํ สาธิโก คณุ เชฏโิ ก ( ) ค�าแปล: พระองค์น้ันทรงมีพระปัญญาในธรรมทั้งปวง มีพระกรุณาต่อสรรพสัตว์ เป็นผู้ประเสริฐด้วยคุณ ทรงทำา ประโยชนต์ นและประโยชน์ผอู้ ืน่ ใหส้ าำ เร็จ แม้เน้ือหาในส่วนพุทธานุสติของคัมภีร์จตุรารักขาจะไม่ได้อธิบายอะไร ไว้มากถึงวิธีการในการปฏิบัติพุทธานุสติ แต่การที่แสดงไว้ต้ังแต่ต้นในคาถาท่ี 2 ว่า พระภิกษุผู้มีปัญญาพึงเจริญพุทธานุสติ ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธ 378 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org องค์ที่กว้างใหญ่ไม่มีประมาณนั้น ก็เป็นการแสดงวิธีการอยู่ในตัว คือสอนให้ ระลึกถงึ พระพทุ ธคณุ เป็นการบอกวิธกี ารโดยย่อเช่นเดียวกนั กับทพี่ บในพระ ไตรปิฎกบาลี และท่พี บในคาถาธรรมกายดงั กลา่ วมาแลว้ (ดู 4.1.1.2) ซ่งึ อาจ ถือวา่ เป็นเร่อื งปกตขิ องการบันทึกคัมภีรท์ มี่ ีเน้อื หาในลักษณะนี้ อนงึ่ มขี ้อสังเกตว่า สำานวนการประพนั ธใ์ นคมั ภีรจ์ ตรุ ารักขามีลกั ษณะ ของการอธบิ ายคาำ ท่พี บในพระไตรปิฎกบาลี โดยมถี ้อยคำา สาำ นวน และเน้อื หา หลายตอนคล้ายคลึงกันกับท่ีพระพุทธโฆษาจารย์ใช้ในการเรียบเรียงคัมภีร์ สมันตปาสาทกิ า อรรถกถาของพระวินัยปฎิ ก59 ความคลา้ ยคลงึ กันของการใช้ ถ้อยคำาและเนื้อความในคัมภีร์จตุรารักขากับพระไตรปิฎกและอรรถกถาบาลี ดงั กล่าว น่าจะเปน็ เครอื่ งบง่ ช้วี ่าคมั ภีรจ์ ตรุ ารกั ขาเปน็ คัมภีร์เก่าแก่ น่าเชอื่ ถือ และเนื้อหาท่ีบันทึกไว้ในคัมภีร์นี้น่าจะสะท้อนความเข้าใจของชาวพุทธในยุค โบราณอย่างชา้ ในพุทธศตวรรษท่ี 11-16 เกีย่ วกบั พุทธคณุ และพระธรรมกาย ดังทแ่ี สดงไวข้ า้ งต้น 4.2.1.3. พทุ ธานุสติในคมั ภีรม์ ูลลกัมมฐาน60 ในคมั ภรี ์มูลลกมั มฐานฉบับวดั ป่าเหมอื ด (4.1.1.4) พบเน้อื หาทแ่ี นะนาำ การเจรญิ พทุ ธานสุ ติ 2 ครงั้ ครงั้ แรกเปน็ คาำ แนะนาำ การเจรญิ สมาธภิ าวนาแบบ พุทธานสุ ติโดยตรง สว่ นครัง้ ทีส่ องเป็นคำาแนะนำาในการ “บชู าขา้ วชวี ิต” ซ่ึงมี เนอ้ื หาแนะนาำ การเจรญิ พุทธานสุ ตเิ ชน่ เดยี วกัน 59 ศกึ ษารายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ไดจ้ ากงานวจิ ยั “รอ่ งรอยธรรมกายในคมั ภรี จ์ ตรุ ารกั ขา” (สปุ ราณี พณชิ ยพงศ์ 2557) 60 ศกึ ษารายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ไดจ้ ากงานวจิ ยั “สมาธภิ าวนาในคมั ภรี อ์ กั ษรธรรม” (กจิ ชยั เออ้ื เกษม 2557) บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 379

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ คำาแนะนำาสมาธิภาวนาแบบพุทธานุสติที่พบในคัมภีร์มูลลกัมมฐานนี้ มีความยาวราว 3 หน้าครึ่งของสมุดพับสา (มูลล. 17 1 .8-19.3) เขียนเป็น ภาษาไทยยวนท้ังในการแนะนำาวิธีปฏิบัติและในการอธิบายศัพท์บาลีที่แสดง พระพุทธคุณ มีบทบาลีแสดงพระพุทธคุณพร้อมคำาแปลและอธิบายความใน ภาษาไทยยวนเพ่อื ใช้เป็นบทสวดกอ่ นการภาวนาด้วย เนื้อหาของคำาแนะนำาการปฏิบตั ิพทุ ธานุสตใิ นคมั ภีร์มลู ลกัมมฐาน อาจ สรุปไดด้ งั นี้ 1. ทำาตามข้อควรปฏิบัติก่อนการเจริญสมาธิภาวนาท่ีแนะนำาไว้เป็น กลางๆ (ดู 4.2.3.2 ) 2. กลา่ ว “พทุ โฺ ธ เม นาโถ” พรอ้ มคาำ แปล 3 ครง้ั 3. สวดบท “อิติปิ โส ฯ” 3 รอบ 4. สวดบทแปลกึ่งอธิบายในภาษาไทยยวนท่ีขยายความบทบาลีแสดง พระพุทธคุณ ต้ังแต่ “อรหำ” จนถึง “ภควา” 5. สวดบท “อรหำ สมฺมาสมฺพทุ โฺ ธ” 3 ครงั้ จากนั้นวางมอื ไวบ้ นตัก และ ปรับทา่ นั่งพร้อมจะทำาสมาธภิ าวนา 6. ให้น้อมระลึกถึงภาพพระพุทธรูปปางใดก็ได้เป็นบริกรรมนิมิต โดย นึกใหม้ าปรากฏตรงหน้าหรอื ประทับน่ังบนศรี ษะ เพื่อเปน็ ทพ่ี ึ่ง นอ้ มระลึกถึง พระพทุ ธคณุ ดงั ทไ่ี ดแ้ ปลมาแลว้ (ในขอ้ 4) พรอ้ มกบั บรกิ รรมภาวนาวา่ “พทุ โฺ ธ” และนบั ลูกประคาำ ไปด้วย ภาวนาพทุ โธครัง้ หนึ่งก็นบั ลกู ประคำาลูกหน่งึ พอนับ ได้ 50 ลกู ก็ค่ันดว้ ยคำาราำ พึงว่า “อรหำ สมฺมาสมฺพทุ ฺโธ” ครง้ั หน่ึง ทำาอยา่ งน้ี เรื่อยไปย่งิ มากย่ิงดี 380 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org คาำ แนะนาำ เกย่ี วกบั วธิ ปี ฏบิ ตั พิ ทุ ธานสุ ตใิ นคมั ภรี ม์ ลู ลกมั มฐานนี้ เปน็ การ ผสมผสานสองวิธีการเข้าด้วยกันคือ การระลึกถึงพระพุทธลักษณะโดยมี พระพุทธรปู เป็นองคแ์ ทน และการระลกึ ถึงพระพุทธคุณ ซ่ึงทงั้ สองวธิ ีกม็ รี ะบุ ไวใ้ นพระไตรปฎิ กและอรรถกถาดังท่ีไดแ้ สดงไว้ข้างตน้ (4.2.1.1) สว่ นการนับ ลูกประคำาน่าจะเป็นวิธีการของท้องถ่ินเพื่อเป็นเคร่ืองช่วยไม่ให้หลงลืมหรือ เผลอสตจิ ากบรกิ รรมภาวนา ในบทแปลก่ึงอธิบายพระพุทธคุณท่ีกล่าวไว้ในส่วนของพุทธานุสติน้ี คัมภีร์มูลลกัมมฐานอธิบายความหมายของพุทธคุณไปในแนวทางเดียวกันกับ คัมภีร์สายบาลีเป็นส่วนใหญ่ แต่เป็นสำานวนภาษาท้องถิ่นและมีการอธิบาย ละเอยี ดข้ึนในบางจดุ มีขอ้ สังเกตวา่ คมั ภีร์น้ีเรียกวิชชา 8 ในภาษาท้องถ่นิ วา่ “ปัญญาทิพย์ 8 ดวง” การกล่าวถึงคุณธรรมว่าเป็นดวงน้ี อาจเป็นลักษณะ ของชาวพุทธท้องถิ่นท่ีพบได้ในหลายแห่ง ซ่ึงคล้ายคลึงกันกับท่ีพบในวิชชา ธรรมกาย ดงั ทกี่ ล่าวถึงดวงศลี ดวงสมาธิ ดวงปัญญา เปน็ ตน้ การบชาขา้ วชีวติ ในคัมภีร์มูลลกัมมฐานยังมีเนื้อหาอีกตอนหน่ึงท่ีจัดว่าเก่ียวข้องกับ พทุ ธานสุ ตเิ ช่นกัน คือในภาคผนวกทีแ่ สดงกรรมวธิ ีในการ “บูชาขา้ วชีวิต” ไว้ มีความยาว 3 หน้าพับสา (หน้า 50-52) การบูชาเกิดจากความศรัทธาใน พระรตั นตรัย และเพอ่ื ใหไ้ ดเ้ ปน็ ทพี่ ่ึงอันประเสริฐในชาตินแี้ ละชาตหิ น้า คมั ภรี แ์ นะนาำ ใหเ้ ตรยี มขา้ วบชู า โดยใชข้ า้ วในปรมิ าณเทา่ กบั ทผ่ี บู้ ชู ารบั ประทานไดอ้ ม่ิ หนงึ่ แบง่ เปน็ สส่ี ว่ น บชู าพระพทุ ธเจา้ พระบรมสารรี กิ ธาตุ พระ โลกตุ รธรรมเกา้ และพระอรยิ สงฆแ์ ปดจาำ พวก จากนนั้ ใหผ้ บู้ ชู าถอื ศลี หรอื ปลง บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 381

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ อาบัตติ ามเพศภาวะของตน แล้วเอาข้าวสว่ นทบี่ ูชาพระธาตุมาตากแหง้ ตำาให้ ฟูละเอียด ผสมกับเกสรดอกไม้และดอกจันทน์ตากแห้งท่ีตำาละเอียดเช่นกัน สมุ กับรกั แลว้ ใช้สรา้ งพระพุทธรปู ซึ่งระบใุ นคัมภรี ์วา่ เปน็ “พระเจ้าชีวิตเกสร ดอกไม”้ ดว้ ยผลของการบชู านี้ “แมป้ รารถนาเปน็ พระ(พทุ ธ)เจา้ กส็ มดงั ความ ต้องการ” (มูลล. 52.11) โดยผู้สร้างต้อง “วางอารมณ์” ไปยังพระพุทธรูป กจ็ ะไดเ้ ห็น “พระเจา้ ชวี ิต” น้ันมาปรากฏต่อหนา้ เพอ่ื พาไปสู่ที่ (ภพ) ท่ดี ี ภาพท่ี 22 พับสาคัมภีร์มลลกัมมฐาน อกั ษรธรรมลา้ นนา วั ปาเหมอื อาํ เภอปว จงั หวั นาน (สาํ นักสงเสรมิ ลิ ปวั นธรรม มหาวิทยาลยั เชยี งใหม) เห็นได้ว่าในท้ายท่ีสุดของการบูชาเป็นการภาวนาประเภทพุทธานุสติ ใหไ้ ด้พระพทุ ธเจ้าหรือพระพุทธรปู คอื “พระเจา้ ชีวิต” เป็นอารมณ์ เพ่อื นำา ไปสู่การปฏิบัติภาวนาในข้ันต่อไป เป็นที่น่าสังเกตว่าการบูชาข้าวชีวิตนี้ได้ รวมเอาคำากล่าวถวายชีวิตแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าไว้ด้วย ซ่ึงคัมภีร์กล่าวไว้ว่า 382 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org เปน็ การกระทาำ ในระดับครกุ าภาวะ (มูลล. 12.9) คือความตง้ั ใจในการปฏบิ ตั ิ อย่างยิง่ ยวด แมว้ า่ กรรมวธิ ใี นการบชู าขา้ วชวี ติ ในคมั ภรี ม์ ลู ลกมั มฐานนี้ จะมลี กั ษณะ ของการบูชามากกว่าท่ีจะเป็นการสอนเจริญกรรมฐานอย่างเต็มรูปแบบ กต็ าม แตพ่ ทุ ธานุสตทิ ่แี นะนำาไว้ในสว่ นนก้ี ็คล้ายคลงึ กบั ส่วนทสี่ อนพทุ ธานสุ ติ กรรมฐานโดยตรงขา้ งตน้ คอื ในประเด็นท่ีสอนใหร้ ะลึกถงึ พระพทุ ธรปู มาเปน็ อารมณข์ องกรรมฐาน วธิ ีการปฏบิ ตั เิ บื้องตน้ ดงั กลา่ วนี้ มีความสอดคลอ้ งกับ ทแ่ี สดงไวใ้ นพระไตรปฎิ กบาลี และสอดคลอ้ งกนั กบั วธิ ปี ฏบิ ตั เิ บอื้ งตน้ ในวชิ ชา ธรรมกายด้วยเช่นกนั (พระมงคลเทพมุนแี ละคณะศิษย์ 2525: 23) 4.2.2. สมาธภิ าวนาในคมั ภรี จ์ ตรุ ารักขา61 ในคมั ภรี จ์ ตรุ ารักขา นอกจากการปฏิบัติพทุ ธานสุ ติท่มี ีเน้อื หายาวทส่ี ดุ แลว้ ยงั มขี อ้ ความแนะนาำ การปฏบิ ัตธิ รรมแบบอื่นอีก 3 แบบ ซ่ึงคัมภรี ใ์ ห้ช่ือ ว่า เมตตานสุ ติภาวนา (คาถา 12-16) อสภุ านสุ ตภิ าวนา (คาถา 17-22) และ มรณานุสติ (คาถา 23-29) 62 ในการเจริญเมตตา คัมภีร์แนะนำาให้ระลึกว่า สรรพสัตว์ท้ังหลายก็ ปรารถนาความสขุ เชน่ เดยี วกนั กบั เรา แลว้ ตง้ั ความปรารถนาดใี นสรรพสตั วโ์ ดย 61 ศึกษารายละเอียดได้จากรายงานการวิจัย “ร่องรอยธรรมกายในคัมภีร์จตุรารักขา” (สุปราณี พณิชยพงศ์ 2557) 62 ศึกษารายละเอียดได้จากรายงานการวิจัย “ร่องรอยธรรมกายในคัมภีร์จตุรารักขา” (สุปราณี พณิชยพงศ์ 2557) บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 383

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ เรมิ่ ตน้ จากตนเองวา่ ขอใหเ้ ราเปน็ สขุ ปราศจากความทกุ ขเ์ ปน็ นติ ย์ และขอให้ ผทู้ ม่ี คี วามเกอื้ กลู ตอ่ เรา ผทู้ เ่ี ปน็ กลางๆ และแมผ้ ทู้ มี่ เี วรตอ่ เรา กจ็ งเปน็ สขุ เชน่ เดยี วกนั กบั เรา ขอสตั วท์ งั้ หลายในหมบู่ า้ นน้ี ในแวน่ แควน้ อน่ื ๆ และในจกั รวาล ท้ังหลายท่ีไมม่ ีทสี่ ิน้ สดุ ผู้คน สงิ่ มีชวี ติ ทั้งหญงิ ชาย ทัง้ ทีเ่ ปน็ อรยิ บุคคลและที่ ยังไม่เป็นอริยบุคคล ทง้ั เหลา่ เทวดา มนุษย์ สัตวท์ ่ีอยู่ในอบาย ท้งั หมดในทศิ ท้ังสบิ กข็ อให้เปน็ สุขเชน่ เดยี วกนั กบั เรา ในการเจรญิ อสภุ ภาวนา คมั ภรี แ์ นะนาำ ใหพ้ จิ ารณารา่ งกายนท้ี ปี่ ระกอบ ดว้ ยอาการ 32 วา่ เป็นสิง่ ไม่งามโดยประการต่างๆ เปน็ ต้นวา่ กายนเี้ ปน็ ปฏกิ ลู ทงั้ โดยสี กลนิ่ รปู รา่ ง ประดุจซากศพ ทง้ั ส่งิ ทอี่ าศัยรา่ งกายน้อี ยู่ และสิ่งที่หลุด ออกไปจากร่างกาย ก็เป็นปฏิกูล กายนี้เกิดในที่ท่ีไม่สะอาด ประดุจหนอนท่ี เกดิ ในคถู ภายในลว้ นมแี ตส่ ง่ิ ไมส่ ะอาด ประดจุ ส้วมทเี่ ต็มฉะนัน้ อนึ่ง สิ่งที่ไม่ สะอาดยอ่ มไหลออกจากรา่ งกายนเ้ี สมอ และกายนี้ยงั เป็นทีอ่ ยู่ของหมู่หนอน ประดจุ บอ่ น้าำ คราำ กายนีเ้ ตม็ ไปดว้ ยโรค เป็นเหมือนฝหี รือแผลทีร่ กั ษาไม่หาย และเหมอื นซากศพที่แตกประทุแล้วฉะน้ัน ในการเจริญมรณานุสติ คัมภีร์แนะนำาให้นึกเปรียบเทียบตนเองกับ ผู้อ่ืนที่ส้ินอายุแล้วว่า แม้สัตว์ทั้งหลายท่ีมีสมบัติมากมายก็ต้องตาย เราก็ต้อง ตายเหมอื นกนั ความตายมาพร้อมกนั กบั การเกิด เสมือนเพชฌฆาตทจี่ ้องหา โอกาสจะฆ่าอยูเ่ สมอ ชีวิตเป็นของนอ้ ย ไหลไปอย่างตอ่ เนอ่ื งโดยไมห่ วนกลับ ประดุจดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนคล้อยไปตั้งแต่อุทัยจนอัสดง ชีวิตนี้ส้ันเสมือน ฟองนำ้าหรือน้ำาค้างท่ีเกิดข้ึนแล้วก็ดับหรือหายไปโดยเร็ว ความตายได้ฆ่าท้ัง ผมู้ ชี อ่ื เสยี ง ผมู้ กี าำ ลงั ผมู้ บี ญุ มฤี ทธิ์ และแมพ้ ระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลายผมู้ พี ระปญั ญา 384 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org ตรัสรู้ ประสาอะไรกับคนเช่นเรา ก็เพราะความบกพร่องแห่งปัจจัยท้ังหลาย อันตรายจึงมีได้ท้ังจากภายในและภายนอก เราจะตายได้ในทุกขณะแม้เพียง ชวั่ เวลากระพริบตา ในท่สี ุด คมั ภีร์แนะนำาว่า เมอ่ื เจริญภาวนาทั้ง 4 ประการดงั นี้แล้ว ภิกษุ ควรมคี วามเพยี ร พจิ ารณาสง่ิ ทเี่ ปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ ความสงั เวช 8 ประการ ไดแ้ ก่ การ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อบาย ความทกุ ข์ในอดตี ทกุ ขใ์ นอนาคต ทุกขใ์ นวฏั สงสาร และทุกข์ในการแสวงหาอาหาร อย่างต่อเน่ืองเร่ือยไป และเม่ือภิกษุผู้ใคร่ ประโยชน์แก่ตนเองได้เจริญอนุสติเหล่าน้ีอย่างต่อเน่ืองแล้ว เป็นผู้สงบ ขจัด อุปสรรคได้แล้วย่อมเข้าถึงความสวัสดีและความสุขอันไพบูลย์ที่ทราบกันว่า เป็นสิง่ ประเสรฐิ สดุ การเจริญภาวนา 4 ประการและการพิจารณาสังเวควัตถุที่กล่าวไว้ใน คัมภีร์จตุรารักขานี้ มีที่มาจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาบาลี ดังที่มีแสดง มากมายในที่ตา่ งๆ เกีย่ วกบั การเจริญพุทธานสุ ติ (ดู 4.2.1.1) การเจรญิ เมตตา โดยประการต่างๆ (ม.ม. 13/730/664-5, ขุ.ปฏิ. 31/574-587/482-497) การพิจารณาร่างกายว่าเป็นปฏิกูล (ที.มหา. 10/277/330-1) การพิจารณา ว่าความแก่และความตายย่อมมาถึงเราอย่างแน่นอนโดยมิต้องสงสัย (ม.อุ. 14/527/265, ส.ำ ส. 15/415/148) และสงั ขารทงั้ ปวงเปน็ ทกุ ข์ (ข.ุ ธ. 25/30/51) เปน็ ต้น ในวชิ ชาธรรมกาย พระมงคลเทพมนุ กี แ็ นะนาำ ถงึ การพจิ ารณาสงิ่ เหลา่ น้ี เพอ่ื ใหไ้ มป่ ระมาทและเรง่ ทาำ ความเพยี รเชน่ เดยี วกนั ดงั ทที่ า่ นกลา่ วไวใ้ นวาระ ต่างๆ บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 385

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ถ้าว่าเราตั้งอยู่ได้ในความไม่ประมาทคอยนึกถึงความ เสอ่ื มไป มอี ารมณอ์ ยู่ ไมใ่ ชไ่ มม่ อี ารมณ์ วา่ ตง้ั ใจวา่ เรานกึ ถงึ ความ เส่อื มนว้ี ่าตัง้ แตน่ ีไ้ ป เมอ่ื รเู้ ม่ือเข้าใจแลว้ จะนึกถึงความเสอื่ มใน สกลร่างกายนี้ไม่ขาดอยู่ จะเอาใจจดอยู่ที่ความเสื่อมนั่นแหละ เราจะนกึ ถงึ ความเสอ่ื มของตน นกึ ถงึ ความเสอ่ื มบคุ คลผอู้ นื่ เมอื่ ลมื ตาขนึ้ เหน็ ภกิ ษสุ ามเณร อบุ าสกอบุ าสกิ า แนะ่ ความเสอื่ มมนั แสดงให้ดู น่นั แปรผนั ไปถงึ แค่นั้นแลว้ นัน่ กแ็ ปรผนั ไปถงึ แค่นัน้ ประเดยี วกต็ ายใหด้ ู แนะ่ ทาำ ใหด้ แู ลว้ ไดย้ นิ เสยี งพระสวดกด็ ี เหน็ โลงกด็ ี แนะ่ เปน็ อยา่ งนแ้ี หละหมดทงั้ สากลโลก เรากเ็ ปน็ อยา่ งนี้ เพราะเหตฉุ ะนัน้ เมื่อบคุ คลไมเ่ ผลอในความเสือ่ มเช่นนี้ ไมพ่ ล้ัง ไม่เผลอละก็ นั่นแหละผู้น้ันแหละได้ช่ือว่า ได้ตั้งอยู่ในความไม่ ประมาท พระจอมปราชญ์สรรเสริญนัก (รธ. 225, ดเู พม่ิ เติมใน 3.1.6 “สญั ญา 4 ประการ”) คาำ แนะนาำ ในการเจรญิ สมาธภิ าวนาในคมั ภรี จ์ ตรุ ารกั ขาจงึ เปน็ นยั ทตี่ รง กนั กบั พระบาลีและตรงกันกบั หลักการของวชิ ชาธรรมกายด้วยเชน่ กัน 4.2. . สมาธิภาวนาในคมั ภีรโ์ ยคาวจร63 “โยคาวจร” เป็นศัพท์ที่นักวิชาการตะวันตกบัญญัติขึ้น เพ่ือความ สะดวกในการเรียกพุทธศาสนาท่ีได้รับการนับถือปฏิบัติแพร่หลายในแถบ 63 ศึกษารายละเอียดเพ่ิมเติมได้จากงานวิจัย “สมาธิภาวนาในคัมภีร์อักษรธรรม” (กิจชัย เอื้อเกษม 2557) และ “สมาธภิ าวนาในคัมภรี ใ์ บลานเขมร” (พระปอเหม่า ธมมฺ ิโต 2557) 386 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ดนิ แดนเอเชยี อาคเนย์ กอ่ นพทุ ธศตวรรษที่ 25 ( rosby 2000:141) มคี าำ สอน เก็บรักษาไว้ในคัมภีร์ใบลานและกระดาษพับสาท่ีจารึกด้วย “อักษรธรรม” ซึ่งเปน็ อกั ษรทใ่ี ชแ้ พรห่ ลายในกลมุ่ อารยธรรมไทย-ลาว ตงั้ แตเ่ ชยี งรงุ้ สบิ สองปนั นา ในประเทศจีน เชียงตุงในพม่า ดินแดนล้านนา ลาวหรือล้านช้าง และภาค อสี านของไทยในปจั จบุ นั และในคมั ภรี ใ์ บลานอักษรเขมร ในประเทศกัมพชู า ภาพที่ 23 คมั ภรี ์พุทธนรกนั อกั ษรธรรมอสี าน การศกึ ษาเกยี่ วกบั คาำ สอนของโยคาวจรในแวดวงวชิ าการเรม่ิ ตน้ ขนึ้ ราว 40 ปที ผ่ี า่ นมา เมอ่ื บซิ อท (Bi ot) นกั วชิ าการชาวฝรงั่ เศสไดศ้ กึ ษาคมั ภรี ใ์ บลาน ภาษาเขมรและพบวา่ คาำ สอนในพระพทุ ธศาสนาดงั กลา่ วมลี กั ษณะเฉพาะของ ท้องถ่นิ (indigenous uni ueness) ทไี่ มเ่ คยเปน็ ทีร่ บั รูก้ ันมาก่อน เพราะที่ ผ่านมาการศึกษาพุทธศาสนาในเอเชียอาคเนย์ได้จำากัดวงค้นคว้าแต่ในเมือง ใหญ่ และใชแ้ ตข่ อ้ มลู จากกลมุ่ นกั วชิ าการดว้ ยกนั เองมากกวา่ ทจ่ี ะรบั ขอ้ มลู จาก บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 387

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ชาวพทุ ธในระดบั พนื้ บา้ น (Bi ot 1976 cDaneil 2011) บซิ อทพบวา่ คมั ภรี ์ ปฏบิ ตั ธิ รรมภาษาเขมรนนั้ มมี มุ มองในการปฏบิ ตั แิ ตกตา่ งไปจากทไี่ ดเ้ คยทราบ ทั่วไป และเช่ือวา่ คมั ภรี ท์ ี่มีเนอื้ หาในลกั ษณะนี้ยังมีอยู่ในพ้ืนที่อื่นหรือจารดว้ ย อกั ษรอนื่ ในเอเชียอาคเนย์ด้วยเชน่ กนั เกือบ 20 ปีต่อมา ลากิคร์าด ( agirarde 1993) นักวิชาการชาว ฝรงั่ เศสอกี ทา่ นหนง่ึ พบวา่ คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาอกั ษรธรรมลา้ นนากม็ เี นอ้ื หา ในลักษณะเดียวกัน จากน้ันจึงมีการขยายวงการค้นคว้าเปรียบเทียบคัมภีร์ท่ี จารกึ ด้วยอกั ษรโบราณต่างๆ ในภมู ิภาคนี้อย่างกว้างขวางโดยนกั วชิ าการชาว เยอรมนั องั กฤษ และอเมรกิ นั ทม่ี ผี ลงานเปน็ ทย่ี อมรบั ไดแ้ ก่ ครอสบ้ี ( rosby) ชาวองั กฤษ ผนู้ าำ เสนอความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งศรลี งั กาและเอเชยี อาคเนยด์ ว้ ยการ ปฏบิ ตั ภิ าวนาแบบ“โบราณ” เธอพบวา่ มคี มั ภรี ท์ เ่ี หมอื นกนั นท้ี ศ่ี รลี งั กาดว้ ยเชน่ เดยี วกนั ( rosby et.al., 2012) กลมุ่ คมั ภรี ท์ น่ี าำ มาศกึ ษาในงานวจิ ยั นไ้ี ดแ้ ก่ คมั ภรี พ์ ทุ ธนรกนั คมั ภรี พ์ ระ ญาณกสณิ คมั ภีร์บัวระพนั ธะ คัมภีร์ธัมมกาย และคมั ภีร์มลู ลกัมมฐาน ทเ่ี ก็บ รกั ษาไวใ้ นอารามตา่ งๆ ทางภาคเหนอื ภาคอสี านของไทย และในประเทศลาว รวมท้ังคัมภีร์มูลพระกรรมฐาน ปริยายพระวิปัสสนาสูตร และคัมภีร์ในกลุ่ม เดยี วกนั จากกมั พชู า เนอื้ หาของสมาธภิ าวนาทแ่ี สดงไวใ้ นคมั ภรี เ์ หลา่ นบ้ี ง่ บอก วา่ เป็นคมั ภรี ์จากสายการปฏิบตั เิ ดียวกนั เนอื้ หาของคมั ภรี โ์ ยคาวจร นอกจากการแนะนาำ การปฏบิ ตั สิ มาธภิ าวนา และกลา่ วถงึ ผลการปฏบิ ตั ทิ เ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ ยงั กลา่ วถงึ หลกั การทว่ั ไปไวด้ ว้ ย ซงึ่ ใน ที่น้ีจะสรุปเน้ือหาตามลำาดับต้ังแต่ ภาพรวมการศึกษาและปฏิบัติในพระพุทธ 388 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org ศาสนา ข้อปฏบิ ัตกิ อ่ นการเจรญิ สมาธภิ าวนา การเจริญสมาธิภาวนาเบ้อื งตน้ ผลของการปฏบิ ตั ิในระดับโลกิยะ การปฏบิ ัติในระดบั โลกตุ ระและผลของการ ปฏิบัติ และสุดท้ายเป็นการเปรียบเทียบความสอดคล้องและความแตกต่าง ของสมาธิภาวนาของโยคาวจรกับหลักการในพระไตรปิฎกบาลีและหลักการ ของวชิ ชาธรรมกาย 4.2.3.1. ภาพรวมการศึกษาและปฏิบัติในพระพทุ ธศาสนา64 ก่อนเข้าสู่เน้ือหาแนะนำาการปฏิบัติสมาธิภาวนา คัมภีร์โยคาวจรบาง ฉบับไดใ้ ห้ภาพรวมของการศกึ ษาและการปฏิบตั ใิ นพระพุทธศาสนา และหลกั ในการปฏบิ ตั โิ ดยท่วั ไปไว้ดังนี้ 1. นิพพานเปน็ ธรรมทเ่ี ท่ยี งแท้ เป็นสุขยง่ิ เปน็ แกน่ สาร ไม่มีความเกดิ แก่ เจ็บ ตาย เปน็ หนทางทีพ่ ระพทุ ธเจา้ พระปจั เจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ และ อริยสัปปุรุษแต่โบราณท้ังหลายดำาเนินไปกันแล้วนับได้มากกว่าอสงไขยโกฏิ โดยไม่ต้องหวนกลับมา (มูลล. 1.2-1.6) 2. บณั ฑิตผูม้ ปี ัญญา จะเป็นคฤหสั ถห์ รอื บรรพชติ ก็ตาม หากกลัวทุกข์ ภยั ในวฏั สงสาร และปรารถนาจะไปให้ถงึ หนทางนน้ั กค็ วรบำาเพ็ญกุศล ต้ังใจ ใหท้ าน รักษาศลี ให้บรสิ ทุ ธิ์ตามเพศภาวะของตน ให้เปน็ ศีลวิสทุ ธิ์ เปน็ อธศิ ลี สกิ ขา แลว้ ปฏบิ ัติธดุ งควตั รประการใดประการหนึง่ หรือท้ังหมด และปฏบิ ัติ คนั ถธุระคอื การเลา่ เรยี น และเจรญิ วปิ ัสสนาธรุ ะ (มลู ล. 1.1-1.9) 64 ศกึ ษารายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ไดใ้ นงานวจิ ยั “สมาธภิ าวนาในคมั ภรี อ์ กั ษรธรรม” (กจิ ชยั เออื้ เกษม 2557) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 389

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ 3. วปิ สั สนาธรุ ะ แบง่ เปน็ 2 ประการคอื ศรทั ธาธรุ ะ (สมถกรรมฐาน) และ ปญั ญาธรุ ะ (วปิ สั สนากรรมฐาน) ทา่ นแนะนาำ ใหป้ ฏบิ ตั ศิ รทั ธาธรุ ะกอ่ น โดยอาจ เลอื กอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ หรอื หลายอยา่ งกไ็ ด้ เมอ่ื มศี รทั ธาแกก่ ลา้ ดแี ลว้ จงึ ปฏบิ ตั ิ ปัญญาธุระต่อไป โดยอาจเลือกวิปัสสนาแบบใดแบบหน่ึง ได้แก่ ทิฏฐิวิสุทธิ กรรมฐาน กงั ขาวสิ ุทธิกรรมฐาน ติลักขณวิปสั สนา 3 ดวง65 ภาวนาอนปุ สั สนา 7 ดวง มหาภาวนาวิปัสสนา 11 ราศี มหาวัชชิรวปิ ัสสนา 18 ดวง66 เปน็ ต้น 65 ติลกั ขณวปิ ัสสนา 3 ดวง น่าจะหมายถงึ อนิจจานปุ สั สนา ทุกขานปุ สั สนา และ อนัตตานุปัสสนา 66 คัมภีร์ไม่ได้ให้รายละเอียดวิปัสสนาเหล่าน้ีไว้ว่าหมายถึงอะไร เป็นไปได้ว่า อนุปัสสนาและวิปัสสนา เหล่าน้ี จะมคี วามเก่ยี วข้องอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ กบั อนุปัสสนา 18 ประการทคี่ วรรยู้ ิ่ง (อภิฺเยฺยา) ท่ี กลา่ วไว้ในคมั ภีรป์ ฏิสัมภิทามรรค ได้แก่ 1. อนจิ จานปุ สั สนา 2. ทกุ ขานปุ ัสสนา 3. อนัตตานปุ ัสสนา 4. นพิ พทิ านปุ สั สนา 5. ราคานุปัสสนา 6. นโิ รธานุปสั สนา 7. ปฏนิ สิ สัคคานุปัสสนา 8. ขยานุปสั สนา 9. วยานุปัสสนา 10. วิปริณามานุปัสสนา 11. อนิมิตตานุปัสสนา 12. อัปปณิหิตานุปัสสนา 13. สุฺ ตานุปสั สนา 14. อธปิ ัญญาธัมมวปิ สั สนา 15. ยถาภตู ญาณทัสนะ 16. อาทนี วานปุ ัสสนา 17. ปฏสิ ังขานปุ ัสสนา 18. วิวัฏฏนานปุ สั สนา ฯ (ข.ุ ปฏ.ิ 31/48/30-1) อนปุ สั สนา 18 ประการน้ี มกี ลา่ วถงึ มากและขยายความไวห้ ลายแงม่ มุ ในคมั ภรี ป์ ฏสิ มั ภทิ ามรรค โดย มกั กล่าวไวใ้ นลาำ ดบั กอ่ นการเข้าถึงโสดาปตั ติมรรค อนง่ึ คมั ภีรส์ ารตั ถมญั ชสู า ฎกี าองั คุตตรนกิ าย ได้ แจกแจงอนปุ สั สนา 18 ประการนโ้ี ดยเรยี กวา่ “มหาวปิ สั สนา 18 ประการ” และระบวุ า่ อนปุ สั สนา 7 ประการ หมายถงึ 7 ลาำ ดบั แรกใน 18 ประการน้ี คอื ตง้ั แตอ่ นจิ จานปุ สั สนา จนถงึ ปฏนิ สิ สคั คานปุ สั สนา (AṬ.I. ) เป็นไปได้วา่ อนุปัสสนา 7 ในคัมภีรม์ ลู ลกัมมฐาน จะหมายถงึ อนปุ ัสสนา 7 ประการแรก น้ี และ มหาภาวนาวปิ สั สนาไดแ้ กอ่ นปุ สั นาทเ่ี หลอื อกี 11 ประการ ซง่ึ เมอ่ื รวมกนั ทงั้ หมดจะประกอบ กนั เปน็ “มหาวัชชริ วปิ สั สนา” 18 ดวง ที่ฎีกาเรยี กวา่ “มหาวิปสั สนา 18 ประการ” อยา่ งไรกด็ ี ที่ กล่าวมานี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่าน้ัน คำาแนะนำาจากท่านผู้รู้จริงในเรื่องนี้จะมีคุณค่าอย่างย่ิงต่อ การปรบั ปรงุ งานวิจัยน้ีในคร้ังต่อไป “สตตฺ สุ วา อนุปสสฺ นาสูติ เอตฺถ สตฺต อนปุ สฺสนา นาม อนิจจฺ านุปสสฺ นา ทกุ ขฺ านุปสฺสนา อนตฺตา นปุ สสฺ นา นพิ ฺพิทานปุ สสฺ นา วริ าคานุปสฺสนา นิโรธานปุ สฺสนา ปฏินสิ สฺ คคฺ านปุ สฺสนา ขยานปุ สฺสนา วยานุปสฺสนา วิปริณามานุปสฺสนา อนิมิตฺตานุปสฺสนา อปฺปณิหิตานุปสฺสนา สุฺตานุปสฺสนา อธิปฺ าธมฺมวปิ สฺสนา ยถาภตู าณทสสฺ นำ อาทีนวานปุ สสฺ นา ปฏสิ งขฺ านปุ สสฺ นา ววิ ฏฏฺ านุปสสฺ นาติ อมิ าสุ อฏฺารสสุ มหาวปิ สสฺ นาสุ อาทโิ ต วุตตฺ า อนจิ ฺจานุปสสฺ นาทิ-ปฏนิ สิ สฺ คคฺ านุปสฺสนาปรยิ นตฺ า สตตฺ ฯ” 390 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ดวงใดดวงหน่ึง หรอื ทัง้ หมดยง่ิ ดี (มูลล. 1.10-2.2) 5. คมั ภีร์กล่าวถงึ ผลจากการปฏบิ ตั ิปญั ญาธุระวา่ เม่ือทาำ ใหท้ ิฏฐิกงั ขา วปิ สั สนาปญั ญา67บงั เกดิ ไดช้ อื่ วา่ เปน็ ปญั ญาธรุ ะ จะทาำ ใหป้ ญั ญาวปิ สั สนาญาณ เกดิ พรอ้ มมสี มั มสนญาณเปน็ ตน้ จนถงึ อนโุ ลมญาณเปน็ ทสี่ ดุ แลว้ เขา้ ถงึ โคตรภู ญาณ ถึงมรรค ผล อรหันตจ์ นไดเ้ ข้าถงึ “เวยี งแก้ว คอื อมตมหานครนิรพาน” ตามรอยบาทพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ พระปัจเจกพุทธเจา้ และพระอรหันตเจ้า ทั้งหลาย ผ้ไู ม่รเู้ กดิ ไมร่ แู้ ก่ ไม่ร้ตู าย (มลู ล. 2.2-2.6) 6. ให้มีความเพียรต่อเน่ือง อย่าเกียจคร้านหยุดๆ หย่อนๆ ให้เกรง กลัวภัยในวัฏสงสารว่าเป็นดังหมู่โจรห้าร้อยถือหอกดาบวิ่งไล่ตามฟันแทงมา หวุดหวิดอยู่ (มูลล. 2.7-2.9) และให้ระลึกถึงความตายเนืองๆ เพื่อจะได้ไม่ ประมาทและมใี จม่ันคงในพระกรรมฐานและธรรมที่เข้าถงึ (ญาณก. 5.4-5.5) 7. ใหน้ อ้ มเอาพระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ พระกรรมฐาน และครผู ู้ สอนกรรมฐาน (แกว้ 5 โกฐาก) เปน็ ทพี่ ง่ึ เรอ่ื ยๆ ทกุ วนั ตงั้ ใจปฏบิ ตั ภิ าวนาจะได้ เหน็ ธรรมวเิ ศษ จะไดช้ ยั ชนะเขา้ สู่ “เวยี งแกว้ ” คอื พระนพิ พาน (มลู ล. 2.9-3.2) 8. ประสบการณ์ภายในที่จะเกิดแก่ผู้ปฏิบัติ ได้ช่ือว่า “ธรรมวิเศษ” ไดแ้ ก่ ปีติ 5 ประการ และอคุ คหนมิ ิต ปฏิภาคนมิ ิต เกดิ อปุ จารสมาธิ อัปปนา สมาธแิ ละฌาน 4 อภญิ ญา 5 สมาบตั ิ 8 ไดท้ ฏิ ฐกิ งั ขาวปิ สั สนญาณ อนโุ ลมญาณ โคตรภญู าณ อรยิ มรรค อรยิ ผล และนพิ พาน (มลู ล. 3.2-3.5) ดังนน้ั ในบทสวด 67 “ทิฏฐีกงั ขาวปิ ัสสนาปญั ญา” หมายถงึ ปญั ญาทเี่ กดิ จากการเจรญิ ทฏิ ฐวิ สิ ุทธกิ รรมฐาน กงั ขาวสิ ุทธิ กรรมฐาน และอนปุ สั สนาหรือวิปสั สนาท่เี หลอื ซงึ่ นบั เป็นปญั ญาฝา่ ยวปิ สั สนา บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 391

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ก่อนการเจริญภาวนา จะมีคำากล่าวขอให้ได้ถึงปีติ อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต สมาธิ ฌาน อภญิ ญา อรยิ มรรค อรยิ ผล และนิพพาน (มลู ล. 4.7-4.9, 5.3-5.5) หรอื อยา่ งนอ้ ยใหไ้ ดป้ ตี แิ ละอปุ จารสมาธิ (มลู ล. 13.11) สว่ นในคมั ภรี เ์ ขมรเปน็ คำาอาราธนาปตี ทิ ง้ั 5 ใหม้ าปรากฏเป็นบุพนิมติ อยภู่ ายในกาย และอาราธนา พระธรรม 84,000 พระธรรมขนั ธใ์ หม้ าบงั กดิ ในจกั ขทุ วาร เปน็ ตน้ (มลู พ. 0/2) ภาพรวมเบอ้ื งตน้ เหลา่ นี้ เปน็ ภาพรวมทเ่ี ปน็ กลางๆ ในพระพทุ ธศาสนา ทเี่ ขา้ ใจตรงกนั ในชาวพทุ ธเถรวาทไทยในปจั จบุ นั รวมทงั้ ในวชิ ชาธรรมกายดว้ ย อย่างไรกด็ ี วชิ ชาธรรมกายไม่มคี าำ กล่าวอาราธนาปีตทิ ้งั 5 หรือประสบการณ์ ในการปฏบิ ตั ิเบอื้ งตน้ อยา่ งทป่ี รากฏในคัมภีร์โยคาวจรแตอ่ ยา่ งใด ในคำากลา่ ว อาราธนาพระรตั นตรยั ในเบอื้ งตน้ ของการเจรญิ ภาวนาในสว่ นของพระธรรมจะ ระบไุ วเ้ พยี ง“พระนพโลกตุ รธรรม” เทา่ นน้ั ความแตกตา่ งในประเดน็ นน้ี บั เปน็ ประเด็นทเี่ ลก็ น้อยเมื่อเทยี บกับความสอดคลอ้ งกนั ในภาพรวม 4.2.3.2. ข้อปฏิบตั เิ บอ้ื งต้นกอ่ นการเจรญิ สมาธิภาวนา ก่อนการปฏบิ ัตกิ รรมฐาน คัมภรี แ์ นะนำาใหท้ ำาดงั นี้ 1. รกั ษาศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 หรอื จตุปาริสทุ ธศิ ีลตามเพศภาวะของตน (มลู ล. 3.8, คมั ภีร์เขมร) 2. คัมภีร์มูลลกัมมฐานแนะนำาให้นำาเคร่ืองบูชาอันได้แก่ดอกไม้และ เทยี นไปบชู าพระบาท พระธาตุ พระธรรม ตน้ โพธ์ิ และเจดยี เ์ พอ่ื ขอขมา “แกว้ 5 โกฐาก” คอื พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กรรมฐาน และ อาจารยผ์ สู้ อน กรรมฐาน (มลู ล. 3.9-3.12) 392 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org คมั ภีรเ์ ขมรแนะนำาคล้ายกัน โดยให้ผูป้ ฏบิ ตั เิ ตรียมพานสักการะท่ีเรียก วา่ “พานอปุ จาร”์ เพอื่ ใชใ้ นการอาราธนาธรรม จดุ ธปู เทยี นทแี่ ทน่ บชู าครู แลว้ จากนัน้ จงึ จดุ ธูปเทียนทพี่ านอุปจาร์ของตนเอง (คมั ภรี เ์ ขมร) 3. จากน้ันให้หาที่สงัดเพื่อเร่ิมการน่ังปฏิบัติ ซึ่งคัมภีร์ได้ระบุท่าน่ังที่ เหมาะสมสำาหรบั ชายหญงิ และนักบวชไว้ด้วย (มูลล. 5.5-5.10) 4. ใหต้ งั้ สตติ รงตอ่ กรรมฐาน พนมมอื ตง้ั สตพิ จิ ารณาถงึ ทกุ ขใ์ นวฏั สงสาร (มลู ล. 5.10-6.9) พิจารณามหาสังเวควัตถุ (มูลล. 6.10-7.4) และเทวทตู กัมม ฐาน (มูลล. 7.4-9.6) 5. บชู าพระรัตนตรัย (มูลล. 9.7-10.2) และสรรเสริญพระพทุ ธคุณที่อยู่ เหนอื หม่มู ารท้ังหา้ (มลู ล. 10.2-11.2) 6. จากนั้นคมั ภีร์ได้เปรียบบทอปุ มาผกู ลูกววั เพ่ือให้ฟงั การฝกสอน เชน่ เดยี วกบั จติ ใจของบุคคลที่ต้องผกู ให้ม่ันไม่ให้ “จร” ไปที่ใด (มลู ล. 11.3-11.9) ต่อด้วยการอธิษฐานโดยใช้บทบาลีพร้อมคำาแปล ขอพระพุทธ พระธรรม พระ สงฆ์ กรรมฐาน และอาจารย์ผู้สอนกรรมฐานให้ได้เป็นท่ีพ่ึง (มูลล. 11.10- 12.10) ตามด้วยบทบาลีอธษิ ฐานขอให้ไดส้ าำ เร็จใน “พทุ ธกมั มฐาน” ประการ ใดประการหนงึ่ ไดแ้ ก่ พทุ ธานสุ ติ เป็นต้น (มูลล. 12.10-13.5) 4.2.3.3. การเจริญสมาธภิ าวนาเบอื้ งตน้ 68 คัมภีร์ของโยคาวจรที่ศึกษาในงานวิจัยน้ี ท่ีกล่าวถึงการปฏิบัติสมาธิ 68 ศกึ ษารายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ไดใ้ นงานวจิ ยั “สมาธภิ าวนาในคมั ภรี อ์ กั ษรธรรม” (กจิ ชยั เออื้ เกษม 2557) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 393

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ภาวนาเบื้องต้นโดยละเอียดมีเพียงคัมภีร์มูลลกัมมฐานอักษรธรรมล้านนา เท่านั้น ในขณะที่คัมภีร์อ่ืนๆ กล่าวถึงการปฏิบัติในระดับน้ีเพียงย่อๆ โดยไม่ ไดแ้ สดงรายละเอยี ดไว้ สว่ นของกมั พชู าจดั เปน็ หลกั สตู รสอนสมาธภิ าวนาโดย เฉพาะซึง่ จะแสดงแยกไวข้ า้ งลา่ ง (ดู 4.2.3.4) คมั ภีร์มูลลกัมมฐานกล่าวถึงวิธีปฏิบตั ิสมถกรรมฐาน 40 ประการ และ แจกแจงรายละเอียดการปฏิบัติสำาหรับกรรมฐานแต่ละประเภทในลักษณะ คล้ายกัน ประกอบด้วยบทบาลีพร้อมคำาแปลของคำาอธิษฐานให้ได้กรรมฐาน นน้ั ๆ และใหไ้ ดป้ ระสบการณภ์ ายใน เชน่ ปตี ิ อปุ จารสมาธิ อคุ คหนมิ ติ ปฏภิ าค นิมติ ฌาน อภญิ ญา และสมาบตั ิ เปน็ ต้น คาำ อธษิ ฐานขออาราธนาพระกรรมฐาน ประกอบดว้ ยคาำ กลา่ วถวายชวี ติ ให้กบั “แกว้ 5 โกฐาก” (มูลล. 12.4-9) หรือถวายกาย ใจ ชวี ิต และวิญญาณ ตอ่ พระธรรม 84,000 พระธรรมขนั ธ์ (มูลพ. 0/2) ดว้ ย คัมภีร์มูลลกัมมฐาน มีบทบริกรรมภาวนาภาษาบาลีเฉพาะแต่ละ กรรมฐาน ให้ภาวนาพร้อมกับนับลูกประคำาไปด้วย โดยบริกรรมภาวนาคร้ัง หน่ึงนับลูกประคำาลูกหนึ่ง เม่ือนับได้ 50 ลูกแล้ว ให้ค่ันด้วยบทรำาพึงภาษา บาลสี าำ หรบั กรรมฐานนน้ั ๆ ครงั้ หนง่ึ ดงั ตวั อยา่ งทแี่ สดงไวข้ า้ งตน้ ในพทุ ธานสุ ติ (4.2.1.3) ทำาดังนเ้ี ร่อื ยไปยิ่งมากย่ิงดี เมอ่ื ต้องการหยดุ ภาวนา ใหล้ มื ตา และ ยกมือพนมระหว่างคิ้วอธษิ ฐานขอพักการภาวนาไว้ ในการบริกรรมภาวนานับลูกประคำา คัมภีร์ให้หลักว่า จะต้องให้คำา ภาวนา “ร่อนลงไปต้องฝักหัวใจให้เสียงอุ่นเสียงร้อนลงไป...” (มูลล. 22.8) และต้องต้ังม่ันต่อการปฏิบัติถึงขนาด “แม้นข้าศึกคนโจรจักฆ่าฟัน ขนาบว่า 394 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org ให้ได้ละเสียยังกรรมฐานและแก้วท้ัง 3 เป็นที่พ่ึงก็บ่ละเสียได้แล ตายก็แล้ว ใหป้ ลงใจตายเปน็ ฉันนี้แท้ ก็จึงได้เหน็ ธรรมวิเศษพายตำ่ามี ปตี ิ สมาธิ” (มูลล. 22.12) ซ่ึงกล่าวโดยสรุปได้ว่า ให้เสียงของคำาภาวนาดังก้องเข้าไปถึงกลางใจ และให้ม่นั ตอ่ การปฏบิ ัติอย่างเอาชวี ิตเป็นเดิมพัน มีข้อสังเกตในการเจริญภาวนาเมตตาพรหมวิหาร คัมภีร์ได้ระบุถึงบท บาลีสำาหรับการภาวนาเมตตาต่อตนเองเพิ่มขนึ้ มา กอ่ นทจ่ี ะภาวนาเมตตาตอ่ ผอู้ น่ื ดว้ ย (มลู ล. 27.8) โดยกลา่ ววา่ เปน็ คาำ แนะนาำ ของ “ครบู าอาจรยิ าบางพรอ่ ง” หรอื “ลางคร”ู ซงึ่ แสดงใหเ้ หน็ วา่ คมั ภรี ม์ ลู ลกมั มฐานนี้ รวบรวมจากการปฏบิ ตั ิ ของอาจารยส์ ายปฏบิ ตั มิ ากกวา่ หนึ่งสำานัก นอกจากนี้ ในสว่ นของกายคตาสติ คมั ภีรย์ ังให้นัยเพ่ิมเติมในการพจิ ารณา “มถลงุ ฺค” หรอื มันสมอง (มลู ล. 32.9) ว่า อาจพิจารณาแยกมันสมองและกะโหลกออกเป็นอาการ (อวัยวะ) สอง แทนทจ่ี ะเปน็ อวยั วะเดยี วดงั การพจิ ารณาอาการ 32 โดยทวั่ ไปกไ็ ด้ ดงั นนั้ การ ปฏบิ ัตกิ ายคตาสตติ ามแบบคมั ภีร์มูลลกัมมฐานน้ี จึงอาจพิจารณาอวัยวะหรือ สว่ นประกอบของรา่ งกายแยกเป็น 33 ส่วน แทนท่ีจะเปน็ 32 กไ็ ด้ กรรมฐานประเภทสุดท้ายที่กล่าวไว้ในคัมภีร์มูลลกัมมฐานคืออรูป กรรมฐาน (มูลล. 42.5) ซง่ึ มบี ทบาลีประกอบดว้ ยบทบูชาพระรตั นตรยั และ บทอธิษฐานขอปีติ สมาธิ ฌานและอภิญญา สมาธภิ าวนาทแ่ี สดงรายละเอยี ดไวใ้ นคมั ภรี ม์ ลู ลกมั มฐานนล้ี ว้ นเปน็ สมถ กรรมฐานท้งั สิน้ การปฏิบตั ถิ ือเป็นจติ ตวสิ ทุ ธิ (มลู ล. 43.11) อีกทั้งเปน็ อธิจติ ต สิกขา เพ่อื ใหไ้ ด้ ตทังคปหาน วิกขมั ภนปหาน (มลู ล. 45.13) กรรมฐานทง้ั หมด สามารถกาำ จัด “บพุ ฺพปาป เวรอันเก่า” และทจ่ี ะเกิดใหม่ได้ คมั ภีร์กลา่ วไวว้ ่า บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 395

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ อานสิ งสก์ ารภาวนาสมถกรรมฐานมมี ากกวา่ การบรจิ าคทานดว้ ยของมคี า่ อยา่ ง ละแสนชิน้ (มูลล. 49.5) 4.2.3.4. การสอนพระกรรมฐานแบบโบราณในคมั ภรี ใ์ บลานเขมร69 กมั พชู าในยคุ โบราณมแี นวทางการเรยี นการสอนพระกมั มฏั ฐานเปน็ ขนั้ เป็นตอน ไลไ่ ปตามลำาดบั ช้นั ในการเข้าถงึ ของผปู้ ฏบิ ัติ พระผู้สอนจะใช้คมั ภรี ์ ใบลานทบี่ นั ทกึ ผลการปฏบิ ตั ขิ องครบู าอาจารยข์ องตนทส่ี บื ทอดตอ่ กนั มาเปน็ บรรทดั ฐานในการวดั ผลการปฏบิ ตั ขิ องผศู้ กึ ษา หลกั สตู รหรอื แนวทางการเรยี น การสอนพระกรรมฐานทนี่ ยิ มมี 2 แบบ เรยี กวา่ หลกั สตู ร 11 ชน้ั และหลกั สตู ร 15 ชน้ั มเี นอ้ื หาบอกถงึ วธิ กี ารอาราธนาพระกรรมฐาน และการรายงานผลของ ผปู้ ฏบิ ตั ทิ ไี่ ดเ้ ขา้ ถงึ สภาวธรรมในชน้ั ตา่ งๆ ไปตามลาำ ดบั ลาำ ดบั ชน้ั ในการปฏบิ ตั ิ สมาธภิ าวนาของหลกั สตู รท้ังสองมดี งั น้ี ตารางท่ี 7หลกั สตู รพระกรรมฐานแบบโบราณของกมั พชู า แบบ 11 ชนั้ และ 15 ชน้ั หลักสูตร 11 ชน้ั หลักสตู ร 15 ชนั้ 1. ชนั้ พระปตี ิ 5 องค์ 1. ชัน้ พระปตี ิ 5 องค์ 2. ชน้ั พระยุคล 6 องค์ 2. ชั้นพระยคุ ล 6 องค์ 69 ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากงานวิจัย “สมาธิภาวนาในคัมภีร์ใบลานเขมร” (พระปอเหม่า ธมมฺ ิโต 2557) 396 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org หลักสูตร 11 ชน้ั หลักสตู ร 15 ชั้น 3. ชั้นพระกายสุข 2 องค์ 3. ชน้ั พระกายสุข 2 องค์ 4. ชน้ั อานาปานธรรมฌาน 8 องค์ 4. ชัน้ อานาปานธรรมฌาน 8 องค์ 5. ชั้นพระพุทธคุณ 10 พระองค์ 5. ชน้ั พระพทุ ธานสุ ติ 2 พระองค์ 6. ชน้ั พระกสณิ ทัง้ 10 6. ช้ันพระกสิณทง้ั 10 7. ชัน้ พระอสภุ ะ 10 องค์ 7. ชน้ั พระพรหมวหิ าร 4 องค์ 8. ชน้ั พระอริยสงฆ์ 8 องค์ 8. ชน้ั พระพรหมวหิ ารวิปัสสนา 4 องค์ 9. ชนั้ มะมวงกลั ป์ (ป่าวิราญชร) และ 9. ช้ันพระรปู 10 องค์ ชั้นสำาเภาแกว้ 10. ชัน้ พรหมวิหาร 4 องค์ 11. ชน้ั พระอรูปนิพพาน 11. ช้นั พระจูฬามณี 5 พระองค์ 11. ชนั้ คณุ พระบดิ า 21 12. ช้ันคุณมารดา 12 13. ช้นั พระอสภุ ะ 10 14. ชน้ั พระอานาปาน 4 องค์ 15. ดวงศลี 5 องค์ ในหลกั สตู ร 11 และ 15 ชนั้ น้ี บางชนั้ กเ็ ปน็ หมวดธรรมทค่ี นุ้ เคย เชน่ พระ ปีติ 5 องค์ หมายถงึ ปีติ 5 ประการ พระยคุ ล 6 องค์ หมายถงึ คุณภาพกายและ จติ ท่ีเกิดข้นึ ระหว่างการปฏิบัติธรรม ได้แก่ ปัสสัทธิ ลหุตา มทุ ตุ า กมั มญั ญตา บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 397

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ ปาคญุ ญตา และอชุ กุ ตา70 และดวงศีล 5 องค์ หมายถงึ ศีล 5 เปน็ ตน้ แตใ่ น บางหมวดก็เป็นชื่อท่ีไม่คุ้นเคย เช่น อานาปานธรรมฌาน ซึ่งประกอบด้วย อานาปานธรรมฌาน ปราสาทแกว้ เปน็ ตน้ ซง่ึ ทา่ นไมไ่ ดแ้ จกแจงรายละเอยี ดไว้ การศึกษากรรมฐานแบบโบราณของกัมพูชา เป็นการศึกษากับครู โดยตรง ครูผู้สอนจะแนะนำาวิธีการในแต่ละระดับให้ศิษย์แต่ละคนเป็นการ เฉพาะ และบางครั้งจะสอนในลักษณะของปริศนาธรรม โดยไม่มีการอธิบาย รายละเอียดให้ศิษย์ทราบล่วงหน้าว่าปฏิบัติไปแล้วจะมีประสบการณ์อย่างไร ท้ังน้ีเพ่ือให้ศิษย์เรียนรู้และมีประสบการณ์ตรงด้วยตนเอง และเมื่อศิษย์มา รายงานผลแกท่ า่ นในเวลาทก่ี าำ หนด ครกู จ็ ะแนะนาำ การปฏบิ ตั ใิ นชน้ั ตอ่ ไปและ แกป้ ัญหาใหเ้ ป็นรายบุคคล ภาพท่ี 24 คําวา “พระธัมมกาย” ทป่ี รากฏในคัมภรี ์ใบลานเขมร 70 “ยคุ ล” แปลว่า คู่ เพราะศัพทเ์ หล่าน้จี ะปรากฏเป็นคาำ คขู่ องกายและจติ ในคัมภีร์ธัมมสังคณีในพระ อภธิ รรมปิฎก ได้แก่ กายปัสสทั ธิ จิตตปสั สทั ธิ อันไดแ้ ก่ความสงบระงับของกายและใจ กายลหุตา จติ ตลหตุ า คอื ความเบากายเบาใจ กายมทุ ตุ า จติ ตมทุ ตุ า ความนมุ่ นวลของกายและใจ กายกมั มญั ญตา จิตตกัมมัญญตา ความควรแก่การงานของกายและใจ กายปาคุญญตา จิตตปาคุญญตา ความ คลอ่ งแคล่วของกายและใจ และ กายชุ ุกตา จติ ตุชกุ ตา ความเท่ยี งตรงของกายและใจ 398 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org 4.2.3.5. ผลของการปฏิบัตใิ นระดบั โลกิยะ ผลของการปฏิบัติในระดับโลกิยะที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ของโยคาวจร มี ประสบการณภ์ ายในอนั ไดแ้ ก่ ปตี ิ 5 ประการ (มลู ล. 24.7) โดยคมั ภรี ม์ ลู ลกมั ม ฐานฉบับลา้ นนาไดบ้ รรยายลกั ษณะอาการของปีตติ ่างๆ ไว้อยา่ งชดั เจน71 สว่ น ในคัมภีร์มูลพระกรรมฐานของเขมร72 นอกจากจะบรรยายลักษณะของปีติไว้ ดงั กลา่ วแลว้ ยงั ระบไุ วด้ ว้ ยวา่ “บงั เกดิ บพุ นมิ ติ ภายในกาย” ขอ้ ความนป้ี รากฏ อยู่ในทุกระดับของประสบการณ์ในธรรมปฏิบัติ คัมภีร์บรรยายไว้ว่าบุพนิมิต ดังกล่าวมีแสงรัศมีสีต่างๆ กัน และในบางคร้ังจะถูกเรียกเป็นศีลต่างๆ และ ดวงแก้วตา่ งๆ เช่น ศีลปัพพจักขุ แสงรัศมีดังดวงดาวโรนีย์... ศีลอฆานิจ มี แสงรัศมเี หมือนพระจันทรเ์ ส้ียว แผ่รอบทิศเป็นฉัพพรรณรงั สี น้ี คอื ตวั ดวงแกว้ คณุ มารดา (มูลพ. 1/1) ศีลปาณาช้ันท่ี 5 มีรัศมีเป็นสีเหลืองแสด ขยายเป็นวง กลมเป็นฉัพพรรณรังสีแผ่รอบทิศทั้งสิบ น้ีคือดวงแก้วองค์พระ ธรรม (มูลพ. 2/1) เมอื่ ไดป้ ตี แิ ลว้ ผปู้ ฏบิ ตั จิ ะไดถ้ งึ อปุ จารสมาธิ ในขน้ั นส้ี มาธขิ องผปู้ ฏบิ ตั จิ ะ มั่นคงแจ่มใสไม่หวัน่ ไหวไมฟ่ ุงไปกับอารมณร์ า้ ย ถงึ ขนาด “แม้นทา่ นผู้อืน่ เอา 71 ศึกษารายละเอียดเพ่ิมเติมได้จากงานวิจัย “สมาธิภาวนาในคัมภีร์อักษรธรรม” (กิจชัย เอ้ือเกษม 2557) 72 ศกึ ษารายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ไดจ้ ากงานวจิ ยั “สมาธภิ าวนาในคมั ภรี ใ์ บลานเขมร” (พระปอเหมา่ ธมมฺ โิ ต 2557) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 399

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ หลาวเลม่ ใหญม่ าทมิ่ มาคา้ วตนแล ใจคอบเ่ ฟอื งบไ่ หวกด็ ี ดธู รรมะและกรรมฐาน กด็ ูแจ้งใส” (มลู ล. 25.14) ประสบการณภ์ ายในจากการปฏบิ ตั สิ มาธภิ าวนาบางอยา่ ง เชน่ พรหม วิหาร กายคตาสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตธุ าตวุ วัตถาน และมรณานุสติ มี กลา่ วตอ่ ไปถงึ อปั ปนาสมาธิ ซงึ่ บรรยายไวว้ า่ “เยน็ ออ่ น ยอบ หายใจบร่ ู้ ชะแล” (มลู ล. 33.1) ทาำ ใหร้ ไู้ ดว้ า่ ในชน้ั อปั ปนาสมาธนิ น้ั ผปู้ ฏบิ ตั จิ ะไมร่ สู้ กึ ถงึ การหายใจ จากอัปปนาสมาธิ ผู้ปฏิบัติอาจอธิษฐานเข้าฌาน 4 อภิญญา 5 หรือ สมาบัติ 8 ต่อไปได้ หรือจะเลือกภาวนา “ทิฏฐิกังขาวิปัสสนา” คือปฏิบัติ วปิ สั สนากรรมฐานตอ่ เลยกไ็ ดเ้ ชน่ กนั โดยคมั ภรี ไ์ ดแ้ สดงวธิ เี ขา้ ฌาน 4 จากการ ภาวนา “เกสา” ในกายคตาสตไิ ว้โดยละเอยี ดเพอื่ เปน็ ตัวอยา่ ง แต่ไมไ่ ดแ้ สดง วธิ ีปฏบิ ัติวปิ ัสสนากรรมฐานไว้ ผลของการปฏบิ ัติในเบอื้ งต้นของคมั ภรี ์โยคาวจร มคี วามคลา้ ยคลึงกนั กบั ประสบการณเ์ บอ้ื งตน้ ในการเจรญิ สมาธภิ าวนาทก่ี ลา่ วไวใ้ นวชิ ชาธรรมกาย เชน่ ปตี ชิ มุ่ ชน่ื การเหน็ แสงสวา่ ง เปน็ ตน้ ซงึ่ อาจจดั วา่ เปน็ ประสบการณส์ ากลที่ มบี นั ทกึ ไวต้ ง้ั แตโ่ บราณกาล ดงั ทปี่ รากฏใหเ้ หน็ ในพระไตรปฎิ กบาลแี ละคมั ภรี ์ ต่างๆ ในพระพทุ ธศาสนา 4.2.3.6. การเจริญสมาธิภาวนาในขั้นโลกุตระและผลของการ ปฏบิ ัติ การปฏิบัติสมาธิภาวนาในระดับโลกุตระมีกล่าวไว้ในคัมภีร์พุทธนรกัน คัมภีร์พระญาณกสิณ และคัมภีร์บัวระพันธะ คัมภีร์กลุ่มน้ีนิยมใช้ศัพท์แทน อรยิ มรรคอรยิ ผลวา่ “อภธิ รรม” โดยยดึ ความหมายของรากศพั ทบ์ าลเี ปน็ เกณฑ์ และโดยเหตทุ คี่ าำ ว่า อภธิ รรม มาพ้องกันกบั หนง่ึ ในพระไตรปฎิ ก คมั ภีร์อักษร 400 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org ธรรมจงึ อาศยั ปฎิ กทงั้ สาม ผา้ ไตรสามผนื และภาวะของลมหายใจสามประเภท ไดแ้ ก่ อัสสาสวาต ปสั สาสวาต และนสิ สาสวาต73 มาเปรยี บเทยี บเปน็ แกนเดิน เรื่อง (theme) ในการสอนสมาธิภาวนา โดยให้ช่ือว่า “พระธัมมสามไตร” (ญาณก 2.1, 13.1) ซึง่ เป็นทีร่ ู้จกั ดีในแวดวงนกั วชิ าการตะวันตกทีศ่ กึ ษาเรื่อง น้ี (Bi ot 1994, 1992, 1981, 1976 Bi ot agirarde 1996) โดยอาจ สรุปขอ้ เปรียบเทียบไดด้ งั ตารางขา้ งลา่ งน้ี อัสสาสวาต แรกเกดิ ขน้ึ เมือ่ คลอดจาก ลมพระสงฆ์ ท้องมารดาพรอ้ มกับอายตนะ พระสตู ร 8 คมั ภีร์ สบง ทง้ั หก ซึง่ เรม่ิ ลกุ โชนพรอ้ มจะ ปสั สาสวาต พระวินยั 5 คมั ภรี ์ ลมพระพุทธ รบั “ลม”จากภายนอก นสิ สาสวาต ลมพระธรรม ลมทเี่ ดนิ อย่รู ะหว่างทอ้ งถงึ จวี ร จมูก เกดิ ข้นึ ระหว่างที่อยูใ่ น ครรภ์มารดา พระอภธิ รรม 7 คมั ภรี ์ สงั ฆาฏิ ลมห่อไฟให้นิ่งทแ่ี ต่ง แปง(สรา้ ง)ร่างกาย ตารางที่ 8 “พระธมั มสามไตร” เปรียบเทียบลมหายใจสามประเภทกบั ปฎิ กท้ังสามและผ้าไตร 73 ในคัมภรี เ์ รยี กว่า อัสสวาต ปสั สวาต และนสิ สวาต คอื ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า และภาวะทลี่ ม หายใจหยุดนิ่งเสมือนไม่มีลมหายใจ ลมหายใจท้ังสามประเภทน้ีมีกล่าวไว้ในคัมภีร์เขมรด้วยเช่นกัน โดยเรียกเปน็ คำาคู่ซ่ึงคาดวา่ มาจากศพั ท์สนั สกฤตและบาลีตามลาำ ดับ ว่า “ปสั วาตถะ ปสาสะ, อสั วาต ถะ อสาสะ และ นิสวาตะ นสิ าสะ” (มูลพ. 4/2-5/1) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 401

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ หลักคำาสอนของพระธรรมสามไตรน้ีในเบ้ืองต้นมีวัตถุประสงค์ให้พระ ภิกษุดำารงอยู่ในความไม่ประมาท ระลกึ ถึงความตายอยูเ่ สมอ โดยผูกเหตขุ อง ความตายไวก้ บั ลมหายใจเขา้ ออกวา่ หากหายใจออกแลว้ ไมเ่ ขา้ หรอื หายใจเขา้ แลว้ ไมอ่ อกกต็ อ้ งตาย แลว้ นาำ ไปผกู ไวก้ บั ผา้ สามผนื เพอื่ เปน็ เครอ่ื งเตอื นใจในทกุ เวลาทใี่ ชน้ งุ่ หม่ ดงั ทที่ า่ นบรรยายไวว้ า่ “เมอื่ จกั นงุ่ ผา้ สบงนน้ั ไดช้ อื่ วา่ พระสตู ร เจ้ารกั ษาลมใหห้ ายใจออก บ่ให้เราตาย” (ญาณก. 4.2) และ อัสสวาต พระสูตรเจ้าพาเอากูจึงจักได้ออกไปให้กูได้ เหยยี ดมือนงุ่ ผา้ สบง คร้ันบค่ ืนเข้ามากกู ็จักตายบดั เดยี วนี้แล กู จักหยุบผ้าสบงน้ีนุ่งบ่ได้แล ให้ระนึกถึงลมหายใจออกมานั้นมา เป็นท่ีพึ่ง ผ้าสบงรักษาลมออกหายใจออกน้ันบ่ให้ตาย (ญาณ ก. 4.3-4.4) คราใดทจี่ ะหม่ ผา้ จวี ร กใ็ หร้ ะลกึ ในทาำ นองเดยี วกนั วา่ พระวนิ ยั 5 คมั ภรี ์ ชว่ ยรกั ษาลมหายใจเขา้ ถา้ เราหายใจเขา้ แลว้ ไมอ่ อก เรากต็ าย ไมอ่ าจหม่ จวี รได้ เมอ่ื จกั หม่ ผา้ จวี รนนั้ เลา่ ใหร้ ะนกึ ปสั สวาต พระวนิ ยั เจา้ หา้ คัมภีร์มาให้กหู ายใจเข้า จึงจกั ไดห้ ่มผา้ จีวร ครนั้ วา่ บ่คนื ออกมา ตัวกูก็ตายเน่ากองอยู่แล จักไหว้พระเจ้าภาวนาด้วยตนบ่ได้เล่า แล เมอื่ จกั ห่มผา้ จวี รนน้ั กใ็ ห้ไดร้ ะนึกดงั นีท้ ุกเมอ่ื ทกุ ยาม ห่มผา้ จีวร แล้วจึงจกั เขา้ มาไหว้พระวนิ ยั ทรี่ ักษาลมอนั หายใจเขา้ บ่ให้ เราตายน้เี ปน็ ท่พี ึง่ แก่ข้าแล (ญาณก. 4.5-5.1) และในเวลาที่จะพาดผ้าสังฆาฏิ ทา่ นแนะนำาให้ระลึกดงั นี้ 402 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org เม่ือจักเอาผ้าสังฆาฏิเข้ามาพาดตัวนั้นก็ให้ระนึก นิส สวาต คือลมห่อไฟไว้ ให้ระนึกอยู่ในอภิธรรมบ่ปลิ้นแปร ตั้ง อยู่เป็นดังผ้าสังฆาฏิพับไว้นิ่งอยู่บ่ให้หายใจออก ได้ช่ือว่าพระ อภิธรรม นิสสวาต เข้าทางนิโรธสญาณสุขุมาล บ่ให้ได้หายใจ ออก เม่ือพาดผ้าสังฆาฏินั้นให้ระนึกว่า เมื่อกูจักตายน้ันกูจัก บังสุกุลตัวเอง บ่ได้หายใจออกนิ่งอยู่เป็นดังผ้าสังฆาฏิอันพับ ไว้นิ่งอยู่น้ันแล ได้ชื่อว่าพระปรมัตถธรรม ได้แก่ นิสสวาต นนั้ แล ใหส้ งั วรความตายดงั นที้ กุ เมอ่ื ทกุ ยาม จงึ ไดช้ อื่ วา่ รกั ษาศลี แล คอื ไดม้ รรคท้งั สสี่ วา่ งรุง่ เรืองงาม ผละทงั้ สีเ่ ข้านิ่งอยทู่ ้ังส่ีเท่อื อนั นัน้ แล (ญาณก. 5.2-5.5) นสิ สาสวาต สภาวะท่ีสำาคัญในการปฏิบัติท่ีท่านแสดงไว้ในที่นี้คือ ลมนิสสาสวาต (นสิ สวาต) ทเี่ ปรยี บเทยี บวา่ เปน็ ลมแหง่ อภธิ รรม โดยแสดงนยั ของโลกตุ รธรรม ทม่ี ภี าวะนงิ่ เหมอื นผา้ สงั ฆาฏทิ พ่ี บั ไว้ ในขณะทลี่ มอสั สาสวาต และปสั สาสวาต ท่านเปรียบว่าเป็นลมของสุตตันตธรรมและวินัยธรรมตามลำาดับซึ่งมีนัยของ ธรรมชาติ คอื การหายใจเข้าออกตามปกติ ผทู้ ่ถี ือนสิ สาสวาตคือสภาวะทีห่ ยุด หายใจ จะปดิ การรบั ร้จู ากภายนอก และเข้าสู่ “อภิธรรมสญุ าณสุขมุ าล” ซ่งึ อาจเปรียบเทียบไดก้ บั นิโรธสมาบตั ิท่ตี ัดการรับรู้จากภายนอกโดยสิน้ เชงิ ผลจากการปฏบิ ตั ิ หากผปู้ ฏบิ ตั กิ าำ หนดจติ ไวท้ ส่ี ะดอื กจ็ ะไดโ้ สดาปตั ตผิ ล เมอื่ เคลอ่ื นจติ ไปทหี่ วั ใจจะไดส้ กทาคามผิ ล หากเคลอ่ื นไปทคี่ อจะไดอ้ นาคามผิ ล และสดุ ท้ายหากไปอย่ทู ่กี ระหมอ่ มกจ็ ะได้อรหตั ผล (ญาณก. 6.4) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 403

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ คัมภีร์อักษรธรรมนับการปฏิบัติเช่นนี้เข้าในอานาปานสติ ซ่ึงกล่าวถึง ฐานท่ีตงั้ ของจติ หลายแห่ง ได้แก่ สะดอื หัวใจ อก คอ โคนลน้ิ ปลายจมกู และ กระหม่อม โดยทสี่ ะดอื ถูกระบุว่าเปน็ จุดท่ีสำาคัญ เพราะเปน็ ทีอ่ ยู่ของไฟรักษา ชีวิตซ่ึงถูกห่อไว้ด้วยลมและรองรับไว้ด้วยนำ้าอีกช้ันหน่ึงและสุดท้ายคืออากาศ การแตกของน้ำาท่ีรองรับอยู่ที่เรียกว่า “นำ้าพระธรรม” หรือ “น้ำาดวงจิต” น้ี เปน็ เหตใุ หถ้ ึงแกค่ วามตาย (พทุ ธน. 9.2) หากนำา้ พระธรรมหรือนำา้ ดวงจิตยงั ดี อยกู่ จ็ ะบงั คบั ใหบ้ คุ คลมกี ารกระทาำ มคี าำ พดู และมคี วามคดิ ตา่ งๆ และทสี่ าำ คญั สะดอื เปน็ จดุ ที่โลกุตรธรรมเร่มิ ปรากฏ ผทู้ ก่ี าำ ลงั จะสน้ิ ชวี ติ จะหมดการรบั รจู้ ากสมั ผสั ภายนอก ซงึ่ เปน็ ลกั ษณะ ใกลเ้ คยี งกบั ผทู้ เ่ี ขา้ นโิ รธ ในขณะจติ จะดบั นน้ั คมั ภรี อ์ กั ษรธรรมเนน้ วา่ เปน็ ชว่ ง เวลาท่สี ำาคัญ หากบุคคลผู้น้ันไม่รู้จักหาท่ีพ่ึงกล่าวคือบุญก็ต้องมีนรกเป็นท่ีไป แต่หากรู้จักหาท่ีพ่ึงคือบุญหรือแสงสว่างภายในหรือศีลภายในหรือไฟภายใน ทั้งส่กี องก็จะ “เสวย (ผล) พระธรรม” เช่นเดียวกบั พระพุทธเจา้ พระปจั เจก พุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายและพ้นจากอบาย อย่างไรก็ตามบุคคลจะ หาท่ีพ่งึ เมือ่ กาำ ลงั จะส้นิ ชีวิตไดส้ ำาเร็จก็ต่อเมือ่ ไดฝ้ ก “บังสกุ ุลตวั เอง” ในขณะ มีชีวิตสบายอยู่เนืองๆ การบังสุกุลตัวเองก็คือการการทำานิสสาสวาตเข้านิโรธ หยุดกระแสลมหายใจ และนิ่งเหมือนผ้าสังฆาฏิซึ่งเทียบได้กับซากศพน่ันเอง ตา่ งแตว่ า่ ผปู้ ฏบิ ตั ยิ งั มชี วี ติ อยู่ พระสงฆท์ ร่ี บั นมิ นตไ์ ปบงั สกุ ลุ ผตู้ ายยอ่ มไมส่ าำ เรจ็ ผลหากไมส่ ามารถบงั สุกุลตนเองไดเ้ สยี ก่อน แสงสว่างภายในที่กล่าวถึงข้างต้นสามารถปองกันอบายเพราะฆ่าบาป ธรรมได้ บาปธรรมทโี่ ยคาวจรกลา่ วถงึ คอื สพั พากสุ ลสาธารณเจตสกิ และปกณิ กา กสุ ลสาธารณเจตสกิ รวม 14 ประการ ได้แก่ โมหะ โทสะ เปน็ ต้น ซึ่งล้วนเปน็ 404 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org เรื่องของภาวะทางใจมากกว่าท่ีจะเป็นอกุศลกรรมบถโดยตรง ทั้งน้ีอธิบายได้ วา่ หากใจสว่างบคุ คลยอ่ มไม่กระทำาผิดด้วยเจตสกิ ไม่ดงี าม ในแง่ของการปฏิบัติโดยอนุโลม ปฏิโลม คัมภีร์กล่าวไว้ว่า “เมื่อนึก สัญญาสมาธิจากจมูกถึงนาภี กุมให้ม่ันช่ือว่าโสดา(ปัตติ)ผละ ฆ่าวิจิกิจฉา จิตตปุ าท” (บัวร. 2.40.1) หลงั จากนน้ั กก็ ล่าวเปน็ ข้ันตอนตั้งแต่การเคลอ่ื นจติ ไปไว้ทีห่ ัวใจไดช้ ื่อว่าสกทาคามผิ ล เม่ือไปตั้งไว้ท่คี อเปน็ อนาคามิผล เมอื่ ไปถงึ กระหมอ่ มเปน็ อรหตั ผล ในทางยอ้ นกลบั คมั ภรี บ์ รรยายไวท้ ลี ะตาำ แหนง่ วา่ เปน็ อรหตั มรรค อนาคามมิ รรค สกทาคามมิ รรค และ โสดา(ปตั ต)ิ มรรค เป็นลาำ ดับ ไป ลักษณะทบทวนไปมาหรือ อนโุ ลม ปฏิโลม เชน่ นี้เป็นส่งิ ท่คี มั ภีรก์ ล่าวว่า พระโยคาวจรควรปฏบิ ตั อิ ยเู่ สมอ ผทู้ สี่ ามารถปฏบิ ตั ไิ ดย้ อ่ มนบั วา่ เปน็ พระสงฆ์ ท่ีทรง “ไตรสรณคมน์” แตก่ อ่ นทจ่ี ะปฏบิ ตั ถิ งึ ขน้ั เขา้ นโิ รธได้ ผปู้ ฏบิ ตั ติ อ้ งภาวนาดว้ ยการระลกึ ถงึ ทุกขฺ ำ อนจิ จฺ ำ อนตฺตา (บวั ร. 2.5.2, 8.1, 13.4, 14.4,16.3) ผา่ นวัตถภุ ายนอก และภายใน เชน่ ทวตั ตงิ สาการหรอื สว่ นประกอบของรา่ งกายตา่ งๆ 32 ประการ ซึ่งนับเป็นกายคตาสติรูปแบบหน่ึง จากนั้นคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “...ปัญญามา พิจารณาเห็นทุกขสัจจะแล้ว...กระทำานิโรธให้แจ้งปลงสัญญาลงสู่ไตรลักษณ์ สัญญาน้ันแล” (บวั ร. 3.14.4) 4.2.3.7. ความสอดคล้องและความแตกตา่ งในทางปฏบิ ตั ิ จากเน้ือหาการแนะนำาสมาธิภาวนาและประสบการณ์ในการปฏิบัติท่ี บันทึกไว้ในคัมภีร์ของโยคาวจรท่ีแสดงไว้ข้างต้น มีท้ังสิ่งที่สอดคล้องกันและ สง่ิ ทแ่ี ตกต่างจากหลักการของวชิ ชาธรรมกายในประเด็นต่างๆ ดงั นี้ บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 405

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ก. บรกิ รรมภาวนา คมั ภรี โ์ ยคาวจรแตล่ ะฉบบั กลา่ วถงึ บรกิ รรมภาวนาทแ่ี ตกตา่ งกนั ไปบา้ ง ในระดบั ตน้ คมั ภรี ์มลู ลกัมมฐานอกั ษรธรรมล้านนาแนะนาำ คาำ บริกรรม ภาวนาทห่ี ลากหลายตามประเภทของกรรมฐานท่เี ลอื กปฏิบัติ (ดู 4.2.3.3) คัมภีร์ภาวนาคาถาภาษาเขมร ฉบับวัดจัก-อัง-เร-กรอม แนะนำาให้ ภาวนาว่า อรหํ หรอื สมมฺ าสมฺพทุ โฺ ธ สว่ นในเวลาทตี่ ้องการให้เบ่อื หนา่ ย คลาย กาำ หนดั ใหภ้ าวนาวา่ นามรป อนตฺตา คมั ภรี ม์ ลู ธมั มไตรภาษาเขมร แนะนาำ ใหใ้ ชค้ าำ ภาวนา 3 แบบ คอื 1. พทุ โฺ ธ อรหํ 2. สมฺมาอรหํ และ 3. อรหํ (มลู ธมั มไตร 8ก.3-4) ตาำ ราเจรญิ สมาธภิ าวนาแบบโบราณของวดั มนุ สี วุ รรณ ประเทศกมั พชู า แนะนำาใหภ้ าวนาว่า สมมฺ าอรหํ เชน่ กนั สว่ นในระดบั โลกตุ ระ คมั ภรี พ์ ระญาณกสณิ แนะนาำ ใหใ้ ชค้ าำ ภาวนา อรหำ ใจนงิ่ อย่รู ะนกึ ว่า อรหํ อรหํ อรหํ ใหเ้ ป็นดังแสงดาวไดส้ ี่ เท่อื คือผละทั้งสี่แล (ญาณก. 40.4) จะเหน็ ไดว้ า่ ไมว่ า่ จะเปน็ ระดบั เบอ้ื งตน้ หรอื การปฏบิ ตั ใิ นระดบั โลกตุ ระ ก็ตาม คัมภีร์โยคาวจรก็นิยมแนะนำาคำาบริกรรมภาวนาที่เน่ืองด้วยพุทธานุสติ ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั ขอ้ สรปุ กอ่ นหนา้ นว้ี า่ พทุ ธานสุ ตนิ า่ จะเคยเปน็ ทน่ี ยิ มในทอ้ งถนิ่ น้ี นบั เป็นความสอดคล้องกันของทอ้ งถนิ่ เอเชยี อาคเนยก์ ับดนิ แดนตอนเหนือ ของอินเดียอนั ได้แก่ คันธาระ เอเชียกลาง และประเทศจนี 406 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org อนง่ึ การเจรญิ พทุ ธานสุ ตใิ นระดบั โลกตุ ระ อาจนบั ไดว้ า่ สอดคลอ้ งกนั กบั หลกั การในพระไตรปิฎกบาลี ที่พระสัมมาสมั พุทธเจา้ ทรงตอบคำาถามพระเจ้า มหานามะว่า โดยมากอริยสาวกมักดำารงอยู่ด้วยพุทธานุสติ (ดู 4.2.1.1 องฺ. ฉกกฺ . 22/281/317) สว่ นในวชิ ชาธรรมกาย แนะนาำ ใหบ้ รกิ รรมภาวนาวา่ “สมมฺ าอรห”ำ ตง้ั แต่ ตน้ เพอื่ เปน็ อบุ ายใหใ้ จหยดุ นงิ่ เมอ่ื ใจหยดุ นง่ิ ดแี ลว้ ใหป้ ระคองใจหยดุ นง่ิ ตอ่ ไป โดยไม่ตอ้ งบรกิ รรมภาวนาอกี ดงั ทพี่ ระมงคลเทพมนุ ีแสดงธรรมไวว้ า่ อรหำ เป็นคำาพวกเรานักปฏิบัติธรรมเชิดชูกันหนักหนา ถงึ แกไ่ ดน้ าำ มาใชเ้ ปน็ บทบรกิ รรมภาวนาในเมอ่ื นง่ั สมาธิ (รธ. 16) ...แลว้ ใหบ้ ริกรรมภาวนา ประคองบริกรรมนิมิตนน้ั ไว้วา่ สัมมาอะระหงั (รธ. 925) ที่บริกรรมว่าดังนี้ ก็เพ่ือจะประคองใจของเราให้หยุด สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง ... พอหยุดนิ่งไม่ต้องบริกรรม เพ่งเฉย วางอารมณเ์ ฉย ให้หยุดอยู่นั่นแหละ หยุดเท่าน้นั แหละ อย่าไปนึกถึงมืดสว่างนะ หยุดอยู่นั่นแหละ หยุดนั่นแหละเป็น ตัวสาำ เรจ็ (ร.ธ. 927) อยา่ งไรกด็ ี แมจ้ ะหยดุ บรกิ รรมภาวนาเพอื่ ประคองจติ ใหห้ ยดุ ในหยดุ ได้ ต่อเน่ืองขึ้น วิธีการของวิชชาธรรมกายก็ยังอาจเรียกว่าเป็นพุทธานุสติได้อยู่ น่ันเอง เพราะการหยุดน่ิง ณ ศูนย์กลางกายน้ันเป็นเหตุนำาไปสู่การเข้าถึง “พระพุทธเจ้าภายใน” ดังทท่ี า่ นแสดงไวว้ า่ บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 407

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ... พระพุทธเจ้าอย่นู อกใจหรอื ในใจ? ให้เอาใจไปหยดุ น่ิง อยตู่ รงนนั้ พอใจหยดุ นงิ่ กเ็ ขา้ กลางของใจทห่ี ยดุ นง่ิ นนั้ ทเี ดยี ว ... พอหยดุ ถกู สว่ นเขา้ เทา่ นนั้ จะเหน็ ทางทจี่ ะเขา้ ไปถงึ กายละเอยี ด เปน็ ช้ันๆ เขา้ ไปจน ถงึ พุทธรัตนะ ... (รธ. 376) หลักการของวิชชาธรรมกายและคัมภีร์อักษรธรรม จึงอาจนับได้ว่า สอดคล้องกันในประเด็นน้ี และสอดคล้องกันกับหลักการท่ีแสดงไว้ในพระ ไตรปิฎกบาลี ข. บริกรรมนิมติ คมั ภรี อ์ กั ษรธรรม บรรยายถงึ กรรมฐานตา่ งๆ ซง่ึ รวมถงึ อาโลกกสณิ หรอื กสิณความสว่างไว้ในคัมภีร์บัวระพันธะผูกท่ีสองและผูกท่ีสามและในคัมภีร์ มลู ลกมั มฐาน (ฉบบั ลา้ นนา) โดยไมไ่ ดเ้ จาะจงใหใ้ ชก้ รรมฐานใดเปน็ การเฉพาะ และกล่าวถึงบริกรรมนิมิตเป็นพระพุทธรูปไว้ด้วยในการปฏิบัติพุทธานุสติ (ดู 4.2.1.3) ส่วนในช้ันโลกุตรธรรมน้ัน ได้กำาหนดให้ใช้ความสว่างของดวง อาทิตยด์ วงดาว ฯลฯ เปน็ บรกิ รรมนมิ ติ ให้รำาพึงเห็นในมโนทวาร ให้สว่างแจ้งทั้งสี่ประตูนิรพาน อยูใ่ นนาภดี ังพระอาทติ ยน์ ั้นเถิด (พุทธน. 21.1) ให้คอ่ ยระนึกสัญญาลงถงึ สะดอื ว่า นโม ตสสฺ แถมทนี กึ ชอ่ื วา่ ในหวั ใจดงั แสงดาวนัน้ (ญาณก. 19.1) สว่ นในวชิ ชาธรรมกาย ทา่ นแนะนาำ ใหใ้ ชบ้ รกิ รรมนมิ ติ เปน็ ดวงแกว้ หรอื ดวงเพชรใสสณั ฐานกลมไมม่ ีมลทนิ 408 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org วิธีทำาสมถวิปัสสนา ต้องมีบริกรรมภาวนากับบริกรรม นมิ ติ เปน็ คกู่ นั บรกิ รรมนมิ ติ ใหก้ าำ หนด เครอ่ื งหมายเขา้ ใสเหมอื น อยา่ งกับเพชรลกู ทีเ่ จยี ระไนแล้ว ไม่มีขนแมว โตเทา่ แก้วตา (รธ. 925) การกำาหนดนึกถึงดวงแก้วใสหรือเพชรลูก และความสว่างของดวง อาทิตย์ ดวงจันทร์หรือดวงดาว สามารถจัดเข้าในการเจริญภาวนาประเภท สัญญาในแสงสว่าง (อาโลกสัญญา) ที่พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นประเภทของ การเจริญสมาธิภาวนาเพ่ือการได้ญาณทัสนะ ภกิ ษุทั้งหลาย กส็ มาธิภาวนาอนั บุคคลเจรญิ แลว้ กระทาำ ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวนิ ัยนี้ มนสิการอาโลกสัญญา อธษิ ฐานทวิ าสญั ญา ว่า กลางคืนเหมือนกลางวัน กลางวันเหมือนกลางคืน มีใจอัน สงดั ปราศจากเครอ่ื งรดั รงึ อบรมจติ ใหม้ คี วามสวา่ งอยู่ ดกู รภกิ ษุ ท้งั หลาย สมาธิภาวนานี้ อันบคุ คลเจรญิ แลว้ กระทาำ ให้มากแลว้ ย่อมเป็นไปเพือ่ ไดญ้ าณทัสนะ74 74 กตมา จ ภกิ ฺขเว สมาธิภาวนา ภาวิตา พหลุ กี ตา าณทสสฺ นปฏิลาภาย สวำ ตตฺ ติ อธิ ภกิ ฺขเว ภิกฺขุ อาโลกสฺ ำ มนสกิ โรติ ทวิ าสฺ ำ อธฏิ ฺ าติ ยถา ทวิ า ตถา รตตฺ ึ ยถา รตตฺ ึ ตถา ทวิ า อติ ิ ววิ ติ เฺ ตน เจตสา อปรโิ ยนทเฺ ธน สปปฺ ภาสำ จติ ตฺ ำ ภาเวติ อยำ ภกิ ขฺ เว สมาธภิ าวนา ภาวติ า พหลุ กี ตา าณทสสฺ นปฏลิ าภาย สำวตตฺ ติ ฯ (องฺ.จตุกฺก. 21/41/57-8) บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 409

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ การกาำ หนดนมิ ติ ความสวา่ งทแ่ี สดงไวใ้ นคมั ภรี โ์ ยคาวจรและทส่ี อนอยใู่ น วชิ ชาธรรมกาย จงึ นบั วา่ สอดคลอ้ งกนั และเปน็ วธิ กี ารเกา่ แกท่ ปี่ ฏบิ ตั กิ นั มาแต่ โบราณกาลดงั ปรากฏหลกั ฐานในพระไตรปิฎกบาลี ค. การ บั กิเลสกบั ลมหายใจหยุ ดงั ไดก้ ลา่ วขา้ งตน้ วา่ ภาวะทส่ี าำ คญั ในการเจรญิ สมาธภิ าวนาของโยคาวจร คือ นสิ สาสวาต ซึ่งหมายถงึ ภาวะทล่ี มหายใจหยดุ น่ิงและตดั การรบั รู้ส่ิงต่างๆ ภายนอกรอบตัวโดยสิ้นเชิง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าตรงกันกับนิโรธสมาบัติ หรือ สัญญาเวทยิตนิโรธ ที่แสดงไวใ้ นพระไตรปิฎกบาลวี ่า เปน็ สมาบัติที่ดบั สญั ญา และเวทนา ผเู้ ข้านิโรธสมาบตั ินี้ วจสี ังขาร กายสงั ขาร และจิตตสังขาร ดับไป ตามลาำ ดบั (ม.มู. 12/510/549 สำ.สฬ. 18/564/362) มคี าำ อธิบายแสดงไวใ้ นพระไตรปฎิ กว่า “วจีสงั ขาร” อนั ไดแ้ กว่ ติ กวิจาร นน้ั ดับไปตั้งแตฌ่ านที่ 2 ส่วน “กายสงั ขาร” คือลมหายใจเข้าออกจะดับไปใน ฌานที่ 475 และ “จติ ตสังขาร” ได้แก่ สัญญาและเวทนาดับในสญั ญาเวทยิต นโิ รธ หรือนโิ รธสมาบตั ิ (ขุ.ปฏิ. 31/222/145) การดบั ของกายสงั ขารคอื ลมหายใจเขา้ ออกในสภาวะของนโิ รธสมาบตั ิ น้ัน ไดแ้ ก่ ลมนสิ สาสวาต ซึ่งคมั ภีร์อกั ษรธรรมนำามาเก่ียวโยงเข้ากับการกาำ จัด 75 อน่ึง การดับไปของกายสังขารในฌานที่ 4 นั้นมแี สดงไว้ในบาลอี ังคุตตรนิกายวา่ “ภิกษใุ นธรรมวินยั นี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มที กุ ข์ ไมม่ สี ุข เพราะละสุขละทกุ ข์และดบั โสมนสั โทมนัสกอ่ นๆ ได้ มีอเุ บกขา เป็นเหตุให้สติบริสุทธ์ิอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีกายสังขารอันสงบระงับแล้ว อย่างน้ีแล ฯ” (องฺ.ทสก. 24/20/33) 410 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org กิเลสและการบรรลุมรรคผล ของอริยบุคคลระดับต่างๆ ได้แก่ โสดาปัตติผล สกาทาคามิผล อนาคามผิ ล และ อรหตั ตผล ดังขอ้ ความตวั อย่างด้านลา่ ง ใหค้ อ่ ยอนโุ ลมปฏโิ ลมดว้ ยญาณสมาธแิ ตน่ าภลี งถงึ นาภใี ห้ มน่ั ชอ่ื วา่ โสดาผละ เขา้ นโิ รธหบั ประตนู รกในตา ไดฆ้ า่ บาปธรรม ตายสองตัวเสยี แล ช่ือวา่ วจิ ิกิจฉา จิตตปุ ปาท ... ให้ค่อยอนโุ ลม ปฏโิ ลมดว้ ยปรยา76 ญาณสมาธแิ ตน่ าภลี งมาถงึ หวั ใจกด็ ี ไวใ้ หม้ นั่ ไดช้ ่ือว่า สกทาคามี เข้านิโรธไดห้ บั ประตสู ัตวด์ ริ ัจฉานในหแู ลว้ ได้ฆ่าปาปธรรมตายสาม77ตวั คือ ทิฏฐิ มาโน โลโภ โทโส ... ให้ คอ่ ยอนโุ ลมปฏโิ ลมดว้ ยญาณสมาธถิ งึ อกกมุ ไวใ้ หม้ น่ั ชอื่ อนาคามิ ผลแล เข้านิโรธได้หับประตูเมืองมนุษย์เสียในรูดังแล้ว ฆ่าปาป ธรรมตายส่ีตัวคอื ว่า เมถนุ ธรรม มจั ฉริยะ กกุ กจุ จะ ถีนะ ... ให้ คอ่ ยอนุโลมปฏโิ ลมดว้ ยญาณสมาธแิ ตน่ าสิกอมิ่ 78ลงไปเถงิ คอกุม ไว้ม่ันช่ือว่าพระอรหันตผล เข้านิโรธได้หับประตูสวรรค์ในปาก ได้ไขประตูนพิ พานอยตู่ รงกระหม่อม ... ชื่อพระอรหันตผล เข้า นิโรธสัมมาปฏิ79 ได้ฆ่าบาปธรรมตายส่ีตัว มิทธะ อุทธัจจะ อหริ กิ ะ อโนตตัปปะ อิสสา ได้ชอ่ื วา่ อรหันต์ (ญาณก. 20.1) 76 แม้ว่า ปรญา จะหมายถงึ ปญั ญา แต่ในท่ีน้คี วามหมายน่าจะหมายถงึ ญาณ 77 ควรเป็น ส่ี 78 อมิ่ : ว. เบกิ บาน, แชม่ ชนื่ 79 ควรเปน็ สมาบตั ิ บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 411

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ เหน็ ไดว้ า่ คมั ภรี อ์ กั ษรธรรม เชอื่ มโยงการกาำ จดั กเิ ลสเขา้ กบั นโิ รธสมาบตั ิ (นิโรธสัมมาปฏิ) ซึ่งมีลักษณะเด่นชัดในส่วนของการหยุดหรือไม่มีกระแสลม หายใจ ประเพณีของโยคาวจรจะแบ่งลมหายใจออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ “ปัสสาสวาต” คือลมหายใจภายนอก “อัสสาสวาต” คอื ลมหายใจทแี่ ล่นอยู่ ภายใน และ “นสิ สาสวาต” คอื ลมหายใจทอ่ี ยนู่ งิ่ ไมม่ กี ระแส คมั ภรี อ์ กั ษรธรรม เรียกลมหายใจชนิดหลังน้ีด้วยชื่อ “นิสสวาต” และกล่าวถึงการหยุดนิ่งไม่มี กระแสลมหายใจกบั นโิ รธวา่ “เมอ่ื จกั เอาผา้ สงั ฆาฏเิ ขา้ มาพาดตวั นนั้ กใ็ หร้ ะนกึ นิสสวาต คือลมห่อไฟไว้ ให้ระนึกอยู่ในอภิธรรมบ่ปลิ้นแปร ตั้งอยู่เป็นดังผ้า สังฆาฏิพับไว้นิ่งอยู่บ่ให้หายใจออก ได้ช่ือว่าพระอภิธรรมนิสสวาตเข้าทาง นโิ รธสญาณสขุ ุมาล บ่ใหไ้ ดห้ ายใจออก” (ญาณก. ฉบบั วดั ข่วงสงิ ห์ 5.2) สว่ น คัมภีร์พุทธนรกันใหค้ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งนิสสวาตกบั นิโรธไว้ว่า “คร้นั วา่ ผู้ใด รู้จัก นิสสวาตให้เป็นนโิ รธ กร็ จู้ ักตวั พระธรรม” (พทุ ธนรกัน 31.4) ซง่ึ หมาย ถงึ การทาำ นิโรธดว้ ยการถอื ลมหายใจทไ่ี มม่ กี ระแสน่ันเอง ส่วนในวิชชาธรรมกายกล่าวถงึ การละกเิ ลสเป็นลำาดบั ไปดังนี้ โคตรภูบุคคลนี้เดินสมาบัติ เพ่งอริยสัจ 4 เป็นอนุโลม ปฏโิ ลม จนหลดุ พน้ จากกเิ ลสพวกสกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา สลี พั พต ปรามาส แล้วตกศูนย์วับกลับเป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่าพระ โสดาบนั ละกเิ ลสได้ 3 คอื สกั กายทฏิ ฐิ วกิ จิ ฉา สลี พั พตปรามาส ... แล้วกายพระอนาคามีเดินสมาบัติเพ่งอริยสัจ 4 ทำานอง เดียวกันนั้นต่อไปถึงขีดสุดละกิเลสได้อีก 5 คือ รูปราคะ อรูป ราคะ มานะ อุทธัจจะ อวชิ ชา จงึ เลอื่ นขึน้ จากพระอนาคามีเป็น 412 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org พระอรหันต์ จติ ของพระองค์บรสิ ุทธ์ผิ ุดผ่อง ปราศจากกิเลสทง้ั มวล จึงไดพ้ ระเนมติ กนามวา่ อรหำ (รธ. 17) จะเหน็ ไดว้ า่ พระมงคลเทพมนุ ไี มไ่ ดเ้ ชอ่ื มโยงการกาำ จดั กเิ ลสเขา้ กบั นโิ รธ สมาบตั อิ ยา่ งทค่ี มั ภรี อ์ กั ษรธรรมระบไุ ว้ แตก่ ารหลดุ ลอ่ นจากกเิ ลสไปเปน็ ชนั้ ๆ ในวิชชาธรรมกายก็อาศัยการเดินสมาบัติคือสมาธิในระดับฌานท่ีแน่วแน่เช่น เดียวกนั ซง่ึ เป็นสภาวะท่ี “นิโรธ” คอื ความหลุดล่อนจากกิเลสในแต่ละระดับ เกดิ ขึน้ ได้ และถอื เป็นปฏิเวธของแตล่ ะกาย กายมนุษย์ เม่ือปฏิบัติถูกส่วนเข้าแล้วเห็นกายมนุษย์ ละเอียด น่ันเป็นนิโรธ เป็นปฏิเวธ รู้แจ้งแทงตลอดของกาย มนษุ ย์ เมอ่ื กายมนษุ ยล์ ะเอยี ดเข้าถงึ กายทิพย์ ก็เปน็ ปฏเิ วธของ กายมนษุ ยล์ ะเอยี ด ... กายธรรมของพระอรหตั หยาบหรอื อรหตั มรรค เขา้ ถงึ กายธรรมของพระอรหตั ละเอยี ดหรอื พระอรหตั ผล ก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมพระอรหตั ... (รธ. 149) ในภาวะที่ใจหยุดนง่ิ ดงั กล่าว ลมหายใจของผู้ปฏบิ ตั ิกห็ ยดุ เช่นเดยี วกัน ดังท่ีทา่ นกลา่ วไว้ว่า บรสิ ทุ ธิ์กายนะ บรสิ ุทธก์ิ าย ลมกห็ ยดุ ลมหยดุ เสียก็เรยี ก วา่ บริสทุ ธก์ิ าย ลมหยุด ลมนั้นแหละปรนปรอื ใจให้เปน็ อยู่ ลม หายใจเขา้ ออกปรนปรอื กายใหเ้ ปน็ อยู่ ลมหยดุ กกึ ในเวลาไร เวลา นัน้ เรียกว่ากายบริสทุ ธิแ์ ล้ว กายสงั ขารบรสิ ุทธิแ์ ล้ว ความตรึกตรองท่ีจะพูด หยุดอีกเหมือนกัน ความตรึก บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 413

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ตรองท่ีจะพูดหยุดอีกเหมือนกัน พอหยุดเวลาไร เวลานั้นเรียก วา่ วจีสังขารบริสทุ ธิ์แลว้ หยดุ เขา้ นะอยา่ ให้เคล่อื นทน่ี ะ ความรสู้ ึกกส็ ุขทกุ ขอ์ ยใู่ น ตัวนน้ั แหละ จะรสู้ ึกวา่ มันหยดุ อกี ดุจเดียว กาย วาจา ใจ หยดุ ดุจเดียวกัน พอใจหยุดกึกลงไปในขณะใด ขณะน้ันเรียกว่าจิต สังขารระงบั แลว้ นน้ั เปน็ จิตบรสิ ทุ ธแิ์ ล้ว กายบริสุทธ์ิ วาจาบริสุทธิ์ ใจบริสุทธ์ิ ยังมืดตื้ออยู่นั้น บริสุทธ์ิของสามัญสัตว์ ไม่ใช่บริสุทธิ์วิเศษ บริสุทธิ์วิเศษ สว่าง โล่ง ย่งิ กวา่ กลางวัน เห็นชัด ความหยดุ กาย ลมหยดุ หรือความ ตรกึ ตรองหยดุ ใจหยดุ เหน็ ทเี ดยี ว สวา่ งแจม่ แจง้ เหน็ ดวงเทา่ นน้ั เทา่ ทป่ี รากฏทเี ดยี ว (รธ. 666) อยา่ งไรกด็ ี แมท้ า่ นจะกลา่ วถงึ การระงบั ของจติ ตสงั ขาร แตใ่ นทน่ี ห้ี มาย เอาการท่ีใจหยุดในระดับเบ้ืองต้นเท่าน้ัน ดังจะเห็นได้จากที่กล่าวถึงความ บรสิ ทุ ธขิ์ องสามญั สตั ว์ อนง่ึ ในการกาำ จดั กเิ ลสเพอื่ บรรลอุ รยิ มรรคและอรยิ ผล น้ัน เปน็ การอาศยั ธรรมกายท่ีเข้าฌานสมาบตั ใิ นระดับต่างๆ โดยมิไดห้ มายถงึ นิโรธสมาบตั แิ ตอ่ ย่างใด ดังจะเห็นได้จากพระธรรมเทศนาดา้ นล่างนี้ พอแนน่ อนในใจ เหน็ ทกุ ขสจั สมทุ ยั สจั นโิ รธสจั มรรคสจั พอครบสี่เข้าเท่านั้นแหละได้บรรลุพระโสดาทันที พอพระโสดา เข้าสมาบัติ น่งิ อยู่ในปฐมฌาน ทตุ ยิ ฌาน ตติยฌาน จตตุ ถฌาน อากาสานญั จายตนฌาน วญิ ญาณญั จายตนฌาน อากญิ จญั ญายตน 414 ร ชนิ า นั ทรา รี ล

www.webkal.org ฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ทบไปทวนมาๆ ตา ธรรมกายของพระโสดาไปเหน็ ทุกขสัจ สมทุ ยั สัจ นิโรธสัจ มรรค สจั รดู้ ว้ ยญาณของพระโสดา พอครบรอบ เขา้ เทา่ นน้ั ไดบ้ รรลุ พระสกทาคา หน้าตัก วา สูง วา เกตุดอกบัวตูมใส บริสุทธ์ิหนักข้ึนไป ธรรมกายพระสกทาคา เข้าปฐมฌาน ทุติย ฌาน ตตยิ ฌาน จตตุ ถฌาน อากาสานญั จายตนฌาน วญิ ญาณญั จายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตน ฌาน ทบไปทวนมาแบบเดยี วกนั เหน็ ทกุ ขสจั สมทุ ยั สจั นโิ รธสจั มรรคสจั ในกายรูปพรหม เห็นชดั พอถกู ส่วนเข้าก็ได้บรรลพุ ระ อนาคา พระอนาคาเดนิ สมาบตั แิ บบเดยี วกนั เหน็ ทกุ ขสจั สมทุ ยั สัจ นโิ รธสจั มรรคสัจ ในกายอรูปพรหมเขา้ ก็ไดบ้ รรลพุ ระอรหัต ทีเดยี ว หมดกเิ ลสเปน็ สมทุ เฉทปหานทีเดียว (รธ. 200-201) จงึ กลา่ วไดว้ า่ คมั ภรี ข์ องโยคาวจรและวชิ ชาธรรมกายมคี วามสอดคลอ้ ง กนั ในประเดน็ ที่ วา่ การดบั กเิ ลสเกดิ ขน้ึ ในภาวะทล่ี มหายใจหยดุ แตแ่ ตกตา่ งกนั ในประเด็นที่โยคาวจรเชือ่ มโยงการกาำ จดั กเิ ลสเขา้ กับนโิ รธสมาบตั ิ ง. ฐานที่ตงั ของใจกบั การสอนภาวนาในคัมภรี ์ใบลานเขมร คมั ภรี ป์ รยิ ายพระวปิ สั สนาสตู ร ทจี่ ารโดยพระพรหมสวุ รรณ ราวปี พ.ศ. 2461 เปน็ บนั ทกึ ประสบการณ์จากการเรียนพระกรรมฐานกบั อาจารยพ์ รหม สอ (Brahm Sar) ในจงั หวดั เสียมเรยี บ ประเทศกัมพชู า กล่าวถงึ ฐานท่ีตัง้ ของ จิต 5 ฐาน เมื่อวางใจไว้ทีแ่ ตล่ ะฐานนัน้ แล้ว เหน็ ธรรมดังน้ี บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 415

www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ 1. ทป่ี ลายจมกู 2. ที่สำาลกั ของลิ้นไก่ 3. ทีล่ ำาคอ 4. ทป่ี ลายสุดลมหายใจ 5. ท่ีสะดอื กลางท้อง เม่ือผู้ปฏบิ ตั วิ างใจในฐานที่ 1 คือทป่ี ลายจมูก แลว้ ให้ ภาวนา “สัมมา อะระหงั ๆๆ” จนใจสงบจะเหน็ แสงรศั มสี ขี าว จากนนั้ เลอื่ นใจไปทฐี่ านที่ 2 ทตี่ งั้ ของลนิ้ ไก่ แลว้ ภาวนาสมั มาอะระหงั ต่อไป จะเหน็ แสงรัศมีสเี ขียว เมื่อเคล่อื น ใจไปฐานที่ 3 ณ ตน้ ลำาคอ แลว้ ภาวนาสัมมาอะระหงั ต่อไป จะเหน็ แสงรัศมี สเี หลอื ง จากน้นั เดนิ ใจไปฐานท่ี 4 จะเหน็ เป็นดวงกลมๆ ขนาดเท่าเมล็ดพริก ไทย เรยี งเปน็ แถวลงไปจนถงึ ทตี่ งั้ ของ ณ ปลายสดุ ของลมหายใจ ภาวนาสมั มา อะระหงั ไปตอ่ ไปเรอื่ ยๆ แลว้ จะเห็นแสงรัศมสี แี ดง จากนั้นนำาใจไปฐานท่ี 5 ที่ อยตู่ รงกลางกายในระดบั เดยี วกนั กบั สะดอื ภาวนาสมั มาอะระหงั ตอ่ ไปจะเหน็ ดวงธรรมสขี าวใสสวา่ งอยู่ตรงนนั้ จากน้ัน ท่านให้ค้นหาตัวดวงพระ “อะ-ระ-หัง” ต่อจากฐานท่ี 5 อัน เป็นศูนยก์ ลางกกั ของกลางกาย ปรากฏวา่ เมอื่ ผู้ปฏบิ ัตวิ างใจ ณ ศูนยก์ ลางกกั แลว้ กเ็ หน็ ดวงธรรม “อะ” ทา่ นเรยี กดวงนว้ี า่ “ดวงแกว้ ใหญ”่ จากนนั้ กห็ าดวง “ระ” ท่านกลา่ วว่า “ต้องเอาใจไปตั้งไวท้ ศ่ี ูนยก์ ลางสะดือ เมื่อเหน็ ศูนย์กลาง กกั นน้ั ขนาดเทา่ เมลด็ พรกิ ไทยแลว้ ใหเ้ อาดวงแกว้ ใหญว่ างซอ้ นทบั ขา้ งบนจาก เมลด็ พรกิ ไทยนนั้ ไปอกี ท”ี แลว้ จะเหน็ ดวง “ระ” ซอ้ นในศนู ยก์ ลางกกั ของกลาง กายนน้ั จากน้นั ท่านให้หาดวง “หงั ” โดยเอาดวงแก้วใหญ่ “อะ” ซ้อนทบั ตรง 416 ร ชนิ า ันทรา รี ล

www.webkal.org กลางกกั ซอ้ นกับดวง “ระ” ขนึ้ ไปข้างบนแล้วจะเหน็ ดวง “หัง” อย่ตู รงบนสุด ระหวา่ งดวงแกว้ ใหญน่ นั้ ภาพท่ี 25 วงพระ “อะ ระ หงั ” ทกี่ ลางกายในใบลานเขมร จากข้อความที่กล่าวมานั้น หากเปรียบเทียบกับวิชชาธรรมกายที่พระ เดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี ที่ท่านได้ค้นพบ จะเห็นร่องรอยเรื่องฐานท่ีตั้ง ของใจทเ่ี หมือนและต่างกับวิชชาธรรมกายในฐานบางฐาน ดังนี้ - ฐานที่ 1 ของใบลาน ตรงกบั ฐานที่ 1 ของวิชชาธรรมกาย - ฐานที่ 2 ของใบลาน ตรงกบั ฐานท่ี 4 ของวชิ ชาธรรมกาย - ฐานท่ี 3 ของใบลาน ตรงกับฐานท่ี 5 ของวชิ ชาธรรมกาย - ฐานท่ี 4 ของใบลาน ตรงกับฐานท่ี 7 ของวิชชาธรรมกาย (?) - ฐานที่ 5 ของใบลาน ตรงกบั ฐานที่ 6 ของวิชชาธรรมกาย บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 417

www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ในคมั ภรี ใ์ บลาน ไมม่ กี ารกลา่ วถงึ ฐานท่ี 2-3 ทก่ี ลา่ วไวใ้ นวชิ ชาธรรมกาย ได้แก่ ฐานท่ีเพลาตา และในกลางกกั ศรี ษะ ส่วนฐานที่ 7 ของวชิ ชาธรรมกาย นั้นเป็นไปได้ว่าอาจตรงกันกับฐานที่ 4 ในคัมภีร์ใบลานเขมรซึ่งหมายถึงท่ีสุด ของลมหายใจ สว่ น “ฐานท่ตี ัง้ ถาวร” ของใจในลาำ ดบั สุดทา้ ย ในขณะท่ีวชิ ชา ธรรมกายแนะนาำ ใหว้ างใจไวท้ ศ่ี ูนยก์ ลางกายฐานท่ี 7 ในระดับทส่ี ูงขนึ้ มากว่า ระดับสะดือราว 2 น้ิวมือ การนั่งหาดวงแก้วหรืออักขระพระ “อะ-ระ-หัง” ของคัมภีร์ใบลานเขมรยึดเอาศูนย์กลางกายในระดับสะดือเป็นฐาน ซ่ึงนับได้ ว่ามคี วามคล้ายคลึงกนั ในแงข่ องการวางใจไว้ในราวกลางลำาตัว การใหค้ วามสาำ คญั กบั ระดบั สะดอื ดเู หมอื นจะเปน็ ลกั ษณะเดน่ อยา่ งหนง่ึ ของโยคาวจร ดังจะเห็นได้ในคัมภีร์อักษรธรรมที่ให้ความสำาคัญกับ “นาภี” เช่นเดียวกัน (ดู “ทางเดินของจิตและกระบวนการบรรลุอริยมรรคอริยผล” ขา้ งลา่ ง”) ทง้ั 5 ฐานของคัมภรี ใ์ บลานเขมรน้ี บางครั้งทา่ นสอนในเชงิ สญั ลักษณ์ โดยเปรยี บเทียบกบั ตัวอกั ษรย่อ 5 ตวั คือ น-โม-พทุ ฺ-ธา-ยะ ต้ังแตฐ่ านที่ 1 ถึง ฐานท่ี 5 ตามลำาดบั การสอนเชิงสัญลกั ษณน์ ีแ้ ตล่ ะอาจารยอ์ าจสอนแตกตา่ ง กนั ไป เชน่ หนงั สอื การสอนพระกมั มฎั ฐานแบบโบราณของ วดั มนุ สี วุ รรณ ระบุ ว่า น-โม-พุท-ธา-ยะ เป็นสญั ลกั ษณแ์ ทนพระพุทธเจา้ 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้ ท่ปี ระทบั อยู่ภายในกายเราตรง ณ ฐานทั้ง 5 นอกจากนย้ี งั บอกวา่ น-โม-พทุ ฺ- ธา-ยะ เป็นคาำ ภาวนา และเปน็ สญั ลักษณแ์ ทนปีติท้ัง 5 องค์ด้วย เช่น อาจารย์ บางท่านเวลาสอนพระกรรมฐานจะบอกลูกศิษย์ในเชิงปริศนาธรรมว่า วันนี้ ไปหาตัว “น” ภายในตัวให้เจอ ตัว “น” ท่ีอาจารย์ท่านว่านั้น หมายถึงให้ ไปหาพระขุททกาปตี ิ อันเปน็ ปตี ปิ ระการแรกในชนั้ ปีติ 5 องค์น่นั เอง สว่ นใน 418 ร ชนิ า นั ทรา รี ล