www.webkal.org ญาณและพทุ ธคณุ ตา่ งๆ ทกี่ ลา่ วไวใ้ นคาถาธรรมกาย และลงทา้ ยดว้ ยภาคผนวก ทร่ี วมคาถาอณุ หิสสวิชัยและคาถาบาลีทแี่ สดงความนอบน้อมตอ่ พระพทุ ธเจา้ ในอดตี จำานวนมากไว้ดว้ ย13 เน้ือหาของคาถาธรรมกายและบทอรรถาธิบายที่ปรากฏในคัมภีร์พระ ธมั มกายาทนิ ตี้ รงกนั กบั เนอ้ื หาคมั ภรี ท์ ย่ี อรจ์ เซเดส์ เคยตพี มิ พแ์ ละอธบิ ายภาพ รวมไวแ้ ตไ่ มม่ กี ารแปล ( d s 1956) พระครูวเิ ทศสธุ รรมญาณและคณะจึง ไดท้ าำ การแปลเปน็ ภาษาไทยไวใ้ นรายงานการศกึ ษาวจิ ยั คมั ภรี พ์ ระธมั มกายาทิ (พระครวู ิเทศสธุ รรมญาณ 2557)14 ก. พทุ ธ าณและพทุ ธคณุ ในคัมภรี ์พระธัมมกายาทิ พระพทุ ธญาณและพทุ ธคณุ ทเ่ี ปรยี บไดก้ บั สว่ นตา่ งๆ ของพระธรรมกาย ดงั ทแี่ สดงไวใ้ นคาถาธรรมกาย ในคมั ภรี พ์ ระธมั มกายาทนิ ี้ อาจสรปุ ไดด้ งั ตาราง ข้างล่างนี้ 13 เปน็ ไปไดว้ า่ การทมี่ บี ทอรรถาธบิ ายและบทอนื่ ๆ ผนวกในขา้ งทา้ ยนี้ เปน็ ทมี่ าของชอื่ ธมั มกายาทิ ซง่ึ แปลวา่ “(คัมภีร์) ธัมมกาย เป็นตน้ ” คอื ข้ึนต้นด้วย “คมั ภรี ธ์ มั มกาย” (4.1.1.3) และตามด้วยคัมภีร์ หรือข้อความอ่ืนๆ อันได้แก่บทอรรถาธิบายและคาถาอุณหิสสวิชัยและบทนอบน้อมพระพุทธเจ้า จำานวนมากเป็นตน้ 14 เน่ืองจากเน้ือหาหลักของคัมภีร์พระธัมมกายาทิ ก็คือคาถาพระธรรมกาย และบทอรรถาธิบาย (อตถฺ วณณฺ นา) ดังนั้น การศกึ ษาเนอื้ หาของคัมภรี แ์ ละการวเิ คราะห์ในแง่มมุ ต่างๆ ในคัมภีรพ์ ระธัม มกายาทนิ ้ี จงึ ถอื เปน็ การศกึ ษาคาถาพระธรรมกายโดยรวม บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 319
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ ตารางที่ 4การเปรียบเทียบพระพทุ ธคุณกบั สว่ นตา่ งๆ ของพระวรกาย ในคาถาธรรมกาย ญาณ/ธรรม สว่ นของพระวรกาย สพั พัญุตญาณ พระเศยี ร อารมณ์ในพระนิพพาน พระเกสา จตุตถฌาน พระนลาฏ วชริ สมาปัตตญิ าณ พระอุณาโลม นลี กสิณ พระขนง ทิพพจักษุ ปัญญาจักษุ สมันตจักษุ พุทธจักษุ และ พระเนตร ธรรมจกั ษุ พระโสต ทพิ ยโสต พระนาสกิ โคตรภญู าณ พระปราง มรรคผลญาณ (วมิ ตุ ติญาณ) พระทนต์ โพธปิ ักขิยญาณ พระโอษฐ์ โลกยี โลกตุ รญาณ พระทาฒา จตุมรรคญาณ พระชิวหา จตุสัจจญาณ พระหนุ อปฏิหตญาณ พระศอ อนตุ ตฺ รวิโมกขาธิคมญาณ ปลอ้ งพระศอ ตลิ ักขณญาณ พระพาหา จตเุ วสารัชชญาณ 320 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org ญาณ/ธรรม สว่ นของพระวรกาย ทสานุสสติญาณ นิ้วพระหัตถ์ โพชฌงค์ 7 พระอุระ อาสยานสุ ยญาณ พระถนั ทศพลญาณ กลางพระวรกาย ปฏจิ จสมุปปาทญาณ พระนาภี อินทรยี ์ 5 (และ) พละ 5 บนั้ พระองค์ สัมมปั ปธาน 4 พระอรู ุ กุศลกรรมบถ 10 พระชงฆ์ อทิ ธิบาท 4 พระบาท ศีล สมาธิ ปญั ญา สังฆาฏิ หริ ิโอตตัปปะ จวี ร อฏั ฐงั คกิ มรรคญาณ อันตรวาสก สติปฏั ฐาน 4 รัดประคด พระพทุ ธญาณและพทุ ธคณุ ตา่ งๆ ทรี่ ะบไุ วใ้ นคาถาธรรมกายวา่ เปน็ องค์ ประกอบของธรรมกายนน้ั มกี ล่าวถึงกระจดั กระจายอยใู่ นพระไตรปฎิ ก อรรถ กถา และฎกี าบาลี และคาำ อธบิ ายในคมั ภรี เ์ หลา่ นน้ั กส็ อดคลอ้ งกนั กบั คาำ อธบิ าย ในคมั ภรี พ์ ระธมั มกายาทิ ยกเวน้ เพยี ง วชริ สมาบตั ญิ าณทไี่ มป่ รากฏชอ่ื ในคมั ภรี ์ บาลโี ดยตรง ซึ่งจะได้สรปุ คำาอธิบายโดยยอ่ ไว้ ณ ทีน่ ี้ บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 321
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ข. วชิรสมาบัติ าณ วชริ สมาบตั ญิ าณ เปน็ หนง่ึ ในญาณของพระธรรมกายทแี่ สดงไวใ้ นคาถา ธรรมกาย แตเ่ ปน็ คำาท่ไี มพ่ บในพระไตรปฎิ กหรอื อรรถกถาบาล1ี 5 ในการแสดง ความหมายของพระญาณน้ี บทอรรถาธบิ ายกลา่ วแยกกนั เปน็ 2 คาำ คอื “วชริ ” และ “สมาบัติญาณ” สำาหรบั การอธบิ ายความหมายของ “วชริ ” พระคมั ภีร์เรมิ่ ตน้ ด้วยการ กล่าวถึงช้าง 10 ตระกูลท่ีมีกำาลังเพิ่มขึ้นตามลำาดับ ตั้งแต่ ตระกูลกาฬาวก คงั ไคย จนถึง อุโบสถ และฉทั ทันต์ 16 ช้างในตระกูลฉัททันตเ์ ปน็ ช้างทีม่ กี ำาลัง มากที่สุด คือมีกำาลังเป็น 10 เท่าของช้างตระกูลอุโบสถ ส่วนกำาลังของพระ ตถาคตนั้นเท่ากับกำาลังของช้างตระกูลฉัททันต์ 10 เชือกรวมกัน กำาลังอัน มหาศาลของพระตถาคตน้ีเอง ท่านใหช้ อ่ื วา่ “นารายน์” ซง่ึ คมั ภรี แ์ สดงความ หมายไว้วา่ เป็นชื่อของรศั มอี นั โชตชิ ว่ งท่ีเปลง่ ออกมา17 และ “นารายนพลงั ” นนั้ ทา่ นเรยี กวา่ “วชริ ” ดงั นนั้ อาจกลา่ วโดยสรปุ ไดว้ า่ ความหมายของ “วชริ ” หรือ “วชริ พลงั ” กค็ อื พลงั อนั มหาศาลซึ่งแสดงออกในรปู ของรศั มอี ันโชตชิ ่วง 15 ฎีกาสัมปสาทนียสูตร กลา่ วถงึ ศพั ทท์ ีค่ ล้ายกนั คอื “วชริ าณำ” โดยเช่ือมโยงกับการเขา้ มหากรณุ า สมาบตั ิและอรหตั ตผลสมาบัติของพระพทุ ธองค์ (DṬ 3 CS) 16 ช้าง 10 ตระกูลไดแ้ ก่ 1. กาฬาวกหตั ถี สีดาำ 2. คังไคยหตั ถี สเี หมอื นสีนำ้าไหล 3. ปัณฑรหัตถี สีขาว ดังเขาไกรลาส 4. ตามพหัตถี สีทองแดง 5. ปิงคลหัตถี สีทองอ่อนดั่งสีตาแมว 6. คันธหัตถี สีไม้ กฤษณา มกี ลน่ิ ตวั หอม 7. มงคลหัตถี สนี ลิ อญั ชนั มีกิรยิ าทา่ ทางเดินงดงาม 8. เหมหตั ถี สีเหลือง ดง่ั ทอง 9. อโุ บสถหตั ถี สที องคาำ 10. ฉทั ทนั ตหตั ถี กายสขี าวบรสิ ทุ ธดิ์ งั่ สเี งนิ ยวง แตป่ ากและเทา้ สแี ดง (พจนานกุ รมราชบัณฑติ ยสถาน 2542: “กาฬาวก”) ซ่งึ บทอรรถาธิบายไดแ้ สดงไว้เปน็ ภาษาบาลีวา่ กาลาวกฺจ คงฺเคยยฺ ำ ปณฺฑรำ ตามพฺ ำ ปิงคฺ ลำ คนฺธำ มงคฺ ลำ เหมฺจ อุโปสถำ ฉททฺ นตฺ ิเม ฯ (ธมมฺ ก. กี1.1) 17 ตตฺถ นารายนาติ รสมฺ ิโชตา นิกขฺ มนตฺ ิ ฯ (ธมั มกายาทิ ก1ิ .2) 322 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ท่เี ปลง่ ออกมานนั่ เอง ส่วนคำาว่า สมาบัติญาณ คัมภีร์อธิบายว่าเป็นญาณที่เกิดข้ึนจากฌาน สมาบัติ ผลสมาบัติ และนิโรธสมาบัติ และกล่าวต่อไปว่าสมาบัติญาณก็คือ สพั พญั ุตญาณ อนั เปน็ ทรี่ วมของฌานสมาบตั ิ ผลสมาบัติ และนิโรธสมาบัติ ดังน้นั เมอ่ื กล่าวโดยรวม วชริ สมาบตั ิญาณจงึ มีความหมายว่า เป็นญาณแหง่ ความรูแ้ จ้ง อันเกดิ จากฌานสมาบตั ิ ผลสมาบตั ิ และนโิ รธสมาบัติ ได้แกพ่ ระ สัพพัญตุ ญาณอันมีรศั มโี ชติช่วงเปน็ อยา่ งย่ิง และเปรยี บไดก้ บั พระอณุ าโลม ของพระธรรมกาย ค. จกั ษขุ องพระธรรมกาย พระไตรปฎิ กและอรรถกถาบาลี กล่าวถึงจักษุของพระผมู้ ีพระภาคเจ้า ไวอ้ ย่างนอ้ ย 4 นัย นัยแรก กล่าวถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าทรงประกอบด้วยจักษุ 5 ประการไดแ้ ก่ มงั สจกั ษุ ทพิ ยจกั ษุ ปญั ญาจกั ษุ พทุ ธจกั ษุ และสมนั ตจกั ษุ (ข.ุ ม. 29/51/54, ข.ุ ม. 29/727/443, ขุ.จฬู . 30/492/236, ข.ุ จูฬ. 30/556/274) นัยทส่ี อง กล่าววา่ พระองคท์ รงประกอบดว้ ยจกั ษุ 5 ประการ อีกแบบ หน่ึง ได้แก่ พุทธจักษุ ธรรมจักษุ ทิพยจักษุ ปัญญาจักษุ และ สมันตจักษุ (อิต.ิ อ. 190) นยั ทสี่ าม กล่าวว่าพระองคท์ รงประกอบด้วยจักษุ 2 ประการ คอื มังส จักษุ และ ญาณจกั ษุ โดยท่ี ญาณจักษุ แบ่งออกเปน็ 5 ประการ ได้แก่ พุทธ จกั ษุ ธรรมจกั ษุ สมนั ตจกั ษุ ทพิ ยจกั ษุ และปญั ญาจกั ษุ (ส.ำ อ. 3/1, พทุ ธฺ .อ. 61) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 323
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ นยั ทีส่ ่ี คลา้ ยกนั กบั นัยทส่ี ามแตส่ ลับ ญาณจักษุ กับ ปญั ญาจกั ษุ กล่าว คอื พระพทุ ธองคท์ รงประกอบดว้ ยจกั ษุ 2 ประการ ไดแ้ ก่ มงั สจกั ษุ และปญั ญา จักษุ ส่วนปญั ญาจักษกุ แ็ บง่ ออกเปน็ 5 ประการ ได้แก่ พุทธจกั ษุ สมนั ตจักษุ ญาณจกั ษุ ทิพยจกั ษุ และ ธรรมจักษุ (อติ ิ.อ. 113, ปฏิ.อ. 1/86, สง.ฺ อ. 365) คาถาธรรมกาย กลา่ วถงึ “ดวงตาพระธรรมกาย” ไวต้ ามนยั ทสี่ อง หรอื อาจกล่าวได้ว่าเป็น “ญาณจักษุ” ตามนัยท่ีสาม ซ่ึงประกอบด้วย ทิพยจักษุ ปัญญาจักษุ สมันตจักษุ พุทธจักษุ และธรรมจักษุ (ธัมมกายาทิ กุ1.4-1.5 d s 1956: 260) แต่ บทอรรถาธบิ าย กลบั ให้ความหมายเสมือนกำาลงั ขยายความ “ปัญญาจักษุในนัยท่ีส่ี” กล่าวคือ แสดงความหมายของ พุทธ จกั ษุ ธรรมจักษุ สมันตจกั ษุ ญาณจักษุ และทพิ ยจักษุ (ธัมมกายาทิ ก2ิ .3-2.5 d s 1956: 268) รวมท้ังแสดงความหมายสองด้านของมังสจักษุไว้ด้วย ตามนยั ท่ปี รากฏในอรรถกถานัน่ เอง แต่ไม่วา่ จะเปน็ กรณใี ดกต็ าม เชน่ การทค่ี าถาธรรมกายเลอื กทจี่ ะแสดง จักษุ 5 ประการ ตามนัยที่สองหรือสาม หรือท่บี ทอรรถาธิบายแสดงไวใ้ นนยั ทส่ี ี่ ล้วนมีสงิ่ ทตี่ รงกันอยูอ่ ย่างหนึง่ คอื แสดงธรรมจักษไุ ว้แทนมังสจักษุ ทัง้ นี้ น่าจะเน่ืองด้วยเหตุผลของการแสดงคุณสมบัติของธรรมกาย มิได้กล่าวถึง รปู กายของพระพทุ ธองคน์ ่ันเอง ง. ความร้แจ้งของพระธรรมกายในคมั ภีร์ธัมมกายาทิ เปรยี บเทยี บกับ วิชชาธรรมกาย คาถาธรรมกายในคัมภีร์พระธัมมกายาทิกล่าวถึงจักษุท้ัง 5 ของพระ ธรรมกาย ไดแ้ ก่ ทพิ ยจกั ษุ ปัญญาจักษุ สมนั ตจักษุ พทุ ธจักษุ และธรรมจกั ษุ 324 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org สว่ นบทอรรถาธบิ าย ขยายความจกั ษุ 3 ประการจาก 5 ประการนวี้ า่ เปน็ ญาณ ทแี่ ตกตา่ งกนั และอธบิ ายจกั ษอุ กี 2 ประการทเี่ หลอื ในฐานะทเ่ี ปน็ ดวงตาตา่ ง ประเภทกนั ดงั น้ี พุทธจักษุ หมายถึง ญาณรู้แจ้งในนิสัยและอนุสัยของสัตว์ทั้งหลาย รวมท้งั ญาณรแู้ จง้ ในอินทรียท์ ีย่ ิง่ และหย่อนกวา่ กันของสตั ว์เหล่านนั้ ธรรมจกั ษุ หมายถึง ญาณในมรรคเบ้อื งตำ่าทัง้ สาม18 สมันตจักษุ คอื ความรู้แจง้ ในสรรพสิง่ ไดแ้ ก่สัพพญั ตุ ญาณ ญาณจักษุ ได้แก่ ดวงตาเห็นธรรม ดังท่ีกล่าวไว้ในข้อความว่า “จกฺขุำ อุทปาท”ิ (ดวงตาเกดิ ขึน้ แลว้ ) นน่ั เอง ทพิ ยจกั ษุ หมายถึง ตาทพิ ย์ ได้แก่ ปัญญาอนั เกดิ จากจติ ทท่ี รงอภญิ ญา การขยายความจกั ษทุ งั้ หา้ ในความหมายเดยี วกนั น้ี ปรากฏในอรรถกถา บาลหี ลายแหง่ (อิต.ิ อ. 113, สง.ฺ อ. 365) โดยเน้ือความในอรรถาธิบาย จักษุท้ัง 5 ประการนี้ บางอย่างเป็น ประโยชน์ต่อการตรสั รธู้ รรมของพระองคเ์ อง ได้แก่ ธรรมจกั ษุและญาณจักษุ และบางประการเปน็ ประโยชนใ์ นการชว่ ยเหลอื สตั วโ์ ลก เชน่ พทุ ธจกั ษุ ทขี่ ยาย ความไวว้ ่า ประกอบดว้ ย อาสยานุสยญาณคือญาณท่ีรู้ในนิสัยและอนสุ ยั ของ สัตว์ทั้งหลาย และอินทรียปโรปเรญาณ19คือญาณหยั่งรู้ในอินทรีย์อันยิ่งและ 18 มรรคเบอ้ื งตา่ำ ทง้ั สาม หมายถงึ โสดาปตั ตมิ รรค สกทาคามมิ รรค และอนาคามมิ รรค ทท่ี าำ หนา้ ทก่ี าำ จดั สงั โยชนเ์ บื้องตา่ำ ทงั้ 5 ประการ (เถร.อ. 2/259, เนตตฺ วิ .ิ 401) 19 ศัพทน์ ้ี ในพระไตรปฎิ กเรยี กว่า อนิ ทรยิ ปโรปริยัตตญาณ (สำ.ม. 19/1295/390, ขุ.ปฏิ. 31/631/552) บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 325
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ หย่อนกว่ากันของสัตว์ท้ังปวง เป็นญาณท่ีจะยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับผู้ที่จะ ทรงสงั่ สอน นอกจากนี้ คาถาธรรมกายยังกล่าวถึงญาณเป็นเครื่องรู้แจ้งอีกหลาย ประการว่าเปน็ องค์ประกอบของพระธรรมกายดว้ ย เช่น - จตุสจั จญาณ หรอื ญาณท่รี ้เู หน็ ในอริยสัจ 4 คอื ทุกข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรค เป็นพระชิวหา - ติลักขณญาณ หรือญาณรู้แจ้งใน ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา เป็นปล้อง พระศอ - ปฏจิ จสมปุ ปาทญาณ หรอื ญาณทร่ี แู้ จง้ การเกดิ ขน้ึ ของธรรมทงั้ หลาย เพราะอาศัยกัน เปน็ พระนาภี รวมทง้ั พระสพั พัญุตญาณทรี่ ู้แจ้งในสรรพสิ่ง โดยภาพรวม ธรรมกายทกี่ ล่าวถงึ ในคมั ภีรพ์ ระธัมมกายาทินี้ ประกอบ ด้วยทง้ั จักษุ และญาณ คือทงั้ ความเหน็ และความรแู้ จง้ ในเวลาเดยี วกนั ในอรรถกถาบาลีก็มีกล่าวไว้หลายแห่งว่าธรรมกายประกอบด้วยญาณ ต่างๆ ซ่งึ ล้วนเป็นการกลา่ วเพียงแคเ่ ป็นตัวอยา่ งโดยมิไดแ้ จกแจงรายละเอียด เช่น อรรถกถาพาหิยสูตร (อ.ุ อ. 90) อรรถกถารัชชุมาลาวมิ าน (วิมาน.อ. 246) และอรรถกถาโลภสูตร (อิติ.อ. 13) ระบวุ ่าธรรมกายประกอบดว้ ยทศพลญาณ เวสารัชชญาณ อสาธารณญาณ และอาเวณกิ พทุ ธธรรม20 เปน็ ต้น 20 บางครงั้ เรยี กวา่ อาเวณยิ พทุ ธธรรม หมายถงึ คณุ ธรรมทเี่ ปน็ อสาธารณะมเี ฉพาะในพระสมั มาสมั พทุ ธ เจา้ เท่านน้ั มีทั้งหมด 18 ประการ มีจุดเร่มิ ตน้ จากนกิ ายสรรวาสตวิ าท 326 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ในหลักการของวิชชาธรรมกาย ความรู้แจ้งของพระธรรมกายมีแสดง ไว้ในพระธรรมเทศนาของพระมงคลเทพมนุ ใี นวาระต่างๆ เชน่ กลา่ วถึงการรู้ แจง้ อรยิ สจั 4 วา่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาน่ีแหละเป็นเหตุให้ เกิดชาติ ต้องดับดว้ ยศีล สมาธิ ปัญญา วิมตุ ิ วมิ ตุ ิญาณทัสสนะ ดงั กลา่ วแล้ว ถอดกนั ไปเป็นชั้นๆ จนกระทัง่ พระอรหัตดับหมด ดบั นนั่ แหละเปน็ ตวั นโิ รธ ทเี่ ขา้ ถงึ ซงึ่ ความดบั นน่ั เปน็ มรรค สจั จ ธรรมทง้ั 4 นต่ี อ้ งมีตาธรรมกายจงึ จะมองเหน็ ไม่มตี าธรรมกาย มองไม่เห็น (รธ. 326) ความรแู้ จง้ ในอรยิ สจั สนี่ ต้ี รงกบั จตสุ จั จญาณของพระธรรมกายในคมั ภรี ์ พระธมั มกายาทิ สำาหรบั ความรู้แจง้ ในไตรลักษณ์นน้ั ทา่ นแสดงไวเ้ ชน่ กันว่า รวู้ ่าเป็นธาตุ ล้วนแต่เปน็ อนิจจัง ทกุ ขงั อนัตตาทัง้ น้ัน เมอ่ื รชู้ ดั วา่ เป็นอนจิ จัง ทกุ ขงั อนตั ตา ดังน้ลี ะ ก็รู้ชัดๆ เช่นนเ้ี ห็น ชัดๆ เชน่ นี้ นก้ี ด็ ว้ ยตาธรรมกาย ตากายมนษุ ย์ กายทิพย์ กาย รูปพรหม อรูปพรหม ทั้งหยาบท้ังละเอียดเห็นไม่ได้ เห็นได้แต่ ตาธรรมกาย (รธ. 325) การรู้แจง้ ใน ทุกฺขำ อนจิ จฺ ำ อนตตฺ า นเี้ ทยี บไดก้ ับ ตลิ ักขณญาณในคมั ภีร์ พระธัมมกายาทิ อย่างตรงไปตรงมา ในส่วนญาณรู้การเกิดการดับ ท่านยก เหตกุ ารณ์คร้งั ปฐมเทศนาว่า ความเห็นธรรมปราศจากธุลีและมลทินได้เกิดข้ึนแก่ บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 327
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ผ้มู ีอายชุ อื่ วา่ อัญญาโกณฑัญญะ ยงกฺ ิ ฺจิ สมทุ ยธมฺมำ สพพฺ นฺตำ นิโรธธมมฺ ำ สิ่งใดส่งิ หนงึ่ ท่ีมีความเกิดขน้ึ ส่ิงนน้ั ย่อมมคี วามดบั ไป เป็นธรรมดา มีเกดิ มดี บั อยเู่ ท่านห้ี มดท้งั สากลโลก เกิดดับท้งั น้นั ขน้ึ ชอ่ื วา่ สงั ขารเกดิ ดบั ทงั้ นน้ั ทงั้ สากลโลกมเี กดิ ดบั เทา่ นน้ั เหน็ ความเกิดดับตามความเป็นจริงของเร่ืองท่ีจริงพระปัญจวัคคีย์ ทง้ั 5 เมื่อเห็นจรงิ เชน่ น้ีก็ได้บรรลุมรรคผล ได้บรรลถุ ึงธรรมกาย พระอญั ญาโกณฑญั ญะไดเ้ หน็ ธรรมกายกอ่ น มตี าเหน็ ธรรมแลว้ เหน็ ดว้ ยตาธรรมกาย ธมมฺ จกขฺ ุ เหน็ ดว้ ยตาธรรมกายทป่ี ราศจาก มลทิน เห็นชัดทีเดียว (รธ. 727) การรู้แจ้งในการเกิดดับดังกล่าวเทียบได้กับญาณที่ 9 ในทศพลญาณ (จุตูปปาตญาณ) ท่บี รรยายไวใ้ นคัมภีร์พระธัมมกายาทิ จากขอ้ ความตวั อย่าง ข้างต้น พระมงคลเทพมุนีได้กล่าวถึงการรู้แจ้งธรรมะต่างๆ ด้วยตาธรรมกาย ความสมั พันธ์ระหวา่ งตาธรรมกายและญาณรู้แจง้ น้นั ปรากฏอยใู่ นบทเทศนา ในปถี ัดมาวา่ เมื่อท่านข้ึนไปเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตาของท่านก็มี เหมือนเราเชน่ น้ี ตาธรรมกาย มญี าณของธรรมกาย พอถงึ กาย ธรรมมนั ขั้นวปิ สั สนา ตาพระพทุ ธเจา้ ท่านก็เหน็ เบญจขันธ์ทง้ั 5 เปน็ อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา แท้ๆ เห็นจรงิ ๆ จงั ๆ อย่างน้นั ละ เห็นแท้ทเี ดยี ว เห็นชัดๆ ไมไ่ ดเ้ หน็ ดว้ ยตากายในภพ เหน็ ดว้ ยตา ธรรมกาย รู้ด้วยญาณธรรมกาย เหน็ ดว้ ยตาพระพทุ ธเจา้ รูด้ ้วย ญาณพระพทุ ธเจา้ เหน็ อยา่ งนแี้ หละ เหน็ ดว้ ยตาของพระตถาคต 328 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org เจ้า รู้ด้วยญาณของพระตถาคตเจ้า ธรรมกายนั่นเป็นตัวของ พระตถาคตเจ้าทีเดียว ไม่ใชอ่ ื่น เหน็ ชัดอยา่ งน้ี (รธ. 755) การทธี่ รรมกายเป็นกายแห่งความรแู้ จง้ ท่ที ้ังรแู้ ละทงั้ เหน็ คอื ประกอบ ด้วย จักษุและญาณ จึงเป็นหลักการท่ีตรงกันของคัมภีร์พระธัมมกายาทิและ วิชชาธรรมกาย จ. กายแหงมรรค ลและวิมตุ ติ คาถาธรรมกาย ท่ีปรากฏในคัมภีร์พระธัมมกายาทินี้ กล่าวถึงโคตรภู ญาณ มรรคญาณ และมรรคผลญาณ วา่ เปน็ สว่ นของพระธรรมกาย ซง่ึ บง่ บอก วา่ ธรรมกายเปน็ กายแหง่ อรยิ มรรคอรยิ ผลและวมิ ตุ ติ รวมทง้ั กายของโคตรภ2ู 1อนั เป็นรอยต่อระหว่างปถุ ชุ นกับอริยบคุ คลด้วย ซง่ึ ตรงกันกบั หลักการของวชิ ชา ธรรมกายที่กลา่ วถงึ ธรรมกายในระดับโคตรภู พระโสดาปตั ตมิ รรค พระโสดา ปัตติผล พระสกทาคามิมรรค พระสกทาคามิผล พระอนาคามิมรรค พระ อนาคามิผล พระอรหัตมรรค พระอรหัตผล ดังทพ่ี ระมงคลเทพมุนกี ล่าวไว้วา่ นี่ต่อจากธรรมกายโคตรภูขึ้นมาอีก 4 คู่ รวมเป็นพระ อริยบุคคล 8 พระองค์ น่ียกเป็นวาระพระบาลีว่า อฏปุริส ปคุ คฺ ลา จดั เปน็ ปรุ สิ บคุ คล 8 จดั เปน็ บคุ คล 8 หรอื จดั เปน็ 4 คู่ คอื พระโสดาปัตติมรรค พระโสดาปัตติผล พระสกทาคามิมรรค 21 อย่างไรก็ดี บทอรรถาธิบายที่ผนวกไว้ท้ายคัมภีร์พระธัมมกายาทิ กลับอธิบาย “โคตรภูญาณ” ใน ความหมายที่แตกต่างออกไป คือ แสดงโคตรภูญาณว่าเป็นอริยมรรคจิตในระดับต่างๆ ตั้งแต่โสดา ปัตติมรรคจิตจนถึงอรหตั มรรคจิต ทาำ หนา้ ทีก่ าำ จัดกเิ ลสหรือสงั โยชน์ในแต่ละระดับ (ธัมมก. กุ 2.2-4) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 329
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีร์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ พระสกทาคามิผล หยาบน้ันเป็นมรรค ส่วนละเอียดนั้นเป็นผล พระอนาคามมิ รรค พระอนาคามผิ ล พระอรหตั มรรค พระอรหตั ผล รวมเปน็ พระอริยบุคคล 8 จาำ พวก หยาบ เปน็ มรรค ละเอยี ด เป็นผล (รธ. 629) อีกข้อความหนึ่งที่แสดงความเป็นธรรมกายของอริยบุคคลที่บรรลุ อรยิ มรรคและอรยิ ผล โสดาปัตติมรรค-โสดาปัตติผล, สกิทาคามิมรรค-สกิทา คามิผล, อนาคามมิ รรค-อนาคามิผล, อรหัตตมรรค-อรหตั ตผล 8 จาำ พวกนี้ เปน็ อริยสาวก ไมใ่ ชเ่ ปน็ ปุถุชนสาวก ถา้ ต่ำากวา่ นน้ั ลงมามธี รรมกาย แตว่ ่าไมไ่ ด้พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหัต อะไร น่ันสาวกช้ันโคตรภู (รธ. 256) สาำ หรบั วมิ ตุ ตทิ ต่ี ดั สงั โยชนท์ ง้ั เบอื้ งตา่ำ และสงั โยชนเ์ บอื้ งสงู ไดห้ มดสน้ิ นน้ั พระมงคลเทพมุนไี ดแ้ สดงไว้ชดั เจนว่าไดแ้ กธ่ รรมกายอรหตั ส่วนตนและธรรมท่ีเป็นธรรมกาย โสดาท้ังหยาบท้ัง ละเอียด สกทาคาทั้งหยาบทั้งละเอียด อนาคาท้ังหยาบท้ัง ละเอียด นี่แหละเป็นพวกวิมุตติทั้งนั้น แต่ไม่ใช่วิมุตติขาดเด็ด ลงไป วิมุตติขาดเด็ดก็ได้แก่พระอรหัต ตนก็เป็นวิมุตติขาดเด็ด ทเี ดยี ว ส่วนธรรมก็วิมตุ ตขิ าดเด็ดทเี ดยี ว หมดจากสงั โยชน์เบอื้ ง ตำา่ เบ้ืองสูงหมด หลุดไปหมดทเี ดยี ว (รธ. 534) ธรรมกายท่ีแสดงไว้ในคาถาธรรมกาย เป็นธรรมกายของพระอรหันต 330 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org สัมมาสัมพุทธเจา้ โดยมีโคตรภู อริยมรรค อริยผล และวมิ ุตตพิ รอ้ มมลู อยใู่ น ธรรมกายเดียวดังกล่าว ส่วนวิชชาธรรมกายกล่าวถึงกายธรรมหลายระดับ ต้ังแต่โคตรภูข้ึนไปจนถึงอรหัตผล ธรรมกายอริยบุคคลแต่ละระดับต่างละ สงั โยชน์ได้เป็นส่วนๆ ตามระดบั มรรคและผลนัน้ ๆ ซึ่งท้งั หมดตา่ งเรียกวา่ เป็น “วิมุตติ” ด้วยกันท้ังสิ้น ธรรมกายในหลักการของวิชชาธรรมกายจึงเป็นกาย แห่งมรรค ผล และวมิ ตุ ติ เชน่ เดยี วกันกบั ที่กลา่ วไว้ในคัมภรี ์พระธัมมกายาทิ ต่างกันแต่เพียงว่า คัมภีร์พระธัมมกายาทิมิได้กล่าวถึงกายธรรมหลายระดับ อยา่ งในวิชชาธรรมกายเทา่ นนั้ 4.1.1.3. คมั ภีร์ธมั มกาย22 คัมภีร์ท่ีนำามาศึกษาเป็นภาพถ่ายไมโครฟิล์มของต้นฉบับคัมภีร์ใบลาน ฉบับวดั ปา่ สักนอ้ ย จังหวัดเชยี งใหม่ จารกึ ดว้ ยอกั ษรธรรมล้านนา ไมป่ รากฏ รายละเอยี ดของปที คี่ ดั ลอก มเี นอ้ื หาของคาถาธรรมกายในภาษาบาลคี รบท้ัง สองสว่ น และในตอนทา้ ย มบี ทอรรถาธบิ ายเปน็ ภาษาไทยยวนประกอบไวด้ ว้ ย ในตอนต้นก่อนจะเข้าเนอ้ื หาของคาถาธรรมกาย มีขอ้ ความวา่ “คาถา บทน้ีช่ือ ธัมมกาย ขึ้นใจไว้จำาเริญดีนักแล” (ธัมมกาย 2.4) บ่งบอกถึงการ ใช้ประโยชน์โดยนำามาเป็นบทสวดหรือให้ท่องจำาเนื้อหาคัมภีร์เพื่อความเป็น ศริ ิมงคล 22 นำามาจากงานวจิ ยั “สมาธภิ าวนาในคัมภรี อ์ ักษรธรรม” (กิจชัย เอ้ือเกษม 2557) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 331
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ภาพท่ี 1 คมั ภีร์ธัมมกาย อกั ษรธรรมล้านนา ใบลาน วั ปาสักน้อย จงั หวั เชยี งใหม (สถาบนั วจิ ัยสังคม มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม) สว่ นในตอนทา้ ย หลงั จากคาำ อธบิ ายคาถาธรรมกายแลว้ มคี าำ แนะนาำ ให้ ใช้สวดบูชาพระพุทธเจ้าทุกวัน เพ่ือเป็นปัจจัยรักษาตัวตราบถึงบรรลุนิพพาน ดังน้ี ว่าข้นึ ใจไดแ้ ล้ว พงึ จำาเรญิ สวาธยิ ายไหว้พระเจา้ ชุวัน อยา่ ขาด อาจเปน็ ปจั จยั รกั ษาตวั ในภาวะอนั นอี้ นั หนา้ กนั ไดถ้ งึ มรรค ผล นพิ พาน อติ ิ ดว้ ย นัยประการดังนแ้ี ล (ธมั มกาย 8.1-4) แม้ข้อความในคาถาพระธรรมกายจะยังมีเนื้อความคงเดิมว่า ให้พระ โยคาวจรผู้มีญาณคมกล้า ผู้ต้ังความปรารถนาจะเป็นพระสัพพัญูพุทธเจ้า พึงระลึกถึงพระพุทธลักษณะคือธรรมกายนี้เนืองๆ ก็ตาม แต่คำาลงท้ายใน บทอรรถาธิบายภาษาไทยยวนนี้ กลับแสดงเปาหมายในการบรรลุมรรค ผล 332 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org นิพพาน ไม่ได้เน้นการเป็นพระสัพพัญูพุทธเจ้าแต่อย่างใด ซึ่งบ่งบอกถึง ลักษณะการนำาคาถาธรรมกายมาใช้จริงในทางปฏิบัติของชาวพุทธในท้องถิ่น ลา้ นนา 4.1.1.4. คาถาธรรมกายในคัมภีรม์ ลู ลกัมมฐาน23 คัมภีรม์ ูลลกัมมฐาน เปน็ คัมภรี ์แนะนาำ การเจรญิ สมาธภิ าวนาต้งั แตเ่ ร่ิม ตน้ ฉบบั ทศี่ กึ ษานเี้ ปน็ หนงั สอื พบั สา 1 เลม่ จากวดั ปา่ เหมอื ด จงั หวดั นา่ น เขยี น ด้วยอกั ษรธรรมลา้ นนา พบคาถาธรรมกายในตอนทา้ ยของคัมภรี 2์ 4 ครอบคลุม เนอื้ หาหลกั ของคาถาธรรมกายในภาษาบาลที ง้ั สองสว่ น แตไ่ มม่ บี ทอรรถาธบิ าย หรอื คาำ แปลใดๆ ในตอนท้ายของคาถาธรรมกายในคัมภีร์มูลลกัมมฐาน เป็นข้อความ แนะนำาการใช้ประโยชน์จากคาถาน้ีในการแก้ไขอาการผิดปกติต่างๆ อันเป็น อปุ สรรคทที่ าำ ใหป้ ฏบิ ตั พิ ระกรรมฐานไมไ่ ด้ เชน่ การมใี จกระดา้ ง ไมต่ ง้ั มนั่ เบอื่ หนา่ ยเกยี จครา้ น งว่ งเหงาหาวนอน สะดงุ้ หวาดกลวั เปน็ ตน้ โดยใหท้ าำ พธิ ขี อขมา “แกว้ 5 โกฐาก”25 กอ่ น แลว้ ใชค้ าถานี้เสกนา้ำ มาอาบกนิ 26 ด้วยอานภุ าพแหง่ พระพทุ ธคณุ คอื พระธรรมกาย จะทาำ ใหห้ ายจากอาการผดิ ปกตติ า่ งๆ เหลา่ นนั้ ได้ เว้นแต่จะเป็นผลจากกรรมวิบากในชาติก่อน 23 นำามาจากงานวิจัย “สมาธภิ าวนาในคมั ภีรอ์ กั ษรธรรม” (กิจชยั เอื้อเกษม 2557) 24 หนา้ 53-54 ความยาวเกือบ 2 หนา้ พับสา 25 “แกว้ 5 โกฐาก” ไดแ้ ก่ พระพุทธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ กรรมฐาน และ อาจารยผ์ ู้สอนกรรมฐาน (มลู ล. 3.11-3.12) 26 คัมภีรแ์ สดงขั้นตอนการทาำ นำ้ามนตน์ ีไ้ วโ้ ดยละเอียด (มลู ล. 54.3-54.11) ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ได้จาก “สมาธภิ าวนาในคมั ภรี อ์ ักษรธรรม” (กจิ ชัย เออื้ เกษม 2557) บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 333
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ การอาศัยคาถาธรรมกายแก้ไขอาการผิดปกติทั้งปวงดังกล่าวด้วย อานุภาพของพระพุทธคุณน้ี อาจนับว่าสอดคล้องกันกับท่ีพระพุทธองค์ทรง สอนพระภิกษุให้เจริญพุทธานุสติเพื่อให้คลายความหวาดกลัวต่างๆ ดังท่ี ปรากฏในพระไตรปฎิ กบาลีวา่ 27 ภกิ ษทุ ง้ั หลาย หากความกลวั ความหวาดสะดงุ้ หรอื ความ ขนพองสยองเกล้า จะพึงบังเกิดแกพ่ วกเธอผอู้ ยู่ในป่า อยู่ทโี่ คน ไม้ หรอื อย่ใู นเรอื นว่างก็ตาม พวกเธอพงึ ตามระลกึ ถึงเราว่า แม้ เพราะเหตนุ ๆ้ี พระผมู้ พี ระภาคพระองคน์ นั้ เปน็ พระอรหนั ต์ เปน็ ผู้ตรสั ร้เู องโดยชอบ เปน็ ผู้ถึงพรอ้ ม ดว้ ยวชิ ชาและจรณะ เสดจ็ ไปดแี ล้ว เป็นผูร้ แู้ จ้งโลก เป็นสารถฝี กบรุ ษุ ทค่ี วรฝกไม่มผี ูอ้ ื่นจะ ย่งิ กวา่ เป็นศาสดาของเทวดาและมนษุ ย์ทง้ั หลาย เป็นผ้ตู ืน่ แลว้ เปน็ ผจู้ าำ แนกธรรม ดงั น้ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะวา่ เมอ่ื พวกเธอตาม ระลึกถงึ เราอยู่ ความกลัว ความหวาดสะดุ้ง ความขนพองสยอง เกล้าท่ีมีขึ้นนน้ั จกั หายไป28 และตรงกนั กบั อานสิ งสข์ องพทุ ธานสุ ตทิ ท่ี าำ ใหเ้ กดิ ปตี ิ และพน้ จากนวิ รณ์ ทัง้ หลาย มีความหดหแู่ ละความเกียจครา้ นเป็นตน้ ดงั ทพ่ี ระเตกิจฉกานิเถระ และพระวกั กลเิ ถระกล่าวไวต้ ามลาำ ดบั วา่ 27 นำามาจากงานวิจัย “พุทธานสุ ตใิ นคัมภีรพ์ ุทธศาสนาภาษาบาลี” (พระมหาสธุ รรม สุรตโน 2557) 28 สเจ ตมุ หฺ ากำ ภิกขฺ เว อรฺ คตานำ วา รุกฺขมลู คตานำ วา สุ ฺาคารคตานำ วา อุปฺปชเฺ ชยฺย ภยำ วา ฉมฺภติ ตฺตำ วา โลมหโำ ส วา มเมว ตสฺมึ สมเย อนสุ ฺสเรยยฺ าถ อิตปิ ิ โส ภควา อรหำ สมฺมาสมพฺ ุทฺโธ วชิ ชฺ า จรณสมปฺ นฺโน สคุ โต โลกวทิ ู อนตุ ตฺ โร ปุรสิ ทมมฺ สารถิ สตถฺ า เทวมนสุ สฺ านำ พุทฺโธ ภควาติ ฯ มมำ หิ โว ภกิ ฺขเว อนสุ สฺ รตำ ยมภฺ วสิ ฺสติ ภยำ วา ฉมภฺ ติ ตตฺ ำ วา โลมหโำ ส วา โส ปหยี ิสสฺ ติ ฯ (ส.ำ ส. 15/865/322) 334 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org ท่านจงระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้มีพระคุณหาประมาณ มิได้ จักมีใจเลื่อมใส เป็นผู้มีสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว มีจิตเบิก บานแล้วเนืองๆ29 เม่ือข้าพระองค์ระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ฝกพระองค์ดีแล้ว มีพระหฤทัยต้งั ม่นั จึงเปน็ ผู้ไม่เกยี จคร้านตลอดทง้ั กลางคืนและ กลางวนั อย่ใู นป่า30 การนาำ คาถาธรรมกายมาใชป้ ระโยชนใ์ นทาำ นองนพ้ี บในประเทศกมั พชู า ด้วยเช่นกนั 4.1.1.5. คาถาธรรมกายในคมั ภีรว์ ิปัสสนาของกัมพูชา31 คัมภีร์ปริยายพระวิปัสสนาสูตร หรือ ผโลว์ พระธรรมลังกา (Bi ot 1992) จากกัมพชู า จารกึ เป็นภาษาเขมร ราวปี พ.ศ. 2461 เปน็ คมั ภรี ์แนะนำา การปฏิบัติสมาธิภาวนา และแสดงประสบการณ์ภายในจากการปฏิบัติไว้โดย ละเอียด ตอนท้ายของคัมภีร์ มีข้อความแสดงรายละเอียดการจารึกคัมภีร์ไว้ และมีภาคผนวกเป็นคาถาสวดสรรเสริญพระธรรมกายเป็นภาษาบาลีไว้ด้วย (Bi ot 1992, 297-299) 29 พุทฺธมปปฺ เมยยฺ ำ อนุสสฺ ร ปสนโฺ น ปีตยิ า ผฏุ ฺ สรีโร โหหิสิ สตตฺ มุทคโฺ ค (ข.ุ เถร. 26/348/326) 30 อนุสฺสรนฺโต สมพฺ ุทฺธำ อตฺตทนฺตำ สมาหติ ำ อตนทฺ ิโต รตฺตินทฺ วิ ำ วหิ ริสฺสามิ กานเนติ ฯ (ข.ุ เถร. 26/321-2) 31 ศกึ ษารายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ไดจ้ าก “สมาธภิ าวนาในคมั ภรี ใ์ บลานเขมร” (พระปอเหมา่ ธมมฺ โิ ต 2557) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 335
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ เนื้อหาของบทสวดสรรเสริญในภาคผนวกของคัมภีร์น้ี เป็นเน้ือหา เดียวกันกับ “คาถาธรรมกาย” ที่พบในประเทศไทย ครอบคลุมเนื้อหาหลัก ทั้งสองส่วน ตั้งแต่ข้อความ สพฺพ ฺ ุต ฺ าณปวรสีสํ จนถึง ปุนปฺปุนํ อนุสฺสริตพฺพํ และยังมีคำาลงท้ายเพื่อเป็นการจบบทสวดสรรเสริญเพ่ิมเติมว่า ธมมฺ กาย ปรปิ ณุ ณฺ า นฏิ ติ า แปลวา่ “บทสวดพระธรรมกายทสี่ มบรู ณจ์ บแลว้ ” ในตอนจบคาถาสรรเสรญิ พระธรรมกาย คมั ภรี ม์ ขี อ้ ความสรปุ ตอนทา้ ย เป็นภาษาเขมรว่า “นรชนใดนมัสการพระธรรมกาย สรรเสรญิ ในองค์พระผู้มี บุญ หากใครๆ ไดก้ ราบไหว้ สวดรำาลกึ หรอื ศึกษาทุกๆ วัน จะปรารถนาส่งิ ใด กจ็ ะไดส้ มหวงั ทุกประการ” ขอ้ ความทลี่ งทา้ ยดงั กลา่ ว แสดงถงึ การนาำ คาถาธรรมกายมาเปน็ บทสวด เพ่ือความเป็นศิริมงคล เพื่อนาำ มาซึ่งความสำาเร็จและสมหวังในส่ิงที่ปรารถนา ด้วยอำานาจแหง่ พทุ ธคณุ 4.1.1.6. หนงั สอื “การเจรญิ กรรมฐานแบบโบราณ” ของกมั พชู า32 หนงั สอื “การเจรญิ กรรมฐานแบบโบราณ” ภาษาเขมร ฉบบั ของวดั เชต พน จงั หวดั กำาปงจาม ประเทศกมั พูชา มเี นอื้ หาสอนสมาธิภาวนา และในตอน ทา้ ย (หน้า 90-100) ได้ผนวกเอาข้อความทีเ่ ป็น “คาถาธรรมกาย” ไว้ด้วย เน้ือหาคาถาธรรมกายภาษาบาลีที่ผนวกไว้ในตำาราเจริญภาวนาฉบับน้ี มขี อ้ ความตรงกนั กบั คาถาธรรมกายทพี่ บในประเทศไทยทง้ั สองสว่ น คอื สว่ นท่ี 32 ศกึ ษารายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ไดจ้ าก “สมาธภิ าวนาในคมั ภรี ใ์ บลานเขมร” (พระปอเหมา่ ธมมฺ โิ ต 2557) 336 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org แจกแจงพระพทุ ธคณุ และสว่ นทเ่ี ปน็ บทประมวลความ นอกจากนใ้ี นตอนทา้ ย ยงั มขี อ้ ความเพม่ิ เติมวา่ เกเสสุ เกสา ฉินทติ วฺ า สพเฺ พพุทเฺ ธหิ เทสติ ํ นพิ พานํ ขมนตฺถาย33 แปลว่า “เพื่อประโยชน์แก่การไปสู่พระนิพพานที่พระพุทธเจ้า ท้ังปวงผู้ทรงปลงพระเกศา (เสด็จออกบรรพชา) ได้แสดงไว้แล้ว” ข้อความ ลงท้ายนี้ เชื่อมโยงการระลึกถึงพุทธคุณในคาถาธรรมกายเข้ากับการบรรลุ มรรคผลนิพพานโดยตรง อน่ึงข้อความน้ีบ่งบอกเปาหมายในการปฏิบัติแบบ เถรวาทเชน่ เดยี วกนั กบั ทพ่ี บในคมั ภรี ธ์ มั มกายฉบบั วดั ปา่ สกั นอ้ ย คอื มงุ่ สมู่ รรค ผล นพิ พาน ไม่ได้มงุ่ เปาหมายการเป็นพระพทุ ธเจา้ แตอ่ ย่างใด หลังจากคาถาธรรมกายและข้อความเพ่ิมเติมดังกล่าวมาแล้ว คัมภีร์ ยังมีข้อความกล่าวถึงหมวดธรรมต่างๆ ต่อไปอีก ได้แก่ โพธิปักขิยธรรม สติ ปัฏฐาน 4 สมั มปั ปธาน 4 อทิ ธิบาท 4 อินทรยี ์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อรยิ มรรค มีองค์ 8 โลกุตรฌาน เปน็ ต้น แต่ขอ้ ความขาดหายไปกอ่ นจะจบ และยังไม่มี บทสรปุ ใดๆ ให้เหน็ เพม่ิ เติม การท่ีคัมภีร์เชื่อมโยง “การระลึกถึงพระธรรมกายเนืองๆ” เข้ากับ การบรรลุมรรคผลนิพพานนั้น สอดคล้องกับคุณของพุทธานุสติดังท่ีพระมหา กัจจายนะแสดงแก่สหธรรมิกว่า อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระตถาคตในเวลา ใด ในเวลาน้ัน จิตของท่านย่อมไม่ถูกราคะโทสะ หรือโมหะกลุ้มรุม เป็นจิต ที่ดำาเนินไปตรงทาง พ้นไปจากความอยากคือเบญจกามคุณ และย่อมมีใจ 33 การสะกดคาำ ศัพท์ และไวยากรณ์ ทผ่ี ิดเพี้ยนจากบาลปี กตนิ ้ี เป็นลกั ษณะปกติทพี่ บไดท้ ่ัวไปในคัมภรี ์ ใบลานทอ้ งถน่ิ สำาหรับคัมภีรใ์ บลานเขมรนัน้ นักวชิ าการบางท่านแสดงความเห็นวา่ การศึกษาภาษา บาลใี นประเทศกัมพชู า ค่อนขา้ งออ่ นแอ พระสงฆ์ ทอ่ งจำาบทสวดโดยไม่เข้าใจความหมาย (Bernon 2 6 3) บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 337
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ กว้างใหญ่ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน สัตว์โลกที่มีพุทธานุสติเป็นอารมณ์ ยอ่ มเป็นผู้มีความบริสทุ ธ์เิ ป็นธรรมดา (อง.ฺ ฉกฺก. 22/297/351) และตรงกบั ท่ี กลา่ วไวใ้ นอรรถกถาบาลวี า่ พุทธานสุ ตทิ ำาใหจ้ ติ ตงั้ มั่น ผ่องใส34 เม่ือภิกษุน้ันระลึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่ จิตตุปบาทย่อม ผอ่ งใสปราศจากนวิ รณ์ (องฺ.อ. 33/178 ไทย มมร.) อนึ่ง การสวดสรรเสรญิ พระธรรมกายเพอ่ื ความเป็นสริ ิมงคล และเพื่อ เปน็ เหตุนาำ ไปส่นู พิ พานนั้น อาจกลา่ วได้ว่าคลา้ ยคลงึ กนั กับทแี่ สดงไวใ้ นอรรถ กถาติณสูลกฉาทนิยเถราปทาน เราเมอ่ื เดิน ยืน น่งั หรือนอน ยอ่ มระลกึ ถงึ พระพุทธเจา้ ผู้ประเสริฐสุดอยู่ทุกขณะ ความพร่องในปัจจัยนั้นๆ คือ จีวร บณิ ฑบาต ทีน่ อน ท่ีน่งั และคิลานปจั จยั มิไดม้ แี กเ่ รา นี้เปน็ ผล แห่งพทุ ธบชู า บดั นี้ เราบรรลุอมตบท อันสงบระงบั เปน็ ธรรม ยอดเย่ยี ม กาำ หนดรอู้ าสวะทั้งปวงแลว้ เป็นผู้ไม่มอี าสวะอยู่35 34 นาำ มาจากงานวิจัย “พุทธานุสติในคัมภีรพ์ ุทธศาสนาภาษาบาล”ี (พระมหาสธุ รรม สรุ ตโน 2557) 35 จงกฺ มนโฺ ต นิปชชฺ นฺโต นิสนิ ฺโน อถวา โิ ต พุทธฺ เสฏฺำ สริตฺวาน วิหรามิ อหำ ตทา ฯ จวี เร ปณิ ฺฑปาเต จ ปจฺจเย สยนาสเน ตตฺถ เม อูนตา นตถฺ ิ พทุ ฺธปูชายิทำ ผลำ ฯ โส ทานิ ปตฺโต อมตำ สนตฺ ำ ปทมนตุ ฺตรำ สพฺพาสเว ปริฺาย วิหรามิ อนาสโว ฯ (ขุ.อป. 33/3/11) 338 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org หลักในการตรึกระลึกถึงพระพุทธคุณแล้วทำาให้พ้นจากส่ิงท่ีไม่พึง ปรารถนา และนาำ มาซงึ่ สง่ิ ทพี่ งึ ปรารถนาได้ รวมทงั้ ทาำ ใหจ้ ติ บรสิ ทุ ธ์ิ ดงั ทค่ี มั ภรี ์ มูลลกัมมฐานและคัมภีร์ปฏิบัติธรรมจากกัมพูชากล่าวไว้นั้น อาจกล่าวได้ว่า สอดคลอ้ งกนั กบั หลกั การของวชิ ชาธรรมกาย ดงั ทพี่ ระมงคลเทพมนุ กี ลา่ วไวว้ า่ พุทธศาสนกิ ชน ภกิ ษุ สามเณร อุบาสก อุบาสกิ า มีพระ รตั นตรยั เป็นหลกั คือ พทุ ธรตั นะ ธรรมรัตนะ สงั ฆรัตนะ เปน็ หลกั เมอ่ื ระลกึ ถงึ หลกั อนั นีแ้ ล้วย่อมไม่หวาดเสียว ย่อมไม่กลัว ย่อมไม่สะดุ้ง มั่นคงในพระพุทธศาสนา เม่ือมั่นคงแน่แท้เช่นนี้ แลว้ จะเอาชยั ชนะไดไ้ มต่ อ้ งสงสยั ละ กระทาำ สง่ิ ใดสาำ เรจ็ สมความ ปรารถนาทีเดียว (รธ. 472) อย่างไรก็ดี พระมงคลเทพมุนียังได้แนะนำาให้ปฏิบัติสมาธิภาวนาให้ใจ หยดุ นง่ิ เพอื่ ให้ “เขา้ ถงึ ตวั จรงิ ของพระพทุ ธเจา้ ” ดว้ ย มใิ ชเ่ พยี ง “ขอถงึ ” เทา่ นนั้ เมอ่ื เรารแู้ นวปฏบิ ตั ขิ องสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ และ พระสาวกดงั กลา่ วมาข้างตน้ น้ีแล้ว เรามีหน้าท่ีจะตอ้ งพจิ ารณา ไตรต่ รองดวู า่ เราจะทาำ อยา่ งไร? เราเพยี งทอ่ งจาำ อติ ปิ โิ ส ภควาฯ ไว้กระนั้นหรอื หรือจะพยายามนึกคาำ แปลไว้ให้เข้าใจด้วย และ ระลึกถึงพระคุณเหล่าน้ีเนืองๆ ดังน้ีหรือ เราไม่พึงกระทำาอะไร ยง่ิ ไปกว่าน้ีหรือ ... (รธ. 44) เราจะระลึกถึงพระพุทธเจ้าน้ัน เม่ือมาถึงพระประธาน เข้านี้แล้ว เราจะเอาใจจรดตรงไหนล่ะ? ถึงจะถูกพระพุทธเจ้า บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 339
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ... เมอ่ื ยงั เขา้ ไมถ่ งึ พทุ ธรตั นะ ธรรมรตั นะ สงั ฆรตั นะ ยงั ไมม่ พี ทุ ธ รัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ จะจรดตรงไหนล่ะ? ใจต้องจรด น่ิงเข้าทีศ่ นู ย์กลางของดวงธรรม ที่ทาำ ให้เปน็ กายมนุษย์ ตรงน้นั ถา้ วา่ ได้กายมนุษย์แลว้ ตรงนัน้ แหละทจ่ี ะเปน็ พทุ ธรัตนะ ธรรม รัตนะ สังฆรตั นะ ตอ้ งทำาใจให้หยดุ ตรงน้ัน ใหห้ ยุดนิ่ง ... ถา้ ว่า เขา้ ถงึ กายพระอรหัตละเอียด หยดุ นง่ิ อยศู่ ูนย์กลางดวงธรรมท่ี ทำาให้เป็นกายพระอรหัตละเอียด ท่ีตั้งของใจท่ีจรด ท่ีจรดของ ใจเรียกว่า ถูกพุทธรัตนะ ถกู ธรรมรตั นะ ถกู สงั ฆรัตนะ ตัวจรงิ ที เดยี วใหจ้ รดอยา่ งนี้ (รธ. 313-4) นอกจากคัมภีร์แนะนำาการปฏิบัติธรรมสองฉบับนี้ และคัมภีร์ “ธมฺม กายสสฺ อตถฺ วณณฺ นา” ทต่ี ีพมิ พโ์ ดยยอร์จ เซเดส์ แล้ว ในกัมพูชายังมคี ัมภรี อ์ นื่ ที่อาจรวม “คาถาธรรมกาย” เป็นส่วนหน่ึงในน้ันดว้ ย เช่น คัมภีรพ์ ระคณุ แกว้ ปฎิ กฉบบั วดั เกาะจน้ เลยี พนมเปญ ทคี่ ดั ลอกเมอ่ื ปี พ.ศ. 2487 มขี อ้ ความเกย่ี ว กบั พธิ บี ญุ และระบวุ า่ พธิ บี ญุ นเี้ ปน็ เนอ้ื หาสว่ นหนง่ึ ทร่ี บั มาจากคมั ภรี ช์ อื่ “พระ ธมั มกาย” เปน็ ไปได้ว่า คมั ภรี ์ “พระธรรมกาย” ดังกลา่ วจะหมายถงึ คัมภรี ท์ ่ีมี คาถาธรรมกายและมเี นอื้ หาเกยี่ วกบั พธิ กี รรมบางอยา่ งทอี่ าศยั คาถาธรรมกาย เปน็ สว่ นสาำ คัญ ซึ่งยงั ตอ้ งสืบค้นโดยละเอียดต่อไป 4.1.1.7. บทสรปุ คาถาธรรมกาย คาถาธรรมกายเป็นคัมภีร์ภาษาบาลีที่มีลักษณะเฉพาะของเอเชีย อาคเนย์ พบหลายแห่งในประเทศไทย และกัมพูชา ประกอบดว้ ยเนื้อหาสอง ส่วนหลักคือ บทแจกแจงพระพุทธคุณที่เปรียบเทียบพุทธคุณแต่ละหมวดว่า 340 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org เปรียบเสมือนส่วนประกอบหน่ึงๆ ของพระธรรมกาย และบทประมวลความ ซึ่งสรุปความหมายและความสำาคัญของธรรมกายในฐานะที่เป็นท่ีรวมแห่ง พระพทุ ธคุณและคำาแนะนาำ ให้หมัน่ ระลกึ ถึงพระธรรมกายเนอื งๆ ภาพรวมเนื้อหาของคัมภีร์ท่ีมีคาถาธรรมกายอาจสรุปได้ดังตารางข้าง ลา่ งนี้ ตารางท่ี 5 สรุปเนื้อหาคาถาธรรมกายและข้อความประกอบท่ีพบใน แหลง่ ต่างๆ ขอ้ ความท่พี บ คาถาธรรมกาย บท ขอ้ ความประกอบอนื่ ๆ หลักฐาน บท บท อรรถาธบิ าย แจกแจง ประมวล (อตฺถวณฺณ พุทธคณุ ความ นา) จารึกพระ มี (ไมม่ ี - - ธรรมกาย พ.ศ. มี ข้อมลู / - จารกึ 2092 แตกหัก) พระธมั มกายาทิ ฉบับเทพชุมนุม มี ภาษาบาลี (ศ.24) คมั ภีร์ธัมมกาย มี มี ภาษาไทย ในตอนต้นบอกช่ือคาถา อกั ษรธรรม ยวน ลงท้ายเป็นคำาแนะนำาให้ สวดทุกวันจะรักษาตัวได้ ล้านนา ตราบถึงนิพพาน บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 341
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ มูลลกัมมฐาน มี มี - วิธีการนำาคาถาธรรมกาย มาใช้รักษาโรคและแก้ อปุ สรรค ปรยิ ายพระ มี มี - การสวดสรรเสริญพระ วิปัสสนาสูตร มี ธรรมกายเป็นประจำาจะ มี ทาำ ใหส้ มหวงั ทกุ ส่งิ กรรมฐานแบบ มี โบราณ (เขมร) มี - (คาถาธรรมกาย) เพื่อนำา ไปสู่พระนิพพานท่ีทรง บทความ แสดงไว้ ธรรมกาย (ยอรจ์ เซเดส์) มี ภาษาบาลี - มโนรถปรู ณี (ไทย, พมา่ ) -- - พุทธคุณและพุทธญาณที่แสดงไว้ในคาถาธรรมกายมีท่ีมาในพระ ไตรปิฎกและอรรถกถา เว้นแต่ “วชิรสมาบัตญิ าณ” ทีไ่ ม่มีช่อื ปรากฏในคมั ภรี ์ บาลอี น่ื ใด แตโ่ ดยความหมายกค็ อื พระสพั พญั ตุ ญาณนนั่ เอง ดงั นนั้ ธรรมกาย ท่ีกล่าวถึงใน “คาถาธรรมกาย” จึงมีลักษณะเน้ือหาและคำาอธิบายเป็นแบบ เถรวาททอ้ งถิน่ มากกวา่ ทจี่ ะเป็นคาำ สอนจากมหายานหรอื วชั รยาน การแสดงความหมายของธรรมกายในฐานะทเี่ ปน็ กายอนั ประกอบดว้ ย พุทธคุณและพุทธญาณอันเป็นเคร่ืองรู้แจ้ง และในฐานะที่เป็นกายแห่งมรรค 342 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ผล และวมิ ตุ ตนิ นั้ นบั วา่ สอดคลอ้ งกนั กบั คมั ภรี ส์ ายบาลแี ละสอดคลอ้ งกนั โดย หลักการกับวิชชาธรรมกาย ส่วนคำาแนะนำาให้ผู้ปฏิบัติตรึกระลึกถึงพระธรรม กายเนืองๆ ก็ตรงกันกับพุทธานุสติที่แสดงไว้ในพระบาลี และตรงกันกับหลัก การของวชิ ชาธรรมกาย สว่ นการทบี่ างคมั ภรี แ์ สดงอานสิ งสห์ รอื ประโยชนข์ องคาถาธรรมกาย ใน การรักษาโรค ปัดเปา่ อนั ตรายหรืออปุ สรรค การนำามาซง่ึ สิง่ ทีห่ วัง และการนาำ ไปสนู่ พิ พาน กเ็ นอ่ื งดว้ ยอานภุ าพแหง่ พระพทุ ธคณุ ทแี่ สดงไวใ้ นคาถาธรรมกาย ตรงกนั กบั อานสิ งสข์ องพทุ ธานสุ ตทิ แี่ สดงไวใ้ นพระไตรปฎิ กและอรรถกถาบาลี และอาจกล่าวไดว้ า่ ตรงกันกบั ทพ่ี ระมงคลเทพมุนีกล่าวไว้ในบางส่วน สำาหรบั กลมุ่ เปาหมายและวัตถปุ ระสงค์ของการปฏบิ ัติ หากถือเอาตาม เนื้อหาคัมภีรอ์ าจนับได้ว่ามคี วามแตกต่างกัน กลา่ วคือ ในขณะทีพ่ ระไตรปิฎก บาลีและวิชชาธรรมกายกล่าวถึงพุทธานุสติสำาหรับบุคคลท่ัวไป เพ่ือการนำา ไปสู่นิพพาน คาถาธรรมกายกลับระบุว่าสำาหรับผู้ที่ปรารถนาความเป็นพระ สพั พญั พู ทุ ธเจา้ อยา่ งไรกด็ ี มขี อ้ สงั เกตวา่ ในคมั ภรี ธ์ มั มกาย ทจี่ ารกึ ดว้ ยอกั ษร ธรรมลา้ นนานนั้ มคี าำ แนะนาำ ในตอนทา้ ยใหส้ วดคาถานเี้ พอื่ เปน็ ปจั จยั รกั ษาตน ไปตราบบรรลมุ รรคผลนพิ พาน และหนงั สอื การเจรญิ กรรมฐานแบบโบราณของ กัมพูชาก็เชื่อมโยงการระลึกถึงพระพุทธคุณเหล่าน้ีเข้ากับการบรรลุมรรคผล นิพพานเช่นกัน แสดงว่าในทางปฏิบัติของชาวพุทธท้องถ่ินน้ัน พุทธานุสติ ในคาถาธรรมกายน้ันมีไว้สำาหรับคนท่ัวไปที่มีเปาหมายในการบรรลุมรรคผล นพิ พาน ไมจ่ ำาเพาะสำาหรบั พระโพธิสัตวท์ ี่ปรารถนาเป็นพระพทุ ธเจ้าเท่านนั้ เป็นไปได้ว่าความขัดแย้งกันเองในเน้ือหาคัมภีร์ดังกล่าวจะเป็นเครื่อง บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 343
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ บ่งช้ีถึงความเป็นมาของคาถาธรรมกายว่า การเปรียบเทียบพระพุทธคุณกับ ส่วนต่างๆ ของพระธรรมกายในลักษณะน้ีอาจเป็นคำาสอนเก่าของพระพุทธ ศาสนาดง้ั เดมิ บางนกิ ายทย่ี กยอ่ งการตง้ั ความปรารถนาเปน็ พระสพั พญั พู ทุ ธ เจ้าและเป็นต้นสายของพุทธมหายาน ท่ีเคยแผยแผ่มาถึงเอเชียอาคเนย์หรือ อย่างนอ้ ยประเทศไทยแตค่ รงั้ โบราณ (ดู 2.3.1) ซึง่ เป็นคนละสายการเผยแผ่ กันกบั พระพทุ ธศาสนาเถรวาทจากศรลี ังกา ส่วนขอ้ ความทแี่ สดงเปาหมายถึง มรรคผลนพิ พานทปี่ รากฏในทา้ ยคัมภรี น์ ้นั เปน็ การเตมิ เข้าไปตามคตินยิ มของ ชาวพทุ ธเถรวาทท้องถิน่ ในภายหลัง ส่วนการท่ีมีข้อความส่วนแจกแจงพระพุทธคุณผนวกไว้ในอรรถกถา อังคุตตรนิกายฉบับอักษรไทยและพม่า โดยไม่ปรากฏในฉบับอักษรสิงหลนั้น ดูจะเป็นการสนับสนุนข้อสันนิษฐานท่ีว่า คาถาธรรมกายมีจุดเร่ิมต้นมาจาก พระพทุ ธศาสนาตา่ งสายการเผยแผก่ บั เถรวาทแบบศรลี งั กา สว่ นการทม่ี เี ฉพาะ ข้อความแจกแจงพระพุทธคณุ โดยไม่มบี ทประมวลความของคาถาพระธรรม กายผนวกไว้ในอรรถกถาด้วยนั้น อาจบ่งชี้ว่าคณะสงฆ์ที่มีหน้าท่ีในการจัดทำา คัมภรี ์อรรถกถาเหลา่ น้ันยอมรบั เน้อื หาของบทแจกแจงพระพทุ ธคณุ ว่า แต่ไม่ ยอมรบั เนอ้ื หาของบทประมวลความทอี่ าจจะดขู ดั แยง้ กบั คตนิ ยิ มของเถรวาท แบบทน่ี บั ถอื กนั อยู่ การสบื คน้ ตอ่ ไปในเชงิ ประวตั ศิ าสตรอ์ าจชว่ ยใหไ้ ดค้ าำ ตอบ ถึงความเปน็ มาของคาถาธรรมกายที่ชัดเจนข้นึ อย่างไรกต็ าม ส่งิ หนึง่ ที่ทราบแนน่ อนจากข้อมลู ทมี่ ีในขณะนคี้ ือ คาถา ธรรมกายเคยเป็นท่ีนิยมแพร่หลายในประเทศไทย ดังจะเห็นได้จากการพบ คาถาธรรมกายในต่างพื้นที่ ต่างยุคสมัย และจารึกด้วยอักษรหลายแบบใน ท้องถ่นิ ตา่ งๆ ของไทย และยังพบคัมภีรพ์ ระธมั มกายาทิ ฉบับเทพชมุ นมุ ใน 344 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org สมัยรัชกาลที่ 3 ซ่งึ บง่ บอกถึงสถานะของคมั ภีรว์ า่ เปน็ ทรี่ ู้จักและยอมรับกนั ใน สงั คมพทุ ธเถรวาทและในสงั คมชนั้ สงู ของสยามประเทศ อยา่ งชา้ กใ็ นราวปลาย พุทธศตวรรษท่ี 21 ตามอายุของศิลาจารึกพระธรรมกายเปน็ ตน้ มา 4.1.2. ธรรมกายในคัมภีร์แนะน�าการปฏบิ ัติธรรม นอกจากคำาว่าธรรมกายท่ีพบเป็นหลักในคาถาธรรมกายแล้ว ยังพบ คำาว่าธรรมกายหลายคร้ังในคัมภีร์แนะนำาการปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะในส่วนที่ กลา่ วถงึ พทุ ธานสุ ติ ทนี่ าำ มาศกึ ษาในบทนพ้ี บในคมั ภรี จ์ ตรุ ารกั ขา และในคมั ภรี ์ มลู ลกัมมฐานในส่วนทว่ี ่าด้วยพุทธานุสติ 4.1.2.1. คัมภีรจ์ ตุรารกั ขา36 จตรุ ารกั ขา แปลวา่ การคมุ้ ครอง ปกปอง หรอื การรกั ษา 4 ประการ เปน็ ชอื่ ของคัมภรี แ์ นะนาำ การปฏบิ ัตสิ มาธภิ าวนา 4 วธิ ี ได้แก่ พทุ ธานุสติ เมตตา ภาวนา อสภุ ภาวนา และมรณานสุ ต3ิ 7 เรยี บเรยี งเปน็ ฉนั ทบ์ าลแี บบปฏั ฐยาวตั ร ผสมกบั วปิ ลุ าและวสนั ตดลิ ก ความยาว 32 คาถา โดยคาถาที่ 2-2938 เปน็ เนอื้ หา 36 นำามาจากงานวิจัย “ร่องรอยธรรมกายในคัมภรี จ์ ตุรารกั ขา” (สุปราณี พณชิ ยพงศ์ 2557) 37 พุทธฺ านสุ ฺสติ เมตฺตา จ อสุภำ มรณสสฺ ติ อิติ อมิ า จตุรารกฺขา ภิกขฺ ุ ภาเวยฺย สีลวา ฯ (1) (สปุ ราณี พณิชยพงศ์ 2557) พระภกิ ษุผู้มีศีล พงึ เจริญการรกั ษา 4 อยา่ งเหล่านีค้ อื พทุ ธานสุ ติ เมตตาภาวนา อสุภภาวนา และ มรณานสุ ติ 38 คาถาแรกของคมั ภีรจ์ ตุรารกั ขาเปน็ ข้อความแสดงความหมายของชอ่ื “จตรุ ารกั ขา” และแนะนำาให้ พระภกิ ษปุ ฏบิ ตั ิ (ดเู ชงิ อรรถกอ่ นหนา้ น)ี้ สว่ นคาถาสดุ ทา้ ยเปน็ คาถาสรปุ ความโดยแนะนาำ ใหป้ ฏบิ ตั ทิ ง้ั เชา้ และเย็นเป็นประจาำ เพอ่ื นำามาซง่ึ ความสขุ อันไพบูลย์ทท่ี ราบกนั วา่ เป็นส่ิงประเสริฐสุด (วสิ ิฏฺ มตำ, เสฏฺมต)ำ บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 345
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ การปฏิบัติสมาธิภาวนา และคาถาท่ี 30-31 กล่าวถึงวัตถุเป็นท่ีตั้งแห่งความ สังเวช 8 ประการ39 นยิ มใชส้ วดเพ่ือเจริญภาวนาในหมู่พระภกิ ษชุ าวศรีลงั กา และชาวไทยในภาคเหนือดังที่มีปรากฏอยู่ในหนังสือพระปริตรของประเทศ ศรลี ังกาและหนังสอื สวดมนตไ์ ทยเหนือของประเทศไทย เนอื่ งจากคมั ภรี จ์ ตุรารักขาเปน็ คมั ภรี ์ท่ีเป็นท่นี ยิ ม มีการเผยแพรใ่ ช้งาน กนั ในหลายแหง่ และมีการคัดลอกคัมภรี ซ์ ้าำ กันบ่อยครั้ง จงึ เปน็ ไปได้ว่าในการ คัดลอกแต่ละครั้งจะมีความผิดพลาดคลาดเคล่ือน ข้อความในคัมภีร์ที่พบใน แต่ละท้องที่จงึ มคี วามแตกตา่ งกัน สุปราณจี งึ ได้จดั ทำาเน้อื หาคัมภรี ข์ ้ึนมาใหม่ โดยเทยี บเคยี งเอกสารและใบลาน 4 ฉบบั เพอ่ื ใหไ้ ดเ้ นอื้ หาทนี่ า่ จะถกู ตอ้ งและ ใกลเ้ คียงกับฉบับดั้งเดมิ มากท่ีสุด40 39 สังเวควัตถุ 8 ได้แก่ การเกดิ แก่ เจ็บ ตาย อบาย ความทกุ ข์ในอดีต ทุกขใ์ นอนาคต ในวฏั สงสาร และ ทุกขใ์ นการแสวงหาอาหาร 40 เอกสารและใบลานท้ังสี่ฉบบั ทใ่ี ชเ้ ทยี บเคยี งกนั เพือ่ จดั ทำาเนื้อหาใหม่ ไดแ้ ก่ 1) หนงั สอื สวดมนต์พระปริตร ( aha Pirit Pota) ของประเทศศรีลังกา (De undara 1983) 2) หนงั สอื สวดมนตฉ์ บบั เหนือ (ทวี เขอื่ นแก้ว 2524) 3) ใบลานอกั ษรขอม (6863/2/1) และ 4) ใบลานอักษรธรรมล้านนา (1298/1) คัมภีร์ใบลานท้ังสองฉบับ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่ หอสมุดแหง่ ชาติ การตรวจชำาระหรือจัดทำาเนื้อหาข้ึนใหม่บนพื้นฐานของภาษาศาสตร์ในลักษณะนี้ เป็นที่ยอมรับ ในทางวิชาการว่าเป็นงานท่ีมีคุณค่าในแวดวงการศึกษาคัมภีร์ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก “ร่องรอยธรรมกายในคมั ภีรจ์ ตรุ ารักขา” (สุปราณี พณิชยพงศ์ 2557) 346 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 347 ภาพที่ 2 คมั ภีรจ์ ตุรารกั ขา อกั ษรขอม หอสมุ แหงชาติ
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ จากการศึกษาเน้ือหา คาดว่าคัมภีร์นี้น่าจะเรียบเรียงข้ึนเพ่ือเป็นคู่มือ แนะนำาการปฏิบัติธรรมของพระภิกษุเป็นหลัก ส่วนการที่นำาเอาการปฏิบัติ ธรรมทัง้ 4 วิธีมารวมกนั แล้วตงั้ ชื่อวา่ “จตรุ ารกั ขา” นา่ จะเป็นเพราะเปน็ วิธี การสาำ คญั ในการฝกจติ รกั ษาใจไมใ่ หม้ วั หมองจากขา้ ศกึ คอื กเิ ลส เปน็ การกาำ จดั นวิ รณ์ ทาำ ใหเ้ กดิ การเหน็ แจง้ ในทสี่ ดุ ดงั ทม่ี รี ะบไุ วใ้ นอรรถกถาวา่ พระพทุ ธองค์ ตรัสสอนอสุภกรรมฐาน เมตตาภาวนา และมรณานุสติ สำาหรับบรรเทากิเลส 3 ตระกูลหลกั ไดแ้ ก่ ราคะ โทสะ โมหะ ตามลาำ ดับ และทรงสอนพทุ ธานสุ สติ เป็นต้นสาำ หรับผูท้ ีม่ ีศรัทธาจริต ( hp .232) ส่วนการที่นำาบทพุทธานุสติมาไว้เป็นอันดับแรกน่าจะเป็นเพราะเป็น กรรมฐานทบี่ รรเทาไดท้ ง้ั ราคะ โทสะ และโมหะ ทาำ ใหเ้ กดิ ปตี สิ ขุ กายสงบ และ จิตตง้ั มัน่ ( .V.329) ผอ่ งใส ปราศจากนวิ รณ์ เกื้อกูลต่อการปฏบิ ัตกิ รรมฐาน อนื่ โดยเฉพาะอสภุ กรรมฐาน ทาำ ใหจ้ ติ รา่ เรงิ เขา้ ถงึ ฌาน และหยงั่ ลงสอู่ รยิ ภมู ไิ ด้ ( .II.20-21) สว่ นวตั ถเุ ปน็ ทต่ี งั้ แหง่ ความสงั เวช 8 ประการนน้ั ทา่ นผนวกไวใ้ น ตอนทา้ ยสดุ เพอื่ เตอื นใจใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั พิ จิ ารณาเหน็ ความเปน็ จรงิ ของสรรพสง่ิ แลว้ เกดิ ความสงั เวช ไมป่ ระมาทในชวี ติ หมนั่ ตกั เตอื นตนเองใหร้ บี เรง่ ทาำ ความเพยี ร เพอ่ื จะได้บรรลมุ รรคผลนิพพาน ซ่งึ นา่ เป็นวตั ถุประสงค์ของการแต่งคัมภรี น์ ้ี มเี นอื้ หาบางสว่ นของคมั ภรี จ์ ตรุ ารกั ขาปรากฏอยใู่ นคมั ภรี บ์ าลฉี บบั อน่ื ๆ เชน่ พบคาถาที่ 11 ในคมั ภีรส์ ัททนตี ปิ กรณ4์ 1 และสองบาทแรกของคาถาที่ 1 41 สัททนตี ิปกรณเ์ ป็นคมั ภีร์อธิบายบาลีไวยากรณ์ แต่งเป็นภาษาบาลโี ดยพระอัครวงศาจารย์ พระภกิ ษุ ชาวพม่าเมื่อ พ.ศ. 1697 (ค.ศ. 1154) มบี นั ทึกไวว้ ่า หลงั จากที่คัมภีร์นเี้ ขียนเสรจ็ ได้ 2-3 ปี ก็ได้ถกู จดั ส่งไปเผยแพร่ในประเทศศรีลังกา และก็ได้รับความนิยมกันอยา่ งแพรห่ ลายในทีน่ ้นั (Bode 1966: 16-17) 348 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ในคัมภีร์ขุทฺทสิกฺขา-มูลสิกฺขา42 การศึกษาข้อความของคัมภีร์จตุรารักขาท่ี ปรากฏในคัมภรี ์เหล่าน้ัน และประเมินรว่ มกบั ข้อมูลจากหนงั สือรวมวรรณคดี บาลแี ละเอกสารใบลาน รวมทง้ั ลกั ษณะของการใชค้ าำ และสาำ นวนบาลใี นคมั ภรี ์ ทำาให้สันนิษฐานได้ว่าคัมภีร์จตุรารักขาน่าจะแต่งข้ึนราวกลางพุทธศตวรรษท่ี 10-16 (ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 5-10) โดยพระภกิ ษทุ มี่ คี วามรดู้ ใี นพระไตรปฎิ ก อรรถ กถา และภาษาบาลี และมกี ารเกบ็ รกั ษาและสืบทอดตอ่ กนั มาในหมชู่ าวพุทธ ในเอเชียใต้และเอเชียอาคเนย์จนถึงปัจจบุ นั ธรรมกายในคมั ภรี จ์ ตรุ ารกั ขา ในเน้ือหาที่แนะนำาการปฏิบัติพุทธานุสติในคัมภีร์จตุรารักขา (คาถา ที่ 2-11) น้ี พบคาำ ว่า ธรรมกายในคาถาท่ี 11 ซึ่งเป็นขอ้ ความสรุปการปฏบิ ตั ิ พุทธานุสติในพระคมั ภีร์ มเี นือ้ ความวา่ ทสิ สฺ มาโน ปิ ตาวสฺส รูปกาโย อจนิ ตฺ ิโย อสาธารณาณฑเฺ ฒ ธมมฺ กาเย กถา ว กาติ ฯ 42 คัมภีร์ขุทฺทสิกฺขา-มูลสิกฺขา เป็นคัมภีร์พระวินัยบาลีท่ีสรุปกฎสำาคัญๆ ในพระปาฏิโมกข์ เขียนข้ึน มาเพื่อให้พระใหม่ศึกษาได้ง่าย (von in ber 1 6 1 ) มีการอ้างอิงช่ือคัมภีร์นี้ไว้ในคัมภีร์ Parakramabāhu-Katikāvata เม่ือปี พ.ศ. 1708 (ค.ศ. 1165) และที่ศิลาจารึกขนาดใหญ่ของ พระเจา้ ปรกั กมพาหุ ทก่ี ลั วหิ าร แหง่ เมอื งโปโลนนารวุ ะ ประเทศศรลี งั กาเมอ่ื ปี พ.ศ. 1608 (ค.ศ. 1065) ท่านมาลลเสเกระ (Malalasekera 1994: 76-77) ระบุว่าคมั ภรี ์ขทุ ทฺ สกิ ขฺ า-มลู สิกฺขานา่ จะแต่งข้ึน โดยพระภกิ ษชุ าวอนรุ าธปรุ ะกอ่ นทพ่ี ระพทุ ธโฆษาจารยจ์ ะเดนิ ทางไปทเ่ี กาะศรลี งั กา สว่ น ดร.มลู เลอร์ (M ller 1883 86-8 ) ระบุว่าภาษาและรูปแบบของคาำ ศพั ทท์ ใี่ ช้บ่งบอกวา่ คัมภรี น์ แ้ี ตง่ ข้ึนในราว กลางพทุ ธศตวรรษท่ี 11-13 (คริสตศ์ ตวรรษท่ี 6-7) บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 349
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ คา� แปล: แมพ้ ระรปู กายของพระองคท์ ป่ี รากฏอยกู่ ย็ งั เปน็ เร่อื งอจินไตย ไมจ่ ำาตอ้ งพูดถงึ พระธรรมกาย (ของพระองค)์ ซง่ึ ม่ังค่งั ไปดว้ ยญาณ คอื ความร้ทู ี่ไมท่ วั่ ไป จากเน้ือความในคาถา อาจสรุปประเด็นสำาคญั ได้เปน็ 2 ประเด็นหลัก ด้วยกนั คือ 1. ท่านผู้รจนาคัมภีร์นี้ต้องการจะชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พระสัมมา สัมพุทธเจา้ ทรงมีธรรมกาย ซึ่งแยกออกจากรปู กายอยา่ งชัดเจน 2. ลักษณะที่สำาคัญของธรรมกายของพระพุทธองค์ คือ ม่ังค่ังไปด้วย ญาณ และลักษณะของญาณ คือ เป็นความรู้เฉพาะที่ไม่ท่ัวไป ซ่ึงเป็นเรื่อง อจนิ ไตย สำาหรับประเด็นแรกที่ว่า พระพุทธองค์มีพระธรรมกายแยกจาก พระรูปกายนั้น ตรงกันกับที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก ดังที่พระมหาปชาปดี โคตมีเถรี ได้ระบุถึงการมีอยู่ของรูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ ทรงเล้ียงดูมา และธรรมกายท่ีพระเถรีเข้าถึงเพราะได้พระบรมศาสดาเป็น ผู้สอน ดังน้ี อหํ สคุ ต เต มาตา ตวฺ ํ จ ธีรา ปิตา มม สทธฺ มมฺ สุขโท นาถ ตยา ชาตมฺหิ โคตม สํวทฺธิโตยํ สุคต รปกาโย มยา ตว อนินทฺ ิโย ธมฺมกาโย มม สํวทธฺ ิโต ตยา มหุ ตุ ตฺ ํ ตณหฺ าสมนํ ขีรํ ตฺวํ ปายโิ ต มยา 350 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ตฺยาหํ สนตฺ มจฺจนฺตํ ธมมฺ ขีรมฺหิ ปายติ า ( p.II.532) ค�าแปล: ข้าแต่พระสุคต หม่อมฉันเป็นมารดาของ พระองค์ และพระผู้ทรงปราชญ์ พระองคท์ รงเป็นพระบดิ าของ หมอ่ มฉนั ขา้ แตพ่ ระโคดม พระองค์ทรงเป็นที่พึ่ง ให้ความสขุ ใน พระสัทธรรม หม่อมฉันเปน็ ผู้อนั พระองค์ใหเ้ กิดแลว้ ข้าแต่พระ สคุ ต รปู กายของพระองคน์ ้ี อนั หมอ่ มฉนั ใหเ้ ตบิ โตแลว้ ธรรมกาย อันหาที่ติเตียนมิได้ของหม่อมฉันอันพระองค์ทรงให้เติบโตแล้ว หม่อมฉันให้พระองค์ดื่มน้ำานมเพื่อบรรเทาความกระหายเพียง ชั่วขณะ ส่วนว่า พระองค์ทรงให้หม่อมฉันดื่มน้ำานมคือธรรม อนั สงบนริ นั ดร์ เนอ้ื ความในมหาปชาบดโี คตมเี ถรอี ปทานน้ี ตรงกบั ทป่ี รากฏอยใู่ นคมั ภรี ์ จตรุ ารักขาทวี่ ่า กายทัง้ สอง คือ รปู กายกับธรรมกาย มีลกั ษณะแยกกันอย่าง ชดั เจน รปู กาย ก็คอื กายเนื้อของคนตามปกติ สว่ นธรรมกายนนั้ จะมีลกั ษณะ พิเศษบางประการที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ซึ่งเถรีอปทานกล่าวว่า เมื่อได้ธรรมกายแล้วจะพบกับธรรมอันสงบนิรันดร์ ส่วนคัมภีร์จตุรารักขา กล่าวว่า เม่ือมีธรรมกายแล้วจะมั่งคั่งหรือมากไปด้วยญาณ คือความรู้เฉพาะ ที่ไมท่ ่วั ไปแกผ่ อู้ ืน่ ในวิชชาธรรมกาย มีการแบ่งแยกรูปกายและธรรมกายอย่างชัดเจน เชน่ เดียวกัน ซ่ึงสว่ นใหญพ่ ระมงคลเทพมุนีมักเรยี ก รปู กายวา่ “กายมนษุ ย์” ดงั น้ี บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 351
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ นพิ พานเขามีธรรมขนั ธท์ ้งั ซ่ึงขนั ธ์ ของเขามเี รียกว่า ธรรมขันธ์ ที่เรียกว่า ธรรมธาตุ กายก็เรียกวา่ ธรรมกาย ไมเ่ รียก ว่ารปู กาย เหมอื นกายมนุษยท์ ้งั หลาย (รธ. 796) การมีธรรมกายแยกจากรูปกายดังท่ีแสดงไว้ในคัมภีร์จตุรารักขา จึง นับว่าสอดคล้องกันกับหลักการในพระไตรปิฎกบาลีและหลักการของวิชชา ธรรมกาย สาำ หรบั ประเด็นทีส่ อง ที่ว่าธรรมกายมงั่ คง่ั ไปดว้ ยญาณ อันเปน็ ความรู้ ที่ไม่ท่ัวไปน้ัน อาจเห็นได้จากพระบาลีในอัตถสันทัสสกเถรอปทานท่ีกล่าวถึง พระปทุมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทรงเป็นธรรมกาย ตามนัยที่มาในอัคคัญญ สตู ร43 และลกั ษณะหนงึ่ ของพระผเู้ ปน็ ธรรมกาย คอื มญี าณรทู้ ไ่ี มม่ ที สี่ น้ิ สดุ ดงั น้ี สตสหสฺสเตวชิ ชฺ า ฉฬภิฺ า มหทิ ฺธิกา ปริวาเรนตฺ ิ สมฺพทุ ธฺ ํ โก ทสิ วฺ า นปฺปสีทติ น วชิ ชฺ ติ สเทวเก าเณ อปุ นิธา ยสฺส โก ทสิ ฺวา นปฺปสีทติ อนนตฺ าณํ สมพฺ ุทธฺ ํ เกวลํ รตนากรํ ธมฺมกาย ฺจ ทีเปนฺตํ โก ทิสวฺ า นปปฺ สที ติ วิโกเปตุ น สกฺโกนฺติ ( p.I.168) 43 ตถาคตสสฺ เหตำ วาเสฏฺา อธิวจนำ ธมฺมกาโย อติ ปิ ิ ฯลฯ (ที.ปา. 11/55/92) 352 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org พระภกิ ษุ เปน็ เรอื นแสน ผมู้ วี ชิ ชา 3 อภญิ ญา 6 ผมู้ ฤี ทธ์ิ มากแวดล้อมพระสัมพุทธเจ้าอยู่ ใครเห็นแล้วจะไม่เล่ือมใสเล่า ท่ามกลาง มนษุ ย์ และเทวดา ไม่มีใครเปรียบกบั พระสมั มาสัม พุทธเจ้าได้ในเร่ืองการตดิ แนน่ ในญาณ คือความรู้ พระองคเ์ ปน็ ผู้มีญาณไม่มีท่ีสิ้นสุด ใครเห็นแล้วจะไม่เล่ือมใสเล่า ใครๆ ไม่ อาจทำาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระธรรมกาย ผู้ทรงแสดง อยู่ซึ่งบ่อเกิดแห่งรัตนะท้ังส้ินให้หว่ันไหวได้ ใครเห็นแล้วจะไม่ เลือ่ มใสเลา่ จากพระบาลีนี้ จะเห็นได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระ ธรรมกาย จงึ ทาำ ใหพ้ ระองคม์ คี ณุ สมบตั หิ ลายประการทเ่ี ปน็ อจนิ ไตย โดยเฉพาะ อยา่ งยิ่ง พระองคท์ รงมีญาณรทู้ ไี่ ม่มีทส่ี น้ิ สดุ ไม่มใี ครเทียบได้ ท้ังในมนษุ ย์และ เทวโลก ทงั้ ยงั มพี ระภกิ ษผุ บู้ รรลวุ ชิ ชา 3 อภญิ ญา 6 ลว้ นมฤี ทธม์ิ ากเปน็ จาำ นวน เรือนแสนห้อมล้อม ตรงกับเน้ือความในคัมภีร์จตุรารักขาท่ีว่า ธรรมกายของ พระองค์ม่ังค่ัง หรือมากไปด้วยญาณ คือความรู้เฉพาะที่ไม่ทั่วไป ซ่ึงเป็นส่ิง อัศจรรยท์ ี่ใครๆ ไมพ่ งึ คิด ในวิชชาธรรมกาย พระมงคลเทพมุนีได้กล่าวถึงญาณคือความรู้ของ ธรรมกายไว้วา่ พระพุทธเจ้านะคือใคร ที่ไปเห็นสัจธรรมท้ัง 4 นะ ... เห็นด้วยตากายธรรม รู้ด้วยญาณของกายธรรม ไม่ใช่ รู้ด้วยดวงวิญญาณ เพราะกายมนุษย์มีดวงวิญญาณ ญาณ ไม่มี กายมนุษย์ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายทิพย์ ละเอียด มีดวงวิญญาณท้ังน้ัน ดวงญาณไม่มี กายรูปพรหม บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 353
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ รูปพรหมละเอียด มีแต่ดวงวิญญาณ ดวงญาณไม่มี กายอรูป พรหม อรูปพรหมละเอียด มแี ตด่ วงวญิ ญาณ ดวงญาณไมม่ ี พอ ถึงกายธรรมเขา้ มญี าณทเี ดียว (รธ. 194-195) ในพระธรรมเทศนาข้างบนนี้ พระมงคลเทพมุนีแสดงไว้ว่า มีเพียง ธรรมกายเทา่ นน้ั ทม่ี ญี าณรแู้ จง้ สว่ นกายอนื่ ๆ ทเ่ี ปน็ โลกยิ ะไมม่ ญี าณ นอกจากน้ี ท่านยงั อธบิ ายเพิ่มเตมิ วา่ ญาณของพระธรรมกายน้นั ทง้ั เห็นและรแู้ จ้งชดั ว่า ขนั ธ์ 5 ไมเ่ ที่ยง เปน็ ทุกข์ เปน็ อนัตตา พอถึงกายธรรมมันขั้นวิปัสสนา เห็นจริงๆ จังๆ อย่าง น้ันละ เห็นแท้ทีเดียว เห็นชัด ๆ ไม่ได้เห็นด้วยตากายใน ภพ เห็นด้วยตาธรรมกาย รู้ด้วยญาณธรรมกาย เห็นด้วยตา พระพุทธเจ้า รู้ด้วยญาณพระพุทธเจ้า เห็นอย่างนี้แหละ เห็น ดว้ ยตาของพระตถาคตเจา้ ธรรมกายนนั่ เปน็ ตวั ของพระตถาคต เจา้ ทีเดียว ไมใ่ ชอ่ นื่ เห็นชัดอย่างนี้แหละ เห็นอยา่ งน้ีแหละเขา เรียกว่า วปิ สั สนา เหน็ เบญจขนั ธ์ทั้ง เปน็ อนจิ จฺ ำ ทกุ ขฺ ำ อนตตฺ า (รธ.755) จะเหน็ ได้ว่า ลกั ษณะของญาณ ดงั ทพ่ี ระมงคลเทพมุนไี ดก้ ลา่ วอธิบาย มาน้ี ตรงกบั เน้อื หาทพี่ บในคัมภีร์จตุรารกั ขาและท่พี บในพระไตรปฎิ กบาลวี ่า ธรรมกายของพระพุทธองค์นน้ั อุดมไปด้วยญาณรูแ้ จ้ง โดยภาพรวม คัมภีร์จตุรารักขาจึงนับว่ามีเนื้อหาที่สอดคล้องกันกับ พระไตรปิฎกและอรรถกถาบาลี ท้ังในแง่ของการเจริญพุทธานุสติและใน 354 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับธรรมกาย สำาหรับความสอดคล้องกันกับหลักการของ วิชชาธรรมกาย โดยภาพรวมนับว่าสอดคลอ้ งเช่นเดียวกนั เชน่ การทก่ี ล่าวถึง ธรรมกายในฐานะทเี่ ปน็ กายทป่ี ระกอบดว้ ยญาณและเปน็ อจนิ ไตย รวมทง้ั ความ หมายของธรรมกายในฐานะทเี่ ปน็ กายแหง่ การตรสั รธู้ รรม เพราะประกอบดว้ ย ญาณที่สามารถรู้แจ้งธรรมตามความเป็นจริง มิได้มีความหมายเพียงแค่เป็น หมวดหมู่แห่งคำาสอนของพระพุทธองค์ดังที่เข้าใจกันในภายหลัง ธรรมกาย ที่พบในคัมภีร์จตุรารักขาจึงนับได้ว่าเป็นหลักฐานเก่าแก่ชิ้นหน่ึงของคำาสอน ธรรมกายในท้องถิ่นเอเชียอาคเนย์ท่ีอาจมีจุดเริ่มต้นราวกลางพุทธศตวรรษท่ี 10-16 ตามทส่ี ุปราณีไดป้ ระเมนิ เวลาของการประพันธ์คัมภีรน์ เ้ี ป็นครั้งแรกไว้ 4.1.2.2. ธรรมกายในคัมภรี ม์ ลู ลกมั มฐาน44 ในคัมภีร์มูลลกัมมฐาน ฉบับอักษรธรรมล้านนา ที่มีคาถาธรรมกาย (4.1.1.4) พบคำาว่า ธรรมกาย อีกครั้งหนึ่งในเน้ือหาที่แนะนำาการเจริญ พทุ ธานสุ ตโิ ดยตรกึ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธคณุ คาำ วา่ ธรรมกายปรากฏอยใู่ นขอ้ ความ ที่แปลและอธิบายความหมายของพระพทุ ธคณุ บทสุดท้ายคอื “ภควา” ดังนี้ ภควา ผไู้ ดห้ กั เสยี ยงั ราคะ โทสะ โมหะ ตณั หา มานะ ทฏิ ฐิ อวิชา แลมีศรโี สภาคยอ์ ันงาม บารมีธรรมกาย บญุ คุณตั้งอยใู่ น ตน หาท่เี ส้ียงที่สดุ บไ่ ด้ (มลู ล. 18 2 .5)45 44 นำามาจากงานวจิ ยั “สมาธิภาวนาในคัมภีร์อักษรธรรม” (กจิ ชัย เอ้ือเกษม 2557) 45 คมั ภรี ม์ ลู ลกมั มฐานฉบบั นมี้ กี ารใหเ้ ลขหนา้ ซา้ำ กนั 2 หนา้ คอื มหี นา้ ท่ี 17 และ 18 สองครงั้ โดยเนอ้ื หา ในหน้าท่ี 17 และ 18 คร้ังท่ีสองเปน็ เน้อื หาที่ดาำ เนนิ ตอ่ เนอื่ งจากหนา้ 17-18 คร้ังที่ 1 แต่ละหน้ามี ความยาว 12-13 บรรทดั ดังนน้ั ตวั เลข 18 2 .5 จงึ หมายถงึ หนา้ ท่ี 18 ครง้ั ที่ 2 บรรทัดที่ 5 บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 355
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ จากข้อความข้างต้น คำาว่าธรรมกายปรากฏอยู่ในบทขยายความของ ภควา ในลกั ษณะคลา้ ยกนั กบั ทก่ี ลา่ วไวใ้ นอรรถกถาบาลแี ละวสิ ทุ ธมิ รรค กจิ ชยั ซึ่งอธบิ ายว่าพุทธคณุ ในสว่ นน้หี มายถึงการทพ่ี ระพทุ ธเจ้าทรงตดั เสยี ซง่ึ ราคะ โทสะ โมหะ ตัณหา มานะ ทฏิ ฐิ อวชิ ชา มีศรีโสภาคยอ์ ันงามด้วยบารมี ทรงมี ธรรมกายซง่ึ เปน็ คณุ แหง่ บญุ อนั หาทส่ี ดุ มไิ ดแ้ ละอยใู่ นตวั ตนของพระองค์ กลา่ ว คอื ธรรมกายนเ้ี ปน็ ธรรมกายของพระพทุ ธเจา้ สถติ ยอ์ ยใู่ นพระองคเ์ อง และเปน็ ผลจากบญุ อันหาทส่ี ดุ มไิ ด้ของพระองค์ เน้ือความท่ีกล่าวเช่ือมโยงพระธรรมกายเข้ากับบุญและพระพุทธองค์ น้ี มีความคล้ายคลึงกันกับข้อความที่พบในคัมภีร์ปริยายพระวิปัสสนาสูตร (4.1.1.5) ในตอนทา้ ยคาถาพระธรรมกายทก่ี ลา่ วถงึ พระพทุ ธองคด์ ว้ ยขอ้ ความ ว่า “องคพ์ ระผู้มีบญุ ”46 แม้คัมภีร์จะไม่ได้ขยายความอะไรเก่ียวกับธรรมกายไว้มากกว่านี้ แต่ การที่กล่าวว่าพระพุทธองค์ทรงมีธรรมกาย ซึ่งมีลักษณะเป็นบุญและคุณอยู่ ภายในตนนั้นก็นับได้ว่าเป็นประเด็นที่มีความสอดคล้องกับวิชชาธรรมกาย โดยหลกั การ 4.1. . ธรรมกายในคมั ภรี อ์ ื่นๆ ในเอเชยี อาคเนย์ นอกจากทพี่ บในคาถาธรรมกายและในคมั ภรี ส์ อนธรรมปฏบิ ตั ทิ ว่ี า่ ดว้ ย พทุ ธานสุ ตซิ งึ่ เปน็ สองแหลง่ หลกั ทพี่ บคาำ วา่ ธรรมกายแลว้ ในเอเชยี อาคเนยย์ งั 46 “นรชนใดนมัสการพระธรรมกาย สรรเสรญิ ในองค์พระผมู้ บี ุญ ...” 356 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org พบคาำ วา่ ธรรมกายประปรายอยใู่ นคมั ภรี อ์ น่ื ๆ ดว้ ย หนงึ่ ในนน้ั คอื คมั ภรี อ์ ปุ ปาต สันติ หรอื มหาสนั ตงิ หลวง47 ภาพท่ี 21 คมั ภีรอ์ ปุ ปาตสันติ อักษรธรรมลาว พ. . 23 วั ใหมสุวันนะพมาราม บา้ นปาขาม เมืองหลวงพระบาง ลาว โคงกานปกปกรักสาหนังสใื บลานลาว (โคงกานรวมมื ลาว เอยยระมัน) คัมภีร์อุปปาตสันติ เป็นวรรณกรรมบาลีแห่งอาณาจักรล้านนา เรียบ เรียงเป็นฉันทลกั ษณ์ โดยพระมหามงั คลสลี วังสเถระในเมืองเชยี งใหม่ มีความ เกา่ แกท่ อี่ าจสบื สาวไปไดถ้ งึ ราว พ.ศ. 1950 ในรชั สมยั ของพระเจา้ สามฝงั แกน กษัตริย์เชียงใหม่ผู้ครองราชย์ในราว พ.ศ. 1944-1989 ( rkasame 2013: 292) มีเน้ือหาในเชิงอ้อนวอนขออานุภาพพระรัตนตรัยและผู้มีฤทธิ์ท้ังหลาย 47 นำามาจากงานวิจยั “สมาธิภาวนาในคัมภรี ์อักษรธรรม” (กิจชยั เอ้อื เกษม 2557) บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 357
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีร์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ใหช้ ่วยนาำ มาซึง่ ความสงบสุข ความสวัสดี และความไมม่ ีโรค เป็นต้น นยิ มใช้ เป็นบทสวดเพ่ือปองกันหรือปัดเปา่ ภยันตราย หรอื เหตรุ า้ ยต่างๆ และเพอื่ นาำ มาซง่ึ ความสาำ เร็จและชัยชนะ อปุ ปาตสนั ตปิ ระกอบด้วยคาถาภาษาบาลี 272 บท และเนอื้ ความใน ภาคภาษาไทยยวนที่ใช้ช่ือว่ามหาสันติงหลวง ฉบับท่ีนำามาศึกษาในงานวิจัย น้ี จารึกด้วยอักษรธรรมลาว ซ่ึงบ่งบอกถึงความนิยมแพร่หลายไปถึงดินแดน ในฝังตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ในคาถาท่ี 256 มีข้อความกล่าวถึงพระ ธรรมกายไว้ดังน้ี นานาคุณวิจติ ตฺ สสฺ รูปกายสสฺ สตฺถโุ น สพฺพเทวมนุสสฺ านำ ภวพนฺธวทิ ฺธารโิ น48 เมตตาพเลน มหตา สทา มงคฺ ลมตถฺ ุ เตฯ สพฺพฺุตาทกิ ายสสฺ ธมฺมกายสสฺ สตถฺ โุ น จกฺขาทยฺ โคจรสฺสาปิ โคจรสเฺ สว ภรู ยิ า เตโชพเลน มหตา สพฺพมงคฺ ลมตฺถุ โน (อปุ ปาตสันติ โคลงบทท่ี 255-6) คา� แปล: ดว้ ยเมตตานภุ าพอนั ยงิ่ ใหญข่ องพระศาสดาผมู้ รี ปู กายอนั งาม วจิ ติ รดว้ ยคณุ นานา ประการ49 ผทู้ รงปลดเปลอื้ งเวไนยชนจากบว่ งมาร ขอมงคล จงมีแก่ข้าพเจ้าท้ังหลายตลอดไป ด้วยเดชานุภาพอันย่ิงใหญ่แห่งธรรมกายมี พระสัพพัญุตญาณเป็นต้นของพระศาสดา อันมิใช่อารมณ์ของจักษุเป็นต้น แตเ่ ป็นอารมณข์ องปัญญาเทา่ น้ัน ขอสรรพมงคลจงมีแกข่ ้าพเจา้ ทงั้ หลาย 48 ฉบบั วัดบพุ พาราม วัดทา่ มะโอเขียน มารพนฺธวโิ มจิโน 49 แปลภาษาไทยโดย บำาเพญ็ ระวิน มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ พ.ศ. 2540. 358 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org เห็นได้ว่าคัมภีร์หรือคาถาอุปปาตสันติแยกรูปกายและธรรมกายของ พระพุทธเจ้าออกจากกันอย่างชัดเจน โดยระบุว่าธรรมกายของพระพุทธเจ้า ประกอบด้วยพระสัพพัญุตญาณเป็นต้น และกล่าวอีกว่าพระธรรมกาย สามารถเหน็ ไดด้ ว้ ยปญั ญามใิ ชด่ ว้ ยตาสามญั ทว่ั ไป ซงึ่ เปน็ ความเขา้ ใจทตี่ รงกนั กับคาถาธรรมกายท่ีกล่าวไว้ข้างต้น (4.1.1.3) และสอดคล้องกันกับหลักการ ในวิชชาธรรมกาย 4.1.4. บทสรปุ เกี่ยวกับธรรมกายในเอเชียอาคเนย์ คัมภีร์โบราณท่ีนำามาศึกษาจากเอเชียอาคเนย์ พบหลักฐานที่มีคำาว่า ธรรมกาย 2 ประเภทหลักคือ พบมากท่ีสุดในคาถาธรรมกาย และพบหลาย แห่งในคัมภีร์ท่ีบรรยายพระพุทธคุณ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ แนะนาำ การปฏบิ ตั ิธรรมแบบพุทธานุสติ หลักฐานของคำาว่า ธรรมกาย ทั้งหมดที่พบในเอเชียอาคเนย์ให้ความ หมายของธรรมกายไปในทศิ ทางเดยี วกนั วา่ เปน็ กายทป่ี ระกอบดว้ ยพทุ ธญาณ อันเป็นเครื่องรู้แจ้งซึ่งเป็นความหมายที่ตรงกันกับความหมายของธรรมกาย ในวชิ ชาธรรมกาย ธรรมกายในฐานะท่ีรุ่งเรืองด้วยพุทธญาณอันเป็นอจินไตยอาจจะเป็น ที่รู้จักของชาวพุทธในเอเชียอาคเนย์ต้ังแต่ราวพุทธศตวรรษท่ี 10-16 อัน เป็นเวลาโดยประมาณของการประพันธ์คัมภีร์จตุรารักขาดังท่ีสุปราณีระบุ ไว้ (4.1.2.1) หรืออาจจะเป็นหลังจากนั้นในเวลาท่ีคัมภีร์จตุรารักขาเริ่มเผย แพร่จากศรีลังกาเข้ามาสู่เอเชียอาคเนย์ซ่ึงยังไม่มีการศึกษาในรายละเอียดว่า น่าจะเปน็ ราวเวลาใด บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 359
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ อยา่ งไรกต็ าม อยา่ งชา้ ในพุทธศตวรรษที่ 20 ธรรมกายนา่ จะเป็นท่ีรู้จัก ดีในเอเชียอาคเนย์หรืออย่างน้อยในดินแดนล้านนาแล้ว เพราะเป็นไปได้ว่า คาถาอุปปาตสันติซ่ึงกล่าวถึงธรรมกายในฐานะท่ีเป็นที่รวมแห่งพุทธญาณมี พระสพั พัญตุ ญาณเป็นต้นนนั้ อาจจะประพนั ธ์ขึ้นในราวกลางพุทธศตวรรษ ท่ี 20 ดงั ที่กจิ ชยั นาำ เสนอ (4.1.3) ซง่ึ หากคมั ภีรด์ งั กล่าวประพนั ธ์ในช่วงเวลา นน้ั จรงิ แสดงวา่ ทา่ นผปู้ ระพนั ธน์ า่ จะรจู้ กั คณุ สมบตั ขิ องธรรมกายมากอ่ นหนา้ น้นั ระยะหนง่ึ แลว้ ส่วนคาถาพระธรรมกายมีหลักฐานที่ยืนยันวันเวลาได้ชัดเจนในปลาย พุทธศตวรรษที่ 21 อันเป็นเวลาของการจารึกบนศิลาหินชนวนที่พบที่พระ เจดีย์วัดเสือ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเน้ือหาของบทแจกแจงพระพุทธคุณใน คาถาพระธรรมกายปรากฏอยใู่ นอรรถกถาองั คตุ ตรนกิ ายเลม่ ท่ี 1 ในฉบบั สยาม รัฐและฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย การศึกษาประวัติความเป็นมาของ ต้นฉบับอรรถกถาฉบับนี้ อาจนำาไปสู่ข้อสรุปเร่ืองวันเวลาท่ีปรากฏหลักฐาน เก่ียวกับธรรมกายในเวลาทีเ่ ร็วกว่าท่คี าดไว้ ในคาถาพระธรรมกาย ธรรมกายมีลักษณะของการเป็นที่รวมแห่ง พระพทุ ธญาณและพทุ ธคณุ มปี ระการตา่ งๆ ญาณของธรรมกายมคี ณุ สมบตั ขิ อง ความรแู้ จง้ จงึ บง่ บอกถงึ คณุ สมบตั ขิ องพระธรรมกายวา่ เปน็ กายแหง่ ความรแู้ จง้ หรือกายแห่งการตรัสรู้ธรรมไปด้วยในเวลาเดียวกัน พระพุทธองค์ทรงได้ช่ือ วา่ เปน็ ธรรมกาย (ธมมฺ กายมตํ พทุ ธฺ ํ) ธรรมกายอันเปน็ ที่รวมแห่งพระพุทธคณุ จึงเป็นพุทธลักษณะท่ีผู้ปฏิบัติธรรมควรน้อมระลึกถึงเนืองๆ ในการเจริญ พทุ ธานุสติ 360 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org คาถาพระธรรมกายพบในท่ีหลายแห่งในเอเชียอาคเนย์ โดยเฉพาะ ในประเทศไทย และกัมพูชา และในหลักฐานหลายประเภท ต้ังแต่คัมภีร์ที่มี คาถาธรรมกายเป็นเน้ือหาหลัก ไปจนถึงคัมภีร์แนะนำาการปฏิบัติธรรมที่มักมี ธรรมกายเป็นส่วนประกอบอยู่ด้านท้าย และศิลาจารึก บ่งบอกถึงความนิยม แพร่หลายในการนำามาใช้งาน ข้อความในตอนท้ายที่ต่อจากเนื้อหาหลักของ คาถาพระธรรมกายทพี่ บในคมั ภีร์ตา่ งๆ ดงั ที่ได้สรุปไวใ้ นตารางที่ 5 เปน็ สง่ิ ท่ี แสดงให้เห็นว่าคาถาธรรมกายถูกนำามาใช้งานในลักษณะใดบ้าง ซ่ึงแม้ว่าจะ เป็นการใช้งานในคนละลักษณะ แต่โดยรวมก็มีจุดร่วมเดียวกันประการหน่ึง คือ เป็นการอาศัยอานุภาพของพระพุทธคุณช่วยเหลือเพ่ือการนำามาซึ่งความ สำาเร็จทั้งในทางโลกและในทางธรรม 4.2. หลกั ฐานเกยี วกับสมาธภิ าวนา เมื่อศึกษาความสอดคล้องของคำาว่า ธรรมกาย ท่ีปรากฏในคัมภีร์จาก เอเชยี อาคเนยก์ บั หลกั การของวชิ ชาธรรมกายแล้ว ในลาำ ดบั ตอ่ ไปจะไดศ้ ึกษา ความสอดคล้องกันในแงข่ องการเจรญิ สมาธิภาวนา จากการศกึ ษาหลกั ฐานทม่ี ีคำาวา่ ธรรมกาย ในเอเชียอาคเนย์ดังท่ีแสดง ไวข้ ้างบน เหน็ ได้วา่ คาำ วา่ ธรรมกายมกั ปรากฏอยูใ่ นคมั ภรี ์ทแี่ นะนาำ การปฏิบตั ิ พุทธานุสติ ในส่วนของการระลึกถึงพระพุทธคุณ แม้คาถาพระธรรมกายเอง ก็มีเน้ือหาแนะนำาให้ทำาพุทธานุสติเช่นเดียวกัน การท่ีพบคัมภีร์เหล่านี้อยู่ใน หลายแหง่ ในประเทศไทยและกมั พชู าจงึ แสดงถงึ ความนยิ มในการปฏบิ ตั พิ ทุ ธา นสุ ตทิ ม่ี ใี นทอ้ งถน่ิ เอเชยี อาคเนย์ การศกึ ษาเรอื่ งการเจรญิ สมาธภิ าวนาในบทน้ี จงึ เร่มิ ตน้ จากการปฏิบัตพิ ุทธานุสติเปน็ ตน้ ไป บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 361
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ 4.2.1. พุทธานุสตใิ นเอเชยี อาคเนย์ โดยเหตทุ กี่ ารเจรญิ พทุ ธานสุ ตใิ นเอเชยี อาคเนยม์ หี ลกั ฐานเกา่ แกท่ สี่ ดุ ใน พระไตรปิฎกและอรรถกถาบาลี ดังน้ัน ก่อนจะไปศึกษาเน้ือหาคัมภีร์ที่เขียน ในท้องถ่ิน จึงควรศึกษาภาพรวมการปฏิบัติพุทธานุสติดังท่ีแสดงไว้ในพระ ไตรปิฎกและอรรถกถาบาลีโดยสังเขปเพื่อเป็นข้อมูลในการศึกษาพุทธานุสติ ท่กี ลา่ วไวใ้ นคมั ภรี ต์ า่ งๆ ต่อไป 4.2.1.1. พทุ ธานุสติในพระไตรปิฎกและอรรถกถาบาลี50 พุทธานุสติ มาจากคำาบาลีว่า พุทฺธานุสฺสติ เป็นศัพท์สมาสประกอบ ด้วยศพั ท์บาลี 2 คำาคอื พทุ ฺธ และ อนุสฺสติ คาำ วา่ พุทธฺ น้ันในพระไตรปฎิ ก บาลีหมายถึง องค์พระพุทธเจ้า แต่ในอรรถกถามีการขยายความออกไปว่า หมายถึงพระพุทธคุณ คือคณุ ธรรมต่างๆ ของพระพทุ ธองคด์ ว้ ย สว่ น อนุสฺสติ ก็คือสติหรือความระลึกท่ีเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ เม่ือรวมความแล้วพุทธานุสติ จึงหมายถึงการตามตรึกระลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วย พุทธคุณต่างๆ หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เป็นชื่อของสติที่มีพระพุทธคุณ เป็นอารมณน์ ่ันเอง คำาวา่ พุทฺธานสุ ฺสติ มรี ะบุไวใ้ นพระไตรปฎิ กบาลีถึง 29 ครง้ั ในอรรถ กถา 83 ครั้ง ในฎีกา และในคมั ภีรป์ กรณ์วเิ ศษอ่นื ๆ อกี ไม่ตาำ่ กว่า 75 ครัง้ ซ่ึง บ่งบอกว่าชาวพทุ ธเถรวาทร้จู กั และค้นุ เคยกับพทุ ธานุสติเปน็ อยา่ งดี 50 นำามาจากงานวจิ ัย “พทุ ธานุสตใิ นคมั ภรี ์พุทธศาสนาภาษาบาลี” (พระมหาสธุ รรม สรุ ตโน 2557) 362 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org ข้อความเก่ียวกับพุทธานุสติท่ีพบในพระไตรปิฎกบาลี ส่วนใหญ่จะ แสดงถงึ ความสำาคัญและอานิสงส์ของพทุ ธานุสติ เชน่ แสดงไวเ้ ปน็ อนั ดบั แรก ของ อนุสฺสติฏ าน “ทีต่ ้งั แหง่ การระลึก” (องฺ.ฉกกฺ . 14/280/317) และเปน็ ประการแรกในอนสุ ติทงั้ 6 ทพ่ี ึงเจรญิ เพื่อความรู้แจ้ง เพือ่ การละ เพื่อความ ส้ิน ความเสื่อม ความดับไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ และอุปกิเลสทั้งหลาย (อง.ฺ ฉกกฺ . 14/398-401/502-3)51 การระลกึ ถงึ พทุ ธคณุ ทาำ ใหม้ สี ติ มปี ตี เิ หมอื น ได้อยู่ร่วมกับพระพุทธเจ้า จิตจะเป็นสมาธิ ไม่ฟุงซ่าน เป็นเอกัคคตารมณ์ (มอี ารมณ์เดียว) มจี ิตเบิกบานเนอื งๆ (ขุ.เถร. 26/348/326) ทาำ ให้ไม่มคี วาม กลวั ความหวาดสะดงุ้ ความขนพองสยองเกลา้ ใดๆ (ส.ำ ส. 15/865/322) ทาำ ให้ เป็นผู้ไม่เกียจคร้านตลอดท้ังกลางคืนและกลางวัน (ขุ.เถร. 26/342/321-2) ย่อมละกามได้โดยการข่มไว้ (ข.ุ ม. 29/12/7) ย่อมเป็นไปเพือ่ ความเบอ่ื หน่าย คลายกำาหนัด เพ่ือความดับ เพ่ือสงบระงับ เพื่อรู้ย่ิง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน (องฺ.เอก. 20/179/39) เอกธมโฺ มภกิ ขฺ เวภาวโิ ตพหลุ กี โตเอกนตฺ นพิ พฺ ทิ ายวริ าคาย นิโรธาย อปุ สมาย อภิฺ าย สมโฺ พธาย นพิ ฺพานาย สำวตฺตตฯิ กตโม เอกธมโฺ ม พทุ ฺธานุสสฺ ตฯิ (อง.ฺ เอก. 20/179/39) 51 พระไตรปิฎกบาลีฉบับสยามรัฐ แสดงข้อความไว้โดยย่อว่า “ธรรม 6 ประการนี้” แต่ไม่ได้แสดง รายละเอียดไว้วา่ ได้แกอ่ ะไรบา้ งในตอนหลังๆ ทีก่ ลา่ วถงึ ความส้นิ ไปแห่งกิเลสท้ังหลาย ส่วนในฉบบั ฉัฏฐสังคีติของพม่า แสดงข้อความไว้โดยย่อในทำานองเดียวกัน แต่แสดงจำานวนข้อธรรมที่กล่าวถึง ไว้ด้วยทำาให้มีความชัดเจนว่า กำาลังกล่าวถึงอนุสติ 6 เริ่มตั้งแต่พุทธานุสติด้วย ในจำานวนธรรม 6 ประการท่พี งึ เจรญิ เพอ่ื ใหร้ ู้แจ้ง เพอื่ การละ เพอ่ื ความสิ้น ความเส่ือมไป ความดบั ไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ และกเิ ลสทง้ั หลาย ( .II.393 S) บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 363
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ คา� แปล: ภกิ ษทุ งั้ หลาย ธรรมอยา่ งหนง่ึ ทบี่ คุ คลเจรญิ แลว้ กระทาำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ ความหนา่ ยโดยสว่ นเดยี ว เพอื่ คลายกาำ หนดั เพอ่ื ความดบั เพ่ือความสงบ เพือ่ ความรยู้ ่ิง เพื่อ ความตรสั รู้ เพอ่ื นพิ พาน ธรรมอยา่ งหน่งึ คืออะไร คอื พุทธานสุ ติ ในบรรดาการเจริญภาวนาเพื่ออบรมจิตให้สะอาดบริสุทธิ์จนกระท่ัง หมดจดปราศจากกิเลสอาสวะนั้น การเจริญพุทธานุสติ ถือว่าเป็นการเจริญ ภาวนาที่สำาคัญและยอดเยี่ยม มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม้พระพุทธเจ้า ท้ังหลายในอดตี ก็ทรงยกย่อง ดงั เชน่ ท่ีพระปทุมุตรพทุ ธเจ้าตรัสสอนไวใ้ นอดตี ชาตขิ องพระสภุ ตู เิ ถระวา่ “ทา่ นจงเจรญิ พทุ ธานสุ ตอิ นั ยอดเยย่ี มกวา่ ภาวนาทงั้ หลาย เมอื่ เจริญพทุ ธานสุ ตนิ ี้แลว้ จะยงั ใจให้เตม็ เปยี มได้” (ข.ุ อป. 32/23/98) ซ่ึงท่านก็ได้เจริญพุทธานุสติอย่างดีในชาตินั้น กระทั่งได้เป็นอุปนิสัยต่อๆ มา ถึงในชาติสุดท้ายนี้ ที่ไดบ้ รรลธุ รรมเปน็ พระอรหนั ต์ ตัดกิเลสไดเ้ ดด็ ขาดบรรลุ มรรคผลนิพพาน ดังท่ีท่านกล่าวไว้ว่า เราอันพระโลกนาถทรงพรำ่าสอนแล้ว นมัสการพระ ตถาคต มีจติ เบกิ บาน เจรญิ พทุ ธานุสติอันอุดมทุกเมือ่ ดว้ ยกุศล กรรมท่ีเราทำาดีแล้วนั้น และด้วยการต้ังเจตนาไว้ เราละกาย มนษุ ยแ์ ลว้ ไดไ้ ปสภู่ พดาวดงึ สไ์ ดเ้ ปน็ จอมเทวดา เสวยทพิ ยสมบตั ิ 80 ครงั้ และไดเ้ ปน็ พระเจา้ จกั รพรรดิ 1,000 ครงั้ ไดเ้ ปน็ พระเจา้ ประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ ได้เสวยสมบัติเป็นอัน ดี นเ้ี ปน็ ผลแหง่ พทุ ธานุสติ เมื่อทอ่ งเท่ยี วอยู่ในภพนอ้ ยภพใหญ่ เรายอ่ มไดโ้ ภคสมบตั มิ าก เราไมม่ คี วามบกพรอ่ งโภคะเลย นเี้ ปน็ 364 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ผลแห่งพทุ ธานสุ ติ ในแสนกปั แต่กปั นี้ เราได้ทาำ กรรมอันใดไวใ้ น กาลนั้น ด้วยผลแห่งกรรมน้ันเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง พทุ ธานสุ ติคณุ วเิ ศษเหลา่ น้ีคอื ปฏสิ มั ภทิ า4วโิ มกข์8และอภญิ ญา6 เราทาำ ใหแ้ จง้ ชดั แลว้ คาำ สอนของพระพทุ ธเจา้ เราไดท้ าำ เสรจ็ แลว้ ดงั นีแ้ ล (ขุ.อป. 32/23/99) มีข้อสังเกตวา่ สาำ หรับอรยิ สาวก พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ก็ทรงแนะนาำ ให้ เจรญิ พุทธานสุ ติ ดงั มีบนั ทกึ ไวใ้ นพระไตรปิฎกวา่ ครัง้ หน่ึง พระเจา้ มหานามะ ทลู ถามพระพทุ ธองคว์ า่ อรยิ สาวกผไู้ ดบ้ รรลผุ ล ทราบชดั พระศาสนาแลว้ ยอ่ ม อยดู่ ว้ ยวหิ ารธรรมชนดิ ใดเปน็ สว่ นมาก ทรงตอบวา่ อริยสาวกผู้ได้บรรลุผลทราบชัดพระศาสนาแล้ว ย่อม อยู่ด้วยวิหารธรรมน้ีเป็นส่วนมาก คือ อริยสาวกในพระศาสนา น้ี ย่อมระลกึ ถงึ พระตถาคตเนืองๆ วา่ แม้เพราะเหตุนๆ้ี พระผู้ มีพระภาคพระองค์นัน้ เปน็ พระอรหนั ต์ ตรสั รู้เองโดยชอบ ทรง ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ฯลฯ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็น ผู้จำาแนกธรรม มหานามะ สมัยใดอริยสาวกย่อมระลึกถึงพระ ตถาคตเนอื งๆ สมยั นน้ั จติ ของอรยิ สาวกยอ่ มไมถ่ กู ราคะกลมุ้ รมุ ไมถ่ กู โทสะกลมุ้ รมุ ไมถ่ กู โมหะกลมุ้ รมุ ยอ่ มเปน็ จติ ดาำ เนนิ ไปตรง ทเี ดยี ว กอ็ รยิ สาวกผมู้ จี ติ ดาำ เนนิ ไปตรงเพราะปรารภพระตถาคต ย่อมได้ความซาบซึ้งในอรรถ ในธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์ อันประกอบด้วยธรรม เม่ือปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติ กาย ย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้วย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น บทที 4 เอเชยี อาคเนย์ | 365
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีร์พทุ ธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ มหานามะ โดยเหตุนี้อาตมภาพกล่าวว่า อริยสาวกเป็นผู้ถึง ความสงบเรียบร้อยอยู่ในเม่ือหมู่สัตว์ยังไม่สงบเรียบร้อย เป็น ผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่ ในเม่ือหมู่สัตว์ยังมีความพยาบาท เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม ย่อมเจริญพุทธานุสสติ (องฺ.ฉกฺก. 22/281/317) ก. วธิ ปี ฏิบัตพิ ุทธานุสติ เมื่อจะเร่ิมต้นปฏิบัติ ท่ีจะให้ได้ผลการปฏิบัติต้ังแต่เกิดฌาน เจริญ วิปสั สนา จนกระทั่งบรรลุธรรมเป็นพระอรหนั ต์ไดน้ ัน้ ทา่ นแสดงไวว้ า่ เรม่ิ ตน้ ต้องเป็นผู้มีศรัทธา เช่ือมั่นในพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสีย กอ่ น เพราะความศรัทธานับเปน็ หนึ่งในองคแ์ หง่ ความเพยี ร 5 ประการ ดังที่ แสดงไวใ้ นทสุตตรสูตรว่า ธรรม อยา่ งท่ีมอี ุปการะมากเปน็ ไฉน คือองคเ์ ป็นทตี่ ้งั แห่งความเพียร 5 คือ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีศรัทธา เช่ือพระปัญญาตรสั รู้ของพระตถาคตว่า แมเ้ พราะเหตนุ ี้ๆ พระ ผู้มพี ระภาคพระองคน์ ้ัน เปน็ พระอรหันต์ ตรสั รเู้ องโดยชอบ ถึง พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็น สารถีฝกบุรุษที่ควรฝก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนษุ ยท์ ง้ั หลาย เปน็ ผเู้ บกิ บานแลว้ เปน็ ผจู้ าำ แนกพระธรรม... (ที.ปา. 11/411/295) เมื่อมีศรัทธามน่ั คง เป็นสัทธินทรียแ์ ล้ว เจรญิ พุทธานสุ ตมิ ีพระพุทธเจ้า เป็นอารมณ์ ก็จะทาำ ให้ไดร้ ับผลการปฏบิ ัติท่ีดไี ดง้ ่าย 366 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org สาำ หรบั วธิ กี ารเจรญิ พทุ ธานสุ ตนิ น้ั พระไตรปฎิ กและอรรถกาบาลมี กี ลา่ ว ไวอ้ ย่างน้อย 3 ลกั ษณะ ได้แก่ 1. การระลึกถึงพระพุทธคุณ ตามนัยท่ีแสดงไว้ในบทสรรเสริญ พระพุทธเจา้ ว่า อติ ิปิ โส ภควา ฯลฯ เป็นต้น ซ่ึงอาจใช้ในการประคองจิตของ ผู้ปฏิบัติทีเ่ กิดความหดหจู่ ากการเจริญกรรมฐานแบบอื่น เชน่ อสภุ กรรมฐาน ให้กลับมกี าำ ลังขนึ้ มาได้ ในขณะนนั้ จติ ตปุ บาทนน้ั ละกรรมฐานเดมิ เสยี แลว้ ระลกึ ถึงโลกิยคุณและโลกุตรคุณของพระตถาคตโดยนัยว่า อิติปิ โส ภควา ดังนีเ้ ป็นต้น (องฺ.อ. 33/178 ไทย มมร.) 2. การน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธลักษณะมาเป็นนิมิตใน การเจรญิ ภาวนา เขาเหน็ พทุ ธลกั ษณะอนั สาำ เรจ็ ดว้ ยอทิ ธาภสิ งั ขารนนั้ แลว้ มีใจเล่ือมใสเกินประมาณ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว กระทำาพุทธลักษณะนั้นให้เป็นนิมิต แล้วไปสู่เรือนของตน ไม่ ละปตี ทิ ่มี ีพระพทุ ธเจา้ เปน็ อารมณ์ กระทำากาละด้วยโรคลมบาง อยา่ ง บงั เกดิ ในสวรรคช์ น้ั ดสุ ติ แลว้ กระทาำ บญุ อนื่ ๆ อกี ทอ่ งเทย่ี ว ไปในเทวดาและมนษุ ย์ทง้ั หลาย” (เถร.อ. 50/323-4 ไทย มมร.) 3. การเห็นสงิ่ ทเี่ นือ่ งด้วยพระพทุ ธเจ้าแลว้ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธองค์ ครง้ั นนั้ เราไดเ้ หน็ บังสุกุลจวี ร ซ่ึงแขวนอย่บู นยอดไมใ้ น ป่าน้ัน จึงวางธนูลง ณ ท่ีนั้นเอง ประณมกรอัญชลีเหนือเศียร บทที 4 เอเชียอาคเนย์ | 367
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ เกล้า เรามีจติ เลอ่ื มใส มใี จโสมนัส และมีปตี ิเป็นอนั มาก ระลึก ถึงพระพุทธเจา้ ผปู้ ระเสรฐิ สดุ (ขุ.อป. 33/71/99) ในการเจริญพทุ ธานสุ ติ ผ้ปู ฏบิ ัตอิ าจระลึกถงึ พระพุทธเจา้ โดยภาพรวม โดยมิได้เจาะจงวา่ เป็นพระองคใ์ ด และอาจระลึกถึงไดแ้ ม้พระพทุ ธเจ้าในอดีต และในอนาคต เราได้เห็นกวางทองกำาลังเที่ยวเดนิ อยู่ในไพรวนั จงึ ยงั จิต ใหเ้ ลอ่ื มใสในกวางทอง แลว้ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ ผเู้ จรญิ ทส่ี ดุ ใน โลก เราระลึกถงึ พระพทุ ธเจา้ เหลา่ อ่ืน คอื พระพุทธเจา้ ในอดีต ในปัจจุบัน และในอนาคต ดว้ ยจิตเลื่อมใสนนั้ วา่ พระพุทธเจา้ 3 จาำ พวกนน้ั ยอ่ มไพโรจนด์ งั พญาเนอื้ ฉะนน้ั (ข.ุ อป. 32/327/400) ไมว่ ่าจะระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ ในลักษณะใดใน 3 ประการน้ี ตา่ งถอื เป็น พุทธานุสติและมีอานิสงส์มากเช่นกัน ดังท่ีมีแสดงไว้มากมายในที่ต่างๆ อน่ึง ในการตรกึ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธคณุ นน้ั ภายในใจของผปู้ ฏบิ ตั ยิ อ่ มมพี ระพทุ ธองค์ ปรากฏเป็นมโนภาพอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ส่วนจะมีความแจ่มชัดมากน้อย เพียงใดย่อมขึ้นกับสภาวะใจของผู้ปฏิบัติแต่ละท่าน ดังน้ัน การระลึกถึง พระพุทธคุณและการระลึกถึงพุทธลักษณะในทางปฏิบัติจึงมักเกิดขึ้นร่วมกัน และยากทีจ่ ะแยกจากกันได้ ข. ฐานท่ีตงั ของใจ ข้อความในพระไตรปฎิ ก อรรถกถา และฎีกาบาลี ทกี่ ลา่ วถงึ การเจริญ สมาธิภาวนา มักไมไ่ ด้แสดงฐานทต่ี ้ังของใจไว้อยา่ งชดั เจนนกั และดูเหมอื นจะ 368 ร ชนิ า ันทรา รี ล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: