www.webkal.org เอเชียอาคเนย์ พื้นที่ที่ครอบคลุมผืนแผ่นดินอันประกอบด้วยประเทศ พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวยี ดนาม และมาเลเซยี ตะวนั ตก กับประเทศหมเู่ กาะ ได้แก่ ประเทศบรูไน มาเลเซียตะวันออก ติมอร์ตะวันออก อินโดนีเซีย ฟลิ ิปปินส์ และสิงคโปร์ งานวจิ ยั นี้กลา่ วถึงเอเชยี อาคเนย์โดยเน้นเฉพาะทีเ่ ป็น ดินแดนพระพุทธศาสนา เช่น ประเทศพม่า ไทย ลาว และกัมพูชา 1.5. ระเบยี บวิธวี จิ ัย ดว้ ยวตั ถปุ ระสงคด์ งั กลา่ วมาขา้ งตน้ โครงการวจิ ยั นจ้ี งึ ศกึ ษาเปรยี บเทยี บ คำาสอนในคัมภีร์พระพุทธศาสนาท่ีพบในดินแดนต่างๆ กับคำาสอนในวิชชา ธรรมกาย ตามปัญหานำาวิจัยตอ่ ไปนี้ ก) ปญหาน�าวจิ ัย 1. ในคำาสอนของพระพุทธศาสนาที่บันทึกไว้ มีหลักฐานที่จัดเป็น “ร่องรอยธรรมกาย” คือ ที่มีความสอดคล้องกับหลักการในวิชชาธรรมกาย หรือไม่ อะไรบา้ ง 2. หลักฐานท่ีจัดเป็นร่องรอยดังข้อ 1 นั้น มีความสอดคล้องและ แตกต่างจากหลักการของวิชชาธรรมกายอย่างไร มีความสอดคล้องและแตก ตา่ งกนั ระหวา่ งภมู ภิ าคอยา่ งไร ความสอดคลอ้ งและแตกตา่ งทพี่ บมคี วามสาำ คญั ในเชงิ ประวัติศาสตร์การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาอยา่ งไร 3. ขอ้ มลู ทร่ี วบรวมได้ ใหค้ าำ ตอบอยา่ งไรสาำ หรบั ขอ้ สงสยั ในประเดน็ ทวี่ า่ วชิ ชาธรรมกายเปน็ คาำ สอนดงั้ เดมิ ในพระพทุ ธศาสนาทพ่ี ระมงคลเทพมนุ ไี ดค้ น้ บทที 1 บทนํา | 19
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ พบขึน้ มาใหม่หลงั จากสญู หายไปในชว่ ง 500 ปีหลงั พุทธปรนิ พิ พาน ข) ขอบเขตของงานวจิ ยั ตามวัตถุประสงค์ท่ีกล่าวไว้ข้างต้น ในระยะที่ 1 ที่กำาลังรายงานผล การวิจัยในฉบับน้ี คณะวิจัยจึงได้แบ่งพื้นท่ีของการศึกษาคัมภีร์ออกเป็นสอง ภมู ภิ าคกว้างๆ คือ 1. เอเชยี อาคเนย์ นักวิจัยกลุ่มหนึ่งศึกษาคัมภีร์เก่ียวกับการปฏิบัติธรรมและธรรมกายใน เอเชียอาคเนย์ เพื่อให้เห็นภาพของหลักคำาสอนและหลักปฏิบัติสมาธิภาวนา ทน่ี ยิ มกนั อยแู่ ตเ่ ดมิ ในดนิ แดนพทุ ธเถรวาท ในทอ้ งถน่ิ ทเ่ี ปน็ แดนเกดิ หรอื ทคี่ น้ พบวิชชาธรรมกาย ประกอบดว้ ยงานวจิ ยั ย่อย 5 ชิน้ ดังนี้ 1.1. ธรรมกายในคัมภรี พ์ ระธัมมกายาทิ พระครวู เิ ทศสุธรรมญาณ (สธุ รรม สธุ มฺโม) และคณะศึกษาเนอื้ หาของ คัมภีร์ใบลานอักษรขอมพระธัมมกายาทิ ฉบับเทพชุมนุม ท่ีพระบาทสมเด็จ พระนง่ั เกลา้ เจ้าอย่หู วั พระราชทานไวส้ ำาหรบั วดั พระเชตพุ นฯ โดยศกึ ษาความ หมายและลักษณะของธรรมกายที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ เปรียบเทียบกับหลักการ ในวิชชาธรรมกาย 1.2. พุทธานุสตใิ นคมั ภีรพ์ ุทธศาสนาภาษาบาลี ดร.พม.สธุ รรม สรุ ตโน ศกึ ษาหลักการปฏบิ ัตธิ รรมแบบพทุ ธานุสตแิ ละ การเห็นพระท่ีกลา่ วไว้ในพระไตรปฎิ กและอรรถกถาบาลี 20 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org 1.3. สมาธภิ าวนาจากคมั ภรี ใ์ บลานเขมร พระปอเหมา่ ธมมฺ โิ ต ศึกษาหลกั คาำ สอนในพระพุทธศาสนา และหลกั ธรรมปฏิบัติจากคัมภีร์ใบลานเขมรท่ีกล่าวถึงการปฏิบัติสมาธิภาวนา รวมท้ัง คำาสอนเกี่ยวกับธรรมกายท่ีปรากฏในคัมภีร์เหล่าน้ัน เปรียบเทียบกับหลัก คำาสอนในวิชชาธรรมกาย 1.4. สมาธภิ าวนาในคมั ภีร์อักษรธรรม ดร.กจิ ชยั เออ้ื เกษม ศกึ ษาหลกั คาำ สอนในพระพทุ ธศาสนาทอ้ งถน่ิ รวมทงั้ หลกั การปฏบิ ตั สิ มาธภิ าวนาจากคมั ภรี ใ์ บลานทแี่ นะนาำ การเจรญิ สมาธภิ าวนา หรือท่ีกล่าวถึงธรรมปฏิบัติและประสบการณ์จากการปฏิบัติธรรม จารึกด้วย อกั ษรธรรมแบบตา่ งๆ ทพ่ี บในประเทศไทยและประเทศใกลเ้ คยี ง และศกึ ษา คาำ สอนเกย่ี วกบั ธรรมกายทพ่ี บในคมั ภรี ส์ อนสมาธภิ าวนาเหลา่ นนั้ เปรยี บเทยี บ กบั หลกั คาำ สอนในวิชชาธรรมกาย 1.5. ร่องรอยธรรมกายในคมั ภรี จ์ ตรุ ารักขา สปุ ราณี พณชิ ยพงศ์ จดั ทาำ เนอ้ื หาคมั ภรี จ์ ตรุ ารกั ขาฉบบั ตรวจชาำ ระใหม่ โดยเทียบเคยี งคัมภีรใ์ บลานอักษรขอมและอักษรลา้ นนา รว่ มกับเนื้อหาเดมิ ท่ี เคยตีพิมพ์ในหนังสือสวดมนต์ของศรีลังกาและหนังสือสวดมนต์ในภาคเหนือ ของไทย รวมทัง้ ศกึ ษาความหมายและคณุ ลักษณะของธรรมกายทก่ี ลา่ วไวใ้ น คัมภรี ์ เปรยี บเทียบกับหลักการในวชิ ชาธรรมกาย 2. คันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี นักวิจัยอีกส่วนหน่ึงศึกษาคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาท่ีเผยแผ่ไปยัง บทที 1 บทนาํ | 21
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ ตอนเหนือของอินเดีย ซ่ึงเป็นพ้ืนท่ีท่ีมีการค้นพบคัมภีร์เก่าแก่ในพระพุทธ ศาสนาข้ึนมาเป็นจำานวนมากอย่างต่อเน่ืองในระยะเวลากว่าศตวรรษที่ผ่าน มา เพื่อศึกษาหลักคำาสอนและหลักปฏิบัติเก่าแก่ของชาวพุทธที่เผยแพร่กัน ในยุคแรกเร่ิม เปรียบเทียบกับคำาสอนในวิชชาธรรมกาย ในกลุ่มนี้มีงานวิจัย ย่อย 5 ชิ้น ไดแ้ ก่ 2.1. ทฤษฎีตถาคตครรภะในพระไตรปฎิ กบาลี พระเกษตร าณวิชฺโช ศึกษาหลักการในทฤษฎีตถาคตครรภะ ที่ว่า ด้วยสัตว์โลกท้ังหลายมีธาตุแห่งความเป็นพุทธะอยู่ภายใน แต่ถูกปกคลุมไว้ ดว้ ยกิเลส เป็นต้น ซ่งึ ส่วนใหญจ่ ะปรากฏในพระสตู รมหายาน เปรยี บเทียบกบั หลกั การทค่ี ล้ายคลงึ กนั ในพระไตรปฎิ กบาลี 2.2. สมาธิกับศูนย์กลางกายในพระพุทธศาสนาจีนยุคตงฮั่นถึงยุค โฮ่วฉิน พระเกียรติศักดิ์ กิตฺติปฺโ ศึกษาเน้ือหาคัมภีร์ปฏิบัติธรรมในภาษา จนี ทส่ี อนกนั อยใู่ นชว่ งปลายราชวงศฮ์ นั่ (พ.ศ. 568-763) ซง่ึ นบั เปน็ ยคุ บกุ เบกิ ของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศจีน จนถึงปลายราชวงศ์ฉิน (พ.ศ. 927-960) โดยเน้นการศกึ ษาเทคนิคการปฏบิ ตั ธิ รรมแบบอานาปานสติ และ พุทธานุสติ เปรียบเทียบกับวิธีการทำาสมาธิท่ีสอนโดยพระมงคลเทพมุนีแห่ง ยุครตั นโกสนิ ทร์ของไทย 2.3. “ธรรมกาย” ในคัมภรี ์สันสกฤต พระวีรชัย เตชงฺกุโร สืบค้นคำาว่าธรรมกาย จากฐานข้อมูลเกรทิล 22 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org (GRETIL)20 ในสว่ นของพทุ ธวรรณกรรมสนั สกฤต (Sanskrit Buddhist Litera- ture) วา่ พบในพระสตู รใดบา้ ง แลว้ ศกึ ษาขอ้ มลู เชงิ ลกึ เชน่ แนวคดิ ทฤษฎี และ ข้ออภิปรายท่ีเก่ียวข้องกับบางพระสูตรเท่าท่ีหาได้ รวมท้ังเทียบเคียงเน้ือหา กับช้ินส่วนคัมภีร์สันสกฤตเก่าแก่ท่ีพบในบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่ง ปัจจบุ ันเก็บรกั ษาอยู่ใน สเคอเยน็ คอลเล็คชน่ั (Schøyen collection) ประเทศ นอรเ์ วย์ด้วย 2.4. “ธรรมกาย” ในกลุ่มคมั ภีรม์ หาปรนิ ริ วาณสตู ร ดร.ชยั สทิ ธิ์ สวุ รรณวรางกลู ศกึ ษาขอ้ ความทกี่ ลา่ วถงึ ธรรมกาย ในคมั ภรี ์ มหาปรินิรวาณสูตรและอังคุลิมาลียสูตรในต้นฉบับคัมภีร์ภาษาสันสกฤตที่ ค้นพบในเอเชียกลาง เปรียบเทียบกับ ภาษาจีน และภาษาทิเบต รวมทง้ั คำาว่า “ธรรมกาย” ที่พบในคัมภีร์อาคมะจีน และคัมภีร์ในภาษาโขตานจากเอเชีย กลาง 2.5. ร่องรอยวชิ ชาธรรมกายในคนั ธาระและเอเชยี กลาง 1 ดร.ชนิดา จันทราศรีไศล สำารวจเน้ือหาคำาสอนของคัมภีร์เก่าแก่ที่พบ ในเขตคนั ธาระและเอเชียกลางในระยะเวลาราว 1 ศตวรรษกว่าทผี่ า่ นมา เพือ่ ศกึ ษาส่งิ ที่นับว่าเปน็ ร่องรอยวชิ ชาธรรมกายในแง่มุมต่างๆ และความสัมพันธ์ ในเชิงประวตั ศิ าสตร์การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา 20 “Göttingen Register of Electronic Texts in Indian Languages and Related Indological materials from Central and SoutheastAsia” ฐานขอ้ มลู นปี้ ระกอบดว้ ยเนอื้ หาของคมั ภรี ใ์ นภาษาอนิ เดยี ทผี่ า่ น การตรวจชำาระและตีพมิ พแ์ ลว้ เช่น พระไตรปิฎกบาลี พระสูตรมหายานในภาษาสนั สกฤตทค่ี น้ พบท่ี เนปาล เป็นต้น แต่ในงานวิจัยนี้ เลอื กศกึ ษาขอ้ มูลเฉพาะสว่ นที่เปน็ พระสตู รภาษาสันสกฤต บทที 1 บทนํา | 23
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีร์พทุ ธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ งานวิจัยย่อยเหล่าน้ี มีขอบเขต จุดสนใจ ระยะเวลาการทำางาน และ ระเบียบวิธีวิจัยท่ีเป็นเอกเทศของตนเอง บางช้ินเป็นผลของการศึกษา ต่อเน่ืองมาเป็นเวลาหลายปี ในขณะที่บางช้ินเป็นผลของการศึกษาในระยะ เวลาราว 1-2 ปที ผี่ า่ นมา บางชนิ้ เปน็ การศกึ ษาแบบวเิ คราะหเ์ จาะลกึ ในเนอ้ื หา คมั ภีรบ์ างฉบบั ในขณะทีบ่ างชน้ิ เปน็ การสำารวจรอ่ งรอยหลักฐานธรรมกายใน เบ้ืองตน้ จากแหล่งคมั ภีร์ใหญ่ทีม่ กี ารคน้ พบคมั ภรี จ์ ำานวนมาก ค) วิธีการทา� งานวจิ ยั โครงการวิจัยนี้ประกอบด้วยงานวิจัยย่อยหลายชิ้น แม้ว่าแต่ละชิ้น จะมีขอบเขตการศึกษา และระเบียบวิธีวิจัยเป็นเอกเทศของตนเอง แต่โดย ภาพรวมยงั มสี ิ่งที่ถอื เปน็ วธิ ีการร่วมกันของทกุ ช้นิ งาน ดงั น้ี 1. ศึกษาเอกสารปฐมภูมิ ได้แก่ ต้นฉบับคัมภีร์ลายมือเขียน (manu- scripts) จารึกต่างๆ (inscriptions) รวมท้งั ตน้ ฉบับคัมภีร์ที่ปรวิ รรตอกั ษรแล้ว แปลเบ้ืองต้นและตีพิมพ์แล้ว รวมท้ัง ฐานข้อมูลคัมภีร์พระพุทธศาสนา เพื่อ ศึกษาเน้ือหาคาำ สอนพระพทุ ธศาสนาในยุคต่างๆ และในท้องทตี่ ่างๆ 2. เปรียบเทียบกับคำาสอนในวิชชาธรรมกาย โดยอาศัย “เกณฑ์ระบุ รอ่ งรอยวชิ ชาธรรมกาย” ดงั ทก่ี าำ หนดไวข้ า้ งลา่ ง เพอื่ พจิ ารณาความเหมอื นและ ความตา่ งของคำาสอนทีพ่ บในคมั ภีรก์ ับหลกั การในวชิ ชาธรรมกาย 3. ศกึ ษาเอกสารทตุ ยิ ภมู ิ คอื ผลงานวชิ าการอนื่ ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง เพอื่ ศกึ ษา แหลง่ ขอ้ มลู ทค่ี วรสบื คน้ หลกั ฐาน และเพอ่ื รวบรวมขอ้ มลู ทจ่ี ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การอภปิ รายและสรปุ ผลการวิจยั 24 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org ส่วนวธิ ีการทำางานวิจัยทเี่ ปน็ รูปแบบเฉพาะของตา่ งภูมภิ าคมดี ังนี้ ในคนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี คมั ภรี ท์ พี่ บในภมู ภิ าคน้ี หลาย พระสตู รพบกระจดั กระจายอยใู่ นหลายทอ้ งที่ และบางพระสตู รพบในตน้ ฉบบั คมั ภรี ห์ ลายภาษา เชน่ บางคมั ภรี พ์ บเปน็ ชนิ้ สว่ นภาษาคานธารี ตน้ ฉบบั ภาษา สันสกฤตจากคันธาระและเอเชียกลาง และยังมีปรากฏในฐานข้อมูลที่เป็น เนื้อหาของคัมภีร์ใบลานจากอินเดียหรือเนปาลด้วย เป็นต้น ในกรณีเช่นนี้ ต้นฉบับคัมภีร์เดียวกันที่จารึกในต่างภาษาและที่พบจากต่างท้องถิ่นจะนำามา ศึกษาร่วมกนั ในฐานะท่ีเปน็ คัมภีร์เดยี วกนั แต่จะระบุความแตกตา่ งทพี่ บจาก การศึกษาคัมภีร์แต่ละฉบับไว้ด้วย การระบุอายุของคัมภีร์เดียวกันท่ีเขียนใน ตา่ งภาษา หรอื ท่พี บจากตา่ งทอ้ งที่ จะระบแุ ยกเฉพาะฉบบั ตามท่เี ปน็ จริง แต่ ในการสรุปภาพรวมของคัมภีร์ อายุของคัมภีร์น้ันๆ จะระบุโดยภาพรวมเป็น ชว่ งเวลาตัง้ แต่อายุของชน้ิ สว่ นคัมภรี ์ทเ่ี ก่าทส่ี ุดจนถงึ ใหมท่ ี่สุด สว่ นในเอเชยี อาคเนย์ คมั ภรี ป์ ฏบิ ตั ธิ รรมทพ่ี บ มหี ลายคมั ภรี ์ และจารกึ ด้วยภาษาและอักษรท่แี ตกตา่ งกนั ในการทาำ งานวิจยั คมั ภรี ป์ ระเภทเดียวกนั จะนำามาศึกษาร่วมกันโดยถือว่าเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมเดียวกัน อย่างไร กต็ าม ความแตกตา่ งของแตล่ ะฉบบั ทม่ี นี ยั สาำ คญั จะระบไุ วช้ ดั เจนเชน่ เดยี วกนั ง) แหล่งขอ้ มูล คณะวิจัยได้ใช้แหล่งข้อมูลปฐมภูมิในการศึกษาเน้ือหาคำาสอนของ พระพทุ ธศาสนา ทง้ั ทเ่ี ป็นต้นฉบับคัมภรี ล์ ายมอื เขยี น จารึก และท่ีถอดความ และตีพิมพ์เป็นรูปเล่มเป็นชุดแล้ว รวมทั้งท่ีรวบรวมเป็นฐานข้อมูลเพ่ือการ ศกึ ษา มรี ายละเอียดดงั นี้ บทที 1 บทนํา | 25
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ 1. พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และคัมภรี ์ปกรณว์ ิเศษ ายบาล2ี 1 1.1. ภาษาบาลอี ักษรไทย ฉบับสยามรฐั และฉบับมหาจฬุ าลงกรณราช วทิ ยาลัย 1.2. ภาษาบาลีอักษรโรมัน ฉบับสมาคมบาลีปกรณ์ และฉบับฉัฏฐ สงั คายนา 1.3. พระไตรปฎิ กและอรรถกถาแปล ฉบบั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั (ไทย มมร.) 2. ฐานขอ้ มูลของคัมภีรภ์ าษาสันสก ต ใน GRETIL (Göttingen Register of Electronic Texts in Indian Languages and Related Indological materials from C.E.ntral and Southeast Asia) . พระไตรปิฎกภาษาจีน ฉบับไทโช Taish Shinshū Daiz ky (大 )正新脩大藏經 และฉบับอเิ ลก็ ทรอนิกส์ CBETA 4. พระไตรปฎิ กภาษาทเิ บต ฉบับ Peking, Narthang, Derge, และ Lhasa 5. ตน้ ฉบบั คมั ภรี ล์ ายมอื เขยี น (Manuscripts) ทพ่ี บในเอเชยี อาคเนย์ 5.1. คัมภีร์ใบลานอักษรขอม 5.1.1.“พระธัมมกายาทิ” ฉบับเทพชุมนุม คัมภีร์พระราชทาน จากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจา้ อยหู่ ัว วดั พระเชตุพนฯ กรุงเทพฯ (คมั ภรี ์ 21 ดรู ายละเอยี ดเพม่ิ เติมใน “อกั ษรย่อชอื่ คัมภรี ์” 26 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org ใบลาน 16 หน้า อกั ษรขอมไทย ภาษาบาลี) 5.1.2. “ธัมมกาย” (พุทธศตวรรษที่ 24) วัดพระเชตุพนฯ กรงุ เทพฯ (คมั ภรี ล์ านทอง อกั ษรขอมไทย ภาษาบาลี 6863/2/1) 5.1.3. “จตุรารักขา” หอสมุดแห่งชาติประเทศไทย กรุงเทพฯ (คัมภรี ์ใบลาน 10 หนา้ 6863/2/1 อกั ษรขอมไทย ภาษาบาล)ี 5.2. คมั ภรี ใ์ บลานอักษรธรรมอสี าน 5.2.1. “พุทธนรกัน” (พ.ศ. 2466) วัดโพธ์ิศรี อำาเภอเมืองฯ จงั หวดั มหาสารคาม (หนังสอื ใบลาน 1 ผกู อักษรธรรมอีสาน ภาษาไทยอีสาน และภาษาบาล)ี 5.3. คัมภีร์ใบลานอกั ษรธรรมลาว 5.3.1. “นไิ สบวั รพนั ธะ” (จ.ศ. 1198 พ.ศ. 2379) สาำ นกั สง่ เสรมิ ศิลปวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ (หนังสือใบลาน 3 ผกู อักษรธรรมลาว ภาษาไทย-ลาว และภาษาบาลี ไมโครฟลิ ม์ ฉบบั วดั สงู เมน่ อาำ เภอสงู เมน่ จงั หวดั แพร่ พร.01.20.132.02) 5.4. คมั ภีรใ์ บลานและหนงั สอื พบั สาอักษรธรรมล้านนา 5.4.1. “ธัมมกาย” สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หนังสือใบลาน 1 ผูก อักษรธรรมล้านนา ภาษาไทยยวน22 และภาษา บาลี ไมโครฟิล์ม ฉบับวัดป่าสักน้อย อำาเภอสันกำาแพง จังหวัดเชียงใหม่ 22 บางคร้ังเรยี กวา่ “ไทยโยน” ซง่ึ นบั ว่าถกู ตอ้ งท้งั คู่ และมีใชใ้ นงานวิชาการทงั้ คู่ บทที 1 บทนํา | 27
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ 79.029.11.027-029 1/10) 5.4.2. “บัวระพันธะ” สถาบนั วิจัยสังคม มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ (หนังสือใบลาน 3 ผูก อักษรธรรมล้านนา ภาษาไทยยวนและภาษาบาลี ไมโครฟิล์ม ฉบับวัดรัตนาราม อำาเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ 84.183.01D 087-089) 5.4.3. “บวั ระพนั ธะ” (จ.ศ. 1295 พ.ศ. 2476) สถาบนั วจิ ยั สงั คม มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ (หนังสือใบลาน 3 ผูก อกั ษรธรรมลา้ นนา ภาษา ไทยยวนและภาษาบาลี ไมโครฟิล์ม ฉบับวัดสันปง อำาเภอแม่ริม จังหวัด เชียงใหม่ 84.136.01D 031-033) 5.4.4. “พระญาณกสณิ ” (จ.ศ. 1261 พ.ศ. 2442) สถาบนั วจิ ยั สังคม มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ (หนังสือใบลาน 1 ผูก อักษรธรรมล้านนา ภาษา ไทยยวนและภาษาบาลี ฉบับวัดป่าบงหลวง อำาเภอพาน จังหวัดเชียงราย 82.117.11.057-057) 5.4.5. “พระญาณกสณิ ” (จ.ศ. 1236 พ.ศ. 2417) สถาบนั วจิ ยั สังคม มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ (หนังสอื ใบลาน 1 ผกู อกั ษรธรรมลา้ นนา ภาษา ไทยยวนและภาษาบาลี ไมโครฟิล์ม ฉบับวัดข่วงสิงห์ อำาเภอเมืองฯ จังหวัด เชยี งใหม่ 82.117.11.057-057) 5.4.6. “มูลลกัมมฐาน” สำานักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ (หนงั สอื พบั สา 1 เล่ม อกั ษรธรรมล้านนา ภาษาไทย ยวนและภาษาบาลี ไมโครฟิลม์ ฉบับวดั ป่าเหมอื ด อาำ เภอปัว จงั หวัดนา่ น นน. 06.20.011.00) 28 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org 5.4.7. “จตุรารักขา” หอสมุดแห่งชาติประเทศไทย กรุงเทพฯ (คมั ภรี ใ์ บลาน 8 หนา้ 1298/1 อกั ษรขอมไทย ภาษาบาล)ี 5.5. คัมภรี ใ์ บลานอกั ษรเขมร 5.5.1. “มลู พระกมั มฏั ฐาน” องคก์ รการศกึ ษาและอนรุ กั ษใ์ บลาน เขมร พนมเปญ กัมพูชา (คมั ภรี ใ์ บลาน 1 ผกู 48 หน้า อักษรเขมร ภาษาเขมร) 5.5.2. “มลู พระกมั มฐาน” วดั คริ สิ ระสรอง กนั ดาล กมั พชู า (คมั ภรี ์ ใบลาน 1 ผกู 96 หนา้ อกั ษรเขมร ภาษาเขมร) 5.5.3. “มูลพระกรรมฐาน” วัดมงคลศิริเกียน-เฆลียง กัมพูชา (คมั ภรี ใ์ บลาน 1 ผกู 80 หนา้ อักษรเขมร ภาษาเขมร) 5.5.4. “ขษฺตรากัมมัฏฐาน” วัดเกียน-เฆลียง กัมพูชา (คัมภีร์ ใบลาน 1 ผูก 16 หน้า อกั ษรเขมร ภาษาเขมร) 5.5.5.“ภาวนาคาถา”วดั จกั -องั เร-กรอมพนมเปญกมั พชู า(คมั ภรี ์ ใบลาน 1 ผูก 54 หนา้ อกั ษรเขมร ภาษาเขมร) 5.5.6. “นโม กายา” วดั โพธ-์ิ เปรก-แสลง กนั ดาล กมั พชู า (คมั ภรี ์ ใบลาน 1 ผูก 16 หนา้ อักษรเขมร ภาษาเขมร) 5.5.7. “ขษฺตรากัมมัฏฐาน” วัดเกียน-เฆลียง กัมพูชา (คัมภีร์ ใบลาน 1 ผกู 40 หนา้ อกั ษรเขมร ภาษาเขมร) 5.5.8. “ขษฺตรา นครกาย” วัดเกียน-เฆลียง กัมพูชา (คัมภีร์ ใบลาน 1 ผกู 40 หนา้ อักษรเขมร ภาษาเขมร) บทที 1 บทนาํ | 29
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ 5.5.9. “นครกาย” วดั ภมู ใิ หมศ่ ริ มิ งคล กาำ ปงจาม กมั พชู า (คมั ภรี ์ ใบลาน 1 ผกู 64 หน้า อกั ษรเขมร ภาษาเขมร) 5.5.10. “กายนคร” วัดธิบดี เสยี มเรียบ กัมพูชา (คมั ภรี ์ใบลาน 1 ผกู 88 หนา้ อกั ษรเขมร ภาษาเขมร) 5.5.11. “พระคณุ แกว้ ปฎิ ก” (พ.ศ. 2487) องคก์ รการศกึ ษาและ อนุรักษ์ใบลานเขมร คัดลอกจากฉบับของวัดเกาะจ้นเลีย พนมเปญ กัมพูชา (คัมภีรใ์ บลาน 1 ผูก 88 หน้า อกั ษรเขมร ภาษาเขมร) 5.5.12. “มูลธรรมไตร” (พ.ศ. 2491) วดั ภูมิใหม่ศิรมิ งคล กาำ ปง จาม กมั พชู า (คมั ภีร์ใบลาน 8 ผกู 326 หน้า อักษรเขมร ภาษาเขมร) 6. ตน้ ฉบบั คมั ภรี ล์ ายมอื เขยี น ( ) ทพี่ บในคนั ธาระและ เอเชยี กลาง 6.1. คมั ภรี ภ์ าษาคานธาร2ี 3ในเขตคันธาระ 6.1.1. คมั ภรี ค์ านธารใี นชดุ ของหอสมดุ แหง่ ชาตปิ ระเทศองั กฤษ (British Library collection) อายรุ าวพทุ ธศตวรรษท่ี 6 23 “คานธาร”ี เปน็ ภาษาเกา่ แก่ภาษาหนึ่งที่ใช้กนั ในท้องถิน่ ตะวันออกเฉยี งเหนือของอนิ เดีย เดิมเรยี ก กันวา่ “ภาษาปรากฤตของดินแดนตะวันตกเฉยี งเหนอื ” (Northwestern Prakrit) เพราะเป็นภาษา หนงึ่ ในกลมุ่ ภาษาปรากฤต แตม่ ลี กั ษณะเฉพาะตวั ของภาษาทใ่ี ชอ้ ยใู่ นดนิ แดนตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ของ อินเดยี เป็นหลัก ต่อมา Sir Harold Bailey ไดน้ ำาเสนอใหเ้ รยี กชือ่ วา่ ภาษา “คานธาร”ี เนื่องจากเป็น ภาษาทใ่ี ชก้ นั ในดนิ แดนทเี่ ปน็ แควน้ คนั ธาระโบราณ ชอื่ นจ้ี งึ เปน็ ทย่ี อมรบั ของนกั วชิ าการนบั แตน่ น้ั มา (Bailey 1946) 30 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org 6.1.2. คัมภีรค์ านธารีในชุดของ โรเบริ ์ต ซีเนยี ร์ (Senior collec- tion) อายรุ าวพุทธศตวรรษที่ 7 คมั ภรี ใ์ นสองชดุ นี้ ศกึ ษาจากทต่ี พี มิ พใ์ นชดุ andhāran Buddhist Te ts ( BT) และส่ิงพิมพท์ ีเ่ กยี่ วข้อง 6.1.3. คัมภีร์คานธารีในชุดของ มาร์ติน สเคอเย็น (Schøyen collection) และคัมภีร์ในกลุ่มเดียวกันท่ีเก็บรักษาในประเทศญ่ีปุ่น ได้แก่ คัมภีร์กลุ่ม ฮิรายามาและฮายาชิเดอร่า (Hirayama collection, Hayashidera collection) อายุราวกลางพุทธศตวรรษท่ี 7-9 โดยศึกษาจากที่ตีพิมพ์ในชุด “คมั ภรี พ์ ทุ ธในสเคอเยน็ คอลเลค็ ชน่ั ” (Buddhist Manuscritps in the Schøyen Collection - BMSC) และจากภาพถา่ ยดิจติ อลของคมั ภรี บ์ างส่วน 6.1.4. คมั ภรี ค์ านธารที พี่ บในเขตบาโจร์ ปากสี ถาน (Bajaur col- lection) อายุราวปลายพทุ ธศตวรรษท่ี 6-7 ศกึ ษาจากภาพถา่ ยคมั ภรี ท์ ต่ี พี มิ พ์ รวมเปน็ เลม่ ( han 2008) และสงิ่ พมิ พ์ท่เี กยี่ วข้อง 6.1.5. คมั ภีรค์ านธารีที่กระจัดกระจาย (Split collection) อายุ ต้ังแต่ราวกลางพุทธศตวรรษที่ 4 ถึงพุทธศตวรรษท่ี 6 ศึกษาจากส่ิงพิมพ์ที่ เก่ียวขอ้ ง 6.2. คัมภรี ์ภาษาสันสกฤตและภาษาท้องถน่ิ ในเขตคนั ธาระ 6.2.1. คัมภีร์สันสกฤตในชุดของมาร์ติน สเคอเย็น (Schøyen collection) อายุราวกลางพทุ ธศตวรรษที่ 7-12 ศึกษาจากทีต่ ีพิมพ์ใน Bud- dhist Manuscritps in the Schøyen Collection (BMSC) บทที 1 บทนํา | 31
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ 6.2.2. คมั ภรี ส์ นั สกฤตจากเมอื งกลิ กติ (Gilgit Manuscripts) อายุ ราวกลางพทุ ธศตวรรษที่ 10-13 ศกึ ษาจากทปี่ รวิ รรตอกั ษรเปน็ เทวนาครี และ ส่ิงพิมพ์ท่ีเกี่ยวข้อง (มีการตีพิมพ์ภาพถ่ายคัมภีร์รวมกันเป็นเล่มใหญ่ ยังไม่มี การแปลเป็นช้ินเป็นอัน มีที่แปลไว้เพียงส่วนน้อยบางชิ้นเท่านั้น) รวมท้ังที่มี รวมไวใ้ นฐานขอ้ มูล GRETIL แล้ว 6.2.3. คัมภรี ์ภาษาแบคเทรีย (Bactrian Documents) อายรุ าว กลางพทุ ธศตวรรษที่ 10-11 ศึกษาจากที่ตีพมิ พใ์ น Buddhist Manuscritps in the Schøyen Collection (BMSC) และส่ิงพิมพ์ทเ่ี กี่ยวข้อง 6.3. คมั ภีรภ์ าษาคานธารใี นเอเชียกลาง 6.3.1. คมั ภีร์ธรรมบทคานธารีจากเมอื งโขตาน (Khotan Dhar- mapada) อายรุ าวกลางพุทธศตวรรษท่ี 7-8 ศึกษาจากสิง่ พิมพท์ เ่ี กย่ี วขอ้ ง 6.3.2. คัมภีร์คานธารีจากเมืองนิยะ (Niya Documents) อายุ ราวกลางพุทธศตวรรษท่ี 8-9 ศกึ ษาจากสิ่งพมิ พ์ท่เี ก่ยี วขอ้ ง 6.4. คมั ภีรภ์ าษาสันสกฤตและภาษาทอ้ งถน่ิ ในเอเชียกลาง 6.4.1. คมั ภรี ภ์ าษาสนั สกฤตทพ่ี บในเอเชยี กลาง ทงั้ ทพี่ บในตอน เหนอื ได้แก่ ทเี่ มอื งกชุ า (Kucha) คิซิล (Kizil, izil) และเทอรฟ์ าน (Turfan) และที่พบในทางตอนใตข้ องเอเชยี กลาง คอื ทโ่ี ขตาน (Khotan) อายุราวกลาง พทุ ธศตวรรษท่ี 9-14 ศกึ ษาจากทปี่ รวิ รรตอกั ษรเปน็ โรมนั ในชดุ Sanskrithand- schriften aus den Turfanfunden (ปัจจบุ นั ทาำ ออกมาได้ 11 เล่มแล้ว) และ สงิ่ พมิ พท์ เ่ี กยี่ วข้อง 32 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org 6.4.2. คัมภีร์ภาษาโขตานโบราณ อายุราวปลายพทุ ธศตวรรษท่ี 10 ถงึ ราวกลางพุทธศตวรรษท่ี 18 ศกึ ษาจากสิ่งพมิ พ์ทีเ่ ก่ยี วข้อง จ) ขอ้ จา� กัดของงานวจิ ัย แม้จะคาดหวังได้ว่าการประมวลรวมส่ิงท่ีค้นพบจากงานวิจัยเหล่าน้ีจะ ใหภ้ าพรวมของคาำ สอนในพระพทุ ธศาสนาทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ธรรมปฏบิ ตั แิ ละเกย่ี ว กับธรรมกายได้ในระดับหนึ่ง หากด้วยลักษณะเฉพาะตัวของงานวิจัยแต่ละ ช้ินดังกล่าว ภาพรวมของงานวิจัยนี้จึงยังมีข้อจำากัด ทั้งในเร่ืองขอบเขตพื้นท่ี ท่ีศึกษาที่ยังไม่ครอบคลุม ประเภทของหลักฐานท่ีศึกษาในแต่ละภูมิภาคซ่ึงมี ธรรมชาตแิ ตกตา่ งกนั ตลอดจนระดบั ความลกึ ในการศกึ ษาทไ่ี มเ่ ทา่ กนั ของงาน วจิ ยั แตล่ ะชน้ิ ยงั มคี มั ภรี อ์ กี จาำ นวนมากในทง้ั สองเขตพน้ื ทแี่ ละในดนิ แดนอน่ื ๆ ทพี่ ระพทุ ธศาสนาเคยเดนิ ทางเขา้ ไปถงึ ซง่ึ ยงั คงมกี ารคน้ พบเพมิ่ ขน้ึ เรอ่ื ยๆ รอ คอยการศึกษาของทีมงานวิจัยในอนาคต เชื่อว่าการศึกษาเพ่ิมเติมจากคัมภีร์ เหล่าน้ันจะมาช่วยเติมเต็มภาพรวมของร่องรอยธรรมกายในพระพุทธศาสนา ใหส้ มบรู ณ์ย่งิ ข้ึน ฉ) กฎเกณ ใ์ นการท�างานวิจยั โครงการวจิ ยั นี้ มกี ฎเกณฑใ์ นการทาำ งานวจิ ยั ทอี่ าจถอื เปน็ กลางรว่ มกนั ระหว่างงานวจิ ัยทุกชิ้น ดงั นี้ 1. เกณ ์ระบุร่องรอยของธรรมกายในคา� สอนดง้ั เดิม สำาหรับการอภิปรายผลในแง่ของความสอดคล้องกับวิชชาธรรมกาย อาจพจิ ารณาจากเกณฑท์ แ่ี สดงหลกั การของวชิ ชาธรรมกาย ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี บทที 1 บทนํา | 33
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ 1. สอนให้หยุดใจนิ่งทศ่ี นู ย์กลางกายในการปฏิบตั สิ มาธิภาวนา 2. แสดงความสำาคัญของศูนย์กลางกายต่อการเข้าถึงธรรมหรือการ รแู้ จ้งเหน็ จริงในธรรม 3. บ่งช้ถี ึงความมีอยู่ของกายภายใน หรือกายในกาย 4. กลา่ วถงึ ธรรมกายในความหมายของกายแหง่ การตรสั รธู้ รรม มคี วาม สัมพันธก์ บั การตรสั รูธ้ รรม หรอื เป็นเครือ่ งมือในการตรสั รู้ เชน่ ก. เป็นเหตุแห่งการตรัสรู้ธรรม ดังเช่นข้อความว่า “พระบรม โพธิสัตว์ เข้าถงึ ธรรมกาย จงึ ไดต้ รสั ร้เู ป็นพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า” ข. เปน็ ผลแหง่ การตรสั รธู้ รรม ดงั เชน่ ขอ้ ความวา่ “พระพทุ ธองค์ กำาจดั กเิ ลสได้หมดสนิ้ เหลอื ไว้แตเ่ พยี งธรรมกายอันเปน็ สาระทแี่ ทจ้ รงิ ” ฯลฯ 5. กล่าวถึงธรรมกายท่ีมีลักษณะมหาบุรุษ หรือท่ีมีความหมายชัดเจน ว่าเป็น “กาย” (body) หรอื มลี ักษณะคล้ายมนุษย์ เปน็ ต้น 6. กลา่ วถึงดวงธรรม ดวงสว่าง ดวงแกว้ ดวงใส ดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ ดวงดาว เป็นต้น ที่เกิดขึ้นภายในตัว อันเป็นประสบการณ์ท่ีเกิดจากการทำา สมาธิ 7. กล่าวถงึ พระพทุ ธเจ้าภายใน หรอื ธาตแุ ห่งความเปน็ พทุ ธะท่ีมอี ยใู่ น มนษุ ยท์ ุกคน 8. อ่ืนๆ ท่ีเห็นว่าสอดคล้องกับหลักการปฏิบัติธรรมวิชชาธรรมกาย โดยอาจเปรียบเทียบเนื้อหาคัมภีร์กับพระธรรมเทศนาของพระมงคลเทพมุนี 34 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org ที่รวบรวมไว้ หรือเปรียบเทียบกับ “ภาพรวมวิชชาธรรมกาย” ท่ีได้แสดงไว้ เปน็ ขอ้ มูลพ้ืนฐานในบทท่ี 2 2. เกณ ์ในการค�านวณปพุทธศักราชและพุทธศตวรรษจากแหล่ง อ้างองิ สากล เนอ่ื งจากงานวจิ ยั น้ี อาศยั ขอ้ มลู ทง้ั ในภาษาไทยและภาษาตา่ งประเทศ ซงึ่ กลา่ วถงึ อายคุ มั ภรี ห์ รอื กาำ หนดเวลาทางประวตั ศิ าสตรเ์ ปน็ พ.ศ.บา้ ง ค.ศ.บา้ ง และพทุ ธศตวรรษบา้ ง ครสิ ตศ์ ตวรรษบ้าง จงึ ต้องมีการเทียบปี ค.ศ. เป็น พ.ศ. และครสิ ตศ์ ตวรรษเปน็ พทุ ธศตวรรษ เพอ่ื ใหส้ ามารถประมวลเหตกุ ารณไ์ ดต้ าม ลำาดับเวลา ในกรณีทวั่ ไป งานวิจัยนอี้ าศยั การเทยี บเวลาตามหลกั การตอ่ ไปน้ี 1. ใช้ระบบปี พ.ศ. ของไทยในปัจจบุ นั เป็นหลกั 2. ในการอา้ งองิ งานวจิ ยั ทรี่ ะบปุ ี ค.ศ. จากแหลง่ ขอ้ มลู ดง้ั เดมิ ทร่ี ะบเุ ปน็ ค.ศ. มาตั้งแต่ต้น เช่นการตรวจวัดอายุคัมภีร์ หรือการระบุวันเวลาที่ค้นพบ คมั ภีร์โดยนักวิชาการนานาชาติ จะเทยี บเปน็ พ.ศ. โดยบวก 54324 3. ในการอา้ งองิ งานทรี่ ะบเุ วลาเปน็ ครสิ ตศ์ ตวรรษทรี่ ะบไุ วอ้ ยา่ งกวา้ งๆ เช่น ครสิ ต์ศตวรรษที่ 4 จะแปลงเป็นพทุ ธศตวรรษโดยครอบคลุมช่วงเวลาที่ 24 แมว้ า่ ในงานวชิ าการตะวนั ตกสว่ นใหญจ่ ะเทยี บหาปี พ.ศ.โดยการใชส้ ว่ นตา่ งจาก ค.ศ. ราว 400 หรอื 480 ปี (ซง่ึ นกั วชิ าการแตล่ ะทา่ นกน็ าำ เสนอตวั เลขทแี่ ตกตา่ งกนั และยงั ไมเ่ ปน็ ทย่ี ตุ จิ นบดั น)้ี ตามทเ่ี ขา เขา้ ใจวา่ เปน็ ชว่ งเวลาของพทุ ธปรนิ พิ พานกต็ าม แตห่ ากนาำ ระบบดงั กลา่ วมาใชก้ บั คนไทย จะเกดิ การ รบั รู้ช่วงเวลาท่ผี ิดพลาดคลาดเคลื่อน เพราะปฏทิ ินของไทยกาำ หนด พ.ศ. ทีต่ ่างจาก ค.ศ. เป็นระยะ เวลา 543 ปีมานานแล้ว บทที 1 บทนาํ | 35
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ เปน็ ไปได้ต้งั แตต่ ้นถงึ ปลายของครสิ ต์ศตวรรษทร่ี ะบุ ส่วนที่ระบุอย่างเจาะจง เช่น ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 8 จะแปลงเป็น พทุ ธศตวรรษโดยบวกเพ่มิ 5 ศตวรรษครึง่ ดังตัวอย่างในตารางที่ 1 ข้างลา่ งน้ี ตารางท่ี 1 ตวั อยา่ งการเทียบปี พ.ศ. หรอื พุทธศตวรรษ จาก ค.ศ. หรอื ครสิ ต์ศตวรรษ ปี ค.ศ. หรือคริสต์ศักราช เทยี บเป็น พ.ศ. หรือพุทธศักราช 50-200 . ./ .D. พ.ศ. 593-743 4th c . ./ .D. กลางพุทธศตวรรษท่ี 9-10 4th-5th . ./ .D. กลางพุทธศตวรรษท่ี 9-11 29 B. ./B. . . พ.ศ. 514 1st c B. ./B. . . กลางพุทธศตวรรษที่ 5-6 beginning of 1st c B. ./B. . . กลางพุทธศตวรรษท่ี 5 4. ขอ้ ยกเวน้ ในกรณีของการอ้างองิ แหล่งขอ้ มูลท่ีระบุเวลาเป็น ค.ศ. หรอื ครสิ ตศ์ ตวรรษทเ่ี ปน็ ผลจากการเทยี บเวลาจากแหลง่ ขอ้ มลู เดมิ ทเ่ี ปน็ พ.ศ. หรอื พทุ ธศตวรรษไป จะไมเ่ ทยี บเวลากลบั ดว้ ยระบบทก่ี ลา่ วขา้ งตน้ แตใ่ ช้ พ.ศ. หรอื พทุ ธศตวรรษของแหลง่ ขอ้ มลู เดมิ เปน็ หลกั เพอื่ ปองกนั ความผดิ พลาด เชน่ ในการระบปุ ี พ.ศ. ทบี่ นั ทกึ พระไตรปฎิ กบาลเี ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรเปน็ ครงั้ แรก คอลลนิ ส์ (Collins 1991: 95) อาศยั ขอ้ มูลจากคัมภีรท์ ีปวงศ์และมหาวงศ์ ซง่ึ เมอ่ื รวมระยะเวลาของรชั สมยั ตา่ งๆ ตามทรี่ ะบไุ วแ้ ลว้ รชั กาลของพระเจา้ วฏั ฏ คามณอิ ภัยจะอยรู่ าว พ.ศ. 454-466 ซ่ึงเขาเทียบเปน็ ค.ศ. โดยหักลบ 483 ปี 36 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org ตามที่นิยมกนั ในงานวิชาการตะวันตก25 ได้เป็น 17-29 B. . ดังนัน้ ในงานวจิ ยั น้ี แทนทจี่ ะบวกตวั เลข 543 เขา้ ไปในปี ค.ศ. ทเี่ ขาระบุไว้ตามวิธีขา้ งต้น (ซง่ึ จะกลายเปน็ พ.ศ. 514-526 ผดิ ไปจากความเปน็ จริง) จึงใช้ขอ้ มูลจากคมั ภีร์ ตน้ แหลง่ เองคือ พ.ศ. 454-466 อยา่ งไรกด็ ี ในการประเมนิ อายคุ มั ภรี ท์ คี่ น้ พบในงานวจิ ยั นย้ี งั ตอ้ งถอื เอา อายุท่ีนักวิชาการผู้ตรวจชำาระคัมภีร์น้ันๆ หรือผู้ท่ีได้รับมอบหมายให้ทำาการ วิเคราะห์อายุคัมภีร์บนพื้นฐานของรูปแบบอักขระ (Palaeographic back- ground) ในคัมภรี น์ ้ันๆ ระบุไวเ้ ป็นหลัก แตเ่ นอื่ งจากนกั วิชาการแต่ละทา่ นมี วธิ กี ารและอธั ยาศยั ในการประเมินอายุคัมภีร์ไมเ่ หมือนกนั จึงเปน็ ไปไดท้ กี่ าร ประเมินอายุของคัมภีร์ชุดเดียวกันหรือช้ินเดียวกันจะแตกต่างกัน หรืออาจดู ขัดแย้งกันได้บ้าง ดังน้ัน ในการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูล หรือรับทราบผลการ วิจัยจึงต้องคำานึงถึงความจริงข้อนี้เสมอว่า อายุคัมภีร์ที่แสดงไว้นั้นเป็นเพียง ตัวเลขโดยประมาณเท่านน้ั 1. . การรายงานผลงานวจิ ยั การรายงานผลงานวจิ ยั ฉบบั นี้ ประมวลผลมาจากงานวจิ ยั ยอ่ ยหลายชน้ิ ดังกล่าวมาแล้ว โดยนำามาเฉพาะเนื้อหาท่ีเก่ียวข้องกับภาพรวมของโครงการ วจิ ัยตามประเด็นปัญหาและวตั ถปุ ระสงคท์ ่ีกลา่ วไวข้ า้ งตน้ เทา่ น้ัน (ดู 1.2 และ 1.5ก) สาำ หรบั สว่ นอนื่ ทเ่ี ปน็ ขอ้ มลู หรอื ลกั ษณะเฉพาะของงานวจิ ยั ยอ่ ยแตล่ ะชนิ้ 25 ตวั อย่างงานวชิ าการทอ่ี ภิปรายเรอื่ งวันเวลาของพระพทุ ธองค์ เชน่ Bechert 1982, Cousins 1996 บทที 1 บทนํา | 37
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ทไี่ มเ่ กย่ี วขอ้ งกบั ภาพรวมของโครงการวจิ ยั โดยตรงจะศกึ ษาไดจ้ ากรายงานการ วจิ ยั ยอ่ ยแตล่ ะชน้ิ ซงึ่ จะจดั พมิ พเ์ ปน็ ไฟลอ์ เิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (PDF) ใหศ้ กึ ษาไดจ้ าก เว็บไซตข์ องสถาบันวิจัยนานาชาตธิ รรมชัย (DIRI) วิธกี ารรวบรวมและเรียบเรยี งผลการวจิ ัย การรวบรวมและเรียบเรียงผลการวิจัยจากงานวิจัยย่อยหลายช้ิน ประกอบด้วยวิธีการต่างๆ หลายวธิ ดี ังนี้ 1. การยกเน้ือหา หลักฐาน ข้ออภิปราย และบทสรุปมาจากงานวิจัย ย่อยแต่ละช้ินโดยตรง ในกรณที ่เี นอื้ หาเหล่านน้ั สามารถนำามาใชไ้ ดท้ ้ังหมด ใน การยกขอ้ ความและเนอื้ หามาดงั กลา่ วจะไมม่ กี ารใสเ่ ครอ่ื งหมายคาำ พดู หรอื ทาำ ย่อหน้าแบบการอ้างอิงเอกสารทุติยภูมิอ่ืนๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในการรวม ผลงานวิจัย อย่างไรก็ดี จะมีข้อความอ้างอิงไว้ให้ทราบว่าเน้ือหาที่กำาลัง กล่าวถึงนำามาจากงานวิจัยย่อยชิ้นใด เพื่อผู้อ่านจะได้ติดตามรายละเอียด เพม่ิ เตมิ และเนอ้ื หาอนื่ ๆ ได้จากรายงานการวจิ ัยยอ่ ยน้นั ๆ 2. ในบางตอนเป็นการประมวลสรุปเนื้อหามาจากงานวิจัยย่อยแต่ละ ช้ิน หรือยกมาเฉพาะหลักฐานหรือข้ออภิปรายท่ีเก่ียวข้องตามที่ผู้เรียบเรียง เหน็ วา่ เหมาะสมและมีความเก่ยี วข้องกบั ประเดน็ ทีก่ าำ ลังกลา่ วถึง ณ ขณะน้นั 3. ในกรณที ี่งานวิจัยยอ่ ยหลายช้นิ ศกึ ษาเรื่องเดยี วกัน มปี ระเดน็ ซ้าำ กัน หรอื ศกึ ษาคมั ภรี เ์ ดยี วกนั เนอ้ื หาหรอื ประเดน็ ทซี่ า้ำ กนั นนั้ จะถกู นาำ รวมเขา้ ดว้ ย กันเพื่อตัดปัญหาของความซ้ำาซ้อน ในกรณีดังกล่าว จะอ้างอิงไว้ให้ทราบว่า ประเด็นทก่ี ลา่ วถงึ นน้ั ๆ นาำ มาจากงานวจิ ัยยอ่ ยชิ้นใดบ้าง 38 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org 4. ในบางตอนอาจมีการปรับปรุงสำานวนแปล หรือปรับถ้อยคำาจาก ตน้ ฉบบั งานวจิ ยั ยอ่ ยบา้ ง ตามทผี่ เู้ รยี บเรยี งเหน็ วา่ จะทาำ ใหเ้ นอ้ื หาของงานวจิ ยั มี ความถกู ตอ้ ง แมน่ ยาำ หรอื ตรงประเดน็ มากยง่ิ ขน้ึ รวมทง้ั การหาหลกั ฐานอา้ งองิ มาประกอบเพ่ิมเตมิ ตามความเหมาะสม ท้ังนขี้ ึ้นกบั ดลุ ยพนิ จิ ของผเู้ รยี บเรียง รปู แบบการน�าเสนอผลการวิจัย การนาำ เสนอผลการวิจยั ประกอบดว้ ยเน้ือหา รปู ภาพ ตาราง แผนผงั แผนท่ี ซึ่งมีท้ังท่ีนำามาจากงานวิจัยย่อยแต่ละช้ินและท่ีผู้เรียบเรียงหามา เพ่มิ เตมิ ตามความจำาเปน็ การนำาเสนอผลการวจิ ยั ในฉบบั นี้ แบง่ เนอื้ หาเป็น 5 บท ไดแ้ ก่ 1. บทนาำ ประกอบดว้ ย - ความเปน็ มาของงานวิจัย - ประเด็นปัญหาและวัตถุประสงคข์ องงานวิจัย - สิ่งทคี่ าดวา่ จะได้รบั - นิยามศัพท์ - ระเบียบวิธวี ิจยั - การรายงานผลการวจิ ัย 2. ขอ้ มลู พน้ื ฐาน เพอ่ื ประโยชนใ์ นการศกึ ษาเปรยี บเทยี บ การวเิ คราะห์ และการอภิปรายสิง่ ทีค่ น้ พบในการวจิ ัย ไดแ้ ก่ - ชีวประวตั ิพระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร) ผู้คน้ พบวชิ ชาธรรมกาย - ภาพรวมหลักธรรมปฏิบัติของวชิ ชาธรรมกาย บทที 1 บทนํา | 39
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีร์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ - พระพุทธศาสนาในประเทศไทยก่อนและในช่วงชีวิตของพระมงคล เทพมุนี - งานวิจัยเก่ยี วกับหลกั ฐานธรรมกายในอดตี - การคน้ พบคมั ภรี เ์ กา่ แกใ่ นพระพทุ ธศาสนานอกเหนอื จากภาษาบาลี - พระพทุ ธศาสนาในคนั ธาระและเอเชยี กลาง กบั การเผยแผพ่ ระพทุ ธ ศาสนาในประเทศจีนยุคแรกเริ่ม 3. คนั ธาระ เอเชียกลาง และประเทศจนี แสดงผลของการศกึ ษาคัมภรี ์ ทีพ่ บในคนั ธาระ เอเชียกลาง และประเทศจีน 4. เอเชียอาคเนย์ แสดงผลของการศึกษาเนื้อหาคัมภีร์จากเอเชีย อาคเนย์ 5. สรุปและอภปิ รายผล 40 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org บทที 2ขอ้ มูลพนื้ ฐาน บทที 2 ขอ้ มูลพ้นื ฐาน | 41
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ก่อนจะไปถึงร่องรอยธรรมกายท่ีพบในคัมภีร์ บทท่ีสองนำาเสนอข้อมูล เบื้องต้นที่เป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์และอภิปรายหลักฐานจากคัมภีร์ เหลา่ นน้ั เรม่ิ ต้นจากชีวประวัตขิ องพระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร) ผคู้ น้ พบ วิชชาธรรมกาย ภาพรวมหลักการของวิชชาธรรมกาย พระพุทธศาสนาใน ประเทศไทยก่อนและในช่วงชีวิตของพระมงคลเทพมุนี โดยเฉพาะในส่วนที่ เกยี่ วกับธรรมปฏบิ ตั ิ งานวจิ ัยในอดีตเกยี่ วกับธรรมกาย การค้นพบคมั ภีรพ์ ุทธ เกา่ แกใ่ นเขตแดนของคนั ธาระและเอเชยี กลาง และพระพทุ ธศาสนาในคนั ธาระ และเอเชียกลางกับการเผยแผ่ไปสู่ประเทศจนี 2.1. พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนฺทสโร) ผู้คน้ พบวิชชาธรรมกาย ประวัติชีวิตของพระมงคลเทพมุนี มีปรากฏในท่ีต่างๆ หลายฉบับ1 มรี ายละเอยี ดมากนอ้ ยตา่ งกนั อาจประมวลสรปุ เปน็ ชวี ประวตั เิ บอ้ื งตน้ ไดด้ งั นี้ 1 ฉบับทใ่ี ชเ้ ป็นหลกั ในการประมวลสรปุ ชีวประวตั ิของท่านในงานวจิ ยั น้ี ได้แก่ 1) อัตตชีวประวตั ิ พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร) 2) ชวี ประวตั พิ ระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร) หลวงพอ่ วดั ปากนาำ้ พระนพิ นธข์ องสมเดจ็ พระอรยิ วงศา คตญาณ (ปนุ่ ปุณณสริ ิมหาเถระ) สมเดจ็ พระสงั ฆราชองค์ที่ 17 วดั พระเชตุพนวมิ ลมังคลาราม สมยั ทรงสมณศกั ดิ์เป็นพระธรรมวโรดม 3) ชีวประวตั ิโดยสังเขป ของ พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงพ่อวดั ปากน้าำ รวบรวมและเรยี บเรยี งโดย พระภาวนาโกศลเถร (วีระ คณตุ ฺตโม) 4) ชีวประวตั ิหลวงพ่อพระภาวนาโกศลเถร (หลวงพ่อวัดปากนา้ำ สด จนฺทสโร) โดย วิชยั วุฑฒสลิ ป. ในหนงั สอื นวกะอนุสรณ์ วดั ปากนา้ำ ภาษเี จริญ ปี พ.ศ. 2497 42 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org 2.1.1. ชาตภิ มู ิและวยั เดก็ พระมงคลเทพมนุ ี มนี ามเดมิ วา่ สด มแี ก้วนอ้ ย เกดิ เม่ือวันศกุ ร์ แรม 6 ค่าำ เดอื น 11 ปวี อก ตรงกบั วนั ที่ 10 ตลุ าคม พ.ศ. 2427 เป็นบตุ รของคณุ พ่อ เงนิ และคณุ แมส่ ดุ ใจ มแี กว้ นอ้ ย ซงึ่ ประกอบอาชพี คา้ ขา้ ว ณ อาำ เภอสองพน่ี อ้ ง จงั หวดั สุพรรณบรุ ี ทา่ นเปน็ ลกู คนท่ี 2 ในจาำ นวน 5 คน มพี ่สี าว 1 คนและนอ้ ง ชาย 3 คน ท่านช่วยเหลือการงานที่บ้านต้ังแต่เยาว์วัย เมื่ออายุราว 9 ปี จึงได้ เข้าเรียนหนังสือที่วัด ตามประเพณีของชาวไทยสมัยน้ัน ท่านตั้งใจเล่าเรียน จนสามารถอ่านเขียนหนังสือภาษาไทยและอักษรขอมได้คล่องแคล่ว ซ่ึงนับ เป็นการสำาเร็จการศึกษาของเด็กไทยสมัยน้ัน บทเรียนสุดท้ายคือการอ่าน หนังสือพระมาลัยซึ่งเขียนเป็นอักษรขอม อ่านกันคนละหลายรอบจนกว่าจะ ไดอ้ อกจากวดั ขณะน้นั ท่านมีอายรุ าว 13 ปี หลังจากสำาเร็จการศึกษา ท่านกลับมาช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพ คา้ ขา้ ว จนอายไุ ด้ 14 ปเี ศษ บิดาของท่านกถ็ งึ แกก่ รรม ทา่ นเปน็ ลกู ชายคนโต จึงต้องเป็นผู้หาเล้ียงครอบครัวแทน โดยซ้ือข้าวบรรทุกเรือต่อล่องไปขาย ให้กับโรงสีในกรุงเทพฯและท่ีนครชัยศรี ท่านเป็นคนทำาอะไรทำาจริง ขยัน ขนั แข็ง ท้ังยังมคี วามเดด็ ขาดและฉลาดในการปกครอง จึงเป็นทรี่ กั และนบั ถอื ของลกู เรอื กจิ การคา้ ขา้ วทที่ าำ อยกู่ เ็ จรญิ ขน้ึ โดยลาำ ดบั จนเปน็ ทร่ี จู้ กั ในยคุ นน้ั วา่ เป็นผมู้ ีฐานะดีคนหน่ึง บทที 2 ขอ้ มลู พืน้ ฐาน | 43
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ 2.1.2. ปรารภการบวช เม่ืออายุได้ 19 ปีเศษ มีเหตุการณ์ท่ีทำาให้ท่านคิดคำานึงถึงความไม่มี สาระในการหาเลย้ี งชพี เกดิ ความสงั เวชสลดใจและคดิ จะออกบวชเพอื่ แสวงหา หนทางพ้นทุกข์ แต่ยังไม่อาจวางภาระในการดูแลครอบครัวได้ ท่านจึงจุด ธูปเทียนบูชาพระและอธิษฐานว่า “ขออย่าให้ตายเสียก่อนเลย ขอให้ได้บวช และหากบวชแล้วจะไม่สึกจนตลอดชีวิต” จากนั้นท่านจึงขะมักเขม้นทำางาน ยิ่งข้ึน จนรวบรวมทรัพย์ได้จำานวนหน่ึงซึ่งคะเนว่ามากพอที่มารดาของท่าน จะใช้จ่ายเลี้ยงชีพไปได้จนตลอดชีวิตแล้ว ท่านจึงออกบวชเป็นพระภิกษุใน พระพทุ ธศาสนา ข้างขนึ้ เดือน 8 พุทธศักราช 2449 ทา่ นอายยุ า่ งเขา้ 22 ปี เมือ่ ขนข้าว ขนึ้ เรอื จนเตม็ ลาำ แลว้ ทา่ นจงึ มอบหมายใหล้ กู จา้ งนาำ ไปขายทโี่ รงสใี นกรงุ เทพฯ แทน ส่วนตัวท่านเองเขา้ ไปเปน็ นาคอยทู่ ่วี ดั เพื่อท่องคำาขอบรรพชาอุปสมบท และเตรยี มตวั บวช ทา่ นเรม่ิ ศกึ ษาพระวินัยไปดว้ ยพรอ้ มกนั เพ่ือทว่ี ่าเมอ่ื บวช แลว้ จะไดป้ ฏบิ ตั ิตามพระธรรมวนิ ัยอยา่ งถกู ต้องตั้งแตต่ ้น เม่ือใกลจ้ ะเข้าพรรษา ท่านจงึ เข้าบรรพชาอุปสมบท ณ วดั สองพี่นอ้ ง อาำ เภอสองพน่ี ้อง จงั หวัดสุพรรณบรุ ี โดยมี พระอาจารย์ดี วัดประตูสาร เป็น พระอุปัชฌาย์ พระครวู นิ ยานโุ ยค (เหน่ยี ง อินฺทโชโต) วัดสองพนี่ อ้ ง เปน็ พระ กรรมวาจาจารย์ และพระอาจารยโ์ หน่ง อินฺทสวุ ณโฺ ณ วัดสองพ่นี อ้ งเปน็ พระ อนุสาวนาจารย์ ไดฉ้ ายาว่า จนทฺ สโร 44 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org 2.1. . การศึกษา ายคนั ถธุระ นับแต่วันแรกของการบวช พระภิกษุสดศกึ ษาทั้งภาคปรยิ ัติและปฏบิ ตั ิ ควบคู่กัน ในฝ่ายปริยัติท่านท่องบทสวดมนต์จบทั้งเล่มรวมท้ังพระปาฏิโมกข์ ด้วยภายในพรรษาแรก ระหว่างท่ีท่องบทสวดมนต์น้ันท่านสะดุดใจกับคำาว่า “อวิชฺชาปจฺจยา” เม่ือไปสอบถามความหมายจากพระภิกษุภายในวัดก็ได้ คาำ ตอบว่า ถ้าอยากรตู้ ้องไปเรียนทกี่ รงุ เทพฯ เมื่อเวลาผ่านไปราว 7 เดือนเศษ หลงั จากการอปุ สมบททา่ นจงึ เดนิ ทางมาจาำ พรรษาทวี่ ดั พระเชตพุ นฯ เพอื่ ศกึ ษา เล่าเรียนพระธรรมวนิ ัย ในยคุ นนั้ ยงั ไมม่ กี ารแปลพระไตรปฎิ กเปน็ ภาษาไทยอยา่ งเปน็ เรอ่ื งเปน็ ราว แมเ้ นอ้ื หาบางสว่ นจะเคยมกี ารแปลออกมาบา้ งตงั้ แตย่ คุ กรงุ ศรอี ยธุ ยาแลว้ แตม่ ไิ ดแ้ พร่หลาย2 ผ้สู นใจศกึ ษาพระธรรมวินัยจึงตอ้ งเรียนภาษาบาลี โดยเร่ิม ตน้ จากการทอ่ งสตู รเรยี นมลู กจั จายน3์ จบไวยากรณแ์ ลว้ จงึ เรมิ่ แปลคมั ภรี ต์ าม 2 การแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทยอย่างเป็นเร่ืองเป็นราวและครบถ้วนเริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2483 โดยดำาริของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถระ) วดั สุทศั น เทพวราราม เป็นโครงการในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวอานันทมหดิ ล มี พระมหาเถระและพระเถระผู้ทรงวิทยฐานะร่วมกันจัดทำาเป็นคณะ แล้วเสร็จและจัดพิมพ์เป็นเล่ม คร้ังแรกทนั พิธฉี ลอง 25 พทุ ธศตวรรษในปี พ.ศ. 2500 ในรชั กาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ปัจจบุ ัน 3 มูลกจั จายน์ มีช่ือเตม็ วา่ คมั ภีรก์ จั จายนมูลปกรณ์ เป็นแบบแผนบาลีไวยากรณท์ ี่เรียบเรยี งโดยพระ เถระชาวไทยผู้ฉลาดในบาลีไวยากรณ์โดยเก็บสาระมาจากคัมภีร์กัจจายนวยากรณ์ดั้งเดิมมาเรียบ เรียงใหม่ ใช้เป็นแบบในการศึกษาบาลีไวยากรณ์ในสมัยก่อนมายาวนาน ก่อนท่ีจะปรับเปลี่ยนเป็น หลกั สตู รบาลีไวยากรณแ์ บบใหมใ่ นปจั จบุ นั ซึง่ ไดป้ รับตาำ ราให้เขา้ ใจงา่ ยขึ้น บทที 2 ขอ้ มลู พน้ื ฐาน | 45
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ทน่ี ยิ มกนั คอื คมั ภรี พ์ ระธรรมบท4 มงคลทปี นี และสารสงั คหะ5 ทา่ นกเ็ ลา่ เรยี น ตามทนี่ ยิ มกนั ในสมยั นนั้ จนมคี วามชาำ นาญและสอนผอู้ นื่ ได้ เฉพาะมลู กจั จายน์ ทา่ นได้เรยี นถึง 3 รอบ การเรียนแปลคัมภีร์ในยุคน้ันยังนิยมศึกษาจากคัมภีร์ใบลานท่ีจารด้วย อักษรขอม6 ผู้เรียนเลือกบทเรียนตามความสมัครใจและต้องเดินทางไปเรียน ตามวดั ตา่ งๆ ท่กี ุฏิของพระอาจารย์ ผู้ทใี่ ฝ่ศกึ ษาอาจเรยี นเพม่ิ เตมิ ในบทเรยี น ของผู้อืน่ ไปด้วยกไ็ ด้ ซ่ึงนอกจากจะนาำ คมั ภรี ท์ ต่ี นเรียนติดตัวไปแล้วยังต้องนาำ คัมภีร์อ่ืนๆ ติดตัวไปเพ่ือจะได้ฟังบทเรียนของคนอ่ืนด้วย พระภิกษุสดก็เป็น เช่นนั้น ท่านแบกคัมภีร์ใบลานไปเรียนทีละหลายผูก ฉันเช้าเสร็จแล้วข้าม ฟากไปเรียนท่ีวัดอรุณราชวราราม กลับมาฉันเพลที่วัดแล้วไปเรียนท่ีวัดมหา ธาตุฯ ตกเย็นไปเรยี นที่วัดสุทัศน์ฯ บ้าง วัดสามปลืม้ บา้ ง และตอนค่าำ เรียนท่ี วดั พระเชตพุ นฯ บา้ ง สลบั กนั ไป ทา่ นตง้ั ใจเลา่ เรยี นโดยมเี ปาหมายวา่ จะเรยี น จนกวา่ มคี วามรเู้ พยี งพอทจ่ี ะแปลคมั ภรี ใ์ บลานมหาสตปิ ฏั ฐานลานยาวไดจ้ งึ จะ หยุดเล่าเรยี นคันถธุระ 4 หมายถึงพระคัมภีร์ ธมฺมปทฏฺกถา อรรถกถาภาษาบาลีของคัมภีร์ธรรมบทในขุททกนิกาย บ้ันต้น ประกอบด้วย ภาคท่ี 1-4 และบ้ันปลาย ภาคที่ 5-8 ซ่ึงต่อมาได้ใช้เป็นบทเรียนวิชาแปลบาลีของ เปรยี ญธรรมประโยค 1-2 และ 3 ตามลาำ ดบั 5 หมายถึงคัมภีร์มงฺคลตฺถทีปนีโดยพระสิริมังคลาจารย์ และคัมภีร์สารตฺถสงฺคห โดยพระนันทาจารย์ แต่งในเมืองเชียงใหม่ท้ังคู่ ต่อมามงฺคลตฺถทีปนีได้มาเป็นบทเรียนวิชาแปลของเปรียญธรรมประโยค 4 จนถงึ ปจั จบุ นั 6 แม้ว่าในปี พ.ศ. 2431-2436 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการคัด ลอกตัวอักษรขอมในคัมภีร์ใบลานพระไตรปิฎกบาลีออกมาเป็นอักษรไทยและพิมพ์เป็นหนังสือแล้ว กต็ าม แตไ่ ดถ้ วายไว้เฉพาะพระอารามหลวง และมอบใหก้ บั สถาบันการศกึ ษาที่มีชอ่ื เสียงในประเทศ ต่างๆ ทวั่ โลกเทา่ นน้ั มไิ ดเ้ ผยแพรท่ ่วั ไปในประเทศไทย การศึกษาของพระภกิ ษสุ ามเณรส่วนใหญใ่ น สมัยนน้ั จึงยงั อาศัยใบลานและสมุดข่อยอยา่ งที่เปน็ มาแตเ่ ดมิ 46 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ท่านเดินทางไปศึกษาอย่างนี้อยู่หลายปี ต่อมาจึงต้ังโรงเรียนขึ้นที่วัด พระเชตพุ นฯ โดยใหเ้ รยี นทก่ี ฏุ ขิ องทา่ น ในสมยั นน้ั โรงเรยี นในวดั พระเชตพุ นฯ มีหลายแห่ง ใครมีกำาลังก็ต้ังได้ ท่านนิมนต์พระมหาเปรียญมาสอนโดยจัดหา นิตยภัตถวายเอง มีภิกษุสามเณรมาศึกษาสิบกว่ารูป ท่านก็ศึกษาด้วยเพ่ือ ทบทวนความรู้ ในภายหลังเม่ือทางคณะสงฆ์จัดหลักสูตรการศึกษากลาง จึง ไดย้ กเลิกโรงเรยี นไป และทา่ นก็ไดเ้ ขา้ ศกึ ษาจนเข้าใจในหลักสูตรใหมน่ ้ันดว้ ย เชน่ กนั 2.1.4. การศึกษา ายวปิ สสนาธรุ ะ ในขณะท่ที า่ นขวนขวายศึกษาพระปรยิ ัตธิ รรมอยู่น้ัน ธรรมปฏบิ ัตกิ ลบั ดจู ะเปน็ สงิ่ ทพี่ ระภกิ ษสุ ดใหค้ วามสาำ คญั เปน็ พเิ ศษ ตลอดเวลาทศี่ กึ ษาคนั ถธรุ ะ อยนู่ นั้ ทา่ นฝกธรรมปฏบิ ตั ไิ ปดว้ ยมไิ ดข้ าด โดยเรม่ิ ศกึ ษาจากพระอาจารยโ์ หนง่ อินฺทสุวณโฺ ณ ผูเ้ ป็นอนุสาวนาจารย์ตง้ั แตว่ ันแรกทบี่ วช และรุ่งขน้ึ ได้เรยี นจาก หลวงพ่อเนยี ม วดั น้อย จงั หวัดสพุ รรณบรุ ี ผูเ้ ป็นครขู องพระอาจารยโ์ หน่งอีก ดว้ ย ทั้งสองรปู เปน็ ที่ยกย่องกนั ว่าเป็นพระสปุ ฏิปันโนผู้ทรงวิชาสำาคญั เม่ือมาเรียนคันถธุระท่ีกรุงเทพฯ ท่านยังปฏิบัติตามแบบของพระ อาจารย์โหน่งเรือ่ ยมา ต่อมาท่านได้ศึกษากบั พระสังวรานุวงศ์เถร (เอีย่ ม) วัด ราชสทิ ธาราม พระครญู าณวริ ตั ิ (โป) วัดพระเชตุพนฯ พระอาจารย์สงิ ห์ วดั ละครทาำ บางกอกนอ้ ย และยงั มพี ระอาจารย์ผู้ทรงคุณทา่ นอน่ื ๆ อีกหลายรูป7 7 ชีวประวัติฉบับที่เขียนโดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ กล่าวถึง พระมงคลทิพย์มุนี (มุ้ย) อดีต เจา้ อาวาสวดั จกั รวรรดฯิ และพระอาจารยป์ ลม้ื วดั เขาใหญ่ อ.ทา่ มะกา กาญจนบรุ ี ดว้ ย แตอ่ าจไมถ่ งึ กับทำาพธิ ฝี ากตัวเป็นศษิ ย์อย่างอีก 5 รูป เพราะไม่ปรากฏในชอ่ื อาจารยท์ ที่ ่านระบุว่าได้เรียนโดยตรง บทที 2 ขอ้ มูลพ้นื ฐาน | 47
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ล้วนเป็นพระอาจารย์ท่ีทรงคุณวิเศษในทางธรรมปฏิบัติ เป็นเยี่ยมทางปริยัติ งามท้ังศีลาจารวัตรและมีลูกศิษย์ลูกหามาก ท่านฝกธรรมปฏิบัติด้วยความ ตั้งใจจริงจนครูบาอาจารย์รับรองผลแห่งการปฏิบัติ พระครูญาณวิรัติและ พระอาจารย์สิงห์รับรองว่าได้ตามแบบของท่านและชักชวนให้อยู่ช่วยกันสอน ต่อไป แต่ตัวพระภิกษุสดเองยังรู้สึกว่าความรู้เท่าน้ียังไม่เพียงพอท่ีจะช่วยตน ใหพ้ ้นทุกข์ได้ จงึ มิได้รบั คาำ นิมนต์นั้น ขณะนน้ั ท่านได้ดวงใสประมาณเทา่ ฟอง ไขแ่ ดงของไก่ติดอย่ทู ี่ศนู ย์กลางกาย ในช่วงเริ่มต้นท่ีมาศึกษาเล่าเรียนในกรุงเทพฯ น้ัน ท่านยังได้ทดลอง ศึกษาทุกอย่างที่เป็นวิชาที่นิยมกันในสมัยนั้น8 เช่น โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ จนถงึ การเลน่ แรแ่ ปรธาตุ หงุ ปรอททกุ ชนดิ ทา่ นไมเ่ คยตาำ หนวิ ชิ าของใครวา่ เปน็ ของไมจ่ รงิ ชมวา่ เปน็ ของดที งั้ นน้ั และไดท้ ดลองทาำ ดทู กุ อยา่ งเพอื่ จะดวู า่ อะไร จะเปน็ ของจริงบา้ ง แตท่ า่ นไมต่ ิดใจในวิชาเหล่านน้ั ต่อมาท่านได้เลิกเด็ดขาด มอบตาำ ราให้คนอื่นไปหมด คงปฏบิ ัติแต่สมถและวิปสั สนากรรมฐานเท่านน้ั ในชีวประวัติของท่านมีกล่าวถึงการศึกษาหลักการปฏิบัติจากคัมภีร์ วิสุทธิมรรคด้วย แต่กล่าวไว้ไม่ตรงกันว่าศึกษาในช่วงเวลาใด ก่อนหรือหลัง จากทไี่ ดฝ้ กธรรมปฏบิ ตั กิ บั พระอาจารยต์ า่ งๆ อยา่ งไรกด็ ี ทา่ นศกึ ษาฝา่ ยปรยิ ตั ิ และปฏิบัติควบคู่กันไปจนถึงพรรษาท่ี 11 เมื่อเห็นว่ามีความชำานาญพอที่จะ 8 การศกึ ษาสมถวปิ ัสสนาในประเทศไทยและประเทศใกลเ้ คียงในสมัยน้นั สว่ นใหญจ่ ะแทรกเร่ืองของ วิชาอาคมไว้ดว้ ย บา้ งกเ็ ปน็ แนวรกั ษาพยาบาล บา้ งก็เป็นแนวปองกนั ตวั เป็นตน้ (พระญาณรกั ขิต 2479) พระวิปัสสนาจารย์ท่ีมีชื่อเสียงในสมัยก่อน จึงมักมีชื่อเสียงในวิชาเหล่าน้ีด้วยนอกเหนือจาก ความเชี่ยวชาญในพระกรรมฐาน เชน่ หลวงพ่อเนยี ม วดั นอ้ ย มีชือ่ เสียงเรื่องอยูย่ งคงกระพนั หลวงปู่ แสง วดั มณีชลขันธ์ (พระครูมหทิ ธิเมธาจารย์) มีชื่อเสียงในเรือ่ งล่องหนหายตวั ยน่ ระยะทาง เป็นต้น 48 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org แปลมหาสตปิ ัฏฐานลานยาวไดด้ งั ทต่ี ้ังใจแลว้ จงึ หยดุ เลา่ เรียนคนั ถธรุ ะเพ่อื มงุ่ วปิ ัสสนาธุระเพียงอยา่ งเดียว 2.1.5. ค้นพบวชิ ชาธรรมกาย ในพรรษาท่ี 12 ตรงกับปี พ.ศ. 2460 ทา่ นระลึกถึงพระคณุ ของทา่ น เจา้ อาวาสวัดโบสถ์ (บน) บางคเู วยี ง นนทบรุ ี ท่ีเคยถวายหนงั สือมลู กจั จายน์ และพระธรรมบทใหเ้ ลา่ เรียน ทา่ นจึงกราบลาทา่ นเจ้าอาวาสวดั พระเชตพุ นฯ เดินทางไปจำาพรรษาที่วัดโบสถ์ เพ่ือปรารภความเพียรให้ต่อเน่ือง ท้ังจะได้ แสดงธรรมใหพ้ ระภกิ ษสุ ามเณรและญาตโิ ยมฟงั เป็นการตอบแทนอปุ การคุณ เม่ือถงึ วนั เพญ็ เดอื น 10 ท่านหวนระลึกขึน้ มาวา่ ตนเองได้ปฏญิ าณตน ว่าจะบวชตลอดชวี ติ มาตง้ั แตอ่ ายุ 19 ปี นับมาถึงเวลานก้ี ็ยา่ งเขา้ 15 พรรษา แลว้ แตย่ งั ไมไ่ ดบ้ รรลขุ องจรงิ ทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงรเู้ หน็ เลย สมควรแลว้ ทจ่ี ะตอ้ ง กระทาำ อยา่ งจรงิ จงั คดิ ดงั นแ้ี ลว้ ทา่ นจงึ ปรารภการเจรญิ สมาธภิ าวนาอยา่ งเอา ชวี ิตเปน็ เดมิ พัน ดงั ทบ่ี ันทึกไว้ในอัตตชวี ประวัติว่า เริ่มเขา้ โรงอโุ บสถต้ังแตเ่ วลาเย็นตงั้ สัจจาธิษฐานแนน่ อน ลงไปว่าถ้าเรานั่งลงไปคร้ังน้ีไม่เห็นธรรมท่ีพระพุทธเจ้า ตอ้ งการ เป็นอนั ไม่ลุกจากท่นี ี้จนหมดชวี ิต เมื่อตัง้ จิตมนั่ ลงไป แล้วก็เร่ิมปรารภน่ัง จึงได้แสดงความอ้อนวอนแด่พระพุทธเจ้า ว่า ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดข้าพระพุทธเจ้า ทรง ประทานธรรมทพ่ี ระองคไ์ ดท้ รงตรสั รอู้ ยา่ งนอ้ ยทส่ี ดุ แลงา่ ยทส่ี ดุ ท่ีพระองค์ได้ทรงรู้แล้วแก่ข้าพระพุทธเจ้า ถ้าข้าพระพุทธเจ้ารู้ ธรรมของพระองค์แล้วจะเป็นโทษแก่ศาสนาของพระองค์แล้ว บทที 2 ขอ้ มูลพื้นฐาน | 49
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ ขอพระองค์อย่าทรงพระราชทานเลย ถ้าเป็นคณุ แกศ่ าสนาของ พระองค์แล้ว ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทาน แก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์รับเป็นทนายศาสนาในศาสนาของ พระองค์จนตลอดชวี ิต เวลาผ่านไปราวค่อนคืน ท่านก็ได้รู้เห็นธรรมไปตามลำาดับ ดังท่ีท่าน บันทกึ ไวว้ ่า เห็นผังของจริงของพระพุทธเจ้าซึ่งมีอยู่ในหนังสือ ธรรมกาย ทค่ี ณุ พระทพิ ยป์ รญิ ญาเรยี บเรยี งพมิ พแ์ จกไปแลว้ นนั้ ในขณะนั้นก็มาปรวิ ิตกวา่ คมฺภีโรจาย� ธรรมเปน็ ของลกึ ถงึ เพียง น้ี ใครจะไปคดิ คาดคะเนเอาได้ พน้ วสิ ยั ของความตรกึ นกึ คดิ ถา้ ยังตรึกนึกคิดอยู่ก็เข้าไม่ถึง ท่ีจะเข้าถึงต้องท�าให้รู้ตรึก รู้นึก รู้คิดนั้นหยุดเป็นจุดเดียวกัน แต่พอหยุดก็ดับ แต่พอดับแล้ว ก็เกิด ถ้าไม่ดับแล้วไม่เกิด ตรองดูเถิดท่านท้ังหลายนี้เป็นของ จรงิ หวั ตอ่ มเี ปน็ อยตู่ รงน้ี ถา้ ไมถ่ กู สว่ นดงั นก้ี ไ็ มม่ ไี มเ่ ปน็ เดด็ ขาด คืนนั้นท่านเจริญภาวนาต่อไปอีก ได้เห็นวัดบางปลา อำาเภอบางเลน จงั หวัดนครปฐม ปรากฏขึน้ เสมอื นตัวท่านไปอยทู่ น่ี ่ัน และรู้ข้ึนมาว่า ธรรมที่รู้ เห็นได้ยากน้ี ที่วดั บางปลาน้นั จะมผี ทู้ ่ีร้เู หน็ ได้อย่างแนน่ อน จงึ ปรารภท่ีจะไป สอนภายหลังพรรษา นับแต่น้ันมา ท่านยิง่ เพยี รปฏิบัติเพ่อื คน้ คว้าหาทส่ี ุดแหง่ ธรรม ดำาเนนิ จิตเข้าไปในเส้นทางสายกลางโดยมิได้ถอยกลับหรือหยุดยั้งอีกเลย ย่ิงปฏิบัติ 50 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org กย็ ง่ิ รเู้ หน็ ลึกซึ้งมากยง่ิ ข้นึ 2.1.6. เร่มิ เผยแผว่ ชิ ชาธรรมกาย เมื่อออกพรรษา รับกฐินแล้ว ท่านได้กราบลาท่านเจ้าอาวาสวัดโบสถ์ เพื่อเดนิ ทางไปสอนธรรมปฏบิ ตั ทิ ี่วัดบางปลาตามทต่ี งั้ ใจ สอนอย่รู าว 4 เดอื น ก็มีพระภิกษุ 3 รูป และฆราวาสอีก 4 คนรู้เห็นธรรมตามท่าน เป็นพยาน ยืนยันความมีจริงและเข้าถึงได้จริงของธรรมกาย และนับเป็นจุดเริ่มต้นของ การเผยแผว่ ิชชาธรรมกาย9 ในพรรษาท่ี 13 (พ.ศ. 2461) ทา่ นกลบั ไปจาำ พรรษาทีว่ ัดสองพน่ี อ้ งที่ ท่านบวช มพี ระภิกษุอกี รปู หน่งึ รู้เหน็ ธรรมตามท่านในพรรษานัน้ หลงั จากออกพรรษาที่ 13 และรบั กฐนิ แลว้ ทา่ นไดไ้ ปทว่ี ดั ประตสู าร แต่ พระอปุ ัชฌาย์ของทา่ นมรณภาพแล้ว ท่านไดพ้ ักอยูท่ ีน่ นั่ ราว 4 เดือน ไดแ้ สดง ธรรมโปรดญาตโิ ยม และจาริกไปสอนในทต่ี า่ งๆ ตอ่ อีกหลายแหง่ มีประชาชน มาศกึ ษาธรรมปฏบิ ตั กิ นั เปน็ จาำ นวนมาก และตา่ งไดร้ บั ผลดตี ามกาำ ลงั แหง่ การ ปฏบิ ัตขิ องแตล่ ะคน 9 หลังจากการสอนธรรมปฏิบัติที่วัดบางปลาแล้ว เหตุการณ์ต่อจากน้ีไปจนถึงการเดินทางกลับไปยัง วัดพระเชตุพนฯ มีกล่าวไว้ในชีวประวัติแต่ละฉบับไม่ตรงกันซึ่งอาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่เร่ืองแปลกของ การบันทึกจากความทรงจำาที่รบั ฟังมาอกี ที ในที่นี้ลาำ ดบั เหตกุ ารณ์ตามทเี่ หน็ วา่ ตรงกันหรอื เข้ากนั ได้ และน่าจะถูกตอ้ งมากท่สี ุด บทที 2 ข้อมลู พนื้ ฐาน | 51
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ แหง่ สุดทา้ ยทา่ นไปปักกลดที่วดั รา้ งข้างวดั พระศรรี ตั นมหาธาตุ จงั หวดั สุพรรณบุรี10 เห็นเด็กเข้าไปเล่นและนำาวัวเข้าไปเล้ียงในบริเวณวัด จึงห้ามว่า อย่าปล่อยให้วัวเดินเหยียบย่ำาพระซึ่งอยู่ใต้พื้นดิน จะมีบาปมาก เด็กๆ และ คนเลี้ยงวัวไม่เช่ือว่าจะมีพระอยู่ใต้แผ่นดิน จึงต่อว่าท่านเป็นการใหญ่ ท่าน บอกให้เขาลองขุดดูก็พบพระพุทธรูปหลายองค์ ผู้คนจึงมีศรัทธาและมาฝก ธรรมปฏบิ ตั กิ บั ท่านจำานวนมาก ท่านได้ใช้โอกาสน้แี นะนาำ ใหป้ ระชาชนเข้าใจ ในการทำาบุญ และชักชวนให้ช่วยกันบำารุงปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปและศาสน วัตถทุ ี่ถกู ทงิ้ รา้ งและถูกทำาลาย เมอ่ื มผี ้คู นมาปฏบิ ัตธิ รรมจำานวนมาก เจา้ เมือง สพุ รรณบรุ แี ละสมหุ เทศาภบิ าลเกรงวา่ จะเปน็ การซอ่ งสมุ ผคู้ น สมหุ เทศาภบิ าล นครชัยศรีจึงกราบเรียนพระศรศี ากยปตุ ตยิ วงศ์ (เผื่อน ติสฺสทตฺตมหาเถระ) 11 วัดพระเชตุพนฯ ซึ่งเป็นผู้ปกครองท่าน ขอให้ทางคณะสงฆ์เรียกตัวพระภิกษุ สดกลับไป ท่านออกจากที่น้ันด้วยความเคารพในการปกครอง เดินทางกลับไปท่ี วดั สองพน่ี อ้ ง และได้จดั การตั้งโรงเรียนนกั ธรรมข้ึนจนสำาเร็จ ท้งั ยงั ไดช้ กั ชวน กนั ตงั้ มลู นธิ เิ พอื่ การศกึ ษาซง่ึ ไดเ้ ปน็ ทนุ การศกึ ษาแกภ่ กิ ษสุ ามเณรสบื ตอ่ มา ใน เวลาทเ่ี ดนิ ทางกลบั ไปยงั วดั พระเชตพุ นฯ ทา่ นไดพ้ าพระภกิ ษุ 4 รปู ไปดว้ ยเพอ่ื 10 ชีวประวัติทีบ่ นั ทึกโดยพระมหาวชิ ัย วุฑฒสลิ กลา่ วถงึ การจารกิ ธดุ งค์ของพระมงคลเทพมุนี 2 ครง้ั แตก่ าำ หนดเวลาไมช่ ัดเจน เปน็ ไปได้วา่ ธดุ งคค์ รง้ั แรกอาจเปน็ ชว่ งที่ทา่ นยงั ไมห่ ยดุ การศกึ ษาคนั ถธรุ ะ สว่ นครงั้ ทสี่ องนา่ จะเปน็ ภายหลงั จากทที่ า่ นคน้ พบธรรมกายแลว้ เพราะระบวุ า่ จารกิ ไปทางสพุ รรณบรุ ี ปักกลดทีว่ ัดรา้ งข้างวดั พระศรรี ตั นมหาธาตุ ตรงกันกบั บนั ทึกของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปนุ่ ปุณณสิรมิ หาเถระ) ที่เชอื่ มโยงเหตกุ ารณน์ ้เี ข้ากบั การทท่ี ่านถูกเรียกตัวกลับวดั พระเชตุพนฯ และได้ รบั คาำ ส่ังใหไ้ ปดแู ลวดั ปากนำา้ ภาษีเจริญ 11 ตอ่ มาดำารงสมณศกั ด์ิเป็นสมเด็จพระวันรตั 52 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ใหไ้ ดศ้ กึ ษาพระปริยตั ิธรรม เม่ือกลบั ไปแล้วท่านไดร้ บั แต่งตัง้ เปน็ พระสมหุ ส์ ด ฐานานกุ รมของพระศรศี ากยปตุ ติยวงศ์ 2.1.7 เจา้ อาวาสวดั ปากนา�้ ในเวลานั้น วัดปากน้ำาซึ่งเป็นพระอารามหลวงแห่งหนึ่งในอำาเภอ ภาษเี จรญิ วา่ งเจา้ อาวาสลง มสี ภาพกง่ึ วดั รา้ ง ควรปรบั ปรงุ แกไ้ ข พระศรศี ากย ปุตติยวงศ์ ซึ่งดำารงตำาแหน่งเจ้าคณะอำาเภอในยุคนั้น คงเห็นอัธยาศัยความ เป็นนักพัฒนาของพระสมุห์สดจึงมอบหมายกึ่งบังคับให้ท่านไปดูแล ท่าน พยายามบอกปัดแต่ในท่ีสุดก็จำาต้องยอมรับด้วยเหตุผล ท่านจึงเดินทางจาก วดั พระเชตพุ นฯ ในฐานะผู้รกั ษาการเจ้าอาวาสวดั ปากนำา้ 12 โดยเรอื ยนตห์ ลวง ซ่ึงกรมการศาสนาจัดถวายเพ่ือเป็นเกียรติแก่พระอารามหลวง มีพระอนุจร ตดิ ตามไปดว้ ย 4 รปู ในระยะแรก การบรหิ ารและพัฒนาวัดไมร่ าบรืน่ นกั เนอ่ื งจากพระเกา่ และชาวบ้านที่นั่นมีอัธยาศัยเป็นนักเลง ย่อหย่อนต่อพระธรรมวินัย ไม่มีการ ศกึ ษาหรอื ปฏบิ ตั ใิ ดๆ ทา่ นตอ้ งปฏวิ ตั กิ ารปกครองใหมด่ ว้ ยความยากลาำ บาก มี พระเกา่ และชาวบา้ นบางสว่ นตงั้ ตวั เปน็ ศตั รกู บั ทา่ น ชว่ ยกนั แพรข่ า่ วอกศุ ล บา้ ง กเ็ มามาอาละวาดในวดั ทาำ เรอ่ื งรา้ ยแรงตา่ งๆ ถงึ ขนั้ ยกพวก 8 คนมาดกั ทาำ รา้ ย 12 ปี พ.ศ. ทที่ า่ นไปรบั หนา้ ทเี่ จา้ อาวาสวดั ปากนาำ้ นน้ั กลา่ วไวไ้ มต่ รงกนั ชวี ประวตั ทิ เ่ี ขยี นโดยสมเดจ็ พระ อรยิ วงศาคตญาณระบวุ า่ เปน็ ปี พ.ศ. 2459 แตเ่ มอ่ื ประมวลเหตกุ ารณจ์ ากทกุ ฉบบั แลว้ พบวา่ เปน็ ชว่ ง เวลาหลงั จากทท่ี า่ นบรรลธุ รรมและสอนธรรมปฏบิ ตั ใิ นระยะแรกแลว้ ภายหลงั จากการจารกิ ธดุ งคไ์ ป ที่วดั พระศรรี ัตนมหาธาตุ สพุ รรณบรุ ี ซง่ึ หากท่านบรรลธุ รรมในพรรษาที่ 12 (พ.ศ. 2460) จริง กว่า จะไปรบั หน้าท่เี จ้าอาวาสวัดปากน้ำาได้นา่ จะเปน็ ราวกลางปี พ.ศ. 2462 เปน็ อย่างเร็ว บทที 2 ขอ้ มูลพ้ืนฐาน | 53
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ รวมท้ังมาลอบยิงท่านก็มี13 เด็กๆ ไม่ได้รับการศึกษา มาส่งเสียงดังรบกวน และยิงนกเลน่ กันในวดั แตท่ า่ นมไิ ด้ย่อทอ้ เร่งรดั กวดขนั พระภิกษสุ ามเณรให้ ประพฤตถิ ูกต้องตามพระธรรมวนิ ยั และสอนธรรมปฏิบตั ิ อบรมธรรมแก่พระ ภิกษุ สามเณร อบุ าสก อุบาสกิ า และประชาชนท่ัวไปอยา่ งจริงจงั ท่านสอน พระภิกษสุ ามเณรเสมอว่า “พระเราตอ้ งไมส่ ู้ ไมห่ นี ทาำ ความดีเร่ือยไป” โดยท่ี ทา่ นไดว้ างตนเองเปน็ แบบอยา่ งตลอดมา ในชว่ งแรกประชาชนทม่ี าศกึ ษาธรรม ปฏิบัติส่วนใหญ่เป็นคนที่มาจากตำาบลอื่น เม่ือมีคนมาปฏิบัติธรรมได้รับผลดี เปน็ จาำ นวนมาก และเลา่ ขานกนั ต่อไปในวงกว้าง ชอ่ื ของท่านจึงเป็นทีร่ ูจ้ ักใน นาม “หลวงพ่อวดั ปากนำา้ ภาษีเจรญิ ” และในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2464 ท่าน จงึ ได้รบั พระราชทานสมณศกั ดิเ์ ป็นพระครสู มณธรรมสมาทาน ในเวลาเดยี วกนั ทา่ นไดต้ ง้ั โรงเรยี นราษฎรส์ าำ หรบั วดั ขนึ้ เพอ่ื อนเุ คราะห์ ให้เด็กชาวบ้านในละแวกนั้นได้รับการศึกษาโดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ทั้งน้ี ได้รับความช่วยเหลือจากผู้มีจิตศรัทธาจำานวนมากและทางกรมการอำาเภอก็ ส่งเสรมิ กจิ การของโรงเรยี นดำาเนินไปไดด้ ้วยดี มนี ักเรยี นเพมิ่ ข้ึนเรื่อยๆ จาก จาำ นวนสบิ เปน็ สามรอ้ ย ชาวบา้ นในละแวกนนั้ จงึ เลกิ เปน็ ศตั รู กลบั มาซาบซง้ึ ใน อปุ การคณุ ของทา่ นทที่ าำ ใหล้ กู หลานของเขาไดเ้ ลา่ เรยี น ในเวลาตอ่ มาเมอื่ ทาง ราชการจัดต้ังโรงเรียนอย่างท่ัวถึงตาม พรบ.ประถมศึกษาแล้วท่านจึงยกเลิก งานดา้ นน้ไี ป หนั มาจดั การศกึ ษานกั ธรรมและบาลีแทน 13 ท่านไม่ได้รับอันตราย เป็นแต่เพียงจีวรทะลุ 2 รู ส่วนอุปัฏฐากท่ีติดตามไปด้วยถูกยิงทะลุแก้ม บาดเจบ็ แต่ไมถ่ งึ แกช่ วี ิต 54 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org 2.1. . สรา้ งโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม หลวงพ่อวัดปากนำ้าจัดให้มีการเรียนการสอนนักธรรมและบาลีประจำา สำานัก จัดหาครูให้ และยังสร้างโรงเรียนถาวร เป็นอาคาร 3 ชั้น จุนักเรียน ได้ถึง 1,000 คน มหี อ้ งนา้ำ หอ้ งสุขา ประจาำ แตล่ ะชนั้ มีเครอื่ งตกแต่งอาคาร ครบถ้วน และมีอุปกรณ์การศึกษาบริบูรณ์ นับเป็นอาคารที่ทันสมัยในยุคนั้น นอกจากนี้ ชนั้ บนของอาคารโรงเรยี นดงั กลา่ ว ยงั จดั เปน็ หอ้ งโถง สาำ หรบั ปฏบิ ตั ิ พระกรรมฐานอีกด้วย อาคารโรงเรียนหลังน้ี สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2493 ได้เป็นประโยชน์ แก่คณะสงฆ์เป็นอย่างมาก โดยใช้เป็นสนามสอบนักธรรมรวมสำาหรับอำาเภอ ภาษีเจริญเป็นประจำาทุกปี และในช่วงเวลาแห่งการสอบยงั จดั เลย้ี งภตั ตาหาร เพลแกพ่ ระภกิ ษสุ ามเณรนกั เรยี น อาำ นวยความสะดวกใหก้ บั นกั เรยี นเปน็ อยา่ ง ดี ในเรื่องการศึกษานี้ ท่านมอบหมายให้ศิษย์ที่มีความชำานาญในฝ่ายปริยัติ เป็นผู้ดำาเนินการ ต่อมาสำานักเรียนวัดปากนำ้ากลายเป็นสำานักเรียนใหญ่ท่ีมี พระภิกษุสามเณรผูส้ าำ เร็จการศึกษาเปรยี ญธรรม 9 ประโยค เป็นจาำ นวนมาก ท่ีสดุ ในประเทศไทย 2.1.9. การปกครองและความเป็นอยูใ่ นวัดปากน�า้ ในเรื่องความเป็นอยู่ภายในวัด ท่านให้การอบรมส่ังสอนและดูแลพระ ภกิ ษสุ ามเณรอยา่ งใกลช้ ดิ โดยนาำ พระภกิ ษสุ ามเณรทาำ วตั รในพระอโุ บสถพรอ้ ม กบั ใหโ้ อวาทเปน็ ประจาำ ทกุ วนั ทง้ั เชา้ และเยน็ พระภกิ ษสุ ามเณรทกุ รปู มหี นา้ ที่ ฝกฝนตนเองตามพระธรรมวินยั และต้องศึกษาเล่าเรยี นอย่างใดอยา่ งหน่ึง จะ อยเู่ ฉยๆ ไมไ่ ด้ โดยจะเลอื กศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรม หรอื ปฏบิ ตั สิ มาธภิ าวนากไ็ ด้ ตามความสมคั รใจ หรอื จะทำาทัง้ สองอยา่ งควบคกู่ นั ก็ย่งิ ดี บทที 2 ขอ้ มลู พ้นื ฐาน | 55
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ท่านให้สร้างกุฏิท่ีพักสำาหรับพระภิกษุสามเณรอย่างเพียงพอ มีเคร่ือง อำานวยความสะดวกพอเหมาะแกภ่ าวะของนกั บวช ในเร่ืองอาหาร ท่านให้ตั้งโรงครัวของวัดขึ้นเพ่ือดูแลอาหารการขบฉัน ของพระภิกษุสามเณรท้ังวัดไม่ให้ลำาบาก และไม่ต้องบิณฑบาต จะได้มีเวลา ศึกษาและปฏิบัติธรรมอยา่ งเต็มที่ เรอื่ งการต้ังโรงครวั น้ี เปน็ ความตั้งใจของท่านมาตัง้ แต่เรม่ิ เข้ามาศกึ ษา พระปริยัติธรรมในกรุงเทพฯ ชีวประวัติของท่านหลายฉบับเล่าเหตุการณ์ว่า ในชว่ งแรกทมี่ าศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรมทว่ี ดั พระเชตพุ นฯ ทา่ นลาำ บากมาก ออก บณิ ฑบาตสองวนั แรกไมไ่ ดอ้ ะไรเลย ทา่ นคดิ คาำ นงึ วา่ “ผมู้ ศี ลี จะอดตายเชน่ นน้ั หรอื ?” หากเปน็ เชน่ นนั้ ทา่ นยอมตาย เพอ่ื ผคู้ นจะไดท้ ราบขา่ ววา่ มพี ระภกิ ษอุ ด อาหารถงึ แกม่ รณภาพ จะพากนั สงสารและถวายภตั ตาหาร พระภกิ ษสุ ามเณร ท้ังพระนครจะได้ไม่ต้องอดอีกต่อไป คิดได้ดังน้ันท่านจึงยอมอด ไม่หาสิ่งอื่น มาฉันทดแทน ในวันที่สาม บิณฑบาตได้ข้าวหนึ่งทัพพีกับกล้วยนำ้าว้าหน่ึงผล กลับมาถึงกุฏิด้วยความเหน่ือยอ่อนเพราะไม่ได้ฉันมา วันแล้ว หลังจากท่ี ทา่ นนง่ั พจิ ารณาอาหารดว้ ยปจั จเวกขณ1์ 4เสรจ็ แลว้ ฉนั ขา้ วไปคาำ หนง่ึ พอดที า่ น เหลือบไปเห็นสุนัขผอมท้องติดสันหลังเดินโซเซเพราะอดอยากมานาน เกิด ความสงสารจงึ ปน้ั ขา้ วทเ่ี หลอื อกี คาำ หนง่ึ กบั กลว้ ยครงึ่ ผลให้ กอ่ นใหท้ านแกส่ ตั ว์ นั้น ท่านได้อธิษฐานจติ ว่า “ข้นึ ช่ือวา่ ความอดอยากเช่นนี้ ขออยา่ ใหม้ ีอีกเลย” 14 ปัจจเวกขณ์ ในที่น้ีคือการพิจารณาอาหารท่ีจะบริโภค เพ่ือให้การขบฉันตรงตามวัตถุประสงค์ท่ี แท้จรงิ และไม่ให้ตดิ ในรสอาหาร เป็นการเกื้อกูลตอ่ การปฏิบตั ธิ รรม 56 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ดว้ ยอาำ นาจศลี และสจั จะของทา่ น นบั แตน่ น้ั มาทา่ นบณิ ฑบาตแตล่ ะวนั ไดอ้ าหารมากมายถงึ กบั ฉนั ไมห่ มด ตอ้ งแบง่ ถวายพระภกิ ษรุ ปู อน่ื นอกจากนน้ั ยงั มีโยมปวารณาทาำ ปนิ โตอาหารมาถวายทุกวนั การศึกษาจงึ สะดวกขน้ึ ความยากลำาบากในการขบฉันของพระภิกษุซ่ึงปรากฏแก่ท่านในช่วง แรกของการศึกษาเล่าเรียนนั้น เป็นเหตุให้ท่านดำาริว่า เมื่อมีกำาลังพอเม่ือใด จะจัดตั้งโรงครัวประกอบอาหารเล้ียงพระเณร ไม่ต้องให้ลำาบาก เสียเวลาใน การศกึ ษาเลา่ เรยี น เมอื่ มาเปน็ เจา้ อาวาสวดั ปากนา้ำ ทา่ นจงึ ไดท้ าำ สมความตง้ั ใจ สามารถตง้ั โรงครวั ประกอบอาหารเลยี้ งพระภกิ ษสุ ามเณรและอบุ าสกอบุ าสกิ า ในวัดเป็นประจำาทุกวันได้เป็นผลสำาเร็จ โดยในช่วงแรกทางบ้านของท่านนำา ข้าวสารมาส่งให้ ต่อมาญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาได้มาช่วยกันเป็นเจ้าภาพถวาย ภัตตาหารอย่างทว่ั ถงึ และกจิ การยงั คงดำาเนนิ ตอ่ มาจนถงึ ทุกวนั นี้ หลวงพอ่ วดั ปากนาำ้ ปกครองดแู ลพระภกิ ษสุ ามเณรประหนง่ึ พอ่ ปกครอง ลกู ดว้ ยเมตตาธรรม ทา่ นไดป้ ฏญิ าณในพระอโุ บสถวา่ “บรรพชติ ทยี่ งั ไมม่ า ขอ ใหม้ า ทม่ี าแลว้ ขอใหอ้ ยเู่ ปน็ สขุ ” ผทู้ บี่ า่ ยหนา้ มาพง่ึ ทา่ นไมเ่ คยไดร้ บั คาำ ปฏเิ สธ กลับไป วัดปากนา้ำ ในสมัยนน้ั จงึ มพี ระภิกษุสามเณรเพ่มิ ขน้ึ อยา่ งรวดเร็ว จาก ที่มีอยู่ราว 20 รูปในปีแรก จนเปน็ 500 รูปเศษ รวมกบั แมช่ แี ละเดก็ วัดเปน็ จาำ นวนกว่าพนั คนในปที ี่ทา่ นมรณภาพ 2.1.1 . การศึกษาวชิ ชาธรรมกายชน้ั สูง การปฏิบัติสมาธิภาวนา ถือเป็นงานใหญ่ที่สุดในชีวิตของหลวงพ่อ วัดปากนำ้า เป็นงานที่ท่านให้ความสำาคัญและให้เวลามากท่ีสุด ทุกวันท่านจะ บำาเพญ็ กจิ ภาวนาในสถานทีป่ ฏิบัติธรรมทจี่ ดั ไวเ้ ฉพาะ ซึง่ เรียกว่า “โรงงานทาำ บทที 2 ข้อมูลพน้ื ฐาน | 57
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ วชิ ชา” โดยมพี ระภกิ ษุ สามเณร และอบุ าสกิ าผเู้ ขา้ ถงึ วชิ ชาธรรมกายหมนุ เวยี น กนั มาปฏบิ ตั ธิ รรมเปน็ กลมุ่ ตลอด ชว่ั โมง15 เพอื่ ศกึ ษาวชิ ชาธรรมกายชน้ั สงู กับท่านทเ่ี รียกว่า “ทำาวิชชา” เปน็ การทาำ งานทางใจทมี่ ีเปาหมายในการกำาจดั กิเลสอาสวะ อันเปน็ เหตแุ ห่งความทกุ ข์ความเบยี ดเบียนให้หมดสนิ้ ไป ควบคู่ ไปกับการช่วยแก้ไขความทุกข์ยากเดือดร้อนของเพ่ือนมนุษย์ มีผู้มาขอบารมี เพ่ือช่วยแก้ไขโรควนั ละมากๆ รวมท้งั ช่วยแกไ้ ขภาวะคับขันของชาติบา้ นเมือง ผอ่ นหนกั ใหเ้ ปน็ เบา ชวี ติ ของทา่ นทมุ่ เทใหก้ บั การบาำ เพญ็ ภาวนา ศกึ ษาคน้ ควา้ และเผยแผ่วชิ ชาธรรมกาย โดยมิได้คำานึงถงึ อุปสรรคใดๆ การใช้วิชชาธรรมกายแก้ไขโรคให้กับประชาชน นับได้ว่าเป็นหนทาง หน่งึ ในการเผยแผ่ธรรมปฏิบตั ิไปด้วย ในสมยั น้นั ทา่ นใหต้ ง้ั ตู้รบั ใบอาการโรค ไว้ทหี่ นา้ กฏุ ิของท่าน โดยให้เขียนชอ่ื สกลุ ทอี่ ยู่ วนั เดอื น ปีเกดิ และอาการ โรคทปี่ รากฏอยา่ งละเอยี ดลออ จะมีคนมาไขตูว้ ันละ 4 เวลา แลว้ นำาใบอาการ โรคไปแจกจา่ ยแกผ่ ทู้ ไี่ ดว้ ชิ ชาธรรมกายเพอื่ แกโ้ รค ทา่ นแนะนาำ ใหผ้ ปู้ ว่ ยปฏบิ ตั ิ พระกรรมฐานด้วยเพ่ือให้กระแสจิตเช่ือมถึงกันจะทำาให้ช่วยแก้ไขได้ง่าย ถ้า ผ้เู ปน็ ลูกมาส่งใบอาการโรคของพอ่ แม่ ทา่ นจะแนะนาำ ให้ลกู ต้ังใจทำาสมาธิ จะ ได้ชว่ ยแกโ้ รคภยั ไขเ้ จบ็ ของพ่อแม่ได้ ทัง้ นเ้ี พราะบุตรหลานที่ได้ธรรมกายของ ผปู้ ว่ ยมกั มคี วามสามารถในการรักษาโรคเป็นพเิ ศษ เนื่องจากจติ มุ่งมนั่ ไปทาง เดยี วจึงมีพลงั มาก 15 “โรงงานทาำ วชิ ชา” เปน็ กฏุ หิ ลงั ใหญม่ เี พงิ ยนื่ ออกไปสองขา้ ง มผี นงั กนั้ แยกเปน็ สองหอ้ งไมใ่ หม้ องเหน็ กนั พระภกิ ษสุ ามเณรอยฝู่ งั หนงึ่ และแมช่ กี บั อบุ าสกิ าทยี่ งั ไมไ่ ดบ้ วชอยอู่ กี ฝงั หนงึ่ หลวงพอ่ วดั ปากนา้ำ นง่ั อยใู่ นฝงั ของพระภกิ ษสุ ามเณร ตรงกลางจะเจาะชอ่ งเลก็ ๆ ชอ่ งหนงึ่ เพอื่ ใหฝ้ า่ ยอบุ าสกิ าไดย้ นิ เสยี ง ท่ีท่านสอน และพอเห็นหน้าทา่ นไดบ้ า้ งแตไ่ มเ่ หน็ ตวั 58 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org อย่างไรก็ดี ในการสอนผู้ป่วยหรือญาติของผู้ป่วยให้ฝกพระกรรมฐาน นน้ั ท่านยงั มีความปรารถนาทล่ี กึ ไปกว่าการช่วยเหลอื แกไ้ ขเพยี งโรคทางกาย นั่นคือความปรารถนาที่จะให้เขามีธรรมและพระรัตนตรัยภายในเป็นท่ีพึ่ง ท่รี ะลกึ ของตนเอง ดังทส่ี มเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปณุ ณสิรมิ หาเถระ) บนั ทึกไวว้ า่ การใชธ้ รรมกายแกโ้ รค หลวงพอ่ เคยพดู วา่ แกไ้ ดจ้ รงิ ถา้ ได้ ประกอบกันทัง้ 2 ฝ่าย คอื ฝา่ ยแก้และฝ่ายเจา้ ทกุ ข์มคี วามเชื่อ ม่ันคง กล่าวคือต้องเรียนพระกัมมัฏฐานปฏิบัติธรรมด้วย เพ่ือ ใหก้ ระแสจิตเช่อื มถงึ กัน ลักษณะนี้มีหวังมาก ที่ไม่ไดผ้ ลกเ็ นื่อง ด้วยผู้เจ็บไม่พยายามทำาพระกัมมัฏฐาน ทางเชื่อมไม่ถึงกัน แต่ ถึงอย่างไรน้ันก็มีผลบ้างในเม่ือโรคนั้นยังอ่อน และท่านพูดว่า ถึงไมห่ ายกจ็ ะเป็นไร เราไมไ่ ด้เรียกค่ารักษาเอาแก่ใคร ชว่ ยด้วย เมตตา อย่างน้อยคนเจ็บก็จะต้องได้ความรู้วิธีปฏิบัติธรรมหรือ เข้าใกล้พระรัตนตรัยพอสมควรแก่อุปนิสัย (สมเด็จพระอริยวง ศาคตญาณ 2529ก) 2.1.11. การเผยแผ่ธรรมปฏิบัติ หลวงพอ่ วดั ปากนาำ้ ใชเ้ วลาของทา่ นอยา่ งคมุ้ คา่ โดยปกตทิ า่ นไมอ่ อกไป ไหนนอกวัดเลย เวน้ แตม่ กี จิ จาำ เปน็ ของสงฆ์ทหี่ ลีกเลย่ี งไม่ได้ หากมใี ครนิมนต์ ท่านไปสวดมนต์ฉันเพล ท่านมักขอให้พระภิกษุรูปอื่นไปแทน แม้จำาเป็นต้อง ออกไปด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งท่านก็จะไปเพียงช่ัวครู่แล้วรีบกลับมา ท่าน รบั แขกเปน็ เวลา คอื หลงั ฉนั เพล และในเวลา 17:00 น. ครงั้ ละ 1 ชว่ั โมงเทา่ นน้ั เวลานอกเหนือจากน้ีทา่ นสงวนไว้เพอ่ื ทำากิจภาวนาทงั้ กลางวนั และกลางคนื บทที 2 ข้อมลู พื้นฐาน | 59
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ในดา้ นการเผยแผ่และสอนธรรมปฏิบัติ ทกุ วนั พระและวันอาทติ ยท์ ่าน จะแสดงพระธรรมเทศนาแกป่ ระชาชนทวั่ ไปดว้ ยตนเองเปน็ ประจาำ และทกุ วนั พฤหสั บดี จะสอนการทาำ สมาธแิ กพ่ ระภกิ ษุ สามเณร อบุ าสก อบุ าสกิ า ทงั้ ทอ่ี ยู่ ในวดั ปากนาำ้ และทม่ี าจากตา่ งวดั รวมถงึ ประชาชนทวั่ ไป มพี ระภกิ ษุ สามเณร และญาติโยมจากท่ัวประเทศเดินทางมาเรียนธรรมปฏิบัติกับท่านนับได้เกือบ สองแสนคน นอกจากน้ี ทา่ นยงั สง่ พระภกิ ษแุ ละอบุ าสกิ าทไี่ ดธ้ รรมกายแลว้ ไป เผยแผ่ธรรมปฏิบตั ิเกอื บทกุ จังหวัดในประเทศไทยดว้ ย กิตติศัพท์การเผยแผ่วิชชาธรรมกายของหลวงพ่อวัดปากน้ำาเล่าลือไป ไกล เป็นท่ีรู้จักในทุกชนชั้น นำามาซ่ึงคำาสรรเสริญและวิพากษ์วิจารณ์ในเวลา เดียวกัน มีผู้มาสอบสวนปฏิปทาของท่านเป็นความลับทั้งพระและฆราวาส16 และไดค้ วามเขา้ ใจทถี่ กู ตอ้ งดงี ามกลบั ไป แมท้ า่ นจะทราบดถี งึ ขา่ วลอื ทงั้ หลาย แต่ท่านมิได้เดือดร้อนใจ ดังท่ีท่านเคยกล่าวกับสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ป่นุ ปุณณสิรมิ หาเถระ)17 ว่า คนเชน่ เราไม่ใช่ไร้ปัญญา ช่วั ก็รู้ ดกี ็เห็น เราจะฆา่ ตวั เรา เองเพราะความปรารถนาทาำ ไม ท่ีเขาพดู หาว่าเราอยา่ งนัน้ บาง คนคงจะไม่รู้จักคำาว่า “ธรรมกาย” มีอยู่ที่ไหน หมายเอาใคร เขาอาศัยความไม่รู้มาว่าเราผู้ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เม่ือผู้ 16 เรอื่ งนมี้ กี ลา่ วไวใ้ นหนา้ 104-106 บทความ “อานภุ าพธรรมกาย” โดย สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณณสิริมหาเถระ) ในหนังสือ ประวัติหลวงพ่อวัดปากน้ำาและคู่มือสมภาร (2529) พิมพ์โดย วดั ปากน้าำ ภาษีเจรญิ และหนา้ 15-18 ในคาำ นาำ ในการพิมพ์คร้ังท่ี 1 โดยพระทพิ ย์ปรญิ ญา ในหนงั สือ ธรรมกาย (2499) จัดพิมพ์โดย แฉล้ม อุศุภรัตน์ 17 คาดวา่ เปน็ ชว่ งเวลาท่ีสมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณยงั ทรงสมณศักดิท์ ่ี พระธรรมดลิ ก 60 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org ไมร่ ตู้ เิ ตยี นเรา ความไมร่ ขู้ องเขาจะลบลา้ งสจั ธรรมของพระพทุ ธ ศาสนาไดอ้ ยา่ งไร ถา้ จะกลบกก็ ลบไดเ้ พยี งชวั่ คราว ไมช่ า้ ดวงแกว้ ของพระพทุ ธเจา้ กจ็ ะเปลง่ รศั มใี หผ้ มู้ ปี ญั ญาเหน็ ดว้ ยสายตาของ ตนเอง ... ฯลฯ ... เมอื่ พดู ทางไมด่ ไี ดก้ ต็ อ้ งมคี นพดู ทางดไี ดเ้ หมอื น กนั ธรรมจะตอ้ งชนะอธรรมเสมอ เราไมต่ อ้ งเดอื ดรอ้ นใจ เพราะ ธรรมกายของพระพุทธศาสนาเปน็ ของแท้ ไมใ่ ชข่ องเกหรอื ของ เทียม ธรรมกายจะปรากฏเป็นความจริงแก่ผู้เข้าถึงธรรม เรื่อง อย่างน้ีเราไม่หว่ัน เราเชื่อในคุณพระพุทธศาสนา (สมเด็จพระ อริยวงศาคตญาณ 2529ข) อานภุ าพ คณุ ธรรม และคณุ วเิ ศษทนี่ า่ อศั จรรยใ์ จของหลวงพอ่ วดั ปากนาำ้ เป็นกระแสดึงดูดผู้มีศรัทธาและผู้ใฝ่ธรรมทั้งหลายให้เข้ามาศึกษาและปฏิบัติ ตาม ระลอกแล้วระลอกเล่าอย่างไม่ขาดสาย เป็นที่กล่าวขานของปวงชนมา จนถงึ ปัจจุบัน หลวงพ่อวัดปากนา้ำ ไดร้ ับพระราชทานสมณศักดติ์ ามลาำ ดบั ดังนี้ พ.ศ. 2464 เปน็ พระครสู ญั ญาบตั รที่ พระครสู มณธรรมสมาทาน พ.ศ. 2492 เปน็ พระราชาคณะชนั้ สามญั ท่ี พระภาวนาโกศลเถร พ.ศ. 2498 เป็นพระราชาคณะชนั้ ราชที่ พระมงคลราชมุนี พ.ศ. 2500 เปน็ พระราชาคณะช้นั เทพท่ี พระมงคลเทพมุนี ท่านมรณภาพเมอื่ วนั ที่ 3 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2502 กอ่ นละสังขารทา่ นได้ มอบหมายเหลา่ ศษิ ยานศุ ษิ ยใ์ หช้ ว่ ยกนั เผยแผว่ ชิ ชาธรรมกายไปทวั่ โลก เพอื่ ให้ เปน็ ทพ่ี งึ่ แกม่ นษุ ยแ์ ละสรรพสตั วท์ ง้ั หลาย บทที 2 ขอ้ มลู พนื้ ฐาน | 61
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ 2.2. ภาพรวมหลักธรรมป บิ ัตวิ ชิ ชาธรรมกาย โดยนยิ าม “วชิ ชาธรรมกาย” หมายถงึ ความรแู้ จง้ ทเี่ กดิ จากการเหน็ แจง้ ด้วยญาณทสั นะของธรรมกาย เป็นความร้แู จง้ ในระดับวิปัสสนาทเี่ กดิ ข้ึนภาย หลังจากท่ีได้เข้าถึงพระธรรมกายแล้วเท่านั้น อย่างไรก็ดี ในงานวิจัยนี้ หลัก ธรรมปฏบิ ตั ิในวชิ ชาธรรมกาย หมายรวมถงึ วิธีการปฏิบตั ธิ รรมตัง้ แตเ่ บ้อื งต้น คือ “การปฏิบตั ธิ รรมเพอ่ื ใหเ้ ขา้ ถึงพระธรรมกาย” ไว้ด้วย ภาพรวมของหลกั ธรรมปฏบิ ตั ิวชิ ชาธรรมกาย อาจแบ่งไดเ้ ป็น 2 สว่ น คอื การสอนปฏบิ ตั ิสมาธใิ นเบอื้ งต้น และแผนผังการเข้าถึงธรรมไปตามลาำ ดบั 2.2.1. การสอนปฏบิ ตั สิ มาธิเบอ้ื งต้น ภาพรวมการสอนสมาธิเบื้องตน้ น้ี สรปุ มาจากทีพ่ ระทิพยป์ ริญญา (ธปู กลัมพะสตุ ป.6) บนั ทกึ ไว้ในหนังสือ “ธรรมกาย” ในปี พ.ศ. 2489 โดยความ เหน็ ชอบของพระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร) ขณะดาำ รงสมณศกั ดเ์ิ ปน็ พระครู สมณธรรมสมาทาน โดยตอ้ งการใหเ้ หน็ ภาพรวมของพธิ กี รรมเบอ้ื งตน้ ไปจนถงึ ข้นั ตอนการแนะนำาธรรมปฏิบัตดิ ้วย ดังนี้ พระมงคลเทพมนุ ลี งสอนทศ่ี าลาการเปรยี ญทกุ วนั พฤหสั บดี เวลาบา่ ย 2 โมง ผ้ทู ไ่ี ปเรยี นมที ัง้ พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อบุ าสิกา ทงั้ ที่อยู่ในวัดปากนำา้ เองและทม่ี าจากวดั อื่น หรือที่มาจากต่างจงั หวัดไกลๆ กม็ ี มีตัง้ แตเ่ ดก็ อายุ 5 ขวบ 7 ขวบ คนร่นุ หนุ่มสาว ไปจนถึงผูเ้ ฒ่า 62 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ภาพที่ 1 พระมงคลเทพมุนสี อนการเจริ สมาธิภาวนาเบอื งต้น เวลาสอน พระมงคลเทพมนุ นี งั่ บนอาสนส์ งฆ์ ภกิ ษสุ ามเณรกน็ งั่ เรยี นบน อาสนส์ งฆ์ สว่ นอบุ าสกอุบาสิกาน่ังทพ่ี ้ืนศาลา อปุ กรณ์ในการสอน มกี ระดาน ชนวนแผน่ หนงึ่ เขยี นรปู คนนง่ั สมาธไิ วเ้ ปน็ ตวั อยา่ ง และบอกจดุ หมายทกี่ าำ หนด อารมณ์ไว้ 7 ฐาน มีไมช้ ้ีบอกตาำ แหนง่ อนั หนงึ่ และมีลูกแก้วกลมใส ขนาดเทา่ ปลายนว้ิ มือ เอาไว้ให้ดเู ป็นตัวอยา่ งของบรกิ รรมนมิ ิต ในเบ้ืองต้น ท่านแนะนำาก่อนว่า กิจในพระพุทธศาสนาท่านวางไว้เป็น 2 ประการ คอื คันถธุระกบั วิปสั สนาธุระ คนั ถธุระ คือการเล่าเรยี นหาความรู้ ในคัมภีร์ต่างๆ วิปสสนาธุระ คือการปฏิบัติทางจิตใจอันเป็นจุดสำาคัญยิ่งใน คาำ สอนของพระพุทธองค์ เพราะเปน็ วถิ ที างทจ่ี ะทำาใหพ้ ้นทุกข์ ดังท่ีจะสอนใน วนั น้ี เพอ่ื จะใหร้ จู้ กั ตวั ของตวั เสยี กอ่ นวา่ มาเกดิ ไปเกดิ อยา่ งไร ทเ่ี รานอนหลบั ฝันไปคอื อะไร และทเี่ รานกึ แวบไปแวบมาคืออะไร บทที 2 ขอ้ มูลพ้นื ฐาน | 63
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ท่ีเรานึกแวบไปแวบมานั้นเรียกว่าใจ เมื่อตัวเรายังอยู่ที่บ้าน ใจเราได้ แวบมาท่ีศาลานี้เสียก่อนแล้ว และเมื่อตัวมาน่ังที่น่ีแล้ว เดียวใจก็แวบไปไหน ตอ่ ไหนอีก การเรียนสมาธิก็เพื่อจะบงั คบั ใจที่แวบไปแวบมานใี้ ห้น่งิ แนว่ อย่ไู ด้ จติ จะมกี าำ ลงั เขม้ แขง็ สามารถทาำ ประโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งใหญห่ ลวง ดงั ทมี่ มี าในบาลี วา่ เปน็ จติ ควรแกก่ ารงาน เปน็ จติ ทส่ี ะอาด สามารถอาำ นวยกจิ ทงั้ ปวงใหส้ าำ เรจ็ ดังประสงค์ เพราะจิตท่ียังซัดส่ายแวบไปแวบมาเหมือนแบ่งกำาลังไปใช้หลาย ทาง กาำ ลงั จติ ยอ่ มออ่ นเหมอื นสายนาำ้ ไหลจากทสี่ งู แลว้ แยกเปน็ คลองเลก็ คลอง นอ้ ยหลายสาย แตถ่ า้ กน้ั ไวใ้ หน้ าำ้ ไหลไปทางเดยี ว กาำ ลงั ดนั ของนาำ้ กแ็ รง อาจใช้ หมนุ เครือ่ งจกั รก็ได้ จติ ท่ีเปน็ สมาธิก็ฉันน้นั ส่วนการที่คนเรานอนหลับและฝันว่าไปโน่นไปน่ี ทำานั่นทำานี่ เพราะ กายมนุษย์ละเอียดหรือกายทิพย์18ออกจากตัวเราไปในขณะที่กายมนุษย์หลับ กายข้างนอกท่ีมองเห็นด้วยตาเนื้อน้ีเรียกว่ากายมนุษย์ ภายในกายมนุษย์ยัง มีอกี 4 กาย ซอ้ นกนั เป็นช้ันๆ เข้าไปตามลาำ ดบั ความละเอียดที่เพิ่มข้นึ ได้แก่ กายทพิ ย์ กายรูปพรหม กายอรปู พรหม กายธรรมหรอื ธรรมกาย แต่ละกายมี หยาบและละเอียด การมาเกดิ ไปเกิด หรือการเกิดการตาย กเ็ นื่องจากกายมนุษยล์ ะเอียด นี้ ตาเนอื้ มองไมเ่ หน็ ตอ้ งตาละเอยี ดเหมอื นกนั หรอื ยงิ่ กวา่ กนั จงึ เหน็ เรยี กตาม บาลวี า่ “สมั ภเวส”ี เมอื่ จะมาเกดิ กายละเอยี ดนเี้ ขา้ ทางจมกู บดิ าไปถงึ กงึ่ กลาง 18 กายมนษุ ยล์ ะเอยี ด อาจเรยี กอกี อยา่ งหนง่ึ วา่ “กายฝนั ” สว่ นกายทพิ ยน์ น้ั เปน็ ระดบั ทลี่ ะเอยี ดเขา้ ไป อกี ชนั้ หนง่ึ เรยี กวา่ “ฝนั ในฝนั ” เปน็ กายทซ่ี อ้ นกนั เขา้ ไปตามลาำ ดบั ความละเอยี ด (ดรู ายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ใน 2.2.2) 64 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org กายของบดิ ากอ่ น แลว้ ออกทางจมกู บดิ าเขา้ สจู่ มกู มารดา หญงิ เขา้ ทางซา้ ย ชาย เขา้ ทางขวา แล้วไปสูข่ ั้วมดลกู ของมารดา เกิดเปน็ กลลรูป เลก็ เทา่ เมลด็ โพธ์ิ เมลด็ ไทร แลว้ ฟกั ตวั เปน็ กายมนษุ ยข์ น้ึ จากรปู กลมๆ แลว้ แตกเปน็ 5 สาขา คอื เปน็ มือ 2 เท้า 2 ศีรษะ 1 แล้วจึงเตบิ โตเป็นรปู กายมนษุ ย์ข้ึนมา สว่ นการไป เกดิ หรือการตาย คือการทก่ี ายละเอียดหลดุ จากกายมนุษยไ์ ป กายมนุษยเ์ มื่อ ไมม่ กี ายมนษุ ยล์ ะเอยี ดอยเู่ ลย้ี งรกั ษากเ็ นา่ เปอื ยไป สว่ นกายมนษุ ยล์ ะเอยี ดนน้ั ก็ไปแสวงหาที่เกิดต่อไป เรยี กว่า “สมั ภเวสี” เมื่อบรรยายความเบื้องต้นโดยย่อแล้ว ท่านให้จุดธูปเทียนปักไว้บนท่ี บูชาหน้าพระพุทธรูป จากน้ันท่านนำาบูชาพระ แล้วให้ว่า นะโม 3 จบ โดย อธบิ ายวา่ นะโมหนท่ี 1 หมายนอบนอ้ มพระพทุ ธเจา้ ในอดตี หนที่ 2 นอบนอ้ ม พระพุทธเจ้าในปัจจบุ ัน หนท่ี 3 นอบนอ้ มพระพทุ ธเจา้ ในอนาคต เสรจ็ แล้วจึง นำากลา่ วขอขมาโทษต่อพระรตั นตรัยตามแบบ19 เพื่อให้กาย วาจา ใจ บริสุทธ์ิ แลว้ จงึ นาำ กลา่ วคาำ อาราธนาตามแบบอกี จบแลว้ จงึ เรม่ิ สอนใหน้ ง่ั ขดั สมาธติ าม แบบ ในการทาำ สมาธทิ า่ นแนะนาำ ใหม้ บี รกิ รรม 2 ประการ คอื บรกิ รรมภาวนา และบริกรรมนิมติ บรกิ รรมภาวนานนั้ ให้ภาวนาด้วยคาำ ว่า สมั มาอรหงั ส่วน บรกิ รรมนมิ ติ นนั้ คอื ลกู แกว้ กลมใส ดงั ทห่ี ยบิ มาชใู หด้ ู ใหท้ กุ คนนกึ กาำ หนดเอา วา่ ลกู แกว้ ใสน้ีอย่ทู ่ปี ากช่องจมูกของตนเอง หญงิ ซ้าย ชายขวา และกาำ หนด 19 แบบคำากล่าวขอขมาโทษ และคำากล่าวอาราธนาพระรัตนตรัยนี้ ตรงกันกับท่ีมีแสดงไว้ในหนังสือ สมถวิปัสสนาแบบโบราณ เช่ือว่าเป็นแบบเก่าแก่ที่ท่านได้มาจากครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยไปเรียน พระกรรมฐานดว้ ยและยังรักษาสบื ตอ่ มา (ดูรายละเอยี ดเพม่ิ เติมในภาคผนวก 1) บทที 2 ข้อมลู พื้นฐาน | 65
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีร์พทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ เอาใจให้เป็นจุดอยู่ในกลางลูกแก้วน้ีไม่ให้ไปท่ีอื่น ท่ีปากช่องจมูกน้ีเป็นฐานที่ 1 ใหภ้ าวนาวา่ สมั มาอรหังๆๆ ครบ 3 ครง้ั แล้วนึกเลื่อนลกู แก้วนน้ั ขึ้นไปยงั ฐานท่ี 2 คือเพลาตา หญงิ ซ้าย ชายขวา โดยคอ่ ยๆ สูดลมหายใจออ่ นๆ ขนึ้ ไป ภาวนาสัมมาอรหงั อีก 3 คร้ัง แล้วเลือ่ นบรกิ รรมนิมติ คอื ลกู แกว้ นั้นไปยังฐาน ท่ี 3 คอื ก่งึ กลางศีรษะ วดั ตัดตรงจากเพลาตาเข้าไป ภาวนาสัมมาอรหงั อีก 3 ครง้ั จากน้นั เล่อื นบรกิ รรมนมิ ิตลงสฐู่ านท่ี 4 คอื ชอ่ งเพดานปาก, ฐานท่ี 5 คือ ชอ่ งคอเหนอื ลกู กระเดือก, ฐานท่ี 6 คอื ตรงกึ่งกลางกายในระดบั สะดือ อยา่ ให้ เหลอื่ มซา้ ยขวาหนา้ หลงั เพราะลมเกดิ ลมดบั ตรงนน้ั ในเวลาเลอ่ื นไปแตล่ ะฐาน ให้ภาวนาสัมมาอรหัง 3 คร้งั เสมอไป สดุ ท้ายใหเ้ ลื่อนบริกรรมนิมิตคือลกู แก้ว จากฐานท่ี 6 สูงขน้ึ มา 2 นิ้ว ตรงฐานที่ 7 ภาพที่ 2 แส งฐานทงั ในการเ ินทางของใจ 66 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ภาพที่ 3 วงธาตทุ งั 6 ที่ นยก์ ลางกายฐานท่ี ตรงฐานที่ 7 นี้ มีศูนย์ 5 ศนู ย์ คอื 1. ธาตุนำ้าอยหู่ นา้ 2. ธาตุดนิ อยขู่ วา 3. ธาตไุ ฟอยู่หลัง 4. ธาตลุ มอยู่ซา้ ย 5. ธาตุอากาศอยกู่ ลาง 6. วิญญาณธาตุ และปฐมมรรคอยูต่ รงกลางนั้นอกี ที ให้กำาหนดเครื่องหมายใสสะอาดอยู่ตรงช่องศูนย์อากาศในกลางตัวน้ี แล้วภาวนาสัมมาอรหังเรื่อยไป ใจก็ให้จดจ่ออยู่กับบริกรรมนิมิตในฐานท่ี 7 บทที 2 ขอ้ มลู พน้ื ฐาน | 67
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ เรอื่ ยไป เมื่อเหน็ แสงสว่างอะไรปรากฏข้ึน ก็ใหท้ ำาใจนง่ิ เฉยไว้ตรงน้นั และถา้ เหน็ วตั ถอุ ะไรจะเปน็ ดอกไม้ ใบไม้ กอ้ นเมฆ หรอื อะไรโผลข่ นึ้ ตรงนน้ั กเ็ ฝาดสู ง่ิ น้ันเรือ่ ยไป อย่าเลือก อยา่ นึกถึงสิ่งอ่ืน แล้วสิง่ ทีเ่ ราเหน็ นั้นจะเปลีย่ นแปลงไป เอง อยา่ รีบเร่ง อยา่ อยากเห็นนั่นเหน็ น่ี ทาำ ถกู ตามวธิ ีแลว้ จะเห็นเอง เมือ่ ยงั ไม่ เหน็ อะไรกอ็ ยา่ เสยี ใจ จะตอ้ งเหน็ จนไดอ้ ยา่ งแนน่ อนไมต่ อ้ งสงสยั เมอื่ เหน็ แลว้ อย่าดีใจ วางใจเฉยๆ ไว้ ดูเรอ่ื ยไปตามปกติ อยา่ ต่นื เตน้ อย่าดีใจ อย่าเสียใจ ตอ่ เมอื่ สง่ิ ทเ่ี ราเหน็ นน้ั เปลย่ี นแปลงไปตามสภาวะเปน็ ลาำ ดบั ๆ เมอ่ื ใจเรา นง่ิ หยุด ถูกสว่ น เข้าแลว้ จะเห็นดวงธรรมใสลอยอยู่ในกึ่งกลางกาย นเ้ี รยี กวา่ ปฐมมรรค อนั เปน็ ทางเบอื้ งต้นแห่งมรรค ผล นพิ พาน ทาำ ให้ใจหยุดนิ่งเรื่อย ไป เม่ือหยุดถึงขนาดแล้ว จะเห็นเป็นกายอีกกายหน่ึงอยู่ในกายของเรา เห็น ปรากฏตรงฐานท่ี 7 นั้น นเ้ี รยี กวา่ กายทพิ ย์ เมื่อเราบาำ เพ็ญถกู ส่วนชดั ตอ่ ไป กจ็ ะได้เห็นกายรูปพรหม กายอรปู พรหม และธรรมกายเปน็ ลำาดับไป ซึง่ จะได้ เรียนร้ใู นภายหลงั อนึ่ง ทา่ นแนะนาำ กลเมด็ สำาคัญประการหนงึ่ คอื กอ่ นจะเล่อื นบริกรรม นมิ ิตจากฐานที่ 3 ลงสฐู่ านท่ี 4 นน้ั ให้เหลอื กตาช้อนขึ้น เรียกว่าทาำ ตากลบั คือเหมือนตาคนท่ีใกล้จะตาย และนึกกลับอาการเห็นของตนให้เห็นกลับเข้า ในตัวตามนนั้ เลือ่ นลงสฐู่ านที่ 4-5-6-7 เร่อื ยไป และรกั ษาอาการมองเหน็ ขา้ ง ในอยา่ งนน้ั ไว้เรื่อยไป อย่าออกนอกกาย ให้มองดใู นกาย การหลับตาเมื่อจะน่ังสมาธิน้ัน ท่านแนะนำาไม่ให้บีบตาอย่างท่ีเรียกว่า ทาำ ตาหยี หลบั ตาเบาๆ เพียงหนงั ตาปดิ กันเทา่ นัน้ พอแล้ว และใหอ้ ย่ใู นระดับ น้ันเรื่อยไป แม้จะเห็นอะไรปรากฏข้ึนก็ไม่บีบตา หลับตาไว้เบาๆ พอหนังตา 68 ร ชนิ า ันทรา รี ล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: