www.webkal.org โครงสร้าง คัมภรี ์สนั สก ตจากเทอร์ าน คัมภีร์ภาษาโขตานโบราณ เน้อื หา กล่าวถึงธรรม 42 หมวด จากโขตาน เรมิ่ จาก สติปฏั ฐาน 4 และ ลงท้ายดว้ ย ปฏิจจสมปุ บาท กล่าวถงึ ธรรมะในทำานอง 12 หมวดธรรมทีม่ ีในรายการ เดยี วกัน แต่ยกมาเพียงบาง มีทั้งทีเ่ ป็นข้อปฏบิ ัติ เช่น สติ อย่าง และเรียงตามลาำ ดบั ปัฏฐาน 4, บญุ ญกิรยิ าวตั ถุ ตวั เลขหมวดธรรม เร่ิมตน้ จาก 3, อสภุ ะและอานาปานสติ สตปิ ัฏฐาน 4 และลงทา้ ยด้วย เป็นต้น ท่ีเป็นคุณธรรมหรอื ตถาคตพละ 10 คณุ วิเศษ เช่น ตถาคตพละ ปดิ ท้ายด้วยข้อความว่า มหากรณุ า เมตตา มทุ ติ า “ธรรมศรีระนี้เพ่อื ประโยชน์ อุเบกขา เปน็ ตน้ หรอื จาำ แนก (แก่คณุ ธรรม) น้ี ซึง่ เปน็ ธรรม เชน่ รัตนะ 3 ความหมายทงั้ หมดของ ทรรศนมรรค ภาวนามรรค พระพุทธเจ้า” เสกขมรรค อเสกขมรรค เปน็ ต้น การกลา่ วถงึ หมวด ธรรมเป็นลักษณะคละกันไป โดยไมไ่ ด้เรยี งลำาดับตามตวั เลข หรือการปฏบิ ตั ใิ ดๆ บทที 3 คันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจีน | 169
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ โครงสร้าง คัมภรี ส์ นั สก ตจากเทอร์ าน คัมภรี ภ์ าษาโขตานโบราณ บทลงทา้ ย ลงท้ายวา่ ธรรมอันลึกซึง้ เหลา่ จากโขตาน น้ี อันทา่ นตง้ั ไวว้ ่าเป็นธรรม ศรรี ะพระพทุ ธเจ้าทั้งหลายใน ลงทา้ ยวา่ เพอ่ื ประโยชน์ อดีตตรสั ไวแ้ ล้ว พระพุทธเจ้า น้ี พระพทุ ธเจา้ ผเู้ รอื งเดชทง้ั ท้ังหลายในอนาคตทเี่ สมอื น หลายไดต้ รัสธรรมศรรี ะไวแ้ ล้ว เมด็ ทรายในแมน่ าำ้ คงคา และกุลบตุ รกลุ ธิดาใดก็ตาม จักตรสั และพระตถาคตนาม ไดบ้ นั ทกึ คาำ สอนนไ้ี ว้ หรอื ให้ ว่าศากยมุนีอรหันตสัมมาสมั เขียนไว้ หรอื ทรงจาำ ไว้ หรือ พทุ ธเจ้ากต็ รัสธรรมศรีระน้ีไว้ เข้าใจคาำ สอนเหล่านี้ แม้ผู้ท่ี แลว้ (ตามด้วยพระภกิ ษชุ ่นื ชม เคยสร้างอนันตรยิ กรรม 5 ไว้ ยนิ ดใี นพระพุทธภาษติ ) กจ็ ะไม่ตกนรก และจะไมต่ อ้ ง เวยี นวา่ ยในวฏั สงสารอีก..... การเปรียบเทียบเน้ือหาของพระสูตรพบว่าทั้งสองฉบับกล่าวถึง พระพุทธเจ้าจำานวนมากเหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำาคงคาแต่กล่าวไว้คนละแห่ง คือ ฉบับโขตานกล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอดีตมีจำานวนมาก แต่ฉบับสันสกฤต หมายเอาพระพุทธเจ้าในอนาคต ส่วนพระพุทธเจ้าในอดีตกลับใช้เพียงศัพท์ พหูพจน์ที่แปลว่า “พระพุทธเจ้าท้ังหลาย” เท่านั้น อย่างไรก็ดี เป็นไปได้ว่า ความแตกต่างดังกล่าวจะเป็นผลเน่ืองมาจากการเรียบเรียงที่เป็นฉันทลักษณ์ ต้องปรับน้ำาหนักเสียงตามข้อกำาหนดของคณะฉันท์และอาจไม่ได้มีเหตุผลใน แง่ของเน้ือหาคำาสอนแต่อย่างใด ดังนัน้ ขอ้ ความเพยี งสัน้ ๆ วา่ พระพทุ ธเจา้ ใน อดีตทั้งหลาย อาจมีความหมายเสมือนพระพุทธเจ้ามากมายดังเม็ดทรายใน 170 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org แม่นาำ้ คงคาสำาหรบั ชาวพุทธในยุคนน้ั จงึ ไมถ่ ือวา่ แตกตา่ งกนั สำาหรบั ประเด็น นี้ การศกึ ษาเพมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั ทรรศนะของชาวพทุ ธในแตล่ ะทอ้ งที่ ณ ชว่ งเวลา นนั้ อาจชว่ ยใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ ทชี่ ดั เจนกวา่ น้ี สว่ นในงานวจิ ยั นถ้ี อื วา่ ทงั้ สองขอ้ ความ มีความหมายไม่แตกตา่ งกัน ในเนื้อหาตอนต้นของพระสูตรฉบับโขตาน ซึ่งไม่ปรากฏในฉบับภาษา สันสกฤต กล่าวถึงหลักธรรมท่ีทำาให้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ และ เป็นหัวใจของคำาสอนในมหายาน ซึ่งโดยภาพรวมแล้วคือเสน้ ทางจากการเป็น พระโพธสิ ัตวจ์ นเปน็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ประกอบด้วย 1) ตถาคตครรภะ 2) ทางเอกสายเดยี ว 3) ธรรมกาย 4) การเข้าถึงภาวะท่ีไม่มีการเกิดและการดับ (ส. อนุตปาทนิโรธ, บ. อนปุ ปาทนิโรธ) 5) การดำารงอยู่ในโลกธาตุโดยวเิ ศษ 6) พระโพธสิ ตั ว์ และ 7) ความยิ่งใหญ่ของพระตถาคต เมอื่ มองในแงข่ องนกิ ายทเ่ี กย่ี วขอ้ ง จะเหน็ ไดว้ า่ แมค้ มุ าโมโตะจะกลา่ ว ไวว้ า่ ธรรมศรรี สตู รนเ้ี ปน็ พระสตู รมหายานกต็ าม แตเ่ นอื้ หาจากคมั ภรี ส์ นั สกฤต ทพ่ี บทเี่ ทอรฟ์ านโอเอซสิ นน้ั ยงั ไมพ่ บรอ่ งรอยของความเปน็ มหายานใดๆ การ ดาำ เนนิ เรอ่ื ง ตลอดจนเนอ้ื หาคาำ สอน ตง้ั แตต่ น้ จนลงทา้ ยเปน็ แนวของนกิ ายหลกั ทง้ั หมด ตา่ งจากเนอ้ื หาของฉบบั ภาษาโขตานซงึ่ แสดงความเปน็ มหายานอยา่ ง บทที 3 คนั ธาระ เอเชียกลาง และประเทศจนี | 171
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ชัดเจน กล่าวคือ ต้ังแต่เร่ิมต้นก็กล่าวระบุไว้ว่าเป็นพระสูตรที่ประมวลหัวใจ คำาสอนในมหายานซ่ึงไม่อาจหาได้จากที่ใด ท้ังยังระบุช่ือคัมภีร์มหายาน 7 พระสูตร โดยเฉพาะมหาสันนิปาต ซ่ึงเป็นพระสูตรมหายานท่ีเขียนขึ้นในยุค หลงั และเปน็ พระสตู รใหญท่ รี่ วมเนอ้ื หาของพระสตู รมหายานทสี่ าำ คญั ๆ ไวด้ ว้ ย กนั แสดงวา่ ธรรมศรรี สตู รฉบบั ภาษาโขตานนเ้ี ขยี นขนึ้ ในภายหลงั มหาสนั นปิ าต ดว้ ยวตั ถปุ ระสงคท์ ต่ี รงกนั ขา้ มกนั คอื เพอ่ื สรปุ คาำ สอนมหายานไวอ้ ยา่ งรวบรดั แตช่ ดั เจน นอกจากน้ี ในตอนทา้ ยทก่ี ลา่ วถงึ อานสิ งสข์ องการคดั ลอกและเผยแผ่ พระสูตรน้อี อกไปกเ็ ปน็ รปู แบบเฉพาะของพระสตู รมหายานเช่นกัน ส่วนในแง่ของความเหมือนและความต่างกันกับหลักการของวิชชา ธรรมกายนน้ั อาจพิจารณาจากโครงสร้างในสว่ นต่างๆ ดงั น้ี 1. รายการธรรมะที่ประมวลรวมกันแล้วสรุปว่าเป็น ธรรมศรีระ (ร่าง แหง่ ธรรม) นน้ั ดูจะเทยี บกนั ไดอ้ ยา่ งหลวมๆ กับคาถาพระธรรมกายที่พบใน เอเชียอาคเนยท์ ี่กล่าวถึงคณุ ธรรมต่างๆ วา่ เปรยี บได้กับอวัยวะต่างๆ ของพระ ธรรมกาย แตเ่ นอื่ งจากรายการธรรมะในธรรมศรรี สตู รมไิ ดม้ เี พยี งคณุ ธรรมหรอื คณุ วเิ ศษเทา่ นนั้ แตย่ งั มขี อ้ ปฏบิ ตั เิ ชน่ อานาปานสติ อสภุ ะ เปน็ ตน้ ดว้ ย รวมทง้ั ยังมีปฏิจจสมุปบาท และอรยิ สัจสี่ รวมท้งั กฤษณายตนะ23 ซึง่ เป็นธรรมที่ต้อง ทำาให้แจง้ ไม่ใช่คุณธรรมของพระธรรมกายหรือของพระสมั มาสมั พุทธเจา้ จงึ ไม่อาจนบั ไดว้ ่าธรรมศรรี สูตรนนั้ เทยี บได้กบั คาถาพระธรรมกายอยา่ งสมบรู ณ์ และยังไมม่ ีอะไรชดั เจนในความสอดคลอ้ งกบั หลกั การของวิชชาธรรมกาย 23 คาำ นี้ พบในตน้ ฉบบั ภาษาสนั สกฤตจากเทอรฟ์ านและคซิ ลิ แตไ่ มพ่ บในฉบบั ภาษาโขตานซงึ่ มเี นอื้ ความ ท่อนน้เี พียงย่อๆ เทา่ น้นั 172 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org 2. ในส่วนต้นของฉบับภาษาโขตานท่ีกล่าวถึงคำาสอนท่ีประกอบด้วย ทาง 7 สายหลักนั้น มองจากเน้ือหาแล้ว น่าจะเป็น 7 ขั้นตอนมากกวา่ ซ่งึ หากดำาเนินไปตามลำาดับก็น่าจะถือว่าตรงกันกับหลักการของวิชชาธรรมกาย ได้อย่างน้อยก็ใน 4 ขั้นตอนแรกซึ่งอาจเปรียบได้กับระดับของการเข้าถึง ประสบการณ์ภายในดงั น้ี ก) ตถาคตครรภะ อาจเปรยี บไดก้ ับการเข้าถึงปฐมมรรค ข) ทางเอกสายเดียว เปรียบได้กับการเข้าไปสู่ทางสายกลางที่มีจุด เรมิ่ ตน้ จากปฐมมรรค ค) ธรรมกาย เปรียบไดก้ ับการเข้าถงึ พระธรรมกาย ง) อนตุ ปาทนิโรธ เปรยี บได้กบั การเข้าถึงพระนิพพาน ในลำาดับนี้ การเข้าถึงธรรมกายเกิดในลำาดับต่อจากการเข้าถึงเส้นทาง สายกลาง อันเป็นทางเอกสายเดยี ว และเป็นตน้ ทางสูก่ ารเขา้ ถึงพระนพิ พาน ตรงกันกับหลักการของวิชชาธรรมกายดังทแี่ สดงไวข้ ้างต้น (ใน 2.2.2) 3. การกลา่ วถงึ จาำ นวนพระพทุ ธเจา้ ในอดตี วา่ มมี ากเหมอื นเมด็ ทรายใน แม่น้าำ คงคานบั ว่าสอดคลอ้ งกันกับความเขา้ ใจในวชิ ชาธรรมกาย บทที 3 คันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจีน | 173
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ภาพที่ ภาพวา า นงั ถําพระพทุ ธเจา้ พนั พระองค์ ท่ี ( ) .1.11. บทสรปุ ความสอดคลอ้ งในหลักธรรมและหลักปฏบิ ัตทิ วั่ ไป จากภาพรวมของคมั ภรี ท์ ย่ี กมาเปน็ ตวั อยา่ งขา้ งตน้ ซงึ่ มคี วามเกา่ แกข่ อง ตวั คมั ภรี ต์ ง้ั แตร่ าวพทุ ธศตวรรษที่ 6 จนถงึ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี 14 พบวา่ ระดบั ความสอดคล้องตรงกันของคำาสอนในคัมภีร์กับหลักการในวิชชาธรรมกายมี การลดหลั่นมาตามลำาดับ กล่าวคือ คำาสอนในคัมภีร์ของนิกายหลักท่ีบันทึก เป็นภาษาคานธารีราวพทุ ธศตวรรษที่ 6-9 (3.1.1-3.1.8) และโศลกสรรเสริญ พระพุทธคณุ ในภาษาสันสกฤตอายุราวพทุ ธศตวรรษท่ี 9-11 (3.1.9) มีความ สอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์กับหลักการของวิชชาธรรมกาย ในขณะท่ีคัมภีร์ 174 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org มหายานรุ่นหลังจากนั้นที่บันทึกในภาษาสันสกฤตราวพุทธศตวรรษท่ี 12- 14 (3.1.10) และเป็นคัมภีร์ของมหายาน พบว่ามีความสอดคล้องกันในบาง ประเดน็ ตวั อยา่ งคมั ภรี ท์ แี่ สดงไวข้ า้ งตน้ จงึ บง่ บอกวา่ หลกั ธรรมและหลกั ปฏบิ ตั ิ ทวั่ ไปทก่ี ลา่ วไวใ้ นวชิ ชาธรรมกายเปน็ คาำ สอนพระพทุ ธศาสนามาแตโ่ บราณกาล ดังมีหลักฐานยนื ยนั เก่าแกร่ าว 2,000 ปเี ป็นอยา่ งนอ้ ย ในลำาดับต่อไปจะได้ศึกษาคำาว่า ธรรมกาย ท่ีพบในคัมภีร์จากภูมิภาค เดียวกนั นี้ 3.2. ธรรมกาย ในคนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี คัมภีร์ที่พบในคันธาระ เอเชียกลาง และประเทศจีน มีที่ปรากฏคำาว่า ธรรมกายอยู่ไม่น้อย งานวิจัยส่วนน้ีศึกษาความหมายของธรรมกายท่ีกล่าว ถึงในคัมภีร์เหล่านั้น ทั้งท่ีพบเป็นชิ้นส่วนคัมภีร์โบราณ และท่ีรวบรวมไว้ใน ฐานข้อมูลเพื่อการศึกษาพุทธวรรณกรรม พบคำาว่าธรรมกายในหลายบริบท ดงั น้ี .2.1. พึงเห็นพระพุทธองค์โดยธรรม พระพุทธองค์ทรงมีธรรม เป็นกาย ประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับธรรมกายท่ีคุ้นเคยกันในหมู่ชาวพุทธคือประเด็น ที่ว่าให้เห็นพระพุทธองค์โดยธรรม(กาย) ไม่ใช่โดยรูปกาย เพราะพระองคเ์ ป็น ธรรมกาย หรอื เพราะพระองคม์ ธี รรมเปน็ กาย ซง่ึ มกี ลา่ วไวใ้ นพระไตรปฎิ กบาลี และพบในคมั ภรี ์จากคันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี ด้วย หน่งึ ในคัมภีร์ หลกั ท่กี ล่าวถึงประเดน็ น้ีคือ กลุ่มคัมภรี ป์ รชั ญาปารมิตา บทที 3 คันธาระ เอเชียกลาง และประเทศจนี | 175
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีร์พทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ 3.2.1.1. อัษฏสาหสริกาปรัชญาปารมติ า24 คัมภีร์ปรัชญาปารมิตาเป็นกลุ่มคัมภีร์ที่มีความสำาคัญมากในการศึกษา พระพุทธศาสนามหายานเพราะมีความเก่าแก่และมีวิวัฒนาการมาอย่าง ต่อเนื่อง25 นักวิชาการมีความเห็นตรงกันว่าอัษฏสาหสริกาปรัชญาปารมิตา (ปรัชญาปารมิตาท่ีมีความยาวประมาณ 8,000 โศลก) เป็นคัมภีร์ท่ีเก่าแก่ ที่สุดในกลุ่มน้ี ซึง่ Conze คาดการณ์วา่ คมั ภรี น์ น้ี า่ จะเขียนขน้ึ เป็นครง้ั แรกราว กลางพุทธศตวรรษท่ี 5-7 (Conze 1978: 1-4) ส่วนคมั ภรี ท์ ม่ี ีตกทอดมาจนถึง ปจั จบุ นั มฉี บบั แปลในภาษาจนี หลายฉบบั ทเ่ี กา่ แกท่ ส่ี ดุ คอื ฉบบั ทแ่ี ปลโดยพระ โลกเกษมราว พ.ศ. 722-723 และต่อมาพบต้นฉบบั คมั ภีรใ์ นภาษาสันสกฤต จากเนปาล (Vaidya 1960) อายุคมั ภีร์ราวกลางพทุ ธศตวรรษท่ี 16-18 และ ชิน้ สว่ นเลก็ ๆ จากบามยิ ัน (Sander 2000a; Sander 2002) ซง่ึ คาดว่าคัดลอก ในราวคร่ึงแรกของพทุ ธศตวรรษที่ 9 (Sander 2000b: 285-8) และในท่ีสุดพบ ในภาษาคานธารี (Falk and Karashima 2012; 2013) ทค่ี าดวา่ คดั ลอกราว ปลายพุทธศตวรรษท่ี 6 เป็นอย่างช้า (Falk and Karashima 2012: 19) การศกึ ษาเปรยี บเทยี บตน้ ฉบบั ภาษาคานธารกี บั ฉบบั แปลภาษาจนี โดย พระโลกเกษมและฉบบั ภาษาสนั สกฤตซง่ึ มเี นอ้ื ความคาบเกย่ี วกนั ทาำ ใหฟ้ อลก์ และคาราชิม่าสรุปว่าคัมภีร์ท้ังสามฉบับน้ีไม่มีฉบับใดเป็นต้นฉบับของกันและ 24 นำาเนอ้ื หาหลักมาจากงานวจิ ัย “รอ่ งรอยวิชชาธรรมกายในคันธาระและเอเชียกลาง” (ชนดิ า จันทรา ศรีไศล 2557) และ “ธรรมกายในคมั ภีรส์ นั สกฤต” (พระวรี ชยั เตชงกฺ ุโร 2557) และบางส่วนจาก “ทฤษฎตี ถาคตครรภะในพระไตรปฎิ กบาลี” (พระเกษตร าณวชิ ฺโช 2557) 25 รายละเอียดในการจำาแนกคัมภีร์ในกลุ่มปรัชญาปารมิตาและวิวัฒนาการของคัมภีร์ในสายนี้จาก มมุ มองของนกั วชิ าการ ไดแ้ สดงไวโ้ ดยละเอยี ดในงานวจิ ยั “ธรรมกายในคมั ภรี ส์ นั สกฤต” (พระวรี ชยั เตชงฺกโุ ร 2557) 176 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org กนั โดยตรง พวกเขาเชอื่ วา่ ตอ้ งมตี น้ ฉบบั ดงั้ เดมิ ทเี่ กา่ แกก่ วา่ นน้ั ทพี่ ฒั นามาตาม ลาำ ดบั จนเปน็ คมั ภรี ส์ ามฉบบั นี้ และตน้ ฉบบั ดงั กลา่ วนา่ จะมอี ายรุ าวกลางพทุ ธ ศตวรรษที่ 5-6 เป็นอยา่ งชา้ (Falk and Karashima 2013: 100) ในคัมภีร์อัษฏสาหสริกาปรัชญาปารมิตา ฉบับเต็มในภาษาสันสกฤต (Vaidya 1960) พบคำาว่าธรรมกายหลายแหง่ ซึง่ กลา่ วไวใ้ นทาำ นองเดียวกันว่า พระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลายเปน็ ธรรมกาย หรอื มธี รรมเปน็ กาย และพงึ เหน็ พระพทุ ธ องค์โดยการบรรลธุ รรมกาย ดังตวั อย่างต่อไปน้ี ธรฺมกายปรินิษฺปตฺติโต มาำ ภิกฺษโว ทฺรกฺษยถ (Vaidya 1960: 48) คา� แปล: ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จงเหน็ เราโดยการบรรลธุ รรมกาย และ น หิ ตถาคโต รปู กายโต ทรฺ ษฏฺ วยฺ ะ ธรมฺ กายาสตฺ ถาคตาะ (Vaidya 1960: 253) ค�าแปล: ไม่พึงเห็นพระตถาคตโดยรูปกาย พระตถาคต ทัง้ หลายมีธรรมเปน็ กาย เมื่อเปรียบเทียบกับคำาสอนในวิชชาธรรมกาย เห็นได้ว่าเป็นคำาสอนท่ี สอดคล้องกัน ดังที่พระมงคลเทพมุนีกล่าวไว้ว่า ธรรมกายน้ันคือตัวจริงของ พระพทุ ธเจา้ (ดู 3.1.1) และเป็นกายที่ประกอบดว้ ยธรรม ดงั น้ี กายธรรมก็มีขันธ์เหมือนกัน แต่เป็นธรรมขันธ์ ท่านไม่ เรียกเบญจขันธ์ เป็นธรรมขันธ์เสีย มีธาตุเหมือนกันเป็นวิราค ธาตุ เปน็ วิราคธรรม เปน็ ธรรมไปท้งั กอ้ น (รธ. 533) บทที 3 คันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจีน | 177
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ นพิ พานเขามีธรรมขนั ธท์ ัง้ ซงึ่ ขันธ์ ของเขามเี รียก ว่า ธรรมขันธ์ ท่ีเรียกว่า ธรรมธาตุ กายก็เรียกว่า ธรรมกาย ไม่เรียกว่ารูปกาย เหมือนกายมนุษย์ทั้งหลาย ในนิพพานจะมี รปู ธรรมนามธรรมอยา่ งกายมนษุ ย์ กายทพิ ย์ กายรปู พรหม กาย อรูปพรหม ไม่มเี ปน็ ของละเอียด (รธ. 796) ประเด็นทีว่ า่ พระพุทธองคม์ ีธรรมเป็นกายน้ี มีกล่าวไว้ในพระไตรปฎิ ก บาลีด้วยเช่นกัน ดังที่ปรากฏในอัคคัญญสูตร ว่า “วาเสฏฐะและภารทวาชะ คำาว่า ธรรมกาย กด็ ี พรหมกาย ก็ดี ธรรมภตู กด็ ี พรหมภูต กด็ ี เปน็ ช่ือของ ตถาคต”26 ซงึ่ คำาวา่ ธรรมกายในทีน่ ้ี จะแปลเปน็ คำานามวา่ “ธรรมกาย” หรือ จะแปลเปน็ คาำ คณุ ศพั ทว์ ่า “ผู้มีธรรมเป็นกาย” ก็ได้ ซึง่ เมอื่ เป็นพระนามของ พระตถาคตแล้ว ย่อมแสดงว่า พระตถาคตเจ้านั้นมีธรรมเป็นกาย หรือทรง เปน็ ธรรมกายนัน่ เอง อีกแห่งหน่ึงในพระไตรปิฎกบาลีที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าน่าจะสะท้อน ประเดน็ ของการเหน็ พระพทุ ธองคโ์ ดยธรรม คอื พระดาำ รสั ทต่ี รสั กบั พระวกั กลิ ผู้คอยแต่ติดตามแลดูพระรูปกายของพระพุทธองค์อยู่เสมอจนไม่เป็นอันทำา อะไร เมอ่ื เหน็ วา่ พระวกั กลมิ อี นิ ทรยี แ์ กก่ ลา้ พอทจ่ี ะแนะนาำ ไดแ้ ลว้ พระพทุ ธองค์ จึงทรงตกั เตือนว่า “พอเถอะวักกลิ จะมปี ระโยชน์อะไรกบั การเหน็ รปู กายอัน 26 ตถาคตสฺส เหตำ วาเสฏฺา อธวิ จนำ ธมฺมกาโย อติ ปิ ิ พฺรหมฺ กาโย อติ ปิ ิ ธมฺมภูโต อติ ิปิ พฺรหมฺ ภูโต อติ ิปิ ฯ (ท.ี ปา. 11/55/92) 178 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org เนา่ เปอื ยนี้ ผใู้ ดเห็นธรรมผูน้ ้นั ย่อมเหน็ เรา ผู้ใดเห็นเราผู้นน้ั ย่อมเหน็ ธรรม”27 ในคาำ วา่ “ผู้ใดเหน็ เรา ผูน้ น้ั ย่อมเหน็ ธรรม” นน้ั คาำ วา่ เหน็ เรา ในท่ี น้ีย่อมหมายถึงการเห็นกายท่ีแท้จริงของพระองค์ ไม่ใช่พระรูปกายดังท่ีพระ วักกลิเห็นอยู่แล้ว แม้ว่าพระไตรปิฎกบาลีไม่ได้ระบุด้วยข้อความว่าธรรมกาย แต่เม่ือพิจารณาปรียบเทียบกับพระดำารัสในอัคคัญญสูตรที่บอกว่า ธรรมกาย เป็นชอ่ื ของตถาคตแล้ว ก็คอ่ นข้างชดั เจนอยู่ในตวั ว่า “เหน็ เรา” ในทน่ี ค้ี อื เห็น ธรรมกายน่ันเอง ในประเด็นนี้ พระเกษตร ญาณวิชโช (2557) ได้อธบิ ายเพมิ่ เตมิ วา่ รปู กายของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ นนั้ ไมใ่ ชก่ ายทแ่ี ทจ้ รงิ ของพระองค์ แตธ่ รรมกาย เป็นกายท่ีแท้จริงคือตถาคต ดังที่อรรถกถาสังฆาฏิสูตรยืนยันว่า ภิกษุผู้เห็น รูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตาเนื้อของตนหรือได้อยู่กับรูปกายของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มิใช่เป็นการได้เห็นหรือการได้อยู่กับกายที่แท้จริงของ พระองค์เลย แต่การเหน็ พระองคด์ ว้ ยญาณจกั ษแุ ละการอยกู่ ับกายแหง่ ธรรม (ธรรมกาย) เท่าน้ันที่นับว่าภิกษุน้ันได้เห็นและได้อยู่กับกายที่แท้จริงของ พระองค์ ดงั นี้ เอเตน มสำ จกขฺ นุ า ตถาคตทสสฺ นำ รปู กายสโมธานจฺ อกา รณำ าณจกฺขนุ าว ทสสฺ นำ ธมฺมกายสโมธานเมว จ ปมาณนฺติ ทสฺ เสติ ฯ เตเนวาห ธมมฺ ำ หิ โส ภกิ ขเว ภิกขฺ ุ น ปสสฺ ติ ธมมฺ ำ อปสสฺ นฺ โต มำ น ปสสฺ ตตี ิ ฯ ตตฺถ ธมโฺ ม นาม นววโิ ธ โลกตุ ตฺ รธมฺโม โส จ 27 อลำ วกฺกลิ กึ เต อมิ นิ า ปตู กิ าเยน ทิฏฺเน ฯ โย โข วกกฺ ลิ ธมมฺ ำ ปสฺสติ โส มำ ปสสฺ ติ โย มำ ปสสฺ ติ โส ธมมฺ ำ ปสสฺ ติ ฯ (สำ.ข. 17/216/146-7) บทที 3 คนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี | 179
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ อภชิ ฺฌาทหี ิ ทสุ สฺ ติ จิตฺเตน น สกกฺ า ปสสฺ ิตำุ ตสฺมา ธมฺมสสฺ อทสฺ สนโต ธมฺมกายำ น ปสฺสตตี ิ (อิติ. อ. 334) ค�าแปล: ด้วยคำานี้ พระองค์ทรงแสดงว่า การเห็นพระ ตถาคตเจา้ ด้วยมงั สจกั ษุก็ดี การอยรู่ ว่ มกันโดยรปู กายกด็ ี ไมใ่ ช่ เหตุ แต่การเห็นด้วยญาณจักษแุ ละการอย่รู ว่ มกันโดยธรรมกาย เท่านั้นเป็นประมาณ ด้วยเหตุน้ัน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส ไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าภิกษุน้ันไม่เห็นธรรม เม่ือไม่เห็น ธรรมก็ไม่เห็นเรา ในข้อความนั้น “โลกุตรธรรม 9” ชื่อว่า “ธรรม” เธอผู้มีจิตที่ถูกอภิชฌาเป็นต้นประทุษร้ายย่อมไม่อาจ เห็น (โลกุตรธรรมนนั้ ) ได้ เม่ือไมเ่ หน็ ธรรม เธอจงึ ไดช้ ือ่ วา่ ไม่ เห็นธรรมกาย ข้อความในอรรถกถาสังฆาฏิสูตรน้ี เชื่อมโยงคำาว่า “ธรรม” เข้ากับ “โลกตุ รธรรม 9” และ “ธรรมกาย” วา่ การเหน็ ธรรม กค็ อื การเหน็ โลกตุ รธรรม 9 ซึ่งก็คือการเห็นธรรมกาย ดังน้ัน ผู้เห็นธรรม จึงได้ชื่อว่า เห็นพระตถาคต (เพราะตถาคตคอื ธรรมกาย) นอกจากน้ี อรรถกถายงั อธบิ ายเพมิ่ เตมิ วา่ โลกตุ รธรรม 9 ซงึ่ จาำ แนกเปน็ มรรค ผล และนพิ พาน นนั้ ได้ชอ่ื ว่าเปน็ “ธรรม” โดยตรง ไม่ใชโ่ ดยอ้อม ดังน้ี มคคฺ ผลนิพฺพานปปฺ เภโท หิ นววิโธ โลกตุ ตฺ รธมฺโม นิปฺปริ ยายธมโฺ ม นพิ ฺพตฺติตธมโฺ มเยว น เกนจิ ปรยิ าเยน การเณน วา เลเสน วา ธมโฺ ม ฯ (อิติ. อ. 364) 180 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ค�าแปล: โลกตุ รธรรม 9 ซง่ึ จาำ แนกเป็นมรรค (4) ผล (4) และนิพพาน (1) เป็นธรรมโดยตรง เป็นธรรมท่ีเกดิ แล้ว หาได้ เป็นธรรมโดยปริยาย (โดยอ้อม) โดยเหตุ หรือโดยเลศใดๆ ไม่ การเช่อื มโยงการเห็นธรรม เขา้ กับการเห็นโลกตุ รธรรม 9 ประการ ซง่ึ หมายถึงการเห็นธรรมกาย ว่าเป็นการเห็นตถาคต (พระเกษตร าณวิชฺโช 2557) นน้ั ตรงกนั กบั หลกั การของวชิ ชาธรรมกาย ดงั ทพี่ ระมงคลเทพมนุ แี สดง ไวเ้ สมอว่า โลกตุ รธรรม 9 ไดแ้ ก่ มรรค 4 ผล 4 และนพิ พาน นั้นคือธรรมกาย และธรรมกายก็คือพระตถาคต พระตถาคตเจ้าน่ะรูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร? อยู่ ทไ่ี หน? ทีนเ้ี ราจะรูจ้ กั ละ พระตถาคตเจ้าท่เี รยี กวา่ เลศิ ประเสริฐ กว่านะ ก็รัตนะอีกเหมือนกัน น่ันแหละ พุทธรัตนะน่ันแหละ เป็นพระตถาคตเจ้าละ ที่เราได้ธรรมกาย แล้วก็ถึงพุทธรัตนะ ธรรมกายคอื พทุ ธรตั นะทเี่ ปน็ โคตรภู ธรรมกายคอื พทุ ธรตั นะคอื พระโสดา ธรรมกายคอื พทุ ธรตั นะทเี่ ปน็ พระสกทาคา ธรรมกาย คอื พทุ ธรตั นะทเี่ ปน็ พระอนาคา ธรรมกายทเ่ี ปน็ พทุ ธรตั นะทเ่ี ปน็ พระอรหันต์ ทั้งหยาบทัง้ ละเอียด เป็นพุทธรัตนะท้ังนนั้ ... โย โข วกกฺ ลิ ธมมฺ ํ ปสสฺ ติ โส มํ ปสสฺ ติ แนะ่ ..สาำ แดง วกั กลิ ผใู้ ดเหน็ ธรรม ผนู้ น้ั เหน็ เราผูต้ ถาคต ธมฺมกาโย อหํ อติ ิปิ ผู้ตถาคตคอื ธรรมกาย นน่ั แนะ่ บอกตรงนน้ั แนะ่ วา่ เราผตู้ ถาคต คอื ธรรมกาย ธรรมกาย นั้นเองเปน็ ตวั ตถาคตเจา้ (รธ. 370) บทที 3 คนั ธาระ เอเชียกลาง และประเทศจนี | 181
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ อคฺเค พุทฺเธ ปสนฺนานํ ทกฺขิเณยฺเย อนุตฺตเร เล่ือมใส ในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ คือธรรมกายทีเดียว ธรรมกายโคตรภู ธรรมกายโคตรภลู ะเอยี ด ธรรมกายโสดา โสดาละเอยี ด ธรรมกาย สกทาคา สกทาคาละเอียด ธรรมกายอนาคา อนาคาละเอียด ธรรมกายอรหัต อรหัตละเอียด น่ันแหละธรรมกาย นั่นแหละ พระพุทธเจ้าผ้เู ลิศ (รธ. 170) ธรรมกายของพระสิทธัตถราชกุมารเข้าไปอยู่ในนิพพาน น้ันเรียกว่าพระนิพพาน ธรรมกายนั่นเรียกว่าพระนิพพาน แต่ ว่านิพพานท่ียังเป็นเคร่ืองรองรับนั้นเรียกว่า อายตนนิพพาน (รธ. 593) หลกั ธรรมทวี่ า่ พระตถาคตเปน็ ธรรมกาย และพงึ เหน็ พระพทุ ธองคโ์ ดย ธรรม คือเห็นโดยธรรมกาย ดังที่พบในคัมภีร์อัษฏสาหสริกาปรัชญาปารมิตา พระไตรปฎิ ก และอรรถกถาบาลีนน้ั จึงเป็นหลักการท่ตี รงกันกับหลกั การของ วิชชาธรรมกาย นอกจากที่พบในคัมภีร์อัษฏสาหสริกาปรัชญาปารมิตา ซง่ึ นบั เปน็ คมั ภรี ใ์ นยคุ แรก คอื ยคุ ปลกุ กระแสความตนื่ ตวั ในเรอ่ื ง ปัญญาบารมี (Conze 1978: 1) แล้ว คำาวา่ ธรรมกาย ยังปรากฏ ในคมั ภรี ป์ รชั ญาปารมติ าในยคุ ขยายความ ซง่ึ นบั เปน็ ยคุ ท่ี 2 ตาม การจาำ แนกของ Conze ได้แก่ ในปญั จวงิ ศตสิ าหสริกาปรชั ญา ปารมิตา ซง่ึ มคี วามยาวราวสองหมื่นห้าพนั โศลกด้วย 182 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org 3.2.1.2. ปัญจวิงศติสาหสรกิ าปรัชญาปารมติ า28 ในทำานองเดียวกันกับคัมภีร์อัษฏสาหสริกาปรัชญาปารมิตาท่ีมีหลาย ฉบับที่เน้ือหาแตกต่างกันไปบ้าง ช้ินส่วนคัมภีร์ปัญจวิงศติสาหสริกาปรัชญา ปารมิตาในภาษาสันสกฤตที่พบในเอเชียกลางหลายคร้ัง (Bongard-Levin 1994; Watanabe 1994; Bongard-Levin and Kimura 1995; Karashima 2005) ก็มีลักษณะเน้ือหาท่ีเรียบเรียงใหม่แตกต่างกันไปบ้างเช่นเดียวกัน (Bongard-Levin and Kimura 1995: 355) ในคมั ภรี ์น้พี บคำาวา่ ธรรมกายอยู่ เชน่ กนั ดังเชน่ เนอ้ื หาต่อไปน้ี ตาำศ จ ธรฺมกาเยน จ รูปกาเยน จ ทรฺ ษฺฏกาเมน อิยเมว ปฺรชฺาปารมิตา โศฺรตวฺโยทฺคฺรหีตวฺยา ธารยิตวฺยา วาจยิตวฺ ยา ปรฺยวาปฺตวฺยา ปเรภฺยศฺ จ วิสฺตเรณ สำปฺรกาศยิตวฺยา โย นิศศฺ จ มนสิกรฺตวฺยา ฯ สเจตฺ กุลปุโตฺร วา กุลทุหิตา วา ตานฺ ทศสุ ทิกฺษุ ตถาคตานฺ อรฺหตะ สมฺยกฺสำพุทฺธานฺ อิจฺเฉทฺ ทรฺษฺฏำ เตน กุลปุเตฺรน วา กุลทุหิตฺรา วา ปฺรชฺาปารมิตายาำ จรตา พทุ ธฺ านสุ ฺมฤติรฺ ภาวยิตวฺยา (Kimura 1986: 96) ค�าแปล: ผปู้ รารถนาจะเหน็ พระพุทธเจ้าเหลา่ นนั้ ทงั้ โดย ธรรมกายและโดยรูปกาย ควรสดับฟงั ศกึ ษา ทรงจำา บอกเล่า บรรยาย ประกาศ ปรัชญาปารมิตานี้โดยพิศดาร แก่บุคคลอื่น ดว้ ย และพงึ กระทาำ ไว้ในใจโดยแยบคายดว้ ยฯ อน่ึง ถ้ากลุ บุตร 28 นำาเนอ้ื หาหลกั มาจากงานวิจัย “ธรรมกายในคมั ภีร์สันสกฤต” (พระวรี ชยั เตชงฺกโุ ร 2557) บทที 3 คนั ธาระ เอเชียกลาง และประเทศจนี | 183
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ หรือกุลธิดาจะพึงประสงค์ท่ีจะเห็นพระตถาคตอรหันตสัมมา สมั พทุ ธเจา้ ทง้ั หลายในทศิ ทงั้ สบิ เหลา่ นนั้ กลุ บตุ รหรอื กลุ ธดิ านนั้ ผ้ปู ระพฤติอยูใ่ นปรชั ญาปารมติ าพึงเจริญพุทธานสุ ตฯิ ขอ้ ความในปญั จวงิ ศตสิ าหสรกิ าปรชั ญาปารมติ า แมไ้ มไ่ ดก้ ลา่ วโดยตรง วา่ พระตถาคตคอื ธรรมกาย แตก่ แ็ นะนาำ วา่ ถา้ อยากเหน็ พระพทุ ธองคท์ งั้ โดยรปู กายและธรรมกายกใ็ หศ้ กึ ษาคมั ภรี ป์ รชั ญาปารมติ าและนอ้ มไวใ้ นใจ เนอื่ งจาก เน้ือหาคัมภีร์ปรัชญาปารมิตาเป็นเนื้อหาท่ีสอนเก่ียวกับสุญญตา จึงเป็นไปได้ วา่ ในทน่ี จี้ ะหมายถงึ การแนะนาำ ใหน้ อ้ มใจไวใ้ นสญุ ญตา คอื ความวา่ งจากความ ยึดถือเป็นตัวตน บคุ คล เรา เขา และเมอื่ นอ้ มใจไวใ้ น “ความวา่ ง” เปน็ ปกติ แลว้ หากประสงค์จะเหน็ พระพุทธเจา้ ท้งั หลายก็ให้เจรญิ พทุ ธานุสติ กจ็ ะเหน็ พระพทุ ธองค์ไดด้ งั ท่ปี รารถนา และอีกขอ้ ความหนึง่ ท่ีพบคำาว่าธรรมกายในคมั ภีรป์ ัญจวิงศตฯิ เชน่ กนั ตตฺร กตมา โพธิสตฺตฺวสฺย มหาสตฺตฺวสฺย พุทฺธกายยถา ภูตปรฺ ตฺยเวกษฺ ณตา ? ยา ธรมฺ กายยถาภูตปฺรตฺยเวกษฺ ณตา, อิยำ โพธิสตฺตฺวสฺย มหาสตฺตวฺ สยฺ พทุ ธฺ กายยถาภตู ปรฺ ตยฺ เวกษฺ ณตา... (Kimura 2009: 100) ค�าแปล: ในข้อนั้น การที่พระโพธิสัตว์พระมหาสัตว์ พจิ ารณาเหน็ กายของพระพทุ ธเจา้ (พทุ ธกาย) ตามความเปน็ จรงิ เปน็ อยา่ งไร ? กค็ อื การพจิ ารณาเหน็ ธรรมกายตามความเปน็ จรงิ นแี้ หละคอื การทพ่ี ระโพธสิ ตั วพ์ ระมหาสตั วพ์ จิ ารณาเหน็ กายของ พระพทุ ธเจ้าตามความเป็นจริง... 184 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org จะเห็นว่า จากคมั ภีรป์ รชั ญาปารมิตายุคต้นมาสยู่ ุคกลาง แม้วา่ ถ้อยคาำ จะเปล่ียนไป และมีการขยายความเพม่ิ เตมิ มาบ้าง แต่คมั ภีรป์ รชั ญาปารมติ า ในยุคขยายความยังคงความเขา้ ใจท่ีว่าธรรมกายคือกายแห่งพุทธะไว้ดงั เดิม การสืบต่อความหมายของธรรมกายในแง่มุมน้ี ยังคงถ่ายทอดต่อไป สู่คัมภีร์ปรัชญาปารมิตารุ่นต่อไปที่เรียกว่า “รุ่นตอกยำ้าแนวคิดด้ังเดิม” ตาม การจาำ แนกของ Conze (1978: 1) ไดแ้ ก่ คมั ภีรว์ ชั รัจเฉทิกาปรัชญาปารมติ า 3.2.1.3. วชั รจั เฉทิกาปรชั ญาปารมิตา29 คัมภีร์น้ีเป็นพระสูตรมหายานท่ีจัดอยู่ในวรรณกรรมประเภทปรัชญา ปารมิตา เช่ือกันว่าเขียนข้นึ ราวกลางพทุ ธศตวรรษท่ี 9-11 (Conze 1957:9)30 ประกาศหลักปรัชญาแนวสุญญวาท และมักถูกจัดไว้ในจำาพวกปรัชญาของ สายมาธยมกิ ะ ในสว่ นท่เี ปน็ ภาษาสันสกฤต มีท่ีตรวจชำาระและตีพิมพ์แล้วถงึ 9 ฉบับ31 สว่ นตน้ ฉบบั ทนี่ าำ มาศกึ ษาในครง้ั น้ี เปน็ ฉบบั ทพี่ บทก่ี ลิ กติ อายคุ มั ภรี ร์ าวกลาง พุทธศตวรรษท่ี 11-13 และฉบบั ท่พี บท่ีบามยิ ันในคนั ธาระ อายุใกล้เคียงกนั ซึ่งได้เทียบเคียงเนื้อหากับฉบับตีพิมพ์ท้ัง 9 ฉบับนั้นแล้ว (Harrison and Watanabe 2006) รวมท้งั ฉบบั ภาษาโขตานโบราณจากเอเชยี กลาง อายรุ าว ปลายพทุ ธศตวรรษท่ี 10 ถึงกลางพุทธศตวรรษท่ี 13 (Konow 1916a) 29 F. Max Müller, E. F. Pargiter, N. P. Chakravarti, E. Conze, N. Dutt, P. L. Vaidya, L. M. Joshi,G. Schopen, Rushi foxue yanjiushi 30 ค.ศ. 300-500 31 F. Max Müller, E. F. Pargiter, N. P. Chakravarti, E. Conze, N. Dutt, P. L. Vaidya, L. M. Joshi,G. Schopen, Rushi foxue yanjiushi บทที 3 คนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจีน | 185
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ภาพที่ 1 ใบลานหน้าแรกและหน้าสุ ท้ายของคมั ภรี ว์ ชั รจั เฉทิกา ในภาษาโขตานโบราณ คมั ภรี ์ฉบบั ภาษาสนั สกฤตท่ีพบในคันธาระทง้ั สองชิ้นมีเน้ือหาคล้ายกนั มาก โดยที่คัมภีร์จากบามิยันหลงเหลือส่วนต้น ส่วนที่พบจากกิลกิตเป็นส่วน ท้าย ท่อนกลางซ้อนกันและมีเนื้อหาคล้ายกันมาก ดังที่ แฮริสันบันทึกไว้ว่า There is su ceint overlap in the aist area to establish that the t o manuscripts roughly represent the same recension of the text” (Harrison 2006: 133) ท่านจงึ ไดแ้ ปลเป็นภาษาอังกฤษฉบบั สมบูรณ์ออกมาจากต้นฉบบั สนั สกฤตของคมั ภีรท์ ้งั สองชิ้นนีท้ ีเ่ อามาต่อกัน (Harrison 2006) 186 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ในฉบบั ภาษาสนั สกฤต พบคาำ ว่าธรรมกายในท่อนหลงั ซง่ึ เปน็ สว่ นท่ีพบ จากกลิ กติ ดังน้ี เย มาำ รูเปณ อทฺรากษฺ ุรฺ เย มาำ โฆเษณ อนฺวยุะ มถิ ยฺ าปรฺ หาณปฺรสฤตา น มาำ ทรฺ กษฺ ยนฺติ เต ชนาะ ทรฺ ษฺฏวโฺ ย ธรฺมโต พทุ ฺโธ ธรฺมกายสฺ ตถาคตะ ธรฺมตา จาปยวิชเฺ ยา น สา ศกฺยำ วชิ านติ ุำ ( me and Silk 1989: 105/11a) ค�าแปล: (ในเวลานั้น พระพุทธองคท์ รงเปล่งอทุ านคาถา เหล่าน)้ี ชนเหลา่ ใดเห็นเราโดยรปู ชนเหล่าใดติดตาม(ฟงั )เราโดย เสียง มวั ประกอบความเพียรไมถ่ ูกทาง พวกเขายอ่ มไม่ไดช้ ่อื วา่ เห็นเรา พึงเห็นพระพุทธเจ้าโดย(ความเป็น)ธรรม พระตถาคต เจา้ มีธรรมเป็นกาย32 แต่สภาวะแหง่ ธรรม33 ไม่อาจสัมผัสรับรไู้ ด้ “ธรรมตา”จะรับรดู้ ว้ ยวิญญาณ34ไมไ่ ด้ 32 ในท่นี ้แี ปลแบบเดยี วกนั กบั ฉบบั แปลภาษาองั กฤษโดยแฮริสนั (Harrison 2006: 133) คอื แปลคำาวา่ ธรรมกายเปน็ คาำ คณุ ศพั ทท์ ขี่ ยายพระตถาคต แตโ่ ดยไวยากรณแ์ ละรปู ประโยคอาจแปลธรรมกายเปน็ คาำ นามกไ็ ด้ วา่ “พระตถาคตเจ้าเป็นธรรมกาย” 33 “ธรรมตา” สภาวะแหง่ ธรรม หมายถงึ ธรรมกาย คอื ธรรมชาติแหง่ พุทธะ 34 การรบั รดู้ ว้ ยวญิ ญาณในทน่ี ี้ หมายถงึ การรบั รผู้ า่ นประสาทสมั ผสั ไดแ้ ก่ จกั ขวุ ญิ ญาณ คอื การรบั รผู้ า่ น การเห็น โสตวิญญาณ คือการรบั รผู้ ่านการไดย้ ิน ฆานวญิ ญาณ คอื การรบั รผู้ ่านการได้กลิ่น เปน็ ตน้ บทที 3 คันธาระ เอเชียกลาง และประเทศจนี | 187
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ พระวีรชัยได้ศึกษาเปรียบเทียบข้อความในคัมภีร์สันสกฤตจากกิลกิต นก้ี ับฉบับตรวจชาำ ระของไวทยะ (Vaidya 1961a: 87) ซ่งึ นำาเน้อื ความมาจาก ต้นฉบับคัมภีร์ใบลานรุ่นหลัง35 และฉบับแปลในภาษาทิเบต พบว่า มีเน้ือ ความตรงกันเกือบทุกคำา แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยในการเติมคำาว่า “และ” ในการเช่ือมประโยค สลับตำาแหน่งคำากันบ้าง และในฉบับของไวทยะจะใช้ คาำ วา่ “พระผนู้ าำ (โลก)” (นายกา) เปน็ พหพู จน์ แทนคาำ วา่ พระตถาคตเจา้ เพยี ง พระองคเ์ ดียวดังท่ีพบในต้นฉบบั คัมภรี จ์ ากกิลกติ ส่วนใจความอืน่ ๆ ของคาถา นน้ั ตรงกนั ทงั้ หมด ฉบบั แปลในภาษาทเิ บตมขี อ้ ความลอ้ ไปกบั ฉบบั ของไวทยะ แบบคำาต่อคาำ 36 สว่ นในฉบบั ภาษาโขตานโบราณ พบคาถาทม่ี ขี อ้ ความนด้ี ว้ ยเชน่ เดยี วกนั ดังนี้ cu muhu ruvane deda cu ma salāyau-jsa mañāre kūra cedāṃma ttyāṃ tta muhu herṣṭāya na deda dharmahe-jsa bays dyāṃña dātīdāvīne taraṃdara ttyāṃna 35 ฉบบั ของไวทยะ ไดม้ าจากตน้ ฉบบั คมั ภรี ใ์ บลานทร่ี วบรวมโดยสถาบนั มถิ ลิ า (Mithila Institute) ใน Darbhanga ประเทศอินเดีย คมั ภรี ์ใบลานทรี่ วบรวมและเก็บไวท้ ่ีสถาบันน้มี ีทงั้ ท่มี าจากอนิ เดียและ เนปาล ท่เี ก่าแก่ท่สี ดุ มอี ายุการคัดลอกราวกลางพุทธศตวรรษท่ี 14-15 36 ศกึ ษารายละเอยี ดในการเปรยี บเทยี บคมั ภรี ว์ ชั รจั เฉทกิ าปรชั ญาปารมติ า ทพี่ บทก่ี ลิ กติ กบั ฉบบั ภาษา สนั สกฤตของไวทยะ และฉบบั ภาษาทเิ บตไดจ้ ากรายงานการวจิ ยั ของพระวรี ชยั (พระวรี ชยั เตชงกฺ โุ ร 2557) 188 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org dū ṣa busta darmaha raṣṭa naiye kara tcāraṃṇa buśte37 (Kono 1 16a 2 -1) คา� แปล: (ในเวลานนั้ พระพทุ ธองคท์ รงเปลง่ อุทานคาถาเหล่านี)้ ชนเหลา่ ใดเห็นเราโดยรปู ชนเหล่าใดนึกถงึ เราโดยถ้อยคำา วธิ คี ิดของพวกเขาผดิ พลาด พวกเขายอ่ มไม่เคยเห็นเราเลยในกาลไหนๆ พงึ เห็นพระพทุ ธเจ้าท้งั หลายโดยธรรมตา กายของพวกพระองค์ประกอบดว้ ยธรรม พระพทุ ธเจา้ ทรงปน็ ธรรมตาโดยตรง ไม่อาจรับรู้ไดโ้ ดยอุบาย38 เม่ือเปรียบเทียบข้อความน้ีกับฉบับภาษาสันสกฤตดังที่แสดงไว้ข้างบน แลว้ พบวา่ มคี วามแตกตา่ งกนั ในการประกอบรปู ศพั ทใ์ นบางจดุ เชน่ ฉบบั ภาษา โขตานโบราณใชค้ าำ วา่ พระพทุ ธเจา้ เปน็ พหพู จน์ แทนคาำ วา่ ตถาคตเอกพจนใ์ น บางแหง่ และแทนทจี่ ะใชค้ าำ วา่ ธรรมกายในฐานะทเี่ ปน็ ศพั ทส์ มาสขยายความ คำาว่าตถาคตซ่ึงจะเปิดโอกาสให้แปลได้สองแบบว่า “พระตถาคตมีธรรมเป็น กาย” หรือ “พระตถาคตเปน็ ธรรมกาย” อยา่ งที่พบในคมั ภีร์สันสกฤต คมั ภรี ์ วัชรัจเฉทิกาฉบับภาษาโขตานโบราณกลับแยกศัพท์ “ธรรม” และ “กาย” 37 ไม่ได้ปริวรรตภาษาโขตานโบราณเป็นอักษรไทยเพราะมีสัญลักษณ์บางอย่างที่ไม่มีใช้ในสัญลักษณ์ พิเศษของไทย 38 แปลจากคำาแปลภาษาอังกฤษของ Kono (1 6a 286) ร่วมกับการเปรียบเทียบกับคำาพ้องใน ภาษาสันสกฤตทีแ่ สดงไว้ และรปู ศพั ทภ์ าษาโขตาน (Kono 1 6b Bailey 1 ) บทที 3 คนั ธาระ เอเชียกลาง และประเทศจีน | 189
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ออกจากกันและระบุอย่างชัดเจนว่า “กายของพวกพระองค์สำาเร็จด้วยธรรม (ส. ธรมฺ มย)” ซง่ึ บง่ บอกถงึ ทางเลอื กในการตคี วามคาำ วา่ “ธรรมกาย” ของชาว พุทธในทอ้ งถนิ่ น้นั ณ ช่วงเวลาของการคดั ลอกคัมภีร3์ 9 อย่างไรก็ดี นับได้ว่าความหมายของธรรมกายอันเป็นกายจริงแท้ท่ี ประกอบดว้ ยธรรมของพระพทุ ธองคน์ น้ั เปน็ สงิ่ ทช่ี าวพทุ ธในโขตานยคุ โบราณ ยงั รกั ษาไว้ได้เป็นอยา่ งดี จะเห็นได้ว่าแนวคิดและข้อเขียนเกี่ยวกับการมองพุทธะในฐานะท่ีเป็น ธรรมกายนั้น มีมาในทุกยุคสมัยของปรัชญาปารมิตา ตั้งแต่ยุคแรกคืออัษฏ สาหสรกิ า ถา่ ยทอดมาสยู่ คุ ของการขยายความคมั ภรี ป์ รชั ญาปารมติ า คอื ปญั จ วิงศติสาหสริกา และตกทอดต่อมาจนถึงยุคของตอกย้ำาแนวคิดและรวบรัด เกบ็ ใจความสาำ คญั คือ ในคัมภรี ์วัชรัจเฉทกิ า40 ความหมายของธรรมกายในคัมภีร์กลุ่มปรัชญาปารมิตาที่เช่ือว่า ประพันธ์ขึ้นในราวพุทธศตวรรษท่ี 5 เป็นต้นมา มีต้นฉบับคัมภีร์หลงเหลือ ให้เห็นจากปลายพุทธศตวรรษท่ี 6 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันและตรงกันกับที่ ปรากฏในพระไตรปิฎกบาลีจึงเป็นเครื่องรับรองความหมายของธรรมกายที่ ใช้ในคำาสอนวิชชาธรรมกายว่าเป็นความหมายเก่าแก่ในพระพุทธศาสนามา แตโ่ บราณกาล 39 ศกึ ษารายละเอยี ดการเปรียบเทยี บเพม่ิ เตมิ ไดจ้ ากรายงานวิจยั ของ ชนิดา จันทราศรไี ศล (2557) 40 สำาหรับความเก่าแก่และความสำาคัญของวัชรัจเฉทิกาน้ียังคงเป็นท่ีถกเถียงกัน อย่างไรก็ตาม พอล วลิ เลยี มส์ กล่าวว่า there is a reasonable possibility that the Vajracchedikā in some orm or another dates rom a very early phase o Prajñāpāramitā literary activity. ( illiams 2009, 49) อ้างอิงในรายงานการวจิ ัย พระวรี ชยั เตชงฺกโุ ร (2557) 190 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org 3.2.1.4. สมาธิราชสูตร41 สมาธิราชสูตรเป็นคัมภีร์มหายานอีกพระสูตรหน่ึงท่ีมีการกล่าวเปรียบ เทียบพระพทุ ธองค์กบั ธรรมกาย เป็นพระสตู รทส่ี อนเรอ่ื งการอบรมสัญญาใน “อภาวะ” และการปฏิบตั ธิ รรมแบบเหน็ พระ สว่ นในเรือ่ งที่กลา่ วเปรยี บเทียบ พระพทุ ธองคก์ บั พระธรรมกายนนั้ พบในตน้ ฉบบั คมั ภรี ภ์ าษาสนั สกฤตทต่ี รวจ ชำาระและตีพิมพ์โดยสถาบันมิถิลา (Vaidya 1961b) มีข้อความท่ีเก่ียวข้อง ปรากฏอย่หู ลายแห่ง ดงั ตัวอย่างน้ี 1. โย ธรฺมกาเย ภวติ ปรฺ ตษิ ฺโิ ต อภาว ชานาติ ส สรฺว ภาวานฺ อภาวสำชฺาย วภิ าวิตาย น รูปกาเยน ชเิ นนทฺ ฺร ปศยฺ ติ (Vaidya 1961b, 21) ค�าแปล: ผูใ้ ด ยอ่ มดำารงมนั่ อยใู่ นพระธรรมกาย เขาย่อม รถู้ งึ ภาวะทง้ั ปวงวา่ เปน็ อภาวะ ดว้ ยความแจม่ แจง้ แหง่ สญั ญาวา่ เป็นอภาวะ เขายอ่ มไม่เหน็ พระชนิ เจา้ โดยรปู กาย 2. น หิ รปู โต ทศพลานฺ ปศยฺ ติ โส ธรมฺ กาย นรสหึ านฺ (Vaidya 1961b: 77) คา� แปล: เขายอ่ มไมเ่ หน็ เหลา่ พระทศพลผเู้ ปน็ สหี ะในหมู่ นรชนโดยรูป (เพราะ)พระองค์ทรงมธี รรมเปน็ กาย 41 นาำ เนื้อหามาจากงานวิจยั “ธรรมกายในคมั ภรี ส์ ันสกฤต” (พระวรี ชัย เตชงกฺ โุ ร 2557) และ “ร่องรอย วิชชาธรรมกายในคันธาระและเอเชยี กลาง” (ชนิดา จันทราศรีไศล 2557) บทที 3 คนั ธาระ เอเชียกลาง และประเทศจีน | 191
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ 3. ตสฺมาตฺ ตรฺหิ กุมาร โพธิสตฺตฺเวน มหาสตฺตฺเวน น รูปกายตสฺตถาคตะปฺรชญฺ าตวยฺ ะ ตตฺ กสฺย เหโตะ? ธรมฺ กายา หิ พทุ ธฺ า ภควนฺโต ธรมฺ กายปรฺ ภาวิตาศฺจ น รูปกายปรฺ ภาวิตาะ (Vaidya 1961b, 143) ค�าแปล: เพราะฉะนั้น กุมาร ในเรอ่ื งนี้ พระโพธสิ ัตว์มหา สตั ว์ไม่พงึ รบั รู้พระพทุ ธองค์โดยพระรปู กาย เพราะอะไร เพราะ พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าท้ังหลายทรงมีธรรมเป็นกาย ทรง ปรากฏโดยพระธรรมกาย มิใชป่ รากฏโดยพระรูปกาย ส่วนตัวคัมภีร์ใบลานของพระสูตรน้ี พบ 2 แห่งในแคว้นคันธาระ คือ ทีก่ ิลกติ และบามยิ นั จารกึ เปน็ ภาษาสันสกฤตดว้ ยอักษรพราหมีแบบ Gilgit- Bamiyan Type I ซง่ึ บง่ บอกวา่ อายคุ มั ภรี ร์ าวกลางพทุ ธศตวรรษท่ี 11-13 และ พบในเอเชียกลางด้วย (St. Petersburg Collection) ส่วนที่พบในคันธาระ มเี นอื้ หาตรงกับบางสว่ นของบทท่ี 4, 5, 6, 7, 10, 17, 26, 27, 29, 31, 33, 35, 36, 38, และ 40 (Skilton 2002) บทที่ 4 กลา่ วถึงการเจริญพุทธานสุ ติดัง ที่จะกล่าวโดยละเอียดข้างหน้าในเร่ืองคัมภีร์ว่าด้วยการเจริญสมาธิภาวนาใน คนั ธาระ เอเชียกลาง และประเทศจีน (ดู 3.3.2.3) แมว้ า่ ชน้ิ สว่ นคมั ภรี ท์ พี่ บในคนั ธาระซงึ่ ขาดวน่ิ และคงเหลอื อยเู่ พยี งบาง ส่วนน้ันจะไม่ตรงกับบทท่ีปรากฏข้อความว่าธรรมกายโดยตรง แต่อย่างน้อย การค้นพบคัมภีร์ลายมือเขียน (manuscript) ของพระสูตรในท้องถ่ินน้ีก็เป็น เคร่ืองแสดงว่า ในสมัยก่อนพระสูตรน้ีซึ่งรวมถึงเนื้อหาส่วนท่ีขาดหายไปด้วย เคยเผยแพรอ่ ยูใ่ นพื้นท่ีมาก่อน คัมภีร์ทพ่ี บจึงนบั เป็นพยานทางวตั ถขุ องความ 192 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org เขา้ ใจเกยี่ วกบั ธรรมกายในฐานะทเ่ี ปน็ กายแทข้ องพระพทุ ธองคท์ ป่ี ระกอบดว้ ย ธรรม ทย่ี งั สบื ทอดตอ่ มาในทอ้ งทค่ี นั ธาระจนถงึ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี 11-13 เปน็ อยา่ งน้อย นอกจากจะกล่าวถึงพระตถาคตเจ้าว่ามีธรรมเป็นกายแล้ว ในคัมภีร์ มหายานยคุ หลงั ๆ เรม่ิ ปรากฏทฤษฎที ว่ี า่ ดว้ ยพระโพธสิ ตั วม์ ธี รรมเปน็ กายดว้ ย เชน่ เดียวกนั ตัวอย่างท่ีพบในคันธาระและเอเชยี กลางคือ โพธสิ ตั วปิฏกสูตร 3.2.1.5. โพธิสตั วปฏิ กสูตร (Bodhisattvapiṭakasūtra)42 โพธิสัตวปิฏกสูตรเป็นคัมภีร์มหายานท่ีว่าด้วยการสร้างบารมีของ พระโพธสิ ตั ว4์ 3 มเี นอ้ื หาบนั ทกึ ไวท้ ง้ั ในฉบบั แปลภาษาจนี และภาษาทเิ บตหลาย ฉบบั สว่ นตน้ ฉบบั ภาษาอนิ เดยี เคยเชอ่ื กนั วา่ ไมม่ หี ลงเหลอื อยแู่ ลว้ จนกระทง่ั มี การพบชนิ้ ส่วนของคมั ภรี ์นี้ทั้งในภาษาคานธารีและสนั สกฤต ซ่ึงสันนิษฐานว่า 42 นำาเน้ือหาหลักมาจากงานวิจัย “ธรรมกายในคัมภีร์สันสกฤต” (พระวีรชัย เตชงฺกุโร 2557) และ “รอ่ งรอยวชิ ชาธรรมกายในคันธาระและเอเชยี กลาง” (ชนิดา จันทราศรไี ศล 2557) 43 คำาว่า “โพธิสัตวปิฏก” มีท้ังท่ีใช้ในฐานะท่ีเป็นชื่อพระสูตรมหายานพระสูตรหนึ่งและท่ีใช้ในฐานะ ที่เป็นเสมือนกลุ่มคัมภีร์ท่ีว่าด้วยข้อปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ซ่ึงครอบคลุมพระสูตรมหายานหลาย พระสตู รไวด้ ว้ ยกนั ยง่ิ กวา่ นนั้ บางแหลง่ ขอ้ มลู ยงั ระบวุ า่ คมั ภรี น์ เี้ ปน็ สว่ นหนง่ึ ในพระไตรปฎิ กของนกิ าย หลกั บางนกิ าย คอื ธรรมคปุ ตก์ และอาจจะพหศุ รตุ ยี ะดว้ ย บางทา่ นวา่ เปน็ ของมหาสางฆกิ ะ (Braar ig and Pagel 2006: 11 erner 1996 Prebish 1999) ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั การท่พี บชนิ้ สว่ นคัมภีร์นี้ที่ บามยิ นั อนั เปน็ แหลง่ ทเี่ คยพบชน้ิ สว่ นคมั ภรี พ์ ระปาฏโิ มกขข์ องมหาสางฆกิ ะ-โลโกตตรวาทมากอ่ น จงึ ทาำ ใหน้ กั วชิ าการเชอ่ื วา่ บามยิ นั เคยเปน็ แหลง่ เผยแผข่ องมหาสางฆกิ ะ-โลโกตตรวาท (Sander 2000b: 285) อย่างไรกด็ ี ในภายหลงั การศกึ ษาเนอ้ื หาคมั ภีร์ภาษาคานธารจี ากบามยิ นั ซ่ึงเกา่ แกก่ ว่าคัมภีร์ พระปาฏโิ มกขข์ องมหาสางฆกิ ะ-โลโกตตรวาทนนั้ กลบั บง่ ชถ้ี งึ การมนี กิ ายหลกั อน่ื ๆ เผยแผอ่ ยใู่ นพนื้ ท่ี บามิยันก่อนการเข้ามาของมหาสางฆิกะ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในรายงานการวิจัยของ ชนิดา จันทราศรไี ศล (2557) บทที 3 คนั ธาระ เอเชียกลาง และประเทศจนี | 193
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภรี ์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ พบทบ่ี ามยิ นั ประเทศอฟั กานสิ ถาน สว่ นทจ่ี ารกึ ในภาษาคานธารเี ปน็ ชน้ิ เลก็ ๆ ชนิ้ หนง่ึ มอี ายรุ าวกลางพทุ ธศตวรรษท่ี 8-10 ซงึ่ มตั สดุ ะ (Kazunobu Matsuda) ระบวุ า่ มเี นื้อหาตรงกบั บทท่ี 9 ของโพธสิ ตั วปิฏก (Allon and Salomon 2010: 8-9) สว่ นทจี่ ารกึ ในภาษาสนั สกฤต พบเปน็ ชน้ิ เลก็ ๆ 16 ชน้ิ จาำ แนกไดเ้ ปน็ สว่ น ประกอบของใบลาน 12 ใบ จารกึ ในชว่ งปลายยคุ สมยั ของอกั ษรคปุ ตะแบบทใ่ี ช้ ในอินเดียตะวันตกเฉียงเหนอื อายรุ าวกลางพทุ ธศตวรรษท่ี 10-12 (Braarvig and Pagel 2006: 30) พบคำาว่าธรรมกายในชิ้นสุดท้ายของคัมภีร์ภาษาสันสกฤต บรรทัดที่ 3 เปน็ ขอ้ ความทขี่ าดวิ่นไม่สมบรู ณว์ า่ “... น จ ธรฺมกายพลาทฺ ธียเต น ป...” ภาพท่ี 11 ชินสวนภาษาสนั สกฤตของโพธิสัตวปิฏกสตรจากบามิยนั ( 26 ) 194 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org เนอื้ ความทพี่ บคาำ วา่ ธรรมกาย ในคมั ภรี ส์ นั สกฤตนนั้ ตรงกบั เนอ้ื หาของ บทท่ี 9 ในหวั ข้อแพทยแ์ หง่ ธรรมและธรรมกายของพระโพธิสตั วเ์ ชน่ เดยี วกัน กับชิ้นส่วนภาษาคานธารี เน่ืองจากประโยคไม่สมบูรณ์ เม่ือเติมข้อความเข้า มาให้สมบูรณ์ข้ึนโดยการแปลกลับจากเนื้อหาในฉบับภาษาจีนและทิเบต จึง ไดเ้ นอ้ื ความทเ่ี กีย่ วขอ้ งดงั นี้ ...โ(พ)ธิสตฺวสฺย นานนฺ ปานตยา กาย(ะ ปุษฺยต)ิ ... น จ ธรฺมกายพลาทฺ ธียเต น ป(ริหียเต) ... (Braarvig and Pagel 2006: 81)44 คา� แปล: ... กายของพระโพธสิ ตั ว์ ไมจ่ าำ ตอ้ งไดร้ บั การหลอ่ เลี้ยงจากข้าวและนา้ำ ... แตก่ ระน้ันกำาลงั ของธรรมกายกม็ ิได้ลด ทอนหรือสูญเสียไปแตอ่ ย่างใด ... มขี ้อสงั เกตวา่ ในบทท่ี 9 น้ีซง่ึ มีเน้ือความเตม็ อยู่ในฉบบั แปลภาษาจีน และทิเบต ทุกข้อความทีก่ ล่าวถงึ พระโพธสิ ตั ว์ จะมคี ำาวา่ “ธรรมกาย” กาำ กับ ไวเ้ สมอ ซึง่ ผตู้ รวจชาำ ระจะแปลควบคู่กนั เสมอว่า “พระโพธสิ ตั ว์ผู้มีธรรมเป็น กาย” ดงั เช่น ขอ้ ความจากชิน้ ส่วนภาษาสนั สกฤตข้างบนน้ี หากเติมเนื้อความ ท่ีแหว่งหายไปเพิ่มเข้ามาจากฉบับภาษาจีนและทิเบตแล้ว จะได้ข้อความ ทัง้ หมดว่า 44 ส่วนท่ีเปน็ จุดไข่ปลา (...) บ่งบอกวา่ ขอ้ ความในคมั ภรี ์ตรงนั้นขาดหายไป ดูจากภาพจะเห็นว่าช้ินสว่ น คัมภีร์นี้ขาดว่ินมากและแหว่งหายไปทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เหลือเป็นชิ้นเล็กๆ เฉพาะตรงกลาง ส่วนท่อี ยู่ในวงเลบ็ คือทเี่ ติมเขา้ มาเพื่อใหป้ ระโยคสมบูรณ์ สว่ นที่อยู่นอกวงเล็บคือข้อความท่ปี รากฏ ในต้นฉบับคัมภีร์จรงิ บทที 3 คันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจีน | 195
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ สารบี ตุ ร กายของพระโพธสิ ัตวผ์ ู้มธี รรมเป็นกาย ไม่จาำ ต้องได้รับการหล่อเล้ียงจากข้าวและน้ำา เขาไม่ได้ถูกหล่อเล้ียง ด้วยการบริโภคอาหาร แต่เขาปรับตัวกับเคร่ืองหล่อเลี้ยงและ รับประทานอาหารดว้ ยมหากรุณาตอ่ สรรพสัตว์ อนง่ึ แมเ้ ขาจะ บรโิ ภคอาหารเขากไ็ มไ่ ดน้ าำ ออกหรอื นาำ เขา้ ในรา่ งกาย แตก่ ระนนั้ ก�าลังของธรรมกายก็มิได้ลดทอนหรือสูญเสียไปแต่อย่างใด (Braar ig and Pagel 2006, 82) ในข้อความข้างบนนี้ ประเด็นที่ว่า กายของพระโพธิสัตว์ไม่ต้องการ อาหารหลอ่ เลย้ี งนนั้ อาจตคี วามไดส้ องนยั คอื อาจหมายถงึ กายเนอ้ื ไมต่ อ้ งการ อาหาร หรืออาจหมายถึงกายธรรมไมต่ อ้ งการอาหารหยาบหล่อเล้ยี ง แตโ่ ดย ตรรกะของการใหเ้ หตผุ ลมาตามลาำ ดับว่า พระโพธสิ ัตวม์ ไิ ดน้ ำาธาตอุ าหารออก หรือเข้าสู่ร่างกาย แต่กระน้ันกำาลังของธรรมกายก็มิได้ลดทอนหรือสูญเสียไป จึงชวนให้เข้าใจว่าข้อความน้ีหมายถึงธรรมกายไม่ต้องการการหล่อเล้ียงด้วย อาหารหยาบ ความมงุ่ หมายดง้ั เดมิ ของพระสตู รจะเปน็ อยา่ งไรในระหวา่ งสองกรณนี ี้ คงตอ้ งรอใหพ้ บตน้ ฉบบั คมั ภรี ภ์ าษาอนิ เดยี เกา่ แกท่ ส่ี มบรู ณม์ ากกวา่ นม้ี าตดั สนิ ส่วนการศึกษาจากฉบับแปลภาษาทิเบตและภาษาจีน ยังพบข้อความ อน่ื ๆ ในบทเดยี วกนั ทบ่ี ง่ บอกวา่ ในนยั ของพระสตู รนี้ กายเนอื้ ของพระโพธสิ ตั ว์ เป็นส่ิงท่ีเสกสรรปั้นแต่งได้ดังใจเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ ดังนั้นแม้กายเนื้อ เองก็ไมต่ ้องการอาหารหยาบหล่อเลี้ยงเพราะเปน็ เพยี งส่งิ ทีเ่ นรมติ ขึ้นมา เป็น ลกั ษณะเฉพาะของแนวคิดมหายานทีเ่ ริม่ ต้นจากมหาสางฆกิ ะ-โลโกตตรวาท 196 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org เม่ือเปรียบเทียบกับคำาสอนของวิชชาธรรมกาย อาจแยกได้เป็นสอง ประเดน็ คอื ประเดน็ แรกความหมายของธรรมกายในขอ้ ความวา่ “พระโพธสิ ตั ว์ ผู้มีธรรมเป็นกาย” ประเด็นที่สองคือกรณีท่ีกายของพระโพธิสัตว์ไม่ต้องการ อาหารหลอ่ เล้ยี ง สำาหรบั ประเดน็ แรก ในหลกั การของวิชชาธรรมกายน้ัน ธรรมกายหรือ กายธรรม เป็นกายที่ประกอบด้วยธรรม และพระพุทธองค์มีธรรมเป็นกาย (ดู 3.2.2.1) ดงั นนั้ การทค่ี มั ภรี โ์ พธสิ ตั วปฏิ กสตู รกลา่ วถงึ พระโพธสิ ตั วว์ า่ มธี รรม เป็นกาย จึงนับว่าสอดคล้องกับหลักการของวิชชาธรรมกายอย่างมีเงื่อนไข กล่าวคือ ในกรณีท่ี “พระโพธสิ ตั ว์” ที่กลา่ วถึงในคมั ภรี ์หมายถึงผู้ท่เี ข้าถงึ และ เปน็ ธรรมกายแล้วเทา่ นน้ั ไมใ่ ชใ่ ครก็ได้ท่ีตงั้ ใจจะเป็นพระพุทธเจ้า อยา่ งไรก็ดี คุณสมบัติพิเศษและปาฏิหาริย์ต่างๆ ของพระโพธิสัตว์ที่กล่าวไว้ในฉบับแปล ภาษาทิเบตและจีนน้ันดูจะช่วยรบั รองอยกู่ ลายๆ วา่ “พระโพธิสตั ว”์ ที่กล่าว ถึงในที่น้ีไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ หากเป็นผู้ท่ีได้ผ่านการบำาเพ็ญบารมีมาแล้ว อย่างย่งิ ยวดและตอ้ งอยใู นฌานเป็นปกติ ซึ่งหากเปน็ เช่นนั้น กน็ บั ไดว้ า่ การที่ “พระโพธสิ ตั วม์ ีธรรมเปน็ กาย” สอดคล้องกนั กับหลักการของวิชชาธรรมกาย สำาหรับประเด็นที่สองคือ ประเด็นที่กายของพระโพธิสัตว์ไม่ต้องการ อาหารหลอ่ เลยี้ ง อาจแยกไดเ้ ปน็ สองกรณคี อื กรณที ก่ี ายเนอ้ื ของพระโพธสิ ตั ว์ ไม่ตอ้ งการอาหารหยาบหลอ่ เลีย้ งเพราะเป็นเพียงกายท่เี นรมิตขน้ึ มา กับกรณี ท่กี ายธรรมไมต่ ้องการอาหารหยาบหลอ่ เลีย้ ง เร่ืองการหล่อเล้ียงกายแต่ละระดับด้วยอาหารต่างประเภทนั้น พระ มงคลเทพมุนกี ล่าวไว้วา่ บทที 3 คันธาระ เอเชียกลาง และประเทศจนี | 197
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ อาหาร แปลวา่ ประมวลมา หรอื เครอ่ื งปรนปรอื และแบง่ ออกเปน็ ประเภท คือ ) กวฬงิ การาหาร ) ผัสสาหาร ) มโนสญั เจตนาหาร ) วญิ ญาณาหาร กวฬงิ การาหาร หมายความวา่ อาหารที่เป็นคำาๆ เชน่ คำา ข้าว สว่ นละเอยี ดของอาหาร คือโอชะ หรอื ทีเ่ รียกกนั ใหม่ๆ วา่ วติ ามนิ นน้ั เขา้ ไปปรนปรอื รา่ งกาย จงึ เปน็ ปจั จยั ใหส้ ตั วด์ าำ รงชวี ติ อยู่ได้ (รธ. 32) มนุษย์กินอาหารละเอียดกว่าสัตว์ที่กล่าวมาเป็นชั้นๆ เช่น ราษฎรสามัญกินหยาบกว่าพระมหากษัตริย์ พวกเทวดา กินอาหารละเอียดกว่ามนุษย์ อย่างที่เรียกว่าทิพย์ก็คือโอชะ สว่ นละเอียดของอาหาร พวกพรหมละเอยี ดยง่ิ กว่าเทวดาอีก มี จักรพรรดิคอยปรนปรือ แม้เลยช้ันรูปพรหม อรูปพรหมข้ึนไป คอื ถงึ ชนั้ นพิ พานกม็ อี าหารสว่ นละเอยี ดไปหลอ่ เลย้ี งเชน่ เดยี วกนั อาหารละเอยี ดเปน็ ทส่ี ดุ แตอ่ ยนู่ อกโลก นเ่ี ปน็ การสาวหาเหตผุ ล ประกอบเปน็ ลาำ ดับชั้นไป มิใช่ตาำ รบั ตาำ ราโดยตรง (รธ. 32-3) การกนิ อาหารของพวกเทวดามอี าการเหมอื นเราฝนั แลว้ กม็ ีความอ่มิ เอิบไปตามระยะเวลา แตร่ ะยะเวลานานกว่ามนุษย์ ต่างกนั เป็นลำาดับขนึ้ ไป (รธ. 33) จากพระธรรมเทศนานี้ จะเห็นวา่ ในหลักการของวชิ ชาธรรมกาย กาย มนุษย์ยังต้องหล่อเล้ียงด้วยอาหารหยาบ และกายทิพย์ยังต้องหล่อเล้ียงด้วย โอชะของอาหาร ส่วนกายอน่ื ๆ หลังจากนัน้ มิไดอ้ าศัยอาหารหยาบหลอ่ เลยี้ ง 198 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org แตม่ เี ครอื่ งหลอ่ เลี้ยงที่ละเอียดอย่างอื่นเป็นอาหาร ดังน้ันประเด็นของการหล่อเลี้ยงกายของพระโพธิสัตว์ในโพธิสัตวปิฏก สตู รนี้ จะถอื วา่ ตรงกนั กบั หลกั การของวชิ ชาธรรมกายเฉพาะในกรณที ก่ี ายธรรม ไมต่ อ้ งการอาหารหยาบเทา่ นนั้ สว่ นกรณที กี่ ายเนอื้ ของพระโพธสิ ตั วไ์ มต่ อ้ งการ อาหารหยาบนนั้ แตกตา่ งจากคาำ สอนในวชิ ชาธรรมกาย แมว้ า่ พระมงคลเทพมนุ ี จะมีกล่าวถึงกรณียกเว้นที่กายเนื้อไม่ต้องการอาหารหยาบแล้วยังดำารงอยู่ได้ ระยะหน่ึงไว้ด้วยก็ตาม เช่นการที่พระสารีบุตรยืนก้ันร่มให้พระศาสดาได้เป็น เวลา 7 วนั โดยไมห่ ิวโหยกเ็ พราะผสั สาหาร (รธ. 33) แตก่ เ็ ป็นเพียงระยะเวลา หนง่ึ ไมใ่ ชต่ ลอดเวลา และไมใ่ ชเ่ พราะกายเนอื้ เปน็ กายทเ่ี นรมติ เอาไดต้ ามใจแต่ อยา่ งใด อนง่ึ แมพ้ ระมงคลเทพมนุ จี ะเคยกลา่ วถงึ การแสดงอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ข์ อง พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในเวลาโปรดสตั วโ์ ลกไวด้ ว้ ยกต็ าม (รธ. 37-38) แตก่ เ็ ปน็ เฉพาะกรณพี เิ ศษเทา่ นนั้ ทพ่ี ระองคจ์ ะทรงทาำ อยา่ งนน้ั และถงึ กระนน้ั พระองค์ ก็ยงั ต้องทรงรับอาหารหยาบอยนู่ ั่นเอง หลักธรรมในโพธิสัตวปิฏกสูตรจึงสอดคล้องกับหลักการของวิชชา ธรรมกายในเรอ่ื งความหมายของ “ธรรมกาย” วา่ เปน็ กายทป่ี ระกอบดว้ ยธรรม แตส่ อดคลอ้ งอยา่ งมเี งอ่ื นไขในประเดน็ ทว่ี า่ “พระโพธสิ ตั วม์ ธี รรมเปน็ กาย” คอื หมายเอาเฉพาะพระโพธสิ ัตวท์ ีเ่ ข้าถงึ ธรรมกายแลว้ เทา่ นั้น สว่ นกรณกี ายของ พระโพธิสัตว์ไม่ต้องการอาหารหล่อเล้ียงนั้นถือว่าสอดคล้องเฉพาะในกรณีท่ี “กายของพระโพธิสตั ว”์ หมายถึง ธรรมกาย เท่านน้ั เป็นไปได้ว่า หลักปฏิบัติและคุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ที่แสดงไว้ ในโพธิสัตวปิฏกสูตรนี้ อาจเป็นความพยายามที่จะกำาหนด “มาตรฐานของ บทที 3 คนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี | 199
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ พระโพธิสัตว์ในอุดมคติ” ขึ้นมาว่า ต้องเป็นพระโพธิสัตว์ท่ีเข้าถึงและเป็น ธรรมกายแล้วเท่านัน้ และเป็นผู้ทส่ี มบูรณ์ดว้ ยปาฏหิ าริยแ์ ละบารมี เราจะพบ แนวทางทาำ นองนอี้ ยใู่ นพระสตู รมหายานหลายฉบบั ซงึ่ หากนาำ มาเปรยี บเทยี บ กันดูแล้ว จะเห็นว่ามีร่องรอยความสอดคล้องและความต่อเน่ืองของ “การ ขยายความคำาสอนออกไปเรื่อยๆ” ดังเช่นประเด็นท่ีกายของพระโพธิสัตว์ไม่ ตอ้ งการอาหารนี้ อาจเป็นประเดน็ ทีข่ ยายความมาจากหลกั การในมหาปรินริ วาณสูตร ฉบับมหายาน ท่ีกล่าวถึง “ธรรมกาย คือกายแท้ของพระตถาคต ไม่ไดถ้ ูกหลอ่ เลีย้ งดว้ ยอาหาร” ดงั จะกลา่ วต่อไปขา้ งหน้า (ดู 3.2.4.2) กลา่ วไดว้ า่ หลกั การเกยี่ วกบั ธรรมกายและพระโพธสิ ตั วข์ องมหาสางฆกิ ะ -โลโกตตรวาทซ่ึงเป็นต้นเค้าของมหายานบางสายน้ัน ตรงกันกับคำาสอนใน วิชชาธรรมกายในนิยามศัพท์และหลักการเบ้ืองต้น แต่เม่ือศึกษาลึกลงไปถึง รายละเอียดแลว้ กลบั พบว่าแตกตา่ งกนั ในรายละเอียดบางประการ .2.2. พระพทุ ธองคท์ รงประกอบดว้ ยพระรปู กายและพระธรรมกาย การจำาแนกว่าพระพุทธองค์ทรงประกอบด้วยพระรูปกายและพระ ธรรมกายน้ันมีกล่าวไว้ท่ัวไปในคัมภีร์พระพุทธศาสนานิกายต่างๆ ซ่ึงมีการ ตีความหมายของธรรมกายไปในรูปแบบที่แตกต่างกัน คัมภีร์ที่ศึกษาจาก คนั ธาระ เอเชียกลาง และประเทศจนี กพ็ บประเดน็ นี้ในหลายคัมภรี ์ 200 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org 3.2.2.1. ศตปญั จสัตก45 สโตตระ46 คัมภีร์น้ีเป็นคาถาสรรเสริญคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ประพันธ์โดย มาตฤเจฏ (ดู 3.1.9) เปน็ คาถาทน่ี ิยมมากในหมชู่ าวพทุ ธในอินเดีย (Hoernle 1916a: 59) และในเอเชียกลาง (Hartmann 2002: 305) มีการแปลเปน็ ภาษา ทเิ บตและภาษาจีน และคัดลอกสำาเนาภาษาสนั สกฤตหลายฉบับ ฉบบั ท่พี บท่ี เอเชยี กลางจารกึ ด้วยอักษรคปุ ตะตวั เอยี ง เป็นอกั ษรทใ่ี ช้ในพื้นที่ซินเจียงตอน เหนอื ราวพทุ ธศตวรรษที่ 9-11 บง่ ชว้ี า่ คมั ภรี น์ น้ี า่ จะคดั ลอกในกชุ าในชว่ งเวลา ดังกลา่ ว พบขอ้ ความเกี่ยวกบั ธรรมกายในคาถาที่ 145-146 ดังนี้ 145. ปรารฺถเมว เม ธรมฺ รปู กายาวติ ิ ตฺวยา ทสุ ฺกุหกาย โลกาย นริ วฺ าณมุปทรฺศติ มฺ 146. ตถา หิ สตฺสุ สำคมฺย ธรฺมกายมเศษตะ ติลโศ รูปกายจฺ หิตวาสิ ปรินิรวฺ ฤตะ (Hoernle 1916a: 74) คา� แปล: 145. ด้วยพระดำารัสว่า “ธรรมกายและรูปกายของเรา ก็เพ่ือประโยชน์ของผู้อื่นนั่นเอง” พระองค์จึงทรงแสดงพระ นพิ พานแก่ชาวโลกผูเ้ ฉอ่ื ยชา(เช่อื ยาก)47 12. ดงั ทท่ี รงแสดงพระธรรมกายแกผ่ มู้ ศี รทั ธาโดยสน้ิ เชงิ และทรงแบ่งพระรูปกายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย (ดังเมล็ดงา) แล้ว เสดจ็ ปรินพิ พาน 45 Hoernle (1916a: 59) เขยี นเป็น ศตปญั จสตกิ 46 งานวจิ ยั “ร่องรอยวชิ ชาธรรมกายในคันธาระและเอเชียกลาง” (ชนดิ า จันทราศรีไศล 2557) 47 ขอ้ ความภาษาสนั สกฤตในชนิ้ ทพ่ี บทเ่ี อเชยี กลางน้ี มเี นอ้ื หาแตกตา่ งจากฉบบั ทตี่ รวจชาำ ระโดย Bailey (1951) เล็กนอ้ ย ขอ้ ความตรงนี้ ในฉบบั ของ Bailey จะต้องแปลวา่ แมท้ รงอยู่ในพระนพิ พานแล้ว ก็ ยงั ทรงสอนชาวโลกผ้เู ชื่อยาก บทที 3 คันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจีน | 201
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภรี พ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ บทสรรเสรญิ นี้ กลา่ วถงึ พระพทุ ธองคว์ า่ ทรงประกอบดว้ ยพระธรรมกาย และพระรปู กาย ทงั้ พระรปู กายและพระธรรมกายตา่ งมเี พอ่ื ประโยชนข์ องผอู้ น่ื คอื ทรงแสดงพระธรรมกายแกผ่ ู้มศี รทั ธาจนหมดส้นิ และทรงแบ่งแยกพระรปู กายดังเมลด็ งา (เปน็ พระบรมสารีริกธาต?ุ ) ประเด็นท่ีว่าพระพุทธองค์ทรงประกอบด้วยพระรูปกายแยกจาก พระธรรมกายน้นั ตรงกนั กับหลกั การของวิชชาธรรมกาย ส่วนประเด็นท่ีว่าทรงมีพระธรรมกายเพื่อประโยชน์ของผู้อ่ืนเท่านั้น มี ความสอดคลอ้ งกันเพยี งคร่ึงหนงึ่ กบั หลกั การของวิชชาธรรมกาย กลา่ วคือ ใน หลักการของวิชชาธรรมกายน้ัน ธรรมกายมีเพื่อประโยชน์ของพระพุทธองค์ เองและประโยชนผ์ ู้อนื่ ด้วย ในเร่ืองประโยชนต์ น พระมงคลเทพมุนกี ล่าวไวว้ ่า พระองคท์ รงอาศยั ธรรมกายเพ่อื ตรสั ร้เู ป็นพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า: ธรรมกายนี้เองเป็นพุทธรัตนะ ซึ่งแปลว่าแก้วคือพุทธะ (รธ. 71) พทุ ธรตั นะนัน่ แหละท่านเปน็ ผูต้ รัสรู้ ตรสั ร้สู จั ธรรมทัง้ เข้าเป็นพระพุทธเจ้าข้ึนทีเดียว เป็นเนมิตกนามเกิดข้ึนเรียกว่า พุทโธ (รธ. 421 ดูเพิ่มเติมใน 3.1.1, 3.1.4, รธ. 17) ธรรมกาย เขา้ ชนั้ โคตรภจู ติ เรยี กวา่ โคตรภบู คุ คล โคตรภู บุคคลน้ีเดินสมาบัติ เพ่งอริยสัจสี่เป็นอนุโลม ปฏิโลม จนหลุด พ้นจากกิเลสพวกสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสแล้ว ตกศูนย์วบั กลับเป็นพระโสดาบนั ฯลฯ แลว้ กายพระอนาคามี เดินสมาบัตเิ พ่งอรยิ สจั ทำานองเดยี วกนั น้ันตอ่ ไป ถึงขดี สุดละ 202 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org กิเลสได้อีก คอื รปู ราคะ อรปู ราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา จงึ เล่อื นข้ึนจากพระอนาคามี เปน็ พระอรหันต์ จติ ของพระองค์ บริสุทธผิ์ ดุ ผอ่ ง ปราศจากกิเลสทงั้ มวล จงึ ได้พระเนมติ กนามว่า อรหำ (รธ. 42) สำาหรบั เรือ่ งทีพ่ ระพทุ ธองคท์ รงมธี รรมกายเพอ่ื ประโยชน์ผูอ้ ่ืน คือทรง แสดงธรรมกายแกช่ าวโลกน้ัน พระมงคลเทพมนุ กี ล่าวไวด้ ังนี้ เหมือนพระพุทธเจ้าท่านอุบัติตรัสข้ึนในโลก ท่านมี ธรรมกาย ธรรมกายเปน็ พระพทุ ธเจา้ เปน็ ตถาคตเจ้า ทา่ นมอง ทีเดียวแหละ ใครจะมีธรรมกายเหมือนเราบ้าง ท่านมีความรู้ วเิ ศษ คนน้ีมีเหตไุ ดส้ ง่ั สมอบรมมา สมบูรณ์บริบูรณด์ ้วยกนั แล้ว บารมเี ปน็ เหตุ บารมแี กแ่ ลว้ สมควรทจ่ี ะได้มรรคผล สมควรจะ มีได้ธรรมกายเหมือนเรา ไม่ว่าอยู่ใกล้อยู่ไกล พระองค์อุตส่าห์ พยายามไปแนะนำาให้มีธรรมกายเหมอื นทา่ น (รธ. 785) ในประเดน็ ของพระรปู กายกเ็ ชน่ กนั พระพทุ ธองคต์ อ้ งทรงอาศยั พระรปู กายเพื่อการสร้างบารมีและบำาเพ็ญเพียรเพื่อการตรัสรู้ธรรมของพระองค์เอง ด้วย48 แสดงว่าทรงมีพระรปู กายท้ังเพอ่ื ประโยชน์ตนและประโยชนผ์ ู้อ่ืน เป็น 48 ในพระไตรปิฎกบาลกี ็มีกลา่ วเรอ่ื งนไี้ ว้เชน่ กัน เช่น ใน โพธริ าชกมุ ารสูตร (ม.ม. 13/489-508/443- 61) พระพุทธองค์ตรสั เล่าเร่อื งราวการแสวงหาความพน้ ทุกขข์ องพระองค์ให้ราชกมุ ารฟงั ตง้ั แต่การ เสด็จไปหาท่านอาฬารดาบส อุทกดาบส การบาำ เพญ็ ทุกรกิรยิ า จนกระทั่งหันกลับมาทำาความเพยี ร อยา่ งถกู วธิ ีจนได้ตรัสรู้เปน็ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ตลอดเวลาน้นั พระรูปกายทีป่ ระกอบด้วยลกั ษณะ มหาบุรษุ สมส่วนและแขง็ แรงของพระองคน์ ั้นมอี ุปการะอยา่ งยิง่ ตอ่ การสรา้ งบารมีจนไดต้ รสั รธู้ รรม เปน็ พระสมั มาสมั พุทธเจ้า บทที 3 คนั ธาระ เอเชียกลาง และประเทศจีน | 203
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ไปได้ว่าชาวพุทธในยุคของการแต่งโศลกสรรเสริญพระพุทธคุณบทนี้จะทราบ เรือ่ งน้ีดีอยู่แล้ว แต่เพือ่ จะเนน้ พระมหากรุณาต่อหมู่สตั ว์ จงึ แสดงไว้เพยี งเรอ่ื ง ของประโยชนผ์ อู้ นื่ เทา่ นน้ั สว่ นประเดน็ ทว่ี า่ ธรรมกายเปน็ ไปเพอื่ ประโยชนผ์ อู้ น่ื เท่านั้น เป็นไปได้ว่าอาจสะท้อนถึงความเข้าใจของชาวพุทธอินเดียในท้องถ่ิน นนั้ ในราวพทุ ธศตวรรษที่ 9-11 วา่ ธรรมกายหมายถงึ คาำ สอนของพระพทุ ธองค์ 3.2.2.2. ช้นิ ส่วนคัมภรี ภ์ าษาโขตานจากเอเชียกลาง49 คัมภีร์ในภาษาโขตานที่พบจากเอเชียกลาง จำานวนราว 2,500 ช้ิน มี เนื้อหาเป็นคัมภีร์พุทธมหายานและวัชรยาน มีอายุราวกลางพุทธศตวรรษ ท่ี 10-16 (ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 5-10) ค้นพบโดย เซอรอ์ อเรล็ สไตน์ (Sir Aurel Stein) ปัจจบุ ันเก็บรักษาไวท้ ีห่ อสมดุ แหง่ ชาติประเทศอังกฤษ ซึง่ นักวิชาการ ชาวรัสเซียได้รวบรวมและแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษ (Skjaervo 2002: 254) มีช้ินหน่ึง50เป็นช้ินส่วนคัมภีร์ที่ขาดว่ิน มีเน้ือหา 5 บรรทัด บรรทัดละ 5-9 คำา ข้อความที่หลงเหลือบ่งบอกว่าเป็นคัมภีร์มหายานเพราะกล่าวถึงช่ือ พระโพธสิ ตั วส์ มนั ตภทั รจรรยา (Samantabhadra -caryā) ในบรรทดั แรก กลา่ ว ถงึ พระศากยมุนีพุทธเจ้าในบรรทดั ท่ีสอง และมขี ้อความในบรรทัดที่ 4 ที่มคี ำา วา่ “ธรรมกาย รูปกาย ความไมแ่ ตกต่างกัน...” โดยไม่มขี อ้ ความใดๆ ทีแ่ สดง ความสมั พันธข์ องคำาเหลา่ น้ี แตอ่ ย่างน้อยการท่ีระบุคาำ วา่ ธรรมกาย และรูป กาย กท็ าำ ให้ไดค้ วามว่ากลา่ วถงึ ธรรมกายและรปู กายของพระพทุ ธองค์ แมจ้ ะ ไม่ทราบวา่ กลา่ วอยา่ งไร 49 เน้ือหาจากงานวิจยั “ธรรมกายในคมั ภีรม์ หาปรินิรวาณสูตร” (ชยั สิทธ์ิ สุวรรณวรางกลู 2557) 50 หมายเลขแคต็ ตาลอ็ ก IOL Khot 35/8 Kha. ii.29.3: KBT,p.9 (5) Rel. Bailey’s folio A. 204 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org คัมภีร์ที่รวบรวมไว้ในหนังสือเล่มน้ีพบคำาว่า ธรรมกายอยู่ 13 แห่ง นอกจากจะกล่าวถึงพระรูปกายและพระธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ว ยังมปี ระเดน็ อ่นื ๆ อกี ดังน้ี51 - ธรรมกายคอื ตถตา และสุญญตา (p. 301 จากวชั รจั เฉทิกา ปรชั ญา ปารมติ า) - การสรา้ งบารมขี องพระโพธสิ ัตวใ์ นภมู ทิ ่ี 8 เม่ือเข้าถงึ พระธรรมกาย ภายในแลว้ จะเป็นผู้ไมห่ วน่ั ไหว (p. 489 จากวมิ ลเกียรตินเิ ทศสูตร) - ธรรมกายไมม่ นี มิ ติ และลกั ษณะ (p. 490, 491, 493 จากวมิ ลเกยี รติ นเิ ทศสตู ร) - ประเด็นปลีกย่อยเหล่าน้ีกล่าวถึงธรรมกายจากมุมมองของพุทธ ปรัชญามหายานซึ่งไม่มีกล่าวไว้ในวิชชาธรรมกายโดยตรง แต่หากศึกษาหลัก การของคัมภรี ์และเปรียบเทียบกบั หลักการของวิชชาธรรมกายแลว้ มักพบว่า สอดคลอ้ งกับวชิ ชาธรรมกายอย่างมเี ง่ือนไขในการตคี วาม เชน่ การทพ่ี ระสูตร กล่าวถึงธรรมกายวา่ เป็นสญุ ญตา กน็ บั วา่ สอดคล้องกนั กบั หลกั การของวชิ ชา ธรรมกาย หากสุญญตาน้ันหมายถึงความว่างจากกิเลส ไม่ใช่ความว่างจาก สาระที่แทจ้ ริง เปน็ ต้น หลกั การทว่ี า่ พระพทุ ธองคป์ ระกอบดว้ ยพระรปู กายและพระธรรมกาย นน้ั พบไดท้ วั่ ไปในคมั ภรี พ์ ทุ ธทงั้ ของนกิ ายหลกั และมหายาน เชน่ ในคมั ภรี ส์ าย ปรชั ญาปารมิตาท่กี ลา่ วมาแล้ว 51 ศกึ ษารายละเอียดเพม่ิ เติมไดจ้ ากรายงานการวจิ ยั ของ ชัยสทิ ธิ์ สวุ รรณวรางกลู (2557) บทที 3 คันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจีน | 205
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ .2. . พระพทุ ธองคน์ า� สรรพสตั วส์ นู่ พิ พานดว้ ยพระธรรมกาย52 พุทธวรรณกรรมท่ีเรียบเรียงมาตลอดการเผยแผ่พระพุทธศาสนาน้ัน มไิ ดก้ ลา่ วถงึ แตเ่ ฉพาะพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในอดตี และพระองคป์ จั จบุ นั เทา่ นนั้ หากยงั กลา่ วถึงพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าในอนาคตด้วย หนง่ึ ในวรรณกรรมเหลา่ นั้นคอื ไมเตรยวยากรณท์ ี่พบจากสองท้องท่ีในคันธาระ กลา่ วถึงการพยากรณ์ สิ่งท่จี ะเกดิ ขนึ้ ในพทุ ธันดรของพระศรอี ริยเมตไตรย ภาพที่ 12 รปปนพระโพธิสตั ว์จากคนั ธาระ ( 2 ) 53 52 เน้ือหาจากงานวิจัย “ร่องรอยวิชชาธรรมกายในคันธาระและเอเชียกลาง” (ชนิดา จันทราศรีไศล 2557) 53 Likely a standing Bodhisattva. Afghanistan, likely 3rd - 6th century. marble, height 97.0 cm. Located in the Museum für Indische Kunst, Berlin-Dahlem. (Saamiblog 2009) 206 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org พบชนิ้ สว่ นคมั ภรี น์ จี้ ากกลิ กติ (Dutt et al 1984: 185-214) อนั เปน็ สถานท่ี ท่มี ักจะพบคมั ภีร์ของมลู สรรวาสตวิ าท และท่บี ามิยัน (Hartmann 2006) ซ่งึ เชอื่ กนั วา่ เคยเปน็ แหลง่ เผยแผข่ องมหาสางฆกิ ะ-โลโกตตรวาท54 ชนิ้ สว่ นทพ่ี บที่ บามยิ นั มอี ายรุ าวกลางพทุ ธศตวรรษท่ี 11-13 ในขณะทช่ี น้ิ สว่ นทพี่ บจากกลิ กติ มอี ายุราวกลางพุทธศตวรรษท่ี 12-14 เนื้อหาของคมั ภรี ท์ พี่ บจากคันธาระทัง้ สองแหง่ คลา้ ยกนั มาก ตา่ งกนั แตเ่ พยี งรปู แบบอกั ษรทใี่ ชบ้ นั ทกึ จงึ เปน็ ตวั อยา่ ง ทนี่ า่ สนใจในการทช่ี าวพทุ ธตา่ งนกิ ายมคี วามนยิ มศกึ ษาคมั ภรี เ์ ดยี วกนั ซงึ่ อาจ แสดงถงึ การทมี่ จี ดุ เรมิ่ ตน้ เดยี วกนั ดงั ทม่ี ขี อ้ ความปรากฏในจารกึ อกั ษรพราหมี และขโรษฐีของราชวงศ์กุษาณะ ท่ีกล่าวถึงการมีอยู่ของทั้งสองนิกายน้ีใน ดนิ แดนคันธาระ (Puri 1987: 102-3) ชิ้นสว่ นท่ีพบท่บี ามิยนั พบเป็นช้ินเลก็ ๆ นดิ เดยี ว ส่วนท่พี บท่ีกิลกติ จะ สมบรู ณ์กว่า และพบคาำ ว่า ธรรมกาย ดงั น้ี เนื้อหา ษษฺฏึ วรฺษสหสฺราณิ ไมเตรฺ โย ทฺวิปโทตฺตมะ เทศยษิ ยฺ ติ สทฺธรฺมำ ศาสฺตา โลกานุกมปฺ ยา 101 ศตานิ จ สหสฺราณิ ปฺราณนิ ำ ส วินายกะ วินีย ธรฺมกาเยน ตโต นริ วฺ าณำ เอษยฺ ติ 102 (Dutt et al 1984: 213) คา� แปล: พระบรมศาสดาไมตรยี ะ ผู้สูงสุดในบรรดาสัตว์ สองเท้า จักทรงแสดงพระสัทธรรมตลอดระยะเวลา 6 หมื่นปี 54 กอ่ นหนา้ นม้ี กี ารพบตน้ ฉบบั ภาษาสนั สกฤตของคมั ภรี น์ ใี้ นอนิ เดยี และเนปาลดว้ ย (Hartmann 2006: 7) บทที 3 คันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจีน | 207
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ ดว้ ยความเกอื้ กลู ตอ่ สตั วโ์ ลก พระผู้นำาโดยวเิ ศษ จกั ทรงนาำ เหล่า สตั วห์ ลายแสนชวี ติ ไปสคู่ ณุ วเิ ศษ55ดว้ ยพระธรรมกายแลว้ จากนนั้ จักทรงเสดจ็ เขา้ สู่พระนพิ พาน เน้ือความของคาถานี้มีความชัดเจนในตัว บอกความว่าธรรมกายเป็น ส่วนสำาคัญของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าใน อดีต ปัจจุบนั หรือในอนาคตกต็ าม อยา่ งไรกด็ ี แมว้ า่ การนาำ สรรพสตั วใ์ ห้เขา้ ถึงคุณวิเศษและหลุดพ้นจากวัฏสงสารน้ันต้องอาศัยพระธรรมกายในฐานะท่ี เป็นกายแห่งการตรัสรู้ธรรม หากแตบ่ ริบทของคาำ ว่า ธรรมกาย ในบทน้ี ชวน ใหเ้ ข้าใจวา่ บางทีท่านผ้เู ขยี นอาจหมายเอาคำาสอนของพระพทุ ธองค์ทใี่ ชเ้ ป็น เครือ่ งแนะนาำ สรรพสัตวใ์ หพ้ น้ จากทุกข์ในวัฏสงสารว่าเปน็ ธรรมกาย กไ็ ด้ ซ่ึง หากเปน็ เชน่ นนั้ แสดงวา่ การตคี วามธรรมกายวา่ หมายถงึ คาำ สอนของพระพทุ ธ องคใ์ นทอ้ งถน่ิ คนั ธาระนน้ั เรม่ิ มาตง้ั แตร่ าวพทุ ธศตวรรษที่ 11 เปน็ อยา่ งชา้ (ใน 3.2.1.1 ในทาำ นองเดยี วกนั เปน็ ไปไดว้ า่ ความเขา้ ใจนเี้ รม่ิ ตน้ ในอนิ เดยี ราวพทุ ธ ศตวรรษท่ี 9-11 เป็นอยา่ งช้า) .2.4. มนุษย์และสรรพสัตว์มีธาตุแห่งความเป็นพุทธะอยู่ภายใน56 ความเข้าใจท่ีว่าภายในมนุษย์และสรรพสัตว์มีธาตุแห่งความเป็นผู้รู้ แจง้ อยนู่ น้ั นยิ มเรยี กกนั วา่ แนวคดิ ตถาคตครรภะมปี รากฏในพระสตู รมหายาน 55 เป็นคาำ แปลของ วนิ ยี “นาำ ไปวิเศษแล้ว” คอื นาำ ใหเ้ ขา้ ถงึ คุณวเิ ศษอนั มีอยูใ่ นพระพุทธศาสนา 56 เน้ือหาหลักจากงานวจิ ยั “ธรรมกายในคมั ภรี ส์ นั สกฤต” (พระวรี ชัย เตชงกฺ โุ ร 2557) และบางสว่ น จาก “ทฤษฎีตถาคตครรภะในพระไตรปฎิ กบาลี” (พระเกษตร าณวชิ ฺโช 2557) 208 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org หลายพระสูตรซึ่งอาจเรียกรวมกันว่าพุทธวรรณกรรมสายตถาคตครรภะ (Tathāgatagarbha iterature) กลา่ วถงึ ธรรมชาตขิ องสรรพสตั วว์ า่ มศี กั ยภาพ ในการตรสั รู้ เพราะธรรมชาตจิ รงิ แทด้ งั้ เดมิ นนั้ มคี วามสะอาดบรสิ ทุ ธิ์ แตม่ าถกู หมุ้ เคลือบด้วยกิเลสในภายหลัง คมั ภรี ท์ เ่ี กา่ ทสี่ ดุ ในสายนนี้ า่ จะเปน็ ตถาคตครรภสตู รซงึ่ คาดวา่ เขยี นขนึ้ ในราวปลายพุทธศตวรรษท่ี 7-8 (คร่ึงหลังของครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 2-3) เป็นพระ สตู รขนาดสนั้ ประกอบดว้ ยเกา้ ตวั อยา่ งทเี่ ปรยี บเทยี บถงึ การทต่ี ถาคตถกู บรรจุ ซ่อนอยใู่ นสรรพสตั วท์ ้ังหลาย พระสูตรกลา่ ววา่ นีเ้ ป็นธรรมชาตขิ องสรรพสิง่ (ธรรมตา) คือไม่ว่าพุทธะจะบังเกดิ ขนึ้ หรือไมก่ ต็ าม ตถาคตครรภะของสรรพ สัตว์ก็จะดาำ รงอย่ตู ลอดไปไมเ่ ปลี่ยนแปลง เอษา กุลปุตรฺ ธรมฺ านาำ ธรมฺ ตา อุตฺปาทาทฺ วา ตถาคตา นามฺ อนุตฺปาทาทฺ วา สไทไวเต สตฺตฺวาสฺ ตถาคตครฺภา อิติ (Zimmerman 2002: 40) ค�าแปล: กุลบุตร นี้เป็นธรรมดาของธรรมทั้งหลาย คือ ไม่วา่ จะมีการบงั เกดิ ขน้ึ หรอื การไม่บังเกดิ ขึน้ ของตถาคตก็ตาม สตั วโ์ ลกทั้งหลายเหล่านล้ี ้วนมีตถาคตตลอดเวลา ซิมเมอร์แมนขยายความเพ่ิมเติมวา่ สัตว์โลกทั้งหลายเหล่านี้มีตถาคต โดยอยู่ภายใต้การปกคลุมของกิเลส ดังท่ีตถาคตครรภสูตรกลา่ วว่า พระพุทธเจ้าสังเกตสัตว์โลกท้ังหลายด้วยพุทธ บทที 3 คนั ธาระ เอเชียกลาง และประเทศจนี | 209
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวชิ าการ จักษุ (Zimmerman 2002: 103, n. 55) ก็พบว่าสัตว์โลกทั้งหลายลว้ นมีพทุ ธ ญาณ พุทธจักษุ และพุทธกายน่ังอยู่ภายในสัตว์โลกทั้งหลายภายใตก้ ารปกปิด ของมวลกเิ ลส (Zimmerman 2002: 104, n. 60)57 ซิมเมอร์แมนผู้ศึกษาตถาคตครรภสูตรมาเป็นเวลานานให้ความเห็นว่า ความหมายที่เก่าแก่และตรงไปตรงมาท่ีสุดของตถาคตครรภะน่าจะหมายถึง “บรรจุอยซู่ งึ่ ตถาคต” (containing a Tathāgata) ( illiams 2 1 4) ดงั น้ัน ข้อความว่า sarvasattvās tathāgatagarbhā จึงน่าจะหมายความว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายมีตถาคตบรรจุอยู่ เช่นนี้แล้วสรรพสัตว์จึงเปรียบเสมือน ดอกบัวซึง่ แต่ละดอกกล็ ว้ นมพี ุทธะผู้รแู้ จ้งนง่ั ขัดสมาธิอยตู่ รงกลาง และพุทธะ ผ้รู แู้ จ้งนเ้ี อง ทา่ นหมายเอาธรรมกาย (พระวีรชัย เตชงฺกโุ ร 2557) ไดอานา่ พอล (Paul 1979: 191) ใหค้ วามเหน็ วา่ แนวคดิ ตถาคตครรภะ ทาำ หนา้ ทเ่ี ชอื่ มโยงสงิ่ มชี วี ติ ทง้ั หลายเขา้ กบั พระพทุ ธเจา้ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคท์ จ่ี ะ สรา้ งแรงบันดาลใจในการตรัสรู้ สำาหรับประเด็นนี้พระเกษตรได้แสดงไว้คล้ายกันว่า สรรพสัตว์ ทง้ั หลายมคี วามเชอื่ มโยงกบั พระตถาคตเจา้ โดยเสน้ ทางทเี่ รยี กวา่ เอกายนมรรค คือทางเอกสายเดยี วอันมีจดุ เร่ิมตน้ จากสติปัฏฐาน 4 และมรรคมอี งค์ 8 ผา่ น จากโลกยิ ะเขา้ สโู่ ลกตุ ระ เปน็ เสน้ ทางสายกลางอนั ประกอบดว้ ยธรรมทม่ี คี วาม ตอ่ เนอื่ งกนั ตามลำาดบั คือ มรรค 4 ผล 4 ทีเ่ รียงตอ่ กนั ไป ได้แก่ ธรรมกาย โสดาปตั ตมิ รรค ธรรมกายโสดาปัตตผิ ล ธรรมกายสกทาคามมิ รรค ธรรมกาย 57 จากงานวิจยั “ทฤษฎตี ถาคตครรภะในพระไตรปิฎกบาลี” (พระเกษตร าณวิชโฺ ช 2557) 210 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org สกทาคามผิ ล ธรรมกายอนาคามมิ รรค ธรรมกายอนาคามผิ ล ธรรมกายอรหตั ต มรรค และธรรมกายอรหตั ตผล ไปจนถึงธรรมกายของพระสัมมาสมั พุทธเจ้า ชอื่ วา่ ตถาคต โดยนยั น้ี สตั วโ์ ลกทง้ั หลายจงึ มกี ารเชอื่ มตอ่ กบั พระตถาคตตลอด เวลา (พระเกษตร าณวิชโฺ ช 2557) แนวคิดนี้ปรากฏในพระสูตรมหายานหลายพระสูตรที่พบในคันธาระ เอเชียกลาง และประเทศจนี 3.2.4.1. ศรีมาลาเทวีสิงหนาทนริ เทศ58 ศรมี าลาเทวสี งิ หนาทนริ เทศ ซงึ่ ในบางครงั้ เรยี กวา่ ศรมี าลาเทวสี งิ หนาท สูตร หรือศรีมาลาเทวีสูตร เป็นหน่ึงในพระสูตรหลักท่ีสอนเร่ืองการมีอยู่ของ พทุ ธภาวะในมนษุ ยแ์ ละสรรพสตั ว์ มตั สดุ ะ ( atsuda 2000: 65) ระบวุ า่ พระ สูตรนี้อาศัยเร่ืองเล่าของพระนางศรีมาลาเทวี พระธิดาของพระเจ้าปเสนชิต (คอื พระเจา้ ปเสนทโิ กศลในคมั ภรี เ์ ถรวาท) เปน็ ตวั เดนิ เรอื่ งเพอ่ื จะสอนแนวคดิ ตถาคตครรภะ พระสูตรนี้มีฉบับแปลเป็นภาษาจีนสองฉบับ โดยท่านคุณภัทรในปี พ.ศ. 979 (ค.ศ. 436) และโดยทา่ นโพธริ ุจิใน พ.ศ. 1253 (ค.ศ. 710) และฉบบั แปลภาษาทิเบตราวกลางพุทธศตวรรษท่ี 14-15 (คริสต์ศตวรรษที่ 9) ส่วน ตน้ ฉบบั ในภาษาอินเดยี เชอ่ื วา่ สญู หายไปแลว้ หลงเหลอื เพียงขอ้ ความทอ่ี า้ งองิ มาในรัตนโคตรวิภาคและศิกษาสมุจจยั 58 เนอื้ หาหลกั จากงานวจิ ยั “รอ่ งรอยธรรมกายในคนั ธาระและเอเชยี กลาง” (ชนดิ า จนั ทราศรไี ศล 2557) และ “ธรรมกายในคมั ภรี ์สันสกฤต” (พระวรี ชยั เตชงกฺ ุโร 2557) และบางสว่ นจาก “ทฤษฎีตถาคต ครรภะในพระไตรปฎิ กบาลี” (พระเกษตร าณวชิ ฺโช) และ“ธรรมกายในคมั ภีร์มหาปรนิ ิรวาณสตู ร” (ชัยสทิ ธ์ิ สุวรรณวรางกูล 2557) บทที 3 คันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจนี | 211
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคัมภีรพ์ ุทธโบราณ 1 ฉบบั วิชาการ ในภายหลังมีการค้นพบบางส่วนของพระสูตรในภาษาสันสกฤตจาก บามิยัน ตวั คมั ภรี ท์ ่ีพบเป็นใบลานท่เี กอื บสมบรู ณ์ 3 ใบครอบคลมุ เนอ้ื หาบท สุดท้ายของพระสูตรกล่าวถึงการที่พระพุทธองค์ทรงอนุโมทนาแก่พระนาง ศรีมาลาเทวีและทรงถ่ายทอดคำาสอนน้ันให้ท้าวสักกะนำาไปสอนเทวดาในช้ัน ดาวดงึ ส์ และอกี 2 ชนิ้ เลก็ ๆ ทมี่ เี นอื้ หาตรงกบั สว่ นอนื่ ของพระสตู รแตไ่ มช่ ดั เจน วา่ เปน็ สว่ นใด (Matsuda 2000) อายขุ องคมั ภรี ท์ ค่ี ดั ลอกราวกลางพทุ ธศตวรรษ ท่ี 10-11 (คริสตศ์ ตวรรษที่ 5 Sander 2000b: 291-3) ซงึ่ เปน็ เวลาทีใ่ กลเ้ คยี ง กนั กบั ทที่ า่ นคณุ ภทั รแปลพระสตู รนเ้ี ปน็ ภาษาจนี แมช้ นิ้ ทพี่ บจะไมค่ รอบคลมุ เน้ือหาส่วนท่ีเป็นคำาสอน แต่อย่างน้อยก็ทำาให้ทราบว่าคำาสอนในพระสูตรนี้มี เผยแผอ่ ยใู่ นทอ้ งถ่ินบามยิ ัน ณ ชว่ งเวลาน้ัน นักวิชาการบางท่านแสดงความเห็นว่าคัมภีร์ศรีมาลาเทวีสิงหนาทสูตร แสดงความหมายของสุญญตาจากมุมมองของพุทธวรรณกรรมสายตถาคต ครรภะ (Cholvijarn 2008: 90) กลา่ วคอื ตถาคตครรภะนนั้ วา่ งเปลา่ จากกเิ ลส อาสวะแต่ไม่ว่างเปล่าจากพุทธคุณ ซ่ึงอาจเรียกได้ว่าเป็นความว่างเปล่าสอง แบบ ดังท่กี ล่าวไว้ในพระสูตรว่า ขา้ แตพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ความรแู้ ละความหมายของความ วา่ ง (สญุ ญตา) ของตถาคตครรภะมีสองประการดังนี้ ตถาคต ครรภะคือความว่างจากกิเลสอาสวะท้ังหลายซึ่งเป็นตัวทำาให้ ไมห่ ลดุ พน้ ตถาคตครรภะคอื ความไม่วา่ งจากพุทธธรรมซ่ึงเป็น อจินไตยท่ีมีมากกว่าเม็ดทรายในมหาคงคานทีและทำาให้หลุด 212 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org พน้ ได้ (Wayman and Wayman 1990: 99)59 ศรีมาลาเทวีสิงหนาทสูตรกล่าวถึงธรรมกายและตถาคตครรภะว่า ธรรมกายนั้นหาจุดเริ่มต้นมิได้ ไม่มีการเกิด เป็นอมตะ ไม่มีการตาย ถาวร มน่ั คง สงบ ดาำ รงอยนู่ ริ นั ดร์ บรสิ ทุ ธโิ์ ดยเนอ้ื แท้ ปราศจากกเิ ลสทง้ั หลาย กอปร ดว้ ยพทุ ธภาวะทม่ี มี ากมายกวา่ เมด็ ทรายในแมน่ า้ำ คงคาซง่ึ ไมแ่ ยกจากกนั รเู้ หน็ ถงึ ความหลดุ พ้น ละเอยี ดเกนิ กวา่ จะสมั ผสั ถกู ต้องได้ ธรรมกายของตถาคตน้ี เอง เม่อื ยงั ไม่หลุดพน้ จากกองกิเลสเรยี กว่าตถาคตครรภะ60 กล่าวโดยสรุปได้ ว่า พระสตู รน้ี แสดงความหมายของตถาคตครรภะว่า หมายถึงธรรมกายของ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทบี่ รบิ รู ณด์ ว้ ยพทุ ธคณุ อนั ไมม่ ปี ระมาณทซี่ อ่ นอยภู่ ายใน บุคคลที่ยังมีกเิ ลสอยู่ แม้ตถาคตครรภะจะถูกปกปิดด้วยมวลกิเลส แต่ตถาคต ครรภะนัน้ กค็ อื ธรรมธาตุ, ธรรมกาย, โลกุตตรธรรม และธรรม นน่ั เอง ดงั คมั ภีร์ศรีมาลาสตู รของฝา่ ยมหายานกลา่ ววา่ ตถาคต ครรภะเป็นตัวอ่อนของธรรมธาตุ, เป็นตัวอ่อนของธรรมกาย, 59 เร่ืองความว่างและไม่ว่างในความหมายของคัมภีร์ศรีมาลาเทวีสิงหนาทสูตร มีอภิปรายไว้โดยย่อใน รายงานวจิ ัยของ ชัยสทิ ธิ์ สวุ รรณวรางกูล (2557) 60 …beginningless, uncreate, unborn, undying, free from death; permanent, steadfast, calm, eter- a i tri sica y pure ree rom a the de eme t store a d accompa ied by uddha atures more numerous than the sands of the Ganges, which are nondiscrete, knowing as liberated, and i co ceivab e his harmakāya o the athāgata he ot ree rom the store o de eme t i e the k e as passio s is re erred to as the athāgatagarbha ayma a d ayma พระวรี ชยั ไดอ้ ภปิ รายเรอื่ งธรรมกาย ตถาคตครรภะและอาลยวญิ ญาณไวใ้ นรายงานการวจิ ยั ของ พระวีรชยั เตชงกฺ โุ ร (2557) บทที 3 คนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจีน | 213
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ เปน็ ตัวออ่ นของโลกตุ ตรธรรม, เปน็ ตวั ออ่ นของธรรมอันบริสุทธ์ิ ที่อยู่ภายใน (Wayman and Wayman 1974: 106)61 คำาสอนในแนวคิดตถาคตครรภะนี้ตรงกันกับคำาสอนในพระไตรปิฎก บาลี ทวี่ า่ จติ ดง้ั เดมิ นนั้ เลอ่ื มประภสั สรแตม่ าเศรา้ หมองลงไปเพราะอปุ กเิ ลสท่ี จรมา และจติ นน้ั หลดุ พน้ จากอปุ กเิ ลสทจี่ รมาได้ ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั ธรรมนย้ี อ่ ม ไมท่ ราบตามความเปน็ จรงิ และจงึ ไมย่ อมเจรญิ ภาวนา ตรงกนั ขา้ มกบั พระอรยิ สาวกผ้ไู ดส้ ดับธรรมนี้ ทราบชัดตามความเป็นจริง จึงเจรญิ สมาธภิ าวนา (อง. เอก. 20/50-53/11-12) แมว้ า่ พระไตรปฎิ กบาลจี ะไมไ่ ดใ้ ชค้ าำ วา่ พทุ ธภาวะโดยตรง แตก่ ารทบ่ี อก วา่ จติ เปน็ ของผอ่ งใสมาแตเ่ ดมิ แลว้ มาเศรา้ หมองในภายหลงั เพราะกเิ ลสทจ่ี รมา นนั้ กแ็ สดงถงึ ทมี่ าของกเิ ลสวา่ เปน็ อาคนั ตกุ ะ คอื จรมาจากทอ่ี น่ื ไมไ่ ดเ้ ปน็ ของที่ ตดิ ตวั มาแตเ่ ดมิ ยงิ่ กวา่ นน้ั การทบ่ี อกวา่ จติ หลดุ พน้ จากสง่ิ เศรา้ หมองไดก้ แ็ สดง ถึงศักยภาพของมนุษย์ในการตรสั รแู้ ละกำาจัดกเิ ลสน่นั เอง ในหลักการของวิชชาธรรมกาย (ดู 2.2.2) มนษุ ยท์ ุกคนมกี ายทีล่ ะเอียด ซอ้ นกนั เปน็ ชน้ั ๆ เขา้ ไปภายในตามลาำ ดบั กายทซี่ อ้ นอยภู่ ายในกม็ คี วามสะอาด บริสุทธ์ิมากข้ึนไปเป็นลำาดับ หากนับจากภายนอกเข้าไป จะเริ่มต้ังแต่กาย มนุษย์ซึ่งเป็นกายที่มีกิเลสหนาแน่นท่ีสุด ไปถึงกายทิพย์ กายรูปพรหม กาย อรูปพรหม ท่ีกิเลสเบาบางลงเร่ือยๆ จนสุดท้ายถึงธรรมกายอรหัตที่หมดจด จากกิเลส ธรรมกายข้างในสุดนั้นเป็นธรรมชาติด้ังเดิมที่บริสุทธ์ิอย่างแท้จริง 61 จากรายงานการวจิ ยั ของ พระเกษตร ญาณวชิ โฺ ช (2557) 214 ร ชนิ า ันทรา รี ล
www.webkal.org ของมนษุ ย์ จึงนับวา่ เปน็ ตวั ตนแท้ท่ีควรปฏบิ ัตใิ ห้เขา้ ถงึ (รธ. 536) ในทางกลบั กัน หากมองจากภายในออกมา จะเรมิ่ จากธรรมกายทเี่ ป็นธรรมชาติดั้งเดมิ ท่ี สะอาดบรสิ ุทธิ์ คอ่ ยๆ มีกิเลสห้มุ เคลือบมากข้ึนตามลาำ ดับ จากกายอรูปพรหม กายรูปพรหม กายทพิ ย์ จนถึงระดบั หยาบท่ีสุดคือกายมนษุ ย์ เม่ือมองในแง่นี้ จะเห็นชดั เจนถงึ ความสอดคลอ้ งกนั กับหลักการตถาคตครรภะ ทีว่ า่ จิตด้งั เดมิ เปน็ ของสะอาดบรสิ ทุ ธนิ์ น้ั หมายถงึ ธรรมกายหรอื พทุ ธภาวะ แตเ่ มอ่ื ยงั ถกู กเิ ลส หมุ้ เคลอื บไวจ้ งึ เรยี กวา่ ตถาคตครรภะ ซงึ่ มอี ยภู่ ายในของมนษุ ยแ์ ละสรรพสตั ว์ 3.2.4.2. มหาปรินิรวาณสูตร ฉบับมหายาน62 คมั ภรี ์มหาปรินริ วาณสตู ร ฉบับมหายาน ทนี่ กั วิชาการบางทา่ นเรียกวา่ มหาปรนิ ิรวาณมหาสตู ร (Habata 2009) เปน็ พระสตู รที่สอนหลกั การตถาคต ครรภะเชน่ เดยี วกนั คอื หลกั การทวี่ า่ ทกุ ชวี ติ มธี าตแุ หง่ ความเปน็ พทุ ธะอยู่ หรอื บางครง้ั เรยี กวา่ ตถาคตครรภะ การมีพระตถาคตบรรจุอยู่ภายใน คัมภรี ์นม้ี ีการแปลเปน็ ภาษาจีน 3 ครัง้ ในเวลาที่ใกล้เคยี งกัน ครงั้ แรก แปลโดยทา่ นฝาเสยี่ น (Faxian) และทา่ นพทุ ธภทั ร (Buddhabhadra) ในราวปี พ.ศ. 959-961 (ค.ศ. 416-418) ครงั้ ทส่ี องโดยทา่ นธรรมเกษม (Dharmakṣema) ราวปี พ.ศ. 964-973 (ค.ศ. 421-430) และครง้ั ทสี่ ามโดยทา่ นหยุ้ ยาน (Huiyan) ราวปี พ.ศ. 996 (ค.ศ. 453) ในทัง้ สามฉบบั น้ี มีเพยี งทา่ นธรรมเกษมเท่าน้ันท่ี แปลเนอ้ื หาของพระสูตรออกมาเปน็ ภาษาจีนครบทงั้ 40 ผูก63 62 เน้ือหาจากงานวิจยั “ธรรมกายในคมั ภรี ม์ หาปรนิ ริ วาณสตู ร” (ชัยสทิ ธ์ิ สุวรรณวรางกลู 2557) 63 รายละเอยี ดมแี สดงไวใ้ นรายงานการวจิ ยั ของ ชัยสทิ ธิ์ สุวรรณวรางกลู (2557) บทที 3 คันธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจีน | 215
www.webkal.org หลักฐานธรรมกายในคมั ภรี ์พทุ ธโบราณ 1 ฉบบั วชิ าการ ในเอเชียกลางมีการค้นพบต้นฉบับคัมภีร์มหาปรินิรวาณสูตรฉบับ มหายาน จารึกในภาษาสันสกฤตแบบผสม อักษรพราหมี ท้ังหมด 36 ช้ิน (Habata 2009: 551) เป็นช้ินส่วนจากใบลาน 24 ใบ ได้มาจากคาห์ดาลิค ( hadalik) อายุของชิ้นส่วนคัมภีร์ราวกลางพุทธศตวรรษท่ี 12-14 เป็นการ คัดลอกภายหลังจากท่ีมกี ารแปลเปน็ ภาษาจีนแลว้ ราวสองศตวรรษขน้ึ ไป หนง่ึ ในจาำ นวนชน้ิ สว่ นคมั ภรี ส์ นั สกฤตจากฮอรเ์ นล็ คอลเลค็ ชน่ั (Hoernle MS 143, SA. 4) เปน็ เน้อื หาตอนเกร่นิ นาำ พระสูตร เขียนบนกระดาษทดี่ ูเก่า เหลอื ง จารึกด้วยอักษรคปุ ตะตวั ตรง (Thomas1916c: 93) มขี ้อความกลา่ วถงึ ความสาำ คญั ของพระสตู รนใี้ นการกระตนุ้ ใหเ้ กดิ ความเพยี รตอ่ “ตถาคตครรภะ” และกลา่ วถงึ พทุ ธพยากรณว์ า่ พระโพธสิ ตั วจ์ ากภมู ภิ าคตอนใต6้ 4 จะนาำ พระสตู ร นีเ้ ผยแพร่ไปถึงแคชเมยี ร์ (กัศมรี ะ, กาศมรี ะ) อกี ชนิ้ หนง่ึ (Or. 15010/72; Hoernle 147. SB. 109) ทดี่ า้ นหลงั ( erso) ของใบลานท่ีขาดวิ่น บรรทัดแรกมีข้อความกล่าวถึงตถาคตครรภะในสรรพ สัตว์ ดงั นี้ ...นติ โฺ ย ธรฺ วุ ะ ศาศวฺ เต65 หยฺ ฺ อจล สโุ ข ภควานำ ฺ อติ ิ ตถาคต ครฺภะ สรฺวฺวสตฺวานาำ สำปฺรกาศยิษฺยตีติ เอวำ ปรฺยุปา(สิต-).... (Habata 2009: 568) 64 สันนษิ ฐานวา่ หมายถึงพระภิกษุนกิ ายมหาสางฆกิ ะท่อี ยู่ในแคว้นอานธระทางตอนใต้ของอนิ เดีย 65 ผ้ตู รวจชาำ ระทำาหมายเหตุไวว้ า่ ขอ้ ความท่ีถูกตอ้ งควรเป็น ศาศวฺ โต (Habata 2009: 568, n. 118) 216 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
www.webkal.org ค�าแปล: ...จะนำาไปสคู่ วามเขา้ ใจอย่างสมบรู ณว์ า่ พระผู้ มีพระภาคเจ้าเที่ยง ย่ังยืน มน่ั คง ไมห่ ว่นั ไหว ทรงเป็นบรมสขุ จกั ทรงประกาศวา่ ตถาคตครรภะมีอยูใ่ นสรรพสัตวท์ ้งั หลาย... และอกี ชน้ิ หนงึ่ (Or. 15009/287: Hoernle unnumbered) ดา้ นหลงั ของ ชิน้ ส่วนคัมภีร์ มขี อ้ ความเก่ยี วกับตถาคตครรภะในบรรทดั ที่ 3-4 ดงั น้ี (3)... ตถาคตครโฺ ภ สตฺ ตี ิ เท...ยามิ มา ภกิ ษฺ โว ไภษฏฺ พาล วตฺย ///(4) ... อสฺมากมปุ ริ ตถาคตครฺโภ สตฺ ตี ิ วิมฤศฺย ภาวนา ยา... (Habata 2009: 572) ค�าแปล: ...เราจักแสดงว่า “ตถาคตครรภะมีอยู่” ภิกษุ ท้ังหลาย พวกเธออย่าได้กลัวเลย พวกเธอเปรียบเหมือนเด็ก น้อย ... เม่ือได้พิจารณาแล้วว่า “ในพวกเราก็มีตถาคตครรภะ อยู”่ จงเจริญภาวนาเถดิ ... นอกจากนี้ยังมีช้ินส่วนคัมภีร์เล็กๆ อีกสองชิ้นที่แตกหักออกมาจาก ใบลานใบเดยี วกนั และมเี นอื้ หาตอ่ เนอื่ งกนั (Or. 15010/65: Hoernle 143. SB. 102 และ Or.15010/137: Hoernle 142. SC. 152) ในบรรทัดท่ี 7 ของด้าน หลงั กลา่ วถงึ กายของพระตถาคตวา่ เปน็ กายเพชรทีไ่ ม่แตกสลาย: ... น ภวิตวฺยำ ฯ วชรฺ าเภทฺยกายสฺ ตถาค... (Habata 2009: 562) ค�าแปล: ไมพ่ งึ ม.ี .. ฯ ...ตถาคตมกี ายเปน็ เพชร ไม่แตกสลาย... แมใ้ นชนิ้ สว่ นคมั ภรี ม์ หาปรนิ ริ วาณสตู รฉบบั มหายานทพ่ี บในเอเชยี กลาง บทที 3 คนั ธาระ เอเชยี กลาง และประเทศจีน | 217
www.webkal.org หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีร์พทุ ธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ จะเป็นชิน้ สว่ นเล็กๆ ที่ขาดวิน่ และมีเนอื้ ความไมส่ มบรู ณ์กต็ าม แต่อยา่ งน้อย การค้นพบช้ินส่วนคัมภีร์ก็เป็นพยานทางวัตถุท่ีบ่งบอกว่า พระสูตรน้ีและ คำาสอนในสายตถาคตครรภะเคยแพร่หลายอยู่ในเอเชียกลางในช่วงเวลาราว พุทธศตวรรษที่ 12-14 เป็นอยา่ งน้อย ในแง่ของความสอดคล้องกับหลักการของวิชชาธรรมกาย อาจแยกได้ เป็นสองประเด็น ในประเด็นที่ว่าในสรรพสัตว์มีตถาคตครรภะอยู่นั้นนับว่าสอดคล้อง โดยหลกั การ ดังทไี่ ดแ้ สดงแลว้ ไวใ้ นสว่ นท่ีเกีย่ วกับคมั ภรี ศ์ รมี าลาเทวีสงิ หนาท นริ เทศ 3.2.4.1) ส่วนประเด็นท่ีว่า พระตถาคตมีกายเป็นเพชรทไี่ มแ่ ตกสลายน้ัน ขน้ึ อยู่ กับว่าจะตคี วาม “กายเพชรท่ไี มแ่ ตกสลาย” อยา่ งไร หากตคี วามว่า เป็นกาย ทม่ี คี วามแขง็ ประดจุ เพชรจงึ ไมแ่ ตกสลายกน็ บั วา่ เปน็ คณุ สมบตั ทิ ไี่ มต่ รงกนั กบั ธรรมกายทีก่ ล่าวถึงในวิชชาธรรมกาย แตห่ ากตีความวา่ เป็นกายที่ใสสะอาด บริสุทธ์ิคล้ายเพชร ส่วนท่ีว่าไม่แตกสลายเพราะเป็นกายท่ีไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง (อสงั ขตะ) กน็ บั ว่าสอดคล้องกับธรรมกายในหลักการของวชิ ชาธรรมกาย ดงั ท่ีพระมงคลเทพมุนี กลา่ วไวว้ า่ สังขตธาตุ สังขตธรรมน่ะ เป็นอย่างไร? นี่แหละที่เรา อาศัยอยู่นี่แหละ ตัวสังขตธาตุสังขตธรรมท้ังน้ัน อยู่กับธรรม ในกายมนษุ ยน์ ่กี ็เปน็ สังขตธรรม อย่กู ับธาตุมนษุ ย์นกี่ เ็ ป็นสังขต ธาตุ ธาตุธรรมท่ีปัจจัยปรุงแต่งได้ บังคับบัญชาได้ เป็นสังขต ธาตสุ ังขตธรรม 218 ร ชนิ า นั ทรา รี ล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: