www.webkal.org หน้าผาของหุบเขาบามิยัน และแกะสลักพระพุทธรูปหลายองค์ รวมท้ังทรง อาราธนาสมณทูตไปเผยแผพ่ ระศาสนาท่วั เอเชยี กลาง 2.6.2. การเดินทางของพระพทุ ธศาสนาเขา้ สู่ประเทศจีน51 พระพุทธศาสนาน่าจะเดินทางเข้ามาสู่ประเทศจีนหลายครั้ง ซินเจียง หรง (Xinjiang 2004) นาำ เสนอว่า พระพทุ ธศาสนาในยุคแรกเริม่ น่าจะเข้ามา ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีนผ่านเส้นทางทะเล อย่างไรก็ดีแนวคิดเรื่องเส้น ทางการเข้ามาของพระพุทธศาสนาทางฝังดินแดนตะวันตกของจีนกลับดูจะมี หลกั ฐานหนกั แนน่ มากกวา่ ตาำ นานของประเทศจนี กลา่ วถงึ การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนามาสปู่ ระเทศ จนี ต้ังแตร่ ัชสมยั ของพระเจา้ อโศกมหาราช ซึง่ มกี ารส่งพระธรรมทตู ไปเผยแผ่ พระศาสนายังนานาประเทศ และทรงให้สร้างพระเจดีย์ไว้ตามเมืองต่างๆ จำานวน 84,000 องค์ ส่วนหนึง่ ถูกสร้างไว้ในประเทศจีน ซงึ่ ตรงกับรัชสมัยแห่ง กษตั รยิ ์โจวจ้งิ ( 520 476 B )52 สมณะจอ้ื ผนั ( พ.ศ. 1763-1818) ผนู้ พิ นธ์ “ประชมุ พงศาวดาร ว่าดว้ ยพระพทุ ธเจา้ และพระสงั ฆปรนิ ายก เลม่ ท่ี 34” (โฝจถู่ ง่ จี้ ) ระบุว่า มพี ระเจดยี จ์ ำานวน 9 องค์ที่ถกู สร้างขึน้ ในแผ่นดินจนี อนั เป็น 51 สรุปจากรายงานการวิจัยของพระเกยี รตศิ กั ด์ิ กิตฺตปิ โฺ (2557) 52 การกาำ หนดปี พ.ศ. หรอื ค.ศ. ในพงศาวดารจนี จะมคี วามคลาดเคลอื่ นจากของไทยและตะวนั ตกเปน็ อยา่ งมาก เชน่ บา้ งก็ระบวุ า่ พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าทรงประสูตเิ ปน็ เวลา 995-977 ปกี อ่ นครสิ ตกาล บ้างก็วา่ เปน็ เวลา 958 ปี และบ้างกว็ า่ 696-682 ปีกอ่ นครสิ ตกาล เป็นตน้ จงึ ไม่อาจนำามาเทยี บกนั ได้ดว้ ยการบวกลบปตี ามปกติ บทที 2 ข้อมลู พ้ืนฐาน | 119
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ผลจากนโยบายเผยแผ่ของพระเจ้าอโศก ท้ังนี้พระเจดีย์ส่วนใหญ่ต่างผุผังไป ตามกาลเวลา แต่ก็ยังมีการค้นพบบางองค์ท่ียังหลงเหลือ ซึ่งได้รับการบูรณะ ซอ่ มแซมให้มีสภาพดีอยูถ่ ึงยุคปัจจุบนั เช่น พระเจดีย์ตา้ ไปถ่า (大 ) พระ เจดยี อ์ โศกมหาราชแหง่ วดั ฝา่ เหมนิ ( ) พระเจดยี อ์ โศกมหาราช แห่งเหลยเฟิง ( ) พระเจดีย์อโศกมหาราชแห่งเหลียน หยนุ ก่งั ( ) พระเจดีย์อโศกมหาราชแห่งหนิงปอ ( ) เปน็ ต้น อย่างไรก็ดี พระภิกษุและนักวิชาการชาวจีนบางส่วนเช่ือว่าพระเจดีย์ เหล่านี้อาจไม่ได้สร้างขึ้นในยุคพระเจ้าอโศกจริง เป็นแต่เพียงตั้งช่ือตาม พระเจา้ อโศกเทา่ นน้ั และนนั่ หมายความวา่ บางทพี ระพทุ ธศาสนาอาจยงั ไมไ่ ด้ เข้าสปู่ ระเทศจีนในยุคพระเจา้ อโศกกเ็ ป็นได้ แต่กระน้ัน งานวิจัยของกุมาร (Kumar 2005: 34) อ้างถึงบันทึกใน หนงั สอื Hongming i ( ) ท่รี ะบุว่าในรัชสมัยของจินซีฮอ่ งเต้ ราว พ.ศ. 284-333 เคยมคี ณะพระธรรมทตู นาำ โดยพระศรพี นั ธุ (ซื่อลี่ฝาง ) เดิน ทางมาสู่ราชสำานักจีนพร้อมด้วยพระคัมภีร์จำานวนหนึ่ง แต่ในคร้ังนั้นจินซี ฮ่องเต้ไม่ทรงประสงค์ที่จะรับเอาพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นของต่างชาติ จึงทรง บัญชาให้สั่งขังคุกพระศรีพันธุและคณะไว้ ในคืนนั้นคุกถูกเปิดออกและคณะ พระศรพี นั ธไุ ดร้ บั การปลอ่ ยตวั ออกมาโดยบรุ ษุ รา่ งสที องสงู 16 ฟตุ เหตกุ ารณ์ อัศจรรย์น้ีทำาให้จินซีฮ่องเต้ทรงเกิดความเลื่อมใส และได้คุกเข่าก้มพระเศียร ของพระองคล์ งกบั พน้ื เพอ่ื ถวายความเคารพและขอขมาโทษในสงิ่ ทที่ รงกระทาำ ลงไป (Zürcher 2007: 20) 120 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org สว่ นในยคุ ราชวงศก์ ษุ าณะ ราวพุทธศตวรรษท่ี 6-8 พระพทุ ธศาสนาได้ ปักหลักมั่นคงท่ัวดินแดนเอเชียกลาง เมืองสำาคัญที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหม เชน่ บามยิ ัน คาบลู กชุ า โขตาน โหลวหลาน เทอรฟ์ าน และตนุ หวง ลว้ นเปน็ ศูนย์กลางที่สำาคัญทางพระพุทธศาสนา และยังคงเป็นเช่นน้ันต่อมาอีกหลาย รอ้ ยปี (Ebrey 2006: 67) ราว พ.ศ. 568-763 ในสมัยตงฮัน่ (Eastern Han Dynasty) พระพทุ ธ ศาสนาเดินทางจากเอเชียกลางสู่ประเทศจีนโดยการอุปถัมภ์ของจักรวรรดิ กษุ าณะ ( ushan mpire) ซงึ่ มบี ทบาทในการคมุ เสน้ ทางการคา้ จากแคชเมยี ร์ อัฟกานสิ ถาน แนวเขตแดนตะวันออกของอิหร่าน บรเิ วณโอเอซิสของหบุ เขา อามูดาร์ยา จนถึงดินแดนตะวันตกของหุบเขาทาริม มหานครลั่วหยางในยุค นน้ั มชี าวตา่ งชาตเิ ขา้ มาอาศยั อยจู่ าำ นวนมาก เพราะเปน็ เมอื งทม่ี บี ทบาทสาำ คญั ในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ นักเผยแผ่พระพุทธ ศาสนาในยุคน้ันได้รับการสนับสนุนจากนักธุรกิจต่างชาติท่ีเดินทางเข้ามา ค้าขายทำาธุรกิจในราชสำานักจีน ส่งผลให้มหานครล่ัวหยางเป็นแหล่งชุมนุม ของนักธุรกิจชาวพุทธต่างชาติ และกลายเป็นศูนย์กลางการแปลพระคัมภีร์ ทางพระพุทธศาสนาไปโดยปริยาย (Gernet 1996: 213) 2.6. . ตา� นานแห่งยคุ ตง ัน่ ในชว่ งแรก ประชาชนชาวฮน่ั คงจะมองพระพทุ ธเจา้ ในฐานะเปน็ เทพเจา้ ต่างชาติ ( ung 1 86 264) มีการต้ังแท่นบูชาพระพุทธรูปเอาไว้คู่กับรูป เคารพของหวางต้ี ( ) และหลาวจือ่ ภายในพระราชวงั (Kohn and a argue 1 8 8) นอกจากนี้ ยังมตี าำ นานอันโดง่ ดังเกี่ยวกับพระสบุ ินนิมติ บทที 2 ขอ้ มลู พืน้ ฐาน | 121
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ของจักรพรรดิฮน่ั หมงิ ตี้ ( พ.ศ. 571-618) ทบี่ นั ทึกไวใ้ นหนังสอื โฮ่วฮั่นซู ( ) วา่ จกั รพรรดฮิ น่ั หมงิ ตไี้ ดท้ รงพระสบุ นิ ถงึ บรุ ษุ รา่ งสที องมรี ศั มอี อกจาก กายเหาะเขา้ มาในพระตาำ หนกั ทป่ี ระทบั รงุ่ ขน้ึ จงึ ทรงสอบถามเหลา่ โหราจารย์ โหราจารย์ผคู้ งแก่เรียนนามว่า ฟอู่ ี้ ( พ.ศ. 590-635) จึงกราบทูลว่า เคย ไดย้ นิ วา่ มบี รุ ษุ ผมู้ ชี อ่ื เสยี งในประเทศอนิ เดยี ซงึ่ ผคู้ นเรยี กขานทา่ นวา่ “พทุ ธะ” (Zürcher 2007: 320) มีชีวิตในสมัยราชวงศ์โจว ท่านได้ต้ังศาสนาใหม่ทาง ดนิ แดนตะวนั ตก จกั รพรรดฮิ น่ั หมงิ ตจ้ี งึ ทรงสง่ คณะทตู นาำ โดย นายพลไฉอ้ นิ ( ) ฉนิ จงิ่ ( ) และหวังจนุ ( ) และคณะอีก 18 คนให้เดนิ ทางไปอนิ เดีย เพอื่ แสวงหาพทุ ธธรรม เมอ่ื ทตู เดนิ ทางไปถงึ เมอื งเยวจ้ อื หรอื เตอรก์ สี ถาน กไ็ ด้ พบกบั พระภกิ ษสุ องรปู เชอื้ สายอินโดซเิ ธยี น (Indo-Scythian) ผู้บวชในนกิ าย สรรวาสติวาท นามว่า กัศยปมาตังคะ ( ) และพระธรรมรัตนะหรือ พระโคภรณ์ ( ) (ผาสุข อินทราสุข 2543: 179) จึงไดอ้ าราธนาทั้งสอง รูปเดินทางพร้อมด้วยพระคัมภีร์จำานวนหน่ึงบรรทุกบนหลังม้าขาวกลับมายัง มหานครลว่ั หยาง เมอื งหลวงแห่งราชอาณาจกั รฮน่ั ในปี พ.ศ. 610 (ค.ศ. 67, Kumar 2005: 39) เมอ่ื พระภิกษุท้งั สองรูปมโี อกาสพบและสนทนาธรรมกับ จักรพรรด์ิฮ่ันหมิงตี้ ทำาให้พระองค์ทรงบังเกิดความเล่ือมใสและประกาศตน เป็นพุทธมามกะ ทั้งยังพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สร้างวัดม้าขาว ถวายพระเถระท้ังสอง และทรงอุปถัมภ์พระเถระในการแปลพระคัมภีร์ทาง พระพุทธศาสนาสู่ภาษาจนี อีกด้วย เชน่ คมั ภีรซ์ ื่อสอื เอ้อจงิ ( 經) สือตี้ ต้วนเจ ( ) โฝเปินเซิน ( ) ฝาหา่ ยจัง้ ( 藏) โฝเปนิ สิง ( ) ซงึ่ บางคมั ภรี ไ์ ดห้ ายสาบสญู ไปแลว้ อยา่ งไรกด็ ี มนี กั วชิ าการบางทา่ นวนิ จิ ฉยั วา่ คัมภีรเ์ หล่าน้ีนา่ จะถูกเขยี นข้ึนในราวพทุ ธศตวรรตท่ี 9 แต่นกั วชิ าการญีป่ นุ่ ให้ 122 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org ความเหน็ วา่ นา่ จะเขยี นในชว่ งพุทธศตวรรษที่ 11 มากกวา่ เซอรเ์ คอร์ ( rcher 1 1 -164) อธบิ ายถึงลักษณะของพระพทุ ธ ศาสนาในยคุ ฮน่ั ว่า มปี รากฏการณส์ ามอย่างรวมกันคือ 1) เป็นการบูชาท่ีผสมผสานความเช่ือทั้งเทพหวางหล่าวของเตา กับ พระพุทธเจา้ ในพระพุทธศาสนา 2) ชาวพทุ ธใหมใ่ นจนี เรม่ิ ใหค้ วามสนใจในคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนา ความ ต้องการศึกษาเน้ือหาคำาสอนเหล่านี้เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการแปลคัมภีร์โดย กลุม่ พระสงฆช์ าวต่างชาตริ ่วมกับลูกศิษย์ฆราวาสชาวจีน 3) การนาำ เอาหลักการทางพระพทุ ธศาสนามาผสมผสานกบั ลัทธคิ วาม เช่อื พนื้ เมือง 2.6.4. การแปลพระไตรปฎิ กในประเทศจนี เมื่อพระพุทธศาสนาได้รับการประดิษฐานในประเทศจีนแล้ว พันธกิจ สำาคัญอย่างยิ่งของพระธรรมทูตในสมัยนั้นคือการแปลพระสูตรจากต้นฉบับ ดั้งเดมิ เป็นภาษาจนี ซงึ่ ได้รบั การสานต่อเร่อื ยมานบั เป็นเวลาพันปี จนกระท่งั พระสตู รท่สี ำาคัญๆ ท้ังหมดได้รับการแปลออกมาจนครบในยคุ ราชวงศถ์ ัง ต่อ มาเปน็ การแปลพระสตู รทีห่ ลงเหลอื อยปู่ ระปราย ซึง่ ทั้งหมดถกู รวบรวมไว้ใน ยุคราชวงศ์ซ่ง ส่วนพระไตรปิฎกฉบับไทโช Taish Shinshū Daiz ky (大 )正新脩大藏經 ซง่ึ มจี ำานวนท้ังหมด 85 เล่มน้นั ตีพิมพ์ครัง้ แรกทป่ี ระเทศญป่ี ่นุ ระหว่างปี พ.ศ. 2465-2476 (ฉตั รสุมาลย์ กบิลสิงห์ 2525: 313) บทที 2 ข้อมลู พื้นฐาน | 123
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ หลัวและเล่ย์ได้แบ่งระยะเวลาราวพันปีของการแปลพระไตรปิฎกเป็น ภาษาจนี ออกเปน็ สามชว่ งหลกั ดงั นี้ (Luo and Hong Lei 2004: 20) 1. ในราชวงศฮ์ น่ั (พ.ศ. 568-763) ผแู้ ปลหลกั คอื พระธรรมทตู ชาวตา่ งชาติ 2. ในราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161-1450) เป็นความรว่ มมอื การทำางานแปล ระหว่างพระธรรมทูตชาวต่างชาตกิ บั คนจีน 3. ในราชวงศซ์ ง่ (พ.ศ. 1503-1822) นกั แปลชาวจนี ดาำ เนนิ การเปน็ หลกั ท้ังหมด เพราะมีทักษะความชำานาญการแปลอย่างมากแลว้ ในชว่ งแรกของการแปลพระคมั ภรี น์ นั้ มหานครลว่ั หยางมบี ทบาทสาำ คญั ในฐานะศูนย์กลางการแปลของประเทศ โดยมเี หลา่ พระธรรมทตู ชาวต่างชาติ เปน็ ผู้ใหค้ ำาแนะนาำ พระธรรมทตู ต่างชาติเหล่านีบ้ างทา่ นเปน็ ชาวพารเ์ ธยี บาง ท่านเปน็ ชาวกษุ าณะ ชาวอินโดซิเธียน ชาวซอกเดียน และอินเดีย (Tajadod 2003: 61) หนึ่งในนกั แปลสำาคญั คอื พระอันซือ่ กาว รี ( hie 1 23-4) ได้แบ่งช่วงงานแปลในสมัยราชวงศ์ ั่นไว้สาม ช่วง ไดแ้ ก่ ชว่ งแรก เกย่ี วเนอื่ งกบั พระอนั ซอ่ื กาว ชาวพารเ์ ธยี ผกู้ อ่ ตงั้ สาำ นกั ภาวนา ทม่ี ฐี านคาำ สอนของหินยาน โดยมีศิษย์ผใู้ กล้ชิดคอื อุบาสกเฉินหุย้ ( ) และ พระคงั เซงิ หยุ้ ( ) หรอื พระสงั ฆปาละ ทา่ นทาำ งานแปลอยใู่ นชว่ งเวลาราว พ.ศ. 698-712 (ค.ศ. 155-169) ชว่ งทส่ี อง เกย่ี วเนอ่ื งกบั พระโลกเกษมผมู้ าจากแควน้ กษุ าณะ ทา่ นเดนิ ทางมาถึงมหานครลว่ั หยางประมาณปี พ.ศ. 693 และทาำ งานแปลในปี พ.ศ. 124 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org 707-729 (ค.ศ. 164-186) พระโลกเกษมเน้นการแปลคมั ภรี ์มหายาน ซึ่งได้ กลายมาเปน็ แหลง่ คัมภีร์มหายานทีส่ ำาคัญในยคุ แรกของจนี เช่น ศรู งั คมสมาธิ สตู ร (Shou Lengyan Sanmei jing 經) ปรตั ยตุ ปันน (สมาธ)ิ สตู ร (Banzhou Sanmei jing 經) อชาตศัตรุราชสูตร ( she shi wang ing 經) ปรัชญาปารมติ าสตู ร ( a Pi u ing 經) เป็นตน้ พระตา่ งชาตทิ อ่ี ยใู่ นมหานครลวั่ หยางรว่ มสมยั กบั พระโลกเกษมคอื พระ จือเหย้า ( ) ชาวกุษาณะ และพระคังจวู้ ( ) ชาวซอกเดียน หนึ่งในงานแปลที่ประสบความสำาเร็จอย่างมากในยุคนี้คือ อุครปริ ปฤจฉาสูตร (Ugrapari- prcฺ cha-S tra) ซ่ึงอธิบายแนวคดิ การพฒั นาตนสู่การ เป็นพระพุทธเจ้าในขณะที่ยังใช้ชีวิตแบบฆราวาส เป็นผลงานของอุบาสกอัน เสวยี น (An Xuan ) ผเู้ ดนิ ทางมาถึงลัว่ หยางในปี พ.ศ. 724 รว่ มกับหยาน โฝเถยี ว ( ) พระภกิ ษชุ าวจนี แทร้ ปู แรกของประเทศ (Rhie 1999: 25) ช่วงท่ีสาม คือ ช่วงของคณะศษิ ยข์ องพระโลกเกษม เช่นจือเลีย่ ง (Zhi iang ) ท่านธรรมปาละ (Tan Guo ) ร่วมกับจูตา้ ลี่ ( 大 ) คังเมง่ิ เสียง ( ) ชาวซอกเดยี น ผูแ้ ปลเรื่องราวพทุ ธประวัติเปน็ คนแรก พระอนั ซอ่ื กาว เปน็ หนงึ่ ในนกั แปลคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเปน็ ภาษาจนี ในยุคบุกเบกิ ทา่ นถอื กาำ เนดิ ในฐานะมกุฎราชกุมารแห่งแควน้ พารเ์ ธีย บวชใน นกิ ายสรรวาสตวิ าท ตอ่ มาไดเ้ ดนิ ทางสมู่ หานครลวั่ หยางและอาศยั อยใู่ นเมอื งน้ี เปน็ เวลาหลายปี ทา่ นไดแ้ ปลพระคมั ภีร์ออกมาจำานวนมาก นกั ประวัติศาสตร์ ด้านพระพุทธศาสนาชาวจีนต่างยอมรับในบทบาทที่สำาคัญของท่าน และมี การเรียบเรียงชีวประวัติของท่านขึ้นมาหลายฉบับ เช่น “สารานุกรมบันทึก บทที 2 ขอ้ มลู พ้นื ฐาน | 125
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ประวัติการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาจีน” ( 藏 .2145) ท่ีรจนา โดยพระเซงิ โหยว้ ( ) การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคแรกๆ น้ัน นักเผยแผ่ต้องประสบ กับปัญหาในการเลือกใช้คำาศัพท์ท่ีเหมาะสมและตรงความหมายท่ีจะแปล คัมภีร์ออกมา เพื่อที่จะเอาชนะอุปสรรคข้อนี้ พระอันซื่อกาวได้เลือกท่ีจะใช้ เทคนคิ “เกออี้” ( ) method o analogy คือการยมื ศพั ท์เฉพาะทางของ เตามาใช้ในการแปลและอธิบายความหมายและแนวคิดในพระพุทธศาสนา (Mair 2010: 243) คาำ ศพั ทต์ า่ งๆ ของเตาทพี่ ระอนั ซอื่ กาวไดย้ มื มาใชเ้ ชน่ คาำ วา่ โซว่ ( ) ซง่ึ หมายถงึ “การเกบ็ รกั ษาไว”้ หรอื “การเฝาสงั เกต” (Bumbacher 2007: 219) ซงึ่ หมายถงึ ความเพยี รในการทาำ ใจใหเ้ ปน็ สมาธิ (Kohn and Sakade 1 8 1 2) จะพบเหน็ ศัพทน์ ใ้ี นชือ่ ของ “ต้าอันปันโส่วอีจ้ งิ ” หรอื “มหาอานาปานสมฤติ สูตร” และเพราะการท่ีพระอันซื่อกาวได้ทำาการผสมผสานดึงเอาคำาศัพท์ของ เตาเขา้ มาใชก้ บั พระพุทธศาสนา ทำาให้ชาวจีนทเ่ี พิ่งเปล่ียนมานบั ถือพระพทุ ธ ศาสนา สามารถเขา้ ใจถงึ แนวคดิ ใหมๆ่ ของพระพุทธศาสนาไดง้ า่ ยข้นึ ผลงานการแปลคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเปน็ ภาษาจนี ของคณะนกั เผยแผ่ เหลา่ น้ี ตอ่ มาไดก้ ลายเปน็ แหลง่ ขอ้ มลู ทสี่ าำ คญั ยงิ่ ในการศกึ ษาคาำ สอนเกา่ แกใ่ น พระพุทธศาสนามาจวบจนปจั จบุ นั 126 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org บทที 3 คนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี บทที 3 คนั ธาระ เอเชียกลาง และประเทศจีน | 127
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ บทน้ีจะได้นำาเสนอสิ่งที่คณะวิจัยค้นพบจากการศึกษาหลักฐาน ธรรมกายจากคัมภีร์ท่ีพบในดินแดนคันธาระและเอเชียกลางรวมท้ังจาก ประเทศจนี ซง่ึ เชอื่ วา่ รบั เอาพระพทุ ธศาสนาเขา้ ไปจากเอเชยี กลางดว้ ย คมั ภรี ท์ ่ี ศกึ ษาสว่ นใหญเ่ ปน็ คมั ภรี ท์ พี่ บในพน้ื ทท่ี เี่ คยเปน็ ศนู ยก์ ลางการเผยแผพ่ ระพทุ ธ ศาสนามากอ่ นการยดึ ครองของมสุ ลมิ ซง่ึ กระจายอยบู่ นเสน้ ทางการคา้ โบราณ และส่วนใหญ่ยังมโี บราณสถานของพุทธหลงเหลอื อยู่ หลกั ฐานธรรมกายในบทนปี้ ระมวลรวมจากงานวจิ ัย 5 ชนิ้ แม้ว่าแต่ละ ช้ินจะมีข้อสรุปตามขอบเขตงานวิจัยของตนเองเท่านั้น แต่เมื่อนำามารวมกัน แลว้ ผลการวจิ ยั ทงั้ หมดนนั้ กส็ ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ภาพรวมของหลกั ฐานธรรมกาย ในทอ้ งถน่ิ ทกี่ ำาลังศึกษา พระเกษตร าณวิชฺโช พบว่าหลักการตถาคตครรภะที่พบมากใน ทอ้ งถิ่นนม้ี ีหลกั ฐานสนับสนนุ อยู่ในพระไตรปฎิ กบาลี พระเกียรติศักด์ิ กิตฺติปฺโ พบคัมภีร์ปฏิบัติธรรมที่เก่ียวข้องกับ ศูนยก์ ลางกายถงึ 7 คัมภรี ์ ในประเทศจีนและประเทศใกลเ้ คยี ง พระวรี ะชยั เตชงกฺ โุ ร พบคาำ วา่ ธรรมกาย 202 แหง่ จาก 35 พระสตู ร ในภาษาสันสกฤตจากฐานข้อมลู เพอ่ื การศึกษา ชัยสิทธิ์ สุวรรณวรางกูล พบว่าคัมภีร์อาคมะภาษาจีนและคัมภีร์กลุ่ม มหาปรินิรวาณสตู รกล่าวถึงพระธรรมกายในหลายแง่มุม สามท่านหลัง และ ชนิดา จันทราศรีไศล พบว่ามีหลักฐานคำาสอน ธรรมกายในคัมภีร์ลายมือเขียนจากคันธาระและเอเชียกลางอายุคัมภีร์ต้ังแต่ 128 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org บทที 3 คนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี | 129 ภาพท่ี 6 จุ คน้ พบคมั ภีร์ในคันธาระและเอเชยี กลาง สวนให อยบนเสน้ ทางการคา้ โบราณ ( 21)
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ราวพุทธศตวรรษท่ี 6-14 โดยพบคำาสอนท่ีตรงกันตั้งแต่ในหลักธรรมทั่วไป จนถงึ การปฏบิ ตั ธิ รรมแบบเหน็ พระภายใน และความสาำ คญั ของศนู ยก์ ลางกาย คัมภีร์โบราณท่ีพบในคันธาระและเอเชียกลาง มีต้ังแต่อายุราวพุทธ ศตวรรษท่ี 4 จนถงึ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี 18-19 สว่ นใหญจ่ ารกึ ในภาษาสนั สกฤต คานธารี และมภี าษาทอ้ งถน่ิ บา้ ง เช่น ภาษาโขตานโบราณ เปน็ ตน้ ส่วนทแ่ี ปล เปน็ ภาษาจนี มชี ว่ งเวลาการแปลตง้ั แตป่ ลายพทุ ธศตวรรษที่ 7 จนถงึ ปลายพทุ ธ ศตวรรษท่ี 18 อย่างไรกด็ ี ในฐานข้อมลู พทุ ธวรรณกรรมสันสกฤต ยงั มีเน้ือหา คมั ภรี ท์ พี่ บจากประเทศอนิ เดยี และเนปาลรวมอยดู่ ว้ ย ซง่ึ ในทนี่ ยี้ กมาประกอบ เฉพาะพระสูตรท่ีตรงกันกับต้นฉบับคัมภีร์ลายมือเขียนท่ีพบในคันธาระและ เอเชยี กลางเท่านัน้ กล่าวได้ว่าการศึกษาคัมภีร์ในภูมิภาคนี้ พบคำาสอนที่จัดเป็นหลักฐาน หรอื อยา่ งนอ้ ยรอ่ งรอยธรรมกายในหลายแงม่ มุ และในหลกั ฐานทกุ ระดบั ตง้ั แต่ ตน้ ฉบบั คมั ภรี เ์ กา่ แกใ่ นภาษาคานธารีอายุราวกลางพุทธศตวรรษท่ี 5 เร่ือยมา จนถึงราวพทุ ธศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นอายขุ องคมั ภีรท์ ่ีใหมท่ ่ีสดุ ทศี่ กึ ษาในบทนี้ ในการแสดงผลการวิจัย ก่อนอ่ืนเห็นควรแสดงภาพรวมของเนื้อหา คาำ สอนท่ีพบในดินแดนดงั กล่าว โดยจดั กลุม่ ตามพนื้ ท่ที นี่ กั วชิ าการสนั นษิ ฐาน ว่าเปน็ แหล่งค้นพบคมั ภรี ์ อายุของคัมภรี ท์ พี่ บ ภาษาท่ใี ช้เขียน ตลอดจนภาพ รวมของเนื้อหาในเบอ้ื งต้นและนกิ ายทเ่ี กี่ยวขอ้ ง เทา่ ท่หี าข้อมูลได้ในปัจจบุ ัน 130 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org บทที 3 คนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี | 131 ภาพท่ี ภาพรวมของคมั ภีร์พระพทุ ธ าสนาจากคนั ธาระและเอเชยี กลาง แส งภาษาท่บี นั ทกและเนอื หาคมั ภีร์
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ภาพรวมข้างบนน้ีให้ข้อมูลหลายประเด็นที่มีความสำาคัญต่อการศึกษา ประวตั ศิ าสตร์การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา กลา่ วคอื 1) กลมุ่ คมั ภรี ส์ ่วนใหญท่ ่ี พบในเขตคนั ธาระโบราณมคี วามเกา่ แกก่ วา่ กลมุ่ คมั ภรี ท์ พี่ บในเอเชยี กลางราว 2-3 ศตวรรษ 2) ภาษาคานธารีมีใช้อยู่ในระยะเวลาสนั้ ๆ เพียง 5-6 ศตวรรษ กอ่ นทช่ี าวพทุ ธจะหนั มาใชภ้ าษาสนั สกฤตบนั ทกึ คมั ภรี แ์ ทน 3) คมั ภรี ส์ นั สกฤต ส่วนใหญ่ที่พบในเอเชียกลางมีอายุของการคัดลอกภายหลังจากช่วงเวลาของ การแปลคัมภีร์เป็นภาษาจีน1 และ 4) พบคำาสอนของมหายานร่วมกันกับ คำาสอนของนกิ ายหลักในกลมุ่ คัมภรี ์ที่มีอายุเกา่ แก่ท่ีสดุ เป็นตน้ มา โดยเหตทุ ห่ี ลกั ฐานจากคมั ภรี ท์ พ่ี บในคนั ธาระและเอเชยี กลางแตล่ ะชน้ิ มีความสอดคล้องกับวิชชาธรรมกายในคนละแง่มุม การนำาเสนอสิ่งท่ีค้นพบ จึงจดั ลาำ ดบั ตามประเด็นของความสอดคลอ้ งและตามลำาดบั ความเกา่ ใหมข่ อง หลกั ฐานทพ่ี บ ในแตล่ ะหวั ขอ้ หลกั จะมีประเดน็ ย่อยภายใน แสดงเนอ้ื หาของ หลักฐานจากคัมภีร์ที่มีความสอดคล้องในประเด็นน้ันๆ ตามด้วยการอธิบาย ความโดยสังเขป พอให้รู้จักหลักฐานแต่ละชิ้นในเบ้ืองต้น และอภิปรายเกี่ยว กับภาพรวมความสอดคล้องและความแตกต่างของหลักฐานในแต่ละประเด็น ซึง่ อาจมคี วามสำาคญั ในเชิงประวัตศิ าสตรก์ ารเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา 1 ดว้ ยเหตผุ ลนแ้ี ละดว้ ยโครงสรา้ งของภาษาและศพั ทท์ ใ่ี ชใ้ นการแปลภาษาจนี ทาำ ใหน้ กั วชิ าการจาำ นวน หน่ึงเช่ือว่า ต้นฉบับด้ังเดิมของคัมภีร์ที่นำามาแปลเป็นภาษาจีนนั้นน่าจะเป็นภาษาคานธารีมากกว่า สันสกฤต ส่วนคัมภีร์สันสกฤตท่ีพบอาจเป็นคัมภีร์ท่ีแปลกลับมาจากฉบับภาษาจีนอีกที (Strauch 2010: 24; Karashima 2013: 121) 132 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org ประเด็นของความสอดคลอ้ ง อาจแยกได้เป็น 3 หัวขอ้ หลัก ไดแ้ ก่ 1. ความสอดคล้องในหลักปฏิบัติทั่วไป ศึกษาหลักฐานที่มีความ สอดคลอ้ งกบั วิชชาธรรมกายในคาำ สอนหรอื หลักปฏิบัตทิ ่ัวไป 2. “ธรรมกาย” ในคันธาระ เอเชียกลาง และประเทศจีน โดยศึกษา หลักฐานท่มี ีคำาวา่ ธรรมกาย 3. สมาธภิ าวนาในคนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี ศกึ ษาหลกั ฐาน ทเี่ ปน็ พระสตู รหรอื คมั ภรี ์เก่ียวกบั การเจริญภาวนาโดยตรง 3.1. หลักฐานทสี อดคลอ้ งกับวิชชาธรรมกายในแง่ของคําสอน หรือหลกั ป บิ ัติทัวไป ในหลกั ฐานทม่ี อี ายเุ กา่ แกท่ สี่ ดุ ในกลมุ่ คอื คมั ภรี ท์ เ่ี ขยี นในภาษาคานธาร2ี พบความสอดคลอ้ งในระดบั นม้ี ากทส่ี ดุ ทงั้ นน้ี า่ จะเปน็ เพราะในคมั ภรี ค์ านธารี ท่ีค้นพบเพิ่งมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีการถอดความและนำาเนื้อหามาตีพิมพ์ เผยแพร่แล้ว เน้ือหาส่วนใหญ่ท่ีถอดความแล้วเป็นพระสูตร คัมภีร์ประเภท อวทาน (เรื่องเล่าคล้ายชาดกของเถรวาท) ธรรมบท คัมภีร์ประเภทนิทเทส ส่วนเน้ือหาคัมภีร์ที่กล่าวถึงธรรมปฏิบัติมีปรากฏเพียงประปรายเท่าน้ัน และ ยงั ไมพ่ บทเี่ ปน็ คมู่ อื ปฏบิ ตั ธิ รรมโดยตรงอยา่ งทพ่ี บในภาษาสนั สกฤตหรอื อยา่ ง คมั ภรี ์ท่ีพบในเอเชียอาคเนย์ 2 นาำ เนอ้ื หามาจากงานวจิ ยั “รอ่ งรอยวชิ ชาธรรมกายในคนั ธาระและเอเชยี กลาง” (ชนดิ า จนั ทราศรไี ศล 2557) บทที 3 คนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี | 133
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ประเด็นของหลักคำาสอนทั่วไปที่สอดคล้องกันระหว่างคัมภีร์ท่ีพบใน ภูมิภาคน้กี บั หลักการของวชิ ชาธรรมกาย มีหลายแงม่ มุ ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้ .1.1. พระพุทธองค์ทรงเป็น “พทุ ธะ” เท่าน้ัน คัมภีร์น้ีมีอายุราว พ.ศ. 544-593 (คร่ึงแรกของคริสต์ศตวรรษท่ี 1)3 จารึกในภาษาคานธารี มีเนื้อหาตอนหน่ึงตรงกันกับโทณสูตรในอังคุตตร นกิ ายบาลี จตกุ กนบิ าต (อง.เอก. 21/36/48-50) และพระสตู รจนี อกี 3 พระสตู ร เนอื้ ความกลา่ วถงึ โทณพราหมณเ์ ดนิ ตามพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เพราะเหน็ ลาย จักรท่ีฝ่าพระบาท เม่ือได้เข้าเฝาในขณะท่ีพระองค์ประทับพักอยู่ใต้ต้นไม้ต้น หนึ่งแล้ว จึงช่ืนชมพระพุทธลักษณะและกราบทูลถามว่า พระองค์ทรงเป็น เทวดา คนธรรพ์ ยกั ษ์ หรอื มนษุ ย์ พระพทุ ธองคต์ รสั ปฏเิ สธทงั้ หมดวา่ พระองค์ มไิ ดเ้ ป็นเทวดา และมิได้เปน็ คนธรรพ์ ยกั ษ์ หรอื มนุษย์ อยา่ งใดอยา่ งหนึง่ เลย เพราะกเิ ลสอนั เปน็ เหตใุ หก้ ลบั มาเกดิ เปน็ เทวดา คนธรรพ์ ยกั ษ์ หรอื มนษุ ยน์ นั้ พระองคไ์ ดก้ ำาจดั เสียสน้ิ แล้ว พระองคเ์ ปน็ “พุทธะ” ผ้ไู มต่ ิดอยู่ในโลก เสมอื น ดอกบวั ไมต่ ดิ อยใู่ นนา้ำ และโคลนตม ฉะนนั้ (Allon and Glass 2001, pp. 124-5) 3 การประเมินอายุของคัมภีร์ชุดนี้ ในเบ้ืองต้นเป็นการประเมินจากรูปแบบตัวอักษร ท่ีเรียกว่า Palaeograpic Dating (Allon and Glass 2001: 67) คมั ภีร์ท่ศี ึกษาน้เี ป็นช้ินที่ 12 และ 14 ของคัมภรี ์ ในกล่มุ British Library Collection ซึ่งสนั นษิ ฐานว่าน่าจะค้นพบใกล้หมบู่ า้ นฮดั ดา ในฝงั ตะวนั ออก ของประเทศอัฟกานิสถานด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ 1) จากการบอกเล่าของตัวกลางในการขาย คัมภีร์ชุดนี้ให้กับหอสมุดแห่งชาติอังกฤษว่าพบคัมภีร์ที่ฮัดดา และ 2) คัมภีร์ชุดน้ีได้มาพร้อมกับ หม้อบรรจุ บนตัวหมอ้ มีข้อความจารึกในอกั ษรขโรษฐวี ่าถวายใหก้ บั พระในนกิ ายธรรมคปุ ตก์ คมั ภรี ์ และหม้อที่จารึกด้วยอักษรขโรษฐีในทำานองนี้พบได้ท่ัวไปในพระสถูปโบราณจำานวนมากบนพื้นท่ี ราบ Jalalabad ท่ีเคยเป็นตำาบลนคราหาระในยคุ โบราณ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในพระสถูปบริเวณใกล้ หมบู่ า้ นฮัดดา (Salomon 1999: 20) 134 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org เนอื้ หาของพระสตู รนม้ี นี ยั ทส่ี อดคลอ้ งกนั กบั หลกั การในวชิ ชาธรรมกาย กล่าวคือ เมื่อตรสั รเู้ ปน็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ แลว้ พระพทุ ธองค์ทรงเป็นหนึง่ เดียวกับ “พุทธะ” คือผู้รู้ภายใน ทรงหลุดพ้นจากความยึดถือในกายมนุษย์ กายทิพย์ เปน็ ตน้ ว่าเปน็ “ตน” หรือ “ของตน” และทรงหลดุ พน้ จากกิเลส ท่มี อี ยใู่ นกายเหลา่ นั้น จงึ ทรงตอบพราหมณไ์ ปว่าทรง “มิได้เป็นมนุษย์” และ มิไดเ้ ปน็ อยา่ งอื่น แต่ “เป็นพทุ ธะ” เท่านน้ั ความสอดคล้องกับหลักการในวิชชาธรรมกายในประเด็นน้ีอาจเห็นได้ จากที่พระมงคลเทพมนุ ีแสดงธรรมไวใ้ นวาระต่างๆ เช่น การละกเิ ลสของพระองค์หลดุ ไปเปน็ ช้ันๆ ตั้งแตก่ ิเลสใน กายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรปู พรหม เปน็ ลาำ ดับ ไป กเิ ลสในกายมนุษย์คือ อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ กเิ ลสใน กายทพิ ย์คอื โลภะ โทสะ โมหะ กิเลสในกายรูปพรหมคอื ราคะ โทสะ โมหะ กิเลสในกายอรูปพรหมคอื กามราคานุสัย ปฏิฆา นสุ ัย อวิชชานุสัย (รธ. 17) กายมนษุ ยน์ แี่ หละเปน็ ตวั โดยสมมตุ ิ กายมนษุ ยล์ ะเอยี ดก็ เปน็ ตวั โดยสมมตุ ิ ไมใ่ ชต่ วั จรงิ ๆ ไมใ่ ชต่ วั โดยวมิ ตุ ติ ทง้ั 8 กาย กาย ทพิ ย์ กายทพิ ยล์ ะเอยี ด กายรปู พรหม กายรปู พรหมละเอยี ด กาย อรปู พรหม อรปู พรหมละเอยี ด เปน็ ตวั โดยสมมตุ ทิ งั้ นน้ั (รธ. 320) เกดิ เปน็ พระพทุ ธเจา้ จรงิ ๆ นะ่ เกดิ ทต่ี น้ ไมศ้ รมี หาโพธิ์ เกดิ ขน้ึ ในกายพระสิทธตั ถราชกุมาร ไม่ได้เกิดขน้ึ อย่างมนษุ ยส์ ามญั บทที 3 คนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจีน | 135
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ธรรมดานี้ มนุษย์สามัญธรรมดาน้ีมีพ่อมีแม่เป็นแดนเกิด ลูก อาศยั พอ่ เปน็ เหตแุ ละอาศยั แมจ่ งึ เกดิ ขน้ึ ได้ ถา้ ไมเ่ ปน็ เชน่ นน้ั เกดิ ไม่ได้ แต่พระสิทธัตถราชกุมารอยู่ใต้ควงไม้ศรีมหาโพธ์ิทีเดียว ทาำ พระพทุ ธเจา้ ใหเ้ กดิ ในกายพระสทิ ธตั ถราชกมุ ารได้ (รธ. 722) ธรรมกายเทา่ นั้นเป็นพระพุทธเจา้ ได้ พระองค์ทรงรับสั่ง ด้วยพระองค์เองวา่ ธมมฺ กาโย อหํ อิติปิ เราตถาคตคือธรรมกาย ธรรมกายน้ันเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระตถาคตแท้ๆ ไม่ใช่อื่น (รธ. 381) เนือ้ หาของพระสูตรนีส้ ่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเล่า (narrati e) มีประเดน็ ของหลกั การอยเู่ ฉพาะประเดน็ นเี้ ทา่ นน้ั ซง่ึ นบั ไดว้ า่ สอดคลอ้ งกบั หลกั การของ วิชชาธรรมกายดังกล่าวข้างต้น ความแตกต่างที่พบเป็นเพียงเรื่องของการใช้ ถอ้ ยคาำ (wording) ทแี่ ตกต่างกนั ในการกลา่ วถงึ ธรรมทีม่ นี ยั เดียวกัน จงึ อาจ นบั เปน็ ร่องรอยวชิ ชาธรรมกายเกา่ แก่ที่สอดคล้องกนั อยา่ งสมบรู ณ์ .1.2. ทรงสอนให้ท�าความเพียร 4 อยา่ ง ในคมั ภีรค์ านธารีเกา่ แกช่ นิ้ เดยี วกนั (กับ 3.1.1) ยังมีอกี พระสูตรหนงึ่ ท่ี มเี นอื้ หาตรงกนั กบั คาำ สอนของพระมงคลเทพมนุ ใี นแงข่ องหลกั ปฏบิ ตั ทิ ว่ั ไป ใน พระสตู รน้ีพระพุทธองคแ์ สดงธรรมว่าด้วยความเพียร 4 ประการ4 ได้แก่ สวร 4 ตรงกนั กบั ในพระไตรปิฎกบาลี อง.จตุกฺก. 21/14/20-22 เพยี งแตส่ ลบั ลาำ ดับกนั เท่านน้ั คอื ในบาลี จะเรียงลำาดบั เป็น สงั วรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน และอนุรกั ขนาปธาน 136 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org ปรฺ สณ (สงั วรปธาน) คอื ความเพยี รในการสาำ รวมอนิ ทรยี ์ ไมใ่ หย้ ดึ ถอื ในเวลาที่ ตาเหน็ รปู หไู ดย้ นิ เสยี ง เปน็ ตน้ เพราะจะเปน็ เหตใุ หค้ วามเพง่ เลง็ อยากไดห้ รอื ความทกุ ขเ์ ขา้ ครอบงาำ ใจ อโนรกษฺ ณปรฺ สณ (อนรุ กั ขนาปธาน) คอื ความเพยี ร ในการรักษาสมาธินิมิตไว้ให้ม่ันคง ซึ่งในท่ีน้ีท่านยกตัวอย่างสมาธินิมิตในการ เจริญอสภุ กรรมฐาน ภวณปฺรสณ (ภาวนาปธาน) คือ ความเพียรในการเจริญ องค์แหง่ การตรสั รู้ (โพชฌงค์) และ ปฺรสณปฺรสณ (ปหานปธาน) ซง่ึ ขอ้ ความ ในตัวคัมภรี ์คานธารขี าดหายไป แต่ในพระไตรปฎิ กบาลีกล่าวถึงข้อน้ีวา่ หมาย ถึงการเพียรละกามวิตก พยาบาทวติ ก วิหงิ สาวิตก และบาปอกุศลท้งั หลายที่ เกดิ ขน้ึ แล้วไม่ให้ครอบงำาใจอยู่ได้ (Allon and Glass 2001: 126-9) คำาแนะนำาให้ทำาความเพียร 4 ประการนี้ มีปรากฏในคำาสอนของ พระมงคลเทพมุนใี นวาระตา่ งๆ เช่นเดยี วกัน ดงั ตัวอยา่ งข้างลา่ งนี้ 1. สงั วรปธาน ความเพียรในการสาำ รวมอนิ ทรยี :์ เร่ิมตน้ สาำ รวม ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ เลยทเี ดยี ว สำารวม ระวงั ไว้ ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ ในเวลาทร่ี ปู เสยี ง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์มากระทบ ไม่ใหค้ วามชอบความไมช่ อบ ซ่ึงเป็นกิเลสหยาบเข้ามากระทบได้ สละเสีย เม่ือสละเช่นน้ัน ถ้าว่าเกียจคร้านไม่ได้นะ ต้องหม่ันขยันทีเดียวต้องมีความเชื่อ ม่ันว่าปล่อยได้จริง แล้วขยันหม่ันเพียรจริง ๆ น่ันแหละจึงจะ ปลอ่ ยได้ (รธ. 146) 2. อนุรักขนาปธาน ความเพยี รในการรักษาสมาธนิ มิ ติ ทเ่ี กดิ แล้ว: บทที 3 คันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี | 137
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ถา้ เหน็ แลว้ ก็ไม่ปลอ่ ยละทีน้ี นง่ั นอน กิน ดมื่ ทาำ พดู คดิ อุจจาระ ปสั สาวะ ชาำ เลอื งไวเ้ สมอ มองอยูเ่ สมอ ใจจดอยู่เสมอ ไม่เผลอกันละ ไม่ให้ใจหลุดทีเดียวจากดวงธรรมที่เกิดขึ้นน่ัน ไม่ใหใ้ จหลุดทีเดยี ว ตดิ ทเี ดยี ว ถ้าติดไดข้ นาดนน้ั ไม่ทำาใหห้ ลดุ เลย น่ัง นอน เดิน ยืน เวน้ ไวแ้ ตห่ ลบั นั่นประพฤติตนเขาเรียกวา่ สาตฺตกิ า นิจจฺ ํ ทฬหฺ ปรกกฺ มา ผ้มู คี วามเพียรกา้ วหน้าหมัน่ เป็น นติ ย์ มผี ลเจริญไปหน้า ไม่มถี อยหลังเลย (รธ. 347) 3. ภาวนาปธาน ความเพยี รในการเจรญิ องคแ์ หง่ การตรสั รู้ (โพชฌงค)์ พระมงคลเทพมนุ แี สดงธรรมในการเจริญโพชฌงค์ 7 ประการไว้ สรุป ความไดโ้ ดยย่อว่า การเจริญโพชฌงค์ 7 ประการ เม่ือทาำ ให้มากแล้วยอ่ มเปน็ ไปเพ่ือความรู้ยิ่ง เพื่อนิพพาน เพื่อความตรัสรู้ ได้แก่ สติสัมโพช งค์ ต้อง ไม่เผลอสติเลย เอาสตินิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำาให้เป็นกายมนุษย์ ระวัง ใจหยุดไว้ดังนั้น จะยืน เดิน นั่ง นอนก็ระวังใจหยุด ไม่เผลอเลย ธัมมวิจย สัมโพช งค์ เมอื่ ใจหยุดน่ิงอยกู่ ส็ อดส่องใจดู ความดีความช่ัวจะเลด็ ลอดเข้า มาทา่ ไหน ก็ทาำ ใจใหห้ ยุด ไมก่ งั วล ไมห่ ว่ งใย ใจหยดุ ระวงั ไว้ เป็นตวั สตวิ ินัยท่ี สอดสอ่ งอยู่ วริ ยิ สัมโพช งค์ เพยี รรกั ษาใจหยุดนั้นไว้ไม่ให้หาย ไม่ใหเ้ คลอ่ื น ไมเ่ ปน็ ไปกบั ความยนิ ดยี นิ รา้ ย มคี วามเพยี รกลน่ั กลา้ รกั ษาใจไวใ้ หห้ ยดุ ทา่ เดยี ว ปตสิ มั โพช งค์ เมอ่ื ใจหยดุ ใจกเ็ บกิ บาน ปตี ไิ มเ่ คลอ่ื นจากหยดุ เลย ยงั คงหยดุ นง่ิ อยอู่ ยา่ งนน้ั ปสสทั ธสิ มั โพช งค์ หยดุ ในหยดุ ๆ ไมม่ ถี อย สงบระงบั ซาำ้ เรอื่ ย ไป สมาธสิ มั โพช งค์ ม่นั คงอยทู่ ่ใี จหยุด ใหใ้ จเป็นหนึ่ง ไม่เปน็ สอง อเุ บกขา สัมโพช งค์ พอสมาธหิ นกั เข้าๆ นงิ่ เฉยไม่มสี องต่อไป เรียกว่า อุเบกขา นง่ิ เฉยแลว้ (สรุปความจาก รธ. 482-3) 138 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org 4. ปหานปธาน ความเพยี รละบาปอกศุ ลท่ีเกดิ ขึน้ ทา่ นแสดงธรรมแนะนาำ ใหเ้ พยี รละบาปอกศุ ลในวาระตา่ งๆ เชน่ สอนให้ ละบาปอกศุ ลทเี่ กดิ ขนึ้ ดว้ ยความอดทน มใี จความโดยสรปุ วา่ เราตอ้ งตงั้ ใจแบบ เดยี วกบั พระพทุ ธเจา้ วา่ ทา่ นสอนอยา่ งไรและทาำ อยา่ งไร ทา่ นสอนใหอ้ ดทน คอื อดใจ อดใจเวลาความโลภ หรือ อภิชฌาเกดิ ขน้ึ หยดุ นิง่ เสีย อดทนหรืออดใจ เสยี เดียวกด็ ับไป ความโกรธ ประทษุ ร้ายเกดิ ขึน้ น่ิงเสีย อดเสียไม่ให้หลดุ ออก มาไดใ้ หอ้ ยู่ในใจของตัวเอง นิง่ เสียสกั ครู่ ความโกรธ ประทุษรา้ ย พยาบาทนั้น จะดับไป มจิ ฉาทิฏฐิเกิดขน้ึ คือความเห็นผดิ รู้อะไรไมจ่ รงิ เลอะๆ เทอะๆ เกดิ ขึ้น ให้หยุดเสีย ไม่ช้าเท่าไรจะดับไป ฆ่าอภิชฌาตายคร้ังหน่ึง นับเป็นปัจจัย แก่นิพพาน ดบั พยาบาททเี่ กดิ ขึ้นใหม้ อดลงไปกไ็ ดช้ อ่ื ว่าเปน็ ปจั จยั แก่นพิ พาน ความเหน็ ผดิ ดบั ไปกเ็ ปน็ ปจั จยั แกน่ พิ พาน หากทาำ ไดอ้ ยา่ งนน้ี บั วา่ ตดิ อยกู่ บั ขอบ นพิ พานทเี ดยี ว ความอดทนตดิ อยกู่ บั ขอบนพิ พาน ความอดทนอนั นี้ ถา้ ไมม่ ใี น พระโพธสิ ตั วเ์ จา้ กส็ รา้ งบารมเี ปน็ พระพทุ ธเจา้ ไมไ่ ด้ ทเี่ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ไดก้ ด็ ว้ ย ความอดทนจะไปนพิ พานไดก้ ด็ ว้ ยความอดทนนี้ (สรปุ ความจาก รธ. 589-90) ตัวอย่างพระธรรมเทศนาของพระมงคลเทพมุนีท่ียกมาข้างต้น แสดง ถึงหลักคำาสอนทสี่ อดคลอ้ งกันกบั ท่ีกลา่ วไวใ้ นคัมภีรค์ านธารี โดยมีความแตก ต่างในตัวอย่างของสมาธินิมิต กล่าวคือ คัมภีร์คานธารียกตัวอย่างสมาธินิมิต ของอสุภกรรมฐาน ได้แก่ โครงกระดกู หรือซากศพ5 สว่ นในคำาสอนของวิชชา ธรรมกายยกสมาธินิมิตคือดวงธรรมภายใน นอกจากนี้ มีความแตกต่างใน 5 เปน็ ไปได้วา่ ในแหลง่ ที่พบคมั ภีรน์ ้ี จะนยิ มการเจริญอสุภภาวนา ดงั ทมี่ พี ระสตู รในคัมภีรอ์ ีกชิน้ หน่งึ ท่พี บจากแหลง่ เดียวกันกล่าวถงึ การเจริญอสุภภาวนาไว้ (ดู 3.1.6) บทที 3 คนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี | 139
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ การยกตัวอย่างบาปอกุศลท่ีต้องเพียรละ ซึ่งคัมภีร์คานธารีกล่าวถึงกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก และบาปอกุศลท้ังหลาย ส่วนในคำาสอนของพระ มงคลเทพมนุ กี ลา่ วถงึ อภชิ ฌา พยาบาท มจิ ฉาทฏิ ฐิ นบั วา่ เปน็ การพดู ถงึ อกศุ ล ทง้ั สามกลมุ่ ดว้ ยถอ้ ยคาำ ทแี่ ตกตา่ งกนั เทา่ นน้ั จงึ กลา่ วไดว้ า่ ความแตกตา่ งทพ่ี บ ระหวา่ งสง่ิ ทก่ี ลา่ วไวใ้ นคมั ภรี น์ กี้ บั คาำ สอนของพระมงคลเทพมนุ เี ปน็ เพยี งเรอื่ ง ของการใชถ้ อ้ ยคาำ หรอื สาำ นวนภาษา มากกวา่ ทจ่ี ะเปน็ ความแตกตา่ งในแงข่ อง หลักธรรม ดังนั้นคำาสอนที่พบในคัมภีร์คานธารีจึงบ่งช้ีว่าหลักธรรมในวิชชา ธรรมกายเป็นคำาสอนในพระพทุ ธศาสนามาแตเ่ ดิม 3.1.3. นิพพานเปน็ แดนเกษม ไม่มคี วามชรา ประเด็นที่สามนี้พบในคัมภีร์ประเภทนิทเทส คือคัมภีร์ที่ขยายความ คาำ สอนในพระสตู ร จารกึ ในภาษาคานธารี อายขุ องคมั ภรี ท์ คี่ ดั ลอกมาราว พ.ศ. 553-5736 (Baums 2009: 109) ถอ้ ยคำาในการอธบิ ายทีป่ รากฏในคัมภีรน์ ี้ ไมพ่ บในคมั ภรี น์ ทิ เทสหรอื อรรถกถาใดๆ ในภาษาอน่ื บง่ ชวี้ า่ คมั ภรี น์ เี้ ปน็ คมั ภรี ์ อธิบายความที่น่าจะเขียนข้ึนในคันธาระเองโดยไม่ได้แปลมาอีกที ดังนั้นคำา อธบิ ายทป่ี รากฏจงึ สะทอ้ นความเขา้ ใจของชาวพทุ ธในคนั ธาระในเรอ่ื งทกี่ ลา่ ว ถงึ นนั้ ๆ ณ ชว่ งเวลาของการเขยี นและคดั ลอกคมั ภรี น์ ี้ สว่ นขอ้ ความของคมั ภรี ์ หลกั หรอื พระสตู รทถี่ กู นาำ มาอธบิ ายนนั้ มบี างสว่ นพบเปน็ คาถาในพระสตู รบาลี บางส่วนพบในธรรมบทภาษาคานธารี อุทานวรรคภาษาสันสกฤต หรอื พบใน คมั ภีร์อืน่ ๆ ซึง่ บ่งบอกว่าคำาสอนของพระพทุ ธศาสนาที่ชาวคันธาระรูจ้ กั ในยุค 6 ค.ศ. 10-30 คมั ภรี ์นิทเทสนีเ้ ป็นคมั ภรี ภ์ าษาคานธารีช้นิ ท่ี 7, 9, 13 และ 18 ในกลุ่มของ British Library Collection 140 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org น้ันและนำามาอธิบายในคัมภีร์นิทเทสนี้เป็นเนื้อหาคำาสอนเก่าแก่ของพุทธบาง นิกายท่ีในปัจจุบันกระจัดกระจายอยู่ในคัมภีร์ของนิกายต่างๆ โดยไม่มีนิกาย ใดรักษาไวอ้ ย่างครบถว้ นหรอื ตรงกนั ท้ังหมด อนง่ึ การทคี่ มั ภรี น์ ทิ เทสฉบบั นมี้ อี ายขุ องการคดั ลอกราว พ.ศ. 553-573 บง่ ชวี้ า่ ตน้ ฉบบั กอ่ นการคดั ลอก และคมั ภรี ห์ ลกั ทถี่ กู นาำ มาอธบิ ายนา่ จะเผยแผ่ มาระยะหนง่ึ แลว้ กอ่ นหนา้ การเขยี นอธบิ ายไวใ้ นคมั ภรี น์ ทิ เทส ซง่ึ แมไ้ มส่ ามารถ บอกไดอ้ ยา่ งแนน่ อนวา่ นา่ จะเปน็ ชว่ งเวลาใด แตอ่ ยา่ งนอ้ ยนา่ จะประเมนิ ไดใ้ น เบื้องต้นว่าเปน็ คำาสอนทีเ่ ผยแผ่อยใู่ นท้องถ่ินนัน้ กอ่ น พ.ศ. 500 ในคัมภีร์นิทเทสน้ี มีข้อความท่ีอาจนับเป็นร่องรอยคำาสอนวิชชา ธรรมกายดงั น้ี อชโร ชอิ มเณน สุโตรฺ ตตฺร ณิเทโศ อชโร อณุอทเิ ศษ ณิวณธดุ ฯ ชอิ มโณ ปจ ออุ ทณกธ ฯ เต โอสิรทิ นวิ โณ ปเยษิท โว ฯ อชรภิ เว7 ฯ ทศมณ ตฺริหิ นิทเนหิ ฯ ติษ กฺษโย ปเยษทิ โว ฯ ยตรฺ ณ ก ยิ ทศโน ฯ เอษ โห โส โยอกฺเษโม ทุเอ นิวนธดุเอ ฯ (Baums 2009: 280)8 คา� แปล: สตู รวา่ “อชโร ชอิ มเณน” ในสตู รนนั้ มคี าำ อธบิ าย ดงั น้ี บทวา่ “ไม่มีความแก่” หมายเอาอนปุ าทิเสสนิพพานธาตุ 7 ในภาษาคานธารีและคมั ภีรน์ ทิ เทสฉบับน้ี ปฐมาวภิ ัตติของปงุ ลิงค์ อ การันต์ มเี ขยี นหลายแบบ ท้งั ท่ลี งท้ายเปน็ อ โอ เอ และ อำ โดยเนอ้ื ความและโครงสรา้ งของประโยค คำาวา่ อชริภเว ในท่นี ้ีนา่ จะ เป็น ปฐมาวิภัตตมิ ากกวา่ ท่จี ะเปน็ สัตตมีวิภตั ติ 8 เคร่ืองหมายจบประโยคใส่เพ่ิมเข้าไปในการปริวรรตเป็นอักษรไทยเพื่อความชัดเจนและง่ายในการ ศึกษา บทที 3 คันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี | 141
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ บทว่า “แก่ไปอย”ู่ หมายเอา อปุ าทานขนั ธ์ทง้ั 5 เขายอ่ มละท้ิง อุปาทานขันธ์เหล่านั้นเสีย ควรแสวงหานิพพานอันเป็นภาวะที่ ไมม่ ีความแก่ บทวา่ “แผดเผาอย่”ู คือ ถกู แผดเผาด้วยเหตุ 3 ประการ ควรแสวงหาความส้ินไปของเหตุเหล่านั้น ในท่ีใดไม่มี การแผดเผา ทนี่ น้ั ชือ่ ว่า “เกษมจากโยคะ” ไดแ้ ก่ นิพพานธาตุ ท้ังสองอยา่ ง ข้อความที่ยกมาน้ี กล่าวถึง อนุปาทิเสสนิพพานธาตุว่าไม่มีความแก่ กลา่ วถงึ นพิ พานธาตทุ งั้ สองประการวา่ เปน็ ความเกษมจากโยคะ ซงึ่ ตรงกนั ขา้ ม กบั อปุ าทานขนั ธ์ 5 ซง่ึ กาำ ลงั เสอ่ื ม เปน็ ทกุ ข์ และสอนใหข้ า้ มพน้ ขนั ธ์ 5 แสวงหา พระนพิ พาน เป็นหลกั คาำ สอนทต่ี รงกันในพระพทุ ธศาสนานกิ ายต่างๆ และใน วชิ ชาธรรมกาย ดงั ท่กี ลา่ วไว้คล้ายกนั ในปาสราสสิ ูตรบาลีวา่ อิธ ภิกขฺ เว เอกจโฺ จ ฯลฯ อตฺตนา ชราธมฺโม สมาโน ชรา ธมเฺ ม อาทีนวำ วทิ ติ ฺวา อชรำ อนุตตฺ รำ โยคกเฺ ขมำ นิพฺพานำ ปรเิ ยสติ (ม.มู. 12/315/314) ค�าแปล: ภิกษุทั้งหลาย บางคนในโลกน้ี ฯลฯ ตนเอง มีความแก่เป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษในส่ิงท่ีมีความแก่เป็น ธรรมดาแลว้ ยอ่ มแสวงหาพระนพิ พานทไ่ี มม่ คี วามแก่ เกษมจาก โยคะ หาธรรมอ่นื ยงิ่ กว่ามิได้ ในทำานองเดียวกนั พระมงคลเทพมุนไี ด้แสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกบั นพิ พานวา่ “สตั วท์ ง้ั หลายเม่ือไปถึงนิพพานแลว้ ก็พน้ จากเกดิ แก่ เจ็บ ตาย” 142 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org (รธ. 433) และ “พอไปถึงนิพพานแล้ว ไมเ่ กดิ ไม่แก่ ไมเ่ จ็บ ไมต่ าย เป็นอยา่ ง ใดกเ็ ปน็ อยา่ งนนั้ สวยหนกั งามหนกั สะอาดหนกั ขน้ึ ไป คงทที่ เี ดยี ว” (รธ. 845) ซง่ึ บง่ บอกว่าในนิพพานไม่มคี วามแก่ คงที่ ไม่มีความเสื่อม อนึ่ง ยังมีพระธรรมเทศนาท่ีกล่าวถึงนิพพานว่าเป็นแดนเกษม ดัง ตัวอยา่ งขา้ งลา่ งนี้ เมื่อธรรมกายเพง่ เลง็ ถกู ส่วนตกศนู ย์ มอี ายตนะอกี อยา่ ง หนึ่งท่ีเรียกว่าอายตนนิพพาน ดึงดูดธรรมกายที่ตกศูนย์น้ันเข้า นิพพานอยเู่ นืองนจิ แมใ้ นขณะมีพระชนมอ์ ยู่ ชอื่ วา่ ไปอย่สู แู่ ดน เกษมประการหนงึ่ เมือ่ จะดบั ขันธ์ พระองค์เขา้ สมาบตั ิ อายตน นพิ พานดึงดูดเขา้ สนู่ พิ พานไป น่กี เ็ รยี กวา่ ไปสแู่ ดนอนั เกษม ซึง่ อยใู่ นความหมายว่าสุคโต (รธ. 31) พระธรรมเทศนาน้ีกล่าวถึงนพิ พานธาตุสองประการ ได้แก่ สอปุ าทเิ สส นพิ พานธาตุ คอื นพิ พานในขณะทยี่ งั มรี า่ งกายอยใู่ นโลกมนษุ ย์ และอนปุ าทเิ สส นพิ พานธาตุ คอื นิพพานท่เี ขา้ ไปหลังจากดบั ขันธปรนิ ิพพานแลว้ 9 ว่าเปน็ แดน เกษมทั้งคู่ ตรงกนั กบั ทก่ี ลา่ วไว้ในคัมภีรน์ ิทเทส ภาษาคานธารีข้างตน้ คมั ภีร์ นิทเทสภาษาคานธารีนี้ จึงแสดงถึงความเข้าใจหลักธรรมของชาวพุทธยุค โบราณทสี่ อดคล้องตรงกันกบั หลักการของวชิ ชาธรรมกาย 9 ความหมายของนพิ พานธาตทุ งั้ สอง พระมงคลเทพมุนีกล่าวไว้ในพระธรรมเทศนากณั ฑ์ท่ี 47 ว่าด้วย โอวาทปาฏิโมกข์ (รธ. 592) ตรงกนั กับนิยามที่ปรากฏในพระไตรปิฎกบาลี (ข.ุ อิติ. 25/222/258) บทที 3 คนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี | 143
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ .1.4. ต้องท้งั รูท้ ง้ั เหน็ จงึ กา� จัดกิเลสได้ คมั ภรี ภ์ าษาคานธารที กี่ ลา่ วถงึ น1้ี 0 มอี ายกุ ารคดั ลอกราว พ.ศ. 683 (ค.ศ. 140)11 เนอ้ื หาทเ่ี กย่ี วขอ้ งตรงกนั กบั วาสชิ ฏสตู รหรอื นาวาสตู ร ในสงั ยตุ ตนกิ าย บาลี นิทานวรรค และในสังยุกตาคมะในพระไตรปิฎกแปลภาษาจีน (Glass 2007: 193-4) มีเนือ้ หาท่ตี รงกนั กับหลักการในวชิ ชาธรรมกายดงั น้ี ชณส ภิกฺษเว ปศส อสวณ กฺษโอ วเทมิ ณ อชณท ณ อปศท กส ชณท กส ปศท อสวณ กฺษย วเทมิ สยสทิ อย รโุ อ อย รุอส สมทุ อ อย รอุ ส อสฺตคโม อย เวทโณ อย สเ อย สขเร อย วิ โณ อย วิณส สมุทเอ อย วิณส อสตฺ คโม เอว โอ ชณท เอว ปศท อสวณ กษฺ ย วเทมิ ฯ (Glass and Allon 2007: 140)12 10 เป็นคัมภีร์คานธารีช้ินที่ 5 ในกลุ่ม Senior Collection สันนิษฐานว่าน่าจะพบที่ฮัดดา ประเทศ อัฟกานิสถาน ลักษณะของคัมภีร์และเน้ือหาคัมภีร์ทั้งชุดท่ีดูจะเป็นประเภทเดียวกันบ่งชี้ว่าคัมภีร์ ในกลุ่มนี้น่าจะเขียนข้ึนเป็นชุดในช่วงเวลาเดียวกัน แล้วบรรจุหม้อไว้เพื่อเก็บรักษา โดยถือเป็นการ ทาำ บญุ (Allon 2007: 3) 11 ผลของการตรวจวัดอายุคัมภีร์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ท่ีเรียกว่า Radio-carbon dating ร่วมกับ การประเมินอายุคัมภีร์จากข้อความระบุวันเดือนปีท่ีจารึกไว้บนตัวหม้อและฝาหม้อที่บรรจุคัมภีร์ให้ ขอ้ สรุปว่าคมั ภรี ช์ ดุ น้ีน่าจะเขยี นข้นึ ในราว ค.ศ. 130-140 (Allon 2007: 4-5; Salomon 2003: 76-8) การประเมินอายคุ มั ภีรช์ ้ินท่ี 5 น้ีจากอักษรทใี่ ชจ้ ารึกยนื ยันวา่ น่าจะเป็นราว ค.ศ. 140 (Glass 2007: 105-6) 12 ในพระไตรปฎิ กบาลี สังยุตตนิกาย มขี อ้ ความคล้ายคลงึ กัน: ชานโตหํ ภกิ ขฺ เว ปสสฺ โต อาสวานํ ขยํ วทามิ โน อชานโต โน อปสสฺ โต กิ ฺจ ภิกขฺ เว ชานโต ก ปสสฺ โต อาสวานํ ขโย โหติ อติ ิ รป อิติ รปสฺส สมทุ โย อติ ิ รปสสฺ อตฺถงคฺ โม เป อิติ เวทนา เป อิติ ส ฺ า เป อิติ สงขฺ ารา เป อติ ิ วิ ฺ าณํ อติ ิ วิ ฺ าณสสฺ สมทุ โย อติ ิ วิ ฺ าณสสฺ อตถฺ งฺคโมติ เอวํ โข ภกิ ฺขเว ชานโต เอวํ ปสสฺ โต อาสวานํ ขโย โหติ (สำ.น.ิ 16/68/35) ส่วนในพระไตรปฎิ กจีน พบที่ T263 2: 67a22-c3 144 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ค�าแปล: ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความส้ินไปแห่ง อาสวะทั้งหลาย สำาหรับผ้ทู ่ีร้อู ยู่ ผู้ท่ีเห็นอยู่ มใิ ช่สำาหรับผ้ทู ไ่ี มร่ ู้ มิใช่สำาหรับผู้ท่ีไม่เห็น เราย่อมกล่าวความส้ินไปแห่งอาสวะท้ัง หลาย... สำาหรับผู้ที่รู้อยู่ เห็นอยู่ว่า นี้คือรูป น้ีคือเหตุเกิดแห่ง รปู น้คี ือความดบั ไปแหง่ รูป นี้คอื เวทนา... นค้ี อื สญั ญา... น้ีคือ สังขาร... น้ีคือวิญญาณ นี้คือเหตุเกิดแห่งวิญญาณ นี้คือความ ดับไปแห่งวิญญาณ อย่างน้ีแล เราย่อมกล่าวความสิ้นไปแห่ง อาสวะทัง้ หลายสำาหรบั ผูท้ รี่ ู้อยู่ ผ้ทู ่เี หน็ อยู่ เท่าน้ัน ในเร่ืองนี้ พระมงคลเทพมุนีแสดงธรรมไว้ในทำานองเดียวกันว่า พระ สมั มาสัมพุทธเจ้าทรงทงั้ รแู้ ละทัง้ เห็น: จกฺขุํ าณํ ป ฺ า วิชฺชา อาโลโก ทั้ง 5 อย่างน้ีประมวล เข้าด้วยกนั รวมเปน็ คาำ แปลของคาำ ว่า พทุ โธ หรือจะแปลใหส้ ้นั เข้าอีก คำาว่า พุทโธ ก็ยังต้องแปลว่า ทั้งรู้ทั้งเห็น ไม่ใช่รู้เฉยๆ อาศัยคาำ ว่า จักขุง ญาณงั ในบาลที ่ียกขึ้นกล่าวมานั้นเปน็ เครือ่ ง ประกอบ ยง่ิ กวา่ นัน้ ยังมคี าำ วา่ ชานตา ปสสฺ ตา ฯ ในมหาสติปฏั ฐานสูตรอยูอ่ กี ซงึ่ เป็นเหตสุ นบั สนนุ วา่ ทวี่ ่าพระพทุ ธเจ้าตรัสรู้ นั้นไมใ่ ช่รเู้ ฉยๆ เป็นท้งั รู้ท้ังเหน็ (รธ. 18) ท้ังเห็นท้ังรู้ เห็นด้วยตาธรรมกาย รู้ด้วยญาณของ ธรรมกาย ญาณมแี คน่ ี้ แตก่ ายมนษุ ย์ ไมม่ ญี าณ มแี ตด่ วงวญิ ญาณ กายรปู พรหม กายรปู พรหมละเอยี ด ไมม่ ญี าณ มแี ตด่ วงวญิ ญาณ ในกายอรปู พรหม กายอรปู พรหมละเอยี ด กไ็ มม่ ีญาณ มแี ตด่ วง บทที 3 คนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจีน | 145
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ วิญญาณท้ังนั้น พอเขา้ ถงึ กายธรรม กายธรรมละเอยี ด กม็ ญี าณ (รธ. 887) ข้อความว่า ชานตา ปสฺสตา น้ัน พบเสมอในพระไตรปิฎกบาลี ใน ขอ้ ความทพ่ี ระพทุ ธสาวกกลา่ วถงึ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ซง่ึ บง่ บอกวา่ พระภกิ ษุ ในสมัยนั้น (หรืออย่างน้อยในเวลาท่ีบันทึกพระไตรปิฎกบาลีเป็นลายลักษณ์ อกั ษร) มีความเข้าใจตรงกนั ในประเดน็ น้ี ข้อความภาษาคานธารีข้างต้น แสดงถึงหลักการเก่าแก่ที่เก็บรักษาไว้ ในพระไตรปิฎกบาลี พระไตรปิฎกแปลภาษาจีน และตรงกนั กับหลักการของ วชิ ชาธรรมกาย ซง่ึ เปน็ หลกั การทช่ี าวพทุ ธเถรวาทจาำ นวนมากในปจั จบุ นั ละเลย หรอื ปฏเิ สธ หลกั ฐานจากคมั ภรี ค์ านธารที เี่ กา่ แกน่ จ้ี งึ เปน็ เครอ่ื งยนื ยนั รบั รองวา่ ความเขา้ ใจวา่ “การเหน็ ” เปน็ เงอื่ นไขสาำ คญั ขอ้ หนงึ่ ในการตรสั รแู้ ละการกาำ จดั กิเลสอาสวะน้นั เป็นหลกั การเกา่ แก่ในพระพุทธศาสนามาแต่ด้ังเดมิ .1.5. ทรงสอนให้ปลอ่ ยวางขนั ธ์ 5 ซึง่ ไม่ใช่ตน และให้อยู่โดยหนา่ ย ในขันธ์ 5 ในคมั ภรี ค์ านธารชี นิ้ เดยี วกนั นนั้ ยงั มขี อ้ ความอกี หลายตอนทต่ี รงกนั กบั หลกั การของวชิ ชาธรรมกาย ดงั เชน่ ตอนหนงึ่ มเี นอ้ื ความสอนใหป้ ลอ่ ยวางจาก ขนั ธ์ 5 ซ่ึงไม่ใชต่ นเสยี ดังนี้ ย ภิกษฺ เว ณ ตุสปฺ หุ ต ปรฺ จชอส ต ปรฺ หิณ หิทเอ สุหเอ ภวศิ ทิ กิจ ณ ตสุ ฺปหุ รโุ อ ณ ตุสปฺ หุ ต ปชอส ต ปรฺ หิณ หทิ เอ สหุ เอ ภวศิ ทิ เวทเณ ส สขร วิ ณ ณ ตุสปฺ หุ ต ปจอส ต ปรฺ หิณ หิทเอ สหุ เอ ภวศิ ทิ ฯ (Glass and Allon 2007: 138) 146 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org ภิกษุทั้งหลาย อะไรก็ตามที่ไม่ใช่ของเธอ จงปล่อยสิ่ง น้ันเสีย ส่ิงน้ันที่ปล่อยแล้ว13จักเป็นไปเพ่ือประโยชน์ เพื่อความ สุข อะไรเล่าไม่ใช่ของเธอ? รปู ไมใ่ ช่ของเธอ จงปลอ่ ยวางรปู น้นั เสีย รปู นน้ั ทปี่ ลอ่ ยแลว้ จกั เปน็ ไปเพือ่ ประโยชน์ เพ่ือความสุข... เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณไม่ใช่ของเธอ จงปล่อยวาง วญิ ญาณนน้ั เสยี วญิ ญาณนนั้ ทปี่ ลอ่ ยแลว้ จกั เปน็ ไปเพอื่ ประโยชน์ เพ่ือความสุข ข้อความดังกล่าวปรากฏในพระไตรปิฎกบาลี14 พระ ไตรปิฎกแปลฉบับภาษาจนี และในฎีกาของคัมภรี อ์ ภิธรรมโกศ ท่ีแปลเป็นภาษาทเิ บตด้วย (Glass and Allon 2007: 175-6) หลักการเดียวกันท่ีสอนให้ปล่อยวางขันธ์ 5 ซ่ึงสรุปลงได้เป็นรูปธรรม กับนามธรรม ท่ีไม่ใช่ตนหรือของตน มีกล่าวไว้โดยพระมงคลเทพมุนีในวาระ ต่างๆ ดังตวั อยา่ งนี้ 13 ในท่ีนี้แปลตามรูปประโยคและหลักไวยากรณ์ ข้อความทำานองน้ีเป็นสำานวนปกติท่ีพบท่ัวไปใน พระไตรปิฎก แตโ่ ดยใจความในภาษาไทยปัจจบุ นั หมายความวา่ “การปล่อยวางสง่ิ นนั้ ” จะเป็นไป เพ่อื ประโยชนแ์ ละเพอ่ื ความสุข 14 ข้อความท่ีพบในพระไตรปิฎกบาลี ตรงกันกับที่พบในพระสูตรคานธารีนี้เกือบทุกประการ แต่มี ขอ้ ความเพม่ิ ขน้ึ เลก็ น้อย เชน่ ใน สำ.ข. 17/71/42 มขี ้อความวา่ “ส่ิงนัน้ ท่ีพวกเธอละแลว้ ” (ตํ โว ปหนี ํ หติ าย สุขาย ภวสิ สฺ ติ ) ส่วนใน ม.ม.ู 12/287/277 พบขอ้ ความเหมอื นกนั กบั ในสังยตุ ตนิกาย และเพ่ิมขอ้ ความดงั นี้ “จกั เปน็ ไปเพอื่ ประโยชน์ เพื่อความสุข ตลอดกาลนาน” (ตํ โว ปหนี ํ ที รตฺตํ หติ าย สุขาย ภวิสสฺ ติ ) สาำ หรบั ฉบับแปลภาษาจีน พบที่ T269 2:70b1-c1 บทที 3 คันธาระ เอเชียกลาง และประเทศจีน | 147
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ รปู ธรรมนามธรรมทไี่ ดม้ านี้ มแี ลว้ หามไี ม่ เพราะความเปน็ ดังของขอยืมเหมือนกนั ทุกคน ต้องขอยืมท้ังนัน้ ผูเ้ ทศนน์ กี่ ต็ ้อง คืนให้เขา เราๆ ทุกคนกต็ อ้ งคนื ทง้ั นนั้ ขอยมื เขามาใช้ไม่ใช่ของ ตัวเลย ความเปน็ จริงเป็นอย่างน้ี (รธ. 611) เบญจขนั ธท์ ้งั รปู ขันธ์ เวทนาขนั ธ์ สญั ญาขันธ์ สังขาร ขันธ์ วิญญาณขันธ์ ขันธ์มีเท่าใด ก่ีภพกี่ชาติเท่าใด ย่อมเป็น อนิจจำ ทุกขำ ท้ังน้ัน แล้วก็ไม่ใช่ตัวด้วย ธรรมท่ีทำาให้เป็นขันธ์ เหล่านนั้ ดวงธรรมทที่ ำาให้เปน็ ขนั ธ์เหล่านัน้ ทกุ ขนั ธ์ไป ทกุ กาย ไป กไ็ มใ่ ช่ตวั อีกเหมอื นกัน ได้ชอื่ วา่ เป็นทุกข์ แลว้ ไมใ่ ชต่ ัวด้วย เมอ่ื รจู้ กั วา่ ไมเ่ ทย่ี ง ไมใ่ ชต่ วั ละก็ ตอ้ งปลอ่ ยปละละดงั นเ้ี ปน็ ชนั้ ๆ ไป (รธ. 323) ต้องปล่อยอุปาทานทั้งในกายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูป พรหม กายอรูปพรหม ต้องพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงแห่ง เบญจขนั ธ์ ดงั กลา่ วมานนั้ ดว้ ยตาธรรมกายจงึ เปน็ วปิ สั สนาวชิ ชา อนั จะเปน็ ทางใหห้ ลุดได้ (รธ. 27) นอกจากน้ี ยงั มเี นอื้ ความอกี ตอนหนง่ึ ในคมั ภรี ค์ านธารชี น้ิ เดยี วกนั เปน็ คาำ สอนให้ดาำ รงอยดู่ ว้ ยความหนา่ ยในขันธ์ 5 ดังน้ี ษธส ภิกษฺ เว กุลปุตฺรส ษธ-อกรสปฺ ณคริอ-ปรวฺ ชิทส อย อณุธรมฺ โภทิ ย รโุ อ ณิวฺรทิ พหุโล วหิ เรอ เวทณ-ส-สขร-วญิ เณ ณวิ ฺริท-พหโุ ล วหิ เรอ โส รโุ อ ณิวฺรทิ -พหุเล วิหรเต รโุ อ ปริยณทิ เวทเณ สเ สขเร วญิ เณ ณิวรฺ ิท-พหโุ ล วหิ รเต วิณ ปรยิ ณทิ 148 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org โส รุอ ปริยโณ เวทณ-ส-สขร-วิณ ปริยณ ปริมุจทิ รุอสฺป ปริมจุ ทิ เวทณ ส สขเร ปรมิ จุ ทิ วิณส ฯ ปรมิ ุจทิ ชทิ-ชร- วิอส-ิ มรณสฺป โศก-ปรเิ ทว-ทขุ -โทมณสฺต-ออุ ยส ปรมิ ุจทิ ทุขสปฺ ทิ วเทมิ (Glass and Allon 2007: 140) ค�าแปล: ภิกษุท้ังหลาย สำาหรับกุลบุตรผู้มีศรัทธา ออก จากเรือนบวชเปน็ ผู้ไม่มีเรือน นีเ้ ปน็ ความสมควรแกธ่ รรม กลา่ ว คือ พึงเป็นผู้มากด้วยความหน่ายในรูปอยู่ พึงเป็นผู้มากด้วย ความหนา่ ยในเวทนา, สญั ญา, สงั ขาร, ในวญิ ญาณอยู่ ฯ ภกิ ษนุ น้ั เมอื่ เปน็ ผมู้ ากดว้ ยความหนา่ ยในรปู อย.ู่ .. ยอ่ มรรู้ อบในรปู ยอ่ มรู้ รอบในเวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ ฯ ภกิ ษนุ น้ั เม่ือร้รู อบใน รปู รรู้ อบในเวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ยอ่ มหลดุ พน้ จากรปู ยอ่ มหลดุ พน้ จากเวทนา สญั ญา สงั ขาร ยอ่ มหลดุ พน้ จากวญิ ญาณ ย่อมหลุดพ้นจากความเกดิ ความแก่ ความเจบ็ ความตาย จาก ความโศก ความรำ่าไร ความทกุ ข์ ความโทมนสั ความแห้งผาก ของใจ เรากลา่ วว่า เขายอ่ มหลุดพน้ จากทุกข์ ดงั น้ี ข้อความภาษาคานธารีนี้ ตรงกันกับท่ีพบในพระไตรปิฎกบาลี (สำ.ข. 17/83/50-1) ซึง่ เหมอื นกันเกือบทกุ ประการ ตา่ งกันแต่เพยี งการย่อความใน จุดต่างๆ และในตอนตน้ ยอ่ หน้าที่พระสูตรคานธารีกลา่ วว่า “สำาหรบั กุลบุตร ผมู้ ศี รทั ธาออกบวชฯลฯ” แตพ่ ระสตู รบาลกี ลา่ ววา่ “สาำ หรบั ภกิ ษผุ ปู้ ฏบิ ตั ธิ รรม สมควรแกธ่ รรม” เทา่ นน้ั นอกจากนย้ี งั มขี อ้ ความแบบเดยี วกนั ในสงั ยกุ ตาคมะ ฉบบั แปลภาษาจีนด้วย (T48 2:12a18-26) (Glass and Allon 2007: 186) บทที 3 คันธาระ เอเชียกลาง และประเทศจนี | 149
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ในทาำ นองเดยี วกัน พระมงคลเทพมนุ ีไดแ้ สดงธรรมใหเ้ ห็นขนั ธ์ 5 ตาม ความเปน็ จรงิ และเบ่ือหนา่ ยในทกุ ข์ ใหต้ รกึ ระลกึ ถึงอารมณน์ ้ันไวเ้ นืองๆ เพ่ือ ใหห้ น่ายและหลุดจากความยดึ ติดในขันธ์ 5 วา่ ที่บอกแล้วในเบญจขันธ์ท้ัง น่ะ อ้ายท่ีเกิดของมันน่ะ อา้ ยที่เกดิ เวลาใด ปรุงใหเ้ กดิ ขนึ้ เวลาใด กเ็ ป็นสังขารเวลานัน้ ท่ี เรียกวา่ สังขารนะปรุงให้เกดิ ปรงุ ให้เกิดเปน็ มนุษย์ เป็นอัณฑชะ สังเสทชะ ชลาพชุ ะ อปุ ปาติกะ กำาเนิด ใน กำาเนดิ น่แี หละ เรียกว่า สงั ขารท้งั น้นั ปรุงใหม้ ีเป็นขึน้ สงั ขารท้งั หลายเหล่านั้น แหละ ถา้ เหน็ ตามปญั ญา หมดท้งั สากลโลกไมเ่ ทีย่ งเสยี เลย เห็น ว่าไมเ่ ทย่ี ง เมอ่ื ใดเห็นวา่ ไม่เทีย่ ง ก็เมอื่ นัน้ ยอ่ มเบ่อื หนา่ ยในทกุ ข์ วา่ เวยี นวา่ ยตายเกดิ อยนู่ เ้ี อาทจี่ บทแี่ ลว้ ไมไ่ ด้ เมอ่ื เหน็ เชน่ นนั้ แลว้ ละก็ จิตมนั กป็ ลอ่ ยหมด ความยดึ ถอื มน่ั ในเบญจขนั ธท์ ง้ั มนั ก็ ปล่อย ไม่ห่วงไมใ่ ย ไม่อาลยั เพราะเห็นจรงิ ตามจรงิ เสียเชน่ นน้ั อ้ายเห็นจริงตามจริงเช่นน้ัน อ้ายทางนัน้ จาำ เอาไว้ จาำ เปน็ รอยใจ เอาไว้ อยา่ ใหล้ บเชยี ว นึกไว้ร่ำาไป คาำ่ มดื ดกึ ดื่น เที่ยงคนื อยา่ งไร นกึ ไวร้ า่ำ ไป นกึ ถงึ ความเกดิ ดบั เหลา่ นนั้ กเ็ บอื่ หนา่ ยจากทกุ ข์ อา้ ย ท่เี บือ่ หนา่ ยจากทกุ ข์นัน่ แหละ จิตบรสิ ุทธิ์ (รธ. 136) แม้ว่าในพระคัมภีร์กล่าวถึงการหน่ายในขันธ์ 5 แต่พระมงคลเทพมุนี กล่าวถึงการหน่ายในทุกข์ แต่ก็คือทุกข์อันเนื่องด้วยอุปาทานขันธ์ 5 น่ันเอง ความแตกต่างของสิ่งท่ีกล่าวในพระคัมภีร์กับสิ่งท่ีกล่าวไว้โดยพระมงคลเทพ มนุ จี งึ เป็นเพยี งเร่ืองของพยญั ชนะ แต่ในส่วนของอรรถแหง่ คาำ สอนน้ันตรงกนั 150 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org หลกั ธรรมทส่ี อนใหห้ นา่ ยในขนั ธ์ 5 และปลอ่ ยวางความยดึ ถอื ในขนั ธ์ 5 ซง่ึ ไมใ่ ชต่ วั และไมใ่ ชข่ องตวั จงึ เปน็ หลกั ธรรมเกา่ แกข่ องพระพทุ ธศาสนาทเี่ กบ็ รักษาไว้ในภาษาคานธารี และสืบทอดต่อเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ดังที่ปรากฏ ในพระไตรปิฎกบาลี พระไตรปฎิ กจีน และฎกี าภาษาทิเบต และเป็นหลักการ เดียวกันกบั ทแ่ี สดงไว้ในวชิ ชาธรรมกาย .1.6. สัญญา 4 ประการ บนเปลือกไม้เบิร์ชชิ้นเดียวกัน ยังมีอีกพระสูตรหนึ่งที่ผู้ตรวจชำาระให้ ชอ่ื วา่ “สัญญาสตู ร” (Glass and Allon 2007: 138-9) ซึ่งอาจนับว่าเป็นร่อง รอยเกย่ี วกบั สมาธภิ าวนาทห่ี ลงเหลอื ใหเ้ หน็ เพยี งประปราย15ในภาษาคานธารี กล่าวถงึ สญั ญา 4 ประการ ได้แก่ 1. อสภุ สญั ญา (อ อุ ส ) สญั ญาในความไมง่ าม พบเนอื้ ความคลา้ ยกนั 2. มรณสัญญา (มรณ ส ) สัญญาในความตาย 3. อาหารปฏิกูลสัญญา (อหรป ิกุล-ส ) สัญญาในความเป็นปฏิกูล ของอาหาร และ 4. สัพพโลเก อนภริ ตสัญญา (สรวฺ โลค อณวริ ท ส ) สญั ญาในความ ไม่ยนิ ดใี นโลกท้งั ปวง 15 ในอนาคตสถานการณ์ตรงน้ีอาจเปลี่ยนไปเมื่อการศึกษาคัมภีร์ภาษาคานธารีในส่วนท่ีเหลือเสร็จ สิ้นและเผยแพร่ให้ได้รับรู้ อาจพบคัมภีร์ในภาษาคานธารีที่เป็นเรื่องเก่ียวกับสมาธิภาวนาอย่างเต็ม รปู แบบมากกวา่ น้ใี หไ้ ด้เห็น บทที 3 คันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจีน | 151
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ สัญญาแต่ละประการมีเนื้อหากล่าวขยายความไว้ไม่เกินหนึ่งย่อหน้า ดังนี้ สมาธปิ ระกอบดว้ ยสญั ญาในความไมง่ ามเปน็ ไฉน ? ภกิ ษุ ในธรรมวนิ ยั น้ี อยทู่ โี่ คนไม้ เรอื นวา่ ง หรอื กลางแจง้ ยอ่ มพจิ ารณา กายน้ีตามที่เป็นอยู่ ต้ังแตฝ่ ่าเทา้ ข้นึ มา มผี ิวหนงั ปกคลมุ จนถึง ปลายเสน้ ผม วา่ เตม็ ไปดว้ ยความไมส่ ะอาดนานัปการ ไดแ้ ก่ ผม ขน เล็บ ... ฯลฯ ... ไขขอ้ กะโหลก และมันสมอง น้ีคือความเป็น หนึ่งไมห่ วน่ั ไหวแห่งจิตของบุคคล (ผรู้ บั รู)้ ตามความเปน็ จรงิ ที่ เรยี กวา่ “สมาธปิ ระกอบดว้ ยสญั ญาในความไมง่ าม” (Glass and Allon 2007: 138-9) ในส่วนของสญั ญาท่ีเหลอื อกี 3 ประการกค็ ล้ายกนั เพียงแตเ่ ปล่ยี นสง่ิ ทพ่ี จิ ารณาเทา่ นั้น กล่าวคือ ในกรณีของมรณสญั ญา ให้พจิ ารณาวา่ เราจะต้อง ตาย เราจะไมด่ าำ รงอยนู่ าน เราจะตอ้ งอนั ตรธานไป แลว้ พระสตู รกส็ รปุ วา่ นคี่ อื ความเป็นหนึ่งไม่หวั่นไหวแห่งจิตของบุคคลผู้รับรู้ตามความเป็นจริงท่ีเรียกว่า “สมาธปิ ระกอบดว้ ยสญั ญาในความตาย” ในกรณีของสญั ญาในความเป็นปฏกิ ลู ของอาหาร ให้พิจารณาว่า น้คี อื อจุ จาระ นาำ้ ลาย อาเจียน อาหารเกา่ ทีไ่ ม่สะอาด แล้วพระสูตรกส็ รปุ ว่า น่คี อื ความเป็นหนึ่งไม่หวั่นไหวแห่งจิตของบุคคลผู้รับรู้ตามความเป็นจริงที่เรียกว่า “สมาธปิ ระกอบดว้ ยสัญญาในความปฏกิ ูลของอาหาร” และในกรณีของความไม่ยินดีในโลกทั้งปวง คัมภีร์แนะนำาว่า เมื่อมอง เห็นหมู่บ้าน เมอื ง ตาำ บล หรอื อืน่ ๆ กไ็ มย่ ึดถือ ไม่ทาำ ความพอใจ ใหพ้ จิ ารณา 152 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ไมย่ นิ ดี ขม่ และฝกจติ ของตนใหเ้ ชอื่ ง ใหค้ วรแกก่ ารงาน... หลงั จากนนั้ เมอ่ื เหน็ สวน สระ สนาม ปา่ เขาทน่ี า่ รนื่ รมย์ เปน็ ตน้ กใ็ หฝ้ กทาำ ใจอยา่ งนน้ั ... หลงั จากนนั้ ขา้ งบน ข้างลา่ ง ด้านขวาง ในทุกด้าน ก็ฝกทาำ ใจอยา่ งนัน้ ให้ได้ตลอด แลว้ พระ สตู รจงึ สรปุ วา่ นคี่ อื ความเปน็ หนงึ่ ไมห่ วนั่ ไหวแหง่ จติ ของบคุ คลผรู้ บั รตู้ ามความ เปน็ จริงทเ่ี รียกว่า “สมาธปิ ระกอบดว้ ยสัญญาในความไมย่ ินดใี นโลกทง้ั ปวง” เน้ือหาของพระสูตรน้ีไม่ตรงกันกับพระสูตรใดในพระไตรปิฎกบาลี โดยตรง หากแต่ละส่วนของคำาสอนพบกระจายอยู่หลายแห่งในพระไตรปิฎก บาลแี ละคัมภรี ์วสิ ุทธิมรรค เป็นไปไดว้ า่ การเจริญอสุภกรรมฐานจะเป็นทน่ี ยิ มในท้องท่นี ี้ ณ ช่วง เวลานั้น คัมภีร์จึงกล่าวถึงอสุภภาวนาเป็นอันดับแรก และในคัมภีร์คานธารี อีกช้ินหนึ่งที่พบจากแหล่งเดียวกัน ก็ยกตัวอย่างสมาธินิมิตเป็นซากศพ ดังที่ ไดแ้ สดงไวข้ า้ งตน้ (ดู 3.1.2 ยอ่ หนา้ สดุ ทา้ ย) และในถำ้าทเ่ี ช่ือวา่ เป็นท่สี าำ หรบั เจรญิ สมาธภิ าวนา กม็ ภี าพวาดผนงั ถา้ำ เปน็ รปู โครงกระดกู ซง่ึ เชอื่ วา่ มไี วส้ าำ หรบั เป็นบริกรรมนิมติ บทที 3 คนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี | 153
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ภาพท่ี 8 ภาพวาดผนังถ�้าที่ฮัดดา อัฟกานิสถาน (Tarzi 2013: 54) แม้ในคัมภีร์นี้จะไม่ได้กล่าวถึงประสบการณ์ท่ีเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ โดยตรงก็ตาม แต่ในคัมภีร์ภาษาคานธารีชิ้นอ่ืนก็มีกล่าวถึงรูปฌานและอรูป ฌานในระดบั ตา่ งๆ ในลกั ษณะคลา้ ยกนั กบั ทพ่ี บในพระไตรปฎิ กบาลี (ดตู วั อยา่ ง 3.1.8) ซึ่งบ่งบอกว่าชาวพุทธคันธาระในยุคน้ันรู้จักประสบการณ์ระดับฌาน เปน็ อย่างดี ในแงข่ องความสอดคลอ้ งกนั กบั หลกั การของวชิ ชาธรรมกาย พบวา่ พระ มงคลเทพมนุ สี อนใหร้ ะลกึ ถงึ สญั ญาเหลา่ นเ้ี ชน่ เดยี วกนั เพอื่ ใหไ้ มป่ ระมาทและ เรง่ ทำาความเพยี ร 154 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ปฏิกูลมนสิการปัพพะ ข้อกำาหนดด้วยข้อปฏิกูลแห่ง ร่างกายของคนเรา แห่งฟัน หนงั เน้ือตามบาลวี า่ อตฺถิ อมิ สมฺ กาเย เกสา โลมา นขา ทนตฺ า ปฏกิ ลู นน้ั ไมน่ า่ รกั นา่ ชมเลย ปฏกิ ลู แห่งรา่ งกายนี้ไมใ่ ชส่ ตั ว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ทีไ่ หน ประสมกัน แลว้ กเ็ ปน็ รา่ งกาย ลว้ นแตเ่ ปน็ ดนิ นา้ำ ไฟ ลมไป นเี้ ปน็ ธาตปุ พั พะ พอกายมนุษย์ละเอียดออกจากกายมนุษย์หยาบแล้ว ก็เน่ากัน ท้ังนั้น เปน็ ปฏิกูลอย่างนี้ ปฏิกูลน่นั เป็นข้อท่ี 5 (รธ. 577) อสภุ านปุ สสฺ วหิ รนตฺ ํ เหน็ ตามอารมณอ์ นั ไมง่ ามอยู่ สาำ รวม แล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในโภชนะ เคร่ืองใช้สอย กนิ อยู่ บรโิ ภค มศี รทั ธาปรารภความเพยี ร ไม่คลาดเคล่ือน น่ัน แหละมารรงั ควานไมไ่ ด้ (รธ. 516) ตตถฺ อปฺปมาเทน สมฺปาเทตพพฺ ํ ในเหตนุ ้ี ท่านทงั้ หลาย ไมค่ วรประมาท อยา่ เลนิ เลอ่ อย่าเผลอตวั ถา้ เผลอตัวไป วนั คืน ลว่ งไปๆ ๆ นะ ไมร่ อใครนะ เรารอใครกช็ า่ งเถอะ ความตายไม่ รอเลย ความตายไม่รอเลยสักวินาทีเดียว วันคืนเดือนปีล่วงไป เท่าน้ัน (รธ. 633) แม้จะกล่าวถึงเพียงการเจริญอสุภสัญญา มรณสัญญา หรือสัญญาใน ความไม่ยินดี ซึง่ ยังไมไ่ ดก้ ลา่ วถึงการเขา้ ถึงพระธรรมกายก็ตาม แต่การเจริญ ภาวนาที่กล่าวไว้ในพระสูตรคานธารีน้ีก็ตรงกันกับหลักการพ้ืนฐานในการ ปฏิบตั ธิ รรมของวิชชาธรรมกายดังไดแ้ สดงไวแ้ ล้ว บทที 3 คันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี | 155
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ .1.7. ผู้ไมย่ ึดตดิ ในส่ิงต่างๆ ยอ่ มมุ่งตรงสู่พระนพิ พาน ในคมั ภรี ภ์ าษาคานธารกี ลมุ่ เดยี วกนั ยงั มอี กี ชน้ิ หนงึ่ ทม่ี เี นอื้ หาคลา้ ยคลงึ กันกับขา้ งบน คอื สอนให้ไมต่ ิดในสิง่ ตา่ งๆ จึงจะหลดุ พน้ ได้ คมั ภรี ์ช้นิ น1้ี 6 มีอายุ ของการคดั ลอกราวปลายพุทธศตวรรษที่ 7 (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 2) (Lee 2009: 43) มเี นอ้ื ความโดยสรุปวา่ ในขณะท่ีพระพทุ ธองค์เสดจ็ ประทับ ณ ริม ฝงั แม่นำา้ คงคา ในอโยธยา มพี ระภกิ ษรุ ูปหนึ่งมาทูลขอพระโอวาทโดยย่อทจ่ี ะ นาำ ไปปฏบิ ตั เิ พอ่ื ความหลดุ พน้ ได้ ในขณะนน้ั มที อ่ นไมใ้ หญท่ อ่ นหนง่ึ ถกู นา้ำ พดั ลอ่ งมาในแมน่ า้ำ คงคา พระพทุ ธองคจ์ งึ ทรงแสดงธรรมโดยอาศยั ทอ่ นไมน้ น้ั เปน็ อุปมาว่า ท่อนไม้น้ัน หากไม่ติดอยู่ท่ีฝังน้ีหรือฝังโน้น ไม่จมลงในกลางลำาน้ำา และไม่ลอยไปเกยตื้น ไม่ถูกกักไว้โดยมนุษย์ อมนุษย์ หรือนำ้าวน และไม่เน่า ในภายใน ทอ่ นไม้ใหญ่น้ันกจ็ ะค่อยๆ ล่องออกไปสมู่ หาสมุทรโดยสวัสดี ทง้ั น้ี เพราะกระแสนา้ำ คงคาน้ันไหลไปสู่มหาสมุทรอยแู่ ล้ว พระพทุ ธองคท์ รงเปรียบ อปุ สรรคทัง้ 8 ประการนน้ั วา่ การตดิ อยทู่ ่ีฝงั นแี้ ละฝังโน้น เปรียบเหมือนการ ติดอย่ใู นอายตนะภายในและอายตนะภายนอก นันทริ าคะคือสง่ิ ทีท่ าำ ให้จมลง ในท่ามกลาง อัสมิมานะคือส่ิงท่ีทำาให้ลอยไปเกยต้ืน การคลุกคลีกับคฤหัสถ์ จนถึงกับมีอารมณ์ดีใจเสียใจร่วมกับเขาหรือทำาธุรกิจร่วมกันด้วยน้ันคือการ ถกู มนษุ ยก์ กั ไว้ การตงั้ ความปรารถนาไปเกดิ เปน็ เทวดาหรอื บรวิ ารของเทวดา คอื ถกู อมนุษย์จบั ไว้ และการลาสิกขากลบั ไปครองเรอื นคือการถกู นา้ำ วนกักไว้ 16 เปน็ คัมภีรภ์ าษาคานธารหี มายเลข 19 ในกลุ่ม Senior Collection 156 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ส่วนการเน่าภายในหมายถึงการปกปิดความไม่บริสุทธ์ิของตนไว้ หากภิกษุ ไม่ถูกกักไว้ด้วยอุปสรรคเหล่าน้ี ก็ย่อมดำาเนินไปในหนทางตรงและบรรลุพระ นิพพานได้ในที่สุด ท้ังน้ีเพราะอริยมรรคมีองค์ 8 ต้ังแต่สัมมาทิฏฐิเป็นต้นไป เปน็ หนทางส่พู ระนพิ พานโดยตรงอยู่แลว้ พระสูตรภาษาคานธารีนี้ มีเน้ือหาตรงกันกับทารุขันธสูตรในบาลี (ส.ำ สฬ. 18/322-4/223-6) ตา่ งกนั แตเ่ พยี งวา่ ในพระสตู รบาลนี นั้ พระพทุ ธองค์ ทรงแสดงธรรมแกภ่ ิกษุเป็นกลมุ่ ไมใ่ ช่เพียงรปู เดียว นอกจากนยี้ ังพบในคมั ภีร์ พระวินัยของมูลสรรวาสติวาท ฉบับภาษาสนั สกฤตและฉบบั แปลภาษาทิเบต และจีน และพบในพระไตรปิฎกจีนส่วนสังยุกตาคมะ และเอโกตตราคมะ อีกดว้ ย (Lee 2009: 12-26) ภาพรวมของคาำ สอนในพระสตู รนี้ เปน็ เรอ่ื งของความสาำ รวมกายและใจ จากการยดึ ตดิ ในสง่ิ ตา่ งๆ มงุ่ ตรงสหู่ นทางพระนพิ พาน ซง่ึ เปน็ หลกั การเดยี วกนั กับทพ่ี ระมงคลเทพมนุ ีสอนไวใ้ นวาระตา่ งๆ ดงั ตวั อย่างต่อไปน้ี มวั งมอยูแ่ ต่รปู เสียง กล่ิน รส สมั ผสั นนั้ แหละ มนั ก็ได้ เทา่ นน้ั จนแกต่ าย เอาดไี มไ่ ดเ้ ลย สขุ แคน่ นั้ เอง นม่ี นั สขุ นอ้ ยอยา่ ง น้ี เพยี งนิดเดยี ว เพราะอะไร เพราะรไู้ มเ่ ทา่ ทนั ตวั เอง ไมฉ่ ลาด รู้ไม่เท่าทันตัวเอง ไม่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ฝกฝน ใจในทางพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ไม่ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝกฝนใจในธรรมของสัตบุรุษ ความเห็นจึงพิรุธไปเช่นนั้น (รธ. 557) บทที 3 คนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจีน | 157
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ ไม่ให้ความยินดีเข้าไปประทุษร้าย ใจหยุดน่ิงเสีย ให้ใจ หยดุ เสีย หยุดนั้นแหละ ถูกต้องรอ่ งรอยความประสงค์พระพทุ ธ ศาสนา ทไี่ ดแ้ นะนาำ ไวใ้ นครงั้ กอ่ นๆ แลว้ วา่ อธิ อรยิ สาวโก โวสสฺ คฺ คารมมฺ ณํ กรติ วฺ า กระทาำ สละปลอ่ ยอารมณ์ รปู ารมณ์ คนั ธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ธัมมารมณ์ ปล่อยหมดทีเดียว ลภติ สมาธ ได้สมาธิแล้วใจหยุดนิ่ง น่ันแน่เราจะปล่อยอารมณ์เสีย อิธ อริยสาวโก โวสฺสคฺคารมมฺ ณํ อริยสาวกในธรรมวินัยของพระ ตถาคตเจ้าน้ี กระทาำ ปล่อยอารมณ์ สละอารมณเ์ สียไดแ้ ล้ว ลภติ สมาธ จิตไม่เกี่ยวกับอารมณ์ ใจไม่เกี่ยวกับอารมณ์ หยุดนิ่งที เดียว ลภติ สมาธ ไดซ้ ึง่ สมาธิ ลภติ จิตฺตสฺเสกกฺคตํ นิง่ หนักเข้า พอไดห้ นักเข้า แน่นหนาหนักเขา้ ทุกที กไ็ ดเ้ อกคั คตาจิต นีต่ ้อง สำารวมอย่างนี้นะจึงจะถูกต้องความประสงค์ใจดำาของพระพุทธ ศาสนา สาำ รวมได้เช่นนจี้ ะเอาตวั รอดได้ เขา้ ถงึ ซ่ึงสมาธิ เมื่อเข้า ถึงซง่ึ สมาธิ ปญั ญา วิมตุ ติ วมิ ตุ ตญิ าณทสั นะ เปน็ ลาำ ดับไปกจ็ ะ ไดบ้ รรลุมรรคผล สมมาดปรารถนา (รธ. 524) ตัวอยา่ งของคำาสอนเกา่ แกข่ ้างตน้ ทบี่ ันทกึ ไว้ในคัมภรี ค์ านธารีทีม่ ีอายุ ราวพุทธศตวรรษที่ 6-7 เหลา่ นี้ เป็นเครอ่ื งยนื ยันรับรองหลกั การท่ีรักษาไวใ้ น ภาษาอน่ื ๆ และหลักการของวชิ ชาธรรมกายว่าเปน็ หลักการเกา่ แก่มาแตเ่ ดมิ 158 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org 3.1.8. นิพพานเปน็ สขุ แท้ ไม่แปรเปล่ียน ในกลุ่มคัมภีร์คานธารีที่พบท่ีบามิยัน อัฟกานิสถาน อายุคัมภีร์ราวต้น พทุ ธศตวรรษท่ี 8 ถงึ ปลายพทุ ธศตวรรษท่ี 917 ก็มหี ลกั คำาสอนหรอื หลักปฏบิ ัติ ท่ัวไปตรงกันกับหลักการในวิชชาธรรมกายเช่นเดียวกัน ดังตัวอย่างพระสูตร หน่งึ ทมี่ เี นือ้ หาตรงกับนพิ พานสขุ สูตรในบาลี18 (อง. นวก. 23/238/430-434) มเี นอื้ ความโดยย่อดังน้ี พระอุทายีถามพระสารีบุตรว่า นิพพานเป็นสุขได้อย่างไรในเม่ือใน นิพพานไม่มีเวทนา พระสารีบุตรตอบโดยอ้อม โดยกล่าวถึงสุขชั้นต่ำาคือกาม สุข เมอื่ ภกิ ษเุ ขา้ ถึงปฐมฌานทีส่ งดั จากกามแล้ว (คือเข้าถงึ ความสุขท่ปี ระณีต ละเอียดข้ึนแล้ว) อาจมีบางครั้งท่ีสัญญาและมนสิการเก่าอันเก่ียวเนื่องด้วย กามจะฟุงข้ึนมารบกวน เรื่องน้ีนับเป็นอาพาธและเป็นความทุกข์ของผู้ที่เข้า ถึงปฐมฌาน พึงทราบโดยนยั นว้ี า่ นิพพานเปน็ สขุ อยา่ งไร ในทำานองเดียวกนั สาำ หรับภกิ ษผุ ้เู ขา้ ถึงทตุ ยิ ฌาน ตตยิ ฌาน ข้นึ ไปตาม ลาำ ดบั จนถงึ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ อาจมบี างครง้ั ทส่ี ญั ญาและมนสกิ ารเกา่ อนั เกยี่ วเนอื่ งดว้ ยองคแ์ หง่ ฌานขน้ั ตาำ่ กวา่ นน้ั ทล่ี ะไดแ้ ลว้ จะฟงุ ขนึ้ มารบกวนอกี การฟุงขึ้นขององค์ฌานในระดับตำ่ากว่าน้ันนับเป็นอาพาธและเป็นความทุกข์ ของผูเ้ ข้าถงึ ฌานขน้ั สูง พึงทราบโดยนัยน้วี ่านิพพานเปน็ สุขอย่างไร 17 คัมภีร์เหล่าน้ี เป็นชิ้นส่วนท่ีแตกหักและกระจัดกระจาย ส่วนใหญ่จะเหลืออยู่เป็นช้ินเล็กๆ แต่เม่ือ เปรียบเทียบกับเน้ือหาในพระไตรปิฎกบาลีแล้วพบว่าหลายๆ ชิ้นมีข้อความตรงกันหรือล้อกันกับ ข้อความในพระไตรปิฎกบาลีแทบจะคำาต่อคำา จึงอาศัยเนื้อความจากพระไตรปิฎกบาลีมาเสริมส่วน ที่ขาดหายไปได้ในระดบั หน่งึ 18 ชิ้นสว่ นคมั ภีรภ์ าษาคานธารีใน Schøyen Collection ช้ินที่ 80 (Jantrasrisalai et al forthcoming) บทที 3 คนั ธาระ เอเชียกลาง และประเทศจนี | 159
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ สดุ ทา้ ย พระสารบี ตุ รกลา่ วถงึ ภกิ ษทุ ขี่ า้ มพน้ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ (ซึ่งสัญญาและเวทนาดับไปหมด) มองเห็นว่ากิเลส อาสวะทงั้ หลายหมดสน้ิ ไปแลว้ พงึ ทราบโดยปรยิ ายนว้ี า่ นพิ พานเปน็ สขุ อยา่ งไร จากคำาอธิบายของพระสารีบุตร อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า ความสุขใน นพิ พานเป็นสขุ ทีเ่ ท่ยี งแท้ ไม่แปรผัน ไมย่ อ้ นกลับ เพราะไมม่ อี าพาธหรอื ทุกข์ ท่ีจะเกิดจากการฟุงข้ึนของสัญญาและมนสิการเก่าๆ มารบกวนได้อีกต่อไป ด้วยเหตุน้ี นิพพานจงึ เปน็ สุขแท้ เชน่ เดียวกนั หลักการที่วา่ ความสขุ ในนิพพานน้ันเทย่ี งแท้ ไมแ่ ปรผัน และดังน้ันจึงเป็นสุขที่ยอดเย่ียมต่างจากสุขในฌานหรืออรูปฌานน้ัน มีกล่าว ไวโ้ ดยพระมงคลเทพมุนีในวาระต่างๆ ดงั ตัวอย่างตอ่ ไปนี้ ไปเป็นพรหมเสีย 16 ช้นั ชัน้ ใดชน้ั หนึง่ ก็แบบเดยี วกัน พอส้ินอาำ นาจรูปฌานแล้วก็ตอ้ งไปเกดิ มาเกิดอีก ไม่เทย่ี ง ไมแ่ น่ แปรผนั ทั้งน้นั ไปเกิดเปน็ อรปู พรหมเถอะ อากาสานญั จายตนะ วญิ ญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญาย ตนะ พอถงึ เนวสัญญานาสัญญา ก็บอกว่า 84,000 มหากลั ป์นั่น แน่ ไปนอนอยเู่ ป็นสขุ สบาย 84,000 มหากลั ป์ ถึงสุขนานขนาด นนั้ กช็ ่างเถอะ ถงึ ครบ 84,000 มหากลั ป์ อรปู พรหมไปอกี แลว้ ตอ้ งเร่ร่อนไปอีกแลว้ ไมเ่ ลศิ ไมป่ ระเสรฐิ พวกเหลา่ นี้แปรผนั อยู่ อยา่ งน้ี ไม่เยย่ี ม (รธ. 843) นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา แปลเป็นสยามภาษาว่า พระพุทธเจ้าท้ังหลายทรงรับส่ังว่านิพพานเป็นเย่ียม เยี่ยม 160 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org อย่างไร เย่ียมกว่าทัง้ หมด (รธ. 843) เมื่อถึงนิพพานแล้ว ก็จะได้รับสุขอันวิเศษไพศาลทีเดียว นเี่ ป็นชั้นๆ ไปดังนี้ (รธ. 555) กลา่ วไดว้ า่ ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั สขุ ในนพิ พานในวชิ ชาธรรมกาย ไมแ่ ตก ตา่ งจากทกี่ ลา่ วไวใ้ นคมั ภรี โ์ บราณราวพทุ ธศตวรรษที่ 8-9 และทร่ี กั ษาไวใ้ นพระ ไตรปฎิ กบาลีมาถงึ ปจั จบุ ัน .1.9. พระพทุ ธองคท์ รงมพี ระคณุ เหนอื กวา่ พระอรหนั ตแ์ มจ้ ะตรสั รู้ นพิ พานเดยี วกัน คมั ภรี น์ ี้บนั ทึกในภาษาสนั สกฤต พบจาก 2 ทอ้ งท่ใี นเอเชยี กลาง มีอายุ ราวกลางพุทธศตวรรษที่ 9-11 และพบเป็นช้ินเล็กๆ จากบามิยัน อายุราว ปลายพุทธศตวรรษที่ 10-13 ดว้ ยเนอ้ื ความเปน็ คาถาสรรเสรญิ คณุ พระสมั มา สัมพุทธเจ้าท่ีมีความยาว 400 โศลก ช่ือว่า “จตุศติกา สโตตระ” เป็นงาน ประพนั ธข์ องชาวพทุ ธมหายานยคุ ตน้ ซง่ึ มชี อ่ื เสยี งในดา้ นความไพเราะและสละ สลวยของภาษา ผู้ประพนั ธค์ อื มาตฤเจฏ (Hoernle 1916b: 75; Hartmann 2002: 305) ชาวอนิ เดียผมู้ ีอายุอยูใ่ นราวกลางพทุ ธศตวรรษที่ 7-8 (Rahder 1953: 172)19 19 ภิกษุอ้ีจิง พระภิกษุชาวจีนผู้เดินทางไปอินเดียและพำานักที่มหาวิทยาลัยนาลันทาเป็นเวลา 10 ปี ระหว่าง พ.ศ. 1218-1228 (ค.ศ. 675-685) บันทึกไว้ว่า บทสรรเสริญพระพุทธคุณทั้งสองบทที่ ประพันธ์โดยมาตฤเจฏเป็นที่นิยมอยา่ งกว้างขวางในอินเดียทั้งในสำานักสงฆ์นิกายหลักและมหายาน ในอินเดียยคุ นนั้ ผทู้ ่ีบวชเป็นพระภิกษจุ ะตอ้ งเรียนโศลกเหลา่ นี้ทนั ทีทีส่ ามารถทอ่ งจำาศีล 5 และศลี 10 ได้ เมอื่ จำาโศลกเหล่านไ้ี ดแ้ ลว้ จงึ จะไดเ้ ร่มิ เรยี นพระสตู รอนื่ ๆ (Hoernle 1916a: 59) บทที 3 คันธาระ เอเชียกลาง และประเทศจีน | 161
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ในบทท่ี 1 คาถาที่ 7-11 มีขอ้ ความกล่าวถึงธรรมะของพระพุทธองคว์ ่า เหนอื คณุ ธรรมของพระอรหนั ตอ์ ยา่ งเทยี บกนั ไมไ่ ด้ แมจ้ ะตรสั รนู้ พิ พานเดยี วกนั ก็ตาม มีเนื้อความดงั น้ี 7. เอวำ สรฺโวตฺตมา ธรฺมา พทุ ธฺ สฺย สำปฺรธารติ า ภวนฺติ ยา ติ เศษฺจ วสตฺ วฺ วสกฺ รตาม(ิ ว) 8. น เต สฺติ สทฤศะ กศฺจทิ ทฺ ธกิ สฺย กถาสฺตุ กา อลปฺ มา เตฺรณ หีโณ ปิ ไนว กศฺจน วทิ ยฺ เต 9. ส เกโนยนยามิ ตฺวานุปเนโย สิ นายก หฤโตปมา วกาศาย นิรุปมาย เต นมะ 10. นริ วฺ าณสามานยฺ คไตสตฺ โต นไฺ ยรปิ ปทุ คฺ ไล ตวาตไุ ลรฺ พุทฺธธรไฺ มรนฺตรำ สมุ หามหมฺ 11. ศนู ฺยตามาตฺรสาทฤศยฺ าทฺยทิ นาธกิ ฺยตา ภเวตฺ โรมา กูปาณุกจฉฺ เิ ทรฺ ณากาศำ ปฺรตพิ ิมพฺ เยตฺ ค�าแปล: 7. ฉะน้ัน คณุ ธรรมของพระพุทธองค์ จึงเปน็ ธรรมสูงสดุ เหนือกว่าธรรมท้ังปวง ส่วนธรรมอื่นที่เหลือ ก็เปรียบได้เพียง หยากเยอื่ ของความจริง 8. แม้ผู้ที่เสมอเหมือนกับพระองค์ก็ยังหามิได้ จะกล่าว อะไรถึงผู้ที่เหนือกว่า? แม้จะหาผู้ท่ีด้อยกว่าพระองค์เพียง เลก็ นอ้ ยยงั หามิได้เลย 162 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org 9. แล้วข้าพระองค์จะเปรียบเทียบพระองค์กับผู้ใดได้? ข้าแต่พระผู้นำาของชาวโลก พระองค์เป็นผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้ขจัด สน้ิ แล้วซ่ึงโอกาสในการเปรยี บเทยี บ ขอความนอบนอ้ มจงมีแด่ พระองค์ผไู้ ร้ซึง่ อุปมา 10. ฉะน้ัน แม้บุคคลอื่นๆ จะได้เข้าถึงพระนิพพาน เดียวกันก็ตาม ระยะห่างจากคุณธรรมของพระองค์ผู้เป็น พระพทุ ธเจ้าท่ีไม่มผี ู้เสมอเหมอื นก็ยังกว้างใหญ่นัก 11. หากจะอาศัยเพียงเหตุผลของความคล้ายคลงึ ในการ เข้าถึงความว่าง(สุญญตา)เหมือนกนั แลว้ จะสรุปวา่ ไมม่ อี ะไรยิง่ หย่อนกว่ากัน เราก็คงกำาลังเปรียบรูขุมขนท่ีเป็นช่องเล็กจิวว่า เสมอเหมือนกันกบั ทอ้ งนภากาศนั่นเอง ขอ้ ความในคาถาแสดงถงึ ความเขา้ ใจของชาวพทุ ธในยคุ นน้ั วา่ คณุ ธรรม ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ นนั้ เหนอื กวา่ ธรรมของพระปจั เจกพทุ ธเจา้ และพระ อรหนั ตสาวก สอดคลอ้ งกบั หลกั การในวชิ ชาธรรมกายทก่ี ลา่ วถงึ ธรรมกายของ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ธรรมกายของพระปจั เจกพทุ ธเจา้ และของพระอรหนั ต สาวก แยกกันตา่ งหาก ซึ่งบง่ บอกว่าไม่เหมอื นกนั ดงั น้ี ธรรมกายหรือกายธรรมหมดท้ังสิ้น ยกธรรมกายของ พระสัพพัญูและธรรมกายของพระปัจเจกพุทธเจ้าออกเสีย นอกจากนนั้ เปน็ ธรรมกายของพทุ ธสาวกทงั้ สน้ิ มมี ากนอ้ ยเทา่ ใด เป็นสังฆรัตนะ แก้วคือสงฆ์ (รธ. 71) บทที 3 คนั ธาระ เอเชียกลาง และประเทศจีน | 163
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ การกลา่ วถงึ ธรรมกายของพระสพั พญั ู ธรรมกายของพระปจั เจกพทุ ธ เจา้ และ ธรรมกายของพทุ ธสาวก แยกกนั อยา่ งน้ี แสดงวา่ ในวชิ ชาธรรมกาย ถือว่า ธรรมกายของพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า ของพระปจั เจกพทุ ธเจา้ และของ พระอรหันต์น้นั ต่างมีคณุ สมบัตทิ ีไ่ ม่เสมอกัน เรือ่ งความแตกตา่ งกันของพระ สัมมาสัมพทุ ธเจา้ และของพระพุทธสาวกนี้ พระไตรปฎิ กบาลกี แ็ สดงไวช้ ัดเจน วา่ ไมม่ พี ระภกิ ษรุ ปู ใดรปู หนง่ึ เลยทจ่ี ะถงึ พรอ้ มดว้ ยคณุ ธรรมเสมอดว้ ยพระพทุ ธ องคท์ ุกประการ (ม.อ.ุ 14/106/90) ซงึ่ ตรงกันกบั เน้ือความในโศลกสันสกฤต น้แี ละหลักการของวชิ ชาธรรมกาย .1.1 . พระพทุ ธเจ้าในอดตี มจี า� นวนมากเหมอื นเมด็ ทราย ความเขา้ ใจอย่างหน่ึงในวิชชาธรรมกายคือ พระพทุ ธเจา้ ทตี่ รัสรู้ลว่ งไป แลว้ ในอดตี มมี ากนบั ประมาณมไิ ด้ และทกุ พระองคต์ า่ งมลี กั ษณะมหาบรุ ษุ เชน่ เดยี วกนั เรอื่ งนอ้ี าจนบั วา่ เปน็ ความเขา้ ใจทตี่ รงกนั ของชาวพทุ ธในหลายทอ้ งที่ ดงั ทป่ี รากฏในคัมภรี ์สันสกฤตจากเอเชียกลางเป็นตัวอยา่ ง 3.1.10.1. ธรรมกายสตู ร คัมภีร์น้ีมีอายุการคัดลอกราวกลางพุทธศตวรรษที่ 12-14 ซ่ึง Wille (2005) สันนิษฐานแบบไมม่ ่นั ใจนกั ว่า อาจเป็น “ธรรมกายสตู ร” เนือ้ หาพระ สตู รกลา่ วถงึ หมวดธรรมในลกั ษณะคลา้ ยสงั คตี สิ ตู ร แตเ่ ปน็ ธรรมฝา่ ยกศุ ลลว้ นๆ รวมทงั้ แนะนาำ การเจรญิ พทุ ธานสุ ติ ธมั มานสุ ติ สงั ฆานสุ ติ จากนน้ั กลา่ วถงึ ความ ลึกซง้ึ ของธรรมทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงตรสั รู้ ตามด้วยขอ้ ความว่า “พระสมั มาสัม พุทธเจ้าท้งั หลาย อุปมาดังเม็ดทรายในแม่นา้ำ คงคา ทรงมพี ระลักษณะเฉพาะ ที่เหมือนกันทุกพระองค์ ทรงตรัสรู้แล้ว ได้ทรงบรรลุพระสัพพัญุตญาณ” 164 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org (นทีคงฺคาวาลุโกปมา สมฺยกฺสมฺพุทฺธา สฺวลกฺษณสามานฺยลกฺษณต ฺจาวพุธฺย สารฺวชฺ ํ ชฺ านมธิคตวํตะ) และยังมีข้อความอ่ืนๆ ตามมาภายหลังจากนั้น ซ่ึงเป็นจุดที่คัมภีร์ขาดว่ิน ข้อความจึงขาดหายไปอย่างน่าเสียดาย (Sander 1980: 251-7) ความเข้าใจที่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตมีจำานวนมาก ในคำาสอน พระมงคลเทพมุนีนั้น มีปรากฏในคำากล่าวบูชาพระรัตนตรัยก่อนการเจริญ สมาธิภาวนา มขี อ้ ความว่า: ข้าพระพุทธเจ้าขออาราธนาสมเด็จพระพุทธเจ้า ท่ี ได้ตรัสรู้ล่วงไปแล้ว ในอดีตกาล มากกว่าเม็ดทรายในท้อง มหาสมุทรทง้ั ... (รธ. 924) และยังมีในวาระอื่นๆ ที่ท่านกล่าวถงึ พระพทุ ธเจา้ ในอดตี ว่ามีมาก แต่ ไมไ่ ดเ้ ปรยี บเทียบวา่ เหมอื นเมด็ ทราย เชน่ ในตัวอย่างข้างลา่ งน้ี เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธในโลกแล้ว ท่านก็ส่องดู ธรรมอุปนิสัยสัตว์ ว่าน่ีเราปฏิบัติมาถึงแค่นี้แล้ว เราจะเคารพ อะไร ? เราไม่เหน็ มีใครควรเคารพใน 3 ภพ... ฯลฯ ... ท่านก็ สอดธรรมกายพระอรหัตถอยออกไปนิพพาน มีเท่าไร มีเท่าไร มีเท่าไร ก็เข้ากลางหนักเข้าไป ถามพระพุทธเจ้าท่ีไปนิพพาน แล้วเก่าๆ มากน้อยมีเท่าไรรู้เรื่องหมด ว่าพระพุทธเจ้าเก่าๆ นับถือใคร บูชาใคร เคารพใคร... พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใด ใน อดีตกาลที่ล่วงไปแล้วทั้งหลาย พระพุทธเจ้าเหล่าใดที่ปรากฏ บทที 3 คันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจีน | 165
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ในปัจจบุ นั พระพทุ ธเจ้าทงั้ หลายเหล่าใดทีจ่ ะมาในอนาคตกาล ภายภาคขา้ งหนา้ พระสมั พทุ ธเจ้าพระองค์ใด ผ้ซู งึ่ ยงั ความโศก ของประชาชนเปน็ อนั มากใหว้ นิ าศไป ซง่ึ ปรากฏอยใู่ นปจั จบุ นั นี้ สพเฺ พ สทธฺ มมฺ ครุโน ล้วนเคารพสทั ธรรมทั้งส้นิ เคารพสทั ธรรม ทเี ดียว (รธ. 275-6) แมว้ า่ คัมภรี ์สันสกฤตของ “ธรรมกายสตู ร” นีจ้ ะมีอายไุ มเ่ ก่าแกน่ ัก คือ ราวพุทธศตวรรษท่ี 12-14 แต่ความเข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตมี จาำ นวนมากนน้ั นา่ จะเปน็ ความเขา้ ใจปกตขิ องชาวพทุ ธมาแตเ่ ดมิ กอ่ นหนา้ นนั้ แม้ในมหาปทานสูตรบาลีพระพุทธองค์จะทรงเล่าเร่ืองราวของพระสัมมาสัม พทุ ธเจา้ ไวเ้ พยี ง 7 พระองคก์ ต็ าม แตพ่ ระองคก์ ไ็ มเ่ คยตรสั วา่ พระสมั มาสมั พทุ ธ เจา้ ในอดีตมีเพียงเท่าน้ีแต่อย่างใด อีกท้ังในพระไตรปิฎกบาลีสว่ นอน่ื กม็ กี ล่าว ถงึ พระสมั มาสัมพุทธเจ้าพระองค์อนื่ ๆ นอกจาก 7 พระองคน์ ี้ไว้ดว้ ย อนึ่ง ยงั มี คัมภรี ์ภาษาคานธารที ่ีมีอายรุ าว พ.ศ. 337-60220 ระบุพระนามของพระสมั มา สมั พทุ ธเจา้ ในอดตี ไวจ้ าำ นวนมากซง่ึ บง่ บอกถงึ ความเขา้ ใจของชาวพทุ ธคนั ธาระ ในยุคนน้ั วา่ พระสมั มาสัมพุทธเจ้าในอดีตมมี ามากแลว้ 20 เป็นคมั ภีร์คานธารที ่ี Library of Congress เป็นเจา้ ของ (Allon and Salomon 2010: 10, n. 39) 166 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org 3.1.10.2. ธรรมศรรี สูตร คัมภีร์น้ีเป็นพระสูตรมหายานขนาดสั้น รวบรวมหัวข้อธรรมท่ีนำาไป สู่การตรัสรู้หรือธรรมที่เป็นผลจากการตรัสรู้ (Kumamoto 1995) พบคัมภีร์ เปน็ ภาษาสนั สกฤตทง้ั ในตอนเหนอื และตอนใตข้ องเอเชยี กลาง และยงั พบเปน็ ภาษาโขตานโบราณและภาษาจีนอีกด้วย คัมภีร์ท่ีพบมีอายุการคัดลอกราว กลางพุทธศตวรรษท่ี 12-14 เนือ้ หาทีน่ าำ มาศึกษาในงานวจิ ยั นี้เปน็ เน้อื หาของ คมั ภรี ภ์ าษาสนั สกฤตทพี่ บทเี่ ทอรฟ์ านโอเอซสิ (Stönner 1904) และฉบบั ภาษา โขตานโบราณ (Bongard-Levin and Tyomkin 1969)21 ซ่ึงมเี นือ้ หาใกลเ้ คียง กันกับฉบบั ภาษาสนั สกฤตท่อี ยู่ใน เปโตรว์สกนิ คอลเลค็ ชั่น (N. E. Petrovsky Collection) แต่แตกตา่ งจากฉบับสนั สกฤตใน เยอรมันคอลเล็คช่ัน (German Collection) ท่ีพบจากเทอร์ฟานโอเอซิสและคิซิล22 มีประเด็นในการเปรียบ เทยี บทน่ี า่ สนใจดงั นี้ 21 ปัจจบุ นั เก็บรักษาไว้ใน เปโตรว์สกนิ คอลเลค็ ช่ัน (N. E. Petrovsky Collection) ท่ี เซน็ ตป์ เี ตอร์สเบริ ก์ (Leningrad) 22 เน้ือหาของคัมภีร์ที่พบท่ีคิซิล (Walschmidt 1971: 141-2) พบเนื้อหาเฉพาะท่อนกลาง ส่วนท่อน บนและท่อนล่างขาดหายไป รายการธรรมะในเน้ือหาท่อนกลางที่เหลืออยู่ตรงกันกับฉบับท่ีพบที่ เทอร์ฟานโอเอซิสเกือบท้ังหมด ยกเว้นสองรายการในพรหมวิหารท่ีในฉบับเทอร์ฟานโอเอซิสมีครบ แต่ฉบับคซิ ิลกลา่ วเฉพาะมหากรุณาและอเุ บกขาเทา่ น้ัน เนอื้ หาของฉบับคซิ ิลสน้ิ สุดทอ่ี านาปานสติ บทที 3 คันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี | 167
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีร์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ตารางท่ี 2 เปรยี บเทียบเน้อื หาคัมภรี ์ธรรมศรีรสตู รภาษาสนั สกฤตกับ ฉบบั ภาษาโขตาน โครงสรา้ ง คัมภรี ส์ ันสก ตจากเทอร์ าน คัมภรี ์ภาษาโขตานโบราณ บทนำา นอบน้อมตอ่ พระพทุ ธเจา้ จากโขตาน พระธรรม พระสงฆ์ ความเช่ือม พระปัจเจกพทุ ธเจ้า พระพทุ ธเจา้ อันเปน็ ทิพย์ พระอรหันต์ พระอนาคามี ทง้ั หลาย ทมี่ มี ากมายเหมอื น พระสกทาคามี พระโสดาบัน เมด็ ทรายในแม่นา้ำ คงคา ท้ังหลาย และพระพุทธเจา้ ท้งั หลายใน ภทั รกปั นี้ ตา่ งตรัสรดู้ ้วย เม่อื นอบนอ้ มต่อท่านเหลา่ น้ัน พระสูตรนที้ ไ่ี ดส้ รุปรวมคาำ แลว้ เราจะได้กลา่ วพรรณนา สอนมหายานอนั ประกอบด้วย ธรรมศรรี สตู รน้ี หนทาง 7 สาย (หรือ 7 ข้นั ตอน) เปน็ คำาสอนอนั สขุ มุ ลกึ ซึง้ ซ่งึ หาได้แตใ่ นมหายาน แมเ้ น้อื หาคาำ สอนจะมากมาย เพยี งใด แต่ความหมายโดย ภาพรวมได้ประมวลมาไว้ใน ธรรมศรีรสูตรน้ีแล้ว 168 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: