Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานสืบเนื่องจากการประชุมสัมมนาเชิงวิชาการด้านการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน ครั้งที่ 17

รายงานสืบเนื่องจากการประชุมสัมมนาเชิงวิชาการด้านการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน ครั้งที่ 17

Published by Nuchakorn Kongyarit, 2021-04-29 14:06:08

Description: รายงานสืบเนื่องจากการประชุมสัมมนาเชิงวิชาการด้านการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน ครั้งที่ 17

Proceedings Thai Value Chain Management and Logistics Conference 2017

แนวคิด "Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management"

วันที่ 19 - 23 ตุลาคม 2560

ณ โรงแรมบุรีศรีภู บูติค, อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

Search

Read the Text Version

การประชมุ สัมมนาเชงิ วิชาการด้านการจัดการโลจิสตกิ สแ์ ละโซ่อุปทาน ครง้ั ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวิศวกรรมอตุ สาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 แสดงผลการดาเนนิ งานที่สาคญั ตอ่ องคก์ รและดชั นีชี้วดั กจิ กรรมหรืองานที่สาคัญ อันประกอบดว้ ยดัชนีชีว้ ดั ทเี่ ปน็ เหตแุ ละดัชนี ชี้วดั ทีเ่ ปน็ ผล นอกจากนั้น Bowersox และคณะ (2013) ไดก้ ล่าวว่า มาตรวัดท่ีมีประสิทธิภาพต้องบรรลุ 3 จุดประสงค์ ได้แก่ การตรวจสอบ (Monitoring) การควบคุม (Controlling) และการ ช้ีนา (Directing) รายละเอียด มดี งั นี้ 1) Monitoring มาตรวดั ท่ดี ีจะต้องสามารถตดิ ตาม เพ่อื รายงานประสิทธิภาพการทางาน ได้ 2) Controlling มาตรวัดที่ดีจะต้องแสดงจุดที่ควรทาการปรับปรุงการทางาน เพ่ือให้การทางานกลับสู่มาในสภาวะปกติ เช่น อัตราการเตมิ เตม็ ต่ากว่าระดบั มาตรฐาน ผู้ทางานจะต้องหาสาเหตุ เพ่ือแก้ไขให้กลับมาอยู่ในระดับปกติตามมาตรฐาน 3) Directing มาตรวดั นนั้ ตอ้ งช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางานของผู้ปฏบิ ตั งิ าน สาหรับปัจจัยในการกาหนดมาตรวดั เปน็ เรือ่ งสาคญั ด้วยเช่นกัน ผู้ศึกษาจึงทาการรวบรวมงานวิจัยเพื่อหาปัจจยั ที่สาคัญในการ นามากาหนดเปน็ มาตรวัดประสทิ ธภิ าพการทางานของผู้ให้บริการ สามารถแสดงไวใ้ นตางรางที่ 1 2.2. SERVQUAL เครื่องมือท่ีใช้ในการประเมินคุณภาพการบริการ SERVQUAL ถูกพัฒนาข้ึนโดย Parasuraman, Zeithamal และ Berry ในปี 1985 มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้วัดประสทิ ธิภาพการให้บรกิ าร และถูกนามาใชใ้ นหลายอุตสาหกรรม เช่น โรงพยาบาล ธนาคาร การบริการขนส่ง โดยกาหนดเกณฑ์การประเมินคุณภาพไว้ 5 ด้านท่ีเรียกว่า RATER ดังนี้ (ภัควัฒน์ อินทรวงษ์โชติ และคณะ, 2556) 2.2.1. ความน่าเชื่อถือไว้วางใจ (Reliability) หมายถึง ความสามารถในการใหบ้ ริการตรงกับสัญญาท่ีใหไ้ ว้กบั ลกู คา้ บริการทใี่ หท้ กุ คร้งั มคี วามถกู ต้อง สมา่ เสมอ ทาใหผ้ ู้รบั บริการรู้สกึ ว่าบรกิ ารนนั้ มคี วามนา่ เช่อื ถือสามารถให้ความไวว้ างใจ 2.2.2. ความเช่ือม่ันในการให้บริการ (Assurance) หมายถึง ผู้ให้บริการมีทักษะ ความรู้ความสามารถในการ ให้บริการและตอบสนองผู้รับบรกิ ารดว้ ยความสุภาพ มีกิริยาท่าทาง และมารยาทที่ดี ทาให้ผู้รับบรกิ ารเกิดความรู้สึกมั่นใจตอ่ สถานบริการ 2.2.3. ความเป็นรูปธรรมในการให้บริการ (Tangibles) หมายถึง ลักษณะทางกายภาพท่ีปรากฏให้เห็น ความเป็น รูปธรรมที่ผู้ใชบ้ รกิ ารสามารถรบั รู้ได้ เช่น เครื่องมืออุปกรณ์ พนักงาน สถานท่ขี องผ้ใู หบ้ ริการโลจสิ ติกส์ ห้องรับรอง เครื่องแบบ เคร่อื งมือสอ่ื สาร 2.2.4. ความเห็นอกเห็นใจในการให้บรกิ าร (Empathy) หมายถงึ ความสามารถในการดแู ล ความเอาใจใส่ตามความ ตอ้ งการของผู้รบั บรกิ าร ทม่ี ีความเฉพาะเจาะจง 2.2.5. การตอบสนองการให้บริการ (Responsiveness) หมายถึง ความพร้อมและความเต็มใจท่ีจะให้บริการ โดย สามารถตอบสนองความตอ้ งการของผรู้ บั บริการไดอ้ ย่างรวดเรว็ ทันเวลา 73

การประชมุ สมั มนาเชิงวชิ าการด้านการจดั การโลจสิ ตกิ สแ์ ละโซ่อปุ ทาน ครง้ั ท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวิศวกรรมอตุ สาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 ตารางที่ 1: ปจั จัยสาคัญในการวดั ประสทิ ธภิ าพการทางานของผู้ใหบ้ รกิ ารส่งมอบสินคา้ (Freight Forwarder) SERVQUAL ปัจจยั (Parameter) Holter et al. (2008) Domingues and Maccario (2015) Shanin and Mahbod (2007) Krauth et al. (2005) Bromly and Johnson (2001) Stewart (1995) Meier et al. (2013) Natural Science Foundation ofChina (2015) Lapierre (2000) กาญ ์นสิต โฆษิตธัญญ ิสทธ์ิ และชนงกรณ์ ุกณฑลบุตร (อ2ภิ5ช5า6ต) โสภาแดง (2551) เฉ ิลมเ ีกยรติ ธารทองไพบูลย์ (2550) ดวงรัต ์น เกตุ ัรตนบวร (2557) พีรยา กลิ่นแ ่กน ัจนทร์ (2550) Tangibility พนักงาน (Service personnel)   Reliability ความพร้อมของอปุ กรณ์ (Good condition equipment)   Responsiv eness ความเสยี หาย (Damage   shipment)    ความตรงต่อเวลา (On-time delivery)  ความถูกตอ้ งของงาน (Correctness) การตอบสนองลูกค้า (Response time) อัตราคา่ ขนส่ง (Freight rate)    Empathy ความสมา่ เสมอของการบริการ   (Process Stability)     ค่าใชจ้ า่ ยในการจดั การขนส่ง  (Cost of transport  management) ระยะเวลาการจดั ส่งสินคา้ (Transit time) Assurance การประกันคณุ ภาพ (Assurance)  การตดิ ตามสถานะสินคา้    (Transport visibility) 74

การประชมุ สมั มนาเชงิ วชิ าการด้านการจัดการโลจิสตกิ ส์และโซ่อปุ ทาน ครง้ั ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 3. วธิ ดี าเนินงานวจิ ัย ขั้นตอนการวิจัยประกอบด้วย 1) วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพประเภทค้นคว้าเอกสารและสังเคราะห์เนื้อหาเอกสาร งานวิจัยเพ่ือหากลุ่มปัจจัยและดัชนีชี้วัดตามแนวทฤษฎีการวัดคุณภาพบริการ (SERVQUAL) 2) เก็บข้อมูลปฐมภูมิโดยใช้ แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมความคิดเห็นจากผ้เู ช่ียวชาญ ทั้งหมด 9 ท่าน ที่มีประสบการณก์ ารทางานด้านโลจิ สตกิ ส์ สามารถแบง่ เปน็ 3 กลุ่ม ไดแ้ ก่ กลุ่มนักวิชาการโลจิสตกิ ส์ กลุ่มผู้ใช้บรกิ าร และกลุ่มผใู้ ห้บรกิ ารสง่ มอบสนิ คา้ 3) สรุปผล ดัชนีที่ได้จากผู้เช่ียวชาญจากหลักการ Index of item objective congruence (IOC) เพ่ือหาค่าความสอดคล้องระหว่าง วัตถุประสงค์ (สหชัย ศิลากอง, 2543) และหาระดับความเหมาะสมของดัชนี จาก 5 ระดับด้วยทฤษฎี Likert Scale 4) นา ดชั นชี ว้ี ัดประสทิ ธิภาพทีไ่ ด้ไปประยกุ ตใ์ ช้กับกรณีศกึ ษา 4. ผลของการศึกษา ส่วนน้ีประกอบด้วย 1) ดชั นชี วี้ ดั ประสิทธภิ าพ 2) ผลการเปรียบเทยี บชุดดชั นปี ัจจบุ นั และชุดดัชนที ่ไี ด้จากการศกึ ษา 4.1.1. ผลของชุดดัชนีช้ีวัดประสิทธิภาพท่ีได้จากการส้ารวจความคิดเห็นของผู้เช่ียวชาญด้วยแบบสอบถาม ทาการ วิเคราะห์ค่าความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์และจัดระดับความเหมาะสมของดัชนีด้วยทฤษฎี Likert Scale ที่มี 5 ระดบั คือ เหมาะสมมากที่สุดถึงเหมาะสมน้อยท่ีสุด จากการวิเคราะห์สามารถสรุปดัชนีได้ท้ังหมด 15 ตัว สามารถจัดกลุ่มตามแนว ทฤษฎี SERVQUAL ได้ดังตารางท่ี 2 ดัชนีทั้ง 15 ดัชนี จะถูกกาหนดค่าน้าหนักจากบริษัทกรณีศึกษาเพื่อให้สอดคล้องกับ นโยบายของบริษัท ตารางท่ี 2: ดชั นีช้วี ดั ประสทิ ธิภาพ SERVQUAL No. ชุดดชั นีช้วี ดั นา้ หนกั ผรู้ ับผดิ ชอบประเมิน Tangible 1 สภาพของตู้คอนเทนเนอร์หรอื รถบรรทุก 15 Loading department Reliability 2 การให้บริการทห่ี ลากหลายตามความตอ้ งการของลูกคา้ 5 Transportation Assurance 3 การใชเ้ ทคโนโลยหี รือนวตั กรรม เพือ่ สนบั สนุนการใหบ้ ริการ 5 Transportation 5 Shipping Department 4 พนักงานมจี านวนเพียงพอ มีความรู้ มคี วามเปน็ มืออาชพี มคี วาม สุภาพ มีความปรารถนาที่จะใหบ้ รกิ าร 15 Loading department 5 ความถูกต้องของการบรกิ าร ประเภทรถหรือตูค้ อนเทนเนอรท์ น่ี าส่ง 5 Shipping department มาบริการ 5 Shipping Department 5 Loading department 6 ความถูกตอ้ งของเอกสาร 7 ความตรงตอ่ เวลาในการสง่ สินค้าถงึ ลูกค้า 8 ความตรงตอ่ เวลาในการเข้ารับสนิ ค้า 9 ความถูกต้องของค่าขนส่ง 5 Transportation 10 คารอ้ งเรียนที่ได้รบั จากลกู คา้ เนอ่ื งจากความสญู เสีย/เสียหายระหว่าง 10 Shipping Department การขนสง่ 11 ความรบั ผดิ ชอบต่อความเสยี หาย 10 Transportation 75

การประชุมสัมมนาเชิงวชิ าการด้านการจดั การโลจิสติกสแ์ ละโซ่อุปทาน ครั้งที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 SERVQUAL No. ชุดดัชนีชี้วดั นา้ หนกั ผรู้ บั ผดิ ชอบประเมนิ Responsiveness 12 เวลาท่ใี ช้ในการเสนอราคา 5 Transportation 13 ความรวดเร็ว ในกระบวนการดาเนนิ งาน เรอ่ื งระยะเวลาการได้รบั การ 5 Shipping Department ยนื ยัน Booking 14 ความรวดเร็วในการจัดทาเอกสารใบตราส่งสนิ คา้ 3 Shipping Department 15 ความรวดเร็วในการจดั ทาเอกสารใบขนสนิ คา้ 2 Shipping Department 4.2.2. ผลการเปรยี บเทยี บชุดดชั นปี จั จุบันและชดุ ดชั นีที่ได้จากการศึกษา ผู้ศึกษาได้ทาการเก็บข้อมูลการใช้บริการส่งมอบสินค้า ในช่วงวันที่ 1-30 มีนาคม 2560 เพื่อเปรียบเทียบ ประสิทธิภาพการทางานของผู้ให้บริการโดยการประเมินชุดปัจจุบันของบริษัทกรณีศึกษาและชุดที่ได้จากการศึกษา พบว่าผู้ ให้บรกิ ารมผี ลคะแนนลดลง เห็นไดช้ ัดในผู้ให้บรกิ ารรายที่ 3 ที่มีผลการประเมนิ การทางานตามดชั นปี ัจจุบนั ที่ 91.60% เม่อื ทา การประเมินดว้ ยชดุ ดัชนีทไ่ี ด้จากการศึกษา ผลการประเมนิ อยู่ที่ 78.17% สามารถแสดงได้ ดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3: ผลการประเมินจากดชั นปี ัจจบุ นั และชดุ ทีไ่ ดจ้ ากการศึกษา Freight Forwarder ประสิทธภิ าพการทางานของผ้สู ่งมอบ ผู้ใหบ้ รกิ ารรายท่ี 1 ผลการประเมนิ ชดุ กอ่ นการศึกษา ผลการประเมนิ ชดุ หลงั การศกึ ษา ผใู้ ห้บรกิ ารรายท่ี 2 ผู้ให้บริการรายที่ 3 95.30% 83.33% ผู้ใหบ้ รกิ ารรายที่ 4 89.60% 86.61% 91.60% 78.17% 99.20% 92.33% เม่ือทาการวิเคราะห์ถึงระดับคะแนนที่เปลี่ยนแปลงน้ันมาจากชุดดัชนีและวิธีการประเมินที่เปล่ียน ไป เนื่องจาก วิธีการประเมินในปัจจุบันของบริษัทกรณีศึกษาใช้การตัดคะแนนเม่ือเกิดข้อบกพร่องเท่านั้น วิธีการประเมินลักษณะน้ีไม่ สามารถแสดงระดับประสิทธิภาพการให้บริการได้ ผลการประเมินแบบใหม่น้ีสามารถสะท้อนประสิทธิภาพการทางานของผู้ ใหบ้ ริการไดด้ ีขึ้นและสามารถนาไปปรับปรุงหรือเปรียบเทียบระดับการใหบ้ ริการในแตล่ ะผใู้ หบ้ ริการได้ โดยทผ่ี ลคะแนนตั้งแต่ 91-100% แทนผลการทางานอยู่ในระดับดมี าก ผลคะแนนต้ังแต่ 81-90% แทนผลการทางานอยูใ่ นระดับดี ผลคะแนนตัง้ แต่ 71-80% แทนผลการทางานอยู่ในระดับพอใช้ ผู้ให้บริการรายท่ี1 จากการประเมินผลแบบเดิมมีผลการทางานในระดับดีมาก แต่การประยุกต์ใช้การประเมินแบบ ใหม่พบว่ามีผลการทางานในระดับดี โดยมีข้อท่ีควรปรับปรุงคือ ความรวดเร็วในการตอบสนองในการเสนอราคาและจัดทา เอกสาร สาหรบั ผใู้ หบ้ รกิ ารรายที่ 2 ผลการประเมินอย่ใู นระดับดี ทงั้ ชดุ กอ่ นและหลังการศึกษา จากชุดประเมนิ หลังการศึกษา พบวา่ ผู้ใหบ้ รกิ ารรายน้ใี หบ้ รกิ ารด้วยความรวดเรว็ แตม่ ีจานวนคร้ังทเ่ี อกสารผดิ มากจึงทาให้คะแนนมีแนวโนม้ ลดลงดงั นั้นส่ิงที่ จาเป็นต้องปรับปรุงคือเรอื่ งความถูกต้องแม่นยาของการบรกิ าร สาหรับผู้ให้บริการรายที่ 3 จากการประเมินผลแบบเดิมมีผล การทางานในระดับดมี ากแต่ผลการประเมินจากชุดหลังการศึกษาพบว่าอยู่ในระดับพอใช้ ผลการประเมินมคี วามขัดแย้งอย่าง ชดั เจน บริษทั ผใู้ หบ้ รกิ ารรายนมี้ จี านวนพนักงานนอ้ ย ผูใ้ ช้บริการสามารถตดิ ต่อเจ้าหนา้ ท่ไี ด้เพยี งคนเดยี วเท่านั้น ทาใหม้ ีความ 76

การประชุมสมั มนาเชิงวชิ าการด้านการจัดการโลจิสติกสแ์ ละโซอ่ ปุ ทาน ครั้งที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวิศวกรรมอตุ สาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 ล่าช้าในการตอบสนอง ท้ังในเรื่องเอกสาร เรื่องการเสนอราคา นอกจากน้ันเจา้ หน้าท่ีท่ีใหบ้ รกิ ารรับผดิ ชอบหลายหน้าท่ีอีกทงั้ ไม่มีระบบเทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนการทางานทาให้เกิดความผิดพลาดได้ง่ายอีกด้วย ดังน้ันส่ิงที่ต้องปรับปรุงคือเร่ืองความ รวดเร็ว ความถูกต้อง ความตรงต่อเวลาและเทคโนโลยี และผู้ให้บริการรายท่ี 4 ผลการประเมินชุดก่อนและหลังการศึกษามี ความสอดคลอ้ งกันคือประสิทธิภาพการทางานอยู่ในระดับดีมาก แต่ดัชนีชี้วัดชุดหลงั การศึกษาแสดงให้เห็นถึงระดบั คะแนนท่ี ลดลง สามารบ่งชถ้ี ึงขอ้ บกพรอ่ งท่ดี ัชนีช้วี ัดชุดกอ่ นการศึกษาไมส่ ามารถแสดงสิง่ ทมี่ ีปญั หาหรอื ควรปรับปรุง นน่ั คอื ความลา่ ชา้ ในการทาเอกสาร และความถกู ต้องของเอกสารท่ีผู้ให้บริการควรควบคุมการทางานให้มีประสทิ ธิภาพอยา่ งต่อเน่อื ง 5. อภิปรายและสรปุ ผล ในการวิเคราะห์ความแตกต่างของชุดดัชนีที่เพิ่มข้ึนจากชุดดัชนีท่ีใช้ในปัจจุบันของบริษัทกรณีศึกษา ได้แก่ วัดการ ใหบ้ ริการท่หี ลากหลายตามความต้องการของลูกคา้ วดั การใชเ้ ทคโนโลยี หรอื ใช้นวัตกรรมตา่ งๆ วดั พนักงานมจี านวนเพียงพอ มีความรู้ เป็นมืออาชีพ สุภาพ ปรารถนาที่จะให้บริการ วัดความถูกต้องของการบริการ วัดความถูกต้องของค่าขนส่ง วัดคา ร้องเรียนท่ีได้รับจากลูกค้าเน่ืองจากความสูญเสีย/เสียหายระหว่างการขนส่ง วัดความรับผิดชอบต่อความเสียหาย เป็นต้น พบว่าดัชนีที่เพิ่มข้ึนน้ัน เมื่อนามาใช้ประเมินมผี ลทาให้ประสิทธิภาพการทางานของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าลดลง และจากชดุ ดัชนีดังกล่าวทาให้มองเห็นถึงส่ิงที่ผ้ใู ห้บริการควรพัฒนา ได้แก่เร่ืองความตรงต่อเวลา ความถูกต้องของข้อมูล และโดยเฉพาะ อย่างย่ิงในเร่ืองระบบข้อมูลสารสนเทศและเทคโนโลยีสารสนเทศเนื่องจากเป็นปัจจัยสาคัญในกิจกร รมโลจิสติกส์ หากผู้ ให้บริการมีระบบการจัดเก็บข้อมูลที่ดีและเคร่ืองมือที่มีประสิทธิภาพท่ีสามารถเชื่อมต่อข้อมูลของลูกค้าได้จะสามารถช่วย อานวยความสะดวกและสร้างความรวดเร็วต่อการตอบสนองการให้บริการไปยังลูกค้าได้ดีขึ้นอีกท้ังยังสามารถช่วยลดความ ผิดพลาดในเรอ่ื งเอกสารลงได้ สามารถแสดงผลการประเมินการทางานของผู้ให้บริการในแต่ละดัชนีดงั รปู ท่ี 1 77

การประชมุ สมั มนาเชิงวิชาการด้านการจดั การโลจสิ ติกสแ์ ละโซ่อปุ ทาน ครั้งท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 รูปท่ี 1 แสดงผลการประเมินการทางานของผู้ใหบ้ ริการในแตล่ ะดัชนี 6. ขอ้ เสนอแนะ 1. การนาดัชนีช้ีวัดน้ีไปใช้ในการประเมินประสิทธิภาพในการปฏิบตั ิงานจรงิ บริษัทต้องแจ้ง และอธิบายความหมาย ของแต่ละดชั นี ใหผ้ ทู้ ี่ทาการประเมิน และผทู้ ่ีถูกประเมิน เข้าใจอย่างถูกต้องในเร่อื งท่ีทาการประเมนิ 2. องค์กรควรคานึงถึงความพรอ้ มในเรือ่ งเทคโนโลยี สารสนเทศเพ่อื การประมวลผล และการแสดงผลการปฏิบตั งิ าน ได้อย่างเป็นปัจจุบัน ระบบเทคโนโลยีต่างๆ เช่น ระบบ SAP MRP สามารถช่วยอานวยความสะดวกให้พนักงานท้ังในการ บันทึกข้อมูล และการประมวลผลอย่างรวดเร็ว จะสนับสนุนทาให้พนักงานสามารถรับรู้ และปรับปรุงการทางานได้อย่าง ทนั ท่วงที 3. ผลท่ีไดจ้ ากการประเมนิ ที่เหมาะสม สามารถนาไปใช้เป็นแนวทางในการจัดอนั ดับใหร้ างวัล (Supplier Award) และจัดการความสมั พันธแ์ ต่ละผู้ให้บรกิ ารได้ (Supplier Relationship Management) 4. ดชั นีชวี้ ัดประสิทธภิ าพทไี่ ดจ้ ากการศึกษาน้ี สามารถนาไปใช้ประเมินผ้ใู ห้บริการส่งมอบสินค้าประเภทอื่นๆ ได้ แต่ ผทู้ ่ีสนใจจะตอ้ งปรบั เปล่ียนน้าหนกั แต่ละดชั นีให้สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทน้นั ๆ เพื่อให้ผลการทางานเป็นไปตาม เป้าหมายของแตล่ ะบริษัทตงั้ ไว้ 5. หากงานวิจยั ครง้ั ต่อไป จะนากรอบการประเมนิ การทางานของผสู้ ่งมอบตามดชั นีชวี้ ัดนี้ ไปใช้เป็นแนวทางใน การศกึ ษาจัดอนั ดบั และจดั การความสัมพันธ์ (SRM) ผใู้ ห้บริการอยา่ งเหมาะสม เพือ่ สร้างการทางานรว่ มกันอย่างยงั่ ยนื เอกสารอา้ งองิ สหชัย ศิลากอง, 2543, “แนวทางการประเมนิ คณุ ภาพการใหบ้ รกิ ารจัดส่งสินคา้ ”, วทิ ยานิพนธ์ ปริญญาวศิ วกรรมศาสตรมหาบณั ฑติ ภาควิชาวศิ วกรรมโยธา คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบุรี. 78

การประชุมสมั มนาเชิงวิชาการด้านการจดั การโลจิสตกิ สแ์ ละโซ่อปุ ทาน ครง้ั ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 บญุ ชุม ศรีสะอาด, 2545, การวิจัยเบ้ืองตน้ , พิมพ์ครงั้ ที่ 7 สานกั พมิ พ์ สุวีรยิ าสาส์น, กรงุ เทพ. อภิชาต โสภาแดง, 2551, “การจัดการโซ่อปุ ทานและโลจิสตกิ ส์”, พิมพค์ รง้ั ที่ 2, หน้า 25,49,256-276. Adil M., Ghaswyneh O. M., and Albkour A. M., 2013, SERVQUAL and SERVPERF: A review of measures in services marketing research, Global journal of management and business research marketing, Vol.13 Iss 6 pp.64-76. Bowersox, D. J., Closs, D.J., Cooper, M.B. and Bowersox, J.C., 2013, Supply chain logistics management, 4th ed., McGraw-Hill Education, New York, pp. 79-371. Parasuraman, A., Zeithaml, V.A., & Berry, L.L., 1985, A conceptual model of service quality and its implication for future research, Journal of marketing, pp. 14-50. 79

Topic B: Performance Measurement การประชุมสมั มนาเชิงวชิ าการด้านการจดั การโลจิสตกิ ส์และโซ่อปุ ทาน คร้ังที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวิศวกรรมอตุ สาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 Paper ID: PM 06 Performance Measurement of Airports in Thailand Araya Sakburanapech1*, Thanaporn Tadatonggul2, Pollasith Intapong3 1* Department of Aerospace Engineering, Faculty of Engineering, Kasetsart University, Bangkok 10900 THAILAND Tel: (+66) 27-970-999, Email: [email protected] 2* Department of Aerospace Engineering, Faculty of Engineering, Kasetsart University, Bangkok10900 THAILAND Tel: (+66) 27-970-999, Email: [email protected] 3* Department of Aerospace Engineering, Faculty of Engineering, Kasetsart University, Bangkok 10900 THAILAND Tel: (+66) 27-970-999, Email: [email protected] ABSTRACT Measuring and Managing performance is crucial for an airport for operating its daily services and also for achieving its strategic goals. Performance measurement can be varied regarding to the size and ownership model of airport. The airport strongly determines performance areas and also performance indicators in response to its strategic targets planned and also its changing organizational contexts. This paper aims to study performance measurement especially in managerial perspectives of airports in Thailand. It is an exploratory research which was carried out on the basis of survey method. The data collected is statistically analysed to understand how well each airport monitor and control its operational and strategic performance. Safety and security is seen as the most important performance dimension for all airports especially where the current global situation is vulnerable. But, more interestingly, the airports view financial performances differently according to its ownership model. It is vital for the airport to determine the key performance dimensions suited for its strategic direction under changing environment. As a result, the airport will be able to manage its daily operations in a safely and timely manager and also to sustain the development in the long run. Keywords: Performance measurement; Key performance dimension; Airport 1. INTRODUCTION Airports are seen as important contributor to the economics of nation they serve. Under complex and dynamic situations, the airports focus on how they efficiently provided services on a daily basis and also on how they sustainably expand their business without compromising safety and environmental impacts. Moreover, they provide services to various groups of customers and also interacts with numbers of stakeholders which all have varying performance requirements. It is a challenge for the airports in establishing performance measurement at least in commercial, regulatory and environmental perspectives. They also need to consider a balance between what is easy to measure and what is useful to measure as stated by (Gosling, 1999; Humphreys & Francis, 2002). The purpose of this study is to examine performance areas and performance measures that are useful for running and developing the airports in Thailand particularly in managerial perspectives. It also explores impacts of ownership patters on airport performance measurement. 2. AIRPORT PERFORMANCE MANAGEMENT International Civil Aviation Organisation (2013) emphasises that airport performance management “involves engaging in activities to ensure that objectives are consistently being met in an effective and efficient manner”. The airports develop and implement performance measurement to ensure their operational, technical, commercial and managerial performance. They are independently customized their performance measurement in responding to their airport strategies, capacities and 80

การประชมุ สัมมนาเชิงวชิ าการด้านการจดั การโลจสิ ตกิ สแ์ ละโซอ่ ปุ ทาน คร้ังที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 limited resources. They also consider requirements of their various stakeholders as contributing factors in developing the performance measurement (Humphreys & Francis, 2002). Performance measurement is a recurring process that begins with identifying the ultimate outcomes that an airport expects to success (Transportation Research Board, 2010). This leads the airport to determine the measures used for showing its achievement. Targets of each measure are accordingly drawn regarding to timeframe and achievement level desired. These performance targets and measures are cascaded down throughout the airport organization. The airport plans are executed and monitored regarding to the targets set. The results will be fed back to improve the performance measurement itself and also to improve the airport performance. With the ultimate goal desired, the airport identify key performance areas (KPAs) and also a set of key performance indicators (KPIs) (International Civil Aviation Organisation, 2012). In the past, the airports focus only on its operational performance based on the work load unit (WLU) which is defined as one passenger processed or 100 kg of freight handled (Doganis, 1978). The performance indicators include for example cost per WLU, WLU per employee and total revenue per WLU. The airport found that the WLU indicators was easy to measure but was rarely useful especially in managerial perspectives. Commercial, regulatory and environmental performance areas were then introduced. Especially, commercial performance measurement has gained more focus from airport managers as it relates to the airport shareholder values. From managerial perspective, safety measures and environmental measures are crucial for running the airport business in a sustainable manner (Humphreys & Francis, 2002). Table 1: Comparison of key performance areas recommended by the three well-known aviation organisation. Key Performance Areas (KPAs) International Civil Aviation Organisation (2013) Airport Council International (ACI) (2012) Transportation Research Board (2010) Safety and security ✓ ✓✓ Service quality Productivity ✓ ✓✓ Cost effectiveness Efficiency ✓ ✓✓ Core Financial or commercial ✓ -- Environment - ✓✓ - ✓✓ - ✓✓ - ✓✓ Table 1 shows that there are 4 performance areas or dimensions which are well guided by the 3 global aviation organisations. Efficiency, core, financial and commercial and environmental measurement are also strongly recommended as nowadays developing and managing airport is required for a balance of commercial business, social responsibility and environmental protection. 3. RESEARCH METHOD This study is designed and carried out on a basis of exploratory research as there are limited research relevant to developing performance measurement for managing airports in Thailand. It also examines that ownership models are influence on priorities of key performance areas and key performance measures of the airports. Survey is used as the main approach for collecting primary data from the airport managers in Thailand. The survey is developed based on relevant literature reviewed. There are 38 airports located in Thailand which are categorized into 2 group according to ownership patters. 29 airports are owned 81

การประชุมสมั มนาเชิงวิชาการด้านการจดั การโลจิสตกิ ส์และโซอ่ ปุ ทาน ครงั้ ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวิศวกรรมอตุ สาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 and operated by public sector while 9 airports are owned and run by private sector. The survey was distributed to the airport managers of the 38 airports. The response rate is displayed in Figure 1. Figure 1: Percentage of survey response rate. As shown from the figure, duet to limited numbers of airports which operate by private corporation, the result from survey might be insufficiently generalized from perspectives of both managerial public and private administration. 4. PERFORMANCE MEASUREMENT OF AIRPORTS IN THAILAND In Thailand, airport managers consider safety and security as the most critical performance dimension for managing their airport business, as shown in Figure 2. International Civil Aviation Organisation (2013) strongly recommends that safety dimension is necessary not only for airport operator but also for States to regularly oversight. Core and Service quality are also seen as the next two important performance dimensions from managerial perspectives. Airport Council International (ACI) (2012) realizes that core measurement involves characterizing and categorizing airports according to airport operations. It include for example total annual numbers of passengers and annual freight tonnes loaded/unloaded. Oum, Yu, and Fu (2003) expressed that service quality significantly indicates how the airports optimize their limited resources and capabilities in serving specific requirements of passengers, aircraft operators and freighters. However, the survey result shows that airports in Thailand pay less attention to financial and commercial measurement. This could be resulted from the fact that more than 70% of the airports are owned and operated by governmental agencies. Those airports could also see themselves as the national transportation infrastructures like other modes rather than the business units that need to generate revenue at least for self-sustaining. In contrast, airports run by private sector strongly commit to financial and commercial measurement. Figure 2: Average important score of key performance areas from managerial perspectives of airports in Thailand. 82

การประชุมสมั มนาเชงิ วชิ าการด้านการจัดการโลจิสตกิ ส์และโซ่อปุ ทาน คร้งั ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวิศวกรรมอตุ สาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 The airports reflects their safety and security performance from the top 3 measures. They are bird strikes, runway accidents and runway incursion per thousand aircraft movements respectively. They all are used to particularly monitor airside safety issues ( Humphreys & Francis, 2002) . Nonetheless, they seems not to be proactive measures for the airports in identifying and preventing risks involved. Airports mostly use core measures as their financial health detector as these measrues, including total numbers of passengers and total annual freight tonnes, directly relates to airline decisions in selecting the airline’s origin and destination airport. It is clear that the airports exercise more interesting incentive packages and also improve their facilities to attract the airlines in increasing flight frequencies and route networks. Service quality measures focus on level of service provided by airports from passenger perspectives. They include for example maximum aircraft movement per hour, passenger satisfaction level and baggage delivery time which are the most important indicators shown from the survey conducted. Yeh and Kuo (2003) developed a service quality index to benchmarking the performance of airports in Asia-Pacific. Oum et al. (2003) expressed that “airports which are generating good service quality perception from travelers tend to achieve higher efficiency”. Figure 3: Important scores of financial performance indicators from managerial perspectives of airports in Thailand. Figure 3 displays that debt is seen as the least performance determinants from managerial perspectives. In contrast, the airports focus on revenue generated. This might reflect that nowadays the airports encounter positive financial balance and rely less on financial loan from commercial banks for their investment. Humphreys and Francis (2002) recommends that income performance indicators have been received more attention from airport mangers than debt performance. Especially, it is important for the airport managers who operate privatized airports to fulfill the airport shareholders’ value and to make the airport sustainable. 5. INFLUENCE OF OWNERSHIP ON AIRPORT KEY PERFORMANCE AREAS As airports in Thailand are categorized into public and private airports regarding to airport ownership model, each of them view importance of each key performance areas differently as shown in Figure 4. 83

การประชุมสัมมนาเชิงวชิ าการด้านการจดั การโลจิสติกส์และโซอ่ ปุ ทาน ครงั้ ท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวิศวกรรมอตุ สาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 Figure 4: Comparison of average important scores of key performance areas between governmental- managing and private-managing airports in Thailand. Productivity and cost effectiveness performance was scored with less gap from public and private airports as it directly relate to resources required for their daily operations. Especially, it is certain that ratio of passengers and airport employees is significant for providing airport services responding to passenger needs. However, governmental agencies running the public airports reflect that they focus on financial and commercial performance less than other key performance areas. This could be because the airports should be seen as national transportation infrastructure like other transport mode. Humphreys and Francis ( 2002) emphasizes that changing ownership models have created a greater emphasis on commercialization and financial oriented-measures regarding to airport shareholders’ values. 6. CONCLUSION Although air transport industry is continuously growing in the last decade due to the emerging trend of low cost airlines, there is limited research in key performance dimensions and measures suitable for running airports in Thailand. A survey was conducted to explore importance of key performance measures especially from managerial perspective. The result shows that airport ownership patterns influence on performance measurement used for running the airport operations on a daily basis and for exercising the airport strategies in the long run. The ownership patterns have less impacts on safety and security performance areas which is viewed as the most important performance dimension from both public and private airports. Meanwhile financial and commercial performance have more impacts on private- managing airports than public- managing airports. With the key performance dimensions identified, the airport will be able to manage its daily operations in a safely and timely manager and also to sustain the development in the long run. REFERENCE Airport Council International (ACI). (2012). Guide to airport performance measures. Montreal, Canada: Airport Council International (ACI). Doganis, R. (1978). Airport economics in the seventie. Retrieved from London: Gosling, G. (1999). Aivation system perfromance measures. Retrieved from Berkeley, California: Humphreys, I., & Francis, G. (2002). Performance measurement: a review of airports. International Journal of Transport Management, 2002(1), 79-85. International Civil Aviation Organisation. (2012). ICAO's policies on charges for airports and air navigation services (9 ed.): International Civil Aviaiton Organisation. International Civil Aviation Organisation. (2013). Airport economics manual (3 ed.). Canada: International Civil Aviation Organisation. Oum, T. H., Yu, C., & Fu, X. (2003). A comparative analysis of productivity performance of the world's major airports: summary report of the ATRS global airport benchmarking research report. Journal of Air Transport Management, 2003(9), 285-297. 84

การประชมุ สมั มนาเชงิ วิชาการด้านการจดั การโลจสิ ติกสแ์ ละโซ่อปุ ทาน ครั้งที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 Transportation Research Board. (2010). Developing an airport performance-measurement system. Retrieved from Washington, DC: Yeh, C.-H., & Kuo, Y.-L. (2003). An evaluating passenger services of Asia-Pacific international airports. Transport Research Part E: Logistics adn Transportation Review, 39(1), 35-48. 85

การประชุมสัมมนาเชิงวชิ าการด้านการจดั การโลจสิ ตกิ สแ์ ละโซ่อุปทาน ครง้ั ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 Topic C Inventory and Warehouse Management 86

การประชมุ สัมมนาเชิงวชิ าการด้านการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน ครงั้ ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวศิ วกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 Topic C: Inventory and Warehouse Management Paper ID: IW 01 การจัดการสนิ ค้าในคลังสินค้าให้มปี ระสิทธิภาพ กรณศี กึ ษา บรษิ ทั เอบซิ เทคโนโลย่ี จากดั ทยดิ า ตนั วราโชติ1*, วัชรวี จนั ทรประกายกุล2 1* บัณฑิตวิทยาลยั สาขาวชิ าการจดั การโลจสิ ตกิ ส์ คณะบณั ฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยหอการคา้ ไทย โทร 094-3242445 E-mail: [email protected] 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการคา้ ไทย โทร 02-6976726 E-mail: [email protected] บทคดั ย่อ การจัดการสินค้าคงคลังจะส่งผลต่อผลกาไรและขาดทุนขององค์กร ซ่ึงการจัดการสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพ จะต้องคานงึ ถงึ อุปสงค์ และอุปทาน การมีสนิ ค้าคงคลงั ในบริษทั มากสง่ ผลใหเ้ กิดต้นทนุ ต่าง ๆ งานวิจัยนี้ ผศู้ กึ ษามีวัตถุประสงค์ เพ่ิมประสทิ ธภิ าพในการจดั การสินคา้ คงคลัง หาวิธีการควบคุมสินค้าคงคลังให้มีปรมิ าณทีเ่ หมาะสม แก้ปัญหาสนิ ค้าคงคลงั ท่ีมี ปริมาณมากเกินความจาเป็น และปรับปรุงระบบการทางาน จากการศึกษาพบว่าหลังมีการจัดผังการวางสินค้าใหม่ ทาป้าย บอกตาแหน่งสินค้าแตล่ ะตวั เพ่ิมข้อมูลในการบอกตาแหน่งสนิ คา้ ในไฟลข์ ้อมูล และมีการปรับปรุงข้ันตอนการทางานแล้ว ทา ใหส้ ามารถลดเวลาการทางาน จาก 46 นาที เหลือ 32 นาที คิดเปน็ 30.9% สาหรบั ระยะทางในการเดนิ ของพนักงาน ลดจาก 50.72 เมตร เหลอื 48.14 เมตร คิดเปน็ 5.08% และในกระบวนการจัดเก็บสินคา้ พบวา่ ทาให้สามารถลดเวลาการทางาน จาก 42 นาที เหลือ 36 นาที คิดเป็น 14.5% ในการคานวณหาค่าปริมาณการสั่งซื้อท่ีประหยัด (EOQ) และการหาจุดสั่งซื้อใหม่ (ROP) ทาให้สามารถกาหนดค่า minimum และ maximum stock ได้ซึ่งทาให้สามารถควบคุมปริมาณสินค้าคงคลังได้ง่าย และสามารถส่ังซื้อได้ทันท่วงที สาหรับการพยากรณ์ยอดขายปี พ.ศ. 2560 ได้ใช้การพยากรณ์แนวโน้ม (Trend Projection) มาวิเคราะห์ข้อมูลเน่ืองจากลักษณะการขายของบริษัทมีความไม่แน่นอนในแต่ละเดือน เนื่องจากลูกค้าเป็นมีหลากหล าย อุตสาหกรรม ปริมาณการซ้ือจึงไม่ได้สม่าเสมอเหมือนกันทุกๆ เดือน จากการวิเคราะห์ได้ทาการคานวณแยกในแต่ละเดือน และนามาวเิ คราะห์รวมกนั เพือ่ เปรยี บเทียบกบั ยอดขายในปีที่ผา่ นมา คาสาคญั : สินค้าคงคลงั ; เวลา; การสง่ั ซ้ือ; ปรมิ าณการสั่งซอื้ ทป่ี ระหยัด; จุดสงั่ ซือ้ ใหม่; การพยากรณแ์ นวโนม้ 1.ทม่ี าและความสาคญั บริษัท เอบิซเทคโนโลย่ี จากัด ดาเนินธุรกิจเก่ียวการขาย ผลิต และติดต้ังเกี่ยวกับระบบควบคุมอัตโนมัติ ระบบ เซ็นเซอร์ เคร่ืองมือตรวจวัด และตรวจสอบทางอุตสาหกรรมและอ่ืน ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง โดยบริษัทจะมุ่งเน้นการจัดการสินค้าคง คลังเป็นสาคัญ ซ่ึงจะส่งผลต่อผลกาไรและขาดทุนของบริษัท ซึ่งการจัดการสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพจะต้องคานึงถึงอุป สงค์ และอปุ ทาน การมีสินค้าคงคลังในบริษัทมากส่งผลใหเ้ กิดตน้ ทนุ ต่าง ๆ มากมาย ซงึ่ นอกจากจะไม่สร้างมลู คา่ เพ่ิมแลว้ ยงั สง่ ผลต่อสภาพคลอ่ งทางการเงนิ ของบริษทั ปัจจุบันพบว่าในบริษัทมีปัญหาการขาดประสทิ ธิภาพในการจดั การคลงั สนิ ค้า คือ มี ปริมาณสนิ ค้าในคลงั มากเกินความจาเปน็ และพบวา่ เป็นสินคา้ ร่นุ เกา่ ทไ่ี ด้มกี ารตกรุน่ ไปแล้ว จงึ ไมส่ ามารถนาออกมาขายได้ 87

การประชมุ สมั มนาเชงิ วิชาการด้านการจดั การโลจิสติกส์และโซ่อปุ ทาน ครง้ั ท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวศิ วกรรมอตุ สาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 ทาให้มีรายการสนิ ค้าบางรายการไมม่ กี ารเคลื่อนไหว คอื ไม่มกี ารส่ังซ้ือเข้ามาเพม่ิ และไมม่ กี ารขายออกไป เปน็ เวลาเกนิ กวา่ 1 ปี ซึ่งปัญหาดงั กลา่ วสง่ ผลใหม้ ีมลู คา่ ของสินคา้ คงคลงั สงู และการตรวจสอบข้อมูลของสินคา้ คงคลงั เป็นการตรวจสอบจากขอ้ มลู ใน MS Excel โดยพนักงานคลังสินค้าเป็นผู้ลงบันทึกไว้ จึงเกิดความผดิ พลาดบอ่ ยคร้ัง และยังใช้เวลาในการตรวจสอบจานวน สนิ คา้ คอ่ นขา้ งนาน เน่ืองจากบางคร้ังพนกั งานดขู ้อมลู จากรายการทบี่ นั ทึกไว้แล้ว แตย่ งั ต้องเดนิ ไปตรวจสอบสนิ ค้าจากตู้สนิ คา้ อีก เพราะความไม่แน่ใจ และจากการพบการผิดพลาดบ่อยคร้ัง ซ่ึงปัญหาดังกล่าวส่งผลให้เกิดความล่าช้าในกระบวนการ ทางาน จากปัญหาดังกลา่ วผูว้ จิ ัยจึงทาการทบทวนวรรณกรรมที่เกยี่ วข้องเพ่ือนาเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาในส่วนถดั ไป 2. ทฤษฏีพื้นฐานและงานวิจัยทเ่ี กยี่ วข้อง 2.1. ทฤษฏีพ้นื ฐาน 2.1.1. ทฤษฎี ABC Classification เป็นวิธีการจาแนกสินค้าคงคลังออกเป็นแต่ละประเภทโดยพิจารณาปริมาณและ มูลค่าของสินค้าคงคลังแต่ละ รายการเปน็ จะแบ่งเป็นเกณฑด์ ังตอ่ ไปน้ี กลุ่ม A สินค้าคงคลังที่มีความสาคัญมาก มีมูลค่าคงคลังหมุนเวียนในรอบปีสูง มีปริมาณน้อย (5 -15% ของสินค้า คงคลังทัง้ หมด) แต่มมี ลู คา่ คอ่ นขา้ งสงู (70 - 80% ของมูลคา่ ทัง้ หมด) กลมุ่ B มมี ูลค่าสินคา้ คงคลังหมุนเวียนในรอบปปี านกลาง มีปริมาณปานกลาง (30% ของสนิ คา้ คงคลังทั้งหมด) และ มีมูลคา่ รวมปานกลาง (15% ของมลู คา่ ทั้งหมด) กลุ่ม C มีมูลค่าสินค้าคงคลังหมนุเวียนในรอบปีต่า มีปริมาณมาก (50 - 60% ของสินค้าคงคลังทั้งหมด) แต่มีมูลคา่ รวมคอ่ นขา้ งตา่ (5-10% ของมลู ค่าทั้งหมด) 2.1.2. ปริมาณการส่งั ซ้ืออยา่ งประหยดั (Economic Order Quantity: EOQ) โดยการส่ังซอื้ สินคา้ ในแต่ละคร้งั จะสั่งในปรมิ าณหรอื จานวนท่ีทาใหค้ ่าใชจ้ า่ ยรวมต่าทสี่ ดุ ต้นทุนรวม = ต้นทนุ การสงั่ ซอ้ื สนิ ค้าต่อป+ี ต้นทนุ การเก็บสนิ คา้ ตอ่ ปี+ราคาสนิ คา้ ท้ังปี ������������ = ������ ������ + ������ ������ + ������������ (1) ������ 2 ปรมิ าณการสง่ั ซ้อื ท่ปี ระหยัด ������������������ = √2������������ (2) ������ 2.1.3. จดุ ส่งั ซ้ือ และระบบสินค้าคงคลังส้ารอง (Reorder Point and Safety Stock) เป็นจุดที่บ่งบอกถึงปริมาณสินค้าคงคลังที่อยู่ในระบบที่ทาให้เราต้องมีการสั่งซื้อสินค้า โดยจะแบ่งการพิจารณาจุด สง่ั ซอ้ื เปน็ 2 กรณี คือ กรณที ี่มคี วามแนน่ อนท้งั ความตอ้ งการใชส้ นิ ค้า และชว่ งเวลาของผจู้ ัดสง่ (Supplier) ถา้ ชว่ งเวลาของผู้ จัดส่ง (Supplier) เป็นศูนย์ ซ่ึงหมายถึง สั่งสินค้าแล้วได้รับสินค้าทันที จุดส่ังซื้อ (Reorder Point: ROP) เป็นศูนย์ แต่ถ้า ชว่ งเวลาไมเ่ ปน็ 0 แตม่ คี ่าเท่ากบั L จดุ ส่งั ซ้ือ (Reorder Point: ROP) = ������̅ (LT) (3) กรณีท่ี 2 เปน็ กรณีท่ีมคี วามไมแ่ นน่ อนเกดิ ข้ึน ซงึ่ อาจจะมาจากสาเหตุของความตอ้ งการการใชส้ ินคา้ ของบรษิ ทั หรือ อาจจะมาจากความไม่แนน่ อนจากช่วงเวลาของการจัดส่งจากผจู้ ดั ส่งสินคา้ ทางบรษิ ัทจงึ มสี นิ ค้าคงคลงั สารองขน้ึ สินค้าคงคลงั สารอง (Safety Stock : ss) เปน็ สนิ คา้ ท่มี ไี ว้เพื่อปอ้ งกนั ความไมแ่ นน่ อน ทีอ่ าจจะเกิดขึน้ จุดสง่ั ซอื้ (Reorder Point: ROP) = ������̅ (LT) + ss (4) 88

การประชุมสัมมนาเชิงวิชาการด้านการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน คร้งั ท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 2.1.4. การพยากรณ์แนวโนม้ (Trend Projection) เป็นการพยากรณโดยยึดข้อมูลอนุกรมเวลาในอดีตมาจัดทาเป็นกราฟ เพ่ือดูแนวโน้มของข้อมูลว่ามีแนวโน้มเพ่ิมขน้ึ หรือลดลง โดยวิธีนี้จะพยายามลากเส้นตรง (Trend Line) ซึ่งมีค่า ใกล้เคียงกับข้อมูลในอดีตมากที่สุด หรือสามารถที่จะเป็น ตัวแทนของขอ้ มลู ชุดนัน้ ได้ 2.2. งานวิจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง จุดมุ่งหมายในการศึกษาของผู้วิจัยในคร้ังนี้เพื่อต้องการแก้ไขปัญหาท่ีเกิดข้ึนในการจัดการคลังสินค้าคือ การขาด ประสิทธิภาพในการจัดการคลังสินค้า โดยการจัดผังคลังสินค้าใหม่ใช้ทฤษฎี ABC Analysis มีการคานวณปริมาณการส่ังซอ้ื ท่ี ประหยดั และจุดสงั่ ซอ้ื เพ่ือหาปรมิ าณ minimum และ maximum ของสนิ ค้าคงคลงั ปรับปรงุ วธิ ีและข้ันตอนการดาเนินงาน ใหม่ เพื่อลดเวลาในข้ันตอนต่างๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการรับสินค้า ข้ันตอนการจัดเก็บสินค้า และขั้นตอนการหยิบสินค้าจากตู้เก็บ สินค้า การพยากรณ์ยอดขายของปี 2017 โดยใช้การพยากรณ์แนวโน้ม (Trend Projection) โดยจากการค้นคว้างานวิจัยที่ เกีย่ วขอ้ ง มีงานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วข้องดงั น้ี คงกฤช ป่ินทอง: 2554 ศึกษาและสร้างสมการพยากรณ์ยอดขายของผลิตภัณฑ์ด้วยวิธีอนุกรมเวลา โดยใช้การ พยากรณ์ 3 วธิ ี คือการพยากรณ์โดยหาคา้ การเปลี่ยนแปลงตามฤดกู าล การพยากรณโ์ ดยหาคา่ แนวโนม้ และการพยากรณโ์ ดย ใช้วิธีการประยุกต์ค่าผลคณู ระหว่างค่าแนวโน้มและค่าดชั นีการเปล่ียนแปลงตามฤดกู าล (T x S) พบว่าผลิตภัณฑซ์ ีลกระโปรง หน้ารถยนต์ ผลิตภัณฑซ์ ีลกระจังหน้า และผลติ ภณั ฑ์ยางรองกระจกหลงั โดยใช้การพยากรณ์โดยหาคา่ แนวโน้ม ผลิตภณั ฑย์ าง ขอบหน้าต่างแค็บ ควรใช้วิธีการพยากรณืแบบ T x S และผลิตภัณฑ์ยางซีลกระจกหลังควรใช้การพยากรณ์โดยหาค่าการ เปลยี่ นแปลงตามฤดกู าล สุนันทา ศิริเจรญิ วัฒน์: 2555. ศึกษาเพื่อเพมิ่ ประสทิ ธิภาพในการบริการ โดยไดท้ าการศึกษา สารวจ และเก็บขอ้ มูล พบว่าสาเหตุท่ีทาให้การดาเนินงานของบริษัทขาดประสิทธิภาพคือ มีสินค้าคงคลังปริมาณสูง วิธีการจัดเก็บ และจัดวางไม่ เหมาะสม และกระบวนการเบิกจ่ายอะไหลใ่ ห้ช่างใช้เวลานานและมีข้อผดิ พลาดสูง โดยเรมิ่ จากการปรบั ปรุงวิธีการดาเนินงาน การรับสินค้า การเบิกจ่าย การปรับปรงุ จานวนรายการอะไหล่ จัดความสาคัญอะไหลด่ ้วยวิธี ABC การต้ังรหัสสนิ ค้า และการ ต้ังรหัสการจัดเก็บสินค้าในคลงั สินค้า การออกแบบแผนผังการจดั เก็บ ระบุตาแหน่งการจัดเก็บ จากนั้นทาการตรวจนับสินค้า ทั้งหมด ผลการปรับปรุงน้นั ทาให้สนิ ค้ามีความเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ยมากขึ้น เวลาเฉลยี่ ในการเบิกจ่ายอะไหล่ให้ช่างลดลงจาก 24 นาทีเป็น 11 นาทีต่อคร้ัง รวมเฉล่ียต่อวันคิดเป็น 33 นาที และอัตราส่วนความผิดพลาดในการตรวจนับสินค้าลดลงจาก 46.14 % เปน็ 21.25% 3. วธิ กี าร 3.1. ศึกษากระบวนการทางานของคลังสินค้า จากการศึกษาพบว่าบริษัท เอบิซ เทคโนโลย่ี จากัด มีสินค้าท่ีอยู่ใน คลังสินคา้ แบ่งเป็น 5 ประเภท คือ 1. ไฟ 2. เลนส์ 3. กล้อง 4. เซ็นเซอร์ และ 5. อุปกรณ์เสริม โดยมีสินค้าทอี่ ยูใ่ นคลังสินค้า ทั้งหมด 129 รายการ มีกระบวนการทางานของคลังสินค้าคือ การสั่งซื้อสินค้า การรับสินค้า การจัดเก็บสินค้า และการหยิบ สนิ คา้ จากตหู้ ยบิ สินค้า 3.2. แนวทางการแก้ไขปรับปรุง 3.2.1. การจัดผังคลงั สนิ คา้ ใหม่ โดยจัดแบ่งเปน็ โซน (Zone) โดยใชท้ ฤษฎี ABC Analysis ใหก้ บั สินค้าแต่ละกลุม่ ซึง่ จะแบ่งตามอัตราการเคลือ่ นไหวของสนิ ค้า 89

การประชุมสัมมนาเชงิ วชิ าการด้านการจดั การโลจสิ ติกสแ์ ละโซอ่ ปุ ทาน ครงั้ ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวศิ วกรรมอตุ สาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 3.2.2. ปรับปรุงวธิ แี ละข้ันตอนการด้าเนินงานใหม่ เพื่อลดเวลาในข้ันตอนต่างๆ ตง้ั แตข่ ้นั ตอน การรับสินค้า ขั้นตอนการจัดเก็บสนิ คา้ และข้ันตอนการหยิบสินค้าจากตู้เก็บสนิ ค้า โดยทาการทดลองสมุ่ หยิบสินคา้ ท้ังกอ่ นและหลงั ปรบั ปรงุ การจัดเก็บสินค้า เป็นเวลาสองสปั ดาหเ์ พ่ือหาค่าเฉล่ยี ในการหยิบสินค้า 3.2.3. การหาปรมิ าณ minimum และ maximum ของสินค้าคงคลงั 3.2.4. การพยากรณ์ยอดขายของปี 2017 โดยใชก้ ารพยากรณ์แนวโนม้ (Trend Projection) เป็นการพยากรณ์จากข้อมูล ยอดขายของแต่ละเดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม ปีพ.ศ. 2556 ถึงเดือนธันวาคม ปีพ.ศ. 2559 เพื่อ พยากรณ์ยอดขายในปี 2560 แล้วลองเปรียบเทียบกบั การพยากรณ์ยอดขายท่ที าโดยพนกั งานขายของบริษัท 4. ผลของการวจิ ยั 4.1. การจดั ผงั คลงั สนิ คา้ ใหม่ 4.1.1. การจดั กลุ่มสนิ คา้ คา้ คงคลังตามทฤษฎี (ABC Analysis) โดยแบง่ กลุ่มตามมูลค่าของตน้ ทุนการขาย ซ่งึ มาจากปรมิ าณการขายสินค้าต่อปี และต้นทุนของสนิ ค้า สามารถแบง่ สนิ คา้ เป็น กลมุ่ A, กลมุ่ B และ กลุ่ม C 4.1.2. การปรับปรุงพ้นื ท่ีจดั เกบ็ สินคา้ การแยกประเภทของสินคา้ และขนาดกล่องเพือ่ ดู ความสามารถในการจัดเก็บเข้าตูส้ ินค้า 4.1.3. การทดลองหยิบสินคา้ ทัง้ กอ่ น และหลังปรับปรงุ โดยทดลองสุ่มหยิบสนิ ค้าท่ีอยใู่ นแตล่ ะ ตาแหน่งของชั้นวาง และสินค้ากลุ่ม A B และ C เพ่ือให้สามารถสุ่มหยิบสินค้าได้ครบทุกตาแหน่ง เป็นจานวนรายการละ 10 ครัง้ จากนั้นหาค่าเฉลี่ยเพือ่ เปรียบเทยี บระยะทาง และเวลาในการหยบิ สนิ ค้า 4.2. ปรับปรุงวิธแี ละข้ันตอนการดาเนนิ งานใหม่ หลังจากท่ีได้วิเคราะห์วิธีและขั้นตอนการดาเนินงาน ผู้ศึกษาได้ทาการปรับปรุงกระบวนการเบิกสินค้า และ กระบวนการจัดเก็บสินค้า โดยได้เพิ่มรายการรหัสสินค้าในไฟล์ข้อมูลสาหรับการตรวจสอบรายการและจานวนของสินค้าใน คลังสินค้า และได้จัดเรียงกระบวนการทางานใหม่ เพื่อเป็นการลดเวลาในการทางาน และพนักงานทางานได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากข้นึ และลดการผิดพลาดให้น้อยลง และในกระบวนการทางานไดม้ ีการเพ่ิมข้นั ตอนการทางาน ที่ 2 ตรวจสอบ ตาแหน่งสินค้าจากไฟลข์ ้อมูล โดยการปรับปรงุ ไฟล์ข้อมูล เพิ่มช่องรหัสบอกตาแหน่งของสินคา้ แต่ละรายการ และปริมาณจดุ สง่ั ซือ้ ซ้าของสนิ ค้า เพื่อความสะดวก และรวดเรว็ ในการค้นหาตาแหนง่ สินคา้ 5. สรปุ และบทวจิ ารณ์ 5.1. การจัดผังคลังสินค้าใหม่ การแบ่งประเภทสินค้าค้าคงคลังตามทฤษฎี (ABC Analysis) โดยแบ่งกลุ่มตามมูลค่า ของต้นทุนการขาย ซ่ึงมาจากปรมิ าณการขายสนิ ค้าต่อปี และต้นทุนของสนิ ค้า เพ่อื ที่จะไดส้ ามารถทาการจัดเกบ็ สนิ คา้ เป็นโซน (Zone) ได้อย่างถูกต้อง และทาการควบคุมสินค้าแต่ละกลุ่มด้วยหลักการเข้าก่อนออกก่อน (FIFO) สามารถแบ่งสินค้าเป็น กลมุ่ A, กล่มุ B และ กลมุ่ C ดังน้ี • กลมุ่ A มีเปอร์เซน็ ตม์ ลู ค่าหมุนเวียนรวม 49.70% จานวนท้งั สน้ิ 4 รายการ คิดเป็น 3.10% ของรายการทง้ั หมด • กล่มุ B มีเปอร์เซน็ ต์มลู คา่ หมุนเวยี นรวม 36.77% จานวนทั้งสนิ้ 21รายการ คดิ เป็น 16.28% ของรายการทงั้ หมด • กลมุ่ C มีเปอร์เซ็นตม์ ลู คา่ หมุนเวียนรวม 13.52% จานวนทัง้ ส้นิ 104 รายการ คิดเป็น 80.62% ของรายการทั้งหมด 90

การประชุมสมั มนาเชงิ วชิ าการด้านการจดั การโลจิสตกิ ส์และโซ่อปุ ทาน คร้ังที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวิศวกรรมอตุ สาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 5.2. ปรับปรุงวิธีและข้ันตอนการดาเนินงานใหม่ ได้ทาการปรับปรงุ กระบวนการเบกิ สนิ ค้า และกระบวนการจดั เกบ็ สินค้า โดยได้เพ่ิมรายการรหัสสินค้าในไฟล์ข้อมูลสาหรับการตรวจสอบรายการและจานวนของสินค้าในคลังสินค้า และได้ จัดเรียงกระบวนการทางานใหม่ จากการทดลองสุ่มหยิบสินค้า ซ่ึงเป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการเบิกสนิ ค้า พบว่าหลังมีการ ปรับปรุงขั้นตอนการทางานแล้ว ทาให้สามารถลดเวลาการทางาน จาก 46 นาที เหลือ 31.91 นาที คิดเป็น 30.9% สาหรับ ระยะทางในการเดินของพนักงาน ลดจาก 50.72 เมตร เหลือ 48.14 เมตร คิดเป็น 5.08% และในกระบวนการจัดเก็บสินค้า พบว่าหลังมีการปรับปรุงขั้นตอนการทางานแล้วทาให้สามารถลดเวลาการทางาน จาก 42 นาที เหลือ 35.91 นาที คิดเป็น 14.5% สาหรับระยะทางในการเดนิ ของพนักงาน ลดจาก 50.72 เมตร เหลอื 50.14 เมตร คดิ เป็น 1.14% 5.3. การหาปรมิ าณ minimum และ maximum ของสินคา้ คงคลัง โดยการคานวณหาปรมิ าณการส่ังซอื้ ที่ประหยัด (EOQ) และการหาจุดสั่งซ้ือ (ROP) ของสินค้ากลุ่ม A และ B เพ่ือให้สามารถกาหนดค่าที่ต้องทาการสั่งซ้ือสินค้า และต้องซื้อ ปริมาณเทา่ ไหร่ สามารถควบคมุ ปรมิ าณของสนิ คา้ คงคลงั และสามารถรู้คา่ minimum maximum ว่าควรเป็นเท่าไหร่ ซ่งึ เป็น สินคา้ ในกลุ่ม A และ B ที่มีความสาคญั ตอ่ บรษิ ัท 5.4. การพยากรณย์ อดขายของปี 2017 โดยใช้การพยากรณ์แนวโนม้ (Trend Projection) 7,000,000.00 6,000,000.00 5,000,000.00 4,000,000.00 3,000,000.00 2,000,000.00 1,000,000.00 0.00 Sale 2014 Sale 2013 Sale 2015 Sale 2016 Forecast 2017 (Trend) Forecast 2017 (Team Sales) แผนภูมทิ ่ี 1 เปรยี บเทียบการพยากรณ์ยอดขายในปพี .ศ. 2560 (ค.ศ.2017) ระหว่างการใช้ trend projection และ การพยากรณ์โดยพนักงานขาย จะเห็นว่าในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2017 มีการคาดการณ์ค่าไว้สูงเกินกว่าการพยากรณ์โดยใช้ Trend Projection ค่อนข้างมาก หรืออย่างเช่นในเดือนธันวาคม จากสถิติตั้งแต่ปี 2013 – ปี 2016 ยอดขายมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่พนักงานขายมี การพยากรณ์ยอดขายไว้คอ่ นข้างตา่ ซ่ึงการพยากรณน์ ้ีจะส่งผลต่อการประมาณค่าใช้จา่ ยต่างๆ ของบริษัท รวมถึงค่าใช้จ่ายใน เรื่องการจัดเกบ็ สนิ คา้ คงคลังด้วย 91

การประชมุ สมั มนาเชงิ วิชาการด้านการจัดการโลจสิ ตกิ สแ์ ละโซ่อุปทาน ครัง้ ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวิศวกรรมอตุ สาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 5.5. การวเิ คราะหก์ ลยทุ ธ์ทางธรุ กิจของบรษิ ทั การวิเคราะห์กลยุทธ์เป็นแนวทางหนึ่งที่ใช้สาหรับการวัดผลในการทาธุรกิจ รู้ว่าบริษัทต้องการอะไร จะเติบโตไป ทศิ ทางไหน และสามารถชว่ ยวเิ คราะหแ์ ละวางแผนการตั้งงบประมาณของบรษิ ัทได้ 5.6. บทวจิ ารณ์ 5.6.1 สา้ หรับการศึกษาครง้ั น้ี ด้านขอบเขตของการทางาน บริษทั ควรแบ่งแยกลักษณะ ขอบเขต และหนา้ ทกี่ ารทางานของพนกั งานแตล่ ะคนอย่าง ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน เกิดการทางานซ้าซ้อน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของการทางาน และการประเมิณผลงานของ พนักงาน ด้านการพัฒนาและฝึกอบรมให้ความรู้แก่พนักงาน เป็นการส่งเสริมให้พนักงานมีความรู้ในการ ปฏิบัติงานอย่าง แทจ้ รงิ ด้านการวัดผล และประเมิณคุณภาพ ควรมีการกาหนดตัวช้ีวัดให้กับพนักงาน ในกรณีที่พนักงานทางานบกพร่อง ก็ ต้องมีบทลงโทษ ตักเตือนเพื่อใหแ้ ก้ไขปรับปรุง กรณีที่พนักงานทางานไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ ก็ต้องมีผลตอ่ โบนัส หรือรางวัล พิเศษอ่ืนๆ เป็นต้น 5.6.2. ส้าหรับการศกึ ษาในคร้ังต่อไป ข้อจากัดในด้านการเก็บข้อมูล เน่ืองจากข้อมูลบางส่วนพนักงานคลงั สินค้าไม่ได้เป็นผเู้ ก็บข้อมูล ทาให้ต้องขอข้อมูล จากส่วนอ่ืน ซึ่งเป็นไปได้ยาก ดังน้ันสาหรบั การศึกษาครง้ั ตอ่ ไปควรมีการตดิ ต่อประสานงานกับสว่ นอ่ืนๆ เพื่อให้รวดเร็วและมี ขอ้ มูลตามท่ตี ้องการ ขอ้ จากัดดา้ นพื้นที่การทางาน เน่ืองจากบรษิ ัทเป็นลักษณะอาคารที่นามาปรับปรงุ เป็นสานักงาน ทาใหม้ ีพ้นื ทีใ่ นส่วน ของคลังสนิ คา้ ค่อนขา้ งเล็ก ทาใหก้ ารปรบั ปรุงต่างๆเป็นไปได้ยาก ดังนั้นสาหรบั การศึกษาในครั้งตอ่ ไปควรมีการวางแผนสารอง ไว้ เอกสารอา้ งอิง คงกฤช ปิ่นทอง. 2554. “การพยากรณ์การผลิตชิ้นส่วนยางในรถยนต์ กรณีศึกษา อีโนเว รับเบอร์ (ประเทศไทย) จากัด (มหาชน).” ปรญิ ญา บริหารธรุ กจิ มหาบณั ฑติ วิชาเอกการจัดการวิศวกรรมธุรกิจ มหาวิทลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญญบุรี. ชัยวัฒน์ กอบแก้ว. 2555. “การจัดการสินค้าคงคลัง กรณีศึกษา บริษัทซ้ือขายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์.” ปริญญา วศิ วกรรมศาสตรม์ หาบณั ฑิต เทคโนโลยีมหานคร. ปริวิทย์ เลียบสื่อตระกูล. 2553. “การศึกษาการเพ่ิมประสิทธิภาพสินค้าคงคลัง บริษัท AAA จากัด.” ปริญญาบริหารธุรกิจ มหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการโลจสิ ติกส์ มหาวทิ ยาลัยหอการค้าไทย. ลักขณา ชัยพัฒนานนท์. 2552. “การจัดการคลังสินค้าบริษัท ไดก้า (ไทย) จากัด.” ปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวทิ ยาลัยกรุงเทพ. สุนันทา ศิริเจริญวัฒน์. 2555. “การเพ่ิมประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้า กรณีศึกษา บริษัท ภูมิไทย คอมซีส จากัด.” ปรญิ ญาบรหิ ารธุรกิจมหาบณั ฑติ สาขาวิชาการจัดการโลจสิ ตกิ ส์มหาวทิ ยาลยั หอการคา้ ไทย. ศรสี กุล บุญม.ี 2557. “การสร้างความสามารถในการแขง่ ขนั กระบวนการโลจิสติกส์ กรณีศึกษา บรษิ ัท XXX จากัด.” ปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการจดั การโลจสิ ติกส์ มหาวทิ ยาลัยหอการคา้ ไทย. James, A.T. and Jerry, D.S. 1998. “The Warehouse Management Handbook”, second edition, Tompkins press, pp. 822-848 92

การประชุมสัมมนาเชงิ วิชาการด้านการจดั การโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน คร้งั ท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวศิ วกรรมอตุ สาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 Topic C: Inventory and Warehouse Management Paper ID: IW 02 การเพม่ิ ประสิทธภิ าพ 3PLs WH ดว้ ยหลกั การ Lean กรณีศึกษา บริษทั MMM จากัด นันทิชา ธนเจริญจารัส1*, วรินทร์ วงษ์มณ2ี 1* บณั ฑิตวทิ ยาลยั สาขาวิชาการจดั การโลจสิ ตกิ ส์ คณะบรหิ ารธุรกิจ มหาวิทยาลยั หอการคา้ ไทย โทร 062-247-1942 E-mail: [email protected] 2 คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั หอการคา้ ไทย โทร 0-2697-6705 โทรสาร 0-2275-4892 E-mail: [email protected] บทคัดย่อ การศึกษาคร้ังนี้เป็นการศึกษาเพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพคลังสินค้าของบริษัทผู้ให้บริการโลจิสติกส์ (3PLs WH) โดยมี เป้าหมายให้กระบวนการจัดเตรียมสินค้ามีข้ันตอนการปฏิบัติงานท่ีซับซ้อนน้อยลง มีการบริหารจัดการการทางานระหว่าง 3PLs และ บริษัท MMM ให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการดาเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกัน ทั้งยังสามารถลดต้นทุน การดาเนินงานให้ต่าลงได้ โดยมุ่งเน้นหาวิธีการแก้ปัญหา 3 ลักษณะเพื่อตอบสนองตัวชี้วัดขององค์กร คือ ปัญหาการเล่ือน จัดส่งเน่ืองจาก 3PLs WH ไมส่ ามารถตอบสนองต่อปรมิ าณงานทเี่ พิม่ ขนึ้ หรืองานเรง่ ด่วนจากความตอ้ งการทีผ่ นั แปรของลูกค้า บริษัท MMM ปัญหาการติดลาเบลผดิ พลาดเนือ่ งมาจากปริมาณงานจานวนมากทเ่ี ข้ามาต่อเนอ่ื ง และปัญหาแนวโน้มคา่ ใชจ้ า่ ย คลงั สนิ คา้ 3PLs สูงขึน้ รวมทั้งการพยายามขอปรับข้ึนราคาค่าบรกิ ารจาก 3PLs ผศู้ ึกษาไดใ้ ช้แผนภูมกิ ารไหลของกระบวนการ เพือ่ แสดงใหเ้ หน็ ถึงกจิ กรรมท่ไี ม่ก่อให้เกดิ มลู ค่า โดยผลการศึกษาพบวา่ กระบวนการจัดเตรยี มสินคา้ น้ันใชเ้ วลานานเน่ืองจากมี การลาดับงานไม่เหมาะสม ทาให้เกิดการรอคอยท่ีข้ันตอนการป้อนข้อมูลเพ่ือทาการพิมพ์ลาเบล มีขั้นตอนตรวจสอบซ้าซ้อน กระบวนการทางานโดยรวมใช้เวลานานจนทาให้เกิดปัญหาการเลอ่ื นจัดส่ง พนักงานเกิดความอ่อนลา้ จากชั่วโมงการทางานท่ี ยาวนานเกิน 8 ช่ัวโมง ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดในกระบวนการจัดเตรยี มสินค้า และเกิดค่าใช้จ่ายจากการดาเนินการแกไ้ ข งานทีผ่ ิดพลาด ซึ่งปจั จยั ทง้ั หมดสง่ ผลกระทบโดยตรงตอ่ ความเช่ือม่นั และระดบั ความพึงพอใจของลูกค้าตอ่ บริษทั MMM ผู้ศึกษาจึงนาหลักการลีน ซ่ึงแนวคิดขจัดความสูญเปล่า 7 ประการ (7Waste) และ ECRS มาประยุกต์ใช้ เพื่อ ปรับปรุงและเพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพการบริหารจัดการคลังสินค้าของบริษัท MMM โดยการลดการสูญเสียจากการดาเนินงาน เพอ่ื ให้ต้นทุนการดาเนินงานต่าทส่ี ดุ ควบคุมและรักษาระดับการใหบ้ ริการ 3PLs WH หลงั จากการปรับปรงุ ดว้ ยแนวคิดข้างต้น สามารถลดเวลาท่ีใช้ในการจัดเตรียมสินค้าลง จาก 189 วินาทีเป็น 149 วินาที ด้วยแนวทางน้ีพบว่าเม่ือนามาเปรียบเทียบ ปรมิ าณชว่ั โมงการทางานในปี 2016 กอ่ นและหลงั การปรบั ปรุง จะช่วยใหช้ ัว่ โมงการทางานโอทลี ดลงได้ 50.69 เปอรเ์ ซน็ ต์ อกี ทง้ั นามาซ่ึงโอกาสแก่บริษัท MMM ในการเจรจาตอ่ รองลดตน้ ทนุ คา่ บรกิ ารกบั 3PLs ในอนาคต และเปอรเ์ ซน็ ตป์ ระสทิ ธิภาพ เพม่ิ ขน้ึ จาก 65 เปอรเ์ ซน็ ต์ เปน็ 81 เปอรเ์ ซน็ ต์ คาสาคญั : Lean ; Seven waste; ECRS; 3PLs; Warehouse. 93

การประชมุ สัมมนาเชงิ วชิ าการด้านการจดั การโลจิสติกสแ์ ละโซ่อปุ ทาน คร้ังที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 1.ทมี่ าและความสาคญั การใช้ผู้ให้บริการภายนอกองค์กร (Outsource) น้ันเริ่มมีอย่างจริงจังตั้งแต่ศตวรรษที่ 21 แนวคิดของการจัดการ กิจกรรมภายในธุรกิจส่วนมากนั้นมีวิธีการที่จะมุ่งเน้นไปท่ีการจัดการเฉพาะด้านท่ีสาคัญของบริษทั (Core Business) หลายๆ บริษัทมีการใช้บริการว่าจ้างใหบ้ รษิ ัทผู้เชี่ยวชาญในดา้ นต่างๆมาทาหน้าท่ีแทน ยกตัวอย่างเช่นในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศใน การช่วยจัดการระบบและซอฟตแ์ วร์ ซงึ่ การใชบ้ ริการเหล่านไ้ี ดช้ ว่ ยบริษทั ฯในการดาเนินธุรกิจแทนการจัดการและเผชิญปัญหา ด้านเทคนิคด้วยตนเอง จะเห็นได้ว่าการพ่ึงพาผู้เช่ียวชาญภายนอกน้ีถูกใช้เสมอ สาหรับกิจกรรมด้านโลจิสติกส์ก็เช่นเดียวกัน บริษัทระดับโลก เช่น COSCO, Deutsche Post, FedEx เป็นผู้ให้บริการการขนส่งและโลจิสติกส์หลากหลายรูปแบบให้กับ บุคคลและบริษัททั่วโลก ผู้ให้บริการเหล่านี้ถูกเรียกว่า Third Party Logistics Providers หรือ 3PLs เป็นผู้ชานาญด้านการ จัดการไหลของสนิ ค้า ซ่ึงช่วยใหล้ กู ค้ามงุ่ ไปที่กิจกรรมดา้ นอ่ืนๆหรือกจิ กรรมที่สาคัญกว่าแทน จึงอาจกล่าวได้วา่ ผลกระทบของ การบริการการขนส่งและกิจกรรมโลจิสติกส์นั้นเกี่ยวข้องกับความสาเร็จของบริษัทโดยตรง หลายธุรกิจจึงมีการเพิ่ม ประสิทธิภาพของกิจกรรมโลจิสติกส์โดยนาแนวคิดลีนที่ให้ความสาคัญด้านการลดความสูญเสียในกระบวนการ บริหาร ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพ่ือเพ่ิมผลิตผลของธุรกิจและลดต้นทุนอันเกิดจากการใช้ทรัพยากรน้อยลง สามารถ ตอบสนองความตอ้ งการไดต้ รงตามเวลาซงึ่ ส่งผลใหบ้ ริษทั เพ่มิ ขดี ความสามารถทางการแขง่ ขันได้ ดงั นั้นเพื่อความสาเรจ็ ในการ ดาเนินธุรกิจและได้รับประโยชน์จากการใช้บริการด้านโลจิสติกสก์ ับ 3PLs อย่างย่ังยืน ผู้ศึกษาได้ศึกษาคลังสินค้า 3PLs ของ บริษัท MMM จากัด ซึง่ มีลักษณะการดาเนนิ ธรุ กจิ ประเภทซอื้ มาขายไป (Trading Business) ธรุ กจิ ทมี่ วี ตั ถุประสงคใ์ นการซอ้ื - ขายสินค้า หรือเป็นคนกลางในการซื้อขายสินค้า เพ่ือขายให้กับบริษัทญี่ปุน่ ในกลมุ่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกสใ์ นประเทศไทย จากการวิเคราะหแ์ ละเก็บข้อมูลสภาพปัญหาการทางานปจั จุบันที่เกิดขน้ึ จริงทีส่ ง่ ผลกระทบตอ่ ตัวชี้วัดและการดาเนนิ งานของ บริษัท MMM จากัด สามารถสรุปปัญหาได้ 3 ลักษณะดังน้ี คือ 1.ปัญหาการเล่ือนจัดส่งเนื่องจาก 3PLs WH ไม่สามารถ ตอบสนองต่อปริมาณงานท่ีเพิ่มข้ึนหรืองานเร่งด่วนจากความต้องการท่ีผันแปรของลูกค้าบริษัท MMM 2.การติดลาเบล ผิดพลาดเนอื่ งมาจากปรมิ าณงานจานวนมากท่ีเขา้ มาต่อเน่ือง 3.แนวโน้มคา่ ใช้จา่ ยคลงั สินคา้ 3PLs สงู ขนึ้ และการพยายามขอ ปรบั ข้ึนราคาค่าบรกิ ารจาก 3PLs (ดงั รปู ท่ี 1,2 แสดงให้เหน็ ถึงปริมาณไอเท็มท่ีสงู ขึ้น 61.53% และคา่ บรหิ ารจดั การคลงั สนิ คา้ ที่เพ่ิม 7% จากปี 2015) รูปท่ี 1 เปรียบเทยี บปริมาณไอเทม็ ปี 2015 กับ 2016 รูปที่ 2 เปรียบเทยี บคา่ บรกิ าร3PLs ปี 2015และ2016 ผ้ศู ึกษาจึงนาแนวคดิ ลนี ประยุกตใ์ ช้เพ่ิมประสิทธภิ าพและให้บรรลุวตั ถุประสงคข์ องการศกึ ษาครั้งน้ี คอื 1.เพ่อื ศกึ ษา ปญั หาและสาเหตุของกระบวนการทางานใน 3PLs WH 2.เพ่อื พัฒนาปรบั ปรุงประสทิ ธิภาพการทางานของ 3PLs WH 3.เพ่อื หาวธิ ีปรบั จานวนพนักงานใหเ้ พียงพอและเหมาะสมต่องาน 4.เพื่อลดค่าใชจ้ ่ายใน 3PLs WH 94

การประชมุ สัมมนาเชิงวิชาการด้านการจัดการโลจสิ ตกิ ส์และโซอ่ ุปทาน ครง้ั ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 2. ทฤษฏพี ้ืนฐานและงานวจิ ัยทเ่ี กีย่ วขอ้ ง 2.1 ทฤษฎีพื้นฐาน และแนวคิด (1) ทฤษฏกี ารจัดการคลงั สนิ คา้ (Warehouse Management) (2) แนวคิดความสญู เปลา่ (Waste/Muda) 7 ประการ (3) ทฤษฏแี ผนผังสายธารคณุ คา่ (4) หลักการ ECRS 2.2 งานวิจยั ทีเ่ กี่ยวข้อง ขวญั ใจ โชคไพบลู ย์ (2555) ได้ทาการศึกษาเร่ือง “การประยุกตใ์ ชร้ ะบบการผลติ แบบลนี :กรณศี ึกษากระบวนการ ผลิตสิง่ พิมพ”์ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการศึกษาเพ่อื นาแนวคดิ ลนี มาใชใ้ นกระบวนการผลติ ส่งิ พิมพ์และวิเคราะหห์ ากจิ กรรมท่ไี ม่ เกิดคุณคา่ ในกระบวนการผลติ จากการศึกษาทาใหส้ ามารถปรับปรงุ ขน้ั ตอนกระบวนการทางานและทาให้เปอร์เซน็ ต์เวลาสญู เปลา่ จากการปรบั ตง้ั เคร่ืองจกั รลดลง สถาพร ดารงศักด์ิ (2557) ได้ทาการวจิ ยั เรื่อง “การประยุกตใ์ ชห้ ลกั การลีนในการเพ่มิ ประสทิ ธิภาพกระบวนการ บรรจุนา้ ตาลทราย กรณีศึกษา บรษิ ัท M.P.V. จากัด” โดยการนาแนวคดิ ลีนมาประยกุ ตใ์ ช้ โดยการศกึ ษาพบวา่ การลาดบั ขั้นตอนการทางานใหม่ทาให้สามารถปอ้ งกนั และลดปรมิ าณของเสียทีเ่ กดิ จากกระบวนการบรรจลุ ง และต้นทุนแรงงานลดลง จากการปรบั ปรุงกระบวนการทางาน 46.67% ลดเวลาสญู เสยี ของกิจกรรมในกระบวนการบรรจุ ซึ่งเวลาท้งั หมดท่คี านวณ ออกมาสามารถบรรจสุ นิ คา้ ถึง 102,423 กระสอบ/ปี ลัคนา กวินกิจจาพร (2555) ได้ศึกษาเรื่อง “การนาเทคนิคการผลิตแบบลีนมาประยุกตใ์ ช้:กรณีศึกษา จอย สปอรต์ จากัด” ได้ศึกษากระบวนการผลติ เรือคายคั โดยนาระบบการผลติ แบบลีนมาปรบั ปรงุ การดาเนนิ งาน สามารถลดระยะเวลาทใ่ี ช้ ในการผลิต ผลรวมของรอบเวลาในกระบวนการผลิตแต่ละสถานีต่าลง ลดความสูญเสียจนทาให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง ผลิต ภาพเพ่ิมขึ้นตามลาดับ พฤทธพิ งศ์ โพธวิ ราพรรณ (2548) ทาการวจิ ยั “การประยกุ ต์ใช้การผลติ แบบลนี ในอตุ สาหกรรมผสม (แบบต่อเนอื่ ง- แบบช่วง) : กรณีศึกษาโรงงานผลิตเหล็กรูปพรรณ” การวิจัยได้นาแผนภูมิสายธารคุณค่าจาแนกคุณค่าของกระบวนการผลิต ทาแบบจาลองสถานการณ์เพื่อวิเคราะห์ทางเลอื ก,ประเมนิ และพัฒนาแผนภูมิสายธารคุณค่า โดยสามารถขจัดความสูญเปลา่ ระยะเวลาการผลิตรวมจาก 16.24 วัน เป็น 8.56 วัน หรือร้อยละ 47.30 ลดสินค้าคงคลังระหว่างกระบวนการลงจาก 96.35 ตนั ต่อวัน เหลอื 10.62 ตนั ต่อวนั คดิ เปน็ ร้อยละ 88.98 จากน้นั นามาสร้างแผนภูมสิ ายธารคุณค่าสถานะอนาคต ฐิติพร มุสิกะนันทน์ (2558) ได้วิจัยเร่ือง “การประยุกต์ใช้หลักการผลิตแบบลีนในการเพิ่มกาลังการผลิตของ กระบวนการผลิตปลาเส้น” โดยการวิจัยได้สร้างแผนภาพกระแสคุณค่าแสดงสถานะปัจจุบันของกระบวนการผลิตปลาเส้น จากน้ันวิเคราะห์ปัญหาและระบุความสูญเปล่าและค้นหาความสูญเปล่าที่หลงเหลือด้วยการวิเคราะห์กระบวนการ มีการใช้ Solution matrix diagram เพื่อคัดเลือกแนวทางที่จะนาไปปฏิบัติจริง จากนั้นปรับปรุงตามหลักการ ECRS แล้วนามาสร้าง แผนภาพกระแสคุณค่าแสดงสถานะอนาคต พบว่าสามารถทาให้กาลังการผลติ เพ่ิมข้ึนจาก 396.2 กโิ ลกรมั ตอ่ วนั เปน็ 515.73 กโิ ลกรัมตอ่ วัน เมอ่ื นาแนวทางนาเสนอประยกุ ต์ใชจ้ ริง พบวา่ รอบเวลาการผลติ รวมของปลาเส้นลดลงร้อยละ 24.79 กาลังการ ผลิตของกระบวนการมีค่าเท่ากับ 544.05 กิโลกรัมต่อวัน หรือเพิ่มข้ึนร้อยละ 37.31 ผลิตภาพแรงงานของกระบวนการผลิต ปลาเส้นเพิ่มขนึ้ ร้อยละ 52.09 ทาให้สามารถลดต้นทุนดา้ นแรงงานได้ 196,560 บาทตอ่ ปี 3.วธิ ีการศกึ ษา ผู้ศึกษาได้เก็บข้อมูลต้ังแต่เดือน ตุลาคม ถึง ธันวาคม 2559 มีจานวนพนักงาน 6 คน การจัดเตรียมสินค้าจะเร่มิ ตน้ จากพนักงานคนท1ี่ รับไฟล์ส่งั งาน Delivery Request จากนนั้ ทาการแปลงไฟลเ์ ขา้ ระบบเพอ่ื สร้างใบรายการตรวจสอบ 95

การประชมุ สัมมนาเชิงวชิ าการด้านการจัดการโลจสิ ติกสแ์ ละโซ่อปุ ทาน ครง้ั ท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวศิ วกรรมอุตสาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 (Order check list) และรายการเบิกสินคา้ (Picking list) กระบวนการถดั ไปพนกั งานคลังสินคา้ 5 คนจะดาเนนิ การเบกิ สินคา้ และย้ายไปท่ีจุดจัดเตรียมสินค้าที่ละชิ้นงานเพ่ือจดรหัสการผลิต (Lot number) จานวนและขนาดของกล่องแบ่งบรรจุและ จานวนลาเบลด้านใน (Inner Label) เม่ือเสร็จส้ินจะส่งข้อมูลทั้งหมดไปที่พนักงานคนท่ี 1 อีกครั้งทาการตัดสินค้าออกจาก ระบบ และปรินท์ลาเบลตามรายการท่ีพนักงานทั้ง 5จดไว้ เมื่อปรินท์ลาเบลเสร็จส้นิ จะทาการตรวจสอบลาเบลเทียบกับใบส่งั งาน (Delivery Request) เม่ือขั้นตอนน้ีเสร็จส้ิน พนักงาน 4 คนจาก 5 คนจะเริ่มดาเนินการต่อไป คนท่ีสองติดลาเบลลงบน ชิ้นงานจากนั้นคนท่ีสามจึงทาการตรวจสอบ Inner label / Barcode คู่กับลาเบลผู้ผลิต (Supplier Label) และ Delivery Request จากน้ันพนักงานคนที่สี่จะตรวจสอบยอดรวมสินค้าที่ลาเบลด้านนอก (Outer label) เทียบคู่กับจานวนบน Inner label ขน้ั ตอนสดุ ทา้ ยพนักงานคนท่หี า้ จะทาการบรรจุลงกล่องพรอ้ มแผน่ กนั กระแทกแลว้ ปดิ ผนึก ดงั รูปท่ี 3 รูปที่ 3 รปู แบบกระบวนการทางานปัจจบุ ัน ด้วยลักษณะดาเนินงานดังกล่าวน้ีผู้ศึกษาเก็บข้อมูลและใช้แผนภูมิกระบวนการเพ่ือแสดงกระบวนการไหลของงาน จาแนกให้เหน็ ถึงกิจกรรมท่ีเกิดมลู คา่ (Valued added :VA) ไม่กอ่ ใหเ้ กดิ มูลค่า (Non Valued added :NVA) รูปที่ 4 แผนภมู กิ ารไหลของกระบวนการจดั เตรียมสนิ คา้ ก่อนปรบั ปรุง จากการวิเคราะห์แผนแสดงกจิ กรรมการจัดเตรียมสนิ ค้าก่อนการปรบั ปรงุ จนได้ข้อมลู สรปุ ผลการทางานปจั จบุ ัน ดัง ตารางท่ี 1 96

การประชุมสัมมนาเชิงวิชาการด้านการจัดการโลจสิ ติกส์และโซ่อปุ ทาน ครั้งท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวศิ วกรรมอตุ สาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 ตารางที่ 1 เวลาใชใ้ นการจดั เตรยี มสนิ ค้าแต่ละกจิ กรรมและ % ประสทิ ธภิ าพ (ก่อนปรบั ปรุง) ขน้ั ตอนการทางาน VA / NVA เวลา (วนิ าท)ี งานก่อนหน้า - 1. แปลงไฟล์และปลอ่ ยใบเบิกสนิ คา้ VA 31 1 2 2. เบกิ สินค้าตามใบรายการ VA 50 3 3. ยา้ ยสินค้ามาท่ีจุดจัดเตรยี ม NVA 10 4 4. จดรหัสการผลิตและจดั ทารายการกลอ่ งบรรจุ NVA 9 5 6 (รอลาเบล) NVA 15 7 8 5.ป้อนข้อมูลรหสั สนิ ค้าและจานวนกลอ่ งเขา้ ระบบ NVA 7 9 6. ปรินทล์ าเบล VA 1 10 7. ตรวจสอบลาเบลกบั ใบสั่งสินค้า NVA 7 8. ตดิ ลาเบล VA 10 9. ตรวจสอบการตดิ ลาเบลกล่องใน,บารโ์ ค้ด NVA 8 10. ตรวจสอบจานวนกับยอดรวมท่ตี ดิ ลาเบล NVA 10 กล่องนอก 11. บรรจลุ งกลอ่ งพรอ้ มแผ่นกนั กระแทก VA 31 รวม 65% 189 จากตารางท่ี 1 เมอ่ื วิเคราะหจ์ ะพบปัญหา คือ (1) มกี ารลาดับงานไมเ่ หมาะสม เมื่อขนั้ ตอนท่ี 2-4 เสรจ็ สนิ้ พนกั งาน ที่ทากิจกรรมต่อไปต้องเสียเวลารอคอยพนักงานคนที่ 1 เป็นผู้ปฏิบัติงานในข้ันตอนที่ 5-7ทาให้เกิดการรอคอย15 วินาทีต่อ 1 ไลน์ไอเท็ม จากน้ันจึงเรมิ่ ที่ขน้ั ตอน 8 เปน็ ตน้ ไปได้ (2) มกี ารตรวจสอบซา้ ซอ้ น ทีข่ ้ันตอน7,9,10 (3) มกี ารเคลื่อนย้ายสนิ คา้ ต่อ ชิ้นงานมาที่จดุ จัดเตรยี มในขั้นตอน 3 โดยท้ัง 3 ข้อนั้นเป็นปัจจัยท่ีสง่ ผลให้กระบวนการทางานของคลังสินค้า 3PLs เกิดความ ล่าช้าและขาดประสิทธภิ าพ 4.ผลการศึกษา เมื่อนาแนวคิดความสูญเสีย 7 ประการ และ หลัก ECRS ท่ีประกอบด้วย การกาจัด (Eliminate) การรวมกัน (Combine) การจัดใหม่ (Rearrange) และ การทาให้ง่าย (Simplify) มาประยุกต์ใช้ สามารถทาการปรับปรุงกระบวนการ ทางาน 3PLs WH ไดด้ งั นี้ คือ 4.1 การลดการตรวจสอบซ้าซ้อน โดยตัดกิจกรรมการตรวจสอบลาเบลคู่กับใบ Delivery Request (กิจกรรมที่ 7) และ การตรวจสอบความถูกต้องการตดิ ลาเบล (กิจกรรมท่ี 9) และลดจานวนลาเบลท่ตี อ้ งตดิ บนช้ินงาน จากปกติจาเป็นตอ้ งตดิ ทั้งหมด 4 จดุ ( Inner, Outer, On reel/foil, Barcode ) ใหเ้ ปลีย่ นเป็น 3 จดุ ( Inner ,Outer , Barcode ) (กิจกรรมท่ี 8) 4.2 การรวมกิจกรรมเพื่อลดการรอคอย โดยยุบรวมกจิ กรรมที่ 5-6 และ 8 ใหพ้ นักงานคลงั สนิ คา้ ที่ทาหนา้ ตดิ ลาเบล ทากิจกรรมป้อนขอ้ มลู และปรินท์ลาเบลดว้ ย เพ่ือลดการรอคอย 4.3 การขยายพ้ืนท่ีจัดเตรียม โดยมีลักษณะเป็นแถวยาวห่างออกจากกัน 1 เมตร และจัดให้มีชั้นวางแบบเคล่ือนที่ (Shelf trolley) เป็นจุดพักสินคา้ ระหว่างสถานงี าน เพื่อให้สินค้าในกระบวนการจัดเตรียมสามารถไหลไปตามลาดบั งานอย่าง สะดวก ไมห่ ยุดรอเน่อื งจากขอ้ จากัดของพื้นที่ 97

การประชมุ สัมมนาเชงิ วิชาการด้านการจดั การโลจสิ ติกส์และโซ่อุปทาน ครั้งท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวศิ วกรรมอุตสาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 4.4 การจัด Shelf trolley ท่ีจุดเบิกสินค้า (Picking Zone) เพื่อลดเวลาการเคล่ือนย้ายสินค้า ด้วยแนวทางแก้ไข ข้างตน้ สามารถปรบั กระบวนการจดั เตรยี มสินคา้ ได้ดังแผนภมู ิ รปู ที่ 5 แผนภมู กิ ารไหลของกระบวนการจดั เตรยี มสนิ คา้ หลงั การปรบั ปรุง ตารางท่ี 2 เวลาใช้ในการจัดเตรยี มสนิ ค้าแตล่ ะกจิ กรรมและ % ประสิทธภิ าพ (หลังปรับปรงุ ) ขั้นตอนการทางาน VA / NVA เวลา (วนิ าที) งานกอ่ นหนา้ 1 แปลงไฟล์และปล่อย Picking list VA 31 - 2 เบิกสินคา้ ตาม List VA 50 1 3 ย้ายจากชน้ั วางมาที่ Trolley Shelf NVA 3 2 4 จดรหัสสนิ คา้ และจดั ทารายการกลอ่ งบรรจุ NVA 9 3 5 ปอ้ นขอ้ มลู รหสั สินค้าและจานวนกล่องเขา้ ระบบ NVA 7 4 6 ปรนิ ทล์ าเบล VA 1 5 7 ติดลาเบล VA 7 6 8 ตรวจสอบจานวนดว้ ยบารโ์ คด NVA 10 7 9 บรรจุลงกลอ่ งพร้อมแผ่นกันกระแทก VA 31 8 81% 149 รวม ข้ันตอนการจดั เตรียมสามารถทาให้ลดลงเหลือ 9 ข้นั ตอน และเวลาต่าลง จาก 189 วินาที/ไอเทม็ เปน็ 149 วนิ าท/ี ไอเท็ม จากข้อมูลในปี 2016 ปริมาณงานสูงสุดใน 1 วัน อยู่ท่ี 692 ชิ้นงาน ด้วยเวลาทางานปกติ 8 ช่ัวโมง (พัก เช้า 15 นาที บ่าย 15 นาที) = 450 นาที ต่อ 1 วัน Takt time = 450/692 = 0.65 นาที หรือ 39 วินาที ดังนั้น ก่อนปรับปรุง Line balancing efficiency = (189 x 100) / (84 x 7) = 32.14 เปอร์เซ็นต์ หลังการปรับปรุง Line balancing efficiency = (149 x 100) / (62 x 5) = 48.06 เปอรเ์ ซ็นต์ การจดั สถานีงาน โดย Cycle time จะตอ้ งน้อยกวา่ Takt time ดงั จะเหน็ ได้ว่า จดุ คอขวด (Bottleneck) คือสถานงี านท่ี 2 98

การประชมุ สมั มนาเชงิ วชิ าการด้านการจัดการโลจสิ ตกิ สแ์ ละโซอ่ ปุ ทาน คร้ังท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวิศวกรรมอตุ สาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 รูปท่ี 4 รปู แบบกระบวนการทางานหลังปรับปรงุ ด้วยขอ้ จากัดทม่ี พี นกั งาน 6 คน ปฏิบตั ิงานให้บริษัท MMM แนวทางการปรบั ปรงุ คือการวางตาแหนง่ พนกั งาน 2 คน ในสถานีงานที่ 2 เพื่อให้สามารถตอบสนองทันความต่อการ รวมถึงการพิจารณาปรับเปล่ียนหน้าท่ีความรับผิดชอบ จากเดิม พนักงานท้ัง 6 คน มีหน้าที่รับผิดชอบหลายตาแหน่งงานใน 1 วันทาให้เกิดความสับสน และเมื่อยล้าจากการทางาน ส่งผลให้ ประสิทธิภาพการทางานต่าลงเพราะปริมาณงานมากจึงทาให้ขาดความกระตือรือร้นในการปฏิบัติงานในแต่ละวัน รว มถึง พนักงานคลังสินค้ายังขาดความชานาญในแต่ละกิจกรรม ดังน้ันการมอบหมายตาแหน่งงานชัดเจนจะช่วยให้พนักงานไม่เกิด ความสับสนและร้หู นา้ ท่ที ่ตี ้องรบั ผดิ ชอบในแต่ละวนั ซึ่งสามารถนาไปสกู่ ารปฏิบัติงานทมี่ ีประสทิ ธภิ าพสูงข้ึน และดว้ ยแนวทาง น้ีเม่ือนามาเปรียบเทียบชั่วโมงการทางานตลอดปี 2016 ก่อนและหลังการปรับปรุง พบว่าสามารถลดช่ัวโมงโอทีลงได้ 50.69 เปอร์เซ็นต์ นามาซึ่งเปน็ โอกาสแกบ่ รษิ ทั MMM ในการเจรจาตอ่ รอง Cost down คา่ บรกิ ารกับ 3PLs ดงั ตารางท่ี 3 ตารางที่ 3 เปรยี บเทียบเวลาการปฏิบตั งิ านและค่าใช้จา่ ยโอที (มกราคม-ธันวาคม) ปี 2016 เปรียบเทยี บ ก่อนปรับปรุง หลังปรบั ปรุง ผลทีไ่ ด้ เวลาท่ใี ช้ (นาที) 72,172.8 56,898.13 ลดลง 21.16% จานวนโอที (วนั ) ลดลง 43.47% 46 26 ลดลง 50.69% โอที (นาท)ี 11,897.55 5,865.63 ลดลง 50.69% คา่ โอที (บาท) 237,713.05 117,195.35 5. สรปุ และข้อเสนอแนะ การนาทฤษฎีและหลกั การมาประยุกตใ์ ห้สอดคล้องกับวตั ถุประสงค์ โดยผลลัพธท์ ีไ่ ด้จากการปรับปรงุ การรายงานเปรียบเทียบ Pre-Post Lean กิจกรรม Pre-Lean Post-Lean ผลที่ได้ ขัน้ ตอน 11 9 ลดลง 2 ข้นั ตอน ระยะเวลา 189 149 ลดลง 40 วินาที 21.16% % ประสิทธิภาพ 65% 81% เพ่ิมข้นึ 16% จากการศึกษากระบวนการทางาน 3PLs WH และไดน้ าเสนอแนวทางแก้ไขแลว้ น้ัน เพ่ือให้เกิดผลสาเร็จในระยะยาว ควรมีการทบทวนข้อสัญญารายปีระหว่างบริษัท MMM และ 3PLs เพ่ือกาหนดแนวทางปฏิบัติให้สอดคล้องเป้าหมายของ องค์กร เพ่ือลดปัจจัยท่ีทาให้ 3PLs เร่งการจัดเตรียมสินค้าช่วงต้นไตรมาส ควรมีแนวทางแก้ปัญหาร่วมกันระหว่างบริษัท MMM กับ บริษัท 3PLs เช่นการทาแผนงานล่วงหน้า จัดให้มีการประชุมทุกเดือนร่วมกันเพื่อสรุปผลการดาเนินงานและหา แนวทางปรับปรุงให้สอดคลอ้ งกบั การดาเนนิ ธรุ กิจด้วยกันทงั้ 2ฝา่ ย 99

การประชมุ สมั มนาเชงิ วชิ าการด้านการจัดการโลจิสตกิ ส์และโซอ่ ุปทาน ครั้งท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวศิ วกรรมอุตสาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 เอกสารอา้ งอิง ขวัญใจ โชคไพบูลย์. 2555 “การประยุกต์ใช้ระบบการผลิตแบบลีน:กรณีศึกษากระบวนการผลิตสิ่งพิมพ์”ปริญญา วศิ วกรรมศาสตรม์ หาบัณฑติ สาขาการจดั การทางวศิ วกรรม.บณั ฑติ วิทยาลัย. มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ สถาพร ดารงศักด์ิ. 2557 “การประยุกต์ใช้หลักการลีนในการเพ่ิมประสิทธิภาพกระบวนการบรรจุน้าตาลทราย กรณีศึกษา บริษัท M.P.V. จากัด” ปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาการจัดการโลจิสติกส์. บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัย หอการคา้ ไทย ลัคนา กวินกิจจาพร .2555 “การนาเทคนิคการผลิตแบบลีนมาประยุกต์ใช้:กรณีศึกษา จอย สปอร์ต จากัด”ปริญญา บรหิ ารธรุ กิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบญั ช.ี บณั ฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลยั หอการค้าไทย พฤทธพิ งศ์ โพธิวราพรรณ .2548 “การประยกุ ต์ใชก้ ารผลติ แบบลนี ในอตุ สาหกรรมผสม (แบบตอ่ เนอื่ ง-แบบช่วง) : กรณศี ึกษา โรงงานผลิตเหล็กรูปพรรณ” ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ.บัณฑิตวิทยาลัย. สถาบัน เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ พระนครเหนือ ฐิติพร มุสิกะนันทน์ .2558 “การประยุกต์ใช้หลักการผลิตแบบลีนในการเพ่ิมกาลังการผลิตของกระบวนการผลิตปลาเส้น” ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการจัดการเทคโนโลยีอตุ สาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ John J. Coyle ,Robert A. Novack , Brian J. Gibson , Edward J. Bardi .Transportation A Supply Chain Perspective. 7 Edition 100

การประชุมสัมมนาเชิงวิชาการด้านการจดั การโลจิสตกิ สแ์ ละโซอ่ ุปทาน ครงั้ ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 Topic C: Inventory and Warehouse Management Paper ID: IW 03 การใช้หลักการจาลองสถานการณ์เพือ่ วางแผนบริหารจดั การสินค้าคงคลงั กรณีเตมิ เตม็ สินคา้ รว่ มกนั ภายใต้สถานการณส์ นิ ค้ามีการเส่ือมสภาพ และการหมุนเวียนสินค้าแบบเขา้ หลงั ออกก่อน สุธีรา ปลุ เิ วคนิ ทร์1, วิสทุ ธิ์ สุพิทักษ์2* 1 ภาควชิ าวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ โทร 02-7970999 ตอ่ 1603-4 โทรสาร 02-5798610 E-mail [email protected] 2* ภาควชิ าวศิ วกรรมอตุ สาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ โทร 02-7970999 ต่อ 1622 โทรสาร 02-5798610 E-mail [email protected] บทคดั ยอ่ งานวิจัยนี้ ทาการศึกษานโยบายการเติมเต็มสินค้าที่เหมาะสมสาหรับระบบร้านค้าปลีกท่ีมีการขายสินค้าหลาย ประเภท สินคา้ มกี าหนดวนั หมดอายุ และ ผบู้ ริโภคมีพฤติกรรมการซอื้ สินคา้ แบบเขา้ ทหี ลงั ออกกอ่ นซ่ึงเปน็ สภาวะทั่วไปสาหรบั รา้ นค้าปลีกทลี่ กู ค้ามแี นวโนม้ เลือกสินคา้ ท่มี วี นั หมดอายลุ า่ สุด ท้งั นสี้ นิ ค้าทีห่ มดอายถุ กู กาหนดใหไ้ มส่ ามารถทาการขายได้ และ กรณสี ินค้าไม่พอขายถกู พจิ ารณาเปน็ การสญู เสยี การขายโดยไม่มีการสั่งซ้ือยอ้ นหลงั แบบจาลองสถานการณไ์ ดถ้ กู สร้างขึ้นเพ่ือ กาหนดนโยบายในการเตมิ เต็มสินค้าในรา้ นคา้ ปลกี แบบตามรอบเวลาร่วมกันหลายชนิดสนิ ค้า โดยวตั ถปุ ระสงค์ของการจาลอง สถานการณ์ เป็นการหาช่วงเวลาในการเตมิ เต็มสนิ คา้ ระดับสินค้าคงคลงั สูงสุด และ ระดับการให้บรกิ ารผู้บรโิ ภคท่ีเหมาะสม ซึ่งทาให้เกิดผลกาไรสูงสุดต่อระบบ จากผลการศึกษาพบว่าระบบที่มีการหมุนเวียนสินค้าแบบเข้าทีหลังออกก่อนมีผลกาไร สงู สุดและระดบั การใหบ้ รกิ ารผบู้ ริโภคท่ดี ที สี่ ดุ ตา่ กวา่ ระบบทีม่ ีการหมุนเวยี นสนิ ค้าแบบเข้ากอ่ นออกก่อน ทั้งนส้ี ามารถอธิบาย ได้ว่าพฤติกรรมการซ้ือสินค้าแบบเข้าหลังออกก่อนของผู้บริโภค สามารถก่อให้เกิดสินค้าเก่าหมดอายุในปริมาณท่ีสูง ซึ่งเป็น ค่าใช้จ่ายที่สง่ ผลกระทบทาให้ผลกาไรของระบบตา่ ลง ระดับการให้บริการลูกคา้ ทีด่ ีที่สุดในระบบจึงมคี ่าต่าลงหรอื ระดับสนิ ค้า เผื่อที่เหมาะสมที่สุดสาหรับระบบมีค่าลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีพฤติกรรมการซ้ือสินค้าของผู้บริโภคเป็นแบบเข้าก่อน ออกก่อน คาสาคญั : สินคา้ คงคลงั ; การจดั สง่ ; การจาลองสถานการณ์; สนิ คา้ มีการเสื่อมสภาพ 1. บทนา ในสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งธุรกิจร้านค้าปลีกมีการแข่งขันสูง การบริหารจัดการสินค้าคงคลังท่ีดีเป็นปัจจัยสาคัญ ประการหน่ึงซ่ึงช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน การจัดเก็บสินค้าคงคลังในระดับต่าเกินไปสามารถก่อให้เกิดปัญหาสินค้าไม่ เพียงต่อการขาย สูญเสียโอกาสของกาไรที่ควรจะได้รับ และลูกค้าขาดความเชื่อถือ ในทางกลับกันกรณีที่ระบบมีการจัดเก็บ สนิ คา้ คงคลงั เปน็ จานวนมากเกนิ ไป สามารถก่อให้เกิดคา่ ใช้จ่ายตน้ ทุนจมในระบบ ค่าใช้จา่ ยในการบริหารจัดการสินคา้ รวมถงึ ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของสินค้า การควบคุมสินค้าคงคลังท่ีดีเป็นผลมาจากกาหนดนโยบายการเติมเต็มสินค้าที่ เหมาะสม โดยท่วั ไปลักษณะอปุ สงคส์ ินค้าคงคลังสาหรบั ธุรกจิ รา้ นคา้ ปลีก สามารถถกู พิจารณาไดว้ า่ เปน็ อุปสงคท์ ่ีเกดิ ข้ึน 101

การประชุมสัมมนาเชงิ วิชาการด้านการจัดการโลจิสติกสแ์ ละโซอ่ ปุ ทาน คร้ังท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวศิ วกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 ต่อเน่ือง ไม่ทราบค่าแน่นอน และไม่คงท่ี (ชยุตพล และ วิสุทธิ์, 2016) โดยท่ัวไปตัวแบบสาหรับการเติมเต็มสินค้าคงคลัง สาหรับธุรกิจร้านค้าปลีกซ่ึงมสี ินค้าหลายประเภทเป็นการเตมิ เต็มตามรอบเวลา (Economic Order Interval: EOI) เนื่องจาก สามารถเตมิ เตม็ สนิ คา้ หลายประเภทพรอ้ มกนั ในรอบเวลาท่ีกาหนดได้ โดยการเตมิ เตม็ สนิ คา้ แต่ละครง้ั ห่างกันด้วยด้วยช่วงเวลา คงท่ี ทั้งน้ีปริมาณการเติมเต็มสินค้าแต่ละชนิดในแต่ละรอบเวลามีค่าไม่คงที่ โดยมีปริมาณเติมเต็มเท่ากับผลต่างระหว่าง ปริมาณสินค้าคงคลังแต่ละชนิดท่ีเหลืออยู่ในระบบขณะทาการสั่งกับค่าระดับสินค้าคงคลังสูงสุดแต่ละชนิดท่ีกาหนดไว้ (Tersine, 1994) ปัญหาการเติมเตม็ ในระบบทม่ี ีคลังสนิ ค้าหลัก 1 คลัง มผี ูค้ า้ ปลีกหลายราย พิจารณาต้นทุนรวมท่ปี ระกอบไป ด้วย ต้นทุนในการส่ังซ้ือสินค้าและต้นทุนการถือครองสินค้าได้ถูกศึกษาโดย Hsiao (2008) ซ่ึงได้นาเสนอวิธี Order Interval Division (OID) และ วิธี Recursive Tightening (RT) ในการหาคาตอบ Jalbar et al. (2010) ได้นาเสนอวิธีการฮิวลิสติกส์ที่ สามารถประยุกต์ใช้งานได้ง่ายกับ spreadsheet ในการแก้ปัญหาลักษณะเดียวกัน Rieksts, et al. (2008) ได้มีการเพิ่ม เง่ือนไขในเร่ืองการลดราคาสินค้าเม่ือ คลังสินค้าส่ังสินค้าถี่ข้ึน โดยได้ใช้วิธีการกาลังสอง (Power of two) ในการหาคาตอบ Olsen (2005) ศกึ ษาระบบที่มีการสั่งซอ้ื สนิ คา้ ร่วมกนั หลายชนิดจากผ้จู าหน่ายรายเดียว โดยใชน้ โยบายการจดั ส่งร่วมกันแบบ บางส่วนมาประยุกตใ์ ช้ ขน้ั ตอนวธิ ีเชงิ ววิ ัฒนาการ (Evolutionary Algorithm : EA) ถกู นามาใช้สาหรับการจดั กล่มุ ผู้คา้ ปลกี ใน การส่งั ซ้ือร่วมกัน อภิสทิ ธ์ิ (2554) ศกึ ษาปญั หาการเติมเต็มสินคา้ คงคลังในกรณีท่มี ีคลังสนิ คา้ หลกั 1 คลงั และมผี ้คู ้าปลกี หลาย ราย โดยกาหนดนโยบายการจดั ส่งสินค้ารว่ มกันแบบบางสว่ น มีการประยกุ ต์ใชว้ ธิ ีเชิงพันธุกรรมในการจัดกลุ่มผคู้ ้าปลกี และใช้ หลักการแก้ปัญหาการเดินทางของพนักงานขายในการจัดเส้นทางเดินรถ ชยุตพลและวิสุทธิ์ (2559) ได้พัฒนาแบบจาลอง สถานการณ์เพอ่ื หาระดบั บรกิ ารลูกค้าท่ีเหมาะสมสาหรบั รา้ นค้าปลกี ที่มรี อบการรับสนิ ค้าไมส่ มา่ เสมอ ถูกกาหนดล่วงหน้าโดยผู้ จัดสง่ สินคา้ งานวิจัยน้ี ทาการศึกษาการเติมเตม็ สินค้าตามรอบเวลาท่ีเหมาะสมสาหรบั ระบบร้านค้าปลีกท่ีมีการขายสนิ ค้าหลาย ประเภท สินค้ามีกาหนดวันหมดอายุภายหลังจากวันเติมเต็ม และ ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการซื้อสินค้าแบบเข้าทีหลังออกก่อน (Last In First Out: LIFO) ซ่ึงเป็นลักษณะที่ลูกค้าเลือกซ้ือสินค้าท่ีมีวันหมดอายุล่าสุด โดยกาหนดให้สินค้าท่ีหมดอายุไม่ สามารถทาการขายได้และกรณีสนิ คา้ ไมพ่ อขายถกู พิจารณาเปน็ การสญู เสียการขายโดยไม่มกี ารสงั่ ซ้อื ยอ้ นหลงั 2. คาอธิบายและสญั ลกั ษณย์ ่อ ������ รอบเวลาในการส่ังซื้อหรือเตมิ เต็มสินคา้ (วนั ) ������∗ รอบเวลาในการส่งั ซอ้ื หรือเตมิ เต็มที่เหมาะสม (วนั ) ������ ต้นทุนในการสัง่ ซื้อหรอื เติมเต็มสินค้า (บาทตอ่ ครง้ั ) ������ ต้นทนุ การถือครองวสั ดคุ งคลงั (บาทตอ่ หน่วยตอ่ ป)ี ℎ ค่าสดั สว่ นถอื ครองสินค้าคงคลัง ������ ตน้ ทุนต่อหน่วยสนิ คา้ (บาทต่อหนว่ ย) ������ ความตอ้ งการสนิ ค้าต่อปี (หน่วย) ������������������������ ระดบั สนิ คา้ คงคลังสูงสุด (หนว่ ย) ������ ชว่ งเวลานา (วนั ) ������������ ระดับสินค้าเผอ่ื (หน่วย) ������������ คา่ แจกแจงปกติของระดบั การใหบ้ รกิ ารผ้บู ริโภค 102

การประชุมสมั มนาเชิงวชิ าการด้านการจดั การโลจสิ ตกิ สแ์ ละโซ่อปุ ทาน ครั้งที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวศิ วกรรมอตุ สาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 ������������ ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานของความตอ้ งการของสนิ คา้ ������������ ผลกาไรต่อปี (บาท) ������ จานวนประเภทสินค้าทมี่ ใี นระบบ ������ จานวนวันทางานในหนงึ่ ปี (วนั ) ������������ คา่ เฉลี่ยความต้องการตอ่ วนั ของสนิ ค้าประเภทท่ี ������ ������������ ค่าเฉลีย่ ความตอ้ งการตอ่ วนั ของสนิ ค้าประเภทท่ี ������ ������������ ราคาขายของสนิ คา้ ประเภทที่ ������ (บาทตอ่ ช้ิน) ������������ ตน้ ทุนสนิ ค้าตอ่ หนว่ ยประเภทที่ ������ (บาทต่อช้นิ ) ℎ������ ต้นทนุ ในการถอื ครองสนิ คา้ ประเภทที่ ������ (บาทตอ่ ชิน้ ต่อวัน) ������������ ตัวแปรแสดงการส่ังซ้อื วันท่ี ������ โดย������������เท่ากบั 1 กรณสี ัง่ ซอื้ และเท่ากับ 0 กรณไี มส่ ง่ั ซอ้ื ������������������ ������������������ ������������������ จานวนของสนิ คา้ ชนดิ ที่ ������ ทข่ี ายได้ ทซ่ี ้ือมา และ ท่ีเหลอื อยเู่ มอ่ื สิน้ สดุ วันที่ ������ ตามลาดับ 3. การเตมิ เตม็ สนิ ค้าตามรอบเวลา ตัวแบบการเติมเต็มของสนิ ค้าตามรอบเวลาเป็นการเติมเต็มสนิ ค้าท่ีมีการกาหนดช่วงเวลาการเติมเต็มซึ่งมีระยะห่าง เท่าๆกัน ปริมาณสินค้าที่ถูกเติมเต็มแต่ละครั้งมีค่าไม่เท่ากัน โดยคานวณได้จากผลต่างระหว่างปริมาณสินค้าคงเหลือท่ีมีใน ระบบ ณ วันท่ีทาการส่ังเตมิ เตม็ สนิ ค้ากับค่าระดบั สนิ คา้ คงคลังสูงสดุ ท่ีกาหนดไว้ จากตัวแบบการเตมิ เต็มตามรอบเวลากรณี ระบบมีสินค้าประเภทเดียวและมีช่วงเวลานาคงท่ี รอบเวลาในการสั่งซื้อหรือเติมเต็มสินค้าที่เหมาะสม ( Time Between Order; T*) ระดับสินคา้ เผ่ือ (Safety Stock; SS) และระดับสนิ ค้าคงคลงั สูงสุด (Maximum Inventory Level; Emax) สามารถ คานวณได้ดังสมการ (1) (2) และ (3) ตามลาดบั ������∗ = √ 2������ (1) (2) ������������ (3) ������������ = ������������������������√������������ + ������ ������������������������ = ������(������ + ������������) + ������������ จากสมการท่ี (2) ตัวแปรที่ส่งผลต่อระดับสินค้าเผ่ือท่ีสาคัญนั้นคือค่า ������������ โดย ������ คือความน่าเป็นท่ีจะเกิดการขาดสินค้าซึ่ง คานวณไดจ้ ากระดบั การให้บริการผูบ้ รโิ ภค (Customer Service Level: CSL) ดังสมการท่ี (4) ������ = 1 − ������������������ (4) 100 จากสมการท่ี (2) และ สมการที่ (4) สามารถพจิ ารณาไดว้ ่า ระดบั การให้บริการผู้บริโภคและรอบเวลาการเตมิ เต็มสนิ คา้ เปน็ ตวั แปรตัดสินใจท่ีสาคัญ ที่มีผลต่อท้ังปริมาณสินค้าเผื่อ จานวนอุปสงค์ที่สามารถตอบสนองได้ และปริมาณสินค้าที่มีการ เสอื่ มสภาพจากการหมดอายุ ซ่ึงมผี ลกระทบโดยตรงตอ่ กาไรโดยรวมของระบบ 103

การประชุมสมั มนาเชงิ วิชาการด้านการจดั การโลจสิ ตกิ สแ์ ละโซ่อปุ ทาน คร้งั ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวศิ วกรรมอุตสาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 4. แบบจาลองสถานการณ์ งานวิจัยน้ี เป็นการสร้างแบบจาลองสถานการณ์เพ่ือกาหนดนโยบายการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง ซึ่งเป็นการ พิจารณาหารอบเวลาการเติมเต็มสินค้าและระดบั การให้บริการผู้บริโภคที่เหมาะสม สาหรับระบบธุรกิจร้านค้าปลีกซงึ่ มสี ินค้า หลายประเภทท่ีต้องมีการเติมเต็มสนิ ค้ารว่ มกนั สนิ คา้ มวี ันหมดอายุ และพฤตกิ รรมผบู้ ริโภคเป็นแบบเขา้ ทห่ี ลังออกก่อน โดยมี วตั ถุประสงคเ์ พ่อื ใหผ้ ลกาไรต่อปขี องระบบสูงท่ีสุด ซ่งึ คานวณไดจ้ ากผลต่างของรายได้ต่อปีจากการขายสนิ ค้า กับ คา่ ใช้จ่ายต่อ ปีซึ่งประกอบด้วยค่าต้นทุนสินค้าท่ีส่ังซ้ือ ค่าส่ังซ้ือหรือเติมเต็มสินค้า และค่าการจัดเก็บสินค้า ทั้งน้ีสินค้าที่หมดอายุจะไม่ สามารถทาการขายได้ สมการท่ี (5) (6) (7) และ (8) แสดงการคานวณคา่ ผลกาไรต่อปี ������������ = ∑������������=1(∑������������=1(������������������������������ − ������������������������������ − ℎ������������������������) − ������������������) (5) ท้ังนี้แบบจาลองสถานการณ์ได้ถูกพัฒนาขึ้น โดยใช้โปรแกรม Excel Spreadsheet โดยแต่ละ Platform แสดง ข้อมูลสินค้าแต่ละประเภท มีตัวแปรตัดสินใจคือรอบเวลาการเติมเต็มสินค้าร่วมกันและระดับบริการผู้บริโภค และมีข้อมูล นาเข้าประกอบด้วยคุณลักษณะของสินค้าแต่ละชนิด รูปแบบอุปสงค์สินค้าแต่ละชนิด รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ รูปที่ 1 แสดง แบบจาลองแสดงการหมุนเวียนสินค้าคงคลังประเภทหนึ่งในระบบ โดยมีรายละเอียดข้อมูลนาเข้าสาหรับแบบจาลอง สถานการณแ์ สดงดังตารางที่ 1 รปู ที่ 1: แบบจาลองแสดงการหมนุ เวยี นสนิ ค้าคงคลัง ในสว่ นข้อมลู นาเขา้ และการคานวณรายรบั -รายจา่ ย ตารางท่ี 1: ค่าแสดงของเซลลใ์ นสว่ นข้อมูลนาเขา้ ตัวแปร ตาแหน่งเซลล์ รายละเอียด Mean B2 ค่าเฉลย่ี ทางสถิตคิ วามต้องการของผู้บริโภค S.D B3 ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานความต้องการของผู้บรโิ ภค C B4 ราคาตน้ ทนุ สนิ คา้ ตอ่ หน่วย H B5 ค่าสัดสว่ นการถือครองสนิ คา้ คงคลัง S B6 ต้นทุนในการสงั่ ซ้อื ต่อครั้ง LT B7 ช่วงเวลาในการนาสง่ สินคา้ (วัน) Sales Price B8 ราคาขายสนิ คา้ ตอ่ หนว่ ย Expired Date B9 อายขุ ยั ของสนิ ค้ากอ่ นจะหมดอายุ (วัน) 104

การประชุมสมั มนาเชิงวิชาการด้านการจดั การโลจสิ ตกิ ส์และโซอ่ ุปทาน ครงั้ ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวศิ วกรรมอุตสาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 จากรูปท่ี 1 ค่าอุปสงค์สนิ คา้ (สดมภ์ H) ถกู สุ่มข้ึนจากการแจกแจงแบบปกตทิ ่ีค่าเฉลย่ี และค่าเบย่ี งเบนมาตรฐานของ อุปสงค์ต่อวันท่ีกาหนดไว้ โดยในแตล่ ะวันหากปรมิ าณสินค้าคงคลงั ตน้ วัน (สดมภ์ C) มีค่ามากกวา่ คา่ อุปสงค์ในวันนั้น ปริมาณ สินค้าท่ีขายไดจ้ ะมีค่าเท่ากับค่าอุปสงค์ของวนั นัน้ และปริมาณสนิ ค้าคงคลังคงเหลอื ปลายวัน (สดมภ์ I) สามารถคานวณได้จาก สินคา้ คงคลงั ตน้ วันหักลบด้วยอุปสงค์ในวนั น้นั สาหรบั กรณีสินค้าคงคลงั ตน้ วนั มีปริมาณนอ้ ยกวา่ ค่าอปุ สงค์ของวันนัน้ ปรมิ าณ สินค้าท่ีขายได้มีค่าเท่ากับปริมาณสินค้าคงคลังต้นวันน้ันและปริมาณสินค้าคงคลังคงเหลือปลายวัน (สดมภ์ I) จะมีค่าเท่ากับ ศูนย์ ทั้งนี้รายรับจากการขาย (สดมภ์ M) และค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสนิ ค้าคงคลงั ในแต่ละวัน (สดมภ์ K) มีค่ามากน้อยขึ้นอยู่ กับ ปริมาณสินค้าท่ีขายได้และปริมาณสนิ คา้ คงคลงั คงเหลอื ปลายวัน ตามลาดับ รายละเอียดความหมาย ฟังก์ช่ันการคานวณ ค่าของแต่ละเซลลใ์ นการจาลองสถานการณแ์ สดงดัง ตารางท่ี 2 ตารางท่ี 2: ค่าแสดงของเซลล์ในสว่ นการคานวณรายรับ-รายจา่ ย เซลล์ ค่าแสดง ฟังกช์ ัน คาอธบิ าย B9 Start Inventory =$E$3+$E$4 ปริมาณสินค้าคงคลงั เริ่มต้น E1 D (day) =ROUND(AVERAGE($H$15:$H$374),0) ค่าเฉลี่ยอุปสงคต์ ่อวันของผ้บู รโิ ภค E2 H =$B$5*$B$4/360 ตน้ ทุนการถือครองสนิ คา้ คงคลงั ในหนว่ ย บาทตอ่ ชื้นต่อวนั E3 Q =$E$1*$E$9 ปริมาณสินคา้ สาหรับรองรบั อปุ สงค์ ผู้บริโภคในรอบการสง่ั E4 ss =ROUND($E$5*$B$3*SQRT($B$7+$E$9),0) ระดับสนิ ค้าคงคลังปลอดภยั E5 Z =ABS(NORMSINV(E6)) คา่ Z ของระดับการใชบ้ ริการท่คี านวณ ผลจากกราฟ E6 Prob. of Stockout =1-($E$8/100) - ความน่าจะเป็นที่สนิ ค้าไมเ่ พยี งพอตอ่ E7 Emax =($E$1*($E$9+$B$7))+$E$4 ความตอ้ งการ ผลรวมกาไรตลอดระยะเวลา 360 วัน E11 Total Profits =SUM(N15:N374) ระบุวันที่ทเี่ กดิ เหตุการณ์ A15 Day 1 - C15 Start Inventory =B9 การตดั สินใจทาการส่ังซ้ือสินคา้ หากวัน D15 Order =IF(AND(MOD(A15,$E$9)=0,C15<$E$7),\"Yes\",\"No\") นั้นตรงกับช่วงเวลาส่ังซอ้ื การคานวณวนั ท่ีท่ีสินคา้ จะมาถงึ E15 Delivery Date =IF(D15=\"Yes\",A15+$B$7,\"\") ปรมิ าณสินคา้ ทีjส่งั ซื้อเทยี บจากระดับ F15 #Order =IF(D15=\"Yes\",$E$7-C15,\"\") สนิ ค้าคงคลังสงู สุด ค่าเร่มิ ตน้ ไมม่ คี าส่ังซ้ือคา้ งในระบบ G15 On Order 0 ความต้องการสนิ คา้ ของผูบ้ ริโภคใน H15 Demand =ROUND(NORMINV(P15,$B$2,$B$3),0) รปู แบบการแจกแจงปกติ ปริมาณสินคา้ คงคลงั ส้ินสุดของวนั ซงึ่ หัก I15 Ending Inventory =SUMIF(V15:NQ15,\">0\") อุปสงคว์ ันน้นั แลว้ ราคาตน้ ทนุ สนิ ค้าท้ังหมดท่ที าการสั่งซื้อ J15 Item Cost =IF(D15=\"Yes\",($E$7-C15)*$B$4,0) ไป ณ วนั น้ันๆ 105

การประชมุ สมั มนาเชงิ วิชาการด้านการจัดการโลจสิ ติกส์และโซอ่ ุปทาน คร้ังท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวศิ วกรรมอตุ สาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 เซลล์ คา่ แสดง ฟงั ก์ชัน คาอธิบาย K15 Holding Cost =IF(I15>0,I15*$E$2,0) รายจ่ายรวมจากการเก็บสนิ คา้ คงคลังไว้ L15 Order Cost ณ วันทนี่ ้ันๆ M15 Revenue =IF(D15=\"Yes\",$B$6,0) รายจา่ ยจากการส่ังซอื้ สินค้า ณ วันนัน้ ๆ N15 Profits =$B$8*(MIN(C15,H15)) รายรับรวมจากการจาหน่ายสินค้าไป ณ B16 Receive วันน้ันๆ C16 Start Inventory =M15-(J15+K15+L15) กาไรรวมจากผลต่างระหวา่ งรายรับและ D16 Order รายจ่ายวนั นนั้ E16 Delivery Date =IFERROR(INDEX($F$15:F15,MATCH(A16,$E$15:E15,0)),0) ปริมาณสนิ คา้ ท่มี าส่ง ณ วนั นัน้ ๆ มี F16 #Order ปริมาณเท่ากบั จานวนท่สี งั่ ซอื้ ไป G16 On Order =I15+B16-IF(INDEX($V$15:$NQ$374,A16- ปรมิ าณสินค้าคงคลังเริม่ ตน้ หักจานวน 1,$B$10)>0,INDEX($V$15:$NQ$374,A16-1,$B$10),0) ของสินค้าหมดอายอุ อก H16 Demand =IF(AND(MOD(A16,$E$9)=0,C16<$E$7),\"Yes\",\"No\") การตดั สนิ ใจทาการสง่ั ซ้ือสินคา้ หากวัน I16 Ending Inventory นัน้ ตรงกับชว่ งเวลาสั่งซอื้ J16 Item Cost =IF(D16=\"Yes\",A16+$B$7,\"\") การคานวณวันท่ีท่ีสนิ ค้าจะมาถงึ K16 Holding Cost =IF(D16=\"Yes\",IF(SUM($B$15:B16)=SUM($F$15:F15),$E$7- ปริมาณสินค้าท่ีทาการสัง่ ซ้อื เทียบจาก L16 Order Cost C16,$E$7-C16-G15),\"\") ระดับสนิ ค้าคงคลังสูงสดุ M16 Revenue =IF(D16=\"Yes\",IF(SUM($B$15:B16)=SUM($F$15:F15),$E$7- เปน็ การบนั ทึกปรมิ าณการสงั่ ซ้ือในแตล่ ะ N16 Profits C16,$E$7-C16-G15),G15) คร้งั และจะมกี ารเปลยี่ นแปลงใหม่ทุกๆ ครัง้ ทมี่ ีการส่งั ซือ้ ใหม่ =ROUND(NORMINV(P16,$B$2,$B$3),0) ความต้องการสนิ คา้ ของผู้บรโิ ภคใน รูปแบบการแจกแจงแบบปกติ =SUMIF(V16:NQ16,\">0\") ปริมาณสินค้าคงคลังส้นิ สดุ ของวนั ซ่ึงหกั อปุ สงค์วันนั้นแลว้ =IF(D16=\"Yes\",($E$7-C16)*$B$4,0) ราคาต้นทุนสินคา้ ทัง้ หมดทท่ี าการส่งั ซื้อ ไป ณ วนั น้นั ๆ =IF(I16>0,I16*$E$2,0) รายจา่ ยรวมจากการเก็บสนิ ค้าคงคลังไว้ ณ วนั ทนี่ นั้ ๆ =IF(D16=\"Yes\",$B$6,0) รายจา่ ยจากการสัง่ ซอื้ สินคา้ ณ วันนั้นๆ =$B$8*(MIN(C16,H16)) รายรับรวมจากการจาหน่ายสินคา้ ไป ณ วันนน้ั ๆ =M16-(J16+K16+L16) กาไรรวมจากผลต่างระหวา่ งรายรับและ รายจ่าย ณ วนั น้ัน แบบจาลองสถานการณ์ในสว่ นการหมุนเวียนสินค้าคงคลงั แบบเขา้ ทหี ลงั ออกก่อนและค่าแสดงของเซลลส์ ามารถพิจารณาไดด้ ัง รูปท่ี 2 และตารางท่ี 3 ตามลาดบั 106

การประชมุ สัมมนาเชิงวิชาการด้านการจัดการโลจสิ ติกส์และโซ่อุปทาน ครั้งที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวศิ วกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 รปู ที่ 2: แบบจาลองสถานการณ์ ในสว่ นการหมนุ เวียนสนิ ค้าแบบเขา้ ทหี ลังออกก่อน ตารางท่ี 3: ค่าแสดงของเซลลใ์ นสว่ นการหมนุ เวยี นสินคา้ แบบเขา้ ทหี ลังออกก่อน เซลล์ คา่ แสดง ฟังกช์ ่ัน คาอธิบาย V15 ปรมิ าณสินค้าอายุ 1 วนั (Row1) =C15-H15 อปุ สงคเ์ รม่ิ หกั จากสินคา้ ทีม่ อี ายเุ หลอื มากทสี่ ุดก่อน V16 ปริมาณสนิ ค้าอายุ 1 วัน (Row2) =B16-H16 อปุ สงค์เรม่ิ หกั จากสนิ ค้าทมี่ ีอายุเหลอื มากที่สุดกอ่ น W16 ปริมาณสนิ ค้าอายุ 2 วัน (Row2) =IF(AND($W$14<=$B$ คานวณให้ปรมิ าณสนิ คา้ จากวนั กอ่ นหนา้ ซ่ึงอายุน้อย 10,$W$14<=A16),IF(A กวา่ สามารถถกู หักออกไดห้ ากสนิ คา้ ที่มอี ายุมากกว่ามี ไมพ่ อสาหรับความตอ้ งการ ทั้งนหี้ ากสนิ คา้ ท่ีมีอายุ ND(V15<=0,V16<0),V มากกวา่ ยงั คงเหลอื ก็จะคงปริมาณสินค้าจากวนั กอ่ น 16,IF(V16>0,V15,V15+ หน้าเทา่ เดมิ V16)),0) X16 ปริมาณสินคา้ อายุ 3 วนั (Row2) =IF(AND(X14<=$B$10, คานวณใหป้ ริมาณสนิ ค้าจากวันกอ่ นหนา้ ซ่ึงอายุนอ้ ย X14<=$A$16),IF(AND( กว่าสามารถถกู หกั ออกไปไดห้ ากสนิ ค้าทม่ี อี ายุ มากกว่ามไี ม่พอสาหรบั ความตอ้ งการ ทง้ั นห้ี ากสนิ ค้า W15<=0,W16<0),W16 ทม่ี ีอายุมากกวา่ ยังคงเหลอื กจ็ ะคงปริมาณสนิ ค้าจาก ,IF(W16>0,W15,IF(SU วันกอ่ นหนา้ เทา่ เดมิ MIF($V$16:W16,\">0\")> 0,W15,W15+W16))),0) 5. ผลวิเคราะห์เปรยี บเทียบการเคล่อื นไหวของสนิ ค้าดว้ ยแบบจาลองสถานการณ์ แบบจาลองสถานการณ์ที่ถูกพัฒนาข้ึน ได้ถูกนามาใช้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบนโยบายการเติมเต็มสินค้าทท่ี เหมาะสมสองกรณีคือ (1) สินค้ามีการเคลื่อนไหวแบบเข้าทีหลังออกก่อน และ (2) สินค้ามีการเคลื่อนไหวแบบเข้าก่อนออก ก่อน ทั้งนี้การเปรียบเทียบถูกทาบนระบบทม่ี ีสินค้าคงคลังจานวนสามชนดิ โดยมีขอ้ มูลนาเข้าสาหรับสินคา้ แต่ละชนิดแสดงได้ ดงั ตารางท่ี 4 ตารางที่ 4: ขอ้ มลู นาเข้าสนิ ค้าคงคลงั สามชนิดสาหรบั วิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบ ตัวแปร สินคา้ คงคลังชนิดที่ 1 รายละเอยี ดขอ้ มูลนาเข้า สินค้าคงคลังชนิดท่ี 3 20 สนิ ค้าคงคลังชนิดที่ 2 15 คา่ เฉล่ียอปุ สงค์ (ช้ิน) 5 4 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอปุ สงค์ (ชน้ิ ) 50 30 120 ตน้ ทุนสินคา้ ตอ่ หนว่ ย (บาท) 8 100 107

การประชมุ สัมมนาเชงิ วชิ าการด้านการจัดการโลจสิ ตกิ ส์และโซอ่ ุปทาน ครงั้ ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวศิ วกรรมอตุ สาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 ตัวแปร สินค้าคงคลังชนิดที่ 1 รายละเอยี ดขอ้ มลู นาเข้า สนิ คา้ คงคลังชนดิ ที่ 3 0.3 สนิ ค้าคงคลังชนดิ ท่ี 2 0.3 สัดส่วนการถอื ครอง 500 1500 ตน้ ทนุ การสัง่ ซ้อื ตอ่ หน่วย (บาท) 100 0.3 140 ราคาขายตอ่ หนว่ ย (บาท) 8 1000 10 อายขุ ยั สินค้า (วัน) 300 15 ในการวิเคราะห์ ได้ทาการประมวลผลการจาลองสถานการณ์ โดยปรับเปล่ียนค่า ระดับบริการลูกค้าจาก 50 เปอร์เซน็ ต์ (ปริมาณสินค้าเผ่ือเป็นศูนย์) เพิ่มขึ้นทีละ 5 เปอร์เซ็นต์ จนกระท่ังถึง 95 เปอร์เซน็ ต์ และ ปรับเปลย่ี นรอบกาหนด ส่งสินคา้ จาก ทุก 1 วัน ไปจนกระทง่ั ถงึ ทุก 30 วัน จากการประมวลผลช่วงเวลาในการจาลองสถานการณ์ 365 วัน จานวน 30 รอบ (ขนาดตัวอย่างถกู กาหนดเพื่อใหเ้ ปน็ ลักษณะการแจกแจงแบบปกต)ิ พบวา่ สาหรับกรณีการเคลอ่ื นไหวสินคา้ เป็นแบบเข้า ทหี ลงั ออกกอ่ น ระดบั บรกิ ารลกู ค้า และ รอบเวลาการจัดส่งท่ีให้ผลกาไรสูงทส่ี ดุ เป็น 85 เปอร์เซน็ ต์ และ 5 วันตามลาดับ โดย มีค่า 95 เปอร์เซ็นต์ช่วงความเช่ือมั่นผลกาไรสูงสุดท่ี (2176320, 2210860) บาท (ค่าเฉลี่ยและคา่ เบ่ียงเบนมาตรฐานของผล กาไรสูงสุดเท่ากับ 2,193,590 และ 46,230 บาท ตามลาดับ) รูปท่ี 3 แสดงค่าผลกาไรเฉล่ียท่ีระดับบริการและรอบเวลาการ สงั่ ซ้อื ตา่ งกนั เมื่อสนิ ค้ามีความเคลือ่ นไหวแบบเข้าหลังออกก่อน รูปที่ 3: ผลกาไรเฉลย่ี จากการประมวลผล 30 รอบ ท่รี ะดบั บริการลกู ค้าและรอบเวลาแตกต่างกัน สาหรับกรณีการเคลื่อนไหวสินค้าเป็นแบบเข้าก่อนออกก่อน ระดับบริการ และ รอบเวลาการจัดส่งท่ีให้ผลกาไรสูง ทีส่ ุดเป็น 95 เปอร์เซ็นต์ และ 7 วันตามลาดบั โดยมคี ่า 95 เปอรเ์ ซน็ ตช์ ่วงความเช่อื ม่นั ผลกาไรสงู สุดที่ (2437276, 2474576) บาท ค่าเฉลี่ยและค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐานของผลกาไรสูงสดุ เท่ากับ 2,455,926 และ 49,946 บาท ตามลาดับ ขอ้ มูลแสดงระดับ บริการและรอบเวลาการสัง่ ซ้อื ท่ีเหมาะสมท่ีสดุ สาหรับความเคล่ือนไหวสนิ ค้าแบบเข้าทหี ลงั ออกก่อน และ เข้าก่อนออกก่อน แสดงดังตารางที่ 5 ด้านล่าง 108

การประชุมสัมมนาเชิงวชิ าการด้านการจดั การโลจสิ ตกิ ส์และโซอ่ ปุ ทาน คร้ังที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวศิ วกรรมอตุ สาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 ตารางท่ี 5:ผลการวเิ คราะห์ของระดับตัวแปรท่ีเหมาะสมระหว่างสินคา้ คงคลังทมี่ กี ารหมุนเวียนแบบเข้าหลงั ออกกอ่ น และเข้า ก่อนออกกอ่ น ตัวแปร เขา้ หลัง – ออกกอ่ น เข้ากอ่ น – ออกก่อน ระดบั การให้บริการผ้บู รโิ ภคทด่ี ีที่สุดจากการจาลองสถานการณ์ (%) 85 95 รอบเวลาในการสงั่ ที่ดที สี่ ดุ จากการจาลองสถานการณ์ (วนั ) 57 คา่ เฉลีย่ ของผลกาไรสงู สดุ (บาท) 2193590 2455926 ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐานของผลกาไรสูงสุด (บาท) 46230 49946 95 เปอรเ์ ซน็ ต์ชว่ งความเช่ือมัน่ ของผลกาไรต่อปี (บาท) (2176320, 2210860) (2437276, 2474576) 6. สรปุ และวจิ ารณ์ งานวิจัยเป็นการใช้แบบจาลองสถานการณ์เพื่อหานโยบายการเติมเต็มสินค้า ประกอบด้วยระดับบริการลูกค้าและ รอบเวลาการเติมเต็มสินค้าที่เหมาะสม ซึ่งให้ผลกาไรต่อปีสูงสุด กรณีท่ีระบบเป็นร้านค้าปลีก สินค้าแต่ละชนิดมีกาหนดวัน หมดอายุที่แตกต่างกัน และลกู คา้ มพี ฤติกรรมการเลือกซอ้ื สนิ ค้าเปน็ แบบเข้าทีหลังออกกอ่ น โดยกาหนดให้สินคา้ ท่หี มดอายุไม่ สามารถขายไดแ้ ละไม่มีมลู ค่า จากการวิเคราะห์เปรยี บเทียบผล ระหว่างกรณีที่สนิ ค้ามีความเคลื่อนไหวแบบเข้าหลงั ออกกอ่ น และสินค้ามีความเคลอ่ื นไหวแบบเข้าก่อนออกก่อนเม่ือระบบมีสนิ ค้าสามประเภทที่มี ค่าอุปสงค์ ต้นทุนสินค้าต่อหน่วย ราคา ขาย และ กาหนดวันหมดอายุแตกต่างกัน พบว่า ระดับบริการลูกค้าท่ีดีที่สุดสาหรับกรณีสินค้ามีการหมุนเวียนแบบเข้าหลัง ออกก่อน มีค่าต่ากว่า ระดับบริการลูกค้าที่ดีท่ีสุดกรณสี นิ ค้ามีการหมุนเวียนแบบเข้าก่อนออกก่อน ทั้งน้ีพิจารณาได้ว่า ระดับ บรกิ ารมีผลโดยตรงต่อปริมาณสินคา้ เผอ่ื โดยทร่ี ะดบั บริการสูง จะมีปริมาณสินคา้ เผ่ือมาก ซ่งึ ไม่เหมาะสมสาหรบั กรณที ล่ี กู คา้ มี พฤติกรรมการเลือกซ้ือสินค้าแบบเข้าหลังออกก่อน เพราะจะทาให้มีปริมาณสินค้าท่ีหมดอายุในร้านค้าปลีกมากขึ้น หาก พิจารณารอบเวลาการเติมเต็ม พบว่ากรณีสินค้ามีความเคลื่อนไหวแบบเข้าหลังออกก่อน มีรอบเวลาการเติมเต็มท่ีดีที่สุดส้ัน กว่ากรณีสินค้ามีความเคลื่อนไหวแบบเข้าก่อนออกก่อน เน่ืองจากการเคลื่อนไหวสินค้าแบบเข้าหลังออกก่อน มีแนวโน้มที่จะ ส่งผลให้จานวนสินค้าหมดอายุมากข้ึน จึงต้องมีการเติมเต็มสินค้าแต่ละคร้ังในปริมาณที่ไมส่ งู นัก และเติมเตม็ บอ่ ยมากขึน้ เพ่ือ หลกี เลี่ยงการหมดอายขุ องสนิ คา้ ทั้งน้หี ากพจิ ารณาผลกาไรเฉล่ียพบวา่ นโยบายการเติมเต็มสนิ คา้ ท่ีดีทสี่ ุดสาหรับกรณสี นิ ค้ามี ความเคลื่อนไหวแบบเข้าก่อนออกมีผลกาไรเฉล่ียต่อปีสูงกว่า นโยบายการเติมเต็มสินค้าที่ดีท่ีสุดของกรณีสินค้ามีความ เคล่ือนไหวแบบหลังออกก่อน อย่างไรก็ตามนโยบายการเต็มเต็มสินค้าท่ีพิจารณาจากกรณีสินค้ามีความเคลื่อนไหวแบบเข้า ก่อนออกกอ่ น อาจไม่มีความเหมาะสมในการนาไปประยกุ ตใ์ ช้งาน เนอ่ื งจากพฤติกรรมผูบ้ รโิ ภคสว่ นใหญ่ มักพจิ ารณาเลือกซื้อ สินค้าท่มี ีวันหมดอายทุ ีหลัง หรอื เป็นพฤตกิ รรมแบบเข้าทีหลังออกก่อน เอกสารอ้างองิ ชยตุ พล ฮ่นั ตระกลู และ วิสทุ ธ์ิ สพุ ิทกั ษ์, 2559, “การบริหารจดั การสนิ ค้าคงคลังร้านคา้ ปลกี ที่มรี อบการรบั สนิ คา้ ไมส่ ม่าเสมอ ,” การประชุมสมั มนาเชิงวิชาการดา้ นการจดั การโลจสิ ตกิ สแ์ ละโซอ่ ปุ ทาน คร้งั ท่ี 16, 1-10. อภิสิทธิ์ ววิ ฒั น์โยธินชยั และ วิสุทธ์ิ สพุ ิทกั ษ์, 2554, “การใชว้ ิธกี ารเชิงพนั ธุกรรมในการแกป้ ัญหาการเตมิ เต็มสินค้าคงคลัง ใน กรณีที่มีคลังสินค้าหลัก 1 คลังและมีผู้ค้าปลีกหลายราย,” การประชุมวิชาการทางวิศวกรรมศาสตร์ หาวิทยาลัยสงขลา นครนิ ทร์ ครง้ั ที่ 9, 450-457. Hsiao, Y. C., 2008, “Optimal single-cycle policies for the one-warehouse multi-retailer inventory/distribution system,” Production economics 114 (2008), 219-229. 109

การประชุมสัมมนาเชิงวิชาการด้านการจัดการโลจิสตกิ สแ์ ละโซ่อุปทาน ครัง้ ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวิศวกรรมอตุ สาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 Jalbar, B.A., Anders, S., Joaquin S., and Andreas N., 2009, “A new heuristic to solve the one-warehouse N- retailer problem,” Computer & Operations Research 37 (2010): 265-272. Olsen, A. L. 2005, “An evolutionary algorithm to solve the joint replenishment problem using direct grouping,” Computers & industrial engineering 48, 223-235. Rieksts, B.Q., Jose A.V., and Yale T. H. 2008, “Power-of-two policies for single-warehouse multi-retailer inventory systems with order frequency discounts,” Computers & Operations Research 36, 2286-2294. Tersine, R.J. 1994, Principles of Inventory and Material Management (4th edition), Englewood Cliffs, New Jersy: Prentice Hall. 110

การประชุมสมั มนาเชิงวิชาการด้านการจัดการโลจิสติกส์และโซอ่ ุปทาน ครงั้ ท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวิศวกรรมอตุ สาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 Topic C: Inventory and Warehouse Management PaperID: IW 04 การเพ่มิ ประสทิ ธิภาพการจัดการคลงั สนิ คา้ กรณศี ึกษา บริษัท B ซพั พลายเชน จากัด นราวชิ ญ์ มงคลรัชดารมย์1*, รวินกานต์ ศรนี นท์2 1* นักศกึ ษาปรญิ ญาโท สาขาวิชาการจัดการโลจสิ ตกิ ส์ บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั หอการค้าไทย โทร 080-2345868 email: [email protected] 2 หวั หน้าสาขาวชิ าวิศวกรรมโลจิสตกิ ส์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั หอการคา้ ไทย email: [email protected] บทคดั ยอ่ งานวิจัย เรื่องการเพ่ิมประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้า กรณีศึกษาบริษัท B ซัพพลายเชน จากัด ได้นาข้อมูลใน ข้ันตอนการทางานของบรษิ ัทเพื่อมาวเิ คราะห์ถึงปัญหาการทางานในปัจจุบันของบริษัท โดยการศึกษาคร้ังนี้ได้ศึกษาข้อมูลใน การปฏิบตั งิ านจริงโดยการรวบรวม เกบ็ ข้อมลู และสมั ภาษณ์ผ้ปู ฏิบตั ิงานที่เกีย่ วข้อง จากนั้นจงึ ทาการวเิ คราะห์ปัญหาที่เกดิ ขนึ้ โดยใช้ทฤษฎีก้างปลา และ ECRS ช่วยในการวิเคราะห์กระบวนการทางาน และหาแนวทางการแก้ไข โดยการนาโปรแกรม Excel เป็นเคร่ืองมอื ที่ใช้ในการจัดเรยี ง Location ของสนิ ค้า และคดั แยก กรงุ เทพ ฯ และแต่ละจังหวดั จากการศึกษาพบว่า กระบวนการทางานเดิมมี 8 ขั้นตอน สามารถรวมขั้นตอนการทางาน 3 ขั้นตอน และจัดเรียง กระบวนการทางานใหม่เปน็ 4 ข้ันตอน สามารถลดกระบวนการทางานท่ีซา้ ซอ้ น และสามารถลดระยะเวลาท่ีใชใ้ นกระบวนการ ทางานท้ังจากเฉล่ีย 47 นาที เป็นเฉล่ีย 32 นาที ลดลงเฉลี่ย 15 นาที คิดเป็น 32 % และผู้ทาการศึกษาได้ทาการแบ่งกลุ่ม สินค้าตามเทคนิควิเคราะห์แบบ ABC Analysis พบว่าจากการแบ่งกลุ่มสินค้าตามเทคนิควิเคราะห์แบบ ABC Analysis ตาม เปอร์เซ็นการเคลือ่ นไหวของสินคา้ โดย กล่มุ ประเภทสินค้า A มสี ัดส่วน 70% เป็นจานวน 176 รายการ กลมุ่ ประเภทสนิ คา้ B มสี ัดสว่ น 20 % จานวน 211 รายการ กลมุ่ ประเภทสนิ ค้า C มีสัดส่วน 10% จานวน 174 รายการ และทาการคานวณหาพื้นที่ จริงภายในคลังสินค้าเพื่อเปรียบเทียบกับพื้นท่ีที่ต้องการใช้จริงสาหรับสินค้าท่ีมีการเคล่ือนไหว พบว่าพ้ืนท่ีในการจัดเก็บ เพียงพอต่อปริมาณสินค้าที่มีอยู่จริง และได้ทาการจัดประเภทสินค้าแล้วจึงนาสินค้าจัดวางตามโซนที่เหมาะสม โดยการวาง สินค้าตามกลุ่มสินค้า A กลุ่ม B และกลุ่ม C จากการแบ่งโซนการจัดเก็บอย่างชัดเจน ซึ่งมีการแบ่งตามจานวนครั้งท่ีมีการ เบกิ ออกของสนิ คา้ และการแบง่ สินคา้ ให้มีการเกบ็ แบบ Fixed และRandom ทาใหม้ พี ้ืนท่ีในการวางสินคา้ เพียงพอและมีพ้ืนที่ ว่างสารองไวใ้ นอนาคตหากมีการขยายกลุ่มลกู คา้ มากข้ึน นอกจากน้ี ยังพบว่า ลดระยะทางในการหยบิ สินคา้ จากเดิมเฉล่ยี 33 เมตร เหลือเฉลี่ย 14 เมตร ระยะทางลดลงเฉลยี่ 19 เมตร คิดเป็น 57 % และยงั ลดระยะเวลาในการหยิบสินค้า จากเดมิ เฉลยี่ 21 วนิ าที เหลอื เฉล่ีย 12 วินาที ระยะเวลาลดลง เฉลี่ย 9 วนิ าที คิดเป็น 43 % คาสาคัญ: กระบวนการทางาน; ประสิทธภิ าพ; เทคนคิ วเิ คราะหแ์ บบ ABC Analysis 111

การประชุมสัมมนาเชิงวชิ าการด้านการจดั การโลจสิ ติกส์และโซอ่ ปุ ทาน คร้งั ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวศิ วกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 1. บทนา บริษัท B ซัพพลายเชน จากัด เป็นบริษัทชั้นนาในดา้ นการขนสง่ และโลจิสติกส์ ที่มีประสบการณ์ และความเช่ียวชาญ ในดา้ นการบรกิ ารขนสง่ ดว่ น การขนส่งทางอากาศ ทางเรอื ทางบก บรกิ ารไปรษณียร์ ะหวา่ งประเทศ และโลจสิ ติกส์ ในปัจจบุ ัน บริษัท B ซัพพลายเชน จากัด มีบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า อยู่ 4 หน่วยงาน ดังต่อไปน้ี 1. บริการขนส่งด่วน และการขนส่งระหว่างประเทศ 2. อีคอมเมิร์ซ ให้บริการการสนับสนุนการค้าปลกี ทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการเติบโตของธรุ กิจ ของลกู คา้ โดยการใหบ้ รกิ ารการขนส่งสินค้าประเภทด่วน ในรูปแบบ Business to Customer เป็นบรกิ ารขนส่งในประเทศ 3. โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง และเฟรท ให้บริการจัดการส่งสินค้าท่ัวโลก ด้วยการให้บริการขนส่งทางบก ทางเรือ ทางอากาศ และ สามารถขนส่งสินค้าไปยังจดุ หมายปลายทางไดต้ รงตามเวลาทกี่ าหนดตกลงกันไว้ และยังมบี รกิ ารดาเนนิ พิธกี ารศลุ กากร ทาให้ การขนสง่ สนิ คา้ มคี วามสะดวกรวดเรว็ 4. ซัพพลายเชน ได้แบ่งกลุม่ ลกุ ค้าอุตสาหกรรม เปน็ 4 กลุม่ ไดแ้ ก่ กลุม่ เทคโนโลยี กลุม่ วทิ ยาการเพ่อื ชวี ติ และสุขภาพ กลุม่ วศิ วกรรม และผผู้ ลติ กลมุ่ ยานยนต์ 1.1 ปัญหา และความสาคญั ของปัญหา ในกรณีศึกษาน้ีได้ศึกษาปญั หาที่เกิดขึ้นใน บริษัท B ซัพพลายเชน จากัด ทใี่ หบ้ รกิ ารคลงั สนิ ค้ากบั ลูกคา้ รายหนงึ่ พบ ปัญหาในเรอ่ื งข้ันตอนกระบวนการทางานมากเกนิ ไป และกระบวนการทางานซ้าซ้อน มีการจัดเก็บสนิ คา้ ท่ไี ม่เหมาะสม ส่งผล ให้เกิดความลา่ ช้าในการหยบิ สินค้า 1.2.วัตถปุ ระสงคข์ องการศึกษา 1.2.1. เพ่ือศึกษาขอ้ มูลกระบวนการทางาน และลดขั้นตอนการทางานรวมถึงการปรับปรุงแก้ไขกระบวนการทางาน ใหเ้ กดิ ประสิทธิภาพมากที่สดุ 1.2.2. เพ่ือเสนอแนวทางในการเพมิ่ ประสทิ ธิภาพการจัดการคลงั สินคา้ 1.2.3. เพอ่ื ศึกษารูปแบบการจดั ผงั คลังสนิ คา้ ทเ่ี หมาะสม 2. แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยเกย่ี วข้อง 2.1. ทฤษฎกี ารลดความสูญเปล่าด้วยหลกั การระบบ ECRS เป็นหลักการที่ประกอบด้วย การกาจัด (Eliminate) การรวมกัน (Combine) การจัดใหม่ (Rearrange) และการทา ให้ง่าย (Simplify) ซ่ึงเปน็ หลักการงา่ ยๆ E ยอ่ มาจากคาวา่ Eliminate คือ ขจัดข้ันตอนที่ไม่จาเป็นในกระบวนการออกไปC ย่อ มาจากคาวา่ Combine คือ รวมข้ันตอน หรือกระบวนการทางานเข้าด้วยกัน R ย่อมาจากคาว่า Re-arrange คือ การจัดเรยี ง ใหม่ ปรับขั้นตอนกระบวนการทาให้มีประสิทธิภาพมากข้ึน S ย่อมาจากคาว่า Simplify คือ ทาให้ง่ายข้ึน ลดความยุ่งยาก ซบั ซอ้ นของกระบวนการทางาน 2.2. ทฤษฎแี ผนผังก้างปลา (Fish Bone Diagram) แผนผังกา้ งปลา หรือแผนผังแสดงสาเหตุ และผล (Cause and Effect Diagram) แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสัมพันธอ์ ย่าง มีระบบระหว่างปัญหา (Problem) กบั สาเหตทุ เี่ ปน็ ไปได้ทงั้ หมดทีท่ าใหเ้ กิดปญั หา (Possible Cause) สามารถเรยี กอกี ช่ือหนงึ่ ได้ว่า แผนผังอิชิกาว่า (Ishikawa Diagram) สิ่งสาคัญในการสร้างแผนผัง คือ ต้องทาเป็นทีม เป็นกลุ่ม โดยใช้ขั้นตอน 6 ข้ันตอน 1. กาหนดปัญหาทเ่ี กดิ ข้ึนท่ีหวั ปลา2. กาหนดกลมุ่ ปัจจัยที่จะทาใหเ้ กิดปัญหานั้นๆ 3. ระดมสมองเพื่อหาสาเหตุในแต่ ละปัจจัย 4. หาสาเหตุหลักของปัญหา 5. จัดลาดับความสาคัญของสาเหตุ 6. ใช้แนวทางการปรับปรุงท่ีจาเป็น การกาหนด ปัจจัยบนก้างปลา โดยส่วนมากมักจะใช้หลักการ 4M 1E เป็นกลุ่มปัจจัย (Factors) เพ่ือจะนาไปสู่การแยกแยะสาเหตุ การ กาหนดปญั หาที่หวั ปลา การกาหนดปัญหาควรกาหนดให้ชดั เจน และมีความเปน็ ไปได้ 112

การประชุมสัมมนาเชงิ วชิ าการด้านการจดั การโลจสิ ติกสแ์ ละโซอ่ ปุ ทาน ครงั้ ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวศิ วกรรมอตุ สาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 2.3.เทคนคิ วเิ คราะหแ์ บบ ABC Analysis การวิเคราะห์แบบ ABC Analysis เป็นแนวคิดท่ีให้ความสาคัญกับสินค้าตามกลุ่มสินค้าโดยการจัดลาดับสินค้าตาม ยอดขายหรอื ส่วนแบง่ กาไรของสนิ คา้ นั้น ซ่ึงสนิ คา้ ท่ีจัดอยู่ในกลมุ่ A จะประกอบดว้ ยสนิ ค้าเพียงไม่กป่ี ระเภทหรอื มจี านวน SKU (Stock Keeping Unit) น้อยแต่เป็นสินค้าท่ีมียอดขายหรือส่วนแบ่งกาไรมากที่สุด ส่วนสินค้าท่ีมียอดขายหรือส่วนแบ่งกาไร รองลงไปจะได้รบั ความสาคัญน้อยลงเป็น B และ C ตามลาดบั (Stock และ Lambert, 2001) 2.4.งานวิจยั ทเ่ี ก่ียวข้อง อนันทพันธ์ จันทพันธ์ ปี 2555 ทาการศึกษาถึงวิธีการทางานในกระบวนการทางานในแต่ละแผนก วิธีนี้ทาให้ สามารถทราบถึงขั้นตอนต่างๆ ที่เกิดข้ึนในกระบวนการทางานอย่างละเอียด อีกทั้งยัง ทราบถึงเวลาในการดาเนินกิจกรรมใน แตล่ ะกิจกรรม และทราบถึงระยะทางในการเคลือ่ นที่จากหน่วยงานหน่งึ ไปยังอีกหน่วยงานหน่ึงของผลติ ภณั ฑ์ เพือ่ หาแนวทาง ในการแก้ไขกระบวนการทางานให้มีประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึน เพ่ือลดขั้นตอนการทางานที่เกินความจาเป็นลงและช่วยเพิม่ ผลิต ภาพของสถานประกอบการ คือ เพ่ิมผลิตภาพแรงงานในการทางาน 5% ลดระยะทางในกระบวนการทางานลง 5% ลดระยะ ในการทางานลง 5% จารุภา อุ่นจางวาง ปี 2556 ทาการศึกษาการลดข้ันตอนการปฏิบัติงานการบันทึกข้อมูลในระบบบัญชีควบคุม (Stock Card) ของพนักงาน สต๊อก ซึ่งการปฏิบัติงานเกิดความซ้าซ้อนและไม่มีประสิทธิภาพ และนาระบบการ Scan Barcode สนิ ค้า เข้ามาแทนการเพิม่ ยอดและลดยอดสินค้าในระบบ ทาให้การตรวจเช็คและนบั จานวนสินคา้ คงคลัง และขอ้ มลู สนิ คา้ คงคลงั เป็นแบบ Real time ส่งผลให้ประหยัดเวลาการปฏบิ ตั งิ านลดลง วิยดา สังโชติ ปี 2558 จากการวิจยั เรอื่ งการเพ่ิมประสิทธภิ าพการจัดการคลงั สนิ ค้าสาเรจ็ รปู กรณีศกึ ษาโรงงานผลติ กระดาษเคลือบซิลโิ คน ผลการวิจัยพบว่า ในการเตรียมสินค้าแบบปัจจุบัน เวลาที่พนักงานใช้ในการหยิบสินค้าค่าเฉลี่ยแตล่ ะ พาเลทเท่ากับ 3:70 นาที และเมื่อนาการจัดวางผังคลังสินค้าแบบใหม่พร้อมกับการจัดกล่มุ สินค้าแบบ ABC Analysis เข้าไป ปรับปรุงทาใหค้ ่าเฉลยี่ ในการหยบิ สินคา้ เพอ่ื การจัดส่งแตล่ ะพาเลทเท่ากบั 2:46 นาที ซ่ึงลดลงคดิ เปน็ รอ้ ยละ 33.51 ทางผวู้ จิ ัย ได้ทาการเพิ่ม Layout ให้มีพ้ืนที่สาหรับรอส่งสินค้าโดยพนักงานต้องหยิบสนิ ค้ามาวางไว้ที่พ้ืนท่ีรอส่งสนิ ค้าให้ ครบทุกพาเลท และทาการตรวจสอบอีกครั้งกอ่ นหยบิ สินค้าข้นึ รถขนสง่ หรอื บรรจุในตูค้ อนเทนเนอร์หลังจากนาระบบนมี้ าใช้ พบว่า ไมม่ ีความ ผดิ พลาดในการนาสง่ สนิ ค้าใหล้ กู ค้าแต่อย่างใด 3.ระเบียบวิธีการศกึ ษา 3.1.วเิ คราะหส์ าเหตุของปญั หาโดยใช้ Fishbone Diagram มาชว่ ยในการวเิ คราะห์ Man Method Environment Machine Material 113

การประชุมสมั มนาเชงิ วชิ าการด้านการจดั การโลจสิ ติกส์และโซอ่ ุปทาน ครัง้ ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 ปัญหาท่ีพบในกระบวนการทางาน คือ 1. ข้ันตอนในการทางานมีท้ังหมด 8 ข้ันตอน 2. กระบวนการทางานซ้าซอ้ น 3. ข้ันตอน (คัดแยก Location ของสินค้า, คัดแยกกรุงเทพ ต่างจังหวัด, คัดแยกแต่ละจังหวัด) ผู้ศึกษาได้เข้าไปสังเกตการณ์ และสุ่มจับเวลาโดยเร่ิมตั้งแต่ ข้ันตอนการปริ้นส์เอกสาร Order จนถึง ขั้นตอนการแพ็คสินค้า โดยมีการสุ่มจับเวลา ผลที่ได้ จากการจับเวลา พบว่า กระบวนการทางานของพนักงานหยบิ สนิ คา้ มีกระบวนการทางานที่ซา้ ซอ้ น กล่าวคอื มกี ระบวนการ ทางานมีการคัดแยก ถึง 3 ครั้ง ดังน้ี 1. พนักงานหยิบสินค้าต้องมาคัดแยกโลเคชั่น ก่อนหยิบสินค้า ซึ่งเป็นเวลา 4 นาที 2. หลังจากหยิบสินค้า พนักงานหยิบต้องมาคัดแยกสินค้าที่จุดส่งพื้นที่ กรุงเทพ ต่างจังหวัด ซ่ึงเป็นเวลา 3 นาที 3. หลังข้ันตอน QC เสร็จ พนกั งานหยบิ สนิ คา้ ต้องมาทาการคัดแยกสนิ คา้ แต่ละจงั หวดั อกี คร้ัง ซึ่งเป็นเวลา 3 นาที ปัญหาท่ีพบในการจัดการคลังสินค้า ดังน้ี 1. ไม่มีการแบ่งกลุ่มสินค้า ทาให้การเก็บสินค้าไม่เป็นหมวดหมู่ 2. การ จัดเก็บสินค้า ไม่เหมาะสม ทาให้การหยิบสินค้ามรี ะยะเวลาเพ่มิ ข้นึ จากการศึกษากระบวนการทางานข้างตน้ ทาใหผ้ ้ศู ึกษาพบ ปัญหาเพิ่มข้ึน ในข้ันตอนการหยบิ สินค้าของพนกั งานหยบิ สินค้า ใช้เวลาการหยิบสนิ คา้ มากเกนิ ไปเฉล่ยี 9 นาที ผทู้ าการศกึ ษา จึงได้ศึกษาเพิ่มเตมิ ในส่วนของพ้ืนท่ีคลังสินค้าพบว่า สินค้าที่พนักงานหยบิ มกี ารจัดวางไม่เป็นระเบียบ และผิดตาแหนง่ จึงทา ให้พนักงานใช้เวลาในการเดินหยิบสนิ ค้าเฉลีย่ 21 วินาที จากปญั หานี้ ผูท้ าการศึกษาจงึ ไดน้ าแผนผงั คลังสินค้า และข้อมลู การ จัดส่งสินค้าระยะเวลา 3 เดือนย้อนหลังมาศึกษา พบว่าสินค้าที่มีความถี่ในการหยิบบ่อยมีการจัดตาแหน่งที่อยู่ไกลจาก ทางเข้าออก และไมม่ ีการแบ่งกลมุ่ สินคา้ ทาใหก้ ารเกบ็ สินค้าไมเ่ ป็นหมวดหม่ไู มม่ ปี ระสทิ ธภิ าพ ผ้ศู ึกษานาข้อมูลการเบกิ สินคา้ ยอ้ นหลัง เดอื น ต.ค.-ธ.ค. 2016 ทาการแบง่ กลุ่มสินคา้ ตามทฤษฎี ABC Analysis โดยมกี ารจดั อนั ดับสนิ คา้ ที่มคี วามเคลอื่ นไหว บอ่ ยทีส่ ุด ตามความถี่ในการเบกิ จากการแบง่ กลมุ่ สินค้าตามทฤษฎี ABC Analysis ตามเปอรเ์ ซน็ การเคลอ่ื นไหว สรุปได้ ดงั น้ี ตารางที่ 1: ตารางแบง่ กลุม่ สนิ คา้ ตามทฤษฏี ABC Analysis กลมุ่ ประเภทสินค้า เปอรเ์ ซน็ ต์การเคลอื่ นไหว จานวนรายการ A 70% 176 B 20% 211 C 10% 174 100% 561 Total สินค้ากลุ่ม A มีสองประเภท คือ สินค้ามีเปอร์เซ็นต์การหมุนเวียนบ่อยจึงต้องมีการตรวจนับอย่างสม่าเสมอ เปอร์เซน็ ตก์ ารเคลือ่ นไหว 70 % จานวน 176 รายการ สินค้ากลุ่ม B มีสองประเภท คือ สินค้ามีเปอร์เซ็นต์การหมุนเวียนปานกลางไมเ่ ร็วเหมอื นกลุม่ A จะทาการตรวจนับ ทุก 1-2 เดือน เปอรเ์ ซ็นตก์ ารเคลอ่ื นไหว 20 % จานวนรายการ 211 รายการ สินค้ากลุ่ม C มีสองประเภท คือ สินค้ามีเปอรเ์ ซน็ ต์การหมนุ เวยี นช้า จึงไม่จาเป็นต้องตรวจนับบ่อยอาจจะมีการนับ ทุกๆ 5เดอื น เปอรเ์ ซน็ ต์การเคลอื่ นไหว 10 % จานวนรายการ 174 รายการ เม่อื มกี ารแบง่ กล่มุ สนิ ค้าแล้วจึงนาขอ้ มลู ดงั กล่าวมาใช้ในการวางแผนคลงั สินคา้ ใหม่ 3.2.แนวทางการแกไ้ ขปัญหา กระบวนการทางาน 1. นาเสนอให้มีการใช้ Microsoft Excel ในการสร้างโปรแกรมการจดั เรียง Location คัดแยก กรุงเทพ และแตล่ ะจงั หวดั และการคานวนหาความถใี่ นการหยบิ สินค้า 2. นาเสนอให้มีการรวมขน้ั ตอนการทางาน 3 ขัน้ ตอน 114

การประชุมสมั มนาเชิงวชิ าการด้านการจดั การโลจสิ ตกิ ส์และโซอ่ ุปทาน ครง้ั ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวศิ วกรรมอตุ สาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 ใหร้ วมอยใู่ นขน้ั ตอน การปริน้ เอกสารออเดอร์ เพื่อลดกระบวนการทางานซ้าซอ้ น และปรบั เปล่ียนให้ขน้ั ตอน QC และขั้นตอน หยบิ สินคา้ ปฎิบตั งิ านพร้อมกนั เพ่อื ลดระยะเวลารอคอย การจัดการคลังสินค้า 1. นาเสนอให้มีการแบ่งกลุ่มสินค้าตามความเคล่ือนไหว จัดหมวดหมู่สินค้า 2. นาเสนอให้มี การปรบั เปล่ียนแผนผงั คลงั สินค้าใหม่ 4.ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล 4.1.ผลเปรยี บเทียบขน้ั ตอนการทางาน และระยะเวลาของกระบวนการทางานเกา่ และใหม่ 4.1.1. ปรยี บเทียบข้ันตอนการท้างาน ของกระบวนการทา้ งานเก่า และกระบวนการทา้ งานใหม่ ขน้ั ตอนการทางานเกา่ ข้นั ตอนการทางานใหม่ Start Print Order 5 / Confirm Order 11 Sort by Location 4 /9 Picking 9 Sort by Region 3 Print Order / Sort by Start Location / Sort by No 4 ** Province QC 3 ** 9 Yes 12 Confirm Order Picking 10 Sort by Province 5 No Packing End QC Yes 7 Packing End ** ภาพที่ 1 : ข้ันตอนการทางานเก่า ภาพที่ 2 : ข้ันตอนการทางานใหม่ จากตารางเปรียบเทียบ ผลการวิเคราะหค์ ือ กระบวนการทางานเก่ามีข้ันตอนในการทางาน 8 ขั้นตอน ซ่ึงจากการ วิเคราะห์ พบว่า กระบวนการทางาน 8 ขัน้ ตอน มกี ระบวนการทางานท่ซี า้ ซอ้ น 3 ขัน้ ตอน คือข้นั ตอนที่ 3 , 5 และ 7 ซึ่งผวู้ ิจยั ได้นาหลักการ ECRS มาวิเคราะห์ในการรวมขั้นตอน ซึ่งจากกระบวนการทางานเก่ามีข้ันตอนในการทางาน 8 ข้ันตอน สามารถลดข้นั ตอนได้ 3 ขน้ั ตอน โดยรวมขัน้ ตอนท่ี 3 , 5 และ 7 ไปอยใู่ นขั้นตอนท่ี 1 นา Microsoft Excel เป็นเครื่องมือทีใ่ ช้ ในการสร้างโปรแกรมการจัดเรียง Location คัดแยก กรุงเทพ และแต่ละจังหวัด เพิ่มเติมในขั้นตอนท่ี 1 และปรับเปล่ียนให้ ขั้นตอนท่ี 4 , 6 สามารถทางานไดพ้ รอ้ มกนั 4.1.2. เปรยี บเทยี บระยะเวลา ของกระบวนการทา้ งานเก่า และกระบวนการท้างานใหม่ จากการเปรียบเทยี บ ระยะเวลา ของกระบวนการทางานเกา่ และกระบวนการทางานใหม่ พบวา่ เม่อื ลดข้ันตอนและ ปรับเปล่ียนการทางาน จากกระบวนการทางานเก่า 8 ข้ันตอน ให้เหลือกระบวนการทางานใหม่ 4 ข้ันตอน ระยะเวลาในการ ทางานลดลง 15 นาที 4.2.ผลการเบิกสินค้าย้อนหลังมาวิเคราะห์เพื่อแบ่งกลุ่ม ตามเทคนิควิเคราะห์แบบ ABC Analysis และจัดแผนผัง คลงั สนิ ค้าใหม่ 115

การประชุมสมั มนาเชงิ วชิ าการด้านการจัดการโลจิสติกสแ์ ละโซอ่ ุปทาน ครง้ั ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวศิ วกรรมอุตสาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 4.2.1. รูปแบบคลังสนิ ค้าใหม่ มกี ารออกแบบการจดั วางดังนี้ โซน A จะจัดเก็บสินค้ากลุ่ม A ทั้งหมด 176 รายการ เป็นสินค้าที่มีการเบิกออกบ่อยจะเก็บไว้ใกล้กับทางเข้าออก ท้งั นี้จะนาสินค้ากลมุ่ A ทม่ี กี ารเคลื่อนไหวเรว็ 20 รายการแรกทมี่ สี ต็อกสินค้า จดั เปน็ Fixed Location ง่ายต่อการหยบิ และ จดจา สินค้ากลุ่ม B จะจัดเก็บสินค้ากลุ่ม B ทั้งหมด 211 รายการ เป็นสินค้าท่ีมีการเบิกออกปานกลาง จะเก็บไว้โซนต่อ จากสินคา้ กลุ่ม A ในส่วนของสนิ คา้ ท่ีมกี ารเกบ็ สต็อกคานวณการใชช้ ั้นวางท้งั หมด 27 ชัน้ วาง สว่ นสินคา้ ทไ่ี ม่มกี ารเกบ็ สตอ็ ก ก็ จะถกู จัดเกบ็ แบบ Random zone ของสินค้ากลุ่ม B สินคา้ กลุ่ม C จะจัดเก็บสนิ คา้ กล่มุ B ท้งั หมด 174 รายการ เป็นสนิ คา้ ท่มี ีการเบิกออกน้อยครัง้ จะเก็บไวโ้ ซนต่อจาก สินค้ากลุ่ม A ในส่วนของสินค้าท่ีมีการเก็บสตอ็ กคานวณการใช้ช้ันวางท้งั หมด 12 ชั้นวาง ส่วนสินค้าที่ไมม่ ีการเก็บสตอ็ ก ก็จะ ถกู จัดเก็บแบบ Random zone ของสินคา้ กล่มุ C สรุปการเก็บสินค้าแบบ Fixed และ Random นั้นทาให้ประหยัดพื้นที่ ซ่ึงเพียงพอต่อการจัดเก็บสินค้าภายใน คลังสินค้าที่ทางบรษิ ัทมอี ยู่ ซึ่งมพี น้ื ทว่ี า่ งสาหรบั รองรบั สินค้าอีก 223 ชอ่ ง 4.2.2. เปรียบเทียบระยะทางการเดิน และระยะเวลา รูปแบบคลังสนิ ค้าเกา่ และรูปแบบคลงั สินคา้ ใหม่ จากการศกึ ษา พบวา่ ระยะเวลาในการเดนิ หยบิ สินค้า 20 รายการแรกทม่ี สี ต็อกสินค้า ในแผนผงั คลังสินคา้ แบบเดมิ ใช้เวลา 21 วินาที ต่อระยะทาง 33 เมตร เม่ือเปรียบเทียบกับ แผนผังคลังสินค้าใหม่ จัดวางแบบ ABC Analysis ใช้เวลา 9 วนิ าที ต่อระยะทาง 14 เมตร ระยะเวลาลดลง 12 วินาที และระยะทางลดลง 19 เมตร ภาพที่ 3 : แผนผังคลงั สินคา้ ก่อนปรบั ปรุง ภาพท่ี 4 : แผนผงั คลงั สนิ ค้าหลงั ปรับปรงุ จากภาพท่ี 3 และภาพที่ 4 แสดงการเปรียบเทียบ รูปแบบแผนผังคลังสินค้าก่อนปรับปรุง และรูปแบบแผนผังหลงั ปรับปรงุ พบวา่ ภาพท่ี 3 แผนผังคลงั สนิ คา้ กอ่ นปรบั ปรงุ มกี ารวางกระจัดกระจาย ไมเ่ ปน็ หมวดหมู่ และมรี ะยะทางที่ไกลจาก ทางเข้าออก และภาพที่ 4 ในส่วนแผนผังคลังสินค้าหลังปรับปรุง สินค้ามีการจัดแบ่งหมวดหมู่ ตามความเคล่ือนไหว ตาม เทคนิควเิ คราะห์แบบ ABC Analysis 116

การประชุมสมั มนาเชิงวชิ าการด้านการจัดการโลจิสติกสแ์ ละโซ่อุปทาน ครัง้ ท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวิศวกรรมอตุ สาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 5.สรุปผลการศกึ ษาและอภิปรายผล 5.1.ด้านกระบวนการทางาน จากการศึกษา ผู้ทาการศึกษาได้ทาการเสนอการลดขั้นตอนและปรับเปลี่ยนข้ันตอนการทางาน โดยใช้หลักการ ECRS ช่วยในการวิเคราะห์กระบวนการทางาน และมีการทดลองใช้จริง ผลการทางานของกระบวนการทางานให้พบว่า กระบวนการทางานใหม่ ทาใหข้ ั้นตอนการทางานลดลงเหลอื เพยี ง 5 ขัน้ ตอน และบางข้ันตอนสามารถทางานไปพร้อมกัน ซ่งึ ทาให้ลดกระบวนการทางานท่ีซ้าซ้อนและลดระยะเวลาการรอคอย ซึ่งสรุปผลท่ีได้รับหลังการปรับปรุงกระบวนการทางาน ดังน้ี กอ่ นปรบั ปรงุ มขี ัน้ ตอนกระบวนการทางาน 8 ขัน้ ตอน กระบวนการทางานซ้าซ้อน ระยะเวลาทใ่ี ชใ้ นกระบวนการทางาน ท้ังหมด 47 นาที และหลังปรับปรุง ลดข้ันตอนกระบวนการทางาน 3 ข้ันตอน ขั้นตอนกระบวนการทางาน 4 ขั้นตอน ระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการทางานทงั้ หมด 32 นาที ลดลง 15 นาที คดิ เป็น 32 % 5.2.ด้านการจัดการคลงั สินค้า จากการศึกษา ผู้ทาการวิจัยได้ทาการนาข้อมูลการเบิกสินค้าย้อนหลัง ต.ค.-ธ.ค. 2016 ทาการแบ่งกลุ่มสินค้าตาม เทคนิควิเคราะห์แบบ ABC Analysis พบว่า จากการแบ่งกลุ่มสินค้าตามเทคนิควิเคราะห์ ABC Analysis ตามเปอร์เซ็นการ เคล่ือนไหว สรุปได้ ดังนี้ กลุ่ม A เปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหว 70 % จานวนรายการ 176 รายการ กลุ่ม B เปอร์เซ็นต์การ เคลื่อนไหว 20 % จานวนรายการ 211 รายการ และ กลุ่ม C เปอร์เซ็นต์การเคล่ือนไหว 10 % จานวนรายการ 174 รายการ ซึ่งจากการแบ่งกลุ่มการเคลื่อนไหว ผู้ทาการวิจัยได้ทาการคานวณหาพื้นที่จริงภายในคลังสินค้าเพ่ือเปรียบเทียบกับพ้ืนท่ีท่ี ต้องการใช้จริงสาหรับสินค้าที่มีการเคล่ือนไหว พบว่าพื้นที่ในการจัดเก็บเพียงพอต่อปริมาณสินค้าที่มีอยู่จริง ดังต่อไปน้ี จานวนชอ่ ง 420 จานวนช่องใชจ้ ริง 197 จานวนคงเหลอื 223 เม่ือทราบจานวนพ้ืนท่ีท่ีใช้จริงแล้ว และได้ทาการจัดประเภทสินค้าแลว้ จึงนาสนิ ค้าจัดวางตามโซนท่ีเหมาะสม ตาม รูปแบบคลังสินค้าใหม่ โดยการวางสินค้าตามกลุ่มสินค้า A,B,C ผลที่ได้รับหลังการปรับปรุงการจัดการคลังสินค้า ดังน้ี ก่อน ปรับปรุง รูปแบบการจัดเก็บสินค้าเป็นแบบ Random ท้ังหมดไม่มีการแบ่งกลุ่ม ตามการเคล่ือนไหว จัดเก็บสินค้า ไม่เป็น หมวดหมู่ ไม่เป็นระเบยี บ และ หลงั ปรบั ปรงุ การจดั เกบ็ มกี ารแบง่ โซนท่ชี ดั เจนตามจานวนครัง้ ท่ีมกี ารเบิกออก การแบง่ สนิ ค้า ใหม้ กี ารเก็บแบบ Fixed และ Random แล้วทาให้มพี ้ืนทใ่ี นการวาง สินค้าเพยี งพอและมีเหลือเผอ่ื ไวใ้ นอนาคตหากมกี ารขยาย กลมุ่ ลกู คา้ มากข้นึ สามารถลดระยะทางในการหยิบสนิ ค้า สามารถลดระยะเวลาในการหยบิ สนิ คา้ ผลจากการปรับปรุง พบว่า มีการแบ่งโซนการจัดเก็บอย่างชัดเจน ซึ่งมีการแบ่งตามจานวนคร้ังท่ีมีการเบิกออกของ สินค้า และการแบ่งสนิ ค้าใหม้ ีการเก็บแบบ Fixed และRandom ทาใหม้ ีพน้ื ทใ่ี นการวางสินคา้ เพยี งพอและมีพื้นท่วี า่ งสารองไว้ ในอนาคตหากมีการขยายกลุ่มลูกค้ามากขึ้น นอกจากน้ีผลจากการปรับปรุง ยังพบว่า ลดระยะทางในการหยิบสินค้าจากเดิม 33 เมตร เหลือ 14 เมตร และยงั ลดระยะเวลาในการหยิบสินคา้ จากเดมิ 21 วนิ าที เหลอื 12 วินาที เอกสารอ้างองิ จารุภา อ่นุ จางวาง (2556), “การเพมิ่ ประสิทธิภาพการจัดการสนิ ค้าคงคลงั ”, มหาวิทยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์ อนันทพันธ์ จันทพันธ์ (2555), “การปรับปรุงกระบวนการทางานในคลังสินค้า กรณีศึกษาโรงงานอุตสาหกรรมเคมีภันฑ์”, มหาวทิ ยาลัยธรุ กจิ บณั ฑิตย์ สุนันทา ศิริเจริญวัฒน์ (2555), “การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้า กรณีศึกษา บริษัท ภิมูไทย คอมซีสจากัด”, มหาวิทยาลยั หอการคา้ ไทย 117

การประชมุ สัมมนาเชงิ วิชาการด้านการจดั การโลจสิ ตกิ สแ์ ละโซ่อปุ ทาน ครง้ั ที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควชิ าวิศวกรรมอตุ สาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 James, A.T. and Jerry, D.S., (1998), “The Warehouse Management Handbook”, second edition,Tompkins press, pp. 823-848 118

การประชุมสมั มนาเชงิ วิชาการด้านการจัดการโลจสิ ตกิ ส์และโซ่อปุ ทาน ครั้งที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวศิ วกรรมอุตสาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 Topic C: Inventory and Warehouse Management PaperID : IW 05 การบรหิ ารจัดการสินค้าคงคลังสาหรบั อะไหล่ซอ่ มบารุง กรณีศกึ ษา ศนู ย์บรกิ ารเครอื่ งมอื ทางการแพทย์ สกุ ฤษณ์ เจรญิ โชคชยั สขุ 1*, กนกพร เรียนเขมะนยิ ม2 1* หลกั สูตรการจัดการโลจสิ ตกิ สแ์ ละซพั พลายเชน บัณฑติ วทิ ยาลยั การจดั การและนวัตกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบรุ ี โทร 085-6602733 E-mail: [email protected] 2 หลกั สูตรการจดั การโลจสิ ตกิ ส์และซพั พลายเชน บณั ฑติ วทิ ยาลัยการจดั การและนวตั กรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบรุ ี โทร 092-2652356 โทรสาร 02-4709798 E-mail: [email protected] บทคดั ยอ่ งานวิจัยฉบับน้ีนาเสนอการปรับปรุงการบริหารจัดการสินค้าคงคลังประเภทอะไหล่ซ่อมบารุงสาหรับศูนย์บริการ เครื่องมอื ทางการแพทย์แห่งหน่ึง โดยเริม่ จากการจดั กลุ่มอะไหลซ่ อ่ มบารุงตามระดับการทากาไรของอะไหลแ่ ละระดบั ความไม่ แน่นอนในการคาดการณ์ความต้องการอะไหล่ หลังจากน้ันใช้เทคนิค Silver Meal Heuristic, Least Unit Cost Heuristic และ Part Period Balancing Heuristic ในการคานวนณหาปรมิ าณการสงั่ ซอ้ื ที่เหมาะสม โดยพจิ ารณาจากตน้ ทนุ โลจิสติกส์ท่ี เก่ียวข้อง ไดแ้ ก่ ต้นทนุ การสงั่ ซ้อื สินค้า ต้นทนุ การถอื ครองสินคา้ และตน้ ทุนการมสี ินคา้ ไมเ่ พยี งพอตอบสนองต่อปรมิ าณความ ต้องการ โดยได้วิเคราะห์ Trade-Off กบั ระดับการให้บริการเปรยี บเทียบกับระดับสินค้าคงคลงั สารอง และใหข้ อ้ เสนอแนะการ บรหิ ารจัดการอะไหลซ่ ่อมบารุงให้เพียงพอตอ่ การตอบสนองความตอ้ งการ ลดการถอื ครองอะไหลซ่ อ่ มบารงุ บางรายการท่ีมีการ ถอื ครองมากเกินความจาเปน็ จากผลการศึกษาพบกว่าการนาเทคนคิ การส่ังซื้อแบบฮิวริสตกิ สม์ าประยกุ ต์ใช้สามารถลดต้นทุน ทางโลจสิ ตกิ สเ์ ฉลีย่ อยู่ท่ี 80% ของตน้ ทนุ โลจสิ ตกิ ส์เดิมท่ีเกิดขนึ้ คาสาคญั : การบรหิ ารจดั การสินคา้ คงคลงั ; อะไหล่ซ่อมบารงุ ; ฮิวรสิ ตกิ ส์ 1. ทม่ี าและความสาคญั ในปัจจุบันประเทศไทยนั้นมธี รุ กจิ ประเภทขายและบริการด้านตา่ งๆ หลงั การขาย (After Sales and Service) กอ่ ตั้ง เพิ่มมากข้ึนอย่างเห็นได้ชัด โดยการแข่งขันในตลาดน้ันเพิ่มสูงมาก ปัจจัยหน่ึงท่ีสาคัญมีผลให้ผบู้ ริโภค ตัดสินใจเลือกใช้สินค้า และผลิตภัณฑ์ของบริษัทผู้ผลิตนอกจากคุณภาพของสินค้า น้ันก็คือความต้องการในการบริการหลังการขายของบริษัทผู้ผลติ สนิ คา้ เพราะจะเปน็ จุดทีใ่ ช้เรียกความเช่ือมัน่ และความพงึ พอใจในสินคา้ และผลิตภณั ฑ์ให้กบั ผบู้ รโิ ภคไดเ้ ปน็ อย่างดี การบริการ หลังการขายนั้นมีหลากหลายรูปแบบ เช่น การเปลี่ยนสินค้าในช่วงระยะเวลารับประกัน การตรวจเช็คสภาพและซ่อมบารุง สินค้า ฯลฯ เป็นต้น ซ่ึงการบริการต่างๆ เหล่าน้ีนั้นจะทาให้ผทู้ ่ีได้รับบริการเกิดความพึงพอใจ (Customer Satisfaction) แต่ นั้นคือการแลกมาด้วยการก่อให้เกิดต้นทุนในการให้บริการ (Cost-to-Serve) ของผู้ให้บริการ ธุรกิจแต่ละประเภทน้ันจะ ประกอบดว้ ยต้นทุนทางโลจิสตกิ สอ์ ยู่หลากหลายรูปแบบ เช่น ต้นทุนด้านการส่งั ซ้อื ต้นทุนด้านการถอื ครองสินค้า ต้นทุนดา้ น การขนสง่ ฯลฯ เปน็ ตน้ ดงั นั้นธุรกจิ ทุกประเภทจึงตอ้ งมีการควบคมุ ตน้ ทุน ตามนโยบายของบริษทั ในเนือ้ หา 119

การประชมุ สัมมนาเชงิ วิชาการด้านการจดั การโลจสิ ติกสแ์ ละโซ่อุปทาน ครั้งท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวิศวกรรมอตุ สาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 ของงานวจิ ยั นจ้ี ะศกึ ษาถึงการบรกิ ารหลงั การขาย ของบริษัทในกรณศี ึกษาท่เี ป็นรปู แบบงานบรกิ ารตรวจเชค็ และซ่อมบารงุ ของ ธุรกิจประเภทผลิตและจาหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ การบริการประเภทซ่อมบารุงน้ันส่วนท่ีสาคัญท่ีสุดนั้นคืออะไหล่ (Spare Parts) ท่ีใช้สนับสนุนในการให้บริการต่อลูกค้า อะไหล่ซ่อมบารุงเป็นสินค้าคงคลังท่ีมีไว้ตอบสนองต่อความต้องการที่ สามารถคาดการณ์ได้และไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าสาหรับการซ่อมบารุงอุปกรณ์ ซึ่งบริษัทในกรณีศึกษานี้ประสบกับ ปัญหาคือมีอะไหล่ซ่อมบารุงบางรายการไมเ่ พียงพอตอบสนองต่อความต้องการ และในบางรายการมีมากเกินความจาเป็นจึง ก่อให้เกิดต้นทุนการถือครองอะไหล่ซอ่ มบารุงที่มากเกนิ ความจาเปน็ โดยงานวิจยั นี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อหานโยบายที่เหมาะสม ในการบรหิ ารจดั การกับอะไหลซ่ ่อมบารงุ แต่ละหมวดหมู่ และลดตน้ ทนุ ทางโลจสิ ติกส์ดา้ นตา่ งๆ บริษทั ในกรณศี กึ ษา 2. ทฤษฎีท่ีใชใ้ นงานวจิ ยั 2.1 เกณฑ์การจาแนกสินค้าคงคลงั ด้วยวิธี ABC (ABC Inventory Classification) Jacobs and Richard (2008) ได้กล่าวถึงวิธี ABC Inventory Classification ว่าเป็นเกณฑ์ที่ใช้แบ่งจาแนกสินค้าออกเป็น 3 หมวดหมู่ คือ A, B และ C โดยจาแนกจากมลู ค่าของสินค้าคงคลงั , จาแนกสินค้าคงคลังจากความสามารถการทากาไร (Profit Margin) และจาแนกสินค้าคงคลังจากความถ่ีจากการขาย (Movement Classification) โดยงานวิจัยน้ีจะใช้เกณฑ์ ความสามารถในการทากาไรของสนิ คา้ คงคลงั ประเภทอะไหลซ่ อ่ มบารุง 2.2 ทฤษฎขี อง Peterson-Silver Rule (Sipper and Bulfin, 1998) ได้กล่าวว่า การที่จะตรวจเช็คความเหมาะสมของความต้องการที่เกดิ ขึ้นน้ัน เพื่อให้ทราบว่าเปน็ ความต้องการแบบไหนนน้ั จะตอ้ งวัดความแปรปรวนของความตอ้ งการท่ีเกิดขน้ึ ดว้ ยการหาคา่ สมั ประสทิ ธิ์ความแปรปรวน (VC: Variability Coefficient) จากทฤษฎีของ Peterson-Silver Rule โดยมีสมการดงั นี้ VC = n ∑tn=1 Dt2 − 1 (1) (∑tn=1 Dt)2 โดยกาหนดให้ VC คือ สมั ประสิทธ์ิความแปรปรวนของความตอ้ งการ t คือ ชว่ งเวลาท่ที าการศึกษาปรมิ าณความต้องการ โดย t = 1, 2, 3, ..., n Dt คือ ปรมิ าณความต้องการสนิ ค้าทเ่ี กดิ ข้นึ ณ ชว่ งเวลา t ใดๆ ถ้าค่าสัมประสิทธ์ิความแปรปรวนที่ได้จากการคานวณน้ัน มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0.25 นั้นมีความหมายว่า ความ ต้องการสินค้าน้ันมีความแปรปรวน ให้ใช้รูปแบบการส่ังซื้อแบบพลวัต (Dynamic Lot Sizing) เพ่ือใช้คานวณหาปริมาณของ คาส่ังซื้อท่ีเหมาะสม และถ้าค่าสัมประสิทธิ์ความแปรปรวนที่ได้จากการคานวณน้ัน มีค่าน้อยกว่า 0.25 น้ันมีความหมายว่า ความต้องการสินค้าน้ันมีความคงท่ี สามารถใช้รูปแบบการสั่งซ้ือแบบคงที่ (Static Lot Sizing) เพ่ือใช้คานวณหาปริมาณของ คาสงั่ ซ้ือทเ่ี หมาะสม 2.3 การหารปู แบบการส่งั ซื้อทเ่ี หมาะสมโดยวธิ ีแบบฮวิ ริสตกิ ส์ กาหนดให้ m คือ ช่วงเวลาที่ทาการพิจารณา Dm คอื ความตอ้ งการสินค้าต่อ m ชว่ งเวลา (หน่วยสนิ คา้ ตอ่ หนว่ ยเวลา) A คือ ต้นทนุ การสัง่ ซ้ือสินคา้ ต่อครง้ั (บาท ต่อ ครั้ง) h คือ ตน้ ทนุ การถอื ครองสนิ คา้ (บาท ตอ่ ชน้ิ ต่อ หน่วยเวลา) 120

การประชมุ สัมมนาเชิงวิชาการด้านการจดั การโลจิสตกิ ส์และโซอ่ ุปทาน คร้ังที่ 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวศิ วกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 2.3.1 การส่งั ซื้อโดยวิธี Silver Meal Heuristic (SM) เป็นการสงั่ ซือ้ สนิ คา้ เพ่ือให้ไดม้ าซึง่ ตน้ ทนุ การสงั่ ซื้อและต้นทุนการถือครองสนิ ค้าคงคลัง เฉล่ยี ตอ่ คาบเวลาให้ตา่ ที่สุด ทุกๆ ชว่ งเวลาการสั่งซอื้ ท่ี m ชว่ งเวลา และพจิ ารณาวา่ การสั่งซือ้ แต่ละครง้ั นัน้ สามารถครอบคลมุ ช่วงเวลาได้ยาวนานเพยี งใด K(m) = [A+hD2+⋯+h(m−1)Dm] (2) m โดยท่ี K(m) คือ ต้นทนุ เฉลีย่ ท่ีแปรผนั ณ ช่วงเวลา m ใดๆ 2.3.2 การส่งั ซ้อื โดยวิธี Least Unit Cost Heuristic (LUC) เปน็ การสั่งซอื้ สนิ คา้ เพอ่ื ให้ไดม้ าซงึ่ ต้นทนุ การสง่ั ซ้อื และตน้ ทุนการถือครองสินค้าคงคลงั เฉล่ียต่อหน่วยใหต้ ่าทส่ี ุด J(m) = [A+hD2+⋯+h(m−1)Dm] (3) D1+D2+⋯+Dm โดยที่ J(m) คือ ตน้ ทนุ ตอ่ หน่วยท่แี ปรผัน ณ ช่วงเวลา m ใดๆ 2.3.3 การสัง่ ซ้ือโดยวธิ ี Part Period Balancing Heuristic (PPB) เป็นการสัง่ ซ้ือสินคา้ เพอ่ื ให้ตน้ ทนุ การสัง่ ซ้อื เท่ากับต้นทนุ การถอื ครองสินค้าคงคลัง PPm = D2 + D3 + ⋯ + (m − 1)Dm (4) โดยท่ี จานวนสนิ ค้าคงคลงั สารองสาหรบั ณ ช่วงเวลา m ใดๆ PPm คือ 3. การหารูปแบบการสัง่ ซ้ือท่เี หมาะสมกับคณุ ลักษณะสนิ ค้าคงคลังประเภทอะไหล่ซอ่ มบารงุ 3.1 การจดั กลมุ่ สนิ ค้าคงคลังด้วยวิธี ABC (ABC Inventory Classification) เริม่ จากการนาขอ้ มูลปรมิ าณการใชอ้ ะไหลซ่ อ่ มบารงุ (Spare part) ท้งั หมด 3 ปีย้อนหลัง จากนัน้ ทาการจัดหมวดหมู่ ของอะไหล่ซ่อมบารุงจากเกณฑ์ความสามารถในการทากาไร (กาไรต่อชิ้นสูง และกาไรต่อช้ินต่า) และระดับความไม่แน่นอน ของปริมาณความตอ้ งการใชส้ ินค้า (สามารถคาดการณไ์ ด้ และไม่สามารถคาดการณ์ได)้ ดงั แสดงในรูปท่ี 1 ความสามารถในการทากาไรปก ิต ความสามารถในการทากาไรสูง (High Profit) Quadrant 2 Quadrant 1 (Normally Profit) Quadrant 3 Quadrant 4 ปริมาณความต้องการท่ีสามารถคาดการณ์ได้ ปริมาณความต้องการที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ (Predictable Demand) (Unpredictable Demand) รปู ที่ 1: แสดงเกณฑท์ ใี่ ชใ้ นการจาแนกอะไหลซ่ ่อมบารุงโดยแบ่งเปน็ จตุภาค (Quadrant) 121

การประชุมสัมมนาเชงิ วิชาการด้านการจัดการโลจสิ ตกิ ส์และโซ่อุปทาน ครงั้ ท่ี 17 “Industry 4.0: Challenges, Innovation and Opportunity for Logistics and Supply Chain Management” ภาควิชาวศิ วกรรมอุตสาหการ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ 19 – 23 ตุลาคม 2560 จากแกน X ปรมิ าณความต้องการทส่ี ามารถคาดการณไ์ ด้ (Predictable Demand) หมายถงึ อะไหลซ่ ่อมบารุงน้ันมี อายุการใช้งาน (Lifetime) ท่ีถูกกาหนดไว้ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อใช้สินค้าครบถึงช่วงเวลาที่กาหนด อะไหล่ตัวนี้จะเสื่อมสภาพ และปริมาณความต้องการที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ (Unpredictable Demand) หมายถึง อะไหล่ซ่อมบารุงนั้นเสียหาย อัน เนือ่ งมาจากการใช้อุปกรณ์ไม่ถกู วธิ ี หรือเกดิ มาจากกระบวนการผลติ จากโรงงาน ณ ช่วงเวลาผลิตน้ันๆ สินค้าระดับ A หมายถึง สินค้าท่ีมีความสามารถในการทากาไรต้ังแต่ 90% ข้ึนไป แต่ปริมาณความต้องการนั้นไม่ สามารถคาดการณไ์ ด้แนน่ อน จงึ จัดใหอ้ ยใู่ น Quadrant 1 สินค้าระดับ B หมายถึง สินค้าที่มีความสามารถในการทากาไรตั้งแต่ 80% ข้ึนไป และปริมาณความต้องการนั้น สามารถคาดการณไ์ ด้ จึงจดั ใหอ้ ยใู่ น Quadrant 2 สินค้าระดับ C หมายถึง สินค้าท่ีมีความสามารถในการทากาไรตั้งแต่ 70% ข้ึนไป และปริมาณความต้องการนั้น สามารถคาดการณไ์ ด้ จะจัดให้อยใู่ น Quadrant 3 สินค้าระดับ D หมายถึง สินค้าที่มีความสามารถในการทากาไรต้ังแต่ 70% ลงมา แต่ปริมาณความต้องการนั้นไม่ สามารถคาดการณไ์ ดแ้ นน่ อน จึงจัดให้อยู่ใน Quadrant 4 3.2 การหารูปแบบการส่งั ซอื้ ทเ่ี หมาะสมดว้ ยวธิ แี บบฮวิ รสิ ติกส์และกาหนดนโยบายระดบั การให้บรกิ าร เน่ืองจากปริมาณความต้องการใช้อะไหลซ่ ่อมบารุงจากข้อมูล 3 ปี ย้อนหลังที่นามาทดสอบดว้ ยทฤษฎีของ Peterson-Silver Rule แล้วค่าสัมประสิทธิ์ความแปรปรวนท่ีได้จากการคานวณน้ัน มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0.25 จึงใช้รูปแบบการส่ังซื้อแบบ พลวัต (Dynamic Lot Sizing) โดยใช้วิธีแบบฮิวริสติกส์คานวณหาปริมาณของคาสั่งซื้อท่ีเหมาะสมและคานวณหาปริม าณ อะไหลซ่ ่อมบารุงสารอง (Cachon and Terwiesch, 2006) จากการทดสอบข้อมลู ปริมาณการใชอ้ ะไหลซ่ ่อมบารุงจาก พบว่า ปริมาณความต้องการใชอ้ ะไหล่ซอ่ มบารงุ นั้นไม่เปน็ กระจายตวั แบบปกติ (Non-Normal Distribution) Martin et al., (2013) ได้ใช้วิธี Empirical Method ในการคานวณหาปริมาณอะไหลส่ ารองแทน โดยหลักการของวิธี Empirical Method เป็นการ นาโอกาสเกิดการใช้อะไหล่ซ่อมบารุงในแต่ละเดือนมาคานวณหาความน่าจะเป็นของโอกาสการใช้อะไหล่ซ่อมบารุง (Cumulative Probability) ซง่ึ เปน็ ความสัมพันธ์ท่ีเชื่อมโยงกันระหว่างปรมิ าณอะไหล่ซอ่ มบารงุ สารองและนโยบายระดบั การ ให้บริการ แสดงดังตารางท่ี 1 และเปรียบเทียบต้นทุนที่เกิดข้ึนแต่ระดับของนโยบายระดับการให้บริการ โดยทุกระดับการ ให้บรกิ ารนั้นลว้ นแลว้ แลกมาดว้ ยค่าใช้จา่ ยในการใหบ้ ริการ ตารางท่ี 1: แสดงการคานวณหาปริมาณอะไหล่ซอ่ มบารงุ สารอง (Safety Stock) โดยวธิ ี Empirical Method และค่าใชจ้ ่ายท่ี เกดิ ขน้ึ ของแตล่ ะ่ ระดับการให้บริการ สาหรับอะไหลซ่ ่อมบารงุ ระดบั A Demand Frequency Probability Cumulative Service Level Holding Cost (part) (month) Probability Policy (baht/year) 0.750 75% 0 27 0.194 75% 94% 0 1 7 0.028 94% 97% 72.528 4 1 0.028 97% 100% 290.112 6 1 1.000 100% 435.168 36 122